Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 647-650
ตอนที่ 647
หลิงฮันกวัดแกว่งดาบในมือจู่โจมไปรอบบริเวณ ‘ตูม’ เศษซากปรักหักพังก็ถูกทำลายจนกลายเป็นเศษฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย ปากเล็กๆของฮูหนิวโป่งพองและเป่าลมอันรุนแรงออกไปปัดเป่าเศษฝุ่นบนอากาศ
ภายในพริบตาทั่วทั้งซากปรักหักพังของตำหนักสันตินิรันดร์ก็เหลือเพียงก้อนหินขรุขระขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งอยู่บนพื้น
หลิงฮันยิ้ม ดูเหมือนความคิดเขาจะถูกต้อง ก้อนนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ถูกทิ้งไว้โดยจื่อเสวี่ยนเซียน
เขาจับไปที่หินก้อนนั้นและพยายามยกมันขึ้น แต่เขากลับพบว่าก้อนหินก้อนนี้หนักเป็นอย่างมากจนเขาต้องคำรามออกมา “จงขึ้นมา!”
เขาโคจรปราณก่อเกิดและระเบิดพลังอันมหาศาลออกมา
แต่ที่น่าอายก็คือก้อนหินก้อนนี้ก็ยังคงไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับว่ามันเป็นหินที่ถูกเชื่อมติดกับภูเขา
หลิงฮันรู้สึกไม่สบอารมณ์และคิดจะทำลายก้อนหินก้อนนี้ทิ้ง
หลิงฮันยกดาบกำเนิดมารในมือขึ้นและฟันใส่ก้อนหิน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็มีเพียงรอยขีดข่วนบางๆที่ปรากฏอยู่บนก้อนหิน
หากเป็นเช่นนี้ เขาต้องใช้วลากี่เดือนกี่ปีในการทำลายมัน?
หลิงฮันตัดสินใจใช้ทักษะหมื่นแปรผันเป็นหนึ่ง เพราะตอนนี้เขาควบแน่นกึ่งรัศมีด้วยปราณดาบยี่สิบเจ็ดเล่มได้แล้ว แถมหากใช้ออกทักษะด้วยดาบกำเนิดมารอันคมกริบ พลังทำลายล้างของทักษะจะต้องน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
“หนิวจัดการเอง!” ฮูหนิวพรวดเข้ามาและตะโกน “เจ้าหินน่ารังเกียจ ถ้าหากเจ้าไม่แตกไปซะเดี๋ยวนี้ หนิวจะโกรธและกัดเจ้า!” ‘แกรก แกรก’ นางอ้าปากและกัดลงไปที่ก้อนหิน ทันใดนั้นสิ่งที่น่าตกตะลึงก็เกิดขึ้น ก้อนหินได้ถูกฟันของนางกัดจนแตกร้าว
“หนิวหนิว ฟันของเจ้าน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นอีกแล้ว!” หลิงฮันอุทานออกมา
“สายฟ้าที่หนิวดูดซับเข้ามา มันทำให้หนิวเปลี่ยนไปอย่างมาก!” ฮูหนิวรู้สึกภาคภูมิใจและลงมือกัดก้อนหินต่อ ผ่านไปไม่นานบนก้อนหินก็เกิดหลุมขนาดใหญ่เท่าใบหน้าของนาง
“ถึงว่าทำไมก้นของนายท่านกระต่ายถึงได้เจ็บขึ้นอยู่เรื่อยๆ!” เจ้ากระต่ายอดที่จะนำอุ้งเท้าไปลูบก้นที่บริเวณที่โดนฮูหนิวกัดไม่ได้
หลิงฮันชำเลืองมองและกล่าว “เจ้าเองก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เจ้าเป็นคนแรกเลยที่โดนฮูหนิวกัดเข้าไปขนาดนั้นแต่ยังไม่มีเนื้อหลุดออกมาจากร่างเลย”
“แน่นอน!” เจ้ากระต่ายรู้สึกภาคภูมิใจ “บรรพบุรุษของนายท่านกระต่ายถูกเรียกว่าจักรพรรดิเจ้าปีศาจ เขาคืออสูรผู้ไร้พ่ายแห่งยุคสมัย ด้วยสายเลือดของเขาที่ไหลเวียนอยู่ในตัวข้า จึงเป็นธรรมดาที่นายท่านกระต่ายจะมีศักยภาพที่ยอดเยี่ยม!”
ในขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ฮูหนิวก็กัดก้อนหินเป็นหลุมใหญ่จนร่างของนางหลุดเข้าไปข้างใน
“หลิงฮัน หนิวร่วงลงมาด้านล่าง!” ฮูหนิวตะโกนส่งเสียงออกมา
ฮูหนิวกัดก้อนหินจนเป็นหลุมขนาดเท่าตัวของนาง แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานจะดัดกระดูกของตนเองไม่ได้รึ? หลิงฮันดัดกระดูกในร่างของตนเองอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงกระดูกเสียดสีกันราวกับเสียงกลอง
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร นั่นเพราะเขาฝึกฝนคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ที่ทำให้กระดูกทั่วทั้งร่างของเขาทนทานเทียบได้กับแร่เหล็กในระดับเดียวกัน ดังนั้นการดัดกระดูกจึงทำได้ยากมาก
หลิงฮันบีดร่างของตนเองและลอดผ่านช่องหินที่ฮูหินวกัดเอาไว้ เจ้ากระต่ายเองก็กระโดดตามเข้ามาเช่นกัน
ที่หลิงฮันประหลาดใจก็คือ ตอนแรกเขาคิดว่าที่นี่จะเป็นห้องลับที่จื่อเสวี่ยนเซียนทิ้งข้อความเอาไว้ แต่ที่ไหนได้มันกลับกลายเป็นทางเดินที่ด้านหน้ามืดมิดจนไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี
“ให้ตายสิ แค่ทิ้งจดหมายหรืออะไรไว้ก็ได้ไม่ใช่รึไง ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากเช่นนี้!” หลิงฮันกล่าวในขณะที่เดินตรงไปด้านหน้า
เขาสำรวจบริเวธรอบๆและพบกับกำแพงที่มีอักขระสลักเอาไว้ ซึ่งอักขระที่สลักเอาไว้นั้นเป็นอักขระระดับสูงที่เกินกว่าตัวเขาในชีวิตที่แล้วจะทำความเข้าใจได้
“นี่สมควรเป็นอักขระที่สลักโดยจื่อเสวี่ยนเซียนหลังจากที่นางบรรลุระดับทลายมิติแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมข้าถึงไม่สามารถทำลายก้อนหินได้ ที่แท้มันก็ถูกสลักเอาไว้ด้วยอักขระของจอมยุทธระดับทลายมิตินี่เอง”
“แต่ที่น่าตกตะลึงก็คือฟันของฮูหนิวกลับค่อยๆทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ!”
หลิงฮันรู้สึกได้ว่าความสามารถของฮูหนิวค่อยๆเริ่มน่ากลัวยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้ท้องเล็กๆของนางก็เป็นราวกับหลุมดำอันไร้ที่สิ้นสุด ซึ่งตอนนั้นก็แค่สำหรับการกินอาหาร แต่ตอนนี้แม้แต่พลังสายฟ้าระดับก้าวสู่เทวาก็ยังถูกนางดูดกลืนได้อย่างง่ายดาย
แถมในอดีตฟันของนางที่ยังเป็นเพียงระดับแก่นแท้จิตวิญญาณก็ยังมีพลังทำลายล้างเทียบได้กับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานยี่สิบดาว แต่ตอนนี้ฟันของนางสามารถกัดได้แม้กระทั้งก้อนหินที่ประทับพลังของตัวตนระดับทลายมิติเอาไว้
ที่หลิงฮันเป็นกังวลอยู่ก็คือเหตุผลที่ฮูหนิวค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นจะเป็นเพราะรากฐานวิญญาณรูปร่างมนุษย์ในตันเถียนของนางได้ตื่นขึ้นมาแล้วรึเปล่า? เขาไม่คิดว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นเพียงรากฐานวิญญาณ แต่สมควรเป็นวิญญาณที่มีความนึกคิด!
แค่คิดว่าถ้าหากจู่ๆวันหนึ่งฮูหนิวกลายเป็นคนอื่นที่เขาไม่รู้จัก มันจะน่าทุกข์ใจขนาดไหน
จมูกเล็กๆของฮูหนิวสูดดมอะไรบางอย่างและตลบมือขึ้นมา “หลิงฮัน! หลิงฮัน! ตรงด้านหน้ามีกลิ่นอะไรหอมๆด้วย!”
หลิงฮันยิ้ม เขาเลิกคิดเรื่องน่าปวดหัวและเดินตรงไปด้านหน้าพร้อมกับกล่าว “จมูกของเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ!”
“ใช่แล้ว หนิวสุดยอดที่สุด!”
ทางเดินมาถึงจิ้นสิ้นสุดในที่สุด หลิงฮันมองเห็นกำแพงด้านหน้าซึ่งทั้งกว้างและสูง กำแพงถูกสร้างขึ้นจากแผ่นสี่เหลี้ยมเล็กๆนับไม่ถ้วน แผ่นสี่เหลี่ยมแต่ละแผ่นมีภาพวาดใบหน้าคนวาดอยู่ มีทั้งใบหน้าของบุรุษ สตรี คนชราและหนุ่มสาว ซึ่งมีทั้งหมดมากมายถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแผ่น
ในมุมหนึ่งของกำแพง เขามองเห็นแอ่งน้ำอัสนีเล็กๆแอ่งหนึ่ง ในแอ่งน้ำแห่งนั้นมีดอกบัวลอยอยู่ ดอกบัวดอกนี้ได้เบ่งบานเต็มที่แล้ว แต่สิ่งงอกออกมาจากดอกบัวนั้นกลับเป็นผลอะไรสักอย่างที่มีขนาดเท่ากับฝ่ามือ แถมยังส่องประกายแสงระยิบระยับสีม่วง
กลิ่นหอมที่ฮูหนิวได้กลิ่นนั้นมาจากผลสีม่วงนี้
แอ่งน้ำอัสนีนั้นใกล้จะเหือดแห้งเต็มทีแล้ว ทำให้สามารถมองเห็นได้ชักว่าดอกบัวนั้นได้ถูกปลูกติดเอาไว้กับพื้นใต้แอ่งน้ำอัสนี รากของมันเองก็เป็นสีม่วงเช่นกัน
“อัสนีบาตเมฆาม่วง!” หลิงฮันอุทาน
แน่นอนว่าอัสนีบาตเมฆาม่วงนั้นได้พัฒนาตนเองมาเป็นเวลานานแล้ว ตราบใดที่ผลของดอกบัวสีม่วงต้นนี้สุกงอมเต็มที่ จิตวิญญาณสายฟ้าก็จะกำเนิดขึ้นมา กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แท้จริงภายใต้สวรรค์และปฐพี
แต่ตอนนี้ จิตวิญญาณสายฟ้าได้อยู่ในรูปลักษณ์ของผลสมุนไพร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มันมีการป้องกันตนเองต่ำที่สุด ถ้าหากเด็ดมันออกมาย่อมได้รับผลประโยชน์ที่มหาศาลอย่างไม่อาจจินตนาการได้
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังของสวรรค์และปฐพี แม้แต่ตัวตนระดับทลายมิติก็ต้องจิตใจสั่นไหว
หลิงฮันตกตะลึงจนลืมภาพวาดมากมายบนกำแพงไปชั่วขณะ สายตาของเขาจดจ่อไปยังดอกบัวสายฟ้า
‘ตุบตุบตุบ’ แต่ทันใดนั้นเอง ด้านหลังของเขาก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
ตอนที่ 648
รูที่ฮูหนิวกัดเอาไว้แม้จะเล็ก แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน
หลิงฮันหันหลังและเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา ในทางเดินอันมืดมิด ร่างของชายคนนั้นส่องแสงสว่างออกมา เขามีร่างมีผอมบางและคิ้วที่คมกริบราวกับใบดาบ คิ้วและตาของเขาก็แหลมคมราวกับใบดาบเช่นกัน ริมฝีปากบนและล่างของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับใบดาบสองเล่ม
คนเช่นนี้สามารถบอกได้อย่างเดียวคือแปลกประหลาด!
ยิ่งกว่านั้นหากเป็นคนอื่น พวกเขาก็จะเก็บอาวุธเอาไว้ในแหวนมิติ เพราะอย่างไรพวกเขาก็สามารถเรียกออกมาใช้ได้ทันทีอยู่แล้ว แต่คนผู้นี้กลับถือดาบเอาไว้ในมือราวกับว่าไม่อาจปล่อยมือจากดาบได้แม้แต่วินาทีเดียว
ชายคนนั้นมองเห็นหลิงฮัน ฮูหนิวและเจ้ากระต่ายเช่นกัน แต่ตาของเขากลับจ้องเขม็งไปยังดอกบัวสายฟ้าและกล่าวขึ้นมา “พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”
“บัดซบ เจ้าคือใครกันถึงได้ทำมาเป็นสั่งนายท่านกระต่าย?” ขนของเจ้ากระต่ายตั้งฟูด้วยความโกรธ
ชายคนนั้นไม่รู้สึกโมโหหรือตกตะลึงที่เห็นสัตว์อสูรพูดได้ “ข้าคือหลูหยวนจือผู้คลั่งดาบ ข้ากำลังสร้างทักษะดาบธาตุสายฟ้าอยู่ ซึ่งข้าจำเป็นต้องใช้จิตวิญญาณอัสนีในการเสริมแกร่งให้กับเจตจำนงดาบของข้า”
หลิงฮันรู้สึกไม่สมอารมณ์และกล่าวออกไป “เจ้ากำลังสร้างทักษะดาบสายฟ้า แต่ข้าเองก็กำลังฝึกฝนกายาสายฟ้าอยู่เช่นกัน เพราะงั้นคงให้เจ้าไม่ได้”
“งั้นก็ช่วยไม่ได้ ข้าคงต้องสังหารเจ้าซะ หากเจ้าตายเจ้าก็จะไม่จำเป็นต้องใช้ผลสายฟ้านั่น!” หลูหยวนจือพูดอย่างสงบนิ่ง น้ำเสียงของเขาช่างไร้ความดุดัน เมื่อมองไปในแววตาของอีกฝ่าย หลิงฮันมองไม่เห็นจิตสังหารของหลูหยวนจือเลยซักนิด
ผู้บ้าคลั่งดาบ… อีกฝ่ายคลั่งไคล้ดาบจนสามารถทำทุกอย่างได้เพื่อพัฒนาทักษะของของตน!
ในสายตาของเขา การสังหารหลิงฮันไม่ใช่ความต้องการของเขา แต่เป็นเพียงการกำจัดเสี้ยนหนามในการฝึกฝนทักษะดาบของตนเอง เพราะงั้นเขาจึงไม่มีจิตสังหารใดๆปรากฏให้เห็น เพราะไม่ว่าใครก็จำเป็นต้องกำจัดหินที่กำลังขวางทางที่กำลังเดินอยู่
ซึ่งหลิงฮันก็คือหินก้อนนั้น
หลิงฮันหวักแกว่งดาบกำเนิดมารในมือและถอนหายใจ การปะทะกันครั้งนี้คงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“เป็นดาบที่ดี!” หลูหยวนจือจ้องมองมายังดาบกำเนิดมาร ดวงตาของเขาส่องประกายและพูด “ขอข้าดูดาบเล่มนั้นได้หรือไม่?”
ใบหน้าของหลิงอันกระตุก พวกเราต้องสู้กัน และเจ้าก็บอกเองว่าเจ้าจะสังหารข้า แต่เจ้ายังคิดจะขอดาบข้าไปดูอีกรึ สติของเจ้ามีปัญหารึเปล่า? หลิงฮันส่ายหัวและพูด “ไม่!”
“ทำไมล่ะ?” หลูหยวนจือสงสัย ในความคิดของเขา ดาบของหลิงฮันนั้นยอดเยี่ยมและมีค่าที่จะให้นักดาบทั่วโลกได้ชื่นชมมันอย่างแท้จริง
หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูด เมื่อพบเจอกับคนเช่นนี้เขาควรจะพูดออกไปอย่างไรดี? เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วขระก่อนจะตอบกลับไป “ถ้าเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะให้เจ้าชื่นชมมัน ถ้าหากเจ้าแพ้ เจ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติเพียงพอ?”
หลูหยวนจือชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้าไม่หยุด “ใช่แล้วๆ ดาบนั่นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถชื่นชมได้ ข้าต้องพิสูจน์พลังของข้าเป็นอันดับแรก!”
หลูหยวนจือชักดาบออกมา หลิงฮันตกตะลึงเป็นอย่างมาก นั่นเพราะดาบของชายผู้นี้ถูกสร้างขึ้นจากไม้
“ฮ่าๆๆๆ!” เจ้ากระต่ายหัวเราะจนท้องแข็ง “นายท่านกระต่ายหัวเราะจนจะขาดใจตายแล้ว มีคนที่นำดาบไม้มาสู้จริงๆด้วยรึ? นี่เจ้าจะไปไล่ผีรึไง?”
สีหน้าของหลูหยวนจือยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อถือดาบอยู่ในมือ ใบหน้าของเขาได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจพร้อมกับเจตจำนงแห่งดาบที่ทรงพลังยิ่งขึ้น
หลิงฮันไม่กล้าประมาท ถึงแม้อีกฝ่ายจะดูบ้าๆบอๆ แต่ความสำเร็จในวิถีแห่งดาบของอีกฝ่ายนั้นสูงส่งมาก หรือเรียกอีกอย่างได้ว่าอัจฉริยะและคนบ้ามีเพียงเส้นบางๆขั้นอยู่
“นี่คือทักษะดาบไม้สามกระบวนท่าที่ข้าคิดค้นขึ้น” เมื่อหลูหยวนจือกล่าวจบ ดาบไม้ในมือของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อยก่อนที่จะพุ่งโจมตีด้วยความเร็วสูงจนทิ้งเงาเอาไว้
หลิงฮันตกตะลึงมากที่ดาบของอีกฝ่ายรวดเร็วได้ขนาดนี้ นั่นเพราะร่างกายของคนเรามีขีดจำกัด กระดูกและกล้ามเนื้อที่ไม่ทนทานย่อมไม่อาจรองรับแรงสั่นที่รวดเร็วได้
ซึ่งวิธีแก้ปัญหานั้นก็คือการทำให้กายหยาบแข็งแกร่งและมีความสามารถที่เกินกว่าขีดจำกัดเดิม
เห็นได้ชัดว่าหลูหยวนจือนั้นไม่ได้บ่มเพาะทักษะกายา แต่เขากลับออกกระบวนท่าดาบได้เร็วเกินขีดจำกัด ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อมาก
และนั่นคงเป็นอีกเหตุผลที่เขาใช้ดาบไม้เพราะดาบไม้มีน้ำหนักมีเบา ไม่เช่นนั้นหากใช้ดาบที่สร้างขึ้นจากแร่เหล็กระดับหกหรือเจ็ด น้ำหนักของดาบจะมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัม ในขณะที่ดาบไม้หนักเพียงหนึ่งหรือสองปอนด์เท่านั้น หากโจมตีด้วยความเร็วที่เท่ากัน แรงสั่นที่เกิดขึ้นต่อร่างกายย่อมต่างกัน
หลิงฮันสูดหายใจลึกและเตรียมใช้ทักษะสามพันดาบลึกลับ “งั้นก็ลองดูซักตั้ง”
หลิงฮันเค้นเสียงและปลดปล่อยทักษะดาบลึกลับสามเล่มออกไป
‘ตูม ตูม!’
ประกายแสงแห่งดาบระเบิดออกเกิดเป็นแสงที่น่าสะพรึงกลัว คลื่นกระแทกที่เกิดขึ้นทำให้ถ้ำเล็กๆแห่งนี้สั่นไหว แต่โชคดีที่ถ้ำแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยจอมยุทธระดับทลายมิติ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงถูกถ้ำถล่มทับทั้งเป็นไปแล้ว
เมื่อแสงเริ่มสลายไป หลิงฮันกับหลูหยวนจือก็ยืนอยู่ห่างกันสามฟุต เสื้อผ้าของทั้งสองคนฉีกขาดและมีโลหิตไหลออกมา แต่พวกเขาก็เมินเฉยต่อบาดแผลบนร่างของตน
หลิงฮันตกตะลึง อีกฝ่ายสามารถต้านทานทักษะดาบลึกลับสามพันเล่มได้!
แม้อีกฝ่ายจะมีระดับพลังที่สูงกว่าเขา นั่นคือระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นห้า แต่หลิงฮันก็ใช้ทักษะสามพันเล่มออกไปด้วยดาบกำเนิดมารซึ่งสมควรจะสามารถสังหารจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณทุกคนได้
แข็งแกร่ง แข็งแกร่งยิ่งนัก!
ยิ่งกว่านั้นดาบไม้ของอีกฝ่ายก็ยังไม่ธรรมดาอีกด้วย บางทีมันอาจจะไม่ใช่ไม้แต่เป็นวัสดุระดับสูงบางอย่าง และที่สำคัญก็คืออีกฝ่ายควบแน่นปราณดาบให้กลายเป็นรัศมีดาบที่แท้จริงได้แล้ว แถมยังไม่ใช่ปราณดาบเพียงแค่สิบเล่มอีกด้วย ดังนั้นเพลงดาบของอีกฝ่ายจึงน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
เมื่อใช้ทุกอย่างรวมกัน หลูหยวนจือจึงสามารถต้านทานทักษะดาบลึกลับสามพันเล่มได้
สีหน้าของหลูหยวนจือยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ตกตะลึงเลยที่หลิงฮันสามารถสู้กับเขาได้สูสีทั้งๆที่มีพลังบ่มเพาะเพียงระดับบุปาผาผลิบาน
หลิงฮันโคจนทักษะอัสนีบาตรเก้าทิวาและใช้ทักษะเคลื่อนที่ ร่างของเขาขยับถอยหลังมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับสะสมพลังปราณเพื่อใช้ทักษะหมื่นแปรผันเป็นหนึ่ง
หลูหยวนจือไม่เคลื่อนไหว สีหน้าของเขาประดับไว้ด้วยความน่าเกรงขาม แววตาของเขาจดจ้องไปยังหลิงฮันพร้อมกับดาบในมือที่ยกขึ้นสูงเล็กน้อย ทันใดนั้นปลายดาบของเขาก็ส่องประกายแสงสีฟ้าอันสว่างไสวออกมา “กระบวนท่าที่สาม ‘ย่องตาม’ ความเร็วของเจ้าจะไร้ประโยชน์อีกต่อไป ดาบของข้าจะไล่ตามเจ้าไปทุกที่ แม้เจ้าจะหลบหนีไปถึงขอบโลก ดาบนี้ก็จะติดตามเจ้าไปและฟาดฟันร่างของเจ้า”
หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูด เจ้าจะคิดชื่อที่ดีกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง?
ตอนที่ 649
“มีสมาธิกับการต่อสู้ อย่าทำให้ข้าต้องอาเจียน!” หลิงฮันตะโกน “ทักษะหมื่นแปรผันเป็นหนึ่งจะใช้เวลารวบรวมพลังแค่หนึ่งหรือสองลมหายใจเท่านั้น และสามารถปลดปล่อยการโจมตีออกไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ยิ่งรวบรวมพลังได้น้อย พลังโจมตีก็จะน้อยตาม”
หลูหยวนจือกระโจนออกไปพร้อมกับดาบไม้ที่อยู่ในมือที่ปลดปล่อยรัศมีดาบที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
หลิงฮันตะโกนและโต้กลับ “ปราณดาบยี่สิบเก้าเล่มถูกหลอมรวมเป็นกึ่งรัศมีดาบที่สามารถเทียบได้กับพลังป้องกันของจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวา”
นั่นเป็นเพราะ มันเป็นอาวุธวิญญาณระดับสิบ
ตู้ม!
การปะทะกันระหว่างกึ่งรัศมีดาบและรัศมีดาบที่แท้จริงนั้นทำให้เกิดแสงสว่างเจิดจ้าไปทั้งถ้ำ
เมื่อแสงสว่างหายไป หลิงฮันและหลูหยวนจือยังคงยืนอยู่ที่เดิม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้สร้างความได้เปรียบอะไรเลยจากการโจมตีครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม กายหยาบของหลิงฮันนั้นแข็งแกร่งมาก เขาจึงได้รับบาดเจ็บน้อยกว่า และเขายังบ่มเพาะพลังของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ทำให้บาดแผลของเขาถูกรักษาด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง
หลูหยวนจือนำดาบของเขากลับไปที่ฝักดาบและพูดว่า “ข้าไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้”
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “มันเป็นเรื่องยากสำหรับข้าเหมือนกันที่จะเอาชนะเจ้า” ตอนนี้ทักษะสามดาบเร้นลับไม่ใช่ไพ่ลับของเขาอีกต่อไป แต่เป็นทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามทักษะ
หลูหยวนจือหันหลังกลับและเดินจากไป เขาไม่ได้หันไปมองดอกบัวสายฟ้าแม้แต่น้อย และจากไปแต่โดยดี
คนแบบนี้เป็นคนที่แปลกมาก เขาปรากฏตัวออกมาและจากไปแต่โดยดี มันแปลกเกินไปสำหรับนักดาบ บางคนไร้เหตุผลและใช้อารมณ์เป็นหลัก แต่เขาไม่ได้ถือว่าเป็นคนชั่วร้าย
โลกใบนี้ช่างมีขนาดใหญ่ยิ่งนัก มีผู้คนนับไม่ถ้วนและมีอัจฉริยะนับไม่ถ้วน ชื่อหลูหยวนจือเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่จู่ๆเขาก็ปรากฏตัวออกมา
ทันใดนั้น หลังจากที่หลูหยวนจือเพิ่งจากไป มีเสียงฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาใกล้
มันยังไม่จบ!
หลิงฮันรีบวิ่งไปที่สระสายฟ้าเพื่อเก็บดอกบัวสายฟ้า มันไม่ใช่สมุนไพรแต่รูปร่างที่พิเศษของมันนั้นเกิดขึ้นจากพลังของสายฟ้า ดังนั้นแม้ว่าเขาจะนำมันไปปลูกในหอคอยทมิฬก็ไร้ประโยชน์
จิตวิญญาณสายฟ้ายังไม่ถูกดูดซับ ตามธรรมชาติแล้วมันไม่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต เมื่อสระสายฟ้าแห้งขอด หลิงฮันสามารถดึงดอกบัวสายฟ้าขึ้นมาได้อย่างง่ายดายและเก็บมันเข้าไปในหอคอยทมิฬ
เขาไม่จำเป็นต้องรีบเพื่อดูดซับมัน
เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ พวกเขามีทั้งหมดห้าคนเป็นชายหนึ่งคนและหญิงสี่คน ชายคนนั้นหล่อเหลามาก ส่วนหญิงสาวสีคนนั้นก็งดงามเช่นกัน แต่พวกเขาดูมีเสน่ห์เกินไป ทุกย่างก้าวและรอยยิ้มดูเหมือนจะทำให้หลงใหลและเคลิ้มตาม
ชายคนนั้นกวาดสายตามองและสีหน้าของเขากลายเป็นหนาวเย็นเมื่อเห็นว่าสระสายฟ้านั้นว่างเปล่า เขาพูดว่า “เจ้าเป็นคนเก็บอสนีเมฆาม่วงงั้นรึ?”
หลิงฮันไม่ตอบ แต่หันหลังไปมองกำแพงที่เต็มไปด้วยอักขระ
“กล้าหาญยิ่งนัก นายน้อยของข้ากำลังถามเจ้าอยู่ แต่เจ้ากล้าที่จะไม่ตอบงั้นหรือ?” หญิงสาวคนหนึ่งตะโกน
“หญิงสาวอัปลักษ์ นี่เจ้ากล้าดุหลิงฮัน?” ฮูหนิวรู้สึกโกรธและจ้องเขม็งไปที่อีกฝ่าย
“กัดนาง กัดนางเลย!” เจ้ากระต่ายกล่าวยั่วยุราวกับว่ามันกลัวว่าโลกจะวุ่นวายไม่พอและตะโกนอยู่ด้านข้าง
ฮูหนิวยิ้มและพูดว่า “กลิ่นของนางเหม็นเกินไป หนิวไม่อยากกัด!”
“ถ้างั้นทำไมเจ้าถึงกัดกระต่ายอย่างข้าและดูมีความสุขขนาดนั้นกันล่ะ?” เจ้ากระต่ายถาม
“ก็เนื้อกระต่ายมันอร่อยนิ!” ฮูหนิวจ้องมองมันด้วยสายตาเปล่งประกาย
“เจ้า -” หญิงสาวที่พูดออกมาก่อนหน้านี้รู้สึกโกรธ ผู้ชายและกระต่ายตัวนี้กล้าที่จะมองข้ามนางได้อย่างไร? หืม เดี๋ยวก่อน เจ้ากระตายตัวนี้พูดได้ด้วยงั้นรึ?
ชายคนนั้นดูร้อนรนและพูดว่า “ข้ามีนามว่าซีเหมินจวิ้นแห่งนิกายเฟิงเย่ว จงส่งมอบอสนีเมฆาม่วงมาให้ข้าแต่โดยดี มิฉะนั้นข้าจะสังหารเจ้า”
นิกายเฟิงเย่ว?
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจและถามว่า “นิกายเฟิงเย่วน่ากลัวขนาดนั้นเลย?”
“หึ นายน้อยของข้าเป็นศิษย์คนที่สี่ของประมุขนิกายเฟิงเย่ว เมื่อเขาอายุสามสิบสี่ปี เขาก็ทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว ด้วยระดับพลังของนายน้อยของข้า ในภูมิภาคกลางเขาสามารถติดหนึ่งในสิบผู้ที่มีพรสวรรค์สูงสุด!” หญิงสาวคนที่สองกล่าวยกย่อง
นี่ทำให้ซีเหมินจวิ้นรู้สึกภาคภูมิใจมาก เขายืนกอดอกอย่างทนงตัวราวกับรอให้อีกฝ่ายเข้ามากราบไหว้
หลิงฮันพูดว่า “ดูเหมือนว่าประมุขนิกายเฟิงเย่วไม่เพียงแค่ลูกชายจะถูกฆ่าตาย แม้แต่ศิษย์ของเขายังต้องหายสาบสูญ! วันหนึ่งข้าจะกัดจำนิกายที่ชั่วร้ายออกไปให้หมด”
“ว..ว่าไงนะ!” ซีเหมินจวิ้นรู้สึกตกใจและจ้องมองไปที่หลิงฮันสองสามครั้ง “น้องชายหูชิ่งฟางถูกเจ้าฆ่างั้นรึ?”
“เป็นคำตอบที่ถูกต้อง!” หลิงฮันปรบมือ
ซีเหมินจวิ้นหัวเราะออกมาทันทีและพูดว่า “เจ้าช่วยข้าไว้ได้มากเลย!” อาจารย์ของข้าได้ออกคำสั่งไว้ว่า ถ้าผู้ใดสามารถฆ่าคนที่ฆ่าศิษย์น้องหูชิ่งฟางได้จะได้เป็นประมุขนิกายคนต่อไป!”
“ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าไม่เพียงแต่จะเก็บเกี่ยวอสนีเมฆาม่วงได้เท่านั้น แต่จะได้กลายเป็นประมุขนิกายเฟิงเย่วคนต่อไปด้วย!”
เขารู้สึกมีความสุขมาก และรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดี
“ขอแสดงความยินดีด้วยนายน้อย”
“ไม่สิ ข้าควรจะพูดว่าขอแสดงความยินดีด้วยท่านประมุขนิกาย!”
“ขอแสดงความยินดีด้วยท่านประมุขนิกาย!”
หญิงสาวทั้งสี่คนรู้สึกมีความสุข พวกนางรีบเขาไปส่งจูบให้เขาทีละคน ในขณะที่มือของซีเหมินจวิ้นโอบกอดและสัมผัสพวกนางทั้งสี่คน ราวกับไม่มีหลิงฮันอยู่ที่นี่
หลิงฮันใช้มือปิดตาของฮูหนิวและปลดปล่อยจิตสังหารออกมา เขาพูดว่า “หึ่ม อย่างกับกลุ่มหมาตัวผู้และหมาตัวเมียไม่มีผิด ถ้าข้าไม่สังหารพวกเจ้า ท้องฟ้าสีครามคงจะถูกปกคลุมไปด้วยสิ่งสกปรก”
หลิงฮันไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว และกลายเป็นแสงกระพริบหายไปพุ่งโจมตีฝ่ายตรงข้าม
“เจ้ากล้า!” หญิงสาวทั้งสี่คนกระโจนเข้าหาหลิงฮันพร้อมกัน
เมื่อหลิงฮันใช้ดาบกำเนิดมาร ใครจะสามารถต่อกรด้วยได้? ตู้ม หัวสี่หัวลอยอยู่บนอากาศและร่างที่ไร้หัวกำลังดิ้นไปมาและมีเลือดพุ่งออกมาจากคอ
“ไม่!” ซีเหมินจวิ้นกรีดร้อง แม้ว่ามันไม่ได้ขาดแคลนสาวงาม แต่หญิงสาวทั้งสี่คนนั้นคือคนที่มันติดใจมากที่สุด
“เจ้าจะต้องตาย!” ซีเหมินจวิ้นจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธในดวงตา
“ตายน้องสาวเจ้าสิ!” หลิงฮันกระโจนออกไปอีกครั้งด้วย และเกิดประกายแสงสายฟ้ากระพริบ ความเร็วของเขานั้นน่าตกตะลึงมาก
ซีเหมินจวิ้นทำได้แค่พึ่งสัญชาตญาณเท่านั้น มันมีค้อนด้ามสั้นอยู่ในมือทั้งสองข้างและมีลวดลายอักขระอยู่บนค้อน ซึ่งปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่ากลัวออกมาแสดงให้เห็นว่ามันไม่ธรรมดา
ตู้ม!
มันทำได้แค่ป้องกันดาบของหลิงฮัน แต่ไม่สามารถป้องกันพลังของมันได้ ทำให้ร่างของมันกระแทกเข้ากับกำแพงถ้ำและกระอักเลือดออกมา
เจ้าไม่รู้หรือว่ากำแพงถ้ำแห่งนี้มันแข็งแค่ไหน?
ใบหน้าของซีเหมินจวิ้นซีดขาว มันเป็นถึงจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ไม่อาจรับมือหลิงฮันได้ นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน!
“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ เจ้ามันก็แค่กบก้นบ่อ ที่ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธที่แข็งแกร่งกว่าเจ้ามากมายแค่ไหนอยู่ใต้ดวงอาทิตย์!” หลิงฮันโจมตีออกไปด้วยดาบอีกครั้ง ศิษย์ของนิกายเฟิงเย่วต่างเป็นคนไร้ยางอาย และทุกคนจะต้องตาย
หัวของซีเหมินจวิ้นลอยหลุดออกจากบ่าเช่นกัน
ตอนที่ 650
“จะมีคนแห่กันมาที่นี่มากขึ้น ดังนั้นข้าจะต้องรีบทำทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อย” หลิงฮันเก็บดาบและมองไปที่กำแพงที่ขวางทางอยู่
แผ่นสี่เหลี่ยมแต่ละแผ่นมีภาพวาดใบหน้าคนวาดอยู่ ซึ่งแต่ละภาพนั้นมีทั้งใบหน้าของบุรุษ สตรี คนชราและหนุ่มสาว ซึ่งมีทั้งหมดมากมายถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแผ่น
“หรือว่ามันจะให้ข้าเลือก?” หลิงฮันพูดพึมพัม หลังจากที่จ้องมองภาพวาดไปได้ชั่วครู่ เขาจ้องไปที่ภาพภาพหนึ่งและยิ้มออกมา “ภาพวาดนั้นมันจื่อเสวี่ยนเซียนมิใช่หรือ?”
“ถ้าใครไม่ได้รับผลึกความทรงจำจากเกราะอัสนี แม้จะมาถึงที่นี่ก็ไร้ประโยชน์และอาจมีโอกาสถูกเพียงแค่หนึ่งในพัน ตามลักษณะนิสัยของจื่อเสวี่ยนเซียน นางคงไม่มีทางโอกาสครั้งที่สองให้”
หลิงฮันหักนิ้วและวางมือไปที่ภาพของจื่อเสวี่ยนเซียน ทันใดนั้น กำแพงหินเริ่มส่งเสียงแตกหักและเคลื่อนไหว แยกออกเป็นสองด้าน
ความเร็วของมันไม่ได้รวดเร็วมากนัก ในไม่ช้าเส้นทางก็ถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์ ด้านในเป็นห้องหิน มันไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนัก แต่มีความกว้างประมาณสองเมตร และมีโต๊ะยาวเพียงโต๊ะเดียว ซึ่งมีหนังสือเล่มเล็กอยู่บนโต๊ะ
หลิงฮันเดินเข้าไป แน่นอนว่าฮูหนิวต้องตามเขาเข้าไปด้วย และหลังจากที่เจ้ากระต่ายละลังเสร็จ มันก็ตามเขาเข้าไป
กำแพงหินปิดอย่างรวดเร็วและพวกเขายังคงอยู่ภายในห้องหิน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะอยู่ด้านใน ทว่ามันกลับไม่มืด กำแพงที่อยู่รอบด้านต่างส่องแสงสว่างที่งดงามราวกับหยก
หลิงฮันเดินมาที่โต๊ะยาว เขานั่งลงและเปิดหนังสือที่จื่อเสวี่ยนเซียนหลงเหลือเอาไว้
หลิงฮันอ่านไปได้สักพักแล้วจู่ๆคิ้วของเขาตั้งขึ้นและแสดงความโกรธพร้อมกับจิตสังหารออกมา หลังจากอ่านเสร็จ เขาทุบโต๊ะอย่างรุนแรงและเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน
“ให้ข้าดูบ้าง” กระต่ายคว้าหนังสือและเริ่มอ่านทันที ในไม่ช้ามันก็แสดงสีหน้าตกใจ
มันไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ถ้าสิ่งที่จื่อเสวี่ยนเซียนพูดนั้นเป็นความจริง ทั้งผู้คนที่อาศัยอยู่ในทวีปฮงเทียนตกอยู่ในคำโกหกคำโต
หลิงฮันจัดความคิดของเขาซักพักหนึ่ง และจื่อเสวี่ยนเซียนพูดแบบนั้น
ประมาณหลายแสนปีก่อน ขุมพลังบางแห่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เกิดความสนใจทวีปฮงเทียน สิ่งที่พวกเขาสนใจไม่ได้เป็นทรัพยากรในทวีปฮงเทียน แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนทวีป
นี่เป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวมาก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้รับวิธีโบราณในการปรุงและหลอมสิ่งมีชีวิตให้กลายเป็นโอสถศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแม้แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นโอสถที่ล้ำค่า
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นข้อห้ามในดินแดนศักดิ์สิทธิ์และไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
แต่ทวีปเทียนฮงนั้นแตกต่าง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์สามารถควบคุมทวีปแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย และตัวแทนของพวกมันคือนิกายโบราณทั้งห้าแห่ง!
ทำไมทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ นิกายใหญ่ทั้งห้าแห่งถึงรวมมือกันเพื่อรับมือ นั่นเป็นเพราะพวกเขาเป็นคนของพวกมันตั้งแต่แรก!
ขุมพลังพวกนั้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ใช้เวลาเป็นหมื่นปีเพื่อเลี้ยงปศุสัตว์ในกรงอย่างทวีปฮงเทียน พวกเขาใช้เวลาหมื่นปีในการฟื้นฟูพลังของสวรรค์และปฐพีในทวีปฮงเทียน พวกเขายังทำให้สภาพแวดล้อมเหมาะสมแก่การฝึกฝนของจอมยุทธ์ และหลอมทุกคนให้กลายเป็นโอสถ
จื่อเสวี่ยนเซียนนั้นเป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้นางยังเป็นลูกหลานของเผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่นางเข้าในความจริง มันทำให้นางรู้สึกโกรธมาก ในอีกด้านหนึ่งนางทิ้งความจริงทั้งหมดไว้เบื้องหลัง ในทางกลับกัน นางเริ่มต่อสู้กับบรรดาชนชั้นสูงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ผลลัพธ์ที่หลิงฮันเห็นคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีจอมยุทธที่แข็งแกร่งมากเกินไป เพียงแค่คนสามคนก็เพียงพอที่จะสยบนางได้แล้ว
การก่อตั้งสำนักสวรรค์เองก็เป็นแผนการร่วมด้วยช่วยกัน เป้าหมายที่แท้จริงคือคัดเลือกอัจฉริยะบนโลก และพากลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากล้างสมองอิจฉริยะพวกนั้นแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ให้กับขุมพลังพวกนั้น
จากอัจฉริยะกลายเป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์
นอกจากนี้ นักปรุงยาระดับสูงหรือปรมาจารย์นักปรุงยาจะถูกพากลับไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อสอนการปรุงยาของพวกเขา แต่แน่นอนว่าไม่ได้ฝึกฝนพวกเขา แต่ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับนักปรุงยา
ในเวลานั้น สิ่งมีชีวิตจะต้องสูญพันธ์อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์หรือต้นไม้หรือแม้กระทั่งจิตวิญญาณศิลา จิตวิญญาณเปลวเพลิง จิตวิญญาณน้ำ
หลังจากที่โลกถูกกลั่นเป็นเม็ดยา ทั้งทวีปฮงเทียนจะกลายเป็นดินแดนที่แห้งแล้งเกือบจะเป็นดินแดนแห่งความตาย
ขุมพลังเหล่านั้นบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดที่แท้จริงของนิกายดาบสวรรค์และนิกายกระบี่ไร้เทียนทานจะเรียกว่าพระราชวังดาบสวรรค์และพระราชวังกระบี่ไร้เทียนทาน ซึ่งทั้งสองเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งมากในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ การกระทำของพวกเขาทุกคนไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่พวกเขาหวาดกลัวความแข็งแกร่งของทั้งสองนิกาย ดังนั้นทุกคนจึงทำได้แค่แกล้งเป็นตาบอดมองไม่เห็น
นอกจากนี้ ภูมิหลังของเจ้ากระต่ายนี่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องเกินจริง
โดยรวมแล้วขุมพลังทั้งห้า อย่างพระราชวังดาบสวรรค์ดำเนินแผนการนี้อย่างราบรื่น พวกเขาจะใช้สิ่งมีชีวิตบนโลกหลอมกลั่นเป็นเม็ดยาทุกหนึ่งหมื่นปี และหลังจากนั้นจะสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถ้าหลิงฮันไม่ถูกหอคอยทมิฬทำลายกายหยาบในชีวิตที่แล้ว เขาคงมีทางเลือกแค่ทางเดียว เขาจะถูกพาไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และพรสวรรค์ในการปรุงยาของเขาอาจทำให้ได้รับการฝึกฝนต่อ และบางทีอาจได้แต่งงานกับหญิงสาวบนแดนศักดิ์สิทธิ์ในฐานะลูกเขย
แต่เรื่องเดียวที่เขาหนีไม่พ้นคือชีวิตการเป็นทาส
และด้วยเหตุนี้เอง ห้านิกายใหญ่จึงเกลียดชังนิกายพันศพมากเพราะนิกายพันศพต้องการให้สิ่งมีชีวิตเป็นซากศพ แล้วพวกเขาจะหลอมโลกให้เป็นเม็ดยาได้อย่างไรถ้าไม่มีวัตถุดิบ
หลิงฮันสงสัยอยู่ตลอดว่าทำไมดินแดนศักดิ์สิทธิ์ถึงต้องการบุกรุกทวีปฮงเทียน การต่อสู้ระหว่างนิกายใหญ่ทั้งห้าและผู้บุกรุกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นพวกเขาสามารถผลักดันให้อีกฝ่ายต้องกลับไปได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้วพวกมันเป็นพวกเดียวกัน หลังจากที่หลอมโลกให้เป็นเม็ดยาแล้ว พระราชวังดาบสวรรค์และขุมพลังที่เหลือจะปล่อยเม็ดพันธ์ุทิ้งไว้ แล้วหล่อเลี้ยงทวีปฮงเทียนเป็นเวลาหนึ่งหมื่นปีเพื่อรอการเก็บเกี่ยวครั้งต่อไป…
ห้านิกายใหญ่อย่างนิกายดาบสวรรค์รับผิดชอบการเป็นผู้นำและเป็นผู้นำของศาสตร์วรยุทธ์ มิฉะนั้น จอมยุทธในทวีปฮงเทียนคงมีแค่จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณและระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเต็มไปหมด ซึ่งส่งผลต่อการหลอมเม็ดยาของพวกมัน
ในอีกหนึ่งหมื่นปีที่กำลังจะมาถึง ผู้คนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมาที่ทวีปฮงเทียนเพื่อร่วมมือกับนิกายดาบสวรรค์และอีกสี่นิกายในฐานะผู้นำและใช้โลกหลอมเป็นโอสถ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น