Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 867-870
ตอนที่ 867
หลิงฮันอดหัวเราะไม่ได้ “ทำจะบอกให้ข้าเชื่อว่าสุนัขสามารถเปลี่ยนสันดานดิบของมันได้?”
“สตรีเหล่านี้ถูกข้าใช้ทักษะลับใส่ไว้ทุกคนแล้ว ขอแค่ข้าคิด หัวใจของพวกนางก็จะระเบิดและตาย! ยิ่งกว่านั้นหากหัวใจของข้าหยุดเต้น พวกนางก็จะประสบชะตาเช่นเดียวกัน!” หูเจียนอี่แสยะยิ้ม “เจ้าเป็นถึงจักรพรรดิของจักรวรรดิต้าหลิง เจ้าจะยอมเห็นผู้คนบริสุทธิ์ตกตายเพราะเจ้าเป็นเหตุได้งั้นรึ?”
“ย่อมไม่!” หลิงฮันส่ายหัว
หูเจียนอี่ยิ้มร่าและกล่าว “งั้นก็รีบให้คำมั่นสาบานกับข้าซะ!”
“ใครบอกกันว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป?” หลิงฮันยิ้ม “คนชั่วช้าเช่นเจ้า อย่าได้ริอาจสำคัญตนผิดไป”
“บัดซบ!” แววตาของหูเจียนอี่เดือดดาล “เจ้าหยอกล้อข้ารึ? จะอย่างไรถึงแม้ชะตากรรมของข้าจะหนีไม่พ้นความตาย แต่สตรีพวกนั้นก็จะตามข้าไปด้วย ข้าไม่ได้ร่วงหล่นสู่เส้นเส้นทางแห่งความตายแต่เพียงผู้เดียว!”
“เจ้าบอกอยู่ว่าเจ้าจะกลับตัวกลับใจ แต่ทำไมเจ้ายังมีความคิดเช่นนี้อยู่อีก?” หลิงฮันยิ้ม
“เหอะ ข้าจะสังหารพวกนางบางคนให้เจ้าเห็นก่อนก็แล้วกัน!” หูเจียนอี่กล่าว
ในเมื่อหลิงฮันกลายเป็นผู้ปกครองของภูมิภาคกลาง เขาก็คิดเอาไว้แล้วว่าวันนี้คงมาถึงสักวัน
พรึบ!
หูเจียนอี่รู้สึกว่ามีอะไรผ่านหน้าเขาไป จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหัวใจดังขึ้นตรงหน้า ในตอนแรกเขายังเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน เขาไม่คิดเลยว่าหลิงฮันจะกล้าลงมืออย่างไม่ลังเลเช่นนี้ นี่หลิงฮันไม่สนใจชีวิตของสตรีเหล่านั้นเลยรึไง?
เขามองไปยังหลิงฮันและเห็นหัวใจสีแดงอยู่ในมืออีกฝ่าย สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือทำไมหัวใจในมือเขายังเต้นตุบๆอยู่
จู่ๆเขาก็รู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก!
หูเจียนอี่ก้มลงมอง เขาพบว่าที่หน้าอกของเขามีรูโบ๋และโลหิตทะลักออกมา เขารู้สึกตัวทันทีว่าหัวใจในมือหลิงฮันต้องเป็นหัวใจของเขาแน่!
หลิงฮันคว้าหัวใจเขาไปตอนไหนกัน?
ความคิดของหูเจียนอี่เต็มไปด้วยความมึนงง สติของเขาเริ่มกลายเป็นเรือนราง เขากำลังคิดจะส่งผ่านความคิดสั่งให้สตรีเหล่านั้นตกตายไปกับเขาด้วย แต่เขาก็พบว่าเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้
สติของหูเจียนอี่เริ่มค่อยๆหายไป จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นเพียงคนตาย
หลิงฮันเดินไปยังลานและก้าวขึ้นไป ‘ฮึ่ม’ เพียงแค่ปลดปล่อยออร่าออกมา ลูกศิษย์ทุกคนก็สั่นกลัวและไม่กล้าขยับนิ้ว หลิงฮันใช้สัมผัสสวรรค์กวาดผ่านลานประลอง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ เหล่าลูกศิษย์ของนิกายวายุจันทราล้มลงและตกตาย หลังจากนั้นสตรีเหล่านั้นก็ถูกเขาปล่อยให้เป็นอิสระ
หลิงฮันเรียกทหารจากเมืองใกล้ๆมาเพื่อให้พวกเขาพาสตรีเหล่านี้กลับไป เรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ในฐานะผู้ปกครองอาณาจักรแล้วเขาไม่จำเป็นต้องทำเอง หลิงฮันใช้ความคิดเชื่อมต่อกับธงสัญลักษณ์ เมื่อทำเช่นนี้ทุกเหตุการณ์ในทวีปก็อยู่ในการรับรู้ของเขา
เขายืนแน่นิ่งชั่วขณะก่อนจะลืมตาขึ้นเล็กน้อย
พบแล้ว!
เขาลอยขึ้นฟ้าและบินไปยังอาณาเขตหนึ่งของภูมิภาคกลาง
……
หนึ่งวันต่อมาหลิงฮันก็มาถึงเมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง เมื่อวันก่อนเขาค้นพบร่องรอยของนิกายพันศพผ่านธงสัญลักษณ์ ซึ่งร่องรอยที่ว่าก็คือร่องรอยของตัวตนระดับสูงของนิกายพันศพ… ศพที่ยิ่งใหญ่!
ก่อนจะขึ้นไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาต้องกำจัดนิกายพันศพทิ้งให้สิ้นซาก ส่วนคนของห้านิกายโบราณอย่างราชันดาบนั้น เขาหาร่องรอยไม่พบแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปหลบอยู่ในป่าลึกแห่งใด เป็นไปได้ว่าเมื่อใดที่พระเจ้าจากเบื้องบนลงมารุกราน เมื่อนั้นเขาถึงจะปรากฏตัวออกมา
เขาเดินตามร่องรอยของศพที่ยิ่งใหญ่จนมาถึงแม่น้ำโดยไม่รู้ตัว
เบื้องหน้ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่บนโขดหิน แววตาของเขาเพ่งเขม็งไปยังแม่น้ำ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและไม่พอใจ
เขาดูเป็นรุ่นเยาว์อายุเพียงราวๆสิบห้าสิบหกปี แต่เขากลับทำหน้าตาเหมือนกับพบเจอความทรมานของการมีชีวิต
“เจ้าจะโดดลงแม่น้ำรึ?” หลิงฮันเอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้
รุ่นเยาว์ผู้นี้สวมชุดหรูหราแต่เนื้อผ้ากลับเก่าเป็นอย่างมาก เสื้อผ้าของเขาถูกซักจนสีซีดจางราวกับว่าเขาไม่มีชุดให้เปลี่ยน เขามองกลับมายังหลิงฮันและกล่าว “ท่านวางใจได้ ข้าไม่กระโดดลงไปหรอก”
“ดูท่าท่าทีของเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกเหมือนเจ้าจะโดดลงน้ำไปได้ตลอดเวลา” หลิงฮันยิ้ม
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านนี่?” ชายหนุ่มกล่าวอย่างไม่แยแส
หลิงฮันตอบกลับ “ลองกล่าวมาสิว่าเจ้ากำลังพบเจอกับปัญหาอันใด?”
เด็กหนุ่มคนนั้นจ้องมองหลิงฮันอีกครั้ง แน่นอนเขาไม่คิดจะพูดคุยกับคนแปลกหน้า แต่น้ำเสียงคำพูดของหลิงฮันกลับทำให้เขาเปิดปากพูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ชื่อของข้าคือติงผิง ข้าคือผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูลติง ข้าเคยเป็นอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็กและมีคู่หมั้นที่งดงามมาก เพียงแต่ว่ารากฐานวิญญาณของข้ากลับไม่ตื่นขึ้นเสียที จนในที่สุดเมื่อครึ่งปีก่อนข้าก็สามารถปลุกมันขึ้นมาได้ แต่ถึงจะอย่างนั้นรากฐานวิญญาณของข้ากลับเป็นรากฐานวิญญาณที่เหือดแห้ง ไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้!”
“ตอนนี้ผู้คนในตระกูลมองข้าเป็นเพียงขยะไร้ค่า แถมคู่หมั้นของข้ายังยกเลิกข้อตกลงหมั้นหมายอีก!”
“ข้าเกลียดที่พระเจ้าทำกับข้าเช่นนี้!”
“แต่ที่ข้าไม่พอใจยิ่งกว่าก็คือในช่วงหลายปีที่ผ่ามา ข้าตรากตรำอีกกว่าใครอื่น แต่ทำไมข้าถึงต้องตกต่ำกว่าพวกเขา?”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างขุ่นเคือง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “โลกนี้ใช่ว่าแค่พยายามจะทำให้ประสบความสำเร็จ”
“แต่ว่าถ้าเจ้าไม่พยายาม เจ้าก็จะไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน” หลิงฮันกล่าวอีกครั้งและมองไปยังติงผิง “กลิ่นอายของเจ้าทรงพลังไม่น้อย”
ติงผิงอดแสดงท่าทีภาคภูมิใจออกมาไม่ได้ “ต่อให้เป็นคนที่บ่มเพาะพลังมาแล้วสี่ถึงห้าปี ก็ไม่สามารถทัดเทียมข้าได้!”
เรื่องนี้ค่อนข้างน่าตกตะลึง หากบ่มเพาะพลังสี่ถึงห้าปี จอมยุทธที่ว่าย่อมบรรลุระดับหลอมกายาขั้นห้าแล้วแน่นอน
หลิงฮันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังและเลือดที่เร้าร้อนจากติงผิง “แสดงให้ข้าเห็น!”
ติงผิงไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เจ้าไม่เห็นว่าข้ากำลังรู้สึกเป็นทุกข์อยู่? แต่คำพูดที่หลิงฮันใช้นั้นราวกับว่าเป็นคำพูดของตัวตนที่สูงส่ง ดังนั้นเขาจึงทำตามโดยไม่รู้ตัว ติงผิงกระโดดลงมาจากโขดหินและใช้สองมือยกโขดหินขึ้นมา โขดหินที่ว่านั้นมีขนาดใหญ่กว่าวัวตัวนึงเสียอีก
โขดหินก้อนนี้หนักอย่างน้อยหมื่นปอนด์!
หลิงฮันตกตะลึง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าแค่พลังกายเพียงอย่างเดียวเด็กหนุ่มคนนี้จะยกโขดหินขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ เขาโคจรเนตรแห่งสัจธรรมและมองผ่านเข้าไปในร่างกายอีกฝ่าย ทันใดนั้นเขาก็พบกับสิ่งที่น่าแปลกประหลาด
โครงสร้างกระดูกของเด็กหนุ่มผู้นี้แตกต่างกับคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งโครงสร้างกระดูกที่น่าอัศจรรย์นี้ทำให้เขาสามารถออกแรงยกของที่มีน้ำหนักหลายพันหลายหมื่นปอนด์ได้
แน่นอนว่าหากจะกระตุ้นให้ร่างกายที่พลังเช่นนั้น กระดูกของเด็กหนุ่มคนนี้ต้องทนทานเป็นอย่างมาก ไม่เช่นนั้นหากกระตุ้นใช้พลังซ้ำไปซ้ำมากระดูกของเขาจะต้องแตกหัก นอกจากนี้บนกระดูกของเขายังมีลวดลายสลักเอาไว้อีกด้วย
หลิงฮันอดฉีกยิ้มและกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้นไม่ได้ “เจ้าหนุ่ม ให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้า!”
ตอนที่ 868
ติงผิงวางก้อนลงขนาดใหญ่ลงกับพื้นและจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยท่าทางสงสัย อีกฝ่ายไม่ได้มีอายุมากไปกว่าเขาเลย แล้วจะเป็นอาจารย์ให้กับเขาได้อย่างไร? เขาพูดว่า “แล้วเจ้าสามารถสอนอะไรข้าได้ และข้าจะได้เรียนรู้อะไรจากเจ้า?”
ประโยคแรกคือคำถามว่าหลิงฮันจะสอนอะไรเขาได้ ส่วนประโยคที่สองคือเขาที่เป็นคนไร้ค่าจะมีทักษะหรือเทคนิคใดบ้างที่เขาสามารถเรียนรู้ได้ภายในท้องฟ้าแห่งนี้?
หลิงฮันยิ้มและเดินไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่ เขายื่นมือออกไปและยกก้อนหินขนาดใหญ่ขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่ามันไม่ใช่ก้อนหิน
“พรวด!”ดวงตาของติงผิงเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถฝึกฝนบ่มเพาะพลังได้ แต่ด้วยความแข็งแกร่งทางกายของเขา ทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่นในเมืองเท่านั้น แต่ยังไงเขาก็ไม่สามารถยกก้อนหินขนาดใหญ่ขึ้นมาได้ด้วยมือข้างเดียวอยู่ดี
หลิงฮันโยนก้อนหินขนาดใหญ่ออกไปเพื่อให้ดูง่ายดายมากยิ่งขึ้น
แน่นอน ถ้าเขาไม่กลัวว่าเจ้าเด็กที่ชื่อผิงติงจะตกใจตาย เขาคงยกภูเขาให้อีกฝ่ายเห็นไปแล้ว! ระดับพลังของเขาในปัจจุบันเองก็ทะลวงผ่านระดับทลายมิติแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่พลังปราณก่อเกิด เพียงแค่พละกำลังก็เพียงพอแล้ว
ช่วยไม่ได้ที่ติงผิงจะรู้สึกตกตะลึง อีกฝ่ายไม่ได้ยกก้อนหินขนาดใหญ่ได้ด้วยมือข้างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถปาออกไปได้ด้วยราวกับเป็นก้อนกรวด นี่เขาจะเป็นฝันเป็นแน่
“จับตาดูให้ดี!” หลิงฮันยิ้มและขว้างก้อนหินขนาดใหญ่อีกก้อนขึ้นไปบนฟ้าราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่
ติงผิงอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึงเพียงพอที่จะเขมือบหัวมนุษย์เข้าไปได้ และแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเปล่งประกาย
นี่สินะสิ่งที่เรียกว่าพลัง!
“หากไม่มีรากฐานวิญญาณก็ยังสามารถบดขยี้ทุกอย่างได้เมื่อแข็งแกร่งเพียงพอ!” หลิงฮันกล่าวและหยุดพูดชั่วขณะ แล้วทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ตุบ ก้อนหินขนาดใหญ่ตกลงมาในมือของเขา และนำมันกลับไปวางลงบนพื้นแล้วพูดต่อว่า “และรากฐานวิญญาณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้!”
“ท่านอาจารย์!” ติงผิงคุกเข่าลงกับพื้นทันที และคำนับหลิงฮันในฐานะอาจารย์
หลิงฮันเบื่อที่จะให้คนอื่นมากราบไหว้ เขารีบพยุงตัวติงผิงขึ้นมาและพูดว่า “เจ้าจะเป็นศิษย์คนที่ห้าของข้า…”
ติงผิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หลิงฮันดูไม่ได้แก่ไปกว่าเขาเลย แต่เขากลับมีลูกศิษย์สี่คนแล้ว? แต่ยังไงเสียเขาก็สามารถโยนก้อนหินขนาดใหญ่ได้ นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากในความคิดของเขา
“กระบวนการที่ข้าจะทำต่อไปนี้จะกินเวลาหลายวัน อย่างแรกข้าจะชำระล้างไขกระดูกของเจ้าก่อน และจะเริ่มลงมือทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา” หลิงฮันกล่าว
ติงผิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขารีบไปทำให้เนื้อตัวสะอาดทันที
จากนั้นหลิงฮันก็นำเตาหลอมและสมุนไพรจำนวนมากออกมากองเอาไว้
เมื่อเห็นหลิงฮันนำของมากมายออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าได้ ช่วยไม่ได้ที่ติงผิงจะรู้สึกตกใจ อาจารย์ของเขาเป็นพระเจ้าหรือไงกัน? และดูเหมือนจะมีสมบัติมากมายอยู่ภายในตัวเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่า แล้วเจ้าจะรู้ทีหลัง” หลิงฮันยิ้มและโยนสมุนไพรและจับติงผิงเข้าไปในเตาหลอม แล้วพูดว่า “กระบวนการที่ข้าจะทำจะทำให้ผิวหนัง กระดูก และเลือดเนื้อของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น แต่กระบวนการนี้ก็จะทำให้เจ้ารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมากเช่นกัน”
หลิงฮันหยุดพูดและพูดต่อว่า “เจ้าสามารถยอมแพ้ได้ทุกเมื่อ แต่เมื่อใดที่เจ้ายอมแพ้ เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะได้เป็นศิษย์ของข้าอีกต่อไป!”
“อาจารย์ ข้าเตรียมใจพร้อมแล้ว!” แววตาของติงผิงดูแน่วแน่ เขาคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนไร้ค่า แต่ในเมื่อมีแสงแห่งความหวังปรากฏอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะยังไงก็ตามเขาก็จะต้องคว้ามันเอาไว้ให้ได้
ความเจ็บปวดที่ได้รับมันจะเจ็บปวดกว่าความเจ็บปวดที่เขาประสบมาตลอดทั้งชีวิตได้อย่างไร?
หลิงฮันส่งเสียงหัวเราะและเปลี่ยนติงผิงให้กลายเป็นเตาหลอมและเริ่มขัดเกลาร่างกายของเขา
ตอนนี้เขาแข็งแกร่งขนาดไหน และสมุนไพรที่เขาใช้มีค่ามากแค่ไหน? สมุนไพรที่เขาใช้กับติงผิงแต่จอมยุทธระดับทลายมิติยังต้องจ้องมองด้วยความอิจฉา ในทวีปฮงเทียนมีจอมยุทธมากมายมหาศาล แต่จะมีสักกี่คนกันที่สามารถยกระดับกายหยาบให้เทียบเท่ากับแร่เหล็กระดับสิบ?
สองคน!
หม่าตั๋วเป่าและเฮ่อเหลียนเทียนหยุน ส่วนอ้าวเจี้ยนที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถือว่าไม่นับ
และถ้ากายหยาบได้รับการขัดเขลาทุกวัน มันเป็นไปได้สูงที่จะทำให้คนธรรมดามีกายหยาบเทียบเท่ากับแร่เหล็กระดับสิบ แต่สิ่งที่ต้องใช้คืออะไร? สมุนไพรล้ำค่านับไม่ถ้วนบวกกับจักรพรรดินักปรุงยาที่เป็นจอมยุทธระดับทลายมิติขั้นเก้าลงมือด้วยตัวเอง
อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครอื่นนอกเหนือจากหลิงฮันที่สามารถทำได้
“อ๊าก-” ติงผิงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับหมูโดนเชือด
นี่มันเจ็บปวดเกินไป!
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาส่งเสียงกรีดร้องออกมาได้สักพัก เขาบังคับให้ปากของตัวเองหุบลงและกัดฟันแน่นแบกรับความเจ็บปวดที่ได้รับ
ร่างกายของเขาปกคลุมไปด้วยหยาดเหงื่อ และกระดูกของเขาก็เริ่มส่งเสียงดังออกมา
นี่ไม่ใช่การชำระไขกระดูกธรรมดา แต่เป็นการทำลายกระดูกเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกและสร้างขึ้นมาใหม่ และทำลายอีกครั้งและสร้างขึ้นมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับใช้กระดูกเป็นเหล็กและตีมันซ้ำไปซ้ำมา
หลังจากนั้นไม่นาน ติงผิงส่งเสียงกรีดร้องอยู่ในลำคอ และมีโลหิตไหลออกมาจากดวงตาของเขา แต่เขาก็ยังคงกัดฟันแน่น
ไม่เลว!
หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ โครงสร้างกระดูกของเจ้าเด็กนี่แตกต่างจากคนทั่วไป และมีความแข็งแกร่งที่น่าประหลาดใจ ซึ่งทำให้เขาอยากยื่นมือเข้ามาช่วยอีกฝ่ายฝึกฝนกายหยาบ อย่างไรก็ตาม แค่พรสวรรค์เพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่เพียงพอที่จะปีนไปถึงจุดสูงสุดของวีถีวรยุทธได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่ไม่มีวันยอมแพ้
อาจกล่าวได้ว่าผู้คนที่มีพรสวรรค์สูงส่งและต่ำต้อยอาจปีนไปไม่ถึงจุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ แต่บรรดาผู้คนที่มีพรสวรรค์ต่ำต้อยมักจะมีความมุ่งมั่น แต่แน่นอนว่าถ้าจะให้ดีที่สุดคือต้องมีทั้งพรสวรรค์และความมุ่งมั่น
ตอนนี้ติงผิงมีทั้งพรสวรรค์และความมุ่งมั่น ซึ่งทำให้หลิงฮันรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
กระบวนการขัดเกลาร่างกายดำเนินต่อไปตลอดทั้งวันทั้งคืน ในช่วงเวลานั้น ตระกูลติงไม่ส่งคนออกตามหาติงผิงแม้แต่คนเดียว นี่แสดงให้เห็นว่าติงผิงถูกตระกูลของตัวเองทอดทิ้งอย่างเห็นได้ชัด
หลิงฮันเปิดเตาหลอมและพาติงผิงออกมา แล้วพูดว่า “ตามข้ามา ข้าจะถ่ายทอดเทคนิคบ่มเพาะกายาให้กับเจ้า!”
เทคนิคเก้ามังกรทรราช!
ในที่สุดติงผิงก็เป็นอิสระจากขุมนรก และค้นพบทันทีว่าเขาก้าวหน้ามากขึ้นแค่ไหน ตอนนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพละกำลังราวกับว่าเขาสามารถทำลายภูเขาได้ด้วยหมัดเดียว
ติงผิงรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ขอรับ!”
หลิงฮันถ่ายทอดเทคนิคให้อีกฝ่ายฟังอย่างละเอียด ถ้อยคำบางอย่างก็ไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด เขาจึงถ่ายทอดเทคนิคผ่านสัมผัสสวรรค์โดยตรง
หลิงฮันที่เป็นจอมยุทธระดับทลายมิติขั้นเก้าแล้วเขาจะไม่มีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร?
แปดราชันเองก็สามารถถ่ายทอดทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์ให้กันได้ผ่านสัมผัสสวรรค์ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงหลิงฮันเลย
ติงผิงเริ่มที่จะฝึกฝนเทคนิคเก้ามังกรทรราช แต่หลังจากนั้นชั่วครู่ ท้องของเขาก็ส่งเสียงร้องออกมาราวกับฟ้าผ่า จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่ใบหน้าของเขาจะกลายเป็นสีแดงด้วยความเขินอายเล็กน้อย
หิว!
ตอนที่ 869
จะหิวก็ไม่แปลก
พลังงานที่ใช้กำลังฝึกฝนร่างกายนั้นมาจากอาหารที่กินเข้าไป ติงผิงที่ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้ายันค่ำ เมื่อเขาเริ่มฝึกฝนกายหยาบก็เป็นธรรมดาที่เขาหิว
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “มากินอาหารก่อนเถอะ”
หลิงฮันนำวัตถุดิบออกมาจากหอคอยทมิฬและเริ่มปรุงอาหาร ไม่นานกลิ่นอันหอมหวนก็ลอยตลบอบอวล ติงผิงที่น้ำลายสอ เมื่อเขาลองลองกินไปคำนึงแล้วเขาก็หยุดมือไม่ได้
เมื่อเห็นเนื้อตรงหน้าหลิงฮันก็อดคิดถึงฮูหนิวไม่ได้ ไม่รูว่าสาวน้อยจะอาศัยอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างมีความสุขหรือเปล่า นางจะกินเนื้อน้อยลงรึไม่?
เมื่อเขาพบฮูหนิวอีกครั้ง บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ใช่สาวน้อยอีกต่อไปแต่เป็นสตรีเต็มตัวแล้ว
หากตอนนั้นนางอายุราวๆสิบแปดแล้ว นางจะไม่เรียกเขาว่า ‘ลุง’ เลยรึไง?
หลิงฮันคิดว่าเมื่อเขาเปิดสวรรค์และขึ้นไปบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องมีโอกาสเสมอที่สักวันหนึ่งเขาจะพบหน้ากับนางอีกครั้ง
หลังจากกินอาหารเสร็จ ติงผิงก็รู้สึกว่าทั่วร่างของเขาอัดแน่นไปด้วยพลัง หลังจากฝึกฝนทักษะกายาเก้ามังกรทรราชแล้วสำเร็จเล็กน้อยแล้ว เขาก็ลองยกโขดหินทดสอบดู เขาพบว่ากำลังของเขาเพิ่มขึ้นจากเดิมถึงสิบเท่า
เพียงแค่วันเดียวเท่านั้น!
ยิ่งกว่านั้นกำลังที่เพิ่มขึ้นก็ไม่ได้เกิดจากพลังกายทั่วๆไป แต่เกิดจากความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อและกระดูกของเขา ซึ่งเป็นพลังที่ไม่อาจมองเห็นได้จากภายนอก
หลิงฮันพยักหน้า “เจ้ามีพลังกายที่เทียบได้ระดับหลอมกายาขั้นสาม แต่ด้วยโครงสร้างกระดูกที่แปลกประหลาดของเจ้าทำให้เจ้าสามารถรีดเค้นกำลังออกมาได้มากกว่าปกติ กำลังของเจ้าสมควรจะทัดเทียมกับระดับรวมธาตุขั้นหนึ่ง”
“เอาล่ะ กลับบ้านไปพักผ่อนให้พอแล้วมาหาข้าที่นี่ทุกๆช่วงบ่าย เมื่อเจ้ามาถึงข้าจะปรากฏตัวให้เห็นเอง”
ติงผิงกล่าวตอบด้วยท่าทางเคารพ “ขอรับอาจารย์”
ความรู้สึกของติงผิงเต็มไปด้วยความปลื้มปิติ เขาคิดมาเสมอว่าเขาเป็นเพียงคนไร้ค่า แต่ตอนนี้เขากลับสามารถเปิดประตูสู่อนาคตใหม่ได้อย่างไม่คาดคิด
ทักษะกายาเก้ามังกรทรราช เมื่อบรรลุระดับสูงสุดแล้วจะทำให้เขามีกำลังเทียบเท่ากับมังกรที่แท้จริงเก้าตัว กำลังกายเช่นนั้นจะเป็นอำนาจที่น่ากลัวขนาดไหนกันนะ?
เขาอดที่จะกลับตระกูลไปหักหน้าคนเหล่านั้นไม่ไหวแล้ว สำหรับตัวตนของหลิงฮันนั้น ติงผิงเต็มไปรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย เขาสามารถตระหนักได้ว่าพลังของอาจารย์ของตัวเขานั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้
หลิงฮันยังคงหยุดพักอยู่ที่แม่น้ำเพื่อรอให้ศพที่ยิ่งใหญ่ปรากฏตัว เขาใช้สัมผัสสวรรค์สอดส่องผ่านธงสัญลักษณ์เพื่อสังเกตุการณ์ทุกๆซอกมุมของเมือง
เขาต้องการจะทดสอบจิตใจของติงผิง
ศักยภาพและความมุมานะ สองสิ่งนี้ทำให้ติงผิงมีคุณบัติจะกลายเป็นจอมยุทธที่ทรงพลัง แต่จอมยุทธที่ทรงพลังก็สามารถเป็นได้ทั้งคนดีและคนเลว หลิงฮันไม่อยากจะเลี้ยงดูปีศาจชั่วร้ายให้เติบใหญ่ ดังนั้นเขาจึงปล่อยติงผิงกลับไปเพื่อทดสอบจิตใจ
พลังที่เพิ่มขึ้นและได้กลับไปเป็นอัจฉริยะอีกครั้ง จิตใจของเขาจะยังเหมือนเดิมอยู่รึไม่?
ติงผิงกลับไปยังเมือง เมื่อถึงตระกูลติงเขาก็เดินตรงเข้าไป
“นายน้อย!” ที่หน้าประตูทหารยามสองคนกล่าวทักทาย แต่ใบหน้าของพวกเขากลับกำลังหัวเราะเยาะโดยไม่มีความเคารพแม้แต่น้อย
ทุกคนรู้ว่าติงผิงปลุกรากฐานวิญญาณได้แล้วเมื่อครึ่งปีก่อน แต่มันก็เป็นเพียงรากฐานวิญญาณที่ไร้ค่าไม่อาจบ่มเพาะพลังได้
ตระกูลได้ประชุมพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาสักพักแล้ว ซึ่งคงจะได้ข้อสรุปในไม่ช้านี้ สถานะผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของติงผิงจะต้องถูกถอดถอน รุ่นเยาว์ของตระกูลติงนั้นมีมากมาย ทำไมพวกเขาจะต้องกังวลเรื่องทายาทด้วย?
ติงผิงใช้สายตากวาดมองและเค้นเสียง “ท่าทางเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร?”
“ท่าทางงั้นรึ?” ทหารยามกล่าวด้วยเสียงเบา “นายน้อยติง ท่านต้องการให้พวกข้าทำท่าทางแบบไหนงั้นรึ? เดี๋ยวอีกไม่กี่วันสถานะของท่านก็จะต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าทาสบริวาร พวกข้าขอแนะนำว่าจงใช้เวลาในไม่กี่วันนี้ให้สนุกในฐานะนายน้อยจะดีกว่า!”
“อวดดี!” ติงผิงยกมือขึ้น ‘ปัง’ เขาตบไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย
ทหารยามเป็นเพียงจอมยุทธระดับหลอมกายา เขาจะสามารถหลบฝ่ามือติงผิงได้อย่างไร? ภายในพริบตาใบหน้าของเขาก็ถูกตบ ทหารยามนำมือขึ้นมาลูบใบหน้าตนเองและอุทานออกมา “เจ้ากล้าตบข้า?”
“เจ้าก็ตอบโต้สิ” ติงผิงกล่าวอย่างเย็นชา
“เหอะๆ พี่ชายผิงช่างยอดเยี่ยมนัก!” ทันใดนั้นเอง รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากบ้านพักตระกูล
“ติงเฟยเหวิน!” ติงผิงกวาดสายตามองและชะงัก
ครึ่งปีก่อนน้องชายของเขาคนนี้ยังเดินตามหลังเขาไปนู่นมานี่และประจบประแจงเขา แต่หลังพบว่าเขามีรากฐานวิญญาณที่ไร้ค่า ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เพียงแค่เขาจะไม่เคารพเขาแต่ยังหาวิธีจัดการเขี่ยเขาทิ้งอีกด้วย
“ฮ่าๆๆ!” ติงเฟยเหวินหัวเราะ เขาไม่ได้เดินมาแค่คนเดียวแต่ข้างกายเขายังมีสตรีที่งดงามอยู่ด้วย นางเป็นรุ่นเยาว์ที่ดูมีอายุราวๆสิบสี่สิบห้าปี ร่างกายของนางช่างโค้งเว้าได้รูปยิ่งนัก
“หยวนหยวน!” ติงผิงมองไปที่นางและอุทานออกมา
สตรีที่งดงามผู้นั้นมีสีหน้าเย็นชาและกล่าว “พี่ชายติง ข้อตกลงการแต่งงานของพวกเราเป็นอันยกเลิกแล้ว ได้โปรดอย่าเรียกข้าอย่างสนิทสนมเช่นนั้นอีก เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิดเอา!” ชื่อของนางคือเยว่หยวน นางเคยเป็นคู่หมั้นของติงผิง แต่หลังจากรู้ว่าติงผิงมีรากฐานวิญญาณที่ไร้ค่าเยว่หยวนก็ขอยกเลิกการแต่งงานทันที
ล้อเล่นรึเปล่า ถึงแม้อำนาจของตระกูลเยว่จะไม่ยิ่งใหญ่เท่าตระกูลติง แต่ตระกูลเยว่ก็ไม่ยอมให้ไข่มุขของตระกูลตกไปอยู่กับขยะไร้ค่าแน่นอน
นอกจากนั้นพรสวรรค์ของเยว่หยวนก็ยังไม่เลวอีกด้วย อนาคตของนางย่อมรุ่งโรจน์
ติงผิงอดรู้สึกเศร้าโศกไม่ได้ เขาชอบเยว่หยวนมากจริงๆ อีกฝ่ายมักจะทำดีและอ่อนโยนกับเขาเสมอมา แต่เมื่อครึ่งปีก่อนท่าทีอ่อนหวานเช่นนั้นของนางก็หายไป
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเยว่หยวนหลงรักเขา แต่ตอนนี้เขารู้ตัวแล้วว่าความอ่อนโยนของอีกฝ่ายเป็นเพียงการเสแสร้ง
เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับหัวใจถูกดาบทิ่มแทง
“ใช่แล้ว พี่ชายผิงไม่ต้องเศร้าไป ตอนนี้หยวนหยวนเป็นคู่หมั้นของข้าแล้ว!” ติงเฟยเหวินถอนหายใจเยาะเย้ย เขาเห็นว่าใบหน้าติงผิงนั้นซีดขาวราวกับถูกตบหน้าอย่างรุนแรง
เขามักจะถูกติงผิงแซงหน้ามาโดยตลอด ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเขาก็จะถูกติงผิงบดบังรัศมี แต่ถึงแม้เขาจะรังเกียจติงผิงขนาดไหนเขาก็ยังเสแสร้งแกล้งทำเป็นน้องชายแสนดีต่อหน้าอีกฝ่าย
แต่ตอนนี้ติงผิงสูญเสียชื่อเสียงไปหมดสิ้นแล้วทำให้สถานะของเขาสูงขึ้นมาก ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเสแสร้งอีกต่อไปและจะเขี่ยคนที่เคยอยู่เหนือกว่าเขาคนนี้ทิ้งไปซะ
“หยวนหยวน!” ติงผิงโอดครวญด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาชอบเยว่หยวนมาก แต่ตอนนี้เยว่หยวนที่อยู่ต่อหน้าเขากลับกลายเป็นคนอื่นไปอย่างสิ้นเชิง
“บังอาจ ชื่อของคู่หมั้นของพี่ชายเฟยเหวินไม่สิ่งที่คนเช่นเจ้าจะสามารถเอ่ยเรียกได้!” รุ่นเยาว์สองคนโผล่ออกมาจากด้านหลังติงเฟยเหวินและคำรามใส่ติงผิง
ตอนที่ 870
ติงผิงกวาดสายตามอง พวกมันทั้งสองคนคือติงอวี้เซวียนและติงชิงเว่ย ทั้งสองคนเคยเป็นน้องชายของเขา แต่ตอนนี้กลับทำตัวไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
ในความเป็นจริง ติงผิงเองก็รู้ตัวดีว่าเขามีรากฐานวิญญาณที่ไร้ค่า มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้สืบทอดตำแหน่งตระกูลติง แม้แต่คนในตระกูลยังบอกให้เขาสละตำแหน่ง แต่เขาไม่อาจยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้
แต่ความชั่วร้ายและเปลี่ยนสีของคนพวกนี้ทำให้เขารู้สึกรังเกียจเป็ยอย่างยิ่ง
ทุกคนคือตระกูลเดียวกัน แต่ทำไมต้องทำตัวเย็นชาและเสแสร้งด้วย?
“ใช่แล้ว ข้าลืมบอกข่าวดีกับพี่ชายติงของข้าเลย” ติงเฟยเหวินหัวเราะ “เมื่อไม่กี่วันก่อน นิกายชื่อยื่อได้ยอมรับข้าเป็นศิษย์แล้ว!”
การที่ติงเฟยเหวินได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายชื่อยื่อนั้นหมายความว่าอย่างน้อยตระกูลติงมีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณคอยปกป้องอยู่ แล้วนั่นจะทำให้ตระกูลติงแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหนกัน?
ดังนั้น การที่ติงเฟยเหวินได้เป็นศิษย์ของนิกายชื่อยื่อถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับตระกูลติง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตระกูลเยว่มอบเยว่หยวนให้กับติงเฟยเหวิน
แล้วการที่ติงเฟยเหวินได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายชื่อยื่อนั้นเขาจะได้รับอะไรจากนิกาย? เขาจะต้องกลายเป็นจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณเป็นอย่างน้อย และใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทะลวงผ่านระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ แม้กระทั่ง…ระดับบุปผาผลิบาน!
“พี่ชายเฟยเหวินช่างยอดเยี่ยม!” เยว่หยวนแสดงความชื่นชมเขาเพื่อทำให้ติงเฟยเหวินรู้สึกพึงพอใจ
ติงผิงจ้องมองพวกมันทุกคนด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย
ในตอนนี้ เขาได้ปล่อยวางเรื่องทั้งหมดไปแล้ว และกำลังคิดทบทวน
เยว่หยวนไม่เคยรักเขา นางเพียงแค่ต้องการใช้ประโยชน์จากเขาเท่านั้นเมื่อครั้งหนึ่งเขาเคยถูกตระกูลติ่งมองว่าเขาเป็นอัจฉริยะ แต่สิ่งที่เขารู้สึกรังเกียจมากที่สุดคือการที่เยว่หยวนแสร้งทำดีกับเขา
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมเขาจะต้องรู้สึกโศกเศร้าด้วย? สำหรับหญิงสาวที่ไม่มีใจให้…เขาจะยื้อไว้ไปทำไม?
แล้วทำไมเขาจะต้องสนใจคนพวกนี้ด้วย? พวกเขาเป็นแค่กบก้นบ่อที่ไม่รู้ว่าทะเลและมหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหน
– ถึงแม้หลิงฮันจะไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ติงผิงก็สามารถคาดเดาได้ว่าอาจารย์ของเขาจะต้องมีสถานะสูงส่งมกาอย่างแน่นอน และไม่มีใครต่อกรกับเขาได้
เพียงแค่เขาพบเจอหลิงฮัน มันก็เหมือนทำให้เขาเกิดใหม่ และตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาก็เทียบได้กับจอมยุทธระดับรวมธาตุขั้นหนึ่งแล้ว ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ทั้งตระกูลตกใจตาย! ยิ่งไปกว่านั้น เทคนิคเก้ามังกรทรราชที่หลิงฮันสอนเขาจะช่วยให้เขามีพละกำลังของมังกรที่แท้จริงเก้าตัว ซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง
ในทางตรงกันข้าม ตำแหน่งนายน้อยของตระกูลติงคืออะไร? ศิษย์ของนิกายชื่อยื่อคืออะไร?
ระหว่างที่ครุ่นคิด ความคิดของติงผิงก็เปลี่ยนไปทันที ดูเหมือนเขาจะเป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้น เขาไม่รู้สึกโกรธอีกฝ่ายอีกต่อไปและพูดออกมาว่า “โปรดปล่อยข้าไปเถอะ ข้าต้องการกลับไปพักผ่อน”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ติงอวี้เซวียนและติงชิงเว่ยระเบิดเสียงหัวเราะ พวกเขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดจาอ้อนวอนแบบนั้นออกมา
มุมปากของเยว่หยวนเผยให้เห็นถึงความเย้ยหยัน โชคดีที่นางยกเลิกงานหมั้นตั้งแต่เนิ่นๆ มิฉะนั้นนางคงจะต้องรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิตของนางที่ได้แต่งงานกับคนอย่างเขา
ติงเฟยเหวินเองก็ส่งเสียงหัวเราะ ยอดเขาที่เขาทำได้แค่เงยหน้ามองในอดีต แต่ตอนนี้เขาสามารถเหยียบย่ำได้อย่างง่ายดาย! เขาแยกขาเล็กน้อยและพูดว่า “ก็ได้ แต่เจ้าจะต้องคลานผ่านระหว่างขาของข้าไป และข้าจะไม่รังแกเจ้าอีก!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ติงอวี้เซวียนและติงชิงเว่ยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง แม้แต่ทหารยามสองคนยังเผยสีหน้าเย้ยหยัน
ติงผิงเหมือนเป็นตัวตลกในสายตาของคนทุกคน
ติงผิงดูเฉยเมยและพูดว่า “อย่าขวางทางข้า ไม่เช่นนั้น…เจ้าจะต้องเสียใจ!”
“โอ้ว ข้าอยากจะเห็นซะแล้วสิว่าเจ้าจะทำให้ข้าเสียใจได้อย่างไร!” ติงเฟยเหวินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ติงผิงเดินไปข้างหน้าและกำหมัดแน่น
“ถ้าเจ้าทำไม่ได้ ก็อย่าได้พูดเช่นนั้นออกมา!” ติงเฟยเหวินแสยะยิ้ม เขาปลุกรากฐานวิญญาณขึ้นมาได้เมื่อสามปีก่อน และตอนนี้เขาอยู่ในระดับหลอมกายาขั้นเก้า ถ้าไม่ใช่เพราะคอขวดเขาคงจะทะลวงผ่านระดับรวมธาตุไปแล้ว
แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา ตราบใดที่เขาเข้าสู่นิกายชื่อยื่อ เขาก็จะมีทรัพยากรบ่มเพาะพลังไม่จำกัดและการที่เขาจะทะลวงผ่านระดับรวมธาตุก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
“หลบไปให้พ้น!” ติงผิงเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“เจ้าอยากลองดีอย่างนั้นรึ?” ติงเฟยเหวินเริ่มเคลื่อนไหวและโจมตีใส่ติงผิงด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง
ตู้ม!
ติงผิงปล่อยหมัดที่หนักหน่วงและรวดเร็วออกไป
ทันใดนั้น ฝ่ามือทั้งสองข้างของติงเฟยเหวินก็ถูกหมัดของติงผิงทะลวงผ่าน และต่อยมาที่ใบหน้าของเขา ทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระเพื่อมเหมือนกับคลื่นน้ำ และกระเด็นไปด้านหลัง
ร่างของเขากระแทกเข้ากับกำแพงอย่างรุนแรง ก่อนที่จะเด้งกลับมานอนกองอยู่บนพื้นด้วยความเจ็บปวดและไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้
เป็นไปได้ยังไง?
เยว่หยวน ติงอวี้เซวียน ติงชิงเว่ยและทหารยามสองคนต่างตกอยู่ในอาการตกตะลึง มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร? นั่นคือติงเฟยเหวินเชียวนะที่เป็นจอมยุทธระดับหลอมกายาขั้นเก้า และยังเป็นนายน้อยอันดับหนึ่งของตระกูลติง!
พวกเขาไม่คิดเลยว่าติงเฟยเหวินจะพ่ายแพ้ให้กับติงผิงเพียงแค่หมัดเดียว
แต่แววตาของเยว่หยวนกลับจ้องมองติงผิงด้วยดวงตากลมมน หรือว่าอีกฝ่ายปกปิดความแข็งแกร่งของตัวเองมาตลอด? มิฉะนั้นเขาจะเอาชนะติงเฟยเหวินได้อย่างไร?
ติงผิงดึงกำปั้นกลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มีเพียงแค่เขาเท่านั้นที่รู้สึกตื่นเต้นไปด้วยความสุข
เขาที่ทำได้แค่กำหมัดมาตลอในอดีตด แต่วันนี้ในที่สุดเขาก็สามารถปล่อยหมัดออกไปได้
แม้มันจะเป็นเรื่องง่ายที่จะเหวี่ยงหมัด แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้!
ท่านอาจารย์!
ติงผิงรู้สึกขอบคุณหลิงฮันเป็นอย่างยิ่งอยู่ในใจด้วยความกตัญญู
ในเมื่อตระกูลติงไม่ใช่สถานที่ที่เขาควรอยู่ เขาก็พร้อมที่จะไปกับหลิงฮัน
– พ่อแม่ของเขาตายไปแล้ว แม้จะมีลุงทั้งสองคนอยู่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจเขาเลยตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้ว
“พี่เฟยเหวิน!” หลังจากที่ติงผิงเดินจากไป เยว่หยวนจึงรีบเข้าไปช่วยติงเฟยเหวินทันที
“เจ้ากล้าที่จะวางแผนทำร้ายข้า ข้าจะไปฟ้องผู้อาวุโสของตระกูลกับเรื่องที่เกิดขึ้น และให้พวกเขาลงโทษเจ้าด้วยกฎของตระกูล!” ติงเฟยเหวินกัดฟันพูด ใบหน้าของเขายังคงปรากฏรอยหมัดของติงผิง
วางแผนทำร้ายเจ้า?
ติงอวี้เซียนและติงชิงเว่ยพยักหน้าทันทีและพูดว่า “ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าจะเอาชนะนายน้อยเฟยเหวินด้วยหมัดเดียวได้อย่างไร!”
ติงเฟยเหวินจ้องมองไปที่ทั้งสองคนทันที เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงความพ่ายแพ้ของเขา
ดวงตาที่งดงามของเยว่หยวนเปล่งประกาย นางจะต้องกลับตระกูลทันทีเพื่อรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น