Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 895-910
ตอนที่ 895
หลิงฮันจ้องไปยังแผ่นหยก เขาส่งใช้รวบรวมพลังไปยังบริเวณหัวใจก่อนจะระเบิดพลังวิญญาณออกมาและควบคุมให้พุ่งเข้าใส่พแผ่นหยก
นี่คือการใช้พลังวิญญาณ
หากมีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งพอ ต่อให้เป็นดวงดาวขนาดใหญ่ก็สามารถถูกทำลายได้! แต่แน่นอนว่าหากจะทำเช่นนั้นต้องมีพลังระดับสร้างสรรพสิ่งเสียก่อน หลิงฮันไม่รู้ว่าเขาต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะไปถึงจุดนั้น
‘เพล๊ง’ แผ่นหยกแตกกระจายทันที
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย แม้พลังบ่มเพาะของเขาจะยังอ่อนด้อย แต่การทำลายแผ่นหยกจะเป็นเรื่องยากอันใด? ยิ่งกว่านั้นนี่เขาก็ยังไม่ได้เอาจริงแม้แต่น้อย ไม่เช่นนั้นหากเขาใช้แก่นแท้แห่งดาบด้วยล่ะก็ พลังวิญญาณของเขาจะยิ่งทรงพลังกว่านี้อีก
พลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ก็เพราะเขาดื่มชากำเนิดใหม่เข้าไป ถึงแม้เขาจะดื่มไปเพียงจิบเดียว แต่มันก็ทำให้พลังวิญญาณของเขาในตอนนี้ไม่อ่อนด้อยไปกว่าใครในหมู่จอมยุทธระดับทลายมิติ
“ข้ายังไม่กล่าวถึงระยะห่างที่เจ้าจะโจมตีเลย” จิตวิญญาณหอคอยกล่าว
หลิงฮันส่งเสียง ‘โอ้’ ก่อนจะกล่าว “ข้าโจมตีใกล้เกินไป? งั้นก็ทำให้มันคืนสภาพแล้วข้าจะลองอีกครั้ง”
“ไม่จำเป็น เจ้าผ่านการทดสอบชั้นนี้แล้ว” จิตวิญญาณกล่าว “จากที่เห็น แม้จะห่างไปสามฟุตเจ้าก็ยังทำลายแผ่นหยกได้”
หลิงฮันรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าจิตวิญญาณตนนี้มีความคล้ายคลึงกับหอคอยน้อยอยู่ไม่น้อยเลย คำพูดของทั้งสองนัน้ทั้งเย็นชาและอวดดี
“เหอะ จะนำมันมาเทียบกับข้าได้อย่างไร!” หอคอยน้อยกล่าวอย่างยิ่งยโส มันต่างห่างคือหอคอยที่แข็งแกร่งที่สุด
“เจ้าขึ้นไปชั้นที่สามได้” จิตวิญญาณหอคอยกล่าว กำแพงหินด้านหน้าหายไปและปรากฏเส้นทางเดินขึ้นอีกครั้ง
หลิงฮันเดินขึ้นทางเดินไปและพบกับห้องหินเช่นเดิม แต้ห้องหินครั้งนี้มีขนาดใหญ่กว่าสองห้องที่แล้วประมาณหนึ่งร้อยเท่าได้
“ป้องกันสิบกระบวนท่าแล้วเจ้าจะผ่านชั้นนี้ได้” จิตวิญญาณหอคอยกล่าวก่อนที่จะมีแสงสว่างเกิดขึ้นและมีร่างมนุษย์ร่างหนึ่งที่ปรากฏออกมา
มนุษย์ร่างนี้ถูกก่อตัวขึ้นโดยแสง รูปลักษณ์ของเขาสามารถมองเห็นได้อย่างเรือนราง แต่จากที่ดูแล้วน่าจะเป็นผู้ชาย
“รุ่นเยาว์เอ๋ย มาเริ่มกันเถอะ” ชายร่างแสงกล่าว แม้น้ำเสียงเขาจะไม่ดังแต่ก็แฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม
หลิงฮันตกตะลึงและกล่าว “ทำไมร่างแสงนั่นถึงให้ความรู้สึกว่าเป็นคนจริงๆกัน?”
“ร่างแสงนี้แต่เดิมเคยเป็นปรมาจารย์จอมยุทธคนหนึ่ง นี่คือจิตวิญญาณที่เขาทิ้งเอาไว้” จิตวิญญาณหอคอยกล่าว “มีเพียงคนที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่คนที่เข้าร่วมการทดสอบเท่านั้นถึงจะสามารถทิ้งเศษเสี้ยวจิตวิญญาณไว้เพื่อทดสอบพลังของคนรุ่นต่อไปได้”
หลิงฮันสงสัยยิ่งกว่าเดิม “ชายคนนี้คือใครกัน?”
“ข้าคือฉือเหลิน” ชายร่างแสงกล่าว
“ฉือเหลินคือศิษย์ที่เข้าร่วมสำนักเมื่อสามแสนปีก่อน เขาคือจอมยุทธที่เป็นอัจฉริยะที่สุดในประวัติศาสตร์ หลังจากเขาออกจากสำนักไปเมื่อสามร้อยปีก่อนก็ไม่มีใครได้ข่าวของเขา” จิตวิญญาณหอคอยกล่าว
“ไม่มีใครสามารถก้าวข้ามเขาได้เลยในเวลานับล้านปีที่ผ่านมา?” หลิงฮันตกตะลึง
“เขาคือสัตว์ประหลาดที่แท้จริง!” จิตวิญญาณหอคอยกล่าว “ในจอมยุทธระดับเดียวกันไม่มีใครสามารถยืนเทียบไหล่เขาได้ แม้เขาจะทิ้งเศษสิ้วจิตวิญญาณไว้ในระดับภูผาวารี แต่การโจมตีที่เจ้าจะทดสอบคือระดับทลายมิติเท่านั้น”
แววตาของหลิงฮันส่องประกายเลือดร้อน เขาชี้ไปยังร่างแสงของฉือเหลินและกล่าว “ถ้าข้าสามารถโค่นเขาได้ล่ะ?”
“เช่นนั้นเจ้าก็จะผ่านการทดสอบตั้งแต่ชั้นสามไปจนถึงชั้นแปดทันที” จิตวิญญาณหอคอยกล่าว “ตั้งแต่ชั้นสามขึ้นไปคือการรับการโจมตีสิบกระบวนท่าของเขา แต่ยิ่งขึ้นไปชั้นสูงมากเท่าใดพลังที่เขาใช้โจมตีก็จะทรงพลังยิ่งขึ้น”
หลิงฮันกล่าวออกไปอย่างเลือดร้อน “ศิษย์พี่ฉือ โปรดชี้แนะ!”
“ระวังด้วย!” ฉือเหลินกล่าวและโจมตีใส่หน้าอกหลิงฮัน แม้หมัดที่เขาปล่อยออกมาจะดูเรียบง่าย แต่มันก็ให้ความรู้สึกราวกับจะทำให้สวรรค์และปฐพีพังทลาย
แก่นแท้แห่งหมัด!
หลิงฮันพยักหนาและโคจรทักษะผนึกพลิกปฐพี
ตูม!
หนึ่งการโจมตีผ่านไป ฉือเหลียนถูกทำให้ล่าถอยไปสามสิบก้าวในขณะที่หลิงฮันยังจะยืนอยู่กับที่
หลิงฮันขมวดคิ้วและถาม “พลังของท่านคงไม่ใช่มีแค่นั้น ทำไมถึงได้ไม่ใช้มันทั้งหมดออกมา?”
“นั่นเพราะนี่เป็นเพียงการทดสอบแรกจากเขา” จิตวิญญาณหอคอยกล่าว
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ปลดขีดจำกัดซะ ข้าต้องการสู้กับจอมยุทธระดับทลายมิติที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์!”
จิตวิญญาณหอคอยแน่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ตามที่เจ้าต้องการ!”
‘ครืนน’ จู่ๆร่างแสงของฉือเหลียนก็ระเบิดพลังที่น่าสะพรึงกลัวออกมา คลื่นพลังของเขาแพร่กระจายไปทั่วห้องจนทำให้ทั้งชั้นสั่นสะเทือน
หลิงฮันไม่หวาดกลัว กลับกันเขารู้สึกตื่นเต้นด้วยซ้ำ “นี่คือพลังต่อสู้ระดับทลายมิติยี่สิบดาว! ฮ่าๆๆ ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงไม่มีใครโค่นท่านได้ ที่แท้ท่านก็ขัดเกลาพลังจนถึงขีดจำกัดของระดับทลายมิติแล้วนี่เอง!”
“เข้ามา!” หลิงฮันหัวเราะ
‘ปัง!’
หลิงฮันถูกต่อยจนร่างกระเด็น แต่ด้วยกายหยาบที่ทนทานของเขา หมัดของฉือเหลินถึงไม่สร้างความเสียหายให้เขาแม้แต่น้อย
ต่อให้อีกฝ่ายต่อยใส่เขาสิบหมัดหรือแสนหมัด ถ้าพลังของอีกฝ่ายไม่ใช่พลังระดับพระเจ้า กายหยาบของเขาก็ไม่มีวันได้รับบาดเจ็บ
หลิงฮันคำรามและทรงตัวกลับมายืน เขาใช้ศรฆ่ามังกรทะลวงดาราโจมตีใส่อีกฝ่าย
ฉือเหลินไม่มีกายหยาบที่แข็งแกร่ง ลูกศรได้ทำให้หมัดของเขาบาดเจ็บสาหัส
จิตวิญญาณหอคอยอดตกตะลึงไม่ได้ กายหยาบของหลิงฮันทำให้มันรู้สึกประหลาดใจ
หลิงฮันไม่รีรอ เขานำดาบออกมาพร้อมกับโคจรทักษะหมื่นแปรผันเป็นหนึ่งเพื่อรวบรวมพลัง ในขณะที่มือข้างซ้ายก็โคจรทักษะผนึกพลิกปฐพี
‘ปัง ปัง ปัง’ ทั้งสองคนปะทะกันอย่างดุเดือด คลื่นพลังที่น่าสะพรึงกลัวถาโถมไปทั่วห้องหิน
หลิงฮันกระหน่ำใช้ทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดาราโจมตีอย่างต่อเนื่อง เมื่อใดที่เขาเข้าใกล้ฉือเหลียนได้ เขาจะหยุดใช้ศรฆ่ามังกรทะลวงดาราและโจมตีด้วยหมื่นแปรผันเป็นหนึ่ง
ฉากต่อสู้ที่เกิดขึ้นตอนนี้นั้นช่างดุเดือดสูสีเป็นอย่างมาก
ตอนที่ 896
สำหรับคนอื่น แม้จะเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติเหมือนกัน แต่ก๋ไม่อาจเทียบกับฉือเหลินได้
แต่หลิงฮันนั้นแตกต่าง จุดแข็งของเขาไม่ใช่พลังต่อสู้ แต่เป็นพลังป้องกันที่ไร้เทียมทานต่างหากที่ไม่มีใครในระดับเดียวกันสามารถทำลายได้
ต่อให้ฉือเหลินโจมตีเขาสิบกระบวนท่า ยี่สิบกระบวนท่า ห้าสิบกระบวนท่า และปลดขีดกำจัดแล้วก็ตาม มันก็ยังไม่สามารถเอาชนะหลิงฮันได้
ในขณะเดียวกัน หลิงฮันโจมตีใส่ฉือเหลินด้วยทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดารา ทำให้ร่างของฉือเหลินดูเหมือนจะเริ่มพังทลาย
ถ้าอีกฝ่ายไม่ปลดขีดกำจัด ฉือเหลินจะต้องแพ้อย่างแน่นอน ซึ่งเหตุผลนั้นง่ายมากเพราะหลิงฮันมีกายหยาบที่เทียบได้กับแร่เหล็กระดับพระเจ้า
มันไม่ใช่ปัญหาเลยที่เขาจะรับการโจมตีจากอีกฝ่าย
“หยุด!” ในที่สุดจิตวิญญาณหอคอยก็กล่าวให้หยุดการต่อสู้ และร่างของฉือเหลินก็สลายกลายเป็นแสงและหายไปในทันที จากนั้นมันก็พูดว่า “เจ้าเป็นฝ่ายชนะแล้ว ความแข็งแกร่งของเจ้าถือว่ายอดเยี่ยมมาก เจ้าผ่านชั้นที่สองได้”
บันไดปรากฏอยู่ด้านหน้าและหลิงฮันก็เดินขึ้นไปชั้นที่สาม แต่ชั้นที่สามนั้นหลิงฮันไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบและสามารถขึ้นไปชั้นต่อไปอีกได้ทันที
บนชั้นแรก หลิงฮันใช้เวลามากเกินไป ในขณะที่คนอื่นขึ้นไปชั้นสามกันหมดแล้ว แต่หลังจากที่เขาผ่านชั้นที่สองมา เขาก็เริ่มตามคนอื่นทัน
……
“ดูนั่น! หอคอยชั้นหกกำลังเปล่งแสง!”
“คนผู้นั้นเป็นใครกัน!”
“มันจะต้องเป็นเทพธิดาจื่อแน่นอนที่อยู่ในระดับเดียวกับหลัวป้าและหลินยู่ ในเมื่อพวกเขาทั้งสองคนสามารถผ่านชั้นห้าได้ แล้วทำไมเทพธิดาจื่อจะผ่านไม่ได้?”
“คนผู้นั้นอาจเป็นม้ามืดอย่างหม่าชิงก็ได้มิใช่หรือไง?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว่
ด้านนอก ทุกคนต่างส่งเสียงพูดคุยกัน และผู้อาวุโสในตำหนักเองก็รู้สึกเป็นกังวลเช่นเดียวกัน นั่นเป็นเพราะการแข่งขันระหว่างสำนักทั้งสี่ฝ่ายนั้นรุนแรงมาก แล้วสำนักฝ่ายไหนจะไม่อยากเอาชนะสำนักอีกสามฝ่ายที่เหลือกันล่ะ?
“หืม หอคอยชั้นห้าส่องแสงอีกแล้ว!”
“เจ้าคิดไปเองหรือเปล่า?”
“มันจะเป็นเช่นนั้นได้ยังไง? ข้ามั่นใจว่าหลังจากที่หอคอยกลับมาเป็นปกติก็เปล่งแสงอีกครั้ง”
“ใช่แล้ว แสงที่ส่องออกมาไม่ได้อยู่คงอยู่นานนัก แต่เห็นได้ชัดว่ามีอีกคนหนึ่งที่สามารถผ่านชั้นที่ห้าได้!”
“พระเจ้า การทดสอบครั้งนี้มีอัจฉริยะหลายคนยิ่งนัก แค่อัจฉริยะระดับหนึ่งดาวสองหรือสามคนก็ถือว่ามากแล้วแต่นี่กลับมีถึงห้าคน!”
“เฮ้อ ตอนแรกข้าอาจจะติดหนึ่งในสิบก็เป็นได้ แต่ตอนนี้คงหมดหวัง”
“เจ้าฝันหวานเกินไปแล้ว แม้จะเป็นก่อนหน้านี้ มันก็ไม่มีโอกาสที่เจ้าจะติดหนึ่งในสิบอันดับแรก!”
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หอคอยชั้นที่หกก็ส่องแสง!
“หืม!”
ครั้งนี้ ทุกคนรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งที่เห็นหอคอยชั้นที่หกส่องแสงอีกครั้ง ก่อนหน้านี้มีเพียงแค่หม่าชิงเท่านั้นที่สามารถผ่านขึ้นไปได้ และตอนนี้ก็มีอีกคนหนึ่งที่สามารถขึ้นไปได้
“หรือว่าจะเป็นเทพธิดาจื่อ?”
“น่าประหลาดใจยิ่งนักที่นางมีพรสวรรค์มากกว่าหลัวป้าและหลินยู่ซะอีก”
ยิ่งขึ้นไปได้สูงเท่าไร แสงสว่างก็จะคงอยู่นานขึ้นเท่านั้น ในขณะที่ชั้นแรกและชั้นที่สองจะส่องแสงแค่ครึ่งลมหายใจเท่านั้น แต่ชั้นที่หกจะส่องแสงนานอย่างน้องสิบลมหายใจก่อนที่จะจางหายไป
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักนภาสีชาดฝ่ายเหนือรู้สึกพึงพอใจมาก อัจฉริยะระดับสองดาวสองคน เรื่องแบบนี้กี่ปีจะเกิดขึ้นกัน?
แต่ทันใดนั้น หอคอยชั้นที่หกก็ส่องแสงอีกครั้ง
“พระเจ้า อัจฉริยะระดับสองดาวคนที่สาม!”
“ใคร…เขาเป็นใครกัน?”
“หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นเทพธิดาจื่อไม่ผิดแน่ แต่อีกคนคือใครกัน?”
หลัวป้ากัดฟันแน่น เขาไม่เคยคิดว่าจื่อหยุนเอ๋อจะเหนือกว่าเขาเลย และตระกูลจื่อเองก็ด้อยกว่าตระกูลหลัวเล็กน้อย และวางแผนที่จะขอจื่อหยุนเอ๋อแต่งงานหลังจากที่ได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักนภาสีชาด
แล้วตอนนี้ล่ะ?
ถ้าจื่อหยุนเอ๋อเป็นอัจฉริยะระดับสองดาวจริง ตระกูลจื่อจะยอมรับการแต่งงานของเขาหรือไม่? แน่นอนว่าไม่ พวกเขาจะต้องหาสามีที่ดีกว่าให้นางอย่างแน่นอน
ไม่ เขาจะต้องหาทางออกอื่น ในเมื่อจื่อหยุนเอ๋อประเสริฐขนาดนั้น เขาจะปล่อยนางให้หลุดมือไปได้อย่างไร!
“พระเจ้า!”
“หอคอยชั้นที่ห้าส่องแสงอีกแล้ว!”
ทุกคนกลายเป็นมึนงง เมื่อเห็นหอคอยดาราขาวชั้นห้าส่องแสงอีกครั้ง
“อย่างไรก็ตาม ผู้คนกลุ่มสุดท้ายได้เข้าไปด้านในพร้อมกัน แต่คนคนนี้เพิ่งขึ้นมาถึงชั้นห้า เขาน่าจะทะลวงผ่านไปชั้นที่หกไม่ไหว” บางคนคาดเดา
หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย เขาขึ้นมาถึงชั้นห้าช้าที่สุด แล้วจะมีความสามารถขึ้นไปชั้นที่หกได้อย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าเขาด้อยที่สุดเลยขึ้นมาช้าที่สุด
แน่นอนคนที่พวกเขาพูดถึงคือหลิงฮัน และเขาดูไม่รีบร้อนแม้แต่น้อยที่จะขึ้นไปชั้นที่หก อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพราะเขาสามารถผ่านชั้นที่สามมาได้อัตโนมัติ ความเร็วของเขาจึงเริ่มเร็วขึ้นและตามคนอื่นทัน
เมื่อมาถึงจุดนี้ผู้คนจำนวนมากเลยทยอยออกมาจากหอคอยดาราขาวกันแล้ว หลังจากที่ไม่อาจฝ่าฟันขึ้นไปชั้นต่อไปได้
“ยังมีอีกสามคนอยู่ในหอคอย” ผู้อาวุโสของสำนักถามและจิตวิญญาณหอคอยก็เปล่าประกาศออกมา
หนึ่งในสามเห็นได้ชัดว่าเป็นจื่อหยุนเอ๋อ เพราะพวกเขายังไม่เห็นนางออกมาจากหอคอย แล้วใครจะไม่รู้จักไข่มุกแห่งเมืองจักรพรรดิ? อย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครรู้ว่าอีกสองคนนั้นเป็นใคร
“หรือว่าเจ้าโง่หลิงจะผ่านชั้นห้าและกำลังขึ้นไปชั้นที่หก?” หลี่เหว่ยเหว่ยรู้สึกแปลกใจและกระทืบเท้า “นี่ข้าแพ้เขาอย่างนั้นรึ?”
ทันใดนั้นเอง หอคอยชั้นที่หกก็ส่องแสงขึ้นอีกครั้ง
อึก!
ก่อนหน้านี้หลิงฮันมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะผ่านขึ้นไปชั้นที่หกได้ และนางได้สบประมาทเขา นี่เป็นเหมือนกับการถูกตบหน้า!
“มีใครบางคนออกมาแล้ว!”
ที่ทางเข้าหอคอยดาราขาวเก้าชั้น มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา แม้จะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ทุกคนต่างรู้ว่าเขาคืออัจฉริยะที่สามารถขึ้นไปชั้นที่หกได้!
“ข้าจำเขาได้ เขาคือเฉิงฮ่าวเฟยจากตระกูลเฉิง!”
“ตระกูลเฉิง? เจ้าหมายถึงผู้อาวุโสเฉิงจากตระกูลเฉิงใช่หรือไม่?”
“หึ่ม ยังมีใครอื่นนอกเหนือจากผู้อาวุโสเฉิงอีกหรือไง?”
ภายในตำหนัก ชายชราคนหนึ่งส่ายหัวด้วยความผิดหวัง แม้ว่าฮ่าวเฟยจะขึ้นไปชั้นที่หกได้ แต่ก็แย่กว่าที่เขาคิดไว้เล็กน้อย
หืม จะว่าไปแล้วมีสามคนที่สามารถขึ้นไปถึงหอคอยชั้นที่หกได้หนิ?
ตอนที่ 897
ถึงแม้ฮ่าวเฟยจะหดหู่เล็กน้อย แต่เขาก็ยังมั่นใจในศักยะภาพของตนเอง
เขาผ่านการทดสอบชั้นที่เจ็ดไปได้ถึงสองส่วน เขาไม่สามารถรับการโมตีสิบกระบวนท่าของฉือเหลินได้ทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีช่องว่างให้ขัดเกลาตนเองเพิ่มได้อยู่ดี ตราบใดที่เขาได้เรียนรู้ทักษะต่อสู้หรือทักษะลับต่างๆของสำนัก พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหดหู่ก็คือผู้คนรอบข้างแทบจะทุกคนจ้องมองไปยังหอคอยดาราขาวด้วยความตื่นเต้นราวกับไม่ได้สังเกตุเห็นดาวเด่นเช่นเขา
นั่นเพราะนอกจากเขาแล้วยังมีอีกสองคนที่ผ่านไปยังหอคอยชั้นหก!
เดี๋ยวก่อน นอกจากสองคนในหอคอยแล้วก็ยังมีหม่าชิงอยู่อีก…
ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วไม่ใช่แค่เขาจะไม่ใช่อันดับที่สอง แต่เขาอาจจะยังถูกเขี่ยออกจากอันดับที่สามไปยังเป็นอันดับที่สี่เลยก็ได้
รู้อย่างงี้เขาน่าจะรอไปทดสอบในอีกห้าปีถัดไปดีกว่า เขาไม่เชื่อว่าในอีกห้าปีข้างหน้าจะมีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นเหมือนกันครั้งนี้ แต่ตอนนี้เขาแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ที่ทำได้ก็มีเพียงรอคอยและภาวนาไม่ให้อัจฉริยะสองคนในหอคอยชั้นหกโดดเด่นไปกว่าเขา
แต่หลังจากนั้นไม่นาน หอคอยชั้นที่เจ็ดก็ส่องสว่าง!
ครั้งนี้ทุกคนตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ผ่านไปยังหอคอยชั้นเจ็ดได้ มันหมายถึงอะไร?
อัจฉริยะสามดาว!
คนที่ผ่านไปถึงชั้นเจ็ดได้นั้นต้องมีศักยภาพไม่อ่อนด้อยไปกว่าหม่าชิง! หม่าชิงนั้นมีคุณสมบัติจะกลายเป็นอัจฉริยะสามดาวในอนาคตเพราะศักยะภาพแห่งราชาของเขา แต่ตอนนี้กลับมีศิษย์คนหนึ่งสามารถเป็นอัจฉริยะสามดาวได้โดยตรง
ยิ่งกว่านั้นศักยภาพแห่งราชานั้นไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่เกิด จอมยุทธที่หมั่นฝึกฝนสามารถครอบครองมันได้
ใครกันถึงขึ้นไปยังชั้นเจ็ดได้?
ทุกคนรออยู่ชั่วครู่ก็มองเห็นสตรีชุดขาวเดินออกมาจากหอคอย ผมของนางนั้นยาวสลวยราวกับน้ำตก ใบหน้าของนางงดงามราวกับเทพธิดา
“พี่สาวหยุน!” หลี่เหว่ยเหว่ยรีบวิ่งไปทักถาม “ยินดีด้วยพี่สาวหยุนที่ผ่านไปยังชั้นเจ็ดได้ หากท่านบรรลุระดับบ่มเพาะของพระเจ้าเมื่อไหร่ ท่านจะเป็นอัจฉริยะสามดาว!”
คนอื่นๆหยักหน้า คนที่ผ่านขึ้นไปยังหอคอยชั้นเจ็ดได้นั้นไม่ปรากฏมาเป็นเวลานานแล้ว
จอมยุทธที่ผ่านขึ้นไปยังหอคอยชั้นเจ็ดได้นั้นแม้แต่ในจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่อย่างจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะก็นับว่าหาได้ยากยิ่ง ในหลายพันปีจะปรากฏขึ้นเพียงคนเดียวเท่านั้น
ใบหน้าอันงดงามของจื่อหยุนเอ๋อหม่นหมองและกล่าว “ข้าไม่ได้ผ่านหอคอยชั้นที่เจ็ด ข้าพ่ายแพ่ในส่วนที่สาม”
“อะไรกัน!” หลี่เหว่ยเหว่ยอุทาน
“อะไรกัน!” จอมยุทธคนอื่นก็อุทานออกมาเหมือนกัน
ไม่ใช่จื่อหยุนเอ๋อจริงๆงั้นรึ!
เป็นไปได้อย่างไร!
หลี่เหว่ยเหว่ยกำหมัดแน่นและกระทืบเท้า “ไม่อยากจะเชื่อ ข้าไม่เชื่อเด็ดขาด เจ้าโง่นั่นผ่านชั้นเจ็ดได้อย่างไร! อ้ากก ข้าอยากจะทุบตีเขาให้น่วมจริงๆ!” นางไม่คาดคิดว่าคนที่ผ่านชั้นเจ็ดได้จะเป็นหลิงฮัน
จอมยุทธจางโลกใบเล็กนั้น ในสายตาของจอมยุทธบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์พวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก
แต่หลี่เหว่ยเหว่ยก็ระงับอารมณ์ได้ในที่สุด หลิงฮันคือคนที่สร้างประวัติศาสตร์ การที่สามารถเปิดสวรรค์ขึ้นมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้เขาจะธรรมดาได้อย่างไร?
“เหว่ยเหว่ย เจ้ารู้จักคนผู้นั้นด้วยรึ?” จื่อหยุนเอ๋อเอ่ยถามทันที
หลี่เหว่ยเหว่ยพยักหน้าและกล่าว “เขาคือจอมยุทธจากโลกใบเล็กที่มาถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อสิบวันก่อน”
จื่อหยุนเอ๋อ “…”
จอมยุทธจากโลกใบเล็ก?
เป็นไปได้อย่างไร? โลกใบเล็กนะรึจะมีสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการบ่มเพาะพลังไปมากกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์? ทรัพยากรเองก็น้อยนิด โจมยุทธจากโลกใบเล็กนะรึจะสามารถเทียบกับจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์?
แต่จอมยุทธที่มาจากโลกเช่นนั้นกลับสามารถผ่านหอคอยชั้นที่เจ็ดได้จริงๆ!
พรสวรรค์เช่นนั้นสามารถจัดอันดับอยู่ในระดับต้นๆตั้งแต่สำนักนภาสีชาดก่อตั้งมา
ผู้อาวุโสของสำนักฝ่ายซ้ายรู้สึกตื่นเต้น ในปีนี้พวกเขาได้ได้ศิษย์ที่มีพรสวรรค์มามากมาย
สำนักฝ่ายเหนือ… กำลังถึงยุคสมัยที่จะรุ่งโรจน์!
เพียงแต่ว่าความตกตะลึงยังไม่จบแค่นี้
ผ่านไปอีกชั่วขณะหอคอยชั้นที่แปดก็ส่องสว่าง
“พระเจ้าช่วย นี่ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?”
“เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราทุกคนจะตาฝาดพร้อมกัน… ชั้นปีแปดส่องสว่างแล้วจริงๆ!”
“สี่… อัจฉริยะสี่ดาว!”
ในตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสของสำนักฝ่ายเหนือก็ไม่สามารถสงบสติได้อีกต่อไป พวกเขาเดินมายังด้านหน้าหอคอยดาราขาวเพื่อรอคอยสุดยอดอัจฉริยะผู้นี้
อัจฉริยะสี่ดาวหมายถึงอะไร?
ตำแหน่งที่เป็นรองลงมาเพียงผู้อาวุโสซ้ายขวา เหล่าเจ็ดขุนพลล้วนแต่เป็นอัจฉริยะสี่ดาว! ในจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะ พวกเขาเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นตัวตนที่อยู่ระดับบนสุด
ทุกคนตกลึงมากกว่าจะรู้สึกตื่นเต้น คนคนนี้จะสามารถผ่านชั้นเก้าและกลายเป็นอัจริยะห้าดาวในตำนานได้หรือไม่
“เป็นไปไม่ได้!” หลี่เหว่ยเหว่ยพึมพำราวกับว่านางทำใจเชื่อไม่ลงว่าเจ้าโง่นั่นจะเป็นอัจริยะสี่ดาวจริงๆ แค่นางเห็นใบหน้าที่มั่นใจอยู่ตลอดของเขาก็ทำให้นางรู้สึกโกรธจนอยากจะชกหน้าแล้ว
ภายในหอคอย ทางขึ้นสู่ชั้นเก้าเปิดขึ้นเบื้องหน้าหลิงฮัน แต่หลิงฮันหยุดเท้าไว้เพียงแค่ตรงนี้และครุ่นคิดในใจ “จะขึ้นไปชั้นเก้าดีหรือไม่? ไม่ดีกว่า… แค่เท่านี้ข้าก็น่าจะเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องแสดงพรสวรรค์ทั้งหมดของข้าให้ทุกคนรู้”
“ตอนนี้ข้าคืออัจฉริยะสี่ดาว สำนักจะต้องมุ่งเน้นมาฟูมฟักข้าแน่นอน ในประวัติศาสตร์ของสำนักใช้ว่าจะไม่เคยมีอัจฉริยะสี่ดาวปรากฏตัว”
“แต่ถ้าข้าเป็นอัจฉริยะห้าดาว… คงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่”
อัจฉริยะห้าดาวนั้นอาจจะทำให้เมืองจักรพรรดิแห่งนี้ตื่นตระหนัก บางทีพวกเขาอาจจะจับเขาไปตรวจสอบเลยก็ได้ว่าเขามีความลับอะไรอยู่ ทำไมจอมยุทธจากโลกใบเล็กเช่นเขาถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้
ที่จริงแล้วหลิงฮันอยากจะหยุดอยู่ที่ชั้นเจ็ดด้วยซ้ำ แต่เพียงอัจฉริยะสามดาวอาจจะไม่โดดเด่นไปหว่าหม่าชิงเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงต้องเป็นอัจฉริยะสี่ดาว
ในขณะที่คิดได้เช่นนี้ เขาก็หันหลังไม่ขึ้นไปยังหอคอยชั้นที่เก้า
ตอนที่ 898
เมื่อหลิงฮันก้าวออกมาจากหอคอยดาราขาว เขาก็รู้สึกได้ว่าสายตาของทุกคนกำลังจ้องมองมาที่เขา มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะเขาขึ้นไปถึงชั้นที่แปด ซึ่งเขาน่าจะหยุดอยู่ชั้นที่เจ็ดก็เกินพอแล้ว
“สหายน้อย เจ้ามีนามว่าอะไร?” ชายชราคนหนึ่งรีบกระโจนเข้ามาหาและจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาเร่าร้อน ราวกับเขาไม่เห็นหลิงฮันเป็นผู้ชาย แต่เป็นหญิงสาวที่งดงามเหมือนเทพธิดา
หลิงฮันรู้สึกรังเกียจเล็กน้อย เพราะหน้าของชายชราจะติดกับเขาอยู่แล้ว
แต่ชายชราก็ไม่ปกปิดความแข็งแกร่งของตัวเอง และมีเงาของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ลอยอยู่ด้านหลังของเขา นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้น
หลิงฮันเดินถอยหนีและพูดว่า “ข้าชื่อหลิงฮัน”
“หลิงฮัน จงคุกเข่าให้ข้าในฐานะอาจารย์ของเจ้าเสีย ข้ายอมรับเจ้าเป็นศิษย์ของข้าแล้ว” ชายชรารีบพูดออกมา
“ไม่!” ในขณะนั้นเองก็มีชายชราอีกครั้งรีบกระโจนออกมาและพูดด้วยความโกรธว่า “สหายตัวน้อยคนนี้คือศิษย์ของข้าต่างหาก!”
“เหลวไหล!” ชายชราคนแรกตะโกนใส่ชายชราคนที่สอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ชายชราคนที่สามเดินออกมาและยิ้มให้กับหลิงฮัน “สหายตัวน้อม ข้ามีนามว่าจางเต๋อหมาน ถ้าเจ้าคุกเข่าให้ข้าในฐานะอาจารย์ของเจ้า ข้าจะคอยสนับสนุนเจ้า และเจ้าจะสามารถต่อสู้กับใครก็ได้ที่เจ้าต้องการในอนาคต!”
นี่คือสิ่งที่อาจารย์ควรพูดหรือ?
“เฒ่าจาง นี่เจ้ากล้าแย่งศิษย์ของข้าต่อหน้าข้าเลยรึ?” ชายชราคนที่สี่ปรากฏตัวออกมาและจ้องมองจางเต๋อหมานไม่ละสายตา
“ใช่แล้วเฒ่าจาง เจ้าชักจะน่ารังเกียจเกินไปแล้วที่แย่งศิษย์ของข้า ขณะที่พวกข้ากำลังเถียงกันอยู่!” ชายชราสองคนแรกหยุดทะเลาะกันและหันไปมองเฒ่าจาง
“สหายน้อย เจ้าจะเลือกใครเป็นอาจารย์ของเจ้า?” ชายชราทั้งสี่คนจ้องมองไปที่หลิงฮันพร้อมกัน
นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ถูกจอมยุทธระดับสุริยันจันทราทั้งสี่คนแย่งตัว
จอมยุทธระดับสุริยันจันทรานั้นถือได้ว่าเป็นกระดูกสันหลังของจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะ
แน่นอนว่าจอมยุทธระดับสุริยันจันทราแบ่งออกเป็นสี่ขั้นเหมือนกัน ซึ่งชายชราทั้งสี่คนนั้นเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นต้นเท่านั้น
“พอได้แล้ว พวกเจ้าจะหยุดขัดขวางการสมัครเข้าสำนักของทุกคนได้หรือยัง!” ในขณะนั้นเองมีชายวัยกลางคนกระโจนขึ้นไปในอากาศ แลยืนอยู่บนหอคอยดาราขาวเก้าชั้น แม้เขาจะไม่พูดเสียงดังมากนัก แต่ทุกคนก็ได้ยินเต็มสองหู
“ขอรับ รองเจ้าสำนัก!” ชายชราทั้งสี่คนรีบโค้งคำนับเขาและดำเนินการทดสอบต่อทันที
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น ดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนคนนั้นจะแข็งแกร่งกว่าชายชราทั้งสี่คนเสียอีก มันดูน่าเหลือเชื่อเล็กน้อย แต่ยิ่งระดับพลังสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งแก่ชราช้าลงเท่านั้น
ดังนั้นบางทีชายวัยกลางคนคนนั้นอาจมีอายุเยอะกว่าจางเต๋อหมานและผู้อาวุโสอีกสามคนก็เป็นได้
คำพูดของเขา แน่นอนว่าจางเต๋อหมานและผู้อาวุโสอีกสามคนไม่กล้าขัดขืน พวกเขาดำเนินการสมัครเข้าสำนักต่อทันที และพาผู้ที่ผ่านการทดสอบไปยังหอพักศิษย์ฝ่ายเหนือ ในขณะที่หลิงฮัน หม่าชิง เฉิงฮ่าวเฟย จื่อหยุนเอ๋อและคนที่ติดอันดับหนึ่งในสิบที่เหลือยังคงอยู่ที่นี่
สิบอันดับแรกจะได้รับรางวัลตอบแทน
รางวัลสำหรับคนที่ติดเจ็ดอันดับท้ายนั้นธรรมดามาก แต่ละคนจะได้รับผลึกก่อเกิดคนละก้อน ส่วนรางวัลของสามอันดับแรกนั้นจะดูดีกว่ามาก ซึ่งแน่นอนว่าหลิงฮันเป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ในขณะที่หม่าชิง เฉิงฮ่าวเฟยและจื่อหยุนเอ๋อสามารถขึ้นไปถึงหอคอยชั้นที่หกได้ แต่ใครจะเป็นอันดับสอง อันดับสาม และอันดับสี่?
หลังจากถกเถียงกันอยู่พักใหญ่ หม่าชิงก็ถูกตัดสินให้เป็นอันดับสอง ในขณะที่เฉิงฮ่าวเฟยและจื่อหยุนเอ๋อถูกตัดสินให้เป็นอันดับสามด้วยกันทั้งคู่ แม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะทำให้สำนักนภาสีชาดฝ่ายเหนือต้องจ่ายมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเดิมทีพวกเขาก็มั่งคั่งอย่างมากอยู่แล้ว ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือ พวกเขาเป็นแค่จอมยุทธระดับทลายมิติเท่านั้น ดังนั้นทรัพยาที่พวกเขาได้รับถือว่าไม่ได้ล้ำค่าอะไรมาก
และสามอันดับแรกยังได้รับสิทธิพิเศษมากมาย
ตัวอย่างเช่น พวกเขามีโอกาสที่จะเข้าไปในบ่อน้ำพุหยกดำเดือนละหนึ่งครั้ง
บ่อน้ำพุหยกดำคือบ่อน้ำพุที่เกิดขึ้นมาจากพลังปราณแห่งสวรรค์และปฐพี มันมีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกายของจอมยุทธ และสำนักนภาสีชาดเองก็ใส่สมุนไพรล้ำค่าจำนวนมากลงไปในบ่อด้วย ดังนั้นประสิทธิภาพของมันจึงมากขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม บ่อน้ำพุนี่สามารถใช้งานได้แค่จอมยุทธระดับทลายมิติและจอมยุทธระดับภูผาวารีเท่านั้น
ส่วนสิทธิพิเศษที่สองคือ พวกเขาจะได้รับผลึกก่อเกิดสองก้อนทุกหนึ่งเดือน
ซึ่งผลึกก่อเกิดนอกจากเอาไว้ดูดซับพลังของมันแล้วยังสามารถใช้เป็นเงินไว้ซื้อสมบัติล้ำค่าหรือแลกเปลี่ยนเงินได้เช่นกัน แต่คงจะมีเพียงแค่คนโง่เท่านั้นที่ทำแบบนั้น
สิทธิพิเศษที่สามคือ พวกเขาจะได้รับเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ทุกเดือน
เม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับจอมยุทธระดับทลายมิติและจอมยุทธที่มีระดับพลังพระเจ้าได้ แต่จอมยุทธที่มีระดับพลังพระเจ้านั้น จะทำให้ประสิทธิภาพของเม็ดยาที่ได้รับลดลงมาก โดยทั่วไปพวกเขาจะได้รับ “เม็ดยาหยางชิง” ซึ่งประสิทธิภาพของมันน่าทึ่งมาก และแน่นอนว่ามันจะต้องล้ำค่ามากขึ้นเช่นกัน
ตราบใดที่ยังเป็นศิษย์ของสำนักแห่งนี้ พวกเขาก็จะได้รับเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ทุกเดือน อันดับสามจะได้รับเดือนละหนึ่งเม็ด อันดับสองเดือนละสองเม็ด และอันดับหนึ่งจะได้เดือนละสามเม็ด
ผลึกก่อเกิดและเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นพวกเขาจะได้รับทันที แต่สิทธิ์ที่จะเข้าไปในบ่อน้ำพุหยกดำจะต้องรอจนกว่าจะถึงเดือนหน้า ซึ่งช่วงเวลาที่จะเข้าไปได้ทั้งสำนักนภาสีชาดทั้งสี่ฝ่ายจะหมุนเวียนกันคนละเดือน ซึ่งหลังจากผ่านเดือนนี้ไปก็จะเป็นช่วงเวลาที่สำนักนภาสีชาดฝ่ายเหนือสามารถเข้าไปได้
หลังจากที่หลิงฮันและคนอื่นได้รับรางวัลตอบแทนกันแล้ว พวกเขาก็ถูกพาไปยังที่ที่พวกเขาต้องอยู่อาศัยตั้งแต่นี้เป็นต้นไป บางทีอาจต้องอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลาสิบปีหรือแม้แต่ร้อยปี
ระหว่างทาง จางเต๋อหมานมีหน้าที่รับผิดชอบในการบอกกฎของสำนักให้พวกเขาทราบ อย่างเช่นอย่าได้เดินไปที่สำนักนภาสีชาดฝ่ายอื่น เว้นแต่จะแข็งแกร่งพอและเตรียมพร้อมที่จะปะทะ
สำนักนภาสีชาดนั้นสนับสนุนให้ศิษย์แลกเปลี่ยนวรยุทธซึ่งกันและกัน แต่โดยหลักการแล้วจะห้ามศิษย์ระดับสูงและศิษย์ระดับล่างต่อสู้กัน เว้นแต่ศิษย์ระดับล่างจะเป็นฝ่ายยั่วยุศิษย์ระดับสูงก่อน
ในที่สุด จางเต๋อหมานก็พูดบางอย่างที่ฟังดูแปลกออกมา “และที่นี่ยังมีแมวขาวอาศัยอยู่ พวกเจ้าห้ามไปยั่วยุมันเด็ดขาด มิฉะนั้นจะไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าได้!”
“เพราะอะไรกัน?” ทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัย
ตอนที่ 899
“แมวอะไรกัน มันแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ?” หลี่เหว่ยเหว่ยถาม ในเมื่อนางเป็นบุตรสาวของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แน่นอนว่านางไม่กล้วจางเต๋อหมานตำหนิ
จางเต๋อหมานเพียงแค่ยิ้มให้นางและพูดว่า “ข้าก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดมากนัก แต่เจ้าของของมันคือ ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าสำนักของพวกเรานั่นเอง!”
“เจ้าสำนักฝ่ายตงชี?” หลี่เหว่ยเหว่ยถามอีกครั้ง
จางเต๋อหมานส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่ใช่ แต่เป็นเจ้าสำนักฟู่ฮุ่ย!”
ครั้งนี้ทุกคนดูแปลกใจเล็กน้อย แม้แต่หลี่เหว่ยเหว่ยเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
ฟู่ฮุ่ยคือเจ้าสำนักนภาสีชาดไม่ใช่เจ้าสำนักฝ่าย! และเขาคือจอมยุทธระดับดารา ซึ่งในปัจจุบันไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าตอนนี้เขาอยู่ระดับไหนแล้ว เพราะเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ปิดด่านฝึกตน
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้สำนักนภาสีชาดทั้งสี่ฝ่ายเกิดความแตกแยกและแข่งขันกันอย่างดุเดือด
ซึ่งแน่นอนว่าทั้งสี่ฝ่ายมีเจ้าสำนักเป็นของตัวเองที่เรียกว่าเจ้าสำนักฝ่าย และพวกเขายังเป็นถึงจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุด ภายในจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะถือว่าเป็นจอมยุทธอันดับต้นๆ
อย่างไรก็ตาม อย่าได้ดูถูกจอมยุทธระดับสุริยันจันทราขั้นสูงสุดกับจอมยุทธระดับดาราเพียงแค่ห่างกันขั้นเดียวเชียว ช่องว่างระหว่างพวกเขานั้นแตกต่างกันมาก เหมือนกับอัจฉริยะระดับหนึ่งดาวและห้าดาว
แม้ว่าหลี่เหว่ยเหว่ย หม่าชิงและคนอื่นที่ต่างก็เป็นอัจฉริยะกันทั้งหมด แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าพูดว่าตัวเองสามารถทะลวงผ่านระดับดาราได้ในอนาคต แม้แต่ระดับสุริยันจันทรายังเป็นเรื่องยากเลย
มันไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแต่อย่างใดที่จะพูดว่าในระยะเวลาห้าปีจะมีศิษย์เพียงแค่คนเดียวจากสิบคนที่สามารถทะลวงผ่านระดับภูผาวารีได้ นั่นเป็นเพราะทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกเข้ามาต่างก็เป็นอัจฉริยะกันอยู่แล้ว และมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะบรรลุระดับภูผาวารีขั้นกลางได้หนึ่งในสิบคน และคนที่จะบรรลุขั้นสูงได้มีเพียงแค่หนึ่งในร้อยคน ส่วนคนที่บรรลุขั้นสูงสุดได้มีเพียงแค่หนึ่งในพันคน และคนที่สามารถทะลวงผ่านระดับสุริยันจันทราได้จะมีแค่หนึ่งในหมื่นคนเท่านั้น
แล้วช่วงเวลาที่เปิดรับศิษย์พวกเขาจะรับเพียงไม่กี่คนได้อย่างไร?
“แมวขาวตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยวของเจ้าสำนักฟู่ฮุ่ย พวกเจ้าไม่ควรไปยุ่งกับมันจะดีกว่า และถึงแม้มันจะกัดเจ้าหรือฉี่รดหัวพวกเจ้า พวกเจ้าก็ต้องอดทนเอาไว้! ในอดีตเคยมีคนหนึ่งทำร้ายเจ้าแมวตัวนั้นและถูกเจ้าสำนักฟู่เฮ่ยขับไล่ออกจากสำนักมาแล้ว!” จางเต๋อหมานพูดด้วยยสีหน้าจริงจัง
“เอ่อ หรือว่าคนผู้นั้นจะเป็นบุตรคนที่เจ็ดของตระกูลอ้าย?” ใครบางคนถาม
“ถูกต้องคนผู้นั้นมีชื่อว่าอ้ายชง” จางหม่าเต๋อพยักหน้า
“แม้ตระกูลอ้ายจะไม่ใช่ตระกูลอันดับต้นๆ แต่ก็เป็นตระกูลชั้นสอง แต่เจ้าสำนักฟู่ฮุ่ยก็ไม่ลังเลเลยที่จะขับไล่เขาออกจากสำนัก!”
“อย่าเข้าไปยุ่งกับเจ้าแมวตัวนั้นจะดีกว่า!” ทุกคนคิดอยู่ในใจ
ศิษย์ส่วนใหญ่นั้นจะอาศัยอยู่ในหอพักที่ทางสำนักจัดเตรียมไว้ให้ แต่ก็มีศิษย์จำนวนหนึ่งที่จะกลับบ้านของตัวเองในตอนกลางคืนเช่นกัน
ในที่สุดหลิงฮันก็เดินมาถึงที่พักของเขา ที่พักที่ทางสำนักนภาสีชาดจัดให้เขานั้นมีขนาดใหญ่ทีเดียว มันเป็นบ้านพร้อมสวน แม้จะไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็มีห้องนั่งเล่นและห้องนอน
หลิงฮันรู้สึกพึงพอใจและนั่งพัก หลังจากนั่งพักได้ชั่วครู่ เขาก็เริ่มคิดเกี่ยวกับแผนการครั้งต่อไป
หาเงิน!
แต่เงินที่เขาหมายถึงมันไม่ใช่ทั้งทองคำและเงิน แต่เป็นผลึกก่อเกิด นี่เป็นสกุลเงินที่หาได้ยากในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับผลึกก่อเกิดของโลกใบเล็ก
ถ้าเขามีผลึกก่อเกิดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก เขาก็จะสามารถซื้อทรัพยากรบ่มเพาะพลังได้ทุกประเภท
แล้วเขาจะหาเงินได้อย่างไร?
หลิงฮันเกาคางและหยิบวัตถุดิบทำอาหารออกมาจากหอคอยทมิฬและเริ่มทำอาหารโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่กี่วันก่อน เขาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ทำให้เขารู้สึกเกรงใจเล็กน้อย แต่ตอนนี้เขาอยู่ในบ้านของตัวเองแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องสนใจใครอีกต่อไปและทำตัวให้ผ่อนคลายได้
ดูเหมือนเขาจะอยู่กับฮูหนิวนานเกินไป เลยเผลอทำอาหารขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ตัว
เฮ้อ ข้าไม่รู้ว่าตอนนี้ฮูหนิว พ่อแม่ของข้า เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนและลูกของข้ากำลังทำอะไรอยู่
แล้วอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากหอคอยทมิฬจะขายได้ไหมนะ?
แล้วมันมีภัตตาคารที่จ่ายด้วยผลึกวิญญาณหรือไม่? สงสัยข้าต้องให้คนใหญ่คนโตชิมมันเสียก่อน
ตามนั้น!
จริงสิทำไมข้าไม่ใช่ประโยชน์จากหลี่เหล่ยเหล่ยกัน?
ถ้าข้าร่วมมือกับคุณหนูสี่ที่เป็นบุตรสาวของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แล้วใครจะไม่กล้าไว้หน้านาง?
หลิงฮันพยักหน้า นอกจากนี้เขายังเป็นนักปรุงยา เม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นที่ต้องการมากในหมู่จอมยุทธระดับทลายมิติและระดับภูผาวารี ซึ่งแม้แต่ทองคำและเงินก็ไม่สามารถซื้อมันได้ มีเพียงแค่ผลึกก่อเกิดเท่านั้นที่ใช้ซื้อมันได้!
การปรุงยาคือสิ่งที่เขาถนัดที่สุด ที่แม้แต่จักรพรรดิดาบ จักรพรรดิกระบี่ตะวันลับฟ้าที่จองหองยังต้องก้มหน้าให้กับเขา
และถ้าเขาจะปรุงยาขาย เขาก็มีหนทางเช่นกันคือให้หลี่เหว่ยเหว่ยช่วยติดต่อหาพ่อค้า
พรึบ!
ในขณะที่หลิงฮันกำลังปล่อยหนูทองคำออกมาจากหอคอยทมิฬ เพื่อที่จะใช้ความสามารถที่เป็นประโยชน์ของมัน แต่ทันทีที่เขาหันหลังกลับไป เขาก็พบว่าเนื้อสัตว์สองชิ้นบนตะแกรงได้หายไปแล้ว
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะรู้สึกแปลกใจ ทั้งที่เนื้ออยู่บนตะแกรงต่อหน้าต่อหน้าเขา แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายขโมยได้ในพริบตา มันรวดเร็วขนาดไหนกันถึงขโมยต่อหน้าเขาได้?
เมื่อหลิงฮันกวาดสายตามอง ดวงตาของเขาแทบตาถลนออกมาจากเบ้าตา
เขาเห็นเจ้าแมวขาวตัวอ้วนอยู่บนกำแพง และมันกำลังกินเนื้อที่หลิงฮันย่างเอาไว้อยู่บนตะแกรง
ทันใดนั้นเอง เขาก็นึกถึงคำพูดของจางเต๋อหมานได้ทันที นี่คือเจ้าแมวขาวที่เขาพูดถึง!
ปากของหลิงฮันกระตุกเล็กน้อย แค่วันแรกหลังจากเข้าสำนัก เขาก็พบเจ้าแมวขาวที่ไม่อาจยั่วยุมันได้แล้ว ทั้งยังขโมยเนื้อของเขาไปอีก!
เจ้าแมวขาวอ้วนหันหน้าไปมองหลิงฮันอย่างเฉยเมย และไม่กลัวว่าจะถูกทำร้าย และส่งเสียงร้องเมี๊ยวๆใส่ มันต้องการจะสื่อว่าแน่จริงก็จับข้าให้ได้สิ
หลิงฮันรู้สึกเหมือนถูกยั่วยุ แต่เขาก็จำคำพูดของจางเต๋อหมานได้ว่าอย่าได้ทำร้ายเจ้าแมวขาวอ้วนตัวนี้ ซึ่งมันฟังดูไร้เหตุผลมาก แต่หลิงฮันก็ไม่สามารถทำอะไรได้และพูดตะคอกใส่มันว่า “เจ้าแมวขโมย ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน แต่ครั้งหน้าเจ้าจะไม่มีวันขโมยของของข้าได้อีก!”
เจ้าแมวขาวอ้วนตัวนี้เองก็เป็นสัตว์อสูรระดับทลายมิติ แม้ว่าร่างกายของมันจะเป็นแมวอ้วน แต่ก็มีความเร็วที่น่าทึ่งที่แม้แต่หลิงฮันยังตามความเร็วของมันไม่ทัน ตราบใดที่เขายังไม่ทะลวงผ่านระดับพลังของพระเจ้า
“เมี๊ยว!” เจ้าแมวอ้วนส่งเสียงร้องอย่างภาคภูมิใจ มันต้องการที่จะพูดว่าถ้าข้าอยากกินเจ้าจะไม่ให้ข้ากินได้อย่างไร? มันคาบเนื้อที่เหลือไปและกระโดดลงจากกำแพงก่อนที่จะเดินจากไป
ตอนที่ 900
วันแรกที่เข้าร่วมกับสำนักนภาสีชาด เขาก็ถูกเจ้าแมวอ้วนยั่วยุเสียแล้ว
หลิงฮันถอนหายใจ นี่ไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดีเลย!
หลังจากพักผ่อนเต็มที่หนึ่งคืน ในวันถัดมาเขาก็ไปที่ห้องเรียน วันนี้อาจารย์ของสำนักจะมาอธิบายเคล็ดลับหลายๆอย่างของระดับพลังบ่มเพาะทลายมิติ หลิงฮันพอจะสนใจบทเรียนนี้อยู่บ้างและก็อยากจะหาโอกาสพูดคุยกับหลี่เหว่ยเหว่ยเรื่องที่จะทำธุระกิจด้วย
เขาไม่ได้มาสายหรือช้าเกินไป เมื่อเขามาถึงในห้องเรียนมีเพียงที่นั่งหนึ่งในสามที่มีคนนั่งอยู่แล้ว
ห้องเรียนนั้นกว้างพอจะให้คนห้าร้อยคนเข้ามานั่งพร้อมกัน ซึ่งครั้งนี้ศิษย์ที่ผ่านการทดสอบก็อยู่ในช่วงห้าร้อยคนพอดี ดังนั้นห้องเรียนแห่งนี้จึงรองรับศิษย์ใหม่ได้พอดี
“ศิษย์พี่หลิง!”
“พี่ชายหลิง!”
“หลิงฮัน!”
เมื่อเห็นหลิงฮัน ศิษย์หลายคนทักทายเขาด้วยความตื่นเต้น มีเพียงศิษย์ที่พอมีพรสวรรค์ไม่กี่คนที่ยังคงนั่งเงียบและมองหลิงฮันด้วยสายตาดูถูก
เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นก็ไม่แปลก อัจฉริยะสี่ดาวเช่นหลิงฮันในจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะจะมีกี่คนเชียว?
ที่สำคัญคือด้วยการทดสอบของหอคอยดาราขาว ในอนาคตหลิงฮันจะต้องไต่เต้ากลายเป็นจอมยุทธระดับสูงได้แน่นอน
บางทีอีกหนึ่งล้านปีข้างหน้า เขาอาจจะเป็นถึงจอมยุทธระกับดารา
เพียงแต่ว่าระยะเวลาหนึ่งล้านปีมันยาวนานเกินไป บางทีโชคชะตาอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงและหลิงฮันอาจจะร่วงหล่นก็ได้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมศิษย์บางคนถึงยังนิ่งเฉย เพราะจะอย่างไรหลิงฮันก็แค่แสดงศักยะภาพอันโดดเด่นออกมาเท่านั้น พวกเขายังไม่เคยเห็นความสามารถในการต่อสู้ของหลิงฮัน… แต่หากพวกเขาเห็นการต่อสู้ของหลิงฮันกับฉือเหลินแล้วล่ะก็ คนเหล่านี้จะต้องเปลี่ยนความคิดในหัวแน่นอน
หลิงฮันยิ้มและพยักหน้าให้ทุกคน
ใครที่เคารพเขา เขาก็จะเคารพกลับ แต่ถ้าใครมาล่วงเกินเขา เขาก็จะไม่ยอมอยู่เฉยเช่นกัน
“เหอะ ช่างน่ารังเกียจนัก!” พี่น้องตระกูลหลัวเองก็อยู่ที่นี่ แน่นอนว่าพวกเขาไม่พอใจในตัวหลิงฮันมาก พวกเขามองหลิงฮันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ใครกันจะไปคิดว่ามดปลวกจากโลกใบเล็กจะได้อันดับหนึ่งของการทดสอบ?
“ฮ่าๆๆ!” หลัวป้าหัวเราะเสียงดังเพื่อเรียกร้องความสนใจ
“ศิษย์พี่หลัว ท่านหัวเราะอะไรรึ?” ศิษย์คนหนึ่งเอ่ยถาม
ถึงแม้ตระกูลหลัวจะไม่ได้เป็นตระกูลแนวหน้าของเมืองจักรพรรดิ แต่หลัวป้าก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ดังนั้นศิษย์หลายคนจึงไม่กล้ามีปัญหากับเขา
“เจ้าไม่รู้งั้นรึ ศิษย์พี่หลิง พี่ชายหลิง หลิงฮันที่พวกเจ้าชื่นชมน่ะเพิ่งจะมาจากโลกใบเล็กเมื่อสิบวันก่อน!” หลัวป้ากล่าว
“อะไรกัน!”
ทุกคนอุทาน มดปลวกจาดโลกใบเล็กน่ะรึ?
ศิษย์มากมายมีท่าทีรังเกียจทันที พวกเขามีพรสวรรค์ด้อยกว่ามดปลวกเช่นนี้งั้นรึ? แต่ก็ยังมีศิษย์บางคนที่มีท่าทีเลื่อมใสชื่นชม การที่คนจากโลกใบเล็กจะมีศักยภาพที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“หลิงฮัน!” หลัวป้าแสยะยิ้ม เขาเดินออกมาและกล่าว “ลืมที่ข้าพูดไปเมื่อวานแล้วรึ? เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่?”
“สู้? เจ้าคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอจะสู้กับข้า?” ถึงแม้หลิงฮันจะไม่ใช่คนหยิ่งยโส แต่เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้าคนเช่นหลัวป้า
หลัวป้าโกรธจนแทบจะกระทืบพื้น เขาที่เป็นหนึ่งในสามอัจฉริยะของเมืองจักรพรรดิยังไม่มีคุณสมบัติจะสู้กับหลิงฮันงั้นรึ? เขาพยายามข่มความโกรธเอาไว้และกล่าว “ข้าต้องการสู้กับเจ้า!”
“ก็ได้ แต่เจ้าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมก่อน ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต้องคุยกัน!” หลิงฮันกล่าว “ค่าธรรมเนียมก็ไม่มากอันใด แค่ผลึกก่อเกิดสิบก้อนเท่านั้น แต่หากข้าชนะ เจ้าต้องจ่ายเพิ่มอีกร้อยก้อน”
หลิงฮันคิดอยากจะตอบตกลงทันที แต่เขาก็ชะงักชั่วขณะ ถึงแม้เขาจะเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลหลัว แต่การจะนำผลึกก่อเกิดสิบก้อนออกมาใช้จ่ายก็ยังเป็นเรื่องที่ยากเย็น
ยิ่งถ้าหากเขาแพ้ล่ะก็ ผลึกก่อเกิดร้อยก้อนนั้นย่อมเกินกว่าที่เขาจะรับผิดชอบได้
หลิงฮันนั้นมีพรสวรรค์ที่ราวกับสัตว์ประหลาด เขาต้องคิดเผื่อเอาไว้ถึงโอกาสที่ตนเองจะเป็นฝ่ายแพ้ด้วย
หากไม่มีค่าใช้จ่าย ถึงแม้เขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หลิงฮันก็ไม่มีใครหัวเราะเยาะเขา เพราะหลิงฮันนั้นมีอันดับการทดสอบที่สูงกว่า แต่ถ้าเขาชนะ เขาก็จะเป็นฝ่ายได้เหยียบย่ำรัศมีอันดับหนึ่งของหลิงฮัน
“นี่เจ้าคิดจะเลี่ยงการต่อสู้ด้วยวิธีนี้รึ?” หลัวป้าไม่คิดจะยอมแพ้เรื่องท้าสู้
หลิงฮันโบกมือและกล่าว “งั้นก็ไม่ต้องพูดกันอีก คิดจะท้าสู้แต่ไม่ยอมรับข้อตกลงของข้า เจ้าคิดว่าข้ามีเวลาว่างเหมือนกับเจ้ารึไง?”
หลัวป้ากัดฟันด้วยความแค้น เขาเกือบจะระเบิดความโกรธออกมาแต่ก็ต้องระงับเอาไว้
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ!” ในตอนนั้นเองพวกเขาก็เห็นสตรีที่งดงามสองคนเดนเข้ามาที่ประตูห้อง หนึ่งคนสวมชุดสีเขียวน่าดึงดูด ส่วนอีกคนสวมชุดสีขาวราวกับเทพธิดา
พวกนางคือหลี่เหว่ยเหว่ยและจื่อหยุนเอ๋อ สองในสามสตรีที่งดงามที่สุดของเมืองจักรพรรดิ
“หลิงฮัน เจ้าพูดได้ดี!” หลี่เหว่ยเหว่ยกล่าวสนับสนุนหลิงฮัน “สมกับที่เป็นคนของคุณหนูผู้นี้! อะ…” นางหยุดชะงักเมื่อพบว่านางพูดอะไรแปลกๆออกไปและรีบพูดแก้ “ไม่ใช่ ไม่ใช่ สมกับที่เป็นคนของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แต่เพราะเช่นนั้นเจ้าก็ถือเป็นคนของข้าเช่นกัน ถ้าใครคิดจะรังแกเจ้า ต้องผ่านคุณหนูผู้นี้ไปซะก่อน!”
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นสำนักนภาสีชาด แต่ในหมู่ศิษย์ใหม่ปีนี้ ใครกันจะมีสถานะเหนือกว่าบุตรสาวของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย?
หลิงฮันจ้องไปยังหลี่เหว่ยเหว่ยด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจู่ๆเจ้าถึงทำดีกับข้ากัน ข้าชักรู้สึกแปลกๆแล้วสิ”
“เหอะ ข้าก็ยังเกลียดเจ้าอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนของข้า ข้าจะยอมให้ใครมารังแกได้อย่างไร? ถ้ามีคนรังแกเจ้าไม่ใช่ว่านั่นเป็นการไม่ไว้หน้าข้าหรอกรึ?” หลี่เหว่ยเหว่ยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ คอของนางเชิดขึ้นราวกับหงส์
หลิงฮันหัวเราะและไม่เก็บคำพูดนางมาใส่ใจ “ไว้เจ้ารอข้าด้วยล่ะ ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”
“เจ้าโง่ตัวเหม็น เจ้าคงไม่ได้คิดอะไรกับคุณหนูผู้นี้หรอกนะ?” หลี่เหว่ยเหว่ยมีท่าทีตื่นตัว “อยากจะเป็นหนูตกถังข้าวสารรึ? หากเจ้าคิดไม่ซื่อกับข้าคนนี้ล่ะก็ ฝันไปเถอะ!”
หลิงฮันอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก สมองของสตรีผู้นี้จะคิดลึกเกินไปแล้ว ปกติในแต่ละวันนางคิดอะไรอยู่ในหัวบ้างกันแน่?
ตอนที่ 901
เรื่องที่หลี่เหว่ยเหว่ยคิดอยู่ในหัวเสมอ แน่นอนว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงจะคิด
นางอยากเจอเจ้าชายขี่ม้าขาวรูปหล่อที่แข็งแกร่งและสามารถปกป้องนางได้
ตั้งแต่ที่นางแพ้หลิงฮัน บางครั้งภาพของเขาก็เข้ามาปรากฏอยู่ในความฝันของนาง เหมือนกับเขาเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวของนางที่พร้อมที่จะปกป้องคนรักด้วยดาบที่อยู่ในมือ!
แม้แต่ในความฝันยังมีหลิงฮันเข้ามาเกี่ยว นี่ทำให้หลี่เหว่ยเหว่ยรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก และทุกครั้งที่นางลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วคิดเรื่องที่ฝันเมื่อคืน มันทำให้นางรู้สึกเกลียดหลิงฮันมากยิ่งขึ้น ทั้งที่เป็นความฝันของนางแท้ๆ แต่ก็ยังคงมีหลิงฮันปรากฏอยู่ในความฝันของนางอยู่หลายครั้ง
“เหว่ยเหว่ย!” จื่อหยุนเอ๋อรีบพูดเรียกสติหลี่เหว่ยเหว่ย เพราะเกรงว่านางจะพูดอะไรที่น่าตกใจและหยาบคายออกมา
หลี่เหว่ยเหว่ยรีบหุบปากทันที นางเกือบจะพูดหลุดปาก และหันไปจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาดุเดือดแทน แน่นอนนางคิดจะโทษหลิงฮัน ใครขอให้เขาเข้ามาในความฝันของนางหลายครั้งกันล่ะ?
หลังจากนั้น หลี่เหว่ยเหว่ยและจื่อหยุนเอ๋อก็เดินไปนั่งที่นั่งที่ว่างอยู่ และความงามของพวกนางทั้งสองคนนั้นก็ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก
“หม่าชิงมาแล้ว!”
ใครบางคนพูดเอ่ยขึ้นมา ทำให้ทุกคนหันหน้าไปมองที่ประตูทันทีและเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกลิ่นอายเหมือนกับสัตว์ป่าที่ทำให้ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออก
หม่าชิงดูเหมือนจะยังไม่ตื่น เขาลืมตาเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องและสังเกตเห็นหลิงฮัน ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างทันทีด้วยแววตาที่เปล่งประกาย และจ้องมองไปที่หลิงฮันพร้อมกับพูดว่า “หลิงฮัน ข้าอยากสู้กับเจ้า!”
“ตกลง!” หลิงฮันพยักหน้า “แต่ถ้าเจ้าต้องการสู้กับข้า ก่อนอื่นเจ้าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ข้าก่อนด้วยผลึกก่อเกิดสิบก้อน และหากเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ เจ้าจะต้องจ่ายให้ข้าอีกหนึ่งร้อยก้อน!”
หลายคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันทีกับความโลภมากของหลิงฮัน
หลี่เหว่ยเหว่ยเองก็เอามือกุมหัวและพูดพึมพัมว่า “เขาทำตัวน่าอายยิ่งนัก และกำลังทำให้ข้าได้รับความอับอายไปด้วย!”
จื่อหยุนเอ๋อยิ้มและหันสายตาไปมองหลิงฮันด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชายคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่?
เมื่อหม่าชิงได้ยินที่หลิงฮันพูด สีหน้าของเขากลายเป็นซีดขาวทันที ในเมื่อเขามาจากถิ่นทุรกันดาร เขาจะมีผลึกก่อเกิดมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร? เขาพูดกับหลิงฮันว่า “ตกลง เมื่อข้ามีผลึกก่อเกิดพอ ข้าจะมาท้าเจ้าสู้อีกครั้ง!”
หม่าชิงเป็นคนที่ซื่อตรงกว่าหลัวป้ามาก ดังนั้นหลายคนจึงพยักหน้าให้กับความตรงไปตรงมาของเขา
หม่าชิงเลิกจ้องมองหลิงฮัน แต่ในขณะที่เขาหันไปมองทางอื่น สายตาของเขาก็ไปสะดุดอยู่ที่จื่อหยุนเอ๋อ และจ้องมองนางด้วยสายตาเบิกกว้างก่อนที่จะเดินเข้าไปหานางและพูดว่า “ข้าชอบเจ้า เจ้าจะไปกินข้าวกับข้าได้หรือไม่!?”
พรวด!
หลายคนแทบสำลักน้ำลายออกมา หม่าชิงเป็นคนที่ตรงไปตรงมาก็จริง แต่นี่ไม่ตรงไปตรงมาไปหน่อยหรือ
มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะชอบจื่อหยุนเอ๋อ คนที่ชื่นชอบนางถ้านับรวมกันสามารถล้อมรอบเมืองจักรพรรดิได้ถึงสามรอบ แต่หม่าชิงนั้นเป็นคนแรกที่พูดตรงไปตรงมาว่าชอบนางและชวนไปกินข้าว นี่เขาคิดว่าจะทำให้เทพธิดาจื่อตกหลุมรักด้วยการพาไปกินข้าวเนี่ยนะ?
จื่อหยุนเอ๋อยิ้มตอบและพูดว่า “ข้ามีบางอย่างที่ต้องทำหลังเลิกเรียน หากมีโอกาส ข้าเองก็อยากไปกินข้าวกับพี่ชายหม่าเหมือนกัน”
“พี่หยุน ท่านสนใจเขาอยากนั้นรึ?” หลี่เหว่ยเหว่ยราวกับกลัวโลกไม่วุ่นวายและจงใจถามนาง
จื่อหยุนเอ๋อเขกหัวหลี่เหว่ยเหว่ยและพูดว่า “มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง!”
“นั่นสินะ!” หลี่เหว่ยเหว่ยพยักหน้าและดึงแขนของหยุนเอ๋อเข้ามากอด
เมื่อหม่าชิงรู้ตัวว่าถูกปฏิเสธช่วยไม่ได้ที่เขาจะเกาหัว หลังจากนั้นเขาก็นั่งลงและฟุบหลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงกรนที่ดังราวกับฟ้าร้อง
เขานอนหลับไปแล้ว
หลี่เหว่ยเหว่ยหันไปพูดกระซิบอยู่ข้างหูจื่อหยุนเอ๋อต่อว่า “พี่หยุน ท่านไม่เหมาะกับเจ้าหมอนี่เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ตอนนอนเขายังนอนกรนเหมือนหมู ถ้าท่านแต่งงานกับเขา ท่านจะต้องทุกข์ทรมานทุกวัน!”
จื่อหยุนเอ๋อหันสายตาไปมองหลี่เหว่ยเหว่ย จินตนาการของนางช่างก้าวไกลนักและสามารถทำให้ผู้คนหัวเราะจนน้ำตาไหลได้
เมื่อใกล้ถึงเวลาเรียน ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มทยอยกันมามากยิ่งขึ้น เมื่อหลินยู่ปรากฏตัวออกมา ความสนใจของทุกคนก็ตกไปอยู่ที่นางทันที แม้แต่หลี่เหว่ยเหว่ยที่เป็นบุตรสาวของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็ไม่สามารถเทียบกับนางได้
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงพูดคุยภายในห้องก็เริ่มเงียบลง เมื่อทุกคนเห็นสตรีผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องเรียน
นางเป็นหญิงสาวที่มีหน้าอกใหญ่และเอวผอมบาง ซึ่งทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกายได้อย่างชัดเจน และดูงดงามทุกซอกทุกมุม
เมื่อสายตาของทุกคนขยับหันไปมองใบหน้าของนาง ทำให้พวกเขาแทบจะกระอักโลหิตออกมา บนโลกใบนี้มีหญิงสาวที่งดงามขนาดนี้อยู่ได้อย่างไร?
แม้หลี่เหว่ยเหว่ยและจื่อหยุนเอ๋อจะงดงาม แต่เมื่อเทียบกับสตรีผู้นี้แล้ว พวกนางทั้งสองคนถือว่าด้อยกว่ามาก มันไม่ใช่เพราะพวกนางไม่งดงาม แต่เป็นเพราะความงามของสตรีที่พวกเขาเห็นนั้นสามารถทำให้พวกเขามึนเมากับความงดงามของนางได้ตั้งแต่แรกพบ
ด้วยจำนวนประชากรที่มากมายมหาศาลของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าจะต้องมีหญิงสาวที่งดงามอยู่จำนวนมาก ในโลกใบเล็กหญิงสาวที่สามารถทำให้ทุกคนบ้าคลั่งได้อาจมีให้เห็นทุกพันปี แต่ที่นี่คือเมืองจักรพรรดิทำให้พวกเขาสามารถเห็นหญิงสาวแบบนั้นได้หลายคน
ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะถึงเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในโลกน่ะหรือ? นั่นเป็นเพราะแม้แต่จักรพรรดิจากจักรวรรดิราชวงศ์ทั้งสองแห่งยังยินดีที่จะผนวกเข้ากับจักรวรรดิของนาง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือความแข็งแกร่งของนาง
จอมยุทธระดับดาราขั้นสูงสุดนั้นด้วยความแข็งแกร่งดังกล่าวและการดำรงอยู่ของนาง ทำให้มีชายหลายคนอยากจะพิชิตนาง
แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเคยได้ยินเรื่องของจักรพรรดินีไม่มากก็น้อย ซึ่งแม้แต่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและขวา หรือแม้กระทั่งเจ็ดแม่ทัพ พวกเขาก็ยังไม่กล้ามองหน้าจักรพรรดินีโดยตรง เพราะพวกเขาเกรงว่าตัวเองจะเผลอคิดอะไรที่หยาบคายกับจักรพรรดินีของพวกเขา และนั่นจะเป็นการรนหาที่ตาย…
ถึงแม้หลิงฮันจะไม่เคยเห็นจักรพรรดินีแห่งจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะมาก่อน แต่เขาก็ยอมรับความงามของสตรีที่เพิ่งเดินเข้ามาว่างดงามมาก ซึ่งอาจเหนือกว่าจูเสวี่ยนเอ๋อและสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ซะอีก
ตอนที่ 902
บรรยากาศภายในห้องเรียนเงียบมาก ถึงขั้นได้ยินเสียงหัวใจที่กำลังเต้น
แม้แต่หลิงฮันยังรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย ในขณะที่หลายคนไม่อาจต่อต้านความงดงามของนางได้
หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นเดินเข้ามาในห้อง ทว่านางกลับไม่เดินไปหาที่นั่ง แต่เดินไปอยู่หน้าห้องแทนแล้วพูดว่า “ข้าสุ่ยเยี่ยนยวี่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะเป็นอาจารย์ของพวกเจ้า”
ทุกคนเริ่มส่งเสียงฮือฮาและดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ
สาวงามที่พวกเขาเห็นที่จริงแล้วเป็นอาจารย์ของพวกเขานี่เอง และความงดงามของนาง ทำให้พวกเขามีกำลังใจเรียนมากยิ่งขึ้น
“หืม นางคือสุ่ยเยี่ยนยวี่!”
“นางเข้าร่วมสำนักนภาสีชาดฝ่ายเหนือเมื่อยี่สิบปีก่อน ข้าไม่คิดเลยเวลาแค่ยี่สิบปี นางก็ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีแล้ว!”
จอมยุทธระดับทลายมิติถือเป็นตัวตนที่ต่ำมาก จึงไม่มีอาจารย์อาวุโสคอยสั่งสอน ดังนั้น ศิษย์พี่ที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับภูผาวารีจะมาเป็นผู้แบ่งปันประสบการณ์ให้กับศิษย์น้องแทน
แน่นอนว่าคนที่จะมาพูดให้คำแนะนำพวกเขาได้นั้นจะต้องเคยเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติที่โดดเด่นมาก่อน
“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่จ้าวกำลังตามจีบศิษย์พี่สุ่ยอยู่”
“ศิษย์พี่จ้าวไหน?”
“ศิษย์พี่จ้าวที่ข้าพูดถึงแน่นอนว่าจะต้องเป็นศิษย์พี่จ้าวหลุน!”
“หืม หรือเจ้าจะหมายถึงอัจฉริยะเมื่อห้าร้อยปีที่แล้ว ในตอนที่เขาอายุยี่สิบหกเขาเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติที่มีพลังต่อสู้ยี่สิบดาว ในตอนที่เขาอายุสามสิบปีเขาก็ทะลวงผ่านระดับภูผาวารีและทะลวงผ่านขั้นกลางได้ตอนอายุเก้าสิบปี และทะลวงผ่านขั้นสูงสุดได้ตอนอายุสามร้อยแปดสิบปี ศิษย์พี่จ้าวหลุนคนนั้นน่ะรึ?”
“นอกจากเขาแล้วจะมีใครในฝ่ายเหนือที่มีคุณสมบัติที่จะเรียกว่าศิษย์พี่จ้าวได้อีก?”
“เจ้าอย่าได้พูดวิพากษ์วิจารณ์เขามากเกินไป ข้าได้ยินมาว่าศิษย์พี่จ้าวสนิทกับศิษย์พี่สุ่ยมาก ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าได้พูดถึงศิษย์พี่สุ่ยจะดีกว่า มิฉะนั้น…”
แม้พวกเขาจะหลงไหลในความงดงามของนาง แต่ก็ไม่อาจดื่มด่ำกับความงามของนางได้ และต้องระวังคำพูดให้ดี มิฉะนั้นมันอาจเป็นการยั่วยุจ้าวหลุน แล้วชะตาของพวกเขาจะต้องถึงฆาตอย่างแน่นอน!
ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวหลุนยังมีสถานะอีกอย่างหนึ่งคือ เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของแม่ทัพจ้าว!
แม่ทัพจ้าวเป็นหนึ่งในเจ็ดแม่ทัพ และเขาเป็นจอมยุทธระดับดารา
ภูมิหลังของเขาน่าเกรงขามเกินไป แล้วใครจะกล้าเข้าไปต่อสู้เพื่อแย่งผู้หญิงของเขากัน?
“พี่สุ่ยเป็นคนที่งดงามยิ่งนัก!” หลี่เหว่ยเหว่ยกำมือแน่น และจ้องมองนางด้วยแววตาที่เปล่งประกาย แม้แต่จื่อหยุนเอ๋อก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
“ข้าเคยเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติที่มีพลังต่อสู้ยี่สิบดาวมาก่อน ดังนั้นข้าจึงสามารถให้คำแนะนำแก่พวกเจ้าได้” สุ่ยเยี่ยนยวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนหวาน ทำให้ทุกคนรู้สึกเพลิดเพลินมากที่ได้ยินเสียงของนาง
“ก่อนอื่น พวกเรามาพูดถึงเหตุผลกันก่อนเถอะว่าทำไมต้องทะลวงผ่านระดับพลังต่อสู้ยี่สิบดาว”
“ข้ารู้!” ศิษย์คนหนึ่งรีบยกมือตอบทันที เพื่อสร้างความประทับใจให้กับนางและพูดว่า “หากมีพลังต่อสู้ระดับทลายมิติสูง พลังต่อสู้ระดับพระเจ้าก็จะสูงตาม”
สุ่ยเยี่ยนยวี่พยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง อายุขัยของพวกเรานั้นยาวนานเกินไป จอมยุทธระดับภูผาวารีก็มีอายุขัยถึงหนึ่งแสนปีแล้ว และทุกครั้งที่พวกเจ้าทะลวงผ่านแต่ละขั้นได้ มันจะทำให้พวกเจ้าได้รับอายุขัยเพิ่มหนึ่งแสนปี แต่ด้วยเหตุผลนั้นเองทำให้พวกเจ้ามีความก้าวหน้าช้า และการที่ทะลวงผ่านแต่ละครั้งด้วยระยะเวลาหลายหมื่นปีก็ถือว่าไม่เลวแล้ว”
“ดังนั้นพวกเราถึงต้องใช้เวลามากถึงหนึ่งร้อยปีเพื่อยกระดับพลังต่อสู้ของระดับทลายมิติให้ถึงขีดสุด ซึ่งนั่นจะเป็นประโยชน์ให้แก่พวกเจ้าหลายร้อยหลายพันปี หรือแม้กระทั่งหลายล้านปี”
“ดังนั้น คำแนะนำของข้าคือให้ทุกคนอดทนไปก่อน แม้พวกเจ้าจะทะลวงผ่านระดับพลังต่อสู้ยี่สิบดาวไม่ได้ แต่อย่างน้อยต้องทะลวงผ่านระดับพลังต่อสู้สิบแปดดาว”
หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แม้แต่อู่เกาหยวนและเซียวเมี่ยวเหยียนยังมีพลังต่อสู้สิบแปดดาว แต่ทำไมอี้ชวงชวงถึงมีพลังต่อสู้แค่สิบห้าดาวเท่านั้น?
ทั้งที่จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดของห้านิกายโบราณน่าจะเป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา แต่ทำไมห้านิกายโบราณถึงปั้นศิษย์ให้มีพลังต่อสู้สิบแปดดาวได้ ซึ่งมากกว่าอี้ชวงชวงซะอีก?
ในโลกใบเล็ก การที่มีพลังต่อสู้สิบห้าดาวถือว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เกรงว่าอาจเป็นแค่ระดับมาตรฐานของคนในห้องนี้เท่านั้น
ไว้ข้าค่อยถามนางทีหลังดีกว่า
สุ่ยเยี่ยนยวี่หยุดพูดสักครู่และพูดต่อว่า “ตอนนี้ ข้าจะพูดแบ่งปันประสบการณ์ทุกอย่างให้พวกเจ้าฟัง”
นางไม่คิดจะปกปิดความรู้แม้แต่น้อย และอธิบายว่าเมื่อทะลวงผ่านระดับพลังต่อสู้ยี่สิบดาวแล้วจะเป็นเช่นไร ซึ่งทุกคนก็นั่งฟังนางพูดอย่างเงียบๆ
แต่ในขณะที่นางพูดอธิบาย หลิงฮันก็พูดถามขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “อาจารย์สุ่ย แล้วข้าสามารถทะลวงผ่านระดับพลังต่อสู้มากกว่ายี่สิบดาวได้อย่างไร?”
ทุกคนในห้องเรียนกลายเป็นนิ่งเงียบ ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างเป็นคำถามที่โง่เง่ายิ่งนัก ทะลวงผ่านระดับพลังต่อสู้มากกว่ายี่สิบดาวอย่างนั้นรึ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าพวกเราสามารถทะลวงผ่านระดับพลังต่อสู้มากกว่ายี่สิบดาวได้ ถ้างั้นจะทะลวงผ่านได้กี่ดาว?”
“ยี่สิบห้าดาว? สามสิบดาว?”
“หยุดคิดเรื่องพวกนั้นได้เลย มันไม่มีทางเป็นไปได้!”
อย่างไรก็ตาม สุ่ยเยี่ยนยวี่ยกมือให้ทุกคนหยุดพูดและพูดว่า “จากความรู้ของข้า หลังจากที่ทะลวงผ่านระดับทลายมิติขั้นเก้าแล้ว มันมีความเป็นไปได้ที่จะยกระดับพลังต่อสู้ได้อีกสี่ดาว”
คำพูดที่แตกต่างของนาง ทำให้ทุกคนปิดปากเงียบทันที
สุ่ยเยี่ยนยวี่กวาดสายตามองคนในห้องและพูดต่อว่า “ข้าจะบอกอะไรให้พวกเจ้าได้รับรู้ว่าเคยมีคนที่ทะลวงผ่านระดับพลังต่อสู้ยี่สิบดาวอยู่!”่
“หืม!” ทุกคนหลุดอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ นี่เป็นการทำลายความรู้ความเข้าใจของพวกเขาทั้งหมด
“ในอดีตที่ผ่านมาผู้อาวุโสฉีหลานเคยทะลวงผ่านระดับพลังต่อสู้มากกว่ายี่สิบดาว ซึ่งไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน!” สุ่ยเยี่ยนยวี่กล่าวด้วยแววตาที่เปล่งประกายและรู้สึกชื่นชมเขาจากหัวใจ
หากผู้อาวุโสฉีหลานปรากฏตัวอยู่ที่นี่ บางทีเพียงแค่เขาพูดอะไรกับนางสักสองสามคำ เขาก็อาจพิชิตใจของนางได้แล้ว
“แต่การที่จะทำเช่นนั้นได้เกินกว่าที่คนทั่วไปจะทำได้ นอกจากจะได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์ ตัวอย่างเช่นได้รับการยอมรับจากสวรรค์และปฐพี” สุ่ยเยี่ยนยวี่กล่าวต่อ
หลี่เหว่ยเหว่ยรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และพูดว่า “พี่สุ่ย ถ้าท่านขึ้นมาจากโลกใบเล็กจากการเปิดสวรรค์ได้ นั่นหมายความว่าได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์และปฐพีหรือไม่?”
สุ่ยเยี่ยนยวี่ขบคิดอยู่ชั่วครู่และพูดว่า “ข้าไม่เคยเห็นคนที่ขึ้นมาจากโลกใบเล็กด้วยวิธีการเปิดสวรรค์มาก่อน ดังนั้นข้าจึงไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่ถ้ามีความสามารถเปิดสวรรค์ได้ คนผู้นั้นจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์และปฐพีอย่างแน่นอน”
หลี่เหว่ยเหว่ยพยักหน้า จักรวรรดิต้าหลิงขึ้นมาอยู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยวิธีการเปิดสวรรค์ ซึ่งไม่ใช่ความลับอะไร เพียงแค่ว่าจักรวรรดิต้าหลิงนั้นอ่อนแอเกินไป จึงไม่มีใครให้ความสนใจ
ดังนั้น ตอนนี้จึงมีเพียงแค่นางเท่านั้นที่รู้ว่าหลิงฮันเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิต้าหลิง ซึ่งเขาได้นำพาทุกคนขึ้นมาบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยวิธีการเปิดสวรรค์!
ถ้าเจ้าโง่หลิงสามารถเปิดสวรรค์ได้ เขาน่าจะมีพลังต่อสู้ยี่สิบดาว และได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์และปฐพี แล้วตอนนี้เขาจะมีพลังต่อสู้มากแค่ไหนกัน?
หลี่เหว่ยเหว่ยหันสายตาไปมองหลิงฮันทันที
ตอนที่ 903
ตามทฤษฎีแล้วจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไม่สามารถขัดเกลาพลังต่อสู้ให้เกินระดับทลายมิติยี่สิบดาวได้ มีเพียงจอมยุทธจากโลกใบเล็กที่ผ่านการเปิดสวรรค์มาเท่านั้นถึงจะได้รับวาสนาจากสวรรค์และปฐพี
แต่เหตุใดฉือเหรินถึงได้มีพลังต่อสู้ที่เกินกว่าระทลายมิติยี่สิบดาว?
เขาจะต้องเป็นผู้เปิดสวรรค์แน่นอน!
เช่นนั้นแล้วทำไมถึงไม่มีเรื่องราวของเขาจารึกเอาไว้? แม้แต่เซียงเฉิงหยินยังคิดว่าหลิงฮันคือคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ขึ้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผ่านการเปิดสวรรค์
เรื่องนี้อาจจะมีบางอย่างถูกซ่อนเอาไว้ก็เป็นได้
ฉือเหรินปรากฏตัวเมื่อสามแสนปีก่อน ในสำนักนภาสีชาดแห่งนี้การจะบรรลุระดับภูผาวารีขั้นสูงสุดจำเป็นต้องใช้เวลาสามร้อยปี แต่ถึงอย่างนั้นฉือเหรินกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่จักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะก็ไม่มีข่าวของเขา
สุ่ยเยี่ยนยวี่กล่าว “เพื่อที่พวกเจ้าจะขัดเกลาพลังต่อสู้ให้ถึงยี่สิบดาว พวกเขามีสิ่งที่ต้องทำอยู่อีกสามอย่าง หนึ่งคือพัฒนาปราณก่อเกิดในร่าง สองคือเสริมแกร่งกายหยาบ และสามคือขัดเกลาอำนาจแห่งกฎเกณฑ์”
“วันนี้เขาจะมาเริ่มจากการเสริมแกร่งกายหยาบ”
นางแสดงวิธีฝึกฝนให้ศิษย์ทุกคนเห็น การฝึกฝนนั้นง่ายมาก แต่ทำให้กระดูกในร่างแตกหักและซ่อมแซมมันใหม่
การทำเช่นนั้นจำทำให้กายหยาบมีความทนทานเหมือนกับโลหะ
เมื่อรับรู้ถึงวิธีเช่นนี้ทุกคนก็ตกตะลึง นี่มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว ด้วยวิธีนี้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานมากเท่าไหร่?
โชคดีที่ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะขัดเกลาพลังต่อสู้ของตนเองให้บรรลุยี่สิบดาว ตราบใดที่มีปัจจัยภายนอกเช่นทักษะยุทธที่เสริมพลังต่อสู้ให้พวกเขาบรรลุยี่สิบดาวได้ชั่วคราวก็เพียงพอแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องนำตนเองไปทนทรมานเช่นนั้น
เมื่อคาบเรียนจบ ถึงแม้ทุกคนจะมีความสุขที่ได้มองความงดงามของสุ่ยเยี่ยนยวี่ แต่พวกเขาก็หวาดกลัวนางจากการที่นางทำลายกระดูกในร่างของตนเองเช่นกัน
หลิงฮันเรียกหลี่เหว่ยเหว่ยมาหาและกลับไปยังที่พักของเขาโดยมีจื่อหยุนเอ๋อตามมาด้วย
“นี่ ทำไมต้องทำให้มันดูลึกลับด้วย เจ้ามีธุระอะไรกันแน่?” หลี่เหว่ยเหว่ยเอ่ยถามเมื่อมาถึงสวนในที่พัก
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้ามีอาหารอยากให้เจ้าลองกิน”
นางชะงักและมองไปยังหลิงฮัน “เจ้าคงไม่ได้ใส่ยาอะไรลงไปในอาหารหรอกนะ อย่าได้บังอาจคิดไม่ดีไม่ร้ายกับพวกข้าเชียว” เจ้าโง่นี่ริอาจคิดจะเหมาพวกนางทั้งสองคนสินะ!
“เหว่ยเหว่ย!” จื่อหยุนเอ๋อตะโกนออกมา ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง นางอดตกตะลึงในความคิดเพ้อเจ้อของหลี่เหว่ยเหว่ยไม่ได้
หลิงฮันนำวัตถุดิบต่างๆออกมาจากหอคอยทมิฬและเริ่มย่างเนื้อ “เจ้าจะอยากกินหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ถือว่าข้าขอร้องแล้วกัน!”
“จะใช้วิธีอ้อนวอนให้ข้าใจอ่อนรึ คิดจะใช้แผนนี้ยังเร็วไปสามร้อยปี… หืม?” จู่ๆหลี่เหว่ยเหว่ยก็สูดจมูก นางจ้องไปยังกลิ่นอันหอมหวนของเนื้อที่กำลังถูกย่าง
“กลิ่นหอมนี่มาจากส่วนผสมอะไร!” นางหวั่นไหว
“ไม่ต้องใส่ใจ!” หลิงฮันยิ้ม “เนื้อนี่จะใส่ยาไว้หรือไม่ เจ้าลองดูเองแล้วกัน!”
“เหอะ ถ้าเจ้ากล้าวางยาข้า คุณหนูผู้นี้จะฆ่าเจ้าทิ้ง!” หลี่เหว่ยเหว่ยเลียริมฝีปากและกล่าว “เจ้าโง่ เนื้อนี้เจ้าได้มาจากไหน ทำไมกลิ่นของมันถึงหอมหวานน่าอร่อยยิ่งนัก?”
หลิงฮันจ้องมองนางและกล่าว “อะไร เจ้าอยากจะกินมันแล้วรึ?”
“เหอะ!” หลี่เหว่ยเหว่ยเค้นเสียง “ถ้าคุณหนูผู้นี้ต้องการจะกินแล้วจะทำไม? เจ้าคิดว่าเจ้าจะห้ามข้าได้งั้นรึ!”
หลิงฮันกลายเป็นนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เพราะนางมีนิสัยเช่นนี้นี่เอง ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายถึงได้เป็นห่วงนางนัก เขายิ้มและกล่าว “ข้ามีวัตถุดิบเช่นนี้อีกมากมาย ข้าต้องการทำธุรกิจกับเจ้า!”
“ต้องการทำการค้าขายกับข้ารึ? แล้วข้าจะได้กำไรเท่าไหร่ล่ะ” หลี่เหว่ยเหว่ยโบกมืออย่างไม่แยแส ราวกับว่าตัวนางนั้นร่ำรวยอยู่แล้ว
หลิงฮันจ้องนางด้วยความเอือมระอาและกล่าว “เจ้ามีผลึกก่อเกิดอยู่เท่าไหร่? หากน้อยกว่าหนึ่งพันก้อนเจ้าก็ไม่นับว่าร่ำรวย!”
แววตาอันงดงามของจื่อหยุนเอ๋อส่องประกาย “ศิษย์น้องหลิงคิดจะขายวัตถุดิบเหล่านั้นจำนวนมาก?”
หลิงฮันปรบมือและกล่าว “ศิษย์พี่จื่อฉลาดยิ่งนัก!” เขาเพิ่งจะเข้าร่วมสำนักนี้เป็นปีแรก แม้จะไม่รู้ว่านางกับเขาใครอายุเยอะกว่า แต่นางก็ย่อมเรียกเขาว่าศิษย์น้อง
หลี่เหว่ยเหว่ยมีท่าทีไม่พอใจและตะโกนออกไป “เจ้าจะบอกว่าคุณหนูผู้นี้โง่งั้นรึ?”
“เพียงแต่ว่าเหนือเหล่านี้ไม่ใช่เนื้อพลังวิญญาณ ถึงแม้มันจะอร่อยขนาดไหนก็คงไม่มีใครยอมจ่ายด้วยผลึกก่อเกิด” จื่อหยุนเอ๋อกล่าว นางดูออกว่าหลิงฮันต้องการผลึกก่อเกิดจำนวนมาก
“เนื้อพลังวิญญาณคืออะไรรึ?” หลิงฮันเอ่ยถาม
หลี่เหว่ยเหว่ยเค้นเสียงดูถูกและกล่าว “ช่างบ้านนอกจริงๆ แต่เนื้อพลังวิญญาณก็ไม่รู้จัก! ข้าจะบอกให้แล้วกัน เนื้อพลังวิญญาณคือเนื้อที่จะได้จากสัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป เนื้อเช่นนี้มีเพียงไม่กี่ส่วนในร่างของสัตว์อสูร มันสามารถดูดซับได้โดยตรง พลังงานจากเนื้อเช่นนี้จะช่วยพัฒนารากฐานพลังบ่มเพาะได้ดีกว่าผลึกก่อเกิดเสียอีก แต่โชคร้ายที่เนื้อพลังวิญญาณจะมีมากขนาดไหนนั้นจะขึ้นอยู่กับระดับพลังบ่มเพาะของสัตว์อสูร หากเป็นสัตว์อสูรระดับภูผาวารีขั้นต่ำ เนื้อพลังวิญญาณก็จะมีขนาดเล็กนิดเดียว”
หลิงฮันส่งเสียงอุทาน ‘โอ้’ ออกมา เขาเพิ่งรู้ว่ามีสิ่งอื่นที่สามารถดูดซับเพื่อเพิ่มพลังบ่มเพาะได้อยู่อีก และในตอนนั้นเองเขาก็เห็นว่าเนื้อกำลังย่างสุกเกือบได้ที่แล้ว เขานำดาบออกมาหั่นเนื้อออกเป็นชิ้นเล็กพร้อมกำลังใส่จานส่งให้หลี่เหว่ยเหว่ยและจื่อหยุนเอ๋อกิน “ลองรสชาติของมันก่อนแล้วค่อยตัดสินว่ามันมีค่าพอจะให้ซื้อด้วยผลึกก่อเกิดหรือไม่”
“เจ้าโง่ นี่เจ้าคงไม่ได้ใส่ยาลงไปจริงๆใช่ไหม?” ใบหน้าของหลี่เหว่ยเหว่ยเต็มไปด้วยความสงสัย
“ถ้าเจ้าไม่กินงั้นข้ากินเองก็ได้!” หลิงฮันทำท่าทีเป็นจะดึงจานกลับ
“ส่งมันมาให้ข้าซะ เนื้อจานนั้นเป็นของข้า เจ้าไม่อาจนำมันกลับไปได้!” หลี่เหว่ยเหว่ยรีบนำจานกลับมา นางใช้ตะเกียบคีบเนื้อย่างและกัดคำใหญ่ ทันใดนั้นใบหน้าอันงดงามของนางก็เปลี่ยนสี
ตอนที่ 904
“เหว่ยเหว่ย เกิดอะไรขึ้น?” จื่อหยุนเอ๋อรีบถาม นางไม่ได้กังวลเรื่องยาพิษ แต่สงสัยสีหน้าที่หลี่เหว่ยเหว่ยแสดงออกมา
“มันอร่อยมาก!” หลี่เหว่ยเหว่ยพูดเสียงดังและรีบกินมันให้หมดทันที จากนั้นนางก็เห็นสายตาไปมองจานของจื่อหยุนเอ๋อราวกับต้องการกินส่วนของจื่อหยุนเอ๋อด้วย
จื่อหยุนเอ๋อหยิบเนื้อขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจและพูดว่า “มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรือ?”
หลี่เหว่ยเหว่ยหันหน้าไปพูดกับหลิงฮันว่า “เจ้าโง่หลิง นำเนื้อส่วนที่เหลือมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “แล้วท่านจะยอมแลกมันกับผลึกก่อเกิดไหมล่ะ?”
“แน่นอน!” หลี่เหว่ยเหว่ยพูดด้วยท่าทางหงุดหงิด “รีบเอามาให้ข้าได้แล้ว ข้าอยากกินอีก!”
“ระวังน้ำหนักของท่านจะขึ้นเอานะ!” หลิงฮันพูดพรางหัวเราะ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ว่าข้าจะกินเท่าไหร่ ข้าก็ไม่มีทางอ้วนหรอก เพราะข้าเกิดมาพร้อมกับรูปร่างที่ดี!” หลี่เหว่ยเหว่ยกล่าวท่าทางภาคภูมิใจ
หลิงฮันหยิบเนื้อที่สุกแล้ววางลงบนจานของหลี่เหว่ยเหว่ย
เมื่อมองไปที่เนื้อที่อยู่ในจาน มันทำให้หลี่เหว่ยเหว่ยรู้สึกมีความสุขมาก และรีบหยิบตะเกียบคีบเนื้อเข้าไปในปากทันที
จื่อหยุนเอ๋อยังคงรู้สึกสงสัย มันอร่อยขนาดนั้นเลยรึ?
หลี่เหว่ยเหว่ยเป็นคุณหนูสี่ของตระกูลผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แน่นอนนางจะต้องเคยกินอาหารอร่อยมามากมาย แต่ตอนนี้นางกลับทำตัวมูมมาม เมื่อเห็นเช่นนั้น จื่อหยุนเอ๋อเลยหยิบตะเกียบขึ้นมาและคีบเนื้อเข้าไปในปากและกัดมันอย่างนุ่มนวล
แม้เนื้อจะไม่สุกมากนัก แต่ก็สามารถกินได้ หลังจากที่นางกัดเพื่อที่จะชิมนั้น รสชาติที่หลากหลายของความเอร็ดอร่อยก็กระจายไปทั่วปาก ความอร่อยของมันทำให้จิตวิญญาณของผู้คนต้องสั่นไหว
ทำไมมันถึงอร่อยขนาดนี้?
จื่อหยุนเอ๋อยังคงรักษาท่าทีอยู่ แต่ยิ่งกินมากเท่าไหร่ ท่าทางของนางก็เริ่มมูมมามมากขึ้นเท่านั้น
“เมี๊ยว!” ทันใดนั้น มีเงาสีขาวกระโจนตัดหน้าพวกเขาไป ก่อนที่พวกทั้งสามคนจะตอบสนองได้ทัน เนื้อบนตะแกรงสองชิ้นก็หายไปแล้ว
“เจ้าแมวขาว!”
หลี่เหว่ยเหว่ยและจื่อหยุนเอ๋อหลุดอุทานออกมาพร้อมกัน มันคือเจ้าแมวขาวที่อยู่บนกำแพงมิใช่หรือ? และในปากของมันยังคาบเนื้อสองชิ้นเอาไว้อยู่ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ราวกับมันกำลังหัวเราะเยาะพวกเขาทั้งสามคน
จากนั้นมันก็เริ่มกัดกินเนื้อทั้งสองชิ้นทันที ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงอ้วนขนาดนั้น
คราวนี้หลิงฮันตื่นตัวเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่อาจตามความเร็วของเจ้าแมวอ้วนตัวนี้ได้อยู่ดี
“นั่นมันเนื้อของข้า!” หลี่เหว่ยเหว่ยส่งเสียงตะโกนด้วยความโกรธ “เจ้าแมวอ้วน เจ้ากล้าแย่งเนื้อของข้างั้นรึ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
หลิงฮันอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้และพูดว่า “จะพูดให้ถูก นั่นคือเนื้อของข้าต่างหาก”
หลี่เหว่ยเหว่ยเค้นเสียงและพูดว่า “ในเมื่อเจ้าเป็นคนของข้า แน่นอนว่าเนื้อของเจ้าก็คือเนื้อของข้า!”
“หืม เจ้าแมวตัวนี้….มันไม่ใช่แมวแต่เป็นสัตว์อสูรระดับพระเจ้า พยัคฆ์ขาว!” จู่ๆหอคอยน้อยก็พูดออกมา “เมื่อวันก่อนข้าไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้ข้ามั่นใจมาก มันจะต้องเป็นลูกหลานของพยัคฆ์ขาวไม่ผิดแน่นอน!”
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ เจ้าแมวอ้วนตัวนี้ไม่ใช่แมว แต่เป็นเสือ? มันไม่แตกต่างกันเกินไปหรอกหรือ หลิงฮันจึงถามหอคอยน้อยว่า “เจ้ามั่นใจรึ?”
“หึ่ม มีเพียงแค่ลูกหลานของพยัคฆ์ขาวเท่านั้นถึงมีกลิ่นอายที่สูงส่งและความเร็วที่น่าทึ่ง มันจะต้องเป็นพยัคฆ์ขาวอย่างแน่นอน” หอคอยน้อยกล่าว
“แล้วพยัคฆ์ขาวแข็งแกร่งหรือไม่?” หลิงฮันเคยเห็นลูกหลานของมังกรมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
“หึ่ม คนที่เจ้าเคยเห็นนับว่าเป็นทายาทของมังกรได้ด้วยรึ?” หอคอยน้อยเยาะเย้ย “คนพวกนั้นมีเพียงแค่เศษเสี้ยวของเลือดมังกรเท่านั้น แต่ลูกพยัคฆ์ขาวตัวนี้นั้นแตกต่าง มันมีสายเลือดที่บริสุทธิ์มาก แต่ดูเหมือนจะเกิดอะไรขึ้นบางอย่างกับมัน ทำให้ไม่สามารถแสดงเอกลักษ์ของมันออกมาได้”
“แล้วพยัคฆ์ขาวมันแข็งแกร่งแค่ไหน?” หลิงฮันถาม
“แล้วเจ้ารู้จักระดับสร้างสรรพสิ่งไหมล่ะ?” หอคอยถามกลับ
“ถ้ามันกลายเป็นพยัคฆ์ขาวเต็มตัว มันสามารถฆ่าได้แม้กระทั่งจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง!” หอคอยน้อยกล่าว
“ที่เจ้าพูดเป็นความจริง?” หลิงฮันไม่เชื่อ “จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์!”
“ยิ่งไปกว่านั้น…..” หอคอยน้อยเหมือนต้องการพูดอะไรบางอย่าง
“ยิ่งไปกว่านั้นอะไรอีก?” หลิงฮันถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร เจ้าฝึกฝนบ่มเพาะพลังของเจ้าต่อไปเถิด เรื่องไร้สาระพวกนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้!” หอคอยน้อยตอบกลับ
หลิงฮันรู้สึกไม่พอใจกับความเย่อหยิ่งของหอคอยน้อย แต่เขาก็ขี้เกียจเถียงกับมันอีกต่อไปและพูดว่า “แม้เจ้าแมวอ้วนจะเป็นทายาทของพยัคฆ์ขาว แล้วเจ้ามีความสามารถที่จะเอาชนะมันหรือไม่?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าไม่ข้าจะพูดเรื่องไร้สาระให้เจ้าฟังไปทำไม?” หอคอยน้อยกล่าวด้วยท่าทางอวดดี
หึ่ม มันทำตัวอวดดีอีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้หลิงฮันไม่สนใจท่าทางของมันและพูดว่า “ข้าจะเอามันมาได้อย่างไร? เพราะมันมีเจ้านายแล้ว!”
“หึ่ม ความภาคภูมิใจของพยัคฆ์ขาวจะถูกจอมยุทธระดับดาราบดบังได้อย่างไร? หากเจ้านำแร่เหล็กระดับพระเจ้าออกมา เจ้าพยัคฆ์ขาวน้อยนี่ก็สามารถดูดซับพลังของแร่เหล็กระดับพระเจ้าเพื่อยกระดับพลังของมันได้” หอคอยน้อยกล่าว
หลิงฮันนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้หอคอยทมิฬของเขาสามารถสร้างแร่เหล็กระดับพระเจ้าได้ทุกปี หากไม่นำมาใช้ คุณภาพของแร่เหล็กระดับพระเจ้าก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ตอนนี้หนึ่งปีได้ผ่านไปแล้ว ซึ่งเขามีแร่เหล็กระดับพระเจ้าอยู่ในมือแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น
“เจ้าพยัคฆ์ขาวนี่ยังเด็กอยู่ และตอนนี้เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับมัน หากเจ้ารักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้ได้ ในอนาคตมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่มันจะจดจำเจ้าได้ในฐานะเจ้านาย” หอคอยน้อยกล่าว
หลิงฮันคิดไตร่ตรองเล็กน้อยและนำแร่เหล็กระดับพระเจ้าออกมา อย่างไรก็ตาม เขายังมีเวลาก่อนที่จะทะลวงผ่านระดับพระเจ้า นอกจากนี้ ตราบใดที่เขามีผลึกก่อเกิดจำนวนมาก เขาก็สามารถนำมันไปซื้อแร่เหล็กระดับพระเจ้าได้มิใช่หรือ?
“โอ้ว นี่มันแร่เหล็กระดับพระเจ้า!” ในฐานะที่หลี่เหว่ยเหว่ยเป็นบุตรสาวของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย เพียงแค่หลิงฮันนำแร่เหล็กระดับพระเจ้าออกมา นางก็รู้ทันทีว่ามันคืออะไรและช่วยไม่ได้ที่นางจะรู้สึกแปลกใจ “เจ้าโง่หลิง เจ้าไปเอาแร่เหล็กระดับพระเจ้ามาจากไหน?เจ้าไม่ได้ไปขโมยใครมาหรอกใช่ไหม?”
หลิงฮันไม่สนใจคำพูดของนาง และแกว่งแร่เหล็กระดับพระเจ้าไปมาทางเจ้าแมวอ้วนแล้วพูดว่า “เจ้าอยากได้แร่เหล็กระดับพระเจ้าไหม?”
ทันใดนั้นเอง ขนของเจ้าแมวอ้วนก็ตั้งชัน มันเป็นทายาทของพยัคฆ์ขาว อีกฝ่ายไม่รู้หรือว่ามันทรงเกียรติแค่ไหน? ช่างเป็นมนุษย์ที่ไม่รู้อะไรเลย! มันแสร้างทำเป็นเมินเฉย อีกฝ่ายคิดว่าแร่เหล็กระดับพระเจ้าจะสามารถทำให้ข้าติดกับได้รึ? ชักจะดูถูกข้าเกินไปซะแล้ว
เมื่อเห็นมันนิ่งเฉย หลิงฮันเลยคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง และนำลูกบอลกำมะหยี่ออกมาจากหอคอยทมิฬและโยนลงพื้น
“เมี๊ยว!” เจ้าแมวอ้วนไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป และรีบเข้าไปงับลูกบอลกำมะหยี่ทันที และนอนกลิ้งอยู่บนพื้นขณะใช้อุ้งมือของเขาเขี่ยลูกบอลไปมา
เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้น หลี่เหว่ยเหว่ยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ในขณะที่จื่อหยุนเอ๋อยังคงรักษาท่าทางเอาไว้ แต่ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“ยังมีอีก!” หลิงฮันขว้างลูกบอลกำมะหยี่อีกลูกออกไป
“เมี๊ยว!” เจ้าแมวอ้วนรีบลุกขึ้นเพื่อไปคาบลูกบอลกำมะหยี่อีกลูก ตอนนี้มันไม่อาจควบคุมตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ 905
ถ้าหอคอยน้อยสามารถแสดงสีหน้าออกมาได้ มันคงจะตกตะลึงไปแล้ว
หอคอยน้อยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ลูกหลานของพยัคฆ์ขาวตัวนี้ช่างไร้สมองยิ่งนัก! มันคิดได้อย่างไรว่าตนเองเป็นแมว สมองอันน้อยนิดของมันต้องพังไปแล้วแน่ๆ”
“เจ้าแมวน้อยมานี่มา พี่สาวมีลูกบอลด้วยนะ!” หลี่เหว่ยเหว่ยหยิบลูกบอลไหมพรมจากพื้นขึ้นมาและโยนเล่น
แมวอ้วนไม่อาจต้านทานได้ มันคำรามออกมาอย่างเจ็บใจ ทำไมตัวมันถึงไม่สามารถต้านทานลูกบอลกลมๆนิ่มๆเช่นนี้ได้นะ?
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เจ้าแมวอ้วน มาเป็นสหายกันเถอะ เจ้าติดใจเนื้อของข้าแล้วไม่ใช่รึ? ถึงแม้ว่าหากเป็นที่นี่เจ้าจะสามารถขโมยมันไปจากข้าได้ แต่ข้าก็สามารถแอบไปกินเองคนเดียวที่อื่นได้เช่นกัน”
ถ้ามันไม่เคยลิ้มรสอาหารจากหอคอยทมิฬมาก่อน แมวอ้วนก็คงจะคิดว่าหลิงฮันกำลังล้อเล่นแน่ๆ คิดจะใช้อาหารมาล่อสัตว์อสูรชั้นสูงเช่นข้างั้นรึ? เจ้าจะดูถูกกันเกินไปแล้ว!
แต่เมื่อพูดถึงอาหารจากหอคอยทมิฬแล้ว ที่มันแอบมาหลบซ่อนๆอยู่ที่นี่ก่อนหลิงฮันมาถึงก็เพราะมันต้องการกินอาหารของหลิงฮันไม่ใช่รึ?
แมวอ้วนอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ ด้วยเกียร์ติของพยัคฆ์ขาวมันย่อมมีนิสัยหยิ่งยโส แต่มันก็ไม่อาจทนต่อการยั่วยุของอาหารที่แสนอร่อยได้เช่นกัน
“หากไม่ใช่สหายกัน ข้าก็ไม่อาจให้อาหารกับเจ้าได้ฟรีๆ” หลิงฮันยิ้ม
“เมี๊ยว!” แมวอ้วนพยักหน้ายอมรับข้อเสนอของหลิงฮัน แค่เป็นยอมสหายด้วย ตัวมันไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว
หลี่เหว่ยเหว่ยและจื่อหยุนเอ๋อตกตะลึง แมวตัวนี้เป็นแมวที่จางเต๋อหมานหวาดกลัวและกล่าวไว้ว่าห้ามไปล่วงเกินเด็ดขาด แต่ตอนนี้แมวที่ว่ากลับยอมเป็นสหายกับหลิงฮัน!
หลิงฮันอาหารออกมาเพิ่ม ไม่ใช่แค่เนื้อย่างแต่ยังมีอาหารอย่างอื่นด้วย
สมุนไพรพันปีนั้น แม้ในโลกใบเล็กมันจะมีมูลค่ามหาศาล แต่หากเป็นบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์มันก็คงไม่ต่างอะไรกับสมุนไพรทั่วไป
เพียงแต่ว่าในด้านของคุณภาพนั้น สมุนไพรที่เก็บเกี่ยวได้จากภายนอกย่อมไม่อาจเทียบกับสมุนไพรของหอคอยทมิฬได้ ดังนั้นถึงแม้หลี่เหว่ยเหว่ยจะเป็นบุตรสาวของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แต่เมื่อนางเห็นสมุนไพรที่หลิงฮันนำออกมา นางก็อดตกตะลึงไม่ได้
นี่โลกใบเล็กมั่งคั่งขนาดนี้เชียว?
ทุกคนเพลิดเพลินไปกับอาหารมากมาย แมวอ้วนนั้นถึงแม้มันจะเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่องอาจ แต่เมื่อมันกินอิ่ม มันก็ล้มตัวนอนลงอย่างเกียจคร้าน หลี่เหว่ยเหว่ยและจื่อหยุนเอ๋อต่างก็จบพุงของมันเล่นอย่างสนุกสนาน
ลูกหลานของสัตว์อสูรศักดิ์ศิทธิ์ที่ถูกล่อซื้อได้ด้วยอาหาร… ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!
หลิงฮันได้เรียกหนูทองคำออกมาเช่นกัน แต่เขาไม่ให้พวกหลี่เหว่ยเหว่ยพบว่าเขานำมันออกมาจากหอคอยทมิฬแต่เรียกออกมาจากที่พักแทน
เมื่อเห็นหนูทองคำ สัญชาติญาณของแมวอ้วนก็ถูกกระตุ้นในพริบตา มันรีบลุกขึ้นจากพื้นและทำหน้าที่ของแมว… หนูทองคำรีบฟุบลงกับพื้นเพื่อแกล้งตายทันที
หลิงฮันหัวเราะ “หนูนี่คือสัตว์เลี้ยงของข้า อย่าทำให้มันหวาดกลัวนักสิ!”
แมวอ้วนยกอุ้งเท้าขึ้นมาเลีย ในเมื่อสัญญาว่าจะเป็นสหายกันแล้ว มันก็ต้องไว้หน้าหลิงฮันบ้าง
หนูทองคำปันขึ้นไปบนไหล่หลิงฮัน กรงเล็บเล็กๆของมันชี้ไปยังแมวอ้วนและส่งเสียงร้อง ‘จิ๊ด จิ๊ด จิ๊ด’ ราวกับจะฟ้องหลิงฮันว่าเจ้าตัวใหญ่นั่นต้องการจะกินมัน
ทั้งหลี่เหว่ยเหว่ยและจื่อหยุนเอ๋อประหลาดใจ การที่สัตว์อสูรจะมีความคิดที่ฉลาดหลักแหลมนั้นไม่ใช่เรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แม้ความจริงสัตว์อสูรจะสามารถพูดได้หากบรรลุระดับทลายมิติ แต่พวกมันจะมีความคิดที่ฉลาดได้ก็ต่อเมื่อบรรลุระดับพระเจ้าแล้ว
แถมสัตว์อสูรหนูตัวเล็กเช่นนี้ก็หาได้ยากมากด้วย พวกนางรีบวิ่งไปคว้าหนูท้องคำทันทีจนหนูท้องคำต้องแกล้งทำเป็นตาย มันคิดไปเองว่าสตรีสองคนนี้คิดจะเข้ามาจับมันไปกิน
ในขณะที่กินอาหารหลิงฮันก็ได้ทำข้อตกลงร่วมธุรกิจกับสองสาวโดยสองสาวจะเป็นคนรับหน้าที่หาช่องทางการขายส่วนเขาจะรับหน้าที่จัดหาทรัพยากร รับได้ที่ได้รับนั้นจะถูกแบ่งกันครึ่งต่อครึ่ง หลิงฮันจะได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์และสาวสองจะได้อีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์
หลี่เหว่ยเหว่ยกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก นี่เป็นโอกาสดีที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของนาง
ในสายตาของบิดานาง นางนั้นเป็นคุณหนูที่ดีแต่ผลาญเงิน ดังนั้นหลี่เหว่ยเหว่ยจึงอยากจะทำให้บิดานางเห็นว่านางนั้นไม่ได้เป็นแค่คุณหนูที่เอาแต่พึ่งบารมีของบิดาอย่างเดียว!
จิตใจของนางฮึกเหิมและรีบลากจื่อหยุนเอ๋อไปหาช่องทางขายอย่างรวดเร็ว
เมื่อตกลงกันเสร็จหลิงฮันก็มุ่งหน้าไปยังหอสมุดฝ่ายเหนือ
หอสมุดแห่งนี้มีตำราอยู่นับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นทักษะบ่มเพาะ ทักษะยุทธ ทักษะหลอมเม็ดยา ทักษะรูปแบบอาคม แต่สำนักย่อมไม่ให้ใครก็ตามเรียนรู้ฟรีๆ เหล่าศิษย์จะต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้แต้มมาและใช้แต้มที่ว่าแลกเปลี่ยนกับทักษะ
แน่นอนว่านั่นมันสำหรับเฉพาะจอมยุทธระดับพระเจ้าขึ้นไปเท่านั้น แต่จอมยุทธระดับทลายมิติสามารถเรียนรู้ทักษะในระดับของตนเองได้ตามใจชอบ
เพราะงั้นหลิงฮันในตอนนี้จึงไม่ต้องกังวลเรื่องที่เขาไม่มีแต้มพอ
“แต้มงั้นรึ เรื่องนี้ค่อยคิดทีหลังแล้วกัน” หลิงฮันกล่าวในใจ หากเขาคารวะใครเป็นอาจารย์ เขาก็ต้องใช้แต้มแลกหรือหาวิธีอื่นเพื่อให้ได้ทักษะบ่มเพาะระดับศักดิ์สิทธิ์มาครอง
ทักษะศักดิ์สิทธิ์นั้นสามารถหาได้จากการประมูลโดยจ่ายด้วยผนึกก่อเกิด แต่ทักษะที่จะถูกนำมาประมูลขายได้ย่อมต้องเป็นทักษะที่ล้ำค่า แม้เขาจะเปิดธุรกิจขายอาหารจากหอคอยทมิฬก็เกรงว่าจะไม่สามารถหากำไรเทียบเท่าขุมอำนาจต่างๆของเมืองจักรพรรดิได้
อย่างน้อยก่อนที่ทักษะหลอมเม็ดของเขาจะยกระดับขึ้น เขาก็ต้องหาทางให้ได้แต้มมาเพื่อนำมาแลกทักษะในหอสมุด
เขาไม่อยากคารวะใครเป็นอาจารย์ หลังจากที่เขาได้เป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิต้าหลิง นิสัยของเขาก็เปลี่ยนไป จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความยิ่งยโสไม่ก้มหัวให้ใคร
เขาเดินมาถึงประตูของหอสมุดและพบเห็นชายชรานั่งอยู่บริเวณประตู ผมของเขาเป็นสีขาวยาวปิดหน้าจนไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้ ร่างกายท่อนบนของเขาโอนเอนไปมาราวกับกำลังสัปหงกอยู่
หลิงฮันคิดอะไรชั่วครู่ก่อนจะเดินผ่านชายชราไป
‘พรึบ’ ไม้เท้าถูกยื่นออกมาขวางทางเขาเอาไว้
“เด็กน้อย เจ้าคิดจะขโมยตำรางั้นรึ?” ชายชราเงยหน้าขึ้นมอง
“ข้าย่อมไม่กล้า ข้าแค่ต้องการยืมเท่านั้น” หลิงฮันกล่าว
ชายชราจ้องหลิงฮันเขม็งก่อนจะกล่าว “ใช้นิ้วของสัมผัสแท่นหินเพื่อตรวจสอบว่าเจ้าสามารถขึ้นไปได้กี่ชั้นและตำราเล่มไหนบ้างที่เจ้าสามารถอ่านได้ แผ่นหินนั่นจะบอกเจ้าเอง”
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แจง” หลิงฮันพยักหน้าและมองไปยังแท่นหินด้านหน้า แผ่นหินมีขนาดสูงเท่าครึ่งคนและมีหยกประดับไว้ด้านบน
เขายื่นมือไปสัมผัสและรู้สึกได้ทันทีว่าสติของเขาเกิดอาการมึนงงเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นเปกติ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะจิตวิญญาณของเขามีการรับรู้ที่ไว เขาคงเกิดอาการเช่นนี้
เมื่อเห็นสีหน้าของหลิงฮัน ชายชราก็กล่าวด้วยความแปลกใจ “เจ้าสัมผัสได้ด้วยรึว่าเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของเจ้าถูกดึงออกไป?”
ใบหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนไปทันที จิตวิญญาณเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิต แต่ตอนนี้เศษเสี้ยวของมันกลับถูกดึงออกไปงั้นรึ?
“ไม่ต้องกังวล มันไม่ส่งผลอันใดต่อเจ้าหรอก” ชายชรายิ้มและโบกมือ “เข้าไปข้างในได้!” หลังจากเห็นหลิงฮันเดินเข้าไป ชายชราก็บ่นพึมพำกับตัวเอง “จิตวิญญาณของเจ้าหนูนั่นช่างเฉียบแหลมนัก เขาทำให้ชายชราผู้นี้รู้สึกสนใจและอยากจับตามองเสียแล้ว”
ตอนที่ 906
หลิงฮันสามารถเดินดูตำราได้เพียงแค่ชั้นแรก ถึงจะแค่ชั้นแรกเขาก็สามารถอ่านตำราได้ทุกเล่ม
ทุกตำราล้วนแต่เป็นทักษะที่ต่ำกว่าระดับพระเจ้า
หลิงฮันไม่เร่งรีบ เขาค่อยเปิดตำราดูไปเรื่อยๆ
ทักษะบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ไม่ใช่ทักษะที่ล้ำเลิศอันใด ดังนั้นหากเขาต้องการขัดเกลาพลังต่อสู้ให้ถึงขีดจำกัดเขาจะต้องเปลี่ยนทักษะบ่มเพาะเสียก่อน
สำนักนภาสีชาดยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก ตำราทักษะบ่มเพาะที่พวกเขารวบรวมเอาไว้มีมากมาย แต่ละเล่มล้วนแต่เป็นตำราที่สมบูรณ์ที่สามารถใช้บ่มเพาะไปจนถึงระดับทลายมิติขั้นสูงสุด
หลิงฮันอ่านดูอยู่นานก็ยังไม่พบทักษะบ่มเพาะที่เหมาะกับเขา
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนึกบางอย่างออก “ข้ามีรากฐานวิญญาณหกธาตุที่มีความสมดุลกัน หากฝึกฝนทักษะหกธาตุที่ต่างกันจะทำให้เกิดทักษะที่รวมธาตุทั้งหกให้ผสานกันได้รึเปล่า?”
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงฮันก็ตื่นเต้นทันที
เขามองหาทักษะหกทักษะที่อยู่ในระดับเดียวกัน ห้าทักษะเป็นทักษะห้าธาตุพื้นฐานส่วนอีกหนึ่งทักษะคือทักษะธาตุสายฟ้า เขาค่อยๆจำเนื้อหาในตำราที่ละเล่ม
ตำราที่นี่ไม่สามารถนำออกไปข้างนอกได้ ทักษะไม่ได้ถูกบันทึกไว้บนหนังสือแต่สลักไว้บนกระดูก บ้างก็เป็นกระดูกสัตว์บ้างก็เป็นกระดูกมนุษย์ เวลาหยิบขึ้นมาถืออ่านนั้นช่างรู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก
เมื่อนิ้วของเขาสัมผัสเข้ากับตำรา กระดูกก็ส่องแสงสว่าง ทักษะแต่ละทักษะต่างถูกสลักเอาไว้ด้วยอักขระและรูปภาพ ไม่มีอักษรพื้นฐานใดๆถูกสลักเอาไว้เลย หากต้องการจะศึกษาทักษะจากตำราเหล่านี้ก็ต้องใช้ปราณก่อเกิดดูดซับความรู้เข้าไปในตันเถียน
“มีทักษะที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่ด้วย!”
หลิงฮันเปิดหูเปิดตาเป็นอย่างมาก เขามีต้นกำเนิดจากโลกใบไม่ แม้ว่าเขาจะใช้ชีวิตว่าสองชีวิตแล้วแต่โลกที่อาศัยอยู่ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ทักษะชั้นยอดที่เขาเคยเห็นมาก็เป็นเพียงทักษะที่ไม่สมบูรณ์จากเผ่าใต้ทะเลและห้านิกายโบราณ
ทักษะบ่มเพาะที่อยู่ตรงหน้าเขาเหล่านี้สามารถช่วยให้เขาบ่มเพาะพลังระดับทลายมิติให้มีพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นสองดาวเป็นอย่างน้อย
เขามั่นใจว่าหลังจากรวมทักษะทั้งหกให้เป็นหนึ่ง เขาจะสามารถขัดเกลาพลังต่อสู้ให้ถึงขีดจำกัดได้
ส่วนทักษะกายานั้น แค่ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชก็ทำให้พลังกายของเขาแข็งแกร่งมากพอแล้ว
หลังจากจดจำทักษะบ่มเพาะเสร็จ เขาก็ลืมตาขึ้นด้วยความพึงพอใจ หลิงฮันยิ้มก่อนที่จะเก็บตำราเข้าที่เดิมและมุ่งหน้าไปหาทักษะหลอมเม็ดยา
หลิงฮันเจอตำราโบราณเล่มหนึ่งที่เป็นตำราที่ถูกเขียนด้วยหนังสือจริงๆ มันเขียนไว้ถึงวิธีหลอมเม็ดยาระดับสิบ ซึ่งเม็ดยาระดับสิบนั้นแม้แต่จอมยุทธระดับภูผาวารีก็ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้
หลิงฮันไม่โลภมาก ตอนนี้เขาตัดสินใจศึกษาทักษะการหลอมเม็ดยาเพียงหนึ่งชนิดก่อน
การศึกษาวิธีหลอมเม็ดยานั้นง่ายมาก ตราบใดที่มีความจำที่ดีเยี่ยมก็ไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่การคือการลงมือปฏิบัติจริงต่างหาก
การสกัดพลังงานจากสมุนไพรนั้นเป็นสิ่งทำผิดพลาดได้ง่ายมาก ถ้าไม่ระวังให้ดีพลังงานที่สกัดออกมาจะเสื่อมสลาย
ดังนั้นในตำราหลอมเม็ดยา การคัดแยกสมุนไพรจึงมีเขียนไว้เพียงครึ่งหน้า ส่วนวิธีสกัดพลังจากสมุนไพรนั้นถูกเขียนเอาไว้ถึงสิบแปดหน้าเต็ม นี่ยังเป็นเพียงแค่ทักษะหลอมเม็ดยาระดับสิบเท่านั้น ถ้าหากเป็นเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ล่ะตำราจะถูกเขียนข้อมูลเอาไว้เยอะกว่านี้อีก
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หลิงฮันก็ปิดตำราและปิดลงตาลงเพื่อย่อยข้อมูลที่ได้รับมา
แม้จะมันจะไม่ใช่ทักษะการหลอมเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ แต่ในเมื่อเม็ดยาระดับสิบสามารถให้ประโยชน์ต่อจอมยุทธระดับภูผาวารีได้ ดังนั้นทักษะการหลอมเม็ดยาที่เขาได้รับมาจึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นเม็ดยากึ่งศักดิ์สิทธิ์ สำหรับหลิงฮันที่ยังเป็นจอมยุทธณะดับทลายมิติแล้ว การหลอมเม็ดยาชนิดนี้ขึ้นมานับว่าเป็นงานที่หินมาก
“จิตวิญญาณของข้าถูกทำให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างมหาศาลด้วยชาเกิดใหม่และคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ดังนั้นข้าในตอนนี้จึงมีคุณสมบัติพอในการหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์แล้ว” หลิงฮันกล่าวอย่างมั่นใจ
“แต่การหลอมเม็ดยานั้นจะสำเร็จได้ก็ต้องผ่านการปฏิบัติจริงลองผิดลองหลายครั้ง ข้าในตอนนี้ที่มีผลึกก่อเกิดเพียงสองก้อนย่อมไม่มีทางซื้อวัตถุดิบมาลองหลอมได้มากเท่าไหร่”
เขาเก็บตำราโบราณกลับเข้าที่และหันหลังเพื่อเดินออกจากหอตำรา เขาตั้งใจจะออกจากสำนักไปหาซื้อส่วนผสมในการหลอมเม็ดยา
เมื่อมาถึงประตูทางเข้าหอตำรา ชายชราคนเดิมก็จ้องมองมาที่เขา เมื่อเขาเดินออกหอตำราไปชายชราก็เอ่ย “แซ่ของชายชราผู้นี้คือฉือ เจ้าจะเรียกข้าว่าเฒ่าฉือก็ได้ ถ้าเจ้ามีเวลาว่างก็มานั่งคุยเล่นกับข้าได้ ชายชราผู้นี้ชื่นชอบการสนทนากับรุ่นเยาว์ไม่น้อย”
หลิงฮันหันกลับไปหาชายชราและกล่าว “ขอรับผู้อาวุโส”
ถึงแม้ชายชราผู้นี้จะไม่ปลดปล่อยออร่าใดๆออกมา แต่ในสำนักนภาสีชาดแห่งนี้จะมีชายชราธรรมดาๆอยู่ด้วยรึ?
เฒ่าฉือโบกมือลาหลิงฮัน ส่วนหลิงฮันก็หันหลังเดินจากไปอีกครั้ง หลังจากร่างของหลิงฮันหายไปจากสายตาชายชราก็พึมพำ “เจ้าหนูนี่คิดจะฝึกฝนทักษะบ่มเพาะถึงหกทักษะ! มีจอมยุทธไม่มากที่รู้ว่าหากฝึกฝนเพียงทักษะบ่มเพาะทักษะเดียวจะไม่สามารถขัดเกลาพลังต่อสู้ให้ถึงขีดจำกัด แต่จอมยุทธจากโลกใบเล็กกลับรู้สึกตัวถึงเรื่องนี้งั้นรึ ช่างน่าสนใจจริงๆ”
“แม้ว่าเขาจะรู้เรื่องนี้โดยบังเอิญเพราะโชคช่วย แต่โชคก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของพรสวรรค์เช่นกัน… ถ้าชายชราผู้นี้ไม่มีโชคล่ะก็ คงไม่อาจบ่มเพาะพลังมาถึงจุดนี้ได้!”
“บางทีสิ่งที่ชายชราผู้นี้ล้มเหลว เด็กหนุ่มคนนั้นอาจจะทำสำเร็จ!”
เมื่อเฒ่าฉือพึมพำเสร็จ แววตาของเขาก็ส่องประกายออกมาด้วยความน่าเกรงขาม แต่ทันใดนั้นโซ่เหล็กสีดำก็ปรากฏออกมารัดหน้าของเขาเอาไว้แน่น ชายชรากระอักโลหิตทันที
ด้านหลังของชายชราปรากฏดวงดาราสี่ดวง แต่ละดวงมีขนาดเท่ากัน หากมีใครมาพบเห็นคนผู้นั้นจะต้องหวาดผวาแน่นอน
ใครจะไปคิดว่าชายชราที่คุ้มครองหอตำราของสำนักฝ่ายเหนือจะเป็นจอมยุทธระดับดาราขั้นสูงสุดที่ไร้เทียมทาน?
ตอนที่ 907
หลังจากที่เดินออกมาจากหอสมุด หลิงฮันไม่ได้กลับไปที่พักของเขา แต่มุ่งหน้าไปที่เมืองจักรพรรดิเพื่อหาร้านขายเม็ดยาแทน
การฝึกฝนบ่มเพาะพลังไม่อาจแยกขาดจากเม็ดยาได้ และเม็ดยามีเพียงแค่นักปรุงยาเท่านั้นที่สามารถหลอมขึ้นมาได้และวางขายอยู่ในร้านขายเม็ดยา หลิงฮันเห็นร้านหลายแห่ง แต่ขนาดของร้านขายเม็ดยาที่เขาพบเจอนั้นมีขนาดเล็กเกินไป ทั้งยังขายเม็ดยาระดับต่ำ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะซื้อสมุนไพรหลอมเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์
หลิงฮันเดินหาอยู่สักพักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็พบร้านขายเม็ดยาขนาดใหญ่ที่มีแผ่นป้ายชื่อร้านขนาดใหญ่ติดอยู่ ทั้งยังมีทหารยามสี่คนยืนอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้า ซึ่งพวกเขาแต่ละคนนั้นเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติ
เพียงแค่มองหลิงฮันก็รู้แล้วว่าจะต้องมีของที่เขาต้องการขายอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน
อย่างที่คิดภายในร้านมีเม็ดยาและสมุนไพรจำนวนมากขายอยู่ และเม็ดยาที่มีระดับสูงสุดคือเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ด!
ถ้าเขาใช้มันจะเกิดอะไรขึ้น?
เม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นเจ็ดคือเม็ดยาสำหรับจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา ถ้าหลิงฮันใช้มัน ร่างกายของเขาจะต้องระเบิดตายอย่างแน่นอน
แต่โชคดีที่อัตราแลกเปลี่ยนผลึกก่อเกิดค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว ผลึกก่อเกิดหนึ่งก้อนสามารถซื้อเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ห้าเม็ด และถ้าใช้ซื้อสมุนไพรหลอมเม็ดยาจะได้สิบชุด ซึ่งสมุนไพรแต่ละชุดนั้นจะสามารถหลอมเม็ดยาขึ้นมาได้สูงสุดห้าเม็ด
อย่างไรก็ตามมีนักปรุงยาเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถหลอมเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาห้าเม็ดได้ด้วยสมุนไพรหลอมยาชุดเดียว ซึ่งสามเม็ดคือระดับมาตรฐาน
เมื่อคำนึงถึงต้นทุนแล้ว การหลอมเม็ดยาจึงเป็นธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล
แต่น่าเสียดาย การที่จะเป็นนักปรุงยาได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก และยิ่งนักปรุงยาที่มีอัตราสำเร็จมากกว่าล้มเหลวยิ่งมีน้อยยิ่งกว่า
ในขณะเดียวกันจอมยุทธระดับทลายมิติมีจำนวนมากที่สุดในจักรวรรดิราชวงศ์ดาราหายนะ ดังนั้นเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นที่นิยมมาก ไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ออกเลย ในทางตรงกันข้าม เม็ดยาของจอมยุทธระดับทลายมิตินั้นไม่แพง กำไรที่ได้รับจึงน้อย แต่สามารถขายได้จำนวนมาก
หลิงฮันไม่สนใจเรื่องพวกนั้น เขาไม่เพียงแค่ซื้อสมุนไพรหลอมยาเท่านั้น แต่ยังซื้อเมล็ดพันธ์ของพวกมันมาด้วย
ในเมื่อเขามีหอคอยทมิฬ เขาก็สามารถปลูกสมุนไพรได้ทุกชนิด!
เมื่อสมุนไพรที่เขาปลูกเติบโตจนได้ที่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่เพื่อซื้อสมุนไพรอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น สมุนไพรหลักที่ใช้สำหรับหลอมยามีอายุแค่ร้อยปีเท่านั้น ส่วนสมุนไพรอีกสองสามชนิดแค่สองร้อยปีก็เพียงพอแล้ว และด้วยความเร็วในการเพาะปลูกสมุนไพรของหอคอยทมิฬ แค่สองเดือนก็เพียงพอแล้ว
หลิงฮันใช้ผลึกก่อเกิดสองก้อนเท่านั้นเพื่อซื้อสมุนไพรสิบชุดและเม็ดพันธ์จำนวนมาก
หลังจากกลับไปที่สำนัก เขาก็เริ่มหลอมเม็ดยาทันที
การทำให้สมุนไพรบริสุทธิ์ สำหรับหลิงฮันแล้วไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย
เปิดเตา!
ในหอคอยทมิฬ หลิงฮันไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอุณหภูมิของเปลวเพลิง เพราะที่แห่งนี้เขาคือพระเจ้า
พรึบ เปลวเพลิงปะทุขึ้นมาและหลิงฮันก็เริ่มโยนสมุนไพรลงไปในเตาหลอมทีละชนิด ภายใต้เปลวเพลิงที่ร้อนแรง สมุนไพรเริ่มหลอมละลายเข้าด้วยกัน และวาดฝ่ามือที่ซับซ้อนออกไปไม่หยุด
ปัง ในขณะนั้นเองหลิงฮันถอนหายใจ เขาหลอมเม็ดยาล้มเหลว
ในฐานะจักรพรรดินักปรุงยา เขาไม่ได้ลิ้มรสความล้มเหลวของการปรุงยามานานแค่ไหนแล้ว?
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะระลึกถึงอดีตที่ผ่านมา หากไม่ล้มเหลวบ้าง เขาจะก้าวหน้าขึ้นได้อย่างไร?
แต่แทนที่หลิงฮันจะเริ่มหลอมเม็ดยาครั้งที่สองต่อ เขากลับหลับตาลงและค้นหาสาเหตุที่ทำให้เขาหลอมเม็ดยาล้มเหลว หากเขาหาต้นตอของปัญหาไม่ได้ ต่อให้เขาหลอมเม็ดยาร้อยครั้ง มันก็จะล้มเหลวร้อยครั้งอยู่ดี
หลังจากคิดหาสาเหตุอยู่นาน หลิงฮันก็เริ่มหลอมเม็ดยาครั้งที่สอง
ปัง เขาล้มเหลวอีกครั้ง
แต่การหลอมเม็ดยาครั้งที่สองนั้น หลิงฮันใช้เวลามากกว่ารอบแรก
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาก้าวหน้าขึ้นเล็กน้อย
หลังจากคิดหาสาเหตุอยู่นาน เขาก็เริ่มหลอมเม็ดยาอีกครั้ง
ใช่แล้ว หลิงฮันล้มเหลวอีกครั้ง แต่มันก็ไม่สำคัญ เพราะอย่างน้อยเขาก็ก้าวหน้าขึ้นอยู่บ้าง
ครั้งที่สี่ล้มเหลว ครั้งที่ห้าล้มเหลว และครั้งที่หกเขาก็ยังคงล้มเหลวเหมือนเดิม
แต่หลิงฮันก็ยังคงยิ้มออกมาให้เห็น และมั่นใจว่าครั้งที่เจ็ดจะต้องหลอมเม็ดยาสำเร็จอย่างแน่นอน
ครั้งนี้แหละข้าจะต้องทำเสร็จ!
ครึ่งวันต่อมา
สีหน้าของหลิงฮันกลายเป็นเคร่งขรึม ตอนนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
“จงเปิด!” หลิงฮันตะโกนและขยับนิ้วไม่หยุดโดยใช้เทคนิคสามเพลิงชี้นำ
สามเพลิงชี้นำคือเทคนิคลับที่เขาคิดค้นขึ้นมาเอง
ทันใดนั้นเอง หลิงฮันก็ยกฝาเตาหลอมขึ้นและมีเม็ดยาสีน้ำเงินห้าเม็ดลอยขึ้นมา แต่มีเม็ดยาสี่เม็ดที่ดูเหมือนจะล้มเหลว มีเม็ดยาแค่เม็ดเดียวเท่านั้นที่ลอยหนีไปจากเขาราวกับมันมีชีวิต
หลิงฮันรีบคว้ามันเอาไว้และออกมาจากหอคอยทมิฬทันที และรีบไปยืนอยู่กลางสวนเพื่อรอรับพลังสายฟ้าสวรรค์ แต่ทว่ามันกลับไม่มีร่องรอยของเมฆสายฟ้าเลยแม้แต่น้อย
หรือว่าข้าหลอมเม็ดยาในหอคอยทมิฬเลยถูกสวรรค์และปฐพีเมิน?
“เมี๊ยว!” เมื่อเห็นหลิงฮันเจ้าแมวอ้วนกรีดร้องด้วยความโกรธและพุ่งเข้าหาเขาพร้อมกับอุ้งมือที่จะตะปบใส่หลิงฮัน
“ไม่ใช่ว่าพวกเราเป็นสหายที่ดีต่อกันหรอกหรือ?” หลิงฮันรีบหลบอย่างรวดเร็ว
“เมี๊ยว! เมี๊ยว! เมี๊ยว! เมี๊ยว!” เจ้าแมวอ้วนยังคงส่งเสียงกรีดร้องไม่หยุด
“มันพูดว่า มันรอเจ้ามาเจ็ดวันแล้ว แต่เจ้าก็ไม่ยอมปรากฏตัวออกมาสักที และตอนนี้มันรู้สึกหิวมากด้วย” หอคอยน้อยกล่าว
ปากของหลิงฮันกระตุกเล็กน้อย “เจ้าพูดกับเจ้าแมวอ้วนตัวนี้รู้เรื่องด้วยรึ?”
“ทำไมข้าจะไม่ได้?” หอคอยน้อยกล่าวด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
จากนั้นชั่วครู่ หลิงฮันก็รู้สึกตกตะลึง นี่ผ่านมาเจ็ดวันแล้วอย่างนั้นรึ?
หลิงฮันอุ้มเจ้าแมวอ้วนขึ้นมาและพูดว่า “ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะทำอาหารให้เจ้ากินเดี๋ยวนี้แหละ! หากเจ้ายังไม่หยุด ข้าจะทำอาหารให้เจ้ากินได้อย่างไร?”
จากนั้น เจ้าแมวอ้วนก็หยุดอาละวาด และนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ
มนุษย์ เจ้าเป็นทาสแมวของข้าผู้นี้!
ตอนที่ 908
หลิงฮันเตรียมอาหารมือใหญ่ให้แมวอ้วนและตัวเขา แน่นอนว่าหนูทองคำก็ต้องออกมากินกับพวกเขาด้วย
เมื่อเห็นแมวกับหนูกินอาหารด้วยกัน หลิงฮันก็อดหัวเราะไม่ได้
แต่เมื่อแมวอ้วนเดินเข้าไปใกล้หนูทองคำเพราะจะแย่งเนื้อของมัน หนูทองคำก็หวาดกลัวจนตัวแข็งและนอนแน่นิ่งไปเพื่อแกล้งตาย
ที่มันขี้ระแวงเช่นนี้เป็นเพราะตอนที่อยู่กับฮูหนิว เด็กสาวคนนั้นมักจะมองมาที่มันด้วยน้ำลายที่ไหลเต็มปาก ทำให้มันรู้สึกไม่ปลอดภัย
เมื่อเด็กสาวที่ว่าหายไปไม่นาน ก็มีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวตัวใหม่ปรากฏขึ้น!
ทำไมเจ้านายของมันจึงมีแต่พวกน่ากลัวอยู่รอบๆตลอดเวลาเลย?
หลิงฮันหัวเราะไม่หยุด ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ แต่ในตอนนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เมื่อไปเปิดประตูเขาก็เห็นหลี่เหว่ยเหว่ยที่ยืนอยู่หน้าประตู มือของนางพาดเอวเอาไว้อย่างหยิ่งยโส
“เจ้าโง่ นี่เจ้าหายหัวไปไหนมาตั้งเจ็ดวัน? เจ้ารู้ไหมว่าคุณหนูคนนี้เสียเวลามาหาเจ้าทุกวันเลย? เจ้าเป็นแค่ผู้ติดตามของข้าแท้ๆ กล้าดีอย่างไรถึงให้ข้าเป็นฝ่ายมาหาเจ้า หรือเจ้าคิดจะกบฏ?”
คำพูดของนางแสดงออกถึงนิสัยความเป็นคุณหนูจริงๆ
หลิงฮันยกมือเกาหัวและยิ้ม “ข้าขอโทษจริงๆ พอดีเมื่อไม่กี่วันก่อนข้ามีธุระนิดหน่อย ว่าแต่ทำไมเจ้าถึงได้รีบร้อนเจอข้าขนาดนี้ หรือว่าหาช่องทางขายวัตถุดิบได้แล้ว?”
“เหอะ คุณหนูคนนี้เป็นคนขายเอง คิดหรือว่าจะขายไม่ได้?” หลี่เหว่ยเหว่ยกล่าว “วัตถุดิบที่เจ้าให้มาขายออกหมดแล้ว เพียงแต่ว่าเนื่องจากพวกมันเป็นเพียงของทดลองจึงยังไม่ได้ผลึกก่อเกิดแม้แต่ก้อนเดียว”
หลิงฮันพยักหน้า ถ้าไม่ใช่หลี่เหว่ยเหว่ยกับจื่อหยุนเอ๋อแต่เป็นคนอื่นคงจะไม่สามารถหาช่องทางขายได้ไวเช่นนี้
เขานำวัตถุดิบอาหารมากมายออกมาและมอบให้หลี่เหว่ยเหว่ย นางรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หลังจากนี้วัตถุดิบจะถูกซื้อขายด้วยผลึกก่อเกิด นางไม่รู้ว่าวัตถุดิบเหล่านี้จะทำรายได้ได้มากแค่ไหน แต่อย่างน้อยมันก็เป็นเงินที่นางหาได้ด้วยตัวเอง
หลิงฮันส่ายหัว ธุรกิจเช่นนี้ไม่อาจทำได้นาน
ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะอธิบายได้อย่างไรว่าวัตถุดิบที่นำออกมานั้นเขาเอามาจากที่ไหน?
อุปกรณ์มิติมีพื้นที่ที่จำกัด หากเขานำวัตถุดิบออกมาไม่จำกัด แถมอาหารที่ทำจากวัตถุดิบเหล่านี้ก็อร่อยเป็นอย่างมาก ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครสงสัย
นี่เป็นเพียงการหากำไรขั้นต้น เมื่อใดที่เขาหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างเชี่ยวชาญ เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะหารายได้เข้าตัวได้อย่างมหาศาล
เมื่อหลี่เหว่ยเหว่ยเดินจากไปหลิงฮันจึงเริ่มปรุงยาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ฝึกในหอคอยทมิฬแต่เป็นในสวนของที่พัก
เจ้าแมวอ้วนที่กินอิ่มนอนอย่างขี้เกียจอยู่บนกำแพง ถ้าหากมันอยู่ที่นี่หลิงฮันมั่นใจว่าจะไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนเขาแน่นอน มีใครไม่รู้ด้วยรึว่าแมวตัวนี้เป็นสัตว์ที่ประมุขเลี้ยงดูอยู่? พวกเขาจะกล้าล่วงเกินจอมยุทธระดับดาราได้อย่างไร?
เทียบกับในหอคอยทมิฬซึ่งเขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้ดั่งใจแล้ว ภายนอกนี้อุณภูมิความร้อนนั้นควบคุมได้ยากมาก แต่ถึงอย่างนั้นหลิงฮันก็ยังพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเปิดฝาเตาเขาก็มองเห็นเม็ดยาสามเม็ดที่ล้มเหลว
ส่วนเม็ดยาที่หลอมสำเร็จคือสองเม็ด
การพัฒนาของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว ถ้าหากเป็นนักปรุงยาคนอื่นล่ะก็เกรงว่าอาจจะใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปีกว่าจะทำได้เช่นนี้
เพียงแต่ว่ามันก็ยังไม่มีร่องรอยของเมฆสายฟ้าอยู่ดี
“หรือว่าบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ เม็ดยาระดับสิบจะไม่สามารถดึงดูดสายฟ้าสวรรค์ได้?” หลิงฮันคาดเดา หากไม่ใช่อย่างที่เขาคิดเขาก็นึกเหตุผลอื่นไม่ออกแล้ว
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องหลอมเม็ดยาให้สำเร็จทุกเม็ด มาลองอีกครั้ง!”
เมื่อหลอมครั้งที่เก้าเม็ดยาที่หลอมสำเร็จก็เพิ่มเป็นสามเม็ด ครั้งที่สิบเพิ่มเป็นสี่เม็ด
วัตถุดิบหมดแล้ว…
“หากได้หลอมอีกครั้ง บางทีข้าอาจจะหลอมสำเร็จครบห้าเม็ด” หลิงฮันกล่าวในใจ
ตอนนี้เขาหลอมเม็ดยาสำเร็จแล้วสิบเม็ด หากนำเจ็ดเม็ดไปแลกเป็นผลึกก่อเกิดก็ยังนับว่าได้กำไร
“นี่ล่ะคือข้อได้เปรียบของนักปรุงยา ข้าเลือกทางเดินในชีวิตที่แล้วไม่ผิดจริงๆ!”
หลิงฮันยิ้มและเดินออกจากสวนที่พักเพื่อนำเม็ดยาเจ็ดเม็ดไปขายเป็นผลึกก่อเกิดและจะซื้อชุดสมุนไพรกลับมาอีกครั้ง หลายวันที่ผ่านมาเขาเก็บตัวปรุงยาโดยไม่ได้ฝึกฝนทักษะบ่มเพาะเลย
“สิ่งที่ขาดแคลนคือเวลา ข้ารู้สึกว่าเวลาฝึกฝนตอนนี้ไม่เพียงพอแม้แต่น้อย!”
หลิงฮันถอนหายใจ ตอนนี้เขาต้องฝึกฝนทั้งการปรุงยาและการบ่มเพาะซึ่งเขาต้องเลือกฝึกอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน หากทำทั้งสองพร้อมกันจะไม่มีอะไรเลยที่ประสบความสำเร็จ
“ต้องมุ่งเน้นไปที่ฝึกวิถีวรยุทธ!” หลิงฮันตัดสินใจเลือกได้ทันที การปรุงยานั้นคือการฝึกฝนเพื่อสนับสนุนการบ่มเพาะพลัง การจะแข็งแกร่งหรือเป็นที่ยอมรับนั้นคือการมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่ง
ความแข็งแกร่งต่างหากคือทุกสิ่ง
เขาไปขายเม็ดยาที่ร้านโอสถร้านเดิม คนที่รับซื้อนั้นไม่รู้สึกตัวเลยว่าเม็ดยาที่หลิงฮันขายไปคือการทดลองหลอมครั้งแรกและคิดว่าเขาเป็นนักปรุงยามากประสบการณ์
คนที่รับซื้อมีท่าทีอ่อนน้อมต่อเขาทันที เพราะอย่างไรนักปรุงยาก็เป็นตัวตนที่หาได้ยากยิ่ง การจะหลอมเม็ดยาระดับสิบนั้นไม่ใช้เรื่องง่ายๆ
หลิงฮันยิ้มและขอซื้อชุดสมุนไพรสิบชุด เขาเก็บพวกมันเข้าไปในหอคอยทมิฬก่อนที่จะขอตัวลา
“หืม?” เมื่อหลิงฮันเดิมออกจากร้านโอสถ หลัวหลี่ก็ปรากฏตัวจากมุมหนึ่งและมองตามหลังหลิงฮัน เขาแปลกใจไม่น้อยที่หลิงฮันที่เป็นคนจากโลกใบเล็กมาทำอะไรทีนี่?
เขาเดินเข้าไปในร้านโอสถและเอ่ยถาม “คนที่ออกไปเมื่อครู่มาทำอะไรที่นี่?”
เขาที่เป็นถึงนายน้อยของตระกูลหลัว มีหรือที่อีกฝ่ายจะไม่กล้าตอบคำถามของเขา “ลูกค้าคนเมื่อกี้มาขายเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์เจ็ดเม็ดแล้วก็…”
“ว่าไงนะ!” หลัวหลี่อุทานออกมาก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดเสร็จ แววตาของเขาส่องประกายและกล่าว “เจ้าพูดไม่ผิดแน่นะ?”
อีกฝ่ายพยักหน้า เรื่องแค่นี้เขาจะพูดผิดรึไง?
หลัวหลี่แสยะยิ้มทันที สำนักนั้นมีกฎที่เคร่งครัดว่าห้ามนำเม็ดยามาขายให้ร้านค้า ไม่ว่าจะเป็นทักษะบ่มเพาะหรือทักษะยุทธก็เช่นกัน โทษที่ฝ่าฝือกฏนั้นหนักหนาแน่นอน ฮ่าๆๆ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะบังเอิญเจอวิธีแก้แค้นหลิงฮันได้โดยบังเอิญเช่นนี้
ว่าแต่หลิงฮันไปเอาเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์เจ็ดเม็ดมาจากไหนกัน?
ข้อสงสัยนี้ผุดขึ้นมาในหัวของหลัวหลี่แต่เขาก็โยนมันทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ตราบใดที่หลิงฮันนำเม็ดยาที่ได้จากสำนักมาขาย นั่นก็ถือว่าเป็นการทำผิดกฎที่ร้ายแรง!
เขาตื่นเต้นจนลืมเรื่องที่ว่าเขามาซื้อเม็ดยาและหันหลังกลับทันที
เรื่องที่น่าขบขันก็คือหากเขาเอ่ยถามคนขายอีกสักหน่อย เขาอาจจะรู้ว่าเม็ดยาเหล่านั้นถูกหลอมขึ้นโดยหลิงฮัน แต่ถึงแม้คนขายจะบอกเขาเช่นนั้นหลัวหลี่ก็ไม่เชื่ออยู่ดี จอมยุทธจากโลกใบเล็กแถมยังเป็นเพียงรุ่นเยาว์น่ะรึจะสามารถหลอมเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ได้?
ตอนที่ 909
หลัวหลี่รีบวิ่งกลับไปบ้านและไปหาหลัวป้าทันที เขารู้ว่าสติปัญญาของเขาไม่ได้ฉลาดเท่าพี่ชายของเขา ดังนั้นถ้าหลัวป้าเป็นคนจัดการหลิงฮัน อีกฝ่ายจะต้องดิ้นไม่หลุดอย่างแน่นอน
“พี่! พี่ชาย!” หลัวหลี่อ้าวิ่งกลับมาด้วยความเหนื่อยและอ้าปากเพื่อพะงาบหายใจ เพราะเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในสำนัก ดังนั้นกว่าจะมาถึงบ้านระยะห่างจึงค่อนข้างไกล ซึ่งปกติแล้วเขาจะเข้าสำนักทุกห้าวันเพื่อฟังการบรรยาย
หลังจากหยุดพักหายใจเสร็จ หลัวหลี่ก็พูดในสิ่งที่เขาเห็นออกมา
หลังจากที่หลัวป้าได้ยินเรื่องดังกล่าว เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที “หลิงฮันเอ๋ย ในที่สุดข้าก็จับทางเจ้าได้แล้ว แล้วมาดูกันว่าข้าจะจัดการเจ้ายังไง!”
“พี่ชาย แล้วพวกเราจะลงมือยังไงดี?” หลัวหลี่รีบถาม เขาเองก็รู้สึกเกลียดหลิงฮันมาก
หลัวป้าคิดอยู่ชั่วครู่และพูดว่า “จับโจรจะต้องจับคาหลักฐาน พวกเราจะปล่อยให้หลิงฮันนำเม็ดยามาขายอีกครั้ง แล้วค่อยจับเขาคาหลักฐานในมือ!”
“พี่ชาย เจ้าหมอนั่นอาจเห็นหน้าข้า บางทีครั้งหน้ามันอาจนำเม็ดยาไปขายที่อื่นก็เป็นได้” หลัวหลี่กล่าว
หลัวป้าพยักหน้าและพูดว่า “มันว่าจะเป็นกรณีใด พวกเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ และรอจนกว่าการทดสอบประจำเดือนสิ้นสุดลง ถ้าพวกเราไม่สามารถจับหลิงฮันคาหลักฐานได้ พวกเราจะไปฟ้องผู้อาวุโสโดยตรงและยิ่งมีพยานด้วยหลิงฮันจะต้องดิ้นไม่หลุดอย่างแน่นอน!”
เขาคิดไตร่ตรองอยู่สักพักและพูดต่อว่า “เรื่องนี้ข้าจะขอให้ผู้นำตระกูลออกตัวด้วย หากมีเขาเคลื่อนไหว การจะเหยียบย่ำหลิงฮันให้จมดินไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย!”
“ฆ่าเขา!” หลัวหลี่กล่าวด้วยความแค้น ถ้าหลิงฮันไม่ตาย เขาคงนอนไม่หลับ
หลัวป้าแสยะยิ้ม แต่ความผิดที่ขายเม็ดยาของสำนักยังไม่เพียงพอที่จะทำให้หลิงฮันต้องตาย เพราะอย่างไรก็ตาม หลิงฮันก็ยังคงเป็นอัจฉริยะระดับสี่ดาวอยู่ดี ซึ่งหาตัวจับได้อย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ แต่ท้ายที่สุดกฎก็ยังคงเป็นกฎ หากผู้นำตระกูลเป็นฝ่ายเข้ามากดดันพวกเขาด้วยตัวเอง เขาสามารถเปลี่ยนเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ และพวกเขาจะต้องขับไล่หลิงฮันออกจากสำนักสีชาดอย่างแน่นอน
หากไม่มีสำนักนภาสีชาดหนุนหลัง จอมยุทธระดับทลายมิติจากโลกใบเล็กจะนับว่าเป็นอันใดได้? เพียงแค่เหยียบด้วยเท้าก็ตายแล้ว
“กล้าที่จะเล่นกับไฟ นั่นคือราคาที่เจ้าต้องจ่าย!” แววตาของหลัวป้ากลายเป็นเย็นชา เป้าหมายแรกของเขาคือหลิงฮัน เป้าหมายที่สองคือหม่าชิง พวกเขาทั้งสองคนจะต้องตาย
ส่วนเฉิงฮ่าวเฟยนั้นเขาไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้ เพราะความแข็งแกร่งของตระกูลเฉิงนั้นเหนือกว่าตระกูลหลัวของเขา ดังนั้นจึงทำได้แค่ปล่อยอีกฝ่ายไปเท่านั้น
ส่วนหลัวหลี่เขาต้องการฆ่าหลิงฮันแค่คนเดียว และอดที่จะหัวเราะไม่ไหวแล้ว เมื่อนึกฉากที่หลิงฮันจะต้องถูกเขาเหยียบย่ำ
……
หลังจากที่หลิงฮันกลับมาถึงสำนัก หลี่เหว่ยเหว่ยและจื่อหยุนเอ๋อก็มาหาเขาพร้อมกัน พวกนางขายวัตถุดิบให้เขาหมดแล้ว รายได้ที่ได้รับทั้งหมดคือผลึกก่อเกิดสามสิบหกก้อน แต่หลิงฮันได้รับส่วนแบ่งแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น นั่คือสิบแปดก้อน
ส่วนหลี่เหว่ยเหว่ยและจื่อหยุนเอ๋อ พวกนางได้ผลึกก่อเกิดคนละเก้าก้อน
แม้จะฟังดูน้อย แต่ถ้าคิดเป็นเงินถือว่ามีมูลค่ามหาศาลมาก แม้แต่หลิงฮันและจื่อหยุนเอ๋อที่เป็นสองในสามศิษย์อัจฉริยะหน้าใหม่ของสำนักยังได้รับผลึกก่อเกิดจากสำนักแค่สองก้อนต่อเดือนเท่านั้น
ในขณะที่หลี่เหว่ยเหว่ยเป็นบุตรสาวของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แม้ผลึกก่อเกิดเก้าก้อนจะไม่มากมายนัก แต่นางก็รู้สึกมีความสุขที่ได้รับมันมาด้วยความสามารถของตัวเอง
“จริงสิ เจ้าขาดเรียนวิชาของพี่สุ่ยสองครั้งแล้ว ตอนนี้พี่สุ่ยรู้สึกโกรธเจ้ามาก เจ้าจะต้องถูกนางทำโทษอย่างแน่นอน!” หลี่เหว่ยเหว่ยจ้องมองหลิงฮันด้วยท่าทางมีความสุขกับความโชคร้ายของเขา การทำธุรกิจด้วยกันกับหลิงฮันเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความไม่พอใจของนางกับหลิงฮันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลิงฮันถอนหายใจ หลายวันที่ผ่านมาเขาเอาแต่เก็บตัวฝึกฝนปรุงยาและต้องใช้เวลาหลายวันถึงจะหลอมเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาได้ ซึ่งเขาจะปล่อยให้สมุนไพรปรุงยาที่เขาซื้อมาสูญเปล่าได้อย่างไร? นอกจากนี้เพื่อหารายได้เข้ากระเป๋ามีเพียงแค่การปรุงยาเท่านั้นที่เขาสามารถทำได้ ซึ่งเขาไม่ได้มั่งคั่งเหมือนกับนางเสียหน่อยนี่
หลังจากที่พวกนางทั้งสองคนกินข้าวกันเสร็จ พวกนางก็หันไปเล่นกับเจ้าแมวอ้วน แล้วจากกลับบ้านพร้อมกับแหวนมิติที่เต็มไปด้วยวัตถุดิบทำอาหาร ซึ่งพวกนางไม่ได้รู้สึกสงสัยอุปกรณ์มิติของหลิงฮันเลยแม้แต่น้อยว่าทำไมเขาถึงมีวัตถุดิบมากมายขนาดนั้น
จากนั้น หลิงฮันก็เริ่มปรุงยาอีกครั้ง
สองวันผ่านไปและสามวันก็ผ่านไป เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เม็ดยาที่เขากำลังหลอมอยู่คือเม็ดยาระดับสิบ ซึ่งหลิงฮันไม่อาจเร่งรีบหลอมเม็ดยาให้เสร็จได้
แต่ผลตอบแทนที่ได้รับถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง เขาหลอมเม็ดยาสองเตาแรกได้รับเม็ดยาแค่สี่เม็ด แต่อีกแปดเตาที่เหลือเขาสามารถหลอมสำเร็จครบทั้งห้าเม็ด
นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าจักรพรรดินักปรุงยา
หลิงฮันรู้สึกพอใจมาก คราวนี้เขามีเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดสี่สิบแปดเม็ด นี่หมายความว่ากำไรที่เขาจะได้รับจะมากกว่าเงินลงทุนถึงหกเท่า
แน่นอนว่าผลลัพธ์ดังกล่าวมันเป็นเพราะเขาเป็นจักรพรรดินักปรุงยา หากเป็นนักปรุงยาคนอื่นกำไรสองหรือสามเท่าถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว
แต่เม็ดยาจำนวนมากขนาดนั้น เขาไม่อาจนำไปขายร้านเดิมได้อีกต่อไป
สำนักนภาสีชาดมีตลาดมืดอยู่ ซึ่งศิษย์ส่วนใหญ่จะนำไปขายและแลกเปลี่ยนที่นั่น ซึ่งทุกคนจะใช้ผ้าคลุมสีดำปกปิดตัวตนของตัวเอง
หลิงฮันมั่นใจว่าถ้าเขาขายเม็ดยาห้าเม็ดแลกกับผลึกก่อเกิดหนึ่งก้อน เขาจะต้องขายหมดอย่างแน่นอน
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะเขาหลอมขึ้นมาด้วยตัวเอง!
ยิ่งไปกว่านั้น เม็ดยาที่เขาหลอมขึ้นมาเองยังมีประสิทธิภาพมากกว่าเม็ดยาที่ได้รับจากสำนักถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์
ตอนกลางคืน หลิงฮันสวมเสื้อคลุมสีดำและไปที่ตลาดมืด หลังจากเดินไปถึงเขาถอดเสื้อคลุมสีดำออกและปกปิดใบหน้าด้วยผ้าสีดำแทน แล้วเดินไปที่ตีนเขาลูกเล็กๆ
สำนักนภาสีชาดนั้นมีขนาดใหญ่มาก ในสำนักมีภูเขาถึงสามลูก และนี่คือภูเขาลูกที่เล็กที่สุด เมื่อถึงตอนกลางคืนมันจะกลายเป็นตลาดมืด
มันเป็นตลาดมืดได้อย่างไรนั้นไม่มีใครทราบ อย่างไรก็ตาม หากมีอะไรเกิดขึ้นทางสำนักจะไม่รับผิดชอบใดๆทั้งสิ้น
แน่นอนว่าตลาดมืดจะเปิดแค่ตอนกลางคืนเท่านั้น เพราะบรรยากาศจะมืดครึ้มและมีเพียงแค่แสงสว่างสลัวๆของดวงจันทร์
หลิงฮันเดินมาอยู่ที่มุมมุมหนึ่ง เขานั่งลงกับพื้นและปักแผ่นไม้อยู่ด้านหน้า บนแผ่นป้ายเขียนไว้ว่า “ขายเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์ ห้าเม็ดผลึกก่อเกิดหนึ่งก้อน ประสิทธิภาพไม่ธรรมดา”
หลังจากตั้งร้านขายได้สักครู่ มีหลายคนที่เดินผ่านหน้าร้านของเขา แต่พวกเขาเพียงแค่หันสายไปมองเท่านั้นและบางคนถึงขั้นแสยะยิ้มเยาะเย้ยออกมาให้เห็น
ของที่ขายในตลาดมืดนั้นมีราคาถูกและของหายาก ถ้าเป็นของทั่วไปพวกเขาไปซื้อข้างนอกในราคาที่เท่ากันไม่ดีกว่าหรือ? ทั้งปลอดภัยกว่าและไม่มีปัญหา
เจ้าบอกว่าเม็ดยาของเจ้ามีประสิทธิภาพไม่ธรรมดาอย่างนั้นรึ?
หลังจากที่หลิงฮันนั่งขายมาหนึ่งชั่วโมง มีชายร่างใหญ่เดินเข้ามา แม้เขาจะสวมเสื้อคลุมสีดำ แต่ก็ไม่อาจปกปิดกล้ามเนื้อของเขาได้มิด
ชายคนนั้นยืนอยู่ด้านหน้าหลิงฮันและพูดว่า “ข้าอยากเห็นสินค้าของเจ้า”
หลิงฮันพยักหน้าและนำขวดยาออกมา ซึ่งในขวดมีเม็ดยาบรรจุเอาไว้หนึ่งเม็ด
ตอนที่ 910
ชายคนนั้นรับขวดไปและลองเปิดฝา เขาสูดดมกลิ่นของเม็ดยาก่อนจะแสดงท่าทีตกใจเล็กน้อย นี่เป็นเม็ดยาระดับศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แถมคุณภาพยังยอดเยี่ยมอีกด้วย มันบริสุทธิกว่าเม็ดยาปกติที่เขาเคยกิน
เขาเทเม็ดยาออกมาและตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนจะพยักหน้าและกล่าว “ถ้าทุกเม็ดคุณภาพเช่นนี้ ข้าก็ขอรับซื้อห้าเม็ด”
หลิงฮันส่งขวดยาที่เหลือให้อีกฝ่ายและกล่าว “ขอบคุณมากที่อุดหนุน หวังว่าเราจะได้แลกเปลี่ยนกันอีกครั้ง”
อีกฝ่ายไม่กล้าอยู่ที่ตลาดมืดนาน เขาพยักหน้าและโยนผลึกก่อเกิดให้หลิงฮัน
เมื่อทั้งสองฝ่ายพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ การค้าขายก็ถือว่าเสร็จสิ้น
หลิงฮันได้กำไรจากราคาวัตถุดิบสิบเท่า!
แต่หลิงฮันก็ยังคิดว่ารายได้ของเขาในตอนนี้ยังน้อยอยู่เนื่องจากเม็ดยาไม่ใช่เม็ดยาระดังสูงมาก ถ้าหากเป็นเม็ดยาที่สูงกว่าเม็ดยาระดับสิบล่ะก็ รายได้ของเขาจะมหาศาลกว่านี้มาก
“ขอข้าขวดนึง” เสียงของสตรีดังเข้ามาในหูหลิงฮัน แม้น้ำเสียงของอีกฝ่ายจะเย็นชาแต่ก็ยังไพเราะ
หลิงฮันเหลืออยู่ขวดสุดท้ายพอดี เขาส่งขวดยาให้อีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ เมื่อพวกเขาซื้อขายกันเสร็จหลิงฮันก็ปัดก้นเดินออกจากตลาดมืด
ในตอนนี้เขาไม่อยากจะใช้เวลาไปกับการปรุงยามากนัก เขาต้องฝึกฝนทักษะบ่มเพาะทั้งหกธาตุให้เชี่ยวชาญเพื่อขัดเกลาพลังต่อสู้บรรลุระดับทลายมิติยี่สิบดาวและทะลวงผ่านระดับภูผาวารีให้เร็วที่สุด หากเขายังไม่บรรลุระดับพลังของพระเจ้าเขาก็ไม่ต่างอะไรกับมดปลวก
เมื่อหลิงฮันจากไปสตรีที่ซื้อเม็ดยาก็เปิดฝาขวดเพื่อตรวจสอบ นางแสดงท่าทีตกตะลึงและอุทานออกมา “ประสิทธิภาพของเม็ดยามีมากกว่าปกติถึงสามส่วน! เม็ดยานี้ไม่ใช่เม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงมาก ดังนั้นนักปรุงยาที่คิดจะค้นคว้าหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพให้เม็ดยาชนิดนี้จึงมีเพียงน้อยนิด”
“ประสิทธิภาพสามส่วนที่เพิ่มขึ้นจากเม็ดยาเม็ดนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดจากวิธีการปรุงยาที่พิเศษ!”
ภายใต้ผ้าคลุมหน้า ใบหน้าที่งดงามกำลังแสดงสีหน้าตกตะลึง ถ้าหากมีวิธีการหลอมเม็ดยาที่ว่าอยู่จริงๆ ทักษะการหลอมที่ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อศาสตร์แห่งการปรุงยาทั้งโลก
“โชคดีที่ข้ายังจดจำกลิ่นของเขาได้!” นางกล่าวด้วยท่าทีพึงพอใจ
ชื่อของนางคือกู่หลิงยื่อ นางเป็นหนึ่งในสามสตรีที่งดงามที่สุดของเมืองจักรพรรดิคนสุดท้าย นางเข้าร่วมกับสำนักนภาสีชาดเมื่อสองปีก่อน เพียงแต่ว่านางนั้นไม่ได้เข้าร่วมฝ่ายเหนือ ใต้ ออก หรือตก แต่นางเข้าร่วมกับสำนักฝ่ายปรุงยาที่รับสมัครเพียงนักปรุงยาเท่านั้น
ในด้านการปรุงยานั้นพรสวรรค์ของนางโดดเด่นเป็นอย่างมาก ซึ่งความสามารถในการดมกลิ่นก็เป็นหนึ่งในพรสวรรค์ที่ว่า สามารถจดจำและแยกแยะกลิ่นของสมุนไพรที่นางเคยดมมาก่อนได้ ทักษะเช่นนี้นับว่ามีประโยชน์ต่อการปรุงยามาก
“ถ้าเขาเป็นปรุงยา บางทีเราอาจจะแลกเปลี่ยนความรู้กันได้” กู่หลิงยื่อรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาและเริ่มดมกลิ่นเพื่อตามรอยหลิงฮัน หลังจากเดินมาซักพักนางก็มาถึงบริเวณหอพักของสำนักฝ่ายเหนือ
ในตอนแรกนางคิดว่าหลิงฮันแต่เดินผ่านมาทางนี้ แต่เมื่อรู้ว่ากลิ่นของหลิงฮันหายเข้าไปในสำนักฝ่ายเหนือโดยไม่เดินออกมานางก็รู้สึกประหลาดใจ
นี่เขาเป็นจอมยุทธไม่ใช่นักปรุงยา?
นางตัดสินใจรอคอยต่อไปก่อน อย่างแรกเลยคือนางต้องไปตรวจสอบพื้นเพของหลิงฮัน
ตระกูลกู่เป็นตระกูลใหญ่ การจะตรวจสอบพื้นหลังของลูกศิษย์ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็น
……
หลิงฮันไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังถูกสตรีงดงามไล่ตาม เขาเก็บตัวอีกครั้งเพื่อศึกษาทักษะธาตุทั้งหกให้เป็นหนึ่ง แต่เมื่อผ่านไปหนึ่งคืน เขาก็ยังไม่เกิดความคิดดีๆเลย
แต่ก็ไม่แปลก เพราะการรวมทักษะหกทักษะให้เป็นหนึ่งนั้นเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติ
สามวันต่อมาหลิงฮันก็ไปเข้าร่วมห้องเรียนอีกครั้ง
เมื่อเขาเข้าไปในห้องเรียน เขาก็เห็นพี่น้องตระกูลหลัวแสยะยิ้มจ้องมาที่เขา แต่หลิงฮันไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
เมื่อคาบเรียนจะเริ่มสุ่ยเยี่ยนยวี่ก็มาถึง นางจ้องมาที่หลิงฮันและยิ้มหยอกล้อ “ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะได้เห็นเจ้าที่นี่อีกครั้งในวันนี้ ข้ารู้สึกปราบปลื้มจริงๆ!”
นางพูดเหน็บหลิงฮันเพราะนางได้เข้าสอนมาสี่ครั้งแล้ว แต่หลิงฮันกลับเข้าร่วมฟังการสอนแค่สองครั้ง
หลิงฮันรีบกล่าว “หลายวันมานี้ข้ามัวแต่ครุ่นคิดถึงวิธีการขัดเกลาพลังต่อสู้ให้ถึงขีดจำกัด วันนี้ข้ามีเรื่องอยากจะถามอาจารย์”
สุ่ยเยี่ยนยวี่พยักหน้า ถ้าหากที่หลิงฮันไม่เข้าร่วมคาบเรียนเพราะเหตุผลนี้นางก็ไม่คิดจะตำหนิอะไร นางจะพยายามมอบการชี้แนะแก่เขาให้มากที่สุดเพราะอย่างไรเขาก็เป็นลูกศิษย์ของนาง
สุ่ยเยี่ยนยวี่เริ่มการสอน รูปร่างอันยั่วยวนของนางทำให้ทุกๆการเคลื่อนไหวมีเสน่ห์อันน่าดึงดูด
หลังจากคาบเรียนจบลง หลิงฮันก็เดินไปหานางและถามถึงการรวมทักษะทั้งหกธาตุให้เป็นหนึ่ง
สุ่ยเยี่ยนยวี่สั่นสะท้านทันที นางไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ในการทำเช่นนี้มาก่อน
บนดินแดนศักดิ์ศิทธิ์มีจอมยุทธมากมายที่มีรากฐานวิญญาณหลายธาตุ แต่ก็ไม่มีใครเลยที่คิดจะฝึกฝนทักษะบ่มเพาะหลายธาตุพร้อมกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงการรวมหลายธาตุให้เป็นหนึ่งเลย
แม้นางจะผ่านพ้นระดับทลายมิติมาแล้วแต่นางก็ยังรู้สึกสนใจในเรื่องนี้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับหลิงฮันถึงความเป็นไปได้ที่จะทำการรวมธาตุให้สำเร็จ
เมื่อได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในที่สุดหลิงฮันก็ได้ข้อสรุปมาข้อหนึ่ง ซึ่งวิธีนี้จะสำเร็จรึไม่หรือใช้เวลานานแค่ไหนนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อเห็นหลิงฮันกระซิบกระซาบกับอาจารย์คนสวย เหล่าศิษย์ชายก็รู้สึกอิจฉา
“เหอะ คิดจะใช้วิธีนั้นในการจีบสาวงั้นรึ? แม้จะเป็นวิธีที่ไม่เลว แต่เจ้าเลือกใช้ผิดคนแล้ว!”
“สุ่ยเยี่ยนยวี่คือผู้หญิงของศิษย์พี่จ้าว บังอาจมากระหนุงกระหนิงกับผู้หญิงของศิษย์พี่จ้าว เจ้าหนูนั่นรนหาที่ตายเสียแล้ว!”
“เหอะ เจ้าคิดว่าเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์ใหม่แล้วจะยอดเยี่ยมนักหนารึไง?”
“เอาเรื่องนี้ไปบอกศิษย์พี่จ้าวกันเถอะ!”
หลิงฮันบอกลาสุ่ยเยี่ยนยวี่และรีบกลับที่พัก เขาทนรอที่จะลองทำตามวิธีที่นึกออกไม่ไหวแล้ว
สุ่ยเยี่ยนยวี่หุบยิ้มไม่ได้ รุ่นเยาว์คนนี้ช่างมุ่งมั่นต่อวิถีวรยุทธจริงๆ เมื่อรู้ว่าหลิงฮันหมกมุ่นอยู่กับวิถีวรยุทธในหลายวันที่ผ่านมา นางก็ไม่คิดจะลงโทษหลิงฮันอีกต่อไป เพียงแต่ว่านางนั้นไม่รู้เลยว่าที่จริงแล้วเขาเป็นจอมยุทธจากโลกใบเล็กที่เอาเวลาไม่กี่วันก่อนไปทำการหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก
หากนางรู้ล่ะก็ นางคงจะหวาดกลัวต่อพรสวรรค์ที่ราวกับสัตว์ประของรุ่นเยาว์ผู้นี้แน่!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น