Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 655-660
ตอนที่ 655
หอคอยทมิฬชั้นที่สองเปิดแล้ว?
หลิงฮันรู้สึกตกใจและสนใจขึ้นมาทันที เขาพูดว่า “พาข้าไปดูหน่อย”
“เจ้ายังไม่เคยเห็นงั้นหรือ?” หอคอยน้อยพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ใบหน้าของหลิงฮันกระตุกและพูดว่า “นี่เจ้ากำลังหยอกล้อข้าเล่น? ไม่ใช่เจ้าบอกว่ามันมีเก้าชั้นหรอกรึ ซึ่งทุกชั้นมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันและข้าต้องบรรลุถึงระดับพลังที่กำหนดก่อนที่จะเข้าไปได้มิใช่หรือ?”
“พอ!” หอคอยทมิฬน้อยไม่ได้รู้สึกเป็นเรื่องตลก มันพูดว่า “หอคอยทมิฬมีเก้าชั้น แต่ทุกชั้นนั้นต่างกันแค่พลังอำนาจที่แตกต่างกัน”
“ถ้าระดับพลังของเจ้ายกระดับขึ้น พลังของหอคอยทมิฬชั้นแรกจะถูกปลดปล่อยและรวมเข้าด้วยกันเพื่อทำให้หอคอยทมิฬมีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
หลิงฮันกลอกตามองและพูดว่า “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?”
“ความทรงจำของเขาเพิ่งถูกปลุกขึ้นมาหลังจากที่หอคอยทมิฬชั้นที่สองเปิดออกเท่านั้น” หอคอยทมิฬน้อยกลายเป็นนิ่งเงียบ
หลิงฮันมองด้วยความสงสัยและพูดว่า “เจ้าเป็นคนความจำเสื่อมด้วยงั้นหรือ?”
“แล้วแต่เจ้าจะพูด” หอคอยทมิฬน้อยกล่าว
หลิงฮันถอนหายใจและพูดว่า “แล้วหอคอยทมิฬชั้นที่สองมันมีประโยชน์อันใดกับข้า?”
หอคอยทมิฬน้อยกล่าว “เท่าที่ข้ารู้ หอคอยทมิฬแปดชั้นแรกจะเป็นพลังจำพวกสายฟ้า ห้วงมิติและห้วงเวลา ทุกครั้งที่เจ้าเปิดหอคอยทมิฬแต่ละชั้นได้ พลังจะสอดคล้องกัน”
“ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกแบบนั้น?” หลิงฮันรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาตั้งหน้าตั้งตารอที่จะไปหอคอยทมิฬชั้นที่สองมาเป็นเวลานานแล้ว
“ชั้นแรกคือแก่นแท้ของปฐพี” หอคอยทมิฬน้อยพูดเสียงแผ่วเบา “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าสมุนไพรที่ปลูกที่นี่สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วจนมีอายุพันปีกันล่ะ?”
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ หอคอยทมิฬชั้นแรกคือพลังของปฐพี ซึ่งเป็นแก่นแท้ของปฐพี ดังนั้นเขาจึงสามารถเก็บเกี่ยวสมุนไพรได้มหาศาล เขาถามออกไปว่า “ถ้างั้นหอคอยทมิฬชั้นที่สองคือ…พลังแห่งน้ำ?”
เขาเงยหน้ามองไปที่น้ำตกบนท้องฟ้าและทะเลสาบที่ออกมาจากอากาศ
“ใช่แล้ว หอคอยทมิฬชั้นที่สองคือแก่นแท้แห่งน้ำ” หอคอยทมิฬน้อยพยักหน้า
“แล้วมันมีประโยชน์อะไร?” หลิงฮันถาม
“เจ้าช่างไม่รู้อะไรเลย เรื่องแค่นี้จะต้องถามข้าด้วยงั้นรึ?” หอคอยทมิฬพูดเยาะเย้ย
“ข้าขอโทษที่ไม่รู้!” หลิงฮันกัดฟันพูด
หอคอยทมิฬน้อยยังคงพูดออกมาอย่างสงบเสงี่ยม “น้ำเป็นต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง อย่างแรกด้วยพลังของน้ำการเติบโตของสมุนไพรจะรวดเร็วยิ่งขึ้น”
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “แล้วอย่างที่สองล่ะ?”
“เจ้ายังจะถามข้าอีกหรือ?” หอคอยทมิฬน้อยเริ่มพูดเยาะเย้ยอีกครั้ง “อย่างที่สองความเกี่ยวข้องกันระหว่างแก่นแท้ของน้ำกับแก่นแท้ของปฐพีจะทำให้เกิดสมุนไพรบางอย่างเช่น ดอกบัวแห่งเต๋า”
หัวใจของหลิงฮันสั่นไหว ดอกบัวแห่งเต๋า! เขาเคยเห็นชื่อนี้ในโบราณสถานมาก่อน มันเป็นสมุนไพรระดับศักดิ์สิทธิ์ และเป็นสมุนไพรที่อยู่บนสุดของระดับศักดิ์สิทธิ์
“ดอกบัวแห่งเต๋าน่าจะเป็นสมุนไพรระดับศักดิ์สิทธิ์ที่มีค่ามากที่สุด ยิ่งการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างแก่นแท้ของน้ำกับแก่นแท้ของปฐพี จะทำให้มันมีความล้ำค่ามากยิ่งขึ้น แต่ต้องใช้เวลายาวนานมาก” หอคอยทมิฬน้อยกล่าว
จากนั้นหอคอยทมิฬน้อยได้พูดเสริมต่อว่า “ชั้นที่สามคือแก่นแท้ของเหล็กที่สามารถมอบแร่โลหะที่ล้ำค่าให้แก่แจ้าได้ ชั้นที่สี่คือแก่นแท้แห่งไฟที่สามารถชำระล้างร่างกายของเจ้าได้ แต่เจ้าต้องบ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ให้ถึงขั้นที่สามก่อน”
“ชั้นที่ห้าแก่นแท้แห่งไม้ ซึ่งสามารถเพิ่มความสามารถของหอคอยทมิฬได้อีกครั้ง ในการรวบรวมพลังของแก่นแท้ทั้งสามจากของปฐพี น้ำและไม้เพื่อสร้างโอสถที่ไม่มีใครสามารถเทียบเจ้าได้”
“ชั้นที่หกแก่นแท้แห่งสายฟ้า ซึ่งมีสมุนไพรบางชนิดสามารถเติบโตได้”
“ชั้นที่เจ็ดแก่นแท้แห่งห้วงมิติ เมื่อเจ้าสามารถควบคุมหอคอยทมิฬได้อย่างแท้จริง และเจ้าต้องการให้มันช่วยเหลือเจ้าต่อสู้ แล้วเจ้าจะรู้ว่าแท้จริงแล้วหอคอยทมิฬนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน”
“ชั้นที่แปดแก่นแท้แห่งห้วงเวลา นี่เป็นพลังต้องห้ามของโลก ซึ่งข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันทำงานอย่างไร”
“ส่วนชั้นที่เก้า-“
เมื่อเห็นหอคอยทมิฬนิ่งเงียบไป ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะถาม “แล้วชั้นที่เก้าคืออะไร”
“ข้าไม่รู้” หอคอยทมิฬกล่าวอย่างไร้อารมณ์
พรวด!
“ช่างมันเถอะ ในอนาคตข้าจะพูดกับเจ้าให้น้อยลง ไม่งั้นข้าคงสงสัยตายเป็นแน่” หลิงฮันถอนหายใจ อย่างไรก็ตามหอคอยทมิฬชั้นที่สองนั้นได้เปิดแล้ว มันเป็นเรื่องดีที่จะมีแก่นแท้แห่งน้ำ เขาจะได้รับสมุนไพรระดับศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น
หลิงฮันคำนวนเวลา การทดสอบเข้าสำนักสวรรค์กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว และถึงเวลาแล้วที่เขาจะออกไป
“หลิงฮัน! หลิงฮัน!” จูเสวี่ยนเอ๋อและฮูหนิวเรียกชื่อของเขา และฮูหนิวรีบเข้ามากอดแขนของเขาทันทีด้วยสีหน้าไม่มีความสุขเพราะหลิงฮันไม่ได้เล่นกับนางมาหลายเดือน
ส่วนจูเสวี่ยนเอ๋อนั้นอ่อนโยนกับสายน้ำ และจ้องมองเขาด้วยความอ่อนโยน
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ไปกันเถอะ”
พวกเขาออกจากหอคอยทมิฬและมุ่งหน้าไปที่ภูเขาเก้ามังกร ไม่นานหลังจากนั้น เจ้ากระต่ายวิ่งมาหาพวกเขาและพุ่งชนใส่หลิงฮัน เจ้าเด็กนี่หายตัวไปหลายเดือนและปล่อยให้มันอยู่คนเดียว หรือว่าอีกฝ่ายต้องการที่จะเชิดโสมโลหิตราชามังกรทรราชสองต้นของมันไป?
สามวันต่อมา พวกเขาก็มาถึงภูเขาเก้ามังกร ในเวลานี้สำนักสวรรค์ได้ประกาศเงื่อนไขขั้นพื้นฐานในการรับสมัครแล้ว หากใครไม่ผ่านเงื่อนไขขั้นพื้นฐานจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม
เพื่อให้มีสิทธิ์เข้าร่วมจะต้องผ่านเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างแรกต้องเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานก่อนอายุสี่สิบปี หรือทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณก่อนอายุเจ็ดสิบปี
ในวันที่สองจะเป็นการทดสอบอย่างเป็นทางการ
การทดสอบจะแบ่งออกเป็นสองขั้นตอน ขั้นตอนแรกของการทดสอบนั้นเรียบง่ายมาก ตราบใดที่สามารถออกจากพื้นที่ที่กำหนดโดยสำนักสวรรค์ได้ภายในเวลากำหนดก็จะกลายเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์
ขั้นตอนที่สองคือหินพลัง ในพื้นที่ต่างๆของสำนักสวรรค์จะมีหินแปลกประหลาดอยู่มากมายที่ไม่สามารถเก็บรวบรวมเข้าไปในแหวนมิติได้ ต้องเก็บด้วยมือเท่านั้น หินพวกนั้นจะเปล่งแสงออกมาแม้จะใช้เสื้อผ้าปิดก็ไม่อาจปิดกั้นแสงของมันได้
ภายในเวลาที่กำหนด คนที่รวบรวมหินได้มากที่สุดจะกลายเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์
หลิงฮันพบจักรพรรดิพิรุณและมู่หรงชิง หลังจากที่พิจารณามาอย่างยาวนาน เขาพาพวกเขาเข้าไปในหอคอยทมิฬก่อนที่จะพูดถึงข้อความของจื่อเสวี่ยนเซียน
เขาไม่อาจพูดที่โลกภายนอกได้เพราะสวรรค์อาจมี “หู”
นี่คือสิ่งที่หม่าตั้วเป๋ากล่าวว่าเขาต้องระมัดระวังให้มาก
หลิงฮันไม่รู้ว่าตัวตนระดับพระเจ้านั้นมีพลังแบบไหน บางทีพวกเขาอาจจับตามองภูมิภาคเทียนฮงอยู่และตอบสนองต่อคำว่า “เปิดสวรรค์” ก็เป็นได้
ดังนั้นความปลอดภัยต้องมาก่อน
ตอนที่ 656
จักรพรรดิพิรุณและมู่หรงชิงทั้งหวาดกลัวและโกรธแค้น
ถ้าคนอื่นเป็นคนพูดพวกเขาคงไม่มีทางเชื่อ แต่หลิงฮันนั้นเป็นพี่น้องของพวกเขา สิ่งที่เขาพูดจะต้องเป็นความจริงแน่นอน
“มีเพียงแค่การเปิดสวรรค์เท่านั้นพวกเราถึงจะต่อกรด้วยได้” จักรพรรดิพิรุณและมู่หรงชิงพยักหน้า สีหน้าของพวกเขาดูจริงจังมาก แม้ว่าพวกเขาจะออกไปเที่ยวเดินข้างนอก พวกเขาไม่อาจปั้นหน้ายิ้มได้อีกต่อไปเมื่อเผชิญหน้ากับความจริงเช่นนี้
หลิงฮันรู้สึกมีความสุขและพูดว่า “พี่ใหญ่ท่านสนเป็นจักรพรรดิหรือไม่?” เดิมทีจักรพรรดิพิรุณเป็นผู้นำของแคว้นพิรุณ และความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ในระดับแคว้นของเขานั้นมากกว่ามู่หรงชิงหรือแม้แต่เฟิงโป๋วหยุน
จักรพรรดิพิรุณคิดชั่วครู่ เขาส่ายหัวและพูดว่า “ไม่มีทาง! ไม่ใช่เพราะข้าไม่ต้องการแบกรับภาระอันหนักหน่วงนี้ แต่ข้าไม่มีความสามารถที่จะทำ น้องสามเรื่องของแคว้นนั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิด”
“ใช่แล้วน้องสาม ในหมู่พวกเราสามพี่น้อง เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุด เจ้าต้องเป็นจักรพรรดิ ส่วนตัวข้าและพี่ใหญ่มีหน้าที่ช่วยเหลือเจ้า แล้วพวกเราสามพี่น้องจะร่วมพลังกันเพื่อรวมทวีป” มู่หรงชิงหัวเราะ
“ถ้าน้องสามไม่ต้องการแบบนั้น คงมีแค่ฮูหนิวเท่านั้นที่สามารถทำได้” จักรพรรดิพิรุณหัวเราะ เขารู้ว่าหลิงฮันไม่สนใจเรื่องอำนาจ ดังนั้นเขาจึงพูดถึงฮูหนิว
ฮูหนิวไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือและพูดว่า “ถ้างั้นพวกเจ้าทุกคนสามารถเรียกหนิวว่าจักรพรรดินีได้ในอนาคต!”
หลิงฮันหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นและพูดว่า “ถ้าเด็กสาวตัวน้อยกลายเป็นจักรพรรดิ วันถัดไปแคว้นคงจะตกอยู่ในความสบสนวุ่นวาย”
“ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วน้องสาม” จักรพรรดิพิรุณพยักหน้าและนั่งลง เขาไม่ใช่คนที่ลุ่มหลงในอำนาจ มิฉะนั้นด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของเขา มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะรวมดินแดนทางตอนเหนืออันโดดเดี่ยวให้กลายเป็นหนึ่ง
พวกหลิงฮันทั้งสามคนนั่งพูดคุยกันเกี่ยวกับรายละเอียดบางอย่างของการก่อตั้งแคว้นและการเปิดสวรรค์
การก่อตั้งแคว้นเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับจักรพรรดิพิรุณ เพราะเขาดำรงอยู่ในสถานะจักรพรรดิมาหลายปี ความแตกต่างเป็นเพียงเรื่องของขนาดของดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองและความแข็งแกร่งของผู้ปกครอง
ซึ่งการเปิดสวรรค์นั้นยากกว่ามาก
เพื่อทำให้ทวีปเทียนฮงไปอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้นั้นจะต้องแข็งแกร่งขนาดไหน?
ยิ่งพี่น้องทั้งสามคนพูดคุยกันมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น ถ้าพวกเขาทำสำเร็จ พวกเขาจะมีชื่อเสียงและกลายเป็นตำนาน
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเราจะต้องฝึกฝนให้หนักขึ้น”
“และใช้ประโยชน์จากสำนักสวรรค์ ดึงดูดอัจฉริยะจากทุกขุมพลังจนกว่าจะถึงเวลาสุกงาม แล้วก่อตั้งแคว้นและนำคนเหล่านี้มารวมกัน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า การต่อสู้กับห้านิกายโบราณเพียงแค่คิดแบบนั้นก็ทำให้จิตวิญญาณต่อสู้ของข้าเดือดพล่านแล้ว”
หลิงฮันนำเม็ดยาล้ำค่าจำนวนมากออกมาและมอบให้กับพี่ชายทั้งสองคน อย่างแรกคือเพื่อให้พวกเขาสร้างความก้าวหน้าให้กับตัวเอง อย่างที่สองคือให้พวกเขาใช้เม็ดยาพวกนั้นเป็นใบเปิดทางเพื่อทำความรู้จักอัจฉริยะคนอื่นๆ
พวกหลิงฮันทั้งห้าคนออกจากหอคอยทมิฬและการทดสอบเข้าสำนักสวรรค์กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
พวกเขาไม่ได้เกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน จักรพรรดิพิรุณและมู่หรงชิงแยกตัวออกไป การประเมินนี้เป็นก้าวแรกสำหรับพวกเขาที่จะซื้อและชนะใจผู้คน โดยพวกเขาจะแยกตัวออกไปเพื่อขยายขอบเขตอิทธิพล
ส่วนฮูหนิวและจูเสวี่ยนเอ๋อยังคงอยู่กับหลิงฮัน พวกเขาทั้งสามคนเดินมาถึงประตูสำนักสวรรค์ ซึ่งเพิ่งถูกสร้างขึ้นมาได้ไม่นาน และมีศิษย์รุ่นเยาว์หลายคนออกมาคอยทำหน้าที่ต้อนรับ
ศิษย์รุ่นเยาว์พวกนั้นล้วนมาจากห้านิกายใหญ่ พวกเขามีความเย่อหยิ่งอยู่บนใบหน้า แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเข้าร่วมสำนักสวรรค์ได้ แต่พวกเขายังคงทนงตัว
ขั้นตอนแรกคือการทดสอบอายุของกระดูกและระดับพลัง ถ้าไม่ผ่านเงื่อนไขขั้นต่ำ แม้แต่การทดสอบแรกก็จะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม
จูเสวี่ยนเอ๋อขึ้นไปก่อนคนแรก นางเหยียดมือที่ละเอียดอ่อนราวกับหยกออกไป ทำให้ศิษย์ที่รับผิดชอบในการทดสอบอายุกระดูกหน้าแดง และมือที่จับเข็มทองสั่นไหวไปมา
มือของนางงดงามมาก ราวกับพระเจ้าแกะสลักขึ้นมา
เขาพยายามทำจิตใจให้สงบหลายครั้ง แต่ไม่อาจหยุดยั้งชั่งใจได้ และในที่สุดเขาก็ขอให้ศิษย์ที่เป็นสตรีคนหนึ่งเป็นคนตรวจสอบอายุของกระดูกแทน
“อายุยี่สิบสองปี” ศิษย์หญิงประกาศ ใบหน้าของนางดูตกใจ
อายุยี่สิบสองปีแต่เป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานแล้วถือว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่ห้านิกายใหญ่ นางอาจติดหนึ่งในห้าสิบอันดับแรก หรือสามสิบอันดับแรกเลยด้วยซ้ำ นี่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก
ชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านข้างใช้มือลูบเคราตัวเอง เขาดูเหมือนจะมีความสุข ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับต้นกล้าที่ดี เขาเหลือบมองไปที่จูเสวี่ยนเอ๋อและรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางดูธรรมดามาก
อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับอายุของกระดูก ไม่มีใครกำหนดว่าต้องเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้คนอื่นเห็น ดังนั้นนี่จึงเป็นการกระทำที่ไม่ได้ทำลายกฎ
คนต่อไปคือฮูหนิว
“เด็กสาวตัวน้อยรึ?” ศิษย์หลายคนไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง บางคนถึงขั้นหัวเราะออกมา ที่แห่งนี้คือสำนักสวรรค์ไม่ใช่สนามเด็กเล่น
ในขณะนั้นทุกคนที่กำลังต่อแถวเพื่อทดสอบอายุกระดูก ใครบางคนตะโกนโห่ร้องออกมาทันทีว่า “อย่าทำให้พวกข้าต้องเสียเวลาเลย ออกไปจากที่นี่ซะ!”
“เด็กน้อยอย่างเจ้ากลับบ้านไปดูดนมเถอะ!”
“พี่ชายมีอมยิ้มอยู่ตรงนี้ เจ้าอยากจะดูด-“
ปัง!
ชายคนนั้นกำลังพูดคำพูดสกปรก ทำให้ฮูหนิวรู้สึกโกรธ ร่างเล็กๆของนางปรากฏอยู่ด้านหน้าอีกฝ่ายและปล่อยหมัดเล็กๆที่ห่อหุ้มด้วยสายฟ้าใส่อีกฝ่าย
ร่างของชายคนนั้นล้อมรอบไปด้วยแสงของสายฟ้า และกรีดร้องออกมาอย่างน่าสยดสยอง
ในขณะนั้น บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นเงียบงัน
พวกเขาจะไม่ตกใจจนนิ่งเงียบได้อย่างไร เมื่อจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานถูกฆ่าตายภายในไม่กี่วินาที?
ฮูหนิววางมือเท้าเอวและพูดว่า “คนที่พูดจาไม่ดีกับฮูหนิวจะต้องมีจุดจบเช่นนี้!”
ตอนที่ 657
“ยอดเยี่ยม เป็นเมล็ดพันธ์ที่ยอดเยี่ยม!” ชายชราร่างแกร่งดวงตาเปิดกว้างและเผลอปรบมือทันที ส่วนอัจฉริยะที่ตายไปน่ะรึ? ช่างมันสิ
สิ่งที่สำนักนี้ไม่ขาดแคลนคืออัจฉริยะ และการที่ถูกสังหารด้วยหนึ่งกระบวนเช่นนั้นก็หมายถึงเขาไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์
“สาวน้อย เจ้าชื่ออะไร?” ชายชราคนนี้ดูแข็งแกร่งและหล่อเหลา เขาคือผู้รับศิษย์ของนิกายกระบี่ไร้เทียมทาน กั้วเหลียงไฉ ด้วยพลังบ่มเพาะระดับก้าวสู่เทวาของเขาก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้รุ่นเยาว์แห่งยุคสมัยนี้
เขามองไปยังฮูหนิวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล ถ้าไม่ใช่เพราะพลังบ่มเพาะของเขายังต่ำเกินไป เขาคงจะรับฮูหนิวเป็นศิษย์แล้ว
แต่เด็กสาวอัจฉริยะที่มีอายุเพียงหกหรือเจ็ดปีและบ่มเพาะพลังมาถึงระดับตัวอ่อนวิญญาณด้วยตนเองได้เช่นนี้ เขาจะมีคุณสมบัติพอจะสอนนางรึ? เกรงว่าคงมีแต่ผู้นำนิกายหรือไม่ก็เหล่าผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้นถึงจะมุณสมบัติพอ
“ข้าชื่อฮูหนิว หนิวเป็นของหลิงฮัน!” ฮูหนิวพูดและวิ่งกลับไปหาหลิงฮันพร้อมกับจับมือของเขาด้วยท่าทีไร้เดียงสา
สายตาของกั้วเหลียงไฉกวาดผ่านหลิงฮันและตัดสินใจทันที ถ้าพรสวรรค์ของหลิงฮันไม่น่าเป็นที่พอใจ เขาจะสังหารหลิงฮันเพื่อนำตัวฮูหนิวมา เมล็ดพันธ์เช่นนางไม่อาจใช้อย่างเสียเปล่า!
ยิ่งกว่านั้นคืออายุของนางยังน้อย การล้างสมองจึงทำได้ไม่ยาก
ฮูหนิวกลับไปทดสอบอายุกระดูกอีกครั้ง ซึ่งศิษย์แต่ละคนก็ปฏิบัติต่อนางด้วยเคารพอย่างมาก ฮูหนิวได้รับความรักจากจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวา ตราบใดที่พวกเขาไม่โง่ พวกเขาย่อมรู้ดีว่าอนาคตของฮูหนิวจะรุ่งโรจน์ขนาดไหน
พวกเขาจะทำได้เพียงแหงนหน้าจ้องมองนาง
“อายุกระดูกอยู่ในช่วงเจ็ดปีและยังไม่เกินแปดปี!” อายุกระดูกถูกทดสอบอย่างรวดเร็ว ฮูหนิวรู้สึกไม่พอใจมากที่ต้องถูกเข็มตรวจสอบอายุกระดูกทำให้รู้สึกเจ็บนิดๆ นางจ้องเขม็งไปยังศิษย์ที่ทำการตรวจสอบกระดูกจนทำให้เหล่าศิษย์หวาดกลัว
หลิงฮันเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่คาดคิดเลยว่าฮูหนิวจะทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของนางเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
หลิงฮันก้าวออกมาพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายของระดับตัวอ่อนวิญญาณออกมาเล็กน้อยเพื่อยืนยันถึงคุณสมบัติในการตรวจสอบอายุกระดูก ณ ตอนนี้เขาเปลี่ยนรูปลักณ์ให้กลับเป็นปกติแล้ว ในเมื่อเขาตัดสินใจจะทำการเปิดสวรรค์ เขาจึงต้องเปิดเผยใบหน้าของตัวเองให้คนอื่นจดจำในอนาคต
นักปรุงยาระดับสวรรค์ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็เป็นที่ยำเกรง
“ได้โปรดนำแขนออกไปด้วย” เพื่อที่จะไม่ทำให้ฮูหนิวโมโห ศิษย์ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบกระดูกจึงใช้คำว่า ‘ได้โปรด’
การปรากฏตัวของฮูหนิวทำให้พวกเขารู้สึกตัวว่าสวรรค์และปฐพีนั้นกว้างใหญ่ขนาดไหน และยังมีสุดยอดอัจฉริยะเช่นนางอยู่
“ห้ามไร้มารยาทกับหลิงฮันของหนิวด้วย” ฮูหนิวยังคงไม่พอใจ นางปล่อยหมัดเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างดุร้าย
ศิษย์คนนั้นล้มลงไปที่พื้นทันที เขารู้สึกราวกับว่าตนเองถูกอุ้งเท้าของสัตว์อสูรจู่โจมเข้าใส่
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่มนุษย์!
หลิงฮันยิ้มและพูด “เอาล่ะ เลิกสร้างปัญหาได้แล้ว!”
ฮูหนิวยิ้มและจ้องมองหลิงฮันอย่างไร้เดียงสา
หลิงฮันยื่นมือออกไป ศิษย์คนนั้นเช็ดเหงื่อบนใบหน้าและลุกขึ้นมาพร้อมกับถือเข็มสีทองเอาไว้ในมือ เขายังคงรู้สึกหวาดกลัวฮูหนิวจนมือที่ถือเข็มสั่นไปมา
เขาพยายามทำใจให้สงบและแทงเข็มลงไปยังแขนของหลิงฮัน แต่ถึงอย่างนั้นเข็มสีทองกลับไม่สามารถทะลุผ่านผิวของหลิงฮันเข้าไปได้
“อย่าใช้พลังก่อเกิดต้านทานเข็ม…” ศิษย์คนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย แต่ทันทีที่เขายังไม่ทันพูดจบ ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นขาวซีด
ไม่ปกติแล้ว ไม่ว่าจะมองยังไงร่างของหลิงฮันก็ไม่ได้ถูกป้องกันไว้ด้วยปราณก่อเกิด แต่ทำไมผิวหนังของหลิงฮันถึงได้หนาขนาดนี้ แม้แต่เข็มทดสอบกระดูกก็ไม่สามารถทะลุผ่านเข้าได้
เข็มทดสอบกระดูกนั้นคือเครื่องมือที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทดสอบอายุกระดูก มันสามารถแทงทะลุผิวหนังของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณได้อย่างง่ายดาย
เข็มทดสอบกระดูกไม่สามารถทะลุผ่านผิวหนังหลิงฮันได้ทั้งๆที่ไม่ได้โคจรปราณก่อเกิดเพื่อป้องกัน มันเป็นไปได้อย่างไร?
“เร็วๆเข้าสิ เจ้าจะเอาเข็มทิ่มหลิงฮันไปถึงเมื่อไหร่?” ฮูหนิวรู้สึกไม่พอใจ
ศิษย์ที่เคยโดนฮูหนิวทำร้ายกลายเป็นกระวนกระวายจนมือสั่น
“ไร้ประโยชน์จริงๆ!” กั้วเหลียงไฉก้าวออกมาและผลักศิษย์คนนั้นกระเด็น เขาคว้าเข็มทองคำมาและทิ่มลงไปที่มือหลิงฮัน
‘ปัก!’
เข็มทองคำทิ่มลงไปและหดลง
แทงเข้าไปแล้ว?
ไม่ใช่!
กั้วเหลียงไฉตกตะลึง ที่เข็มสั้นลงนั้นไม่ใช่เพราะมันทะลุเข้าผิวหนังของหลิงฮัน แต่เป็นเพราะพลังของกั้วเหลียงไฉนั้นมากเกินไปบวกกันผิวหนังที่ทนทานของหลิงฮัน เข็มก็เลยเบี้ยวจนทำให้รู้สึกเหมือนแทงเข้าไปแล้ว
นี่มันไม่ปกติแล้ว!
ผู้คนรอบข้างที่เคยหัวเราะเยาะศิษย์คนเมื่อครู่กลายเป็นชะงักจนหัวเราะไม่ออก
ช่างเป็นร่างกายที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ แม้แต่จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวายังแทงเข็มไม่เข้า
“ข้าจัดการเอง” หลิงฮันกล่าวและนำดาบกำเนิดมาออกมากรีดมือตนเองจนมองเห็นกระดูก
กั้วเหลียงไฉจ้องมองอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะทิ่มเข็มลงไปสัมผัสกับกระดูกของหลิงฮัน ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความตกตะลึง “อายุประมาณสิบเก้าปี ไม่เกินไปกว่ายี่สิบปี!”
ข้าปวดหัวไปหมดแล้ว!
ผู้คนที่อยู่รอบข้างตกตะลึงไปตามๆกัน สัตว์ประหลาดปรากฏตัวอีกคนแล้ว ถึงแม้จะไม่เท่าฮูหนิวในด้านพลังบ่มเพาะ แต่ในด้านกายหยาบหลิงฮันเหนือกว่าฮูหนิวมากนัก
หลิงฮันเก็บดาบกำเนิดมาร เขาไม่จำเป็นต้องโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ เพราะกายาเพชรนั้นได้สลักพลังของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ไปยังโลหิตและกล้ามเนื้อทุกส่วนของหลิงฮันแล้ว บาดแผลของเขาฟื้นฟูเองอย่างรวดเร็วจนมองไม่เห็นกระดูกอีกต่อไป ราวกับว่าเขาไม่เคยโดนดาบเฉือนมาก่อน
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนอ้าปากค้างอีกครั้ง
แล้วพวกเขาจะสู้หลิงฮันได้อย่างไร?
กายหยาบของเขาเหนือกว่าขีดจำกัดของระดับตัวอ่อนวิญญาณไปแล้ว คงมีอัจฉริยะไม่กี่คนที่สามารถสร้างความเสียหายให้เขาได้ แต่สิ่งสำคัญก็พลังฟื้นฟูของหลิงฮัน เขาคือผู้ไร้พ่ายในระดับพลังเดียวกัน
ตอนที่ 658
หลังจากหายตกตะลึง กั้วเหลียงไฉก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากที่มีเมล็ดพันธ์อัจฉริยะปรากฏตัว ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องรับหลิงฮันเข้านิกายกระบี่ไร้เทียมทานให้ได้
ถึงแม้สำนักสวรรค์จะเป็นการรวมตัวกันของนิกายโบราณทั้งห้า แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่นิกายเดียวกันอยู่ดี แน่นอนว่าพวกเขาต้องการให้ลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดมาอยู่นิกายของตน
“ยอดเยี่ยม!” กั้วเหลียงไฉพยักหน้าไม่หยุด “ชายชราผู้นี้จะจดจำเจ้าเอาไว้!”
หลิงฮันยิ้มจางๆ กั้วเหลียงไฉเป็นจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาขั้นห้าและมีพลังต่อสู้เก้าดาว ซึ่งหลิงฮันในตอนนี้สามารถอาชนะได้ เพราะงั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องพูดตอบโต้ไว้หน้ากับอีกฝ่าย
ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่ชอบคนของนิกายโบราณทั้งห้าอีกด้วย
พวกหลิงฮันสามคนผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น และเนื่องจากเจ้ากระต่ายมักจะพูดเองว่าตนเองมีอายุร้อยกว่าปีแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ได้เข้าร่วมทดสอบ
หลิงฮันไม่ได้นำเจ้ากระต่ายเข้าไปในหอคอยทมิฬ เพราะเกรงว่ากระต่ายหัวขโมยตัวนี้จะฉกชิงสมุนไพรในหอคอยทมิฬไปหมด
หลังจากผ่านการทดสอบกระดูกแล้ว การทดสอบต่อไปก็ไม่อาจเริ่มได้ทันทีเพราะต้องรอคนอื่นก่อนตามเวลาที่กำหนด
พวกหลิงฮันเดินมาถึงพื้นที่กว้างแห่งหนึ่งซึ่งมีคนมากกว่าสามหมื่นคนมารวมตัวกัน การทดสอบกระดูกจะใช้เวลามากกว่าครึ่งวัน เมื่อถึงตอนนั้นจำนวนคนจะมากกว่านี้อีก
น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทำให้สร้างอัจฉริยะได้ถึงขนาดนี้!
ถ้าเป็นในชีวิตที่แล้วของเขา อัจฉริยะที่ยืนอยู่ที่นี่คงมีแค่ประมาณหนึ่งพันคน
เป็นจำนวนที่แตกต่างอะไรเช่นนี้
หลิงฮันไม่ได้ไปรวมตัวกับจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิง แต่ใครบางคนกลับเอ่ยทักทายเขา
“หลิงฮัน?” ฉินหยีเย่วปรากฎตัวและจ้องมองเขาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยท่าทีไม่มั่นใจ นั่นเพราะตอนนี้หลิงฮันไม่ได้แปลงโฉมแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงฮันเป็นที่โดดเด่นและน่าจดจำคือฮูหนิว นอกจากเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดคนนี้แล้ว จะมีเด็กคนอื่นผ่านการทดสอบจนมายืนอยู่ที่นี่ได้อีกรึ?
“ไม่ได้พบกันนาน” หลิงฮันพยักหน้าและยิ้ม
“เป็นเจ้าจริงๆ!” ฉินหยีเย่วมั่นใจ จากนั้นนางก็มองมายังเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “นี่คือใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า?”
ฉินหยีเย่วตกตะลึงและกล่าว “ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะอายุน้อยเช่นนี้!”
“ขอบคุณ” หลิงฮันยิ้ม
“น้องชายหลิง!” คู่พี่ชายน้องสาวหลี่เฟิงหยู่และหลี่ซือเชียนเองก็ปรากฏตัวขึ้นมาและทักทายหลิงฮันเช่นกัน
“เป็นอย่างไรกันบ้าง” หลิงฮันพยักหน้าทักทายกลับ
“นั่นมัน…” เมื่อหลี่เฟิงหยู่เห็นฉินหยีเย่ว ดวงตาของเขาก็เป็นประกายและรีบก้าวเดินเข้าไปอีกสองก้าว “แม่สาวงาม ข้าคือหลี่เฟิงหยู่ผู้สง่างามและหล่อเหลา”
“หล่อเหลาหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ฝีปากของเจ้าไม่เป็นสองรองใครแน่นอน” ฉินหยีเย่วยิ้ม
“เขาเป็นชายผู้ถูกเรียกว่าหลี่ปากกว้าง การพูดนินทาคือเรื่องถนัดของเขา” หลิงฮันพูดเปิดเผยธาตุแท้ของอีกฝ่าย
“ว่าไงนะ!” หลี่เฟิงหยู่ไม่พอใจ “ข้าไม่ได้เก่งแค่คำพูดคำจาเสียหน่อย แม้แต่การร้องเพลงข้าก็นับว่าเชี่ยวชาญ”
“ท่านพี่ พูดน้อยๆหน่อย!” หลี่ซือเชียนรู้สึกอับอาย พี่ชายของของนางคนนี้มักจะทำให้นางรู้สึกขายหน้าอย่างมาก!
“น้องสาว ผมของเจ้าดูงดงามจัง” ฉินหยีเย่วก้าวไปหาหลี่ซือเชียน ผู้หญิงนั้นมีวิธีการพูดคุยกับผู้หญิงด้วยกันเอง ภายในพริบตาจูเสวียนเอ๋อก็เข้าไปร่วมวงกับพวกนาง หญิงสาวทั้งสามพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
หลิงฮันมองเห็นชางเย่และเหอหลันหยุนที่กำลังเดินตามพวกเขามา แต่หลิงฮันได้ส่ายหัวให้ชางเย่ เพื่อเป็นสัญญาณว่าห้ามเข้ามาทักทายเขา
“ดูนั่น เหวินเหรินเชียนเชียนมาแล้ว!”
ทุกคนจ้องเป็นตาเดียวกัน เหวินเหรินเชียนเชียนคืออัจฉริยะของนิกายหยางไพศาลที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเผยความสามารถให้ใครเห็นมาก่อนและเพิ่งจะมาเป็นที่รู้จักเมื่อไม่นานมานี้ นางมีศักยะเทียบได้กับสุดยอดอัจฉริยะอย่างย่าวหุยเยว่และราชันกระบี่น้อย
“งดงามยิ่งนัก นางดูราวกับเป็นเทพธิดาเลย”
“ข้าเห็นด้วย คงมีเพียงธิดาอีหยุนเท่านั้นที่จะเทียบนางได้”
“นี่เจ้าลืมตงหลิงเอ๋อไปรึเปล่า?”
“จริงด้วย ตงหลิงเอ๋อคือสตรีที่งดงามที่สุดอันดับหนึ่งไม่มีสอง ในโลกนี้ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงกับนางได้”
ทุกคนเห็นด้วยราวกับถูกครอบงำ
หลิงฮันรู้สึกสงสัยเล็กน้อย ตงหลิงเอ๋อนั้นงดงามขนาดไหนกันถึงได้ทำให้อัจริยะมากมายหลงไหลขนาดนี้
นอกจากนี้หลิงฮันยังเห็นหลูหยวนจือที่ถือดาบไม้ในหมู่ผู้ผ่านการทดสอบกระดูกอีกด้วย ร่างของเขาดูมั่นคงราวกับใบดาบ
หากพูดถึงคนที่จะสร้างแก่นแท้ดาบได้ในอนาคต ชื่อของชายคนนี้จะต้องติดอยู่ในรายชื่อที่ถูกกล่าวถึงแน่นอน
ยึดมั่นในดาบราวกับคนบ้า ในจิตใจของอีกฝ่ายคงไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากดาบ อัจฉริยะที่ทั้งมีพรสวรรค์และความพยายามเช่นนี้ ความสำเร็จในอนาคตจะต้องน่าทึ่งแน่นอน
หนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว และในช่วงเช้า สำนักสวรรค์ก็ประกาศถึงการเริ่มทดสอบรอบแรก
พวกเขามีเวลาทั้งหมดสามวัน พวกเขาต้องเดินผ่านภูเขาสามเขาเพื่อไปยังหุบเขาที่เรียกว่าหุบเขาผนึกภูติ ถ้าพวกเขาไปถึงที่นั่นได้ภายในสามวันพวกเขาก็จะผ่านเข้าสู่การทดสอบต่อไป แต่ถ้าเลยสามวันไปแล้ว พวกเขาก็ต้องถูกตัดสิทธิ์
ในการทดสอบรอบแรกนั้นห้ามทุกคนโจมตีใส่กัน ใครที่ไม่ทำตามกฎจะถูกขับออกจากการทดสอบทันที ส่วนในรอบที่สองนั้นสามารถโจมตีกันได้ แต่ห้ามสังหาร เพราะทุกคนถือว่าเป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์เช่นเดียวกันแล้ว
ระหว่างการทดสอบมีสายตาของตัวตนระดับสูงคอยสอดส่องความเป็นไปอยู่
เมื่อกฎถูกบอกแล้ว ทุกคนจึงเริ่มออกเดินทางพร้อมกัน
หลิงฮันพยักหน้าให้กับฉินหยีเย่วและหลี่เฟิงหยู่ จากนั้นก็พาฮูหนิวและจูเสวียนเอ๋อออกเดินทางเข้าไปในป่า
“หืม?”
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย ในป่าแห่งนี้มีคลื่นลมที่มองไม่เห็นซัดเข้ามาใส่ร่างของเขาจากด้านซ้ายไปทางขวา โชคดีที่ร่างกายของเขานั้นทรงพลัง เขายืนโต้คลื่นที่ซัดเข้ามาราวกับเป็นขุนเขาที่ไม่อาจถูกทำให้เคลื่อนที่
ทางด้านจูเสวียนเอ๋อนั้นถูกพัดจนร่างลอย แต่หลิงฮันก็ยื่นมือคว้านางเอาไว้อย่างรวดเร็ว จูเสวียนเอ๋อจึงใช้โอกาสนี้เอนร่างตัวเองเข้าสู่อ้อมกอดหลิงฮัน ใบหน้าอันงดงามของนางเต็มไปด้วยเขินอาย แต่ก็มีความสุข
ฮูหนิวหัวเราะและกระโดดโลดเต้นไปตามคลื่นลม ร่างของนางก็เกือบจะถูกพัดลอยเหมือนกัน แต่นางได้เปลี่ยนร่างของตัวเองให้กลายเป็นสายฟ้าและกลับมาปรากฏตัวข้างๆหลิงฮัน
“สตรีอัปลักษณ์ ถอยห่างออกจากหลิงฮันซะ!” เด็กสาวคำรามด้วยความรู้สึกอิจฉา
หลิงฮันอุ้มฮูหนิวขึ้นมากอดเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้เด็กสาวจึงไม่บ่นอะไรต่อ
‘พรึบ’ จู่ๆคลื่นลมก็เปลี่ยนไป คราวนี้มันเปลี่ยนมาซัดจากด้านหน้าแทน แต่ผ่านไปอีกซักพักมันก็เปลี่ยนไปเป็นด้านหลัง ด้านซ้าย การเปลี่ยนแปลงทิศทางของมันเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก
ไม่แปลกใจเลยทำไมจึงให้เวลาเดินผ่านภูเขาถึงสามวัน ที่แท้ที่นี่ก็มีคลื่นลมที่ซัดร่างให้ปลิวได้นี่เอง เขาเชื่อว่าสำหรับจอมยุทธส่วนใหญ่นั้นไม่ต้องกล่าวถึงสามวันเลย ขนาดให้เวลาหนึ่งเดือนพวกเขาก็ไม่สามารถผ่านไปได้
ถ้าผ่านภูเขาไปได้ภายในสามวัน เจ้าก็จะได้เป็นศิษย์ของสำนักสวรรค์ มีรึที่การทดสอบจะง่าย?
ตอนที่ 659
สำหรับหลิงฮัน นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย
กายหยาบของเขาแข็งแกร่งมาก ถ้าเขาเปรียบเหมือนภูเขา แล้วสายลมพวกนี้จะพัดเขาปลิวได้อย่างไร? และเขาก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างมั่นคง
“การทดสอบรอบที่สองคือการเก็บรวบรวมก้อนหิน ยิ่งเก็บรวบรวมได้เยอะยิ่งดี”
“อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่สามารถมาถึงการทดสอบรอบที่สองได้ภายในสามวัน แม้จะมาช้าแต่ก็ไม่เป็นไร เพียงแค่ปล่อยให้คนอื่นเก็บรวบรวมไปก่อน แล้วค่อยแย่งชิงก็ทำได้เช่นกัน”
“การต่อสู้ย่อมเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ข้ารู้สึกสนใจกระแสพลังปราณที่ปรากฏอยู่ที่นี่มาก มันน่าจะเป็นแก่นรูปแบบอาคมที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น”
“ถ้าข้าได้รับแก่นรูปแบบอาคมมาล่ะก็…มันไม่เลวเลย”
“ถ้างั้นตัดสินใจตามนั้น”
หลิงฮันเดินค้นหาแก่นรูปแบบอาคมพร้อมกับสาวงามทั้งสองคน
ที่นี่ไม่มีสมุนไพรเลยแม้แต่ต้นเดียว มันเป็นเพียงแค่ป่าธรรมดาเท่านั้น ดังนั้นทุกคนจึงสนใจแค่การก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจเรื่องสมุนไพร เมื่อผู้คนเห็นหลิงฮันเดินมาพร้อมกับหญิงสาวสองคนในอ้อมแขนของเขาอย่างผ่อนคลาย ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะรู้สึกตกใจ
บนเส้นทางมีการไหลเวียนของกระแสพลังปราณที่รุนแรง ปัดเป่าพวกเขาเหมือนคนธรรมดาทั่วไป การก้าวเดินแต่ละก้าวนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่เขากลับโอบหญิงสาวสองคนไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าทีผ่อนคลายและเดินอย่างสบายใจ มันทำให้พวกเขาอย่างจะร้องไห้ออกมา
แม้แต่สุดยอดอัจฉริยะอย่างเหวินเหรินเชียนเชียนและจ้าวจื่อหยวนยังรู้สึกตกใจ
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับคำเชิญโดยตรงจากสำนักสวรรค์ แต่พวกเขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองเต็มเปี่ยม
ในตอนนี้พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะสร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน
แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้ทำให้คนอื่นรู้สึกประหลาดใจ แต่เป็นพวกเขาเองที่เป็นฝ่ายประหลาดใจ
“เขาน่าจะฝึกฝนเทคนิคปฐพีประเภทแรงโน้มถ่วงเลยทำให้ศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงมั่นคงขนาดนั้น” เมื่อผู้คนได้ยินคำพูดของเหวินเหรินเชียนเชียนกล่าว ทำให้ความคิดที่อยู่ในใจของพวกเขาถูกปัดเป่าออกไป
หลิงฮันไม่ได้สนใจคนอื่นมากนัก เขาวิ่งข้ามภูเขาและในที่สุดก็พบแก่นรูปแบบอาคมอันแรกที่ขอบด้านนอกภูเขา
มันเป็นธงที่มีความสูงเท่าคน ส่วนเสาธงทำมาจากโลหะสีดำและมีอักขระสลักอยู่ และมีราชสีห์สยายปีกกางกรงเล็บอยู่บนธง
“อะไรกัน?” หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ อักขระถูกจารึกบนเสาธงดูปกติ และธงที่ดูไม่มีอะไรแต่กลับมีบทบาทสำคัญ น่าเสียดายที่หลิงฮันไม่อาจเข้าใจความลึกลับนี้ได้
“เจ้าสิงโตตัวนี้เหมือนมีชีวิตเลย!” ฮูหนิวชี้ไปที่ธงและพูด
หลิงฮันตกตะลึง บทบาทของรูปแบบอาคมคือการรวบรวมพลังแห่งสวรรค์และปฐพี และธงนี่ดูเหมือนจะแสดงพลังของมันออกมาและสร้างสายลมที่รุนแรงพัดใส่ภูเขา
“ข้าต้องการมัน!”
หลิงฮันเอื้อมมือหยิบธง แต่ทันใดนั้น สิงโตตัวนั้นปรากฏตัวออกมาจากธงและกลายเป็นสิงโตที่มีขนาดห้าฟุตสยายปีกออกมาและก่อให้เกิดสายลมที่รุนแรง
“สิงโตตัวน้อยเข้ามาในชามเร็ว!” ฮูหนิวหยิบหม้อและกระทะออกมาพร้อมกับน้ำลายที่ไหลยืด
“แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่พลังของมันเป็นของจริง!” หลิงฮันจ้องมองด้วยความประหลาดใจ สิงโตตัวนั้นเกิดขึ้นจากธงที่รวบรวมพลังของสวรรค์และปฐพี แต่ก็มีร่องรอยของเลือดก่อนที่มันจะตาย
มันน่าจะเกิดขึ้นมาจากเลือดของสิงโต ดังนั้นสิงโตที่เกิดขึ้นมาจากภาพลวงตานี่จึงดูเสมือนจริงมาก ราวกับว่ามันมีสัตว์อสูรอยู่เบื้องหน้าพวกเขาจริง
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฮูหนิวถึงน้ำลายไหลอย่างกับสายน้ำ
“เอาล่ะ ดูเหมือนว่าข้าจะต้องจัดการเจ้าก่อน!” หลิงฮันยิ้มและเริ่มโจมตีใส่สิงโตมีปีก
หลิงฮันแข็งแกร่งมาก เขาสร้างรัศมีดาบขึ้นมาและมีสายฟ้าพันอยู่ แม้ว่าเขาจะไม่ใช้ทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นเพิ่ม แต่แค่นี้พลังต่อสู้ของเขาก็เกินกว่าระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว และเป็นเรื่องจากที่จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาจะทำร้ายเขา
สิงโตมีปีกมีพลังต่อสู้แค่ระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสูงเท่านั้น แลัวมันจะรับมือกับหลิงฮันได้อย่างไร?
“เจ้าสิงโตน้อย จงเชื่อฟังข้า!” หลิงฮันหัวเราะและสะบั้นรัศมีดาบไปที่ปีกของมัน
ฉึก!
สิงโตมีปีกถูกตัดเป็นสองส่วนด้วยรัศมีดาบ แน่นอนว่าไม่มีโลหิตสาดกระเซ็นออกมาแต่อย่างใด เพราะมันเป็นการรวบตัวกันจากพลังของสวรรค์และปฐพี และร่างทั้งสองส่วนของมันพยายามที่จะกลับมารวมเข้าด้วยกันอีกครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์
การโจมตีของหลิงฮันทำลายล้างลึกเข้าไปถึงไขกระดูก แม้มันจะถูกตัดออกเป็นสองส่วนไปแล้ว แต่พลังทำลายล้างของหลิงฮันยังคงดำเนินต่อไปเหมือนกับลูกโซ่
“พี่ชายฮัน ท่านแข็งแกร่งขึ้นมากเลย!” จูเสวี่ยนเอ๋อมองเขาด้วยแววตาที่งดงาม ยิ่งชายที่นางรักแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหน นางยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
หลิงฮันยกมือขึ้นมาและสัมผัสใบหน้าของนางแล้วพูดว่า “อย่าโปรยเสน่ห์ใส่ข้ามากเกินไป!” เสน่ห์ของนางเกือบทำให้หลิงฮันสติหลุด
“ฮึ่ม!” ฮูหนิวรู้สึกไม่พอใจ นางกอดอกและบุ้ยปาก
หลิงฮันเดินเข้าไปเก็บธงอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่มีสิงโตมีปีกปรากฏตัวออกมาเพื่อหยุดเขาอีกต่อไป เขาดึงธงขึ้นมาและทันใดนั้นสายลมที่พัดโหมกระหน่ำบนภูเขาแห่งนี้เริ่มอ่อนแอลงขึ้นมาทันที
ที่นี่มีธงมากกว่าหนึ่งธง แต่ไม่มีใครรู้วงธงผืนอื่นนั้นอยู่ที่ไหน ดังนั้นการได้รับธงผืนแรกมาถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก
“เสวี่ยนเอ๋อ ธงผืนนี้เหมาะกับเจ้า” หลิงฮันโยนธงให้กับจูเสวี่ยนเอ๋อ ซึ่งมันไร้ประโยชน์สำหรับเขา
“ขอบคุณ” จูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกมีความสุขมาก ตราบใดที่เป็นของที่หลิงฮันให้นางมา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็สามารถทำให้นางรู้สึกมีความสุขได้
“หนิวเองก็อยากได้!” ฮูหนิวเปิดปากพูด
“ถ้างั้นไปหาธงผืนอื่นกันเถอะ” หลิงฮันยิ้ม
จากสีหน้าที่ไม่พอใจของฮูหนิวดูมีความสุขขึ้นมาทันที เมื่อถูกเกลี้ยกล่อม
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน พวกเขาก็พบธงผืนที่สอง และหลิงฮันมอบมันให้กับฮูหนิว จึงทำให้เด็กสาวตัวน้อยรู้สึกมีความสุขมาก แต่หลังจากเล่นได้ไม่นาน นางก็รู้สึกว่ามันไร้ความหมาย นางจึงโยนมันลงบนพื้นและหมดความสนใจ
จูเสวี่ยนเอ๋อจึงหยิบธงผืนนั้นขึ้นมา ธงผืนนี้สามารถยับยั้งจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณทั่วไปได้ ถ้าปักไว้ที่ภูมิภาคเหนือมันจะเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก
พวกเขาทั้งสามคนยังคงออกเดินทางต่อ เมื่อพวกเขาเห็นธงผืนอื่น พวกเขาก็จะเก็บมันเอาไว้
“หืม ทำไมพลังของสายลมที่แปลกประหลาดนี่ถึงอ่อนแรงลงขนาดนี้?”
“ใช่แล้ว ทิศทางการเปลี่ยนแปลงของลมก็น้อยลง”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ามีความมั่นใจขึ้นมาแล้วว่าจะไปถึงหุบเขาผนึกภูติภายในสามวัน”
ผลที่ตามมาจากการกระทำของหลิงฮันทำให้ความยากลำบากของการทดสอบลดลงอย่างมาก เมื่อผู้อาวุโสของสำนักสวรรค์ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นใบหน้าของพวกเขาถึงขั้นบิดเบี้ยวเป็นสีเขียว
ตอนที่ 661
ทุกคนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ พลังป้องกันของโครงกระดูกแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่พลังทำลายของทั้งหลิงฮันและฮูหนิวนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป
กลิ่นอายของหลิงฮันเปลี่ยนไปราวกับเขากลายเป็นดาบและโจมตีใส่โครงกระดูก
‘ตูม’ รัศมีดาบทรงพลังเป็นอย่างมาก แถมภายในรัศมีดาบของเขายังส่องสว่างไปด้วยประกายสายฟ้าอีกด้วย รัศมีดาบของหลิงฮันได้รับการเสริมแกร่งด้วยอำนาจสายฟ้าอย่างมหาศาลเพราะเขาฝึกฝนทักษะศักดิ์สิทธิ์อัสนีบาตเก้าทิวา แถมหลิงฮันยังฝึกฝนกายาอัสนีจนบรรลุระดับเริ่มต้นแล้วด้วย จึงไม่แปลกที่พลังต่อสู้ของเขาจะน่าสะพรึงกลัว
ร่างของโครงกระดูกสั่นสะท้านด้วยอำนาจแห่งแห่งสายฟ้า และเมื่อถูกโจมดีด้วยรัศมีดาบ ร่องรอยเสียหายก็ปรากฏขึ้นบนร่างอันแข็งแกร่งของโครงกระดูก
ตามปกติแล้วโครงกระดูกเหล่านี้จะไม่สามารถได้รับความเสียหายจากจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ใครใช้ให้พลังต่อสู้ของหลิงฮันเหนือกว่าระดับตัวอ่อนวิญญาณกัน ด้วยการผสานกันของรัศมีดาบและอัสนีบาตเก้าทิวา พลังต่อสู้ที่เขาใช้ในตอนนี้นั้นสมควรเป็นระดับก้าวสู่เทวาหนึ่งดาวเป็นอย่างน้อย
เมื่อถูกโจมตีสิบครั้งติดต่อกัน โครงกระดูกถูกหลิงฮันทำลายกลายเป็นเศษฝุ่นกลับคืนสู่ผืนปฐพี
หลิงฮันรู้สึกไม่สบอารมรณ์เล็กน้อย เพราะว่าการที่สำนักสวรรค์ใช้ซากกระดูกของคนตายมาใช้ประโยชน์เช่นนี้ซึ่งโครงกระดูกเหล่านี้ก็คงเป็นอดีตจอมยุทธมากมายที่ตกตายในมหาภัยพิบัติจากยุคโบราณ หากพูดด้วยจิตสำนึกแล้ว พวกเขาจะต่างอะไรกับนิกายพันศพ?
หากลองคิดแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย
นิกายพันศพคือการเปลี่ยนคนให้กายเป็นซากศพ ส่วนห้านิกายโบราณคือการหลอมผู้คนให้กลายเป็นเม็ดยา การกระทำของพวกเขาจะทำให้ทุกอย่างสูญสิ้นไปเหมือนกัน
หลิงฮันหยิบหินแปลกประหลาดขึ้นมา มันเป็นหินที่ไม่สามารถเก็บเข้าไปในหอคอยทมิฬหรืออุปกรณ์มิติได้ราวกับว่ามันมีจิตสำนึกเป็นของตนเอง ในขณะที่หลิงฮันใช้จิตนึกคิดอัญเชิญจิตวิญญาณศิลาออกมาและโยนหินไปให้มัน
จิตวิญญาณศิลาสูดดมหินเล็กน้อยและทันใดนั้นมันก็เปิดปากกว้างกินหินประหลาดเข้าไปทันที มันเคี้ยวหินอยู่ในปากดังกรุบๆ จนทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกเสียวฟัน
“หลิงฮัน เจ้าทำลายหินทำไม?” ฉินหยีเย่วอุทานออกมา
“นั่นสิ หินนั่นนะช่วยให้เจ้ากลายเป็นศิษย์หลักของสำนักสวรรค์ได้นะ” หลี่ซือเชียนกล่าว
หลิงฮันยิ้มและพูด “ไม่มีอะไรต้องห่วง หินเหล่านี้ยังมีอีกมาก แค่ใช้เวลานิดๆหน่อยๆ” จิตวิญญาณศิลาสามารถเพิ่มพลังของตนเองได้การการกินหิน ในเมื่อมันชอบหินแปลกประหลาดที่ให้ไป ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าหินแปลกประหลาดนี้มีประโยชน์ต่อมัน
หลังจากจิตวิญญาณศิลากินเสร็จ มันก็เอนร่างของตนเองลงไปที่เท้าของหลิงฮันราวกับลูกสุนัขและหันมองหลิงฮัน
จิตวิญญาณศิลาจ้องมองหลิงฮันด้วยปากที่เปิดออกกว้าง ถ้าหากมันเป็นมนุษย์ ตอนนี้ก็คงเดาได้ไม่ยากว่าน้ำลายของมันคงจะไหลท่วมออกมาแล้ว
หลิงฮันรู้ว่าจิตวิญญาณศิลายังคงคิดถึงก้อนอิฐอยู่ แต่ก้อนอิฐได้หายไปพร้อมกับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนแล้วซึ่งเขาไม่สามารถตามหามันได้ เขาไม่รู้ว่าเด็กสาวมหาสมุทรน้อยโกรธอะไรกันแน่ จู่ๆถึงได้หายตัวไปโดยไม่พูดอะไรซักคำ
“เอาล่ะ ก้อนนี้ก็ให้เจ้าเหมือนกัน!” หลิงฮันโยนหินประหลาดที่เหลืออยู่ให้กับจิตวิญญาณศิลา
จิตวิญญาณศิลาคว้าหินประหลาดมาแทะเล็ม ถึงแม้หินนี้จะเทียบกับก้อนอิฐไม่ได้ แต่ยังไงอาหารก็ยังเป็นอาหาร มันไม่อาจปล่อยให้เสียเปล่าโดยไม่กินได้
หลิงฮันคิดในใจ ถ้าหอคอยทมิฬชั้นแรกมีพลังต้นกำเนิดแห่งปฐพี งั้นเขาจะสามารถสร้างหินที่ทรงพลังขึ้นมาเพื่อเสริมแกร่งให้กับจิตวิญญาณศิลาได้รึเปล่า? เขารีบถามคำถามนี้กับหอคอยน้อยทันที
“ทำได้” หอคอยน้อยตอบอย่างเรียบง่าย
หลิงฮันรู้สึกราวกับกำลังจะบ้าคลั่งและถามอีกครั้ง “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?”
“ก็เจ้าไม่ได้ถาม” หอคอยน้อยตอบอย่างไม่แยแส
หลิงฮันพูดกลับไป “งั้นก็สร้างขึ้นมาให้ข้าซักร้อยชิ้น”
ถ้าหอคอยน้อยมีดวงตา มันคงจะขึงตาใส่หลิงฮันแล้ว “หอคอยทมิฬกำลังอยู่ในช่วงซ่อมแซม แล้วข้าจะมีพลังต้นกำเนิดให้เจ้าเผาผลาญเล่นมากขนาดนั้นได้อย่างไร? หนึ่งเดือนสามารถสร้างได้หนึ่งก้อนเท่านั้น”
เอาเถอะ หนึ่งเดือนก็ยังดีกว่าสร้างไม่ได้เลย
“แล้วมันจะมีผลลัพธ์เช่นไร?” หลิงฮันถามอีกครั้ง
“หากกินเข้าไปสามก้อน อสูรศิลาจะทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณได้ ถ้าหากหกก้อนอสูรศิลาจะทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวา” หอคอยน้อยตอบอย่างไม่แยแส
น่าทึ่งขนาดนั้นเชียว?
หลิงฮันอดนึกน้อยใจไม่ได้ แค่การกินก้อนหินไม่กี่ก้อนก็ทำให้พลังบ่มเพาะของจิตวิญญาณศิลาทะยานขึ้นสูงแล้ว
ในเมื่อการทะลวงผ่านระดับของจิตวิญญาณศิลาทำได้ง่ายขนาดนี้ หลิงฮันจึงไม่คิดจะมอบหินประหลาดให้มันอีกต่อไปและกล่าวขึ้นมา “ในเมื่อเจ้าอิ่มแล้ว เจ้าก็ต้องขยันทำงานหน่อย”
“โฮกก!” จิตวิญญาณศิลาทุบอกตัวเองราวกับเป็นกอลิล่า
ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง หุ่นเชิดตนนี้ดูเหมือนกับมนุษย์มากจริงๆ
เมื่อเดินหน้าต่อไป ในไม่ช้าพวกเขาก็พบเห็นโครงกระดูกที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ดิน จำนวนของพวกมันมีเยอะมาก หลังจากปีนขึ้นมาจากฝืนดินได้สำเร็จ พวกมันก็เข้าโจมตีหลิงฮันทันที
แต่โครงกระดูกเหล่านี้แข็งแกร่งเกินไป หากเป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็อาจจะพอต้านทานพวกมันได้ แต่สำหรับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานแล้ว แค่กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวที่โครงกระดูกปลดปล่อยออกมาก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าไปใกล้พวกมันแล้ว
จิตวิญญาณศิลาเป็นฝ่ายสู้ตอบโต้กับโครงกระดูกที่พุ่งเข้ามา ‘ตูม’ แต่เมื่อดูกหมัดของโครงกระดูกโจมตี ร่างของจิตวิญญาณศิลาก็แตกกระจายกลายเป็นก้อนกรวด โชคดีที่แก่นกลางของมันไม่ถูกทำลายและฟื้นสภาพกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ พึ่งพาไม่ได้จริงๆ!” หลิงฮันเริ่มลงมือเอง ฮูหนิวเองก็คำรามด้วยความตื่นเต้นและเข้าร่วมสู้กับหลิงฮัน
เมื่อสัตว์ประหลาดสองตัวร่วมมือกัน เหล่าโครงกระดูกก็ทำได้เพียงสาปแช่งยอมรับชะตากรรม เพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่าโครงกระดูกก็ทำลายพร้อมกับหินที่ร่วงหล่นลงมา
หินเหล่านี้ไม่สามารถนำเข้าไปในหอคอยทมิฬและต้องคอยเก็บมันเอาไว้ข้างกาย หลิงฮันรู้สึกไม่พอใจในเรื่องนี้มาก เพราะการถือหินไปมามันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเขา โชคดีที่หินมีขนาดแค่เท่ากำมือซึ่งไม่ใหญ่มาก ไม่เช่นนั้นเขาคงจะคลั่งตายไปแล้ว
ในช่วงเวลากลางวัน เขาก็พกหินติดตัวมากกว่ายี่สิบก้อน ถึงแม้หินแต่ละก้อนจะส่องแสงสว่างออกมาไม่มาก แต่เมื่อหลายๆก้อนมารวมกันแสงก็ที่ขึ้นก็ทำให้ร่างของหลิงฮันราวกับกลายเป็นต้นกำเนิดแห่งแสง
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทำให้หลิงฮันกลายเป็นเป้าหมายเคลื่อนที่ เวลาผ่านไปซักพักก็มีคนเริ่มเข้ามาจู่โจมเขาเพื่อขโมยหิน แต่แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วพวกมันก็เป็นฝ่ายถูกหลิงฮันช่วงชิงมาเอง สิ่งที่หลิงฮันชิงมานั้นไม่ใช่แค่หินประหลาดแต่รวมไปถึงแหวนมิติของพวกมันด้วย
ผ่านไปอีกวันพวกเขาก็หยุดพักและนำวัตถุดิบออกมาทำอาหาร
“ทิ้งหินประหลาดเอาไว้แล้วพวกเจ้าถึงจะสามารถไสหัวไปได้” ชายสวมชุดสีครามปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าหยิ่งยโสและเค้นเสียงพูดใส่กลุ่มพวกเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ตอนที่ 662
“เหยียนเฮิงเหอ!” หลี่เฟิงหยู่และหลี่ซือเชียนอุทานพร้อมกัน
“โอ้ ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นใครแล้วยังไม่รีบไสหัวไปอีก?” ชายเลือดร้อนแสยะยิ้ม
เมื่อเห็นว่าหลิงฮันยังคงสับสน ฉินหยีเย่วจึงพูดอธิบาย “เหยียนเฮิงเหอคือศิษย์ของนิกายบุปผาเมฆาที่ถูกจองจำมาเป็นเวลานานเจ้าคงอาจจะไม่เคยได้ยิน ชื่อเสียงของเขาเพิ่งจะมาโด่งดังเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องการเขาสามารถโค่นล่มผู้อาวุโสระดับตัวอ่อนวิญญาณได้มากมาย เขาเป็นชายที่ทรงพลังมาก”
“เขาคือชายที่เทียบได้กับย่าวหุยเยว่และราชันกระบี่น้อย”
หลิงฮันส่ายหัวและพูด “ราชันกระบี่น้อยและหลางหยาเทียนมีอายุสี่สิบปีกว่าแล้ว พวกเขาแตกต่างกับย่าวหุยเยว่ถึงหนึ่งรุ่น พวกเขาจะนำมาเทียบกันได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นข้าก็ไม่เชื่อด้วยว่าหมอนี่จะยอดเยี่ยมไปกว่าย่าวหุยเยว่”
“พวกเจ้ายังมัวซุบซิบอะไรกันอยู่อีก?” เหยียนเฮิงเหอพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่พอได้ยินชื่อของเขาแล้วอีกฝ่ายยังไม่หวาดกลัวและรีบหนีไป?
หลี่เฟิงหยู่กระซิบ “ข้าจะหลอกล่อเขาให้เอง พวกเจ้ารีบไปก่อนเลย” หลี่เฟิงหยู่พูดด้วยรอยยิ้มและเดินไปยังเหยียนเฮิงเหอ “พี่ชายเหยียนข้าคือหลี่เฟิงหยู่ ข้าได้ยินชื่อเสียงของพี่ชายมานานแล้วจนในที่สุดก็ได้เห็นตัวจริงในวันนี้ ช่างเป็นวันที่โชคดีอะไรเช่นนี้ พี่ชายเหยียนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เพียงแค่ยืนเฉยๆรัศมีของท่านก็เฉิดฉายจนตัวข้าผู้นี้รู้สึกปราบปลื้มในใจ พี่ชายจะช่วยชี้แนะแนวทางให้น้องชายผู้นี้ได้รึไม่…”
หลี่เฟิงหยู่พูดน้ำไหลไฟดับ จนพวกหลิงฮันอดคิดไม่ได้ว่ามีคนที่พูดเรื่องแต่งได้ไหลลื่นเช่นนี้อยู่บนโลกได้อย่างไร
หลี่เฟิงหยู่พูดอยู่เป็นเวลานานจนปากเปียกปากแฉะ แต่พอเขาหันหลังไปมองกลับยังเห็นทุกคนยืนอ้าปากค้างมองมาที่เขา จนเขาอดอุทานออกไปไม่ได้ว่า “ข้าหมดเรื่องจะพูดแล้ว ทำไมพวกเจ้ายังไม่หนีไปอีก?”
หลิงฮันหัวเราะและพูด “ไม่คิดว่าข้าก็อยากเห็นว่าเจ้าจะแต่งเรื่องได้เก่งขนาดไหนบ้างรึไง?”
ตอนนี้หลิงฮันมั่นใจอย่างมากว่าเขาสามารถจัดการราชันกระบี่น้อยด้วยทักษะดาบของเขาได้ เช่นนั้นแล้วเขายังจำเป็นต้องหลบหนีจากเหยียนเฮิงเหออีกรึ? ช่างน่าขัน
เหยียนเฮิงเหอไม่แสดงสีหน้าโกรธแต่กลับพูดออกมาอย่างเย็นชา “เจ้ากล้าพูดจาเล่นลิ้นกับข้า!”
หลี่เฟิงหยู่หวาดกลัวจนรีบวิ่งหนี ถึงแม้เขาจะเป็นอัจฉริยะเหมือนกันแต่ก็ไม่ใช่ระดับเดียวกันกับเหยียนเฮิงเหอ ยิ่งกว่านั้นพลังบ่มเพาะของเขายังต่ำกว่าอีกฝ่ายอีก แล้วแบบนี้จะให้เขากล้าสู้ได้อย่างไร?
“น้องชายหลิง ที่เหลือฝากเจ้าด้วย” หลี่เฟิงหยู่ตะโกน
“เจ้าคนบัดซบ เจ้าต้องการสังหารเจ้า!” เหยียนเฮิงเหอกล่าวอย่างเย็นชา เขาต้องการสังหารอีกเป็นอย่างมาก แต่กฎการทดสอบห้ามไม่ให้ทำเช่นนั้น เขาเองก็ไม่ต้องการสูญเสียโอกาสในการเข้าร่วมสำนักสวรรค์ไปเหมือนกัน
“น้องชายหลิง จัดการมันเลย แล้วข้าจะส่งน้องสาวของข้าไปเป็นภรรยาเจ้า” หลี่เฟิงหยู่ตะโกนอีกครั้งออกมา
“ท่านพี่!” หลี่ซือเชียนอายใบหน้าขึ้นสี ทำไมนางถึงได้ถูกนำไปขายเช่นนี้?
“หลิงฮันไม่ต้องการสตรีอัปลักษณ์คนนี้หรอก!” ฮูหนิวรีบพุ่งออกมา นางรีบลงมือเพื่อไม่ให้หลิงฮันมีโอกาสจัดการเหยียนเฮิงเหอ
‘ฟุบ’ ร่างของนางกลายเป็นสายฟ้าและปรากฏตัวอย่างกะทันหันขึ้นที่ด้านหน้าเหยียนเฮิงเหอ หมัดเล็กๆของนางยื่นออกมาและจู่โจมใส่อีกฝ่าย
“หืม?” เหยียนเฮิงเหอประหลาดใจ เขาไม่เคยคิดเลยว่าเด็กสาวตัวแค่นี้จะรวดเร็วเช่นนี้ เขาไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าฮูหนิวจะมีระดับพลังเดียวกันกับตนเอง การปรากฏตัวของฮูหนิวทำให้ความมั่นใจในตนเองของเขาพังทลายสิ้น
เขาภูมิใจในระดับพลังของตนเองมาก ระดับตัวอ่อนวิญญาณที่มีอายุยี่สิบเจ็ดปีเรียกได้ว่าไม่เคยปรากฏที่ไหน แต่ตอนนี้กลับมีเด็กสาวอายุประมาณเจ็ดปีที่มีพลังระดับตัวอ่อนวิญญาณปรากฏตัว นางทำให้ความมั่นใจของเขาไม่ต่างอะไรกับการผายลม
‘ปัง!’
เหยียนเฮิงเหอนำดาบที่ยังไม่ได้ชักออกจากฝักมาป้องกันหมัดของฮูหนิว แต่ประกายสายของจากหมัดของฮูหนิวก็ได้แพร่กระจายผ่านฝักดาบไปยังแขนของเขา
“ฮึ่ม!” เหยียนเฮิงเหอคำราม ร่างของเขาปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมาเพื่อต่อต้านสายฟ้า
ฮูหนิวพลิกร่างและก้าวถอยออกมา
หลิงฮันพยักหน้า ไม่แปลกเลยที่ชายคนนี้ถูกนำไปเทียบกับย่าวหุยเยว่ พลังต่อสู้ของเขาทรงพลังเป็นอย่างมาก เขาสามารถตอบโต้ฮูหนิวได้อย่างไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณทั่วไปจะทำได้
แต่ก็อย่างที่รู้ คนที่ตกใจที่สุดคือเหยียนเฮิงเหอ
เขาเป็นคนหยิ่งยโสทีที่คิดว่าแม้แต่ย่าวหุยเยว่หรือราชันกระบี่น้อยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา สถานที่แห่งนี้คือสำนักสวรรค์ เขาจะเริ่มต้นสร้างเส้นทางแห่งตำนานของตนเองขึ้นที่นี่ แต่ใครจะไปคิดว่ายังไม่ทันได้เข้าสำนัก เขาก็ต้องมาพบกับเด็กสาวที่สามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างสูสีเข้าเสียแล้ว
“เจ้าคนอัปลักษณ์ ไล่จับหนิวให้ทันสิ!” ฮูหนิวปรบมือหยอกล้อ
เหยียนเฮิงเหอเค้นเสียงดูถูกและชักดาบออกมา “พวกเจ้าอ่อนแอถึงขนาดต้องให้เด็กสาวเช่นนี้ออกมาต่อสู้? เหอะ ช่างน่าขัน”
หลิงฮันหัวเราะและพูด “เจ้ายังโค่นไม่ได้แม้แต่คนที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มพวกข้า เจ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับคนอื่น? เจ้าควรขอบใจพวกข้านะที่ไม่รังแกเจ้าแต่ส่งเด็กสาวไปเล่นกับเจ้าแทน”
เหยียนเฮิงเหอไม่พูดโต้ตอบ เขาเพียงเก็บความรู้สึกรันทดเอาไว้ในใจ
“ฮูหนิว ทุบตีมันซะ ข้าจะนำอีกฝ่ายมาเป็นน้องชายข้า” หลิงฮันยิ้ม
“ได้เลย!” ฮูหนิวรีบกล่าวตอบ
“ช่างน่ารังเกียจ!” เหยียนเฮิงเหอเกรี้ยวกราด คิดว่าเขาเป็นหมาหรือแมวรึไงที่จะได้ติดตามคนอื่นง่ายเช่นนั้น? เขากำดาบแน่นและพุ่งเข้าสังหารหลิงฮันทันที
“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือหนิว!” ร่างของฮูหนิวแวบหายไปปรากฏตรงหน้าเหยียนเฮิงเหอพร้อมกับปล่อยหมัดเล็กๆใส่อีกฝ่าย
เหยียนเฮิงเหอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลี่ยนเป้าหมายดาบมายังฮูหนิว
นางคือศัตรูที่มีพลังไม่ด้อยไปกว่าตัวเขาเอง ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเมินเฉยอีกฝ่าย
ทั้งสองคนเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดทันที
เหยียนเฮิงเหอแข็งแกร่งสมคําร่ําลือ เขาสามารถตอบโต้ฮูหนิวได้อย่างสูสี อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ยังไม่พ่ายแพ้ ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก พวกเขายังไม่ลืมว่าแม้แต่โครงกระดูกก่อนหน้านี้ก็ยังถูกฮูหนิวซัดจนพังทลาย
เหยียนเฮิงเหอรู้สึกอึดอัดในใจ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาทำได้แค่เพียงสูสีกับเด็กสาวตัวแค่นี้?
“ฮึ่ม!” เหยียนเฮิงเหอคำราม ในที่สุดเขาก็ใช้กระบวนท่า ดาบยาวในมือของเขากวัดแกว่งไปมา ตัวเขากับดาบราวกับกลายเป็นหนึ่งเดียวกันและโจมตีใส่ฮูหนิว
ปราณดาบมากกว่ายี่สิบเล่มปรากฏขึ้นอย่างน่าสะพรึงกลัว
ตอบที่ 660
หลิงฮันพิจารณาอย่างรอบคอบ
หลิงฮันรู้สึกมีความสุขที่ทำให้ห้านิกายโบราณสับสน ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามีผู้คนเข้าร่วมสำนักสวรรค์ได้มากเท่าไหร่ ขุมกำลังที่หลิงฮันจะดึงดูดเข้ามาเป็นพวกได้นั้นยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
เป้าหมายของเขาคือการสร้างราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่และรวมทวีปฮงเทียน
ไม่สนว่าข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไร ข้าเกิดมาเพื่อพิชิต
แต่หลิงฮันไม่กล้าที่จะผลีผลามเกินไป มิฉะนั้นเขาจะถูกสำนักสวรรค์ล่วงรู้ว่าเขาทำอะไร ตอนนี้เขาทำได้แค่แอบทำและไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไร
หลังจากเก็บธงได้ทั้งหมดสิบสองผืน หลิงฮัน จูเสวี่ยนเอ๋อและฮูหนิวก็ได้มุ่งหน้าไปที่หุบเขาผนึกภูติ เมื่อพวกเขามาถึง มันก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว และมีบางคนที่มาเร็วกว่าพวกเขา ก่อนที่การทดสอบรอบที่สองจะเริ่มต้นขึ้น
ตราบใดที่พวกเขามาถึงที่นี่ภายในสามวัน พวกเขาจะมีสิทธิ์เข้าร่วมสำนักสวรรค์และยิ่งพวกเขาได้รับหินมามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเท่านั้น
“ฮูหนิว พวกเรามาปล้นคนอื่นกันเถอะ!” หลิงฮันยิ้ม
“อืม!” ฮูหนิวพยักหน้ารับและรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ส่วนจูเสวี่ยนเอ๋อเพียงแค่ยิ้มออกมาและจ้องมองหลิงฮันอย่างอ่อนโยน
“พี่ใหญ่และพี่รอง พวกเขาน่าจะมาถึงนานแล้ว” หลิงฮันกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าการเก็บเกี่ยวของพวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง”
ขณะที่พวกเขาเดินได้อยู่ในหุบเขาแห่งนี้ รอบตัวพวกเขามีแต่หมอกและสภาพแวดล้อมมืดมนมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงมีชื่อว่าหุบเขาผนึกภูติ
“หลิงฮัน! หลิงฮัน!” เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลังและฉินหยีเย่วเดินมาหาพวกเขา
“โอ้ว บังเอิญอะไรขนาดนี้!” หลิงฮันยกมือทักทาย
“หืม ตอนนั้นเจ้าไม่ได้วิ่งนำข้า แต่ทำไมเจ้าถึงมาก่อนข้าอีก?” ฉินหยีเย่วคิดว่ามันแปลกมาก
“ทางที่ข้าเดินมานั้นไม่ค่อยมีอุปสรรคมากนัก ดังนั้นข้าเลยมาถึงเร็วกว่าเจ้านิดหน่อย” หลิงฮันกล่าว
ฉินหยีเย่วรู้ว่านี่เป็นเรื่องโกหก ใครเชื่อก็แปลกแล้ว! อย่างไรก็ตาม ความสนใจของนางหันเหไปที่หุบเขาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าหุบเขาผนึกภูติแห่งนี้มีภูติถูกปิดผนึกอยู่จริงๆ”
“จริงหรือ?” จูเสวี่ยนเอ๋อถามออกมาอย่างกะทันหันด้วยความอยากรู้
“แน่นอนมันคือเรื่องจริง ว่ากันว่าเป็นภูติที่น่าสะพรึงกลัวและดุร้ายเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน” ฉินหยีเย่วด้วยเสียงทุ้มให้ดูน่าหวาดกลัว ซึ่งทำให้จูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกกลัวมาก
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “จอมยุทธระดับทลายมิติมีอายุขัยแค่พันกว่าปี แล้วมันจะเป็นภูติแบบไหนกันถึงแข็งแกร่งขนาดมีอายุขัยได้นับหมื่นปี?”
“เจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนั้นหรอก ภูติและมนุษย์จะเหมือนกันได้อย่างไร?” ฉินหยีเย่วกล่าว
“แล้วมันแตกต่างกันยังไง?” หลิงฮันยิ้ม
ฉินหยีเย่วจะตอบได้อย่างไรและพูดตอบกลับไปว่า “ข้าไม่ใช่ภูติ แล้วข้าจะรู้ได้ยังไง!”
หลิงฮันไม่พูดจาล้อเล่นอีกต่อไปและพูดว่า “ยังไงก็ตาม ถ้ามีภูติอยู่ที่นี่จริง ข้าก็อยากเห็นเหลือเกิน”
“หนิวเองก็อยากเห็น” ฮูหนิวพูดตามหลิงฮัน
จากนั้นพวกเขาทุกคนเดินไปข้างหน้าต่อ หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็พบสองพี่น้องหลี่ และพวกเขาได้รวมกลุ่มกับหลิงฮันและก่อตั้งกลุ่มเล็กๆขึ้นมา
“บรรยากาศมืดมนแบบนี้ที่นี่จะต้องมีภูติผีอยู่แน่นอน” หลี่เฟิงหยู่กล่าว
“นี่เจ้ายังจะพูดจาแบบนั้น!” ทุกคนกล่าว ที่เขาพูดมันน่าขนลุกเล็กน้อย
ยิ่งพวกเขาเดินลึกมากเท่าไหร่ สภาพแวดล้อมโดยรอบยิ่งมืดมนและหดหู่มากยิ่งขึ้น ราวกับว่าที่นี่เป็นดินแดนของภูติผี
“หืม นั่นอะไรน่ะ?” หลี่เฟิงหยู่ชี้ไปที่ถนนด้านหน้า
“กระดูก” ฮูหนิวมีสายตาที่แหลมคมนางจึงมองเห็น
พวกเขาเดินไปดูและเห็นว่ามันเป็นกระดูกจริงๆ พวกเขาไม่รู้ว่ามันเป็นของมนุษย์หรือสัตว์อสูร แต่พวกเขารู้ว่าเจ้าของกระดูกชิ้นนี้ตายมาหลายปีแล้ว และตอนนี้มันกำลังส่องแสงอยู่ราวกับสมบัติ
“นี่เป็นกระดูกของมนุษย์” ฉินหยีเย่วกล่าวด้วยความมั่นใจมาก
หลิงฮันพยักหน้า นี่จะต้องเป็นกระดูกของมนุษย์อย่างแน่นอน มันมีร่องรอยของพลังอยู่ แต่ตอนนี้สามารถมองเห็นได้เพียงรางๆ
“แม้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ก็ไม่มีใครสามารถดำรงอยู่เหนือไปกว่ากฎของเวลา” เขาเต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เจ้าของกระดูกนี่อย่างน้อยต้องเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์ แล้วมันยังไงล่ะ? ผ่านไปหลายหมื่นปี ตัวตนระดับนั้นหลงเหลือเพียงแค่กองกระดูกสีขาวเท่านั้น เมื่อกาลเวลาผ่านล่วงเลยไปอีกอาจกลายเป็นฝุ่นที่หายไปจากสวรรค์และปฐพีอย่างสมบูรณ์
“หืม ดูเหมือนว่ากระดูกกำลังส่องแสง!” หลี่เฟิงหยู่รู้สึกสงสัย และลงมือขุดกระดูก แต่เมื่อมือของเขาเพิ่งจะสัมผัสกับกระดูก แสงสว่างจ้าพุ่งออกมา
เขารู้สึกตกใจและกระโดดไปด้านหลังทันที
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคนรู้สึกตกใจมาก โครงกระดูกกำลังเคลื่อนไหว?
แคร๊ก แคร๊ก พื้นดินเริ่มแตกร้าวและมีแขนยื่นโผล่ออกมา และตามด้วยโครงกระดูกที่โผล่ออกมาจากพื้นดิน หินบนอกของมันกำลังส่องแสง
นั่นคงไม่ใช่หินที่พวกเขาต้องรวบรวมหรอกใช่ไหม?
ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็รู้ความลับของโครงกระดูกว่ามันเคลื่อนไหวอีกครั้งได้อย่างไร ดูเหมือนว่าก้อนหินนั่นจะเปลี่ยนโครงกระดูกเป็นหุ่นเชิดแล้วเคลื่อนไหวภายใต้การควบคุมของมัน
โครงกระดูกปลดปล่อยกลิ่นอายที่ทรงพลังมากออกมา นั่นเป็นเพราะก่อนที่จะตายมันเคยเป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งมาก่อน แม้จะตายไปแล้วกลิ่นอายของมันยังไม่หมดหายไป
“จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสูง” ทุกคนพยักหน้า
“ฆ่ามัน!” ฮูหนิว
โครงกระดูกนั่นแข็งแกร่งมาก และได้รับความแข็งแกร่งจากหินที่อยู่บนอก ซึ่งทำให้มันมีพลังเทียบเท่าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสูง อย่างไรก็ตามหากนำหินที่อยู่บนอกของมันออก มันจะกลายเป็นโครงกระดูกธรรมดา
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะได้รับหินบนอกนั่นมา แต่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
แต่ฮูหนิวไม่ได้สนใจการมีอยู่ของหิน ซึ่งหมายความว่านางกำลังจะต่อสู้กับโครงกระดูกโดยตรง เปรี๊ยง เปรี๊ยง เปรี๊ยง นางโคจรพลังสายฟ้าและหลังจากที่โจมตีออกไปแต่ละครั้ง โครงกระดูกสั่นสะเทือนราวกับว่ามันจะแตกกระจาย
ทุกคนราวกับถูกตบหน้า เด็กสาวตัวน้อยช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก นางต้องการฆ่าโคงกระดูกที่พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจัดการมัน และใบหน้าแดงด้วยความเขินอายที่ไม่อาจเทียบกับเด็กสาวตัวน้อยได้
หลังจากนั้นไม่นาน โครงกระดูกนั่นก็ถูกฮูหนิวทุบตี
เด็กสาวตัวน้อยหยิบหินขึ้นมาและวิ่งกลับไปหาหลิงฮัน และหลิงฮันลูบหัวนางเป็นรางวัล ซึ่งทำให้เด็กสาวตัวน้อยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ทุกคนรู้สึกว่าหลิงฮันเป็นคนที่โชคดีมากที่มีเด็กสาวตัวน้อยแข็งแกร่งขนาดนั้นอยู่เคียงข้าง
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็พบโครงกระดูกอีกตัว มันปรากฏตัวออกมาจากพื้นดินและมีหินส่องแสงอยู่บนอก
ครั้งนี้หลิงฮันเป็นคนจัดการ เขาโจมตีมันโดยตรง เพราะไม่มีความหมายที่จะต่อสู้ให้ยืดเยื้อ เมื่อทุกคนเห็นพวกเขาต่างใช้มือปิดปากและอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น