Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 651-654
ตอนที่ 651
หลิงฮันรู้สึกโกรธมากจนเส้นเลือดปูดขึ้นหน้าพร้อมกับจิตสังหารที่ไหลทะลักออกมาราวกับปรารถนาที่จะแผดเผาท้องฟ้า
มันน่าเกลียดเกินไปที่ใช้สิ่งมีชีวิตเหมือนกับเป็นวัตถุดิบปรุงยา นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? นิกายใหญ่ทั้งห้านิกายเป็นปีศาจ? แม้ว่าพวกมันจะเป็นปีศาจ แต่ทวีปฮงเทียนนั้นไม่ได้มีแค่เผ่าพันธุ์มนุษย์
ในดินแดนแห่งนี้มีทั้งเพื่อนและญาติพี่น้องของเขาอาศัยอยู่ แต่อาจมีภัยพิบัติเกิดขึ้นอย่างฉับพลันในอนาคตอันใกล้ ซึ่งทำให้เขารู้สึกโกรธ
ถ้าสวรรค์ไร้ซึ่งความยุติธรรม ข้าจะเป็นคนทำลายมันเอง!
หลิงฮันคิดแบบนั้นอยู่ในใจ หืม เขารู้สึกตกใจและเข้าสู่สภาวะเข้าณาน เขาถูกอิทธิผลของเจตจำนงแห่งดาบครอบงำ ราวกับทั้งร่างกายของเขากลายเป็นดาบ
“หึ่ม เจ้ายังเร็วเกินไปที่จะตระหนักถึงเต๋า!” กระต่ายร้องอุทานออกมาและเต็มไปด้วยความอิจฉา ว่ากันว่าเมื่ออยู่ภายใต้อารมณ์ที่รุนแรงจะทำให้เกิดความก้าวหน้า แต่มีเพียงแค่อัจฉริยะเท่านั้นที่ทำได้ มิฉะนั้นถ้ามีพรสวรรค์ไม่เพียงพอคงไม่มีทางทำได้
ฟุบ ฟุบ นิ้วของหลิงฮันแกว่งไปมาโดยที่ไม่รู้ตัวในลักษระเหมือนดาบ
ห้องนี้เป็นห้องลับ ซึ่งไม่ได้มีขนาดใหญ่โตอะไรมาก ปราณดาบที่ปลดปล่อยออกมาเติมเต็มห้องหินทันที
“อ๊าก เจ้ากำลังฆ่าข้า!” กระต่ายรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่ภายในห้องมีปราณดาบอยู่ทุกที่ มันจึงต้องโคจรพลังปราณออกมาเพื่อสร้างเกราะป้องกัน พลังต่อสู้ของหลิงฮันนั้นน่าสะพรึงกลัวมากอยู่แล้ว แม้ว่าปราณดาบพวกนั้นจะปรากฏออกมาจากนิ้ว แต่มันก็ยังน่ากลัวมากอยู่ดี
แต่โชคดีที่ว่าชั้นผิวหนังของมันนั้นหนามากแม้แต่ฮูหนิวยังกัดไม่เข้า ดังนั้นปราณดาบของหลิงฮันจึงไม่อาจทำอันตรายมันได้ แต่ความเจ็บปวดนั้นอาจเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ฮูหนิวหัวเราะคิกคัก นางเดินไปมาอย่างอิสระภายใต้กระแสปราณดาบที่รุนแรง
เจ้ากระต่ายเบิกตากว้างและพูดพึมพัมว่า “มันเป็นสายฟ้า?” มันน่าทึ่งมากที่สามารถเปลี่ยนเป็นสายฟ้าเพื่อเปลี่ยนรูปร่างของร่างกายได้ตามที่ต้องการ ถึงขั้นบีบอัดพื้นที่เพื่อสร้างเคลื่อนย้ายพริบตาได้ในระยะสั้น!”
“ถ้าเด็กสาวตัวน้อยมีบรรพบุรุษเป็นคนดินแดนศักดิ์สิทธิ์จริง พวกเขาจะเป็นตัวตนระดับไหนกัน? ราชาแห่งเหล่าทวยเทพ?”
หลิงฮันเข้าสู่ภาวะเข้าณาน ภายใต้ความโกรธทำให้เกิดความก้าวหน้าขึ้น
ประตูปราณดาบเล่มที่สามสิบกำลังเปิดออกให้กับเขาอย่างช้าๆ
เขาบรรลุปราณดาบเล่มที่ยี่สิบเก้ามาเป็นเวลานานแล้ว ทำให้เขาเกิดความลำบากใจ สมัยก่อนว่ากันว่าปราณดาบยี่สิบเก้าเล่มคือขีดจำกัด ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องยากมากที่จะทะลวงผ่าน
หลังจากผ่านไปหลายวัน เขาเข้าใจมันได้เล็กน้อยเท่านั้น แต่ทว่าภายใต้แรงผลักดันจากความโกรธ ในที่สุดเขาก็ทำความเข้าใจมันได้
หึ่ง หึ่ง ทั้งร่างกายของหลิงฮันส่งเสียงปราณดาบออกมาไม่ใช่แค่นิ้วมืออีกต่อไป ปราณดาบสามสิบเล่มคือการเปลี่ยนแปลง
“สำเร็จแล้ว!” กระต่ายส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
หลิงฮันลืมตาขึ้นอย่างกะทันหันเผยให้เห็นถึงความปิติยินดี เขาไม่คิดเลยว่าจะบรรลุปราณเล่มที่สามสิบในสภาพเช่นนี้ ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องควบแน่นพลังปราณเป็นกึ่งรัศมีดาบเพื่อเพิ่มพลังต่อสู้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ความประหลาดใจไม่อาจลบล้างความโกรธของเขาได้ นิกายใหญ่ทั้งห้ามันน่าชิงชังยิ่งนัก พวกมันทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกเป็นเหมือนปศุสัตว์ และเป็นเวลาหลายพันหลายหมื่นปีที่พวกมันแสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกมันคือผู้กอบกู้ของทุกคน
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจื่อเสวี่ยนเซียนพูดว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้คำโกหกคำโต
หลังจากการทำลายล้างโลก ใครบางคนต้องทิ้งความจริงไว้เบื้องหลัง แต่ห้านิกายใหญ่นั้นใช้เวลาหนึ่งหมื่นปีในการล้างสมองและทำลายหลักฐาน ดังนั้นพวกเขายังคงเป็นที่เคารพบูชา
ไม่แปลกที่ห้านิกายใหญ่เก็บแผนที่โบราณไว้เป็นความลับ พวกมันกลัวว่าแผนที่โบราณอาจนำพาไปสู่ความลับเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน หรือแม้แต่สองหมื่นปีก่อน ห้าหมื่นปีก่อน อาจแม้กระทั่งหนึ่งแสนปีก่อน
อารมณ์ของหลิงฮันเริ่มมั่นคงขึ้น ความตื่นเต้นไม่อาจแก้ไขปัญหาได้ ในทางตรงข้ามมีเพียงแค่พลังเท่านั้นที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าเขาเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของห้านิกายใหญ่ จะมีสักกี่คนกันที่เชื่อคำพูดของเขา?
เจ้าคงไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสีห้านิกายใหญ่ใช่ไหม? เจ้าใส่ร้ายวีรบุรุษเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนอย่างนั้นหรือ? มันไม่มีทางที่เขาจะไม่ถูกตำหนิ!
ไม่แปลกที่ราชันกระบี่น้อยไม่สนใจชีวิต เพราะในสายตาของเขาทุกคนเป็นเพียงแค่ขยะ การมีความสัมพันธ์กับคนตายมันมีความสำคัญอย่างไร?
“ข้าสบานว่าไม่เพียงแค่ห้านิกายใหญ่เท่านั้นที่จะถูกกำจัด แต่ในอนาคตข้าจะเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และผู้ที่เรียกตนว่าพระเจ้าทั้งห้านั้นจะไม่รอดพ้นจากการถูกลงโทษ!” หลิงฮันกล่าวพร้อมกับกำหมัดแน่น
“เจ้าหนู ข้าสามารถช่วยเจ้าได้!” กระต่ายพูดออกมาฟังดูไม่น่าเชื่อถือ
“หลิงฮัน หนิวจะเป็นคนช่วยเหลือเอง หนิวจะโค่นล้มทุกคน หลิงฮันเป็นจักรพรรดิ ส่วนหนิวจะเป็นจักรพรรดินี!” ฮูหนิวพูดออกมาอย่างมีความสุข และไม่รู้ว่าอะไรคือความอาย
หลิงฮันหัวเราะ แต่เมื่อฮูหนิวพูดว่าจักรพรรดิและจักรพรรดินี ทำให้เขานึกบางอย่างขึ้นได้
จื่อเสวี่ยนเซียนไม่เพียงแค่ทิ้งความจริงไว้เท่านั้น แต่ยังกล่าวถึงวิธีแก้ปัญหาด้วยเช่นกัน
นั้นคือ เปิดสวรรค์!
ยกทวีปเทียนฮงทั้งทวีปเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ทวีปฮงเทียนเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีกฎของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เอง ซึ่งพระราชวังทั้งห้านั้นจะไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป มิฉะนั้นมันจะเกิดสงครามขึ้นบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แม้ว่าพระราชวังทั้งห้าจะแข็งแกร่งมาก แต่พวกมันก็ไม่อาจต่อต้านได้
แล้วการเปิดสวรรค์นั้นมันง่ายแค่ไหน?
เฟิงโป๋วหยุนกล่าวว่าการทะลวงผ่านระดับทลายมิติเป็นตัวตนระดับพระเจ้าในตอนนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก มันเป็นเพราะพระราชวังทั้งห้าขวางเส้นทางของโลกใบนี้และพวกเขาได้ฆ่าจอมยุทธระดับทลายมิติ
ตัวตนระดับพระเจ้านั้นสามารถฆ่าจอมยุทธระดับทลายมิติง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
ดังนั้น นอกจากห้านิกายใหญ่แล้ว ผู้คนที่ทะลวงผ่านระดับทลายมิติแล้วและต้องการเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นเหมือนกับการรนหาที่ตาย
แต่ตอนนี้คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด
เพราะจากกฎการพัฒนาของทวีปฮงเทียนนั้นถูกเปลี่ยนแปลงโดยพระราชวังทั้งห้าที่เวลาผ่านมาเกือบหนึ่งหมื่นปีแล้วและใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ดังนั้นจอมยุทธที่อยู่บนโลกจึงมีความก้าวหน้าที่รวดเร็วขึ้น เพราะมันจะส่งผลต่อประสิทธิภาพเม็ดยาที่พวกมันจะหลอม
มิฉะนั้น มันจะมีอัจฉริยะมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?
หลิงฮันอดที่จะคิดไม่ได้ แล้วศิษย์ทั้งสี่คนของเขาล่ะ?
ถ้าพวกเขาเป็นตัวตนระดับพระเจ้า พวกเขาจะขายศักดิ์ศรีของตัวเองหรือไม่?
สีหน้าของหลิงฮันเริ่มมืดมน ถ้าเขาพบเจียงเย่เฟิงในอนาคต เขาจะเข้าไปถามให้ชัดเจน มิฉะนั้นเขาจะทำตามกฎและกำจัดคนเลว
ย้อนกลับไปที่คำถามการเปิดสวรรค์
การเปิดสวรรค์ต้องอยู่ในรูปแบบของแคว้น เพราะพลังต่อสู้ของแต่ละคนนั้นมีจำกัด แต่มันสามารถพาทั้งทวีปฮงเทียนไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ซึ่งต้องใช้จอมยุทธระดับทลายมิติมากกว่าแสนคน
ดังนั้น มีเพียงแค่ความช่วยเหลือจากพลังของจักรภพเท่านั้นที่สามารถช่วยให้ไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และเปลี่ยนทวีปฮงเทียนให้เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“ใช่แล้ว หม่าตั้วเป่า!” หลิงฮันเพิ่มคิดขึ้นมา หม่าตั้วเป่าได้พูดกับเขาเกี่ยวกับการเปิดสวรรค์อยู่หลายครั้ง และบอกว่าศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าเขารู้ความจริงอยู่แล้ว?
มิฉะนั้น ทำไมเขาถึงก่อตั้งราชวงศ์จื่อเย่ว?
ตอนที่ 652
“ข้าต้องไปหาหม่าตั้วเป่าอีกครั้ง!” หลิงฮันกล่าว
ในความเป็นจริง นี่เป็นความจริงเพียงด้านเดียวของจื่อเสวี่ยนเซียน แต่หลิงฮันได้เห็นความทรงจำของนางจากผลึกความทรงจำ และมันสามารถอธิบายข้อสงสัยที่อยู่ในใจของเขามานานได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลเลือกที่จะเชื่อ
“การเปิดสวรรค์เป็นวิธีเดียว แต่อย่างแรกต้องก่อตั้งแคว้นขึ้นมาก่อน” หลิงฮันคิดอยู่ในใจ ช่วยไม่ได้ที่เขาจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาชื่นชอบความเป็นอิสระ ซึ่งนี่จะทำให้เขากลายเป็นจักรพรรดิ
“เพื่อพ่อแม่ เพื่อสหาย เพื่อเสวี่ยนเอ๋อ ข้าจะต้องทำมัน!”
หลิงฮันตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“อย่างไรก็ตาม ถ้าข้ารีบร้อนที่จะก่อตั้งแคว้น มันมีแต่จะทำให้ห้านิกายใหญ่เกิดความสงสัย แม้ว่าจะมีหอคอยทมิฬ แต่เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งแคว้นจะปรากฏออกมาอย่างกะทันหัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะเอาชนะหัวใจของผู้คนได้อย่างไร?”
“สะสมผลผลิต และค่อยๆกลายเป็นราชา!”
“ข้าต้องไปที่สำนักสวรรค์ก่อนเป็นอันดับแรก ที่นั่นอย่างน้อยก็มีอัจฉริยะอย่างน้อยเก้าสิบเปอร์เซ็นต์จากอัจฉริยะทั้งโลก ถ้าข้าสามารถชักนำพวกเขาได้ ตราบใดที่ข้ามีความแข็งแกร่ง ข้าสามารถพลิกโลกได้ในชั่วข้ามคืน”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว คนพวกนั้นไม่ได้มีแค่พรสวรรค์เท่านั้น แต่ยังมาจากขุมพลังและตระกูลต่างๆ ถ้าข้าได้พวกเขาเข้ามาเป็นพวกก็จะได้รับผู้คนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเข้ามาเป็นพวกเช่นกัน และมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการก่อตั้งอาณาจักร”
“ดังนั้น อย่างแรกข้าจะต้องเปิดเผยสถานะนักปรุงยาระดับสวรรค์ของข้าเสียก่อน อย่างที่สองเปิดเผยความแข็งแกร่งของตัวเองให้ผู้อื่นเห็น”
“ถ้าข้าต้องการโน้มน้าวคนหนุ่มสาว ข้าจะต้องสร้างผลประโยชน์ให้แก่พวกเขามากพอหรือสยบพวกเขาด้วยความแข็งแกร่ง”
“ข้าสามารถทำได้ทั้งสองอย่าง”
“บางขุมพลังต่อสู้เพื่อมัน บางขุมพลังไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเป็นสุนัขวิ่งตามห้านิกายใหญ่อยู่…ข้าจะไม่พูดเรื่องการก่อตั้งแคว้นจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายและไม่พูดถึงแผนการที่ชั่วร้ายของห้านิกายใหญ่ ที่สำคัญจะมีเพียงคนที่เชื่อถือได้เท่านั้นที่สามารถมีส่วนร่วมในเรื่องนี้”
“จักรพรรดิพิรุณและมู่ชิงหรงสามารถเข้าร่วมได้ พี่ใหญ่เฟิงเย่วก็เช่นกัน – ข้าหวังว่าพี่ใหญ่เฟิงเย่วจะไม่ผลีผลามเกินไป แม้เขาจะเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติก็ตาม นั่นเป็นเพราะเขาเป็นแค่จอมยุทธระดับทลายมิติขั้นสองเท่านั้น ถ้าเขาออกไปเผชิญหน้ากับห้านิกายใหญ่เพียงลำพัง ผลที่ตามมาจะไม่สามารถคาดคิดได้!”
“ข้าต้องระมัดระวังให้มาก มิฉะนั้นอาจเกิดเหตุการเดียวกับที่จื่อเสวี่ยนเซียนประสบ ก่อนที่จะเปิดสวรรค์ ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือห้านิกายใหญ่ ข้าจะต้องกำจัดพวกมันก่อน จากนั้นใช้ประโยชน์จากพวกมันเพื่อเปิดสวรรค์และพาทวีปเทียนฮงไปสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
แผนการนี้เกิดขึ้นภายในใจของหลิงฮัน เขากำหมัดแน่นและพร้อมที่จะปะทะ
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าศัตรูนั้นเป็นใคร และดาบของเขาควรฟาดฟันไปที่ไหน
“หลิงฮัน ที่นี่ไม่เห็นจะสนุกเลย พวกเราไปกันเถอะ” ฮูหนิวกระโดดเข้าใส่หลิงฮันและจูบหลิงฮันด้วยรอยยิ้ม
หลิงฮันหัวเราะและกอดฮูหนิว ถ้าเพื่อเด็กสาวตัวน้อยคนนี้แล้ว เขายินดีที่จะต่อสู้กับสวรรค์และโลกและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นหลิงฮันพยักหน้าและหันไปมองที่กำแพงหินที่มีด้ามจับอยู่ ซึ่งตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องเลือกภาพของจื่อเสวี่ยนเซียนเพื่อเปิดประตูเหมือนก่อนหน้านี้
ส่วนหนังสือที่จื่อเสวี่ยนเซียนทิ้งไว้ถูกเก็บเข้าไปในหอคอยทมิฬ สำหรับหลิงฮันแล้ว เขารู้สึกประทับใจนางมาก
เพื่อผลประโยชน์ของทุกคนบนโลก นางยอมที่จะหักหลังตระกูลของตัวเองและตั้งตัวเป็นศัตรู จนกระทั่งจบชีวิตลง
นางเป็นผู้หญิงที่ประเสริฐมาก!
นางควรเป็นที่จดจำสำหรับทุกคนบนโลกเมื่อเปิดสวรรค์สำเร็จ ผู้กอบกู้ตัวจริงคือจื่อเสวี่ยนเซียน
แคร๊ก แคร๊ก ประตูหินเปิดออกอย่างช้าๆ
“ประตูเปิดแล้ว!”
“มันจะต้องเป็นคลังสมบัติแน่นอน!”
ทันใดนั้น คนเจ็ดคนรีบวิ่งกันเข้ามา และในขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าไป พวกเขาได้ต่อสู้กันเอง
แต่เมื่อพวกเขาเห็นหลิงฮัน ฮูหนิว และกระต่ายขาวอยู่ในห้องหิน พวกเขาหยุดต่อสู้กันทันทีและชี้ไปที่พวกหลิงฮันด้วยอาวุธ เห็นได้ชัดว่าหลิงฮันได้รับสมบัติภายในห้องหินไปแล้ว
“วางแหวนมิติของเจ้าไว้ แล้วเจ้าจะได้กลับไปพร้อมกับชีวิต” ชายคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาดูมีอายุประมาณสามสิบปีและปลดปล่อยพลังปราณที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
หลิงฮันยิ้ม เขายกมือขึ้นและพูดว่า “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ถ้าข้าไม่มีแหวนมิติ?”
“สิ่งใดก็ตามที่สร้างช่องมิติได้จงทิ้งมันเอาไว้!” ชายอีกคนกล่าว เขาสวมชุดสีแดง ซึ่งดูร้อนแรงมาก
“ถอดเสื้อผ้าของเจ้าทิ้งไว้และออกไปให้พ้น” ชายชราอายุประมาณหกสิบปีกล่าว เขาจ้องมองไปที่ส่วนล่างของหลิงฮันด้วยแววตาชั่วร้าย
ชายชราโรคจิต!
สีหน้าของหลิงฮันมืดมนขึ้นมาทันที พรึบ เขากระโจนไปข้างหน้า เมื่อประกายแสงของสายฟ้ากระพริบ เขาก็มาอยู่เบื้องหน้าของชายชราแล้ว พร้อมกับสะบั้นดาบออกไป ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะใดๆทั้งสิ้น เพราะเขาแทงไปที่หัวใจของชายชราโดยตรง
ชู่ว โลหิตสาดกระจายออกมา ชายชราจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยสายตาที่ไม่อย่างจะเชื่อ เขาเป็นถึงจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ ทั้งที่อีกฝ่ายเป็นแค่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ผลลัพธ์คือเขาถูกฆ่าด้วยดาบเดียว ซึ่งทำเขาไม่อาจยอมรับความตายนี้ได้
หลิงฮันดึงดาบกลับมา ชายชราทรุดตัวล้มลงกับพื้น เขายิ้มและพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “มีใครยังอยากได้สมบัติอีกหรือไม่?”
คนที่เหลืออยู่หกคนรีบส่ายหน้าทันทีพูดว่านี่เป็นแค่เรื่องล้อเล่น พวกเขาแต่ละคนมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าชายชราที่ถูกฆ่าไป แต่หลิงฮันสามารถจัดการเขาได้ด้วยดาบเดียว นี่ถ้าเขาจะจัดการทั้งหกคนไม่ใช่ว่าหกดาบก็เพียงพอแล้วหรอกหรือ?
เพื่อสมบัติ พวกเขาสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ แต่เมื่อมีชีวิตเป็นเดิมพัน…ลืมเรื่องสมบัติไปซะ
“ไม่อีกแล้ว! ไม่อีกแล้ว!”
“ใช่แล้ว แม้ว่าสมบัติจะไม่มีเจ้าของ แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนมาก่อน แน่นอนว่ามันจะต้องตกเป็นของเจ้า”
“ถ้างั้นพี่ชาย พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”
ทั้งหกคนไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป เพราะเกรงว่าหลิงฮันจะฆ่าพวกเขา นั่นเป็นเพราะเขาฆ่าไปคนหนึ่งแล้วจะฆ่าอีกคนหนึ่งจะเป็นอะไรไป?
หลิงฮันไม่ได้ฆ่าคนที่เหลือ และปล่อยให้พวกมันออกไป ตอนนี้เขามีความคิดบางอย่าง เขาตัดสินใจที่จะสร้างชื่อเสียงของตัวเองให้เร็วที่สุด ไม่น้อยไปกว่าย่าวหุยเยว่และราชันกระบี่น้อย
จากนั้นหลิงฮันเดินออกจากห้องหินเหมือนกัน
ตอนนี้ เขาได้รับอสนีเมฆาม่วงแล้ว และรู้ความจริงที่จื่อเสวี่ยนเซียนทิ้งเอาไว้แล้ว จึงไม่มีค่าอีกต่อไปที่จะอยู่ที่นี่
หลิงฮันจากไปพร้อมกับฮูหนิวเข้าไปในหอคอยทมิฬ เขาวางแผนที่จะหลอมรวมเข้ากับอสนีเมฆาม่วงเพื่อสร้างร่างสายฟ้า แล้วควบแน่นรัศมีดาบและกายาเพชร
ส่วนเจ้ากระต่ายนั้นวิ่งพล่านไปทั่ว หลิงฮันไม่ต้องการมันให้ล่วงรู้ความลับของหอคอยทมิฬ
หลังจากที่กอดกับจูเสวี่ยนเอ๋อและพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด หลิงฮันก็เริ่มหลอมรวบเข้ากับอสนีเมฆาม่วง
ตอนที่ 653
โดยปกติแล้ว ไม่มีทางเลยที่หลิงฮันจะผสานรวมเข้ากับสายฟ้าสวรรค์นี้
นี่คือสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่อีกไม่ช้าจะกลายเป็นจิตวิญญาณอัสนี อัสนีบาตเมฆาม่วงนั้นคือสายฟ้าที่ติดสิบอันดับแรกของสายฟ้าที่ทรงพลังที่สุดในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วจอมยุทธที่มีระดับต่ำกว่าระดับสวรรค์จะผสานรวมกับมันได้อย่างไร? ถ้ารุ่นเยาว์เช่นหลิงฮันต้องการผสานรวมกับอัสนีบาตเมฆม่วง เขาต้องได้รับการช่วยเหลือจากจอมยุทธระดับสวรรค์หรือไม่ต้องระดับทลายมิติ ไม่เช่นนั้น แม้ว่าจะเป็นอัจฉริยะขนาดไหน ร่างกายก็จะแหลกสลายอยู่ดี
แต่หลิงฮันไม่ต้องทำเช่นนั้นเพราะเขามีหอคอยทมิฬ
ในหอคอยทมิฬ เขาคือพระเจ้าที่ไม่ว่าใครก็ต้องคุกเข่าต่อหน้าเขา จิตวิญญาณสายฟ้าเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
แต่ขั้นตอนในการผสานรวมเองก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างดีหลิงฮันคิด
ระดับของอัสนีบาตเมฆาม่วงนั้นสูงเกินไป
แม้หลิงฮันจะได้รับพลังบ่มเพาะของชีวิตเก่าคืนมาก็ไม่ใช่เรื่อง่ายที่จะผสานเข้ากับมัน
หลิงฮันไม่เร่งรีบอะไร เพราะยังเหลือเวลาอีกตั้งประมาณสี่เดือน สำนักสวรรค์ถึงจะเริ่มรับสมัครลูกศิษย์
ที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมสำนักสวรรค์ก็เพื่อกลายเป็นแบบอย่างให้กับรุ่นเยาว์มากมายในยุคสมัยนี้ หากทำเช่นนั้นได้ ในอนาคตก็จะมีรุ่นเยาว์มากมายยินดีที่จะติดตามเขา
อำนาจแห่งสายฟ้าแผ่ซ่านเข้ามาในร่างหลิงฮันและค่อยๆเปลี่ยนทุกๆส่วนของกล้ามเนื้อของเขาให้กลายเป็นพลังอัสนี
นับว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
เขาบ่มเพาะกายาเหล็กไหล ซึ่งทำให้เขามีกายหยาบที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับแร่เหล็กระดับ แต่หากเขาบรรลุกายาอัสนี ร่างของเขาก็จะกลายเป็นสายฟ้าที่ไม่อาจจับต้องได้
ตำนานโบราณเรื่องหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเขา ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิตที่แล้ว
นอกจากกายาอัสนีที่เขากำลังบ่มเพาะอยู่ ก็ยังมีกายาเพลิง กายาเหมันต์ และกายาอื่นๆอยู่อีก… ซึ่งกายาเหล่านี้ถูกเรียกว่ากายาวิญญาณ คุณสมบัติที่พิเศษที่สุดของวิญญาณคือมันสามารถเมินเฉยต่อการโจมตีต่างๆได้ ต่อให้เจ้าโจมตีข้ามาสิบครั้ง ร้อยครั้งหรือพันครั้ง ข้าก็สามารถเปลี่ยนร่างตนเองให้กลายเป็นสายฟ้าหรือไม่ก็เปลวเพลิงได้ ทีนี้เจ้าจะทำให้ข้าบาดเจ็บได้รึเปล่า?
นั่นมันเรียกว่าไร้พ่ายเลยไม่ใช่รึไง?
หากคิดเช่นนั้นก็ผิดแล้ว แม้การโจมตีทั่วไปจะทำให้บาดเจ็บไม่ได้ แต่พลังปราณสามารถทำได้
ปราณดาบ ปราณกระบี่ ตราบใดที่เป็นปราณ ย่อมสามารถสร้างความเสียหายต่อวิญญาณได้ แต่จะสร้างความเสียให้ได้ขนาดไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต่างระหว่างพลังของทั้งสองคน บางทีอาจจะไม่ได้ผลเลย หรือบางทีอาจจะก็ได้รับบาดเจ็บหนัก
ไม่ว่าเมื่อไหร่ พลังก็คือราชัน
นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ที่สร้างปราณได้ถึงถูกเรียกว่าราชัน ปราณเป็นสิ่งที่เดียวที่สามารถสร้างความเสียหายต่อวิญญาณ แน่นอนว่าถ้าหากปราณทำได้ รัศมีก็ต้องทำได้เช่นกัน
กายาเหล็กไหลนั้นต่างออกไป มันความสามารถที่ช่วยเสริมสร้างกายหยาบ ความทนทานของร่างกายที่เทียบได้กับแร่เหล็กระดับเดียวกัน ปราณดาบธรรมทั่วไปย่อมไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้!
“หากพูดจากมุมมองในด้านพลังป้องกัน กายาเหล็กและกายาเพชรยอดเยี่ยมกว่ามาก เพราะอย่างไรมันคือทักษะของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ที่ได้รับมาจากหอคอยทมิฬ!” หลิงฮันกล่าวในใจ แต่กายาอัสนีก็ไม่ได้แย่อะไร อย่างน้อยมันก็ช่วยเพิ่มความเร็วให้เขาได้หลายเท่าตัว
“แน่นอนว่ายิ่งมีไพ่ลับเยอะก็ยิ่งดี”
สิ่งที่คาดไม่ถึงคือไม่ใช่แค่ทักษะอัสนีบาตเกาทิวาเท่านั้นที่ดูดซับพลังจากสายฟ้า แต่คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เองก็ดูดซับพลังจากสายฟ้าแข่งกับทักษะอัสนีบาตเก้าทิวาเช่นกัน แต่คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์นั้นทรงพลังกว่ามาก ทักษะอัสนีบาตเก้าทิวาจึงทำได้เพียงดูดซับพลังสายฟ้าส่วนน้อยในขณะที่คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ดูดวับพลังสายฟ้าส่วนใหญ่
แต่ที่ข้ากำลังจะฝึกฝนคือกายาอัสนี เจ้าจะมาดูดซับพลังสายฟ้าด้วยทำไม? การจะบรรลุกายาเพชรข้าสามารถใช้สมบัติธรรมชาติชิ้นอื่นได้ ข้าไม่ต้องการสิ้นเปลืองพลังสายฟ้าที่ได้มา!
หลิงฮันรีบยับยั้งการโคจรของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นทักษะอัสนีบาตเกาทิวาก็เริ่มดูดซับพลังสายฟ้าอย่างตะกละตะกลาม
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างเงียบสงบ หลิงฮันใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการผสานเข้ากับอัสนีบาตเมฆาม่วงทั้งวันทั้งคืน
ตอนนี้เขาบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสูงสุดแล้ว แถมยังขัดเกลารากฐานของระดับพลังไปถึงจุดสมบูรณ์ ตอนนี้ไม่มีช่องว่างให้เขาพัฒนาต่อแล้ว ดังนั้นแม้จะบ่มเพาะพลังต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ
โชคดีที่หอคอนทมิฬที่พื้นกว้างขวาง มีดอกไม้และต้นไม้นับไม่ถ้วนปลูกเต็มไปหมด นอกจากนั้นก็ยังมีทั้งภูเขา แม่น้ำ รวมไปถึงสัตว์อสูรหลากหลายชนิด แถมเขายังมีจูเสวียนเอ๋อและฮูหนิวอยู่ข้างกาย หลิงฮันจึงไม่รู้สึกเหงา
หลังจากจูเสวียนเอ๋อทะลวงผ่านมายังระดับบุปผาผลิบาน นางก็เริ่มบ่มเพาะพลังอาจขะมักเขม้น
แต่เดิมแล้วนางก็เป็นถึงในสุดยอดอัจฉริยะของภูมิภาคเหนือที่มีศักยะภาพไม่ด้อยไปกว่าเหวินอี้เจียนและมู่หลงชิง ตอนนี้นางมีทัพยากรอันไร้ที่สิ้นสุดคอยสนับสนุนอยู่ พลังบ่มเพาะของนางจึงพัฒนาอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นนางก็ยังรู้สึกไม่พอใจในตนเองด้วย ทุกครั้งที่พบเจอันตราย นางจะต้องเป็นคนแรกที่เขามาซ่อนในหอคอยทมิฬ ในขณะที่ฮูหนิวสามารถร่วมเผชิญอันตรายกับหลิงฮันได้ เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพลังของนางไม่แข็งแกร่งพอแลพจะกลายเป็นตัวถ่วงหลิงฮัน
นางอยากแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้!
หนึ่งเดือน… สองเดือน…
ในที่สุดหลิงฮันก็ฝึกฝนอัสนีบาตเก้าทิวาขั้นต้นสำเร็จ ซึ่งมันทำให้เขาสามารถเปลี่ยนกายหยาบให้กลายเป็นสายฟ้าได้แล้ว ด้วยทักษะอัสนีบาตเก้าทิวาทั้งพลังและความเร็วของเขาจะเพิ่มขึ้นมหาศาล
ต้นกำเนิดพลังของเขาคืออัสนีบาตเมฆาม่วง พลังของมันสามารถคุกคามได้แม้กระทั่งจอมยุทธระดับสวรรค์ ถ้าไม่ใช่เพราะมันยังไม่กลายเป็นจิตวิญญาณสายฟ้า หลิงฮันจะสามารถครอบครองมันได้ง่ายๆรึ?
หลิงฮันยังไม่ลุกขึ้น เพราะพลังสายฟ้ายังเหลืออยู่หนึ่งในสาม แน่นอนว่าเขาไม่อาจทิ้งมันไปได้ เขาไม่ยับยั้งคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์อีกต่อไปและให้มันเริ่มดูดซับพลังแห่งสายฟ้า
อัสนีบาตเมฆาม่วงมีระดับที่สูงเกินไปจนหลิงฮันรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ บางครั้งบางคราวร่างกายของเขาจะส่องแสงสว่างสีทองออกมา
กายาเพชรเป็นสิ่งที่ยากจะบรรลุ
พลังของมันจะทำให้กายหยาบของเขาทนทานเหนือกว่าแร่เหล็กในระดับเดียวกันอย่างน้อยหนึ่งระดับ อย่างเช่นหลิงฮันที่เป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน หากเขามีกายหยาบเทียบเท่ากับแร่เหล็กระดับเจ็ดที่เกิดจากกายาเพชร แม้เขาจะนอนเล่นอยู่เฉยๆ จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้เขาได้
ที่สำคัญคือกายาเพชรสามารถทำให้เขางอกแขนขาใหม่ได้!
ตอนนี้เขาสามารถสร้างหยดวารีอมตะได้หกหยด และถ้าหากเขาสร้างกายาเพชรได้สำเร็จ ขีดจำกัดในการสร้างจะเพิ่มเป็นสิบหยด
หลิงฮันดูดซับพลังของสายฟ้าอย่างบ้าคลั่งและเริ่มควบแน่นรัศมีดาบขึ้นมา เมื่อใดที่บรรลุกายาเพชนและควบแน่นรัศมีดาบได้สำเร็จ เขาจะทำการทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณและพลังของเขาเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง
ตอนที่ 654
พริบตาเดียว อีกหนึ่งเดือนก็ผ่านไป
เหตุผลหลักคืออัสนีบาตรเมฆาม่วงทำการหลอมได้ยากเกินไป หลิงฮันต้องเวลาหลอมมันถึงสามเดือนเต็ม พลังงานส่วนใหญ่จากมันถูกหลิงฮันดูดซับไปสร้างกายาอัสนี ในขณะที่ส่วนเล็กๆที่เหลือหลิงฮันใช้มันเสริมแกร่งให้กับกายาเหล็กไหล
แต่ถึงแม้จะหลอมอัสบาตเมฆาม่วงทั้งหมดแล้ว หลิงฮันก็ยังไม่บรรลุกายาเพชรเสียที
เขานำหยดวิญญาณออกมาเทใส่ชามพลิกสวรรค์เพื่อทำให้มันบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
หยดวิญญาณคือสิ่งที่เขาได้มาจากเขตแดนลี้ลับสิบสองพระราชวัง มันเรียกได้ว่าเป็นหยดของพระเจ้า มันต้องทำให้เจือจางก่อนถึงจะดูดซับได้ แต่ตอนนี้เพื่อที่จะสร้างกายาเพชรให้สำเร็จ หลิงฮันจึงนำมันออกมาเจือจางความเข้มข้นลดเหลือหนึ่งในสิบส่วนและดื่มเข้าไป
ทันใดนั้นเอง พลังงานอันบ้าคลั่งก็ปะทุขึ้นในร่างของเขาราวกับคลื่นสึนามิจนร่างกายของเขากำลังจะแหลกสลาย
หลิงฮันรีบโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เพื่อดูดซับพลังงานทันที
ทั้งหนาวเหน็บและเจ็บปวด!
เขาไม่สามารถโคจรทักษะอัสนีบาตเก้าทิวาได้ ไม่เช่นนั้นหากเขาเปลี่ยนกายหยาบให้กลายเป็นสายฟ้าเพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด เขาจะไม่สามารถสร้างกายาเพชรได้ เขาทำได้เพียงกัดฟันยอมรับความเจ็บปวด
หลิงฮันกัดฟันแน่และคร่ำครวญ ก่อนหน้านี้ก็เป็นอัสนีบาตเมฆาม่วงที่เข้ามาสร้างความเจ็บปวดในร่างของเขา และตอนนี้เขาเกือบจะถูกทำให้แหลกสลายโดยพลังงานอันเข้มข้น เส้นทางแห่งการฝึกยุทธช่างยากลำบากยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมถึงมีคนไม่กี่คนที่สามารถบรรลุถึงจุดสูงสุดได้
กายาเพชรกำลังถูกสร้างขึ้นอย่างช้าๆ
ถ้าการจะสร้างสำเร็จต้องก้าวเดินหนึ่งร้อยก้าว งั้นตอนนี้เขาก็เดินมาแล้วเก้าสิบเจ็ดก้าว เหลือเพียงอีกไม่กี่ก้าวเท่านั้น
มาถึงจุดนี้แล้ว ถึงแม้หลิงฮันจะแขนหัก ขาหัก หรือกระดูกทั่วร่างแหลกสลาย เขาก็ต้องกัดฟันสู้ต่อไป
เก้าสิบแปดก้าว!
เก้าสิบเก้าก้าว!
หนึ่งร้อยก้าว!
‘ตูม’ ร่างของหลิงฮันระเบิดแสงสว่างสีทองอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา หลิงฮันราวกับกลายเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม เทพเจ้าผู้มีพลังอยู่เหนือทุกสิ่ง
กายาเพชร!
ในขณะเดียวกัน นิ้วมือของเขาก็ราวกับกลายเป็นดาบที่มีปราณดาบสามสิบเล่มหมุนล้อมรอบ ปราณดาบเหล่านั้นได้ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง
รัศมีดาบที่แท้จริง!
หลิงฮันตั้งมั่นอย่างเด็ดเดี่ยวและเริ่มทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณ
ถ้าให้พูดแล้ว การทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณคือสิ่งที่ง่ายที่สุดในทุกๆความสำเร็จที่เขาเพิ่งทำมา นั่นเพราะเขาเคยผ่านขั้นตอนนี้มาก่อนแล้วในชีวิตที่แล้ว แต่กายาเพชรและรัศมีดาบนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยบรรลุได้ในชีวิตที่แล้ว
การทะลวงผ่านเป็นไปอย่างง่ายดาย ผ่านไปเพียงครึ่งวัน บุปผานิรันดร์ทั้งสิบต้นในตันเถียนของเขาก็เบ่งบานเต็มที่ ห้าต้นลอยขึ้นสูงราวกับจะทะลุผ่านท้องฟ้า ในขณะที่อีกห้าต้นร่วงหล่นลงมาราวกับน้ำตก
จากนั้นบุปผานิรันดร์ทั้งสิบต้นก็โอบล้อมเข้าด้วยกันและกลายเป็นผลวิญญาณขนาดใหญ่
ตัวอ่อนวิญญาณอยู่ในผลวิญญาณผลนี้
ผลวิญญาณสั่นไหวเล็กน้อย และเกิดคลื่นปันป่วนบางอย่างขึ้นภายใน ในตอนแรกเปลือกของมันเป็นสีทองอร่าม แต่ตอนนี้ผิวของมันเริ่มโปร่งใสขึ้นเรื่อยๆจนสามารถมองเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆบางอย่างภายในได้ สิ่งเล็กๆนั่นคือร่างมนุษย์ที่มีรูปลักณ์เหมือนกับหลิงฮันทุกระเบียบนิ้ว
ร่างนั่นคือตัวอ่อนวิญญาณ มันสามารถเรียกได้ว่าเป็นอีกชีวิตหนึ่งของจอมยุทธ
ตำนานกล่าวไว้ว่าหลังจากจอมยุทธกลายเป็นพระเจ้าแล้ว ตัวอ่อนวิญญาณจะถูกแบ่งออกออกมาจากวัฏจักรของสวรรค์และปฐพี ถ้าหากความทรงจำของจอมยุทธถูกทำลาย ตัวอ่อนวิญญาณจะมอบความทรงจำเดิมให้แก่จอมยุทธอีกครั้งราวกับเป็นชีวิตที่สอง
หลิงฮันอ้าปากกว้างเหมือนกับปลาวาฬ เขายัดสมุนไพรทุกอย่างเข้าปากเพื่อทำให้ตัวอ่อนวิญญาณมีพลังชีวิตขึ้นมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
สองวัน… สามวันผ่านไป หลิงฮันเคยคิดว่าเขาที่เคยผ่านเส้นทางนี้มาแล้วจะทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือครั้งนี้ตัวอ่อนวิญญาณของเขาถูกสร้างขึ้นจากบุปผานิรันดร์สิบต้น พลังงานที่ต้องใช้หล่อเลี้ยงมันจึงมหาศาลจนน่าหวาดกลัว
แต่ถึงอย่างนั้น ตัวอ่อนวิญญาณที่เกิดขึ้นมาก็จะทรงพลังมากขึ้นไปด้วย
เขาสลักเจตจำนงลงไปบนผลวิญญาณ เพราะอย่างไรผลนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้น การสลักเจตจำนงจริงง่ายราวกับเขียนหนังสือลงกระดาษ ผ่านไปไม่นานอักขระนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนผิวของผลวิญญาณ
หลิงฮันสลักความรู้ทั้งหมดของเขาลงไป เพราะอย่างไรนี่ก็คือชีวิตที่สองของเขา หากวันใดวันหนึ่งเขาสูญเสียความทรงจำไป เขาก็จะสามารถฟื้นฟูทักษะต่างๆได้อีกครั้งจากตัวอ่อนวิญญาณ
แน่นอนว่าสิ่งที่ฟื้นฟูกลับมาได้มีเพียงทักษะยุทธต่างๆเท่านั้น อย่างก็ก็ในตอนนี้เขาไม่สามารถสลักนิสัยหรือประสบการณ์ต่างๆลงไปได้
เจ็ดวันต่อมา ผลวิญญาณก็ถูกปกคลุมไปด้วยรูปแบบอักขระนับไม่ถ้วนซึ่งปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งบรรพกาลออกมา โดยเฉพาะอักขระของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ซึ่งกลื่นกิ่นพื้นที่ไปถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ในทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์อีกสามทักษะถูกสยบจนไม่อาจเฉิดฉาย
แค่นี้ก็สามารถเห็นได้แล้วว่าระดับของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์นั้นสูงขนาดไหน ทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามไม่อาจเทียบได้แม้แต่หนึ่งส่วน
‘แกรก แกรก แกรก’ รอยร้าวปรากฏขึ้นบนผิวของผลวิญญาณ ตัวอ่อนวิญญาณกำลังจะถือกำเนิดแล้ว!
‘ตูม!’
หลิงฮันสัมผัสได้ถึงคลื่นสั่นสะเทือนพร้อมกับพลังปราณของเขาที่พุ่งขึ้นสูงอย่างกะทันหัน
ระดับตัวอ่อนวิญญาณ!
ภายในตันเถียน ตัวอ่อนวิญญาณได้ออกมาจากผลวิญญาณและลอยอยู่กึ่งกลางระหว่างห้วงจิตวิญญาณส่วนบนและส่วนล่าง ดวงตาของมันเปิดออกพร้อมกับแสงสว่างสีทองที่ส่องสว่างราวกับเทพแห่งสงคราม
หลิงฮันชี้นิ้วไปด้านหน้า ตัวอ่อนวิญญาณเองก็ชี้นิ้วตามเช่นกัน ‘ฟุบ’ รัศมีดาบถูกปลดปล่อยออกมา พลังจากสวรรค์และปฐพีถูกนำมาเสริมให้กับเขาจนรัศมีดาบมีพลังทำลายล้างมากกว่าเดิมร้อยเท่า
หลังจากบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว สิ่งที่ชักนำพลังวิญญาณจากสวรรค์และปฐพีมาเพิ่มพลังต่อสู้นั้นไม่ใช่บุปผานิรันดร์อีกต่อไป แต่กลายเป็นตัวอ่อนวิญญาณแทน
“ระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นหนึ่ง แต่ข้าสามารถสู้กับอัจฉริยะระดับก้าวสู่เทวาที่มีพลังต่อสู้เก้าดาวได้อย่างไม่ยากเย็น” หลิงฮันยิ้ม
ตอนนี้เขาเป็นเพียงแค่ระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นหนึ่งแต่มีพลังต่อสู้เกือบจะสามสิบดาวแล้ว
แต่แน่นอนว่านั่นคือตอนที่เขาใช้ทักษะทั้งหมดออกมา อย่างเช่น ทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามและทักษะสามดาบลี้ลับ แต่ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ทักษะระดับพวกนั้น แค่รัศมีดาบของเขาอย่างเดียวและการฟันดาบธรรมดาของเขาก็สามารถต่อกรกับศัตรูระดับตัวอ่อนวิญญาณที่มีพลังต่อสู้ยี่สิบดาวได้อย่างไม่มีปัญหา
ศัตรูของหลิงฮันไม่ใช่อัจฉริยะที่มีระดับพลังเดียวกันอีกต่อไป แต่ต้องเป็นอัจฉริยะที่มีระดับพลังสูงกว่าเท่านั้นถึงมีค่าพอจะให้เขาออกแรง
‘ตูม’ หอคอยทมิฬเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทะเลสาปขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาบนอากาศที่ว่างเปล่าพร้อมกับน้ำตกที่ไหลลงมาจากฟากฟ้า เกิดเป็นภาพอันน่าอัศจรรย์
“เจ้าทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว หอคอยทมิฬชั้นสองจึงเปิดออก” หอคอยทมิฬน้อยปรากฏตัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น