Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 887-890
ตอนที่ 887
ภายใต้การนำทางของเซียงเฉิงหยิน หลิงฮันก็ถูกพาไปยังที่พักของเขา
คฤหาสน์ของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายมีขนาดใหญ่มาก มันมีห้องมากกว่าร้อยห้อง และแต่ละห้องยังถูกประดับตกแต่งอย่างงดงาม
หลังจากที่เซียงเฉิงหยินพาหลิงฮันมาที่ห้องเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันหลังกลับจากไปทันที
หลังจากหลิงฮันเข้าไปในห้อง เขาคิดที่จะเริ่มฝึกฝนบ่มเพาะพลังทันที เพราะตอนนี้เขาต้องเพ่งสมาธิไปที่สำนักนภาสีชาดเพื่อเรียนรู้ศาสตร์วายุทธและศาสตร์ปรุงยา ส่วนศาสตร์รูปแบบอาคม ถ้ามีเวลาว่างเขาค่อยศึกษาเอา
เป้าหมายแรกของเขาคือต้องบรรลุระดับทลายมิติยี่สิบดาว!
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ คนที่สามารถต่อสู้ข้ามระดับได้หนึ่งขั้นเล็กเรียกว่าอัจฉริยะหนึ่งดาว ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีอัจฉริยะสองดาว อัจฉริยะสามดาวและอัจฉริยะสี่ดาว จากข้อมูลที่ได้รับจากอี้ชวงชวงมีอัจฉริยะห้าดาวเช่นกัน
แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อัจฉริยะห้าดาวนั้นหาได้ยากเหมือนกับวิหคเพลิง!
อย่างไรก็ตาม การที่อี้ชวงชวงไม่เคยได้ยินก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี นั่นเป็นเพราะระยะห่างพวกเขาทั้งสองคนนั้นห่างไกลเกินกว่าจะบรรยายได้ สำหรับหลิงฮัน เขาไม่ต้องการคิดเรื่องพวกนั้นมากนัก ตราบใดที่เขาบรรลุจุดสูงสุดของทุกระดับพลัง แล้วเขาจำเป็นต้องกลัวใครในระดับเดียวกันอีกหรือไม่?
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
แต่ในขณะนั้นเองก็มีคนมาเคาะประตูอยู่ด้านนอกไม่หยุด ราวกับจะเป็นจะตาย
คนที่เคาะประตูจะต้องเป็นคนใจร้อนมากอย่างแน่นอน
หลิงฮันลุกขึ้นและเดินไปเปิดประตู และเห็นชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งยืนอยู่ที่ประตู หญิงสาวคนนี้คือลูกสาวตัวน้อยของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย คุณหนูหลี่เหว่ยเหว่ย ส่วนชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง เขาน่าจะมีอายุประมาณยี่สิบปี และมีหนาดเพิ่งขึ้นอยู่ตรงมุมปากของเขา นี่แสดงให้เห็นว่าเขายังเป็นรุ่นเยาว์อยู่
“หลัวหลี่โค่นเขาเลย!” หลี่เหว่ยเหว่ยชี้ไปที่หลิงฮันและออกคำสั่งราวกับสั่งสุนัข
ชายหนุ่มที่นางพามาคือหลัวหลี่ ซึ่งเป็นทายาทของเจ้าหน้าที่อาวุโสของเมืองจักรพรรดิและเป็นอัจฉริยะ และเขามีความทะเยอทะยานที่จะแต่งงานกับหลี่เหว่ยเหว่ยที่เป็นไข่มุกของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ดังนั้นเขามักจะมาที่นี่บ่อยครั้ง เมื่อใดที่เขามีเวลาว่าง
นอกจากนี้เขายังมีพี่ชายชื่อหลัวป้า ที่มีอายุมากกว่าเขาสองปี ซึ่งพวกเขาเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติขั้นเก้าเหมือนกันทั้งคู่ แต่หลัวป้านั้นมีพรสวรรค์มากกว่า เพราะเขามีพลังต่อสู้ระดับทลายมิติเกือบสิบเก้าดาว และเป็นหนึ่งในสามนายน้อยแห่งเมืองจักรพรรดิ
แต่ถึงแม้หลัวหลี่จะไม่แข็งแกร่งเท่าพี่ชายของเขา แต่เขาก็มีพลังต่อสู้ระดับทลายมิติสิบเจ็ดดาวและมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ดังนั้นก่อนที่หลี่เหว่ยเหว่ยจะรู้ตัว เขาก็กระโจนเข้าใส่หลิงฮันแล้วเพื่อสร้างความโปรดปรานให้กับหลี่เหว่ยเหว่ย
“เจ้าทำให้คุณหนูสี่ไม่พอใจ ทำไมเจ้าไม่คุกเข่าและกล่าวขอโทษนาง?” หลัวหลี่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ ก่อนหน้านี้หลี่เหว่ยเหว่ยพูดว่าอีกฝ่ายมาจากโลกขนาดเล็กเลยทำให้เขาไม่เห็นหลิงฮันอยู่ในสายตาและไม่อยากต่อสู้กับอีกฝ่ายเพราะมันจะเป็นการทำให้เกียรติของเขาต้องแปดเปื้อน
ต่อสู้กับอีกฝ่ายที่มาจอมยุทธจากโลกขนาดเล็กรึ?
หลี่เหว่ยเหว่ยไม่พอใจ นางไม่ได้ต้องการให้หลิงฮันคุกเข่าขอโทษแล้วจบ แต่ต้องการเอาชนะหลิงฮัน ทั้งสองอย่างมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นโลกขนาดเล็กหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์นิสัยของผู้คนไม่แตกต่างกันเลย ที่แตกต่างคือคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแกร่งกว่า และในท้ายที่สุดพลังก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ดี
“ข้าเป็นคนไม่ชอบคุกเข่าให้ใคร ทำไมเจ้าไม่ลองบังคับข้าคุกเข่าดูล่ะ?” หลิงฮันพูดไม่ไว้หน้าหลัวหลี่หรือหลี่เหว่ยเหว่ยแม้แต่น้อย
– เขารู้สึกว่านางเป็นคุณหนูที่เอาแต่ใจ ยิ่งตามใจนางมากเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งได้ใจมากขึ้นเท่านั้น
สีหน้าของหลัวหลี่ดูมืดมนทันทีและพูดว่า “ทั้งที่เจ้ามาจากโลกใบเล็ก แต่กล้าพูดจาเถียงข้าอย่างนั้นรึ?”
ใบหน้าของหลิงฮันดูหดหู่และพูดว่า “แล้วเจ้าจะพูดขอโทษข้าหรือไม่ มิฉะนั้นข้าจะทำให้เจ้าพูดร้องขอความเมตตาแทน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลัวหลี่ยิ้มและพูดว่า “เจ้าเป็นคนตลกยิ่งนัก ทั้งที่เจ้ามาจากโลกใบเล็ก แต่กล้าให้ข้าพูดขอโทษเจ้า?”
หลิงฮันพูดอย่างเย็นชาว่า “ที่นี่คือคฤหาสน์ของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย และข้าก็อาศัยอยู่ที่นี่ในฐานะแขกของเขา ในขณะที่เจ้ามาที่นี่เพื่อทำร้ายแขกของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่เห็นผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายอยู่ในสายตา!”
อึก!
หลัวหลี่รู้สึกตกตะลึง ปากของเขากระตุกเล็กน้อยที่หลิงฮันพูดมันเป็นความจริงที่เขาไม่สามารถลบหลู่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายได้
ถ้าเขารุกรานหลิงฮัน มันจะถือว่าเขาไม่เห็นผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายอยู่ในสายตา!
“จ…เจ้าพูดจาไร้สาระ!” หลัวหลี่เริ่มหวาดหวั่น
“ถ้างั้้นอย่าคุกเข่าของเจ้าแล้วกัน!” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน
หลัวหลี่รู้สึกหวาดกลัว และเริ่มย่อตัวลงแต่ขณะนั้นเองหลัวหลี่ก็สะดุ้งและคิดว่าทำไมเขาต้องทำตามคำสั่งของหลิงฮันด้วย? เขาเป็นถึงนายน้อยแห่งตระกูลหลัว ในขณะที่อีกฝ่ายเพิ่งขึ้นมาจากโลกใบเล็กเท่านั้น!
เขาหยิบดาบออกมาจากแหวนมิติและพูดว่า “ยินดีด้วยที่เจ้าทำให้ข้าโกรธ และข้าจะสอนบทเรียนให้แก่เจ้าเองว่าที่นี่ไม่ใช่โลกใบเล็กของเจ้า!”
หลี่เหว่ยเหว่ยรู้สึกมีความสุข ในที่สุดทั้งสองคนก็เริ่มต่อสู้กันสักที
นางไม่ได้บอกหลัวหลี่ว่าหลิงฮันเป็นผู้เปิดสวรรค์ และพูดแค่ว่าเขาเพิ่งขึ้นมาจากโลกใบเล็ก เพราะนางกลัวหลัวหลี่ไม่กล้าสู้กับหลิงฮัน
ในสายตาของนาง นางไม่คิดที่จะพึ่งหลัวหลี่ แต่เป็นพี่ชายของเขาต่างหากที่เป็นหนึ่งในสามนายน้อยของเมืองจักรพรรดิ!
ถ้าหลัวหลี่พ่ายแพ้ ตระกูลหลัวก็จะเสียหน้า แล้วหลัวป้าจะทนนั่งอยู่เฉยได้อย่างไร?
ท้ายที่สุดหลัวหลี่ก็ถูกนางหลอกใช้
ตอนที่ 888
หลิงฮันไม่คิดจะปล่อยหลัวหลี่ไป
เขาคือจอมยุทธคนแรกของโลกใบเล็กที่ขึ้นมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผ่านการเปิดสวรรค์ แม้เขาจะเตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องถูกกดขี่ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกโมโหไม่เป็น
ดังนั้นตอนนี้เมื่อเห็นหลัวหลี่มายั่วยุ เขาจึงคิดจะใช้อีกฝ่ายเป็นกระสอบทรายระบายอารมณ์
จะอย่างไรเขาก็ถือว่าเป็นแขกของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและเป็นผู้ปกครองทวีป ถึงแม้มันจะเป็นเพียงทวีปเล็กๆแต่มันก็ยังมีขนาดใหญ่กว่าตระกูลหลัวไม่รู้กี่เท่า ดังนั้นถ้าเขาไม่ทุบตีหลัวหลี่จนถึงตายตระกูลหลัวก็คงไม่ทำอะไรเขา
หากตระกูลหลัวคิดจะแก้แค้น ด้วยชื่อเสียงของพวกเขา พวกเขาคงไม่มีทางส่งจอมยุทธระดับพระเจ้ามา หากจะส่งคนมาแก้แค้นจอมยุทธที่มาก็คงเป็นเพียงจอมยุทธระดับทลายมิติเท่านั้น
หากเป็นจอมยุทธระดับทลายมิจิ หลิงฮันจำเป็นต้องกลัวด้วย? จอมยุทธระดับทลายมิติคนไหนจะสามารถคุกคามเขาได้?
“ภายในสามกระบวนท่า ข้าจะทำให้เจ้าขุกเข่าร้องขอชีวิต!” หลิงฮันกล่าวเบาๆแต่กลับปลดปล่อนกลิ่นอายที่โหดเหี้ยมออกมา
หลี่เหว่ยเหว่ยประหลาดใจเล็กน้อย นางนึกไม่ถึงว่าชายที่ดูถ่อมตัวเช่นหลิงฮันจะมีนิสัยด้านนี้ด้วย นางเกือบลืมไปแล้วว่าหลิงฮันคือจอมยุทธที่ขึ้นมาจากโลกใบเล็กผ่านการเปิดสวรรค์!
สิ่งที่นางไม่รู้สึกการเปิดสวรรค์ของหลิงฮันนั้นถูกขัดขวางโดยพระเจ้าของห้านิกายโบราณ หากนางรู้เรื่องนี้ล่ะก็นางคงจะตกตะลึงและเปลี่ยนมาเป็นชื่นชมเขาเป็นแน่
หลัวหลี่โกรธจนควันออกหู เจ้ากล้าทำตัวอวดดีเช่นนั้นทั้งๆที่มาจากโลกใบเล็กงั้นรึ? เจ้าคิดว่าที่นี่คือโลกใบเล็กของเจ้ารึไง? เขาก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับกวัดแกว่งดาบยาวแทงเข้าใส่บริเวณไหล่ซ้ายของหลิงฮัน
เขาคิดจะกำจักหลิงฮันในกระบวนท่าเดียว
หลิงฮันนำมือข้างหนึ่งพาดหลังเอาไว้และใช่มืออีกข้างทิ่มนิ้วเข้าใส่การโจมตีที่พุ่งมาจนทำให้ดาบกระเด็นทันที
“อั่ก!” หลัวหลี่ร้องโอดครวญก่อนจะกระอักโลหิตออกมา
‘เพล๊ง’ ดาบยาวในมือของเขาแตกออกเป็นเจ็ดส่วนและร่วงลงพื้น
หลัวหลี่ชะงักแน่นิ่งจนทำอะไรไม่ถูก
นี่มันพลังอะไรกัน?
หลัวหลี่มีพลังต่อสู้ระดับทลายมิติสิบเจ็ดดาว เขาคือรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่มีชื่อเสียงรู้จักไปทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิ แม้เขาจะยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกไปแต่การแทงดาบเมื่อครู่ก็ควรจะมีพลังทำลายล้างอยู่ที่ระดับทลายมิติสิบหกดาว
ถึงจะอย่างนั้นพลังต่อสู้สิบหกดาวกับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮันแม้แต่น้อย! ที่ยิ่งน่ากลัวกว่านั้นคือดาบที่แตกหัก… มันคืออาวุธวิญญาณระดับสิบเชียวนะ
หลี่เหว่ยเหว่ยแลบลิ้นใส่หลิงฮัน ตอนที่อีกฝ่ายสู้กับนางเขาออมมือเอาไว้มากจริงๆ
แต่นั่นก็ดีแล้ว ไม่เช่นนั้นหากหลิงฮันมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่านางแค่ดาวเดียวนางคงจะรู้สึกกระอักกระอ่วนที่พ่ายแพ้ การที่หลิงฮันแข็งแกร่งมากทำให้นางไม่รู้สึกอับอายเกินไป
“เจ้า…” หลัวหลี่จ้องหลิงฮันด้วยใบหน้าแข็งค้าง เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก นี่เขาเริ่มจะคิดหนักแล้วว่าพี่ชายของเขาจะมีพลังแข็งแกร่งขนาดนั้นหรือไม่?
อีกฝ่ายมาจากโลกใบเล็กไม่ใช่รึไง? ทำไมเขาถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้?
“ยังเหลืออีกสองกระบวนท่า” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส มือขวาเขาของยื่นออกมาข้างหน้าและคว้าร่างของหลัวหลี่อย่างนุ่มนวล
‘ปัก’ หลัวหลี่รู้สึกราวกับว่ามีภูเขาที่หนักอึ้งกระแทกเข้าใส่หลังของเขา เขาไม่สามารถขยับนิ้วมือได้แม้แต่นิ้วเดียวพร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้นอย่างอ่อนแรงทันที
“บางคนถึงแม้จะทำตัวไม่โดดเด่นหรือไม่มีนิสัยหยิ่งยโส แต่นั่นก็อาจจะเป็นส่วนที่เจ้าเห็นเพียงภอายนอก ถ้าจะเปรียบก็อย่างเช่นภูเขาก็มีทั้งด้านในและด้านนอก” หลิงฮันยิ้มและถอนหายใจ “แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นคนที่มีเหตุผลในทุกการกระทำอยู่ตลอด เจ้าเห็นด้วยไหม?”
หลี่เหว่ยเหว่ยหัวเราะ เจ้ากำลังกำลังคว้าร่างหลัวหลี่เพื่อบีบบังคับให้เขาเห็นด้วยกับเจ้าอยู่ไม่ใช่รึไง? นี่เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือว่าจะเป็นคนมีเหตุผลหรือไม่?
หลัวหลี่รู้ว่าอะไรดีต่อตนเอง เขารีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “ข้าเห็นด้วย! ข้าเห็นด้วย!”
หลิงฮันส่ายหัว “ถือว่าตอบได้เร็วดี แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดของเจ้าก็ยังขาดความจริงใจ”
หลี่เหว่ยเหว่ยอดหัวเราะไม่ได้ นางรู้ตัวดีว่านางเป็นคนเอาแต่ใจและชอบฝืนให้คนอื่นทำตาม แต่เมื่อเห็นหลิงฮันนางเริ่มจะรู้สึกแล้วว่านางยังอ่อนด้อยนัก นางถึงขนาดคิดเลยว่าจะขอติดตามเป็นลูกศิษย์
หลัวหลี่กระอักโลหิตออกมา เขามาที่นี่เพราะหลี่เหว่ยเหว่ยร้องขอ แต่เมื่อเขาตกอยู่ในสภาพนี้ไม่แม้แต่นางจะยื่นมือเข้ามาช่วย แต่ยังหัวเราะออกมาอีกด้วย
“ข้าเห็นด้วยจริงๆ!” เขากัดฟันกล่าวพร้อมกับร้องให้โห่ออกมาราวกับแสดงความจริงใจ
ตั้งแต่เด็กจนโต ข้าไม่เคนถูกทำให้อับอายเช่นนี้มาก่อน
“งั้นข้าจะปล่อยเจ้าไปสักครั้ง” หลิงฮันปล่อยมือและดึงมือกลับ
หลัวหลี่มองไปยังหลี่เหว่ยเหว่ยและพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย เขาทำได้เพียงกัดฟันและหันหลังเดินจากไป หลังจากที่ได้รับความอัปยศเช่นนั้นเขาก็ไม่มีหน้าจะอยู่มองหน้านางแล้ว
“ฮ่ะๆๆ” หลี่เหว่ยหัวเราะอย่างมีความสุขและปรบมือ นางยิ้มอยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าหลิงฮันกำลังจะเดินกลับเข้าที่พักนางก็กางแขนขวางทางเอาไว้และกล่าว “ฮันอะไรซักอย่าง เจ้าไม่คิดจะถามหน่อยรึว่าทำไมข้าถึงหัวเราะมีความสุข?”
ถึงแม้นางจะอายุไม่ถึงยี่สิบปี แต่นางก็อยู่ในช่วงที่กำลังเติบโต ด้วยการอ้าแขนออกของนางทำให้หน้าอกที่กลมกลึงปรากฏเต็มหน้าหลิงฮัน มันเด้งราวกับจะพุ่งเข้าใส่หน้าเขา
อืม… นับว่าใหญ่ไม่เลว
หลิงฮันตอบกลับไปราวกับไม่เห็นอะไร “ทำไมกันล่ะ?”
“ฮึ!” หลี่เหว่ยเหว่ยเค้นเสียงก่อนจะกล่าว “เจ้าตัวน่ารำคาญเช่นนั้นน่ะข้าไม่ชอบเขามาตั้งนานแล้ว เขาเอาแต่ตามติดข้าทั้งวันทั้งคืน ตอนนี้เมื่อเห็นเจ้าสั่งสอนเขาให้ข้าแล้ว ทำไมข้าจะไม่มีความสุขล่ะ?”
“โอ้” หลิงฮันพยักหน้าและพยายามผลักอีกฝ่ายให้ถอยไป
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน!” หลี่เหว่ยเหว่ยยังคงขยับมาขวาทางเขา หน้าอกที่เด้งไปมาของนางแทบจะสัมผัสกับตัวเขาแล้วแต่นางกลับไม่รู้สึกตัว “จริงอยู่ที่พลังของหลัวหลี่จะไม่นับว่าแข็งแกร่งที่สุด แต่เขาก็มีพี่ชายชื่อว่าหลัวป้า ซึ่งพี่ชายของเขาคนนี้แข็งแกร่งอย่างมาก! ผู้คนกล่าวกันว่าหลัวป้ามีพลังต่อสู้ถึงสิบเก้าดาว”
“เจ้าสร้างความอัปยศให้น้องชายเขา หลัวป้าจะต้องไม่ยอมแน่นอน เขาจะตามหาและจัดการเจ้า!”
“เหอะ นี่ล่ะที่เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ข้าสามารถกำจัดตัวน่ารำคาญทิ้งไปพร้อมกับให้บทเรียนกับเจ้าไปพร้อมๆกัน เข้าติดว่าข้าเป็นอัจฉริยะหรือไม่?”
นางเชิดหน้าอย่างภาพภูมิใจราวกับหงส์
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ในหมู่จอมยุทธระดับทลายมิติ ข้านั้นไร้พ่าย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ไร้ประโยชน์” แม้เขาจะพูดออกมาเหมือนไม่แยแสแต่น้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยความหนักแน่น
หลี่เหว่ยเหว่ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งชะงักไปโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่ 889
หลังจากเหลียวมอง หลี่เหว่ยเหว่ยรีบเข้าไปหยุดหลิงฮันและพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมสำนักนภาสีชาดถึงไม่ใช้ความแข็งแกร่งประเมิน แต่ใช้พรสวรรค์ด้านวรยุทธ จิตวิญญาณและทักษะยุทธแทน?”
“โอ้ว แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันล่ะ?” หลิงฮันถามด้วยรอยยิ้ม เขาไม่คิดที่จะพูดจาไร้สาระุกับคุณหนูสี่ และพูดเข้าประเด็นทันที เพราะตอนแรกเขาวางแผนว่าจะฝึกฝนบ่มเพาะพลังตลอดสิบวันนี้
บางทีสิบวันอาจไม่เพียงพอ แต่ก็ดีกว่าปล่อยเวลาไปอย่างไร้ค่า
หลี่เหว่ยเหว่ยรู้สึกไม่พอใจ ทำไมชายคนนี้ถึงทำตัวไม่สุภาพตลอดเลย? ไม่เหมือนตอนที่อยู่หน้าพ่อของข้า!
ต้องทราบก่อนว่านางเป็นหนึ่งในสามสาวงามแห่งเมืองจักรพรรดิที่ม่หนุ่มหล่อมากมายนับไม่ถ้วนที่ต้องการแต่งงานกับนาง
หรือมันเป็นเพราะพวกโลกเบื้องล่างสมองผิดปกติเลยไม่เข้าใจความงดงามของนาง!
นางส่งเสียงกระแอมและพูดว่า “เพราะเจ้าอยู่ในระดับทลายมิติเป็นเวลานาน ทำให้เจ้าสามารถยกระดับพลังต่อสู้ได้เสมอ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดจึงเป็นพรสวรรค์ด้านวรยุทธ จิตวิญญาณและทักษะยุทธที่จะเป็นตัวกำหนดความสามารถของเจ้า และระดับพลังพระเจ้านั้นทักษะยุทธเป็นกุญแจสำคัญที่สุดที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน”
“ฟังดูสมเหตุสมผล” หลิงฮันพยักหน้าเห็นด้วย
หลี่เหว่ยเหว่ยอยากจะบีบคอหลิงฮันให้ตาย นางพูดอธิบายตั้งนาน แต่อีกฝ่ายกับพูดตอบกลับมาแค่ “ฟังดูสมเหตุสมผล” นางพูดพึมพำก่อนที่จะพูดต่อว่า “เจ้าโง่ ข้าเห็นเจ้าไม่รู้อะไรเลยพูดอธิบายให้ฟังเท่านั้น! นอกจากนี้ หลังจากนี้อีกสิบวัน ถ้าข้าเป็นฝ่านชนะ เจ้าจะต้องคุกเข่าต่อหน้าข้า!”
หลิงฮันหัวเราะ เขาจะแพ้ได้อย่างไร? เขาพยักหน้าและตอบกลับว่า “ย่อมได้! แล้วถ้าข้าเป็นฝ่ายชนะล่ะ?”
“ถ้าเจ้าเป็นฝ่ายชนะก็แล้วไป หรือเจ้าต้องการให้ข้าคุกเข่าลงต่อหน้าข้า?” หลี่เหว่ยเหว่ยพูดเหมือนกับว่า แม้นางจะแพ้แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นางเป็นถึงบุตรสาวของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แล้วนางจะกลัวหลิงฮันได้อย่างไร?
หลิงฮันยิ้มแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาเดินผ่านหลี่เหว่ยเหว่ยเข้าไปในที่พัก
หลี่เหว่ยเหว่ยอยากจะพูดหยุดหลิงฮัน แต่เมื่อฉุดคิดเรื่องบางอย่างได้นางก็ปล่อยเขาไป
นางยังรอให้หลัวป้ามาจัดการหลิงฮันอยู่ และนางยังมีโอกาสแข่งกับหลิงฮันอีกครั้งในอีกสิบวัน และนางไม่เชื่อว่าตัวเองจะแพ้หลิงฮันในด้านวรยุทธ จิตวิญญาณและทักษะต่อสู้
หลิงฮันกับไปที่ห้องและเริ่มฝึกฝนบ่มเพาะพลังแห่งกฎเกณฑ์ทันที ซึ่งพลังแห่งกฎเกณฑ์ในแต่ระดับพลังของจอมยุทธนั้นจะแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งทำให้พลังทำลายล้างที่แสดงออกมานั้นแตกต่างกัน
ถ้าทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่ง พลังของคนผู้นั้นจะสามารถทำลายดวงดาวได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวมาก และไม่มีใครรู้ว่าจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นต่ำกับจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดนั้นจะแตกต่างกันขนาดไหน
ท้ายที่สุด อี้ชวงชวงที่เป็นจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา และเซียงเฉิงหยุนที่เป็นจอมยุทธระดับภูผาวารี ทั้งสองคนยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งทั้งสี่ขั้นเลย
หลิงฮันหลับตาลงและสงบสติอารมณ์ลงเพื่อทำความเข้าใจพลังแห่งกฎเกณฑ์ ซึ่งจะต้องเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติเสียก่อนถึงจะเริ่มทำความเข้าใจพลังแห่งกฎเกณฑ์ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังปรับแต่งปราณอสูรของจักรพรรดิจอมอสูรด้วย และมีพลังแห่งกฎเกณธ์ของดินแดนใต้พิภพอยู่บ้าง แม้ว่าทั้งสองจะเป็นพลังแห่งกฎเกณฑ์ที่ต่างชนิดกันอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่มีใครด้อยไปกว่าใคร
หลิงฮันพูดออกมาด้วยความสงสัยว่า “ถ้าข้าสามารถควบคุมพลังแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองชนิดได้พร้อมกันล่ะ?ใครจะสามารถหยุดยั้งมันได้บ้าง?”
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คิดเช่นนั้นหลิงฮันก็ส่ายหัวทันที พลังแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพจะสามารถใช้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?
“เว้นแต่ว่าจะมีโอกาสไปที่ดินแดนใต้พิภพ”
มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีกำแพงสองจุดที่อ่อนแออยู่ ซึ่งดินแดนใต้พิภพสามารถลอบเข้ามาและฆ่าผู้คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จากจุดนั้นได้
“คนที่ทำแบบนั้นได้จะต้องทรงพลังมาก ถ้าข้าไปมีแต่จะตาย!” นอกจากนั้น ข้ายังไม่เข้าใจพลังแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลย แล้วเขาจะคิดเรื่องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้กังวลใจไปทำไม?
และช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะส่งเสียงหัวเราะออกมา ดูเหมือนว่าเขาจะทำตัวโลภเกินไป
ผ่านไปสองวันอย่างรวดเร็วโดยที่หลิงฮันไม่รู้ตัว
เขาคาดไม่ถึงเลยว่าตระกูลหลัวจะไม่เคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้น บางทีพวกเขาอาจรู้ว่าหลิงฮันจะเข้าร่วมการทดสอบสำนักนภาสีชาดฝ่ายเหนือ และอาจวางแผนเคลื่อนไหวในเวลานั้น ในทางตรงกันข้าม หลี่เหว่ยเหว่ยราวกับตัวติดหลิงฮัน นางจะมาหาเขาวันเว้นวันและคอยป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเขา แต่นางก็ไม่ได้รับอะไรและกลับไปพร้อมกับความโกรธทุกครั้ง
สิบวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลิงฮันหยุดบ่มเพาะพลัง เขาแบมือขวาและฝ่ามือของเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทอง
นี่คือพลังแห่งกฎเกณฑ์ แต่มันยังอ่อนแอเกินไป
ในแต่ระดับพลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นระดับทลายมิติ ระดับภูผาวารี หรือระดับที่สูงกว่านั้น ล้วนมีขีดจำกัดในการทำความเข้าในพลังแห่งกฎเกณฑ์ ตอนนี้หลิงฮันยังอยู่อีกห่างไกลกว่าจะถึงขีดจำกัดของระดับทลายมิติ และถ้าหากเปรียบเทียบเป็นตัวเลขขีดจำกัดของระดับทลายมิติอยู่ที่หนึ่งร้อย แต่หลิงฮันยังเข้าใจไม่ถึงหนึ่งเลย
“ดูเหมือนข้าจะต้องทะลวงผ่านระดับทลายมิติขั้นเก้าซะก่อน และมีหลายอย่างที่เขาต้องปรับปรุงตัวเอง เพื่อทำให้รากฐานวิญญาณมั่นคงที่สุดจะได้ไม่ได้รับผลกระทบหลังจากที่ทะลวงผ่านระดับพลังพระเจ้า”
และเมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่าคนอย่างเซียวเหมียวเหยียนและอู่เกาหยวนยังไม่บรรลุระดับทลายมิติขั้นเก้า แต่ก็มีพลังต่อสู้ระดับทลายมิติสิบแปดดาวแล้ว แต่ทำไมพวกเขาถึงยังไม่ทะลวงผ่านระดับพลังพระเจ้า?
มันไม่ใช่เพราะพวกเขาทำไม่ได้ แต่ยังไม่ถึงเวลาต่างหาก
ใครจะไม่อยากเป็นอัจฉริยะระดับหนึ่งดาว สองดาว หรือแม้กระทั่งสามดาว สี่ดาว และระดับห้าดาวในตำนานกันล่ะ
“เจ้าโง่! เจ้าโง่!” หลี่เหว่ยเหว่ยรีบวิ่งไปหาหลิงฮันเพราะการทดสอบเข้าสำนักนภาสีชาดฝ่ายเหนือจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “นำทางไปได้เลย!”
หลี่เหว่ยเหว่ยหันกลอกตาไปมองและพูดว่า “ทำไมข้าที่เป็นถึงคุณหนูจะต้องทำตามให้เจ้าด้วย เจ้าคิดว่าข้าเป็นทาสของเจ้าหรือไง?”
“ก็ข้าไม่รู้ทางนิหน่า” หลิงฮันตอบกลับ
หลี่เหว่ยเหว่ยถึงกับพูดไม่ออก เหตุผลของเขามันชัดเจนมากและนางไม่สามารถพูดแย้งได้ และกัดฟันเดินนำทางหลิงฮันต่อไป
ทั้งที่สถานะของนางไม่ได้ต่ำเลย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮันทีไร มันทำให้นางรู้สึกด้อยกว่าอยู่เสมอ
“ตามข้ามา!” นางนำทางให้หลิงฮันและย้ำเท้าไม่พอใจ “ข้าไม่ได้กำลังนำทางเจ้า แต่เจ้าแค่เดินทางข้ามา เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”
หลิงฮันเพียงแค่ยิ้มไม่พูดอะไรออกมาและปล่อยให้หลี่เหว่ยเหว่ยรู้สึกไม่พอใจ
ตอนที่ 890
เมื่อผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเห็นว่าบุตรสาวที่สี่ของเขากับหลิงฮันออกจากบ้านพักไป เขาก็ให้จอมยุทธสี่คนแอบลอบตามไปทันที
ทั้งสี่คือคนคุ้มกันลับๆที่อาวุโสฝ่ายซ้ายส่งไปคุ้มกันหลี่เหว่ยเหว่ย พวกเขาเป็นจอมยุทธระดับภูผาวารีขั้นสูงสุด! (ขั้นพลังมี ต่ำ กลาง สูง สูงสุด)
การที่จะมีผู้คุ้มกันที่ทรงพลังเช่นนี้ ต่อให้หาทั่วทั้งจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะก็คงจะไม่มีมาก
ด้วยพลังบ่มเพาะของหลิงฮันในตอนนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตรวจพบร่องรอยของทั้งสี่คนที่แอบตามมา พวกหลิงฮันเดินมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกของประตูเมือง สำนักนภาสีชาดตั้งอยู่ใกล้ๆที่นั่น
พวกเขาเดินทางโดยรถม้าของอาวุโสฝ่ายซ้าย ในขณะที่พวกเขาเดินทางผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนต่างต้องเปิดทางให้พวกเขา แม้แต่ทหารลาดตระเวนยังต้องหยุดเดินและแสดงความเคารพ
นี่คืออำนาจของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย
ในโลกใบเล็ก อาวุธวิญญาณประเภทพาหนะนั้นมีประโยชน์อย่างเดียวคือการช่วยประหยัดพลังปราณของจอมยุทธ ความเร็วของพวกมันไม่ได้รวดเร็วมากเท่าไหร่ แต่ที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อาวุธวิญญาณประเภทพาหนะนั้นมีความเร็วมากกว่าจอมยุทธมาก
ไม่ต้องกล่าวเลยว่าอาวุธิวิญญาณประเภทพาหนะเช่นนี้ย่อมมีเพียงตัวตนระดับสูงอย่างผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเท่านั้นที่สามารถครอบครองได้
ถึงแม้สำนักนภาสีชาดจะมีเพียงสำนักเดียว แต่ภายในสำนักก็แยกออกเป็นสี่ฝ่าย แต่ละสำนักแต่ละฝ่ายจะตั้งอยู่ตามประตูเมืองของแต่ละทิศ หากจะพูดตามตรงแล้ว ศิษย์แต่ละฝ่ายนั้นจะไม่มีทางเดินผ่านประตูของสำนักฝ่ายอื่นเด็ดขาด
การแข่งขันของสำนักทั้งสี่ฝ่ายนั้นรุนแรงเกินไป ถ้าศิษย์จากฝ่ายเหนือเดินไปยังสักนักฝ่ายตะวันตก แต่นอนว่าสิ่งที่ศิษย์คนนั้นจะพบเจอคือการถูกทุบตีจนปางตาย!
ในตอนนี้หน้าประตูกำลังมีผู้คนมารวมตัวกันมากมาย ถึงแม้สำนักนภาสีชาดจะเปิดรับศิษย์ทุกๆห้าปี แต่จักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะนั้นมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาลและจำนวนศิษย์ที่พวกเขารับก็ช่างน้อยนิดจนน่าตกใจ
ดังนั้นในการทดสอบแรกสำนักจึงต้องคัดคนออกจากพรสวรรค์ พวกเขาไม่คิดจะเสียเวลากับจอมยุทธที่ไร้ศักยะภาพ
ชื่อเสียงของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายใช้ได้ผลเป็นอย่างมาก ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถนั่งรถม้าเข้าไปในสำนักได้ แต่พวกเขาก็สามารถลัดคิวฝูงชนที่อัดแน่นราวกับมหาสมุทรได้
“ทำไมพวกเขาถึงลัดคิวได้?”
“นั่นสิ พวกเรารอคิวกันทั้งนาน!”
“ไม่ยุติธรรม!”
ผู้เข้าร่วมทดสอบคนหนึ่งตะโกนดังขึ้น จากนั้นผู้เข้าร่วมคนอื่นๆก็ตะโกนตาม
ทหารยามของสำนักเค้นเสียงเย็นยาก่อนจะกล่าว “ถ้าพวกเจ้ามีอำนาจเช่นเดียวกับผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย พวกเจ้าก็สามารถลัดคิวได้!”
เมื่อประโยคนี้ถูกเอ่ยขึ้น ทุกคนก็เงียบสงบทันที
ผู้คุ้มกันทั้งสี่คนของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่ตามมาแยกย้ายกันออกไปคนละทาง พวกเขาไม่เข้าไปในสำนักแต่เลือกที่จะคุ้มกันอยู่รอบนอกเพื่อไม่ให้คุณหนูสี่แอบหนีไปไหน
หลังจากหลิงฮันเข้าไปในสำนัก หลี่เหว่ยเหว่ยก็เดินนำทางหลิงฮัน เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางมาที่สำนักแห่งนี้ เมื่อเดินได้สักพักพวกเขาก็มาถึงตำหนักรูปทรงสี่เหลี่ยม
สถานที่แห่งนี้คือศูนย์กลางของสำนักนภาสีชาดภายในตำหนักมีหอคอยเก้าชั้นตั้งตระหง่านอยู่
หอคอยนี่ก็มีเก้าชั้นเหมือนกัน?
“เหอะ!” หอคอยน้อยส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “กล้าเลียนแบบข้างั้นรึ? ข้าจะทำลายมันทิ้งเดี๋ยวนี้!”
หลิงฮันเหงื่อไหลท่วมหลัง “แม้หอคอยตรงหน้าจะมีเก้าชั้น แต่ลักษณะของมันเป็นสีขาวเสียส่วนใหญ่ มันแตกต่างกับเจ้ามาก!”
“แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่สบอารมณ์อยู่ดี ข้าจะทำลายมันทิ้ง!” หอคอยน้อยกล่าวอย่างยิ่งยโส
“เจ้าอย่างฃสร้างเรื่องให้ข้า หอคอยนี้สิ่งที่สำนักนภาสีชาดใช้ทดสอบ ถ้าเจ้าทำลายมันทิ้งเจ้าคิดว่าข้าจะถูกแยกส่วนของเป็นกี่ส่วนกัน?” หลิงฮันฝืนยิ้ม
การทดสอบของสำนักนภาสีชาดนั้นง่ายมาก เมื่อเข้าไปในหอคอยหากสามารถขึ้นไปถึงชั้นสามได้ก็จะถูกยอมรับให้เป็นลูกศิษย์ของสำนัก ยิ่งขึ้นไปได้สูงเท่าไหร่คะแนนการประเมินก็จะยิ่งสูงขึ้นและรางวัลที่ล้ำค่าขึ้น
“ลองคาดเดากันไหมว่าครั้งนี้ใครจะได้อันดับหนึ่ง?”
“ไม่จำเป็นต้องเดา แน่นอนว่าต้องเป็นหลั่วป้าอยู่แล้ว นอกจากเขาจะเป็นหนึ่งในสามอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของเมืองจักรพรรดิแล้ว พรสวรรค์ของเขาก็ยังสูงกว่าใครๆด้วย ข้ามั่นใจว่าเขาจะต้องได้รับอันดับหนึ่งในครั้งนี้”
“เหอะ เจ้ากล่าวเองไม่ใช่รึไงว่ามีอัจฉริยะของเมืองจักรพรรดิสามคน หรือเจ้าจะลืมจื่อหยุนเอ๋อ กับหลินยู่ไปแล้ว?”
“ถูกต้อง ข้ามั่นใจว่าจะต้องจื่อหยุนเอ๋อแน่นอน นางเป็นหนึ่งในสตรีที่งดงามที่สุดของเมืองจักรพรรดิ ข้าจะต้องให้กำลังใจนาง”
“แต่ข้าคิดว่าเป็นหลินยู่มากกว่าที่จะได้อันดับหนึ่ง!”
ทุกคนต่างแสดงความคิดเห็นของตน ถึงแม้ว่าแต่ละคนจะคิดแตกต่างกันแต่ชื่อที่ถูกเอ่ยถึงส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นหลั่วป้า จื่อหยุนเอ๋อและหลินยู่ พวกเขาคิดว่าอย่างน้อยสามอันดับแรกก็ต้องเป็นสามคนนี้แน่นอน สิ่งที่พวกเขาเถียงกันอยู่ก็คือในสามคนนี้ใครจะเป็นอันดับแรก
“พวกเจ้าทัศนะคับแคบเกินไปรึเปล่า พวกเจ้าไม่คิดบ้างรึว่าจะมีฉัจริยะจากนอกเมืองจักรพรรดิที่เป็นม้ามืด?” ใครบางคนเอ่ยถามขึ้น
“ฮ๋าๆๆๆ!” คำพูดของเขาทำให้ผู้คนมากมายหัวเราะเยาะ
“ทักษะต่อสู้ที่แม้จะดูต่างกันเล็กน้อย แต่ที่จริงกลับต่างกันราวกับสวรรค์และปฐพี ทรัพยากรบ่มเพาะของตระกูลใหญ่ในเมืองจักรพรรดินั้นล้ำค่าเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการ!”
“ถึงแม้พรสวรรค์จะเป็นสิ่งสำคัญ แต่โลกนี้ก็มีสมบัติมากมายที่ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้หรือพลังกายได้”
“หรือก็คือพื้นหลังต่างหากที่เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาที่สุด!”
“อืม!” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ในมุมหนึ่งของตำหนักสี่เหลียม ชายชราผมเทานำมือพาดหลังและพึมพำ “ทุกคนต่างคิดว่าสามอัจฉริยะตระหลัว ตระกูลจื่อและตระกูลหลินจะเป็นคนครองสามอันดับแรกในการทดสอบนี้ ฮ่าวเฟย เจ้ามั่นใจรึไม่ว่าเจ้าจะโค่นสามคนนั่นได้?”
“ท่านปู่ไม่ต้องกังวล ข้าฝึกฝนการหนักมาเป็นเวลาสิบปี ข้าต้องทดต่อความยากลำบากแสนเข็นมากนับไม่ถ้วนก็เพื่อวันนี้” ด้านข้างชายชราปรากฏร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง เขาดูมีอายุราวๆยี่สิบปีและมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับทลายมิติขั้นเก้า
“ฮ่าๆๆ ปู่คนนี้จะรอวันที่เจ้าจะเฉิดฉาย!” ชายชราผมเทาหัวเราะ
โดยปกติแล้ว ‘ครอบครัว’ ไม่สามารถเข้ามาสำนักพร้อมกับผู้สมัครได้ แต่ก็มีบางคนที่ย่อมได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ถ้าหากเขาต้องการเดินเข้ามาในสำนักใครจะกล้ารั้งห้ามเขาเอาไว้?
รุ่นเยาว์ผู้นั้นกำหมัดแน่นและกล่าว “วันนี้นี่แหละคือวันที่ข้า ฮ่าวเฟยผู้นี้จะเจิดจรัส ทุกคนจะต้องแหงนมองฝ่าเท้าของข้า!”
……
ในอีกมุมหนึ่งของตำหนัก รุ่นเยาว์อีกคนจับดาบในมือแน่น แววตาของเขาเฉียบคมและดุดัน เพียงแค่เขากวาดมองจอมยุทธที่อยู่รอบข้างก็รู้สึกขาอ่อน
จอมยุทธที่มาสมัครเข้าร่วมต่างก็มีพลังบ่มเพาะระดับทลายมิติ แต่การที่แค่เขามองก็ทำให้ผู้สมัครคนอื่นเข่าอ่อนได้ นี่เขาต้องมีพลังแข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
“อันดับหนึ่งต้องเป็นของข้า หม่าชิง!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น