Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 871-874
ตอนที่ 871
ในตำแหน่งที่ไกลออกไป หลิงฮันยิ้มพร้อมกับพึมพำ “มาทำให้สถานการณ์มันน่าสนุกกว่านี้ดีกว่า”
เขาเชื่อมต่อความคิดกับธงสัญลักษณ์แล้วส่งคำสั่งออกไป
ทางด้านติงเฟยเหวินรีบไปรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ตระกูลฟังทันที แน่นอนเขารายงงานไปว่าติงผิงให้แผนการที่ชั่วร้ายและไร้ยางอายกับเขาพร้อมกับขอให้ตระกูลใช้กฎของตระกูลลงโทษติงผิง
เรื่องนี้ทำให้ตระกูลโกรธเป็นอย่างมาก ติงผิงช่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัวจริงๆ ถึงแม้เขาจะยังไม่ถูกถอดถอนสถานะนายน้อย แต่เขากลับกล้าถึงขนาดใช้แผนร้ายกับคนในตระกูลเลยรึ?
“เรียกติงผิงมาเดี๋ยวนี้!” เสียงคำรามดังขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ขอรับ!”
ติงผิงที่เพิ่งกลับมาถึงตระกูลเขาก็ทำการอาบน้ำและซักเสื้อผ้า ในขณะที่เขายังซักผ้าไม่เสร็จเขาก็ถูกตระกูลเรียกตัวเสียก่อน
เขารู้อยู่แล้วว่าติงเฟยเหวินคงจะเล่นไม่ซื่อ แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาที่ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ยอมตามชายสองคนไปยังห้องโถงตระกูลแต่โดยดี
“คารวะผู้นำตระกูลและเหล่าผู้อาวุโส!” ติงผิงไม่มีทีท่าหยิ่งยโส เขาก้มหัวให้กับเหล่าเบื้องบนและยืนตรง
“ติงผิง เจ้ารู้ความผิดของเจ้ารึไม่?” ผู้อาวุโสถาม
ติงผิงส่ายหัวและกล่าว “ข้าไม่รู้!”
“สามหาว!” ผู้อาวุโสอีกคนตะโกน “เจ้าใช้แผนการชั่วร้ายสร้างความบาดเจ็บต่อติงเฟยเหวิน เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวรึไม่?”
“ขอตอบผู้อาวุโสเจ็ด ข้าไม่ได้ใช้แผนการอะไรทั้งสิ้น แต่เข้าโค่นล้มเขาด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ถ้าผู้อาวุโสไม่เชื่อข้าสามารถประลองกับติงเฟยเหวินอีกครั้ง!” ติงผิงกล่าว
“พูดจาไร้สาระ!” ผู้อาวุโสส่ายหัว เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าติงผิงจะมีความสามารถพอที่จะโค่นติงเฟยเหวินได้ อีกฝ่ายจะต้องมีวิธีบางอย่างที่ใช้ตบตาพวกเขาแน่นอน
“ไม่ต้องพูดพล่ามแล้ว ข้าขอประกาศให้ถอดถอนสถานะผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของติงผิงตั้งแต่วันนี้” ผู้นำตระกูลกล่าว พวกเขาเคยปรึกษาหารือเรื่องนี้กันมาตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้ว แต่เพราะเห็นแก่ครอบครัวของติงผิงที่สร้างคุณงามความดีต่อตระกูลมามากมาย เขาจึงไม่ได้ถอดถอนสถานะของเขาในทันที
แต่วันนี้การกระทำของติงผิงนั้นเกินกว่าที่ตระกูลจะไว้หน้าเขา ด้วยความโกรธพวกเขาจึงถอดถอนสถานะโดยไม่ลังเล
เหตุการณ์เช่นนี้อยู่ในการคาดการณ์ของติงผิงแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอะไร แต่การที่ตระกูลฟังแต่คำพูดของติงเฟยเหวินฝ่ายเดียวนั้นเขาให้เขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและรู้สึกโกรธมาก
“ข้าไม่ยอมรับ!” ติงผิงกล่าว
“ไม่ยอมรับ? เจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินในเรื่องนี้!” ผู้อาวุโสเจ็ดกล่าว “เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งอยู่งั้นรึ?”
ติงผิงกล่าว “ข้าไม่ได้ไม่ยอมรับในเรื่องนั้น แต่ผู้อาวุโสไม่ควรฟังคำพูดของติงเฟยเหวินอยู่ฝ่ายเดียว”
“งั้นเจ้าจะบอกว่าข้าควรเชื่อว่าเจ้าสามารถโค่นติงเฟยเหวินได้ด้วยความสามารถของเจ้าจริงๆ?” ผู้อาวุโสสี่หัวเราะ ช่างน่าขัน ติงผิงมีพละกำลังมากกว่าคนปกติก็จริง แต่นั้นก็เทียบได้กับจอมยุทธระดับหลอมกายาขั้นห้าหรือหกเท่านั้น
“แล้วทำไมท่านถึงไม่เชื่อล่ะ?” ติงผิงยอกย้อน “ให้เขามาที่นี่แล้วข้าจะจัดการเขาอีกครั้ง!”
“อวดดีอะไรเช่นนี้!” ผู้อาวุโสสี่คำราม “เจ้ายังดื้อรั้นอยู่อีก? รีบจับกุมตัวเขาไว้ โทษที่ติงผิงได้รับจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเพื่อเป็นตัวอย่างต่อสมาชิกตระกูลคนอื่น!”
“ข้าไม่ยอมรับ! ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด!” ติงผิงพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว ในตอนนี้เขาหวังให้ตัวเองมีอำนาจสูงส่งพอจะจัดการคนเหล่านี้เพื่อให้พวกเขารับฟังคำพูดของเขาเสียเหลือเกิน
“เจ้าไม่ยอมรับคำตัดสินของตระกูลงั้นรึ?” ผู้อาวุโสสามเค้นเสียงกล่าว “จับกุมตัวเขาไว้!”
“ขอรายงาน!” ในตอนนั้นก็มีคนรีบวิ่งเข้ามา
“เอะอะอะไรกัน เจ้าไม่รู้รึว่าตระกูลกำลังประชุมกันอยู่?” ผู้อาวุโสสามกล่าวด้วยความไม่พอใจ
“ขะ… ขอรายงานท่านผู้นำและผู้อาวุโสทั้งหลาย เจ้าเมืองกำลังมาที่นี่!” บ่าวรับใช้กล่าว
‘พรึบ’ ผู้นำตระกูลติงและเหล่าผู้อาวุโสลุกขึ้นยืน เจ้าเมืองงั้นรึ! ชายผู้นี้คือคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองนี้ เป็นตัวตนที่พวกเขาทำได้เพียงแหงนหน้ามอง! ต้องรู้ก่อนว่าแม้แต่จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลติงยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณเท่านั้น ส่วนเจ้าเมืองน่ะรึ? เขาเป็นตัวจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน!
“รีบพาข้าไปพบเร็วเข้า!” ผู้นำตระกูลติงนั่งไม่ติดพื้น เขารีบนำเหล่าผู้อาวุโสไปต้อนรับทันที
เจ้าเมืองเป็นตัวตนระดับสูงขนาดไหนกัน? ทำไมจู่ๆเขาถึงได้มาพบพวกเขาเช่นนี้? นี่เป็นวาสนาหรือภัยพิบัติของตระกูลติงกันแน่?
เมื่อพวกเขาไปที่ประตู พวกเขาก็พบเห็นชายร่างสูงยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าตระกูล เขาดูมีอายุราวๆสี่สิบปีเท่านั้น กลิ่นอายของเขาทรงพลังเป็นอย่างมาก
สำหรับพวกเขา จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานก็ไม่ต่างอะไรกับพระเจ้า ตัวตนระดับนี้สามารถเหาะเหินบนอากาศได้
“คารวะเจ้าเมือง!” พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้นและคารวะ
เจ้าเมืองมี่ชื่อว่าเลี่ยวเจิ้น เมื่อได้รับคำสั่งจากหลิงฮันเขาก็รีบมาที่ตระกูลติงทันที แม้แต่ผู้ติดตามเขาก็ไม่มีเวลาพามาด้วย เขาหัวเราะและกล่าวออกไป “ตระกูลติงช่างมีวาสนาสูงนัก ในฐานะเจ้าเมืองข้าขอแสดงความยินดีด้วย!”
วาสนาอะไร?
ใบหน้าทุกคนชะงัก ทำไมพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย?
“เจ้าไม่รู้งั้นรึว่าตระกูลเจ้ามีคนโชคดีมากถึงขนาดได้เป็นศิษย์ของท่านผู้นั้น?” เลี่ยวเจิ้นยิ้ม
ว่าไงนะ!
ตระกูลติงตกตะลึง แม้แต่เจ้าเมืองยังเรียกคนที่ว่าท่านผู้นั้น อีกฝ่านมีสถานะเช่นใดกันแน่? จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณงั้นรึ? แต่ไม่ใช่ว่าติงเฟยเหวินถูกรับเป็นศิษย์ของนิกายชื่อยื่อหรอกรึ?
เจ้าเด็กคนนี้! เจ้าได้เป็นถึงศิษย์ของตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่เจ้ากลับบอกพวกข้าเพียงแค่ว่าเจ้าได้เข้าร่วมนิกายชื่อยื่อ
ให้ตายเถอะ ทำไมเจ้าถึงต้องถ่อมตัวขนาดนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะแสดงท่าทีภาคภูมิใจออกมางรึไง
ตระกูลติงครุ่นคิดและเข้าใจเรื่องราวทันที “รีบไปพาติงเฟยเหวินมา” ผู้นำตระกูลติงกล่าว
ผ่านไปไม่นานติงเฟยเหวินก็มาถึง แต่ใดหน้าของเขาถูกติงผิงชกเข้าใส่ ดังนั้นตอนนี้ใบหน้าของเขาจึงปรากฏรอบช้ำสีม่วงรูปวงกลมซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่ค่อยดีเหล่าไหร่ เลี่ยวเจิ้นชะงักจนปากกระตุก ลูกศิษย์ของท่านผู้นั้น… ทำไมถึงมีสภาพย่ำยาเช่นนี้ได้?
แต่ในเมื่อตระกูลติงเป็นคนเรียกตัวเขามาเอง ดังนั้นต้องไม่ผิดคนแน่ เลี่ยวเจิ้นยิ้มและกล่าว “นายน้องติง ข้ายินดีกับเจ้าด้วยที่ได้เป็นลูกศิษย์ของท่านผู้นั้น”
สมองติงเฟยเหวินเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งผู้อาวุโสตระกูลและเจ้าเมืองต่างก็มีท่าทีสุภาพต่อเขาราวกับว่าเขาเป็นคนสำคัญอย่างไรอย่างนั้น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แม้เขาจะได้เข้าร่วมกับนิกายชื่อยื่อแต่เขาก็ไม่ได้มีสถานะที่สูงส่งเช่นนั้น!
ตอนที่ 872
แม้แต่เจ้าเมืองยังมาแสดงความยินดีกับเขา ทำให้ติงเฟยเหวินมีความสุขจนตัวลอย และลืมว่าเขาเป็นใคร
มันจะต้องเป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่ เพราะเขาได้รับการยอมรับจากนิกายชื่อยื่อในฐานะศิษย์
ฮ่าฮ่าฮ่า ใช่แล้วมันจะต้องเป็นเช่นนั้น!
ติงผิง ก่อนหน้านี้เจ้ากล้ามากที่ชกข้า คราวนี้เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน!
“ท่านเจ้าเมือง โปรดเข้ามาข้างในก่อน!” ผู้นำตระกูลผิงรีบเชื้อเชิญเขาเข้ามาข้างในเพื่อเปลี่ยนที่พูดคุยกัน
“เชิญ!”
“เชิญ!”
พวกเขาเดินกลับไปที่ห้องโถงและจัดเตรียมที่นั่งให้แขกของเขา เพราะเลี่ยวเจิ้นมีสถานะสูงมาก แม้อีกฝ่ายจะเป็นแขก แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกอึดอันเกรงว่าจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ
“ท่านผู้นำ ผู้อาวุโส!” ติงเฟยเหวินกล่าวขึ้นมาอย่างกะทันหันและหันไปมองติงผิงพรางแสยะยิ้ม “แล้วพวกเราจะจัดการกับติงผิงเช่นไรดี?”
“ข้าตัดสินใจแล้วที่จะถอดถอนติงผิงเป็นผู้สืบทอดลำดับแรกและจะเฆี่ยนตีเขาสามร้อยครั้ง!” ผู้นำตระกูลติงกล่าว แม้ว่าเสียงของติงเฟยเหวินจะฟังดูหยิ่งยโสขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแขก เขาจะทำตัวเสียมารยาทได้อย่างไร?
“ทำไมโทษของเขาถึงเบาขนาดนั้น?” ติงเฟยเหวินถามด้วยความไม่พอใจ
“เฟยเหวิน แล้วเจ้าจะให้ข้าลงโทษติงผิงเช่นไร?” ผู้นำตระกูลติงถามด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา เพราะหากเขาปฏิบัติกับติงเฟยเหวินไม่ดี มันอาจเป็นการทำลายความหวังดีของเลี่ยวเจิ้นได้
เจ้าเมืองเป็นถึงจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน แล้วเขาจะกล้าทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจได้อย่างไร?
“ตัดแขนเขาทิ้ง!” ติงเฟยเหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ในเมื่ออีกฝ่ายชกเขา มันก็สมควรแล้วที่จะถูกตัดแขนมิใช่หรือ?
“รายงาน!”
แต่ในขณะนั้นเองมีสมาชิกตระกูลติงอีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามาและคุกเข่าลง “ท่านผู้นำ ผู้นำตระกูลเยว่มาหาและต้องการพบท่าน!”
ตระกูลเยว่?
“หยวนหยวนมาที่นี่อย่างนั้นรึ?” ติงเฟยเหวินอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ เขาคิดว่าเยว่หยวนมาถูกเวลามากและพูดว่า “พาพวกเขาเข้ามา!”
แต่แน่นอนว่าสมาชิกตระกูลคนนั้นไม่ได้ทำตามคำสั่งของติงเฟยเหวินทันที เขาหันหน้าไปมองผู้นำติงเพื่อรอคำสั่งของเขา
การกระทำของติงเฟยเหวินทำให้ผู้นำตระกูลติงรู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้น ตอนนี้ใครคือผู้นำตระกูลติง? ถ้าติงเฟยเหวินสามารถกลายเป็นจอมยุทธที่เหนือกว่าเขาได้ในอนาคต แต่มันก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ในตอนนี้เขายังคงเป็นผู้นำตระกูลติงอยู่ ใบหน้าของเขากลายเป็นมืดมนและพูดว่า “พาพวกเขาเข้ามา!”
หลังจากนั้นไม่นาน สมาชิกตระกูลติงก็กลับมาพร้อมกับคนสามคน คือ ผู้นำตระกูลเยว่และผู้อาวุโสใหญ่ตระกูลเยว่ ส่วนอีกคนแน่นอนว่าจะต้องเป็นเยว่หยวน
“หยวนหยวน!” ติงเฟยเหวินหัวเราะ ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้นำตระกูลติงไปแล้วและพูดว่า “เข้ามาก่อน ข้าแนะนำเจ้าให้รู้จัก ท่านผู้นี้คือท่านเจ้าเมืองเลี่ยวเจิ้น!”่
เจ้าเมือง!
พวกเขาทั้งสามคนรู้สึกตกตะลึง เหตุใดเจ้าเมืองถึงมาอยู่ที่นี่? และดูจากท่าทางของติงเฟยเหวินแล้ว มันเหมือนกับว่าเขามีสถานะใกล้เคียงกับเจ้าเมืองเลย
“พี่เฟยเหวิน เหตุใดท่านเจ้าเมืองถึงอยู่ที่นี่?” เยว่หยวนกระซิบถาม
ติงเฟยเหวินยิ้มกริมและพูดออกมาอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าได้รับการยอมรับจากนิกายชื่อยื่อและกลายเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสของนิกาย ดังนั้น ท่านเจ้าเมืองจึงเดินทางมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับข้าด้วยตัวเอง!” เขาเดินไปอยู่ด้านข้างเยว่หยวนและลดระดับเสียงลงราวกับว่ามันเป็นเรื่องลึกลับ
แน่นอนว่าตระกูลเยว่รู้ว่าท่านเจ้าจะเดินทางมาที่ตระกูลติง ดังนั้นผู้นำตระกูลเยว่และผู้อาวุโสใหญ่จึงเดินมาที่ตระกูลติงเพื่อทราบถึงเหตุผล
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยว่หยวนรู้สึกตกตะลึงมากและพูดว่า “นั่นมันยอดเยี่ยมไปเลย ข้าเองก็ขอแสดงความยินดีกับพี่เฟยเหวินเช่นกัน!” ก่อนหน้านี้นางเห็นติงเฟยเหวินถูกติงผิงต่อยจนพ่ายแพ้ และคิดว่าจะทำยังไงกับติงผิงดี แต่ตอนนี้นางละทิ้งความคิดพวกนั้นไปหมดแล้ว
มันไร้สาระเกินไปที่จะครุ่นคิดเรื่องของติงผิง อีกฝ่ายมีรากฐานวิญญาณที่ไร้ค่า ความสำเร็จในชีวิตของเขามันถึงทางตันแล้ว
หัวใจของติงเฟยเหวินเต็มไปด้วยความสุข เขาหันไปมองติงผิงด้วยสายตาที่หนาวเย็นและพูดว่า “พวกเราไม่อาจปล่อยความผิดของติงผิงไปได้ และต้องลงโทษเขาด้วยการตัดแขนเท่านั้น!” ท่าทางของเขาเริ่มหยิ่งยโสมากขึ้นเรื่อยๆและคิดว่าตัวเองเป็นผู้นำตระกูลติงไปเสียแล้ว
“ร..รายงาน!” วันนี้ที่ตระกูลติงช่างวุ่นวายยิ่งนัก ในขณะนั้นเองก็มีคนรับใช้วิ่งมารายงานอีกครั้ง “ท่านผู้นำติง ผู้นำนิกายชื่อยื่อมาที่นี่เพื่อต้องการพบท่าน” น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย ผู้นำนิกายชื่อยื่อนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน เขาแข็งแกร่งมากกว่าเจ้าเมืองหลายร้อยเท่า!
เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลติงมองหน้ากันไปมาด้วยความสับสน
แม้ว่าติงเฟยเหวินจะได้รับความดีความชอบได้เป็นศิษย์ของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณของนิกายชื่อยื่อ แต่มันถึงขนาดที่ว่าผู้นำนิกายจะต้องมาหาเขาด้วยตัวเองเลยอย่างนั้นหรือ?
แล้วต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?
เมื่อเจ้าเมืองเลี่ยวเจิ้นได้ยิน เขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเริ่มต่างจากที่เขาคิดไว้มากว่าทำไมผู้นำนิกายชื่อยื่อถึงต้องมาที่นี่ด้วย
แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่มันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับนิกายชื่อยื่อ และถึงแม้ติงเฟยเหวินจะมีพรสวรรค์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจดี แล้วทำไมท่านผู้นั้นถึงรับเขาเป็นศิษย์?
แต่หลิงฮันพูดชัดเจนว่าให้เขาไปที่ตระกูลติงเพื่อแสดงความยินดีต่อตระกูลติงเท่านั้น หรือว่าตระกูลติงจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดอยู่?
ทุกคนรีบออกไปต้อนรับผู้นำนิกายชื่อยื่อทันที เขามีชื่อว่าเจี่ยอู้ที่เป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคนี้ เพียงแค่ได้ยินชื่อของเขาทุกคนก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวในใจแล้ว
“คารวะผู้อาวุโส!” ทุกคนคุกเข่าลงกับพื้นทำความเคารพเขาทันที
เจี่ยอู้ยกมือขึ้นด้วยรอยยิ้มและถามพวกเขาว่า “ใครคือศิษย์ของท่านผู้นั้น?”
เมื่อได้ยินเขาพูด ทุกคนในตระกูลติงดูตกตะลึงและตอบกลับทันทีว่า “ท่านผู้นั้นคือ?”
พวกเขาทุกคนคิดว่าติงเฟยเหวินเป็นศิษย์ของนิกายชื่อยื่อ ดังนั้นเจ้าเมืองเลี่ยวเจิ้นจึงมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดี แต่ผู้นำนิกายชื่อยื่อกลับพูดถึงเขาผู้นั้น ในนิกายชื่อยื่อจะมีใครที่มีสถานะเหนือกว่าเขาอยู่อีกหรือไง? และนั่นมันไม่ได้หมายความว่าท่านผู้นั้นที่เขาพูดถึงแข็งแกร่งกว่าเขาหรอกหรือ?
แม้แต่ผู้นำนิกายเจี่ยอู้ยังเรียกอีกฝ่ายเขาท่านผู้นั้น
ตระกูลติงเริ่มตระหนักถึงบางอย่าง…มันไม่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใจผิดไปทั้งหมด!
แต่ทันใดนั้นเอง ติงผิงก็เปิดปากพูดออกมาอย่างกะทันหันว่า “ข้าขออนุญาตถามท่านว่า ท่านผู้นั้นที่ท่านพูดถึงเป็นคนแซ่หลิงใช่หรือไม่?”
“หุบปาก ใครอนุญาตให้เจ้าพูดที่นี่?” ผู้อาวุโสเจ็ดพูดตะคอกติงผิงทันที อีกฝ่ายไม่เห็นหรือว่าพวกเขากำลังตึงเครียดกันอยู่?
เมื่อเจี่ยอู้และเลี่ยวเจิ้นได้ยินที่ติงผิงพูด พวกเขาหันไปมองติงผิงทันที และพยักหน้าหน้าให้อีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ถูกต้อง!”
นี่พวกเขากำลังพูดถึงใครกันอยู่?
“อาจารย์ของข้าเป็นคนแซ่หลิงที่มีความหมายว่าหนาวเย็น” ติงผิงกล่าว เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าพวกเขาทั้งสองคนมาที่นี่เพราะเขา – แต่ถ้าจะพูดให้ถูกหลิงฮันสั่งให้พวกเขามาที่นี่
“คารวะนายน้อย!” ในขณะนั้น เจี่ยอู้และเลี่ยวเจิ้นคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกันทันทีเพื่อแสดงความเคารพต่อติงผิง
เกิดอะไรขึ้น!
ทุกคนในตระกูลติงรู้สึกตกตะลึงมากจนหนังศีรษะด้านชา เมื่อเห็นเจ้าเมืองเลี่ยวเจิ้นและผู้นำนิกายชื่อเยื่อคุกเข่าต่อหน้าติงผิง มันเป็นไปได้ยังไงกัน!?
อย่างไรก็ตาม มันเป็นความจริงที่พวกเขาทั้งสองคนคุกเข่าลงข้างหนึ่งและเรียกติงผิงว่านายน้อย
พระเจ้ามันเกิดอะไรขึ้นกับติงผิง นี่เขาได้เป็นศิษย์ของใครกันแน่?
เมื่อเห็นการกระทำของพวกเขาทั้งสองคน ติงเฟยเหวินเริ่มนั่งไม่ติดเก้าอี้ และใบหน้าของเขากลายเป็นมืดมนทันที
ตอนที่ 873
ติงเฟยเหวินเนื้อตัวสั่น มันเป็นไปได้ยังไงกัน! เรื่องแบบนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้!
ติงผิงเป็นแค่คนไร้ค่า เขาจะได้รับความโปรดปรานจากท่านผู้นั้นได้อย่างไรที่แม้แต่เจ้าเมืองและผู้นำนิกายชื่อยื่อยังต้องคุกเข่าแสดงความเคารพต่อเขา!
—— แม้แต่ผู้นำนิกายชื่อยื่อยังคุกเข่าลงข้างหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพต่อติงผิงแล้วสถานะศิษย์ของนิกายชื่อยื่อของเขาคืออะไร?
“หลิงฮัน? ทำไมข้าถึงคุ้นกับชื่อนี้เล็กน้อย!” ใครบางคนพูดพึมพัม
“ใช่ ข้าเองก็เหมือนจะเคยได้ยินชื่อนั้น”
“หรือว่าท่านผู้นั้นที่พูดถึงจะเป็นเขา?”
“เหลวไหล เขาด่าบอดหรือไงกันถึงคิดรับติงผิงเป็นศิษย์?”
ทุกคนเริ่มส่งเสียงพูดคุยกัน เรื่องที่เกิดขึ้นมันน่าตกตะลึงมาก ซึ่งทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกสงสัยว่าหลิงฮันเป็นใครกันแน่
เจี่ยอู้ลุกขึ้นยืนและตะโกนว่า “สามห้าว เจ้ากล้าพูดจาแบบนั้นกับท่านผู้นั้นได้อย่างไร? นี่เจ้าคิดจะรนหาที่ตายรึ?”
ทุกคนปิดปากเงียบทันที
หรือว่าจะเป็นท่านผู้นั้น!
ใช่แล้ว เขาจะต้องเป็นจักรพรรดิหลิงฮันอย่างแน่นอน! เขาคือผู้ที่สามารถรวมภูมิภาคกลางและสี่ภูมิภาคให้กลายเป็นหนึ่งได้ แม้กระทั่งมหาสมุทรทั้งสี่ก็ยังเป็นอาณาเขตของเขา!
ติงผิง…ที่แท้เขาเป็นศิษย์ของจักรพรรดิหลิงฮัน!
นี่มันเรื่องอะไรกัน!
แววตาของเยว่หยวนเฉิดฉายทันที ถ้านางได้แต่งงานกับติงผิง แล้วนางจะสถานะสูงขึ้นแค่ไหน? ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องโค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพต่อนางหรอกหรือ?
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย แม้กระทั่งตัวติงผิงเองก็ยังรู้สึกตกตะลึง เขาแค่คิดว่าหลิงฮันจะต้องเป็นคนที่มีสถานะไม่ธรรมดา และไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิต้าหลิงเลยแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเขา
– ตัวตนอย่างเขาจะมาที่เมืองเล็กๆแห่งนี้ได้อย่างไร?
“ท่านทั้งสองโปรดลุกขึ้นเถิด” ติงผิงสงบสติอารมณ์ลง
“ขอบคุณนายน้อย!” ทั้งเจี่ยอู้และเลี่ยวเจี้นพูดด้วยความเคารพ แม้พวกเขาจะไม่เห็นถึงความพิเศษของติงผิงก็ตาม แต่ในเมื่อเขาเป็นศิษย์ของท่านผู้นั้นพวกเขาก็ต้องแสดงความเคารพออกมาตามธรรมชาติ
สมาชิกทุกคนของตระกูลติงเริ่มตระหนักถึงอนาคตอันไร้ที่สิ้นสุดของติงผิง เขาจะต้องโปรยบินอยู่บนท้องฟ้าอย่างแน่นอน!
และพวกเขาจะต้องแก้ไขเรื่องผิดพลาดที่ก่อไว้เมื่อครู่โดยเร็วที่สุด!
“ติงเฟยเหวิน เจ้ารู้ถึงบาปของตัวเองหรือไม่?” ผู้นำตระกูลติงหันไปมองและตะโกนใส่ติงเฟยเหวินทันที อีกฝ่ายกล้าออกคำสั่งแทนตัวเขาเองในฐานะผู้นำตระกูลติง แม้อีกฝ่ายจะได้เป็นศิษย์ของนิกายชื่อยื่อก็ตาม แล้วตอนนี้มันจะทำไม?
ติงเฟยเหวินล้มลงกับพื้น ทุกอย่างที่คิดไว้ทั้งหมดมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด! ใครจะคิดว่าติงผิงเป็นศิษย์ของหลิงฮัน? ความเข้าใจผิดของทุกคนมันเป็นเหมือนดั่งคำพูดที่ว่ายิ่งบินขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ตอนตกลงมาก็เจ็บมากขึ้นเท่านั้น! นั่นแหละสภาพของเขาในตอนนี้
“ข้า…ข้า…ข้าอยากร้องขอความเมตตาจากท่านผู้นำ!” ติงเฟยเหวินเริ่มร้องห่มร้องไห้ออกมา คนที่เขามีเรื่องด้วยนั้นเป็นใคร? อีกฝ่ายเป็นถึงลูกศิษย์ของจักรพรรดิ ที่แม้แต่ผู้นำนิกายชื่อยื่อยังต้องคุกเข่าคำนับ!
“ติงผิง เจ้าคิดเห็นว่าไง?” ผู้นำตระกูลติงรีบหันไปถามติงผิงทันทีด้วยใบหน้าเบ่งบาน
นี่สินะที่เรียกว่าสุนัขระกาเยี่ยมวิมาน ในเมื่อติงผิงเป็นศิษย์ของจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิต้าหลิง เช่นนั้นพวกเขาจะได้รับผลพลอยได้อะไรบ้าง?
ติงผิงแสดงท่าทางเฉยเมยและพูดว่า “พวกเราจะจัดการติงเฟยเหวินตามกฎของตระกูล” ดวงตาของติงผิงมองไกลออกไป เขาไม่ได้สนใจติงเฟยเหวินแม้แต่น้อย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยอีกฝ่ายไป
“ตกลง” ผู้นำติงพยักหน้าและรีบออกคำสั่งทันที
“นำตัวติงเฟยเหวินไปขังที่คุกใต้ดินก่อนและข้าจะทำโทษเขาทีหลัง!”
“ขอรับท่านผู้นำ!”
ติงเฟยเหวินทำได้แค่ส่งเสียงกรีดร้องและรีบเข้าไปร้องขอความเมตตาจากติงผิง เขาพูดว่า “พี่ติงผิง โปรดยกโทษให้กับการกระทำในอดีตของข้าด้วย ถ้าพี่ติงผิงช่วยข้า ในอนาคตข้าสาบานว่าจะเป็นวัวเป็นม้าให้กับพี่!”
นี่หรือที่เรียกว่าการร้องขอความเมตตา? ช่างน่าอับอายยิ่งนัก!
ติงผิงไม่สนใจ เขาเห็นธาตุแท้ของอีกฝ่ายมานับครั้งไม่ถ้วน แล้วเขาจะสนใจอีกฝ่ายไปทำไม?
เมื่อติงเฟยเหวินกรีดร้องขอความเมตตาไม่สำเร็จ เขาก็ถูกลากตัวออกไปและเสียงของเขาก็เริ่มห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลับหายไป
“พี่ติงผิง!” เยว่หยวนรีบเดินเข้ามาหาเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยหลงใหล
ติงผิงหันไปมองเยว่หยวน แต่สายตาของกับไม่มีเยื่อใยอะไรกับนางเลยแม้แต่น้อย
ในอดีต เมื่อใดที่เขาเห็นนาง หัวใจของเขาจะเต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น แต่ในตอนที่เขาเห็นธาตุแท้ของนาง ความรักแรกพบของเขามันเลยจบลงตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และหลงเหลือเพียงแค่ความทรงจำอันขมขื่นเท่านั้น
ในวันนั้น ชีวิตของเขาตกต่ำจนถึงขีดสุด แต่นั่นก็ทำให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
เขาไม่สนใจนางอีกต่อไป แต่หันไปพูดกับเจี่ยอู้และเลี่ยวเจิ้นว่า “ข้าขอบคุณท่านทั้งสองมาที่มาเพื่อแสดงความยินดีกับข้า ถ้าพวกท่านไม่มา ข้าคงจะถูกเฆี่ยนตีสามร้อยครั้งไปแล้ว”
“มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วที่พวกข้าจะต้องมาแสดงความยินดีกับนายน้อย!” พวกเขาทั้งสองคนยังคงทำตัวอ่อมน้อม แม้ว่าอีกฝ่ายจะอ่อนแอ แต่เขาก็ได้รับการยอมรับในฐานะศิษย์ของหลิงฮัน อนาคตของเขาจะต้องไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน
เยว่หยวนไม่ยอมที่จะสูญเสียติงผิงไป นางยังคงพูดกับติงผิงไม่หยุด และพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อทำให้อีกฝ่ายนึกถึงความทรงจำที่เคยสร้างขึ้นมาด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ติงผิงไม่แยแสนางเลยแม้แต่น้อย ในท้ายที่สุด เขาก็อารมณ์เสียและขับไล่คนของตระกูลเยว่ทั้งสามคนออกไป อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเยว่หยวนยังคงไม่ยอมแพ้ และนางจะต้องกลับมาหาเขาอีกแน่นอน
หลังจากนั้นไม่นาน หลังจากพูดคุยกันเสร็จทั้งเจี่ยอู้และเลี่ยวเจิ้นก็กล่าวลาติงผิง และบอกกับติงผิงว่าเขาสามารถมาพบพวกเขาได้ทุกเมื่อ
ถัดไป แน่นอนว่าตระกูลติงจะต้องเสนอให้ติงผิงเป็นผู้สืบทอดคนต่อไปอย่างเป็นทางการ
ในเวลาเดียวกัน หลิงฮันไม่สนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เขายังคงมองหาที่อยู่ของซากศพที่ยิ่งใหญ่อยู่ ซึ่งบางทีอาจมีพวกนิกายพันศพที่เหลือรอดอยู่ด้วยก็เป็นได้
ในวันต่อมา ติงผิงกลับมาหาเขา ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเคารพมากยิ่งขึ้น โชคชะตาของเขาเปลี่ยนแปลงไปเพราะหลิงฮัน ถ้าไม่มีหลิงฮัน เขาคงจะเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีคนเห็นค่าอยู่เหมือนเดิมและเป็นได้แค่คนไร้ค่าต่อไป
หลิงฮันไม่พูดอะไรมากนัก เขาเพียงแค่ชี้แนะการฝึกฝนเทคนิคเก้ามังกรทรราชให้กับติงผิงเท่านั้น
ในพริบตาก็ผ่านไปสามวัน ในขณะที่หลิงฮันกำลังนั่งสมาธิอยู่ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังและลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน แม้ว่าอีกฝ่ายจะปกปิดกลิ่นอายเอาไว้ แต่มันจะรอดพ้นสายตาของเขาไปได้อย่างไร
ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวออกมา ซากศพที่ยิ่งใหญ่!
ตอนที่ 874
หลิงฮันคว้าร่างของติงผิงเอาไว้ ทันใดนั้นร่างของเขาก็เรือนรางพร้อมกับหายไปจากจุดที่ยืนอยู่ทันที
ติงผิงรู้สึกว่าภาพเบื้องหน้าของเขาเบลอ พอรู้สึกตัวเขาก็มาปรากฏตัวในป่าแล้ว เขาจำได้ว่าที่แห่งนี้คือป่าที่อยู่ห่างจากจุดเดิมที่ยืนอยู่ถึงร้อยไมล์
แค่เดินก้าวเดียวก็เคลื่อนไหวได้ไกลถึงร้อยไมล์เลยงั้นรึ?
ติงผิงอดกรีดร้องในใจไม่ได้ พลังของอาจารย์อยู่เหนือจินตนาการของเขาเกินไป
ด้านหน้าพวกเขามีชายชราร่างผอมยืนอยู่ เขามีกลิ่นอายที่อ่อนโยนและอบอุ่น ใครที่เห็นเขาเป็นครั้งแรกก็ต้องรู้สึกถึงความอ่อนโยน
หรือนี่จะเป็นคนที่อาจารย์ของเขารอคอย?
ติงผิงคิดในใจ
“พี่ชายศพ ไม่ได้พบกันเสียนาน” หลิงฮันประสานมือคารวะ ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนของนิกายพันศพ แต่หลิงฮันก็ยังมีทัศนิคติที่ดีกว่าศพที่ยิ่งใหญ่
เมื่อเห็นหลิงฮันมีท่าทีผ่อนคลายติงผิงก็เลิกตัวเกร็ง จากที่เห็นแล้วทั้งสองคนคงเป็นสหายกันมากกว่าจะเป็นศัตรู และจากการที่อาจารย์เรียกอีกฝ่ายว่าพี่ชาย นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายต้องเป็นตัวตนที่ยืนอยู่ระดับแนวหน้าของโลกแน่นอน
ศพที่ยิ่งใหญ่ชะงักและยิ้มบางๆ “ข้าต้องโทษตัวเองสินะที่เผลอทิ้งร่องรอยเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นน้องชายหลิงก็มีสายตาและหูที่เฉียบคมยิ่งนัก ข้ามั่นใจว่าหากเป็นคนอื่นคงไม่มีทางค้นพบร่องรอยของข้าเป็นแน่”
หลิงฮันยิ้ม คนที่ไม่เคยปกครองแคว้นหรือจักรวรรดิย่อมไม่รู้ถึงความมหัศจรรย์ของธงสัญลักษณ์ “พี่ชายศพที่ยิ่งใหญ่ ข้าต้องการให้ท่านตอบคำถามข้าเพียงหนึ่งคำถาม”
ศพที่ยิ่งใหญ่ถอนหายใจ จากนั้นเขาก็ชำเลืองมองไปยังติงผิง “โครงสร้างกระดูกของเด็กคนนั้นไม่เหมือนคนทั่วไป!”
“แน่นอนอยู่แล้ว เขาเป็นลูกศิษย์ของข้าเอง” หลิงฮันยิ้ม
“เจ้ายังคงมีนิสัยมั่นใจเหมือนเคย” ศพที่ยิ่งใหญ่หัวเราะก่อนจะส่ายหัว “แต่เกรงว่าข้าคงจะให้คำตอบเจ้าไม่ได้”
“ข้ายังไม่ทันได้ถามอะไรเลย” หลิงฮันยิ้ม
“น้องหลิงกำลังดูถูกสมองของข้า?” ศพที่ยิ่งใหญ่มีท่าทีไม่พอใจเล็กน้อย
หลิงฮันสะบัดมือและยิ้ม “เข้าใจแล้วๆ งั้นพวกเรามาพนันกันดีกว่า ถ้าท่านหยุดกระบวนท่าข้าได้ข้าจะปล่อยท่านไป แต่ถ้าท่านหยุดข้าไม่ได้ ท่านต้องบอกตำแหน่งที่ตั้งของนิกายพันศพแก่ข้า!”
ศพที่ยิ่งใหญ่รู้สึกกระอักกระอ่วน ในตอนที่เขาพบหลิงฮันครั้งแรกเขาเสนอพนันกับอีกฝ่ายว่าตราบใดที่หลิงฮันป้องกันกระทวนท่าเขาได้สิบกระบวนท่าเขาก็จะไม่สังหารอีกฝ่าย แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่ปี หลิงฮันกลับกลายเป็นฝ่ายยืนข้อเสนอเดียวกันกับเขาเสียแล้ว
หรือว่าตอนนี้พวกเขาจะมีพลังต่างกันขนาดนั้นแล้ว?
ศพที่ยิ่งใหญ่ไม่เชื่อเด็ดก่อนและกล่าวออกไป “พลังบ่มเพาะของข้าพัฒนาเป็นระดับทลายมิติจั้นเก้าแล้วแถมยังใช้ทักษะศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วย ตอนนี้ข้ามีพลังต่อสู้อยู่ที่สิบห้าดาว เจ้ามั่นใจรึว่าจะโค่นข้าได้ในสิบกระบวนท่า?”
“ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?” หลิงฮันยิ้ม เขาเก็บตัวมานานเป็นปี ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเขามีความแข็งแกร่งขนาดไหน
สิบห้าดาว? ถ้าเขาต้องการ ศัตรูที่มีพลังต่อสู้แค่นี้เขาสามารถจัดการได้ภายในพริบตา
ศพที่ยิ่งใหญ่ไม่มีนิสัยขายพวกพ้อง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนที่รักษาคำพูดตนเอง เพราะงั้นเขาจึงต้องคำนึงถึงผลตามมาหากเขาแพ้
ศพที่ยิ่งใหญ่คิดหนัก เขาก็ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่สามารถหยุดสิบกระบวนท่าของหลิงฮันได้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็คิดว่าแม้จะหนึ่งในหมื่น แต่โอกาสที่เขาแพ้ก็อาจจะเกิดขึ้นได้
ติงผิงรู้สึกตัวทันทีว่าหลิงฮันกับชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่ขนล่ะขั้ว แต่เขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าทำไมคนที่เป็นศัตรูกันถึงคุยกับได้อย่างผ่อนคลายเช่นนี้?
หลิงฮันยิ้ม “ทำไม ท่านไม่กล้ารึ? ที่จริงแล้วทำไมท่านถึงยังอยู่ในนิกายพันศพล่ะ? ด้วยพลังของพี่ชายศพ ข้าไม่คิดว่าเมื่อวันที่สวรรค์เปิดออก จะมีที่ใดที่ท่านไม่สามารถไปได้”
แววตาของศพที่ยิ่งใหญ่หรี่ลง “หม่าตั้วเปาล้มเหลวในการเปิดสวรรค์เมื่อปีที่แล้ว เจ้ายังคิดจะเปิดสวรรค์อยู่อีกรึ? เจ้าไม่กลัวว่าตัวเองจะตกตายรึอย่างไร?”
หลิงฮันหัวเราะ “ในฐานะลูกผู้ชาย ใครจะหวาดกลัวความตายกัน? ยิ่งกว่านั้นทำไมข้าจะเปิดสวรรค์ไม่สำเร็จล่ะ?”
ศพที่หนึ่งนิ่งเงียบก่อนจะกล่าว “เห็นแก่ความมุ่งมั่นที่จะเปิดสวรรค์ของเจ้า ข้าจะยอมพนันกับเจ้าก็ได้!”
ติงผิงฟังและสับสน เปิดสวรรค์คืออะไร? การแหวกท้องฟ้าขึ้นไปด้านบนงั้นรึ?
หลิงฮันยกมือขึ้นและกล่าว “งั้นพี่ชายศพก็ระวังให้ดี!”
หลิงฮันไม่เตรียมตัวรวบรวมพลักใดๆและปล่อยฝ่ามือออกไปโดยตรง
อะไรกัน!
ศพที่ยิ่งใหญ่ตกตะลึง พลังของฝ่ามือนี้มีพลังต่อสู้เกินสิบดาว! น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว!
โดยปกติแล้ว ถึงแม้จอมยุทธจะสามารถฝึกฝนจนบรรลุระดับทลายมิติขั้นเก้าได้ แต่พลังต่อูของพวกเขาก็สมควรจะอยู่ที่เก้าดาวเท่านั้น จากนั้นเมื่อพวกเขาใช้ทักษะยุทธหรือทักษะลับพลังต่อสู้ของพวกเขาถึงจะเพิ่มขึ้นเกินกว่าเก้าดาว เป็นสิบดาว สิบเอ็ดดาว หรืออาจจะสิบสองดาว
แต่ยิ่งจอมยุทธแข็งแกร่งเท่าไหร่ พลังต่อสู้ของพวกเขาก็จะสูงขึ้นไปด้วย อย่างเช่นเขาที่มีพลังบ่มเพาะระดับทลายมิติขั้นเก้าสูงสุด เขามีพลังต่อสู้ติดตัวถึงสิบดาว จากนั้นถ้าหากเขาใช้ทักษะลับโจมตีออกไปพลังต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกสี่ดาว
เท่านี้ก็นับว่าน่าอัศจรรย์แล้ว
แต่หลิงฮันล่ะ?
อีกฝ่ายเพิ่งจะบรรลุระดับทลายมิติขั้นเก้าเท่านั้นแต่กลับมีพลังต่อสู้ติดตัวมากกว่าสิบดาว เช่นนั้นแล้วหากเขาบรรลุระดับทลายมิติขั้นสูงสุดและขัดเกลารากฐานจนสมบูรณ์ล่ะก็พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นขนาดไหน?
ถึงแม้เขาจะตกตะลึง แต่ศพที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นจอมยุทธระดับแนวหน้า ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาย่อมไม่เชื่องช้า สองมือของเขาตั้งท่าราวกับเป็นกรงเล็บและตอบโต้หลิงฮัน บนฝ่ามือของเขาปรากฏรูปแบบอักขระราวกับเป็นฝ่ามือของพระเจ้า
ตูม!
การโจมตีของทั้งสองคนปะทะกัน คลื่นพลังอันทรงพลังระเบิดออกสั่นสะเทือนไปทั่วบริเวณ โดยปกติพลังโจมตีที่ทรงพลังขนาดนี้ไม่เพียงแค่จะทำให้ภูเขาที่พวกเขาอยู่จะพังทลาย แต่เมืองที่อยู่ใกล้ๆก็คงหนีไม่พ้นชะตาเดียวกัน
แต่เมื่อคลื่นพลังแพร่กระจายไปสิบฟุต คลื่นพลังก็ถูกหยุดเอาราวกับมีกับแพงที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้
พลังแห่งจักรภพ!
หลิงฮันไม่ใช้พลังแห่งจักรภพเสริมพลังต่อสู้ให้ตนเอง แต่ใช้ป้องกันคลื่นพลังที่เกิดขึ้นจากการปะทะให้อยู่ในพื้นที่เล็กๆแทน
“อะไรกัน!” ศพที่ยิ่งใหญ่อุทาน ดวงตาของเขาเปิดกว้างราวกับเห็นผี
แต่จะพูดให้ถูกก็ตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นผี
“พลังของเจ้า… สิบสามดาว!” ศพที่ยิ่งใหญ่อุทาน “เป็นได้อย่างไร! ระดับทลายมิตินั้นการจะเพิ่มพลังต่อสู้ให้สูงขึ้นแค่ดาวเดียวก็ยากลำบากราวกับยกสวรรค์ แต่พลังต่อสู้ติดตัวของเจ้ากลับสูงถึงสิบสามดาว เรื่องนี้ไม่อาจเป็นไปได้!”
ที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือหลิงฮันยังไม่ได้ใช้พลังจักรภพในการเสริมพลังต่อสู้ให้กับร่างกายเลย
หลิงฮันยิ้มบางๆและกล่าว “ข้าเพิ่งจะบรรลุระดับทลายมิติขั้นเก้าได้ไม่นาน แถมกายหยาบของข้าก็แข็งแกร่งขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นต่อสู้ของข้าจึงเพิ่มขึ้นนิดหน่อยโดยไม่รู้ตัว ช่างน่าอายยิ่งนัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น