Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 739-750
ตอนที่ 739
หลังจากผ่านไปสิบวัน ผู้คนกว่าครึ่งหนึ่งก็ได้ถูกกำจัดออกไป มันคงเป็นเรื่องยากที่จะพูดว่าหลังจากผ่านไปสองเดือนจะยังมีคนเหลือรอดอยู่ห้าสิบคน
แต่ในสิบวันนี้ ผู้คนที่เหลือรอดมาได้ไม่ได้มีแค่ความเพียรและพละกำลังที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการฝึกฝนระเบียบวินัยของทหารด้วยเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะยังไม่สามารถเทียบได้กับทหาร แต่ก็แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่ดีมาก
หนึ่งเดือนต่อมา ผู้คนที่ถูกกำจัดออกเริ่มเยอะขึ้น และเหลืออยู่แค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้น
“สามวันให้หลัง พวกเจ้าทุกคนจะถูกแบ่งออกเป็นสิบกลุ่มเพื่อทำงานเป็นกลุ่ม ข้าจะเป็นคนให้คะแนน กลุ่มไหนที่ได้คะแนนต่ำที่สุด…จะถูกกำจัด!” เซียวหย่งเหนียนกล่าว
ทุกคนรู้สึกตกใจและมีบางคนรู้สึกไม่พอใจ
ถ้าหากพวกเขาได้อยู่ทีมไก่ล่ะ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะต้องถูกกำจัดหรอกหรือ?
“การทดสอบนี้เป็นการทดสอบการร่วมมือกัน ถ้าพวกเจ้าไม่สามารถร่วมมือกับคนในกลุ่มได้ แล้วพวกเจ้าจะสมัครเจ้าร่วมกองทัพไปทำไม?” เซียวหย่งเหนียนเค้นเสียง “ข้าจะเป็นคนเลือกสมาชิกให้เอง และข้าไม่ต้องการวีรบุรุษที่ชอบฉายเดี่ยว!”
หลิงฮันพยักหน้าในใจ ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นกองทัพทหารร้อยคนที่นำโดยราชินีหยินมาก่อน เมื่อพวกเขาหนึ่งร้อยคนรวมพลังกันพวกเขาสามารถที่จะต้านทานผลที่ตามมาของการต่อสู้ของจอมยุทธระดับทลายมิติได้ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าทึ่ง
นี่คือผลมาจากความสามัคคี แน่นอนว่าทหารพวกนั้นจะต้องใช้วิธีบางอย่างที่จะผสานความแข็งแกร่งและพลังป้องกันของพวกเขา มิฉะนั้นมันคงไม่มีทางทำได้
“มันคงเป็นเรื่องดีที่จะได้เรียนรู้วิธีการนั้น” หลิงฮันคิดอยู่ในใจ
ภารกิจของพวกเขาในครั้งนี้คือการกวาดล้างกลุ่มโจรภูเขา
ในความเป็นจริง กลุ่มโจรภูเขาพวกนั้นก็เคยทำงานสุจริตมาก่อน พวกเขาเคยเป็นขุมพลังที่มีจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวา ทว่าภายใต้การกวาดล้างของจักรวรรดิจันทราม่วง ทำให้จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาพวกนั้นถูกฆ่าตาย แต่ก็มีบางคนเลือกที่จะยอมจำนน
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้พวกมันได้ลอบโจมตีอย่างลับๆจากคำสั่งของห้านิกายโบราณ พวกมันเข้าไปในพื้นที่ภูเขาที่ซับซ้อนและกลายเป็นโจรภูเขา บางครั้ง พวกมันก็จะออกมาทำร้ายผู้คน โดยมีวัตถุประสงค์คือเพื่อทำลายจักรวรรดิจันทราม่วง
ถ้าประชาชนไม่มีความสุข พลังจักรภพก็จะกลายเป็นพิษ!
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะจักรวรรดิจันทราม่วงจัดการพวกมันไม่ได้ โจรภูเขาที่หลงเหลืออยู่มีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแค่ไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นพวกมันจะกลายเป็นคู่ซ้อมให้กับผู้สมัคร
พูดตามตรง แม้ว่าโจรพวกนั้นจะมีจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาอยู่ก็ตาม หลิงฮันก็สามารถกำจัดได้อย่างง่ายดาย แต่ครั้งนี้เขาจะต้องทำงานเป็นกลุ่ม หลิงฮันจึงไม่คิดที่จะฉายเดี่ยว และเป็นสวมตัวตนจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน
พวกเขาได้รับการสอนทักษะสร้างค่ายกลที่สามารถรวมพลังของคนสิบคนแต่ผลลัพธ์ของมันนั้นได้แค่ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
แต่ว่าอย่าได้ดูถูกผลลัพธ์ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เชียว ถ้ารวมพลังเข้าด้วยกัน ยิ่งคนเยอะ ผลกระทบก็จะยิ่งน้อยลง
สามวันต่อมา พวกเขาจะพึ่งพาทักษะค่ายกลนี้เพื่อเผชิญหน้ากับโจรภูเขา กล่าวกันว่าพวกมันมีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณมากถึงสี่คน ซึ่งมากกว่าในหมู่พวกเขาถึงสองคน
ทุกคนเริ่มตัวสั่น พวกเขาจะต้องตั้งใจ มิเช่นนั้นพวกเขาอาจไม่ถูกกำจัดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาจถูกฆ่าตายด้วย
แต่ละกลุ่มจะมีคนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นแกนกลางของทักษะค่ายกล ซึ่งเป็นการรวมพลังของอีกเก้าคนให้กลายเป็นหนึ่ง หลิงฮันเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด และแน่นอนว่าเขาจะได้เป็นหัวหน้ากลุ่มและเป็นแกนกลางทักษะค่ายกล
ความแข็งแกร่งของแต่ละกลุ่มมีความสมดุลมากกลุ่มที่มีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณสองกลุ่มนั้นความแข็งแกร่งของสมาชิกในกลุ่มจะด้อยกว่ากลุ่มอื่นเพื่อถัวเฉลี่ยความแข็งแกร่งกันไป
แน่นอนว่าจูเสวี่ยนเอ๋อไม่ได้ถูกแบ่งให้อยู่ในกลุ่มของหลิงฮัน ที่นี่มีจอมยุทธที่อยู่เหนือกว่าระดับบุปผาผลิบานเพียงแค่หกคนเท่านั้น แน่นอนว่าคนพวกนั้นจะต้องเป็นผู้นำกลุ่ม ไม่เหมือนกับสี่กลุ่มที่เหลือที่ไม่มีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ต้องต่อสู้กับจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ละกลุ่มจะมีภารกิจที่วางแผนไว้เป็นอย่างดี กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดจะได้ต่อสู้กับโจรภูเขาที่อ่อนแอ ซึ่งจะไม่ส่งผลต่อผลลัพธ์
สามวันต่อมา พวกเขาก็เริ่มออกเดินทาง
พวกโจรภูเขาไม่ได้อยู่ห่างจากพวกเขามากนัก พวกเขาเดินทางแค่ครึ่งวันก็เดินมาถึงแล้ว เมื่อพวกเขามาถึงเซียวหย่งเหนียนสั่งให้พวกเขาเริ่มเปิดฉากโจมตีพวกมัน
ก่อนหน้านี้หลิงฮันเคยเห็นการโจมตีของจักรวรรดิจันทราม่วงมาก่อน เขาเคยยืนอยู่ในมุมมองของห้านิกายโบราณ แต่ตอนนี้เขาเป็นทหารตัวเล็กๆของจักรวรรดิจันทราม่วง ซึ่งมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
กลุ่มคนสิบคนเกือบจะไร้พ่าย เพราะพวกเขาสามารถรวบพลังกันได้ แม้แต่กลุ่มที่อ่อนแอที่สุดยังมีพลังต่อสู้ระดับบุปผาผลิบาน
พวกเขาต่อสู้อย่างดุเดือดตลอดทาง และบังคับให้โจรภูเขาที่เป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งสี่คนปรากฏตัวออกมาและต่อสู้กันอย่างดุเดือด
หลิงฮันลงมือไม่ให้โดดเด่นเกินไป แต่ยกระดับพลังต่อสู้ของเขาไปที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณสองดาวและต่อสู้กับศัตรูด้วยสมาชิกกลุ่มเก้าคนของเขา
การต่อสู้ดำเนินไปเป็นเวลาเกือบสามวันและในที่สุดกลุ่มโจรภูเขาก็ถูกกำจัดออกไปและทางกองทัพก็จ่ายเงินให้กับคนที่ตกตายไปเจ็ดคนและได้รับบาดเจ็บสิบแปดคน แต่เมื่อพิจารณาว่าพวกเขามีเพียงแค่ร้อยคนเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนที่น้อยกว่ามาก แต่ผลลัพธ์กลับน่าตื่นตาตื่นใจ
แม้แต่หลิงฮันก็พยักหน้า นี่เป็นตัวอย่างชัยชนะของผู้ที่อ่อนแอกว่ากลับชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่า
“ฮึ่ม ตายเจ็ดคนงั้นรึ!” สีหน้าของเซียวหย่งเหนียนดูเย็นชา “คนพวกนั้นถือเป็นพวกไร้ประโยชน์ สามคนเป็นกลุ่มของกงเฟยหยาง สองคนเป็นกลุ่มของซู่เฉิงเหวิน และอีกสองคนเป็นกลุ่มของเจียนฉีเจิง อย่าคิดว่าข้าไม่ให้ความสนใจ ถ้าพวกเจ้าไม่โลภที่จะสร้างผลงาน สมาชิกในกลุ่มของพวกเจ้าจะตายหรือไม่?”
กงเฟยหยางและซู่เฉิงเหวิน พวกเขาทั้งคู่ต่างเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะต้องเชื่อฟังจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่เจียนฉีเจิงเองก็เป็นชายชราที่เป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณเหมือนกัน เขาเค้นเสียงและพูดว่า “มันไม่คุ้มหรือที่ใช้ชีวิตของจอมยุทธระดับห้วงวิญญาณสามคนแลกกับชีวิตของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ?”
“เจ้ามีอำนาจอะไรมาตัดสินใจว่าใครจะมีชีวิตอยู่หรือตาย?” เซียวหย่งเหนียนดูโศกเศร้า “ในสนามรบแห่งนี้สมาชิกกลุ่มของเจ้าคือที่พึ่งของเจ้าเจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นเบี้ยที่เจ้าสามารถใช้พวกเขาเพื่อเสียสละแทนได้อย่างนั้นรึ? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกันถึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น? ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า!”
“อะไรกัน!” เจียนฉีเจิงไม่พอใจ เขาทนฝึกฝนตั้งแต่วันแรก แล้วเขาจะยอมรับได้อย่างไร?
เขาปัดแขนเสื้อขึ้นมาและพูดว่า “ถ้าเจ้าต้องการให้ชายชราอย่างข้าไส้หัวไปให้พ้น เช่นนั้นก็มอบเทคนิคบ่มเพาะพลังระดับแปดมาให้ข้า เจ้าคิดหรือว่าชายชราอย่างข้าจะเต็มใจทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่?”
เซียวหย่งเหนียนแสยะยิ้มและพูดว่า “เจ้าไม่ผ่านการฝึกฝน แต่ยังต้องการเทคนิคบ่มเพาะพลัง?”
“หรือเจ้าคิดจะลองดีกับข้า?” เจียนฉีเจิงจ้องเขม็ง “ถ้าเจ้าไม่ส่งเทคนิคบ่มเพาะพลังมาให้ข้า ข้าจะสังหารทุกคนที่อยู่ที่นี่ซะ!” เขานำดาบสีดำออกมาและมีออร่าสีดำพันอยู่รอบดาบ ซึ่งดูน่าหวาดกลัวมาก
ตอนที่ 740
เซียวหย่งเหนียนผาดมือไว้ได้หลังและพูดว่า “เจ้ากำลังรนหาที่ตาย?”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ที่จริงข้าปกปิดความแข็งแกร่งเอาไว้จนถึงวันนี้และเจ้า-” เจียนฉีเจิงชี้ไปที่เซียวหย่งเหนียน “ข้าได้เห็นความแข็งแกร่งของเจ้ามามากพอแล้ว และความลับจุดอ่อนของทักษะค่ายกลมีจุดอ่อนอยู่ทุกที่ในสายตาของข้า!”
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จะมอบเทคนิคบ่มเพาะพลังให้กับข้าหรือจะให้ข้าสังหารเจ้า!” เจียนฉีเจิงกล่าว
เขากวัดแกว่งดาบสีดำในมือและทันนั้นกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวก็หลั่งไหลออกมา
ช่วยไม่ได้ที่สีหน้าของเซียวหย่งเหนียนจะเปลี่ยนไปซีดขาว ชายชราผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นจอมยุทธที่อยู่บนจุดสูงสุดของระดับตัวอ่อนวิญญาณ และมีอาวุธวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวมากอยู่ในมือ พลังต่อสู้ของเขาจะต้องมากกว่าสิบดาวอย่างแน่นอน! และตัวเขาเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นเจ็ดเท่านั้น และมีพลังต่อสู้แค่แปดดาว มันไม่ใช่คู่มือของชายชราเลย
ทหารในกองทัพจักรวรรดิจันทราม่วงนั้นไม่ได้มีอัจฉริยะมากมายนัก แต่เมื่อผ่านสงครามที่ยาวนาน พวกเขาจะมีวินัยและก้าวหน้าขึ้น สิ่งที่พวกเขาทำได้ดีคือการต่อสู้เป็นกลุ่ม ซึ่งสามารถเอาชนะศัตรูที่ไม่สามารถเอาชนะได้ แต่พลังต่อสู้ของพวกเขาแต่ละคนนั้น…มันธรรมดามาก
ปัญหาคือตอนนี้เขาตัวคนเดียว และทหารหน้าใหม่เพิ่งจะถูกฝึกฝน เขาจะสามารถใช้งานได้อย่างไร? อีกด้านเองก็รู้ถึงความลับของทักษะค่ายกล ซึ่งมันง่ายมากที่จะทำลาย
“พวกเจ้าจงกลับไปที่ค่ายฝึกเดี๋ยวนี้!” เขารีบตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“อาจารย์!” ทุกคนส่งเสียงเรียกเขา
“ทำตามคำสั่ง!” เซียวหย่งเหนียนตะโกน
เจียนฉีเจิงแสยะยิ้มและพูดว่า “คิดว่าข้าจะปล่อยไปหรือ? จะไม่มีใครแม้แต่คนเดียวได้กลับไป!” เขาไม่อยากถูกจอมยุทธของจักรวรรดิจันทราม่วงไล่ล่า ดังนั้นเขาจะต้องสังหารทุกคนที่อยู่ที่นี่ แล้วมันก็จะไม่มีใครล่วงรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
“ไปซะ!” เซียวหย่งเหนียนพูด “ข้าจะต้านมันไว้เอง!”
“เจ้าคิดว่าจะหยุดข้าได้อย่างนั้นรึ?” เจียนฉีเจิงแสยะยิ้ม เขายกดาบสีดำขึ้นมา แต่ไม่ได้ฟาดฟันลงมาทันที ดูเหมือนว่าเขากำลังจะมองหาเป้าหมายอยู่
ทุกคนรู้สึกไม่สบายใจ อีกฝ่ายเป็นถึงจอมยุทธที่อยู่บนจุดสูงสุดของระดับตัวอ่อนวิญญาณ และยังมีอาวุธวิญญาณอยู่ในมือ แล้วใครจะสามารถต่อกรด้วยได้? เห็นได้ชัดว่าใครจะเป็นฝ่ายถูกฆ่าตาย แล้วพวกเขาจะไม่รู้สึกหวาดกลัวได้อย่างไร?
หลิงฮันพร้อมที่จะกระโจนออกไปช่วยทุกเมื่อ ทุกคนฝึกฝนร่วมกันมาสองเดือน แล้วเขาจะไม่รู้สึกผูกพันได้อย่างไร?
ปัง!
ในขณะนั้น แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วทำให้ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออกและอ้วกออกมา
ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบ แล้วพูดว่า “ใครคือหลิงฮัน?”
เจียนฉีเจิงเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะกะทันหัน เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเป็นใครกันถึงกล้าเข้ามาขัดจังหวะข้า?”
พรึบ!
เขาเพิ่งจะพูดจบประโยค ร่างกายของเขาก็ถูกผ่าเป็นสองส่วนแล้ว และโลหิตของเขาสาดกระจายไปทั่วใส่ผู้คนหลายคนที่อยู่ใกล้เขา ทำให้ใบหน้าของพวกเขาเปื้อนไปด้วยเลือดและเนื้อของเจียนฉีเจียงและดูน่าสยดสยอง
ทุกคนจ้องมองไปที่ชายชราด้วยความหวาดกลัว เขาแข็งแกร่งเกินไปและสามารถสังหารเจียนฉีเจิงที่เป็นจอมยุทธที่อยู่บนจุดสูงสุดของระดับตัวอ่อนวิญญาณได้ในพริบตา หรือว่าเขาจะเป็นจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาหรืออาจจะสูงกว่านั้น?
“ท่านผู้อาวุโส ท่านมีนามว่าอะไรอย่างนั้นหรือ?” เซียวหย่งเหนียนไม่ตอบคำถามของชายชราแม้ว่าอีกฝ่ายจะกำจัดปัญหาใหญ่ให้พวกเขาก็ตาม “หลิงฮัน” เป็นคนที่อยู่ใต้บัญชาการของเขา และอีกฝ่ายคงไม่ตามหาหลิงฮันเพื่อเชิญเขาไปดื่มชาอย่างแน่นอน
ในฐานะอาจารย์ เขามีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องชีวิตคนของเขา
ชายชรากวาดสายตามองไปที่เซียวหย่งเหนียนและพูดว่า “ข้ามาจากตระกูลหยีและไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับจักรวรรดิจันทราม่วง ดังนั้นส่งเด็กที่ชื่อหลิงฮันมาให้ข้า และชายชราผู้นี้จะรีบจากไปทันที”
ตระกูลหยี?
หลิงฮันรู้สึกตกตะลึงทันที หรือว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้อาวุโสเจ็ดของตระกูลหยี ก่อนหน้านี้ที่เขตแดนลี้ลับ เขาได้สังหารชายที่ชื่อว่าหยีเสวียนหมิง แต่ถ้าให้ตามจริงฮูหนิวเป็นคนฆ่าต่างหาก แต่อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นคนสังหารเลยกลับมาเพื่อแก้แค้น
นี่คือจอมยุทธระดับสวรรค์ ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่เซียวหย่งเหนียนจะสามารถต่อกรด้วยได้ อย่างไรก็ตาม ตามที่ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีพูด เขาไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจักรวรรดิจันทราม่วง ดังนั้นเขาคงไม่ได้มาเพื่อฆ่าหลิงฮันหรอกมั้ง?
หลิงฮันเดินออกมาอย่างองอาจ ต้นเหตุของเรื่องมันเป็นเรื่องเขา แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้คนอื่นถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้เซียวหย่งเหนียนไม่มีทางต่อกรกับอีกฝ่ายได้ แล้วเขาจะปล่อยให้เซียวหย่งเหนียนตายอย่างไร้ค่าได้อย่างไร?
“หลิงฮัน กลับไปซะ!” เซียวหย่งเหนียนตะโกนออกมาทันที เมื่อเห็นหลิงฮัน
หลิงฮันโบกมือและพูดว่า “อาจารย์ อีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยี และยังเป็นถึงจอมยุทธระดับสวรรค์”
พรวด!
ทุกคนแทบกระอักเลือด ภายใต้ดวงอาทิตย์จะมีจอมยุทธระดับทลายมิติสักกี่คนกัน? ต่ำกว่าจอมยุทธระดับทลายมิติคือจอมยุทธระดับสวรรค์ และพวกเขาสามารถฆ่าพวกเขาทุกคนได้ด้วยนิ้วเดียว
เซียวหย่งเหนียนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่เขาก็พูดออกมาอย่างเด็ดขาดว่า “ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าแน่นอนว่าข้าจะต้องปกป้องเจ้า มันจะต้องข้ามศพข้าไปก่อนและจะไม่มีใครได้สัมผัสแม้แต่ปลายผมของเจ้า”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ต้องการตั้งตัวเป็นศัตรูกับจักรวรรดิจันทราม่วง แต่ถ้าเจ้ายังยืนกรานเช่นนั้นก็ไปลงนรกซะ!” ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีเริ่มโจมตีใส่เซียวหย่งเหนียน
ปัง!
พื้นดินเบื้องล่างปรากฏหลุดลึก และเซียวหย่งเหนียนนั้นได้หายไปแล้ว
ผู้อาวุโสเจ็ดกวาดสายตามองและเผยสีหน้าไม่พอใจแล้วพูดว่า “เจ้าปกป้องตัวเองยังเป็นเรื่องยาก แต่ยังกล้าที่จะเข้ามาแทรกแซง?”
หลิงฮันวางเซียวหย่งเหนียนลง ถ้าเขาช่วยเซียวหย่งเหนียนไม่ทัน เขาคงจะกลายเป็นศพไปแล้ว
เซียวหย่งเหนียนรู้สึกตกตะลึง เมื่อหลิงฮันกระโจนออกมา เขาพบว่าอีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าเขามาก เพราะตัวเขาเองไม่มีทางหลบการโจมตีเมื่อครู่นี้ได้อย่างแน่นอน
“อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่มิใช่รึ?” หลิงฮันยิ้มหัวเราะและพูดว่า “อาจารย์ ตรงนี้ให้ข้าเป็นคนจัดการเอง”
ผู้อาวุโสเจ็ดไม่รีบร้อนที่จะลงมือและพูดว่า “คนที่ฆ่าคนของตระกูลหยีของข้า เจ้าถูกกำหนดให้ต้องตาย! แต่ทว่า ชายชราอย่างข้าเป็นคนที่มีเหตุผล ข้าเลยอยากเสนอให้เจ้าเลือกว่าอยากจะตายแบบไหนดี?”
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ทำไมข้าจะต้องเป็นฝ่ายเลือกก่อนกันล่ะ?”
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!” ผู้อาวุโสเจ็ดแสยะยิ้มและพูดว่า “เจ้าถูกกำหนดให้ต้องตายวันนี้!”
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำเช่นนั้นกับเขา!” เสียงของใครบางคนดังมาจากระยะไกล
“เจ้าเป็นใคร!” ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีรีบตะโกนออกไปทันที แต่ก็ตรวจสอบไม่พบอีกฝ่ายด้วยพลังของเขา
“หืม ทำไมข้ารู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงนี้?” หลิงฮันพูดพึมพัม นี่เป็นเสียงของผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความห้าวหาญ
“โผล่หัวออกมาซะ!” ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีตะโกนออกไปอีกครั้ง เขากวาดสายตามองรอบทิศ “เจ้ากล้าที่จะขัดจังหวะข้า แต่กลับไม่กล้าโผล่หัวออกมาอย่างนั้นรึ? หึ่ม ข้าเบื่อที่จะให้ความสนใจเจ้าแล้ว และจะสังหารเจ้าเด็กนี่ซะเดี๋ยวนี้!”
เขาชี้ไปที่หลิงฮันและปลดปล่อยจิตสังหารที่รุนแรงออกมา
“ออกไปให้พ้นจากที่นี่ หรือเจ้าอยากจะตาย!” เสียงของใครบางคนดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าก็แค่แสร้งทำเป็นลึกลับ!” ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีจ้องไปที่หลิงฮันและยกมือขึ้น
ตอนที่ 741
หลิงฮันมีท่าทีตื่นตัว จอมยุทธระดับสววรรค์ขั้นสูงสุดนั้นเกินกำลังเขาในตอนนี้ หากต้องปะทะกันเขาคงไม่พ้นถูกทุบตีเป็นแน่
แต่แน่นอนว่าแม้เขาจะถูกทุบตีเขาก็ไม่มีทางตาย เพราะอย่างไรเขาก็มีกายหยาบที่มีพลังป้องกันอันทรงพลัง
“เสวียนเอ๋อ มาตรงนี้!” หลิงฮันตะโกน เขาไม่มีทางหลบหนีเข้าไปในหอคอยทมิฬคนเดียวแน่นอน
โชคดีที่ถึงแม้ฮูหนิวกับเจ้ากระต่ายจะคอยตามเขามาด้วย แต่ทั้งสองก็อยู่ในระยะที่ค่อนข้างไกล ดังนั้นผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีจึงไม่ได้สนใจทั้งสอง
จูเสวียนเอ๋อค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้ออย่างช้าๆ นางไม่กลางผลีผลามเพราะเกรงว่าจะไปกระตุ้นให้ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีลงมือ
แต่แม้ว่าผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีจะสังเกตการณ์กระทำของจูเสวียนเอ๋อและหลิงฮัน เขาก็ไม่นำมาใส่ใจ เพียงแค่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณเขาสามารถสังหารได้ด้วยหนึ่งนิ้วอยู่แล้ว เขายังคงมองหาตำแหน่งต้นตอของเสียงลึกลับ “ในเมื่อเจ้าไม่ปรากฏตัวออกมา ชายชราผู้นี้ก็คงต้องลงมือ!”
มือขวาของเขายกขึ้นสูงและโจมตีเข้าใส่หลิงฮันทันที
‘ตูม’ ร่างหนึ่งถูกโจมตีจนลอยกระเด็นเข้าใส่รังโจร ร่างที่ถูกโจมตีกระแทกเข้าใส่บ้านเรือนหลายหลังก่อนจะหยุดนิ่ง
ร่างที่ถูกโจมตีจนลอยกระเด็นคือผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยี!
‘ตุบ’ ชายชราพยายามลุกขึ้นยืนจากซากปรักหักพัง เขารู้สึกได้ว่ากระดูกทั่วร่างของเขาแตกหักหลายสิบส่วน ตอนนี้เขาใช้ปราณก่อเกิดสะกดบาดอาการบาดเจ็บเอาไว้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจลุกขึ้นมาได้
ใครกัน? ทำไมถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ อีกฝ่ายสามารถโจมตีใส่เขาโดยที่เขาไม่สามารถไหวตัวได้ทัน
เขามองไปด้านหน้าและมองเห็นร่างสวมหน้ากากร่างหนึ่งยืนอยู่ในตำแหน่งที่เขาเคยยืนอยู่ แต่ถึงแม้ใบหน้าของอีกฝ่ายจะถูกปิดเอาไว้ด้วยหน้ากาก แต่จากรูปร่างของอีกฝ่ายก็ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเป็นสตรี ร่างของนางทั้งผอมบางและน่าดึงดูด ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าอกที่แบนราบล่ะก็นางจะเป็นสตรีที่สมบูรณ์แบบมาก
คนอื่นๆทั้งตกตะลึงและมีความสุข ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าสตรีสวมหน้ากากเป็นใคร แต่ถ้าหากนางเป็นศัตรูกับผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีก็นับว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่รึ?
หลิงฮันชำเลืองมองไปยังหน้าอกอันแบนราบของสตรีสวมหน้ากากและเอ่ยขึ้น “สาวน้อยใต้สมุทร!”
สตรีทรงพลังที่มีหน้าอกแบนราบนั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“ถ้าเจ้ากล้าเรียกข้าเช่นนั้นอีกข้าจะฆ่าเจ้า!” สตรีสวมหน้ากากกล่าวอย่างเย็นชา
หลิงฮันกัดฟันและกล่าว “ความทรงจำของเจ้าฟื้นกลับมาแล้ว?”
ถ้าเป็นสาวน้อยใต้สมุทรล่ะก็นางจะมีนิสัยที่เปิ่นๆ แต่จากสถานการณ์ที่เห็นแล้วดูเหมือนนางจะเป็นเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน จอมยุทธระดับสวรรค์
แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงมาช่วยเหลือเขา?
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไม่ตอบ นางมองไปยังผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีอย่างเย็นชาและกล่าว “ข้าบอกให้เจ้าไสหัวไปจากที่นี่แต่เจ้าก็ยังไม่ไป?”
ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีกำหมัดแน่น “เรียนปรมาจารย์ผู้ทรงพลัง เจ้าหนูนั่นสังหารคนของตระกูลหยีของข้า ดังนั้นข้าจึงไล่ตามหาตัวเขาเพื่อล้างแค้น หรือว่าเจ้าจะปกป้องมันจนถึงที่สุดและบังคับให้ข้าจากไปด้วยความขุ่นแค้น?”
“ฮึ่ม!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนจ้องเขม็งไปยังผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีด้วยจิตสังหาร
หลิงฮันไม่เข้าใจ ทั้งๆที่จิตสังหารนั่นสมควรจะนำมาลงที่เขาแท้ๆ แต่ทำไมสาวน้อยใต้สมุทรถึงได้ไม่สนใจเขาแล้วไปเป็นปฏิปักษ์กับผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีแทน
‘ข้าคงโชคดี’ หลิงฮันกล่าวในใจ
ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีเกรี้ยวกราด เขาที่เป็นถึงจอมยุทธระดับสวรรค์ขั้นสูงสุดยอมลดตัวกล่าวเรียกอีกฝ่ายอย่างนอบน้อมแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอม? “งั้นข้าคงต้องขอเสียมารยาท!”
เขานำแผ่นหินสีฟ้าออกมา ที่แผ่นหินนั้นประดับเอาไว้ด้วยลวดลายอักขระที่หนาแน่นและปลิ่นอายแห่งบรรพกาล
หลิงฮันรู้สึกตึงเครียด เขารู้ดีว่านั่นต้องเป็นสมบัติโบราณแน่นอน
เคล็ดทักษะในการหลอมอาวุธวิญญาณได้สูญหายไปนานแล้ว ตอนนี้เหล่าจอมยุทธทำได้เพียงฟูมฟักอาวุธของตนเองโดยการผสานเจตจำนงและปราณก่อเกิดของตนลงไปในอาวุธเพื่อให้มันกลายเป็นอาวุธวิญญาณ ซึ่งอาวุธวิญญาณที่ฟูมฟักขึ้นเองจะทำให้ผู้ใช้แสดงพลังของมันออกมาได้เต็มที่
แต่ในยุคบรรพกาล อาวุธวิญญาณถูกสร้างขึ้นจากการหลอมจะถูกหลอมผ่านกระบวนการสลักอักขระ ซึ่งนั่นทำให้อาวุธวิญญาณสามารถแสดงพลังออกมาได้เต็มที่ไม่ว่าจะอยู่ในมือของใคร และบางทีพลังที่ใช้ออกมาอาจจะเกินขอบเขตของระดับพลังผู้ใช้ด้วย
การที่จอมยุทธระดับสวรรค์ที่ทรงพลังไม่ใช่อาวุธวิญญาณที่ฟูมฟักด้วยตนเอง ก็หมายความว่าอำนาจของอาวุธวิญญาณในมือของเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าอาวุธวิญญาณที่เขาฟูมฟักเอง
ไม่อาจประมาทได้!
หลิงฮันรู้สึกคันไม้คันมือ เขาอยากนำแผ่นหินนั่นมาหลอมด้วยชามพลิกสวรรค์และนำไปให้ศิลาน้อยกินเหลือเกิน
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไม่แยแส นางพาดหนึ่งมือไว้ที่หลังและยื่นอีกมือออกไปด้านหน้า “แค่จัดการเจ้า หนึ่งมือก็เพียงพอ!”
ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีเดือดดาลไปด้วยความโกรธ เขาสะสมชื่อเสียงมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี ด้วยสถานะจอมยุทธระดับสวรรค์ของเขาที่เป็นตัวตนระดับสูงของโลก ใครก็ตามที่พบเห็นเขาต่างก็ต้องเคารพด้วยความนอบน้อม แต่ตอนนี้สิ่งที่เขาได้รับกลับเป็นการดูหมิ่น
เขาโยนกระตุ้นใช้งานแผ่นหิน ทันใดนั้นแผ่นหินก็ลอยขึ้นสู่ฟากฟ้าทันที ขนาดของมันขยายขึ้นกลางอากาศและมีขนาดเทียบเท่ากับภูเขาขนาดย่อมๆ ทันใดนั้นเองแผ่นหินได้จู่โจมเข้าใส่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนแสดงท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย นางรู้สึกว่าแผ่นหินนี้มีน้ำหนักที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าภูเขาเสียอีก ทักษะการหลอมในยุคบรรพกาลช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก เป็นไปได้ว่าแผ่นหินแผ่นนั้นจะเกิดจากการหลอมภูเขาขนาดใหญ่ให้มีขนาดเล็กเท่าแผ่นหิน
เมื่อใดก็ตามที่แผ่นหินถูกใช้งาน น้ำหนักของมันจะกลับไปเป็นดั่งภูเขาเช่นเดิม เมื่อมันร่วงหล่นลงมา นั่นจะทำให้เกิดพลังทำลายล้างที่ทรงพลังที่สุดในโลก
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเค้นเสียงดูถูก ‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ’ ร่างของนางเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
เร็วมาก!
หลิงฮันสัมผัสได้เพียงสายลมที่ผ่านไป เขาไม่สามารถมองเห็นร่องรอยของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนแม้แต่น้อย ต้องรู้ก่อนว่าด้วยพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ หากใช้ทักษะอัสนีบาตเก้าทิวา ความเร็วของเขาจะทัดเทียมกับจอมยุทธระดับสวรรค์ แล้วถ้าหากเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนที่เป็นจอมยุทธระดับสวรรค์ใช้ทักษะอัสนีบาตเก้าทิวาล่ะความเร็วของนางจะน่ากลัวขนาดไหน?
หรือว่าความเร็วของนางจะสามารถทัดเทียมกับจอมยุทธระดับทลายมิติ?
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไปปรากฏตัวตรงหน้าผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยี มืออันนุ่มนวลของนางถูกยกขึ้นและกระแทกเข้าใส่หน้าของอีกฝ่าย
ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีลนลานทันที ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นมืดมน ความเร็วของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนนั้นเกิดการคาดการณ์ของเขา นางรวดเร็วจนเกือบจะไม่มีเวลาให้เขาตอบโต้
‘ตูม ตูม ตูม’ จอมยุทธระดับสวรรค์สองคนตอบโต้กัน ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างไม่อาจตอบโต้ได้
แข็งแกร่งยิ่งนัก!
หลิงฮันอุทานในใจ เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนคืออัจฉริยะของเผ่าใต้สมุทร ไม่เพียงแค่พลังบ่มเพาะของนางจะบรรลุระดับสวรรค์แล้ว แต่กายหยาบของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ด้วยพลังต่อสู้ของนางจอมยุทธระดับเดียวกันย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้
แถมตอนนี้นางยังฝึกฝนทักษะศักดิ์สิทธิ์แล้วด้วย พลังของนางจึงยิ่งน่ากลัวขึ้นอีก
ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมากที่เขาไม่สามารถสัมผัสเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนโดนแม้แต่น้อย เขาพยายามระงับความโกรธเอาไว้และสั่งให้แผ่นหินกระแทกเข้าใส่จุดที่พวกเขายืนอยู่
ถ้าเจ้าไม่ล่าถอย เจ้าก็หลบไม่พ้น!
ตอนที่ 742
วิธีการนี้มันน่าอายมาก แต่มันก็ได้ผล
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนดูไม่สงสัยคำพูดของอีกฝ่าย และรีบล่าถอยทันที
เมื่อผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีเห็นว่าการกระทำของเขามันได้ผล ช่วยไม่ได้ที่เขาจะส่งเสียงหัวเราะออกมาและบังคับแผ่นหินสีฟ้าไล่ฆ่าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน แน่นอนว่าเขารู้ความเร็วของนาง เขาไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็สามารถขับไล่อีกฝ่ายออกไปได้
สิ่งที่เขาต้องการคือชีวิตของหลิงฮัน!
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนดูเหมือนไม่อยากจะต่อสู้กับผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยี ด้วยกายหยาบของนางที่เหนือกว่าหลิงฮันและอาวุธวิญญาณประเภทแรงโน้มถ่วงนางจะไม่สามารถปะมือกับเขาได้อย่างไร?
นี่ทำให้หลิงฮันรู้สึกตกตะลึงและไม่เข้าใจ หรือว่าความทรงจำดั้งเดิมของนางยังคงได้รับผลกระทบ?
ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีเป็นฝ่ายโจมตี แต่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกลับเป็นฝ่ายล่าถอย สถานการณ์ดูกลับตาลปัตร
“ข้าชื่นชมการหลบหนีของเจ้ายิ่งนัก แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร แต่ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อนและจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!” ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีกล่าว
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเพียงแค่เค้นเสียงออกมาอย่างเย็นชา แล้วยื่นมือออกไปพร้อมกับคลื่นพลังปราณที่อยู่ตรงฝ่ามือ พลังของมันน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
“ฮึ่ม ข้าเบื่อที่จะพูดจาไร้สาระกับเจ้าแล้ว!” ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีเย้ยหยัน เขาหันกลับไปด้านหลังทันทีและจ้องเขม็งไปที่หลิงฮัน “ข้าจะสังหารเจ้าเด็กนี่ก่อน!” นี่คือเป้าหมายในการเดินทางมาที่นี่ของเขา
หลิงฮันเป็นคนที่มีไข่มุกล้านปีซึ่งเขาจะต้องเอามาให้ได้ และแน่นอนว่าเขาจะต้องฆ่าหลิงฮันเพื่อล้างแค้นให้กับลูกหลานตระกูลหยี
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ดูนี่ข้าจะแสดงอะไรให้เจ้าได้เห็น!”
เขาโยนชามพลิกสวรรค์ออกไป พรึบ ชามพลิกสวรรค์ส่องแสงสว่างไปทั่วพร้อมกับอักขระที่ราวกับมีชีวิต
ฟิ้ว แผ่นหินสีฟ้ากำลังบินไปหาชามพลิกสวรรค์อย่างรวดเร็ว และในกระบวนการทำให้หินเริ่มมีขนาดเล็กลง
“เกิดอะไรขึ้น!” ผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีรู้สึกตกตะลึง เขารู้สึกได้ว่าขาดการเชื่อมต่อกับอาวุธวิญญาณ เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขากรีดร้องออกมาและอยากที่จะฆ่าหลิงฮัน อาวุธวิญญาณชิ้นนี้ได้มาจากสุสานโบราณ มันช่วยเหลือเขาสังหารจอมยุทธที่มีระดับใกล้เคียงกันมาหลายครั้ง แต่ทว่าไพ่ลับใบสุดท้ายของเขากลับหายไปแล้ว!
ชามพลิกสวรรค์ของหลิงฮันเป็นเหมือนกับเตาหลอมและดูดแผ่นหินเข้าไป นี่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก ถ้าเขาแย่งชิงชามนั้นมาได้ ไม่ใช่ว่าเขาจะได้รับสมบัติเพิ่มหรอกหรือ?
ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความโลภ และกระโจนออกไปเพื่อจับตัวหลิงฮัน
“ฮึ่ม!” ทันใดนั้นมีเสียงที่เหยียดหยามดังมาจากด้านหลังของเขา
แย่แล้ว!
เขารีบพูดอยู่ในใจ แต่ก็หันหลังกลับไปไม่ทันและรู้สึกได้แค่ความเจ็บปวดที่อยู่ตรงหน้าอกเท่านั้น แล้วเห็นร่างของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเริ่มมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆในสายตาของเขา
ครั้งนี้เขาโชคไม่ดี เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไม่ได้วิ่งนี้และได้ไล่ตามเขามาแล้วได้โจมตีเขาอย่างรุนแรง
เมื่อไม่มีอาวุธวิญญาณ แล้วเขาจะต่อสู้กับนางได้อย่างไร?
ในขณะนั้นผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลหยีมีเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้น นั่นคือหนี
นั่นเป็นเพราะจอมยุทธระดับสวรรค์ยังไงก็คือจอมยุทธระดับสวรรค์ เขาเผาพลาญพลังชีวิตทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมากเทียบได้กับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน แต่ความสูญเสียดังกล่าวไม่สามารถกู้กลับคืนมาได้ สิ่งที่เขาต้องจ่ายคืออายุขัยของเขา อย่างน้อยก็หลายสิบปี!
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากจุดที่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนโจมตีใส่แล้ว มันไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกกี่สิบปี
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนสามารถที่จะไล่ตามมันไปได้ แต่นางก็ต้องเผาผลาญพลังชีวิตเช่นกัน แน่นอนว่านางไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น แต่หลังจากที่เดินไปได้สองก้าว นางก็หยุดชะงักและหันหลังกลับไปมองหลิงฮัน
“นายหญิง ข้ารู้สึกขอบคุณที่ช่วยเหลือพวกเรา จักรวรรดิจันทราม่วงจะต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน แต่ถ้าท่านอยากจะได้ตัวหลิงฮัน ท่านจะต้องผ่านข้าไปซะก่อน!” เซียวหย่งเหนียนยืนอยู่ตรงหน้าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเอื้อมมือออกไปและผลักเซียวหย่งเหนียนไปอยู่ด้านข้าง นางหยุดอยู่ตรงหน้าหลิงฮันและกระพริบตาไปมาราวกับว่านางกำลังลังเลอะไรบางอย่างอยู่
“สาวใต้สมุทร ทำไมพวกเราไม่หาที่นั่งและพูดคุยกันสักหน่อยล่ะ?” หลิงฮันหัวเราะขณะที่เขาเก็บแผ่นหินเข้าไป ถ้าอสูรศิลากินมันคงจะทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวาได้และถ้ามันดูดซับจนหมดระดับสวรรค์คงอยู่ไม่ไกล
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเอื้อมมือออกไปและตบหน้าหลิงฮัน เพรี๊ยะ นางหันหลังและพาหลิงฮันไปกับนาง
“ผู้หญิงโง่! ผู้หญิงโง่!” ฮูหนิวกระโดดออกมาและรีบไล่ตาม ก่อนหน้านี้ฮูหนิวไม่ได้สนใจอะไร แต่นางไม่เคยอนุญาตให้ใครพาหลิงฮันไป
“เด็กน้อยรอข้าด้วย!” เจ้ากระต่ายรีบวิ่งไล่ตามอย่างรวดเร็ว
จูเสวี่ยนเอ๋อไม่ได้ช้า แต่ระดับพลังของนางอ่อนแอที่สุดทำให้นางรั้งท้าย
เซียวหย่งเหนียนพยายามไล่ตาม แต่เขารู้สึกเจ็บที่หน้าอก ความเร็วของเขาเริ่มช้าลงและในไม่ช้าเขาก็นั่งลงกับพื้น และคนที่เหลืออยู่ก็ไม่มีใครกล้าไล่ตาม อีกฝ่ายเป็นถึงจอมยุทธระดับสวรรค์ ถ้าพวกเขาไล่ตามไม่ใช่ว่าเป็นการวิ่งเข้าหาความตายหรอกหรือ?
“กลับไปที่ค่าย!” เซียวหย่งเหนียนรู้ตัวว่าด้วยสภาพของเขาและคนที่เหลือไล่ตามไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งเดียวที่ทำได้คือการแจ้งข่าว
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนตรงไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องพร้อมกับหลิงฮัน ความเร็วของนางนั้นน่าทึ่งมาก แม้จะมีหลิงฮันเกาะมาด้วย แต่มันก็ไม่ทำให้นางช้าลงเลย หลังจากผ่านไปนาน นางก็หยุดและโยนหลิงฮันลงกับพื้น
หลิงฮันไม่ได้เข้าไปหลบซ่อนในหอคอยทมิฬ ถ้าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนอยากจะฆ่าเขา นางคงไม่ถ่อพาเขามาถึงที่นี่ เขาตบก้นเล็กน้อยและลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ดูเหมือนเจ้าจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว!”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนจ้องมองไปที่หลิงฮัน และทันใดนั้นนางก็ตบตีหลิงฮันอีกครั้ง
ในทำนองเดียวกัน แม้ว่านางจะตบตีหลิงฮันอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่ได้ปลดปล่อยจิตสังหารออกมาแม้แต่น้อย และหลิงฮันก็แค่พยายามปกป้องใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา
หลังจากที่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนตบตีหลิงฮันจนพอใจแล้ว ในที่สุดนางก็หยุดตบตีหลิงฮัน นางถอนเสื้อคลุมออก และมีเด็กทารกอยู่บนหลังของนาง เด็กทารกตัวน้อยกำลังนอนหลับสนิทและกำลังดูดนิ้ว ทำให้ดูน่ารักเป็นอย่างมาก
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนางถึงไม่ต่อสู้กับแผ่นศิลาก่อนหน้านี้ เพราะนางกลัวว่าเด็กจะได้รับบาดเจ็บนี่เอง มิฉะนั้นด้วยความแข็งแกร่งของนางแล้วมันจะยากแค่ไหนกันเชี่ยว?
หรือว่านี่จะเป็นลูกชายของนาง?
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนจ้องมองไปที่ทารกสักพักและส่งให้หลิงฮัน “ดูแลเขาด้วย ถ้าเขาผมหลุดแม้แต่เส้นเดียว ข้าจะฆ่าเจ้า! ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตายหนึ่งหมื่นครั้ง!”
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ เขาเงยหน้าขึ้นมาและพูดว่า “ข้าไม่ว่างมาเลี้ยงลูกของคนอื่นหรอกนะ!” นี่นางบ้าหรือเปล่าที่ขอให้เขาเลี้ยงเด็กให้?
“นี่คือลูกชายของเจ้า!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกล่าว
ตอนที่ 743
นี่คือลูกชายของเจ้า!
พรวด!
หลิงฮันสำลักและกล่าว “เดี๋ยวก่อนๆ แม้เราจะเป็นคนคุ้นเคยกันแต่เจ้าก็ไม่อาจพูดเล่นเช่นนั้นได้! ข้ายังเป็นชายบริสุทธิ์อยู่แล้วข้าจะไปมีลูกตอนไหน! แม้เจ้าจะอยากให้ข้าเลี้ยงดูลูกให้เจ้า เจ้าก็ไม่ควรกล่าวอะไรไร้สาระเช่นนั้น!”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนโมโห นางยกร่างของเด็กขึ้นมาและกล่าว “นี่เจ้าตาบอด? ไม่เห็นรึไงว่าลูกของเจ้าเหมือนเจ้าขนาดไหน?”
หลิงฮันจ้องมองเด็กใกล้ๆและไม่รู้จะกล่าวอะไรดี
นั่นเพราะในชีวิตนี้เขาไม่ค่อยได้ส่องกระจกบ่อยนักและเขาคุ้นเคยกับรูปร่างของตนเองในชีวิตที่แล้วมากกว่า
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนโมโหมากกว่าเดิม คราวนี้เจ้ายังจะทำเป็นไม่รู้เรื่องอีก? “ฟังให้ดี นี่คือลูกของเจ้า ตงเลี้ยงดูเขาให้ดี ถ้าข้าพบว่าผมแม้แต่เส้นเดียวของเขาร่วงเมื่อข้ากลับมา ข้าจะนำเจ้าไปเป็นอาหารปลา!”
หลิงฮันส่ายมือและกล่าว “เข้าใจแล้วๆ ข้าเชื่อก็ได้ว่านี่คือลูกของข้า…”
“นี่คือลูกของเจ้า!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนคำราม
หลิงฮันถอนหายใจ “ข้าไม่เห็นจำได้ว่าเคยหลับนอนกับเจ้า”
ใบหน้าอันงดงามของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเปลี่ยนเป็นสีแดงและกล่าว “เจ้าลืมเหตุการณ์เมื่อตอนที่เจ้าได้รับทักษะศักดิ์สิทธิ์อัสนีบาตเก้าทิวาไปแล้ว?”
หลิงฮันตกตะลึง สาวน้อยงี่เง่าคนนี้เดินเข้าไปยังอาณาเขตสายฟ้าและเป็นเขาที่ต้องการจะดึงตัวนางกลับมา แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าพวกเขาถูกดึงเข้าไปในสายฟ้าและพัวพันกัน
หรือจะเป็นเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นที่ข้าทำให้นางท้อง?
ไม่จริง! ข้ายังบริสุทธิ์อยู่แท้ๆ!
หลิงฮันกรีดร้องในใจ ในชีวิตนี้นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสูญเสียความเยือกเย็น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงติดอ่าง “จะ…เจ้ามั่นใจแล้วสินะ แล้วเจ้ารู้ตัวว่าท้องตอนไหน?”
“เจ้าคิดว่าข้าต้องการให้มันเป็นอย่างนี้?” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ นางยกมือขึ้นเพื่อจะทุบตีหลิงฮันแต่ก็ยั้งมือเอาไว้ “เมื่อข้ากลับไปยังเผ่าใต้สมุทร ก็เป้นหลังจากนั้นไม่นานที่ข้ารู้ตัวว่าท้อง ข้าหลบซ่อนตัวเพื่อที่จะได้คลอดลูกของข้าอย่างเงียบๆ แต่ความลับก็ถูกเปิดโปงและตอนนี้ข้าถูกตระกูลและสองขุมอำนาจใหญ่ตามล่าตัวอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะให้เจ้าดูแลเด็กแทนข้ารึ?”
หลิงฮันไม่ได้ถามนางว่าทำไมนางถึงไม่ทิ้งเด็กไปซะ เขาตกตะลึงและมองไปยังเด็กอีกครั้งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
เป็นลูกของเขาจริงๆ!
ในชีวิตที่แล้ว เขาทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการปรุงยา ถึงแม้จะมีสาวงามนับไม่ถ้วนเข้าหาเขา เขาก็ไม่ค่อยสนใจ แต่ตอนนี้เด็กที่มีสายเลือดของเขาได้เกิดมาแล้ว ราวกับว่าเขาเด็กกับมีจิตวิญญาณบางอย่างที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งมันทำให้จิตใจของเขาตื่นเต้นจนหยุดไม่อยู่
“ข้ามีลูกแล้วจริงๆ?” เขามองไปยังเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน
“ขาขอโทษด้วยที่มีลูกให้เจ้าได้แค่คนเดียว” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกล่าวอย่างไม่พอใจในตัวเอง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไม่มีอะไรต้องคิดมาก ในอนาคตยังมีโอกาสอีก!”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนโมโหและคว้าร่างของหลิงฮัน “เจ้าคิดจะทำเช่นนั้นกับข้าอีก?”
ช่างเป็นสตรีที่หัวรุนแรงอะไรเช่นนี้!
หลิงฮันรู้สึกภูมิใจในตัวเองไม่น้อยที่ได้กลายเป็นอัศวินมังกรที่สยบมังกรสาวผู้นี้ได้! เขาจับมือเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนและกล่าว “เจ้ามีลูกกับข้าแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงนับเป็นคนของตระกูลหลิง เจ้าไม่ต้องหลบหนีอีกต่อไปแล้วและดูแลลูกให้ดี!”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าทำไมข้าถึงมาหาเจ้า? การที่ข้าถูกตามล่าโดยสองขุมอำนาจใหญ่ก็หมายถึงเจ้าจะไม่ได้พบเจอข้าอีกแล้วในชีวิตนี้! เจ้าจงดูแลลูกให้ดีซะ ข้ารู้ว่าเจ้าครอบครองอาวุธวิญญาณที่สามารถให้สิ่งมีชีวิตเข้าไปอยู่ได้ เจ้าจะต้องดูแลลูกโดยที่ห้ามให้ใครตามตัวเจอ! ข้าจะเป็นคนล่อพวกเขาเอง… และถ้าข้าไม่ตายล่ะ ข้าจะกลับมาอยู่กับลูกของเราไปจนแก่เฒ่า!”
“พูดอะไรของเจ้า!” หลิงฮันไม่พอใจ “ลูกไม่ใช่ของข้าคนเดียว ในเมื่อเจ้าเป็นผู้หญิงของข้า คิดรึว่าข้าจะยอมดูเจ้าตาย?”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับทันที “อย่าใช้อารมณ์ของเจ้าตัดสิน เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตระกูลเฮ่อเหลียนแม้แต่น้อย พวกเขามีจอมยุทธระดับทลายมิติมากกว่าสามสิบคนและจอมยุทธระดับสวรรค์นับร้อย!”
ตระกูลเฮ่อเหลียนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่เมื่อคิดว่าหากนับรวมจอมยุทธระดับทลายมิติของห้านิกายโบราณแล้วล่ะก็พวกเขาคงมีนับร้อยคน หลิงฮันจึงไม่รู้สึกหวาดหวั่นอะไร
หลิงฮันกล่าว “เจ้ารู้เพียงแค่ว่าข้ามีอาวุธวิญญาณที่สามารถนำสิ่งมีชีวิตเข้าไปได้ แต่เจ้าไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอาวุธวิญญาณนั่นคืออะไร! เอาล่ะ อย่าต่อต้านข้าและข้าจะพาเจ้าไปดูมัน”
ถ้าเจ้าเข้าไปในหอคอยทมิฬ เจ้าก็จะคอยเลี้ยงดูลูกของเราได้!
แท้จริงแล้วถ้าเป็นไปได้เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเองก็ไม่อยากแย่งห่างกับลูก นางลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าว “ก็ได้!”
หลิงฮันโอบเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนและลูกของเขาเอาไว้ ‘พรึบ’ จากนั้นทั้งสามคนก็หายเข้าไปในหอคอยทมิฬ
“อะไรกัน!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนตกตะลึง เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีพื้นที่มิติที่ใหญ่ขนาดนี้? มันราวกับเป็นเขตแดนลี้ลับเลย!
“เป็นอย่างไร?” หลิงฮันยิ้ม “เมื่อข้าเข้ามาอยู่ในนี้ อาวุธวิญญาณจะย่อขนาดลงเหลือเท่าเศษฝุ่น ซึ่งแม้จะเป็นตัวตนระดับทลายมิติก็ไม่สามารถหาเจอ หากอยู่ที่นี่เจ้าต้องปลอดภัยแน่”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไม่ตอบโต้ ไม่แปลกใจเลยที่ครั้งแรกเมื่อนางเจอกับหลิงฮันจู่ๆหลิงฮันก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ที่แท้ก็เป็นเพราะอาวุธวิญญาณนี้นี่เอง!
“เอาเช่นนั้นก็ได้ ข้าจะอาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อนและซ่อนตัวซักสิบถึงยี่สิบปีเพื่อรอให้เหตุการณ์สงบเสียก่อน” นางพยักหน้า
“แอ๊ๆ!” เมื่อเด็กตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเองถูกอุ้มอยู่โดยคนแปลกหน้าเด็กก็ไม่ได้ร้องไห้ เด็กน้อยจ้องมองหลิงฮันด้วยดวงตาคู่โต จากนั้นก็นำมือเล็กๆเอื้อมขึ้นไปเพื่อจับใบหน้าของหลิงฮัน
ด้วยความรักของคนเป็นพ่อหลิงฮันจึงไม่ถือสาและเอนหน้าลงมาเพื่อให้ลูกเขาจับเล่นได้ถนัด
เจ้าตัวน้อยหัวเราะร่าเริงออกมาและจ้องมองใบหน้าของหลิงฮันราวกับเห็นของเล่น
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “พลังของเจ้าตัวน้อยแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อนาคตของเขาจะต้องไร้ขีดจำกัด!” นี่ไม่ใช่คำกล่าวเล่นๆ พลังของเจ้าตัวน้อยนั้นมหาศาลเป็นอย่างมาก แค่พลังกายเพียวๆโดยที่ยังไม่บ่มเพาะพลังก็เทียบได้กับจอมยุทธระดับบ่มเพาะกายาขั้นเก้าแล้ว
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว สายเลือดมังกรที่แท้จริงของเขาบริสุทธิ์กว่าข้าเสียอีก!”
“นี่ต้องเป็นเพราะสายเลือดของตระกูลหลิงแน่ๆ!” หลิงฮันเมินเฉยคำพูดของนาง
ใบหน้าที่งดงามของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกระตุก ชายผู้นี้ช่างหน้าด้านยิ่งนัก พลังกายที่ทรงอำนาจเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะสายเลือดมังกรที่แท้จริง เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไปมีพลังเช่นนั้นได้อย่างไร?
“แงงง!” จู่ๆเจ้าตัวน้อยก็ร้องไห้ออกมา
หลิงฮันกล่าว “เกิดอะไรขึ้น?”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนจ้องเขม็งมายังเขาและกล่าว “ลูกของข้าหิวแล้ว!” นางคว้าร่างของเจ้าตัวน้อยกลับมาและกำลังจะดึงเสื้อของนางขึ้น แต่ทันใดนั้นนางก็ชำเลืองไปยังหลิงฮัน “ทำไมเจ้ายังไม่หันไปอีก?”
“อะไร? ทำอย่างกับว่าข้าไม่เห็นมัน แถมหน้าอกที่แบนราบแบบนั้นใครจะไปอยากมอง!” หลิงฮันยักไหล่และหันหลัง
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกัดฟันแน่นพร้อมกับจิตสังหารที่ปะทุออกมา
ตอนที่ 744
ในขณะที่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกำลังให้นมลูก นางคิดว่าถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่กับหลิงฮันทั้งวัน นางจะไม่เผลอฆ่าเขาหรอกใช่หรือไม่?
“จริงสิ พวกนั้นไล่ตามพวกเรามานี่น่า” หลิงฮันรีบพูดทันทีว่า “เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปพาพวกเขาเข้ามา”
เขาแวบหายไปจากหอคอยทมิฬ และฮูหนิวกับเจ้ากระต่ายก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“หลิงฮัน!” ฮูหนิวกระโดดเข้าหาหลิงฮันและไปอยู่ในอ้อมแขน
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “แล้วเสวี่ยนเอ๋อล่ะ?”
ฮูหนิวยักไหล่และพูดว่า “นางขี้เกลียดวิ่งตามหลิงฮัน! พวกเราไปกันเถอะทิ้งนางไว้ที่นี่แหละ!” ฮูหนิวคิดอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืนว่าจะกำจัดจูเสวี่ยนเอ๋อยังไงดีแหละนี่คือโอกาสที่ดีที่สุด
หลิงฮันหัวเราะและใช้เนตรแห่งสัจธรรม เขาเห็นจูเสวี่ยนเอ๋อกำลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่จูเสวี่ยนเอ๋อเห็นหลิงฮัน ทำให้นางรู้สึกโล่งใจ
“น่าเบื่อ!” ฮูหนิวกัดนิ้วมือของตัวเองอย่างไม่พอใจที่ไม่สามารถกำจัดจูเสวี่ยนเอ๋อได้
“แล้วผู้หญิงที่ชื่อเฮ่อเหลียนล่ะ?” จูเสวี่ยนเอ๋อถาม
“นางอยู่ในหอคอยทมิฬ ข้าจะพาพวกเจ้าไปหานางและ…ลูกชายของข้า” หลิงฮันกล่าว
ว่าไงนะ!
จูเสวี่ยนเอ๋อและฮูหนิวต่างอ้าปากกว้าง พวกเขาไปมีลูกด้วยกันเมื่อไหร่? ทำไมพวกนางถึงไม่รู้? ส่วนเจ้ากระต่ายที่ไม่รู้จักเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนแม้แต่น้อยพูดออกมาว่า “ยินดีด้วย ขออั่งปาวหน่อย”
หลิงฮันไม่รู้จักอธิบายยังไงดี เขาเองก็เพิ่งจะรู้เช่นกัน จากนั้นเขาสะบัดมือและพาทุกคนเข้าไปในหอคอยทมิฬ
สัมผัสสวรรค์ของเขาแผ่ขยายออกไปและพบว่าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนให้นมลูกของเขาเสร็จแล้ว และพาทุกคนไปดู
“ยัยโง่!” ฮูหนิวจ้องมองไปที่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนอย่างเดือดดาล นี่เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจมากสำหรับฮูหนิว
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเพียงแค่ยิ้มและพูดว่า “เด็กน้อย!”
“ช่างเป็นเด็กทารกที่น่ารักอะไรขนาดนี้” จูเสวี่ยนเอ๋อไม่เหมือนกับฮูหนิว “ข้าขออุ้มได้ไหม?”
“อืม!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนส่งเด็กให้จูเสวี่ยนเอ๋ออุ้ม
เมื่อเจ้าตัวน้อยอยู่ในอ้อมกอดจูเสวี่ยนเอ๋อ เจ้าตัวน้อยอ้าปากและงับไปที่หน้าอกของจูเสวี่ยนเอ๋อ
จูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกอายมากและรีบคืนเด็กให้กับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน เมื่อเจ้าตัวน้อยไม่ได้กินนมก็ส่งเสียงร้องไห้ออกมาทันที
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “เจ้าเห็นไหมแม้แต่ลูกชายของเจ้ายังไม่ชอบหน้าอกที่แบนราบของเจ้า! เฮ้อ ลูกข้าจะกินอิ่มหรือเปล่าก็ไม่รู้ช่างน่าสงสารอะไรเยี่ยงนี้”
“หลิงฮัน เจ้าอยากตายงั้นรึ?” ช่วยไม่ได้ที่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนและพูดออกมาด้วยความฉุนเฉียว
หลิงฮันอุ้มลูกขึ้นมากอดและพูดว่า “เจ้าตัวน้อยมีชื่อไหม?”
“ยังไม่มี” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนส่ายหน้า
“ถ้างั้นจะตั้งชื่อว่าอะไรดี?” หลิงฮันกล่าว เนื่องจากเด็กเป็นลูกของหลิงฮัน ในอนาคตเขาจะต้องเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างแน่นอน
“หลิงหนิว!” ฮูหนิวเสนอ
“โอ้ว มันก็ฟังดูไม่เลว แต่มันยังไม่สูงส่งพอ” หลิงฮันส่ายหัว
“ถ้างั้นยอดฝีมือหลิง” ฮูหนิวกล่าว
จูเสวี่ยนเอ๋อเปิดปากพูด “แล้วหลิงเจี้ยนเสวี่ยนล่ะ?”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนส่งเสียงกระแอม หลิงเจี้ยนเสวี่ยนมีความพิเศษอยู่ หลิงหมายถึงหลิงฮัน เสวี่ยนหมายถึงตัวนาง เจี้ยนหมายถึงการพบเจอ เมื่อนำมารวมกันความหมายของมันก็ฟังดูไม่เลว
“ข้าว่าหลิงต้าเป่าฟังดูดีกว่า” เจ้ากระต่ายกล่าว
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนหันสายตามองไปที่เจ้ากระต่าย แล้วพูดว่า “ข้าจะตั้งชื่อลูกว่าหลิงเจี้ยนเสวี่ยน” อย่างน้อยก็เป็นชื่อปกติ
หลิงฮันรู้สึกเสียใจมาก นี่เป็นลูกชายคนแรกของเขา ทำไมนางถึงตั้งชื่อลูกโดยที่ไม่ถามความเห็นของเขาเลยแม้แต่น้อย?
“เจ้าคิดว่าไง?” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนจ้องมองไปที่หลิงฮัน “หรือเจ้าจะเลือกชื่อที่ฮูหนิวตั้งให้?”
ฮูหนิวรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันทีและพูดว่า “ชื่อของหนิวดีที่สุดแล้ว!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนและจูเสวี่ยนเอ๋อต่างส่งเสียงหัวเราะออกมา และแน่นอนว่าพวกนางไม่เห็นด้วย
ฮูหนิวยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวสองแถวในลักษณะข่มขู่และพูดว่า “พวกเจ้าหัวเราะอะไร นี่เจ้าคิดว่าชื่อของฮูหนิวมันไม่ดีอย่างนั้นรึ?”
“ดี แน่นอนว่าต้องดีอยู่แล้ว!” หลิงฮันกอดฮูหนิว “ฮูหนิวไม่ได้ที่เป็นชื่อที่ดีอย่างเดียว แต่ในอนาคตยังเป็นหญิงสาวที่งดงามมากด้วย ผู้คนจะต้องหลงใหลและดอกไม้จะต้องเบ่งบาน!”
ฮูหนิวยิ้มอย่างมีความสุขและกอดคอหลิงฮัน “หลิงฮันเป็นคนดีที่สุดในโลกเลย!”
หลิงฮันหันหน้าไปถามเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน “แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่ามันมีกำแพงกั้นหรอกหรือ?”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเค้นเสียงดูถูก “มันก็แค่อุปสรรคที่จอมยุทธระดับทลายมิติเป็นคนกำหนด แต่ตราบใดที่ครอบครองอาวุธวิญญาณระดับสิบ มันก็จะเป็นเรื่องง่ายทันทีที่จะผ่านเข้ามา”
“โอ้ว เจ้ามีอาวุธวิญญาณระดับสิบด้วย?”
“เรื่องของเผ่าใต้สมุทรเป็นอะไรที่ไกลเกินกว่าเจ้าจะจินตนาการได้” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “แล้วเผ่าใต้สมุทรมีประวัติการชำละล้างทุกหนึ่งหมื่นปีหรือไม่?”
“หืม นี่เจ้ารู้ได้ยังไง?” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนรู้สึกตกตะลึง
“ข้าเป็นชายของเจ้า แล้วข้าจะไม่รู้ได้ยังไง?” หลิงฮันหัวเราะ
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไม่สนใจเรื่องพวกนั้นและพูดว่า “ข้ากำลังออกตามหาขวดหยกต้องสาป และข้าต้องการที่จะรวบรวมทะลเหนือให้กลายเป็นหนึ่งเพื่อต่อสู้กับการชำระล้างในอนาคต”
หลิงฮันส่ายหัวและพูดว่า “ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่รู้วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการชำระล้าง”
“มันคืออะไร?” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนถาม
หลิงฮันเล่าเรื่องหลอมโลกให้กลายเป็นเม็ดยาให้เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนฟัง และนางก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็พูดว่า “ไม่แปลกใจเลยที่มีข้อผิดพลาดในประวัติศาสตร์อยู่เสมอ ข้าจึงอ่านหนังสือโบราณมานับไม่ถ้วนเพื่อหาเบาะแส และทำให้ข้าเกิดความคิดบางอย่าง ที่แท้มันก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!”
ทันใดนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนสีและพูดว่า “ราชวงศ์! ตระกูลราชวงศ์ดำรงอยู่มานานนับไม่ถ้วน! นี่พวกเขา…พวกเขามีส่วนเกี่ยวข้องจริงรึ?”
หลิงฮันขมวดคิ้วและพูดว่า “ถ้าพวกมันสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน พวกมันคงเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และรอดพ้นจากการชำระล้าง”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนส่ายหน้าและพูดว่า “ข้าเกรงความเป็นไปได้ที่พวกมันจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกันนั้นเป็นได้สูงมาก ข้าเคยเสนอให้ต่อสู้กับการชำระล้างอยู่หลายครั้ง แต่ก็ถูกระงับโดยตระกูลราชวงศ์และบอกว่าเป็นการพูดเกินความจริง”
“กล่าวคือศัตรูของพวกเราไม่ได้มีแค่ห้านิกายโบราณเท่านั้น แต่ยังมีตระกูลราชวงศ์ของเผ่าใต้สมุทรด้วย!” หลิงฮันแตะคางของเขา “แล้วตระกูลราชวงศ์แข็งแกร่งแค่ไหน?”
“แข็งแกร่งมาก!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพยักหน้า “ว่ากันว่าตระกูลราชวงศ์มีจอมยุทธระดับทลายมิตินับร้อยคน และสี่ตระกูลใหญ่ยังต้องศิโรราบ”
ยิ่งไปกว่านั้นความแข็งแกร่งของเผ่าใต้สมุทรยังเหนือกว่าเผ่ามนุษย์มาก
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะดูเคร่งขรึม เดิมทีจักวรรดิจันทราม่วงเผชิญหน้าแค่ห้านิกายใหญ่เท่านั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะต้องเพิ่มเผ่าใต้สมุทรเข้าไปด้วย
ตอนที่ 745
“พวกเราคงต้องไปเยี่ยมเยือนจักรวรรดิจันทราม่วงเสียหน่อยแล้ว” หลิงฮันกล่าว ตอนนี้เขากับหม่าตั้วเปาเป็นพันธมิตรกันแล้ว ถึงแม้พลังของเขาจะยังไม่นับเป็นอันใดได้เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายก็ตาม
ถ้าเผ่าใต้สมุทรเกิดบุกโจมตีพร้อมกับห้านิกายโบราณล่ะก็ เป็นไปได้ว่าจักรวรรดิจันทราม่วงคงตกอยู่ในวิกฤตแน่ๆ
ในเมื่อเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเป็นผู้หญิงของเขาแล้ว หลิงฮันจึงอธิบายถึงเรื่องราวการเปิดสวรรค์ให้ฟัง แน่นอนว่าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนตกตะลึงเป็นอย่างมาก
นางเพียงแค้คิดจะรวมทวีปทะเลเหนือให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อต้านการชำระล้างที่จะมาถึง นางไม่คิดเลยว่าหลิงฮันจะมีเจตนารมที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เขาวางแผนจะเปิดสวรรค์และนำทวีปฮงเทียนขึ้นสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าไม่ต้องเลื่อมใสข้าก็ได้ ข้ารู้ถึงความสุดยอดของตัวข้าดี” หลิงฮันหัวเราะ กับคนของเขาแล้วเขาไม่คิดมากที่จะพูดเล่นด้วย
“ทำเป็นโอ้อวด!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนถลึงตาใส่
“เรื่องนี้คงต้องแจ้งให้จักรวรรดิจันทราม่วงรู้ไว้… แต่ก่อนอื่นพวกเรากลับภูมิภาคเหนือกันเถอะ!” หลิงฮันกล่าว “ตอนนี้สงครามกำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคกลาง ถ้าพวกเราไปรวบรวมภูมิภาคอื่นทั้งสี่ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าหม่าตั้วเปาชนะ เราก็จะยกดินแดนให้เขาเพื่อเสริมพลังให้เขาทำการเปิดสวรรค์ แต่ถ้าเขาล้มเหลว ข้าจะเป็นคนทำเอง”
ตอนนี้ภูมิภาคกลางคือจุดศูนย์กลางที่เกิดสงครามแย่งชิงอาณาเขต เพราะอย่างไรภูมิภาคกลางก็เป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่ใหญ่กว่าสี่ภูมิภาคที่เหลือ แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าดูถูกอีกสี่ภูมิภาคไปเชียว ต้องรู้ก่อนว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในดินแดนทางเหือนอันโดดเดี่ยวนั้นมีนับพันล้านคน และแค่แคว้นหนึ่งแคว้นก็สามารถทำให้จักรพรรดิของแคว้นที่พลังบ่มเพาะเทียบเท่ากับระดับบุปผาผลิบานได้
พวกเขาออกจากหอคอยทมิฬและมุ่งหน้าไปยังแคมป์ฝึกฝน หลังจากพบกับเซียวหย่งเหนียน หลิงฮันก็ฝากให้เขานำจดหมายไปส่งให้ราชันเพลิงไพศาลหรือไม่ก็ราชินีหยินผู้ยิ่งใหญ่ เนื้อหาของจดหมายก็มีทำนองว่า เผ่าใต้สมุทรอาจจะส่งกองทัพมารุกราน ให้หม่าตั้วเปาเตรียมพร้อมไว้ให้ดี
เซียวหย่งเหนียนมีท่าทีกังวลในขณะที่มองไปยังเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงตัวตนระดับสวรรค์ เราะงั้นเขาจึงไม่อาจเมินเฉยต่อจดหายของหลิงฮันและต้องนำมันไปส่งมอบให้ได้
แต่เขาเป็นเพียงแค่หัวหน้ากองทัพ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าพบกับแปดราชันโดยตรง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงมอบหน้าที่นี้ให้กับคนที่มีอำนาจเหนือกว่า
หลิงฮันลอบกลับไปยังสำนักสวรรค์อย่างลับๆ เขาแต่งตัวเรียบๆไม่โดดเด่นและแอบติดต่อกับจักพรรดิรุณและมู่หลงชิง เขาบอกทั้งสองถึงแผนการของเขาและทิ้งเม็ดยามากมายเอาไว้ให้ จากนั้นเขาก็เรียกเหยียนเฮิงเหอและพี่น้องหลีให้มาหาเพื่อกลับภูมิภาคเหนือด้วยกัน
หลังจากผ่านไปเดือนกว่าๆ พวกเขาก็กลับมาถึงภูมิภาคเหนือ
หลิงฮันบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นปลายแล้ว แต่เขายังไม่รีบที่จะทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวาตอนนี้ เขาตั้งใจจะเสริมแกร่งรากฐานของระดับพลังบ่มเพาะปัจจุบันไปจนกว่าจะไม่สามารถเสริมแกร่งต่อไปได้อีก
แต่จูเสวียนเอ๋อนั้นได้ทะลวงผ่านไปยังระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว และจิตวิญญาณศิลาก็ทะลวงผ่านไปยังระดับก้าวสู่เทวาเช่นกัน ด้วยพลังอำนาจของธาตุทั้งห้าของสวรรค์และปฐพี เพียงแค่ทะลวงผ่านขึ้นมามันก็มีพลังต่อสู้ที่สามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาขั้นปลายได้
การบ่มเพาะพลังของเหยียนเฮิงเหอก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการมีจักรพรรดิปรุงยาอยู่ข้างกาย เขายังต้องกลัวว่าจะไม่มีเม็ดยาให้กินรึ? ถ้าหลิงฮันไม่กังวัลถึงความไม่มั่นคงของระดับพลังบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นด้วยเม็ดยา ป่านนี้เหยียนเฮิงเหอคงจะทะลวงผ่านระดับก้าวสู้เทวาไปแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้พลังบ่มเพาะของเหยียนเฮิงเหอก็ก้าวหน้าขึ้นมาเป็นระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นปลายเหมือนกับหลิงฮันแล้ว พี่น้องหลีก็พัฒนาขึ้นมาเป็นระดับบุปผาผลิบานขั้นปลายเช่นกัน พวกเขาไม่รีบทะลวงผ่านระดับเพราะหลิงฮันบอกให้พวกเขาทำรากฐานมั่นคงที่สุดเท่าที่จะทำได้เทียก่อน
ผู้คนเหล่านี้คือกระดูกสันหลังสำหรับการสร้างจักรวรรดิของหลิงฮัน แม้ตอนนี้พวกเขาจะยังอ่อนแออยู่ก็ตาม
ตอนนี้หลิงฮันมีอาวุธวิญญาณระดับสิบสองชิ้น เมื่อมาถึงกำแพงที่ขวางกั้นภูมิภาค เขาก็นำพวกมันออกมา เมื่ออาวุธวิญญาณสัมผัสกับกำแพงภูมิภาคอาวุธวิญญาณก็ส่องแสงออกมา แสงเหล่านั้นกลายเป็นม่านพลังคอยคุ้มกันพวกเขาทำให้กำแพงภูมิภาคไร้ผล
ม่านพลังนี้ใช้ได้กับเฉพาะจอมยุทธที่มีพลังบ่มเพาะระดับตัวอ่อนวิญญาณ ระดับก้าวสู่เทวาและระดับสวรรค์เท่านั้น ม่านพลังจะไม่ได้ผลกับจอมยุทธระดับทลายมิติ
“การมีอยู่ของกำแพงภูมิภาคทำให้เขตแดนของจอมยุทธถูกแบ่งแยกออกจากกัน” หลิงฮันถอนหายใจโล่งอก ด้วยกำแพงภูมิภาค ห้านิกายโบราณจะไม่สามารถเข้ามาก้าวก่ายได้
บางทีนี่อาจจะเป็นการ ‘กบฏ’ ของจื่อเสวี่ยนเซียนที่วางแผนไม่ให้ห้านิกายโบราณสามารถควบคุมภูมิภาคอื่นๆได้
หลังจากเข้าภูมิภาคเหนือได้สำเร็จ พวกเขาก็ลดความเร็วลงและใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว
ตอนนี้ใกล่จะค่ำแล้ว พวกหยุดพักอย่างไม่รีบร้อน เมื่อหลิงฮันเริ่มทำอาหาร กลิ่นหอมของน้ำซุปก็ลอยออกมา เขาใส่หยดวิญญาณและสมุนไพรมากมายลงไปในน้ำซุปด้วย
ครั้งนี้ไม่ใช่แค่หลิงฮันและฮูหนิวที่เป็นจอมตะกละ เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนที่เป็นจอมยุทธระดับสวรรค์ก็ต้องการกินอาหารของหลิงฮันเพื่อเสริมร่างกายของนางเช่นกัน แถมกระเพาะของนางยังไม่ใช้เล็กๆอีกด้วย ทั้งสามคนแย่งกันกินอาหารอย่างมูมมามจนฮูหนิวต้องกัดฟันโกรธ ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แค่หน้าด้านแย่งหลิงฮันไปจากนาง แต่ยังแย่งอาหารของนางด้วย!
พวกเขาตัดสินใจหยุดพักในคืนนี้เพื่อชำระล้างความเหนื่อยล้า
และเพราะพวกเขาเกรงว่าเผ่าใต้สมุทรจะไล่ตามมา พวกเขาถึงเข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อความปลอดภัย
ตอนที่ 746
คืนหนึ่งผ่านไป หลิงฮันรู้สึกโศกศร้าเล็กน้อย
“ยังไม่พอ?” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนจ้องมองหลิงฮันผ่านกระจกทองแดง และเมื่อเห็นปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย ทำให้นางรู้สึกมีความสุข
หลิงฮันถอนหายใจและพูดว่า “ข้ากำลังคิดว่าจะทำยังไงดีที่จะนวดเนินอกเล็กๆของเจ้าให้กลายเป็นยอดเขา คนอื่นจะได้ไม่เข้าใจผิดว่ามันเป็นหน้าอกหรือแผ่นหลังกันแน่!”
“หลิงฮัน!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกรีดร้อง “เจ้าอยากตายใช่ไหม?”
“ถึงหน้าอกจะเล็กแต่มันก็เป็นของจริง” หลิงฮันพูดพึมพัม เขาไม่คิดที่จะยั่วยุนางอีก เพราะยังไงนางก็เป็นแม่ของลูกของเขา
ทั้งสองคนเดินออกมาจากบ้านและเห็นฮูหนิวกำลังเล่นกับลูกของพวกเขา โดยที่หลิงเจี้ยนเสวี่ยนถูกฮูหนิวโยนขึ้นไปสูงกว่าหนึ่งร้อยฟุตและนางจะวิ่งไปรอรับจากอีกฝั่งหนึ่ง
ลูกชายตัวน้อยของพวกเขากำลังลอยอยู่กลางอากาศและส่งเสียงกรีดร้องออกมาอย่างสนุกสนาม แต่ทว่าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกลับหน้าซีดขาว ถ้าฮูหนิวเป็นคนเล่นกับลูกของนาง ลูกของนางคงจะต้องตายอย่างแน่นอน!
นางรีบกระโจนออกไปและอุ้มลูกของนางแล้วหันไปพูดกับหลิงฮันว่า “เจ้าจะต้องไปพูดกับนาง!”
หลิงฮันพยักหน้าและเดินไปหาฮูหนิว “เจ้าจะไปวิ่งเล่นตรงนั้นก็ได้ แต่ห้ามไปไหนไกล!”
“อืม!” ฮูหนิวทำตัวว่านอนสอนง่าย
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนแทบหมดสติ นี่เรียกว่าดุด่าหรือ?
ฮูหนิวจับมือของหลิงฮันเพื่อไปทานอาหารเช้า ซึ่งทุกคนมารอเขาอยู่ที่นี่แล้ว
ในความเป็นจริง อาหารเช้ามันไม่จำเป็นสำหรับพวกเขาเลย แต่ใครขอให้มันมีรสชาติอร่อยเกินไปกันล่ะ
หลิงฮันนำวัตถุดิบออกมา จูเสวี่ยนเอ๋อ หลี่จื่อเซียนและเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนต่างงานล้นมือ
ฮูหนิวรออย่างซุกซนเหมือนกับลิงและพูดว่า “หลิงฮัน เมื่อคืนเจ้าต่อสู้กับผู้หญิงโง่คนนี้หรือ? หนิวได้ยินเสียงกรีดร้องไม่หยุด หนิวเลยอยากจะเข้าไปช่วยหลิงฮันแต่หนิวเข้าไปข้างในไม่ได้!”
ทันใดนั้น มือที่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนถือหม้ออยู่หลุดออกจากมือทันที นางหันไปจ้องมองฮูหนิวด้วยสีหน้าดุเดือด หรือว่าเมื่อคืนนางจะแอบฟัง?
ใบหน้าที่งดงามของจูเสวี่ยนเอ๋อและหลี่จื่อเซียนกลายเป็นสีแดง แม้ว่าพวกนางจะยังไม่แต่งงานแต่ก็รู้ว่านั่นหมายถึงอะไร
หลิงฮันส่งเสียงกระแอมไม่หยุดและพูดว่า “เด็กควรจะนอนหลับให้มากจะได้โตไว ครั้งหน้าหนิวจะต้องรีบเข้านอนอย่าทำตัวเป็นนกฮูกกลางคืน”
ฮูหนิวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และชี้ไปที่หน้าอกของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน “หนิวจะเข้านอนเร็วจะได้ไม่เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารเหมือนกับนาง!”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนแทบบ้าคลั่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางถูกฮูหนิวกล่าวหาว่าหน้าอกแบน หน้าอกแบนแล้วมันทำไม มันหน้าหัวเจ้าอย่างนั้นรึ?
หลิงฮันหัวเราะและโอบกอดฮูหนิวแล้วพูดว่า “ถ้างั้นฮูหนิวจะต้องกินเนื้อ นม และผักให้มากกว่านี้”
“แน่นอนหนิวชอบกินอยู่แล้ว!” ฮูหนิวกล่าว
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเขาก็ออกจากหอคอยทมิฬและออกเดินทางต่อ
ช่วงนี้จูเสวี่ยนเอ๋อมักดูโศกเศร้าเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าหลิงฮันไม่ได้พูดกับนางเป็นประจำเหมือนกับเมื่อก่อนหลังจากที่ได้เจอ “คนรักเก่า” และตอนนี้พวกเขายังมีลูกด้วยกันแล้ว ซึ่งทำให้นางรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก
เมื่อไม่มีใครสังเกตเห็น นางแอบเข้าไปอยู่ใกล้หลิงฮันและพูดว่า “เสวี่ยนเอ๋อเองก็อยากจะมีลูก!”
ช่วยไม่ได้ที่หัวใจของหลิงฮันจะรู้สึกหวั่นไหว ความงดงามของจูเสวี่ยนเอ๋อไม่ได้ด้อยกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เลย
หลิงฮันมีอาการปากแห้งเมื่อเขาได้ยินว่านางอยากมีลูก เขาตบไหล่ของจูเสวี่ยนเอ๋อและพูดว่า “ขอบคุณ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้ากับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนนั้น…มันเป็นเรื่องบังเอิญ”
“เมื่อคืนที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นรึ?” ดวงตาของจูเสวี่ยนเอ๋อแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่หลากหลาย
หลิงฮันเพียงแค่หัวเราะกลบเกลื่อนเท่านั้น
เจ็ดวันต่อมา พวกเขาก็เดินทางผ่านหุบเขาจันทราร่วงหล่นและกลับเข้าสู่ดินแดนทางตอนเหนืออันโดดเดี่ยว
แน่นอนว่าสถานที่ที่พวกเขาจะไปที่แรกนั้นคือไปพบพ่อแม่ของเขา
กลุ่มของหลิงฮันมาถึงที่พักตระกูลหลิง และเมื่อคนรับใช้เห็นหลิงฮัน พวกเขารีบบินกลับไปเพื่อรายงานทันที
“นายน้อยกลับมาแล้ว!”
มันเหมือนกับว่ามีลมพัดผ่านตระกูลหลิง หลิงตงชิงและเย่วฮงฉางรีบวิ่งออกมาหลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้าลูกชายมาหลายปี และมีหลิวอู๋ตงและหลีซื่อฉางวิ่งตามอยู่ด้านหลัง
จูเสวี่ยนเอ๋อและเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพวกเขาเคยเห็นหน้าแล้ว เย่วฮงฉางจ้องมองไปที่หลี่จื่อเซียนและสงสัยว่านี่เป็นลูกสะใภ้คนใหม่หรือไม่
“หืม เด็กคนนี้-” ทุกคนจ้องมองไปที่หลิงเจี้ยนเสวี่ยนที่อยู่ในอ้อมแขนของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ท่านแม่ นี่คือหลานชายของท่าน หลิงเจี้ยนเสวี่ยน”
พ่อและแม่ของหลิงฮันรู้สึกมีความสุขมาก ที่สุดของความอกตัญญูนั้นคือ การไร้ทายาทสืบตระกูล ลูกชายของพวกเขามักจะไม่อยู่กับบ้าน แต่แล้วเขาก็พาหลานชายกลับมาด้วย ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุขมาก
หลิ่วอู๋ตงและหลีซื่อฉางจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยสีหน้าโศกเศร้าเหมือนกับจูเสวี่ยนเอ๋อ
เมื่อถึงเวลากลางคืน ตระกูลหลิงได้จัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองให้กับทายาทรุ่นที่สามของตระกูลหลิง ทำให้จำนวนสมาชิกของตระกูลหลิงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
หลังจากคืนนั้น หลิงฮันจะเดินทางไปที่แคว้นพิรุณเพื่อเริ่มต้นการรวมทวีป
ตอนที่ 747
ก่อนหน้านี้หลิงฮันได้ไปพบจักรพรรดิพิรุณ และบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องที่จะทำและได้รับการอนุมัติจากจักรพรรดิพิรุณแล้ว เขาได้เขียนจดหมายถึงฉีฉางเย่และให้อีกฝ่ายร่วมมือกับหลิงฮัน
เมื่อพูดถึงการเปิดสวรรค์ หลิงฮันจะไม่สนใจความรู้สึกของฉีฉางเย่ และอีกฝ่ายจะต้องสละราชบัลลังก์หากเขาต้องการ
หลิงฮันเดินอยู่บนถนนเพียงลำพัง ในขณะที่คนอื่นเริ่มเก็บข้าวของ พวกเขาจะย้ายที่อยู่อีกครั้ง ในอนาคตหลิงฮันจะขึ้นครองบัลลังก์และแน่นอนว่าครอบครัวของเขาจะต้องอาศัยอยู่ในวัง
ความกว้างใหญ่ของดินแดนทางตอนเหนืออันโดดเดี่ยวในปัจจุบันในสายตาของหลิงฮันกลายเป็นเล็กไปแล้ว ด้วยความเร็วที่น่าทึ่งของเขา เพียงแค่ครึ่งวันเขาก็เดินทางมาถึงแคว้นพิรุณ และไม่แวะพักที่ไหนมุ่งตรงไปที่พระราชวังทันที
“เจ้ากล้ามากที่บุกเข้ามาในพระราชวัง ตายซะ!” หลิงฮันไม่คิดที่แอบลอบเข้าไป เขาเดินเข้าไปอย่างโจ่งแจ้งทำให้ดึงดูดสายตาของทหารยามและเริ่มโจมตีเขาทันที
ตู้ม แต่ทว่าในขณะที่พวกเขาเพิ่งจะชักดาบออกมาพวกเขาก็ล้มลงกับพื้นทีละคนทีละคน ใบหน้าของแต่ละคนกลายเป็นซีดขาวและกระตุกไปมา
หลิงฮันเพียงแค่ปลดปล่อยกลิ่นอายของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณออกมาเท่านั้น มันจะไม่เพียงพอได้อย่างไร?
เขาเดินตรงไปข้างหน้าไม่หยุดและทุกคนต่างล้มลงกับพื้น พวกเขาไม่สามารถต้านแรงกดดันของหลิงฮันได้เลยแม้แต่น้อย
“หยุดอยู่ตรงนั้น ที่นี่คือพระราชวังแห่งแคว้นพิรุณ!” ชายชราคนหนึ่งได้ปรากฏตัวออกมา เขาเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ ซึ่งสามารถต้านทานแรงกดดันของหลิงฮันได้
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ข้ามาที่นี่เพื่อเข้าพบฉีฉางเย่”
“สามห้าว!” จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณรู้สึกโกรธเกรี้ยวมากและพูดว่า “เจ้ากล้ามากที่พูดชื่อของฝ่าบาท ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”
หลิงฮันพูดว่า “เจ้ากำลังยื้อเวลารอให้อดีตจักรพรรดิพิรุณปรากฏตัวอย่างนั้นรึ?” หลิงฮันรู้สึกได้ “ข้าเกรงว่าข้าคงจะต้องทำให้เจ้าผิดหวัง อย่าว่าแต่จะต่อสู้เลย เขาจะมีชีวิตอยู่ถึงสามวันหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“เหลวไหล!” จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณตะโกน “อดีตจักรพรรดิพิรุณสามารถใช้พลังแห่งจักรภพได้ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะเชื่อคำหลอกลวงไม่กี่คำจากปากของเจ้า!”
“อย่างนั้นหรือ?” หลิงฮันยิ้ม เขารวบรวมพลังปราณเป็นมือขนาดใหญ่และคว้าไปยังสถานที่หนึ่งของพระราชวัง ตู้ม เกิดเสียงอึกทึกดังไปทั่วและตามมาด้วยเสียงของผู้คน
“ไม่ดีแล้ว พาฝ่าบาทหนีไป!”
“อดีตจักรพรรดิ! รีบไปแจ้งให้อดีตจักรพรรดิพิรุณทราบ!”
เกิดความโกลาหลขึ้นในพระราชวัง ทหารและหญิงสาวรับใช้ต่างส่งเสียงกรีดร้อง
ตู้ม พระราชวังที่อยู่บนหัวของหลิงฮันพังทลายลง และเขาก็ดึงมือกลับมา ในมือของเขามีชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมอยู่ในกำมือ ไม่ใช่ว่านั่นคือองค์ชายลำดับเจ็ดฉีฉางเย่ ซึ่งเป็นจักรพรรดิพิรุณคนปัจจุบันหรอกหรือ?
จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคนนั้นรู้สึกหวาดกลัวมาก นี่เป็นความสามารถอะไรกัน? ผู้คนที่อยู่ที่นี่ยังไม่ทันได้ขยับตัวเลย แต่เขาก็จับตัวฝ่าบาทได้แล้ว โดยที่ไม่ต้องต่อสู้!
คนผู้นี้แข็งแกร่งแค่ไหนกัน?
“ปรมาจารย์หลิง?” เมื่อฉีฉางเย่เห็นหลิงฮัน เขารู้สึกประหลาดใจและตื่นเต้นที่ได้เห็น
หลิงฮันวางฉีฉางเย่ลงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะพบเจ้า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ปรมาจารย์หลิงช่างเป็นคนตลกยิ่งนัก” ฉีฉางเย่หัวเราะ เขาได้นั่งอยู่บนบัลลังก์มาสองสามปีแล้ว แน่นอนว่าเขาต้องมีนิสัยของผู้สูงส่ง อย่างน้อยบนผิวเผินเขาก็รักษาภาพลักษณ์และความเยือกเย็นได้ดี แต่หากมองไปที่ขาของเขาจะเห็นว่าสั่นเล็กน้อย ซึ่งสามารถรับรู้ได้ว่าตอนนี้เขารู้สึกหวาดกลัวอยู่จริงๆ
“หยุดพูดเรื่องพวกนั้นก่อนเถอะ ดูเหมือนว่าท่าทีของอดีตจักรพรรดิพิรุณจะไม่ดี” หลิงฮันพูด
ฉีฉางเย่รู้สึกตกตะลึง แต่ก็รู้สึกโกรธมากเช่นกัน เพราะเขาถูกจับมาชั่วครู่แล้ว แต่อดีตจักรพรรดิพิรุณยังนิ่งเฉย ซึ่งมันไม่ควรเป็นเช่นนั้น
ร่างของหลิงฮันกำลังลอยขึ้นไป พรึบ และหายตัวไป แต่เมื่อประกายแสงสายฟ้าปรากฏ เขาก็ปรากฏตัวทันทีพร้อมกับชายชรารูปร่างผอมแห้งเหมือนกับคนตาย น้ำหนักของเขาในตอนนี้คงไม่ถึงห้าสิบกิโลกรัม
“ท่านบรรพบุรุษ!” ฉีฉางเย่เดินไปข้างหน้าทันที
“อดีตจักรพรรดิ!” จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเองก็อุทานออกมา
“หยุดอยู่ตรงนั้นก่อน!” หลิงฮันส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม และนำโสมต้นหนึ่งออกมา ต้นโสมถูกปกคลุมด้วยเส้นสายสีม่วงและเต็มไปด้วยพลังแห่งเต๋า
นี่คือโสมโลหิตราชามังกรทรราช มันเพิ่งจะถึงเวลาเก็บเกี่ยวและใช้เวลานานมากกว่าจะโต โดยที่ไม่คาดคิดคนที่ได้ลิ้มรสมันคนแรกคืออดีตจักรพรรดิพิรุณ
พลังชีวิตของอีกฝ่ายเหือดแห้งไปแล้ว ทำให้เขาต้องกินเม็ดยาหรือยาบำรุงมากขึ้น แม้แต่โสมพันปียังหมดหนทางที่จะช่วยเขา ดังนั้นถ้าต้องการให้เขากลับมามาชีวิตใหม่อีกครั้ง จึงมีเพียงแค่หนทางเดียวนั้นคือยกระดับพลังของเขาและอายุขัยของเขาก็จะเพิ่มขึ้น
ภายใต้การสนับสนุนของพลังจักรภพ อดีตจักรพรรดิพิรุณมีความแข็งแกร่งของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน แต่ทว่านั่นไม่ใช่ระดับบุปผาผลิบานที่แท้จริง หากบรรลุอายุขัยจะเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยถึงหนึ่งร้อยห้าสิบปี ถ้าเขาทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน เขาก็จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้น และการที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกห้าสิบปีก็ไม่ใช่ปัญหาเลยแม้แต่น้อย
หลิงฮันรีบนำมันไปหลอมป็นเม็ดยาทันที แม้ว่าโสมโลหิตราชามังกรทรราชจะสามารถกินได้โดยตรง แต่อดีตจักรพรรดิพิรุณนั้นยังอ่อนแอเกินไป ถ้าเขากินมันโดยตรง อย่าพูดว่าจะทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานเลย เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ดังนั้น หลิงฮันจะนำไปหลอมเป็นเม็ดยาก่อนเพื่อทำให้อดีตจักรพรรดิพิรุณสามารถกินมันได้ง่ายขึ้น
หลังจากผ่านไปแค่ครึ่งวัน หลิงฮันก็หลอมเม็ดยาเสร็จและใส่เข้าไปในปากของอดีตจักรพรรดิพิรุณ แล้วใช้พลังปราณก่อเกิดเพื่อให้เม็ดยาไหลลงท้องของเขา
ประสิทธิภาพของมัน….เกือบจะแสดงออกมาให้เห็นทันที
นี่คือโสมโลหิตราชามังกรทรราช แม้ว่ามันจะไม่ใช่รุ่นแรง แต่มันก็ยังอาบด้วยโลหิตของมังกรที่แท้จริง และถือว่าเป็นสมุนไพรล้ำค่าของจอมยุทธระดับสวรรค์ หรือแม้แต่จอมยุทธระดับทลายมิติ!
แล้วการที่จะทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานจะไม่ง่ายได้อย่างไร?
อดีตจักรพรรดิพิรุณลืมตาขึ้นมาทันที แต่หลังจากที่เห็นหลิงฮัน เขารีบกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในพระราชวัง
การที่เขาสามารถบินได้เหมือนกับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานนั้นเป็นเพราะพลังแห่งจักรภพ
ในขณะนั้น ภายใต้พลังของเม็ดยาโสมโลหิตราชามังกรทรราช เม็ดบุปผานิรันดร์ภายในตันเถียนของเขาเติบโตขึ้นและผลิบานอย่างรวดเร็ว
ระดับบุปผาผลิบาน!
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” อดีตจักรพรรดิพิรุณหัวเราะอย่างมีความสุข และดูเหมือนร่างกายของเขาจะมีกล้ามเนื้อและพละกำลังมากขึ้น ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กล้ามเนื้อของเขาใหญ่ขึ้นและเส้นผมที่ขาวเริ่มที่จะกลับมาดำวาวอีกครั้ง
เขาทะยานลงมาและเดินไปหาหลิงฮัน “ขอบคุณที่ช่วยเหลือข้า!” เขาจะไม่รู้สึกมีความสุขได้อย่างไร? ตอนนี้เขากลายเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานที่แท้จริงแล้ว ยิ่งบวกกับพลังแห่งจักรภพบางทีพลังต่อสู้ของเขาอาจอยู่บนจุดสูงสุดของระดับบุปผลิบาน
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “สิ่งที่ข้าอยากจะพูดต่อไปนี้คืออย่าคิดที่จะแทงข้างหลังข้า”
ตอนที่ 748
“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร!” อดีตจักรพรรดิพิรุณรีบส่ายมือ เขาไม่ใช่คนที่มีนิสัยแทงดาบใส่คนที่มีพระคุณต่อเขา
แม้ก่อนหน้านี้เขามีรูปร่างราวกับคนตายที่อ่อนแรง แต่เขาก็รับรู้ว่ามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น
หลิงฮันไม่รีรอ เขานำจดหมายของจักรพรรดิพิรุณส่งใส่ฉีฉางเย่
ฉีฉางเย่รับจดหมายมาและใช่เวลาชั่วครู่ในการเปิดอ่าน
อดีตจักรพรรดิพิรุณเองก็เดินเข้าใกล้มาเพื่ออ่านจดหมายด้วย หนึ่งชายชราหนึ่งชายหนุ่มกำลังอ่านจดหมายด้วยสีหน้าตึงเครียด
“ท่านพ่อทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว!”
“ฮ่าๆๆ ข้ารู้มานานแล้วว่าเจ้านั่นเป็นอัจฉริยะมาตั้งแต่เด็ก เขาคือบุรุษที่ทำให้ตระกูลของเรารุ่งโรจน์!”
ฉีฉางเย่และอดีตจักรพรรดิพิรุณตื่นเต้น จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเหนือ ไม่ต้องกล่าวถึงดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวเลย จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณสามารถเหยียบย่ำได้ทุกอาณาเขตของภูมิภาคเหนือ
แต่หลังจากอ่านต่อ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที
จักรพรรดิพิรุณต้องการยกบัลลังก์ให้หลิงฮัน!
แถมจักรพรรดิพิรุณยังไม่อธิบายเหตุผลให้กระจ่างอีกด้วย เขาบอกเพียงว่าเมื่อเวลามาถึงพวกเขาจะเข้าใจเอง
บ้าชัดๆ นี่มันบังลังก์ของแคว้นเชียวนะ!
ชายชราและชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย บัลลังก์คือมรดกสืบทอดและรากฐานที่สำคัญที่สุดของตระกูลพวกเขา ด้วยอำนาจของพลังแห่งจักรภพ มันจะทำให้พวกเขาสามารถสร้างอัจฉริยะให้เป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้ แถมมันยังเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ของผู้ครองให้ทัดเทียมกับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานอีกด้วย
มันเกือบจะเรียกว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลจักรพรรดิฉี
แล้วตอนนี้พวกเขาต้องมายกบัลลังก์ให้กับคนอื่นเนี่ยนะ? ไม่ใช่ว่านั่นจะเป็นการทำให้ตระกูลของพวกเขาล่มสลายรึไง?
ถ้าจักรพรรดิพิรุณมาที่นี่ด้วยตนเอง ด้วยนิสัยอันเด็ดขาดและพลังบ่มเพาะระดับตัวอ่อนวิญญาณของเขา อดีตจักรพรรดิรุณและฉีฉางเย่คงไม่คำพูดใดจะโต้เถียง
หลิงฮันมองไปยังทั้งสองคนและกล่าว “จักรพรรดิพิรุณคือพี่ชายของข้า พวกเราพี่น้องเหตุผลที่ต้องทำเช่นนี้ ที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะพลังแห่งจักรภพ แคว้นเล็กๆอย่างแคว้นพิรุณคงไม่ได้อยู่ในสายตาข้าแม้แต่น้อย”
“ก้าวแรกคือรวมดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว ก้าวที่สองคือปกครองภูมิภาคเหนือ และก้าวที่สามคือปฏิรูปสี่ภูมิภาคขึ้นใหม่ จากนั้นก็ก่อตั้งเป็นพันธมิตรช่วยเหลือจักรวรรดิจันทราม่วง” หลิงฮันกล่าวราวกับเป็นเรื่องง่าย
อดีตจักรพรรดิพิรุณและฉีฉางเย่เกือบจะเป็นลม เจ้าพูดความทะเยอทะยานของเจ้าที่จะปฏิรูปสี่ภูมิภาคขึ้นใหม่ราวกับเป็นเรื่องง่าย!
หลิงฮันคร้านจะพูดต่อ เขากล่าวกับฉีฉางเย่ “แม้ครั้งนี้จะดูเหมือนข้ารังแกเจ้า แต่ข้ามีสิ่งชดเชยให้” ‘พรึบ’ หลิงฮันสะบัดมือ ทันใดนั้นบนโต๊ะก็กองเต็มไปด้วยเม็ดยาและทักษะลับมากมาย
ก่อนจะมาที่นี่ เขาเตรียมการมาล่วงหน้าแล้ว
“ทักษะบ่มเพาะระดับสวรรค์!”
“แถมยังเป็นทักษะบ่มเพาะที่สามารถฝึกฝนต่อเนื่องถึงเก้าระดับโดยไม่ต้องเปลี่ยนทักษะด้วย! ถ้าบ่มเพาะพลังด้วยทักษะนี้ พวกเราจะบรรลุระดับสวรรค์แน่นอน!”
“ไม่น่าเชื่อ นอกจากนั้นแล้วยังมีทักษะยุทธระดับสวรรค์อีก!”
“นะ นะ นี่มันเม็ดยาระดับปฐพี!”
อดีตจักรพรรดิพิรุณและฉีฉางเย่อุทานออกมา ใบหน้าของพวกเขากระตุกไปมาไม่หยุด
สมบัติบางอย่างบนโต๊ะเรียกได้ว่าหาค่าไม่ได้ และสมบัติบางอย่างนั้นมีมูลค่าสูงมากกว่าแคว้นแค้วหนึ่งเสียอีก อย่างเช่นทักษะบ่มเพาะ ทักษะยุทธระดับสวรรค์และเม็ดยาระดับปฐพี แต่ตอนนี้สมบัติเหล่านั้นก็มากองอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว
สมบัติเหล่ามีค่าเกินพอที่จะซื้อแค้วพิรุณเสียอีก ด้วยทรัพยากรขนาดนี้ พวกเขาสามารถบรรลุระดับสวรรค์ได้แน่นอน ต่อให้ต้องแลกด้วยแคว้นพิรุณหนึ่งร้อยหรือหนึ่งพันแคว้นพวกเขาก็ยอม
หลังจากชายชราและชายหนุ่มหลุดพ้นจากอาการตื่นเต้น พวกเขาก็พบว่าหลิงฮันหายไปแล้ว
“ท่านบรรพบุรุษ พวกเราจะทำอย่างไรดี?” ฉีฉางเย่ถามอดีตตักรพรรดิพิรุณ เป็นเรื่องธรรมดาที่เรื่องใหญ่อย่างการมอบบัลลังก์จะต้องถามกับคนที่มีอำนาจใหญ่ที่สุดในตระกูล
“สละบัลลังก์เดี๋ยวนี้!” อดีตจักรพรรดิพิรุณตัดสินใจอย่างไม่ลังเล ไม่จำเป็นต้องให้หลิงฮันอธิบายเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่ทรงพลังขนาดไหน
หากไม่ทรงพลัง เขาจะนำสมบัติมากมายเหล่านี้ออกมาได้?
อดีตจักรพรรดิพิรุณเป็นคนทะเยอทะยานและโลภ แต่เขาก็รู้เช่นกันว่าถ้าหากโลภเกินไปและยื่นข้อเสนอมากกว่านี้ก็จะนำเขาไปสู่ความตาย
แต่ถึงแม้หนึ่งชายชราและหนึ่งชายหนุ่มจะโลภขนาดไหน หลิงฮันก็ไม่มีทางสังหารพวกเขา เพราะอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้อาวุโสและบุตรของจักรพรรดิพิรุณ ถ้าทั้งสองปฏิเสธหลิงฮันก็ตั้งใจจะซัดทั้งสองให้สลบและนำเข้าไปในหอคอยทมิฬก่อน จากนั้นค่อยนำพวกเขาไปหาจักรพรรดิพิรุณทีหลัง
หลิงฮันกลับตระกูลหลิงเพื่อนำพรรคพวกของเขามาที่แคว้นพิรุณอีกครั้ง โดยให้ทุกคนเข้าไปอยู่ในหอคอยทมิฬ
จูเสวียนเอ๋อ เหยียนเฮิงเหอและคนอื่นๆค่อยๆปรากฏตัวออกมา โดยเฉพาะเมื่ออสูรศิลาและเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนปรากฏตัว กลิ่นหายของตัวตนระดับก้าวสู่เทวาและระดับสวรรค์นั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
อดีตจักรพรรดิพิรุณหวาดกลัวไปจนถึงขั้วหัวใจ แต่เขาก็รู้สึกโชคดีที่ไม่ได้ต่อต้าน ไม่เช่นนั้นพรรคพวกคนใดคนหนึ่งของหลิงฮันคงสามารถสังหารเขาได้ง่ายๆ เขารีบเร่งเร้าให้ฉีฉางเย่สละบัลลังก์เพื่อไม่ทำให้หลิงฮันเกิดความไม่พอใจ
แต่มันก็เป็นความจริง ด้วยพลังของเขาในตอนนี้เขาสามารถยึดครองภูมิภาคเหนือได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเห็นแก่แคว้นพิรุณและนำสมบัติออกมาชดเชยให้
แต่ถึงแม้ฉีฉางเย่จะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี การสละบัลลังก์ก็ใช้ว่าจะทำได้ง่ายๆ มันมีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะแคว้นที่หลิงฮันต้องการคือแคว้นที่ทุกคนรวมกันเป็นปึกแผ่นเดียวกัน
และในที่สุดฉีฉางเยก็สามารถโน้มน้าวแปดตระกูลใหญ่ของเมืองจักรพรรดิได้อย่างราบรื่น แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะอสูรศิลาที่หลิงฮันส่งไปเดินรอบเมือง แล้วแบบนี้ใครกันจะกล้าต่อต้านไม่เห็นด้วย?
ครึ่งเดือนต่อมา พิธีสละบัลลังก์ก็เริ่มขึ้น ฉีฉางเยาละราชบัลลังก์และหลิงฮันเป็นผู้ขึ้นครองแทน สัญลักษณ์ของแคว้นได้เปลี่ยนเป็น ‘หลิง’ และแคว้นถูกเรียกว่า ‘จักรวรรดิต้าหลิง’ (หลิงผู้ยิ่งใหญ่)
หลิงฮันไม่ต้องการเสียเวลา เขาส่งเหยียนเฮิงเหอและหลี่เฟิงหยู่แยกกันออกไปรุกรานแปดแค้วที่เหลือในดินแดนทางเหลืออันโดดเดี่ยว
เป้าหมายของการรุกรานครั้งนี้คือยึดครองไม่ใช่สังหาร และหลีดเรียกความเสียหายให้มากที่สุดเที่ท่จะหลีกเลี่ยงได้
ด้วยพลังบ่มเพาะระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นปลายและบุปผาผลิบานขั้นปลาย ทั้งสองคนจะยังไม่ใช่ตัวตนที่ไร้พ่ายในดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวอีก? เพียงแค่หนึ่งเดือนแปดแคว้นที่เหลือก็ยอมยกธงขาว
หลิงฮันไม่สามารถสะกดระดับพลังบ่มเพาะของตัวเองได้อีกต่อไปและต้องทะลวงผ่านไปยังระดับก้าวสู่เทวา
แม้ที่เขาตั้งใตไว้ เขาจะอยากสะกดระดับพลังเอาไว้ให้นานกว่านี้ นั่นก็เพราะความเร็วในการเลื่อนระดับของเขาในตอนนี้มันเร็วเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องยอมจำใจและเลือกทะลวงผ่านระดับ
สำหรับหลิงฮันการทะลวงผ่านทำได้ง่ายดายมาก เพราะเขาเคยผ่านประสบการณ์นี้มาแล้วในชีวิตที่แล้ว
“ข้ากลายเป็นระดับก้าวสู่เทวาแล้ว!” หลิงฮันรู้สึกประทับใจ เขาเคยคิดว่าเขาจะกลับไปเป็นระดับสวรรค์ได้ตอนช่วงอายุสามสิบ แต่จากสถานการณ์ตอนนี้แล้วเป็นไปได้อย่างมากว่าเขาจะบรรลุระดับสวรรค์ได้ในอีกปีหรือสองปี
อย่างแรกเลยเป็นเพราะพลังวิญญาณของยุคสมัยนี้ และอย่างที่สองเป็นเพราะเขาครอบครองหอคอยทมิฬที่ทำให้เขาสามารถเพิ่มจำนวนทรัพยากรได้ และอีกเหตุผลที่คือเขาเป็นจักรพรรดิปรุงยา
“เอาล่ะ ต่อไปถึงเวลามุ่งหน้าไปภูมิภาคเหนือแล้ว”
ตอนที่ 749
เป้าหมายในการมุ่งหน้าไปภูมิภาคเหนือนั้นไม่ใช่เพียงแค่ขยายอาณาเขตเพื่อเสริมอำนาจให้กับพลังแห่งจักรภพ แต่ยังไปเพื่อสะสางความแค้นกับนิกายจันทราเหมันต์อีกด้วย
ตอนนี้หลิงตงซิงบ่มเพาะพลังมาถึงระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว ตามหลักแล้วอาจจะต้องใช้เวลาถึงสิบหรือยี่สิบปีในการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน แต่หลิงตงซิงและหลิงฮันไม่อาจรอนานเช่นนั้นได้
สำหรับหลิงฮันที่เป็นจักรพรรดิปรุงแล้ว อะไรคือสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด?
การหลอมเม็ดยา!
จำนวนของโสมโลหิตราชามังกรทรราชนั้นมีเกินร้อยต้นแล้ว นอกจากต้นที่เหลือเอาไว้ใช้เพาะพันธ์ต่อ ต้นอื่นๆสามารถนำมาใช้หลอมเป็นเม็ดยาได้
หลิงฮันตงซิงฝืนใช้เม็ดยาจนทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานได้สำเร็จ และหลังจากที่หลิงฮันสร้างแคว้นและขยายอาณาเขตได้แล้ว เขาก็แต่งตั้งหลิงตงซิงเป็นจักรพรรดิ ด้วยอาณาเขตที่ขยายกว้างกว่าเดิม แน่นอนว่าพลังแห่งจักรภพย่อมแข็งแกร่งขึ้นไปด้วย
เช่นนั้นแล้วหลิงตงซิงจะจัดการอ้าวเฟิงไม่ได้?
ก่อนจะออกเดินทาง หลิงฮันได้มุ่งหน้าไปยังเหมืองโบราณที่แคว้นเพลิง ที่นั่นมีปรมาจารย์มากมายถูกฝังเอาไว้ มีความเป็นไปได้สูงมากกว่าในอนาคตเส้นทางสู่โลกบาลาจะเปิดออก และหายนะก็จะขึ้นกับทวีปฮงเทียน
ตอนนี้หลิงฮันต้องแข่งกับเวลา ไม่เพียงแค่ต้องเปิดสวรรค์ก่อนที่ห้านิกายโบราณจะลงมือ แต่ก็ต้องลงมือให้รวดเร็วกว่าการรุกรานของโลกใต้พิภพด้วย
เมื่อเขามาถึง แมงมุมเงินยักษ์ก็ปรากฏตัว ร่างของมันใหญ่ราวกับยักษ์ที่ปกคลุมท้องฟ้าและกำลังอาบแสงจันทร์
ยิ่งเขามีระดับพลังสูงขึ้น เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ชัดขึ้นว่าแมงมุมยักษ์ตนนี้น่ากลัวขนาดไหน
พลังของมันเทียบได้กับราชันซากศพยักษ์สิบห้าตา!
หลิงฮันประเมินพลังต่อสู้ของตนเอง
ยิ่งระดับพลังสูงก็ยิ่งสู้ข้ามระดับให้ยากลำบาก แม้แต่หลิงฮันก็ไม่มีข้อยกเว้น หลังจากทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวาแล้ว พลังต่อสู้ของหลิงฮันสามารถเทียบได้กับจอมยุทธระดับสวรรค์หนึ่งดาว แต่เมื่อตอนที่เขาอยู่ในระดับตัวอ่อนวิญญาณ พลังต่อสู้ของสามารถเทียบได้กับจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาเก้าดาว
เพียงแต่เขายังสามารถใช้พลังจักรภพของจักรวรรดิต้าหลิงฮันได้อีก ตราบใดที่เขาอยู่ในอาณาเขตของตนเอง เขาจะเขาจะเรียกใช้พลังแห่งจักรภพได้
ด้วยพลังแห่งจักรภพพลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นหนึ่งดาว ซึ่งนี่เป็นเพียงพลังแห่งจักรภพที่เกิดขึ้นจากการรวมอาณาเขตของดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวเท่านั้น
ถ้าเขาปกครองภูมิภาคเหนือได้ พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยห้าดาว และถ้าหากปกครองภูมิภาคอื่นได้ด้วย พลังต่อสู้ของเขาจะทรงพลังขึ้นไปอีก แม้แต่สิบดาวก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่เพื่อการนั้นร่างกายของหลิงฮันก็ต้องสามารถรองรับพลังแห่งจักรภพที่ทรงพลังเช่นนั้นได้ด้วย
เมื่อรวมเข้ากับพรศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬ พลังต่อสู้ของเขาจะต้องเทียบได้กับจอมยุทธระดับทลายมิติแน่นอน เพยีงปัญหาก็คือพลังต่อสู้ของเขาจะเทียบได้กับระดับทลายมิติกี่ดาว?
ดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวนั้นมีอาณาเขตเล็กเกินไป แม้เขาจะมีพลังบ่มเพาะระดับสวรรค์ที่สามารถสู้ข้ามระดับกับจอมยุทธระดับทลายมิติ แต่ด้วยพลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นแค่หนึ่งดาว เขาคงไม่อาจโค้นล้มแมงมุมยักษ์ตัวนี้ได้
หลิงฮันครุ่นคิดในใจและส่ายหัว การทำเช่นนั้นมีแต่จะเป็นการใช้พรศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬอย่างเสียเปล่า
หลิงฮันกำลังจะกลับแต่ก็สังเกตุเห็นอะไรบางอย่าง
ถึงแม้เหมืองโบราณจะเป็นอาณาเขตที่มืดมิดและน่ากลัว แต่ดูเหมือนเหมืองโบราณในตอนนี้จะมีกลิ่นอายที่น่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิม ปราณสีดำบริเวณรอบๆหนาเหมืองหนาแน่นมากขึ้นจนดูราวกับเป็นหมึกสีดำ
รึว่าเหล่าผู้รุกรานจากใต้พิภพ… ใกล้จะปรากฏตัวแล้ว?
หลิงฮันล่าถอยกลับออกจากเหมือง สถานที่แห่งนี้แปลกประหลาดเกินไป ตัวเขาในตอนนี้ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นาน
หลิงฮันส่งกองทัพผ่านหุบเขาจันทราร่วงหล่นไปยังภูมิภาคเหนือ
ด้วยสถานะนักปรุงยาระดับสวรรค์ของหลิงฮัน สมาคมนักปรุงยาของภูมิภาคเหนือเป็นขุมอำนาจแรกที่ยอมจำนน ล้อเล่นรึเปล่า? นี่คือนักปรุงยาระดับสวรรค์เชียวนะ อีกฝ่ายเป็นคนออกปากยอมให้พวกเขาติดตามทำไมพวกเขาต้องปฏิเสธด้วย?
การยอมจำนนของสมาคมนักปรุงยาส่งผลกระทบเป็นวงกว้างให้เมืองหลายเมืองยอมจำนนเช่นกัน
เจ็ดวันต่อมาพวกเขาก็มุ่งหน้ามาถึงหน้าประตูนิกายจันทราเหมันต์
ครั้งล่าสุดที่เขามานิกายจันทราเหมันต์ เขาจำเป็นต้องใช้พลังของหอคอยทมิฬในการต่อกรกับจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ตอนนี้แต่พลังต่อสู้ของเขาอย่างเดียวโดยไม่พึ่งอำนาจจากอาวุธก็สามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับสวรรค์ได้แล้ว พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้เกือบจะเทียบกับในชีวิตที่แล้วได้แล้ว และด้วยพรศักดิ์สิทธิ์จากหอคอยทมิฬ เขาจะมีพลังต่อสู้เทียบได้กับจอมยุทธระดับทลายมิติและสามารถทำลายนิกายจัทราเหมันต์ด้วยนิ้วมือเดียว
“องค์จักรพรรดิ พวกเราจะบุกโจมตีทันทีเลยรึไม่?” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถาม เขาคือจินหวู่จื้อนั้นเอง เขารู้จักหลิงฮันตั้งแต่ตอนหลิงฮันอยู่เมืองต้าหยวน เขาเป็นคนที่เคยมีความบาดหมางกับหลิงฮันเพราะน้องชายของเขา
ถึงแม้เขาจะไม่ได้เข้าร่วมกับนิกายจันทราเหมันต์ แต่เขาก็ได้แต่งงานกับสาวงามที่เมืองจักรพรรดิและใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความสุข ตอนนี้หลิงฮันกลับมาแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมต้องเสนอตัวมาช่วยเหลือหลิงฮัน
เขาเพิ่งจะบรรลุระดับห้วงจิตวิญญาณ จอมยุทธที่มีพลังแค่นี้ย่อมไม่อยู่ในสายตาของหลิงฮัน แต่หลิงฮันต้องการคนที่เขาไว้ใจได้ดังนั้นเขาจึงยอมพึงพาจิงหวู่จื้อ
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ศิลาน้อย โจมตีได้!”
อสูรศิลาคำรามและบุกโจมตีนิกายจันทราเหมันต์
ตอนนี้มันมีพลังระดับก้าวสู่เทวาแล้ว และด้วยการที่มันเป็นสิ่งมีชีวิตห้าธาตุ พลังต่อสู้ของมันจึงเทียบได้กับระดับก้าวสู่เทวาขั้นปลาย หนึ่งการโจมตีของมันทำให้ข่ายอาคมป้องกันของนิกายจันทราเหมันต์พลังทลายทันที
หลิงฮันเรียกหลิงตงออกมา หนี้แค้นกับอ้าวเฟิงต้องให้บิดาเขาเป็นคนชำระด้วยตัวเอง เพราะมันคือคว้ามเคียดแค้นที่ฝังอยู่ในใจของหลิงตงซิงมาเป็นเวลากว่ายี่สิบปี
ด้วยการอาละวาดของอสูรศิลา นิกายจันทราเหมันต์แทบจะยอมจำนนในทันที
โลกแห่งวรยุทธคือโลกที่ผู้อ่อนแอต้องยอมจำนนต่อผู้แข็งแกร่ง ในเมื่ออสูรศิลาทรงพลังเช่นนี้ นิกายจันทราเหมันต์จึงหมดไฟที่จะต่อต้านทันที
อ้าวเฟิงถูกนำตัวมา เขาถูกทำให้พิการโดยหลิงฮันดังนั้นระดับพลังจึงหยุดอยู่ที่บุปผาผลิบาน หลังจากเห็นหน้าหลิงฮัน เขาก็อดกล่าวออกมาอย่างเคียดแค้นไม่ได้ “ถ้าไม่ใช่เพราะนังผู้หญิงคนนั้นขอร้องข้าจนข้ายอมใจอ่อน ฆ่าคงสังหารเจ้าไปตั้งแต่เป็นทารกแล้ว!”
“โอหัง!” เหยียนเฮิงเหอตบหัวอ้าวเฟิงจนร่วงลงไปที่พื้น
หลิงฮันพยักหน้าไปทางตระกูลเยว่และทักทายเย่วไค่หยู่เล็กน้อย ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจะไปพูดคุยกับญาติพี่น้องของเขา
หลิงตงซิงยืนตัวตรงและกล่าว “อ้าวเฟิง! มาสู้กับข้า ถ้าเจ้าชนะข้าจะยอมปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อ!”
อ้าวเฟิงแสยะยิ้ม “ยี่สิบปีก่อนเจ้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ข้า ไม่ว่าจะตอนนี้หรือในอนาคตมันก็จะยังเป็นเช่นนั้น!”
“งั้นก็มาสู้กัน!” จิตวิญญาณต่อสู้ของหลิงตงซิงลุกโชนและถือดาบเอาไว้แน่น
ตอนที่ 750
ช่วยไม่ได้ที่เหยียนเฮิงเหอจะหันไปมองหลิงฮันเพื่อยืนยันให้แน่ชัด
หลิงฮันพยักหน้าและให้เขาทำเช่นนั้น
ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในปัจจุบัน แม้หลิงตงซิงจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เขาก็จะสามารถช่วยเหลือพ่อของเขาได้ทันเวลา
เหยียนเฮิงเหอปล่อยให้อ้าวเฟิงทำการต่อสู้และให้ทั้งสองคนสะสางความคับแค้นข้องใจเรื่องเมื่อยี่สิบปีก่อนให้จบลงที่นี่
หลิงตงซิงนำดาบกำเนิดมารออกมา
ใช่แล้ว หลิงฮันได้มอบอาวุธวิญญาณระดับสิบให้กับพ่อของเขา แม้ว่าหลิงตงซิงจะไม่สามารถเปิดใช้งานมันได้ แต่ยังไงอาวุธวิญญาณระดับสิบก็ยังเป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบอยู่ดี ด้วยความแหลมคมของมันเพียงพอที่จะตัดผ่านสวรรค์
แม้ว่าหลิงตงซิงจะมีพรสวรรค์อยู่บ้างในวิถียุทธ แต่เขาก็ไม่ใช่อัจฉริยะ แม้จะได้รับคำแนะนำจากหลิงฮัน แต่เขาสามารถสร้างได้แค่ปราณดาบเท่านั้น
แต่นี่ก็เพียงพอแล้ว ปราณดาบที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากดาบกำเนิดมาร พลังทำลายล้างของมันนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก
หลิงตงซิงและอ้าวเฟิงกำลังจะต่อสู้กัน
ความเกลียดชังที่สะสมมาเป็นเวลายี่สิบปีในที่สุดก็ถึงเวลาสะสาง และทั้งสองคนกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด
ในทางทฤษฎี อ้าวเฟิงเป็นฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าอย่างแน่นอน เขาทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานก่อนหลิงตงซิงมาเป็นเวลาหลายปี พลังของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานอยู่เหนือกว่าหลิงตงซิง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาสร้างปราณดาบได้เก้าเล่มแล้ว และเล่มที่สิบอยู่ไม่ใกล้เกินเอื้อม
ในทางตรงกันข้าม หลิงตงซิงสร้างปราณดาบได้แค่เล่มเดียวเท่านั้น แต่เขามีอาวุธวิญญาณระดับสิบ
ปราณดาบที่ถูกปล่อยออกมาจากดาบกำเนิดมารนั้นทรงพลังมาก มันได้บดขยี้ปราณดาบของอ้าวเฟิงได้อย่างสมบูรณ์เพียงแค่สัมผัส
ตู้ม ตู้ม ตู้ม หลิงตงซิงยังคงโจมตีออกไปไม่หยุด เขาไม่รู้ว่ามีเม็ดยาเท่าไหร่ แต่เขาไม่สามารถแสดงพลังได้อย่างเต็มที่ และตอนนี้เขากำลังดูดซับพวกมันอยู่ตลอดเวลา
นี่เหมือนกับว่าความแข็งแกร่งของเขาสามารถเสริมได้ตลอด แต่ในทางตรงกันข้ามอ้าวเฟิงที่รากฐานวิญญาณถูกทำลาย มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะดูดซับพลังปราณเปลี่ยนให้เป็นพลังปราณก่อเกิด เขาทำได้แค่พึ่งพาเม็ดยา
แต่ทว่ายิ่งใช้เม็ดยามากเท่าไหร่ประสิทธิภาพของมันก็จะยิ่งลดลง เม็ดยาเม็ดแรกอาจให้ประสิทธิภาพหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ากินเม็ดที่สองเข้าไปประสิทธิภาพของมันอาจลดลงเหลือเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ และจะลดลงเรื่อยๆ
ด้วยเหตุนี้ความแข็งแกร่งของเขาจะลดลงเรื่อยๆ แล้วเขาจะต่อสู้กับหลิงตงซิงได้อย่างไร?
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง อ้าวเฟิงเริ่มหมดหนทาง เขารู้ดีไม่ว่าจะเป็นหลิงตงซิงหรือหลิงฮันอีกฝ่ายก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะกัดฟันสู้และไม่ร้องขอความเมตตาจากอีกฝ่าย
เขาเลือกที่จะต่อสู้อย่างดุเดือดและใช้หินต่อสู้ทั้งหมดเพื่อให้หลิงตงซิงเผชิญหน้ากับเขาซึ่งหน้า
แต่น่าเสียดาย ถ้าไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อห้าปีก่อน หลิงตงซิงก็จะไม่ลังเลที่จะไปกับเขา แต่ตอนนี้เขามีภรรยาและลูก ยิ่งไปกว่านั้นคือเขามีหลานชายแล้ว แล้วใครอยากจะตายด้วยน้ำมือของศัตรูกัน?
เขาก็แค่ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการป้องกันและรอให้พลังของอ้าวเฟิงหมดลง และแน่นอนว่านั่นคือจุดจบของอ้าวเฟิง
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เส้นทางสู่ยมโลก!” อ้าวเฟิงรู้ว่านี่คือจุดจบของเขา เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงและดวงตาที่เต็มไปด้วยความดุดันราวกับอยากจะกินเลือดเนื้อ
ฉึก!
เขาถูกแทงอกด้วยดาบของหลิงตงซิง ดาบกำเนิดมารได้แทงทะลุหัวใจของเขาและพลังชีวิตก็ถูกทำลายจนสมบูรณ์ การโจมตีโดยตรงด้วยอาวุธวิญญาณระดับสิบแม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์ก็ไม่มีทางรอดชีวิต แล้วจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานจะนับว่าเป็นอันใดได้
ช่วยไม่ได้ที่หลิงตงซิงจะรู้สึกแปลก เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะได้แก้แค้นอ้าวเฟิงในชีวิตนี้เพราะเขารู้ว่าอ้าวเฟิงมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าเขามากแค่ไหน และอีกฝ่ายยังมีขุมพลังอย่างนิกายจันทราเหมันตร์อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นระยะห่างระหว่างพวกเขาสองคนนับวันมีแต่จะยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ
แต่ใครขอให้เขามีลูกชายที่ดีกันล่ะ?
หลิงฮันไม่คิดที่จะฆ่าล้างโคตรอีกฝ่าย บรรดาลูกหลานของอ้าวเฟิงได้รับการไว้ชีวิตจากเขา แน่นอนว่าเขาเป็นคนดีตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ล้ำเส้นเขา
ในเวลาเดียวกัน เขาก็เป็นคนที่ขี้เกียจอย่างยิ่งด้วย
เมื่อเขาพบว่าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนมีทักษะการเป็นผู้นำ เขาจึงให้นางเป็นคนดูแลเรื่องภายใน นั่นเป็นตระกูลราชวงศ์แห่งทะเลเหนือและทะเลเหนือนั้นกว้างใหญ่แค่ไหนมีนางเท่านั้นที่รู้ และนางมีความมั่นใจที่จะจัดการกับทะเลเหนือ แม้ว่าในความเป็นจริงความมั่นใจของนางจะน้อยนิดก็ตาม
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนยินดีที่จะยอมรับคำขอ ในความเห็นของนาง บังลังก์นี้จะต้องตกเป็นของลูกนางในอนาคต และเมื่อเผชิญหน้ากับคนนอก นางจะใช้เม็ดยาแปลงโฉมเพื่อไม่ให้คนของเผ่าใต้สมุทรหานางเจอ
สำหรับสงครามภายนอก เขาจะมอบหน้าที่ให้กับเหยียนเฮิงเหอ หลี่เฟิงหยู่เป็นแม่ทัพแล้วให้อสูรศิลาคอยสนับสนุน อย่างน้อยในภูมิภาคเหนือก็ไม่มีใครต่อกรกับพวกเขาได้แล้ว
เมื่อมีคนคอยจัดการเรื่องภายในและเรื่องภายนอกให้ เขายังต้องกังวลอะไรอีก?
ถ้าเขาต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แล้วเขาจะมีพี่น้องหลายคนไปทำไม?
ส่วนเขาทำหน้าที่สร้างความสัมพันธ์กับผู้คน เอาใจพวกเขาเล็กน้อยเพื่อทำให้จิตใจของพวกเขามั่นคง เพราะจุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อดินแดน แต่เป็นพลังแห่งจักรภพ ซึ่งเป็นหัวใจของผู้คนต่างหาก
ภายใต้เจตจำนงของหลิงฮัน จักรวรรดิต้าหลิงจะทำการคัดเลือกทหารโดยเสนอเงื่อนไขที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ในทางกลับกันมันจะช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้คนและให้โอกาสทุกคนในการฝึกฝนวรยุทธ อย่างน้อยพวกเขาก็จะสามารถบรรลุระดับหลอมรวมกายาขั้นสี่หรือขั้นห้าด้วยตัวเอง และนั่นจะเป็นการเสริมแกร่งให้กับพลังแห่งจักรภพ
ด้วยคำแนะนำของจูเสวี่ยนเอ๋อ หลิงฮันจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปที่นิกายจันทราครึ่งเสี้ยว
ถ้าพวกเขาได้รับนิกายจันทราครึ่งเสี้ยวของมาเป็นพวก มันไม่ได้หลีกเลี่ยงการต่อสู้ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้จูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกดีขึ้นด้วยเพราะที่นี่เป็นนิกายที่นางจากมา
หลิงฮันและจูเสวี่ยนเอ๋อนั้นขาดกันไม่ได้ และปล่อยให้เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนจัดการเรื่องภายใน หลิ่วอู๋ตงและหลีซื่อฉางยังคงอยู่กับพ่อของหลิงฮัน มีเพียงแค่ฮูหนิว เจ้ากระต่ายและหนูทองคำเท่านั้นที่ไปด้วย
หลิงเจี้ยนเสวี่ยนยังไม่หย่านม แน่นอนว่าลูกของเขาจะต้องอยู่กับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน แต่เพื่อเป็นการการันตีว่าลูกชายของเขาจะได้กินนมเพียงพอ หลิงฮันเลยออกล่าวัวหยกขาว เพราะสัตว์อสูรตัวนี้สามารถผลิตน้ำนมที่มีคุณค่าทางโภขนาการสูงได้
แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก นางมีหน้าอกเล็กและมีน้ำนมไม่เพียงพออย่างนั้นรึ?
จากนั้นหลิงฮันพาคนไม่กี่คนไปด้วยและมุ่งหน้าไปที่นิกายจันทราครึ่งเสี้ยว เจ็ดวันต่อมา พวกเขาก็มาถึงนิกายจันทราครึ่งเสี้ยว หลิงฮันได้แสดงความแข็งแกร่งของเขาออกมาให้เห็น และแน่นอนว่าทำให้นิกายจันทราครึ่งเสี้ยวต้องตกตะลึง
นอกจากนี้จูเสวี่ยนเอ๋ออาจจะเป็นภรรยาน้อยของหลิงฮันในอนาคต เมื่อมองเช่นนั้นสถานะของนิกายจันทราครึ่งเสี้ยวจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และแน่นอนว่าตัวตนระดับสูงของนิกายจันทราครึ่งเสี้ยวสามารถตัดสินใจได้อย่างทันที ถ้าขัดขืนพวกเขาจะต้องถูกฆ่าตาย แล้วยังจำเป็นต้องคิดอยู่อีกหรือ?
หลิงฮันไม่ได้กลับทันที แต่เขายังไปที่ภูเขาหนองกุยต่อ
มันเป็นสถานที่ที่อาจารย์ของจูเสวี่ยนเอ๋อได้รับบาดเจ็บ ซึ่งหลิงฮันรู้สึกสนใจมาก แต่ตอนนั้นเขายังไม่แข็งแกร่งพอเลยมองข้ามมันไปก่อน และตอนนี้เขาได้กลับมาพร้อมกับพลังที่เทียบได้กับจอมยุทธระดับสวรรค์
เจ็ดวันต่อมา พวกเขาก็เดินทางมาถึงภูเขาหนอนกุย ซึ่งมันตั้งอยู่สุดทางทิศตะวันตกของภูมิภาคเหนือ และมีกำแพงที่แยกภูมิภาคเหนือกับภูมิภาคตะวันออกอยู่เบื้องหน้า
ภูเขาหนองกุยและหุบเขาไม้ดำคือสถานที่ต้องห้าม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น