Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 660-670
ตอนที่ 660
หลิงฮันพิจารณาอย่างรอบคอบ
หลิงฮันรู้สึกมีความสุขที่ทำให้ห้านิกายโบราณสับสน ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีผู้คนเข้าร่วมสำนักสวรรค์ได้มากเท่าไหร่ ขุมกำลังที่หลิงฮันจะดึงดูดเข้ามาเป็นพวกได้นั้นยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
เป้าหมายของเขาคือการสร้างราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่และรวมทวีปฮงเทียน
ไม่สนว่าข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไร ข้าเกิดมาเพื่อพิชิต
แต่หลิงฮันไม่กล้าที่จะผลีผลามเกินไป มิฉะนั้นเขาจะถูกสำนักสวรรค์ล่วงรู้ว่าเขาทำอะไร ตอนนี้เขาทำได้แค่แอบทำและไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไร
หลังจากเก็บธงได้ทั้งหมดสิบสองผืน หลิงฮัน จูเสวี่ยนเอ๋อและฮูหนิวก็ได้มุ่งหน้าไปที่หุบเขาผนึกภูติ เมื่อพวกเขามาถึง มันก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว และมีบางคนที่มาเร็วกว่าพวกเขา ก่อนที่การทดสอบรอบที่สองจะเริ่มต้นขึ้น
ตราบใดที่พวกเขามาถึงที่นี่ภายในสามวัน พวกเขาจะมีสิทธิ์เข้าร่วมสำนักสวรรค์และยิ่งพวกเขาได้รับหินมามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเท่านั้น
“ฮูหนิว พวกเรามาปล้นคนอื่นกันเถอะ!” หลิงฮันยิ้ม
“อืม!” ฮูหนิวพยักหน้ารับและรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ส่วนจูเสวี่ยนเอ๋อเพียงแค่ยิ้มออกมาและจ้องมองหลิงฮันอย่างอ่อนโยน
“พี่ใหญ่และพี่รอง พวกเขาน่าจะมาถึงนานแล้ว” หลิงฮันกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าการเก็บเกี่ยวของพวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง”
ขณะที่พวกเขาเดินได้อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ รอบตัวพวกเขามีแต่หมอกและสภาพแวดล้อมมืดมนมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงมีชื่อว่าหุบเขาผนึกภูติ
“หลิงฮัน! หลิงฮัน!” เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลังและฉินหยีเย่วเดินมาหาพวกเขา
“โอ้ว บังเอิญอะไรขนาดนี้!” หลิงฮันยกมือทักทาย
“หืม ตอนนั้นเจ้าไม่ได้วิ่งนำข้า แต่ทำไมเจ้าถึงมาก่อนข้าอีก?” ฉินหยีเย่วคิดว่ามันแปลกมาก
“ทางที่ข้าเดินมานั้นไม่ค่อยมีอุปสรรคมากนัก ดังนั้นข้าเลยมาถึงเร็วกว่าเจ้านิดหน่อย” หลิงฮันกล่าว
ฉินหยีเย่วรู้ว่านี่เป็นเรื่องโกหก ใครเชื่อก็แปลกแล้ว! อย่างไรก็ตาม ความสนใจของนางหันเหไปที่หุบเขาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าหุบเขาผนึกภูติแห่งนี้มีภูติถูกปิดผนึกอยู่จริงๆ”
“จริงหรือ?” จูเสวี่ยนเอ๋อถามออกมาอย่างกะทันหันด้วยความอยากรู้
“แน่นอนมันคือเรื่องจริง ว่ากันว่าเป็นภูติที่น่าสะพรึงกลัวและดุร้ายเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน” ฉินหยีเย่วด้วยเสียงทุ้มให้ดูน่าหวาดกลัว ซึ่งทำให้จูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกกลัวมาก
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “จอมยุทธระดับทลายมิติมีอายุขัยแค่พันกว่าปี แล้วมันจะเป็นภูติแบบไหนกันถึงแข็งแกร่งขนาดมีอายุขัยได้นับหมื่นปี?”
“เจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนั้นหรอก ภูติและมนุษย์จะเหมือนกันได้อย่างไร?” ฉินหยีเย่วกล่าว
“แล้วมันแตกต่างกันยังไง?” หลิงฮันยิ้ม
ฉินหยีเย่วจะตอบได้อย่างไรและพูดตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ใช่ภูติ แล้วข้าจะรู้ได้ยังไง!”
หลิงฮันไม่พูดจาล้อเล่นอีกต่อไปและพูดว่า “ยังไงก็ตาม ถ้ามีภูติอยู่ที่นี่จริง ข้าก็อยากเห็นเหลือเกิน”
“หนิวเองก็อยากเห็น” ฮูหนิวพูดตามหลิงฮัน
จากนั้นพวกเขาทุกคนเดินไปข้างหน้าต่อ หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็พบสองพี่น้องหลี่ และพวกเขาได้รวมกลุ่มกับหลิงฮันและก่อตั้งกลุ่มเล็กๆขึ้นมา
“บรรยากาศมืดมนแบบนี้ที่นี่จะต้องมีภูติผีอยู่แน่นอน” หลี่เฟิงหยู่กล่าว
“นี่เจ้ายังจะพูดจาแบบนั้น!” ทุกคนกล่าว ที่เขาพูดมันน่าขนลุกเล็กน้อย
ยิ่งพวกเขาเดินลึกมากเท่าไหร่ สภาพแวดล้อมโดยรอบยิ่งมืดมนและหดหู่มากยิ่งขึ้น ราวกับว่าที่นี่เป็นดินแดนของภูติผี
“หืม นั่นอะไรน่ะ?” หลี่เฟิงหยู่ชี้ไปที่ถนนด้านหน้า
“กระดูก” ฮูหนิวมีสายตาที่แหลมคมนางจึงมองเห็น
พวกเขาเดินไปดูและเห็นว่ามันเป็นกระดูกจริงๆ พวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นของมนุษย์หรือสัตว์อสูร แต่พวกเขารู้ว่าเจ้าของกระดูกชิ้นนี้ตายมาหลายปีแล้ว และตอนนี้มันกำลังส่องแสงอยู่ราวกับสมบัติ
“นี่เป็นกระดูกของมนุษย์” ฉินหยีเย่วกล่าวด้วยความมั่นใจมาก
หลิงฮันพยักหน้า นี่จะต้องเป็นกระดูกของมนุษย์อย่างแน่นอน มันมีร่องรอยของพลังอยู่ แต่ตอนนี้สามารถมองเห็นได้เพียงรางๆ
“แม้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครสามารถดำรงอยู่เหนือไปกว่ากฎของเวลา” เขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เจ้าของกระดูกนี่อย่างน้อยต้องเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์ แล้วมันยังไงล่ะ? ผ่านไปหลายหมื่นปี ตัวตนระดับนั้นหลงเหลือเพียงแค่กองกระดูกสีขาวเท่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านล่วงเลยไปอีกอาจกลายเป็นฝุ่นที่หายไปจากสวรรค์และปฐพีอย่างสมบูรณ์
“หืม ดูเหมือนว่ากระดูกกำลังส่องแสง!” หลี่เฟิงหยู่รู้สึกสงสัย และลงมือขุดกระดูก แต่เมื่อมือของเขาเพิ่งจะสัมผัสกับกระดูก แสงสว่างจ้าพุ่งออกมา
เขารู้สึกตกใจและกระโดดไปด้านหลังทันที
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนรู้สึกตกใจมาก โครงกระดูกกำลังเคลื่อนไหว?
แคร๊ก แคร๊ก พื้นดินเริ่มแตกร้าวและมีแขนยื่นโผล่ออกมา และตามด้วยโครงกระดูกที่โผล่ออกมาจากพื้นดิน หินบนอกของมันกำลังส่องแสง
นั่นคงไม่ใช่หินที่พวกเขาต้องรวบรวมหรอกใช่ไหม?
ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็รู้ความลับของโครงกระดูกว่ามันเคลื่อนไหวอีกครั้งได้อย่างไร ดูเหมือนว่าก้อนหินนั่นจะเปลี่ยนโครงกระดูกเป็นหุ่นเชิดแล้วเคลื่อนไหวภายใต้การควบคุมของมัน
โครงกระดูกปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังมากออกมา นั่นเป็นเพราะก่อนที่จะตายมันเคยเป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งมาก่อน แม้จะตายไปแล้วกลิ่นอายของมันยังไม่หมดหายไป
“จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสูง” ทุกคนพยักหน้า
“ฆ่ามัน!” ฮูหนิว
โครงกระดูกนั่นแข็งแกร่งมาก และได้รับความแข็งแกร่งจากหินที่อยู่บนอก ซึ่งทำให้มันมีพลังเทียบเท่าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสูง อย่างไรก็ตามหากนำหินที่อยู่บนอกของมันออก มันจะกลายเป็นโครงกระดูกธรรมดา
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้รับหินบนอกนั่นมา แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ฮูหนิวไม่ได้สนใจการมีอยู่ของหิน ซึ่งหมายความว่านางกำลังจะต่อสู้กับโครงกระดูกโดยตรง เปรี๊ยง เปรี๊ยง เปรี๊ยง นางโคจรพลังสายฟ้าและหลังจากที่โจมตีออกไปแต่ละครั้ง โครงกระดูกสั่นสะเทือนราวกับว่ามันจะแตกกระจาย
ทุกคนราวกับถูกตบหน้า เด็กสาวตัวน้อยช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก นางต้องการฆ่าโคงกระดูกที่พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการมัน และใบหน้าแดงด้วยความเขินอายที่ไม่อาจเทียบกับเด็กสาวตัวน้อยได้
หลังจากนั้นไม่นาน โครงกระดูกนั่นก็ถูกฮูหนิวทุบตี
เด็กสาวตัวน้อยหยิบหินขึ้นมาและวิ่งกลับไปหาหลิงฮัน และหลิงฮันลูบหัวนางเป็นรางวัล ซึ่งทำให้เด็กสาวตัวน้อยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ทุกคนรู้สึกว่าหลิงฮันเป็นคนที่โชคดีมากที่มีเด็กสาวตัวน้อยแข็งแกร่งขนาดนั้นอยู่เคียงข้าง
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็พบโครงกระดูกอีกตัว มันปรากฏตัวออกมาจากพื้นดินและมีหินส่องแสงอยู่บนอก
ครั้งนี้หลิงฮันเป็นคนจัดการ เขาโจมตีมันโดยตรง เพราะไม่มีความหมายที่จะต่อสู้ให้ยืดเยื้อ เมื่อทุกคนเห็นพวกเขาต่างใช้มือปิดปากและอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ตอนที่ 661
ทุกคนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ พลังป้องกันของโครงกระดูกแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่พลังทำลายของทั้งหลิงฮันและฮูหนิวนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป
กลิ่นอายของหลิงฮันเปลี่ยนไปราวกับเขากลายเป็นดาบและโจมตีใส่โครงกระดูก
‘ตูม’ รัศมีดาบทรงพลังเป็นอย่างมาก แถมภายในรัศมีดาบของเขายังส่องสว่างไปด้วยประกายสายฟ้าอีกด้วย รัศมีดาบของหลิงฮันได้รับการเสริมแกร่งด้วยอำนาจสายฟ้าอย่างมหาศาลเพราะเขาฝึกฝนทักษะศักดิ์สิทธิ์อัสนีบาตเก้าทิวา แถมหลิงฮันยังฝึกฝนกายาอัสนีจนบรรลุระดับเริ่มต้นแล้วด้วย จึงไม่แปลกที่พลังต่อสู้ของเขาจะน่าสะพรึงกลัว
ร่างของโครงกระดูกสั่นสะท้านด้วยอำนาจแห่งแห่งสายฟ้า และเมื่อถูกโจมดีด้วยรัศมีดาบ ร่องรอยเสียหายก็ปรากฏขึ้นบนร่างอันแข็งแกร่งของโครงกระดูก
ตามปกติแล้วโครงกระดูกเหล่านี้จะไม่สามารถได้รับความเสียหายจากจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ใครใช้ให้พลังต่อสู้ของหลิงฮันเหนือกว่าระดับตัวอ่อนวิญญาณกัน ด้วยการผสานกันของรัศมีดาบและอัสนีบาตเก้าทิวา พลังต่อสู้ที่เขาใช้ในตอนนี้นั้นสมควรเป็นระดับก้าวสู่เทวาหนึ่งดาวเป็นอย่างน้อย
เมื่อถูกโจมตีสิบครั้งติดต่อกัน โครงกระดูกถูกหลิงฮันทำลายกลายเป็นเศษฝุ่นกลับคืนสู่ผืนปฐพี
หลิงฮันรู้สึกไม่สบอารมรณ์เล็กน้อย เพราะว่าการที่สำนักสวรรค์ใช้ซากกระดูกของคนตายมาใช้ประโยชน์เช่นนี้ซึ่งโครงกระดูกเหล่านี้ก็คงเป็นอดีตจอมยุทธมากมายที่ตกตายในมหาภัยพิบัติจากยุคโบราณ หากพูดด้วยจิตสำนึกแล้ว พวกเขาจะต่างอะไรกับนิกายพันศพ?
หากลองคิดแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย
นิกายพันศพคือการเปลี่ยนคนให้กายเป็นซากศพ ส่วนห้านิกายโบราณคือการหลอมผู้คนให้กลายเป็นเม็ดยา การกระทำของพวกเขาจะทำให้ทุกอย่างสูญสิ้นไปเหมือนกัน
หลิงฮันหยิบหินแปลกประหลาดขึ้นมา มันเป็นหินที่ไม่สามารถเก็บเข้าไปในหอคอยทมิฬหรืออุปกรณ์มิติได้ราวกับว่ามันมีจิตสำนึกเป็นของตนเอง ในขณะที่หลิงฮันใช้จิตนึกคิดอัญเชิญจิตวิญญาณศิลาออกมาและโยนหินไปให้มัน
จิตวิญญาณศิลาสูดดมหินเล็กน้อยและทันใดนั้นมันก็เปิดปากกว้างกินหินประหลาดเข้าไปทันที มันเคี้ยวหินอยู่ในปากดังกรุบๆ จนทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกเสียวฟัน
“หลิงฮัน เจ้าทำลายหินทำไม?” ฉินหยีเย่วอุทานออกมา
“นั่นสิ หินนั่นนะช่วยให้เจ้ากลายเป็นศิษย์หลักของสำนักสวรรค์ได้นะ” หลี่ซือเชียนกล่าว
หลิงฮันยิ้มและพูด “ไม่มีอะไรต้องห่วง หินเหล่านี้ยังมีอีกมาก แค่ใช้เวลานิดๆหน่อยๆ” จิตวิญญาณศิลาสามารถเพิ่มพลังของตนเองได้การการกินหิน ในเมื่อมันชอบหินแปลกประหลาดที่ให้ไป ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าหินแปลกประหลาดนี้มีประโยชน์ต่อมัน
หลังจากจิตวิญญาณศิลากินเสร็จ มันก็เอนร่างของตนเองลงไปที่เท้าของหลิงฮันราวกับลูกสุนัขและหันมองหลิงฮัน
จิตวิญญาณศิลาจ้องมองหลิงฮันด้วยปากที่เปิดออกกว้าง ถ้าหากมันเป็นมนุษย์ ตอนนี้ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าน้ำลายของมันคงจะไหลท่วมออกมาแล้ว
หลิงฮันรู้ว่าจิตวิญญาณศิลายังคงคิดถึงก้อนอิฐอยู่ แต่ก้อนอิฐได้หายไปพร้อมกับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนแล้วซึ่งเขาไม่สามารถตามหามันได้ เขาไม่รู้ว่าเด็กสาวมหาสมุทรน้อยโกรธอะไรกันแน่ จู่ๆถึงได้หายตัวไปโดยไม่พูดอะไรซักคำ
“เอาล่ะ ก้อนนี้ก็ให้เจ้าเหมือนกัน!” หลิงฮันโยนหินประหลาดที่เหลืออยู่ให้กับจิตวิญญาณศิลา
จิตวิญญาณศิลาคว้าหินประหลาดมาแทะเล็ม ถึงแม้หินนี้จะเทียบกับก้อนอิฐไม่ได้ แต่ยังไงอาหารก็ยังเป็นอาหาร มันไม่อาจปล่อยให้เสียเปล่าโดยไม่กินได้
หลิงฮันคิดในใจ ถ้าหอคอยทมิฬชั้นแรกมีพลังต้นกำเนิดแห่งปฐพี งั้นเขาจะสามารถสร้างหินที่ทรงพลังขึ้นมาเพื่อเสริมแกร่งให้กับจิตวิญญาณศิลาได้รึเปล่า? เขารีบถามคำถามนี้กับหอคอยน้อยทันที
“ทำได้” หอคอยน้อยตอบอย่างเรียบง่าย
หลิงฮันรู้สึกราวกับกำลังจะบ้าคลั่งและถามอีกครั้ง “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?”
“ก็เจ้าไม่ได้ถาม” หอคอยน้อยตอบอย่างไม่แยแส
หลิงฮันพูดกลับไป “งั้นก็สร้างขึ้นมาให้ข้าซักร้อยชิ้น”
ถ้าหอคอยน้อยมีดวงตา มันคงจะขึงตาใส่หลิงฮันแล้ว “หอคอยทมิฬกำลังอยู่ในช่วงซ่อมแซม แล้วข้าจะมีพลังต้นกำเนิดให้เจ้าเผาผลาญเล่นมากขนาดนั้นได้อย่างไร? หนึ่งเดือนสามารถสร้างได้หนึ่งก้อนเท่านั้น”
เอาเถอะ หนึ่งเดือนก็ยังดีกว่าสร้างไม่ได้เลย
“แล้วมันจะมีผลลัพธ์เช่นไร?” หลิงฮันถามอีกครั้ง
“หากกินเข้าไปสามก้อน อสูรศิลาจะทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณได้ ถ้าหากหกก้อนอสูรศิลาจะทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวา” หอคอยน้อยตอบอย่างไม่แยแส
น่าทึ่งขนาดนั้นเชียว?
หลิงฮันอดนึกน้อยใจไม่ได้ แค่การกินก้อนหินไม่กี่ก้อนก็ทำให้พลังบ่มเพาะของจิตวิญญาณศิลาทะยานขึ้นสูงแล้ว
ในเมื่อการทะลวงผ่านระดับของจิตวิญญาณศิลาทำได้ง่ายขนาดนี้ หลิงฮันจึงไม่คิดจะมอบหินประหลาดให้มันอีกต่อไปและกล่าวขึ้นมา “ในเมื่อเจ้าอิ่มแล้ว เจ้าก็ต้องขยันทำงานหน่อย”
“โฮกก!” จิตวิญญาณศิลาทุบอกตัวเองราวกับเป็นกอลิล่า
ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง หุ่นเชิดตนนี้ดูเหมือนกับมนุษย์มากจริงๆ
เมื่อเดินหน้าต่อไป ในไม่ช้าพวกเขาก็พบเห็นโครงกระดูกที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ดิน จำนวนของพวกมันมีเยอะมาก หลังจากปีนขึ้นมาจากฝืนดินได้สำเร็จ พวกมันก็เข้าโจมตีหลิงฮันทันที
แต่โครงกระดูกเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป หากเป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็อาจจะพอต้านทานพวกมันได้ แต่สำหรับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานแล้ว แค่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่โครงกระดูกปลดปล่อยออกมาก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าไปใกล้พวกมันแล้ว
จิตวิญญาณศิลาเป็นฝ่ายสู้ตอบโต้กับโครงกระดูกที่พุ่งเข้ามา ‘ตูม’ แต่เมื่อดูกหมัดของโครงกระดูกโจมตี ร่างของจิตวิญญาณศิลาก็แตกกระจายกลายเป็นก้อนกรวด โชคดีที่แก่นกลางของมันไม่ถูกทำลายและฟื้นสภาพกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ พึ่งพาไม่ได้จริงๆ!” หลิงฮันเริ่มลงมือเอง ฮูหนิวเองก็คำรามด้วยความตื่นเต้นและเข้าร่วมสู้กับหลิงฮัน
เมื่อสัตว์ประหลาดสองตัวร่วมมือกัน เหล่าโครงกระดูกก็ทำได้เพียงสาปแช่งยอมรับชะตากรรม เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่าโครงกระดูกก็ทำลายพร้อมกับหินที่ร่วงหล่นลงมา
หินเหล่านี้ไม่สามารถนำเข้าไปในหอคอยทมิฬและต้องคอยเก็บมันเอาไว้ข้างกาย หลิงฮันรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้มาก เพราะการถือหินไปมามันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเขา โชคดีที่หินมีขนาดแค่เท่ากำมือซึ่งไม่ใหญ่มาก ไม่เช่นนั้นเขาคงจะคลั่งตายไปแล้ว
ในช่วงเวลากลางวัน เขาก็พกหินติดตัวมากกว่ายี่สิบก้อน ถึงแม้หินแต่ละก้อนจะส่องแสงสว่างออกมาไม่มาก แต่เมื่อหลายๆก้อนมารวมกันแสงก็ที่ขึ้นก็ทำให้ร่างของหลิงฮันราวกับกลายเป็นต้นกำเนิดแห่งแสง
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้หลิงฮันกลายเป็นเป้าหมายเคลื่อนที่ เวลาผ่านไปซักพักก็มีคนเริ่มเข้ามาจู่โจมเขาเพื่อขโมยหิน แต่แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วพวกมันก็เป็นฝ่ายถูกหลิงฮันช่วงชิงมาเอง สิ่งที่หลิงฮันชิงมานั้นไม่ใช่แค่หินประหลาดแต่รวมไปถึงแหวนมิติของพวกมันด้วย
ผ่านไปอีกวันพวกเขาก็หยุดพักและนำวัตถุดิบออกมาทำอาหาร
“ทิ้งหินประหลาดเอาไว้แล้วพวกเจ้าถึงจะสามารถไสหัวไปได้” ชายสวมชุดสีครามปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าหยิ่งยโสและเค้นเสียงพูดใส่กลุ่มพวกเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตอนที่ 662
“เหยียนเฮิงเหอ!” หลี่เฟิงหยู่และหลี่ซือเชียนอุทานพร้อมกัน
“โอ้ ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นใครแล้วยังไม่รีบไสหัวไปอีก?” ชายเลือดร้อนแสยะยิ้ม
เมื่อเห็นว่าหลิงฮันยังคงสับสน ฉินหยีเย่วจึงพูดอธิบาย “เหยียนเฮิงเหอคือศิษย์ของนิกายบุปผาเมฆาที่ถูกจองจำมาเป็นเวลานานเจ้าคงอาจจะไม่เคยได้ยิน ชื่อเสียงของเขาเพิ่งจะมาโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องการเขาสามารถโค่นล่มผู้อาวุโสระดับตัวอ่อนวิญญาณได้มากมาย เขาเป็นชายที่ทรงพลังมาก”
“เขาคือชายที่เทียบได้กับย่าวหุยเยว่และราชันกระบี่น้อย”
หลิงฮันส่ายหัวและพูด “ราชันกระบี่น้อยและหลางหยาเทียนมีอายุสี่สิบปีกว่าแล้ว พวกเขาแตกต่างกับย่าวหุยเยว่ถึงหนึ่งรุ่น พวกเขาจะนำมาเทียบกันได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นข้าก็ไม่เชื่อด้วยว่าหมอนี่จะยอดเยี่ยมไปกว่าย่าวหุยเยว่”
“พวกเจ้ายังมัวซุบซิบอะไรกันอยู่อีก?” เหยียนเฮิงเหอพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่พอได้ยินชื่อของเขาแล้วอีกฝ่ายยังไม่หวาดกลัวและรีบหนีไป?
หลี่เฟิงหยู่กระซิบ “ข้าจะหลอกล่อเขาให้เอง พวกเจ้ารีบไปก่อนเลย” หลี่เฟิงหยู่พูดด้วยรอยยิ้มและเดินไปยังเหยียนเฮิงเหอ “พี่ชายเหยียนข้าคือหลี่เฟิงหยู่ ข้าได้ยินชื่อเสียงของพี่ชายมานานแล้วจนในที่สุดก็ได้เห็นตัวจริงในวันนี้ ช่างเป็นวันที่โชคดีอะไรเช่นนี้ พี่ชายเหยียนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เพียงแค่ยืนเฉยๆรัศมีของท่านก็เฉิดฉายจนตัวข้าผู้นี้รู้สึกปราบปลื้มในใจ พี่ชายจะช่วยชี้แนะแนวทางให้น้องชายผู้นี้ได้รึไม่…”
หลี่เฟิงหยู่พูดน้ำไหลไฟดับ จนพวกหลิงฮันอดคิดไม่ได้ว่ามีคนที่พูดเรื่องแต่งได้ไหลลื่นเช่นนี้อยู่บนโลกได้อย่างไร
หลี่เฟิงหยู่พูดอยู่เป็นเวลานานจนปากเปียกปากแฉะ แต่พอเขาหันหลังไปมองกลับยังเห็นทุกคนยืนอ้าปากค้างมองมาที่เขา จนเขาอดอุทานออกไปไม่ได้ว่า “ข้าหมดเรื่องจะพูดแล้ว ทำไมพวกเจ้ายังไม่หนีไปอีก?”
หลิงฮันหัวเราะและพูด “ไม่คิดว่าข้าก็อยากเห็นว่าเจ้าจะแต่งเรื่องได้เก่งขนาดไหนบ้างรึไง?”
ตอนนี้หลิงฮันมั่นใจอย่างมากว่าเขาสามารถจัดการราชันกระบี่น้อยด้วยทักษะดาบของเขาได้ เช่นนั้นแล้วเขายังจำเป็นต้องหลบหนีจากเหยียนเฮิงเหออีกรึ? ช่างน่าขัน
เหยียนเฮิงเหอไม่แสดงสีหน้าโกรธแต่กลับพูดออกมาอย่างเย็นชา “เจ้ากล้าพูดจาเล่นลิ้นกับข้า!”
หลี่เฟิงหยู่หวาดกลัวจนรีบวิ่งหนี ถึงแม้เขาจะเป็นอัจฉริยะเหมือนกันแต่ก็ไม่ใช่ระดับเดียวกันกับเหยียนเฮิงเหอ ยิ่งกว่านั้นพลังบ่มเพาะของเขายังต่ำกว่าอีกฝ่ายอีก แล้วแบบนี้จะให้เขากล้าสู้ได้อย่างไร?
“น้องชายหลิง ที่เหลือฝากเจ้าด้วย” หลี่เฟิงหยู่ตะโกน
“เจ้าคนบัดซบ เจ้าต้องการสังหารเจ้า!” เหยียนเฮิงเหอกล่าวอย่างเย็นชา เขาต้องการสังหารอีกเป็นอย่างมาก แต่กฎการทดสอบห้ามไม่ให้ทำเช่นนั้น เขาเองก็ไม่ต้องการสูญเสียโอกาสในการเข้าร่วมสำนักสวรรค์ไปเหมือนกัน
“น้องชายหลิง จัดการมันเลย แล้วข้าจะส่งน้องสาวของข้าไปเป็นภรรยาเจ้า” หลี่เฟิงหยู่ตะโกนอีกครั้งออกมา
“ท่านพี่!” หลี่ซือเชียนอายใบหน้าขึ้นสี ทำไมนางถึงได้ถูกนำไปขายเช่นนี้?
“หลิงฮันไม่ต้องการสตรีอัปลักษณ์คนนี้หรอก!” ฮูหนิวรีบพุ่งออกมา นางรีบลงมือเพื่อไม่ให้หลิงฮันมีโอกาสจัดการเหยียนเฮิงเหอ
‘ฟุบ’ ร่างของนางกลายเป็นสายฟ้าและปรากฏตัวอย่างกะทันหันขึ้นที่ด้านหน้าเหยียนเฮิงเหอ หมัดเล็กๆของนางยื่นออกมาและจู่โจมใส่อีกฝ่าย
“หืม?” เหยียนเฮิงเหอประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเด็กสาวตัวแค่นี้จะรวดเร็วเช่นนี้ เขาไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าฮูหนิวจะมีระดับพลังเดียวกันกับตนเอง การปรากฏตัวของฮูหนิวทำให้ความมั่นใจในตนเองของเขาพังทลายสิ้น
เขาภูมิใจในระดับพลังของตนเองมาก ระดับตัวอ่อนวิญญาณที่มีอายุยี่สิบเจ็ดปีเรียกได้ว่าไม่เคยปรากฏที่ไหน แต่ตอนนี้กลับมีเด็กสาวอายุประมาณเจ็ดปีที่มีพลังระดับตัวอ่อนวิญญาณปรากฏตัว นางทำให้ความมั่นใจของเขาไม่ต่างอะไรกับการผายลม
‘ปัง!’
เหยียนเฮิงเหอนำดาบที่ยังไม่ได้ชักออกจากฝักมาป้องกันหมัดของฮูหนิว แต่ประกายสายของจากหมัดของฮูหนิวก็ได้แพร่กระจายผ่านฝักดาบไปยังแขนของเขา
“ฮึ่ม!” เหยียนเฮิงเหอคำราม ร่างของเขาปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมาเพื่อต่อต้านสายฟ้า
ฮูหนิวพลิกร่างและก้าวถอยออกมา
หลิงฮันพยักหน้า ไม่แปลกเลยที่ชายคนนี้ถูกนำไปเทียบกับย่าวหุยเยว่ พลังต่อสู้ของเขาทรงพลังเป็นอย่างมาก เขาสามารถตอบโต้ฮูหนิวได้อย่างไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณทั่วไปจะทำได้
แต่ก็อย่างที่รู้ คนที่ตกใจที่สุดคือเหยียนเฮิงเหอ
เขาเป็นคนหยิ่งยโสทีที่คิดว่าแม้แต่ย่าวหุยเยว่หรือราชันกระบี่น้อยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา สถานที่แห่งนี้คือสำนักสวรรค์ เขาจะเริ่มต้นสร้างเส้นทางแห่งตำนานของตนเองขึ้นที่นี่ แต่ใครจะไปคิดว่ายังไม่ทันได้เข้าสำนัก เขาก็ต้องมาพบกับเด็กสาวที่สามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างสูสีเข้าเสียแล้ว
“เจ้าคนอัปลักษณ์ ไล่จับหนิวให้ทันสิ!” ฮูหนิวปรบมือหยอกล้อ
เหยียนเฮิงเหอเค้นเสียงดูถูกและชักดาบออกมา “พวกเจ้าอ่อนแอถึงขนาดต้องให้เด็กสาวเช่นนี้ออกมาต่อสู้? เหอะ ช่างน่าขัน”
หลิงฮันหัวเราะและพูด “เจ้ายังโค่นไม่ได้แม้แต่คนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มพวกข้า เจ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับคนอื่น? เจ้าควรขอบใจพวกข้านะที่ไม่รังแกเจ้าแต่ส่งเด็กสาวไปเล่นกับเจ้าแทน”
เหยียนเฮิงเหอไม่พูดโต้ตอบ เขาเพียงเก็บความรู้สึกรันทดเอาไว้ในใจ
“ฮูหนิว ทุบตีมันซะ ข้าจะนำอีกฝ่ายมาเป็นน้องชายข้า” หลิงฮันยิ้ม
“ได้เลย!” ฮูหนิวรีบกล่าวตอบ
“ช่างน่ารังเกียจ!” เหยียนเฮิงเหอเกรี้ยวกราด คิดว่าเขาเป็นหมาหรือแมวรึไงที่จะได้ติดตามคนอื่นง่ายเช่นนั้น? เขากำดาบแน่นและพุ่งเข้าสังหารหลิงฮันทันที
“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือหนิว!” ร่างของฮูหนิวแวบหายไปปรากฏตรงหน้าเหยียนเฮิงเหอพร้อมกับปล่อยหมัดเล็กๆใส่อีกฝ่าย
เหยียนเฮิงเหอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลี่ยนเป้าหมายดาบมายังฮูหนิว
นางคือศัตรูที่มีพลังไม่ด้อยไปกว่าตัวเขาเอง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเมินเฉยอีกฝ่าย
ทั้งสองคนเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดทันที
เหยียนเฮิงเหอแข็งแกร่งสมคําร่ําลือ เขาสามารถตอบโต้ฮูหนิวได้อย่างสูสี อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ยังไม่พ่ายแพ้ ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเขายังไม่ลืมว่าแม้แต่โครงกระดูกก่อนหน้านี้ก็ยังถูกฮูหนิวซัดจนพังทลาย
เหยียนเฮิงเหอรู้สึกอึดอัดในใจ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาทำได้แค่เพียงสูสีกับเด็กสาวตัวแค่นี้?
“ฮึ่ม!” เหยียนเฮิงเหอคำราม ในที่สุดเขาก็ใช้กระบวนท่า ดาบยาวในมือของเขากวัดแกว่งไปมา ตัวเขากับดาบราวกับกลายเป็นหนึ่งเดียวกันและโจมตีใส่ฮูหนิว
ปราณดาบมากกว่ายี่สิบเล่มปรากฏขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัว
ตอนที่ 663
“น่าสนใจดีนิ!” หลิงฮันพยักหน้า
ด้วยการรวมเป็นหนึ่งระหว่างร่างกายกับดาบ ทำให้พลังโจมตีของเหยียนเฮิงเหอเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เดิมทีการสะบั้นดาบใช้แค่ข้อมือ แต่นี่ใช้ทั้งร่างกายเลยลดภาระข้อมือไปได้มาก และทำให้สะบั้นดาบได้รวดเร็วขึ้น
“หนิวไม่เล่นกับเจ้าหรอก!” ฮูหนิวกลายเป็นสายฟ้าและความเร็วของนางนั้นรวดเร็วมากจนดาบไม่สามารถตามนางได้ทัน
เหยียนเฮิงเหอทำอะไรไม่ได้ แม้ว่าทักษะดาบนี่จะทรงพลังมากแต่เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่มีความรวดเร็วอย่างฮูหนิว มันกลายเป็นไร้ประโยชน์ไปเลย
เขาจ้องมองไปที่หลิงฮันและคิดว่าเจ้าหมอนี่คงไม่ได้เร็วเหมือนเด็กสาวตัวน้อยหรอกใช่ไหม?
“ต่อสู้กับข้า!” เขาโจมตีใส่หลิงฮันแทน เพราะก้อนหินแปลกประหลาดทั้งหมดอยู่กับหลิงฮัน
“หนิวกับมาแล้ว!” ฮูหนิวตะโกนและปล่อยหมัดใส่หลังของเหยียนเฮิงเหอ
เหยียนเฮิงเหอต้องหันไปตอบโต้ ดังนั้นเขายังคงโจมตีหลิงฮันไม่ได้
ทันทีที่เขาจะตอบโต้ ฮูหนิวก็จะวิ่งหนีจากไป แต่เมื่อเขาจะโจมตีใส่หลิงฮัน เด็กสาวตัวน้อยจะวิ่งกลับมาทันทีและโจมตีใส่เขา และนี่ทำให้เหยียนเฮิงเหอรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
“เด็กน้อย ถ้าเจ้าแน่จริงอย่าได้วิ่งหนี!”เหยียนเฮิงเหอรู้สึกโกรธมาก ช่วยไม่ได้ที่เขาจะพูดยั่วยุฮูหนิว
“ถึงแม้หนิวจะไม่วิ่งหนี เจ้าคิดว่าหนิวจะกลัวเจ้างั้นหรือ?” ฮูหนิววางมือเท้าเอวขณะพูด “หนิวหยุดวิ่งแล้ว แน่จริงก็โจมตีหนิวให้โดนสิ!”
เหยียนเฮิงเหอสะบั้นดาบออกไปเพื่อโจมตีฮูหนิว
“หนิวไปแล้ว!” ฮูหนิววิ่งหนีไปอีกครั้ง
เหยียนเฮิงเหอโจมตีพลาดอีกครั้งทำให้เขารู้สึกโกรธจัดและตะโกนออกไปว่า “ข้าจะไม่เชื่อคำพูดของเจ้าแล้ว”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าช่างโง่เขลาจริงๆ หนิวแค่ยั่วยุเจ้าเท่านั้น!” ฮูหนิวหัวเราะ นางดึงแขนเสื้อของตัวเองและพูดว่า “เอาล่ะ ครั้งนี้หนิวจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมา!”
เหยียนเฮิงเหอจะถูกหลอกอีกครั้งได้อย่างไร เขาเป็นอัจฉริยะไม่ใช่คนโง่เขลาเสียหน่อย
“กลยุทธ์ที่ไม่เหมือนใครของหนิวนั้นไร้ที่ติอย่างแน่นอน ผู้คนต้องหวาดกลัว ภูติผีต้องตกใจด้วยกรงเล็บมังกรของหนิว!” ฮูหนิวย่อตัวลงและมือของนางกลายเป็นกรงเล็บมังกรที่มุ่งหน้าไปที่หน้าอกของเหยียนเฮิงเหอ
เหยียนเฮิงเหอรู้สึกตกตะลึงและกระโจนออกไปพร้อมกับดาบที่อยู่ในมือและสะบั้นดาบใส่ฮูหนิว พลังอันไร้ที่สิ้นสุดระเบิดออกมาพร้อมกับปราณดาบมากกว่ายี่สิบเล่นเต็มไปด้วยความผันผวน
ตู้ม!
เกิดการปะทะที่รุนแรงขึ้นก่อให้เกิดเมฆรูปเห็ดขนาดเล็กบนท้องฟ้า และเมื่อฝุ่นควันกระจายหายไปจนหมดสิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงแค่พื้นดินอันว่างเปล่า โชคดีที่หุบเขานั้นแห้งแล้ง มิฉะนั้นคงจะมีต้นไม้หลายต้นที่ถูกทำลายไป
“มาเล่นกันต่อเถอะ!” ในฝุ่นควัน ฮูหนิวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
เมื่อฝุ่นควันฝุ้งกระจายจนหมดไป มีเพียงแค่ฮูหนิวคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงยืนอย่างสง่า
ส่วนเหยียนเฮิงเหอนั้นใบหน้าของเขาดูเหมือนจะบิดเบี้ยวจนผิดรูปเหมือนหัวหมู และมีรอยซ้ำม่วงฟ้าอยู่บนใบหน้า
ทุกคนถึงกับอุทานออกมา ฮูหนิวเป็นคนที่ดุร้ายยิ่งนัก แม้แต่เหยียนเฮิงเหอยังต้องฝ่ายแพ้ให้กับเด็กสาวตัวน้อย
ปัง!
ฮูหนิวเตะอีกฝ่ายอีกครั้งทำให้เหยียนเฮิงเหอกระเด็นออกไปและไปหยุดอยู่ที่เท้าของหลิงฮัน
หลิงฮันนั่งลง เขายิ้มออกมาแล้วถามว่า “เจ้าจะยอมรับหรือไม่?”
“ไม่!” เหยียนเฮิงเหอเป็นคนทนงตัว แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมรับความฝ่ายแพ้ให้กับเด็กสาวตัวน้อย
“ถ้างั้นข้าจะทำให้เจ้าต้องอับอายต่อไป” หลิงฮันเตะเหยียนเฮิงเหอเช่นกัน
เหยียนเฮิงเหอยกมือขึ้นมาป้องกันใบหน้าที่กลายเป็นหัวหมูแล้วอย่างรวดเร็ว ปัง เขาถูกหลิงฮันเตะกระเด็นไปด้านหลังและฮูหนิวก็เตะส่งกลับมาให้เขา
“เจ้าจะยอมรับได้แล้วหรือยัง” หลิงฮันยิ้ม
“ไม่!” เหยียนเฮิงเหอค่อนข้างเป็นคนที่ดื้อรั้นทีเดียว
“ถ้างั้นคงต้องทำให้เจ้าอับอายอีก” หลิงฮันเตะเหยียนเฮิงเหออีกครั้ง
เหยียนเฮิงเหอกลิ้งไปมาเหมือนกับลูกบอล เขาถูกเตะส่งไปมาระหว่างหลิงฮันกับฮูหนิว
ฉินหยีเย่วและคนอื่นต่างอ้าปากค้าง เหยียนเฮิงเหอเป็นคนที่รู้จักกันว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถต่อกรกับย่าวหุยเยว่ ราชันกระบี่น้อยและคนอื่นๆ แต่ตอนนี้เขากลับดูเตะไปมาอย่างน่าอับอาย
นี่มันน่าตกตะลึงมาก
พวกเขาไม่รู้ว่าเหยียนเฮิงเหอถูกหลิงฮันเตะไปมากี่ครั้ง แต่ครั้งนี้หลิงฮันขี้เกียจถาม เขาเตะอีกฝ่ายไปมารอจนกว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาเอง และทันใดนั้นเหยียนเฮิงเหอกรีดร้องออกมาว่า “ข้ายอมแล้ว!”
ปัง เขายังคงถูกเตะส่งไปอีกฝั่ง
“โทษทีข้าลืมไป!” หลิงฮันยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้หลิงฮันไม่ได้เตะเหยียนเฮิงเหออีกต่อไป แต่ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าอยากจะคำนับพี่ใหญ่ของเจ้าไหม?”
เหยียนเฮิงเหอลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆแล้วพูดว่า “เด็กสาวตัวน้อยต่างหากที่จัดการข้า เว้นแต่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งพอที่จะโน้มน้าวข้า มิฉะนั้นข้าขอยอมตายดีกว่าที่จะยอมจำนน!”
“เจ้ายังไม่ยอม?” หลิงฮันยิ้ม “ถ้างั้นคงจะต้องทุบตีเจ้าอีกครั้ง”
“ฮิฮิฮิ” ฮูหนิวดึงแขนเสื้อขึ้นและดูตื่นเต้น
เหยียนเฮิงเหอดูสงบ เขาพูดออกมาว่า “ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้ายินดีที่จะนับถือเจ้าในฐานะเจ้านาย”
หลิงฮันคิดอยู่ชั่วครู่ เขาพาดมือซ้ายไว้ด้านหลังแล้วพูดว่า “ก็ได้ ข้าจะจัดการเจ้าด้วยมือข้างเดียว เพราะเกรงว่ามันจะเป็นการรังแกเจ้า”
บ้าไปแล้ว!
เหยียนเฮิงเหอเค้นเสียงดูถูก ถ้าหลิงฮันสามารถจัดการเขาได้ด้วยมือข้างเดียว เขายินก็จะยินดีที่จะนับถืออีกฝ่ายในฐานะเจ้านาย เขายกดาบขึ้นมาตั้งท่าและพูดว่า “เช่นนั้นจงรับการโจมตีจากทักษะเจ็ดดาบแห่งเซี่ยหยินชานของข้า”
หลิงฮันไม่รีบร้อน ถ้าเขาต้องการตัวอีกฝ่าย เขาต้องทำให้อีกฝ่ายเชื่อมั่น
“เจ็ดดาบแห่งเซี่ยหยินซาน!” เหยียนเฮิงเหอ “ดาบแรก ภูเขาไร้วารี!”
แสงดาบส่องสว่างไปทั่วทุกทิศทาง และเข้าล้อมรอบหลิงฮัน ถ้าเขาถูกดาบพวกนั้นล้อมรอบ เขาจะต้องถูกจัดการอย่างแน่นอน
หลิงฮันยกแขนขึ้นมา เขาใช้แขนเป็นดาบและแทงใส่อีกฝ่าย เจตจำนงแห่งดาบแพร่กระจายไปทั่ว ทำให้ผู้คนรู้สึกว่านี่เป็นดาบที่ไร้ที่ติ
“โอหัง!” เมื่อเห็นหลิงฮันจะใช้มือป้องกันดาบของเขา ช่วยไม่ได้ที่เหยียนเฮิงเหอจะอุทานออกมา นี่เขากำลังรนหาที่ตายอย่างนั้นรึ?
ตอนที่ 664
ปัง!
แขนของหลิงฮันและดาบปะทะกันอย่างรุนแรง และเกิดประกายไฟราวกับเหล็กปะทะกัน
เหยียนเฮิงเหอตกตะลึง อีกฝ่ายเป็นตัวแปลกประหลาดประเภทไหนกันที่สามารถใช้กายหยาบรับการโจมตีจากอาวุธวิญญาณระดับเจ็ดได้
“ทำไมกายหยาบของเจ้าถึงแข็งแกร่งขนาดนั้น?” เหยียนเฮิงเหออุทานออกมา
“แค่นี้เล็กน้อย เจ้าจะยอมรับข้าเป็นเจ้านายได้แล้วหรือยัง?” หลิงฮันยิ้ม
“เจ้ากำลังหอบอยู่” เหยียนเฮิงเหอพูดเย้ยหยัน “ข้ายอมรับว่ากายหยาบของเจ้านั้นแข็งแกร่ง แต่มันก็แค่นั้น ถ้าเจ้าอยากจะเอาชนะข้า แค่นั้นมันยังไม่เพียงพอ!”
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “เจ้าพูดจาไร้สาระมากมายพลิกลิ้นไปมา แต่ข้าชอบคนที่ลงมือทำมากกว่าพูด”
“ฝัน!” เหยียนเฮิงเหอตะโกน และยกดาบขึ้นมา “ทักษะเจ็ดดาบแห่งเซี่ยหยินชานกระบวนท่าที่สอง ปลดปล่อยภูติผี!”
พรึบ จิตวิญญาณชั่วร้ายปรากฏออกมาและพุ่งเข้าหาหลิงฮัน
“โอ้ว นี่เจ้ายังไม่ยอมรับข้าเป็นเจ้านายอีกรึ?” หลิงฮันพูดเสียงแผ่วเบาและแกว่งแขนออกไปเหมือนกับดาบ
ปัง!
เหยียนเฮิงเหอกระเด็นออกไปและตัวสั่นเทา มันเป็นเพราะหลิงฮันใช้ทักษะอสนีบาตเก้าทิวาพร้อมกับการโจมตีของเขาด้วย ทำให้ร่างของเขาด้านชาไปหมด
“เจ้าต้านทานมันได้ด้วยงั้นรึ?” หลิงฮันยิ้ม
เหยียนเฮิงเหอรู้สึกประหลาดใจ อีกฝ่ายแข็งแกร่งเขาอย่างเห็นได้ชัดทั้งที่ใช้แค่แขนข้างเดียวเป็นดาบ
แต่เขายังคงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เขาเป็นถึงอัจฉริยะที่แข็งแกร่งเรื่องพี่ใหญ่อะไรพวกนั้นไม่เคยมีอยู่ในหัวของเขาเลย
“ข้ายังไม่ยอมรับ!” เหยียนเฮิงเหอกัดฟันพูดและยกดาบขึ้นมาอีกครั้ง “ทักษะเจ็ดดาบแห่งเซี่ยหยินชานกระบวนท่าที่สาม ผนึกปีศาจแห่งภูเขาหยินซาน!”
หลิงฮันหัวเราะออกมาเล็กน้อย และร่างของเขากลายสายฟ้า พุ่งเข้าหาอีกฝ่ายและปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเหยียนเฮิงเหอ
สีหน้าของเหยียนเฮิงเหอกลายเป็นสีเขียว ไม่ได้มีแค่ฮูหนิวเท่านั้นที่ใช้ทักษะนี้ได้ หลิงฮันเองก็ใช้ได้เหมือนกัน!
ปัง!
มือขวาของหลิงฮันต่อยไปที่ใบหน้าของเหยียนเฮิงเหอ ทำให้อีกฝ่ายกระเด็นไปด้านหลังทันที
ตุบ เหยียนเฮิงเหอกระแทกกับพื้น ขณะที่เท้าทั้งสองข้างของเขนชูขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาไม่ได้มีกายหยาบที่แข็งแกร่งเหมือนหลิงฮันและไม่สามารถโคจรพลังปราณออกมาป้องกันตัวเองได้ทัน ทำให้เขาร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ยอมได้แล้วหรือยัง?” หลิงฮันถาม
“ไม่ ข้ายังไม่ยอม!” เหยียนเฮิงเหอพูดออกมาอย่างกล้าหาญ
“ย่อมได้ ถ้าเจ้ายอมแพ้เร็วเกินไป ข้าเกรงว่ามันจะไม่สนุก!” หลิงฮันหัวเราะและกระโจนใส่เหยียนเฮิงเหอ
ปัง เหยียนเฮิงเหอไม่สามารถใช้ดาบรับการโจมตีได้ ทำให้เขาต้องรับการโจมตีของหลิงฮันเต็มกำลัง
ทุกคนคิดว่าเขาเป็นคนที่โชคร้ายมาก ตอนแรกเขาถูกฮูหนิวทุบตี และตอนนี้เป็นหลิงฮัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่มีพลังที่จะตอบโต้
มันไม่ใช่เพราะว่าเหยียนเฮิงเหอไม่แข็งแกร่ง เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งอาจติดหนึ่งในศิษย์อัจฉริยะรุ่นเยาว์เลยก็ว่าได้ แต่หลิงฮันและฮูหนิวนั้นแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก ทั้งสองคนแข็งแกร่งเกินขีดจำกัดของคนรุ่นเยาว์ไปแล้ว
เพื่อที่จะเอาชนะหลิงฮันและฮูหนิวได้นั้น พวกเขาจะต้องเป็นอัจฉริยะรุ่นเก่าและมีอายุมากกว่าพวกเขาประมาณสามสิบปีหรือมากกว่านั้น อย่าง ราชันกระบี่น้อย หลางหยาเทียน เป็นต้น ถ้าผู้คนที่อายุใกล้เคียงกับหลิงฮัน พวกเขาไม่ใช่คู่มือของหลิงฮันอย่างแน่นอน
——ส่วนฮูหนิวไม่จำเป็นต้องพูดถึง รากฐานวิญญาณของคนส่วนใหญ่จะตื่นขึ้นเมื่ออายุประมาณเจ็ดหรือแปดปี แล้วคนพวกนั้นจะสู้ได้อย่างไร?
“ข้ายอมแล้ว ข้ายอมแล้ว!” หลังจากถูกทุบตีมานาน ในที่สุดเหยียนเฮิงเหอก็ยอมรับความพ่ายแพ้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาพูดว่ายอมตายดีกว่ายอมจำนน
หลิงฮันยิ้มและโยนขวดยาสามขวดให้อีกฝ่ายและพูดว่า “ขวดสีแดงจะเป็นเม็ดยารักษา ขวดสีฟ้าจะช่วยเจ้าฟื้นฟูพลังปราณ และขวดสีม่วงใช้สำหรับตอนฝึกฝนบ่มเพาะพลัง ซึ่งจะทำให้ความเร็วในการฝึกฝนบ่มเพาะพลังของเจ้าเพิ่มขึ้นสิบเปอร์เซ็นต์”
ไม่ได้มีแค่เหยียนเฮิงเหอที่รู้สึกตกใจ แม้แต่คนอื่นยังรู้สึกตกใจเหมือนกัน
สำหรับอัจฉริยะความเข้าใจในศาสตร์วรยุทธสำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นเรื่องง่าย ดังนั้นปัญหาของพวกเขาคือการสะสมพลังปราณ
นี่เท่ากับว่าความเร็วบ่มเพาะพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นสิบเปอร์เซ็นต์ เม็ดยานี่มันล้ำค่ามาก!
เหยียนเฮิงเหอรู้สึกตื่นเต้นมาก เขาถูกอีกฝ่ายบังคับให้ยอมจำนนและเรียกอีกฝ่ายว่านายท่าน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาจะยืนกรานปฏิเสธ แต่ตอนนี้ความคิดพวกนั้นได้หายไปแล้ว
มันไม่เลวเลยที่จะมีเจ้านายแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่ดีซะมากกว่า!
“ขอบคุณนายท่าน” เหยียนเฮิงเหอพูดด้วยเสียงแผ่วเบา เขาดูเขินอาย เพราะเขาไม่เคยเรียกใครว่านายท่านมาก่อน
“ต่อจากนี้ไปเรียกข้าว่านายน้อยฮัน” หลิงฮันกล่าว “นายท่านอะไรพวกนั้นไม่เหมาะกับข้า พวกเราไม่ใช่พวกอันธพาลระดับล่างแบบนั้น”
“ขอรับ นายน้อยฮัน” เหยียนเฮิงเหอพูดออกมาอย่างกระฉับกระเฉง เพราะฮูหนิวกำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ด้วยสายตาดุร้าย เห็นได้ชัดถ้าเขาไม่พูด เด็กสาวตัวน้อยจะต้องทำให้เขาได้รับความทรงจำที่โหดเหี้ยมอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว ข้าจะเรียกเจ้าเองเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น” หลิงฮันโบกมือ
เหยียนเฮิงเหอรู้สึกดีใจมาก เขาคิดว่าหลิงฮันจะใช้งานเขาเยี่ยงทาสอย่างออกไปปล้นหินแปลกประหลาดมาให้เขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นนายน้อยที่ดี แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่อีกฝ่ายยังมอบเม็ดยาให้กับเขาจำนวนมาก ซึ่งเม็ดยาพวกนั้นมีค่ายิ่งกว่าเขาเสียอีก
เขากลัวว่าหลิงฮันจะเปลี่ยนใจและรีบจากไปอย่างรวดเร็ว
“นายน้อยฮัน นายน้อยฮัน ข้าเองก็ยอมรับเจ้าเป็นนายท่านเหมือนกัน ข้าขอเม็ดยาด้วย” หลี่เฟิงหยู่กล่าว “ทำไมเจ้าไม่มาเป็นน้องเขยของข้าล่ะ?”
“ท่านพี่-” หลี่ซือเชียนตะโกน ทำไมพี่ชายคนนี้ชอบขายน้องสาวตัวเองตลอดด้วย?
หลิงฮันคิดอยู่ชั่วครู่และพูดว่า “ตกลง ข้ายอมรับเจ้าในฐานะน้องชาย” แม้ว่าความแข็งแกร่งของหลี่ปากสว่างจะไม่ได้ยอดเยี่ยมมากนัก แต่ปากสว่างของเขาก็มีประโยชน์อยู่บ้าง ถ้าหลิงฮันต้องการรวบรวมหลิงฮัน เขาต้องการคนโปรโมทแบบนั้น
“ได้เลยน้องเขย!” หลี่เฟิงหยู่พูดออกมาอย่างไม่ติดขัด
หลิงฮันถึงกับพูดไม่ออกชั่วขณะก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เจ้าไม่กลัวว่าสักวันหนึ่งจะมีคนฆ่าปิดปากเจ้าเลยหรือ?”
“ข้าแค่พูดล้อเล่นนิดเดียวเองนายน้อยฮัน!” หลี่เฟิงหยู่ไม่กล้าพูดจาไร้สาระเพราะไม่ได้มีแค่หลิงฮันคนเดียวเท่านั้นที่เผยสีหน้าไม่พอใจ ฮูหนิวและจูเสวี่ยนเอ๋อเองก็แสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา เขาไม่กล้าล่วงเกินพวกเขาทั้งสามคนพร้อมกัน ดังนั้นเขาจึงเดินหนีไป
“ถ้างั้นพวกเรา– เดี๋ยวก่อน!” หลิงฮันกำลังบอกให้ทุกคนเดินหน้าต่อ แต่ทันใดนั้นเขารู้สึกได้ว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้ากำลังสั่นสะเทือน และมีรอยแตกจากระยะไกลเคลื่อนที่มาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
พรึบ ทุกคนลอยขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว หมอกที่หนาทึบจางหายไปและทั้งหุบเขาแตกออกจากกันเหมือนใยแมมมุม
“แผ่นดินไหว?” ทุกคนอุทานออกมา
หลิงฮันมองออกไปในระยะไกล ใบหน้าของเขาดูตกตะลึงและพูดว่า “มันไม่ใช่แผ่นดินไหว แต่มีบางอย่างที่ใหญ่ยักษ์กำลังเดินมา!”
ตอนที่ 665
เป็นเจ้าตัวใหญ่อย่างว่าจริงๆ!
ทุกคนตกตะลึง มันคืออสูรขนาดมหึมาที่มีความสูงร้อยฟุต ร่างของมันเกิดจากการรวมกันของซากศพและโครงกระดูกอย่างน้อยหนึ่งพันร่าง ซึ่งทำให้ผู้คนที่มองไปที่มันต้องรู้สึกหวาดกลัว
ศพทุกศพตามร่างของมันยังคงมีชีวิตอยู่ พวกมันยื่นแขนที่เหลือแต่กระดูกออกมาพร้อมกับอ้าปากกว้างราวกับกำลังกรีดร้อง
พื้นปฐพีแยกออกและอสูรซากศพยักษ์ก็กระโดดออกมา ทั่วร่างของมันปลดปล่อยกลิ่นอายราวกับอสูรมารออกมา
หลิงฮันไม่สามารถมองเห็นระดับพลังของสัตว์ประหลาดตนนี้ได้เพราะมันไม่ใช่จอมยุทธทั่วไป มันเกิดจากการรวมกันของซากศพนับหมื่นจนเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต
สิ่งที่เขาสัมผัสได้มีเพียงแค่ว่าสัตว์ประหลาดตนนี้แข็งแกร่งเกินกว่าจะรับมือได้!
“นี่… นี่มันคงไม่ใช่การทดสอบที่สำนักมอบให้เราใช่ไหม?” หลี่เฟิงหยู่กลืนน้ำลายและดวงตาเปิดกว้าง
“ข้าเกรงว่าสำนักสวรรค์คงไม่มีทางปล่อยอสูรเช่นนี้ออกมาแน่” หลิงฮันส่ายหัว เป้าหมายของนิกายโบราณทั้งห้าคือการหลอมจอมยุทธทั่วทวีปให้กลายเป็นเม็ดยา แล้วพวกเขาจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?
นี่คงเป็นฝีมือของนิกายพันศพ
เดี๋ยวก่อน… แต่ทำไมถึงได้เต็มไปด้วยซากศพมากมายเช่นนั้น? แถมซากศพแต่ละศพยังเป็นไปได้ด้วยว่าจะเป็นอดีตจอมยุทธระดับสวรรค์ที่ตกตายไปเพราะสงครามเมื่ออดีตกาล หรือว่าสถานที่แห่งนี้จะเคยเป็นสนามรบระหว่างเหล่าจอมยุทธแห่งทวีปฮงเทียบกับห้านิกายโบราณ?
ไม่เช่นนั้นแล้วที่นี่จะมีซากศพที่แข็งแกร่งอยู่มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?
“รีบหนี!” หลิงฮันไม่พูดพล่าม เขาคว้าร่างของจูเสวียนเอ๋อกับฮูหนิวและรีบวิ่งทันที
หลังจากฉินหยีเย่ว หลี่เฟิงหยู่และหลี่ซือเชียนรู้สึกตัว พวกเขาก็รีบวิ่งตามมาทันที แม้แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างหลิงฮันยังเผ่นหนี แล้วพวกเขาจะอยู่ไปทำไม
แต่กลับมีใครบางคนไม่รู้จักความหวาดกลัว พวกเขาคิดว่านี่คือหนึ่งในบททดสอบของสำนักสวรรค์และรีบวิ่งมาเพื่อสังหารอสูร
อสูรซากศพยักษ์กวาดมืออย่างรุนแรงจนเกิดพายุอันทรงพลังขึ้น ทั่วผืนดินสั่นไหวราวกับพรมและผู้คนที่วิ่งเข้ามาก็ถูกพัดจนร่างถูกฉีกกระชากกลายเป็นเศษเนื้อ
‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ พวกหลิงฮันถูกคลื่นลมจากพายุพัดลอยกระเด็นไปหลายไมล์ พวกเขาแต่ละคนกระอักโลหิตออกมา
โชคดีที่หลิงฮันรู้ตัวทันและรีบบอกให้พวกเขาเผ่นหนี ไม่เช่นนั้นถ้าหากพวกเขาอยู่ใกล้อสูรนั่นมากกว่านี้พวกเขาคงกลายเป็นส่วนหนึ่งกับเศษฝุ่นไปแล้ว ไม่เพียงแค่พวกเขาที่ตกตะลึง แต่จอมยุทธมากมายโดยรอบก็ตะลึงไม่แพ้กัน นอกจากจอมยุทธที่เพิ่งมาถึงแล้ว ทุกคนล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บหนัก
แม้ว่าจอมยุทธทุกคนในที่นี้จะเป็นอัจฉริยะ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอสูรซากศพขนาดมหึมาตนนี้ พวกเขากลับไม่สามารถตอบโต้ได้แม้แต่น้อย ทำให้เห็นความห่างของพลังอย่างชัดเจน
เพียงแค่การกวาดมือหนึ่งครั้ง จอมยุทธที่ผ่านการทดสอบแรกอย่างน้อยหนึ่งในสิบก็ถูกสังหารแล้ว
หลังจากพายุหายไป อสูรซากศพยักษ์ก็ราวกับตื่นขึ้นจากการหลับใหล ประกายแสงสีแดงฉานปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งสองของมันและมองผ่านสิ่งมีชีวิตบนพื้นดิน มุมปากของมันขยับขึ้นกลายเป็นรอยยิ้มอันน่าสยดสยอง
อสูรประหลาดตนนี้… มันมีความนึกคิดเป็นของตนเอง?
จิตใจของทุกคนรู้สึกหนาวเหน็บ จะทำอย่างไรดี เห็นได้ชัดว่าอสูรซากศพตนนี้เพ่งเล็งพวกเขาอยู่และคิดจะกลืนกินเลือดเนื้อของพวกเขา
แต่ต่อหน้าอสูรที่ทรงพลังเช่นนี้ พวกเขาจะหลบหนีได้รึ?
หลิงฮันลังเลว่ามันถึงเวลาเข้าไปในหอคอยทมิฬแล้วรึไม่ อสูรซากศพตนนี้อาจจะจะมีพลังต่อสู้ระดับทลายมิติ ซึ่งเป็นไปได้ว่าแม้แต่ตัวตนระดับทลายมิติทั่วไปก็ไม่อาจหยุดยั้งมันได้
“เหอะ กล้ามากนะที่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่?” ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า ร่างนั้นเป็นสตรีถือดาบยาว นางเป็นสาวงามที่ดูมีอายุประมาณสามสิบปีเท่านั้น
ดวงตาของหลิงฮันไม่สามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของสตรีผู้นี้ได้
“จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์!” ฉินหยีเย่วและหลี่เฟิงหยู่อุทานออกมาพร้อมกัน ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์คือผู้นำนิกายนิกายนกอมตะเมฆาคนปัจจุบัน และเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติ!
จากที่ได้ยินมาจากเฟิงโปหยุน อีกฝ่ายไม่ใช่จอมยุทธระดับทลายมิติทั่วไป แต่เป็นถึงทลายมิติขั้นเก้าระดับสูงสุด นางเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก!
การที่สามารถเป็นผู้นำของนิกายนิกายนกอมตะเมฆาได้ จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์จะเป็นเพียงจอมยุทธทั่วไปได้อย่างไร? ไม่มีใครรู้ว่านางอายุกี่ร้อยปีแล้ว เพราะรูปลักษณ์ของนางยังดูเหมือนกับหญิงสาวอายุสามสิบปี ผิวของนางเนียนสวยราวกับหยกชั้นดี
อสูรซากศพยักษ์ตนนี้ราวกับมีความบาดหมางกับจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ มันกรีดร้องโหยหวนใส่ท้องฟ้าพร้อมกับเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นบนใบหน้าของมัน ใบหน้าของมันมีดวงตาค่อยๆปรากฏขึ้นมาดีละดวงจนครบเก้าดวง
ตาแต่ละดวงมีสีแดงที่เข้มต่างกัน มันเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอำมหิตและบ้าคลั่ง
“ราชันซากศพเก้าตา!” ในทีสุดหลิงฮันก็นึกออกว่าอสูรตนนี้เป็นสิ่งที่เคยปรากฏอยู่ในตำนาน
“ราชันซากศพเก้าตา?” ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน คนเราก็ยังมีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น
หลิงฮันมองไปยังกลุ่มคนด้านหลังและพูด “หากอ้างอิงจากระดับพลังทหารซากศพของนิกายพันศพ จะแบ่งออกได้เป็นสามระดับใหญ่คือ ทหารซากศพทองแดง ทหารซากศพเกราะเงิน ทหารซากศพเกราะทอง แต่ละระดับใหญ่มีสามระดับย่อย รวมแล้วได้เก้าชั้นซึ่งเทียบได้กับระดับของจอมยุทธตั้งแต่ระดับหลอมกายาไปจนถึงระดับสวรรค์”
“และหากทหารซากศพมีพลังบ่มเพาะทลายมิติ… มันจะถูกเรียกว่าราชันซากศพ!”
“พลังของราชันซากศพจะอิงตามดวงตาที่เปิดออก หนึ่งดวงจะเทียบได้กับระดับทลายมิติขั้นหนึ่ง”
ทุกคนตกตะลึงและอุทานออกมา “งั้นก็ไม่ใช่ว่าราชันซากศพตนนี้มีพลังเทียบได้กับระดับทลายมิติขั้นเก้าหรอกรึ?”
หลิงฮันพยักหน้า แต่ความกังวลบนใบหน้าของเขาก็ลดลง เพราะว่าจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์นั้นมีพลังบ่มเพาะระดับทลายมิติขั้นสมบูรณ์ ไม่รู้ว่านางเป็นอัจฉริยะหรือไม่ แต่ตราบใดที่มีพลังต่อสู้เท่ากับระดับพลังบ่มเพาะ นางต้องไม่อ่อนด้อยไปกว่าราชันซากศพเก้าดาวแน่นอน
“ราชันซากศพเก้าดาว?” จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์เค้นเสียงดูถูกและยกดาบขึ้นเกิดเป็นประกายแสงอักขระนับไม่ถ้วน
“ดาบนกอมตะสวรรค์!” หลิงฮันอุทานออกมา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน
ดาบเล่มนี้เคยถูกใช้โดยสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ แต่ก่อนมันเป็นเพียงอาวุธวิญญาณระดับเก้าเท่านั้น แต่ตอนนี้มันกลายเป็นระดับสิบแล้ว เป็นไปได้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์จะบรรลุระดับทลายมิติได้สำเร็จและพัฒนาดาบเล่มนี้จนกลายเป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบ
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมื่อเห็นดาบเล่มนั้นแล้วหลิงฮันจะรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์
“นายท่าน อย่าบอกนะว่าท่านตกหลุมรักจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์?” หลี่เฟิงหยู่เปิดปากพูดอีกครั้ง
ตอนที่ 666
“หลงรักน้องสาวเจ้าน่ะสิ!” หลิงฮันอดที่จะตะคอกกลับไปไม่ได้
หลี่เฟิงหยู่ตกตะลึงและพูด “นี่เจ้ามีใจให้น้องสาวข้าจริงๆด้วย! ข้าถึงได้บอกไงให้ข้าเรียกเจ้าว่าน้องเขย เรามาคุยเรื่องสินสอดกันดีกว่า”
“ท่านพี่! ท่านพี่!” ในที่สุดหลี่ซือเชียนก็ทนไม่ไหวและทุบตีหลี่เฟิงหยู่
นอกจากนางแล้วจูเสวียนเอ๋อและฮูหนิวก็ร่วมวงด้วย พวกนางทุบตีจนหลี่ปากกว้างต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดทรมาน
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์กวัดแกว่งดาบในมือและโจมตีใส่ราชันซากศพเก้าตา
การโจมตีของตัวตนระดับทลายมิติเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
รัศมีดาบทะยานขึ้นสู่ฟ้า ‘ตูม’ รัศมีดาบของนางปะทะเข้ากับดวงดาวจนแตกออกเป็นเศษดาวตกนับไม่ถ้วนและพุ่งลงใส่ทวีปฮงเทียน
ราชันซากศพเก้าตาไม่หวั่นเกรง ‘ปัง ปัง ปัง’ มันยกเท้าขนาดมหึมาของมันโจมตีใส่จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ด้วยความเร็วสูง ซากศพตามร่างของมันกรีดร้องออกมาเกิดเป็นคลื่นเสียงอันน่าสะพรึงกลัว
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์เค้นเสียงดูถูก นางคำรามขึ้นท้องฟ้าและสร้างคลื่นเสียงเป็นรูปร่างหัวนกอมตะสีครามเพื่อตอบโต้คลื่นเสียงของราชันซากศพเก้าตา
‘ตูม’ คลื่นเสียงและเจตจำนงทั้งสองปะทะกันทำให้เกิดแสงสะท้อนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
ท่ามกลางท้องฟ้า เศษดาวตกนับไม่ถ้วนยังไม่ทันได้ร่วงถึงพื้นดินก็ถูกแรงปะทะของคลื่นเสียงทั้งสองสลายให้กลายเป็นผุยผง
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์สามารถตอบโต้คลื่นเสียงของราชันซากศพเก้าตาเอาไว้ได้ แต่ผลที่ตามมาก็คือผู้คนโดยรอบได้ถูกพัดปลิวกระเด็นราวกับว่าวเชือกขาดพร้อมกับกระอักโลหิตออกมา
จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานนั้นถูกแรงปะทะทำให้กระดูกบางส่วนแตกหัก จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณยังดีหน่อย พวกเขากระอักโลหิตออกมาไม่กี่คำเท่านั้น
หลิงฮันกลุมร่างของจูเสวียนเอ๋อและฮูหนิวอยู่ในอ้อมแขน เขาใช้ร่างของตนเองเป็นเกราะป้องกันคลื่นกระแทก เพราะอย่างไรตอนนี้กายหยาบของเขาก็ทนทานเทียบได้กับอาวุธวิญญาณระดับแปดแล้ว แม้ใบหน้าของเขาจะแสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่กระอักโลหิตแม้แต่นิดเดียว
“น้องเขย ช่วยข้าด้วย!” หลี่เฟิงหยู่กระอักโลหิตคำโต
“ฮ่าๆๆ เจ้าไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้มีสภาพแบบนั้น?” เจ้ากระต่ายปรากฏตัวโดยคาบแครอทเอาไว้ในปาก ไม่มีใครรู้ว่ามันไปพบเจอเองหรือไปขโมยใครมา
“งี่เง่า เจ้าไม่รู้รึไงว่าตัวตนระดับทลายมิติสองคนกำลังสู้กันอยู่?” หลิงฮันตอบอย่างไม่สบอารมณ์
“หืม สตรีผู้นั้นไม่เลวเลย นางเหมาะสมจะมาเป็นคนสาวใช้ของนายท่านกระต่าย” เจ้ากระต่ายมองไปยังจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์บนท้องฟ้าในขณะที่เคี้ยวแครอทอยู่ในปาก
หลิงฮันถอนหายใจและพูด “หลี่ปากกว้าง เจ้าพบคนที่ปากดีพอๆกับเจ้าแล้ว รีบเข้ามากราบไหว้เสียสิ”
“เหอะ คิดว่านายท่านกระต่ายเป็นใครกัน เจ้าเด็กนี้ไม่เหมาะสมแม้แต่จะมาเป็นหลานชายของนายท่านกระต่าย” เจ้ากระต่ายมองไปยังหลี่เฟิงหยู่อย่างไร้ค่า
หลี่เฟิงหยู่ไม่ตอบโต้ แต่หันไปพูดกับฮูหนิว “ฮูหนิว เจ้าอยากกินเนื้อกระต่ายรึเปล่า?”
“ก็ไม่เลว!” ฮูหนิวรีบพยักหน้า สายตาของนางจ้องไปยังก้นของเจ้ากระต่าย ปากเล็กๆเปิดออกและมีน้ำลายไหลออกมา
เจ้ากระต่ายอดที่จะนำขาหน้าเอื้อมไปลูบก้นของมันไม่ได้ “เจ้าหนุ่ม เจ้ากล้าประจบเด็กสาวผู้นี้งั้นรึ ระวังเอาไว้ให้ดี นายท่านกระต่ายจะเอาคืนเจ้า!”
หลิงฮันคว้าตัวฮูหนิวเอาไว้ เขาไม่คิดจะให้ทั้งสองคนมีเรื่องกันตอนนี้ “เอาล่ะ หาก้อนหินมารองนั่งดูการแสดงกันเถอะ ด้วยระยะเช่นนี้พวกเราน่าจะปลอดภัย”
ดวงตาของเขากวาดผ่านบริเวณรอบๆ เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงยังปลอดภัย เขาก็รู้สึกโล่งอก
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์เข้าปะทะกับราชันซากศพเก้าตา นี่เป็นการปะทะกันของตัวตนระดับทลายมิติที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งหลิงฮันไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตที่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพลาดได้
หลิงฮันโคจรเนตรแห่งสัจธรรมทำให้มองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ด้วยพลังระดับทลายมิติของนางสามารถเรียกได้ว่าเป็นเทพสังหาร บวกกับดาบนกอมตะสวรรค์ที่เป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบในมือของนาง พลังโจมตีที่ปลดปล่อยออกมาจึงน่าสะพรึงกลัวกว่าเดิม
ร่างของราชันซากศพเก้าตานั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นร่างของเหล่าจอมยุทธระดับสวรรค์และระดับทลายมิติมาก่อน เมื่อมันถูกดาบโจมตี บนร่างของมันก็ปรากฏรอยดาบลึก แต่ขนาดตัวของราชันซากศพเก้าตานั้นมหึมาเกินไป ขนาดของบาดแผลที่มันได้รับมีขนาดเทียบเท่ากับเล็บมือของมันเท่านั้น
ราชันซากศพไม่ใช่ซากศพทั่วไป มันมีความนึกคิดเป็นของตนเองทำให้มันเหมือนกับได้รับชีวิตใหม่ ซากศพทั่วร่างของมันกรีดร้องสร้างคลื่นเสียงกลายเป็นหอกขนาดยักษ์ ราชันซากศพเก้าตาคว้าหอกเอาไว้และแทงใส่จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์
“สัตว์เดรัจฉานที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์เค้นเสียงพูดและใช้ดาบนกอมตะสวรรค์ในมือทำลายการโจมตีของราชันซากศพเก้าตา
ราชันซากศพเก้าตาเป็นอสูรที่ป่าเถื่อนและมีร่างกายที่ทนทานไม่ด้อยไปกว่าอาวุธวิญญาณระดับสิบ ถ้าไม่ใช่เพราะจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์มีอาวุธวิญญาณระดับสิบและสร้างรัศมีได้สำเร็จ ราชันซากศพเก้าตาจะไม่ต้องเสียเวลามาป้องกันการโจมตีของนางแม้แต่น้อย
มันกวัดแกว่งแขนสองข้างเข้าประชิดและโจมตีเพื่อหวังสังหารจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์
‘ตูม!’
ฝ่ามือทั้งสองข้างของมันโจมตีออกไปเกิดเป็นเสียงดังสนั่น ผู้คนกว่าเก้าในสิบส่วนกระอักโลหิตออกมา สภาพของแต่ละคนดูน่าอนาจเป็นอย่างยิ่ง บางคนถึงขนาดสลบไปเพราะคลื่นเสียงจากหมัดของมันเลย
หรือการโจมตีนี้จะสังหารจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ได้?
‘ตูม!’
เพลิงสีครามปะทุออกมาใส่ฝ่ามือของราชันซากศพเก้าตาและกลายเป็นทะเลเพลิงท่วมไปทั่วท้องฟ้า เพลิงสีครามนี้สว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์เสียอีก
ราชันซากศพเก้าตากรีดร้องและรีบชักมือกลับ จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ยังคงยืนอย่างองอาจอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าที่ถูกเผาไหม้ไปด้วยเพลิงสีคราม
“สตรีผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป นายท่านกระต่ายสามารถสัมผัสร่องรอยของสายเลือดนกอมตะที่แท้จริงจากร่างกายของนางได้!” เจ้ากระต่ายพูดในขณะที่ถือแคแรทอยู่ “แต่หากเทียบกับสายเลือดบริสุทธิ์ของนายท่านกระต่ายแล้ว นางยังอ่อนด้อยกว่ามาก! แต่ก็แน่นอนว่านางเหมาะสมจะมาเป็นสาวใช้ของนายท่านกระต่ายจริงๆ”
สายเลือดนกอมตะที่แท้จริง!
ตอนที่ 667
สายเลือดนกอมตะที่แท้จริง!
ตามตำนานเล่าว่านกอมตะเป็นรองแค่มังกร และมังกรเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุด เช่นเดียวกับทักษะกายาเก้ามังกรทรราชของหลิงฮัน ทำไมเขาถึงใช้ทักษะทักษะกายาเก้ามังกรทรราชเป็นมาตรฐานความแข็งแกร่ง นั่นเป็นเพราะมังกรแข็งแกร่งที่สุด
สัตว์เทพที่เป็นที่รักของสรวงสวรรค์ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนก็มีความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว พลังของมังกรที่แท้จริงสามารถบดขยี้ท้องฟ้าและทำลายล้างจักรวาลได้ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แน่นอนว่าจอมยุทธที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังยังคงสามารถเอาชนะพลังของมังกรที่แท้จริงได้ มิฉะนั้นคงไม่มีทักษะกายาเก้ามังกรทรราช
แต่ที่นี่ความแข็งแกร่งของมังกรที่แท้จริงและนกอมตะนั้นมีขีดจำกัด ถ้าจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์มีพลังของนกอมตะที่แท้จริง เพียงแค่นางโจมตีออกไปอย่างสบายๆ ราชันซากศพก็คงจะถูกจัดการไปแล้ว
ห้านิกายใหญ่ได้รับการสืบทอดมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เหมือนกับจื่อเสวี่ยนเซียนที่เป็นลูกหลานของนิกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นถ้าจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์เป็นลูกหลานจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันคงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้านางมีสายเลือดนกอมตะสวรรค์
ราชันซากศพแสดงความเกลียดชังออกมาซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อ เพราะมันเป็นอสูรที่ไม่รู้จักความตาย
นั่นเป็นเพราะราชันซากศพแข็งแกร่งเกินไป ทำให้มันมีสติปัญญาเป็นของตัวเองและรู้สถานการณ์ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม มันยับยั้งความเกลียดชังไว้ในใจได้อย่างรวดเร็วและส่งเสียงคำรามออกมา ทันใดนั้นกระดูกของทหารซากศพลุกขึ้นยืน แต่ละตัวมีความสูงสิบฟุต และทำให้มันดูเหมือนเม่น
ราชันซากศพปล่อยการโจมตีใส่จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์อีกครั้ง พร้อมกับกลิ่นอายที่สิ้นหวัง
สีหน้าของหลิงฮันกลายเป็นซีดขาวและพูดว่า “ไม่ดีแล้ว!”
ในขณะนั้นจูเสวี่ยนเอ๋อและคนอื่นรู้สึกหวาดกลัวมากที่สุดเมื่อได้ยินหลิงฮันพูดว่าไม่ดีแล้ว ทุกครั้งที่เขาพูดว่าไม่ดีจะต้องมีเรื่องเลวร้ายบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“น้องเขย เจ้าหยุดเรื่องนี้ไม่ได้หรือ?” หลี่เฟิงหยู่ถามด้วยเสียงสั่นคลอน
หลิงฮันส่ายหัวและพูดว่า “ราชันซากศพเพิ่งตื่นขึ้นมา ข้าคิดว่าตอนนี้มันน่าจะยังคงอยู่ในกระบวนการรวมร่าง”
ฉินหยีเย่วรู้สึกตกใจและพูดว่า “ที่เจ้าจะพูดคือหลังจากที่มันตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ มันจะ….แข็งแกร่งขึ้น!”
“ถูกต้อง” หลิงฮันถอนหายใจ
อึก!
ตอนนี้จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ทำได้แค่ต่อสู้กับมันอย่างสูสีเท่านั้น ถ้าราชันซากศพแข็งแกร่งขึ้น ไม่ใช่ว่ามันจะจัดการจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ได้หรอกหรือ? ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากรูปลักษณ์ของราชันซากศพแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะสามารถหลอมรวมกับซากศพได้ ถ้าจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ถูกฆ่าและศพถูกกลืนกิน แล้วมันจะแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนกัน?
มือและเท้าของทุกคนเริ่มหนาวเย็น ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะไม่มีดินแดนให้อยู่อีกต่อไป พวกเขาจะถูกราชาซากศพกลืนกินเลือดและเนื้อและพัฒนาเป็นทหารซากศพที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์
หลิงฮันคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เกี่ยวข้องกับนิกายพันศพหรือไม่?
ที่นี่น่าจะเป็นสนามรบสมัยโบราณ ห้าตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์น่าจะลงมายังโลกเบื้องล่างเพื่อต่อสู้กับพวกกบฎที่นี่ ผลสุดท้ายจอมยุทธเหล่านั้นถูกฝังอยู่ที่นี่เป็นเวลาหมื่นปีที่แล้ว
นิกายพันศพยังเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ มันจะต้องมีวิธีการหลบหนีจากการถูกหลอมรวมเป็นเม็ดยาเป็นแน่ จากนั้นพวกมันสามารถดำเนินแผนการอยู่ที่นี่อย่างลับๆและทำให้ศพที่ควรสลายตัวกลายเป็นทหารซากศพ
แต่มีห้านิกายใหญ่คอยดูอยู่ พวกมันจึงไม่กล้าทำโจ่งแจ้งและดำเนินแผนการไปอย่างเชื่องช้า แล้วผลลัพธ์ที่ได้คือสัตว์ประหลาดแบบนั้น?
หลิงฮันไม่แน่ใจ แต่เขาสามารถสรุปได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะต้องเกี่ยวข้องกับนิกายพันศพอย่างแน่นอน
หลังจากที่ราชันซากศพรวมร่างกับซากศพจำนวนมาก พลังต่อสู้ของมันจะเพิ่มขึ้นมหาศาล และเป็นภัยคุกคามอย่างใหญ่หลวงต่อจอมยุทธระดับทลายมิติ
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ไม่กล้าปะทะกับมันซึ่งซึ่งหน้า นางหลบหลีกการโจมตีของมันไปมาไม่หยุด นั่นเป็นเพราะกายหยาบของนางไม่สามารถเทียบกับราชาซากศพได้เลย อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้หลบหลีกเพียงอย่างเดียว แต่ใช้ดาบโจมตีตอบโต้ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีของนางยังแฝงด้วยเปลวเพลิง และทุกครั้งที่นางโจมตีออกไปจะก่อความทุกข์ทรมานให้กับราชันซากศพอย่างมาก เปลวเพลิงนี่ไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดา พลังทำลายล้างของมันน่าทึ่งมากและทิ้งรอยไหม้ให้กับราชันซากศพได้มากมาย
ภายในเวลาอันสั้น ทั้งสองฝ่ายกลับมาต่อสู้กันอย่างสูสีอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นไปตามที่หลิงฮันพูดว่าราชันซากศพเพิ่งจะตื่นขึ้นมาเหมือนทารกแรกเกิด สัญชาตญาณแรกของมันคือการฆ่าฟัน และมันเพียงแค่เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณเท่านั้น
แต่ทว่ายิ่งต่อสู้นานเท่าไหร่ มันยิ่งรู้วิธีใช้พลังมากขึ้นเท่านั้น และดูเหมือนว่ามันจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้ชัดเจนมาก
ในกระบวนการรวมร่างของราชันซากศพ ร่างกายของมันจะค่อยๆหดเล็กลง แต่ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้น
หลิงฮันรู้สึกหวั่นไหวและพูดว่า “ก่อนหน้านี้มีทหารซากศพมากกว่าหมื่นตนหลอมรวมเข้ากับมัน แต่ตอนนี้เหลือแค่หนึ่งพัน อีกไม่นานคงจะเหลือแค่หนึ่งร้อยและเหลือเพียงหนึ่ง”
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์รู้เรื่องนั้นเหมือนกัน ดาบของนางเริ่มรวดเร็วขึ้น ปัง รัศมีดาบกระแทกใส่ร่างราชาซากศพ กระดูกจำนวนมากแตกหักหลุดออกมาจากร่างกายที่ใหญ่โตของมัน แต่นี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยสำหรับมัน
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อร่างกายมีขนาดเล็กลง พลังของราชาซากศพจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น พลังป้องกันจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน และพื้นที่ป้องกันยังแคบลง
นี่ไม่ใช่ข่าวที่น่ายินดีเลยแม้แต่น้อย
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน ร่างของราชันซากศพหดไปครึ่งหนึ่ง ตอนนี้มันสูงเพียงแค่ห้าสิบฟุตเท่านั้น แต่พลังของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
พรึบ!
ดวงตาบนหน้าผากของราชาซากศพลืมขึ้นมา
สิบตา!
ในตอนที่ดวงตาของมันเบิกออกเก้าดวงเทียบได้กับจอมยุทธระดับทลายมิติขั้นเก้า แล้วถ้ามันลืมตาดวงที่สิบจะเกิดอะไรขึ้น?
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอยู่ในระดับพระเจ้า แต่อย่างน้อยพลังต่อสู้ของมันจะต้องเพิ่มขึ้นหนึ่งดาว ซึ่งพลังต่อสู้ของระดับทลายมิตินั้นน่าสะพรึงกลัวมากอยู่แล้ว และเป็นเรื่องยากที่จะเพิ่มพลังต่อสู้ได้หนึ่งดาว
ราชันซากศพเริ่มโจมตีอีกครั้งใส่จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์อีกครั้ง
ในที่สุดจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ก็เผยสีหน้าจริงจัง และกวัดแกว่งดาบนกอมตะสวรรค์แล้วพูดว่า “เปิด!”
ชิง อักขระบนดาบนกอมตะสวรรค์เปล่งประกายอีกครั้ง และมันแข็งแกร่งขึ้นหลายร้อยเท่า วิหคเพลิงขนาดใหญ่บินออกมาจากดาบราวกับว่าเหล่าทวยเทพลงมาจุติบนโลก และปลดปล่อยพลังอันศักดิ์สิทธิ์อันไร้ขีดจำกัดออกมา
อาวุธวิญญาณ! อาวุธวิญญาณระดับสิบ!
ตอนที่ 668
หลิงฮันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย
มันเป็นกลิ่นอายของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ ซึ่งเขาไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะเขาถูกนางกลั่นแกล้งบ่อยครั้งหรือเปล่าเลยทำให้เขามีความรู้สึกไวต่อกลิ่นอายดังกล่าว
ตอนนี้หลิงฮันมีความคิดมากมายไม่รู้จบหลั่งไหลเข้ามา
ตอนนี้วิหคเพลิงสวรรค์กำลังกรีดร้องและจู่โจมศัตรูของมัน
วิหคเพลิงสวรรค์มีความยาวหนึ่งร้อยฟุตและปีกที่กางออกมากว้างถึงสองร้อยฟุต เมื่ออยู่ต่อหน้าวิหคเพลิงสวรรค์ ราชันซากศพดูกลายเป็นเด็กไปเลย ความเร็วของมันรวดเร็วมาก และเมื่อมันสยายปีก ทำให้มันปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าราชันซากศพได้อย่างรวดเร็ว แล้วใช้กรงเล็บตะปบพร้อมกับปากที่แหลมคมโจมตีใส่ราชันซากศพ
ราชันซากศพส่งเสียงคำรามออกมา แต่ไม่อาจทำอะไรได้ ร่างของมันล้มลงกับพื้นและยื่นมือออกไปเพื่อผลักวิหคเพลิงสวรรค์ แต่ทว่ามือของมันกลับถูกเผาไหม้จนกลายเป็นสีดำ
ช่างเป็นอาวุธวิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
เมื่อเทียบกับดาบกำเนิดมารของหลิงฮันแล้ว ดาบกำเนิดของเขาดูกระจอกไปเลย อย่างไรก็ตาม เขายังไม่เคยใช้พลังที่แท้จริงของดาบกำเนิดมาร ตอนนี้เขาสามารถใช้พลังของอาวุธวิญญาณระดับสิบได้เต็มที่แล้วหรือยัง?
ระดับพลังของเขายังต่ำเกินไป
ระวัง!
ในขณะนั้นมีเพียงแค่เสียงสว่างของกระบี่เท่านั้นที่เขามองเห็น ทว่ามันเป็นแสงสีดำที่มืดมิดเหมือนกับความมืดในยามราตรี และปล่อยกลิ่นหายแห่งความตายออกมา
กระบี่เล่มนั้นกำลังจะโจมตีใส่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์!
“เจ้ากล้า!” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ยกดาบขึ้นมาป้องกันแสงกระบี่เล่มนั้น ก่อนที่จะตัดผ่านและกลายเป็นรัศมีดาบ
ตู้ม!
เสียงอึกทึกดังก้อง ทำให้หูของทุกคนดับไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเงียบสงบลงและมีเพียงแค่เสียงลมหายใจของราชันซากศพและสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เท่านั้นที่ได้ยิน
“สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ ข้าไม่ได้เห็นมาเนิ่นนาน” เสียงอันแผ่วเบาดังมาจากระยะไกลฟังดูอ่อนโยน แต่กลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่หนาวเย็น
“จิ่ว! โหยว! หวัง!” หลังจากที่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์พูดออกมาทีละคำ แววตาของนางกลายเป็นเยือกเย็นและพลังเพิ่มขึ้นหลายเท่า
หลิงฮันรู้สึกตกตะลึง นี่น่ะหรือคือพลังที่แท้จริงของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์? ก่อนหน้านี้นางแค่เล่นกับราชาซากศพงั้นรึ?
แล้วใครคือจิ่วโหยวหวัง?
เสียงของคนที่อยู่ในระยะไกลยังคงพูดต่อว่า “ข้าเพียงแค่มาเอาของที่นิกายทิ้งไว้เมื่อหลายพันปีก่อน ทำไมสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ถึงต้องทำตัวเหมือนข้าเป็นศัตรูตัวฉกาจด้วย?”
“ฮึ่ม การที่เจ้ากล้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง สงสัยวันนี้คงจะเป็นวันพินาศของนิกายพันศพ” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าวอย่างเย็นชา
หลิงฮันรู้ทันทีว่าจิ่วโหยวหวังเป็นผู้นำของนิกายพันศพ มิฉะนั้นเขาคงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะพูดคุยกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ และทำให้นางต้องเอาแสดงพลังที่แท้จริงออกมา
“โอ้ว นี่เจ้าจะต่อสู้กับข้างั้นรึ?” จิ่วโหยวหวังพูดเสียงแผ่วเบา แต่เสียงนั้นแทรกซึมไปด้วยความหนาวเย็น ราวกับจะทำให้วิญญาณถูกแช่แข็ง
“มันเป็นความรับผิดชอบของผู้คนรุ่นของข้าที่จะกำจัดสิ่งชั่วร้ายมาตั้งแต่สมัยโบราณ” สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์กล่าวด้วยความหนักแน่น
“ยอดเยี่ยม!” อัจฉริยะที่อยู่รอบข้างส่งเสียงตะโกนออกมาด้วยความเคารพนับถือและเชิดชู
หลิงฮันส่ายหัวอยู่ในใจ นิกายโบราณทั้งห้าและนิกายพันศพนั้นไม่มีใครดีไปกว่าใคร เพียงแค่ว่านิกายโบราณทั้งห้าดูมือเท้าสะอาดทั้งที่ล้างสมองผู้คนมานับหมื่นปี ตอนนี้คนพวกนี้กำลังถูกหลอก มันเป็นเรื่องน่าเศร้าเมื่อพิจารณาถึงจำนวน
เรื่องที่น่าเศร้าที่สุดคือถ้าเขาพยายามเตือนพวกเขาว่าตกอยู่ในอันตราย พวกเขาคงจะคิดว่าเขาจงใจที่จะทำลายชื่อเสียงของนิกายโบราณทั้งห้า
คงจะมีน้อยคนมากที่จะสงบสติอารมณ์ลงและใช้สมองคิด
จิ่วโหยวหวังพูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “บนโลกเต็มไปด้วยผู้คนที่โง่เขลา แต่ถ้าข้านั่งเขียนนิยายเกี่ยวกับแผนการของพวกเขาและวางขายไปทั่วโลก เจ้าคิดว่าจะมีคนเชื่อหรือไม่? ตราบใดที่มีใครบางคนเชื่อ เมล็ดจะถูกฝังและเมล็ดเหล่านั้นจะเติบโตเป็นต้นไม้ต้นใหญ่ไม่ช้าก็เร็ว”
“คำพูดของเจ้าได้สร้างความสับสนให้กับผู้คน และวันนี้ข้าจะสังหารเจ้า!” จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์กล่าวอย่างเย็นชา และกวัดแกว่งดาบไปที่ที่จิ่วโหยวหวังอยู่
ปัง!
แสงกระบี่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มีเพียงแค่ชายร่างสูงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับกระบี่สีดำที่ห้อมล้อมไปด้วยแสงสีดำอยู่ในมือข้างขวาของเขา
เขาคือผู้นำนิกายพันศพจิ่วโหยวหวัง?
ในทางตรงกันข้าม หลงไหเชวียนเป็นเพียงแค่หมากตัวเล็กๆที่ทำได้แค่พึ่งพาโลงศพสามชีวิต ซึ่งเขาไม่อาจเทียบกับจิ่วโหยวหวังได้เลยแม้แต่น้อย
“ข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้กับจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์อย่างเจ้าเอง!” จิ่วโหยวหวังกวัดแกว่งกระบี่ออกไปเพื่อทักทาย แน่นอนว่ากระบี่ของเขาต้องไม่ธรรมดา มันต้องเป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบ และยังเป็นหนึ่งในสามสมบัติของนิกายพันศพ กระบี่เสียงปีศาจนั่นเอง
เมื่อกระบี่เสียงปีศาจถูกกวัดแกว่ง ทำให้เกิดเสียงแปลกประหลาดขึ้นกลายเป็นคลื่นเสียงและมีภูติผีนับไม่ถ้วนปรากฏตัวออกมา พวกมันแต่ละตัวถือดาบกระบี่และอาวุธที่แตกต่างกันและกระโจนเข้าหาจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์
“ตามข้ามา!” จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ตามที่เจ้าต้องการ!” จิ่วโหยวหวังทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นเดียวกัน
การต่อสู้ของจอมยุทธระดับทลายมิตินั้นรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง แต่จิ่วโหยวหวังมีความได้เปรียบในเรื่องของอาวุธ เพราะจิตวิญญาณของอาวุธของจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์กำลังต่อสู้กับราชันซากศพ ตอนนี้จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ทำได้แค่พึ่งอาวุธวิญญาณระดับสิบที่ไม่มีจิตวิญญาณคอยช่วยเหลือ
สำหรับจอมยุทธที่แข็งแกร่ง ช่องว่างเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลต่อผลลัพธ์ของการต่อสู้ แล้วจะนับประสาอะไรกับอาวุธวิญญาณที่ไร้จิตวิญญาณ
ในการเผชิญหน้าของทั้งสองคน จิ่วโหยวหวังเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่การเอาชนะจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์เองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าเมื่อจิตวิญญาณของดาบนกอมตะสวรรค์จัดการราชันซากศพได้แล้ว ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ฮึ่ม!” จิ่วโหยวหวังสงบและไม่เร่งรีบ “จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์เจ้าคิดว่านิกายของข้ารอคอยเวลามานานหลายปีเพียงแค่ราชันซากศพธรรมดาอย่างนั้นรึ?”
เมื่อเสียงของเขาจางหายไป ร่างของราชันซากศพเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งและมีขนาดเล็กลง ร่างของมันสูงเพียงแค่ยี่สิบฟุตเท่านั้น แต่ทว่าบนหน้าผากของมัน…
ดวงตาดวงที่สิบเอ็ด!
ทันใดนั้นเอง พลังของราชันซากศพก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพียงแค่เหวี่ยงหมัดครั้งเดียวก็ทำให้วิหคเพลิงสวรรค์กระเด็น และมีแสงแห่งความมืดคล้ายกับโซ่พุ่งเข้าหาวิหคเพลิงสวรรค์ มันรวดเร็วมากจนล้อมรอบวิหคเพลิงสวรรค์ไว้รอบด้านและเจาะเข้าไปในร่างของวิหคเพลิงสวรรค์
วิหคเพลิงสวรรค์ส่งเสียงกรีดร้องออกมา และพยายามดิ้นรน
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ตกใจและพูดออกมาว่า “เจ้าค้นพบบาดาลใต้พิภพแล้วงั้นรึ!”
ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของน้ำบาดาลใต้พิภพ ราชันซากศพไม่มีทางทำลายขีดจำกัดดวงตาดวงที่สิบได้ นางควรจะรู้เรื่องนั้นให้เร็วกว่านี้!
“ไม่เลว!” จิ่วโหยวหวังพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ขบคิดเล็กน้อยและพูดว่า “บาดาลใต้พิภพอยู่ในเมืองหมื่นสมบัติ ดังนั้นเจ้าจึงพยายามสุดความสามารถเพื่อยึดครองเมืองหมื่นสมบัติ!”
“สมแล้วที่เป็นจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ ช่างฉลาดยิ่งนัก!” จิ่วโหยวหวังปรบมือ “ในการฝึกฝนราชันซากศพ ข้าได้ใช้น้ำในบาดาลใต้พิภพไปจนหมด ข้าเชื่อว่า…ราชันซากศพสามารถเบิกเนตรได้มากถึงสิบห้าดวง!”
สีหน้าของจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์เปลี่ยนไปมากและครั้งนี้นางรู้สึกได้ถึงความยากลำบาก
ตอนที่ 669
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์รู้สึกเจ็บใจ ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่านิกายพันศพได้เพ่งเล็งสถานที่แห่งนี้มาเป็นเวลากว่าพันปี ซึ่งพวกมันได้วางค่ายอาคมขึ้นและเปลี่ยนซากศพนับไม่ถ้วนใต้เนให้กลายเป็นราชันซากศพ
ต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่ถูกฝังเอาไว้ที่นี่ไม่ใช่แต่จอมยุทธจากสงครามเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน แต่จอมยุทธที่ทรงพลังสองหมื่น สามหมื่น หรือแม้กระทั่งหนึ่งแสนปีก่อนก็ถูกฝังเอาไว้ที่นี่
ที่นี่คือสนามรบในสงครามระหว่างห้านิกายใหญ่และเหล่าจอมยุทธแห่งทวีปฮงเทียน คิดว่าในช่วงหนึ่งแสนปีมานี้จะมีจอมยุทธซักกี่คนที่ถูกฝังอยู่?
“พวกเจ้ายึดครองโลกนี้มานานหลายปีแล้ว ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องปล่อยมือจากมันแล้ว” จิ่วโหยวหวังกล่าว
“พูดอะไรไร้สาระ!” จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์พูดอย่างเย็นชา นางรู้ดีว่านิกายพันศพสร้างราชันซากศพขึ้นมาก็เพื่อใช้ต่อกรกับจอมยุทธจากแดนศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต ตัวตนระดับพระเจ้านั้นหากระเบิดพลังออกมา แม้จะเป็นระดับทลายมิติก็ไม่สามารถต้านทานได้
ถ้าราชันซากศพตนนี้ยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ซักวันมันจะต้องบรรลุระดับที่สามารถตอบโต้กับพระเจ้าได้แน่ๆ!
ราชันซากศพไม่จำเป็นต้องมีพลังขนาดชนะพระเจ้าได้ ขอแค่สามารถต้านทานการโจมตีของพระเจ้าได้ก็พอ เพราะหลังจากพระเจ้าใช้พลังที่เหนือกว่าระดับทลายมิติออกมา พวกเขาจะถูกกฎของโลกนี้ส่งตัวกลับไป ซึ่งพวกเขาจะได้รับการสูญเสียอย่างมหาศาล ดังนั้นโลกเบื้องบนจึงไม่สามารถส่งคนมาได้เยอะเท่าไหร่
“เหอๆ จักรพรรดินีนกอมตะ ทำไมเจ้าไม่นั่งลงแล้วมองดูพวกข้าอยู่เฉยๆล่ะ” จิ่วโหยวหวังกล่าว
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์แสยะยิ้มและพูด “อย่าลืมไปว่าสำนักสวรรค์ไม่ใช่สำนักของนิกายข้านิกายเดียว คิดรึว่ามีจอมยุทธระดับทลายมิติอยู่ที่นี่แค่คนเดียว?”
“จิ่วโหยวหวัง ดูเหมือนว่าพลังบ่มเพาะของเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกแล้ว” เมื่อจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์พูดจบ ชายร่างขาวคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นกลางท้องฟ้า เบื้องหลังของเขาประดับเอาไว้ด้วยแสงอันสว่างไสวที่รูปร่างเหมือนดาบ
“ราชันดาบ!” ดวงตาของจิ่วโหยวหวังหรี่เล็กลงและแสดงออกถึงความหวั่นเกรง
หลิงฮันมองอย่างรู้สึกประหลาดใจ จากที่ได้ยินมาจากเฟิงโปหยุน จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์นั้นเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติขั้นสมบูรณ์ ส่วนราชันดาบนั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่บรรลุถึงระดับทลายมิติขั้นเก้า
แถมจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ยังครอบครองสายเลือดนกอมตะที่แท้จริงด้วย ไม่ว่าดูอย่างไรนางก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าราชันดาบ แต่จากท่าทางของจิ่วโหยวหวัง ดูเหมือนว่าเขาจะหวั่นเกรงต่อราชันดาบมากกว่า ซึ่งเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจอย่างมาก
ราชันดาบพาดมือทั้งสองไว้ด้านหลังและมีท่าทีไม่แยแส เขาหันไปพูดกับจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ “จักรพรรดินีนกอมตะ ข้าควรจะช่วยเหลือเจ้าก่อนหรือสังหารราชันซากศพก่อนดี?”
“ราชันซากศพ!” จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ตอบอย่างไม่ลังเล ทันใดนั้นเอง นกอมตะสวรรค์ก็บินกลับเข้ามาในดาบนกอมตะสวรรค์
เมื่อจิตวิญญาณของอาวุธกลับเข้ามา ดาบเล่มนี้จึงกลับกลายไปเป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบที่แข็งแกร่งที่สุดเหมือนเดิม
“ก็ดีเหมือนกัน!” ราชันดาบตอบด้วยท่าทางสงบนิ่งและโจมตีใส่ราชันซากศพ
ภาพอันน่าหวาดกลัวปรากฏขึ้น เขาใช้รัศมีดาบที่มีรูปร่างเหมือนใบดาบขนาดสองร้อยฟุตโจมตีใส่ราชันซากศพ
ความยาวของรัศมีดาบคือตัวบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของรัศมีดาบ!
เขาควบคุมรัศมีดาบด้วยนิ้วมือ แต่พลังทำลายล้างกลับน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ที่ใช้อาวุธวิญญาณระดับสิบเสียอีก ไม่น่าแปลกใจเลยที่จิ่วโหยวหวังจะหวั่นเกรงราชันดาบผู้นี้
ราชันซากศพเอื้อมแขนมาด้านหน้าเพื่อป้องกันรัศมีดาบ ภายในพริบตาแขนของมันก็เต็มไปด้วยรอยฟันขนาดลึกทันที ร่างของมันถูกพลักถอยหลังไปไกลจนที่พื้นดินเกิดเป็นทางขนาดใหญ่สองทางด้วยเท้าของมัน
ราชันซากศพคำรามอย่างเกรี้ยวกราดแต่ก็ไม่ลงมือตอบโต้อย่างผลีผลาม
ราชันดาบสามารถสยบราชันซากศพได้จริงๆ!
จิ่วโหยวหวังกระแอมเบาๆและพูด “ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองปรากฏตัวออกมาแล้ว งั้นราชันผู้นี้ก็คงต้องเอาจริงบ้าง” จิ่วโหยวหวังเลียริมฝีปากและคำรามเสียงแปลกประหลาดออกมา ทันใดนั้นโลงศพโบราณเจ็ดโลงก็ลอยออกมาจากบริเวณห่างไกล ‘ฟุบ’ เมื่อโลงศพลอยมาถึง ซากศพทั้งเจ็ดร่างก็กระโดดออกมา
เก้าตา… เก้าตา… เก้าตา… พวกมันคือราชันซากศพเก้าตา!
“พวกเจ้าไปจัดการจักรพรรดินีนกอมตะ ส่วนราชันดาบข้าจะเป็นคนจัดการเอง” จิ่วโหยวหวังสั่นกระบี่ในมือเล็กน้อย “ราชันดาบข้าได้ยินมาว่าวิถีแห่งดาบของเจ้าได้บรรลุถึงแก่นแท้แห่งดาบอันสว่างไสวแล้ว แต่ความสำเร็จในวิถีแห่งกระบี่ของข้าก็ไม่ได้ต่ำต้อย ข้าอยากจะแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับเจ้ามานานแล้ว”
แก่นแท้แห่งดาบอันสว่างไสว!
หลิงฮันเข้าในที่สุดว่าทำไมจิ่วโหยวหวังถึงหวั่นเกรงต่อราชันดาบมากกว่าจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ ที่แท้ราชันดาบก็ฝึกฝนวิถีดาบของตนเองไปถึงระดับสูงสุดแล้วนี่เอง อีกฝ่ายไม่ใช่แค่สร้างแก่นแท้แห่งดาบได้ แต่ยังบรรลุแก่นแท้แห่งดาบขั้นสูงสุดอีกด้วย
ไม่มีอะไรที่แก่นแท้แห่งดาบอันสว่างไสวตัดไม่ขาด แม้แต่วิญญาณก็ไม่มีข้อยกเว้น!
ร่างกายที่แข็งแกร่งทนทานจนไร้ที่เปรียบ? แล้วมันอย่างไร แค่ใช้แก่นแท้แห่งดาบโจมตีวิญญาณของเจ้าโดยตรงเจ้าก็ตกตายแล้ว
หลิงฮันรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับแร่สมบัติที่มีระดับมากกว่าเขาหนึ่งระดับ แต่ถึงแม้เขาจะบรรลุระดับทลายมิติแล้ว ราชันดาบก็ยังสามารถคุกคามเขาได้อยู่ดี
อีกฝ่ายเป็นศัตรูที่ไม่อาจประมาทได้
จิ่วโหยวหวังลงมือโจมตีอย่างรวดเร็วโดยไม่ปล่อยให้ราชันดาบมีโอกาสขัดขวางราชันซากศพไม่ให้ไปสังหารจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์
นิกายพันศพช่างแข็งแกร่งจริงๆ!
แค่จิ่วโหยวหวังคนเดียวก็มีพลังพอที่จะปะทะกับจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์และราชันดาบ
“โฮกกก” ราชันซากศพสิบเอ็ดตาคำรามออกมา ความโกรธที่ปะทุอยู่ในใจทำให้มันพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้วซากศพจะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด แต่ด้วยการพัฒนาอันก้าวกระโดดเช่นนี้ แม้แต่ราชันซากศพก็ต้องกรีดร้องออกมาเพราะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด
‘กรอบ กรอบ’ กระดูกของมันสั่นไหวและร่วงหล่นลงมา ร่างกายของมันมีขนาดหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว แต่กลิ่นอายของมันกับทรงพลังยิ่งขึ้น
ผ่านไปชั่วครู่ บนหน้าผากของมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง!
ดวงตาที่สิบสอง! มันแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว!
แต่การเปลี่ยนแปลงก็ยังไม่จบ ร่างของมันยังหดตัวอยู่และพลังก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
จิ่วโหยวหวังหัวเราะ นิกายของข้าใช้เวลาหลายพันปีในการบ่มเพาะราชันซากศพตนนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลาเก็บเกี่ยวเสียที
ตราบใดที่น้ำในบาดาลใต้พิภพถูกราชันซากศพดูดซับไปทั้งหมด มันจะสามารถสร้างดวงตาได้อย่างน้อยสิบห้าดวง! เมื่อถึงตอนนั้น พลังป้องกันของมันจะนับว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ในขณะเดียวกัน เจตจำนงของมันก็จะฟื้นฟูกลับมาด้วยซึ่งจะช่วยในการป้องกันแก่นแท้แห่งดาบได้ แม้แต่ราชันดาบก็ยังยากที่จะทำร้ายมัน
นิกายพันศพถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นผู้ปกครองโลกไปนี้!
ตอนที่ 670
จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ปะทะกับเหล่าราชันซากศพเก้าตา ในขณะที่ราชันดาบปะทะกับจิ่วโหยวหวัง ส่วนราชันซากศพสิบสองดาวนั้นมันกำลังอยู่ในสภาวะพัฒนาร่าง
สถานการณ์กลายเป็นวิกฤต ถ้าจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์สามารถหลุดพ้นจากราชันซากศพเก้าตาและไปถ่วงเวลาจิ่วโหยวหวังได้ ราชันดาบก็จะมีโอกาสสังหารราชันซากศพสิบสองตาโดยใช้แก่นแท้แห่งดาบ
แต่ถ้ายังปล่อยให้เวลายืดยื้อมากเกินไปแล้วราชันซากศพพัฒนาไปจนถึงดวงตาสิบห้าดวง เมื่อถึงตอนนี้มันจะมีพลังเหนือกว่าทั้งราชันดาบและจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์
จอมยุทธมากมายเริ่มบินหนี การจะดูสถานการณ์ต่อไปเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป ถ้าเกิดนิกายพันศพเป็นฝ่ายชนะ ชีวิตของพวกเขาจะต้องจบสิ้นแน่นอนหากยังอยู่ที่นี่
หลิงฮันยังคงสงบนิ่ง เขามีหอคอยทมิฬอยู่ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไงเขาก็ไม่หวาดกลัว
“ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่มีใครดีทั้งคู่ แต่ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะได้ขึ้นไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นหากปล่อยนิกายพันศพเอาไว้ ก็ต้องเกิดการสูญเสียชีวิตผู้คนมากมาย”
เขาตัดสินใจว่าในตอนนี้ดาบของเขาจะมีไว้ทิ่มแทงนิกายพันศพ
แต่ทว่าตัวตนที่อยู่ตรงหน้าเขาในสนามรบตอนนี้คือระดับทลายมิติ ถ้าเขาเข้าไปยุ่มย่ามผลลัพธ์เดียวที่เกิดขึ้นก็คือเขาจะกลายเป็นเศษฝุ่น!
“ข้าจะใช้กระดูกที่หล่นลงมาสาปแช่งมันได้รึไม่?” หลิงฮันจ้องมองไปยังราชันซากศพสิบสองตา ก่อนหน้านี้มันถูกจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์และราชันดาบโจมตีจนกระดูกหลายส่วนของมันตกหล่นลงมากองที่พื้น
ด้วยกระดูกจำนวนขนาดนี้ ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถสาปแช่งมันได้
ปัญหาก็คือเขาจะไปหยิบมันมาได้อย่างไร ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยคลื่นพลังอำนาจผันผวนของจอมยุทธระดับทลายมิติ ไม่ต้องพูดถึงตัวเขาที่มีกายหยาบเทียบเท่ากับระดับด้าวสู่เทวาเลย แม้แต่จอมยุทธระดับสวรรค์มาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“รีบๆไปสู้กันไกลๆซักที” หลิงฮันคิดในใจ ถ้าคนพวกนนี้ไปสู้กันบนฟากฟ้าไกลๆ เขาจะมีโอกาสเข้าไปหยิบโครงกระดูกเหล่านั้นมาเพื่อสาปแช่งราชันซากศพได้
แม้อสูรยักษ์ตนนี้จะไม่ตาย แต่มันก็ต้องเจ็บปวดอย่างมากแน่นอน
“ราชันอสรพิษมาร เจ้ายังไม่ออกมาอีก!” จู่ๆจักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ก็ตะโกนออกมา
“เหอๆ เห็นว่าเจ้ากำลังสนุกอยู่ ข้าก็เลยไม่อยากจะรบกวนเจ้า” เสียงหัวเราะอันแปลกประหลาดกังขึ้นพร้อมกับร่างของชายชราที่ปรากฏตัวอย่างเงียบงัน ร่างกายของเขาโกงงอเล็กน้อย หากมองใกล้ๆจะพบว่าเขาไม่ได้หลังค่อม แต่ร่างของเขาบิดเป็นเกลียวเหมือนกับอสรพิษ
เบื้องหลังของเขาปรากฏเงาของอสรพิษยักษ์ และบนหัวของอสรพิษยักษ์ก็ส่องแสงสว่างที่ดุดันออกมา
ราชันอสรพิษมาร ตัวตนระดับทลายมิติของนิกายมังกรปฐพี!
“ราชันอสรพิษ ป้องกันการโจมตีของจิ่วโหยวหวังให้ข้า แล้วข้าจะไปจัดการกับราชันซากศพ!” ราชันดาบกล่าว สิ่งที่ต้องระวังในตอนนี้คือการพัฒนาของราชันซากศพ ถ้าหากมันบรรลุดวงตาสิบห้าดวงได้จริงๆ ตอนนั้นก็จะไม่มีใครสามารถจัดการมันได้
ราชันอสรพิษมารหัวเราะและพูด “เอาแบบนั้นก็ได้ มอบหมายหน้าที่นั้นให้ชายชราผู้นี้เอง” แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับราชันดาบจะไม่ค่อยดี แต่ตอนนี้เพื่อต่อต้านนิกายพันศพ เป็นธรรมดาที่พวกเขาต้องยืนเคียงบ่ากัน
ราชันดาบเคลื่อนไหวร่างลงไปทันที แม้จิ่วโหยวหวังต้องการจะหยุดแต่ราชันอสรพิษมารก็มาขวางเอาไว้ทันพอดี เมื่อหนึ่งฝ่ามือของเขาพุ่งออกไป แขนของได้เปลี่ยนเป็นอสรพิษขาวพันฟุตเข้าไปพัวพันกับจิ่วโหยวหวัง
ร่างของราชันดาบพุ่งลงมาและในขณะที่กำลังยื่นมือขวาออกไป ร่างของเขาก็ชะงัก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ราชันดาบ เจ้ามัวทำอะไรอยู่?” จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์ตะโกนออกมา
“ที่ข้าขัดขวางผีเฒ่าให้เจ้า ไม่ใช่เพื่อให้เจ้าไปยืนเหม่อดูทิวทัศน์” ราชันอสรพิษมารพูดอย่างไม่พอใจ
จิ่วโหยวหวังแสยะยิ้มราวกับทุกอย่างอยู่ในการคาดการณ์แล้ว
หลิงฮันคิดในใจ นิกายพันศพได้วางแผนการมาเป็นเวลาพันปีโดยการใช้บ่อบาดาลใต้พิภพสร้างราชันซากศพขึ้นมา ด้วยความพยายามเช่นนั้น พวกเขาจะไม่เตรียมการอะไรเอาไว้ป้องกันเลยรึ?
สิ่งใดกันแน่ที่ราชันดาบพบเข้า?
“ออกมาซะ!” ราชันดาบมองไปยังบริเวณหนึ่ง ทันใดนั้นบริเวณดังกล่าวก็ปรากฏช่องว่างมิติขึ้นมา
“สมกับเป็นราชันดาบ ข้าเพียงแค่ปลดปล่อยจิตสังหารออกมาเล็กน้อยก็ถูกเจ้าพบเสียแล้ว” ร่างหนึ่งปรากฏตัวจากท้องฟ้าที่ว่างเปล่าราวกับว่าเขาสามารถซ่อนตัวในอากาศได้
ชายคนนั้นสวมชุดคลุมปกปิดตั้งแต่ส่วนหัวยันส่วนเท้า ไม่มีใครสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของเขา ถ้าเขาไม่พูดออกมาก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นผู้ชาย
แต่บางทีการฟังแค่เสียงก็เชื่อถือได้ไม่มากเช่นกัน เพราะจอมยุทธระดับสูงจะสามารถเปลี่ยนแปลงเสียงของตนเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“มีพลังขนาดนั้นกลับยังซ่อนหัวซ่อนหางของตนเองเอาไว้ เจ้าต้องมีใบหน้าที่น่าเกลียดขนาดไหนกัน?” ราชันดาบพูดกับชายสวมชุดคลุม
ชายสวมชุดคลุมไม่สนใจ กลับกันเขากลับยอมรับคำสบประมาทของราชันดาบ “ถูกแล้ว ข้าน่าเกลียดเป็นอย่างมาก”
ที่เขาไม่สนใจอะไรก็เป็นเพราะหน้าที่ของเขาคือการหยุดคนที่จะเข้าใกล้ราชันซากศพเท่านั้น ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ลงมือกับราชันซากศพ เขาก็จะไม่ลงมือทำอะไร
ราชันดาบจ้องมองไปยังอีกฝ่าย ไม่ว่าจะดูอย่างไรชายชุดคลุมคนนี้ก็ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก แต่กลับมีอะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่น
“เจ้าได้รับคำสั่งมาจากจิ่วโหยวหวัง?” ราชันดาบเอ่ยถาม
“นับว่าฉลาดไม่ได้น้อย” ชายชุดคลุมพยักหน้า หน้าที่ของเขาคือการถ่วงเวลา เขาไม่ได้รังเกียจอะไรที่ต้องพูดคุยกับราชันดาบ
“จิ่วโหยวหวังให้ผลประโยชน์แบบใดกับเจ้า พวกข้า…” ราชันดาบชี้นิ้วมาที่ตนเอง จักรพรรดินีนกอมตะเมฆาสวรรค์และราชันอสรพิษมาร “สามารถให้เจ้าได้เป็นสองเท่า”
“ช่างเป็นคำพูดที่น่าสนใจ แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมอบให้ข้าได้” ชายชุดคลุมกล่าว
“ลองพูดมาก่อน พวกเราจะตัดสินเองว่าให้ได้หรือไม่” ราชันดาบหัวเราะ
ชายชุดคลุมหัวเราะและพูด “ช่างฉลาดยิ่งนักราชันดาบ คิดจะใช้คำพูดหลอกให้ข้าเผยตัวตน?” ยิ่งระดับพลังสูงเท่าไหร่ สมบัติที่ต้องการก็จะยิ่งหายากขึ้น ราชันดาบจะสามารถคาดเดาตัวตนอีกฝ่ายได้จากคำขอของอีกฝ่าย
“แต่โชคร้ายที่ถึงแม้ข้าจะพูดออกไปเจ้าก็ไม่สามารถเดาได้”
“งั้นทำไมเจ้าไม่บอกข้ามาเสียเลยล่ะ?” ราชันดาบหัวเราะ
ชายชุดคลุมหยักไหล่และพูด “เมื่อเจ้าลงมือ เจ้าก็จะรู้เอง”
ราชันดาบจ้องไปยังชายชุดคลุม ผ่านไปชั่วขณะมือขวาของเขาก็กำดาบยาวแน่นและกลิ่นอายทั่วร่างของเขาก็ปะทุออกมา แม้ในยามปกติเขาจะดูแข็งแกร่งราวกับดาบไร้พ่ายที่ยังอยู่ในฝัก แต่ในตอนนี้ดาบได้ถูกชักออกจากฝักแล้ว
ชายชุดคลุมยังคงไม่เคลื่อนไหว เขายืนหยุดนิ่งอย่างไร้แยแส
ราชันดาบลงมือ ‘ตูม’ ปราณดาบของเขาทะยานขึ้นสูงเสียงฟ้า ‘ปัง ปัง ปัง’ ดวงดาวถูกบดขยี้และกลายเป็นดาวตกอีกครั้ง
ทันใดนั้นเขาก็ลงมืออีกครั้งโดยใช้ปราณดาบโจมตีชายชุดคลุม แต่ทันใดนั้นชายชุดคลุมก็ตอบโต้ ร่างของแปรเปลี่ยนกลายเป็นหมอกสีดำพุ่งเข้าโอบล้อมราชันดาบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น