Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 735-738

ตอนที่ 735

 

“ฮึ่ม!” กลิ่นอายอันทรงพลังระเบิดออกพร้อมกับร่างเงาหนึ่งที่บินใกล้เข้ามา ความเร็วของเงานั่นน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่อำนาจของกระบี่ไร้เทียมทานกับดาบสังหารก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้


เงาที่ใกล้เข้ามาคือชายร่างสูงที่ร่างกายส่วนบนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศราวกับขุนเขาที่ทุกคนทำได้เพียงแหงนมอง


“อาวุโสกูหลิน!” ฉือชิ่วเหรินรีบคารวะทันที


ชายผู้นี้คือตัวตนระดับทลายมิติแน่นอน ไม่ใช่นั่นหากเขาเป็นเพียงจอมยุทธระดับสวรรค์เขาคงไม่อาจต่อต้านอำนาจของกระบี่ไร้เทียมทานและดาบสังหารได้


“ทักษะศักดิ์สิทธิ์ ผนึกพลิกปฐพีอยู่กับรุ่นเยาว์ผู้นี้?” กูหลินเอ่ยถาม เขาคือผู้อาวุโสของนิกายมังกรปฐพี แน่นอนว่าด้วยการที่เขาฝึกฝนทักษะกายาจนเชี่ยวชาญ แม้เขาจะไม่โคจรปราณก่อเกิดห่อหุ้มร่าง คลื่นทำลายจากกระบี่และใบดาบก็ไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้


“ขอตอบคำถามผู้อาวุโส เป็นเช่นนั้น!” ฉือชิ่วเหรินกล่าวตอบอย่างนอบน้อม


กูหลินพยักหน้าและเอื้อมฝ่ามือออกไปคว้าร่างของหลิงฮันทันที


ในฐานะตัวตนระดับทลายมิติ เขาไม่จำเป็นต้องทำตามกฎใดๆของโลกนี้ทั้งสิ้น


กับรุ่นเยาว์ที่มีพลังบ่มเพาะเพียงตัวอ่อนวิญญาณ เขาจะต้องมัวไปเสียเวลาเสวนากับอีกฝ่ายรึไง? ไม่ใช่ว่าการชิงเอามาเลยมันจะไวกว่ารึ?


หลิงฮันคิดจะหลบเข้าไปในหอคอยทมิฬ เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาในตอนนี้จะสามารถต่อกรกับตัวตนระดับทลายมิติ นอกเสียจากว่าดาบกำเนิดมารจะฟื้นฟูจิตวิญญาณของมันกลับมา แต่ถึงอย่างนั้นดาบกำเนิดมารก็ไม่มีการตอบสนองต่อหลิงฮันแม้แต่น้อย


“ผู้อาวุโสเช่นเจ้า กลับลงมือกับรุ่นเยาว์งั้นรึ?” เสียงอันเหยียดหยามดังขึ้น จากนั้นมือขนาดใหญ่ก็กดลงมาทับฝ่ามือจองกูหลิน


ฝ่ามือทั้งสองปลดปล่อยปราณก่อเกิดอันทรงพลังออกมาปะทะกันราวกับขุนเขาสองลูก อำนาจของสองฝ่ามือนั้นน่าสะพรึงกลัวจนเกือบจะทำให้ท้องฟ้าและดวงอาทิตย์ดับสลาย


ทันใดนั้นชายที่ร่างปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงก็ปรากฏตัว เขามีร่างที่ผอมบางและผมที่ยาวถึงบ่า เส้นผมแต่ละเส้นของเขาพันไปด้วยเปลวไฟ ดอกบัวเพลิงที่เบ่งบานอยู่ใต้เท้าของเขานั้นมันทำใครเขาดูราวกับเป็นจ้าวแห่งเพลิง


“ราชันเพลิงไพศาล!” กูหลินคำรามออกมา แววตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร “เจ้ากล้าขัดขวางข้า?”


“หากราชันผู้นี้จะทำอะไร ทำไมต้องเกรงใจเจ้า?” ราชันเพลิงไพศาลกล่าวอย่างไม่แยแส


“เหอะ ถ้าไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ก็ใส่หัวไปซะ!” กูหลินเค้นเสียงดูถูก


ราชันเพลิงไพศาลพาดมือไว้ด้านหลังและกล่าว “เจ้าไม่รู้รึไงว่าสถานที่แห่งนี้คือซากปรักหักของจักรวรรดิโบราณเมื่อหลายหมื่นปีก่อน? ทักษะศักดิ์สิทธิ์ผนึกพลิกปฐพีคือทักษะที่ราชันที่เจ็ดครอบครอง! ในเมื่อราชันผู้นี้มาอยู่ที่นี่แล้ว จะให้ข้ายอมปล่อยให้ทักษะศักดิ์สิทธิ์ตกไปอยู่ในมือของเจ้าโดยไม่ทำอะไร?”


กูหลินชะงัก ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมจักรวรรดิโบราณถึงแข็งแกร่งขนาดนี้ ในอดีตพวกเขากวาดล้างห้านิกายโบราณได้สำเร็จและเกือบจะทำลายมรดกสืบทอดของพวกเขาจนหมดสิ้น ถ้าไม่ใช่เพราะรากฐานของห้านิกายโบราณอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ห้านิกายโบราณของทวีปฮงเทียนคงจะหายไปตลอดกาลแล้ว


อะไรคือทักษะศักดิ์สิทธิ์?


มันคือทักษะของพระเจ้า!


และการที่ราชันเพลิงไพศาลไม่ความสนใจต่อทักษะศักดิ์สิทธิ์เลยมันหมายความอะไรกันน่ะรึ?


เมื่อคิดได้เช่นนี้ ร่างของกูหลินก็สั่นสะท้านทันที จักรวรรดิโบราณกำลังจะกลับมา! หรือว่าพวกเขาจะสร้างรุ่งโรจน์เหมือนกับเมื่อหมื่นปีก่อนได้อีกครั้ง? ไม่ใช่… เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป คราวนี้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก


หรือก็คือ แม้พวกเขาจะเปลี่ยนชื่อเป็นจักรวรรดิจันทราม่วง แต่อำนาจของพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอลงแม้แต่น้อย


กูหลินพยายามสงบจิตใจและกล่าว “ถ้าเจ้าไม่ต้องการทักษะนั่น แล้วจะมาขัดขวางทำไม?”


“ฮ่าๆๆ แม้ข้าจะไม่ต้องการ แต่ทักษะนี้ก็ไม่ใช่ทักษะที่จะมอบให้กับคนโง่เช่นเจ้า!” ราชันเพลิงไพศาลแสยะยิ้ม “นอกจากนั้นแล้วทักษะศักดิ์สิทธิ์นี้ก็ถูกรุ่นเยาว์ผู้นี้นำออกมาจากตึกตำราเอง หรือก็คือทักษะได้เลือกเขาแล้ว คนโง่เช่นเจ้ามีสิทธิ์อะไรจะครอบครองมัน?”


กูหลินรู้สึกโมโหมาก จะให้ตัวเขาที่ถูกด่าว่าเป็นคนโง่หลายต่อหลายครั้งทนไม่โกรธไหวงั้นรึ?


“งั้นข้าก็จะจัดการเจ้าก่อน!” กูหลินแสยะยิ้ม เบื้องหลังของเขาปรากฏเงาอสรพิษขนาดยักษ์พุ่งเข้าใส่ราชันเพลิงไพศาล


ราชันเพลิงไพศาลยื่นมือขวาออกไป ‘ตูม’ พยัคฆ์เพลิงขนาดเท่าภูเขาพุ่งเข้าปะทะอสรพิษ


‘ปัง’ อสรพิษยักษ์เผชิญหน้ากับพยัคฆ์เพลิง ชัยชนะถูกตัดสินภายในพริบตา อสรพิษยักษ์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มันถูกเหยียบอยู่ใต้เท้าพยัคฆ์เพลิง มันพยายามดิ้นรนอย่างไร้หนทาง


“ไม่มีประโยชน์” ราชันเพลิงไพศาลกล่าวอย่างเย็นชา


กูหลินเกรี้ยวกราด แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาสามารถทำได้ แปดราชันของจักรวรรดิจันทราม่วงไม่ได้เคยกวาดล้างห้านิกายโบราณสำเร็จเปล่าๆ พวกเขาแต่ละคนครอบครองพลังอำนาจที่ไร้พ่าย


“เหอๆ สมกับเป็นราชันเพลิงไพศาล ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!” ร่างอีกร่างหนึ่งปรากฏออกมาโดยไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจจากการปะทะกับระหว่างกระบี่ไร้เทียมทานและดาบสังหาร


เขาคือชายที่มีท่าทางราวกับสุภาพบุรุษ ร่างของเขาผอมบางและแบกดาบยาวเอาไว้ที่หลัง ภายในแววตาทั้งสองข้างของเขามีสัญลักษณ์เหมือนกับใบดาบ ซึ่งดูแปลกประหลาดอย่างมาก


“เจ้าคือสวะจากนิกายดาบสวรรค์?” ราชันเพลิงไพศาลชำเลืองมองลวกๆราวกับว่าเขาไม่เห็นจอมยุทธระดับทลายมิติสองคนข้างหน้าอยู่ในสายตา


“หม่าหยู่ถังจากนิกายดาบสวรรค์ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้พบกับราชันเพลิงไพศาล” ชายคนนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มและโค้งตัวเล็กน้อย


ราชันเพลิงไพศาลไม่สนใจ เขามองไปยังหลิงฮันและกล่าว “หนุ่มน้อย วาสนาของเจ้ายอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก ดาบเล่มนั้นถูกสร้างโดยจักรพรรดิของข้า แถมเจ้ายังได้ครอบครองทักษะศักดิ์สิทธิ์ของเฒ่าเจ็ดอีกด้วย ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีดวงชะตาเชื่อมโยงกับจักรวรรดิจันทราม่วงของเขา”


“รีบๆไปซะ สถานการณ์นี้ไม่ใช่สิ่งที่รุ่นเยาว์เช่นเจ้าสมควรเข้ามายุ่ง”


แน่นอนว่าหลิงฮันไม่ได้คิดจะแทรกแทรงการต่อสู้ของเหล่าตัวตนระดับทลายมิติอยู่แล้ว เขารีบนำดาบสังหารเก็บเข้าไปและพาจูเสวียนเอ๋อเผ่นหนีทันที ฮูหนิวและเจ้ากระต่ายก็ตามเขามาไม่ห่าง


“ข้าอณุญาติให้เจ้าไปแล้วรึ?” กูหลินเอื้อมมือออกไปคว้าร่างของหลิงฮันอีกครั้ง


‘ตูม’ เปลวเพลิงสยายลามไปทั่วบริเวณ กูหลินถูกบังคับให้ล่าถอย ราชันเพลิงไพศาลกล่าวออกมาอย่างองอาจ “ราชันผู้นี้เป็นคนบอกให้เขาไปเอง เจ้าที่กล้าขัดขวางพวกเขาหรือว่าอยากแส่หาความตาย?”


“เหอะ ตอนนี้ประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิโบราณของพวกเจ้ากลายเป็นเพียงเศษฝุ่นไปแล้ว มรดกโบราณของพวกเจ้าก็สมควรจะสูญหายไปอย่างสมบูรณ์แล้วเช่นกัน พวกมันไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนี้อีกต่อไป” กูหลินกล่าว


‘ตูม’ หม่าหยู่ถังเองก็ลงมือจู่โจมใส่หลิงฮัน คนที่ครอบครองทักษะศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจปล่อยให้เล็ดลอดไปได้


ราชันเพลิงไพศาลชกหมัดออกไปอีกครั้งเพื่อขัดขวางหม่าหยู่ถัง เขายิ้มอย่างองอาจและกล่าว “ข้ายังอยู่ตรงนี้แท้ๆ เจ้ายังคิดจะเมินเฉย?”


“มาร่วมมือกัน!” หม่าหยู่ถังและกูหลินหันมองหน้ากันและจู่โจมใส่ราชันเพลิงไพศาล


ราชันเพลิงไพศาลหัวเราะลั่นก่อนที่ร่างของเขาจะขยายเป็นมนุษย์เพลิงขนาดมหึมาสิบฟุต ทั่วทั้งร่างของเขามีอักขระสีทองเรียงรายกับราวกับโซ่อักขระ


“อำนาจแห่งกฎเกณฑ์!” ใบหน้าของหม่าหยู่ถังเปลี่ยนสีทันที

 

 

 


ตอนที่ 736

 

ด้วยการที่มีราชันเพลิงไพศาลคอยขัดขวางให้ หลิงฮันจึงสามารถหลบหนีได้อย่างง่ายดาย เขาหลบหนีมาถึงตำแหน่งบริเวณของสวนสมุนอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าเขาไม่คิดจะเสียเวลาสำรวจมันและข้ามผ่านไปเลย


ในขณะที่เขาหลบหนีอยู่ เขาก็ว่าในอนาคตเขาควรจะทำอย่างไรดี


การที่เขาสังหารหมาจุนและฉีหลีกั่วนั้นเขายังจะสามารถกลับไปยังสำนักสวรรค์ได้อยู่ดีรึ?


ทั้งสองคนนั้นไม่ใช่จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาทั่วๆไป พวกเขามีสถานเป็นถึงอาจารย์ของสำนักสวรรค์


แต่ที่ไม่น่าพอใจคือการกระทำที่คลุมเครือของสมาคมนักปรุงยา พวกเขาไม่ได้ประกาศออกมาว่าหลิงคือนักปรุงยาระดับสวรรค์คนที่สาม ไม่เช่นนั้นกับแค่สังหารจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาสองคน จะมีใครกล้ามากล่าวโทษเขา?


ที่สำคัญที่สุดก็คือการที่เขาครอบครองทักษะผนึกพลิกปฐพี เหล่าห้านิกายโบราณนั้นมีเหล่าปรมาจารย์อยู่มากมาย ใครจะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ลงมือลอบโจมตีเขาแบบกระทันหันและช่วงชิงทักษะไป


หลิงฮันย้อนกลับมาคิดว่าเหตุผลที่เขาเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์ก็เพราะต้องการหาแนวร่วม แต่ตอนนี้จักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงเป็นคนทำหน้าที่นี้แทนแล้ว


ดังนั้นคงจะดีเสียกว่าถ้าหากเขาปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่ชายทั้งสองของเขา


“งั้นข้าจะแสดงเป็นลูกศิษย์ที่ถูกขับไล่จากสำนักเอง” หลิงฮันยิ้ม อีกไม่นานเขาก็จะบรรลุระดับก้าวสู่เทวาแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะมีพลังต่อสู่ทัดเทียมกับจอมยุทธระดับสวรรค์และภายใต้ท้องฟ้านี้จะมีเพียงคนไม่กี่หยิบมือที่สามารถต่อต้านเขาได้


เขาตัดสินใจเข้าร่วมกองทัพกับราชันเพลิงไพศาลเพื่อที่จะกำจัดห้านิกายโบราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าอีกกี่สิบปีหรือร้อยปีอันใกล้นี้ทวีปฮงเทียนจะถูกหลอมกลายเป็นเม็ดยา


ต้องรีบกำจัดห้านิกายโบราณทิ้งให้เร็วเพื่อไม่ให้มีใครเป็นตัวขัดขวางการเปิดสวรรค์


เมื่อตัดสินใจได้แล้วหลิงฮันก็ไม่ลังเล


แน่นอนว่าจูเสวียนเอ๋อ ฮูหนิวและเจ้ากระต่ายนั้นไม่มีปัญหา แต่สำหรับเหยียนเฮิงเหอหลี่เฟิงหยู่นั้น หลิงฮันไม่คิดจะพาพวกเขาไปด้วยและให้พวกเขากลับไปยังสำนักสวรรค์ เมื่อเขาไต่เต้าทะยานไปถึงจุดสูงสุดได้เขาถึงจะพาพวกเขากลับมา


เขานำจูเสวียนเอ๋อและเจ้ากระต่ายเข้าไปในหอคอยทมิฬ เขาโคจรทักษะอัสนีบาตเก้าทิวาออกเดินทางอย่างรวดเร็วโดยมีฮูหนิวที่กลายร่างเป็นสายฟ้าตามมาติดๆ


นอกจากนั้นหนูทองคำก็ยังถูกหลิงฮันพาไปไหนมาไหนด้วย บางครั้งมันก็ค้นพบตำแหน่งของแร่สมบัติ แม้จะเสียเวลาเล็กน้อยแต่หลิงฮันก็ไปสำเร็จและเก็บแร่เหล็กเหล่านั้นมา


เจ็ดมันต่อมาในที่สุดเขาก็ออกจากเขตแดนลี้ลับ เขาหยุดพักอยู่ใกล้ๆกองทัพของราชันเพลิงไพศาล เพื่อรอให้ราชันเพลิงไพศาลปรากฏตัว


แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่รอเปล่าๆให้เสียเวลา เขาเข้าไปในหอคอยทมิฬและเริ่มฝึกฝนผนึกพลิกปฐพี


จากที่ราชันเพลิงไพศาลกล่าว ดูเหมือนแปดราชันจะครอบครองทักษะศักดิ์สิทธิ์กันทุกคน แถมพวกเขายังฝึกฝนจนบรรลุถึงขั้นที่สามารถถ่ายทอดทักษะศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้อื่นได้แล้ว ทักษะอัสนีบาตเก้าทิวาก็เป็นหนึ่งในทักษะที่พวกเขาทิ้งตกทอดเอาไว้


แต่ที่หลิงฮันประหลาดใจก็คือทำไมแปดราชันถึงได้เรียนรู้ทักษะจากแต่ละคนไปเลยล่ะ ถ้าราชันแต่ละคนเชี่ยวชาญทักษะศักดิ์สิทธิ์ถึงแปดทักษะล่ะก็ พวกเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน?


หลิงฮันพึมพำ เขาไม่เคยเห็นแปดราชันใช้พลังเต็มที่มาก่อน แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าแปดราชันจะครอบครองทักษะศักดิ์สิทธิ์เพียงทักษะเดียว?


“แปดทักษะศักดิ์สิทธิ์งั้นเรอะ แค่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้ว!” หลิงฮันยิ้ม แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้วบางทีทักษะศักดิ์สิทธิ์อาจจะไม่สามารถใช้ออกได้พร้อมกัน อย่างเช่นเขาที่ฝึกฝนทักษะศักดิ์สิทธิ์หลายทักษะแต่เขาก็ไม่สามารถใช้พวกมันออกมาได้พร้อมกัน แต่ต้องแบ่งพลังปราณออกเป็นสองส่วนซึ่งทำให้เสียอย่างมาก


“เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง ข้าจะเรียนรู้ทักษะศักดิ์สิทธิ์ทักษะใหม่นี่ก่อนแล้วค่อยมาดูว่ามันเหมาะกับข้าหรือไม่”


หลิงฮันนำหยกลูกปัดสัมผัสกับหน้าผาก เมื่อทักษะศักดิ์สิทธิ์ผ่านเข้าไปในจิตสำนึกของเขา ร่างๆหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ร่างของเขาเป็นเพียงเงาเบลอๆ ที่มือของเขาปรากฏผนึกบางอย่างเห็นได้ชัดว่าเขากำลังโคจรทักษะผนึกพลิกปฐพีอยู่


มือของชายคนนั้นถูกประดับเอาไว้ด้วยเส้นอักขระมากมาย มันเป็นภาพที่เห็นแล้วงดงามเป็นอย่างยิ่ง


‘ตูม ตูม ตูม’ เมื่อฝ่ามือของเขาทาบออกไป ผืนปฐพีก็ถูกบดขยี้ทันที


ผนึกพลิกปฐพี… หากฝึกฝนได้สำเร็จ ผู้ใช้ทำสามารถทำลายปฐพีให้สิ้นซากได้


หลังจากร่างเงานั่นวาดทาวงท่าเสร็จ ข้อความบางอย่างก็ยังหลงเหลือเอาไว้ มันคือข้อความที่สื่อว่าทักษะผนึกพลิกปฐพีนั้นยังไม่สมบูรณ์ ท่วงท่าของทักษะมีเพียงครึ่งเดียว ทักษะที่สมบูรณ์จะถูกเรียกว่าทักษะผนึกพลิกสวรรค์และปฐพี หากใช้ออกพร้อมกันสองฝ่ามือ พลังทำลายล้างของมันจะกว้างล้างได้แม้แต่สวรรค์และปฐพี


หลิงฮันอดตกตะลึงไม่ได้เลยว่าทักษะผนึกพลิกปฐพีช่างทรงพลังยิ่งนัก หากใช้ออกด้วยมือทั้งสองถ้า พลังทำลายล้างของมันย่อมไม่มีใครเทียบเคียง


เขาเริ่มบ่มเพาะมันทันที


แม้จะด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของเขา การฝึกฝนก็ยังเป็นไปอย่างล่าช้า เพราะอย่างไรมันก็เป็นถึงทักษะศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงไปด้วยกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพี โชคดีที่พรสวรรค์ของเขานั้นเข้าขั้นสัตว์ประหลาด แม้จะไม่มีใครคอยชี้น้ำเขาก็เริ่มเข้าใจถึงหลักการของทักษะมากขึ้นเรื่อยๆ


เขาพึมพำ ‘โอ้’ ‘อืม’ ‘อ่า’ ออกมาไม่หยุด


เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งเดือน ในที่เขาสุดก็ประสบความสำเร็จเล็กน้อยและสามารถโคจรทักษะบนฝ่ามือได้


เขาใช้เจ้ากระต่ายเป็นคู่ประลอง เมื่อโคจรทักษะผนึกพลิกปฐพี ฝ่ามือของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยอักขระที่ส่องสว่าง เจ้ากระต่ายอยากจะหนีจากหลิงฮันไปให้พ้นๆแต่ฮูหนิวก็จ้องมันเอาไว้เขม็ง


เมื่อเทียบหลิงฮันกับฮูหนิว มันเลือกที่จะปะทะกับหลิงฮันดีกว่า นี่แสดงให้เห็นว่ามันกลัวฟันของฮูหนิวขนาดไหน


หลังจากปะทะกับหลิงฮัน เจ้ากระต่ายกรีดร้องออกมาและรีบขอยอมแพ้ มันขอปฏิเสธที่จะต่อสู้อีกครั้ง


หลิงฮันไม่บังคับมันและลองคำนวณพลังอำนาจของทักษะศักดิ์สิทธิ์นี้อย่างคร่าวๆ


ทรงพลัง!


มันน่าจะเป็นทักษะที่ทรงพลังกว่าศรฆ่ามังกรทะลวงดาราเสียอีก เพราะศรฆ่ามังกรทะลวงดารานั้นเป็นทักษะโจมตีระยะไกล แต่ทักษะผนึกพลิกปฐพีนั้นสามารถใช้โจมตีได้ไม่ว่าจะระยะไหน และถ้าหากใช้ทักษะนี้ผสานกับกายหยาบที่แข็งแกร่งของเขา อำนาจของมันจะต้องน่าสะพรึงกลัวแน่นอน


“ถ้าข้าใช้ทักษะดาบในมือขวาแล้วใช้ทักษะผนึกพลิกปฐพีในมือซ้าย ไม่ใช่ว่ามันจะทรงพลังสุดๆไปเลยรึ?”


ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวหลิงฮัน การจะทำแบบนั้นใช่ว่าจะเป็นไม่ได้ เพราะแต่เดิมทักษะผนึกพลิกสวรรค์และปฐพีก็เป็นทักษะที่ต้องใช้มือสองมือ หนึ่งมือชูขึ้นฟ้าและอีกมือหนึ่งคว่ำลงใส่ผืนปฐพี ซึ่งตอนนี้เขาฝึกฝนได้เพียงทักษะผนึกพลิกปฐพี ถ้าเช่นนั้นทำไมเขาไม่ใช้อีกมือที่ต้องชูขึ้นฟ้าไปใช้กับทักษะอื่นล่ะ?


หลิงฮันพึมพำ “ถึงแม้การใช้ทักษะนี้หนึ่งมือจะไม่ทรงพลังเท่ากับใช้สองมือ แต่มันก็สามารถทดแทนด้วยการใช้มือที่ว่างออกกระบวนท่าดาบ หมัด หรือไม่ก็ฝ่ามือ”


“แต่การจะทำแบบนั้นข้าจำเป็นต้องแบ่งหนึ่งจิตให้เป็นสองส่วน”

 

 

 


ตอนที่ 737

 

การเพ่งจิตเพียงจิตเดียวไม่ใช่เรื่องยากสำหรับจอมยุทธ แต่การจะแบ่งจิตให้เป็นสองส่วนนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก


หลิงฮันเริ่มโคจรทักษะผนึกพลิกปฐพีบนหนึ่งฝ่ามือ


สิ่งที่หลิงฮันต้องทำก็คือการควบแน่นอักขระที่โดยปกติแล้วต้องใช้ออกโดยสองมือให้มาอยู่ในมือเดียว


เขาทำการควบแน่นอักขระอย่างระมัดระวัง วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้สึกตัวอีกเดือนหนึ่งก็ผ่านไปและหลิงฮันก็เผยรอยยิ้มออกมา เมื่อมือซ้ายของเขาแบออก รูปแบบอักขระก็ถูกทักทอผสานกันอย่างหนาแน่น สิ่งที่แปลกประหลาดคือรูปแบบอักขระที่อัดแน่นกันจนสั่นสะท้าน ทักษะผนึกพลิกปฐพีจากสองมือได้ผสานกันมาอยู่ในมือเดียวแล้ว


“อืม ถึงแม้ทักษะศักดิ์สิทธิ์แต่ละทักษะจะต่างกัน แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าพวกมันมีบางอย่างคล้ายกัน?” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ


“นั่นคืออำนาจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์” หอคอยทมิฬน้อยโผล่ออกมา


“อำนาจแห่งกฎเกณฑ์” หลิงฮันพึมพำ หอคอยทมิฬเคยกล่าวถึงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์มานานแล้ว สิ่งที่เขารู้มีเพียงแค่ว่ามันคืออำนาจที่ทรงพลัง แต่ไม่รู้รายละเอียดมากนัก หลิงฮันกล่าว “ช่วยอธิบายหน่อย”


“ไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้งทำเช่นนั้น” หอคอยน้อยกล่าวอย่างอวดดี “แต่ว่าทักษะศักดิ์สิทธิ์งั้นๆเหล่านี้ก็สามาถช่วยให้เจ้าสัมผัสถึงปลายขอบของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้บ้าง ดังนั้นหากเจ้าจะฝึกฝนพวกมันก็ไม่เสียหาย”


หลิงฮันรู้สึกเป็นทุกข์ หอคอยทมิฬน้อยเป็นจิตวิญญาณที่อวดดีมาก มันไม่ปฏิบัติกับเขาในฐานะเจ้านายแม้แต่นิดเดียว ซักวันหนึ่งเขาจะต้องเอาคือมันอย่างแน่นอน


หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬและพบว่ากองทัพของราชันเพลิงไพศาลได้หายกันไปหมดแล้ว ธงของจักรวรรดิจันทราม่วงเองก็ถูกประดับเอาไว้ที่เมืองใกล้ๆนี้ เห็นได้ชัดว่าราชันเพลิงไพศาลได้ยึดครองเมืองนี้ได้สำเร็จและเคลื่อนที่ไปขยายอาณาเขตที่อื่นต่อแล้ว


หลิงฮันนำทุกคนออกมาจากหอคอยทมิฬและมุ่งหน้าไปยังเมือง เขาต้องการจะตรวจสอบถึงสถานการณ์ปัจจุบัน


ดูเหมือนว่าเมื่อครึ่งเดือนก่อนราชันเพลิงไพศาลกับกองทัพขนาดใหญ่ได้มาที่เมืองนี้ และด้วยอำนาจของราชันเพลิงไพศาล ปรมาจารย์ที่ถูกส่งมาดูแลเมืองก็พ่ายแพ้ย่อยยับ กองทัพของห้านิกายโบราณถูกบังคับให้ถอยทัพอีกครั้ง


“รับสมัครคนเข้าร่วม! รับสมัครคนเข้าร่วม!” ทหารของจักรวรรดิจันทราม่วงตะโกนลั่นกลางถนน “เมื่อพวกเจ้ามาเข้าร่วมกับเรา พวกเจ้าจะมีโอกาสได้ฝึกฝนทักษะบ่มเพาะและทักษะยุทธระดับสูง ใครที่ต้องการเป็นปรมาจารย์ยุทธไม่ควรพลาดโอกาสนี้”


หลิงฮันอดหัวเราะไม่ได้ หม่าตั้วเปาเป็นคนหลอกล่อเก่ง ซึ่งลูกน้องของเขาก็ไม่ต่างกัน ข้อเสนอที่เขากล่าวมานั้นไม่อาจห้ามใจไหว เพราะทักษะบ่มเพาะและทักษะยุทธนั้นเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดอย่างยิ่ง


ที่จอมยุทธหลายคนติดคอขวดในระดับพลังบ่มเพาะเป็นเพราะพวกเขามีพรสวรรค์ไม่พอ ไม่มีทรัพยากรบ่มเพาะ หรือไม่ก็ขาดทักษะบ่มเพาะระดับสูง!


หลายคนมีทักษะบ่มเพาะที่สามารถช่วยให้ทะลวงผ่านไปถึงระดับก้าวสู่เทวา แต่ถ้าพวกเขาต้องการบรรลุระดับสวรรค์ล่ะ? ถึงแม้ในโลกนี้จะมีสมุนไพรที่ช่วยให้พลังบ่มเพาะของจอมยุทธทะยานขึ้นสูงเสียดฟฟ้า แต่จำนวนของสมุนไพรเหล่านั้นก็มีน้อยเกินไป การจะได้ครอบครองพวกมันจำเป็นต้องมีโชคชะตาที่ฝืนสวรรค์


เพียงแต่โชคชะตาของคนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้พิเศษอะไร และทักษะบ่มเพาะระดับสูงก็จะถูกขุมอำนาจชั้นสูงเก็บเอาไว้เป็นสมบัติ หากไม่ใช่ผู้สืบทอดของแต่ละขุมอำนาจแล้วอยากได้รับทักษะบ่มเพาะระดับสูงน่ะรึ? ยาก!


เหตุผลที่จอมยุทธเสี่ยงชีวิตเข้าไปในโบราณสถานต่างๆ ไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการทักษะบ่มเพาะระดับสูงหรอกรึ?


ตอนนี้จักรวรรดิจันทราม่วงกำลังรับคนด้วยข้อเสนอทักษะบ่มเพาะและทักษะยุทธระดับสูง แน่นอนว่ามันย่อมดึงดูดคนได้มากแน่ๆ


หลิงฮันต้องการจะรู้สถานการณ์ที่แท้จริงของจักรวรรดิจันทราม่วง เขาเอ่ยขึ้น “ไปกันเถอะ พวกเราจะไปสมัครเข้ากองทัพกัน”


กลุ่มของพวกเขาเดินเข้าไปและหลิงฉันกล่าวขึ้น “พี่ชาย หากพวกเราสมัครเข้ากองทัพ พวกเราจะได้ฝึกฝนทักษะบ่มเพาะระดับสูงจริงๆรึ?” ทหารกองทัพกล่าว


“แน่นอน ตราบใดที่เจ้าสร้างความดีความชอบให้กับกองทัพ!”


“โอ้ ต้องทำอย่างไรล่ะ?”


ตอนนี้มีผู้คนอยู่รอบข้างมากมาย ทหารคนนั้นจึงกระแอมเบาๆและกล่าวด้วยเสียงดัง “ทำอย่างไรถึงจะได้รับทักษะบ่มเพาะน่ะรึ? ข้าได้กล่าวเรื่องนี้ไปหลายครั้งแล้ว แต่ก็มีคนใหม่ๆเข้ามาถามข้าเรื่อยๆ เพราะงั้นข้าจะอธิบายอีกครั้งเอง ผู้คนที่ไม่เคยได้ยินจะได้เข้าใจชัดๆ”


“ในกองทัพจันทราม่วงของเรา ทหารจะแบ่งออกเป็นห้าชนชั้น ราชัน แม่ทัพ ทหารกองทัพ ผู้นำหน่วย ทหารทั่วไป เมื่อพวกเจ้าเข้าร่วมกับกองทัพ พวกเจ้าจะถูกบรรจุเป็นทหารทั่วไป ทหารทั่วไปสามารถสามารถฝึกฝนทักษะบ่มเพราะระดับหก หรือก็คือระดับบุปผาผลิบาน”


‘โอ้ว’ ทุกคนอุทานออกมา ผู้คนส่วนใหญ่เพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะตกใจ


แม้ที่นี่จะเป็นภูมิภาคกลางที่เป็นอาณาเขตอันรุ่งโรจน์ของการฝึกยุทธ แต่จอมยุมธระดับบุปผาผลิบานก็ใช่ว่าจะเป็นตัวตนธรรมดา ด้วยอายุขัยที่เพิ่มมาสองร้อยปี ไม่ว่าไปภูมิภาคไหนทุกคนก็จะเรียกพวกเขาว่าปรมาจารย์


ทหารคนนั้นยิ้มและกล่าว “แต่การเป็นทหารก็ใช่ว่าจะง่ายดาย ย่างน้อยพวกเจ้าต้องมีพลังบ่มเพาะระดับห้วงจิตวิญญาณเสียก่อน! หลังจากเข้าร่วมเป็นทหารแล้ว ในศึกสงครามแต่ละครั้งหรือเมื่อมีสำเร็จภารกิจพวกเจ้าก็จะได้รับแต้มทหาร เมื่อใดที่จำแต้มทหารถึงแต้มที่กำหนดไว้ พวกเจ้าก็จะได้เลื่อนขั้นรวมถึงได้ได้ฝึกฝนทักษะบ่มเพาะระดับก้าวสู่เทวาและทักษะยุทธระดับปฐพี!”


“แน่นอนว่าหากสะสมแต้มหทารจนเลื่อนขั้นต่อไปเรื่อยๆจนถึงราชัน พวกเจ้าจะได้ฝึกฝนทักษะทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ แม้แต่ทักษะศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถฝึกฝนได้!”


ทักษะศักดิ์สิทธิ์!


ทุกคนตกตะลึงจนหนังศีรษะชา ถึงแม้หลายคนจะไม่รู้ว่าทักษะศักดิ์สิทธิ์ดีอย่างไร แต่หากมีคำว่าศักดิ์สิทธิ์มันจะไม่ยอดเยี่ยมได้อย่างไร?


“ข้าเข้าร่วมด้วย! ข้าเข้าร่วมด้วย!” ทุกคนยกมือขึ้นสูง


ทหารคนนั้นหัวเราะและมอบกระดาษให้กับทุกคนซึ่งบนหัวกระดาษมีคำว่า ‘สมัคร’ เขียนเอาไว้ “นำกระดาษแผ่นนี้ไปยังแคมป์ฝึกฝนตรงฝั่งทิศเหนือของเมือง เมื่อผ่านการทดสอบและกลายเป็นทหารแล้ว พวกเจ้าต้องฝึกฝนให้หนัก ไม่เช่นนั้นหากไปลงพื้นที่สงครามสิ่งที่รอพวกเจ้าอยู่มีเพียงความตาย”


หลิงฮันเองก็รับใบสมัครมาสองใบ หนึ่งใบสำหรับเขาและอีกใบสำหรับจูเสวียนเอ๋อ เขาเอ่ยขึ้นมา “พวกเราก็ไปเล่นสนุกกันเถอะ”


พวกเขามุ่งหน้าไปยังทิศเหนือของเมือง หลังจากออกประตูเมืองแล้ว บริเวณที่ไม่ไกลออกไปมากมีภูขาลูกหนึ่งปรากฏอยู่ในสายตา ที่ใต้ตีนเขาแคมป์กองทัพตั้งอยู่ ที่แคมป์มีธงของจักรวรรดิจันทราม่วงประดับเอาไว้และมีผู้คนมากมายแออัดกันอยู่ตรงทางเข้า

 

 

 


ตอนที่ 738

 

หากเจ้าต้องการเข้าค่ายทหาร เจ้าจะต้องพิสูจณ์ว่าเป็นจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ ถ้าเจ้ายังไม่สามารถบรรลุระดับนี้จะไม่ได้รับโอกาสเข้าร่วมการประเมิน


หลิงฮันเดินไปข้างหน้าและพบว่ามีจอมยุทธที่แข็งแกร่งเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มาเข้าร่วมกองทัพ


พวกเขามีทั้งหมดสี่คน คนที่แก่สุดดูมีอายุประมาณหกสิบปีที่เป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ ถัดไปคือชายวัยกลางคนที่เป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณเช่นกัน ถัดไปคือชายหนุ่มที่ดูจากรูปลักษณ์แล้วน่าจะมีอายุเกือบสามสิบปี เขาเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด ระดับพลังของเขาคือระดับบุปผาผลิบานเท่านั้น ส่วนคนสุดท้ายเป็นหญิงสาวรูปงามที่เป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานเช่นกัน


เมื่อเทียบกับคนที่เหลือแล้วคนที่ทะลวงผ่านระดับตัวห้วงจิตวิญญาณและระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแล้ว ทำให้พวกเขาทั้งสี่คนโดดเด่นขึ้นมาทันที


หลิงฮันมีเทคนิคลับพิเศษทำให้ระดับพลังของเขาไม่เด่นชัด แต่จูเสวี่ยนเอ๋อที่อยู่จุดสูงสุดของระดับบุปผาผลิบานทำให้เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คน โชคดีที่นางแปลงโฉมทำให้หน้าตาดูธรรมดาไม่เช่นนั้นผู้คนที่อยู่ที่นี่จะต้องบ้าคลั่งเพราะเสน่ห์ของนาง


บรรดาผู้คนที่มาถึงต่างเข้าไปในค่ายทหารทีละคนทีละคน หลังจากที่หลิงฮันปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาเล็กน้อย แน่นอนว่าก็เพียงพอที่จะให้เขาเข้าไปข้างในได้แล้ว ส่วนฮูหนิวนั่งอยู่ในห้องโถงชั่วคราวกับเจ้ากระต่ายและเริ่มกินและดื่มอย่างสนุกสนาน


หลังจากนั้นได้มีชายวัยกลางคนก้าวออกมา ระดับพลังของเขาคือระดับตัวอ่อนวิญญาณ ซึ่งได้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่หนาวเย็นออกมา ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเขาผ่านเรื่องโหดร้ายอะไรมาบ้าง มันทำให้หัวใจของทุกคนรู้สึกหนาวเย็นและขาไร้เรี่ยวแรง


“พวกข้าไม่ต้องการพวกไร้ประโยชน์ในกองทัพจักรวรรดิม่วง!” เขาเริ่มกล่าว “ข้ามีนามว่าเซียวหย่งเหนียนเป็นอาจารย์ของพวกเจ้า พวกเจ้ามีเวลาสองเดือนที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าทำไมข้าถึงต้องรับพวกเจ้าเป็นทหาร!”


“ประตูของค่ายทหารอยู่ตรงนั้น ผู้ที่ไร้ความสามารถ…ข้าจะขับไล่ออกไปทันที!”


“บอกข้ามา พวกเจ้าเป็นพวกไร้ประโยชน์หรือไม่?”


ทุกคนรู้สึกโกรธอยู่ในใจ แม้ว่าที่นี่จะมีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานอยู่ไม่กี่คน แต่อย่างน้อยก็มีจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณและระดับแก่นแท้จิตวิญญาณอยู่หลายคน ถ้าพวกเขาไร้ประโยชน์ เช่นนั้นมาตฐานของเขาคงจะสูงเป็นอย่างมาก


“ไม่!” ทุกคนส่งเสียงเกือบจะพร้อมเพรียงกัน


“ดีมาก ข้าเองก็หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ไร้ประโยชน์ เพราะคนที่ข้าเกลียดที่สุดคือคนที่ไร้ประโยชน์!” เซียวหย่งเหนียนกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่เบื้องหน้า “ที่นี่น่าจะมีคนทั้งหมดห้าร้อยสามสิบคน แต่ในความคิดเห็นของข้าจะมีเพียงแค่ห้าสิบคนเท่านั้นที่ผ่าน จากนี้เป็นต้นไปข้าจะฝึกฝนพวกเจ้าอย่างหนัก ในสายตาของข้าไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง คนแก่หรือเด็กก็ไม่แตกต่างกัน มีเพียงแค่คนที่มีคุณสมบัติบัติเพียงพอกับคนที่ไร้ประโยชน์เท่านั้น ใครที่จะเปลี่ยนใจตั้งแต่ตอนนี้ข้าอนุญาตให้ออกไปจากที่นี่ได้ทันที!”


ในขณะนั้น มีบางคนที่ต้องการจะจากไป แต่เมื่อได้ยินคำพูดพูดยั่วยุ ทำให้พวกเขาเลือกที่จะสู้ ถ้าพวกเขาจากไปตอนนี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นพวกไร้ประโยชน์หรอกหรือ?


ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่เดินจากไป


“ยอดเยี่ยม ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่อยากกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าสามารถตัดสินใจเอาเองได้ แต่เป็นข้า!”  เซียวหย่งเหนียนแสยะยิ้ม “ในฐานะทหาร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเชื่อฟังคำสั่ง แม้ว่าเบื้องหน้าจะเป็นภูเขาไฟ ถ้าถูกสั่งให้เดินไปข้างหน้า พวกเจ้าก็ไม่สามารถเดินถอยหลังได้!”


“เอาล่ะ พวกเจ้าจงทำท่าม้านั่ง!”


ท่าม้านั่ง?


นี่เป็นการฝึกที่ง่ายเกินไปแล้ว ใครจะไม่เคยผ่านระดับหลอมกายามาก่อน? แล้วใครจะไม่เคยผ่านท่าม้านั่ง?


คนส่วนใหญ่รีบทำท่าม้านั่งทันที แต่ก็มีหลายคนแสดงสีหน้าไม่พอใจ


“ออกไป!” เซียวหย่งเหนียนโยนผู้คนที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งออกมา พวกเขาถูกโยนออกไปด้านนอกประตูและล้มลงกับพื้นเหมือนกับสุนัข


ทุกคนเกิดความรู้สึกบางอย่างลึกอยู่ในใจ นี่คือจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ!


ตุบ ตุบ ตุบ ทหารสิบคนวิ่งออกมาจากค่ายทหาร ระดับพลังของพวกเขาคือระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ พวกเขานำรถม้าออกมาและมีกระดาษจำนวนมากอยู่ด้านใน


“พวกเจ้าคิดว่าท่าม้านั่งมันง่ายอย่างนั้นรึ?” เซียวหย่งเหนียนยิ้มกริ่มและโบกมือ ทหารทั้งสิบคนล้อมเป็นวงกลมอยู่ด้านหลังทุกคนทันทีและเริ่มแปะกระดาษบนหลังผู้คน


“ทำไมถึงหนักขนาดนี้!” บรรดาผู้คนที่ถูกกระดาษแปะต่างส่งเสียงอุทานออกมา และมีหลายคนล้มลงกับพื้นทันที


“นี่คือยันต์แรงโน้มถ่วง แต่ละคนจะได้รับยันต์ที่แตกต่างกันตามระดับพลังเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเจ้าจะสามารถรับมือกับมันได้” เซียวหย่งเหนียนกล่าวอย่างเย็นชา “ลุกขึ้นมาและยืนต่อซะ ภายในสามลมหายใจ ถ้ายังมีคนลุกขึ้นมาไม่ได้ ข้าจะโยนคนผู้นั้นออกไปทันที!”


ผู้คนที่นั่งลงกับพื้นรีบลุกขึ้นทันที บางคนกลับมาอยู่ในท่านั่งม้าได้อย่างมั่นคง แต่ก็มีบางคนล้มลงกับพื้นอีกครั้ง หลังจากผ่านไปสามลมหายใจ เซียวหย่งเหนียนก็เริ่มโยนที่ไร้คุณสมบัติออกจากค่ายทหาร


หลิงฮันจ้องมองเขาและพยักหน้าอยู่ในใจ ความแข็งแกร่งของจอมยุทธแต่ละคนนั้นแข็งแกร่งมาก แต่การที่จะเป็นทหารมันไม่มีประโยชน์ที่จะต่อสู้เพียงลำพัง


ถ้าจักรวรรดิจันทราม่วงล้มเหลวในการกำจัดห้านิกายโบราณหรือเปิดสวรรค์ภาระจะตกมาที่เขา ดังนั้น เขาจึงให้ความสนใจกับการฝึกทหาร และการร่วมมือกับจักรวรรดิจันทราม่วงเป็นหนทางที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


ทุกคนแปะยันต์อาคมทีละคนทีละคน เพราะหลิงฮันแสดงพลังแค่ระดับบุปผาผลิบาน และไม่มีใครในที่แห่งนี้สามารถมองเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา เขาเลยได้แปะยันต์อาคมระดับบุปผาผลิบาน แต่น้ำหนักของมันจะไปทำอะไรเขาได้?


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เขาจะแปะยันต์อาคมแรงโน้มถ่วงระดับตัวอ่อนวิญญาณ มันก็ไม่แตกต่างกันด้วยกายหยาบของเขา


แต่ผู้คนที่ไม่มีกายหยาบแข็งแกร่งแบบเขา พวกเขาจะต้องโคจรพลังปราณเพื่อที่จะยืนหยัด


นี่ไม่ใช่การฝึกปล่อยหมัด แต่เป็นการฝึกฝนที่จะต้องปลดปล่อยพลังปราณออกมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น จอมยุทธส่วนใหญ่ไม่ได้ฝึกฝนร่างกายถ้าเวลาผ่านไปหนึ่งหรือสองชั่วโมงพวกเขายังคงยืนไหว แต่ถ้าเวลาผ่านไปนานกว่านั้น พลังปราณของพวกเขาจะเหือดแห้งและร่างกายจะรู้สึกอ่อนล้า


และปล่อยให้ทุกคนหนังศีรษะด้านชา พวกเขาจะต้องฝึกฝนอย่างนี้ตลอดทั้งวันทั้งคืน!


ในระหว่างการฝึกฝน พวกเขาไม่อนุญาตให้พัก ดื่มน้ำ และกิน เพียงแค่ผ่านไปครึ่งวันก็มีคนสิบเจ็ดคนยืนหยัดไม่ไหวและถูกโยนออกไปจากค่ายทหาร และในช่วงพลบค่ำก็มีคนถูกกำจัดออกไปทั้งหมดสี่สิบเก้าคน


เพียงแค่วันเดียวผู้คนเกือบหนึ่งในสิบก็ถูกกำจัดออกไปแล้ว


หลิงฮันรู้ว่าเขาเป็นอัจฉริยะในวิถียุทธและศาสตร์ปรุงยา แต่เขายังคงเป็นแค่กระดาษขาวในเรื่องกองทัพและทหาร เขาจะต้องซึบซับประสบการณ์ อันที่จริงแล้วมันเป็นประโยชน์อย่างมากในการสร้างแคว้น พลังจักรภพสามารถยกระดับพลังต่อสู้ได้ และมันยังสามารถช่วยให้ระดับพลังก้าวหน้าเร็วขึ้น แม้ว่าตอนนี้ความก้าวหน้าของเขาจะรวดเร็วมากอยู่แล้ว แต่นั่นเป็นเพราะเขาเคยผ่านเรื่องพวกนี้มาแล้วในชีวิตที่แล้ว แต่หลังจากที่เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาอาจจะไม่สามารถรักษาความก้าวหน้าดังกล่าวเอาไว้ได้


“ตอนนี้ปล่อยให้อ้วนหม่าสนับสนุนข้าไปก่อนแล้วกัน ถ้าเขาทำไม่ได้ ข้าก็จะช่วยเหลือเขา แต่ก่อนที่จะขึ้นไปบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ข้าจะต้องก่อตั้งแคว้นของตัวเองและเร่งบ่มเพาะพลัง”


มันเป็นเรื่องยากกว่ามากหากจะก่อตั้งแคว้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากทุกคนต่างรู้ถึงประโยชน์ของการก่อตั้งแคว้น แน่นอนว่าขุมพลังที่แข็งแกร่งจะต่างต้องการที่จะสร้างแคว้นเป็นของตัวเองและมีการแข่งขันที่รุนแรง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)