Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 711-722
ตอนที่ 711
ฮูหนิวยอมรับจูเสวี่ยนเอ๋อในฐานะคู่แข่งอยู่เสมอและนางมักจะคิดหาวิธีที่จะกำจัดจูเสวี่ยนเอ๋อออกไป ดังนั้น ถ้ามีใครอยากได้ตัวจูเสวี่ยนเอ๋อ จึงเป็นธรรมดาที่นางจะสนับสนุน
ชายหนุ่มแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาบนใบหน้า
เขาเป็นใครกันน่ะหรือ แค่ผู้หญิงคนเดียวเขาจะเอามาไม่ได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม หญิงสาวผู้นี้ช่างงดงามอย่างแท้จริง ความงามของนางปรากฏอยู่บนโลกเบื้องล่างได้อย่างไร?
จากนั้นชายหนุ่มเค้นเสียงดูถูกและเริ่มแนะนำตัวเอง “ข้าคือหยีเสวียนหมิง บรรพบุรุษของข้าเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์ที่แข็งแกร่ง ลุงสามก็เป็นเช่นนั้น ลุงเจ็ดเองก็ด้วย!”
จอมยุทธระดับสวรรค์สามคนเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้ในชีวิตที่แล้วของหลิงฮัน แต่ในยุคสมัยนี้วิถียุทธนั้นรุ่งเรืองอย่างมาก จำนวนของจอมยุทธระดับทลายมิติเองก็มีมากกว่าหนึ่งร้อยคน แล้วจอมยุทธระดับสวรรค์สามคนจะเป็นเรื่องแปลกอะไร?
หลิงฮันทำเป็นตกตะลึงอยู่ชั่วครู่และพูดว่า “พลังของจอมยุทธระดับสวรรค์เป็นอะไรที่ข้าไม่สามารถต่อกรได้ด้วยในตอนนี้”
นี่คือความจริง ถ้าเขาต้องการต่อสู้กับจอมยุทธระดับสวรรค์ เขาจะต้องบรรลุระดับก้าวสู่เทวาเสียก่อนและบวกกับพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวของเขา จะทำให้เขาสามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับสวรรค์ได้ และเขาจะมีพลังเหนือกว่าในชีวิตที่แล้วของเขา
เมื่อคิดแบบนั้น มันเป็นเหมือนกับความฝัน ในชีวิตนี้เขาฝึกฝนบ่มเพาะพลังมากี่ปีกัน?
“เจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเพียงแค่มดปลวก นี่เจ้ายังไม่ส่งไข่มุกมาให้ข้าอีกรึ?” หยีเสวียนหมิงตะโกนออกมาอย่างเย็นชา เขาเป็นคนที่หยิ่งทนง เมื่อหลิงฮันทำให้เขาไม่พอใจ นิ้วของเขากระดิกไปมาและอยากจะฆ่าอีกฝ่ายให้แล้วจบ
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ถ้าข้าไม่ให้ เจ้าจะทุบตีข้า?”
หยีเสวียนหมิงชี้นิ้วใส่และพูดว่า “ไม่ทุบตีเจ้า แต่จะฆ่าเจ้า!”
“ลุงจู ลุงหยาง จัดการพวกมัน!” เขาหันหลังกลับไปหาชายชราทั้งสองคน
“ขอรับ นายน้อย!” จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาขานรับคำสั่งพร้อมกัน คนหนึ่งมีชื่อว่าจูปี้ และอีกคนมีชื่อว่าหยางฉง มีเหตุผลที่บอกว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องฟังรุ่นเยาว์ แต่ใครขอให้รุ่นเยาว์คนนี้มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูลกันล่ะ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้พิทักษ์ของหยีเสวียนหมิง
“ข้าล่ะเกลียดคนสามประเภทนี้ยิ่งนัก” หยีเสวียนหมิงกล่าว “ประเภทแรกคือคนโง่เขลาที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความหยิ่งยโส ประเภทที่สองคนที่ปากจัด ประเภทที่สามคนที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า”
“นี่คือคนสามประเภทที่ข้าเกลียดยิ่งนักและพวกมันจะมีจุดจบเหมือนกัน”
“—นั่นคือความตาย!”
ระหว่างพูดคุย จูปี้และหยางฉงได้กระโจนเข้าหาหลิงฮันแล้ว เจตจำนงของพวกเขาแพร่กระจายออกมา คนหนึ่งกลายเป็นพยัคฆ์สีชาด ในขณะที่อีกคนหนึ่งกลายเป็นกระเรียนขาว
แต่น่าเสียดายพลังที่พวกเขาปลดปล่อยออกมานั้นทำให้สีหน้าของหลิงฮันซีดขาวลงเล็กน้อยเท่านั้น
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “เฉินเหอ เจ้าจัดการพวกมันคนหนึ่ง”
เหยียนเฮิงเหอรู้สึกตกใจ เขาเป็นแค่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้วจะต่อสู้กับจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาได้อย่างไร? แม้เขาจะเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่ง แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อสู้ข้ามหนึ่งระดับใหญ่อย่างระดับก้าวสู่เทวา
แต่เนื่องจากหลิงฮันเป็นคนเปิดปากพูด เขาทำได้แค่กัดฟันสู้เท่านั้น
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ศิลาน้อย เจ้าไปช่วยเขา!”
“โฮกกก!” อสูรศิลากรีดร้อง มันเหยียบย่ำพื้นดินและเข้าไปต่อสู้เคียงข้างเหยียนเฮิงเหอ
เหยียนเฮิงเหอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที เขาตระหนักถึงความแข็งแกร่งของอสูรศิลาดี แม้ว่าเขาจะมีพลังต่อสู้ของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็ตาม
หลิงฮันพูดออกมาอีกครั้ง “ฮูหนิว เจ้าอยากลงมือหรือไม่?”
“อืม!” ฮูหนิวกระโจนออกไปทันที นางรู้สึกโกรธมากที่ขายจูเสวี่ยนเอ๋อให้อีกฝ่ายไม่ได้
“พี่ชายหลิง ข้าอยากสู้ด้วย” เหวินเหรินเชียนเชียนกล่าว
“ได้” หลิงฮันพยักหน้า
ทั้งจูปี้และหยางฉงรู้สึกโกรธเกรี้ยวมาก รุ่นเยาว์พวกนี้กล้าที่จะดูแคลนพวกเขาราวกับไม่มีพิษสงอะไร และยังทำเป็นแบ่งกันสู้ราวกับพวกเขาเป็นตัวตลก!
ฮูหนิวเผชิญหน้ากับหยางฉง ในขณะที่พวกเหยียนเฮิงเหอสามคนร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับจูปี้
การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นทันที
สีหน้าของจูปี้และหยางฉงเปลี่ยนไปมากและรู้สึกขบขัน
รุ่นเยาว์พวกนี้จะแข็งแกร่งแค่ไหนกันเชียว?
จูปี้รู้สึกไม่แยแส แม้ว่าพวกเหยียนเฮิงเหอทั้งสามคนจะแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้เป็นจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาเสียหน่อย อย่างมากพวกเขาจะใช้อสูรศิลาเป็นเกราะกำบังและรับการโจมตีส่วนใหญ่ของจูปี้ ส่วนเหวินเหรินเชียนเชียนและหนวนเฉินเหอเป็นคนโจมตี แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะประมาท
นี่ทำให้เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และเขามีความสามารถเหนือกว่าศัตรูทั้งสามคน จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาจะพลาดท่าให้กับจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณได้อย่างไร? แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงก็เกิดขึ้น พวกเขาสามารถป้องกันการโจมตีของเขาได้
ในขณะเดียวกันสีหน้าของหยางฉงดูตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นมาก
ฮูหนิวรวดเร็วเกินไป!
ในตอนแรก เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกที่ส่งฮูหนิวมา ใครจะให้ความสนใจกับเด็กสาวตัวน้อยอายุเจ็ดปี? ฮูหนิวแสดงความสามารถให้เขาได้เห็นเมื่อนางกระโจนออกมา แน่นอนว่าสายตาของเขาไม่อาจจับตามองนางได้ทัน
พรึบ ฮูหนิวกลายเป็นลำแสงและปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าเขาในพริบตา กำปั้นเล็กๆของนางกระแทกเขาใส่ร่างของเขา เขาจึงโคจรพลังก่อเกิดออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง แต่ก็ยังคงถูกต่อย
ไม่มีทางที่เขาจะรู้ว่ากำปั้นของฮูหนิวนั้นมาจากทิศทางไหน เขาทำได้แค่ป้องกันเท่านั้น เขาจะเทียบความเร็วของฮูหนิวได้อย่างไร?
เขาต้องตอบโต้จะตั้งรับอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้ นั่นเป็นเพราะฮูหนิวเป็นแค่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ ตราบใดที่เขาโจมตีนางโดน อีกฝ่ายจะต้องถูกจัดการอย่างแน่นอน แต่ปัญหาคือ แม้แต่เงาของฮูหนิวเขายังตามไม่ทัน เขาจึงทำได้แค่ป้องกันเท่านั้น
“ทักษะของหนิว หมัดผลิกสวรรค์!”
“บาทาไร้เงา!”
“ลูกเตะบุปผาร่วงโรย!”
ใครขอให้เด็กสาวตัวน้อยมีความสามารถมากเกินไปล่ะ? นอกจากร่างกายเล็กๆของนางแล้ว การโจมตีของนางทำให้สีหน้าของหยางฉงกลายเป็นสีเขียว ถ้าเขาถูกระดมการโจมตี ชีวิตของเขาอาจอยู่ไม่ถึงตอนเย็น
ความแข็งแกร่งของจูปี้และหยางฉงไม่ธรรมดา แต่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ต่างจากที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิง
หลิงฮันมองไปที่หยีเสวียนหมิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าแตกต่างจากเจ้า ข้าเกลียดคนแค่ประเภทเดียวเท่านั้น แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเป็นคนประเภทไหน?”
ตอนที่ 712
ในขณะที่อีกสองคนกำลังสู้อยู่ใบหน้าของหยีเสวียนหมิงกลายเป็นบูดบึ้ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไร้ความตื่นตระหนก อำนาจของตระกูลหยีทำให้เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งยโส
ด้วยการหนุนหลังของจอมยุทธระดับทลายมิติสามคน นอกจากห้านิกายโบราณแล้ว จะมีซักกี่ขุมอำนาจเชียวที่เทียบเคียงขุมอำนาจของเขาได้?
ดังนั้นเขาจึงยังคงมีท่าทีสงบนิ่งไม่หวาดหวั่นและเชื่อว่าหลิงฮันจะต้องไม่มีกล้าลงมือกับเขา ที่จริงแล้วลุงเจ็ดก็เดินทางมากับเขาด้วย แต่ว่าเป็นตัวเขาเองที่ต้องการเดินทางคนเดียวและแยกตัวออกมา
สิ่งเดียวที่เขากังวลใจอยู่ก็คือถ้าหากเขาจัดการเหล่าคนตรงหน้าไม่ได้ ทั้งไข่มุขและสาวงามก็จะไม่มีวันตกเป็นของเขา
หยีเสวียนหมิงกล่าวอย่างเย็นชา “โอ้ คนแบบไหนกันที่เจ้าไม่ชอบ? ข้าจะลองรับฟังดูแล้วกัน”
หลิงฮันกล่าวตอบ “ข้าเกลียดคนที่ข้าไม่ชอบขี้หน้า”
หยีเสวียนหมิงเค้นเสียงตอบกลับอย่างดูถูก “เจ้ากำลังหยอกล้อข้า?”
“หยอกล้อ?” หลิงฮันยิ้ม “ข้าว่าเจ้าอย่าตีค่าตัวเองสูงเกินไปดีกว่า เจ้ามีค่าอะไรพอที่จะให้ข้าหยอกล้อเล่น?”
หยีเสวียนหมิงกล่าว “ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนว่าลุงเจ็ดเองก็เข้ามายังเขตแดนลี้ลับแห่งนี้กับข้าด้วย ถ้าเจ้าไม่ต้องการก็รีบลงไข่มุกมาและทิ้งสาวงามเอาไว้ซะ… รวมไปถึงแขนของเจ้าด้วย”
ยิ่งเขามองไปที่หลิงฮันมากเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ นั่นเพราะชายหนุ่มตรงหน้ากำลังโอบกอดเอวของจูเสวียนเอ๋อด้วยแขนข้างเดียว ซึ่งทำให้ตาของเขาลุกเป็นไฟ
“ช่างอวดดีจริงๆ” หลิงฮันมองไปยังหลี่เฟิงหยู่และยิ้ม “พี่ชายหลี่ ข้ามอบหน้าที่ทุบตีเจ้าหมอนี่ให้เจ้าเป็นอย่างไร?”
“ได้เลย ข้าจะเป็นคนจัดการกับมันเอง!” หลี่เฟิงหยู่พยักหน้า
มุมปากของจูเสวียนเอ๋อและหลี่ซือเชียนกระตุกราวกับว่าพวกนางเกือบจะสำลัก
“ท่านพี่ ท่านช่วยไม่พูดจาใหญ่โตโอ้อวดหน่อยจะได้รึไม่?” หลี่ซือเชียนกล่าว
หลี่เฟิงหยู่แสยะยิ้มและย่างเข้าไปหาหลี่เฟิงหยู่อย่างองอาจ
“เหอะ รนหาที่ตาย!” หลี่เฟิงหยู่ไม่หวาดหวั่นต่อคนที่อยู่ในระดับบุปผาผลิบานเท่ากัน เพราะอย่างไรเขาก็คืออัจฉริยะ!
เขานำดาบเล่มยาวออกมา มันคืออาวุธวิญญาณระดับหกซึ่งเป็นระดับเดียวกับกับพลังบ่มเพาะของเขา ทำให้เขาใช้พลังของมันออกมาได้ถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าหากไม่ใช่อาวุธที่บ่มเพาะขึ้นมาเองและมีเจตจำนงที่สลักเอาไว้ตรงกับผู้ใช้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถใช้พลังของอาวุธออกมาได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์
หลี่เฟิงหยู่หัวเราะและสะบัดมือ “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”
“ว่าไงนะ?” หยีเสวียนหมิงคำราม จิตสังหารปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา ตอนนี้เขาที่เขาต้องการจะสังหารหมากที่สุดได้เปลี่ยนจากหลิงฮันมาเป็นหลี่ปากกว้างแทนแล้ว
“ตัวข้าคือกระบี่และดาบ ทักษะยุทธของข้านั้นเหนือกว่าเจ้า เพราะงั้นแล้วเจ้าจะมาเทียบกับข้าได้อย่างไร?” หลี่เฟิงหยู่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ มือของเขาสั่นไหวและปรากฎดาบกับกระบี่ออกมา
ว่าไงนะ!
หยีเสวียนหมิงโกรธจนเกือบจะบ้าตาย เจ้าหมอนี่กล้าหยอกล้อเขาเล่น? เขาคำรามและกวัดแกว่งดาบเข้าใส่หลี่เฟิงหยู่ ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ปราณดาบเก้าเล่มปรากฏออกมา พลังอำนาจของปราณดาบเหล่านั้นไม่อ่อนแอเลย
นั่นก็แน่อยู่แล้ว การที่เขาเป็นถึงลูกหลานของตัวตนระดับสวรรค์ พรสวรรค์ในวิถีวรยุทธของเขาย่อไม่อ่อนด้อย ปราณดาบเก้าเล่มนั้นเกือบจะควบแน่นกลายเป็นรัศมีได้แล้ว เมื่อเทียบกับพลังบ่มเพาะระดับบุปผาผลิบานของเขาแล้ว นับว่าเป็นสิ่งที่น่ายกย่องยิ่งนัก
แต่หลี่เฟิงหยู่ก็ใช่ว่าจะอ่อนแอ ดาบและกระบี่ของเขากวัดแกว่งกลางอากาศปรากฏเป็นปราณดาบห้าเล่มและปราณกระบี่สี่เล่ม จำนวนปราณของเขาเท่ากับของหยีเสวียนหมิง
‘ตูม!’
การโจมตีของพวกเขาปะทะกัน ต่างคนต่างล่าถอยกลับไปหลายสิบเก้า ใบหน้าของทั้งสองเปลี่ยนเป็นจริงจัง
ปรมาจารย์!
ทั้งสองต่างคิดในใจและมีท่าทีจริงจังกว่าเดิม นั่นเพราะหากเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง การก้าวพลาดแม้แต่ก้าวเดียวจะนำพาไปสู่ความพ่ายแพ้
‘ตูม ตูม ตูม’ ทั้งสองเข้าปะทะกับอย่างดุเดือดอีกครั้ง
“เจ้าแข็งแกร่งไม่เลว!” หยีเสวียนหมิงกล่าว “แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”
“เจ้าเองก็ไม่อ่อนแอ!” หลี่เฟิงหยู่กล่าว “แต่คนที่จะพ่ายแพ้จะหมดสภาพคือเจ้า!”
หลิงฮันถอนหายใจและพูด “สองคนนั้นคิดจริงๆรึว่าพวกเขาแข็งแกร่งจนถึงขั้นเป็นปรมาจารย์?”
จูเสวียนเอ๋อยิ้ม “ทั้งสองคนกำลังยืนอยู่บนยอดเขาและมองเห็นเพียงว่าบนยอดเขามีเพียงพวกเขาสองคน พวกเขาไม่รู้ว่าถ้าหากพิชิตยอดเขาลูกนี้แล้ว จะพบกับภูเขาที่สูงยิ่งกว่า”
หลิงฮันหัวเราะ “เสวียนเอ๋อ เจ้านี่พูดจาเหมือนพวกนักปรัชญาเลย”
ตอนนี้มีสามคู่ที่กำลังต่อสู้อยู่ แต่หลิงฮันก็หาวออกมาอย่างเบื่อหน่าย นอกจากการต่อสู้ของฮูหนิวที่พอจะน่าตื่นตาแล้ว การต่อสู้ของคนอื่นๆน่าเบื่อเป็นอย่างมาก
“หมัดมังกรทะยานของหนิว!” เมื่อฮูหนิวกล่าวจบ ร่างเล็กๆของนางก็พุ่งทะยานและปล่อยหมัดเข้าใส่คางของหยางฉง ร่างของชายชรากระเด็นขึ้นฟ้าทันที ปากของเขาพ่นโลหิตและฟันหลายสิบซี่ออกมา
‘ตุบ’ เมื่อร่างของเขาหล่นสู่พื้นและลืมตาขึ้น เขาก็ไม่สามารถมองเห็นภาพตรงหน้าได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลายเป็นขาวโพลน นั่นเพราะสมองของเขาได้รับความเสียหายโดยหมัดของฮูหนิว
“โอ้ ไม่นะ ฟันของเจ้าหลุดออกมาแบบนี้แล้วในอนาคตเจ้าจะกินเนื้อได้อย่างไร?” ฮูหนิวเกาหัวครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะกล่าว “แต่ก็ช่างมันเถอะ ยังไงเจ้าก็ต้องตายอยู่แล้ว เจ้าไม่โอกาสได้กินเนื้อหรอก!”
ความป่าเถื่อนของนางไม่เคยจางหายไป นางลงมือสังหารอีกฝ่ายทันที
“เฒ่าหยาง!” จูปี้อุทานออกมา หยางฉงนั้นมีพลังทัดเทียมกับเขาแต่กลับถูกสังหารอย่างง่ายดายด้วยน้ำมือของสาวน้อย ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกหวาดผวาจนหัวใจสั่นสะท้าน
‘ฟุบ’ ฮูหนิวยังคงป่าเถื่อนไม่ลามือ แววตาของนางจับจ้องไปยังหยีเสวียนหมิงและพุ่งเข้าใส่ทันที ร่างของหยีเสวียนหมิงถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆภายในพริบตา เหลือทิ้งเอาไว้เพียงเศษเนื้อและโลหิตที่สาดกระจาย
สาวน้อยชำเลืองมองมายังจูเสวียนเอ๋อและอ้าปากขู่ แววตาของนางส่องประกายอันโหดเหี้ยมพร้อมกับยกนิ้วที่แหลมคมและมีกลิ่นอายราวกับพยัคฆ์ขึ้นมา
หลิงฮันรีบคว้าร่างของจูเสวียนเอ๋อเอาไว้ “ฮูหนิว หยุดมือซะ ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังล้อเล่นอยู่รึไม่!”
“ไม่สนุกเลย!” ท่าทีอันโหดเหี้ยมของนางหายไปและกลายเป็นเด็กน้อยน่ารักดังเดิม “หนิวไม่สังหารนางหรอก!”
เมื่อกี้จูเสวียนเอ่อหวาดกลัวไปชั่วขณะ นางไม่นึกเลยว่าเมื่อครู่จะเป็นเพียงการแกล้งของฮูหนิว
“นายน้อยฮัน เฒ่าชราหนีไปแล้ว!” เหยียนเฮิงเหอพุ่งกลับเข้ามาและพูดกับหลิงฮันด้วยน้ำเสียงขออภัย แต่ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงของเขาก็ยังแฝงไปด้วยความภูมิใจเล็กน้อย
จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณสามคนร่วมมือกันขับไล่จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาให้หนีไปได้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก ไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกภาคภูมิใจ
ตอนที่ 713
“เจ้าคิดจะหนี?” หลิงฮันหันไปมอง แต่จูปี้ก็วิ่งหนีไปแล้ว แม้ว่าเขากับฮูหนิวจะไล่ตาม แต่มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตามทัน
นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้ฮูหนิวกับหลิงฮันติดพันกันอยู่ มิฉะนั้น ถ้าหลิงฮันกับฮูหนิวไล่ตาม อย่างน้อยจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาก็ไม่มีทางหนีพวกเขาพ้น
“ตระกูลหยีนั้นแข็งแกร่งมากและอยู่ภายใต้การปกครองของห้านิกายโบราณ มันสามารถจัดได้ว่าเป็นขุมพลังอันดับต้นๆ” เหวินเหรินกล่าวด้วยสีหน้ากังวล
จอมยุทธระดับสวรรค์สามคนจะเป็นขุมพลังที่อ่อนแอได้อย่างไร?
“และลุงเจ็ดของตระกูลหยีเองก็ได้เข้ามาในโบราณสถานแห่งนี้ด้วย ถ้าจูปี้บอกพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ พวกเขาจะตกที่นั่งลำบาก” เหวินเหรินเซียนเซียนพูดเสริม
หลิงฮันไม่รู้สึกกลัว เขามีหอคอยทมิฬ ตอนนี้เขาไม่สามารถรับมือกับคนพวกนั้นได้ แต่ถ้าเป็นช่วงท้ายปี เขาเดาว่าตัวเองจะทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวา และเมื่อเวลานั้นมาถึงจอมยุทธระดับสวรรค์ทั่วไปก็จะไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไป
ด้วยการมีอยู่ของหอคอยทมิฬ เขาสามารถต่อสู้ได้แม้กระทั่งจอมยุทธระดับทลายมิติ
ดวงตาของเขากวาดไปมองที่ฝูงชนและพูดว่า “จอมยุทธระดับสวรรค์กำลังมา ข้าไม่มีวิธีรับมือด้วย แต่มันเกี่ยวข้องกับความลับของข้า ข้าสงสัยว่าข้าจะเชื่อใจพวกเจ้าได้หรือไม่”
หลิงฮันกวาดสายตามองทีละคนทีละคนด้วยสายตาสะกดข่มพวกเขา ว่าพวกเขาจะไม่ทรยศ
หลิงฮันหยุดจ้องมองและพูดว่า “ข้าจะแสดงสมบัติให้พวกเจ้าได้เห็น แต่พวกเจ้าจะต้องไม่ต่อต้านข้าและห้ามคิดที่จะทรยศ! ดังนั้น ผู้ที่ต้องการจะอยู่ต่อให้อยู่ที่นี่ ส่วนใครจะจากไปก็เชิญ”
แน่นอนว่าเขากำลังพูดกับสองพี่น้องตระกูลหลี่ เหวินเหรินเซียนเซียน เหยียนเฮิงเหอและเจ้ากระต่าย
สองพี่น้องตระกูลหลี่มองหน้ากันไปมา และพูดว่า “ข้าและน้องสาวยินดีที่จะติดตามนายน้อยฮันไม่ว่าจะก้าวเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังก็ตาม!” พวกเขาไม่สงสัยความแข็งแกร่งและศักยภาพของหลิงฮันเลย
เหยียนเฮิงเหอเองก็พูดว่า “ข้าเป็นผู้ติดตามของนายน้อยฮัน”
เจ้ากระต่ายเคี้ยวแครอทและพูดว่า “เจ้ายังติดโสมโลหิตราชามังกรทรราชของข้าอยู่สองค้น แน่นอนว่าข้าจะไม่ไปไหนเด็ดขาด”
มีเพียงแค่เหวินเหรินเซียนเซียนเท่านั้นที่ลังเล นางเองก็มีเกียรติและความภาคภูมิใจเป็นของตัวเอง
และเมื่อมองดูตัวตนของหลิงฮัน มันเห็นชัดอยู่แล้วว่านางจะต้องกลายเป็นหนึ่งในลูกน้องของเขา
นางครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานแล้วพูดว่า “พี่ชายหลิง ข้าต้องขอโทษท่านด้วย!”
หลิงฮันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเป็นสหายกัน ถ้าเจ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในอนาคต เพียงแค่เจ้าพูดตรงๆออกมา ข้าก็จะไม่ปฏิเสธ”
เมื่อเหวินเหรินเชียนเชียนได้ยินแน่นอนว่าย่อมมีความสุขและรีบพูดออกมาว่า “ขอบคุณพี่ชายหลิง” นางพยักหน้าให้กับคนอื่นและรีบบินแยกตัวออกไปในระยะไกล
หลิงฮันมองคนที่เหลือและพูดว่า “ข้าจะพาพวกเจ้าทุกคนไปสถานที่แห่งหนึ่ง อย่าได้ต่อต้านสัมผัสสวรรค์ของข้า”
พรึบ เขาได้พาทุกคนเข้าไปในหอคอยทมิฬ
“หืม!” ที่นี่มัน!”
ทั้งสองคนรวมถึงเจ้ากระต่ายต่างรู้สึกตกใจ สถานที่แห่งนี้มันไม่ใช่เขตแดนลี้ลับก่อนหน้านี้ หรือว่าหลิงฮันมีช่องว่างมิติที่เทียบได้กับโลกขนาดเล็กอยู่กับตัว?
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ที่แห่งนี้คือพื้นที่ภายในอาวุธวิญญาณของข้าที่สามารถรองรับสิ่งมีชีวิตได้!”
เหยียนเฮิงเหอ พี่น้องตระกูลหยีเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาทันที และอาวุธวิญญาณที่สามารถรองรับสิ่งมีชีวิตได้พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน!
เจ้ากระต่ายสูดลมหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “เจ้าหนู นี่มันไม่ใช่อาวุธวิญญาณ แต่เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์!”
“อาวุธศักดิ์สิทธิ์!” แม้แต่จูเสวี่ยนเอ๋อยังส่งเสียงอุทานออกมา
“ไม่เลว!” เจ้ากระต่ายพยักหน้า “แม้ว่าบรรพบุรุษของข้าจะทะยานขึ้นไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์หมดแล้ว แต่เมื่อนานมาแล้วมีวิธีพิเศษในการสื่อสารกับดินแดนเบื้องหลัง ดังนั้นข้าเลยรู้บางอย่างเกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
“พื้นที่ที่สามารถรองรับสิ่งมีชีวิตได้มีเพียงแค่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้ และพื้นที่ที่เจ้าพกติดตัวไปไหนมาไหนได้มีเพียงแค่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถสร้างขึ้นได้”
“เจ้าเห็นหรือไม่ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในเขตแดนลี้ลับ มันเป็นพื้นที่ที่แยกตัวออกมาต่างหากซึ่งสามารถรองรับสิ่งมีชีวิตได้ แต่ไม่สามารถนำติดตัวไปได้ กลับกัน มันจะถูกตรึงไว้ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งและถูกแทนที่ด้วยพื้นที่ปกติ”
“มันยากเกินกว่าที่จะบีบโลกขนาดเล็กให้พกไปไหนมาไหนได้และยิ่งพื้นที่มีขนาดใหญ่เท่าไหร่ก็จะยิ่งเป็นเรื่องยากมากยิ่งขึ้น ดังนั้นแหวนมิติของพวกเราจึงมีขนาดเล็กมาก”
ทุกคนพยักหน้า โดยทั่วไปแล้วพื้นที่ในแหวนมิติจะมีขนาดเทียบเท่ากับกล่องเท่านั้น และหาได้ยากที่จะมีขนาดใหญ่เท่าบ้าน
ตอนแรกพวกเขารู้ว่ายิ่งพื้นที่ในอาวุธวิญญาณมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสร้างได้ยากมากยิ่งขึ้น แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามันยากตรงไหน แต่ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้ว
ดังนั้น เขตแดนลี้ลับจึงตรึงอยู่กับที่ ไม่เหมือนกับแหวนมิติที่สามารถพกติดตัวได้ ถ้าตรึงมันไว้อยู่กับที่ มันก็เหมือนกับการสร้างบ้าน ที่สามารถวางรากฐานไว้ล่วงหน้าและเสริมสร้างกำแพง และไม่ใช่เรื่องที่จะพังทลาย
ทุกคนมองไปยังพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาลจนน่าหวาดกลัวภายในหอคอยทมิฬ มันเทียบได้กับเขตแดนลี้ลับเลย!
มีเพียงแค่หลิงฮันเท่านั้นที่รู้ว่าพื้นที่ภายในหอคอยทมิฬของเขานั้นใหญ่กว่าเขตแดนลี้ลับทั้งหมดที่เขาเคยเห็นทั้งหมดมารวมกันเสียอีก มันใหญ่กว่ามาก
“ที่นี่มันจะต้องเป็นสรวงสวรรค์อย่างแน่นอน!” ทุกคนอุทานออกมา
หลิงฮันยิ้ม พวกเขารู้เพียงแค่ว่าพื้นที่ภายในของหอคอยทมิฬนั้นกว้างขวาง แต่พวกเขายังไม่รู้สึกความสามารถพิเศษของหอคอยทมิฬ อย่างเช่นการเร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพร
หอคอยทมิฬเป็นมากกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ในทางตรงกันข้าม นี่อาจเป็นเพียงแค่คุณสมบัติขั้นต่ำเท่านั้น
“ถ้าอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี่อยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ข้ารับรองได้เลยว่าเจ้าจะต้องถูกหมายหัว” เจ้ากระต่ายกล่าว
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “เจ้าพูดเหมือนกับว่าเจ้าเคยไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาก่อนอย่างนั้นแหละ”
เจ้ากระต่ายเค้นเสียงกระแอมออกมา เดิมทีมันอยากจะพูดจาโอ้อวดสักเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ดุร้ายของฮูหนิวมันจึงเบนสายตาหนีและหยุดที่จะพูดทันที
หลิงฮันพูดว่า “ดังนั้น แม้จะมีจอมยุทธระดับทลายมิติมาฆ่าพวกเรา ข้ามีความสามารถที่จะปกป้องตัวเองและคนของข้าได้ และความทะเยอทะยานของพวกเราคือการเปิดสวรรค์!”
“เปิดสวรรค์?” เหยียนเฮิงเหอและพี่น้องตระกูลหลีรู้สึกตกใจ อะไรคือการเปิดสวรรค์?
“ทะลวงผ่านท้องฟ้าและพาทวีปฮงเทียนเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์!” หลิงฮันอธิบาย
“ว่าไงนะ!” ทั้งเหยียนเฮิงเหอและพี่น้องตระกูลหลีรู้สึกตกตะลึง นี่พวกเขาเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า? มันน่าทึ่งเกินไป ไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนทวีปฮงเทียนอย่างนั่นหรือ มันจะเป็นไปได้ยังไง?
“แน่นอนว่าการเปิดสวรรค์เป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นพวกเราจะต้องร่วมมือกันและทำให้ดีที่สุด” หลิงฮันกล่าว จากนั้นเขาอธิบายคร่าวๆเกี่ยวกับการก่อตั้งจักรวรรดิและจุดเริ่มต้นของปัญหา แต่ไม่ได้กล่าวถึงห้านิกายโบราณที่สมคบคิดกันมาหลายหมื่นปี
พวกเขาทุกคนตั้งใจฟัง แม้ว่าพวกเขาจะยังเยาว์วัย แต่แน่นอนว่าพวกเขาทุกคนเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน
“นายน้อยฮํน ข้ายินดีที่จะติดตามท่าน!” เหยียนเฮิงเหอตะโกนเสียงดัง
“ใช่แล้วน้องเขย ถ้าเจ้าไม่สนใจว่าข้าจะขวางทางเจ้า ข้าก็ยินดีที่จะต่อสู้เพื่อเจ้า” หลีเฟิงหยูกล่าว
“ดี!” หลิงฮันรู้สึกพึงพอใจมาก
ตอนที่ 714
ทุกคนออกมาจากหอคอยทมิฬและเดินทางต่อ
สองวันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็ออกมาจากดินแดนที่มีแต่ทะเลสักที และเบื้องหน้าพวกเขาเป็นที่ราบที่เต็มไปด้วยต้นหญ้าและต้นไม้ มันดูเหมือนกับว่าก่อนที่จะออกมา ทิวทัศน์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย
หรือว่าทะเลจะเป็นจุดศูนย์กลางของเขตแดนลี้ลับแห่งนี้?
“พวกเราเดินวนกลับมาที่เดิม? หรือว่าสมบัติจะซ่อนอยู่ในทะเล?” ทุกคนรู้สึกสงสัย
พรึบ ในตอนนั้นเองพวกเขาได้เห็นเงาดำบินผ่านท้องฟ้า หากจ้องมองให้ดีจะเห็นว่าแท้จริงแล้วมันเป็นตำหนัก มันไม่ได้บินอยู่บนท้องฟ้าแต่อย่างใด แต่มีขาสองขางอกออกมาและวิ่งอยู่บนพื้น และหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
อะไร! หลิงฮันและคนอื่นจ้องหน้ากันและพูดไม่ออก
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ตำหนักมีขาและวิ่งเองได้ด้วย?
“หรือว่าดวงตาของข้าจะมีปัญหา?” หลี่เฟิงหยูเช็ดตาตัวเอง
“ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงไม่ได้มีแค่ดวงตาของเจ้าเท่านั้นที่มีปัญหา” หลิงฮันกล่าว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะมองผิด
พรึบ ในขณะนั้น พวกเขาเห็นผู้คนจำนวนมากอยู่บนท้องฟ้า ความเร็วของพวกเขานั้นน่าทึ่งมาก
“หืม ราชินีหยิน!” พวกเขาอุทานออกมาอีกครั้ง พวกเขาจำนางได้ นางกำลังขี่ราชสีห์ตัวก่อนหน้านี้อยู่
การที่พวกเขาสามารถยืนอยู่เคียงข้างราชินีหยินได้ พวกเขาสมควรที่จะเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติ
“การที่มีจอมยุทธระดับทลายมิติหลายคนไล่ล่า ตำหนักนั่นจะต้องซ่อนสมบัติที่น่าอัศจรรย์เอาไว้อย่างแน่นอน” เหยียนเฮิงเหอกล่าว
“พวกเราช่างโชคร้ายนัก มันถูกจอมยุทธระดับทลายมิติไล่ล่า พวกเราคงไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไรเลย” หลี่เฟิงหยูกล่าวพรางถอนหายใจ
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “มันอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นสักทีเดียว โอกาสมีให้กับทุกคน ถ้าจอมยุทธระดับทลายมิติได้รับสมบัติภายในตำหนักนั่นแล้ว เจ้าคิดว่าพวกเขาจะอยู่ต่อหรือไม่?”
“ถ้างั้น พวกเราอาจจะได้รับส่วนแบ่งสินะ” หลี่เฟิงหยูรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง
“แต่ว่าตำหนักนั่นมีขางอกออกมาและวิ่งได้ด้วยตัวมันเอง…มันไม่แปลกเกินไปหรือ?” จูเสวี่ยนเอ๋อกล่าว
หลี่เฟิงหยูพยักหน้าไปมาและพูดว่า “บางทีพวกเราทุกคนอาจถูกมันกินก็เป็นได้!”
หลิงฮันพูดว่า “ตอนนี้ลืมเรื่องของมันไปก่อนเถอะ แม้แต่จอมยุทธระดับทลายมิติยังตามจับมันไม่ได้เลย แล้วพวกเราจะไปทำอะไรได้ ถ้าโชคชะตาเข้าข้าง ตำหนักนั่นจะปรากฏต่อหน้าพวกเราเอง…”
ใช่แล้ว ถ้าโชคชะตาเข้าข้างสมบัติก็จะปรากฏต่อหน้าพวกเขาเอง
และในเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงพื้นดินแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องรีบ อย่างแรกที่พวกเขาต้องทำคือกินอาหารเสียก่อน
หลิงฮันได้นำหนวดปลาหมึกออกมาและปรุงมันพร้อมกับสมุนไพรล้ำค่าที่อยู่ในหอคอยทมิฬ
ระหว่างทำอาหาร มีแสงสว่างออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมโชย ทำให้ฮูหนิวและหนูทองคำกระโดดเต้นไปมาพร้อมกับเจ้ากระต่าย
หลังจากผ่านไปได้ครึ่งวัน ในที่สุดหลิงฮันก็ปรุงอาหารเสร็จและแจกจ่ายชามให้กับแต่ละคน ทุกคนจะเห็นเส้นสายพลังกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในซุป ราวกับพลังของสวรรค์และโลกถูกอัดอยู่ในน้ำซุป
“หนิวขออสองชาม! ไม่สิ สามชามเลย!” ฮูหนิวขอเพิ่มทั้งที่ยังไม่ได้กินชามแรกเลย
“จี๊ จี๊!” หนูทองคำกระโดดขึ้นไปอยู่บนไหล่ของหลิงฮันและส่งเสียงร้อง สิ่งที่มันต้องการสื่อคือมันเองก็ขอสามชามเหมือนกัน
หลิงฮันยักไหล่และพูดว่า “ทุกคนคนละชามก่อน ถ้าพวกเจ้าสามารถกินมันได้ค่อยขอเพิม”
ทุกคนรู้สึกสงสัย แค่ซุปชามเดียวมันจะเพียงพอได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทุกคนได้ลิ้มลอง นอกเหนือจากหลิงฮันและฮูหนิวแล้ว สีหน้าของทุกคนกลายเป็นแดงเถือก แล้วพวกเขาจะกินชามที่สองได้อย่างไร?
หากทุกคนไม่สามารถกินต่อได้ หลิงฮันและฮูหนิวก็ไม่จำเป็นต้องใส่ชามอีกต่อไป ทั้งสองคนยืนล้อมรอบหม้อและลงมือกินซุปและเนื้อที่อยู่ด้านใน ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจไม่น้อย
ซุปหม้อนี้มีประโยชน์ต่อรากฐานวิญญาณของพวกเขา แล้วมันจะไม่ได้เป็นสมุนไพรที่รุนแรงได้อย่างไร?
หากกินมันโดยตรงจะทำให้จอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน ระดับตัวอ่อนวิญญาณมีความก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ภายในครึ่งปี ข้าจะสามารถทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณได้!” จูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกประหลาดใจ นางมักมีปมอยู่ในใจอยู่เสมอ ระดับพลังของนางต่ำกว่าหลิงฮัน ส่วนพลังต่อสู้ของนางนั้นด้อยกว่าเขามาก จึงทำให้นางไม่สามารถช่วยเหลือหลิงฮันได้เลย
แต่เมื่อนางก้าวเข้าสู่ระดับตัวอ่อนวิญญาณ นางไม่จำเป็นต้องยืนมองเขาเหมือนทุกครั้งแล้ว
สองพี่ต้องตระกูลหลี่ เหยียนเฮิงเหอรู้สึกมีความสุขมาก พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
หลังจากพักผ่อน พวกเขาก็ออกเดินทางอีกครั้ง ที่แห่งนี้ยังคงเป็นสวนสวรรค์ของสัตว์อสูร มันมีสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอยู่นับไม่ถ้วน ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณและระดับก้าวสู่เทวา สัตว์อสูรระดับสวรรค์ก็มีอยู่บ้าง ส่วนสัตว์อสูรระดับทลายมิตินั้นตอนนี้พวกเขายังไม่ได้เผชิญหน้ากับมันโดยตรง และไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าจะพวกเขาจะเอาชนะมันได้
มันน่าอัศจรรย์มาก แม้จะอยู่ในเขตแดนลี้ลับ แต่พวกเขาก็ยังได้เห็นสัตว์อสูรระดับทลายมิติ แม้มันจะทรงพลังอย่างมาก แต่ก็ถูกราชินีหยินปราบได้อย่างง่ายดาย
สองวันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็เดินออกจากพื้นที่ราบ และมีประตูหินอยู่ด้านหน้า หลังจากเดินผ่านประตูหิน มีเพียงแค่คำสองคำเท่านั้นที่พวกเขาสามารถพูดอธิบายได้ : สวนสัตว์
“น…ที่แห่งนี้มันจะต้องเป็นสวนสัตว์อสูรจากขุมพลังในยุคโบราณที่เลี้ยงมันเอาไว้อย่างแน่นอน!” ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว มันช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมมาก สวนสัตว์อสูรนี่รอให้เจ้านายอย่างพวกเจ้าใช้เวลาเกือบสิบวันกว่าเจ้านายอย่างพวกเขาจะเดินทางมาถึง
และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังไม่ได้เดินทางไปทั่วพื้นที่ภายในเขตแดนลี้ลับทั้งหมด!
“ระดับชั้นของสัตว์อสูรจะถูกจำกัดโดยสายเลือด ถ้าตอนนี้มันสามารถทะลวงผ่านระดับทลายมิติได้แล้ว บรรพบุรุษของพวกมันเองก็น่าจะเหมือนกัน” หลิงฮันกล่าว ที่แห่งนี้มันสถานที่ที่น่ากลัวที่สุด
ขุมพลังที่สามารถจับสัตว์อสูรระดับทลายมิติมาไว้รวมกันได้ มันจะแข็งแกร่งขนาดไหน?
“มีเพียงแค่จักรวรรดิในสมัยโบราณที่ต้องการเปิดสวรรค์เท่านั้นที่สามารถทำได้” หลิงฮันคิดอยู่ชั่วครู่ ครั้งหนึ่งจักรวรรดิที่ปกครองยุคโบราณน่าจะรวบรวมทวีปให้กลายเป็นหนึ่งเดียวได้ แต่ก็ล้มเหลวในตอนท้ายและไม่สามารถเปิดสวรรค์ได้สำเร็จ
“มันน่าแปลกที่จะสัตว์อสูรระดับทลายมิติจำนวนมาก บางทีที่นี่อาจเป็นที่ตั้งของจักรวรรดิในยุคโบราณ”
“สมบัติ!”
ทุกคนคิดอยู่ในใจ นี่คือสมบัติที่แท้จริงของจักรวรรดิในยุคโบราณ
พวกเขารีบกระโจนไปข้างหน้าทันที แต่หลังจากที่วิ่งไปพื้นที่ด้านหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นทะเลทราย มันเต็มไปด้วยทรายสีเหลืองอันไร้ที่สิ้นสุด ถ้าไม่มีลูกบอลเพลิงอยู่บนท้องฟ้า พวกเขาคงจะหลงทิศไปแล้ว
ด้วยวิธีนี้ สามวันต่อมาก็มีตำหนักปรากฏต่อหน้าพวกเขา
หรือว่าที่นี่คือที่พักของจักรวรรดิในยุคสมัยโบราณ?
หลังจากที่พวกเขาเดินเข้าไป พวกเขาก็พบว่ามันไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด ตรงประตูของพระราชวังมีแผ่นเหล็กเขียนไว้ว่า “ตำหนักยุทธภัณฑ์”
เพียงแค่เห็นชื่อพวกเขาก็สามารถคาดเดาได้แล้วว่าที่แห่งนี้เป็นสถานที่เก็บสมบัติ
มีผู้คนมากมายล้อมรอบตำหนัก แม้จะมีสมบัติกองอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ดังนั้นมันจึงมีความเป็นไปได้เพียงแค่อย่างเดียว พวกเขาถูกขวาง และไม่สามารถเข้าไปได้
หลิงฮันเดินไปถามคนอื่นทีละคน จากที่พวกเขารู้มันมีหุ่นเชิดเหล็กตัวหนึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงทางเข้า หากพวกเขาต้องการเข้าไป พวกเขาจะต้องผ่านการทดสอบของมันเสียก่อน หากล้มเหลวก็จะมีเพียงแค่ความตายเท่านั้นที่รออยู่
“มันคือการทดสอบอะไร?”
ตอนที่ 715
การทดสอบนั้นง่ายมาก มันไม่ใช่การต่อสู้ เพียงแค่วางฝ่ามือลงบนแผ่นหิน ถ้าเกิดหินส่องแสงก็จะมีสิทธิ์เข้าไปด้านใน
มันฟังดูง่ายมาก แต่ผู้คนที่สามารถทำให้แผ่นหินส่องแสงได้นั้นมีน้อยจนน่าสงสาร นอกจากคนรุ่นก่อนแล้ว คนรุ่นเยาว์ปัจจุบันคงจะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้อย่างเช่น เย่าหุยเย่ว ฉือชิ่วเหริน และตงหลิงเอ๋อ
“แค่วางมือบนแผ่นหินอย่างนั้นหรือ?” คนที่เพิ่งมาถึงถามด้วยความสงสัย
“แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นั้น เจ้าต้องตั้งสมาธิรวบรวมพลังทั้งหมดไปที่มัน แล้วแผ่นหินจะประเมินความสามารถของเจ้า” ชายชรากล่าว
“นี่คือหินประเมินยุทธ ซึ่งเป็นสมบัติในตำนาน”
“แม้ว่าเจ้าจะเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน แต่ก็อาจมีสิทธิ์เข้าไปเหนือกว่าจอมยุทธระดับทลายมิติ เพราะมันจะประเมินความแข็งแกร่งทั้งหมดของเจ้า หรือให้พูดอีกนัยหนึ่งคือระดับพลังของทุกคนจะอยู่ในระดับเดียวกันและเทียบแค่ความแข็งแกร่ง”
“การประเมินดังกล่าวคือการประเมินศักยภาพที่เป็นไปในอนาคต และเป็นไปได้ว่าศักยภาพของตัวบุคคลจะเหนือกว่าที่ประเมิน”
ชายชราพูดว่า “ถ้าเจ้ามองให้ดีจะเห็นรายชื่อนับร้อยอยู่บนแผ่นหิน ถ้าความแข็งแกร่งของเจ้าเหนือกว่าพวกเขา เจ้าก็จะมีชื่ออยู่เหนือกว่าพวกเขา ยิ่งความแข็งแกร่งในอนาคตมากเท่าใด อันดับก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น”
“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขตแดนลี้ลับแห่งนี้จะเปิดเป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยหลายพันปี แต่ก็มีแนวโน้มว่าแผ่นหินนี่จะบันทึกรายชื่อของอัจฉริยะทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่งหมื่นปีหรือแม้กระทั่งหนึ่งล้านปี”
“แต่การที่จะทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหินได้นั้น แม้จะเป็นรายชื่อสุดท้ายก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากในรอบหนึ่งหมื่นปี”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ถ้าพวกเขาสามารถทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหินได้ มันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหนกัน? แต่มันก็เป็นเรื่องที่ยากเกินไป มีหลายคนที่ลองดูแล้ว แต่ก็ไม่มีพวกเขาคนใดที่สามารถทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหินได้
หลิงฮันจ้องมองไปที่แผ่นหิน ชื่อที่อยู่บนสุดบนแผ่นหินเขาเขียนชื่อของตัวเองว่า “อันดับหนึ่ง” และไม่รู้ว่าเขาเอาความกล้าหาญมาจากไหน นี่เขาไม่คิดเลยหรือว่าจะมีคนรุ่นหลังแย่งอันดับของเขาไป?
อันดับสองดูสุภาพขึ้นมากกว่า เขาสลักชื่อของตัวเองไปว่า “หยวนสื่อ”
อันดับสาม “ซื่อฟาง ” อันดับสี่ “โหยวหยิง” อันดับห้า “เย่ว” อันดับหก “กู่” อันดับเจ็ด “โม่ว” อันดับแปด “หมิงเต้า” อันดับเก้า “ฉีหลีเหล่าเหริน” และอันดับสิบ “จิ่วเต้า”
หลิงฮันมองดูที่รายชื่อ แต่ก็ไม่มีชื่อไหนที่เขาคุ้นเคย แต่เมื่อเขาอ่านชื่อที่เก้าสิบเก้า ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ในที่สุดเขาก็เห็นชื่อที่คุ้นเคย – ราชินีหยิน!
หัวใจของเขาเริ่มสั่นไหว นี่คือชื่อที่ราชินีหยินเพิ่งจะทิ้งไว้หรือ…ทิ้งไว้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน?”
ถ้าเป็นอย่างหลัง จักรวรรดิม่วงจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับจักรวรรดิที่ปกครองยุคสมัยโบราณแห่งนี้หรือไม่?
หลิงฮันตกอยู่ในห้วงความคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จนกระทั่งถูกจูเสวี่ยนเอ๋อเรียกอยู่สองสามครั้งก่อนที่สติของเขาจะกลับมา
“พวกเรามาลองดูกันเถอะ”
พวกเขาต่อแถวเพื่อทดสอบ มีหลายคนพูดดีแม้จะไม่ผ่านการทดสอบก็ตาม แต่ก็มีบางคนที่ไม่ผ่านการทดสอบพูดจาด้วยอารมณ์ ราวกับว่าถ้าพวกเขาเข้าไปไม่ได้ พวกเขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่นเข้าไปเหมือนกัน
แน่นอนว่าไม่มีใครอยากจะเป็นมิตรกับคนแบบนั้น เมื่อใกล้ถึงตาของหลิงฮัน เขาเดินตรงเข้าไป แต่ก็ถูกหุ่นเชิดที่อยู่ด้านหน้าโบกมือให้หยุดเหมือนเป็นหุ่นไล่กา
พรึบ แผ่นหินส่องแสง ซึ่งหมายความว่ามีคนผ่านการทดสอบและสามารถเข้าไปในตำหนักได้
“นางคือเหวินเหรินเซียนเซียน!”
“มันต้องแน่นอนอยู่แล้ว ว่ากันว่าความแข็งแกร่งของนางเป็นรองแค่ตงหลิงเอ๋อเท่านั้นและดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริง!”
“เดี๋ยวก่อน แล้วเจ้ารู้หรือไม่แสงที่เกิดขึ้นเป็นสีอะไร เมื่อตงหลิงเอ๋อผ่าน?”
“ข้าไม่รู้”
“ข้าจะบอกให้ หินประเมินยุทธจะเปล่งแสงแค่สามสีเท่านั้น นั่นคือ สีแดง สีเขียว และสีม่วง ในสีพวกนั้น สีม่วงจะหมายถึงอ่อนแอที่สุด ส่วนสีแดงหมายถึงแข็งแกร่งที่สุด!”
“เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าเหวินเหรินเซียนเซียนทำให้แผ่นหินเปล่งแสงสีม่วงออกมา”
“แต่คนที่ทำให้แผ่นหินเปล่งแสงสีแดงออกมาได้คือตงหลิงเอ๋อ!”
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนต่างพยักหน้าอยู่ในใจ แม้เหวินเหรินเซียนเซียนจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังห่างชั้นจากตงหลิงเอ๋อมาก
“พี่ชายหลิง!” เมื่อเหวินเหรินเซียนเซียนเห็นหลิงฮัน ช่วยไม่ได้ที่นางจะไม่เข้าไปในตำหนักทันที นั่นเป็นเพราะมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ที่จะรออยู่ชั่วครู่ ยิ่งไปกว่านั้นนางต้องการเห็นความแข็งแกร่งของหลิงฮัน
แม้ว่านี่จะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของหลิงฮันในอนาคต แต่ก็สามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงได้
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าวทักทาย
“นั่นมันเจี่ยหมิง เขามาถึงแล้ว!” ทุกคนรีบแยกย้ายทันที ต่อหน้าชายที่มีจิตสังหารรุนแรงและฆ่าคนเป็นว่าเล่น แต่เขาก็ยังคงเป็นทายาทรุ่นต่อไปของนิกายมังกรปฐพี แล้วใครจะกล้าทำให้เขาไม่พึงพอใจกัน?”
เจี่ยหมิงก้าวเดินไปข้างหน้าและปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมาราวกับว่าเขาเป็นอสรพิษยักษ์
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะขมวดคิ้ว ระดับพลังของเจี่ยหมิงก้าวกระโดดอย่างน่าทึ่ง เขาทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวาแล้ว! ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดว่ามีโอกาสอันยิ่งใหญ่อยู่ในทะเล ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องโกหก เพียงแค่ไม่กี่วัน เขาก็ทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวาแล้ว
ในหมู่รุ่นเยาว์ ตอนนี้คงมีแค่ฉือชิ่วเหรินเท่นั้นที่สามารถเทียบเขาได้
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่ามังกรปฐพีก็คือหนอนดินหรอกหรือ? เหตุใดผู้คนส่วนใหญ่ของนิกายมังกรปฐพีมักจะแสดงภาพลวงตาของอสรพิษยักษ์? แม้ว่ามันจะมีลำตัวยาว แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันมากระหว่างอสรพิษและหนอนดินถูกไหม?
เจี่ยหมิงทำตัวเหมือนเสือซ่อนเล็บ ราวกับว่าภายในร่างกายของเขาซ่อนสัตว์อสูรโบราณเอาไว้
เมื่อเขาก้าวเดินไปที่แผ่นหิน เขาเหลือบมองหลิงฮันด้วยจิตสังหารก่อนแวบหนึ่ง แล้ววางมือลงไปที่แผ่นหิน
พรึบ แผ่นหินเปล่งแสงออกมาทันที
แสงสีม่วง
อย่างไรก็ตาม เจี่ยหมิงยังไม่ดึงมือกลับมา เขายังคงวางมือไว้บนแผ่นหิน และแสงที่เปล่งออกมาจากแผ่นหินเริ่มเปลี่ยนสีและกลายเป็นสีเขียว
นี่แสดงให้เห็นว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดออกมา และตอนนี้เขาได้แสดงพลังทั้งหมดออกมาแล้ว
ดังนั้น นั่นหมายความว่าเขาสามารถซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเองได้
“ยังไม่พอ!” เจี่ยหมิงตะโกนและปลดปล่อยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงถูกกดดันอย่างหนัก และผู้ที่ไม่สามารถรับแรงกดดันไหวก็ล้มลงกับพื้น
หลิงฮันดูไม่ไหวติ่ง เดิมทีความแข็งแกร่งของเขากับเจี่ยหมิงนั้นใกล้เคียงกัน แม้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวาแล้ว แต่ก็ทำให้หลิงฮันรู้สึกกดดันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ถ้าอีกฝ่ายทะลวงผ่านระดับสวรรค์แล้วล่ะก็ หลิงฮันคงจะมีปัญหาแล้วจริงๆ
“มันกำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง!”
“พระเจ้า!”
ทุกคนอุทานออกมา สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์ ถ้าเขาสามารถทำให้แผ่นหินเปล่งแสงสีแดงออกมาได้ นั่นหมายความว่าเขาแข็งแกร่งเทียบเท่ากับตงหลิงเอ๋อและฉือชิ่วเหริน
“ย๊าก!” เจี่ยหมิงคำรามออกมาอีกครั้ง หน้าผากของเขาปรากฏเส้นสายโลหิตสีฟ้าปูดออกมา และเบื้องหลังเขาเกิดภาพมายาของอสรพิษยักษ์ตัวหนึ่งพร้อมกับเปล่งเสียงกรีดร้อง
พรึบ หินประเมินยุทธเริ่มเปลี่ยนเป็นแสงสีดำ!
รายชื่อทั้งหมดบนแผ่นหินจางหายไป และบนแผ่นหินปรากฏคำสองคำขึ้นมาว่า “ทิ้งชื่อ!”
เจี่ยหมิงแข็งแกร่งมาก เขาแข็งแกร่งกว่าอัจฉริยะรุ่นก่อน อย่างน้อยเขาก็ติดอันดับหนึ่งในร้อย!
ตอนที่ 716
ทุกคนรู้สึกตกตะลึง มันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ในสมัยก่อนมีอัจฉริยะมากมายหลายคน แต่มีเพียงแค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้นที่สามารถสลักชื่อของตัวเองเอาไว้ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะติดอันดับที่เท่าไหร่ แต่ก็เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอยู่ดี
เจี่ยหมิงสามารถทิ้งชื่อของเขาเอาไว้ได้…ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!
นี่เป็นสิ่งที่ทั้งตงหลิงเอ๋อและฉือชิ่วเหรินทำไม่สำเร็จ
เจี่ยหมิงยิ้มเยาะออกมาอย่างภาคภูมิใจและสลักชื่อของตัวเองลงบนแผ่นหิน หลังจากนั้นแผ่นหินก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งพร้อมกับรายชื่อ พวกเขาเห็นชื่อของเจี่ยหมิงอยู่ที่อันดับเก้าสิบเจ็ด ส่วนชื่อของคนที่ติดอันดับหนึ่งร้อยในก่อนหน้านี้ก็ได้หายไปจากแผ่นหิน
อันดับเก้าสิบเจ็ดมากกว่าราชินีหยินสามอันดับ ตอนนี้อันดับของราชินีหยินตกไปอยู่ที่อันดับหนึ่งร้อยแล้ว
เจี่ยหมิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่พอใจกับความสำเร็จ แต่เขาก็ปรากฏรอยยิ้มอยู่ที่มุมปากอย่างรวดเร็ว เขาเดินถอยหลังเล็กน้อยและหันไปสบตากับหลิงฮันด้วยท่าทางดูถูก
การมีชื่ออยู่บนแผ่นหินมันน่าทึ่งขนาดไหนน่ะหรือ?
เขาสามารถเทียบเคียงได้กับอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยก่อน!
“เซียนเซียน!” เจี่ยหมิงจ้องมองไปที่เหวินเหรินเซียนเซียนด้วยความภาคภูมิใจ ราวกับว่าต้องการให้นางเข้ามากราบไหว้อยู่แทบเท้าของเขา
แม้ว่าเหวินเหรินเซียนเซียนจะตกตะลึงกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป แต่นางกลับรู้สึกผิดหวังกับนิสัยของเจี่ยหมิงมากกว่า อัจฉริยะสามารถทำตัวเย่อหยิงได้ แต่ถ้าใครทำตัวเย่อหยิ่งมากเกินไปมันก็จะน่ารำคาญ
ดวงตาอันงดงามของนางจับจ้องไปที่หลิงฮัน เขาเองก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์น่าสะพรึงกลัวเหมือนกัน และบางทีเขาอาจจะแสดงอะไรที่น่าทึ่งออกมาให้เห็น
จูเสวี่ยนเอ๋อ เหยียนเฮิงเหอ และคนอื่นก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่อทดสอบทีละคน แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรน่าทึ่งเกิดขึ้น แม้ว่าสองพี่น้องหลี่จะมีสิทธิ์เข้าร่วมสำนักสวรรค์ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำให้แผ่นหินเปล่งแสงออกมาได้
มีเพียงแค่จูเสวี่ยนเอ๋อกับเหยียนเฮิงเหอเท่านั้นที่ทำเสร็จ แต่สีที่พวกเขาทำให้แผ่นหินเปล่งแสงออกมาได้นั้นได้แค่สีม่วงเหมือนกับเหวินเหรินเซียนเซียน
อย่างไรก็ตาม การทดสอบนี่ไม่ได้เป็นการทดสอบแค่ความสามารถด้านวรยุทธและพรสวรรค์ที่ซ่อนเร้นของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทักษะที่พวกเขาฝึกฝนด้วย และพวกเขาจะถูกเปรียบเทียบในระดับพลังเดียวกัน
ดังนั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องสนใจผลลัพธ์มากเกินไป อนาคตสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลายิ่งไปกว่านั้น นี่คือการจัดอันดับหลังจากที่เทคนิคบ่มเพาะพลังและทักษะยุทธถูกดันให้ไปอยู่จุดสูงสุด แม้กระทั่งอัจฉริยะที่เก่งกาจก็อาจไม่สามารถทำได้
เจ้ากระต่ายเองก็ทดสอบเหมือนกัน ผลลัพธ์ของมันน่าตะตกลึงมาก มันสามารถทำให้แผ่นหินเปล่งแสงสีแดงออกมาได้ นั่นหมายความว่ามันมีความสามารถมากกว่าฉือชิ่วเหรินและตงหลิงเอ๋อเสียอีก!
อย่างไรก็ตาม ตงหลิงเอ๋อและฉือชิ่วเหรินอาจยังไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดออกมา นั่นเป็นเพราะพวกเขาอาจแค่ต้องการคุณสมบัติเข้าไปข้างในได้ก็เท่านั้น และมีหลายคนที่ไม่อยากแสดงพลังทั้งหมดของตัวเองออกมาให้เห็น
“หลิงฮัน ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่ออีกหน่อย หลังจากที่เจ้าทดสอบเสร็จ ข้าจะฆ่าเจ้าอีกครั้ง!” เจี่ยหมิงหัวเราะ “แล้วเจ้าจะได้เห็นว่าช่องหว่างระหว่างข้ากับเจ้านั้นต่างกันแค่ไหนและเจ้าจะต้องตายไปพร้อมกับความเสียใจ นั่นคือจุดจบของเจ้า!”
“มันเป็นไปได้ด้วยหรือที่จะต่อสู้กันที่นี่?” ใครบางคนพูดกระซิบ
“ใช่แล้ว พวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้กันที่นี่ หุ่นเชิดตัวนั้นจะเข้ามาแทรกแซง ถ้าเจ้าไม่ฟังมันอาจถูกฆ่าตาย และอาจมีบางคนที่ต้องได้รับความเดือดร้อน” ใครบางคนกล่าว
“เจี่ยหมิงอยู่ไกล เขาคงได้ยินไม่ชัดหรอก”
ถึงแม้เสียงสนทนาดังกล่าวจะเบา แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างเจี่ยหมิงจะไม่ได้ยินได้อย่างไร? และช่วยไม่ได้ที่เขาจะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาให้เห็น
การพูดแบบนั้นออกมา ไม่ใช่ว่ามันเป็นเหมือนกับการตบหน้าเขาหรอกหรือ?
หลิงฮันส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะ และเดินไปอยู่หน้าแผ่นหิน แล้วพูดว่า “กบที่อยู่ก้นบ่อยังมีชื่อติดเลย แล้วการทดสอบนี่มันจะยากเย็นแค่ไหนกันเชียว?”
“ปากดีนัก แล้วข้าจะรอดูผลการทดสอบของเจ้า” เจี่ยหมิงกล่าวอย่างเย็นชา
หลิงฮันวางมือลงบนแผ่นหินและใช้พลังของทักษะดาบสกัดแปดลมหายใจลงบนไปแผ่นหิน แต่แผ่นหินก็ไม่มีท่าทีว่าจะตอบสนอง เห็นได้ชัดว่าทักษะดาบนี่ไม่เพียงพอที่จะได้รับการยอมรับจากแผ่นหินแม้จะถูกผลักดันให้ไปอยู่จุดสูงสุดของทักษะแล้วก็ตาม
“หึ่ม!” เจี่ยหมิงเยาะเย้ย
“อย่าเพิ่งใจร้อน” หลิงฮันกล่าว
เจี่ยหมิงอยากจะพุ่งเข้าไปฆ่าหลิงฮัน เขาอาศัยอยู่ในป่ามาเป็นเวลานาน และได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรอยู่ทุกวัน การฆ่าคนกับสัตว์อสูรนั้นไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลยในสายตาของเขา ถ้าเขาไม่พอใจ เขาก็แค่ฆ่าทิ้งก็เท่านั้น
แต่เมื่อมองดูหุ่นเชิดเหล็กที่เฝ้าประตู เขาส่งเสียงกระแอมออกมาและระงับจิตสังหารภายในใจให้สงบลง ในตอนนี้เขายังไม่สามารถจัดการหุ่นเชิดตัวนี้ได้ รูปแบบอาคมบนหุ่นเชิดตัวนั้นมีความซับซ้อนมาก มันจะต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน
“โอ้ว นี่เจ้าจะรีบลงมือหน่อยไม่ได้หรือไง อย่าให้คนที่ต่อแถวอยู่หลังเจ้าต้องรอนาน!” เจี่ยหมิงพูดตะโกน
“หึ่ม!” หลิงฮันกล่าวดูหมิ่น “ไม่แปลกใจที่เจ้าเป็นคนป่าเถื่อน อย่างไรก็ตามผู้คนต่างก็มีความตระหนักในตนเอง ไม่เหมือนกับพวกไม่มีการศึกษาที่ชอบพูดตะโกนทั้งวันเหมือนแตรสร้างความหนวกหูไปทั่ว”
ฮ่าฮ่าฮ่า หลายคนส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที แต่พวกเขาก็ต้องรีบปิดปากอย่างรวดเร็วกลัวว่าจะสร้างความเกลียดชังให้กับเจี่ยหมิง อีกฝ่ายเป็นถึงจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวา และแน่นอนว่าเขาจะต้องมีพลังของระดับก้าวสู่เทวา จอมยุทธที่สามารถสยบเขาได้มีเพียงแค่ระดับทลายมิติหรือระดับสวรรค์เท่านั้น
มีจอมยุทธมากมายหลายคนอยู่บนโลก แต่จะมีพวกเขาสักกี่คนกันที่จะกล้าเผชิญหน้ากับห้านิกายโบราณ?
แน่นอนว่าเจี่ยหมิงมีคุณสมบัติที่จะทำตัวเย่อหยิ่ง
หลิงฮันเปลี่ยนเป็นโคจรทักษะสามดาบเร้นลับอยู่ในห้วงวิญญาณ พรึบ แผ่นหินเปล่งแสงสว่างออกมาทันที แต่เป็นสีม่วง
นี่ทำให้หลิงฮันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ทักษะสามดาบเร้นลับเป็นถึงทักษะดาบของนิกายดาบสวรรค์แต่ทำได้แค่ให้แผ่นหินเปล่งแสงสีม่วงออกมาแค่นั้น!
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เจี่ยหมิงหัวเราะเยาะออกมาอีกครั้ง เขารู้ดีว่าความแข็งแกร่งของหลิงฮํนจะต้องทำให้แผ่นหินส่องแสงออกมาได้อย่างแน่นอน เขาสามารถเทียบได้กับฉือชิ่วเหรินและตงหลิงเอ๋อ แสงสีม่วงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าหลิงฮันจะสามารถสลักชื่อลงบนแผ่นหินได้ มันยากเกินไปสำหรับคนอย่างเขา
เหวินเหรินเซียนเซียนและจูเสวี่ยนเอ๋อดูกังวลมาก แน่นอนว่าพวกนางว่าเป็นอย่างยิ่งว่าหลิงฮันจะเหนือกว่าเจี่ยหมิง แต่เมื่อเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้ใบหน้าที่งดงามของพวกนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลิงฮันเปลี่ยนไปใช้เนตรแห่งสัจธรรม แสงที่เปล่งออกมาจากแผ่นหินเปลี่ยนไปทันที จากสีม่วงกลายเป็นสีเขียว
“หืม เขาเองก็เป็นอัจฉริยะคนหนึ่งเหมือนกัน การที่เขาสามารถทำให้แผ่นหินเปล่งแสงสีเขียวออกมาได้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงถูกเจี่ยหมิงหมายหัว”
“นี่เจ้าไม่รู้จักเขาจริงหรือ เจ้าไม่รู้จักหลิงฮันแห่งสำนักสวรรค์หรือไง?”
“นักปรุงยาระดับสวรรค์คนนั่นน่ะรึ?”
“ใช่แล้ว นอกจากเขาแล้วจะเป็นใครไปได้!”
“สัตว์ประหลาด! เขาไม่เพียงแต่จะประสบความสำเร็จในศาสตร์ปรุงยาเท่านั้น แต่ยังเป็นจอมยุทธที่น่าหวาดกลัว นี่เขายังเป็นมนุษย์อยู่อีกรึ!”
ทุกคนต่างอุทานออกมา นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา
เจี่ยหมิงรู้สึกไม่พอใจอย่างหนักและส่งเสียงไม่พอใจออกมา ทำให้เสียงซุบซิบรอบตัวเขาเงียบหายไปทันที
เจี่ยหมิงคือรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์และในอนาคตเขาจะต้องกลายเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติอย่างแน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีนิกายมังกรปฐพีหนุนหลังอยู่ พวกเขาไม่สามารถสังหารเขาได้ แน่นอนรวมถึงการทำให้เขาไม่พอใจ
ตอนที่ 717
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยและใส่พลังของทักษะอสนีบาตเก้าทิวาลงไปในแผ่นหิน พรึบ แสงที่เปล่งออกมาจากแผ่นหินเปลี่ยนไปทันที จากสีเขียวเป็นสีแดง
เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้น สีหน้าของเจี่ยหมิงดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถ้าหลิงฮันแข็งแกร่งกว่า เขาอาจสลักชื่อบนแผ่นหินในอันดับที่สูงกว่าเขาได้
จากนั้นหลิงฮันไม่โคจรพลังของทักษะสามดาบเร้นลับอีกต่อไป แต่โคจรพลังของศรฆ่ามังกรทะลวงดาราออกมาแทน กลายเป็นทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์สามทั้งสามทักษะถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน
พรึบ แสงที่เปล่งออกมาจากแผ่นหินเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง จากสีแดงกลายเป็นสีดำ ทันใดนั้น รายชื่อที่อยู่บนแผ่นหินก็หายไปและมีคำพูดสองคำปรากฏ ทิ้งชื่อ!
นี่แสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของหลิงฮันในอนาคตเองก็เหนือกว่าอัจฉริยะในสมัยก่อนและติดอันดับหนึ่งในร้อย
“ข้าอยากจะบ้าตาย!”
“มีอีกคนหนึ่งที่เหนือกว่าอัจฉริยะรุ่นก่อนได้ นี่ข้าฝันไปหรือเปล่า?”
“มันควรจะมีแค่อัจฉริยะเพียงคนเดียวเท่านั้นที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่น นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“แต่นี่เป็นเพียงแค่ความแข็งแกร่งในอนาคตเท่านั้น ไม่ใช่ความแข็งแกร่งในปัจจุบันปัจจุบัน นอกจากนี้ ข้ายังมั่นใจว่าฉือชิ่วเหรินและตงหลิงเอ๋ออาจปิดบังพลังที่แท้จริงของตัวเอง พวกนางไม่มีทางอ่อนแอไปกว่าเจี่ยหมิง”
“ใช่แล้ว นอกจากนี้ยังมรจักรพรรดิดาบน้อยจากนิกายดาบสวรรค์และบุตรสายฟ้าจากนิกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์อยู่อีก และพวกเขาไม่ได้อ่อนแอแม้แต่น้อย!”
ฝูงชนกล่าว แต่ก็ไม่อาจมองข้ามแสงที่หลิงฮันสามารถทำให้แผ่นหินเปล่งออกมาได้ พรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวของเขานั้นสามารถเทียบได้กับอัจฉริยะจากห้านิกายโบราณ
หลิงฮันสลักชื่อของตัวเองลงไป หลังจากนั้นชั่วครู่ รายชื่อบนแผ่นหินก็เปลี่ยนไป มันมีชื่อของเขาอยู่ในรายชื่อและชื่อของราชินีหยินก็ตกไปอยู่ที่อันดับหนึ่งร้อย
เจ็ดสิบแปด!
ผลลัพธ์นี้ทำให้ทุกคนตกตะลึง ใบหน้าของเจี่ยหมิงเริ่มบิดเบี้ยว แต่หลิงฮันดูไม่พอใจเล็กน้อย
ทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามทักษะที่ถูกใช้ออกมาพร้อมกัน แต่กลับได้แค่อันดับเจ็ดสิบแปด?
อย่างน้อยก็มีอัจฉริยะอีกเจ็ดสิบเจ็ดคนที่อยู่เหนือกว่าเขา!
แล้วคนพวกนั้นจะครอบครองทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์คนละกี่ทักษะกัน?
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ แต่ความมั่นใจของเขาก็ไม่ได้สั่นคลอน เพราะนี่ยังไม่ใช่พลังทั้งหมดของเขา เขายังมีทักษะเก้ามังกรทรราชย์ และคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์อยู่อีกที่ยังไม่ได้ใช้ออกมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์กับหอคอยทมิฬ!
ช่างมันเถอะ เขาไม่ได้อย่างเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์เสียหน่อย
หลิงฮันเดินถอยออกมาและยิ้มให้กับเจี่ยหมิงพร้อมกับพูดว่า “กบที่อยู่ก้นบ่อ เจ้าเห็นถึงความต่างแล้วหรือยัง?”
อันดับที่เจ็ดสิบแปดกับเก้าสิบเจ็ด แน่นอนว่ามันแตกต่างกันอย่างมาก
“หลบไปให้พ้น!” เจี่ยหมิงเดินไปที่แผ่นหินและวางมือลงบนแผ่นหินอีกครั้ง “เมื่อครู่ ข้ายังไม่ได้แสดงพลังทั้งหมด!”
ว่าไงนะ!
ทุกคนคิดว่าเขาเป็นคนที่พูดจาโอ้อวดเก่งยิ่งนัก เขามีชื่อติดหนึ่งในร้อยแล้วแต่ยังบอกว่ายังไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดออกมา?
เจี่ยหมิงยังคงยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าแผ่นหิน แต่เส้นผมของเขาโบกสะบัดไปมา ด้านหลังของเขาปรากฏภาพมายาเหมือนกับอสรพิษยักษ์ แต่หัวของมันกับกลมเป็นปล้องราวกับว่ามันเป็น…หนอน!
เส้นโลหิตสีฟ้าเต้นอยู่บนหน้าผากของเขาอยู่ตลอดเวลา กล้ามเนื้อทุกส่วนสั่นไหว พลังกายภาพของเขาน่ากลัวมาก ราวกับว่าเพียงแค่เขาปล่อยหมัดออกไปก็สามารถทำลายภูเขา พลิกมหาสมุทรหรือแม้แต่ดวงดาวบนท้องฟ้า!
พรึบ แผ่นหินเปล่งแสงสีดำ แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ให้เขาทิ้งชื่อของตัวเอง แต่ชื่อของเขาเลื่อนจากอันดับเก้าสิบเจ็ดเป็นห้าสิบเอ็ดโดยอัตโนมัติ
นี่มัน!
เขาใช้วิธีลับอะไรกัน ตอนนี้เขาเก่งกว่าอัจฉริยะสมัยก่อนเกือบห้าสิบคน
ทุกคนรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ยังมีรายชื่อของอัจฉริยะอีกห้าสิบคนที่มีอันดับต่ำกว่าเจี่ยหมิง แล้วพวกเขาจะแข็งแกร่งและน่าหวาดกลัวแค่ไหน?
แม้แต่หลิงฮันยังรู้สึกเหมือนถูกตบหน้า มันหมายความได้ว่าทักษะลับของเจี่ยหมิงเหนือกว่าทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามทักษะของเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เจี่ยหมิงดึงมือกลับมาและหันไปมองหลิงฮัน “แล้วตอนนี้เจ้ารู้หรือยังว่าใครกันแน่ที่เป็นกบก้นบ่อ?”
“เจ้าก็แค่พูดตามข้าไม่ใช้สมองคิดเอง!” หลิงฮันส่ายหัว “เจ้าคิดหรือว่ามีแค่เจ้าคนเดียวที่ออมมือ?กบก้นบ่ออย่างเจ้าหลบไปให้พ้น ครั้งนี้ข้าจะแสดงให้เห็นถึงความต่างชั้น!”
เจี่ยหมิงรู้สึกตกตะลึง หรือว่าหลิงฮันเองก็ไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดออกมาเหมือนกัน?
ไม่มีทาง ไม่มีทาง เขาทดสอบครั้งแรกก็ได้อันดับที่เจ็ดสิบแปดแล้ว แต่ยังบอกว่าไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดออกมา? เขาจะต้องแกล้งข่มไปงั้น มันจะต้องเป็นแบบนั้นอย่างแน่นอน!
หลิงฮันวางมือลงบนแผ่นหินและโคจรพลังของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์
พรึบ แสงสีดำปรากฏและอันดับของหลิงฮันทะยานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
หกสิบ ห้าสิบ สี่สิบ สามสิบ มันรวดเร็วเหมือนกับปืนใหญ่
แม้แต่หลิงฮันเองยังรู้สึกตกตะลึง เพราะเขาเพียงแค่โคจรพลังของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ที่ยังไม่สมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นเพียงแค่ขั้นแรกของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เท่านั้น
ยี่สิบ สิบ เก้า แปด เจ็ด…สาม สอง หนึ่ง!
อันดับของเขาพุ่งไปอยู่ที่อันดับ “หนึ่ง”
“พรวด!”
“เป็นไปไม่ได้!”
ทุกคนไม่อยากทำใจเชื่อได้ มันน่าทึ่งเกินไป เขาเหนือกว่าอัจฉริยะในอดีตและปัจจุบันทุกคนและกลายเป็นอันดับหนึ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่าหลิงฮันจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวีปฮงเทียน?
หลิงฮันไม่ได้โคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์อีกต่อไป เนื่องจากมันเป็นเพียงแค่ขั้นแรกเท่านั้นและไม่มีความหมายที่จะโคจรต่อ เขายกมือขึ้นมาและแสยะยิ้มใส่เจี่ยหมิง
ในขณะนั้นสาวงามที่อยู่ที่นี่ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลิงฮันที่เป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ ใครจะไม่อยากเป็นภรรยาของชายที่เป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์กันเล่า และอันดับดังกล่าวทำให้พวกนางเต็มไปด้วยความลุ่มหลงในตัวเขา
ใบหน้าของเจี่ยหมิงกลายเป็นซีดขาว เขาอยากจะแสดงความต่างชั้นให้หลิงฮันได้เห็น แต่มันกลับกลายเป็นเขาเสียเอง
ตอนนี้อันดับของเขาอคือห้าสิบเอ็ดเท่านั้น แล้วจะเทียบกับหลิงฮันได้อย่างไร?
ตอนที่ 718
เจี่ยหมิงสรุปอยู่ในใจ นี่เป็นเพียงแค่ความแข็งแกร่งที่เป็นไปได้ของหลิงฮันในอนาคต ใช่ว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาจะด้อยกว่าหลิงฮันเสียหน่อย
ในทางตรงข้าม เขาทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวาแล้ว และตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาเพียงพอที่จะบดขยี้หลิงฮัน
ตราบใดที่เขามีโอกาส เขาจะต้องฆ่าอีกฝ่ายอย่างแน่นอน!
“หนิวอยากลองด้วย!” ฮูหนิววิ่งไปข้างหน้าด้วยความสนุกสนาม ราวกับว่านี่เป็นเรื่องสนุกของนาง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” บางคนส่งเสียงหัวเราะออกมาทันที เด็กสาวตัวน้อยอย่างนางจะไปทำอะไรได้?
“อย่าได้ดูถูกนางเชียว นางสามารถเข้าสำนักสวรรค์ได้ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเอง และสามารถโค่นล้มอัจฉริยะได้หลายคน” บางคนที่รู้จักฮูหนิวกล่าว
พรวด หลายคนสำลักออกมาทันที
นางน่ะหรือ? เด็กสาวตัวน้อยอายุเจ็ดขวบนี่นะ? มันเป็นไปได้ด้วย?
“เดี๋ยวก่อนเด็กน้อย ถ้าจะเล่นไปที่อื่นต่อไปคือตาของข้า!” ชายชราคนหนึ่งไม่พอใจ เขาต่อแถวอยู่ แต่มีเด็กสาวตัวน้อยแทรกคิวแล้วเขาจะทนได้อย่างไร?
“เจ้ากล้าขวางทางหนิว!” ฮูหนิวรู้สึกโกรธและปล่อยกำปั้นเล็กๆของนางไปในอากาศ “กระเด็นไปซะ!”
“เด็กน้อย เจ้ากล้ามากที่ท้าทายข้าคนนี้!” ชายชรากระโจนออกไปเพื่อที่จะคว้าคอของฮูหนิวและโยนออกไป
แต่ทว่าร่างของฮูหนิวกระพริบหายไปจากเอื้อมมือของเขาภายในพริบตา เมื่อนางปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง นางก็อยู่ด้านหลังของเขาแล้ว และเตะไปที่ชายชรา ตู้ม ชายชราถูกเตะกระเด็นออกไปและปลิวไปทางฝูงชนก่อนที่จะร่อนลงบนพื้นทรายอย่างงดงาม
“เป็นไปไม่ได้!” สีหน้าของชายชราไม่อาจปกปิดความตกตะลึงไว้ได้ นี่เขาถูกเด็กสาวตัวน้อยเตะกระเด็นในที่สาธารณะแบบนี้ แล้วเขาจะมีหน้าไปพบกับคนอื่นในอนาคตได้อย่างไร?
จิตสังหารของเขาปะทุออกมาทันที แต่ก่อนที่เขาจะกระโจนออกมา เขาถูกหุ่นเชิดเหล็กจับเอาไว้เหมือนกับนกอินทรีที่จับลูกไก่ และเขาไม่มีพลังที่จะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเอื้อมมือของมัน เขาจึงตะโกนถามออกไปว่า “ทำไมเจ้าถึงจับข้าแค่คนเดียว?”
ใช่แล้ว ทุกคนอยากจะถาม ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ห้ามต่อสู้กัน ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนจะถูกจับทันที แต่ตอนนี้ทำไมหุ่นเชิดเหล็กถึงจับแค่คนเดียว? เห็นได้ชัดว่าฮูหนิวเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ทำไมมันถึงไม่หยุดนาง?
ฮูหนิวเหลือบมองไปที่มันและพูดว่า “หุ่นเชิดน่าเกลียด เจ้ากล้าที่จะจับหนิว?”
หุ่นเชิดเหล็กเดินถอยหลังราวกับว่ามันกำลังหวาดกลัว
ทุกคนอยากจะส่งเสียงตะโกนออกไป นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน! หุ่นเชิดเหล็กไม่ควรที่จะมีความรู้สึก พวกเขาไม่รู้ว่ามันหวาดกลัวอะไร ทำไมมันถึงกลัวฮูหนิว?
ฮูหนิวหัวเราะและเดินไปที่แผ่นหิน ในขณะที่นางกำลังจะวางมือลงบนแผ่นหิน สีหน้าของนางก็ดูหงุดหงิดมากและพูดว่า “ทำไมมันถึงอยู่สูงขนาดนี้!” นางต้องเขย่งขาและเหยียดแขนออกไปเพื่อที่จะวางมือลงบนแผ่นหิน
ช่วยไม่ได้ที่ทุกคนจะส่งเสียงหัวเราะออกมา เด็กสาวตัวน้อยคนนี้เป็นคนตลกยิ่งนัก
ฮูหนิวกระโดดขึ้นไปบนแผ่นหิน ซึ่งเป็นการกระทำไม่สุภาพต่อทุกคน เพราะมีชื่อของอัจฉริยะจากทุกยุคสมัยถูกสลักอยู่บนแผ่นหิน!
แต่ทว่าแม้แต่หุ่นเชิดเหล็กยังไม่ตอบสนอง แล้วพวกเขาจะไปทำอะไรได้?
ฮูหนิววางมือเล็กๆของนางลงบนแผ่นหิน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างว่าแต่แสงสีดำเลย แม้แต่แสงสีม่วงยังไม่เปล่งออกมาให้เห็น นางรู้สึกโกรธมากและพูดว่า “หินนี่พังแล้ว!”
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “เจ้าลองคิดว่าหินก้อนนี้เป็นศัตรูดูสิ และอยากจะทำลายมันอยู่ในใจ!”
“อย่างนี้นี่เอง!” ฮูหนิวยิ้ม นางปิดตาลง ปากของนางกระตุกราวกับกัด พรึบ แผ่นหินเปล่งแสงออกมาทันที และแสงสีดำพุ่งขึ้นมากลายเป็นคำสองคำ : ทิ้งชื่อ!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ถึงมีคนที่มีพรสวรรค์น่าสะพรึงกลัวปรากฏตัวออกมาพร้อมกันถึงสองคน คนหนึ่งกลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่ง และตอนนี้เองเด็กสาวตัวน้อยอายุเจ็ดขวบก็สามารถทิ้งชื่อของตัวเองได้ด้วย!
ช่วยไม่ได้ที่คนพวกนี้จะเรียกนางว่าอัจฉริยะ แม้จะเป็นเด็กที่อายุน้อยกว่ามากก็ตาม
ฮูหนิวเขียนชื่อลงบนแผ่นหินว่า “หลิงฮันเป็นของหนิว” นางยิ้มอย่างมีความสุขและเดินกลับไปอย่างพึ่งพอใจกับผลงานชิ้นเอกของตัวเองและพูดว่า “หลิงฮัน หนิวลายมือสวยไหม?”
“สวย” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
จากนั้น แสงสีดำได้จางหายไปและทุกคนจับจ้องไปที่มันทันทีว่า “หลิงฮันเป็นของหนิว” จะอยู่อันดับที่เท่าไหร่
พวกเขาเริ่มมองจากอันดับสูงสุดก่อน แต่อันดับเก้าสิบขึ้นไปก็ไม่พบชื่อของนาง! แปดสิบขึ้นไปก็ไม่มี! เจ็ดสิบขึ้นไปก็ไม่พบ! ไม่ ไม่ ไม่มีทาง แม้แต่อันดับห้าสิบกว่าก็ยังไม่เจอชื่อของนาง
“ดูแถวแรก!” ใครบางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน
ทุกคนมองไปที่รายชื่อแถวแรกของแผ่นหินและเห็นคำว่า “หลิงฮันเป็นของหนิว” อยู่อันดับหนึ่ง อันดับของนางทำให้อันดับของหลิงฮันตกลงไปอยู่ที่สอง ส่วนอันดับหนึ่งในตอนแรกที่สลักชื่อของตัวเองว่า “อันดับแรก” ตอนนี้ไปอยู่ที่สามแล้ว ซึ่งดูเป็นเรื่องที่น่าอับอายเล็กน้อย
ทุกคนหันไปมองฮูหนิวและชื่อบนแผ่นหินไปมา มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่อัจฉริยะอันดับหนึ่งจะเป็นเด็กสาวตัวน้อยคนนี้
พวกเขายังคงตกตะลึงกับเรื่องของหลิงฮันที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ นี่ทำให้พวกเขาทั้งรู้สึกตกใจและมึนงงเล็กน้อย มันเป็นเหมือนกับความฝัน
“ยอดเยี่ยม หนิวได้อันดับหนึ่ง!” ฮูหนิวตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
สีหน้าของเจี่ยหมิงกลายเป็นสีเขียว แค่หลิงฮันก็เหนือกว่าเขาแล้ว แต่ตอนนี้แม้กระทั่งเด็กสาวตัวน้อยยังมีความแข็งแกร่งในอนาคตเหนือกว่าเขา แล้วเขาจะยอมรับเรื่องนี้ได้ยังไง? ความมั่นใจของเขาพังทลายย่อยยับและแทบจะบ้าคลั่ง
หลิงฮันไม่รู้สึกแปลกใจ ภายในตันเถียนของฮูหนิวมีบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ แล้วจะไม่เหนือกว่าอัจฉริยะสมัยก่อนได้อย่างไร?
เขายิ้มให้กับฮูหนิวและพูดว่า “พวกเราเข้าไปดูข้างในกันเถอะว่ามีอะไรให้เก็บเกี่ยวบ้าง”
“อืม!” ฮูหนิวจับมือของหลิงฮันและทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในตำหนัก หุ่นเชิดเหล็กหลีกทางให้และโค้งตัวเหมือนแสดงความเคารพ
นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจ เพราะมันไม่ปฏิบัติกับผู้ที่ผ่านการทดสอบก่อนหน้านี้เหมือนกับที่ปฏิบัติกับหลิงฮันและฮูหนิว หรือว่านี่จะเป็นการดูแลเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีรายชื่ออันดับแรก?
“พี่ชายหลิง!” เหวินเหรินเซียนเซียนรีบวิ่งไล่ตามเขาด้วยความสดใส ครั้งนี้นางต้องการสร้างความสนิทสนมกับหลิงฮันให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
เจี่ยหมิงเค้นเสียงและเดินไปที่ประตูตำหนัก เขาเองก็อยากจะเข้าไปในตำหนักเหมือนกัน แต่มีหุ่นเชิดขวางอยู่ มันไม่ปล่อยให้เขาเข้าไปข้างใน นี่ทำให้เจี่ยหมิงรู้สึกโกรธมาก
ตอนที่ 719
หลังจากเข้าไปในตำหนัก พวกเขาพบว่าตัวเองอยู่ในห้องโถงและมีบันไดพาขึ้นไปสู่ชั้นสอง จากความสูงของตำหนักแล้วที่นี่น่าจะมีทั้งหมดห้าชั้น
“อาวุธที่เจ้าใช้คืออะไร?” เสียงบางอย่างดังเข้ามาในหูของหลิงฮัน
“ใคร?” หลิงฮันหันไปมองทุกคน “พวกเจ้าได้ยินเสียงนั้นหรือไม่?”
“ข้าได้ยิน เสียงนั่นถามว่าข้าใช้อาวุธอะไร” ทุกคนกล่าว
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ดาบ!”
พรึบ หลังจากพูดจบ ร่างของเขาหายไปจากห้องโถงแล้วปรากฏตัวอยู่ในห้องปิดตายที่ประตูถูกปิดอย่างแน่นหนาแสดงให้เห็นว่าเขาถูกส่งมาที่นี่โดยตรง
ถ้าเป็นจักรวรรดิยุคโบราณ วิธีการแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
หลิงฮันไม่รู้สึกตื่นตระหนก ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกคนจะถูกส่งไปคนละห้องที่แตกต่างกันเพราะอาวุธที่พวกเขาใช้นั้นไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม คนที่ใช้ดาบเหมือนกันทำไมไม่ปรากฏตัวในห้องเดียวกัน?
นี่อาจเกี่ยวกับศักยภาพของเขาก่อนหน้านี้ ยิ่งอันดับสูงเท่าไหร่ ระดับของห้องก็อาจจะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
หลิงฮันเหลือบมองรอบด้านและพบว่ามันเป็นแค่ห้องหินที่ว่างเปล่า มีเพียงแค่โต๊ะอยู่ตรงกลางห้องกับดาบที่อยู่ในฝักอยู่บนโต๊ะ แม้ว่าดาบจะยังไม่ถูกชักออกมาจากฝัก แต่หลิงฮันก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวพร้อมกับจิตสังหารที่รุนแรงออกมาจากมันแล้ว
หลิงฮันรู้สึกตกตะลึง เขาไม่เคยเห็นดาบอย่างมันมาก่อน แม้ว่าเขาจะมีอาวุธวิญญาณระดับสิบอยู่ในมือ แต่ในแง่ของกลิ่นอายดาบกำเนิดมารด้อยกว่าดาบเล่มนี้มาก
ราวกับว่าดาบเล่มนี้เกิดมาเพื่อฆ่าฟันโดยเฉพาะ
หลิงฮันเดินตรงเข้าไป แต่เมื่อเขาอยู่ห่างจากมันประมาณหนึ่งไมล์ ดาบถูกชักออกมาจากฝักโดยอัตโนมัติแล้วโจมตีใส่เขาทันที เหมือนเป็นการข่มขู่และถ้าเขาเดินเข้าไปหามันอีกก้าวมันจะฆ่าเขาทันที
พลังของดาบเล่มนี้ยังอยู่ในระดับตัวอ่อนวิญญาณ ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเขา แน่นอนว่าหลิงฮันไม่หวาดกลัว และยกแขนขึ้นมาป้องกัน
ฉึก!
หลิงฮันถูกบังคับให้ถอยหลังออกไปเจ็ดก้าว และแขนของเขาปรากฏบาดแผลเจ็ดจุดพร้อมกับโลหิตที่พุ่งออกมา
หลิงฮันรู้สึกทึ่งมาก กายหยาบของเขาแข็งแกร่งแค่ไหน? ตามทฤษฎีแล้วมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าแร่เหล็กระดับแปด แม้แต่การโจมตีจากจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาเองยังเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ แต่แสงดาบเมื่อครู่เป็นเพียงแค่การโจมตีระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ก็สามารถทำให้เขาต้องหลั่งเลือดได้ แล้วจะไม่น่าทึ่งได้อย่างไร?
พลังไม่ได้หมายถึงพลังต่อสู้และไม่ได้หมายถึงพลังทำลายล้าง
หลิงฮันรู้เรื่องนี้ดี
ตัวอย่างเช่น ถ้าออกแรงเท่ากันโดยใช้แท่งเหล็กเคาะไม้ กับใช้ขวานตัดไม้ ผลลัพธ์ของความเสียหายจะเทียบเคียงกันได้หรือไม่?
พลังเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
หลิงฮันยิ้มออกมา ถ้าเขาอยากได้ดาบเล่มนี้ เขาจะต้องพิชิตดาบเล่มนี้ให้ได้ก่อน?
น่าสนใจดีนิ!
เขาเป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ ดังนั้นดาบเล่มนี้จึงแสดงแค่พลังของระดับตัวอ่อนวิญญาณต่อสู้กับเขา แต่พลังต่อสู้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในระดับเดียวกัน แสงดาบเล่มนี้เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง ถ้าร่างกายของเขายังเป็นกายาเหล็ก แขนและขาของเขาคงขาดไปแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า การได้ต่อสู้ในระดับเดียวกัน นั่นเป็นการเปรียบเทียบที่ดี!” หลิงฮันกระโจนไปข้างหน้า เขารู้สึกสนใจดาบเล่มนี้มาก หรือว่ามันเองก็เป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบถึงสามารถสร้างแสงดาบที่ทรงพลังขนาดนั้นได้
พรึบ พรึบ พรึบ พรึบ แสงดาบพุ่งเข้าหาเขาทีละระลอกเพื่อที่จะสะบั้นเขา
หลิงฮันป้องกันแสงดาบด้วยหมัดของเขา พลังของแสงดาบนั่นบรรลุถึงจุดสูงสุดของระดับตัวอ่อนวิญญาณ ทำให้พลังทำลายล้างของมันรุนแรงมาก แม้กระทั่งกายหยาบของเขายังได้รับบาดเจ็บ
เขาจ้องมองไปที่ดาบ มันมีเส้นบางอย่างหลายเส้นมากบนดาบ แต่นั่นไม่ใช่เจตจำนงแห่งเต๋า แต่เป็นอักขระอาคม
แม้ว่าความเชี่ยวชาญด้านรูปแบบอาคมของเขาจะไม่สูงมากนัก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะตัดสินใจเช่นนี้
นี่ไม่ใช่อาวุธวิญญาณ แต่เป็น…แก่นรูปแบบอาคม?
ในตอนนี้หลิงฮันรู้สึกตกตะลึงมาก หรือว่าดาบเล่มนี้จะเป็นรูปแบบอาคมอย่างหนึ่งและมันต้องการที่จะฆ่าเขา?
ตึก ตึก ตึก เลือดไหลออกมาจากร่างกายของหลิงฮันอยู่ตลอดเวลา ดาบเล่มนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง เขาไม่สามารถเข้าใกล้และไม่สามารถหยุดไม่ให้เลือดหยุดไหลได้ แล้วเขาจะเอามันมาได้อย่างไรถ้าไม่เข้าไปใกล้?
หลิงฮันจึงใช้ทักษะอสนีเก้าทิวา แล้วพุ่งออกไปด้วยย่างก้าวเทพธิดาปีศาจ เขาจะไม่เผชิญหน้ากับมันโดยตรงอีกต่อไป ในแง่ของความแข็งแกร่ง ดาบเล่มนี้โดดเด่นมากและเขาทำได้แค่ตกตะลึงเท่านั้น
พรึบ แสงดาบสว่างเจิดจ้าไปทั่วทุกที่ แต่หลิงฮันสามารถหลบได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้ระยะห่างระหว่างเขากับดาบเริ่มแคบลงเรื่อยๆ
แต่เมื่อหลิงฮันอยู่ห่างจากดาบเพียงแค่หนึ่งก้าว เขาเห็นดาบตั้งขึ้นมาและส่องแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วท้องฟ้า
ภายใต้แรงกดดันของหลิงฮัน ดาบเล่มนี้ได้แสดงพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมออกมา
พลังของมันยังคงอยู่ในระดับตัวอ่อนวิญญาณแต่พลังทำลายล้างของมันรุนแรงกว่าเดิมมาก
แขนของหลิงฮันถูกฟันอีกครั้ง ครั้งนี้บาดแผลของเขาลึกกว่าก่อนหน้านี้มากจนเกือบจะเห็นกระดูก
ดาบเล่มนั้นลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของมันและปลายดาบชี้ไปที่หลิงฮัน
“รูปแบบอาคมนี่อยู่ในระดับไหนกัน?” หลิงฮันจ้องมองไปที่อักขระอาคมบนดาบ เขาไม่รู้จักรูปแบบอาคมนี้เลยแม้แต่น้อย มีเพียงสองจุดเท่านั้นที่สามารถระบุได้ หนึ่ง พลังของมันน่าสะพรึงกลัวมาก ถ้ามันใช้พลังทั้งหมดแม้แต่จอมยุทธระดับทลายมิติก็ยังถูกกำจัด สอง รูปแบบอาคมนี่มีข้อบกพร่อง มันยังไม่สมบูรณ์แบบ
มันน่าอัศจรรย์มาก แม้จะไม่ใช่รูปแบบอาคมที่สมบูรณ์แต่ก็น่าสะพรึงกลัวแล้ว แล้วถ้ามันสมบูรณ์จะทำให้มันน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน?
“ข้าจะทำให้เจ้ายอมรับ!” หลิงฮันกล่าวด้วยความภาคภูมิใจแล้วนำดาบกำเนิดมารออกมา ซึ่งเจตจำนงของมันยังไม่ฟื้นฟูดี และโจมตีออกไปด้วยดาบทักษะดาาบลึกลับสามพันเล่มทันที
แต่ทว่าดาบกำเนิดมารในตอนนี้ยังไม่ทรงพลังพอ พลังของดาบเล่มนั้นยังคงอยู่ที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่พลังทำลายล้างของมันนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก หลิงฮันคาดเดาว่าดาบเล่มนี้สามารถกำจัดศิษย์ของสำนักสวรรค์ได้ทั้งสำนัก
หลิงฮันปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา ไม่ว่าจะเป็นเนตรแห่งสัจธรรม ทักษะอสนีเก้าทิวา นี่ทำให้เขาเหนือกว่าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณไปแล้ว หรือแม้กระทั่งเทียบได้กับจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาขั้นสูง แต่นี่ทำให้เขาสู้ได้สมน้ำสมเนื้อกับมันเท่านั้น
ยิ่งดาบเล่มนี้ทรงพลังมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องการมันมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
และตราบใดที่มันไม่ใช่อาวุธวิญญาณ เขาสามารถนำมันเข้าไปในหอคอยทมิฬได้ และมันจะกลายเป็นเรื่องง่ายทันทีที่จะสยบมัน
ตอนที่ 720
มันพูดง่ายแต่ยากที่จะทำ!
เมื่อหลิงฮันเข้าใกล้ ดาบเล่มนี้จะระเบิดพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าแสงดาบมาจากอักขระอาคม ซึ่งทำให้พลังของมันถูกยกระดับขึ้น
มันยากมาก ยากเกินไปที่จะทำ!
หลิงฮันรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่ต้องทำให้เชื่อง แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน เพราะยังไงเขาก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ดี
แล้วเขาจะสามารถสยบมันได้อย่างไร?
หลิงฮันขมวดคิ้ว แม้เขาจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่นมากพอและไม่กลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บจากมัน แต่ปัญหาคือเขายังแข็งแกร่งไม่พอ เมื่อใดที่เขาเข้าใกล้มันเกินไป มันจะปล่อยแสงดาบอันไร้ที่สิ้นสุดออกมาและเขาไม่สามารถหลบหรือซ่อนตัวได้เลยและบังคับให้เขาต้องล่าถอย
มันเป็นวิธีการที่โกงมาก แล้วเขาจะเอามันมาได้อย่างไร?
หลิงฮันใช้เนตรแห่งสัจธรรมไปแล้ว แต่ก็ไร้ประโยชน์ แสงดาบมันเจิดจ้าเกินไป มันไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย แม้เขาจะกลายเป็นแมลงวัน เขาก็ไม่สามารถหลบการโจมตีของมันพ้น
ไม่มีทางเลือกเลย! ข้าไม่มีทางเลือกเลยแม้แต่วิธีเดียว!
แล้วข้าควรทำยังไง?
หลิงฮันขบคิดถึงวิธีการที่จะรับมือกับมัน วิธีการแรกเขาสามารถใช้ชามพลิกสวรรค์แล้วดูดมันเข้ามาโดยตรง
แต่นั่นไม่ใช่วิธีการที่เหมาะสม เพราะชามพลิกสวรรค์จะกลั่นทุกอย่างนั่นรวมถึงอักขระอาคมบนดาบ
เขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น!
ถ้าอย่างนั้น…ข้าจะลองใช้อักขระที่อยู่บนมือซ้ายดีไหม?
มันคือปราณอสูรที่มาจากจักรพรรดิจอมอสูร หอคอยทมิฬน้อยเคยพูดว่าพลังของมันนั้นฝืนกฎธรรมชาติและมีพลังทำลายล้างที่น่าอัศจรรย์มาก จนถึงตอนนี้หลิงฮันยังไม่รู้ขีดจำกัดของมันเลย บางทีมันอาจกำจัดแสงดาบได้
เขาต้องลองดู
เขากระโจนเข้าหาดาบอีกครั้งพร้อมกับยื่นมือซ้ายออกมา อักขระสีดำปรากฏออกมาและพุ่งเข้าหาแสงดาบ ทำให้แสงดาบถูกทำลายหายไปทันที
มันได้ผล!
หลิงฮันรู้สึกมีความสุขมาก และเดินตรงไปข้างหน้าเพื่อเก็บดาบเล่มนั้นมา แต่ในขณะนั้นเอง ดาบเล่มนั้นก็ปลดปล่อยจิตสังหารที่น่าหวาดกลัวออกมาและอักขระรูปแบบอาคมบนดาบก็ถูกเปิดใช้งานเต็มที่
อักขระรูปแบบอาคมบนดาบที่ถูกเปิดใช้งานเต็มที่ทำให้ดาบมีพลังเทียบได้กับพลังของจอมยุทธระดับทลายมิติ
พรึบ ดาบเล่มนั้นราวกับกำลังลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ และต้องการที่จะฆ่าหลิงฮัน พลังของมันในตอนนี้เทียบได้กับจอมยุทธระดับทลายมิติ!
หลิงฮันเข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ในหอคอยทมิฬทันที ตอนนี้เขาไม่มีทางต่อกรกับระดับทลายมิติได้เลย และปฏิบัติตัวดั่งคำพูดรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง การหลบซ่อนตัวจึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด
เมื่อดาบเล่มนั้นสูญเสียเป้าหมายของมันไป ในไม่ช้าก็มันเริ่มสงบลง
หลิงฮันรู้สึกหดหู่มาก ปราณอสูรใช้ไม่ได้ผล แล้วทำไมอักขระรูปแบบอาคมบนดาบถึงถูกกระตุ้นให้เปิดใช้งานเต็มที่? ไร้เหตุผล ไร้เหตุผลสิ้นดี แล้วข้าจะเอามันมาได้อย่างไร?
“หอคอยทมิฬน้อย เจ้ามีวิธีอะไรไหม?” หลิงฮันถาม
หอคอยทมิฬน้อยแกว่งไปแกว่งมาและปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าหลิงฮัน มันพูดว่า “มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าจะครอบครองดาบเล่มนั้นได้ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้า อักขระอาคมบนดาบอยู่เหนือกว่ากฎแห่งสวรรค์และปฐพีของโลกบนนี้ แม้ว่ามันจะยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม แต่มันก็ยังคงเป็นอาคมที่มีระดับสูงมาก”
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งใช้ปราณอสูร แล้วทำไมดาบถึงถูกเปิดใช้งานเต็มที่? หลิงฮันรู้สึกงงงวย
“เพราะพวกมันทั้งสองมีพลังของกฎธรรมชาติ พวกมันเลยกระตุ้นซึ่งกันและกัน” หอคอยทมิฬน้อยตอบกลับ แล้วพูดด้วยความเด็ดขาดว่า “แต่พวกมันก็แค่เป็นพลังที่อ่อนแอที่สุดของกฎธรรมชาติ ข้าสามารถกำจัดพวกมันออกไปได้เพียงแค่ออกแรงเล็กน้อย”
มันพูดจาโอ้อวดอีกแล้ว
หลิงฮันกางมือและพูดว่า “เรื่องที่เจ้าพูดมามันมีประโยชน์อะไรกับข้า ถ้าเจ้าไม่สามารถช่วยทำให้ข้าได้ครอบครองดาบเล่มนั้นได้!”
หอคอยทมิฬน้อยหยุดพูดชั่วขณะเหมือนว่ามันจะลังเล หลังจากนั้นไม่นาน มันก็พูดว่า “ไม่ใช่ว่ามันไม่มีวิธี”
“วิธีอะไร?” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ
หอคอยทมิฬน้อยกล่าวด้วยความหนักแน่นและเชื่องช้าว่า “เจ้าบ่มเพาะพลังคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์และบรรลุกายาเพชร แต่มันมีแค่ความแข็งเท่านั้น กายาเพชรที่แท้จริงมันไม่ได้แข็งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันเป็นการผสมผสานระหว่างความแข็งแกร่งและอ่อนนุ่ม”
“เจ้าจะพูดว่า…แข็งแกร่งและอ่อนนุ่ม?” หลิงฮันถาม
“ใช่แล้ว ยิ่งแข็งก็ยิ่งแตกง่ายเช่นกัน มันไม่ใช่การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด” หอคอยทมิฬน้อยอธิบายว่า “เจ้าได้บรรลุจุดสูงสุดของมนุษย์ไปแล้ว และเกือบจะเข้าใจถึงความอ่อนนุ่ม”
“แล้วข้าต้องทำอะไร?” หลิงฮันรู้สึกสนใจกับสิ่งที่มันพูด เขาไม่รีบร้อนที่จะถามหาวิธีที่จะสยบดาบอีกต่อไป
“ไม่ใช่ว่าเจ้ามีทองคำก่อเกิดผลาญโลหิตหรอกหรือ?” หอคอยทมิฬพูดต่อทันทีว่า “ทองคำก่อเกิดผลาญโลหิตสามารถพูดได้ว่าเป็นตัวอย่างทั่วไปของความแข็งแกร่งและความนุ่มนุ่ม เมื่อมีพลังมหาศาลมากระทำ ถึงมันจะบิดเบี้ยวแต่ก็ไม่แตกหัก”
หลิงฮันนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้และพูดว่า “ข้าเคยชกเจี่ยหมิงด้วยหมัด แต่คอของอีกฝ่ายยืดออกไปหลายสิบฟุต”
“ใช่แล้ว นั่นคือการผสมผสานกันระหว่างความแข็งแกร่งและความอ่อนนุ่ม เจ้าได้ฝึกฝนบ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์และบรรลุกายาเพชร มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีใครมีกายหยาบแข็งแกร่งไปกว่าเจ้า อย่างไรก็ตาม เจ้ายังไม่มีความอ่อนนุ่ม ดังนั้นในแง่ของกายหยาบเจ้าไม่ได้อยู่ยงคงกระพันในระดับเดียวกัน” หอคอยทมิฬน้อยกล่าว
“แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอะไร?” หลิงฮันถาม
หอคอยทมิฬน้อยกล่าวว่า “มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจากอนุภาคมากมาย ความแข็งแกร่งของอนุภาคเหล่านั้นได้รับการพัฒนาจากทักษะบ่มเพาะกายา แต่ถ้าเจ้าคิดในอีกมุมมองหนึ่ง การรวมกันของอนุภาคไม่ได้รับการปรังปรุง ทำไมเจ้าไม่ทำลายมันซะเลยล่ะ?”
“หินนับไม่ถ้วนถูกสร้างขึ้นเป็นกำแพงขนาดใหญ่ แต่พวกมันก็สามารถก่อตัวเป็นหอคอยได้ด้วยจำนวนเท่าเดิมเช่นกัน ด้วยหินจำนวนเท่าเดิม มันสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นับไม่ถ้วน”
“แล้วร่างกายของมนุษย์มีกี่อนุภาค?”
“นับไม่ถ้วน!”
“ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของเจ้าจะไม่มีที่สิ้นสุดนี่คือความน่าอัศจรรย์ของสิ่งมีชีวิต มันมีความเป็นไปได้ที่ไร้ที่สิ้นสุด ไม่เหมือนกับสมบัติ หุ่นเชิดที่ถูกสร้างขึ้นมา”
หลิงฮันคิดบางอย่างขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน หอคอยน้อยไม่ได้บอกความลับแก่เขา แต่มันเปิดประตูให้เขาและแสดงให้เขาเห็นเส้นทางใหม่
คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ตามที่หอคอยทมิฬน้อยพูด มันควรจะแข็งแกร่งที่สุดในโลก มันเป็นอนุภาคที่ประกอบขึ้นเป็นร่างกายซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในระดับเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากร่างกายประกอบด้วยอนุภาคนับไม่ถ้วน อนุภาคไม่สามารถทำลายได้ แต่การผสมผสานกันสามารถทำลายได้
สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือปล่อยให้อนุภาคเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องเมื่อเขาถูกโจมตี เหมือนกับเจี่ยหมิง เมื่ออีกฝ่ายถูกกำปั้นของเขาต่อย คอของมันยืดออกไปสองสามฟุตและสลายการโจมตีของเขา
อีกฝ่ายสามารถควบคุมอนุภาคของร่างกายได้แล้ว ซึ่งเป็นการแสดงออกที่อ่อนนุ่ม
ความแข็งแกร่งและความอ่อนนุ่มเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
ความแข็งแกร่งและความอ่อนนุ่มเหมือนกับทองคำก่อเกิดผลาญโลหิต มันสามารถใช้ฆ่าคน ยืดหยุ่นและพันรอบนิ้วมือได้
ช่วยไม่ได้ที่เขาจะคิดลึกลงไปอีก หลิงฮันใช้เนตรแห่งสัจธรรมมองตัวเองและค้นหาวิธีการควบคุมการไหวเวียนของอนุภาคภายในร่างกาย
ในความเป็นจริง คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์มีบันทึกเกี่ยวกับอนุภาคอยู่ แต่ไม่ชัดเจนนัก เขาไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขาได้รับคำแนะนำจากหอคอยทมิฬน้อยแล้ว
หลิงฮันหลงลืมเรื่องเวลาไปและจมอยู่ในห่วงความคิดของตัวเอง
ตอนที่ 721
ภายในใจ หลิงฮันรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้เขารู้สึกพึงพอใจ
เขาเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมมากคนหนึ่ง พิสูจน์ได้จากความจริงที่ว่าชีวิตที่แล้วของเขา เขาสามารถเป็นจักรพรรดินักปรุงยาได้ และนี่ยังเป็นความรู้พื้นฐานติดตัวของเขา เขาสามารถประสบความสำเร็จในศาสตร์แห่งการปรุงยาโดยไม่ต้องเรียนรู้จากใคร ไม่ใช่ว่านี่เป็นเรื่องน่าทึ่งหรอกหรือ?
แต่ตอนนี้เข้ามุ่งไปที่วิถียุทธและแสวงหาวิธีเพื่อนที่จะไปให้ถึงจุดสูงสุดด้วยจิตใจอันแน่วแน่
ภายในร่างกายของเขากำลังมีการเปลี่ยนแปลงมากมายเกิดขึ้น ความแข็งแกร่งและอ่อนนุ่มมันเป็นเรื่องง่ายที่จะพูด แต่เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำ
เพราะทุกคนคุ้นเคยกับสภาพปัจจุบันจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำลายสภาพปัจจุบันทิ้งเพื่อทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงและมีความยืดหยุ่นเหมือนกับทองคำก่อเกิดผลาญโลหิต
ทำลายสภาพตัวเองในปัจจุบันและสร้างขึ้นมาใหม่
หลิงฮันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เมื่อเขาเหยียดนิ้วชี้ขวาออกไปเขาพบว่านิ้วมือของเขายืดออกไปข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่นิ้วชี้ของเขายืดจนมีความยาวเท้าแขน มันก็ไม่สามารถยืดออกไปได้อีก นี่คือขีดจำกัดของเขา
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะฉีกยิ้มออกมา เขาทำสำเร็จ!
แม้ความยืดหยุ่นของเขาจะห่างไกลจากระดับของทองคำก่อเกิดผลาญโลหิต แต่มันก็เป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่
ลองอีกครั้ง
หลิงฮันไม่ได้นั่งฝึกฝนอย่างเดียว เขายังคงแกว่งเท้าและหมัดไปมา แต่หมัดและลูกเตะของเขาค่อยๆยืดออกไปอย่างช้าๆ
ร่างกายของเขากำลังยืด!
ดวงตาของหลิงฮันเปล่งประกาย นี่อาจนำไปสู่วิธีการต่อสู้ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
คนอื่นอาจคิดว่าเขาสามารถโจมตีระยะไกลได้แค่ครั้งเดียวด้วยพลังปราณ แต่ในความเป็นจริง เจาสามารถโจมตีออกไปในระยะไกลได้หลายครั้งและมันจะทำให้คนอื่นยากที่จะป้องกัน
และจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหมัดและขาของเขาสามารถยืดออกไปได้ไม่สิ้นสุด ไม่ใช่ว่ามันจะเปลี่ยนให้ทุกการต่อสู้เป็นการต่อสู้ระยะประชิดหรอกหรือ? ต้องทราบก่อนว่ากายาของเขาในปัจจุบันเทียบได้กับแร่เหล็กระดับหนึ่ง และพละกำลังของเขาเองก็น่าหวาดกลัวมากเช่นกัน เมื่อทั้งสองอย่างถูกผสานเข้าด้วยกัน ใครจะต่อสู้ระยะประชิดกับเขาได้?
อย่างไรก็ตาม หลิงฮันก็พบขีดจำกัดของเขา เขาทำได้แค่ขยายให้มันอยู่ในระยะทางที่จำกัด แต่ในทางทฤษฎีแล้วมันสามารถยืดยาวออกไปได้อีก แต่ต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของแรงภายนอกและเมื่อแรงภายนอกหายไป มันจะกลับคืนสู่สภาพเดิม
สภาพร่างกายของหลิงฮันในตอนนี้คือสภาพที่เสถียรที่สุด ดังนั้นไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ร่างกายของเขาก็จะกลับมาอยู่ในสภาพเดิม
หลิงฮันส่ายหัวอยู่ในใจ หากเขาสามารถควบคุมร่างกายให้เปลี่ยนแปลงได้เหมือนกับทองคำก่อเกิดผลาญโลหิต การต่อสู้คงจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
หลิงฮันยิ้ม ตอนนี้เขาได้สร้างความแตกต่างขึ้นมาได้เล็กน้อยแล้ว
จากนั้นหลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬเพื่อสู้กับดาบเล่มนั้นอีกครั้ง
“เข้ามาเลย ข้าจะสู้กับเจ้าอีกรอบ” หลิงฮันหัวเราะและเป็นฝ่ายกระโจนเข้าหามัน
พรึบ แสงดาบเจ็ดเล่มออกมาจากดาบเล่มนั้นและพุ่งเข้าหาหลิงฮัน
หลิงฮันแสยะยิ้ม เขายังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าไม่หยุด
ตู้ม แสงดาบเจ็ดเล่มพุ่งเข้าหาเขาโดยตรง ทำให้เสื้อผ้าตรงอกของเขาถูกฉีกกระชากทันที แต่หน้าอกของหลิงฮันกลับยืดไปด้านหลัง หนึ่งเมตร สองเมตร ห้าเมตร!
ในตอนนั้นเอง พลังของแสงดาบทั้งเจ็ดเล่มก็หมดลง ตึ่ง หน้าอกของหลิงฮันเด้งกลับมาที่เดิมอีกครั้ง แต่สีหน้าของหลิงฮันกลับดูซีดขาวเล็กน้อย
“กระดูกยังแตกหักสามครั้ง และอวัยวะภายในยังคงได้รับความเสียหาย” หลิงฮันพูดกลับตัวเอง นั่นเป็นเพราะเขาสามารถยืนรับดาบของมันได้ ซึ่งแม้แต่จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาก็ไม่อาจต้านทานมันไหว
แต่เรื่องที่ทำให้หลิงฮันมีความสุขคือเขาไม่ถูกบังคับให้ล่าถอยเหมือนครั้งก่อน เขาเปลี่ยนร่างกายให้กลายเป็นอนุภาคนับไม่ถ้วน แสงดาบทำให้ร่างกายส่วนบนของเขายืดออกไป ดังนั้นร่างกายส่วนล่างยังคงยืนอยู่ที่เดิม
ข้าทำได้!
หลิงฮันมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และมั่นใจว่าจะสามารถพิชิตดาบเล่มนี้ได้
เข้ามาอีกครั้ง
คัมภีรย์สวรรค์นิรันดร์โคจรอยู่ในร่างกาย กายาเพชรก็ถือว่าไม่เลว มันสามารถฟื้นฟูตัวเองได้ แม้จะได้รับบาดเจ็บหนัก เพียงแค่ชั่วครู่ กระดูกที่แตกหักของเขาก็ถูกรักษาราวกับว่าเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
รอยยิ้มที่อยู่ตรงมุมปากของหลิงฮันเริ่มกว้างขึ้นและกว้างขึ้น ความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับ “ความอ่อนนุ่ม” เริ่มลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ แรงกระทำทุกอย่างถูกทำให้อ่อนแรงลง และอาการบาดเจ็บของเขาเริ่มเบาลงเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสปริงใช่ไหม?
เมื่อหน้าอกของเขาถูกดาบพุ่งเข้าใส่ เขาเห็นว่าหน้าอกของตัวเองแผ่ขยายออกไปเหมือนกับผิวน้ำและพุ่งไปด้านหลัง และหน้าอกของเขาก็เด้งกลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม
สีหน้าของหลิงฮันซีดขาวเล็กน้อย แม้ครั้งนี้เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บมากหนัก แต่สภาพเมื่อครู่ไม่ใช่สภาพร่างกายปกติของเขา ซึ่งทำให้เขาต้องสูญเสียพลังไปมาก และการเปลี่ยนสภาพร่างกายไม่สามารถใช้ได้นานเกินไป
เมื่อเขาคิดเรื่องพวกนั้น เขาก็หัวเราะออกมา ถ้าเขาสามารถยืดได้เรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าจะสามารถรับการโจมตีของจอมยุทธระดับทลายมิติได้หรอกหรือ?
บางครั้งมนุษย์ก็ดูไร้เหตุผล ซึ่งสอดคล้องกับเต๋าแห่งสวรรค์
หลิงฮันส่ายหัวเล็กน้อย สายตาของเขาจับจ้องไปที่ดาบและยิ้มออกมา “ภายในสามกระบวนท่า เจ้าจะตกอยู่ในมือของข้า!”
เปรี๊ยง พลังของทักษะอสนีบาตเก้าทิวาหลั่งไหลออกมาและเขากระโจนเข้าหามันอีกครั้ง
ปัง ปัง ปัง แสงดาบอันเจิดจ้าปรากฏออกมาราวกับว่ามันกำลังโกรธเกรี้ยวหลิงฮันเป็นอย่างมาก
หลิงฮันไร้ซึ่งความหวาดกลัว ไม่ว่ามันจะโจมตีมายังไง การโจมตีของมันก็จะไร้ผล และเขาก็ไม่ถูกบังคับให้ต้องถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว กลับกัน มือขวาของเขาสามารถยืดออกไปในระยะไกลได้
หลังจากที่ถูกแสงดาบกระหน่ำโจมตีสามระลอก ในที่สุดมือของเขาก็จับอยู่ที่ดาบด้าม!
ตู้ม จิตสังหารที่รุนแรงระเบิดออกมาอย่างกะทันหันและกระทบต่อจิตใต้สำนึกของหลิงฮัน
ตอนที่ 722
ดาบเล่มนี้เกิดมาเพื่อฆ่า
ดาบเล่มนี้ถูกจารึกด้วยอักขระอาคม แต่เป็นรูปแบบอาคมเพื่อสังหารที่สามารถสังหารได้แม้แต่จอมยุทธระดับทลายมิติ แต่ตอนนี้รูปแบบอาคมได้กลายเป็นเจตจำนงแห่งดาบและเข้าไปในจิตใต้สำนึกของหลิงฮัน
แต่เมื่อมันเข้าไปในจิตใต้สำนึกของหลิงฮัน คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เปล่งแสงสีทองออกมาอย่างกับเต๋าแห่งสวรรค์ ทำให้จิตสังหารของมันถูกปิดกั้นทำทีและเริ่มถูกกลืนกินหายไป
นี่เป็นส่วนหนึ่งของพลังที่เขาได้รับมาและทำให้เขากลายเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบหมื่นปี แม้ว่าดาบเล่มนี้จะน่าสะพรึงกลัวที่สามารถสังหารได้แม้แต่จอมยุทธระดับทลายมิติ แต่ก็ยังไม่อาจเผชิญหน้ากับคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ได้
เมื่อจิตสังหารของมันแตกสลาย ดาบไม่ส่องแสงประกายอีกต่อไป ทำให้ดาบเล่มนั้นดูเหมือนกับดาบธรรมดา
ข้าได้มันมาครอบครองแล้ว!
หลิงฮันอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เขาไม่เพียงแค่จะได้รับดาบเล่มนี้มาเท่านั้น แต่ยังมีความก้าวหน้าทักษะบ่มเพาะกายาด้วย
ครั้งนี้เขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากมาย
เขาจ้องมองไปที่ดาบอย่างใกล้ชิดและสนใจรูปแบบอาคมบนดาบมาก
แต่มันดูซับซ้อนเกินไป แค่เขาจ้องมองดูมันอยู่ชั่วครู่ มันก็ทำให้เขารู้สึกปวดหัวราวกับหัวจะระเบิดเขาหันสายตาไปทางอื่นอย่างรวดเร็วและครุ่นคิดอีกครั้ง ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะรู้สึกประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะจ้องมองมันเป็นเวลานาน แต่เขาก็ไม่สามารถจำรูปแบบอาคมได้แม้แต่แบบเดียวราวกับว่ามีพลังบางอย่างปกปิดอยู่
หลิงฮันไม่สนใจสนและเก็บดาบเข้าฝัก แต่ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าวัสดุฝักดาบจะดีมาก แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับตัวดาบ – วัสดุของดาบทำมาจากแร่เหล็กระดับสิบ แต่ระดับของรูปแบบอาคมที่จาลึกบนดาบมีแนวโน้มว่าจะเกินระดับสิบ
ส่วนวัสดุที่ใช้สร้างฝักดาบไม่น่าจะมีค่ามากไปกว่าแร่เหล็กระดับเก้า
นอกจากนี้ ฝักดาบไม่สามารถนำไปใช้ต่อสู้ได้ มันคงจะเป็นการสิ้นเปลืองมากหากสร้างมันขึ้นมาด้วยแร่เหล็กระดับสิบ หรือจะให้พูดคือ แม้ว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาจากแร่เหล็กระดับเก้า แต่ก็สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความสูงส่ง
“ดาบอันดับหนึ่งของโลก?” หลิงฮันเห็นคำหกคำอยู่บนดาบของเขา หรือว่านี่จะเป็นชื่อของดาบเล่มนี้?
“อันดับหนึ่งของโลกอีกแล้ว มันไม่รู้สึกว่าสูงส่งไปหน่อยหรือ? ซึ่งมันไม่ตรงกับนิสัยของข้า!”เขาโยนฝักดาบเข้าไปในหอคอยทมิฬ มันไร้ประโยชน์ คงจะดีกว่าที่จะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นลูกศรให้มีประโยชน์บ้าง
“จิตสังหารของเจ้าช่างหนักหน่วงยิ่งนัก ถ้างั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า ‘ดาบสังหาร’” หลิงฮันยิ้ม
เขาสะบัดดาบเบาๆและเจตจำนงก็หลั่งไหลเข้าไป พรึบ มีอักขระอาคมสองสามตัวส่องแสงออกมาอย่างฉับพลัน และดาบสิบเล่มก็พุ่งออกไป ตู้ม กำแพงรอบตัวเขาปรากฏรอยดาบสิบเล่มตื้นๆเอาไว้
“สุดยอด!” หลิงฮันอุทาน ห้องนี้สามารถต่อการต่อสู้ของเขาและดาบสังหารได้โดยที่ไม่พังทลาย เห็นได้ชัดว่ามันแข็งแรงมาก แต่มันกลับทิ้งรอบดาบไว้บนกำแพงได้
หลิงฮันสะบั้นดาบอีกครั้ง ครั้งนี้เขาใช้รัศมีดาบเข้าไปในการโจมตีด้วย และทันใดนั้นบนกำแพงก็ปรากฏรอยลึกเท่าเท้า แต่เรื่องที่น่าแปลกใจคือกำแพงยังไม่พังทลาย และในไม่ช้ารอยดาบบนกำแพงก็จางหายไป
หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ ตำหนักแห่งนี้มีความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองด้วย?
หรือว่าแม้แต่ตัวตำหนักก็เป็นสมบัติ!
ถ้าเขาครอบครองตำหนักนี้ได้ไม่ใช่ว่าสมบัติทั้งหมดจะตกเป็นของเขาหรอกหรือ?
ตูม ทันใดนั้นประตูที่แต่แรกนั้นปิดอยู่ก็เปิดออกอย่างกะทันหัน
เขาได้รับดาบมาแล้ว มันไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป
หลิงฮันเก็บดาบสังหารเข้าไปในหอคอยทมิฬวางไว้กับดาบกำเนิดมารและแขวนอยู่ในอากาศ แต่ดาบกำเนิดมารกลับเคลื่อนตัวตกไปด้านล่าง ราวกับว่ามันไม่กล้าอยู่เคียงข้างดาบสังหาร นี่แสดงให้เห็นถึงความน่าเกรงขามของดาบสังหาร
หลิงฮันก้าวเดินออกจากห้องหิน มันมีบันไดอยู่ตรงหน้าเขา เขาหันไปมองรอบข้างและพบว่ายังมีห้องหินห้องอื่นอีกที่อยู่ชั้นนี้ แต่ทุกห้องยังคงปิดอยู่ แม้ว่าเขาจะลองพยายามเปิดดู แต่ก็เปิดไม่ออก
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ เขาจึงเดินลงบันได ชั้นถัดไปมีห้องหินหลายห้องและบันได เขาไม่พยายามที่จะเปิดประตูอีกต่อไป แต่เลือกที่จะลงไปอีกชั้น ซึ่งก่อนหน้านี้เขาอยู่ชั้นที่ห้าก่อนที่จะลงมาอยู่ชั้นล่างอีกครั้ง
เขาเดินออกไปและเห็นว่ายังคงมีผู้คนมากมายอยู่รอบตำหนักเพื่อทดสอบเข้าไปด้านใน
“หลิงฮัน! หลิงฮัน!” ฮูหนิวกระโดดเข้ามาหาและพุ่งเข้ามาในอ้อมแขนและกอดเขาทันที “หลิงฮันไปนานมากจนเกือบทำให้หนิวต้องตาย!”
หลิงฮันไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนอยู่ในหอคอยทมิฬนานแค่ไหน และเมื่อเขาเห็นจูเสวี่ยนเอ๋อเดินเข้ามาเลยถามออกไปว่า “ข้าอยู่ด้านในนานแค่ไหน?”
“ยี่สิบวัน” จูเสวี่ยนเอ๋อตอบกลับ
นานมาก!
หลิงฮันหดม่านตาลง เขารู้สึกว่ามันยังไม่ถึงหนึ่งวันเลย แล้วมันจะผ่านไปยี่สิบวันได้อย่างไร?
“พวกเจ้าเองก็ได้รับสมบัติมาเหมือนกัน?” หลิงฮันถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว!” ฮูหนิวกระโดดออกมาจากอ้อมแขนของเขาอย่างกะทันหัน “หนิวมีอะไรน่าสนใจให้ดู!”
“นี่มันกรรไกรเขี้ยวมังกร ข้าเคยเห็นมันมาก่อน มันเป็นสมบัติที่แท้จริง!” เจ้ากระต่ายกล่าว “ในตำนานมีมังกรตายอยู่ในทวีปเทียนฮง โลหิตของมังกรกระจัดกระจายไปทั่วและกลายเป็นสมบัติมากมายนับไม่ถ้วน กระดูกของมันได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของห้านิกายใหญ่ และเมื่อมีหายนะครั้งใหญ่เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงคือเขี้ยวมังกร”
“เมื่อนานมาแล้ว ปรมจารย์อาคมได้รับเขี้ยวมังกรนี่มาและใช้มันสร้างกรรไกรเขี้ยวมังกร ด้วยความพยายามทั้งหมดของเขา เขาทำให้มันมีพลังของมังกรที่แท้จริง!”
ทุกคนรู้สึกตกตะลึง และสมบัติแบบนั้นกลับตกอยู่ในมือของฮูหนิว!
หลิงฮันยิ้ม เขาเองก็ได้รับดาบสังหาร ซึ่งมันจะทำให้เขาสามารถรับมือกับกระบี่ไร้เทียมทานของฉือชิ่วเหรินได้ และฮูหนิวเองก็ได้รับกรรไกรเขี้ยวมังกร และความแข็งแกร่งของพวกเขาก้าวหน้าขึ้นมาก
จูเสวี่ยนเอ๋อ เหวินเหรินเซียนเซียน เหยียนเฮิงเหอ ต่างได้รับสมบัติมากกันทุกคน แต่พวกเขาได้รับแค่อาวุธระดับแปดเท่านั้น ซึ่งยังห่างชั้นจากหลิงฮันและฮูหนิว
แม้แต่เจ้ากระต่ายยังได้รับสมบัติ แต่มันกลับไม่เปิดปากพูดว่าได้อะไรมา ดังนั้นทุกคนจึงอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
หลิงฮันไม่เห็นจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิง แต่หลังจากที่ถามจูเสวี่ยนเอ๋อทำให้รู้ว่าทั้งสองคนมาถึงที่นี่และจากไปก่อนแล้ว ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนต่างมีกลุ่มเป็นของตัวเองโดยที่พวกเขาเป็นผู้นำกลุ่ม
“หลิงฮัน!” เจี่ยหมิงปรากฏตัวและจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยดวงตาแดงก่ำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น