Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 683-694
ตอนที่ 683
ในโลกของจอมยุทธ กองทัพเป็นสิ่งที่ยากในการจินตนาการถึง
สำหรับจอมยุทธแล้ว พวกเขามักจะคุ้นเคยกับการลงมือคนเดียว แม้บางทีอาจจะมีต่อสู้เป็นกลุ่ม แต่นั่นก็แค่กลุ่มคนไม่กี่คน แต่ถ้าหากยิ่งมีคนหลายคนมาร่วมมือกันสู้ พวกเขาก็จะไม่สามารถแสดงพลังออกไปได้เต็มที่เพราะไม่รู้ว่าจะโจมตีผสานกันอย่างไรดี หากไม่มีคนออกคำสั่ง
เมื่อหลิงฮันได้รับคำสั่งให้มา เขาก็เกิดความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหล่าศิษย์จะกลายเป็นหนึ่งในกองทัพที่จะช่วยพิชิตจักรวรรดิจันทราม่วง
“แม้แต่ห้านิกายโบราณก็ยังต้องเคลื่อนไหว?” หลิงฮันตกตะลึง ดูเหมือนว่าเขาจะมองหม่าตั้วเป่าต่ำไปเสียแล้ว เขาสามารถดึงดูดความสนใจของห้านิกายโบราณได้… แต่ถ้าคิดให้ดี หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่แปลกอะไร พลังแห่งจักรภพเป็นอำนาจอันทรงพลังที่สามารถเพิ่มพลังต่อสู้ให้กับจอมยุทธได้ ตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วก็คือจักรพรรดิพิรุณ
กุญแจสำคัญก็คือพลังแห่งจักรภพจะแข็งแกร่งขนาดไหนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของประชากร แต่เป็นจำนวนของประชากรต่างหาก ยิ่งประชากรเยอะอำนาจที่พลังแห่งจักรภพรวบรวมได้ก็ยิ่งเยอะ
หลิงฮันติดติดต่อจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงว่าพวกเขาจะเข้าร่วมสงครามในฐานะผู้สอดแนม เขาจะป้องกันตัวเองโดยไม่ทำร้ายใคร
“ข้าต้องไปพบหม่าตั้วเป่า เพราะในเมื่อก่อนหน้านี้อีกฝ่ายได้บอกไว้ว่าจะทำการเปิดสวรรค์และตัวตนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ทำให้โลกเบื้องล่างเกิดภัยพิบัติ ถ้าเช่นนั้นหม่าตั้วเป่าจะต้องรู้รายเอียดเกี่ยวกับการเปิดสวรรค์มากกว่าจื่อเสวี่ยนเซียนแน่นอน”
“เพียงแต่ว่าตอนนี้จื่อเสวี่ยนเซียนกลายเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิไปแล้ว การจะพบหน้าเขาคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
“ไว้ค่อยหาโอกาสเอาก็แล้วกัน”
หลิงฮันมั่นใจอย่างมากว่าเขาจะไม่เป็นอะไร เขามีหอคอยทมิฬเป็นไพ่ลับอยู่ ซึ่งมันคือสิ่งที่จะช่วยป้องกันเขาจากตัวตนระดับทลายมิติ เพราะงั้นเขาถึงได้กล้าที่จะเข้าไปยังอาณาเขตด้านในของจักรวรรดิจันทราม่วง
พวกเขามีเวลาเตรียมตัวแค่สองวัน หลังจากนั้นศิษย์ทุกคนก็ออกเดินทางไปรวมตัวกับกองทัพของห้านิกายโบราณและมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิจันทราม่วง
กองทัพนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มเพื่อจู่โจมจักรวรรดิจันทราม่วงสามทาง ส่วนเหล่าศิษย์นั้นไม่ถูกแบ่งกลุ่ม หน้าที่ของพวกเขาคือตามกองทัพทิศตะวันตกไปบุกโจมตีจักรวรรดิทางด้านทิศตะวันตก
ผู้นำของกองทัพแน่นอนว่าต้องเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติ แต่ไม่ใช่ตัวตนระดับสูงอย่างจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์หรือจักรพรรดิดาบ เขาคือชายชราที่มีประสบการณ์สู้รบมาอย่างโชคโชน
แต่จอมยุทธระดับทลายมิติก็คือระดับทลายมิติอยู่ดี กลิ่นอายที่เขาปลดปล่อยออกมาหนักแน่นราวกับขุนเขา ไม่มีใครเลยที่กล้าเข้าใกล้เขา เพราะหากทำเช่นนั้นร่างของพวกเขาจะต้องระเบิดออกเพราะกลิ่นอายอันทรงพลังของชายชราแน่นอน
ถ้าหากเขาไม่ได้ปิดกั้นกลิ่นอายของตนเองเอาไว้ แม้คนที่เข้าใกล้จะเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ต่างอะไรกับการแส่หาความตาย
หลิงฮันตกตะลึง อำนาจของห้านิกายโบราณช่างลึกล้ำจริงๆ พวกเขามีจอมยุทธระดับทลายมิติอยู่ในนิกายมากมายเช่นนี้… แต่นี่ก็เป็นเพราะพลังวิญญาณที่ถูกสั่งสมมากว่าหนึ่งหมื่นปี ด้วยสภาพแวดล้อมในตอนนี้ การที่มีตัวตนระดับทลายมิติปรากฏตัวขึ้นมากมายจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
กองทัพทิศตะวันตก มีจำนวนจอมยุทธอยู่เพียงหนึ่งหมื่นคนเท่านั้น ส่วนแรกคือลูกศิษย์ของห้านิกายโบราณ ส่วนที่สองคือพันธมิตรของห้านิกายโบราณ และส่วนสุดท้ายคือศิษย์ของสำนักสวรรค์ราวๆสองพันคน
ถึงแม้จำนวนจะน้อย แต่อำนาจโดยรวมของกองทัพนนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง จอมยุทธที่ระดับพลังต่ำที่สุดคือระดับแก่นแท้วิญญาณ ส่วนระดับพลังที่มีจำนวนมากที่สุดคือระดับบุปผาผลิบาน จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็มีพอสมควร จอมยุทธระดับสวรรค์มีหนึ่งร้อยคน และจอมยุทธระดับทลายมิติมีเพียงคนเดียว ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าด้วยจำนวนพวกนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่มีใครคิดเลยว่าจักรวรรดิจันทราม่วงจะมีจอมยุทธระดับทลายมิติมากกว่าจำนวนนิ้วบนหนึ่งฝ่ามือ
หรือบางทีอาจจะมีแค่คนเดียวก็ได้
“จักรวรรดิจันทราม่วง นิกายพันศพ จักรพรรดิจอมอสูร รูปแบบอาคมสังหารที่สาม…” หลิงฮันพึมพำ ถ้านับรวมภูมิภาคเหนือเข้าไปด้วย ยังมีแมงมุมเงินยักษ์ที่เป็นตัวหายนะอยู่อีก เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ถูกฝังเอาไว้มีเพียงแต่ขวดต้องสาปรึเปล่า แต่ที่รู้ๆคือแมงมุมเงินยักษ์เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก
“แม้แต่ห้านิกายโบราณก็ไม่ใช่คู่ต่อของมัน!”
หลิงฮันเคยเห็นการโจมตีของแมงมุมเงินยักษ์มาแล้ว มันเป็นสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังเกินไป เมื่อเทียบกับราชันดาบหรือจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ หลิงฮันคิดว่าแมงมุมเงินยักษ์เป็นตัวตนที่ทรงพลังกว่า
บางทีราชันซากศพอาจจะแข็งแกร่งเทียบเท่ามันหากมันพัฒนาไปถึงสิบแปดตา
เมื่อลองมาคิดดูแล้ว แมงมุมยักษ์เป็นตัวตนที่ฝ่าฝืนกฎของสวรรค์และปฐพี ไม่ใช่ว่ามันควรถูกขับไล่ออกไปจากโลกเบื้องล่างนี้หรอกรึ?
สิบวันต่อมา พวกเขาก็มาถึงเมืองเหมียนหยัง กองทัพไม่เคลื่อนที่และหยุดอยู่ที่นี่
นั่นเพราะกองทัพของจักรวรรดิจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน ที่นี่จะเป็นสถานที่เริ่มต้นของสงคราม!
ในตอนนี้เมืองยังคงสงบสุข มีคนไม่มากที่รู้ว่าสงครามกำลังจะเริ่มต้น ชาวเมืองยังคงร้องเต้นกันอย่างสนุกสนานเหมือนทุกวัน
แต่เมื่อใดก็ตามที่สงครามเริ่มขึ้น ผู้คนเหล่านี้จะต้องอพยพหนีตาย
หลิงฮันถอนหายใจ
ความสงบสุขเช่นนี้เป็นสิ่งจอมปลอม ห้านิกายโบราณมองเห็นทุกคนเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงในฟาร์มที่พร้อมจะจับกินทุกเมื่อ
ตอนนี้ทั่วทั้งทวีปฮงเทียนเป็นเหมือนฟาร์มสัตว์ขนาดใหญ่ที่รอให้ถึงวันเก็บเกี่ยว
เนื่องจากสงครามยังไม่เริ่มขึ้น หลิงฮันและคนอื่นๆจึงแยกตัวไปเดินเตร็ดเตร่รอบเมือง บางทีในอีกไม่กี่วันเมืองนี้คงจะถูกกลืนกินไปด้วยสงคราม จนเมืองนี้ไม่หลงเหลืออีกต่อไป
เมื่อเดินเตร็ดเตร่ไปซักพัก จู่ๆหลิงฮันก็หยุดนิ่งและเอ่ยขึ้นมา “ออกมาซะ ไม่ต้องมัวซ่อนหัวซ่อนหางแล้ว!”
“เหอะ ช่างมีสัมผัสที่เฉียบแหลมจริงๆ!” ท่ามกลางตรอกที่มืดมิด ร่างผอมร่างหนึ่งก็เดินเข้ามา เขาเป็นชายที่มีหน้าตาหล่อเหลา แม้จะอยู่ในช่วงวัยกลางคนแล้ว เสน่ห์ของเขาก็ไม่อาจปกปิดได้มิด สามารถคาดเดาได้อย่างแน่ใจเลยว่าคงจะมีรุ่นเยาว์สตรีมากมายมาหลงรักเขา
“ข้าคือหูเจียนอี่ ผู้นำนิกายวายุจันทรา!”
ตอนที่ 684
ประมุขนิกายเฟิงเย่ว!
หลิงฮันรู้สึกได้ถึงอันตราย ไม่แปลกใจเลยที่เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรง ระหว่างทางไปสำนักสวรรค์ เขาได้สังหารชายที่ชื่อว่าหูชิงฟางบุตรชายของประมุขนิกายเฟิงเย่ว
และเขาเป็นบุตรชายเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
ฝ่ายตรงข้ามปรากฏตัวในกลางดึกและกำลังจ้องมองไปที่หลิงฮัน ดูเหมือนว่าเขากำลังยืนยันตัวตนของหลิงฮันอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสัญชาตญาณของฮูหนิวแน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่มีทางหลบพ้นสายตาของนาง และไม่ใช่เรื่องง่ายที่นางจะอดทนไหว
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ประมุขนิกายหู่อุตส่ามารอข้าที่นี่ในกลางดึกเช่นนี้ ท่านอยากจะเชิญข้าไปดื่มชาหรือสุราอย่างนั้นหรือ?”
“โอ้ว แล้วปรมาจารย์หลิงสนใจจะไปไหมล่ะ?” หู่เจียนอี่มองหลิงฮันด้วยรอยยิ้ม แต่ยังคงปลดปล่อยจิตสังหารออกมา
“ถ้าประมุขนิกายหู่เป็นฝ่ายเปิดปากพูด ทำไมข้าจะไม่ไปกันล่ะ?” หลิงฮันถาม
“ฮ่าฮ่าฮ่า ปรมาจารย์หลิงช่างอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่งนัก เช่นนั้นได้โปรด!” หู่เจียนอี่แสดงท่าทางเชื้อเชิญ
หลิงฮันไม่กลัวว่าจะถูกหู่เจียนอี่ลอบฆ่า ตอนนี้เขามีสองตัวตน ไม่ได้เป็นแค่นักปรุงยาระดับสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นหนึ่งในกองกองทัพของห้านิกายด้วย ถ้าหู่เจียนอี่กล้าที่จะสังหารเขา มันจะเทียบได้กับการท้าทายห้านิกายโบราณ
ดังนั้น หลิงฮันจึงรู้สึกปลอดภัยมาก
พวกเขาเดินไปที่ร้านน้ำชาและสั่งอาหาร ในไม่ช้าคนรับใช้ภายในร้านก็นำชามาเสิร์ฟและมีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมา
มันแปลกมาก พวกเขาทั้งสองคนสมควรที่จะเป็นศัตรูต่อกัน แต่ทว่าพวกเขากลับนั่งดื่มชาด้วยกันราวกับพวกเขารู้จักการมานานหลายปีแล้ว
“ปรมาจารย์หลิง ลูกชายของข้าตายด้วยน้ำมือของท่าน?” หลังจากที่หู่เจียนอี่จิบชาไปได้สักพัก เขาก็ถามออกมาอย่างกะทันหัน
หลิงฮันไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว”
“ข้ามีบุตรชายเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น แล้วท่านปรมาจารย์หลิงจะชดใช้สิ่งที่เกิดขึ้นให้กับข้าได้อย่างไร?” หู่เจียนอี่จ้องเขม็งไปที่หลิงฮันอย่างเย็นชา
หลิงฮันเข้าใจทันทีว่าหู่เจียนอี่ต้องการแก้แค้นอย่างแน่นอน แต่เขาก็มีศีลธรรมอยู่บ้าง นั่นเป็นเพราะเขายังคงมีสถานะเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์อยู่
“อย่างไรก็ตาม บุตรชายของข้าก็ได้ตายไปแล้ว เช่นนั้นพวกเรามาคุยเรื่องผลประโยชน์กันเถอะ” หู่เจียนอี่กล่าว
หลิงฮันยิ้ม หรือว่าอีกฝ่ายคิดจะขู่กรรโชกเขา?
“ประมุขนิกายหู่ ท่านคิดผิดแล้ว!” หลิงฮันส่ายหัว “คนอย่างลูกชายท่าน มีชีวิตอยู่มีแต่จะเปลืองอาหาร ทรัพยากรบ่มเพาะพลังและเอาแต่สร้างปัญหาทุกวัน โชคดีที่อีกฝ่ายตายด้วยน้ำมือของข้า มิฉะนั้นถ้าเป็นคนอื่นพวกเขาคงจะทำลายนิกายวายุจันทราของท่านด้วย –ประมุขหู่อย่าได้โทษข้าเลยที่ข้าพูดตรงไปตรงมา ข้าแค่เป็นคนที่ชอบพูดความจริงเท่านั้น”
“ข้าได้แก้ไขปัญหาให้กับท่านแล้ว มันสมควรหรือไม่ที่ประมุขหู่จะขู่กรรโชกข้า?”
ช่วยไม่ได้ที่ใบหน้าของหู่เจียนอี่จะกระตุก เขาเคยเห็นผู้คนที่พูดตรงไปตรงมาหลายคน แต่คนที่พูดออกมาด้วยความกล้าหาญอย่างหลิงฮันมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
นี่อีกฝ่ายจะหยุดทำตัวไร้ยางอายได้แล้วหรือยัง? ฆ่าลูกชายของข้าแล้วยังต้องการให้ข้าขอบคุณเจ้าด้วยงั้นรึ?
ช่วยไม่ได้ที่หู่เจียนอี่จะวางแก้วชาลงและปลดปล่อยพลังปราณของจอมยุทธระดับสวรรค์ออกมา และทำให้สีหน้าของจูเสวี่ยนเอ๋อกลายเป็นซีดขาวทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลิงฮันดึงจูเสวี่ยนเอ๋อเข้ามาในอ้อมแขนของเขา ทำให้ฮูหนิวไม่พอใจที่เห็นหลิงฮันโอบกอดจูเสวี่ยนเอ๋อ นางหันไปมองหู่เจียนอี่ทันที แววตาของนางดุร้ายราวกับเสือและปลดปล่อยจิตสังหารออกมา
หู่เจียนอี่ไม่เห็นฮูหนิวอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ยิ่งเห็นอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กสาวตัวน้อยอายุเจ็ดหรือแปดปีแล้วด้วยเขาจะหวาดกลัวไปทำไม? มันจะเป็นเรื่องตลกแค่ไหนกันถ้าเขาถูกเด็กสาวอายุประมาณเจ็ดหรือแปดปีสามารถทำให้เขาเกิดความรู้สึกไม่สบายใจได้?
“ปรมาจารย์หลิง มันจะดีกว่าถ้าท่านจะฟังคำพูดของข้า กระบี่นั้นไม่มีตา บางทีท่านอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างสงคราม” เขาไม่สนใจฮูหนิวแม้แต่น้อย และจ้องมองไปที่หลิงฮันเพียงคนเดียวเท่านั้น
หลิงฮันไม่ได้กังวลอะไรและพูดว่า “ข้าล่ะสงสัยยิ่งนักว่านิกายอย่างนิกายวายุจันทราจะดำรงอยู่ได้นานแค่ไหน?”
“โอ้ว ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่คำร้องขอชีวิต!” หู่เจียนอี่แสยะยิ้ม เดิมทีเขาไม่คิดจะปล่อยหลิงฮันไว้อยู่แล้ว ในตอนแรกนิกายวายุจันทราจะติดตามกองทัพไปทางทิศตะวันออก แต่ตอนนี้พวกเขาถูกเปลี่ยนให้มาที่ทิศตะวันตก
ด้วยเหตุผลนั้นเป็นธรรมดาที่เขาจะลอบสังหารหลิงฮัน
ยิ่งไปกว่านั้้น ท่ามกลางความโกลาหลของสงคราม ใครจะสังเกตเห็น?
แม้จะถูกคนอื่นเห็น เขาสามารถที่จะพูดได้ว่ากระบี่ไม่มีตา การโจมตีที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญเป็นเหตุทำให้หลิงฮันตาย ใครขอให้เขาเป็นฝ่ายแข็งแกร่งกว่าล่ะ?
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลิงฮันและหู่เจียนอี่หัวเราะออกมาพร้อมกัน ราวกับว่าต่างฝ่ายต่างพบเจอเรื่องตลกที่สุดในโลก
แต่ทว่าเสียงหัวเราะของพวกเขาก็หยุดคงทันที หู่เจียนอี่ลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันและเปิดประตูเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน!”
หลิงฮันตะโกนเรียกอยู่ด้านหลัง
หู่เจียนอี่รู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที หรือว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจแล้ว? เขาแแกล้งทำเป็นไม่สนใจและไม่หันหลังมองย้อนกลับไป
“ประมุขหู่ นี่ท่านคงไม่คิดที่จะกินแล้วไม่จ่ายหรอกใช่ไหม?” เสียงของหลิงฮันดังมาจากด้านหลัง
หู่เจียนอี่แทบจะสะดุดล้ม ใบหน้าของเขากลายเป็นโกรธเกรี้ยว
“ประมุขหู่ ท่านจะกินแล้วหนีอย่างนั้นรึ?” หลิงฮันยังคงตะโกน ทำให้ผู้คนในร้านน้ำชาหันไปมองหู่เจียนอี่ด้วยสายตาดูถูก
หู่เจียนอี่โกรธมากจนเขาอยากจะลงมือฆ่าใครสักคน เขาเดินกลับไปและโยนผลึกก่อเกิดออกไปอย่างไม่พอใจ
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิงฮันค่อยๆจางหายไป เขาตัดสินใจว่าจะลบนิกายวายุจันทราออกไป แต่ความแข็งแกร่งของเขายังไม่เพียงพอและไม่สามารถลงมือทำได้ทันที
หลิงฮันคิดว่าเมื่อเขามีความแข็งแกร่งเทียบเท่าจอมยุทธระดับสวรรค์ สิ่งแรกที่เขาจะทำคือจัดการกับนิกายวายุจันทรา
หลังจากใช้เวลาอยู่ภายในเมืองไม่กี่วัน กองทัพจักรวรรดิจันทราม่วงก็จะเดินทัพมาถึง
กองทัพของพวกเขาสมควรที่จะถูกเรียกว่ากองทัพขนาดใหญ่ กองทัพของพวกเขามีความเป็นระเบียบมากและมีจำนวนคนมากกว่าหนึ่งล้านคนพร้อมกับถือธงตราสัญลักษณ์ ทั้งยังมีทหารม้าและรถม้าศึก ซึ่งแตกต่างจากกองทัพของห้านิกายโบราณที่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการรวมกลุ่มกันของจอมยุทธและกองทัพ
หลิงฮันและคนอื่นขึ้นไปอยู่บนกำแพงเมือง ซึ่งได้รับการป้องกันจากรูปแบบอาคมและสามารถต้านทานการโจมตีของจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาได้
ธงของจักรวรรดิจันทราม่วงเป็นการรวมกันของตราสัญลักษณ์สองอย่างคือดวงจันทร์สีม่วง และราชสีห์เพศผู้ แต่ทว่ามันกลับมีหกขา สี่ปีกและหางเจ็ดหาง ซึ่งดูแปลกมาก!
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ เขาจดจำสิงโตตัวนั้นได้ มันเป็นสัตว์อสูรโบราณ หมีอ๋าง!
ตอนที่ 685
ด้วยการที่มีสัญลักษณ์ของสัตว์อสูรโบราณระดับพระเจ้าปักอยู่บนธง จักรวรรดิผู้ถือครองธงนี้จะต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน
จอมยุทธระดับทลายมิติของฝ่ายห้านิกายโบราณลอยขึ้นไปยืนบนหัวเมืองและคำรามออกไป “ผู้นำทัพของจักรพรรดิจันทราม่วง จงแสดงตัวให้ข้าผู้นี้เห็นซะ”
“เหอๆ เป็นเพียงแค่ระดับทลายมิติขั้นสาม แต่กล้ามายืนอยู่ต่อหน้าราชาผู้นี้!” เสียงหัวเราะดังขึ้นทันใดนั้นชายสวมชุดเกราะใหญ่ก็ปรากฏออกมา เขาขึ้นขี่อยู่บนหลังสัตว์อสูรร่างยักษ์ที่อุ้งเท้าทั้งสี่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง
หลิงฮันมองไปยังสัตว์อสูรตนนั้นและใบหน้าเปลี่ยนสี นั่นเพราะสัตว์อสูรตนนั้นคืออสูรเก้าเพลิงเหยียบสวรรค์!
มันคือสัตว์อสูรระดับทลายมิติ โดยปกติแล้วสัตว์อสูรจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งเหนือกว่ามนุษย์ ดังนั้นหากมาเปรียบเทียบกับจอมยุทธที่มีระดับพลังเท่ากัน สัตว์อสูรมักจะเป็นฝ่ายที่ทรงพลังมากกว่า
สัตว์อสูรที่ทรงพลังเช่นนั้นกลับยอมเป็นสัตว์ขี่ของมนุษย์… ช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก
อสูรเก้าเพลิงเหยียบสวรรค์ก้าวเดินออกมาทีละก้าว แม้มันจะเดินช้าๆไม่เร่งรีบ แต่ออร่าที่มันปลดปล่อยออกมาน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ผู้คนรอบข้างต่างหยุดนิ่งราวกับหัวใจถูกแช่แข็ง
ชายที่ปรากฏตัวสวมเกราะต่อสู้และเกราะหมวกสีเงิน ใบหน้าของเขาไม่ถูกปิดเอาไว้ทำให้สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ได้อย่างเด่นชัด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและแน่นิ่งราวกับว่าแม้ท้องฟ้าจะร่วงหล่นลงมาเขาก็สามารถรับได้ด้วยมือเปล่า
“เจ้าเป็นใคร?” จอมยุทธระดับทลายมิติของห้านิกายโบราณคำราม เขาตกตะลึงในอำนาจของอีกฝ่ายเช่นกัน
“ราชาดวงดาราแห่งจักรวรรดิจันทราม่วง น่าหลานเทียนฮวง” ชายชุดเกราะกล่าวด้วยเสียงที่ไม่ดังมาก แต่เสียงนั้นกลับตราตรึงไปทั้งจิตใจของทุกคนโดยรอบ
จอมยุทธระดับทลายมิติของห้านิกายโบราณเค้นเสียงดูถูกและพูด “ช่างกล้าหาญนัก บังอาจก่อตั้งจักรวรรดิในทวีปฮงเทียนแห่งนี้ การกระทำของเจ้าคือการต่อต้านสวรรค์!”
“โอ้ งั้นเจ้าก็เป็นตัวแทนของสวรรค์และปฐพีงั้นรึ?” น่าหลานเทียนฮวงกล่าวอย่างเหยียดหยาม
“ข้าคือจางเสี่ยวหลิน วันนี้ในฐานะตัวแทนแห่งทวีปฮงเทียน ข้าขอกล่าวเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่าทำลายจักวรรดิอันชั่วร้ายและดำมืดของเจ้าทิ้งเสียเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นชะตาของเจ้าที่จะหลงเหลืออยู่จะมีเพียงแค่การล่มสลาย!” จอมยุทธระดับทลายมิติของห้านิกายโบราณกล่าวลั่น
“เหอะ คิดว่าข้าจะเชื่อฟังเจ้างั้นรึ!” น่าหลานเทียนฮวงกล่าวอย่างเย็นชา “ในยุคสมัยที่ราชาผู้นี้ปกครองโลกด้วยอำนาจอันทรงพลัง บรรพบุรุษของเจ้ายังไม่รู้จักวิธีดูดนมแม่เลย เจ้ากล้าดีอย่างไรมาออกคำสั่งราชาผู้นี้!”
ช่างพูดจาใหญ่โตยิ่งนัก!
จางเสี่ยวหลินกลายเป็นเกรี้ยวกราด แต่เขาก็ไม่กล้าดูถูกและเมินเฉยต่อพลังของน่าหลานเทียนฮวง เขาเค้นเสียงดูถูกและกล่าว “คนที่พูดจาใหญ่โตมักจะดับสิ้นด้วยความอวดดีของตนเอง”
“ฮ่าๆๆ ราชาผู้นี้มาที่นี่เพื่อนำทัพเปิดศึกที่จะเริ่มขึ้นในอีกสามวันต่อจากนี้ หากเมื่อเวลามาถึงแล้วเจ้ายอมละทิ้งอาวุธและยอมแพ้แต่โดยดี ข้าจะไม่สังหารเจ้า!” เสียงของน่าหลานเทียนฮวงดังก้องกังวานราวกับฟ้าผ่า
“ฝันไปเถอะ!” จางเสี่ยวหลินกล่าวอย่างเย็นชา
สองตัวตนระดับทลายมิติกำลังคุยกัน คนอื่นๆที่เหลือย่อมไม่มีสิทธิพูดแทรก
ขั้นตอนแรกของสงครามคือการแสดงอำนาจข่มอีกฝ่าย ดังนั้นจึงไม่มีใครยอมกันง่ายๆ
“คนของอ้วนหม่าช่างแข็งแกร่งจริงๆ!” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ แม้จะยังไม่เคยเห็น แต่เขากล้ายืนยันได้เลยว่าจักรวรรดิจันทราม่วงจะต้องมีตัวตนระดับทลายมิติคอยปกครองอยู่อีกแน่นอน
ยิ่งกว่านั้นน่าหลานเทียนฮวงยังไม่ใช่จอมยุทธระดับทลายมิติทั่วไป แม้จะยังไม่รู้ขั้นพลังของอีกฝ่ายแน่ชัด แต่การที่เขาสามารถขึ้นขี่สัตว์อสูรระดับทลายมิติได้ ก็คือสิ่งที่อธิบายพลังของเขาได้ดีที่สุด
กองทัพของจักวรรดิจันทราม่วงมั่นคงเป็นอย่างมาก จอมยุทธหนึ่งล้านคนแบ่งกองกำลังเป็นหนึ่งร้อยหน่อย แต่ละหน่อยยืนทรหดอย่างมั่นคง แม้จะเผชิญหน้ากับตัวตนระดับทลายมิติอย่างจางเสี่ยวหลิน พวกเขาก็ไม่แสดงท่าทีหวั่นไหวออกมาแม้แต่น้อย
ในทางกลับกัน ด้วยอำนาจทีน่าหลานเทียนฮวงแสดงออกมาได้ทำให้ความมั่นใจของจอมยุทธฝั่งห้านิกายโบราณลดลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ ถือว่าพวกเขาได้แพ้สงครามไปครึ่งหนึ่งแล้วเช่นกัน
“ช่างน่าแปลกยิ่งนักที่สมบัติเดินได้อย่างอ้วนหม่าจะมีลูกน้องที่ทรงพลังเช่นนี้ และนี่เป็นเพียงหนึ่งในสามกองทัพอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิจันทราม่วงเท่านั้น ข้าเกรงว่ากองทัพอีกสองกองทัพเองก็คงจะไม่อ่อนด้อยไปกว่ากัน”
“ไม่แปลกใจเลยที่อ้วนหม่าจะกล้าก่อตั้งจักรวรรดิและมีความทะเยอทะยานถึงขนาดที่จะเปิดสวรรค์”
“ถ้าเช่นนั้นแล้ว หม่าตั้วเป่าที่แบกรับความรับผิดชอบทำหน้าที่เปิดสวรรค์จะไม่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหรอกรึ? ไม่เช่นนั้นหากร่างกายของเขาไม่แข็งแกร่งพอ เขาคงไม่สามารถทนต่อพลังจักรภพที่ทรงอำนาจได้”
“คนเรามองจากภายนอกไม่ได้จริงๆ แท้จริงแล้วหม่าตั้วเป่าเป็นใครกันแน่?”
หลิงฮันเกิดความสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่เคยเห็นพลังของอีกฝ่าย แต่ดูจากผู้คนที่คอยติดตามอยู่รอบข้างเขาแล้ว ไม่มีทางที่หม่าตั้วเป่าจะธรรมดาแน่นอน
กองทัพของจักรวรรดิจันทราม่วงเริ่มสร้างแคมป์ที่พักและเตรียมตัวสำหรับสงครามที่จะเริ่มขึ้นในอีกสามวันให้หลัง
ห้านิกายโบราณก็เริ่มปรึกษาหารือกันเช่นกัน หัวข้อสนทนาก็คือในวันนี้ วันพรุ่งนี้ หรือวันมะรืนพวกเขาจะทำการลอบโจมตีดีหรือไม่
“ข้าคิดว่าควรจะเริ่มการลอบโจมตีในคืนนี้เลย กองทัพพวกมันเพิ่งจะมาถึงและคืนนี้คงจะเป็นวันที่พวกมันประมาทและมีการป้องกันน้อยที่สุด” ผู้มีอำนาจคนหนึ่งกล่าวขึ้น
หากจะเข้าร่วมการสนทนาครั้งนี้ได้ แน่นอนว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะต้องเป็นผู้มีอำนาจของแต่ละนิกายหรือขุมอำอาจ และหลิงฮันก็บังเอิญได้เข้าร่วมการสนทนาครั้งนี้ด้วย เขามีสถานะของนักปรุงยาระสวรรค์ซึ่งเทียบได้กับจอมยุทธระดับสวรรค์และแม้แต่ตัวตนระดับทลายมิติก็ต้องไว้หน้าเขา
แต่ตอนนี้หลิงฮันดูไม่เหมือนกับนักปรุงยาระดับสวรรค์แม้แต่น้อย บนตักของเขามีฮูหนิวนั่งอยู่ หนึ่งชายหนุ่มหนึ่งเดก็กสาวกำลังนั่งแทะเม็ดแตงโมอย่างไม่สนใจการประชุมกองทัพ
“ไม่ควรทำเช่นนั้น อีกฝ่ายจงใจเปิดสงครามในอีกสามวันข้างหน้า ข้าเกรงว่าพวกเขาคงจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าพวกเราจะลอบลงมือในคืนก่อนวันเริ่มสงคราม พวกมันอาจจะวางกับดักเอาไว้และกำลังล่อให้เราเข้าไปติดกับอยู่ก็ได้” ใครบางคนกล่าวไม่เห็นด้วย
“พวกมันมาถึงหลังพวกเราและไม่มีโอกาสหรือเวลาที่จะวางกับดัก ข้ายังคงยืนกราว่าพวกเขาควรจะลอบโจมตีในคืนนี้”
“ข้าขอยืนกรานไม่เห็นด้วย!”
ผู้คนที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือคนที่เห็นด้วยกับการบุกลอบโจมตีในทันที ในขณะที่อีกกลุ่มยืนกรานว่ารอดูสถานการณ์ไปก่อน เพราะอย่างไม่พวกเขาก็ติดตั้งข่ายอาคมเอาไว้ในเมืองแล้ว งั้นทำไมไม่รอให้ศัตรูเป็นฝ่ายบุกโจมตีมาก่อนล่ะ?
กลุ่มสุดท้ายคือคนที่เป็นกลางและไม่ออกความคิดเห็น
สุดท้ายแล้วจางเสี่ยวหลินก็ตัดสินใจส่งหน่วยหัวกะทิเข้าไปลอบโจมตีในค่ำคืนนี้ เพื่อลองเชิงดูอำนาจของกองทัพน่าหลานเทียนฮวง
จอมยุทธมากมายอาสาเข้าร่วมการลอบโจมตีครั้งนี้ แน่นอนว่าหลิงฮันไม่เข้าร่วมการลอบโจมตีนี้ เขาไม่คิดจะทำงานให้กับห้านิกายโบราณ ยิ่งกว่านั้นน่าหลานเทียนฮวงยังเป็นตัวตนที่ลึกลับ แถมกองทัพของพวกเขายังมั่นคงขนาดนั้น
การลอบโจมตีเข้าไปก็มีแต่จะเอาชีวิตไปทิ้ง!
ไม่เพียงแค่เขาปฏิเสธไม่เข้าร่วม แต่เขายังบอกกับจักรพรรดิรุณและพรรคพวกเขาคนอื่นๆอีกด้วยว่าไม่ให้เข้าร่วมการกระทำครั้งนี้และให้รอดูสถานการณ์ในอีกสามวันก่อน
ตอนที่ 686
ยามค่ำคืน ภายใต้การนำทัพของจางเสี่ยวหลิน หน่อยลอบโจมตีได้มารวมตัวกันกว่าสามร้อยคนและลอบเข้าไปยังแคมป์ที่พักของน่ากองทัพหลานเทียนฮวง
อย่าดูถูกจำนวนคนสามร้อยกว่าคนนี้เชียว จอมยุทธระดับต่ำที่สุดในหน่วยคือระดับตัวอ่อนวิญญาณ นอกจากนั้นก็มีระดับก้าวสู่เทวาสิบกว่าคน ระดับสวรรค์สองคนและระดับทลายมิติ
เมื่อคิดดูแล้ว ถึงแม้น่าหลานเทียนฮวงจะเตรียมตัวรับกับสถานการณ์เอาไว้แล้ว แต่หากพบกับหน่วยลอบจู่โจมตีแข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเกิดความสูญเสียอย่างมหาศาล และเมื่อใดที่สถานการณ์เริ่มดูย่ำแย่ พวกก็จะค่อยถอนทัพกลับมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อรุ่งอรุณเปิดฟ้า หลิงฮันก็เห็นจางเสี่ยวหลินกลับมาในเมืองพร้อมกับจอมยุทธระดับสวรรค์แค่สองคน ใบหน้าของพวกเขามืดมนและมีบาดแผลสาหัสที่ลึกจนมองเห็นกระดูก
พวกเขาไม่ได้กล่าวคำพูดใดๆและกลับไปยังที่พักของตน แต่ครึ่งวันต่อมากองทัพก็มีคำสั่งให้ทุกคนล่าถอยทันที
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แค่การลอบจู่โจมครั้งเดียวทำไมต้องให้ทุกคนล่าถอยด้วย?
แต่นั่นเป็นคำสั่งของจอมยุทธระดับทลายมิติ ใครจะกล้าตั้งคำถามหรือปฏิเสธ?
ทันใดนั้นกองทัพกว่าหนึ่งหมื่นหน่วยก็ถอนตัวออกจากเมืองและล่าถอยไปยังพื้นที่กว้างด้านหลัง ระหว่างทางในที่สุดความจริงเกี่ยวกับการลอบโจมตีเมื่อคืนก็ถูกเผยออกมา
ข้อมูลนี้เป็นสิ่งที่จอมยุทธระดับสวรรค์เล่าให้ลูกหลานของตนเองฟัง และลูกหลานเหล่านั้นดันเป็นพวกปากผล่อย ภายในพริบตาข่าวก็แพร่กระจายปากต่อปากไปทั่ว
เมื่อคืนนี้หลังจากหน่วยลอบจู่โจมเข้าไปยังแคมป์ที่พักของศัตรู พวกเขาก็ถูกซุ่มโจมตีในทันที
น่าหลานเทียนฮวงส่งกองกำลังมารอคอยพวกเขาอยู่แล้ว เพราะงั้นการบุกเมื่อคืนจึงไม่ใช่การลอบโจมตีอีกต่อไปแต่เป็นสงครามระยะสั้น
ฝั่งของจางเสี่ยวหลินมีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณสามร้อยกว่าคนและมีตัวตนระดับทลายมิติเป็นผู้นำ แต่น่าหลานเทียนฮวง กลับทำตรงกันข้าม เขาเตรียมจอมยุทธเอาไว้รอถึงหนึ่งหมื่นคน ซึ่งหนึ่งหมื่นคนนี้ส่วนใหญ่จะมีระดับพลังเพียงแก่นแท้วิญญาณและห้วงจิตวิญญาณ ผู้นำทัพที่ซุ่มโจมตีนั้นไม่ใช่น่าหลานเทียนฮวงแต่เป็นอสูรระดับทลายมิติ
ไม่ว่าดูอย่างไรจางเสี่ยวหลินก็น่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ เพราะถึงแม้จางเสี่ยวหลินจะต้องเข้าปะทะกับอสูรระดับทลายมิติ แต่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็สมควรกวาดล้างจอมยุทธระดับแก่นแท้วิญญาณและห้วงจิตวิญญาณหมื่นคนได้อย่างง่ายดาย
มันควรจะเป็นการสังหารโหดฝ่ายเดียวแท้ๆ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น
กองทัพนับหมื่นคนที่ดูเหมือนเป็นลูกไก่กับมีพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว พวกเขาสามารถตอบโต้หน่วยลอบโจมตีได้อย่างง่ายดาย ส่วนจางเสี่ยวหลินที่ปะทะกับสัตวอสูรนั้นก็ค่อยๆตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เพียงการต่อสู้สั้นๆ แต่หน่วยลอบโจมตีกลับเกือบจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ จางเสี่ยวหลินเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีจึงช่วยจอมยุทธระดับสวรรค์สองคนหนีกลับมา
จากที่จอมยุทธระดับสวรรค์เล่า จอมยุทธหนึ่งหมื่นคนของอีกฝ่ายดูเหมือนจะใช้รูปแบบต่อสู้บางอย่างที่เมื่อพวกเขาสู้รบพร้อมกับจะทำให้มีพลังต่อสู้โดยรวมเทียบเท่ากับจอมยุทธระดับสวรรค์
หลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมด หลิงฮันก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าในใจ ถึงว่าทำไมหม่าตั้วเป่าถึงมีความมั่นใจขนาดนั้น ที่แท้เขาก็มีทั้งรูปแบบอาคมที่แข็งแกร่ง กองทัพที่มั่นคงและราชาที่ทรงพลัง
ถึงแม้จะเป็นเพียงจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณหรือห้วงจิตวิญญาณ แต่เพิ่มผสานพลังเข้าด้วยกันและเพิ่มอำนาจของพลังแห่งจักรภพเข้าไปอีก กองทัพของพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับสวรรค์ได้
นี่เป็นเพียงแค่จำนวนคนหมื่นคนเท่านั้น ถ้าหากกองทัพเหล่านี้มีหมื่นคนหรือล้านคนล่ะ?
ด้วยพลังของผู้คนนับล้านคน จะเป็นไปไม่ได้เลยรึที่จะเปิดสวรรค์ได้สำเร็จ?
หลิงฮันไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร ในขณะที่ทุกคนล่าถอยออกจากเมือง น่าหลานเทียนฮวงก็บุกโจมตีเมืองทันที
ด้านบนหัวเมืองถูกแทนที่ด้วยธงของจักรวรรดิจันทราม่วง นั่นหมายถึงเมืองแห่งนี้เป็นอาณาเขตของจักรวรรดิจันทราม่วงเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง กองทัพของน่าหลานเทียนฮวงก็บุกไปยังเมืองต่อไป และด้วยการสื่อสารผ่านหินสื่อสารทำให้รู้ว่ากองทัพอีกสองกองทัพของจักรวรรดิจันทราม่วงก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน
สุดท้ายแล้วการรวมตัวกันสร้างกองทัพของห้านิกายโบราณก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องขบขัน แม้แต่การต่อต้านจักรวรรดิจันทราม่วงก็ไม่อาจทำได้สำเร็จ
เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป โลกทั้งโลกจะต้องสั่นไหว!
ในตอนแรก มีใครบ้างที่ไม่คิดว่าจักรวรรดิจันทราม่วงเป็นเพียงเรื่องขบขัน? แต่ตอนนี้จากอำนาจที่จักรวรรดิจันทราม่วงแสดงออกมา นอกจากห้านิกายโบราณแล้ว เห็นใดชัดว่าพวกเขาจะกลายเป็นอีกหนึ่งขุมอาจที่น่าสะพรึงกลัว
ในไม่ช้าจางเสี่ยวหลินก็ประกาศยกเลิกการรวมกองทัพและสั่งให้ทุกคนแยกย้าย ห้านิกายจะต้องรีบปรึกษาหารือกันอย่างเร่งรวด
จักรวรรดิจันทราม่วงแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ใครที่จะบุกรุกจะต้องคิดให้ดีเพราะแม้แต่ห้านิกายโบราณก็ไม่สามารถหยุดพวกเขาได้และต้องยอมแพ้
แต่สำหรับจอมยุทธทั่วไป พวกเขาไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว พวกเขาก็แค่อยู่ในส่วนของพวกเขา จะห้านิกายโบราณหรือจักรวรรดิจันทราม่วงแล้วจะอย่างไร?
จอมยุทธจำนวนมากได้ตัดสินใจแล้วหลังจากที่ล่าถอย พวกเขาจะไม่ฟังคำพูดอะไรจากผู้อื่นทั้งนั้น พวกเจ้าจะทำสงครามหรืออะไรกันข้าก็ไม่สน สุดท้ายแล้วหากฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะ ข้าก็จะฝ่ายเดียวกับขุมอำนาจนั้น
จักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงกลับสำนักเพื่อชักชวนเหล่าคนที่มีพรสวรรค์ให้เข้าร่วมกับพวกเขา ส่วนหลิงฮันนั้นตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังจักรวรรดิจันทราม่วง เขาต้องการพบหม่าตั้วเป่า มีคำถามมากมายที่เขาอยากจะถามอีกฝ่าย
รอบกายเขายังคงประกบด้วยจูเสวียนเอ๋อและฮูหนิว
สามวันต่อเขาก็ได้เดินทางมาถึงอาณาเขตของจักรวรรดิจันทราม่วง แต่หากจะไปยังเมืองจักรพรรดิของจักรวรรดิจันทราม่วง คงต้องใช้เวลาอีกเกือบๆยี่สิบวัน
ในเวลาแบบนี้เรือรบทองคำมีประโยชน์ขึ้นมาทันที พวกเขาขึ้นนั่งเรือรบโดยมีหลิงฮันและจูเสวียนเอ๋อสลับกันควบคุม
‘ตูม!’
ในวันที่ห้า จู่ๆหลิงฮันก็รู้สึกถึงภัยคุกคาม เขารีบคว้าร่างของจูเสวียนเอ๋อและฮูหนิวเข้าไปยังหอคอยทมิฬ ทันใดนั้นหลังจากที่ทั้งสามคนหลบเข้าไป เรือรบทองคำก็ระเบิดออกและพังทลายทันที
ร่างของหลิงฮันโผล่กลับออกมา ดวงตาของเขามองไปยังท้องฟ้าและเห็นชายวัยกลางคนร่างผอมยืนอยู่บนท้องฟ้าโดยมีมือขวายืนออกมาด้านหน้า
เห็นได้ชัดว่าการระเบิดเป็นฝีมือของชายคนนี้
หูเจียนอี่ ผู้นำนิกายนิกายวายุจันทรา
ตอนที่ 687
“บัดซบ เรือรบทองคำของข้า!” หลิงฮันร้องโอดครวญ
นี่เขาทำเวรทำกรรมอะไรไว้รึไง?
เรือรบทองคำลำแรกของเขาถูกระเบิด และลำที่สองก็ถูกระเบิดเช่นกัน
“เหอะ เจ้าควรเป็นห่วงชีวิตของเจ้าเอาไว้ดีกว่า” หูเจียนอี่กล่าวอย่างเย็นชา “การระเบิดเมื่อครู่ข้าไม่ได้หวังจะเอาชีวิตของเจ้า มันเป็นแค่การกล่าวเตือน”
หลิงฮันยิ้มและพูด “เจ้าทำลายทรัพย์สินของข้า แถมยังเป็นทรัพย์สินชิ้นใหญ่อีกด้วย!”
“ปรมาจารย์หลิง ข้ายังคงขอพูดคำเดิม จ่ายค่าชดใช้ให้ข้าผู้นี้ซะ แล้วความแค้นระหว่างเราจะสะสาง” หูเจียนอี่พูดอย่างเย็นชา แน่นอนว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นคำโกหก เขาตั้งใจจะหาผลประโยชน์จากหลิงฮันให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะสังหารหลิงฮัน
หูเจียนอี่ยิ้มและกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าขอเตือนอะไรกับปรมาจารย์หลิงซักอย่าง เจ้าคิดว่าเจ้ามีความสำคัญมากรึไง? นักปรุงยาก็เปรียบเสมือนกับสุนัขของจอมยุทธ ถ้าหากไม่มีการสนับสนุนจากจอมยุทธ สุนัขจะกล้าทำเห่าใส่ผู้อื่นรึงไง?”
หลิงฮันแคะหูและพูด “แล้วเจ้ากินเม็ดยาที่หลอมมาโดยสุนัขมากี่เม็ดแล้วล่ะ? ข้าไม่นึกเลยว่าผู้อาวุโสหูจะตกอับจนถึงขนาดต้องมากินเม็ดยาที่สุนัขเป็นคนหลอม”
ความเกรี้ยวกราดของหูเจียนอี่ปะทุออกมาและโจมตีโดยใช้มือเอื้อมออกไปคว้าร่างหลิงฮัน
ผู้ลงมือคือจอมยุทธระดับสวรรค์ การโจมตีนี้จะทรงพลังขนาดไหน?
หลิงฮันไม่คิดจะป้องกัน เขาหันหลังเพื่อเตรียมตัวหนีทันที
‘พรึบ’ ร่างของเขากลายเป็นสายฟ้าและพุ่งหนีอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเส้นแสง
พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้เหนือกว่าจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาขั้นปลายไปแล้ว ดังนั้นความเร็วของเขาจึงน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
หูเจียนอี่แสยะยิ้มและเริ่มไล่ตาม
หลิงฮันมีกายาสายฟ้าจากทักษะศักดิ์สิทธิ์ แต่หูเจียนอี่เป็นจอมยุทธระดับสวรรค์ แน่นอนว่าเขาต้องเคลื่อนไหวได้เร็วกว่าหลิงฮันอยู่แล้ว แต่หลิงฮันไม่ได้หนีโดยบินทะยานขึ้นฟ้า เขาพุ่งตัวไปตามพื้นดินและใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศโดยรอบให้เป็นประโยชน์ ทิศทางของเขาหักเหไปมาอย่างต่อเนื่องทำให้ระยะห่างของทั้งสองคนห่างไกลกัน
หูเจียนอี่ตกตะลึง เขาไม่คาดคิดเลยว่าหลิงฮันจะรวดเร็วเช่นนี้! แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก ถ้าหากเขาจับตัวหลิงฮันได้ ทักษะนี้ก็จะเป็นของเขา
ในมือของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ ทักษะนี้ช่วยให้มีความเร็วทัดเทียมกับจอมยุทธระดับสวรรค์ แล้วว่ามันอยู่ในมือของจอมยุทธระดับสวรรค์ล่ะ? ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วเหมือนกับจอมยุทธระดับทลายมิติเลยรึ?
“ฮ่าๆๆ เจ้าหนีไปไหนไม่พ้นหรอก!” หูเจียนอี่แสยะยิ้ม “ทักษะกายาและทักษะยุทธก็เหมือนกัน ยิ่งรวดเร็วและทรงพลังมากเท่าไหร่ พลังปราณที่ต้องสูยเสียไปก็มากขึ้นเท่านั้น เจ้าจะใช้ทักษะนั่นไปได้นานซักเท่าไหร่กันเชียว?”
การที่ใช้ทักษะจนสามารถทำให้จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณเคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่าจอมยุทธระดับสวรรค์นั้นเป็นการกระทำที่ทำให้สูญเสียพลังปราณอย่างมหาศาล แม้ตันเถียนของหลิงฮันจะมีขนาดใหญ่กว่าคนทั่วไปร้อยเท่า แต่หากยื้อต่อไปเรื่อยๆเขาก็ต้องรู้สึกเหนื่อยอยู่ดี
แต่ในตอนนี้ แม้เขาจะใช้ทักษะนี้ต่อเนื่องหลายชั่วโมงก็ไม่ใช่ปัญหา และถ้าหากตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตเช่นถูกหูเจียนอี่ไล่ตามทัน เขาก็ยังมีไพ่ลับที่เอาไว้ช่วยเหลือชีวิตอย่างยันต์อาคมเคลื่อนที่ในพริบตาและหอคอยทมิฬอยู่
ที่หลิงฮันยังไม่ใช้ไพ่ลับเช่นนั้นเพราะเขาไม่อยากเผยความลับของตนเองออกไป
หลิงฮันเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ บางครั้งเขาจะหันกลับมาและโคจรศรฆ่ามังกรทะลวงดารา ถึงแม้เขาจะใช้มือแทนคันศรและใช้พลังปราณแทนลูกศร แต่ด้วยพลังอำนาจของมันก็ยังทำให้หูเจียนอี่ต้องหยุดชะงักเพื่อป้องกัน
ผลลัพธ์ที่เกิดก็คือหูเจียนอี่เข้าใกล้หลิงฮันได้ยากขึ้น เขาจำเป็นต้องระมัดระวังทักษะของหลิงฮันให้ดี ศรฆ่ามังกรทะลวงดาราไม่ใช่ทักษะศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป มันคือมรดกสืบทอดจากเขตแดนลี้ลับสิบสองพระราชวัง
มันคือทักษะของพระเจ้าที่แท้จริง
“ตาแก่หู ในอนาคตเจ้าจงหมั่นบ่มเพาะพลังด้วยความพยายามมากกว่านี้ อย่าคิดแต่จะใช้สตรีเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มพลังบ่มเพาะของเจ้า ไม่เช่นนั้นรากฐานพลังของเจ้าก็จะอ่อนแอเช่นนี้!” หลิงฮันยังคงพูดจาหยอกล้อ
หูเจียนอี่รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก การบ่มเพาะพลังของนิกายวายุจันทราเป็นสิ่งที่บ่มเพาะพลังได้เร็วที่สุด เขาเองก็เป็นบุรุษที่มีความใคร่ แล้วในเมื่อความใคร่สามารถทำมาใช้บ่มเพาะพลังได้ ทำไมถึงไม่นำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ล่ะ? “เจ้าหนู รอให้ข้าจับตัวเจ้าได้ก่อนเถอะ ไม่เพียงแค่ข้าจะรีดความลับทั้งหมดจากวิญญาณของเจ้า แต่ข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่และให้หมูป่าหนึ่งร้อยตัวขย่มรูทวารของเจ้าทุกวัน!”
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ไม่นึกเลยว่าจอมยุทธระดับสวรรค์ที่สูงส่งจะมาสูญเสียความเยือกเย็นง่ายๆเพียงเพราะคำพูดแค่นี้
“ที่แท้เฒ่าหูก็มีงานอดิเรกเช่นนี้เอง เมื่อกี้เจ้าบอกว่าจะให้หมูป่าหนึ่งร้อยตัวทำอะไรนะ?” หลิงฮันทั้งพุ่งหลบและและพูดหยอกล้อไปพร้อมๆกัน
หูเจียนอี่โกรธจนเกือบจะคลั่ง ทำไมปากของเด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้หยาบคายเช่นนี้? หูเจียนอี่ไม่กล่าวอะไรอีกต่อไปและพุ่งไล่ตามหลิงฮันอย่างสุดกำลัง เขารู้แล้วว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ในการโต้เถียงกับหลิงฮัน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาจริง หลิงฮันก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลืนน้ำลายและรีบเผ่นอย่างรวดเร็ว
พลังอำนาจของจอมยุทธณะดับสวรรค์เริ่มแสดงออกมาให้เห็นแล้ว หลิงฮันในตอนนี้เริ่มแสดงอาการเหนื่อยหอบ แต่หูเจียนอี่กลับไม่มีท่าทางอะไรเปลี่ยนไป ราวกับว่าเขาไม่ได้สูญเสียพลังปราณแม้แต่นิดเดียว
ถ้าจะเปรียบเทียบปราณก่อเกิดของทั้งสองคนล่ะก็ พลังปราณของหลิงฮันจะมีหนึ่งร้อย ในขณะที่หูเจียนอี่มีหนึ่งร้อยล้าน เมื่อทั้งสองคนใช้พลังปราณเท่ากันในเวลาเท่ากัน การเผาผลาญจึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง
จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของหลิงฮันคือระดับพลังบ่มเพาะที่ต่ำเกินไป
ถึงแม้พลังต่อสู้ของเขาจะเทียบได้กับระดับก้าวสู่เทวาขั้นปลาย แต่พลังปราณของเขายังห่างไกลกับระดับก้าวสู่เทวาขั้นปลายที่แท้จริง
โชคดีที่หลิงฮันเป็นนักปรุงยา เขากลืนเม็ดยาลงไปยังต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูปราณก่อเกิด
หูเจียนอี่ไม่เร่งรีบ การใช้เม็ดยาเองก็มีข้อจำกัด ถึงแม้หลิงฮันจะเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์ แต่ถ้าหากกินเม็ดยามากเกินไป แทนที่มันจะช่วยบำรุงร่างกายมันจะกลายเป็นยาพิษแทน!
นอกจากตัวตนระดับทลายมิติอันน้อยนิด ใครจะมาหยุดยั้งเขาไม่ให้สังหารหลิงฮันได้?
นี่คือลูกไก่ในกำมือของเขา!
หลิงฮันถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว ไม่เพียงแค่ปราณก่อเกิดในร่างเขาแห้งเหือด แต่พลังกายก็ยังล้าเป็นอย่างมาก ร่างของเขาอ่อนแรงจนอยากจะปิดตาเพื่อนอนพัก
เขาตั้งใจจะนำยันต์เคลื่อนที่ในพริบตาออกมาและแสร้งทำเป็นใช้งานมัน จากนั้นค่อยหลบหายเข้าไปในหอคอยทมิฬ แต่ทันใดนั้นเองร่างของเขาก็ชะงักและหยุดเคลื่อนไหว “ผีเฒ่า เจ้ากล้ารับดาบของข้ารึไม่?”
ว่าไงนะ! หูเจียนอี่เกือบจะสำลักน้ำลายออกมา นี่เขาได้ยินผิดไปรึเปล่า?
ตอนที่ 688
เป็นแค่เด็กน้อยที่เป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณกลับกล้าถามเขาว่ากล้าที่จะรับดาบหรือไม่อย่างนั้นรึ?
นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?
หู่เจียนอี่หยุดเคลื่อนไหวหลังจากที่เดินไปข้างหน้าได้ไม่กี่ก้าว และด้วยะยะห่างเท่านี้เขามั่นใจว่าสามารถจัดการหลิงฮันได้ เขายืนตัวตรงและพูดว่า “รับดาบของเจ้า? ฮ่าฮ่าฮ่า แม้เจ้าจะโจมตีด้วยดาบใส่ข้าหนึ่งหมื่นกระบวนท่า ข้าจะไม่สามารถรับดาบของเจ้าได้ยังไงกัน?”
“ไม่ใช่การโจมตีด้วยดาบหนึ่งหมื่นครั้ง เพียงแค่ดาบเดียวเท่านั้น” หลิงฮันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ตราบใดที่เจ้าสามารถรับดาบของข้าได้ ข้าจะให้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ เจ้าคิดว่าไง?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เช่นนั้นข้าอยากจะเห็นซะแล้วสิ” หู่เจียนอี่พูดแผ่วเบา แม้เขาจะมีพลังปราณมากกว่าหลิงฮัน แต่อีกฝ่ายนั้นรวดเร็วเกินไป และดูเหมือนการไล่ตามจะไร้ความหมาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะโจมตีหลิงฮันโดน นี่ถือเป็นโอกาส
เขาแค่ต้องรอให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ แม้เขาจะเผลอลงมือฆ่าหลิงฮันมันก็ไม่ได้สำคัญ เขาสามารถอ่านความทรงจำของอีกฝ่ายได้จากดวงวิญญาณ ไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายจะมีชีวิตหรือไม่
—— หลิงฮันสามารถทำให้จอมยุทธระดับสวรรค์ต้องลงแรงมากขนาดนี้ เขาควรจะภาคภูมิใจในตัวเองทั้งที่เขาเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณเท่านั้น!
หลิงฮันนำดาบกำเนิดมารออกมาและหลังจากที่สูดลมหายใจ เขาก็สะบั้นดาบออกไป
นี่คือการโจมตีของเขา?
หู่เจียนอี่รู้สึกละอายใจแทนหลิงฮัน การโจมตีที่อ่อนแอแบบนั้น แม้แต่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณทั่วไปยังฆ่าไม่ตายเลย!
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายวิ่งหนีมาทั้งวัน พลังปราณน่าจะเหือดแห้งหมดแล้ว แล้วอีกฝ่ายจะปลดปล่อยการโจมตีออกมาได้น่าสะพรึงกลัวแค่ไหนกันเชียว?
สงสัยข้าจะระวังตัวเกินไป
หู่เจียนอี่เค้นเสียงดูถูกและโคจรพลังไปที่มือขวาเพื่อรับดาบของหลิงฮัน พลังปราณกลายเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ เขาเมินเฉยการโจมตีขอหลิงฮันอย่างสมบูรณ์ หลิงฮันและดาบของเขาควรจะถูกบีบและระเบิดไปพร้อมกัน
แต่ทันใดนั้น ดาบของหลิงฮันส่องแสงเปล่งประกาย มันส่องแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้าและดูน่าสะพรึงกลัว
“เป็นไปได้ยังไง!” หู่เจียนอี่อุทานออกมา เขารู้สึกได้ถึงเต๋าแห่งสวรรค์บนดาบเล่มนี้ ราวกับว่าสวรรค์และปฐพีได้กลายเป็นดาบเล่มนี้และกำลังคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวใส่เขา
แก่นแท้แห่งดาบ!
รุ่นเยาว์ที่เป็นแค่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณเป็นไปได้ยังไงกันที่จะเข้าใจแก่นแท้แห่งดาบ?
มันไม่ถูกต้อง แม้ว่าเขาจะเข้าใจแก่นแท้แห่งดาบ แต่ระดับพลังของเขายังต่ำเกินไป
หู่เจียนอี่อุทาน แต่หัวใจของเขายังคงสงบนิ่ง เขาไม่เชื่อว่าหลิงฮันจะเป็นภัยคุกคามต่อเขาได้ แต่ยังไงเขาก็ไม่กล้าที่จะประมาท และปลดปล่อยเจตจำนงเข้าไปในฝ่ามือยักษ์ ทำให้ฝ่ามือยักษ์ของเขาดูเหมือนกลายเป็นฝ่ามือของพระเจ้า
ฉึก!
แสงของดาบกำลังส่องแสงเจิดจ้าอยู่บนท้องฟ้า
หู่เจียนอีตะโกนออกมาอย่างกะทันหันและล่าถอยทันที
เขาเห็นฝ่ามือยักษ์ถูกผ่าเป็นสองส่วน ทั้งยังได้รับบาดแผลบนฝ่ามือขวา ทำให้โลหิตหลั่งไหลออกมา และมีท่าทีว่าจะไม่หยุดไหล
เห็นได้ชัดว่าเป็นแก่นแท้แห่งดาบ นี่คือระดับสูงสุดของวิถีแห่งดาบ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดในโลก เมื่อถูกดาบแบบนั้นทำให้ได้รับบาดแผล แล้วจะฟื้นฟูได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสหู่จะไม่สามารถรับดาบของข้าได้”
สีหน้าของหู่เจียนอีดูประหลาดใจ ในอีกด้านหนึ่ง เขาไม่เคยเชื่อเลยว่าหลิงฮันจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แต่ในทางกลับกันคือเขาดูถูกหลิงฮันและได้รับบาดแผล
“ไม่ นี่ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของเจ้าอย่างแน่นอน!” เขาสงบสติอารมณ์ลงและพูดว่า “ปรากฏตัวออกมาซะ เจ้าไม่มีทางหลบพ้นสายตาของข้า!”
หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ จอมยุทธระดับสวรรค์ยังไงก็คือจอมยุทธระดับสวรรค์ มันไม่ง่ายเลยที่ตบตาได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏตัวออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ ไม่มีใครเห็นว่าเขาปรากฏตัวมาจากไหน และไม่มีใครรู้สึกถึงความแปลกประหลาด ราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกแล้ว
“จอมยุทธระดับทลายมิติ!” หู่เจียนอี่ตัวสั่นเทา อีกฝ่ายเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติที่เป็นระดับพลังที่สูงที่สุดบนโลก!
ชายร่างสูงพร้อมกับขวดน้ำเต้าที่อยู่ในมือพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เจ้าต้องการฆ่าน้องสองของข้าอย่างนั้นรึ?”
เขาคือเฟิงโป๋วหยุน!
หู่เจียนอี่อยากจะร้องไห้ เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าแท้จริงแล้วหลิงฮันเป็นน้องชายของจอมยุทธระดับทลายมิติ? มิฉะนั้น ต่อให้เขามีความกล้ามากกว่านี้ร้อยเท่าเขาก็คงไม่กล้าที่จะโจมตีหลิงฮัน หรือว่านี่จะคือจุดจบของเขา?
“ไม่ ไม่ ข้ามิกล้า นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเข้าใจผิด” เขารีบโบกมือปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
“เข้าใจผิด?” เฟิงโป๋วหยุนยิ้มและหัวเราะ “เจ้าไล่ล่าน้องสองเกือบทั้งวันแต่ยังพูดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด?”
หู่เจียนอี่พึมพัมอยู่ในใจ อีกฝ่ายอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว แต่จงใจซ่อนตัวเพื่อจับตาดู และตอนนี้อีกฝ่ายได้ปรากฏตัวออกมาแล้ว แล้วเขาจะต่อกรด้วยได้อย่างไร?
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง!” เขายิ้ม “ข้ายินดีที่จะชดใช้ให้กับน้องชายของท่านสำหรับเรื่องเข้าใจผิดในครั้งนี้”
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ผู้อาวุโสหู่ ก่อนหน้านี้ข้าพูดว่า ข้าสังหารลูกชายของเจ้าเพื่อกำจัดปัญหาให้กับเจ้า ในไม่ช้าก็เร็วเจ้าก็จะต้องขอบคุณค่า ดูเหมือนว่าตอนนี้เจ้าจะเข้าใจแล้วสินะ”
“เข้าใจแล้ว! ข้าเข้าใจแล้ว!” หู่เจียนอี่รีบพูดออกมาอย่างรวดเร็วและโยนแหวนมิติหลายวงให้กับหลิงฮันเพื่อให้ไว้ชีวิตของเขา
หลิงฮันสำรวจแหวนมิติอย่างรวดเร็วและช่วยไม่ได้ที่เขาจะพูดออกมาว่า “ผู้อาวุโสหู่ช่างมั่งคั่งยิ่งนัก!”
เฟิงโป๋วหยุนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ชีวิตน้องสองของข้ามีค่าแค่แหวนมิติไม่กี่วงอย่างนั้นรึ?”
นี่หมายความว่าแค่นั้นยังไม่เพียงพอ
หู่เจียนอี่กัดฟันแน่นและโยนแหวนมิติที่เหลืออยู่ให้กับหลิงฮัน เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เข้าไปยุ่มยามกับหลิงฮันอีกเป็นอันขาด ตอนนี้เขายอมสละสมบัติทั้งหมด เพราะยังไงมันก็เป็นแค่ของนอกกาย ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ว่าเขาสามารถจะทวงมันกลับมาได้หรอกหรือ?
เฟิงโป๋วหยุนเพียงแค่โบกมือและพูดว่า “ไปได้แล้ว ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าชั่วคราว แต่เมื่อใดที่น้องสองของข้าแข็งแกร่งเพียงพอ เขาจะไปเยี่ยมเยียนนิกายวายุจันทราของเจ้าและสะสางความเข้าใจผิดนี้ซะ”
ว่าไงนะ สมบัติมากมายขนาดนั้นสามารถซื้อชีวิตได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น?
หู่เจียนอี่ดุด่าอยู่ในใจ แต่เขาไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เขาโค้งคำนับเฟิงโป๋วหยุนอย่างสุภาพและหันหลังจากไป หลังจากที่วิ่งหนีไปไกล เขาพบว่าแผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยเหงื่ออันหนาวเย็น
จอมยุทธระดับทลายมิติแข็งแกร่งเกินไป!
“พี่ใหญ่ ท่านมาถึงตอนไหน?” หลิงฮันยิ้มและถามเฟิงโป๋วหยุน
“ข้ามาถึงเมืองเหมียนหยังไม่กี่วันก่อน” เฟิงโป๋วหยุนยิ้ม “เจ้าจะไม่โทษข้าหรือที่ปรากฏตัวออกมาช้า?”
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ถ้าพี่ใหญ่เคลื่อนไหวเร็วเกินไป ข้าคงไม่ได้ออกแรงกันพอดี”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ารู้อยู่แล้วสินะ” เฟิงโป๋วหยุนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้วพูดว่า “ข้าเจอเรื่องลึกลับในดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว”
ตอนที่ 689
หลิงฮันคิดอยู่ชั่วครู่หรึ่งและพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่อยากจะพาท่านไปก่อนเป็นอันดับแรก”
“โอ้ว ที่ไหนกันล่ะ?” เฟิงโป๋วหยุนหัวเราะ
“พี่ใหญ่ อย่าได้ต่อต้านสัมผัสสวรรค์ของข้า” หลิงฮันกล่าว เขาต้องการพาเฟิงโป๋วหยุนเข้าไปในหอคอยทมิฬ การเปิดสวรรค์และดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เขาไม่อาจพูดตรงนี้ได้
หลังจากที่เฟิงโป๋วหยุนพยักหน้า เขาก็ถูกพลังของหลิงฮันโอบล้อมเขา
พรึบ ทั้งสองคนปรากฏตัวอยู่ในหอคอยทมิฬ
“เกิดอะไรขึ้น?” เฟิงโป๋วหยุนแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา แม้เขาจะเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติก็ตาม นี่แสดงให้เห็นว่าเขาประหลาดใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน เขามองทิวทัศน์รอบข้างและพูดว่า “ที่นี่คือที่ไหนกัน?”
“ช่องมิติจากอาวุธวิญญาณของข้า แต่สิ่งที่แตกต่างคือพื้นที่ของอาวุธวิญญาณชิ้นนี้ไม่เพียงแต่จะน่าทึ่งเท่านั้น แต่ยังสามารถพาสิ่งมีชีวิตเข้ามาได้ด้วย” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นั่นคือสมบัติที่แท้จริง” เฟิงโป๋วหยุนคิดและพยักหน้า
อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแห่งความโลภออกมาแต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะเขาอยู่บนระดับสูงสุดแล้ว สำหรับเขาสมบัติชิ้นนี้สามารถทำให้ชีวิตของเขาสะดวกสบายมากขึ้นก็แค่นั้น
จากนั้น หลิงฮันพูดว่า “พี่ใหญ่ ข้าเองก็มีเรื่องบางอย่างที่สำคัญอย่างมากจะบอกท่านเช่นกัน มันสำคัญมากที่พูดได้แค่ที่นี่เท่านั้น”
เฟิงโป๋วหยุนรู้สึกประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะรู้จักหลิงฮันได้ไม่นาน แต่เขาก็รู้จักนิสัยของหลิงฮันเป็นอย่างดี เรื่องที่เขาต้องการพูดมันจะต้องสำคัญมากอย่างแน่นอน
เขาพยักหน้าและเป็นฝ่ายพูดก่อนว่า “ในเหมืองโบราณของดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว ข้าพบเจอแมงมุมยักษ์สีเงินเข้า…ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลยแม้แต่น้อย”
หลิงฮันเคยสันนิษฐานว่าแมงมุมยักษ์สีเงินตัวนั้นน่าจะเทียบได้กับราชันซากศพสิบแปดตา เมื่อเฟิงโป๋วหยุนเป็นคนเปิดปากพูด มันทำให้เขายิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก แล้วเขาพูดว่า “แมงมุมยักษ์นั่นแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยหรือ?”
“แข็งแกร่งมาก!” เฟิงโป๋วหยุนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มันน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนจุดสูงสุดของระดับทลายมิติแล้ว”
“หรือว่ามันจะเกินกว่าระดับทลายมิติไปแล้ว?” หลิงฮันถาม
“ไม่มีทาง!” เฟิงโป๋วหยุนมั่นใจมาก “ไม่เช่นนั้นมันคงจะถูกโลกปฏิเสธไปแล้ว มันเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแน่นอน และโลกใบนี้ไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือกว่าระดับทลายมิติอาศัยอยู่”
“แล้วพี่ใหญ่ได้เข้าไปในส่วนลึกของเหมืองโบราณแล้วหรือยัง?” หลิงฮันถาม
สีหน้าของเฟิงโป๋วหยุนดูจริงจังมากยิ่งขึ้น เขาพูดว่า “เมื่อข้าได้ต่อสู้กับแมงมุมยักษ์ ข้าแอบลอบเข้าไปใต้ดิน ภายในหลุมนั่น ข้าเห็นหลุมฝังศพขนาดใหญ่มันน่าจะมีคนมากกว่าร้อยคนถูกฝังอยู่ที่นั่น”
ตอนแรกหลิงฮันรู้สึกตกตะลึง แต่ทันใดนั้นเขาพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาพูดว่า “ถ้าก่อนที่พวกเขาจะตาย พวกเขาแข็งแกร่งเทียบเท่ากับพี่ใหญ่ แต่หลังจากที่พวกเขาตายศพของพวกเขาควรจะกลายเป็นฝุ่นแล้วกลายเป็นธุลีมิใช่หรือ”
เฟิงโป๋วหยุนพยักหน้าและพูดว่า “มันเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดมาก แม้ว่าคนพวกนั้นจะตายไปแล้ว แต่ข้ายังสัมผัสได้ถึงพลังปราณ ราวกับว่าพวกเขายังไม่ตาย แต่พวกเขากลายเป็นสิ่งมีชีวตใต้พิภพบางอย่าง ซึ่งแต่ละคนไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าข้าเลย”
“จากการคาดเดาของข้า มันน่าจะเป็นนิกายโบราณที่มีมาอย่างน้อยหนึ่งแสนปี”
นี่คือข้อสรุปจากจอมยุทธระดับทลายมิติ!
หลิงฮันไม่สงสัยแต่อย่างใด เขากลับตกตะลึงเสียมากกว่า สิ่งมีชีวิตใต้พิภพ? ผีดิบ? ทหารซากศพ?
แต่นั่นไม่มีทางเป็นทหารซากศพ ถ้าเป็นแบบนั้นเฟิงโป๋วหยุนคงจะพูดออกมาโดยตรงว่าเป็นทหารซากศพ
เห็นได้ชัดว่ามันมีความแตกต่างกัน เฟิงโป๋วหยุนพูดว่าสิ่งมีชีวิตใต้พิภพไม่ใช่ทหารซากศพ
“น้องสอง แล้วเจ้าล่ะอยากพูดเรื่องอะไรกับข้าล่ะ?” เฟิงโป๋วหยุนถาม
หลิงฮันคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เรื่องที่ข้าจะพูดคือเหตุผลที่ว่าทำไมพี่ใหญ่ไม่สามารถทะลวงผ่านระดับถัดไปได้และเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
“หืม?” เฟิงโป๋วหยุนรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที
หลิงฮันเริ่มเปิดปากพูดเกี่ยวกับแผนการของห้านิกายโบราณและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และพูดว่า “จอมยุทธระดับทลายมิติจะโปยบินเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มันควรจะมีจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่าผู้คนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะดักฆ่าคนที่จะเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
“ห้านิกายโบราณจะไม่บินเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์โดยตรง แต่ทุกหนึ่งหมื่นปี พวกมันจะเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผ่านเส้นทางพิเศษ”
เรื่องพวกนั้นมาจากความคิดเห็นของเขา
เฟิงโป๋วหยุนไม่รู้สึกแปลกใจ ทุกครั้งที่เขาจะทะลวงผ่านไปอีกระดับ เขารู้สึกเหมือนกับว่าหายนะครั้งใหญ่กำลังคืบคลานมาหาเขา ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกเย้ยหยันและพูดว่า “นิกายโบราณทั้งห้าช่างน่ารังเกียจยิ่งนักที่หลอกลวงผู้คนมาเป็นเวลานานนับไม่ถ้วน”
หลิงฮันพบปัญหาและพูดว่า “ทุกหนึ่งหมื่นปีทวีปเทียนฮงจะประสบกับความเสื่อมโสม แต่ห้านิกายโบราณน่าจะมีวิธีรักษาความรุ่งโรจน์เอาไว้ มิฉะนั้น จากรุ่นสู่รุ่น จอมยุทธระดับทลายมิติจะมีที่ไหนให้ไป?”
พวกเขาไม่สามารถบินได้และเส้นทางพิเศษจะเปิดเพียงแค่ครั้งเดียวในรอบหนึ่งหมื่นปีทำให้มีจอมยุทธและอัจฉริยะจำนวนมากในทวีปเทียนฮงถือกำเนิดขึ้น
เฟิงโป๋วหยุนกล่าว “ข้าเคยได้ยินมาว่ามีสมบัติบางอย่างที่สามารถผนึกพลังชีวิตได้คล้ายกับการจำศีล และจะคงสภาพไว้นานนับหมื่นปี”
พวกเขาทั้งสองคนมองหน้ากันไปมา หรือว่าตัวตนที่แข็งแกร่งของห้านิกายโบราณจะถูกผนึกด้วยวิธีนั้น และปลุกพวกเขาหลังจากผ่านไปหนึ่งหมื่นปี เพื่อช่วยเหลือพวกเขาปราบศัตรูที่แข็งแกร่ง แล้วเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์พร้อมกัน?
แล้วห้านิกายโบราณจะมีจอมยุทธระดับทลายมิติสักกี่คนกันในอีกหนึ่งหมื่นปีข้างหน้า?
ถ้าสามารถสร้างจอมยุทธระดับทลายมิติได้หนึ่งคนทุกห้าร้อยปี คงจะมียี่สิบคนในหนึ่งหมื่นปี และหนึ่งร้อยคนในห้าหมื่นปี!
มันน่ากลัวมาก ถ้ามีจอมยุทธระดับทลายมิติมากกว่าหนึ่งร้อยคน!
หลังจากที่ได้เห็นกองทัพของจักรวรรดิจันทราม่วง หลิงฮันคิดว่าหม่าต้าเป้ามีโอกาสสูงมากที่จะเป็นฝ่ายชนะ แต่ตอนนี้เมื่อย้อนกลับไปคิดใหม่ ถ้าห้านิกายโบราณปลุกจอมยุทธระดับทลายมิติจากเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเพิ่มสูงขึ้นเกินจะบรรยาย
“อย่างไรก็ตาม สมบัตินั่นจะต้องมีค่ามากอย่างแน่นอน แล้วพวกมันจะมีจำนวนมากได้อย่างไร?” หลิงฮันพยายามคิดในแง่ดี
เฟิงโป๋วหยุนส่ายหน้าและพูดว่า “หากห้านิกายโบราณมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกมันจะต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สมบัตินั่นอาจหาได้ยากสำหรับพวกเรา แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ บางทีมันอาจเป็นสมบัติทั่วไป”
หลิงฮันครุ่นคิดและพยักหน้าอย่างช้าๆ ถ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผู้คนจากห้านิกายโบราณจะยินยอมที่จะลงมาดินแดนเบื้องล่างไปทำไม? นั่นเท่ากับการฆ่าตัวตายมิใช่หรือ? สำหรับพวกเขามันคงเทียบได้กับการนอนหลับเป็นเวลานาน และเมื่อตื่นขึ้นก็จะกลับสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“มีเพียงแค่การเปิดสวรรค์เท่านั้น!” ทั้งสองคนกล่าว
แต่การเปิดสวรรค์…มันพูดง่ายกว่าลงมือทำ!
“พวกเราควรออกไปหาหม่าตั๋วเป้า!” ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกัน
ตอนที่ 690
หลิงฮันรู้สึกชื่นชมพี่ชายคนนี้อย่างมากและอยากจะทำมุกสิ่งเพื่อให้เฟิงโปหยุนแข็งแกร่งขึ้น น่าเสียดายที่ทักษะศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถส่งต่อกันได้ ไม่เช่นนั้นด้วยระดับพลังของเฟิงโปหยุน ทักษะศักดิ์สิทธิ์จะสำแดงอำนาจได้ยอดเยี่ยมกว่านี้
แต่ถึงอย่างไรหลิงฮันก็มอบหยดวิญญาณบางส่วนที่ไม่ได้เจือจางให้กับเฟิงโปหยุน
หยดวิญญาณเป็นสิ่งที่หายากมาก หลิงฮันมีมันอยู่ในครอบครองเพียงขวดเล็กๆเท่านั้น
แต่นั่นก็ไม่สำคัญ ด้วยชามพลิกสวรรค์ ในอนาคตหลิงฮันจะสามารถกลั่นพลังงานจากสมุนไพรออกมาเป็นหยดวิญญาณได้อย่างในจำกัด
เฟิงโปหยุนเปิดจุกขวดและสูดดม เขาอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้ “สิ่งนี้คือสมบัติชั้นยอด แม้แต่ข้าในตอนนี้ก็ยังดูดซับมันได้เพียงหนึ่งหยดเล็กๆ หากมากกว่านั้นจะเกิดอันตรายได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรพลังงานอันบริสุทธิ์นี้ก็มีประโยชน์ต่อข้ายิ่งนัก! ขอขอบใจเจ้ามากน้องสอง!”
แม้แต่จอมยุทธระดับทลายมิติก็ยังหวั่นไหว นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าหยดวิญญาณเป็นสมบัติระดับที่สูงขนาดไหน
หลิงฮันเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเขตแดนลี้ลับสิบสองพระราชวังและอสูรขนแดงในวิหารให้กับเฟิงโปหยุนฟัง
เมื่อได้ยินแม้แต่ตัวตนระดับเฟิงโปหยุนก็ยังต้องส่ายหัว “โลกใบนี้ชักจะน่าตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆแล้ว” ดวงตาของเขาส่องประกายแห่งการสู้รบ
หลังจากการตายของคนรักของเขา สิ่งเดียวที่เฟิงโปหยุนเหลืออยู่ก็คือวิถีแห่งดาบ และตอนนี้เขาก็บ่มเพาะพลังมาจนเกือบจะถึงจุดสูงสุดของมนุษย์แล้ว หากเขาบรรุได้สำเร็จเขาก็จะไร้พ่ายในโลกใบนี้ แต่ตอนนี้ได้มีตัวตนที่แข็งแกร่งมากมายปรากฏตัวอกมา ไฟแห่งการต่อสู้ในใจของเขาจึงลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
หลิงฮัน เฟิงโปหยุน จูเสวียนเอ๋อและฮูหนิว ทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปยังเมืองจักรพรรดิของจักรพรรดิจันทราม่วง หลังจากผ่านไปสิบวันในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเป้าหมาย เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่มีมาตั้งแต่ยุคสมัยบรรพกาล แต่ทุกๆหนึ่งหมื่นปีสวรรค์และปฐพีก็จะถูกชำระล้าง ทุกสิ่งทุกอย่างจะพังทลายหายไปและถูกสร้างขึ้นมาใหม่
ในเมื่อพวกเขามาถึงจุดหมายแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบอีกต่อไป อันดับแรกพวกเขาได้เดินหาร้านอาหารเพื่อสั่งสุราและเครื่องดื่มอร่อยๆมากินกันก่อน
ตั้งแต่ที่พวกเขาเดินทางมา กลุ่มของพวกเขาได้กลายเป็นจุดสนใจจากผู้คนรอบข้าง เหตุผลก็ง่ายมาก นั่นเพราะจูเสวียนเอ๋อได้เปลี่ยนโฉมกลับไปเป้นไปหน้าเดิมของนางแล้ว ด้วยความงามอันไร้ที่ติของนาง เป็นธรรมที่จะทำให้ทุกคนหันมามองโดยไม่รู้ตัว
“นี่นี่นี่ สาวน้อยน่ารักคนนั้นน่ะ!” เสียงอันน่าหลงใหลเสียงหนึ่งดังขึ้นจากโต๊ะตัวหนึ่ง
มีผู้คนมากมายที่จ้องมองจูเสวียนเอ๋อ แต่พวกเขาก็แค่มองไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร มีเพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้นที่มีคนเอ่ยปากพูดออกมา แต่หลิงฮันก็ไม่ได้รู้สึกโกรธอะไรเพราะเสียงที่ดังขึ้นเป็นเสียงของสตรี
เจ้าของเสียงคือสตรีที่งดงาม นางมีผมและริมฝีปากที่แดงราวกับเปลวเพลิง นางเป็นสตรีร่างสูงกว่าสตรีทั่วไป เสน่ห์ที่นางปลดปล่อยออกมานั้นยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
แต่ที่น่าแปลกก็คือทั้งที่มีสตรีที่งดงามขนาดนี้นั่งอยู่ แต่ทุกคนกับไม่สนใจนางราวกับนางไม่มีตัวตน แถมผมสีแดงเพลิงที่หายากของนางก็น่าจะเป็นที่สะดุดตาด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสี่คนมองมา หญิงงามผมแดงก็ยิ้มและพูด “สาวน้อย มาให้พี่สาวกอดหน่อยสิ!”
นางพูดกับฮูหนิว
ท่าทีของฮูหนิวเปลี่ยนเป็นภาคภูมิใจและพูดกลับไป “เจ้ามีตาที่ยอดเยี่ยม หนิวเป็นเด็กสาวที่งดงามมาก และในอนาคตหนิวก็จะกลายเป็นสตรีที่งดงามไม่แพ้กัน แต่ว่าหนิวไม่อยากให้เจ้ามากอดหรอก เจ้ามันอัปลักษณ์เกินไป!”
“ข้าน่ะรึน่าเกลียด?” หญิงงามผมแดงปฏิเสธที่จะยอมรับและลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงทรวดทรงที่ยั่วยวนของนาง
นางนำมือข้างหนึ่งท้าวเอวและบิดสะโพก จากนั้นก็นำมืออีกข้างเค้นหน้าอกและพูด “ส่วนไหนที่เจ้าบอกว่าข้าน่าเกลียดงั้นรึ?”
“ทุกที่ของเจ้าล้วนแต่น่าเกลียด ส่วนนี้ของเจ้าอ้วนเกินไป!” ฮูหนิวชี้นิ้วไปยังหน้าอกของหญิงงามผมแดงจากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังเอว “แถมเอวของเจ้าก็ผอมบางเกินไปด้วย” ฮูหนิวยังคงชี้นิ้วไปที่สะโพกของอีกฝ่ายต่อ “ก้นของเจ้าก็ใหญ่เกินไป!”
ผู้คนมากมายหัวเราะออกมา สิ่งที่ฮูหนิวกล่าวว่าอ้วนเกินไปล้วนแต่เป็นสิ่งที่บุรุษทุกคนหลงใหล แต่ฮูหนิวคงยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เพราะว่านางยังเป็นเด็ก
หญิงงามผมแดงแสดงรอยยิ้มที่พึงพอใจออกมาและพูด “สาวน้อย เจ้าช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก เจ้ามาเป็นลูกศิษย์ของข้าเป็นไง?”
“ไม่มีทาง!” ฮูหนิวส่ายหัวอย่างรวดเร็ว
“แต่ข้ายืนกรานให้เจ้าต้องเป็นลูกศิษย์ของข้า!” หญิงงามผมแดงยิ้มอย่างอ่อนโยน เสียงอันน่าหลงไหลของนางทำให้บุรุษทั่วร้านอาหารต้องกลืนน้ำลาย
ฮูหนิวเล่นหน้าเล่นตาและเมินเฉยนาง
หญิงงามผมแดงยังคมไม่ยอมแพ้ เส้นผมของนางยืดออกมาเพื่อหวังพันล้อมรอบร่างฮูหนิว
ทันใดนั้นเอง เฟิงโปหยุนก็เปลี่ยนสีหน้าและใช้ดาบจู่โจมออกไปเพื่อป้องกันการโจมตีของอีกฝ่าย
‘ตูม’ เส้นผมของนางถูกสะท้อนกลับไป
สิ่งที่น่าตกตะลึงคือแม้จะเป็นเจตจำนงแห่งดาบที่ทรงพลังของเฟิงโปหยุนก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมของนางขาดได้
สิ่งที่น่าตกตะลึงคือแม้จะเป็นเจตจำนงแห่งดาบที่ทรงพลังของเฟิงโปหยุนก็ไม่สามารถทำให้เส้นผมของนางขาดได้ เส้นผมของนางราวกับเป็นทองคำก่อเกิดผลาญโลหิตหรือไม่ก็แร่เหล็กระดับสิบ
หลิงฮันอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ หรือว่าสตรีที่ดูงดงามและน่าหลงใหลผู้นี่จะเป็นตัวตนระดับทลายมิติ?
“หนุ่มน้อยนักดาบ อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่องดีกว่า!” สาวงามผมแดงกล่าวเตือนเฟิงโปหยุนอย่างไม่พอใจ
นางกล้าเรียกเฟิงโปหยุนว่าเด็กน้อย?
เฟิงโปหยุนจ้องมองไปยังอีกฝ่ายและพูด “เจ้าเป็นใคร?”
สางงามผมแดงยิ้มและกล่าว “ลองเดาดูสิ?”
“พี่สาวคนสวย อย่ามัวหยอกเล่นอยู่เลย ถ้าพี่สาวไม่บอกแล้วพวกเราจะรู้ได้อย่างไร?” หลิงฮันยิ้ม
“ฮ่าๆๆ พบกันครั้งแรกก็พูดจาปากหวานเช่นนี้แล้ว? น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ผู้ชายแบบที่ข้าชอบ” สาวงามผมแดงยิ้มและพูด “เอาล่ะ ข้าจะบอกชื่อของข้าให้ ฟังให้ดีล่ะ ‘ปีก’คือชื่อของข้า และนามของข้าคือ ‘คู่’ ”
“อี้ชวงชวง?” หลิงฮันกล่าว
“จะเรียกแบบนั้นก็แล้วแต่เจ้า” สาวงามผมแดงยิ้ม “ข้าชื่นชอบสาวน้อยคนนี้ยิ่งนักและอยากจะได้นางมาเป็นลูกศิษย์อย่างมาก ส่วนเจ้า… ข้าได้กลิ่นสมบัติล้ำค่าบนตัวของเจ้า จงรีบนำมันออกมาซะ”
“ฝันไปเถอะ!” ฮูหนิวแลบลิ้นใส่อี้ชวงชวง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าขอถามได้รึไม่ว่าท่านมาจากขุมอำนาจใด? ห้านิกายโบราณ? นิกายพันศพ? หรือว่าจักรวรรดิจันทราม่วง?”
อี้ชวงชวงยิ้ม “หนุ่มน้อย เจ้าคิดจะล้วงข้อมูลจากพี่สาวคนนี้? เจ้ายังเด็กเกินไป! เห็นแก่เด็กน้อยอย่างเจ้า ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้าแต่เจ้าต้องส่งสมบัติทั้งหมดของเจ้ามา”
“ถ้าเจ้าจะทำอะไรกับน้องสอง เจ้าต้องผ่านข้าไปเสียก่อน!” เฟิงโปหยุนยืนนิ่งและกล่าวเตือน
“หึ ข้าไม่ชอบทั้งการต่อสู้และการสังหาร” อี้ชวงชวงส่ายหัว “เอาเป็นว่าเจ้าชวยเกลี้ยกล่อมน้องชายของเจ้าให้ข้าหน่อยเป็นไง?”
“ถ้าเช่นนั้นก็มาสู้กับข้าซะ!” แน่นอนว่าเฟิงโปหยุนไม่ทำตามที่นางพูด
“ตอนนี้พวกเราอยู่ในอาณาเขตของผู้อื่น และข้าก็ตัดสินใจว่าจะทำตัวไม่ให้โดดเด่นไปซักระยะ ในตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการสู้กับเจ้าหมูอ้วนนั่น” อี้ชวงชวงนั่งลงเงียบๆราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนที่ 691
แม้ว่าอี้ชวงชวงจะค่อนข้างลึกลับ แต่ความแข็งแกร่งของนางนั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้ ดังนั้นหลิงฮันและคนอื่นเลยไม่อยากมีปัญหากับนาง
ทั้งสองฝ่ายยังคงกินกันต่อไป แต่คนอื่นภายในร้านไม่กล้าที่จะมองนางอีกต่อไป และมีโอกาสมากที่พวกเขาจะถูกนางฆ่าตาย
แม้ว่าสาวงามจะเป็นอาหารตาที่ดี แต่หากมองมากไปอาจเป็นสาเหตุของการตาย แน่นอนว่าไม่มีใครอยากโดนเช่นนั้น
ฮูหนิวรู้สึกไม่สบอารมณ์ขณะกินอาหาร นางจ้องมองไปที่อี้ชวงชวงด้วยดวงตากลมโต และปากเล็กๆของนางส่งเสียงพึมพำไม่พอใจออกมาไม่หยุด
อย่างไรก็ตาม อี้ชวงชวงก็ไม่ได้สนใจ และบางครั้งนางก็สบตากับหลิงฮันและฮูหนิวเห็นได้ชัดว่านางสนใจทั้งสองคนมาก
หลิงฮันรู้สึกสงสัย เหมือนว่าเขาจะเคยเห็นนางมาก่อน แต่จำไม่ได้ นอกจากนี้ ถ้าอีกฝ่ายต้องการแย่งชิงสมบัติของเขา ทำไมถึงไม่เริ่มลงมือสักที?
บรรยากาศดูเหมือนจะหนาวเย็นเล็กน้อย ทุกคนไม่พูดคุยกันอีกต่อไป ทำให้บรรยากาศภายในร้านเริ่มเงียบงัน
แต่หลังจากนั้นชั่วครู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก
หลิงฮันและคนอื่นไม่สนใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็เผยสีหน้าแปลกใจ เพราะด้านนอกเสียงดังมาก พวกเขาจึงมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง
พวกเขาเห็นผู้คนหลายพันคนเดินอยู่บนถนนอย่างเชื่องช้าไปตามถนน และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังแบกอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งนั่นคือรถลากขนาดใหญ่
รถลากนั่นมีขนาดใหญ่โตมาก มันดูใหญกว่าถนนเสียอีก คนพวกนั้นคือคนที่รื้อถอนบ้านตามถนนเพื่อให้รถลากผ่านไปได้อย่างราบรื่น
รถลากคันนั้นมีธงของจักรวรรดิจันทราม่วงประดับอยู่ ด้วยสายลมที่โบกสะบัดธงทำให้แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่
ใครบางคนที่เป็นผู้รับผิดชอบกล่าวว่า “เจ้าของบ้านโปรดมากับข้าเพื่อไปที่พระราชวังจักรพรรดิเพื่อรับเงินชดเชย พวกข้ายินดีที่จะจ่ายเงินชดเชยให้มากกว่ามูลค่าบ้านของพวกเจ้าสามเท่า และจะไม่ปฏิบัติกับพวกเจ้าอย่างไม่สุภาพ”
ทันทีที่มีการกล่าวเช่นนั้น เจ้าของบ้านที่ถูกบังคับให้ย้ายออกไปต่างดีอกดีใจและยกย่องอ้วนหม่า
“หืม!” เฟิงโป๋วหยุนจ้องมองไปที่รถลาก “ดูนั่น” เขาพูดออกมาอย่างกะทันหัน
“มันไม่เห็นมีอะไรให้ดูเลย ก็แค่เด็กที่ถูกผนึกมาหลายปีก็แค่นั้น” อี้ชวงชวงพูดแทรก ขณะจ้องมองไปที่ฮูหนิว “นี่เด็กน้อย มาหาข้าและเคารพพี่สาวคนนี้ในฐานะอาจารย์ของเจ้าซะสิ”
นางยังคงตามตื้อ
“ฮึ่ม!” ฮูหนิวแลบลิ้นใส่และทำหน้าบูดบึ้ง จากนั้นนางก็ไปหลบอยู่ด้านหลังหลิงฮัน
“เด็กสาวตัวน้อย วันหนึ่งเจ้าจะเรียกข้าว่าท่านอาจารย์!” หยุนชวงชวงยิ้มและดูมั่นใจ
หลิงฮันตามเฟิงโป๋วหยุนพร้อมกับจูเสวี่ยนเอ๋อออกไปดูรถลาก
ตลอดเส้นทางบนถนน บ้านหลายหลังถูกรื้อถอนออกไปเพื่อให้รถลากที่กำลังมุ่งหน้าไปที่พระราชวังผ่านไปได้
“พี่ใหญ่ ท่านพบอะไรงั้นหรือ?” หลิงฮันถาม
เฟิงโป๋วหยุนชี้ไปที่รถลากและพูดว่า “ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังจากที่นั่น แต่ดูเหมือนกลับว่าไม่มีอะไรอยู่ด้านใน มันดูแปลกประหลาดมาก”
มันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่ทรงพลังอย่างแน่นอนถึงทำให้เฟิงโป๋วหยุนพูดออกมา
หลิงฮันคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “หรือว่าอ้วนหม่าจะอยู่ด้านในนั้น?”
เมื่อรถลากมาถึงทางประตูพระราชวัง ในที่สุดมันก็หยุดเคลื่อนที่
พวกของหลิงฮันทั้งสี่คนกำลังยืนอยู่บนยอดตึกสูงเพื่อดู แต่สักพักก็มีกลิ่นหอมลอยโชยออกมา อี้ชวงชวงเองก็ขึ้นมาเหมือนกัน เส้นผมสีแดงของนางพริ้วไหวอยู่ในสายลมเหมือนกลีบดอกกุหลาบ มันดูงดงามอย่างมาก
“นี่ท่านจะอยู่ห่างจากพวกข้าไม่ได้เลยหรือไง?” หลิงฮันกล่าว
“ข้าจะทำอะไรมันก็เรื่องของข้า หรือเจ้าจะมีปัญหา?” หยุนชวงชวงกล่าวและเอามือเท้าเอว
“น่าเกลียด!” ฮูหนิวไม่พอใจ
“หืม อ้วนหม่าออกมาแล้ว!” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาเห็นหม่าตั๋วเป่าเดินออกมาจากพระราชวัง ซึ่งนั่นหมายความว่าคนที่อยู่ในรถลากไม่ใช่อ้วนหม่า
อ้วนหม่าในตอนนี้แตกต่างจากแต่ก่อนอย่างมาก เขาสวมเสื้อคลุมลายมังกรและสวมมงกุฎ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจที่เด็ดขาด
ด้านหลังของอ้วนหม่ามีกลุ่มคนขนาดใหญ่คอยติดตามรับใช้เขา
หม่าตั๋วเป้าหันไปมองในทิศทางที่กลุ่มของหลิงฮันทั้งห้าคนที่กำลังยืนอยู่และปรากฏรอยยิ้มอยู่ตรงมุมปากของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นพวกหลิงฮันแล้ว แต่ไม่แสดงท่าทีอะไร และพูดว่า “ยินดีต้อนรับราชินีหยินผู้ยิ่งใหญ่!”
“ยินดีต้อนรับราชินีหยินผู้ยิ่งใหญ่!” ทุกคนเปล่งเสียงตะโกน
ประตูรถลากเปิดออก มันไม่มีคนออกมาแม้แต่คนเดียว แต่เป็น…โลงศพ!
นี่คือโลงศพหยก มันโปร่งแสงและสามารถมองเห็นหญิงสาวชุดแดงนอนอยู่ด้านใน แต่ไม่อาจมองเห็นได้ชัดมากนัก
หลิงฮันรู้สึกตกใจเล็กน้อย หม่าตั๋วเป้าออกมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่นับร้อยคนเพื่อพบกับคนตาย? ไม่มีทาง เฟิงโป๋วหยุนบอกว่าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลัง นางน่าจะยังไม่ตาย แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเหมือนไม่มีตัวตน
หม่าตั๋วเป้าเดินเข้าไปใกล้และพูดว่า “เปิดโลงศพ”
นี่ค่อนข้างดูไร้ยางอายเล็กน้อย นี่เขาเป็นโจรขโมยหลุมศพหรือไง?
มีชายชราสี่คนสวมหมวกทรงสูงสีขาวพร้อมกับหนวดเครายาวปรากฏตัวออกมา พวกเขาดูเหมือนคนที่อุทิศตน พวกเขาเดินเข้าไปล้อมรอบโลงศพหยก และวางมือลงบนโลงศพ
ด้วยการกระทำของพวกเขา เส้นโลหิตบนร่างกายของนางส่องแสงขึ้นมาทันที และทำให้โลงศพส่องแสงสว่า
หลิงฮันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหญิงสาวที่นอนอยู่ภายในโลงศพมีอายุประมาณยี่สิบปี ดวงตาของนางปิดสนิทดูเหมือนว่านางกำลังหลับอยู่ นางเป็นหญิงสาวที่งดงามมาก ริมฝีปากของนางมีสีแดงเหมือนเปลวเพลิง เส้นผมสีดำเหมือนหมึก และมีผิวที่ขาวเนียน
อย่างไรก็ตาม ด้านในโลงศพดูเหมือนจะเต็มไปด้วยของเหลวบางอย่างไหลเวียนอยู่ตลอดเวลาราวกับว่ามีชีวิต ซึ่งดูแปลกประหลาดมาก
หลังจากเวลาผ่านไปนาน หลิงฮันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังจากภายในโลงศพ แต่มันก็หายไปทันที
เขารู้สึกแปลกใจมาก ถ้าจอมยุทธจงใจลบกลิ่นอายของตัวเอง กลิ่นอายของพวกเขาก็จะหายไป ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายต้องการที่จะลบกลิ่นอายของตัวเอง มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่กลิ่นอายจะเล็ดลอดออกมา แต่ถ้านางอยู่ในสภาวะปกติก็ควรที่จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของนางเป็นครั้งคราว
นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก!
หลังจากที่นักบวชทั้งสี่คนสวดอยู่เป็นเวลาเกือบครึ่งวัน โลงศพหยกทั้งโลงศพก็ถูกปกคลุมด้วยอักขระและส่องแสงสว่างไสว
หม่าตั๋วเป้าเดินไปข้างหน้าและพูดออกมาอีกครั้งว่า “ยินดีต้อนรับราชินีหยินผู้ยิ่งใหญ่!”
“ยินดีต้อนรับราชินีหยินผู้ยิ่งใหญ่!” ทุกคนเปล่งเสียงตะโกนออกมาอีกครั้ง
นักบวชนักสี่คนยกฝาโลงศพ และของเหลวบางอย่างก็พุ่งออกมาจากโลงศพราวกับน้ำที่ระเหยและหายไปอย่างรวดเร็ว
ฝาโลงศพถูกเปิดออกและถูกวางไว้ด้านข้าง
ทันใดนั้น หญิงสาวที่อยู่ในโลงศพก็ลืมตาขึ้นมาทันที
ตอนที่ 692
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะรู้สึกหนาวเย็น แม้แต่หนังศรีษะยังด้านชา
ด้วยสายตาที่แหลมคมของเขา เขาสามารถรับประกันได้ว่าโลงศพหยกนั่นมีความเก่าแก่อย่างแน่นอน เขาไม่รู้ว่ามันถูกฝังอยู่ใต้ดินมาเป็นเวลากี่ปี แม้ว่าเขาจะเห็นเศษดินอยู่บนโลงศพหยก แต่อย่างน้อยมันจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นปี
โลงศพจะถูกปิดผนึกไว้จนกว่าของเหลวลึกลับจะไหลออกมาก่อนที่จะถูกเปิดออก กล่าวได้ว่าหญิงสาวที่อยู่ในโลงศพถูกฝังไปพร้อมกับโลงศพหยก
และตอนนี้นางได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจได้อย่างไร?
“มันเป็นของเหลวบางอย่างที่สามารถปิดผนึกพลังภายในร่างกายมนุษย์ได้โดยไม่หลงเหลือร่อยลอยให้เห็นแม้แต่น้อย” เฟิงโป๋วหยุนกล่าว ดวงตาของเขากำลังลุกโชน
หลิงฮันรู้สึกตกตะลึง ไม่แปลกใจเลยที่คนที่ถูกฝังนับหมื่นปีจะคงสภาพได้แบบนั้น
“ผิดแล้ว” อี้ชวงชวงส่ายหัว “นั่นเรียกว่าหยดวารีกาลเวลา มันสามารถใช้ปิดผนึกสิ่งมีชีวิต เวลาของสิ่งมีชีวิตที่ถูกปิดผนึกจะผ่านไปช้ามาก อย่างไรก็ตาม มันแค่ทำให้เวลาผ่านไปช้าลงเท่านั้นไม่ได้หยุดเวลา ซึ่งมันสามารถทำให้เวลาเดินช้าลงได้ถึงหนึ่งร้อยเท่าหรืออาจมากกว่านั้น”
พวกของหลิงฮันทั้งสี่คนรู้สึกตกตะลึง ถ้าพวกเขาทำให้เวลาเดินช้าลงได้ร้อยเท่า ไม่ใช่ว่าจอมยุทธระดับทลายมิติจะมี “ชีวิต” อยู่ได้นับแสนปีเลยหรือ?
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไง หรือว่าเจ้าจะเป็นยัยแก่?” หลิงฮันถาม
“ย..ยัยแก่?” อารมณ์ของอี้ชวงชวงเหมือนกับแมวที่ถูกเหยียบหาง นางกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าเด็กเหลือขอ ตาของเจ้ามีปัญหาหรือไง ข้าดูแก่ตรงไหนอย่างนั้นรึ? ดูผิวของข้าสิ ดูซะว่ามันขาวเนียนและละเอียบอ่อนแค่ไหน ดูหน้าอกนี่ซะ เจ้าเห็นมันหย่อนยานหรือไม่? และดูสะโพกของข้า ไม่ใช่ว่าเจ้าเห็นแล้วเกิดอารมณ์หรอกรึ!”
ฮูหนิวใช้มือปิดตาของตัวเองและส่ายหัวไปมาไม่หยุด แล้วพูดว่า “น่ารังเกียจ น่ารังเกียจ เจ้าทำให้จิตใจของเด็กสาวบริสุทธิ์อย่างฮูหนิวต้องแปดเปื้อน”
หลิงฮันคิดว่าอี้ชวงชวงน่าจะพูดถูก ดังนั้นเขาเลยรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่เล็ดลอดออกมาจากคนที่อยู่ในโลงศพ มันไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายจงใจลบกลิ่นอาย แต่เป็นเพราะกระแสเวลาของอีกฝ่ายนั้นไหลผ่านไปเชื่องช้ามาก ดังนั้นนานๆทีจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของนาง
ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนาพูดคุยกัน พวกเขาก็เห็นหญิงสาวในโลงศพหยกยกร่างกายส่วนบนขึ้นมาก่อนที่จะบิดขี้เกียจ และเผยให้เห็นส่วนเว้นส่วนโค้งได้อย่างชัดเจนทั้งยังเต็มไปด้วยความเย้ายวน ทำให้เจ้าหน้าที่หลายร้อยคนหน้าแดงด้วยความเขินอาย
“อ้ายชิง!” หม่าตั๋วเป้าหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
หญิงสาวในโลงศพจ้องมองไปที่หม่าตั๋วเป้าด้วยสีหน้าประหลาดใจ และพูดออกมาอย่างไม่มั่นใจว่า “จักรพรรดิของข้า?”
“ใช่แล้ว” หม่าตั๋วเป้าพยักหน้า
หญิงสาวในโลงศพรู้สึกตกตะลึง ทันใดนั้นนางก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกับน้ำตา และตบขอบโลงศพไม่หยุด “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าขำจะตายอยู่แล้ว! ฝ่าบาท เจ้ากลายเป็นคนอ้วนตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หม่าตั๋วเป้าส่งเสียงกระแอมและพูดว่า “ข้าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้เลยหรือไง?”
หญิงสาวในโลงศพยังคงหัวเราะพร้อมกับน้ำตา ดูเหมือนว่านางจะหยุดขำไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นาน นางก็พูดว่า “ราชาดวงดารา ราชาแห่งปฐพี พวกเขาเห็นเจ้าแล้วหรือยัง?”
“ราชินีหยินผู้ยิ่งใหญ่ อ้ายชิงโปรดไว้หน้าข้าต่อหน้าคนนอกด้วย!” หม่าตั๋วเป้ากล่าว
หญิงสาวในโลงศพ ราชินีหยินผู้ยิ่งใหญ่กระโดดออกมาจากโลงศพและเหลือบมองไปที่กลุ่มของหลิงฮันทั้งห้าคน ก่อนที่จะหันไปมองหม่าตั๋วเป้าและพูดพึมพัมว่า “ฝ่าบาทกลายเป็นคนอ้วนเสียแล้วยังจะมีหน้าให้ไว้อีกหรือ?”
นางยื่นมือออกไปข้างหน้าและปลดปล่อยพลังปราณอันหนาวเย็นออกมา พลังปราณของนางก่อตัวเป็นกระจกน้ำแข็งอยู่ด้านหน้าของนาง
“หืม!” นางกรีดร้องออกมาทันทีแล้วกลายเป็นโกรธเกรี้ยวและเงยหน้าตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้าว่า “ฝ่าบาท เจ้าสัญญากับข้าไว้ว่ายังไง?”
“สัญญาอะไร?” หม่าตั๋วเป้าพูดออกมาอย่างไร้เดียงสา
“เจ้าพูดว่าเมื่อข้าปรากฏตัวอีกครั้ง รูปลักษณ์ของข้าจะไม่เปลี่ยนแปลง! เจ้าเห็นหรือไม่ ข้าแก่ขึ้นตั้งสองปี! ตั้งสองปี!” นางรู้สึกโกรธมากจนอยากจะฆ่าหม่าตั๋วเป๋าให้ตาย
“นี่มัน—” หม่าตั๋วเป้าโบกมือและพูดว่า “ข้าไม่คิดว่าข้าจะหลับไหลนานไปหน่อย ถ้าไม่ใช่เพราะแผ่นดินไหวทำให้ข้าตื่นขึ้นมา บางทีข้าคงอาจหลับต่อไปอีกหมื่นๆปี”
“ถ้าเป็นแบบนั้น เมื่อข้าตื่นขึ้นมาไม่ใช่ว่าข้าจะเป็นยายแก่ไปแล้วหรอกรึ?” นางแทบจะบ้าคลั่ง “เจ้าหมูอ้วน ข้าอยากจะสังหารเจ้าให้ตายคามือยิ่งนักที่ทำให้ข้าต้องมีอายุมากขึ้นตั้งสองปี!”
นางรู้สึกโกรธเกรี้ยวมากและอยากจะฆ่าให้หม่าตั๋วเป้าให้ตายไปซะเดี๋ยวนี้
ตู้ม นางปลดปล่อยพลังปราณที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ทำให้เมืองหลวงของจักรวรรดิทั้งเมืองเริ่มหนาวเย็น และมีหิมะตกลงมาจากท้องฟ้า หากจ้องมองให้ดีจะเห็นว่าหิมะพวกนั้นแฝงมาพร้อมกับเจตจำนงของนาง!
“ราชินีหยิน เจ้าบ้าไปแล้ว!” หม่าตั๋วเป้ารีบกระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้า และทำให้หิมะย้อนกลับไป มิฉะนั้นถ้าหิมะตกลงมาสู่พื้นดินเบื้องล่างอาจทำให้ทุกคนต้องตาย
“เจ้าไม่รู้หรือว่าผู้หญิงโกรธแล้วจะเป็นยังไง?” ราชินีหยินคำราม “คืนความเยาว์วัยให้ข้า!”
“จอมยุทธระดับทลายมิติขั้นเก้า!” เฟิงโป๋วหยุนจ้องมองนางด้วยความระมัดระวัง
นี่คือระดับพลังสูงสุดของจอมยุทธในทวีปฮงเทียน
หม่าตั๋วเป้าทำแค่ป้องกัน แต่ไม่โจมตี ทุกการเคลื่อนไหวของเขาดูงดงามแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณของจักรพรรดิ
“ก็ได้ ก็ได้ ราชินีหยินพอแค่นี้ก่อน พวกเรามีแขก!” หม่าตั๋วเป้ากล่าว
ราชินีหยินปฏิเสธที่จะหยุดและพูดว่า “ถ้าข้าไม่ได้วางเท้าบนใบหน้าที่อ้วนท้วมของเจ้า ข้าก็ไม่มีทางที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้”
หม่าตั๋วเป้าแสยะยิ้มและพูดว่า “อ้ายชิง เจ้าดูไม่เหมือนแก่ขึ้นสองปีเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เจ้าดูงดงามขึ้นกว่าแต่ก่อนเสียอีก”
ราชินีหยินหยุดเคลื่อนไหวทันที และพูดว่า “ข้าดูงดงามขึ้น?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” หม่าตั๋วเป้าหันไปด้านหลังและถามเจ้าหน้าที่หลายร้อยคนว่า “พวกเจ้าคิดว่าอ้ายชิงงดงามขึ้นหรือไม่?”
“ขอรับ!” เจ้าหน้าที่หลายร้อยคนพยักหน้าไม่หยุด
ราชินีหยินนำกระจกน้ำแข็งออกมาอีกครั้งและพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็รู้สึกว่าตัวเองงดงามขึ้นเหมือนกัน”
หม่าตั๋วเป้าถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาหันไปมองหลิงฮันและโบกมือพูดว่า “น้องชายตัวดำ หากเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว ทำไมเจ้าไม่มากับข้าล่ะ?”
หลิงฮันหันไปมองเฟิงโป๋วหยุนและเห็นเขาพยักหน้า พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเข้าไปหาหม่าตั๋วเป้า
พวกหลิงฮันทั้งสี่คนกระโดดลงมา ขณะเดียวกันอี้ชวงชวงก็กระโดดลงมาด้วยและเดินไปพร้อมกับพวกเขา
“อ้วนหม่า– ไม่ใช่สิ ฝ่าบาท!” หลิงฮันโค้งคำนับ
“ตามสบาย ตามสบาย เจ้าไม่ใช่คนของข้าไม่จำเป็นต้องมากพิธี” หม่าตั๋วเป้ายิ้มและจ้องมองไปที่เฟิงโป๋วหยุน ก่อนที่จะจ้องเขม็งไปที่อี้ชวงชวง
ตอนที่ 693
“จักรพรรดิของข้า ให้ข้าเป็นคนจัดการเอง!” ราชินีหยินออกตัว “ถึงแม้ท่านจะกลายเป็นเจ้าอ้วนไปแล้ว แต่ท่านก็ยังเป็นจักรพรรดิของข้า เพราะงั้นข้าไม่อาจปล่อยให้ท่านเป็นผู้ลงมือเองได้!”
“อ้ายชิง…” หม่าตั้วเปารู้สึกปราบปลื้ม
“ราชินีผู้นี้เกลียดสตรีที่งดงามและแข็งแกร่งเป็นที่สุด!” ราชินีหยินกล่าว
มุมปากของหม่าตั้วเปากระตุก “อ้ายชิง เจ้าเองก็งดงามมากอยู่แล้ว ทำไมต้องไปสนใจเรื่องนั้นด้วย?”
อี้ชวงชวงยิ้มและกล่าว “ข้าเองก็คิดเสมอว่าตนเองเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในโลก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังเทียบกับสตรีผู้นี้ไม่ได้ เจ้าไม่คิดว่าเจ้าควรจะเกลียดนางมากกว่าข้ารึ?” อี้ชวงชวงชี้นิ้วไปยังจูเสวียนเอ๋อ
ราชินีหยินมองไปยังจูเสวียนเอ๋อและอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีตกตะลึงออกมา “จักรพรรดิของข้า สตรีผู้นี้งดงามยิ่งนัก ท่านต้องการจะรับนางมาเป็นจักรพรรดินีรึไม่?”
“โอ้ นางเป็นผู้หญิงของน้องชายตัวดำ ข้าไม่อาจทำเช่นนั้นได้!” หม่าตั้วเปาหัวเราะและมองไปยังอี้ชวงชวง “เจ้ามีกลิ่นอายบางอย่างที่ไม่ใช่ของคนบนโลกนี้”
“เหอะ เป็นเจ้าอ้วนที่รู้มากจริงๆ!” อี้ชวงชวงไม่ปฏิเสธ “พวกเจ้าถูกฝังอยู่ในโลงศพมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี แต่ข้าถูกผนึกมาแล้วเป็นเวลากว่าหนึ่งแสนปี”
“ข้าสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายจากเจ้า” หม่าตั้วเปากล่าว “ข้าคิดว่าหากต้องการจัดการกับเจ้า พวกเราจำเป็นต้องใช้พลังทั้งหมดที่มี”
ราชินีหยินตกตะลึง นางรู้ถึงพลังของขุมอำนาจของพวกนางเป็นอย่างดี
อี้ชวงชวงปัดมือและกล่าว “ข้าไม่ได้มีความทะเยอทะยานหรือความคิดชั่วร้ายอะไร ข้าแค่มาเดินเล่นเท่านั้น เพราะงั้นไม่ต้องมาสนใจข้าก็ได้”
“งั้นรึ?” หลิงฮันกรอกตามอง
“ฮิฮิ!” อี้ชวงชวงยิ้ม “แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น”
“เอาล่ะๆ น้องชายตัวดำ พวกเรามากินดื่มกันเถอะ ข้าเชื่อว่าเจ้าคงจะมีคำถามมากมายอยากถามข้า” หม่าตั้วเปาหัวเราะ
ทุกคนเดินเข้าไปยังพระราชวัง หม่าตั้วเปาจัดเตรียมโต๊ะมาวางที่สวนจากนั้นก็นำพาให้ทุกคนนั่งลง
“น้องชายตัวดำ เจ้าอยากจะถามอะไร?”
หลิงฮันครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะเอ่ยถาม “พวกเจ้าเป็นคนของยุคสมัยไหน?”
“ฮ่าๆๆ เรื่องนี้เก็บเอาไว้ความลับไปก่อนแล้วกัน!” หม่าตั้วเปาส่ายหัว “เมื่อถึงเวลาที่แปดราชาตื่นขึ้นมาและปกครองโลกใบนี้ เจ้าก็จะรู้เอง”
เฟิงโปหยุนกล่าว “ในบริเวณดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว ข้าพบกับแมงมุมเงินยักษ์ที่น่าจะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของสวรรค์และปฐพี… พลังต่อสู้ของมันเป็นไปได้ว่าเกือบจะเทียบเท่ากับระดับพระเจ้า”
“โอ้?” ดวงตาของหม่าตัวเปาส่องประกาย “ข้ากำลังขาดสัตว์ขี่อยู่พอดีเลย”
“ฮ่าๆๆ เจ้าอ้วนที่ขี่แมงมุมเนี่ยนะ แค่คิดภาพก็ตลกแล้ว” ราชาหยินหัวเราะลั่นออกมา
“แมงมุมยักษ์อาศัยอยู่ที่เหมืองโบราณ ภายใต้เหมืองโบราณมีจอมยุทธระดับทลายมิติอย่างน้อยร้อยคนถูกฝังเอาไว้ จอมยุทธเหล่านั้นยังไม่ตายแต่ดูเหมือนจะถูกเปลี่ยนให้อยู่ในสภาพกึ่งตาย” เฟิงโปหยุนกล่าวอีกครั้ง
ทันใดนั้นหม่าตั้วเปาก็แสดงสีหน้าตื่นตัว
ราชินีหยินหันหน้ามาและกล่าว “จักรพรรดิของข้า หรือว่าคนเหล่านั้นจะบ่มเพาะทักษะลับใต้พิภพที่เปลี่ยนร่างคนตายให้เป็นพระเจ้า?”
“เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเช่นนั้น!” หม่าตั้วเปาพยักหน้า “เรื่องนี้ชักจะยุ่งยากเล็กน้อยแล้วสิ”
“อะไรคือเปลี่ยนร่างคนตายให้เป็นพระเจ้า?” หลิงฮันถาม
“โลกนี้… จอมยุทธไม่สามารถกลายเป็นพระเจ้าได้อีกต่อไป เนื่องจากภัยพิบัติครั้งใหญ่” หม่าตั้วเปามองไปยังเฟิงโปหยุน “น้องชายเฟิงก็รู้สึกได้เช่นนั้นสินะ?”
“ไม่ผิด!” เฟิงโปหยุนพยักหน้า “พวกคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ยินยอมให้มนุษย์บรรลุสู่การเป็นพระเจ้า”
หม่าตั้วเปาประหลาดใจเล็กน้อย “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะรู้ความลับมากมายเช่นนี้” หม่าตั้วเปาชะงักไปชั่วขณะและพูดต่อ “แต่บางคนก็ไม่ได้เลือกเดินทางนั้น ในเมื่อไม่สามารถเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้านบนได้ ทำไมไม่เข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ดินแดนอื่นล่ะ?”
“ว่าไงนะ!” หลิงฮันและเฟิงโปหยุนอุทานพร้อมกัน มีเพียงอี้ชวงชวงเท่านั้นีที่ยังคงสงบนิ่งราวกับว่านางรู้อยู่แล้ว
“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกที่ถูกเรียกว่าดินแดนใต้พิภพ!” หม่าตั้วเปากล่าว “มันคือดินแดนของเหล่าคนตาย ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองมีระดับที่ทัดเทียมกัน แต่จากข่าวลือที่ได้ยินมา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองมักจะก่อสงครามกันบ่อยครั้ง ต่างฝ่ายต่างอยากจะกลืนกินอีกฝ่าย”
หลิงฮันและเฟิงโปหยุนนั่งนิ่งไร้คำพูด พวกเขากำลังพยายามยอมรับเรื่องราวอันน่าตกตะลึงนี้ช้าๆ
“ข้าไม่รู้เกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองมากนัก แต่เมื่อจอมยุทธฝึกฝนจนก้าวผ่านระดับทลายมิติขั้นสูงสุด พวกเขาจะถูกส่งขึ้นไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้านบน แต่สำหรับดินแดนศักดิ์สทธิ์เบื้องล่างนั้น มีเพียงร่างกายที่ตายแล้วเท่านั้นถึงจะไปดินแดนใต้พิภพได้” หม่าตั้วเปากล่าวต่อ
“เหล่าจอมยุทธที่ถูกฝังอยู่ในเหมืองโบราณคงจะเปลี่ยนร่างของตนเองให้กลายเป็นคนตายเพื่อที่จะได้สามารถลงไปยังดินแดนใต้พิภพ”
หม่าตั้วเปาขมวดคิ้ว “เมื่อโลกใต้พิภพทำการติดต่อกับโลกใบนี้ พลังปราณอันชั่วร้ายจะเล็ดรอดเข้ามาและเกิดเป็นมหันตภัยอันน่าสะพรึงกลัวต่อสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้”
หลิงฮันถอนหายใจ เรื่องราวกับชักจะน่าปวดหัวขึ้นเรื่อยๆแล้ว
เขาครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะกล่าว “แล้วเรื่องเปิดสว…” หลิงฮันหยุดพูดกลางคันก่อนที่จะกล่าวต่อ “ก่อนหน้านี้เจ้าจงใจมาบอกให้ข้ารู้?”
หม่าตั้วเปาหัวเราะ “การจะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้ โชคชะตาที่ยิ่งใหญ่คือสิ่งจำเป็น”
“โชคชะตา?” หลิงฮันถามกลับ
หม่าตั้วเปากล่าว “ทุกชีวิตที่เกิดมาล้วนแต่ถูกกำหนดชะตาชีวิตเอาไว้แล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจหนีพ้นโชคชะตาของตนเองไปได้ อย่างเช่นบางคนถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นจักรพรรดิ แต่บางคนที่ไม่ถูกกำหนดให้เป็นเช่นนั้นก็ไม่อาจเป็นจักรพรรดิได้”
หม่าตั้วเปามองไปยังหลิงฮันและกล่าวต่อ “แต่ว่า… น้องชายตัวดำ โชคชะตาของเจ้าแปลกประหลาดและฝืนสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าโชคชะตาของเจ้าไม่ได้ถูกผูกมัดโดยสิ่งอื่นใด แม้แต่สวรรค์และปฐพีก็ไม่สามารถกำหนดชะตากรรมของเจ้าได้!”
“ข้าก็คิดเหมือนกันว่าเจ้าหนุ่มนั่นแปลกประหลาด!” อี้ชวงชวงตบโต๊ะจนโต๊ะสั่นสะเทือน “ฮ่าๆๆ หรือว่าเจ้าจะไม่ใช่คนของโลกนี้?”
หากเกิดมาบนโลกนี้ โชคชะตาก็จะถูกกำหนดโดยสวรรค์และปฐพีของโลกนี้
“ฮูหนิวก็เช่นกัน โชคชะตาของนางไม่อาจถูกสวรรค์และปฐพีกำหนดได้” หม่าตั้วเปากล่าว “พวกเจ้าทั้งสองราวกับเป็นปลาที่กระโดดออกจากแม่น้ำแห่งสวรรค์และปฐพี พวกเจ้าจะไม่ได้รับอิทธิพลใดๆต่อสวรรค์และปฐพีของโลกใบนี้”
“เพราะงั้นถ้าเจ้าต้องการจะเปิดสวรรค์ เจ้าก็จะต้องเป็นศัตรูกับสวรรค์และปฐพี”
“แต่ถ้าเจ้าทำมันได้สำเร็จ เจ้าก็จะเป็นผู้ที่ช่วยพลักดันให้โลกใบนี้มีระดับที่สูงขึ้น”
หลิงฮันยังคงมีเรื่องที่สงสัยและถามออกไป “แล้วเรื่องพลังแห่งจักรภพล่ะ?”
“ถ้าหากประชากรทุกคนค่อยสนับสนุนเจ้า เจ้าก็จะได้รับพลังอันมหาศาลเพิ่มเติม พลังที่ได้รับนั้นตราบใดที่ร่างของเจ้าสามารถรองรับมันได้ มันก็สามารถเพิ่มขึ้นได้หลายสิบเท่าหรือหลายร้อยเท่า”
“แต่ถ้าประชากรไม่สนับสนุนเจ้า พลังแห่งจักรภพก็จะได้ผลตรงข้ามและส่งผลให้พลังของเจ้าลดลง”
ตอนที่ 694
พลังจักรภพเป็นเหมือนดาบสองคม
ถ้าบริหารจัดการแคว้นได้ดี พลังจักรภพก็จะเป้นด้านบวกที่ช่วยให้พลังต่อสู้พุ่งทะยานขึ้น แต่ถ้าแคว้นถูกปกครองด้วยความเป็นเผด็จการ พลังจักรภพก็จะเป็นด้านลบ ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยให้พลังต่อสู้เพิ่มขึ้น แต่ยังลดลงอีกด้วย
ดังนั้นห้านิกายโบราณจึงไม่คิดจะใช้พลังจักรภพ เพราะหากเวลาแห่งการหลอมเม็ดยามาถึง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากพลังแห่งจักรภพอาจจะส่งผลต่อคุณภาพของเม็ดยาที่หลอมขึ้นมาได้
“น้องชายตัวดำ เจ้าจะช่วยข้าได้รึไม่?” หม่าตั้วเปายิ้มและมองหลิงฮันอย่างจริงใจ
คนที่หลุดออกจากห่วงโซ่แห่งโชคชะตานั้นหายากเป็นอย่างมาก และตอนนี้เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏขึ้นมาถึงสองคน
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนที่จะตอบกลับไป “ตอนนี้ข้าคงต้องขอกลับไปยังสำนักสวรรค์ก่อน ข้าต้องชักจูงคนให้ออกมาจากการควบคุมของห้านิกายโบราณให้มากที่สุด เมื่อเวลามาถึง ข้าจะพาพวกเขามาที่จักรวรรดิจันทราม่วง”
“ยอดเยี่ยม!” หม่าตั้วเปายิ้มอย่างมีความสุข “ข้าจะแต่งตั้งเจ้าเป็นราชาคนที่เก้า!”
“ไม่ต้อง!” หลิงฮันรีบส่ายมือ “ข้าไม่สนใจอำนาจ และข้าก็ไม่ต้องการสวามิภักดิ์ต่อเจ้าอ้วนเช่นเจ้าด้วย ข้าเหมาะที่จะปลีกตัวเป็นอิสระมากกว่า”
ราชินีหยินยิ้มและมองไปยังหลิงฮัน “ราชินีผู้นี้ชอบคนเช่นเจ้า!”
“ห้ามยุ่งกับหลิงฮันของหนิวเด็ดขาด!” ฮูหนิวรีบกอดหลิงฮันแน่นและจ้องเขม็งไปยังราชินีหยิน
“ทุกคน เพื่ออนาคตของมวลมนุษยชาติ โปรดช่วยกันด้วย” หม่าต้าเปากล่าว
เฟิงโปหยุนและหลิงฮันพยักหน้าในขณะอี้ชวงชวงนั่งหาว นางดูเหมือนจะสนใจแต่ก็ไม่สนใจ
“จักรพรรดิของข้า ห้านิกายโบราณสะสมกำลังพลมานานกว่าหมื่นปี พวกเขาสมควรมีจอมยุทธระดับทลายมิติมากกว่าร้อยคน ท่านมีไพ่ลับอะไรจะใช้ตอบโต้หรือไม่?” หลิงฮันถามถามอย่างหยอกล้อ
ท่าทางของหม่าตั้วเปาเต็มไปด้วยความมั่นใจและกล่าว “แปดราชาของข้านั้นแต่ละคนสามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับทลายมิติได้หลายสิบคน เพราะงั้นไม่ต้องไปกลัวอะไรมาก สองสิ่งที่สิ่งที่ควรเป็นกังวลคือเมื่อตอนที่คนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เริ่มลงมือกับการบ่มเพาะทักษะลับใต้พิภพที่อยู่ในดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว!”
“นิกายพันศพเองก็ไม่สามารถดูแคลนได้” หลิงฮันกล่าว
“ไม่ต้องเป็นห่วง นิกายพันศพที่ยังสะสมอำนาจได้ไม่ถึงหนึ่งหมื่นปีนั้นไม่นับว่าเป็นอันใดได้” หม่าตั้วเป้ากล่าวอย่างไม่แยแส “เอาล่ะ มาดื่มกัน!”
ทุกคนเริ่มดื่มและเลิกพูดถึงเรื่องเปิดสวรรค์
หลิงฮันแอบถามหอคอยทมิฬในใจ “ที่โชคชะตาของข้าเปลี่ยนไปจนหลุดพ้นกฎของสวรรค์และปฐพีเป็นฝีมือของเจ้าใช่รึไม่?”
“แม้ข้าจะไม่ลงมือ แต่การที่เจ้ามีจิตวิญญาณสองดวงผสานกันในร่างเดียวก็สามารถทำให้ชะตาชีวิตของเจ้าเปลี่ยนไปแล้ว” หอคอยทมิฬน้อยกล่าว “ยิ่งกว่านั้นกฎแห่งสวรรค์และปฐพีของโลกนี้ก็ยังไม่ถึงระดับที่เรียกว่าสมบูรณ์ เพราะงั้นเจ้าไม่ต้องตกตะลึงไป”
“เจ้ายังมีความลับอีกมากมายที่ยังไม่ได้บอกข้าสินะ?” หลิงฮันเอ่ยถาม
หอคอยน้อยนิ่งเงียบไปชั่วขณะ “เมื่อถึงเวลาที่ต้องรู้ ข้าจะบอกเจ้าเอง”
อาวุธวิญญาณชิ้นนี้ซ่อนความลับอะไรเอาไว้จริงๆด้วย!
หลิงฮันทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าของหอคอยทมิฬ แต่เขาก็จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากหอคอยน้อย ไม่เช่นนั้นเขาก็จะทำได้แค่แวบเข้าแวบออกจากหอคอยทมิฬเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าอาวุธวิญญาณชิ้นนี้ยังไม่ยอมรับเขาอย่างสมบูรณ์
หลิงฮันและหม่าตั้วเปาพูดคุยกันเป็นเวลานาน เขาบอกทุกสิ่งที่เขารู้จากจื่อเสวี่ยนเซียนให้อีกฝ่ายฟัง หม่าตั้วเปาเองก็บอกเล่าถึงวิธีเปิดสวรรค์และวิถีการให้อำนาจแห่งจักรภพให้เขาเช่นกัน
จักรวรรดิจันทราม่วงมีราชาที่แข็งแกร่งทั้งหมดแปดคน ตอนนี้มีแค่สี่คนเท่านั้นที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ส่วนอีกสี่คนไม่รู้ว่าพวกเขาถูกฝังเอาไว้ที่ไหนเนื่องจากกาลเวลาที่ผ่านไป อย่างเช่นหลิงฮันเองก็ไม่รู้ถึงตำแหน่งของหุบเขาไร้ขอบเขตเช่นกัน การที่จะค้นหาราชาให้ครบแปดคนนั้นสำหรับหม่าตัวเป่าแล้วไม่ใช่งานที่ง่ายเลย
หลิงฮันเดินทางมาถึงขอบชายแดนของจักรวรรดิจันทราม่วงและมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักสวรรค์
อี้ชวงชวงและเฟิงโปหยุนเข้าปะทะกัน หลิงฮันจึงใช้โอกาสนี้หลบหนีออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไร สตรีผู้นี้ก็คงไม่มีทางตายง่ายๆแน่
เมื่อศิษย์ของสำนักเห็นหลิงฮันกลับมา ทุกคนล้วนชี้นิ้วมาที่เขาและซุบซิบกัน แววตาของพวกเขาไม่ใช่ความหวั่นเกรงแต่เป็นความเห็นอกเห็นใจ
เมื่อหลิงฮันพบกับ ‘หลี่ปากกว้าง’ เขาจึงได้รู้เหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงมองเขาเช่นนั้น
ฉือชิ่วเหรินกลับออกมาจากการเก็บตัวแล้ว!
แม้ตอนนี้ฉือชิ่วเหรินจะไม่ได้อยู่ในสำนักสวรรค์ แต่เขาก็ตระเวนท้าทายบุคคลอันมีชื่อเสียงมากมายไม่เว้นแม้แต่จอมยุทธระดับทลายมิติ ทุกคนที่ประลองกับฉือชิ่วเหรินล้วนแต่ถูกสังหารด้วยกระบี่ของเขา
แต่ว่าระดับพลังของชายคนนี้… เป็นเพียงระดับตัวอ่อนวิญญาณเท่านั้น!
อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดอีกคน
เอาจริงๆแล้ว ราชันกระบี่น้อยนับว่าเทียบกับฉือชิ่วเหรินไม่ติดเลย
ฉือชิ่วเหรินประกาศเอาไว้ว่าเมื่อเขามาถึงสำนักสวรรค์ นั่นจะเป็นวันที่เขาจะลงมือสั่งสอนหลิงฮัน
ตอนนี้ลูกศิษย์ของห้านิกายโบราณต่างก็รอให้ฉือชิ่วเหรินมาถึงและสังหารหลิงฮันเพื่อกู้ชื่อเสียงของห้านิกายโบราณกลับมา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลิงฮันทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ สำหรับเขาที่เป้าหมายคือการโลกเบื้องบน ฉือชิ่วเหรินย่อมไม่อยู่ในสายตาของเขา
หลิงฮันมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก ถ้าต้องต่อสู้กับจอมยุทธระดับเดียวกัน มีรึที่เขาจะพ่ายแพ้ใคร?
แต่ในตอนนี้เอง ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งก็แพร่กระจายออกมา เนื่องจากการต่อสู้อันรุนแรงของจักรวรรดิจันทราม่วงและห้านิกายโบราณได้ทำลายมิติของสวรรค์และปฐพี ประตูสู่โบราณสถานลี้ลับจึงปรากฏออกมา
ตอนนี้กองทัพทั้งสองได้หยุดการต่อสู้กันชั่วคราว พวกเขาส่งเหล่าปรมาจารย์เข้าไปในโบราณสถานเพื่อตรวจสอบสมบัติที่อยู่ภายใน
การที่ขุมกำลังทั้งสองต้องยอมหยุดยั้งสงครามชั่วคราวเพื่อตรวจสอบโบราณสถานที่ปรากฏออกมา สมบัติที่อยู่ในนั้นจะล้ำค่าขนาดไหนกัน?
เมื่อได้ยินข่าว เหล่าลูกศิษย์สำนักสวรรค์ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังโบราณสถานแห่งนั้น
ภายในโบราณสถานนั้นพลังไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ทุกสิ่งล้วนแต่ขึ้นอยู่กับโชคชะตา
หลิงฮันก็ออกเดินทางเช่นกัน ยิ่งพลังบ่มเพาะของเขาเพิ่มสูงขึ้น ความต้องการสมบัติที่เป็นทรัพยากรบ่มเพาะก็ยิ่งมากขึ้น การที่เขาบ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์และทักษะกายาเก้ามังกรทรราชทำให้เขาจำเป็นต้องได้พลังงานจากสวรรค์และปฐพีเป็นจำนวนมหาศาล
นอกจากสมบัติธรรมชาติแล้ว ในตอนนี้เขาก็กำลังขาดแคลนวัตถุดิบระดับสูงที่จะใช้ซ่อมแซมหอคอยทมิฬอยู่เช่นกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น