Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 919-922
ตอนที่ 919
“เปิดสวรรค์!”
“เป็นไปได้อย่างไร ในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะ เรื่องเช่นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!”
พี่น้องตระกูลหลัวไม่เชื่อ
คิ้วของหลัวหงขมวดเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ “ไม่เคยเกิดขึ้นหมายถึงจะไม่มีทางเกิดขึ้นงั้นรึ? หากเป็นเช่นนั้นแล้วคำว่าปาฏิหาริย์จะมีความหมายหรืออย่างไร? นอกจากนั้นถึงแม้ในจักรวรรดิของเราจะไม่เคยเกิดขึ้นก็ใช่ว่าที่อื่นจะไม่เคยเกิดขึ้น”
พี่น้องตระกูลหลัวตกตะลึงจนตัวแข็ง พวกเขาไม่เคยคิดเช่นนั้นมาก่อน
“อย่างเมื่อสามแสนปีก่อน ที่จักรวรรดิฉือไร้เทียมทานได้มีสุดยอดอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้น หลังจากขึ้นมาบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์เขาใช้เวลาเพียงร้อยกว่าปีในการบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด”
เมื่อใดยินเช่นนั้นสองพี่น้องตระกูลหลัวก็เหงื่อตกทันที การบรรลุระดับภูผาวารีด้วยเวลาร้อยปีนั้นเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก ต้องรู้ว่าจ้าวหลุนที่เป็นอัจฉริยะของสำนักนั้นแม้จะมีอายุห้าร้อยปีแล้วก็ยังบรรลุเพียงระดับภูผาวารีขั้นสูง
“เช่นนั้นแล้วทำไมถึงไม่มีเรื่องราวของจักรวรรดิฉือไร้เทียมทานบันทึกเอาไว้?” หลัวป้าถาม
“นั่นเพราะจักรวรรดิฉือไร้เทียมทานเป็นจักรวรรดิของโลกใบเล็กและจักรพรรดิก็ปิดบังสถานะของตนเองเอาไว้พร้อมกับเข้ามาเป็นศิษย์ของำนักนภาสีชาดเป็นเวลาร้อยปี” หลัวหงกล่าว
“จักรวรรดิฉือไร้เทียมทาน? หรือว่าเขาจะเป็นคนที่ทิ้งจิตวิญญาณเอาไว้หอคอยดาราขาว… ฉือเหลิน ?” หลัวป้ารู้สึกตัวทันที
“อืม” หลัวหงพยักหน้า
“แต่ทำไมถึงไม่มีเรื่องราวของเขาถูกเล่าขานเลย?” หลัวป้าสงสัย
“นั่นเพราะชายคนนั้นแอบลอบเข้าไปในคลังสมบัติของจัรวรรดิและต้องการขโมยสมบัติแห่งจักรวรรดิ ดังนั้นเขาจึงถูกจักรพรรดินีลบล่องลอยทุกอย่างทิ้งไป เพียงแต่ว่าหอคอยดาราขาวนั้นมิติอิสระและไม่มีใครแข็งแกร่งเหนือกว่าชายคนนั้นได้ ร่องรอยหนึ่งเดียวของเขาจึงยังคงเหลืออยู่ในหอคอยดาราขาว” หลัวหงเล่า
พี่น้องตระกูลหลัวกลายเป็นแน่นิ่ง กล้าถึงขนาดแอบลอบเข้าไปขโมยสมบัติของจักรวรรดิ ความกล้าของชายคนนั้นช่างน่านับถือจริงๆ
‘ที่ข้าจะบอกพวกเจ้าคือก่อนที่พวกเจ้าคิดจะจัดการใคร พวกเจ้าต้องรู้ข้อมูลของอีกฝ่ายก่อน ไม่เช่นนั้นคนที่ถูกจัดการอาจจะเป็นพวกเจ้าเอง’ หลัวหงกล่าว
“พวกเราเข้าใจแล้วขอรับท่านผู้นำ!” พี่น้องตระกูลหลัวกล่าวด้วยความเคารพ
“เอาล่ะ ข้าจะถามอีกครั้ง เจ้ามีความมั่นใจว่าจะจัดการศัตรูของเจ้าได้รึไม่?” หลัวหงมองไปยังหลัวด้วยสายตาแหลมคม
หลัวป้าชะงักในใจก่อนจะกล่าวเสียงดัง “เพื่อกู้หน้าของตระกูล หลัวป้าผู้นี้จะไปยังหุบเขากระบี่เพื่อฝึกฝนตนเอง!”
“ฮ่าๆๆ!” หลัวหงหัวเราะและทุบโต๊ะ “ก็ดี!” เขาโยนก้อนหินสีแดงออกมาและกล่าว “นี่คือศิลาหยาดโลหิต มีคำกล่าวว่าศิลานี้เกิดขึ้นเมื่อสัตว์อสูรระดับพระเจ้าได้รับเจ็บสาหัสจนโลหิตไหลริน โลหิตเหล่านั้นได้กัดเซาะหินธรรมดาจนมีกลิ่นอายของสัตว์อสูรระดับพระเจ้าหลงเหลืออยู่”
“เจ้าจงดูดซับมันและขัดเกลาพลังต่อสู้ให้ถึงขีดกำจัดยี่สิบดาวซะ! เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจงสังหารศัตรูของเจ้าทิ้ง!”
ใบหน้าของหลัวหงมืดมน แม้ผลึกก่อเกิดสองพันก้อนจะไม่เกินมือเขา แต่สิ่งที่ทำให้เขาโมโหก็คือการที่มดปลวดจากโลกใบกล้ามาต่อรองกับตระกูลหลัว ถ้าไม่ใช่เพราะมีสำนักนภาสีชาดอยู่ เขาคงส่งคนไปปิดชีพหลิงฮันแล้ว
หลัวป้าตื่นเต้น ศิลาหยาดโลหิตคือสมบัติที่ล้ำค่าอย่างแท้จริงของจอมยุทธระดับทลายมิติ ด้วยกลิ่นอายสัตว์อสูรระดับพระเจ้า เขาจะสามารถขัดเกลาพลังต่อสู้ให้เพิ่มขึ้นได้หลายเท่า
หลัวหลี่มีท่าทีอิจฉา เขาเองก็เป็นอัจฉริยะของตระกูลหลัวเช่นกันแต่กลับต้องถูกหลัวป้าทิ้งห่างไว้ด้านหลัง
เขาต้องการศิลาหยาดโลหิตเหมือนกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้เพียงกำหมัดแน่นและแสร้งทำเป็นแสดงความดีใจต่อหลัวป้า
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้นำไม่ได้กล่าวออกมาแต่เขาได้ยินมาจากคาบเรียนของสุ่ยเยี่ยนยวี่ นั่นคือจอมยุทธที่เปิดสวรรค์สำเร็จจะได้รับวาสนาจากสวรรค์และปฐพีเป็นพลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นสามดาว!
และหากจะเปิดสวรรค์ได้สำหรับจอมยุทธผู้นั้นก็จำเป็นต้องมีพลังต่อสู้ระดับทลายมิติยี่สิบดาว หากบวกกับสามดาวที่เดิมขึ้นมา จอมยุทธผู้นั้นก็ต้องมีพลังต่อสู้สี่สิบสามดาวเป็นอย่างน้อยสินะ?
แม้หลัวป้าจะดูดซับศิลาหยาดโลหิตไปก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฮัน!
ถ้าหาก… ทั้งสองคนตัดสินสู้เป็นตายกันล่ะ?
หลัวหลี่แสยะยิ้ม ใครจะตายก็ล้วนเป็นผลดีสำหรับเขาไม่ใช่รึไม่? ถ้างั้นแล้วทำไมเขาจะต้องพูดเตือนหลัวป้าด้วย?
เขาเองก็เป็นคนที่ทะเยอทะยานเหมือนกัน เขาจะไม่ยอมถูกทิ้งห่างเอาไว้คนเดียวแน่นอน
“หลังจากดูดซับศิลาหยาดโลหิตแล้วรีบไปท้าประลองศัตรูของเจ้าซะ ครั้งนี้ห้ามทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด!” ใบหน้าของหลัวหงเปลี่ยนเป็นดุดัน
“หลัวป้าจะไม่ทำให้ความคาดหวังของท่านผู้นำเสียเปล่า!” หลัวป้าความอย่างตื่นเต้น หากดูดซับศิลาหยาดโลหิตแล้วเขาจะกลายเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งหลิงฮัน หม่าชิง เฉิงฮ่าวเฟยจะต้องถูกเขาก้าวข้าม
จื่อหยุนเอ๋อที่สำส่อนเล่นรักกับหลิงฮันก็เหมือนกัน หลังจากเขาชิงนางกลับมาได้เขาจะสั่งสอนนางให้เข็ด
……
กู่หลิงยื่อนั้นเป็นคนบ้าที่แท้จริง เมื่อคุยถึงเรื่องการปรุงยานางจะลืมทุกสิ่งไปทันที แม้จะเหนื่อยล้านางก็ไม่คิดจะขึ้นไปบนเตียงและเผลอหลับไปทันทีในขณะที่พูดคุยกันอยู่
สิ่งนี้ทำให้หลิงฮันทั้งหัวเราะและส่ายหัว
นางพูดเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการปรุงยาราวกับเป็นคนบ้าโดยไม่มีความเป็นสตรีแม้แต่น้อย เจ้านอนหลับโดยไม่ระมัดระวังตัวเช่นนี้เจ้าคิดว่าผู้ชายเป็นสุภาพบุรุษทุกคนรึไง?
และต่อให้เป็นสุภาพบุรุษ ก็มีบางครั้งที่ทนไม่ไหวเช่นกัน
หลิงฮันส่ายหัว เขาพาอีกฝ่ายไปนอนบนเตียงก่อนจะเข้าไปในหอคอยทมิฬ
ชีวิตอันเงียบสงบเหลืออีกแค่สองวัน
ในวันต่อมากู่หลิงยื่อพูดคุยเรื่องหลอมยากับหลิงฮันจนเขาต้องหาหาไล่นางออกไปจากลานที่พักเพื่อพักหู แต่ทันทีที่เขาไล่กู่หลิงยื่อออกไปได้ หลี่เหว่ยเหว่ยกับจื่อหยุนเอ๋อก็ปรากฏตัวพร้อมกัน
“เจ้าโง่ บิดาข้าต้องการพบเจ้า” หลี่เหว่ยเหว่ยมาที่นี่เพื่อส่งข้อความ
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายต้องการพบข้า?
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะมั่นใจในศักยภาพของตัวเองแต่เขาก็เข้าใจดีว่าตัวเขาในตอนนี้เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสฝ่ายแล้วยังเป็นเพียงจอมยุทธตัวเล็กๆ เขาไม่มีคุณสมบัติจะแหงนมองอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
เวลาผ่านไม่ถึงเดือนอีกฝ่ายก็ต้องการเจอเขาอีกแล้ว?
หลิงฮันไม่กล้าปฏิเสธและรีบมุ่งหน้าไปยังบ้านของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายทันที
เมื่อมาถึงเซียงเฉิงหยินก็ปรากฏตัวและพาเขาไปยังสวนเล็กๆในบริเวณที่พัก
ที่นั่นผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายกำลังจัดดอกไม้อยู่ด้วยความปราณีต เซียงเฉิงหยินไม่กล้ารบกวนจึงต้องยืนรอ
หลิงฮันที่มองมองภาพด้านหน้าก็เกิดความตกตะลึง
ภายใต้การตกแต่งของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ดอกไม้กระถุงนี้ได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าดึงดูดออกมา ดอกไม้แต่ละก้านราวกับเป็นแขนขาของจอมยุทธที่กำลังเคลื่อนไหวแสดงทักษะยุทธอยู่
หลิงฮันเห็นแล้วอดนึกถึงทักษะบ่มเพาะหกธาตุผสานเป็นหนึ่งของเขาไม่ได้ ในหัวของเขามีความคิดยางอย่างผุดขึ้นมากระทันหัน ทันทีที่เขานั่งลงจังหวะที่ลึกลับก็แพร่ซ่านไปทั่วร่างกาย
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่เห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึงจนเผลอหยุดมือ
ตอนที่ 920
“ช่างกล้า!” เซียงเฉิงหยินคำรามทันที
ใครก็ตามที่ไม่เคารพต่อผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายต้องได้รับโทษสถานหนัก
หลิงฮันนิ่งเฉย ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องทักษะหกธาตุผสานเป็นหนึ่ง
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายยกมือส่งสัญญาณห้ามเซียงเฉิงหยินด้วยใบหน้าตกตะลึง
นี่คือการรู้แจ้ง!
สำหรับจอมยุทธ การรู้แจ้งเรียกได้ว่าเป็นวาสนาและโอกาสที่สำคัญที่สุดในชีวิต
อะไรคือการรู้แจ้ง?
มันคือการที่จู่ๆจอมยุทธผู้หนึ่งจะรับรู้และเข้าใจเงื่อนงำของปัญหาที่ตนเองไม่เข้าใจแบบฉับพลัน
การรู้แจ้งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นด้วยได้การช่วยเหลือของเม็ดยาหรือทรัพยากรใดๆ
หากจอมยุทธคนใดมีการรู้แจ้ง จอมยุทธผู้นั้นอาจจะย่นระยะเวลาบ่มเพาะพลังของตนเองไปได้ถึงหนึ่งแสนปี
ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่ตอนนี้มีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับดาราขั้นต้นสูงสุด หากเขาไม่ได้รับวาสนาใดๆเขาอาจจะไม่สามารถทะลวงผ่านไปยังขั้นกลางได้เลยในชีวิตนี้
ดังนั้นเมื่อเห็นหลิงฮันได้รับการรู้แจ้ง ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายจึงอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ ถ้าเขามีวาสนาเช่นนั้นบ้างบางทีอีกสิบหรือร้อยปีข้างหน้าเขาอาจจะบรรลุระดับดาราขั้นกลางก็ได้
อย่าดูถูกขั้นพลังเล็กๆเชียว แม้จะเป็นขั้นพลังเล็กๆแต่ก็ทำให้พลังต่อสู้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอย่างน้อยสิบเท่า
เขาอดหัวเราะในใจไม่ได้ นี่เขากำลังรู้สึกอิจฉาจอมยุทธจากโลกใบเล็กอยู่รึเนี่ย
เพียงแต่ว่าการได้รับการรู้แจ้งเร็วไปก็ไม่ใช่เรื่องดี นั่นเพราะการรู้แจ้งไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ตลอด หากให้พูดแล้วแม้แต่สุดยอดอัจฉริยะทั้งชีวิตก็อาจจะได้รับการรู้แจ้งเพียงหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น
ดังนั้นยิ่งการรู้แจ้งเกิดขึ้นในระดับพลังที่สูงเท่าไหร่ก็ยิ่งล้ำค่ามากขึ้นเท่านั้น
เซียงเฉิงหยินแสดงท่าทีตกตะลึงออกมา ผู้อาวุโสฝ่ายซ้อยถึงกับยอมรอคอยให้หลิงฮันตื่นเลยรึ? การปฏิบัติเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
ทั่วทั้งโลกใบนี้ คนเดียวที่มีคุณสมบัติให้ผู้อาวุโสฝ่านซ้ายต้องรอคอยคือจักรพรรดินี!
แต่ตอนนี้จอมยุทธจากโลกใบเล็กกลับได้รีบการปฏิบัติเช่นนั้น แล้วจะไม่ให้เซียงเฉิงหยินรู้สึกตกตะลึงและอิจฉาได้อย่างไร?
การรู้แจ้งเกิดขึ้นราวๆเกือบจะหนึ่งชั่วโมง
หลิงฮันลืมและแสดงสีหน้าไม่พอใจ ความเข้าใจในทักษะหกธาตุผสานเป็นหนึ่งของเขาพัฒนาขึ้นมาก แต่เขากลับลืมตาตื่นก่อนที่จะทำความเข้าใจในส่วนสุดท้าย
เมื่อเขาลืมตาตื่นเขาก็ผมว่าเขาไม่มีเวลาจะย่อยความรู้ที่เข้าได้รับมาและรีบลุกขึ้นยืน ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายมองมาที่เข้าด้วยรอยยิ้ม ส่วนเซียงเฉิงหยินนั้นปลดปล่อยออร่าที่เย็นชาออกมา
“จู๋ๆข้าก็เกิดรับรู้บางสิ่งขึ้นมาจนเผลอลืมตัว ข้าขอให้ท่านผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายยกโทษให้ข้าด้วย” หลิงฮันกล่าวอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องคิดมาก!” ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายกล่าวอย่างอ่อนโยนก่อนจะชำเลืองมองไปยังเซียงเฉิงหยินและกล่าว “เจ้าออกไปก่อน”
เซียงเฉิงหยินชะงักเล็กน้อย เขาเกือบจะไม่เชื่อในหูของตัวเอง
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายมีเรื่องที่ไม่ต้องการให้เขารู้งั้นรึ?
แถมเขายังจะบอกเรื่องนั้นกับหลิงฮันด้วย!
แม้เขาจะไม่พอใจแต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย เขาจึงทำได้เพียงตอบตกลงและเดินจากไป
แต่ก่อนจะจากไปเขาชำเลืองไปยังหลิงฮันและมองด้วยสายตาเย็นชา
หลิงฮันอดนึกแปลกใจไม่ได้ว่าเขาไปล่วงเกินอีกฝ่ายตอนไหนกัน?
หลังจากเซียงเฉิงหยินจากไปผู้อาวุโสฝ่ายจัดดอกไม้ในกระถางต่อ
เขาไม่ได้กล่าวอะไรต่อ หลิงฮันเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนอยู่นิ่งๆด้านข้าง
ผ่านไปสักพักผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็หยุดมือและกล่าว “ตอนนี้เหว่ยเหว่ยกำลังทำธุรกิจกับเจ้า?”
หลิงฮันถอนหายใจและกล่าว “ขอรับ ตอนนี้ข้าทำธุระกิจกับคุณหนีสี่และคุณหนูจื่ออยู่”
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายยิ้ม “ดูจากการกระทำของลูกสาวข้า นางคงไม่ได้ทำเล่นๆแต่จริงจังอย่างมาก”
“คุณหนูสี่พยายามอย่างเต็มที่” หลิงฮันเอ่ยชม
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายหัวเราะออกมา เขาไม่รู้ว่าหลิงฮันเป็นคนที่เชื่อถือได้หรือไม่ แต่เขาชอบการที่บุตรสาวของเขาทำอะไรด้วยตัวเองมาก เขาพยักหน้าและกล่าว “หาได้ยากนักที่บุตรสาวคนนี้ของข้าจะทำอะไรอย่างจริงจัง ความจริงเรื่องนี้ทำให้ข้ารู้สึกพอใจมาก”
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายขยับมือจัดดอกไม้อีกครั้งในขณะที่กล่าว “เหว่ยเหว่ยถึงช่วงวัยที่สามารถแต่งงานได้แล้ว เพียงแต่ว่าข้าเป็นกังวลว่าความคิดนางจะยังเด็กเกินไปและทำเรื่องผิดพลาดได้”
หัวใจของหลิงฮันเต้นแรง ถึงแม้ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายจะไปกล่าวออกมาอย่างชัดเจนแต่เขาก็รู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเขา
ดูเหมือนว่าช่วงนี้เขากับหลี่เหว่ยเหว่ยจะใกล้ชิดกันเกินไปจนทำให้ผู้อาวูโสฝ่ายซ้ายไม่พอใจ
แม้เขาจะมีพรสวรรค์ที่ราวกับสัตว์ประหลาดขนาดไหน พลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ก็ยังต่ำเกินไป มีส่วนในบ้างของเขาที่เหมาะสมกับการเป็นบุตรเขยของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย?
“หากจะมีใครเหมาะสมกับคุณหนูสี่ก็ต้องมีสถานะทัดเทียมกับเจ็ดนายพลเป็นอย่างน้อย” หลิงฮันกล่าว
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายพอใจเป็นอย่างมาก รุ่นเยาว์จากโลกใบเล็กผู้นี้เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อด้วยคำพูดประโยคเดียว เขาหยุดนิ่งไปก่อนจะกล่าวต่อ “ทุกๆสิบปีจักรวรรดิราชวงศ์ทั้งสามจะมีการประลองแลกเปลี่ยนกันซึ่งจะแบ่งเป็นการประลองของระดับทลายมิติและระดับภูผาวารี ในปีนี้การประลองแลกเปลี่ยนจะเป็นของระดับทลายมิติ แต่ละจักรวรรดิราชวงศ์สามารถส่งตัวแทนได้สิบคน ตัวแทนของฝ่ายไหนพ่ายแพ้หมดก่อนก็จะเป็นอันสุดท้าย ส่วนตัวแทนของฝ่ายใดที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายก็จะเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่ง”
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเลื่อนสายตาไปยังหลิงฮันและกล่าว “เจ้าจะเป็นตัวแทนของข้า”
การที่อาวุโสฝ่ายซ้ายกล่าวว่า ‘ทำเพื่อข้า’ หากเขาปฏิเสธไม่ใช่ว่านั่นจะเป็นการบังคับรึยังไง? นี่ยังต้องถามความเห็นของเขาอีกรึ?
“ขอรับ!” หลิงฮันพยักหน้า
“เพียงแต่ว่าเรื่องนี้นั่นเกี่ยวพันไปถึงภาพลักษณ์โดยรวมของจักรวรรดิ” ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายกล่าวต่อ “ดังนั้นเจ้าต้องจัดการผู้เข้าร่วมคนอื่นให้ราบคาบและนำชื่อเสียงมาสู่จักวรรดิของเรา”
“ขอรับ!” หลิงฮันกล่าว ถ้าเขาช่วยให้จักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะได้รับชัยชนะอันดับหนึ่ง เขาจะได้รับรางวัลอะไรหรือไม่?
ในเมื่อมันเกี่ยวพันไปถึงภาพลักษณ์โดยรวมของจักรวรรดิ รางวัลที่ได้คงจะไม่ใช่ธรรมดาๆหรอกจริงไหม?
เมื่อคิดเช่นนี้ หลิงฮันก็มีใจสู้ทันที
“เจ้าไปได้แล้ว!” ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายสะบัดมือ
ตอนที่ 921
หลิงฮันเดินออกมาจากสวนและเห็นเซียงเฉิงหยินกำลังยืนรอเขาอยู่ที่ประตู เมื่อเขาเห็นหลิงฮันเดินออกมา ช่วยไม่ได้ที่เขาจะเผยสีหน้าที่เย็นชาใส่ เขาไม่ได้รอหลิงฮันเพื่อพูดคุยแต่อย่างใด
“จริงสิ!” เขาขึ้นมาและเดินเข้าไปในสวนอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่าเขาถูกผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเรียกมา
หลิงฮันอดที่จะส่ายหัวไม่ได้ ในความเป็นจริงเซียงเฉิงหยินก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะเช่นกัน ความสำเร็จของเซียงเฉิงหยินตอนที่ยังอยู่ในสำนักค่อนข้างเป็นที่น่าจับตามอง เขาใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดร้อยปีเท่านั้นก็ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดแล้ว แต่เขาก็ออกจากสำนักและติดตามผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย
หากเป็นหลิงฮันเขาจะไม่ทำเช่นนั้น
“สำหรับจอมยุทธสิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกฝน ท้ายที่สุดการติดตามใครไม่ใช่วิธีการของผู้ที่จะเป็นใหญ่” หลิงฮันคิดอยู่ในใจ เส้นทางของเขา เขาจะเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง ทำไมต้องให้คนอื่นมากำหนดด้วย?
หลังจากนั้น หลิงฮันก็กลับไปที่สำนักและเริ่มฝึกฝนทักษะหกธาตุต่อ
หลังจากได้คำแนะนำจากผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ทำให้หลิงฮันมั่นใจว่าตัวเวลาครึ่งปี เขาจะมีพลังต่อสู้ระดับทลายมิติยี่สิบดาว
วันต่อมา ข่าวที่น่าตกตะลึงได้ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วสำนัก
หลิงฮันและสุ่ยเยี่ยนยวี่เป็นคู่รักกัน และพวกเขาได้วางแผนที่จะแต่งงานกันแล้ว!
ข่าวดังกล่าวทำให้ทั้งสำนักต้องเดือดพล่าน
หลิงฮันคือใคร? ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาคืออันดับหนึ่งของการทดสอบเข้าร่วมสำนักฝ่ายเหนือ หลังจากที่ผ่านหอคอยได้แปดชั้น เขาจึงมีโอกาสที่จะเป็นอัจฉริยะระดับสี่ดาวในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สุ่ยเยี่ยนยวี่นั้นผิดกับหลิงฮัน นางเป็นคนที่มีชื่อเสียงมาก
นั่นเป็นเพราะนางเป็นหนึ่งในสาวงามของเมืองจักรพรรดิเมื่อยี่สิบปีก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปสาวงามคนอื่นก็เข้ามาแทนที่นาง ท้ายที่สุดดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้ขาดแคลนสาวงาม
แต่ถ้าจะให้ร่ายชื่อสาวงามในช่วงสิบปีที่ผ่านมา สุ่ยเยี่ยนยวี่จะต้องมีชื่ออยู่ในสามอันดับแรกอย่างแน่นอน และถ้าได้อันดับแรกก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจได้อย่างใด
ความงามของนางเปรียบได้กับเทพธิดาและบริสุทธิ์เหมือนลูกพีช!
ความงามของนางทำให้หัวใจของทุกคนต้องหวั่นไหว มิเช่นนั้นจ้าวหลุนจะอยากได้นางเป็นแม่ของลูกไปทำไม?
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลที่ทำให้ชื่อเสียงของสุ่ยเยี่ยนยวี่โด่งดังขึ้น นั่นเป็นเพราะจ้าวหลุน บุตรชายแห่งแม่ทัพจ้าวที่เป็นอัจฉริยะในประวัติศาสตร์ของสำนัก ทุกคนต่างรู้ว่าเขาหมายปองสุ่ยเยี่ยนยวี่มากแค่ไหน แต่ตอนนี้กลับมีคนแย่งคนรักของเขาอย่างนั้นหรือ?
เขาเป็นใครกัน ถึงได้กล้าหาญขนาดนั้น!
จากนั้นข้อมูลทั้งหมดของหลิงฮันก็เริ่มถูกขุดขึ้นมา
—— อันดับหนึ่งในสำนักฝ่ายเหนือของปีนี้
– ผ่านหอคอยได้แปดชั้น
– เป็นนักปรุงยา
– มาจากโลกใบเล็ก
– เปิดสวรรค์ขึ้นมา!
ข้อมูลสุดท้ายมันน่าทึ่งมาก เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าการเปิดสวรรค์เป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปิดสวรรค์ จอมยุทธจากโลกใบเล็กจะต้องทะลวงผ่านระดับทลายมิติยี่สิบดาวก่อนถึงจะทำเช่นนั้นได้ ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถผ่านหอคอยได้แปดชั้นและกลายเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆ
ทว่าข้อมูลดังกล่าวเมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลจ้าวต่างเป็นเรื่องเท็จทั้งหมด
หลิงฮันพักอยู่ในคฤหาสน์ของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเท่านั้น เว้นแต่เขาจะมีผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเป็นผู้ปกครอง แล้วเขาจะมีคุณสมบัติที่จะแข่งขันกับบุตรชายของแม่ทัพจ้าวได้อย่างไร?
หลายคนกำลังตั้งหน้าตั้งตารอว่าหลิงฮันจะลงเอยยังไง เพราะจ้าวหลุนเคยประกาศต่อหน้าสาธารณะแล้วว่า เมื่อเขาเรียนจบจากสำนัก เขาจะแต่งงานกับสุ่ยเยี่ยนยวี่ ซึ่งตระกูลสุ่ยก็เห็นชอบด้วย
“เจ้าโง่หลิง เจ้าโง่หลิง!” หลี่เหว่ยเหว่ยรีบวิ่งมาหาด้วยความตื่นเต้น “เจ้าหมั้นกับพี่สาวสุ่ยแล้วรึ?”
หลิงฮันรีบหันไปมองหลี่เหว่ยเหว่ยทันที ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสุ่ยเยี่ยนยวี่คือคู่รักกันหรอกรึ? เขาเลยถามนางไปว่า “เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน?”
“ข้าไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ทั้งที่เจ้าก็ไม่ได้หล่อเหลาอะไรขนาดนั้น ทำไมพี่สาวสุ่ยถึงตกหลุมรักเจ้าได้?” หลี่เหว่ยเหว่ยจับคางและดูงงงวย
“เจ้าจะต้องทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน จ้าวหลุนไม่ได้เป็นแค่อัจฉริยะเท่านั้น แต่ยังมีผู้ติดตามเขาอีกสามคน ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ เมื่อใดก็ตามที่เขาออกคำสั่ง เจ้าจะต้อง-” นางส่งเสียงกระแอมอยู่ในลำคอและพูดต่อว่า “วันต่อมาศพของเจ้าจะต้องอยู่ข้างถนนอย่างแน่นอน”
หลิงฮันถอนหายใจและพูดว่า “เจ้าจะพูดอะไรที่มันดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ?”
“ฟังข้าพูดให้จบก่อน!” หลี่เหว่ยเหว่ยวางมือเท้าเอว “จ้าวหลุนเป็นคนที่มีอิทธิพลมาก แต่ใช่ว่าข้าจะกลัวเขา และหากเจ้าเป็นคนรับใช้ข้า ข้าก็ยินดีที่จะคุ้มครองเจ้าเอง”
“ไม่จำเป็น” หลิงฮันปฏิเสธอย่างเด็ดขาดอย่างรวดเร็ว
หลี่เหว่ยเหว่ยดูหงุดหงิดขึ้นมาทันที เจ้าโง่หลิงนี่ดูเหมือนจะไม่รู้อะไรเลย ความแข็งแกร่งของตระกูลจ้าวนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลหลี่ของนางแม้แต่น้อย
แต่เจ้าโง่หลิงนี่กลับพูดปฏิเสธความเมตตาของนาง ซึ่งทำให้นางรู้สึกโกรธมาก!
“หึ่ม เจ้าดูแลตัวเองแล้วกัน!” นางโกรธจนควันออกหูและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันดูเฉยเมย ตั้งแต่ที่เขาให้สัญญากับสุ่ยเยี่ยนยวี่ เขาก็เดาไว้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็เชื่อว่าจ้าวหยุนจะไม่กล้าทำอะไรเขาในสำนัก เพราะสำนักมีกฎอย่างเคร่งครัด
– ตระกูลจ้าวเป็นแค่ตระกูลของแม่ทัพจ้าวเท่านั้น ไม่ได้เป็นจักรพรรดิสักหน่อย!
แล้วทำไมเขาจะต้องกลัวด้วย?
……
“หืม เยี่ยนยวี่ยอมรับจริงรึ?” ใต้น้ำตกชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ เบื้องหลังเขามีเงาของภูเขาวารีสามสายปรากฏออกมาให้เห็น นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูง
หากมองให้ดี ภูผาวารีของเขาแตกต่างจากคนทั่วไป มันมีแสงสีแดงและปล่อยกลิ่นอายที่น่ากลัวออกมา
“ขอรับ นายน้อย!” ด้านหลังเขามีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังคุกเข่าลงข้างหนึ่งด้วยความเคารพ ราวกับว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นพระเจ้า
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่คือจ้าวหลุน ส่วนชายหนุ่มที่คุกเข่าลงข้างหนึ่งคือผู้ติดตามของเขาที่มีนามว่าจั่วเซียว เขากำลังบอกจ้าวหลุนว่าสุ่ยเยี่ยนยวี่และหลิงฮันหมั้นหมายกัน
นี่ทำให้เขารู้สึกโกรธมาก ทั้งที่สุ่ยเยี่ยนยวี่เป็นของนายน้อย แต่อีกฝ่ายกลับกล้าแย่งคนรักของนายน้อยของเขา
เจ้าตัวบัดซบนั่นจะต้องตายร้อยครั้ง!
จ้าวหลุนหัวเราะและส่ายหัว “ไร้สาระ! ดูเหมือนข้าจะให้อิสระกับนางมากเกินไป แล้วเจ้าหมอนั่นมีชื่อว่าอะไร?”
“หลิงฮัน!” จั่วเซียวรีบตอบกลับทันที
“เจ้าจงไปมอบสิ่งนี้ให้กับเขา ถ้าเขายอมรับ ข้าก็จะไว้ชีวิต” จ้าวหลุนโยนบางอย่างออกมาจากแหวนมิติของเขา
จั่วเซียวเหลือบมองและช่วยไม่ได้ที่เขาจะแสยะยิ้มออกมาและพูดว่า “ขอรับนายน้อย!”่
ตอนที่ 922
“หลิงฮัน ออกมาซะ!”
ขณะที่หลิงฮันกำลังบ่มเพาะพลังอยู่เขาก็ได้ยินเสียงเรียกอันเย็นชา เมื่อเขาออกมายังลานที่พักและเปิดประตูก็พบกับรุ่นเยาว์สองคนยืนอยู่ด้านนอก ทั้งสองมีพลังบ่มเพาะระดับทลายมิติ เพียงแต่เขาไม่รู้จักทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองอาจจะไม่ใช่ศิษย์ที่เข้าร่วมกับสำนักฝ่ายเหนือในปีนี้ แต่อาจจะเป็นปีก่อนๆ
“มีเรื่องอันใด?” หลิงฮันเอ่ยถาม ถึงแม้เขาจะรู้เหตุผลอยู่แล้วก็ตาม
“นั่นมันศิษย์พี่หวังหว่าน”
“ส่วนอีกคนคือศิษย์พี่จางฉิง!”
“ทั้งสองเป็นคนของศิษย์พี่จ้าว”
“เหอะๆ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น! พวกเขาเป็นคนของสามผู้ติดตามของศิษย์พี่จ้าวต่างหาก”
“แต่ถึงอย่างนั้นดูเหมือนว่าครั้งนี้พวกเขาจะปรากฏตัวในฐานะตัวแทนของศิษย์พี่จ้าว”
“ก็คงเป็นเช่นนั้น ถึงขนาดกล้าแย่งผู้หญิงของศิษย์พี่จ้าวมา หากศิษย์พี่จ้าวไม่เคลื่อนไหวเลยก็คงจะไม่ถูกต้อง”
ประตูที่พักหลายๆหลังค่อยๆถูกเปิดออก ศิษย์มากมายเดินออกมาด้วยใบหน้าแสยะยิ้มราวกับรู้สึกสะใจ
ไม่แปลกที่พวกเขาจะทำเช่นนั้น หลิงฮันเป็นเพียงศิษย์หน้าใหม่แท้ๆ แต่เขากลับคว้าศิษย์พี่สุ่ยไปครอบครองได้! ใครบ้างจะไม่อิจฉา?
หลิงฮันรู้อยู่แล้วว่าจ้าวหลุนจะต้องเคลื่อนไหวแน่นอน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อยถึงได้ส่งจอมยุทธระดับทลายมิติสองคนมา
หวังหว่านแสยะยิ้ม จอมยุทธจากโลกใบเล็กผู้นี้คิดว่าตนเองเปิดสวรรค์ได้แล้วคิดจะทำอะไรบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ตามอำเภอใจงั้นรึ? วันนี้เขาจะเป็นคนมอบบทเรียนให้เอง!
“พวกเรามามอบของขวัญให้เจ้าตามคำสั่งของศิษย์พี่จ้าว” เขากล่าว
ศิษย์โดยรอบรู้สึกแปลกใจ จ้าวหลุนเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า? มีคนมาแย่งสตรีของตนเองไปแต่เขากลับส่งคนมามอบของขวัญให้แทน?
หลิงฮันกล่าวตอบอย่างสงบ “โอ้ ของขวัญอันใด?”
หวังหว่านและจางฉิงหันหน้าจ้องกันก่อนที่หวังหว่านจะนำกล่องออกมาจากอุปกรณ์มิติ กล่องนั้นมีการตกแต่งที่งดงามมากและไม่มีขนาดใหญ่จนเกินไป เขาถือกล่องในมือและกล่าว “ยังไม่คุกเข่ารับของอีก?”
“คุกเข่างั้นรึ?” หลิงฮันหัวเราะ “พวกเจ้าบ้ารึเปล่า?”
“เจ้ากล้าปฏิเสธของขวัญจากศิษย์พี่จ้าวรึ?” จางฉิงกล่าวอย่างเหยียดหยาม
หลิงฮันส่ายหัวและตอบกลับ “ถ้าเช่นนั้นข้าก็คงรับของขวัญชิ้นนี้ไม่ได้ เชิญเจ้านำกลับไป!”
หวังหว่านเค้นเสียงกล่าว “ของขวัญจากศิษย์พี่จ้าวไม่สามารถนำกลับไปคืนได้! แค่เจ้ายอมคุกเข่าเจ้าก็สามารถหยิบไปได้ทันที!” เขาพยักหน้าส่งสัญญาณให้จางฉิง
จางฉิงพยักหน้าและเปิดกล่อง
ทุกคนรู้สึกสงสัย จ้าวหลุนมอบของขวัญเช่นใดให้หลิงฮันกัน?
กล่องผ้าไหมถูกเปิดออกภายใต้การจ้องมองของศิษย์หลายคน
ทันใดนั้นบรรยากาศก็กลายเป็นเงียบกริบ
ภายในกล่อง… คือปลอกคอสุนัข!
ช่างดูถูกกันอะไรเช่นนี้! น่าอัปยศยิ่งนัก!
ในสายตาของเขา หลิงฮันเป็นเพียงสุนัข
“หลิงฮัน ศิษย์พี่จ้าวกล่าวไว้ว่าถ้าเจ้ายอมรับของขวัญศิษย์พี่จ้าวจะไว้ชีวิตเจ้า” หวังหว่านยิ้มด้วยท่าทางดูถูก
‘พรึบ’ สายตาทุกคู่จ้องมาที่หลิงฮันทันที
หากรับของขวัญก็หมายถึงหลิงฮันยอมเป็นสุนัขของจ้าวหลุน แต่ถ้าไม่รับเขาก็ต้องตาย
หลิงฮันจะทำอย่างไร?
ไม่ว่าจะเลือกทางไหนชีวิตของหลิงฮันก็ถือว่าจบสิ้นแล้ว
แววตาของหลิงฮันปรากฏร่องรอยความเกรี้ยวกราด แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าของเขาก็ยังคงสงบนิ่ง เขามองไปยังปลอกคอสุนัขและเดินเข้าไป
นี่เขาคิดจะรับของขวัญจริงๆรึ?
แต่เมื่อเทียบกับชีวิตของตนเองแล้ว ศักดิ์ศรีจะสำคัญรึไง?
มุมปากของหวังหว่างและจางฉิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ดูแคลน
ใครบ้างจะไม่หวาดกลัวความตาย?
หลิงฮันเอื้อมมือไปคว้าปลอกคอและออกแรงบีบจนปลอกคอแหลกกระจาย เขาโยนมันทิ้งไปที่พื้นและกล่าว “กลับไปบอกจ้าวหลุนว่าความปราถนาดีจากเขา ข้าไม่ต้องการ”
ศิษย์ที่มุงดูกลายเป็นนิ่งเงียบอีกครั้ง
หลิงฮันไปเอาความกล้าขนาดนั้นมาจากไหน? จ้าวหลุนคือบุตรคนเดียวของแม่ทัพจ้าวและเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดแถมยังเป็นอัจฉริยะสามดาว เจ้ามีคุณสมบัติพอจะไปต่อต้านเขารึ?
“ช่างกล้า! บังอาจทำลายของขวัญของศิษย์พี่จ้าว เจ้ารู้ไหมว่าความผิดครั้งนี้มีใหญ่หลวงแค่ไหน?” หวังหว่างคำราม
หลิงฮันจ้องกลับไปด้วยสายตาเย็นชา “คิดจะทำให้ข้าอัปยศด้วยของเช่นนี้น่ะรึ? พวกเจ้าทั้งสองไสหัวไปเดี๋ยวนี้ อย่าทำให้ข้าต้องมีน้ำโห”
“คนที่ตายไปแล้วเช่นเจ้ายังกล้าทำตัวอวดดีอยู่อีก?” หวังหว่านกล่าวอย่างเย็นชา
‘หมับ!’
หลิงฮันคว้ามือไปคว้าคออีกฝ่ายเอาไว้ ด้วยพลังของเขาในตอนนี้จอมยุทธระดับทลายมิติที่มีพลังต่อสู้ตำกว่ายี่สิบดาวนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อย เขากำคอของอีกฝ่ายและกล่าว “ในเมื่อข้าเป็นคนที่ตายไปแล้ว ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะลากใครอีกสักคนสองคนไปตายกับข้าด้วย!”
หวังหว่านรู้สึกหวาดกลัว “ไม่ ไม่ อย่าสังหารข้า!” เขาตัวสั่น
“ช่างขี้ขลาด!” หลิงฮันโยนร่างของหวังหว่านทิ้ง
“ไสหัวไป!” เขาคำราม
หวังหว่านกับจางฉิงรีบเผ่นหนี แม้พลังของพวกเขาจะไม่อ่อนแอ แต่ในระดับพลังทลายมิติแล้วใครจะสามารถเป็นศัตรูกับหลิงฮันได้
“เจ้าลืมของ!” หลิงฮันยกเท้าเตะปลอกคอสุนัขที่แตกหักตรงพื้น
หวังหว่างคว้าปลอกคอเอาไว้ด้วยมือเปล่าและรีบเผ่นหนีไม่กล้าอยู่ต่อ
ศิษย์คนอื่นที่มองเหตุการณ์อยู่ต่างก็คิดว่าหลิงฮันช่างกล้าจริงๆ แต่แค่ความกล้าจะทำอะไรได้?
แม้ในสำนักจะมีกฎว่าห้ามศิษย์ที่ระดับพลังสูงกว่าลงมือรังแกศิษย์ที่ระดับพลังต่ำกว่า
แต่หลิงฮันจะอาศัยอยู่ในสำนักตลอดชีวิตเลยงั้นรึ?
ศิษย์ทุกคนส่ายหัว ดูเหมือนเวลาของหลิงฮันจะเหลือไม่มากแล้ว
……
ณ ตระกูลหลัว
หลัวหงเรียกหลัวป้ามาและเอ่ยถาม “เจ้าดูดซับศิลาหยาดโลหิตแล้วหรือยัง?”
“ขอรับท่านผู้นำ!” หลัวป้ากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ ตอนนี้พลังต่อสู้ของเขาได้เพิ่มมาเป็นยี่สิบเอ็ดดาวแล้ว ดังนั้นเขาจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“ศัตรูของเจ้าถูกจ้าวหลุนหมายตาเอาไว้ ชีวิตของเขาคงจะจบสิ้นในไม่ช้านี้!” หลัวหงกล่าว “เจ้าจะต้องรีบไปท้าประลองกับศัตรูคนนั้นให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นหากเขาตกตายด้วยเงื้อมมือของจ้าวหลุน ความอัปยศของเจ้าจะไม่มีโอกาสได้ชำระล้าง ยิ่งกว่านั้นหากเราสังหารศัตรูของจ้าวหลุนได้ เราอาจจะได้ความดีความชอบจากแม่ทัพจ้าวก็เป็นได้”
“ขอรับท่านผู้นำ!” หลัวป้าแสยะยิ้ม เขาอดใจรอที่จะสังหารหลิงฮันไม่ไหวแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น