Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 699-702
ตอนที่ 699
“หนอนพันร่าง!” คิ้วของหลิงฮันขมวดเข้าหากันและแสดงสีหน้าไม่สู้ดี “หนีเร็วเข้า เจ้าตัวใหญ่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราสมควรไปยุ่งด้วย”
“ทำไมล่ะ?” หลี่เฟิงหยู่เอ่ยถาม แม้แต่ในเวลาเช่นนี้เขาก็ยังยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นของตนเองไม่ได้
“เลิกถามแล้วเผ่นได้แล้ว!” หลิงฮันโคจรปราณก่อเกิดและคว้าร่างของเหล่าสหายเขาเอาไว้ จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปจากที่นี่ในทันที
เหวินเหรินเชียนเชียนวิ่งหนีตามหลังมา เพราะแม้แต่หลิงฮันกับเจียหมิงยังเลือกที่จะหนี แม้นางจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ทำอะไรไม่ได้
หนอนยักษ์ไล่ตามพวกเขามา ขาร้อยขาของมันขยับเคลื่อนที่พร้อมเพรียงกันอย่างน่าอัศจรรย์ ร่างใหญ่ๆของมันเคลื่อนอย่างรวดเร็วและไล่ตามเข้ามาใกล้หลิงฮันอย่างรวดเร็ว
“เจ้าก็มาทางนี้ซะ!” หลิงฮันโคจรปราณก่อเกิดอีกครั้งและคว้าร่างของเหวินเหรินเชียนเชียนเข้ามา จากนั้นเขาได้โคจรทักษะอัสนีบาตเก้าทิวาเปลี่ยนร่างตนเองให้เป็นส่ายฟ้าและวิ่งหนีทิ้งระยะห่างกับหนอนยักษ์
ความเร็วของเขาในตอนนี้สามารถทัดเทียมได้กับจอมยุทธระดับสวรรค์ และเหนือกว่าจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาทุกคน
สุดท้ายหนอนยักษ์ก็ล้มเลิกความคิดที่จะไล่ตามและหันหลังเดินหายไปอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันหยุดวิ่งและวางร่างของทุกคนลง
“น้องเขย ทำไมพวกเราต้องวิ่งหนีด้วย?” หลี่เฟิงหยู่ยังคงถามคำถามเดิม
หลิงฮันถอนหายใจและพูดตอบ “หนอนยักษ์เมื่อครู่มักจะไม่อยู่ตัวคนเดียว ในเมื่อมันปรากฏให้เห็นหนึ่งตัว…”
“ก็ต้องมีอีกตัวหนึ่งอยู่ใกล้ๆด้วย?” หลี่เฟิงหยู่พูดแทรก
หลิงฮันส่ายหัว “บริเวณแถวๆนั้นจะต้องมีรังของพวกมันด้วย!”
‘พรวด’ หลี่เฟิงหยู่สำลักออกมาก่อนที่จะพูด “ยังมีหนอนที่น่าขยะแขยงเช่นนั้นอยู่อีกเป็นฝูงเลย?”
“หนอนพันร่างจะมีรังอยู่อย่างร้อยหนึ่งพันรัง ไม่เช่นนั้นมันจะถูกเรียกเช่นนั้นได้อย่างไร? หนอนตัวเมื่อครู่นั้นมีพลังอยู่ที่ประมาณระดับก้าวสู่เทวาขั้นกลาง แต่สัตว์อสูรเช่นนั้นย่อมมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งและสู้ยากกว่าจอมยุทธระดับก้าวสู่เวขั้นปลายเสียอีก ถ้าเจ้าหลงเข้าไปในรังของมัน คงได้สนุกกันแน่” หลิงฮันส่ายหัว
“รีบไปกันเถอะ” พวกผู้หญิงในกลุ่มเอ่ยขึ้นมา เป็นธรรมดาที่พวกนางจะไม่ชอบสิ่งมีชีวิตน่าขยะแขยงแบบนั้น
พวกเขาเดินหน้าต่อไปยังทิศทางของดวงอาทิตย์
“โฮกกก” ทันใดนั้นด้านหน้าของพวกเขาก็มีเสียงคำรามของสัตว์อสูร เสียงที่ดังขึ้นนั้นทรงพลังจนผืนปฐพียังสั่นสะเทือน
“สัตว์อสูรระดับสวรรค์!” หลิงฮันสัมผัสได้ถึงพลังของอีกฝ่ายและบอกกับทุกคน
“ที่นี่ช่างเป็นสถานที่ที่อันตรายอะไรเช่นนี้!” ทุกคนพูดออกมา
แต่ก็ไม่มีใครคิดจะล่าถอย ยิ่งอันตรายมากเท่าไหร่ วาสนาที่จะได้พบก็ยิ่งคุ้มค่ามากเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคิดจะนำชีวิตตนเองไปทิ้ง พวกเขาเลือกที่จะหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีเสียงคำรามของสัตว์อสูรเมื่อครู่
ผ่านไปซักพัก เบื้องหน้าของพวกเขาก็ปรากฏทุ่งหญ้าประหลาดสีเขียวเข้มที่ดูไม่เข้ากับภูมิประเทศโดยรอบ
หลี่เฟิงหยู่คิดจะเดินเข้าไปในทุ่งหญ้านั่นแต่หลิงฮันก็เอื้อมมือคว้าร่างของเขาเอาไว้และดึงกลับมา
“น้องเขย เจ้าทำอะไรกับข้าเนี่ย?” หลี่เฟิงหยู่ถามด้วยความมึนงง
หลิงฮันถอนหายใจและพูด “ถ้าเจ้ายังมัวถามนู่นถามนี่อีก ข้าจะโยนเจ้าเข้าไป”
หลี่เฟิงหยู่มีท่าทีระมัดระวังและพูด “หรือว่าหญ้าพวกนั้นจะไม่ใช้หญ้าธรรมดา?”
“ก็ลองดูสิ” หลิงฮันโยนร่างของหลี่เฟิงหยู่ออกไป
“ช่วยข้าด้วย!” หลี่เฟิงหยู่ตะโกนลั่นและรีบทะยานร่างขึ้นฟ้า
ทันใดนั้นเอง หญ้าสีทึบก็เปลี่ยนไป รากของมันยืดขึ้นมาบนพื้นดินพร้อมกับแผ่นดินที่สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นมือขนาดใหญ่มือหนึ่งก็โผล่ออกมาจากรอยแยกพื้นดินเพื่อหวังคว้าร่างของหลี่เฟิงหยู่
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย!” หลี่เฟิงหยู่อุทานและรีบคว้ากระบี่ออกมาโจมตีใส่ฝ่ามือยักษ์
ถึงแม้เขาจะพูดมาก แต่ความสามารถของเขาก็ไม่ได้อ่อนด้อย ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์ได้
‘ตูม’ ปราณกระบี่ปะทะกับฝ่ามือยักษ์ แต่ฝ่ามือยักษ์กลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆและยังคงเอื้อมไปคว้าร่างของหลี่เฟิงหยู่ต่อ
หลิงฮันถอนหายใจและใช้ดาบจู่โจมใส่ฝ่ามือยักษ์
‘พรึบ’ รัศมีของเขาปลดปล่อยอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
ฝ่ามือยักษ์ไม่กล้าที่จะเมินเฉย ฝ่ามือได้รวบเข้าหากันกลายเป็นหมัดเพื่อต่อต้านรัศมีดาบ
‘ตูม’ รัศมีแห่งดาบระเบิดออกกลายเป็นประกายแสงที่สว่างไสว
หลี่เฟิงหยู่รีบหนีกลับมาโดยมีท่าทีหวาดกลัวเล็กน้อย
‘ตุบ ตุบ ตุบ’ อสูรขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจากใต้ดิน มันเป็นอสูรที่มีความสูงราวๆสิบฟุต หลังของมันปกคลุมไปด้วยหญ้าสีทึบ นั่นหมายถึงกองหญ้าที่เห็นก่อนหน้านี้คืออสูรตนนี้ที่นอนอยู่ใต้ดิน
“เจ้ามนุษย์หินตัวเหม็น ช่างกล้านักที่ดักซุ่มทำร้ายนายท่านผู้นี้!” หลี่เฟิงหยู่ตะโกนออกไปและรีบวิ่งไปหลบที่ด้านหลังหลิงฮัน “นายน้อยฮัน จัดการมันเลย”
อสูรตนนี้คือมนุษย์หินที่มีกลิ่นอายอันทรงพลังของระดับก้าวสู่เทวา
หลิงฮันหัวเราะและเรียกอสูรศิลาออกมา “เจ้าตัวใหญ่ ได้เวลาอาหารของเจ้าแล้ว สังหารมัน!”
‘โฮกก’ เมื่ออสูรศิลาเห็นมนุษย์หินที่อยู่ตรงหน้ามันก็คำรามยั่วยุออกมาทันที สำหรับอสูรหินเช่นพวกมันแล้ว การกลืนอีกฝ่ายจะทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้น
“โฮกกก!” มนุษย์หินร่างใหญ่คำรามออกมาเช่นกัน แต่เสียงคำรามของมันทรงพลังกว่าอสูรศิลาน้อยมาก คลื่นคำรามของมันราวกับพายุเฮอริเคนที่พัดใส่พวกหลิงฮันจนทรงผมยุ่งเหยิง
อสูรศิลาขาอ่อนทันที มันรีบหดตัวไปหลบอยู่ด้านหลังหลิงฮันและส่งเสียงแหลมๆออกมา ราวกับลูกสุขนัขที่กำลังหวาดกลัว
ก่อนหน้านี่มันกระหายที่จะกลืนกินอีกฝ่าย แต่ตอนนี้มันรู้แล้วว่าพลังของอีกฝ่ายน่ากลัวกว่าตนเองขนาดไหน
หลิงฮันหัวเราะ อสูรสิลาเริ่มจะมีนิสัยเหมือนกับมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
มนุษย์หินยักษ์จ้องมองไปยังอสูรศิลาที่แอบอยู่ด้านหลังหลิงฮัน ปากของมันเปิดออกและมีน้ำลายไหลออกมา
สำหรับมันแล้ว อสูรศิลาก็เป็นอาหารมื้อใหญ่เช่นกัน
มันไม่ลีลาชักช้าและพุ่งเข้าใส่หลิงฮันทันที ในสายตาของมันหลิงฮันนั้นไม่ต่างอะไรไปจากมดปลวก มันไม่ลังเลที่จะบดขยี้หลิงฮันและเขมือบอสูรศิลาเพื่อพัฒนาไปยังระดับที่สูงขึ้น
อสูรศิลาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมนุษย์หินยักษ์ ดังนั้นหลิงฮันจึงต้องเป็นคนสู้กับศัตรูสุดแกร่งตรงหน้านี้แทน
ตอนที่ 700
“ตูม!”
หลิงฮันและมนุษย์หินยักษ์เข้าปะทะกันกลางอากาศ แรงปะทะที่เกิดขึ้นทำให้ร่างของหลิงฮันสั่นไหว
แม้พลังต่อสู้ของเขาสามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาขั้นปลายได้ แต่มนุษย์หินยักษ์ที่เป็นอสูรที่เกิดจากจิตวิญญาณศิลาแห่งสวรรค์และปฐพีนั้นต่างออกไป มันคืออสูรระดับราชาที่มีพลังทำลายและพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว
แต่ถ้าหากหลิงฮันกล้าที่จะปะทะกับมนุษย์หินยักษ์ แน่นอนว่าเขาต้องมีความมั่นใจว่าจะชนะ
กายหยาบของเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มันเทียบได้กับแร่เหล็กระดับแปด แม้ร่างของเขาจะสั่นไหวแต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไร
มนุษย์หินยักษ์คำราม ในสายตาของมัน หลิงฮันเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้สามารถต่อต้านมันได้? เขาสมควรจะถูกสังหารไปทั้งแต่การโจมตีแรกแล้วแท้ๆ
“ฮ่าๆๆ เข้ามาเลย อย่าคิดว่าเจ้าตัวใหญ่แล้วข้าจะทำอะไรไม่ได้!” หลิงฮันและมนุษย์หินยักษ์เข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของมนุษย์หินยักษ์เองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้แต่จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาที่แท้จริงก็ยังไม่กล้าสู้กับมัน
ต้องรู้ก่อนว่าอสูรจิตวิญญาณศิลานั้นเป็นที่รู้จักกันว่ามีร่างกายและพลังป้องกันที่น่าสะพรึงกลัว ร่างกายของมันสามารถเทียบได้กับแร่เหล็กในระดับเดียวกัน
เหวินเหรินเชียนเชียนจ้องมองอย่างตกตะลึง นางรู้ว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์ที่ราวกับสัตว์ประหลาดและมีพลังที่แข็งแกร่งถึงขนาดปะทะกับเจียหมิงได้อย่างสูสี แต่นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะสามารถต่อกรกับจิตวิญญาณศิลาที่เกิดจากสวรรค์และปฐพีได้
นางมองอัจฉริยะรุ่นเยาว์ผู้นี้ต่ำเกินไป
อสูรศิลาตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เจ้านายของมันช่างแข็งแกร่ง! มันแทบจะทนรอที่จะเขมือบและผสานแก่นแท้ศิลาของมนุษย์หินยักษ์ไม่ไหวแล้ว หากมันได้ทำเช่นนั้น ระดับพลังของมันจะเพิ่มขึ้นไปเป็นตัวอ่อนวิญญาณขั้นปลายแน่นอน
มนุษย์หินยักษ์เกรี้ยวกราดและคำรามใส่หลิงฮันอย่างบ้าคลั่ง
‘ฉัวะ’ คลื่นเสียงที่รุนแรงและแหลมคมทำให้เสื้อผ้าของหลิงฮันฉีกขาด คลื่นเสียงที่รุนแรงทำให้เขารู้สึกเหมือนกับติดอยู่ท่ามกลางบ่อโคลนที่ยากจะก้าวเดิน
“ให้ตายเถอะ เจ้าคิดจะทำให้ข้าโป้เปลือยรึไง?” หลิงฮันเค้นเสียงพูด กายหยาบของเขาสามารถป้องกันได้แค่ร่างกาย มันไม่ได้ช่วยป้องกันเสื้อผ้าที่สวมใส่
เขารีบโคจรปราณก่อเกิดเพื่อสร้างโล่ป้องกันนอกร่างกาย เขานำดาบกำเนิดมารออกมากวัดแกว่งและพุ่งเข้าใส่อีกฝ่าย
มนุษย์หินยักษ์เองก็ลงมือเช่นกัน มันปล่อยฝ่ามือไปด้านหน้าและปล่อยหนามศิลาออกมา ปลายของหนามศิลานั้นเป็นเกลียวแหลมคมที่สามารถคุกคามกายหยาบที่ทนทานของหลิงฮันได้
ยิ่งการต่อสู้บานปลาย ทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งใช้พลังต่อสู้ของตนเองเพิ่มขึ้นและเข้าปะทะกันอีกครั้ง
แต่ทว่า ดาบกำเนิดมารนั้นเป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบ ด้วยการกวัดแกว่งใบดาบอย่างต่อเนื่อง หนามศิลาของมนุษย์หินยักษ์ก็ร่วงหล่นและกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ
อสูรศิลาน้อยนั่งยองๆราวกับเป็นสุนัข มันวิ่งไล่เขมือบหนามศิลาที่ร่วงลงมาอย่างมีความสุข เพราะหนามศิลาแต่ละอันนั้นมีแก่นแท้ของมนุษย์หินยักษ์เป็นส่วนประกอบ
มนุษย์หินยักษ์กลายเป็นเกรี้ยวกราดและไม่ยอมแพ้ เพราะอย่างไรพลังบ่มเพาะของหลิงฮันก็ยังไม่สูงถึงขั้นที่จะทำให้มันต้องหวาดกลัว
มันคำรามออกมาอีกครั้ง ทันใดนั้นร่างกายของมันก็ขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว จากแต่เดิมมันมีความสูงสิบฟุต แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นหนึ่งร้อยฟุตแล้ว แถมดูเหมือนจะยังขยายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย
ในขณะเดียวกัน พื้นดินทั่วบริเวณเริ่มสั่นสะเทือนและหดตัวลง ก้อนหินนับไม่ถ้วนได้ลอยขึ้นฟ้าไปผสานรวมกับร่างของมนุษย์หินยักษ์
หลิงฮันตกตะลึงและพูดออกมา “มันสามารถชี้นำพลังของปฐพีมาผสานรวมเข้ากับร่างของตัวเองเพื่อเพิ่มอำนาจของร่างกายมันได้! เฮ้อ ทำไมอสูรศิลาของข้าถึงไม่มีความสามารถเช่นนั้นบ้าง?”
อสูรศิลาน้อยมองอย่างเศร้าโศกไปทางหลิงฮัน มันก็อยากจะมีความสามารถที่สุดยอดเช่นนั้นเช่นกัน เพียงแต่ว่าระดับพลังของมันยังสูงพอที่จะทำเช่นนั้นได้!
ทุกคนรีบบินถอยห่างออกมา ดูเหมือนว่าบริเวณพื้นดินจะเป็นบริเวณที่อันตรายเสียแล้ว
‘ตูม’ มนุษย์หินยักษ์โจมตีใส่หลิงฮันอีกครั้ง ตอนนี้หมัดของมันมีขนาดใหญ่เทียบเท่าภูเขาลูกย่อมๆ หากโดนเข้าไปไม่ต้องกล่าวถึงจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาเลย แม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์ก็ต้องกระอักเลือดออกมา
‘ฟุบ’ หลิงฮันเปลี่ยนร่างเป็นสายฟ้าเพื่อหลีกเลี่ยงหมัดของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันเขาก็กวัดแกว่งดาบเพื่อปลดปล่อยรัศมีดาบโจมตีใส่มนุษย์หินยักษ์ไปพร้อมๆกัน ‘ปัง’ รัศมีดาบทะลวงผ่านร่างของมันและทิ้งรอยดาบเอาไว้ เพียงแต่ว่าตอนนี้ร่างของมนุษย์หินยักษ์นั้นใหญ่เกินไป แค่รอยดาบไม่อาจทำให้มันบาดเจ็บได้
ในตอนนั้นเอง มันได้ชี้นำหินจากพื้นหินขึ้นมาผสานรวมกับร่างเพื่อซ่อมแซมส่วนที่ถูดตัด แทบจะในทันทีร่างของมันก็กลับสู่สภาพปกติ
ร่างกายขนาดใหญ่ของมันก็เปรียบเมือนเกราะที่สามารถซ่อมแสนตัวเองได้ตราบใดที่ยังมีพื้นดินอยู่
“เจ้าเล่นขี้โกงแบบนี้ได้อย่างไร?” หลี่เฟิงหยู่พึมพำ ตอนนี้มนุษย์หินยักษ์เรียกได้ว่าเป็นอมตะอย่างสมบูรณ์
หลิงฮันครุ่นคิดไปพร้อมๆกับหลบการโจมตี
การจะสร้างความเสียให้กับมนุษย์หินยักษ์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก แค่ต้องไม่ให้เท้าของมันแตะกันพื้นดินเท่านั้น ถ้าสู้กันบนฟ้าล่ะก็ อีกฝ่ายจะไม่สามารถชี้นำลังของปฐพีได้
แต่ปัญหาก็คือจะทำอย่างไร?
จิตวิญญาณที่เกิดจากสวรรค์และปฐพีนั้นไม่ใช่ว่าจะโง่
วิธีอื่นก็คือต้องใช้ศรฆ่ามังกรทะลวงดาราหรือไม่ก็หมื่นแปรผันเป็นหนึ่งโจมตีไปยังแก่นจิตวิญญาณของมัน ตราบใดที่เป็นสิ่งมีชีวิต แน่นอนว่ามันต้องมีจิตวิญญาณ
แต่ตอนนี้มนุษย์ก็ตัวใหญ่เสียขนาดนี้ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าจิตวิญญาณของมันอยู่บริเวณไหน?
หลิงฮันโคจรเนตรแห่งสัจธรรมและมองไปยังมนุษย์หินยักษ์ ภายในพริบตาร่างกายของมนุษย์หินยักษ์ก็ปรากฏในแววตาของเขาในรูปแบบของพลังงาน
ทั่วร่างของมันเนสีดำสนิท มีเพียงแค่บริเวณเอวด้านซ้ายเท่านั้นที่มีจุดเล็กๆที่ส่องประกายราวกับดวงอาทิตย์ขนาดย่อม
หลิงฮันนำคันศรตะวันยอแสงออกมาพร้อมกับลูกศรที่สร้างขึ้นจากแร่เหล็กระดับแปด เขาโคจรทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดาราและอัสนีบาตเก้าทิวาเข้าไปในลูกศรและยิงออกไปในขณะที่ใช้เนตรแห่งสัจธรรมเล็งเป้าหมาย
‘เปรี้ยง’ ลูกศรที่พันไปด้วยเส้นสายฟ้าพุ่งออกไปด้วยความเร็วที่มองไม่เห็น
‘ปัง’ ลูกศรปะทะเข้ากับเอวของมนุษย์หินยักษ์และทะลุร่างของมันไป
มนุษย์หินยักษ์จ้องมองไปยังหลิงฮัน ทันใดนั้นหินตามร่างของมันก็ค่อยๆร่วงลงมา ภายในพริบตามนุษย์หินยักษ์ก็กลายเป็นกองก้อนกรวด ท่ามกลางกองก้อนกรวดมีหินหยกที่ขนาดเท่าหัวคนส่องประกายอยู่
แก่นแท้ศิลา!
“ตุบ ตุบ ตุบ!” ศิลาน้อยรีบวิ่งสี่ขาราวกับสุนัขไปยังกองก้อนกรวด มันอ้าปากงับแก่นแท้ศิลาเอาไว้และรีบวิ่งกลับมาเอาหัวถูไถขาหลิงฮันด้วยท่าทางมีความสุข
หลิงฮันอดคิดไม่ได้ว่าทำไมอสูรศิลาของเขาถึงได้กลายเป็นเหมือนกับสุนัขขนาดนี้?
ตอนที่ 701
แต่ถึงอย่างนั้นอสูรศิลาน้อยก็เริ่มเชื่อฟังหลิงฮันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เช่นนั้นมันก็คงคาบแก่นแท้ศิลาวิ่งหนีไปและไม่มาทำท่าทางออดอ้อนเขาเช่นนี้
“น้องชายหลิง หุ่นเชิดของเขาดูไม่เหมือนกับหุ่นเชิดเลยแม้แต่น้อย” เหวินเหรินเชียนเชียนกล่าว
อสูรศิลามีท่าทางไม่พอใจทันทีและคำรามใส่เหวินเหรินเชียนเชียน มันคือใคร? มันคือจิตวิญญาณที่เป็นลูกรักของสวรรค์และปฐพี เป็นสิ่งมีชีวิตแห่งธาตุทั้งห้าของโลกเชียวนะ
หลิงฮันหัวเราะและนำอสูรศิลาเข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อให้มันผสานแก่นแท้ศิลาและพัฒนาระดับพลังให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ที่จริงถ้าหากเขาดูดซับแก่นแท้จิตวิญญาณศิลาด้วยตนเอง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงจะดีไม่น้อย เพราะอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงจิตวิญญาณศิลาระดับก้าวสู่เทวา
แต่หลิงฮันไม่เลือกที่จะทำเช่นนั้น เพราะในเมื่อศิลาน้อยเชื่อฟังเขา เขาก็ไม่รังเกียจที่จะหาหนทางเพิ่มพลังให้กับมัน
ศิลาน้อยก็คงรู้เรื่องนี้เช่นเดียวกัน มันจึงได้จงรักภักดีต่อหลิงฮันมากขึ้น
“ใช่แล้ว มันเป็นหุ่นเชิดที่ฉลาดเป็นอย่างยิ่ง” หลิงฮันตอบด้วยรอยยิ้มและไม่บอกออกไปว่าศิลาน้อยไม่ใช่หุ่นเชิดแต่เป็นจิตวิญญาณศิลา
“ข้าคิดว่าเสมอว่าน้องชายหลิงฮันเชี่ยวชาญในวิถีแห่งดาบ ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าเจ้าเชี่ยวชาญทักษะการยิงธนูยิ่งกว่า ลูกศรที่สังหารได้แม้กระทั่งตัวตนระดับก้าวสู่เทวานั้นเป็นพลังทำลายล้างที่ไม่อาจจินตนาการได้” เหวินเหรินเชียนเชียนเอ่ยชม
“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่ต้องตีค่าข้าสูงขนาดนั้นก็ได้” หลิงฮันส่ายมือ เหวินเหรินเชียนเชียนเองก็คือหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะแห่งยุค พรสวรรค์ของนางไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าจูเสวียนเอ๋อ เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะกล่าว” เอาล่ะ เดินทางกันต่อเถอะ”
ทุกคนพยักหน้าและเดินต่อไปหน้าต่อ
สถานที่แห่งกว้างใหญ่ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด หลังจากพวเขาเดินทางได้ครึ่งวันดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าก็หายไปและแทนที่ด้วยดวงจันทร์ที่ดูเยือกเย็นราวกับสายน้ำ
ทุกคนรู้สึกตกตะลึง ผู้ที่สร้างที่นี่เป็นตัวตนแบบใดกันถึงได้สามารถสร้างโลกเลียนแบบได้คล้ายคลึงกับโลกภายนอกเช่นนี้
แม้แต่บนท้องฟ้าก็ยังมีดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องประกายให้เห็น
หลิงฮันโคจรเนตรแห่งสัจธรรม ก่อนนี้ที่ยังเป็นดวงอาทิตย์อยู่ เขาไม่กล้าจ้องมองมันนานเพราะเกรงว่าดวงตาของเขาจะมอดไหม้ แต่ดวงดาวและดวงจันทร์นั้นต่างออกไป เขาสามารถต้านทานแสงสว่างที่ส่องประกายออกมาจากพวกมันได้
ผ่านไปซักพัก สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและอุทานออกมา “ดวงดาวเหล่านั้นเป็นของจริง พวกมันเหมือนกับดวงตาในโลกภายนอกไม่มีผิดเพี้ยน!”
“อะไรกัน!” ทุกคนตกตะลึง
“สิ่งที่เรียกว่าดวงดาว แท้จริงแล้วมันก็แร่เหล็กระดับที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า” เหวิอนเหรินเชียนเชียนกล่าว
หลิงฮันพยักหน้า “บนท้องฟ้านั้นมีแรงดึงดูดที่แปลกประหลาดคอยหน่วงรั้งแร่เหล็กเหล่านั้นเอาไว้ไม่ให้ร่วงลงมา”
เจ้ากระต่ายพูดเสริม “แท้จริงแล้ว ดวงดาวเหล่านั้นอยู่ห่างไกลจากพวกเขาหลายพันไมล์ ถ้ามันไม่มีชั้นบรรยากาศกั้นเอาไว้ แม้แต่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานก็สามารถลอยขึ้นไปหยิบมันมาได้ง่ายๆ”
“ที่แร่เหล็กเหล่านั้นเป็นสิ่งล้ำค่าก็เพราะพวกมันถูกกั้นด้วยชั้นบรรยากาศที่มีแต่ตัวตนระดับทลายมิติเท่านั้นถึงจะนำมันลงมาได้…” หลิงฮันกล่าวและจ้องมองไปบนท้องฟ้า ขั้นตอนแรกในการเปิดสวรรค์คือการเปิดชั้นบรรยากาศ
“จอมยุทธระดับทลายมิตินั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แม้พวกเขาจะไม่สามารถลอยขึ้นผ่านชั้นบรรยากาศไปได้ แต่การโจมตีของพวกเขานั้นสามารถทะลวงผ่านชั้นบรรยากาศและทำให้ดวงดาวบนท้องฟ้าร่วงหล่นลงมาได้ แต่เมื่อดวงดาวร่วงลงมาสัมผัสกับชั้นบรรยากาศ พวกมันก็จะถูกเผาผลาญจนแทบไม่เหลือซาก จะมีก็เพียงชิ้นส่วนเล็กๆเท่านั้นที่เหลือร่วงลงมาถึงพื้นดิน” เจ้ากระต่ายกล่าว “เจ้าหนู เจ้าคงดูผิดแล้ว ดวงดาวพวกนั้นจะเป็นดวงดาวที่เหมือนกับโลกภายนอกได้อย่างไร”
หลิงฮันส่ายหัวและพูด “ข้าดูไม่ผิด!” เขาครุ่นคิดชั่วขณะ “มีความเป็นไปได้อย่างเดียวคือคนที่สร้างที่นี่ขึ้นมาสามารถข้ามผ่านชั้นบรรยากาศไปได้และนำดวงดาวพวกนั้นมาประดับบนโลกเลียนแบบนี้”
“ต้องมีพลังขนาดไหนถึงจะสามารถคว้าดวงดาวและดวงจันทร์ลงมาได้?” เหวินเหรินเชียนเชียนชะงัก “แม้แต่ตัวตนระดับทลายมิติก็ไม่สามารถทำได้!”
หลิงฮันพยักหน้า ตัวตนระดับทลายมิติสามารถทำได้เพียงสั่นคลอนดวงดาวบนท้องฟ้า เพราะอย่างไรดวงดาวบนท้องฟ้าก็อยู่ห่างไกลเกินไปแถมยังมีชั้นบรรยากาศคอยขวางกั้นอยู่ด้วย สามารถกล่าวได้ว่าการไปนำดวงดาวบนท้องฟ้าลงมานั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้
จิตใจของหลิงฮันสั่นไหว ในอดีตเคยมีจักรวรรดิโบราณที่ต้องการจะเปิดสวรรค์ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทำไม่สำเร็จและทิ้งสมบัติทั้งสี่เอาไว้ หรือว่าโบราณสถานแห่งนี้จะเป็นของจักรวรรดิโบราณ? เพราะถึงแม้พวกเขาจะล้มเหลวในการเปิดสวรรค์ แต่การจะเปิดชั้นบรรยากาศนั้นก็คงจะไม่ใช่ปัญหา หากเป็นจักรวรรดิโบราณการจะคว้าดวงดาวลงมาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ถ้าเป็นเช่นนั้นหากจักรวรรดิจันทราม่วงและห้านิโบราณจะหวั่นไหวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะจักรวรรดิโบราณนั้นเป็นตัวตนที่เคยเกือบจะเปิดสวรรค์ได้สำเร็จ!
“ชักจะตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว” หลิงฮันยิ้ม
ทุกคนลงนั่งกับพื้น หลิงฮันนำวัตถุดิบออกมาเพื่อเตรียมทำอาหาร โดยปกติแล้ว หากมาเดินในสถานที่ที่อันตรายเช่นนี้ ทุกคนจะต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมรบที่สุด พวกเขาไม่อาจเสียเวลาไปกับการทำอาหาร
ดังนั้นเหวินเหรินเชียนเชียนและพี่น้องหลี่จึงเตรียมอาหารแห้งมา แต่เมื่อกลิ่นได้กลิ่นหอมของอาหารที่หลิงฮันทำ พวกเขาก็อดใจไม่ไหวและต้องมาขอลองชิม และเมื่อได้ชิมพวกเขาก็ต้องทิ้งอาหารแห้งในมือของตนเองทิ้งไปทันที
“เดี๋ยวสิ แล้วอาหารที่ข้าหยิบมาวางไว้ตรงนี้ล่ะ?” หลี่เฟิงหยู่ประหลาดใจ เขาเพิ่งจะย่างเนื้อที่หลิงฮันนำออกมาเสร็จและวางเอาไว้เพื่อที่จะได้ไปย่างเนื้ออีกชิ้นให้น้องสาวของเขา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้กิน เนื้อที่วางไว้ก็หายไปแล้ว
สายตาของเขากวาดผ่านไปทั่วและมาหยุดที่เจ้ากระต่าย “กระต่ายหัวขโมย เจ้าเอาเนื้อข้าไปสินะ?”
เจ้ากระต่ายเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ว่าไงนะ นายท่านกระต่ายจะขโมยเนื้อของเจ้าไปทำไม?”
“แล้วสิ่งที่เจ้าเคี้ยวอยู่ในปากมันคืออะไร?”
“นายท่านกระต่ายตั้งแต่เกิดมา เวลากินอาหารก็ต้องเคี้ยวอยู่แล้ว หรือว่าเวลากินเจ้าไม่เคี้ยว?”
“ไขมันจากเนื้อมันไหลออกมาจากปากเจ้าแล้ว!”
“ไร้สาระ นายท่านกระต่ายเป็นพวกกินผัก!”
“เจ้าตายแน่ เจ้ากระต่ายหัวขโมย!” หลี่เฟิงหยู่บ้าคลั่ง เจ้ากระต่ายที่ไร้ยางอายตนนี้เกียจคร้านจนถึงขนาดขี้เกียจย่างเนื้อกินเองและมาขโมยเนื้อคนอื่นราวกับหมูหมา
“หืม ซุปที่ข้าวางเอาไว้ตรงนี้หายไปไหน?” หลิงฮันประหลาดใจและมองไปที่เจ้ากระต่าย “เจ้าเป็นคนทำ?”
“บัดซบ ถ้าเจ้าทำของหาย ทำไมต้องมากล่าวหานายท่านกระต่ายด้วย นี่พวกเจ้าเห็นนายท่านกระต่ายมีนิสัยชอบลักขโมยรึไง?” เจ้ากระต่ายกระโดดด้วยความไม่พอใจ
“ใช่แล้ว!” ทุกคนพยักหน้า
“อะไรกัน ชามข้าวที่ข้าวางไว้ตรงนี้หายไปแล้ว” จูเสวียนเอ๋ออุทานขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
“นายท่านกระตายไม่เกี่ยว!” เจ้ากระต่ายรีบยกอุ้งเท้าขึ้นมาส่ายเพื่อปฏิเสธ
“ไม่ใช่เจ้ากระต่าย” หลิงฮันส่ายหน้า เขาเพ่งเล็งเจ้ากระต่ายอยู่ตลอด ถ้าหากอีกฝ่ายลงมือทำอะไรล่ะก็ มันคงไม่อาจหนีพ้นสัมผัสสวรรค์ของเขาไปได้ เพราะอย่างไรสัมผัสสวรรค์ของเขาก็เป็นถึงสัมผัสของจอมยุทธระดับสวรรค์ แม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวก็ตามที
“งั้นใครกัน?” ทุกคนรู้สึกกังวลใจ
ฮูหนิวยิ้มออกมา ทันใดนั้นมือของนางก็คว้าไปจับสิ่งมีชีวิตสีขาวบางอย่างเอาไว้ได้และกล่าว “มาย่างเจ้านี่ให้สุกแล้วกินกันเถอะ!”
ตอนที่ 702
ฮูหนิวจับมันไว้อยู่ในมือ มันเป็นสัตว์ที่มีขนปุยตัวเล็กคล้ายกับหนูอ้น แต่แตกต่างกันที่สี ขนาดร่างกาย แขนขาและหางที่ยาวของมัน
ถ้าตัวของมันมีสีดำคงจะดูน่ากลัว แต่ด้วยขนสีขาวบริสุทธิ์ อุ้งเท้าสีชมพูและดวงตาที่ใหญ่โตเลยทำให้มันดูน่ารักเป็นอย่างมาก
ร่างของมันกำลังดิ้นไปมาและต้องการที่จะหลุดไปให้พ้นจากมือของฮูหนิว แต่น่าเศร้าที่แขนและขาของมันนั้นสั้นเกินไป จึงทำได้แค่กรีดร้องออกมาอย่างไร้ประโยชน์
ฮูหนิวน้ำลายหยดไหลและพูดว่า “จะย่างหรือต้มมันกินดี จริงสิมันมีแค่ตัวเดียวเองเช่นนั้นควรทำเช่นไรดี? ถ้างั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่หนิวเอง!”
“กินไม่ได้!” จูเสวี่ยนเอ๋อ เหวินเหรินเชียนเชียน หลี่ซือเซียน หญิงสาวทั้งสามคนตะโกนออกมาพร้อมกัน สิ่งมีชีวิตที่น่ารักแบบนี้ใครจะปล่อยให้มันถูกกิน!
“ทำไม?” ฮูหนิวรู้สึกแปลกใจและมองทุกคนด้วยสายตาระแวง “หรือว่าพวกเจ้าจะแย่งชิงมันไปจากหนิว? ถ้างั้นมาสู้กันเลย!”
หลิงฮันรู้สึกสงสัยและพูดว่า “เจ้าตัวน้อยนี่คือหัวขโมยเมื่อกี้?”
“ใช่แล้ว เจ้าทำให้ข้าต้องถูกใส่ร้าย ฆ่าและกินมันเลย!” กระต่ายกรีดร้อง
“เจ้ากระต่าย ถ้าเจ้าพูดจาไร้สาระอีกครั้ง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายที่ตายเป็นคนแรก!” เหวินเหรินเชียนเชียนพูดข่มขู่
“ดีเลย หนิวอยากกินเนื้อกระต่าย!” ฮูหนิวรีบหันสายตาจ้องมองไปที่เจ้ากระต่ายทันที
หลิงฮันกวักมือเรียกและขอให้ฮูหนิวส่งสัตว์ตัวน้อยนี่มาให้เขา เขาพลิกตัวของมันไปมาและทำให้เจ้าตัวน้อยเขินอายและใช้อุ้งเท้าเล็กๆของมันปิดของสงวน
จากนั้น มันได้คลายโลหะชิ้นเล็กๆออกมา ซึ่งมีสีฟ้าและสีเขียวสดใส และจ้องมองหลิงฮันราวกับว่าทำให้เขาพอใจ
“หึ่ม ทั้งหมดมันก็แค่น้ำลายของเจ้าเท่านั้น ทำไมพวกข้าต้องสนใจด้วย!” หลิงฮันยิ้ม แต่แล้วสีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปทันที “นี่มันแร่เหล็กระดับแปด ทองคำทะเลคราม!”
ทุกคนรู้สึกตกตะลึง ที่แท้เจ้าหนูอ้วนนี่คลายแร่เหล็กระดับแปดออกมา ซึ่งเป็นอะไรที่น่าตกตะลึงมาก
“เดี๋ยวก่อน หรือว่าเจ้าหนูนี่จะเป็นหนูทองคำ” เจ้ากระต่ายรู้สึกแปลกใจและพูดว่า “มีการกล่าวไว้ว่าสิ่งมีชีวิตอย่างมันมีประสาทสัมผัสที่ไว้ต่อแร่เหล็กล้ำค่าที่ฝังอยู่ใต้ดิน”
หนูทองคำ!
ทุกคนส่ายหัวของตัวเอง พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“เจ้ากระต่าย เจ้าไม่ได้พูดจาไร้สาระใช่ไหม?” จูเสวี่ยนเอ๋อถามด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ่ม แม้เจ้าจะงดงามกว่านี้ก็ไม่อาจสงสัยในตัวกระต่ายอย่างข้าได้!” เจ้ากระต่ายกระโดด “เจ้าไม่เคยได้ยินมัน นั่นเป็นเพราะหนูทองคำนั้นมีจำนวนน้อยจนน่าสงสาร แม้มันจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก จำนวนของมันก็มีน้อยกว่ามังกรและวิหคเพลิงที่แท้จริงเสียอีก”
“อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นสมบัติของดินแดนศักดิ์สิทธิ์!”
ทุกคนรู้สึกแปลกใจที่ได้เห็นความน่าทึ่งของเจ้าหนูทองคำนี่
หนูทองคำจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยท่าทางประจบสอพลอ มันรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมากเมื่ออยู่กับฮูหนิว เหมือนกับหนูที่เผชิญหน้ากับแมว ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีความเร็วที่น่าทึ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถจับมันได้ทัน
แต่ทว่ามันกลับถูกฮูหนิวจับตัวได้ แน่นอนว่ามันจะต้องหาหนทางให้มีชีวิตรอด ไม่เช่นนั้นชะตากรรมของมันคงจะถูกนำไปย่างกิน ดังนั้นมันจึงมองหลิงฮันด้วยสายตาอ้อนวอน
มันถือแร่เหล็กสีฟ้าและสีทองด้วยอุ้งมือทั้งสองข้าง ราวกับโค้งคำนับมอบของขวัญให้กับหลิงฮัน
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะส่งเสียงหัวเราะออกมา เขาวางหนูทองคำลง และมองไปที่ทองคำทะเลคราม
เจ้าหนูวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
แม้มันจะมีรูปร่างอ้วนกลม แต่ความเร็วของมันรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ มันหายตัวไปเร็วมาก
ทุกคนรู้สึกตกตะลึงไปอยู่สักพัก และรู้ว่าพวกเขาถูกเจ้าหนูนั่นหลอกเข้าให้แล้ว
“เป็นเจ้าอ้วนที่รวดเร็วยิ่งนัก!” หลิงฮันนึกถึงหม่าตั๋วเป้า แม้จะอ้วนท้วม แต่กลับรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
“เนื้อย่างของหนิว!” ฮูหนิวกรีดร้อง นางเพิ่งจะตัดสินใจได้ว่าจะกินมันแบบไหนดี แต่ทว่าอาหารของนางกลับวิ่งหนีไปซะแล้ว
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “เจ้าหนูตัวใหญ่ตัวนี้มีประโยชน์มาก พวกเราค่อยจับมันใหม่ก็ได้”
ฮูหนิวส่งเสียงพึมพัม นางอยากกินมันมาก แต่ตอนนี้นางจะไปทำอะไรได้? สายตาของนางจับจ้องไปที่ร่างของเจ้ากระต่ายและดวงตาที่กลมของนางก็เปล่งประกาย
เจ้ากระต่ายรีบใช้อุ้งมือปิดก้นของมันและอุทานออกมาว่า “เด็กน้อย เจ้ามองข้าต้องการอะไรงั้นรึ? ข้าขอเตือนเจ้าไว้อย่าง ถ้าเจ้าก – อ๊าก!” มันส่งเสียงกรีดร้องออกมาเมื่อถูกฮูหนิวกัดก้น
หลังจากนั้นทุกคนก็กินอาหารกันต่อ แต่ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ฮูหนิวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา นางยกมือขึ้นพร้อมกับเจ้าหนูอ้วน
หรือว่าจะเป็นหนูทองคำอีกแล้ว?
ครั้งนี้เป็นหนูตัวอ้วนอีกแล้ว มันถือชิ้นเนื้ออยู่ในอุ้มมือของมัน ปากข้างหนึ่งของมันดูป่องกว่าอีกครั้งง ดูเหมือนว่ามันจะยัดอาหารมากเกินไป มันจ้องมองทุกคนด้วยสายตาไร้เดียงสาและดูน่ารักน่าชัง
ช่วยไม่ได้ที่ทุกคนจะยิ้มออกมา
“ข้าเคยเห็นคนโง่เขลามาก่อน แต่คนโง่เขลาที่จะทำแบบนี้ได้นั้นคงมีแค่เจ้าหนูทองคำนี่ตัวเดียว”
“คนตายเพราะความร่ำรวย นกตายเพราะความตระกระ เหมาะสมที่จะใช้กับมันจริงๆ”
“มันจะต้องเป็นเจ้าหนูตะกละมากอย่างแน่นอน แม้จะถูกจับได้ครั้งหนึ่ง แต่มันก็ยังคงวิ่งมาที่เดิมอีก”
เมื่อมันได้ยินคนพูด เจ้าหนูตัวขาวเงยหน้าขึ้นมายกอุ้งเท้าทั้งสองข้างปิดตา
หลิงฮันหัวเราะและจับคว้ามันมาจากฮูหนิวอีกครั้ง เขาพูดว่า “เจ้าหนูอ้วน ถ้าเจ้าติดตามข้า ข้าจะให้อาหารแก่เจ้าแลกกับใช้ความสามารถในการค้นหาแร่เหล็กล้ำค่าของเจ้าหามันให้ข้า”
เจ้าหนูขาวกรีดร้องและกระโดดโลดเต้นราวกับไม่เอาด้วย
“เจ้ากล้าปฏิเสธอย่างนั้นหรือ?” ฮูหนิวแสดงสีหน้าดุร้ายใส่มัน
เจ้าหนูสะดุ้งทันที หางและแขนขาของมันเหยียดตรงราวกับตัวมันกลายเป็นแข็งทื่อและล้มตัวลงเหมือนแกล้งตาย
ฮ่าฮ่าฮ่า ทุกคนส่งเสียงหัวเราะออกมา เจ้าหนูตัวนี้ชักจะตลกเกินไปแล้ว
มันขี้ขลาดสมกับเป็นหนูจริงๆ ทั้งที่มันกล้ากลับมาขโมยอาหารถึงสองครั้ง แต่กลับหวาดกลัวฮูหนิวจนหมดสติ
แต่หลังจากนั้น เจ้าหนูขาวมันจ้องมองไปที่หลิงฮันและก็วิ่งหนีไป
อีกแล้ว!
รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนหายไปทันที พวกเขาถูกเจ้าหนูตัวนี้หลอกอีกแล้ว
หลิงฮันนำอาหารจำนวนมากออกมาและพูดว่า “ข้าไม่เชื่อหรอก เจ้าหนูตะกละนั่นจะต้องกลับมาอีกแน่นอน!”
ทุกคนส่ายหน้า เจ้าหนูตัวนั้นคงไม่ตะกละถึงขนาดกลับมาให้ถูกจับเป็นครั้งที่สามหรอกมั้ง?
ใช่แล้ว เจ้าหนูขาวไม่ปรากฏออกมาให้พวกเขาเห็นอีก เมื่อรุ่งเช้ามาถึง เวลาเช้าและเวลากลางคืนเปลี่ยนไปทันที ดวงดาวและดวงจันทร์บนท้องฟ้าหายไปในเวลาเดียวกันและมีลูกบอลเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏอยู่บนท้องฟ้าแทน
แม้ว่าหลิงฮันจะไม่อยากปล่อยเจ้าหนูขาวไป แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้เสีย ดังนั้นเขาพร้อมกับทุกคนจึงออกเดินทางมุ่งไปข้างหน้ากันต่อ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น