Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 631-646
ตอนที่ 631
คนเหล่านี้ไม่กล้าท้าทายมู่หลงชิงกับจักรพรรดิพิรุณ เพราะทั้งสองคนเป็นถึงจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่หลิงฮันนั้นมีพลังแค่ระดับบุปผาผาลิบาน
ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะแห่งยุค ใครกันจะหวาดกลัวต่อคู่ต่อสู้ระดับเดียวกัน?
หลิงฮันยิ้มและพูด “พวกเจ้าต้องการสู้กับข้าจริงๆรึ?”
“แน่นอน!” ผู้คนเหล่านั้นตะโกนลั่น “ถ้าเจ้าพ่ายแพ้ก็จงยอมมอบขวดใบนั้นมาซะ”
“ไม่ขัดข้อง!” หลิงฮันตกลง “แต่พวกเจ้าให้ข้าเป็นคนลงพนันอยู่ฝ่ายเดียว ข้าจะได้อะไรหากข้าชนะ? ถ้าพวกเจ้าต้องการจะพนันกับข้าก็ต้องเป็นสมบัติที่ไม่ต่ำกว่าระดับหก”
“เกรงว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสชนะ!” ผู้คนเหล่านั้นหยิบสมบัติออกมาและนำไปวางบนโต๊ะ
สมบัติที่ถูกนำออกมาวางไว้มีทั้งโอสถ แร่เหล็ก และโบราณวัตถุบางอย่าง
หลิงฮันยิ้มและพูด “เสวียนเอ๋อ ฝากเจ้าตรวจมอบมันด้วย”
“ได้เลย!” จูเสวียนเอ๋อหยักหน้าอย่างอ่อนโยน
เหล่ารุ่นเยาว์เลือดร้อนค่อยๆนำสมบัติออกมาวางบนโต๊ะโดยมีจูเสวียนเอ๋อคอยทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อให้ไม่มีใครแอบเอาสมบัติระดับต่ำมาวาง
“ข้อตกลงอย่างแรกก็คือ หากพวกเจ้าลงพนันแล้วพวกเจ้าไม่มีสิทธิได้รับสมบัติคืน พวกเจ้ามีทางเลือกเดียวคือต้องสู้กับข้า ไม่เช่นนั้นจะถูกปรับแพ้ไปโดยปริยาย” หลิงฮันกล่าว เขาต้องการให้ทุกคนนำสมบัติออกมาวางให้ครบก่อนที่จะแสดงพลังต่อสู้ออกมาให้ทุกคนประจักษ์
“โอ้ แต่ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่มีวันได้รับสมบัติเหล่านี้ไป!” เหล่ารุ่นเยาว์พูดอย่างมั่นใจ
หลิงฮันมองไปยังสมบัติมากมายบนโต๊ะและยิ้ม “มีใครต้องการท้าสู้ข้าอีกรึเปล่า? หากไม่รีบเดี๋ยวโอกาสที่จะทำให้คุณหนูแห่งตระกูลหวังประทับใจก็หมดไปเสียก่อนหรอก”
ใบหน้าอันงดงามของยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่นิ้วมือทั้งห้าของนางกลับกำลังค่อยๆกำเข้าหากันด้วยความขุ่นเคือง
ไม่มีใครเสนอชื่อลงพนันท้าสู้เพิ่ม ในมุมมองของพวกเขานั้น หลิงฮันจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน ตราบใดที่หลิงฮันแพ้แค่รอบเดียวขวดสมบัติก็จะต้องถูกยึดมาอยู่แล้ว แล้วทำไมพวกเขาจะต้องลงพนันท้าสู้เพิ่มด้วย?
หลิงฮันอดที่จะรู้สึกผิดหวังไม่ได้ นี่เขาหลอกเอาสมบัติมาได้แค่นี้เองรึ?
แต่ทันใดนั้นเขาก็พยักหน้าและพูด “เพื่อไม่ให้เสียเวลา พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย”
พรวด!
หมอนี่บ้ารึเปล่า? มีรุ่นเยาว์มากมายขนาดไหนกันที่ท้าพนันหลิงฮัน? อย่างน้อยห้าสิบคน! แถมทั้งห้าสิบคนนี้ฝีมือก็ไม่ใช่หมูหมา พวกเขาล้วนแต่เป็นอัจฉริยะที่บรรลุระดับบุปผาผลิบานและมีพลังต่อสู้สี่ถึงหกดาวกันทั้งนั้น
ด้วยจำนวนของอัจฉริยะขนาดนี้ จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานผู้ใดบ้างจะกล้าสู้ด้วยรวดเดียว?
แน่นอนว่าเหล่าอัจฉริยะล้วนแต่มีความภาคภูมิใจเป็นของตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดจะบุกเข้ามาสู้
หลิงฮันยิ้มและพูด “ในเมื่อไม่มีใครกล้าสู้ งั้นก็ถือว่าเป็นชัยชนะของข้า! เสวียนเอ๋อนำสมบัติเหล่านั้นกลับมาและไปกันได้แล้ว!”
“เจ้าไม่อาจไปจากที่นี่ได้!” เมื่อเห็นหลิงฮันกำลังจะจากไป เหล่ารุ่นเยาว์ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ ใครไม่กล้าสู้กับเจ้ากัน? พวกข้าแค่ไม่ต้องการร่วมมือกันเพื่อสู้กับเจ้าแค่นั้นเอง เพราะถึงแม้จะชนะไปพวกข้าก็ไม่ได้หน้า และก็ไม่มีใครได้ชื่อเสียงจากการท้าพนันครั้งนี้
หลิงฮันที่กำลังจะล้าถอยได้ถูกเหล่ารุ่นเยาว์พุ่งเข้ามาโอบล้อมรอบทิศทาง
“สามกระบวนท่าในการจัดการพวกเจ้า” หลิงฮันยิ้ม
“เพ้อฝัน!” เหล่ารุ่นเยาว์กลายเป็นเกรี้ยวกราด ดวงตาของพวกเขาขึงตึงและรู้สึกว่าหลิงฮันช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
“ภายในสามกระบวนท่า พวกเราจะจัดการเจ้าให้ราบคาบเช่นกัน”
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว กับคนบ้าเช่นนั้นพูดไปก็เสียเวลา รีบๆลงมือกันได้แล้ว”
“ตกลง!”
รุ่นเยาว์ประมาณยี่สิบคนลงมือโจมตีพร้อมกัน เจตจำนงและปราณก่อเกิดมากมายจากอาวุธวิญญาณกระหน่ำจู่โจมมายังหลิงฮันก่อเกิดคลื่นทำลายล้างที่ทรงพลัง
หลิงฮันยิ้ม เขาควบแน่นปราณก่อเกิดจำนวนเล็กน้อยจนเกิดเป็นประกายสายฟ้าล้อมรอบร่างกายและปล่อยหมัดออกไปลวกๆ
‘ตูม!’
ปราณก่อเกิดจากอาวุธทั้งหลายสลายหายไปพร้อมๆกัน แต่เส้นแสงสายฟ้าของเขายังคงสภาพไว้ไม่เปลี่ยนแปลงและแตกแขนงออกเป็นห่าสายฟ้าพุ่งเข้าใส่รุ่นเยาว์เหล่านั้น เมื่อถูกห่าสายฟ้าเข้าปะทะจอมยุทธมากมายก็ค่อยๆร่วงหล่นลงมาราวกับใบไม้ที่ร่วงจากต้นสู่พื้น
รุ่นเยาว์มากกว่ายี่สิบคนพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว
“ยังเหลืออีกสองกระบวนท่า” หลิงฮันกล่าวเบาๆให้กับรุ่นเยาว์ที่เหลืออยู่อีกยี่สิบกว่าคน “พวกเจ้าควรจะเข้ามาพร้อมกันเลย ไม่เช่นนั้นหากพวกเจ้าแยกกันอยู่ อีกสองกระบวนท่าของข้าอาจจะโจมตีไม่โดนพวกเจ้าทั้งหมด”
บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความนิ่งเงียบทันที
รุ่นเยาว์ผู้นี้ทรงพลังเกินไป!
ถึงแม้ทั้งยี่สิบกว่าคนที่พ่ายแพ้จะไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนักสวรรค์โดยตรง แต่พวกเขาก็มีคุณสมบัติพอที่จะถูกเชิญมาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ เพราะงั้นใครบางจะไม่แข็งแกร่ง? แต่ถึงอย่างนั้นทั้งยี่สิบกว่าคนกลับถูกหลิงฮันจัดการในหนึ่งกระบวนท่า นี่หลิงฮันมีพลังต่อสู้ขนาดไหนกันแน่?
ด้วยพลังต่อสู้เช่นนี้ เขาสมควรเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่มีคุณวมบัติเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์โดยตรง!
รุ่นเยาว์อีกยี่สิบกว่าคนที่เหลือมองหน้ากันอย่างหวาดกลัวที่จะบุกโจมตีหลิงฮัน
พลังต่อสู้ของพวกเขานั้นก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับทั้งยี่สิบกว่าคนที่ลงไปนอนอยู่บนพื้นเท่าไหร่
ถึงว่าทำไมหลิงฮันถึงบอกให้พวกเขาวางพนันสมบัติเอาไว้เป็นอันดับแรก ไม่งั้นหลังจากเห็นพลังต่อสู้ของหลิงฮันแล้ว ใครกันจะต้องการท้าพนันต่อ? พลังต่อสู้เช่นนี้นั้นมีเพียงสุดยอดอัจฉริยะที่ได้เข้าร่วมกับสำนักสวรรค์โดยตรงเท่านั้นถึงจะมาต่อกรด้วยได้
จูเสวียนเอ๋อยิ้มและเก็บรวบรวมสมบัติบนโต๊ะ
“หากไม่นับการปล้นชิงแล้ว การพนันนี่แหละที่เก็บเกี่ยวได้มากที่สุด!” หลิงฮันพึมพำคนเดียว จากนั้นก็เผยรอยยิ้มและพูด “ใครต้องการท้าพนันอีก?”
ทุกคนกลายเป็นไร้คำพูดในขณะที่มองไปยังสุดยอดอัจฉริยะตรงหน้า
แววตาที่งดงามของของหวังอีหยุนส่องประกาย “ด้วยความสามารถของพี่ชายหลิง ท่านควรจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์โดยตรงไม่ใช่รึ?”
หลิงฮันยิ้มและพูด “ไม่เห็นแปลก ขนาดพี่ชายมู่หลงชิงยังไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโดยตรงเลยไม่ใช่รึไง?”
มู่หลงชิงชี้นิ้วมาที่ตนเองและพูดอย่างไม่พอใจ “ทำไมเจ้าถึงเอาข้าไปรวมด้วย?”
“ข้าก็แค่เปรียบเทียบเฉยๆ” หลิงฮันยิ้มและหันกลับไปพูดกับหวังอีหยุน “แม่นางหวัง ทีนี้พวกข้าขอตัวกลับได้รึยัง?”
“พี่ชายหลิง ที่อีหยุนเชิญทุกคนมางานครั้งนี้ก็เพราะมีอะไรบางอยากจะประกาศ พี่ชายหลิงจะช่วยอยู่รออีกสักครู่ได้รึไม่” หวังอีหยุนเอ่ย
“อาหารที่นี่ไม่อร่อยเลย หนิวทนไม่แล้ว!” ฮูหนิวตบโต๊ะอย่างไม่พอใจ
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ ทุกคนล้วนแต่จ้องมองไปยังหวังอีหยุน อาหารที่ตระกูลหวังจัดเตรียมล้วนแต่เป็นอาหารชั้นเลิศ แต่เมื่อผ่านเข้าปากของฮูหนิว พวกมันกลับเป็นเพียงอาหารที่น่ารังเกียจ
ตอนที่ 632
หวังอีหยุนไม่สนใจฮูหนิว แม้ว่าเด็กสาวตัวน้อยจะมีพรสวรรค์ที่น่าหวาดกลัวก็ตาม แต่นางยังเด็กจึงเพ่งเล็งไปที่หลิงฮันแทน
หลิงฮันคิดอยู่ชั่วครู่และพูดว่า “ตกลง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าต้องการพูดอะไร”
หวังอีหยุนยิ้มออกมาอย่างสดใสเหมือนกับว่าไม่มีอะไรสั่นคลอนใจนางได้ นางพูดว่า “เหตุผลที่ข้าเชิญทุกคนมาที่นี่เพราะข้ามีข้อเสนอ ในเมื่อทุกคนเป็นอัจฉริยะ และเมื่อสำนักสวรรค์เปิดจะมีผู้คนมากมายที่สามารถเข้าร่วมได้”
นางหยุดพูดชั่วครู่แล้วพูดต่อว่า “แต่ละขุมพลังต่างมีอำนาจเป็นของตัวเอง ห้านิกายใหญ่มีอำนาจเป็นของตัวเอง ภูมิภาคตะวันออกและภูมิภาคใต้ก็มีอำนาจเป็นของตัวเอง หากเจ้าอ่อนแอ เจ้าจะต้องถูกรังแกอย่างแน่นอน”
ผู้คนเผลอพยักหน้า ในนิกายหรือตระกูลของพวกเขา พวกเขาถือเป็นคนที่มีความสามารถมากที่สุด แต่ที่สำนักสวรรค์เป็นสถานที่ที่อัจฉริยะจากทั้งทวีปเทียนฮงมารวบตัวกันที่นี่ คนเหล่านั้นจะกลายเป็นคนธรรมดา และอาจไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนักสวรรค์
หลิงฮันเป็นข้อพิสูจน์ให้พวกเขาได้เห็น แม้จะเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานเหมือนกัน แต่พลังต่อสู้ของเขานั้นน่าสะพรึงกลัวมาก และแข็งแกร่งกว่า
ถ้าตอนนี้ใครกล้าข่มขู่เขา ไม่ใช่ว่าหลังจากเข้าร่วมสำนักแล้วจะถูกเขารังแกหรอกหรือ? ต้องรู้ก่อนว่าพลังอำนาจของตระกูลและนิกายนั้นไม่สามารถนำมาใช้ในสำนักสวรรค์แห่งนี้ได้
“ดังนั้น อีหยุนจึงมีข้อเสนอ พวกเราจะตั้งพันธมิตรและดูแลซึ่งกันและกัน” หวังอีหยุนกล่าวอีกครั้ง
นี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของงานเลี้ยงครั้งนี้ นางต้องการใช้อัจฉริยะเพื่อประโยชน์ของตัวเอง!
หลิงฮันอดสงสัยไม่ได้ เขาจึงถามออกไปว่า “แล้วใครจะขึ้นเป็นผู้นำล่ะ?”
หวังอีหยุนจ้องมองไปที่หลิงฮันและพูดว่า “พี่ชายหลางหยาเทียนเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”
หลางหยาเทียนเป็นรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นในภูมิภาคกลาง บางทีแม้แต่ย่าวหุยเยว่และราชันกระบี่น้อยก็ไม่อาจต่อกรกับเขาได้
ทุกคนรู้สึกมั่นใจ ถ้ามีหลางหยาเทียนเป็นผู้นำ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวผู้ใด
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ข้าอยากเป็นผู้นำ มิฉะนั้นข้าจะไม่เข้าร่วม!”
หวังอีหยุนยังคงยิ้มและพูดว่า “ถ้าพี่ชายหลิงคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าพี่ชายหลาง ท่านสามารท้าพี่ชายหลางสู้ได้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งของเขา”
“เยี่ยมเลย ถ้างั้นเรียกหลางหยาเทียนมา ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเอง” หลิงฮันยิ้ม
นิ้วของหวังอีหยุนกระตุก ทำไมชายคนนี้ต้องสร้างความยุ่งยากให้กับนางด้วย? และนางพูดว่า “พี่ชายหยางของข้ากำลังฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ และอาจกำลังพยายามทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวา ดังนั้นเขาจึงไม่อาจปลีกตัวออกมาได้”
“อะไรนะ ระดับก้าวสู่เทวางั้นรึ!”
“พระเจ้า!”
“ไม่ใช่ว่าหลางหยาเทียนมีอายุสี่สิบปีหรอกรึ?”
“จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาด้วยวัยสี่สิบปีช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”
ทุกคนอุทานออกมานั่นเป็นเพราะพวกเขาทุกคนเป็นแค่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานเท่านั้น แต่หลางหยาเทียนนั้นเริ่มทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวาแล้ว ช่องว่างระหว่างพวกเขามันใหญ่จนเกินไปและไม่อาจทำใจเชื่อได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าพวกเขาทุกคนตัดสินใจเข้าร่วมเป็นพันธมิตร ความแข็งแกร่งของผู้นำของพวกเขาเพียงพอที่จะข่มคนอื่นได้แน่นอน
หวังอีหยุนหันไปมองหลิงฮันอีกครั้งและพูดว่า “พี่ชายหลิง ถ้าท่านไม่พอใจ อีหยุนสามารถต่อสู้แทนพี่ชายหลางได้ อย่างไรก็ตาม ระดับพลังของอีหยุนนั้นต่ำและไม่ได้มีพรสวรรค์เท่าพี่ชายหลาง ความแข็งแกร่งของข้านั้นเทียบกับพี่ชายหลางแล้วเป็นแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของเขาเท่านั้น”
นางเชิดชูหลางหยาเทียนมาก แต่ถ้าหลิงฮันต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อที่จะเอาชนะนาง แล้วเขาจะมีคุณสมบัติท้าทายหลางหยาเทียนได้อย่างไร?
หญิงสาวคนนี้ไม่ง่าย
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจหลางหยาเทียนซะเหลือเกิน เจ้าเป็นภรรยาที่ดีจริงๆ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มนับไม่ถ้วนรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที หวังอีหยุนเป็นดั่งเทพธิดาของพวกเขา ถ้านางต่อสู้ด้วยตัวเอง แล้วจะเรียกว่าเทพธิดาได้อย่างไร?
หวังอีหยุนปรากฏจิตสังหารอยู่ในดวงตาของนาง นางรักหลางหยาเทียนและยินดีที่จะปกป้องเขา ดังนั้น นางต้องพยายามรักษาสถานะเทพธิดาของตัวเองเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น แต่หลิงฮันพยายามที่จะขัดขวางนาง!
หวังอีหยุนพูดออกมาว่า “พี่ชายหลิง เนื่องจากท่านไม่เคารพพี่ชายของข้า เช่นนั้นข้าจะต่อสู้แทนเขา”
“ช้าก่อน!” ในขณะนั้น ร่างของคนผู้หนึ่งกำลังบินเข้ามาหา รูปร่างของเขาสูงใหญ่และล้อมรอบไปด้วยแสงสีทอง
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ เขาคือซวนหยวนจื่อกวง!
“ที่แท้เป็นพี่ชายซวนหยวนนี่เอง!” หวังอีหยุนยิ้มออกมาทันทีและแนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก “เขาคนนี้คือซวนหยวนจื่อกวง ทุกท่านน่าจะรู้จัก พี่ชายซวนหยวนสัญญาว่าจะเข้าร่วมกับพวกเราในฐานะหนึ่งในห้ารองผู้นำ”
“ถ้ามีซวนหยวนจื่อกวงเป็นรองผู้นำ พันธมิตรของพวกเราต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน!”
“ข้าอยากเข้าร่วมด้วย ไม่มีใครหยุดข้าได้!”
ซวนหยวนจื่อกวงเพิ่งเห็นหลิงฮัน เขาจึงหันไปมองและพูดว่า “แล้วหญิงสาวที่ชื่อเฮ่อเหลียนล่ะ?”
หลิงฮันลูบคางตัวเอง ชายคนนี้รู้ได้ยังไงว่าเป็นเขา? แต่เมื่อคิดในอีกมุมมองหนึ่ง เมื่อมีฮูหนิวย่อมมีหลิงฮัน
หลิงฮันทำเสียงฮึดฮัดทำเป็นไม่พอใจและพูดว่า “มันไม่ใช่ธุระอะไรสำหรับคนขี้แพ้อย่างเจ้า”
ขี้แพ้?
ทุกคนส่งเสียงอุทานออกมา หรือว่าแท้จริงแล้วซวนหยวนจื่อกวงและหลิงฮันเป็นศัตรูกัน?
ซวนหยวนจื่อกวงดูตกตะลึงและพูดว่า “ถ้าเจ้าไม่บอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่นางเฮ่อเหลียน วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้า!”
“สมองของเจ้ามีปัญหาหรือไง ถึงกล้าพูดแบบนั้นออกมา?” หลิงฮันส่ายหัว
ซวนหยวนจื่อกวงเดินเข้าไปหาหลิงฮัน เขาชี้ไปที่หลิงฮันและพูดว่า “หลังจากการต่อสู้ครั้งก่อน เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าข้าแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหน?”
พรึบ นิ้วมือของเขากลายเป็นรัศมีกระบี่ และเต็มไปด้วยอันตราย
รัศมีกระบี่!
หัวใจของหลิงฮันรู้สึกได้ถึงอันตราย มันไม่ใช่กึ่งรัศมีกระบี่ แต่เป็นรัศมีกระบี่ที่แท้จริง
หรือว่าซวนหยวนจื่อกวงสร้างปราณกระบี่เล่มที่สามสิบได้แล้ว?
นี่หรือว่าเขาจะเป็นรุ่นเยาว์คนแรกที่สามารถสร้างปราณกระบี่เล่มที่สามสิบได้?
จอมยุทธที่แข็งแกร่งอย่างราชันกระบี่น้อยยังสร้างปราณดาบได้แค่ยี่สิบเก้าเล่มเท่านั้น
ซวนหยวนจื่อกวงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆด้วย!
หลิงฮันไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะพัฒนาด้วยตัวเองได้รวดเร็วขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นราชันกระบี่น้อยหรือย่าวหุยเยว่ พรสวรรค์ของพวกเขาไม่มีทางด้อยไปกว่าซวนหยวนจื่อกวง แต่ทำไมพวกเขาถึงยังทำไม่สำเร็จ แล้วมีแค่ซวนหยวนจื่อกวงเท่านั้นที่ทำสำเร็จ?
หรือว่ามันจะเป็นเพราะสายเลือดของมัน?
ตอนที่ 633
ในการเผชิญหน้ากับรัศมีกระบี่ที่แท้จริง ร่วมถึงปราณกระบี่สามสิบเล่ม หลิงฮันไม่กล้าที่จะทำตัวประมาท
เพียงแค่ปราณดาบสามสิบเล่มก็สามารถตัดผ่านได้ทุกอย่างแล้ว
หลิงฮันไม่กล้าใช้กายาเหล็กไหลรับการโจมตี นั่นเป็นการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนวรยุทธที่เรียนรู้ซึ่งกันและกัน มันมีโอกาสที่จะกลายเป็นการต่อสู้ที่นำไปสู่ความตาย
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “ถ้าเจ้ามีความก้าวหน้า แล้วข้าจะไม่มีงั้นรึ?” พรึบ ร่างกายของเขากลายเป็นลำแสงแล้วหายตัวไปจากจุดที่ยืนอยู่อย่างกะทันหัน มันรวดเร็วมากแม้แต่ตาเปล่าก็ไม่สามารถจับภาพได้ทัน
ซวนหยวนจื่อกวงรู้สึกตกใจ ความเร็วนี่มันอะไรกัน? ทำไมถึงรวดเร็วขนาดนี้? ก่อนที่มันจะเริ่มโจมตี มันได้คำนวณความแข็งแกร่งของหลิงฮันไว้แล้ว และเชื่อว่าหลังจากที่ควบแน่นปราณกระบี่ให้เป็นรัศมีกระบี่ มันสามารถที่จะบังคับอีกฝ่ายให้ล่าถอย และไม่มีทางที่จะตอบโต้ได้
แต่ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่ไม่กี่เดือน อีกฝ่ายจะมีความก้าวหน้ามากขนาดนี้
แน่นอนว่ามันไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่มีความก้าวหน้า
“แค่นี้มันก็เพียงพอที่จะฆ่าเจ้าแล้ว!” ซวนหยวนจื่อกวงเยาะเย้ย
“อย่างนั้นหรือ?” หลิงฮันกลายเป็นสายฟ้าและเริ่มใช้ย่างก้าวเทพธิดาปีศาจ เขาเหมือนปลาที่แหวกว่ายได้อย่างอิสระ และใช้มือซ้ายเป็นคันศร ส่วนมือขวาเป็นลูกธนู ทันใดนั้น ปราณก่อเกิดถูกควบแน่นเป็นลูกธนูที่แผ่ปราณอันหนาวเย็นออกมา
ทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดารา
“ไป!” หลิงฮันตะโกนและลูกธนูถูกยิงออกไป ชิว ภายในพริบตามันปักไปที่หน้าอกของซวนหยวนจื่อกวง
อย่าคิดว่ามันเป็นแค่ลูกศรธรรมดา แต่มันเป็นถึงการรวมพลังสามชนิด
อย่างแรกคือเนตรแห่งสัจธรรมที่สามารถมองเห็นจุดอ่อนแอที่สุดของการป้องกันของซวนหยวนจื่อกวง อย่างที่สองคือทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดารา และอย่างสุดท้ายคือพลังของสายฟ้า ดังนั้นความเร็วของลูกศรจึงทะลุขีดจำกัด และยังเป็นเรื่องยากที่สุดของซวนหยวนจื่อกวงที่จะป้องกัน
ซวนหยวนจื่อกวงทั้งตกใจและตกตะลึง เปลวเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุดปะทุออกมาจากร่างกายของมัน ทำให้พลังของเขาไปอยู่ที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณชั่วคราว
ปุก!
ลูกธนูที่ถูกหลิงฮันยิงออกไป แท้จริงแล้วมันไม่ได้ปักที่อกของซวนหยวนจื่อกวง แม้แต่เลือดยังไม่ไหลออกมาให้เห็น มันเพียงแค่ปักอยู่บนเสื้อของเขาเท่านั้น และเผยให้เห็นเกราะสีน้ำเงินที่ส่องประกาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูเหมือนโชคจะอยู่เคียงข้างข้า เมื่อข้าออกเดินทาง ข้าได้รับสมบัติมามากมาย เจ้าคิดว่าโชคชะตาลิขิตให้ข้าพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเจ้างั้นรึ?”ซวนหยวนจื่อกวงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง และยกมือขวาขึ้น กระบี่สามสิบหกเล่มบินออกไปและเข้าล้อมรอบหลิงฮัน
“ข่ายกระบี่อาคมราศีพิจิก!” ซวนหยวนจื่อกวงตะโกน
“อีกแล้ว ทุกครั้งที่เจ้าจะทำอะไรจำเป็นต้องตะโกนหรือไม่ เจ้าไม่เบื่อเลยงั้นรึ?” หลิงฮันพูดอย่างเย็นชา สีหน้าของเขาไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาแม้ว่าข่ายกระบี่อาคมจะค่อนข้างน่าหวาดกลัวและสามารถคุกคามเขาได้ก็ตาม
“บอกข้ามาว่าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไปอยู่ที่ไหน มิฉะนั้นข้าจะสังหารเจ้า!” ซวนหยวนจื่อกวงไม่ได้ควบคุมข่ายกระบี่อาคมโจมตีหลิงฮันทันที แต่ยิงคำถามใส่หลิงฮันแทน
“ข้าไม่บอก!” หลิงฮันปฏิเสธ
“หึ่ม เดี๋ยวเจ้าก็คายออกมาเอง!” ซวนหยวนจื่อกวงกล่าวอย่างเย็นชาและบังคับให้ข่ายกระบี่อาคมฆ่าหลิงฮัน
หลิงฮันกวัดแกว่งดาบสู้ แต่ซวนหยวนจื่อกวงนั้นแข็งแกร่งจริงๆ ภายใต้การโจมตีของรัศมีกระบี่ ทำให้ข่ายอาคมกระบี่นั้นเต็มไปด้วยแสงที่คมชัด แต่ละเล่มเพียงพอที่จะเป็นภัยคุกคามต่อจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน
ไม่สิ แม้แต่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณยังต้องหวั่นไหว เพียงแค่พลังทำลายล้างของรัศมีกระบี่ก็น่าทึ่งแล้ว
ความแตกต่างระหว่างพลังปราณของพวกเขานั้นแตกต่างกันมาก เหมือนกับจอมยุทธระดับบุปาผลิบานกับจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ
หลิงฮันป้องกันการโจมตีของมันได้ยากลำบาก แต่โชคดีที่เขาไม่ได้ฉลาดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการป้องกันที่ยอดเยี่ยมมาก
นั่นเป็นเพราะเขามีพลังปราณก่อเกิดเพื่อสร้างเกราะป้องกันและกายาของเขาแข็งแกร่งเทียบได้กับแร่เหล็กระดับหก ถึงแม้ว่าเกราะป้องกันทั้งสองอย่างจะพังทลาย แต่เขายังมีคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์โคจรอยู่ในร่างกาย ซึ่งสามารถรักษาบาดแผลได้ทันที
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีหยดวารีอมตะหกหยด มันเพียงพอที่จะทำให้เขากลับมามีชีวิตได้หลายครั้ง
ส่วนข่ายกระบี่อาคมสามสิบหกเล่มพวกนี้น่าจะเป็นสมบัติบางอย่างที่มาจากสมัยโบราณ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้มันตกอยู่ในมือของซวนหยวนจื่อกวง
เจ้าจะเปิดปากพูดได้แล้วหรือยัง?
หลิงฮันแสยะยิ้มและพูดว่า “ทำไมข้าจะต้องบอกเจ้าด้วย?”
“แล้วเจ้าจะต้องเปิดปากพูด!” ซวนหยวนจื่อกวงแสยะยิ้ม “จงบอกข้ามาว่าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนอยู่ที่ไหน!” เขาชื่นชอบเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้
หลิงฮันพลิกมือขวาและนำชามพลิกสวรรค์ออกมา
“รับไปซะ!” หลิงฮันใช้ชามพลิกสวรรค์ และทันใดนั้นอักขระบนชามหินส่องแสงสว่างอันไร้ที่สิ้นสุดออกมาทันที
ชิว ชิว ชิว กระบี่สามเล่มถูกดูดเข้ามาทันที
เกิดอะไรขึ้น!
ทุกคนรู้สึกตกตะลึง พวกเขาตระหนักถึงพลังของรัศมีกระบี่ดี แต่ชามหินที่หลิงฮันนำออกมามันกลับทำลายรัศมีกระบี่ได้ และดูดมันเข้าไป
ซวนหยวนจื่อกวงเบิกกว้าง เขารู้จักพลังของข่ายกระบี่อาคมสามสิบหกเล่มดี หลังจากที่มันถูกชามหินดูดเข้าไป ทำให้เขาสูญเสียการเชื่อมต่อกับกระบี่สามเล่ม ราวกับว่ามันหายไปจากสวรรค์และโลกใบนี้
ชิว ชิว ชิว ชามพลิกสวรรค์ยังคงดูดกระบี่เข้าไปอย่างต่อเนื่อง เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ กระบี่อีกเจ็ดเล่มก็ถูกดูดเข้าไป
“นี่มัน-” หนงม่านม่านมองด้วยสายตาที่เปล่งประกาย นางรู้ว่ามันเป็นเพราะก้นขวดของหลอมกลั่นเซียนอำมฤต ซึ่งนางไม่คิดเลยว่ารูปร่างที่แท้จริงแล้วของมันจะเป็นชามหินและทรงพลังมากขนาดนี้!
นางต้องการมันมากยิ่งขึ้น
หวังอีหยุนมีสายตาที่แหลมคม ถ้านางได้รับสมบัติชิ้นนี้มา มันจะทำให้นางแข็งแกร่งยิ่งขึ้นเหมือนกับราชันกระบี่น้อย ย่าวหุยเยว่ ตงหลิงเอ๋อหรือแม้แต่พี่ชายหลาง
อย่างไรก็ตาม นางจะเอาสมบัติชิ้นนี้มาได้อย่างไร เพราะหลิงฮันไม่ใช่คนที่จะจัดการด้วยง่าย
ซวนหยวนจื่อกวงถอนหายใจและพูดว่า “ระเบิด!”
กระบี่ที่เหลืออยู่ยี่สิบหกเล่มเปล่งแสงสว่างออกมา อักขระบนกระบี่กระจายตัวไปเหมือนกับในแมงมุมและหายไปในพริบตา
อาวุธวิญญาณระเบิดตัวเอง!
หลิงฮันรู้สึกตกตะลึง อาวุธวิญญาณชนิดใดที่สามารถระเบิดตัวเองได้? อาวุธวิญญาณนั้นเป็นเหมือนกับสิ่งมีชีวิตทั่วไป จึงเป็นธรรมดาที่มันจะคิดถึงความอยู่รอดก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าไม่ถูกบังคับมันจะไม่ระเบิดตัวเอง
ภายใต้คำสั่งของซวนหยวนจื่อกวง อาวุธวิญญาณพวกนั้นถูกบังคับให้ระเบิดตัวเองพร้อมกัน ราวกับว่าเขาเป็นราชาอาวุธวิญญาณ พวกมันจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพวกมันระเบิดพร้อมกันพลังทำลายล้างจะน่าหวาดกลัวแค่ไหน?
ตอนที่ 634
ตูม!
กระบี่สมบัติทั้งยี่สิบหกเล่มระเบิดตัวเองพร้อมกัน ก่อเกิดเป็นแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วท้องฟ้าพร้อมกับคลื่นพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว ‘ครืนนน’ ที่พักตระกูลหวังพังทลายในทันที
คลื่นกระแทกที่ทรงพลังทำให้เหล่ารุ่นเหล่าที่มีพลังระดับบุปผาผลิบานกระอักเลือดออกมาไม่หยุด
กระบี่สมบัติทั้งยี่สิบหกเล่มมีพลังเทียบได้กับจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นปลาย อำนาจทำลายล้างของมันจึงน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง
จูเสวียนเอ๋อนั้นยังสบายดีเพราะนางมีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณคอยคุ้มกันอยู่ข้างกาย ส่วนฮูหนิวนั้นยิ่งน่าตกตะลึงยิ่งกว่า เมื่อมือเล็กๆของนางกวาดผ่านไปด้านหน้า คลื่นกระแทกที่พุ่งเข้ามาก็ถูกนางฉีกออกเป็นสองซีกจนไม่สามารถสร้างความบาดเจ็บให้แก่นางได้
ในระยะที่ห่างไกล ร่างของหลิงฮันค่อยๆปรากฏตัว แม้สีหน้าของเขาจะซีดเผือดและกระอักเลือดออกมา แต่ใบหน้าของเขาก็ยังแฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม ชามพลิกสวรรค์ได้ดูดซับกระบี่เข้ามาสิบเล่มพร้อมกันและหลอมกลั่นเปลี่ยนให้กลายเป็นหยดแร่เหล็กอันบริสุทธิ์
เมื่อเขาเทออกมา แร่เหล็กก็แข็งตัวอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนสภาพกลายเป็นแท่งเหล็กที่มีน้ำหนักร้อยปอน เมื่อเทียบกับน้ำหนักของกระบี่ทั้งสิบเล่มที่ดูดซับเข้าไปแล้ว แท่งเหล็กมีน้ำหนักเบากว่าอย่างน้อยหนึ่งร้อยเท่า
นี่คือประสิทธิภาพการทำงานของชามพลิกสวรรค์ ‘หลอมกลั่นให้บริสุทธิ์!’
ก่อนหน้ามันคือกระบี่สมบัติระดับเจ็ด แต่ตอนนี้เมื่อผ่านกระบวนการหลอมกลั่นแล้ว มันสมควรกลายเป็นแร่เหล็กผสมระดับแปดที่แม้แต่หลิงฮันก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันคือแร่เหล็กประเภทใด
แต่ไม่ว่ายังไงมันก็คือแร่ระดับแปดที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย
หลิงฮันโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ภายในพริบบาดแผลของเขาก็ถูกฟื้นฟู เขายิ้มและกล่าว “เด็กน้อย เจ้ายังมีสมบัติอะไรจะมอบให้ท่านปู่ผู้นี้อีกรึไม่?”
ซวนหยวนจื่อกวงรู้สึกเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที เขาต้องการส่งกระบี่สมบัติไปยังหลิงฮันก็จริง แต่ไม่ใช่เพื่อเป็นวัตถุดิบหลอมกลั่นให้กับอีกฝ่าย
หลิงฮันตัดสินใจไม่สังหารซวนหยวนจื่อกวงทิ้งในตอนนี้ ชายหนุ่มคนนี้เป็นเหมือนกับตัวนำโชคที่จะหาสมบัติมามอบให้เขา หากปล่อยให้มีชีวิตต่อไปเขาก็จะสามารถปล้นชิงสมบัติจากอีกฝ่ายได้อีกครั้ง หากต้นไม่ยังไม่ถูกถอนราก เราก็จะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากมันได้เรื่อยๆ
…ถ้าซวนหยวนจื่อกวงรับรู้ความคิดของหลิงฮัน มันจะเป็นยังไงกันนะ
หวังอีหยุนจ้องมองไปยังท้องฟ้า ใบหน้าอันงดงามของนางยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม แต่ในแววตาของนางกลับแฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราด งานเลี้ยงที่นางจัดขึ้นถูกทำลายโดยหลิงฮันและซวนหยวนจื่อกวง แต่ว่าซวนหยวนจื่อกวงเป็นคนของนางดังนั้นนางจึงผลักไสความโกรธไปลงที่หลิงฮันคนเดียว
“พี่ชายหลิง ข้ากล่าวไว้ว่าหากท่านไม่ยอมรับศิษย์พี่ในฐานะผู้นำ อีหยุนจะเป็นตัวแทนของศิษย์พี่ในการประลองกับท่านเอง” นางสะบัดชายเสื้อเล็กน้อยพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายอันสง่างามออกมา
หลิงฮันมองไปยังอีกฝ่ายและเผยรอยยิ้ม “เจ้าต้องการพนันกับข้ารึไม่?”
“ข้าขอพนันกับชามหินของเจ้า” หวังอีหยุนกล่าวพร้อมกับชี้นิ้ว “ถ้าข้าชนะ เจ้าจะต้องมอบชามหินมาให้ข้า”
หลิงฮันครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะกล่าวกลับไป “ก็ได้ แต่ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องยอมแต่งงานกับพี่ชายของข้า” หลิงฮันชี้นิ้วใส่มู่หลงชิง
“ข้าไม่ต้องการแต่งงานกับสาวอัปลักษณ์อย่างนาง!” มู่หลงชิงคำรามด้วยความโกรธ “ห้ามพูดล้อเล่นกับข้าเช่นนี้อีก!”
หลิงฮันหัวเราะและพูด “โอ้ แย่จัง ดูเหมือนพี่ชายข้าจะไม่ชอบเจ้า งั้นของพนันฝ่ายเจ้าก็เอาเป็นแร่เหล็กหรือไม่ก็สมบัติแล้วกัน”
“ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!” ชายหนุ่มหลายคนคำราม พวกหลิงฮันบังอาจมีความคิดจะนำธิดาในใจของพวกเขาไปเป็นเจ้าสาวงั้นรึ?
หวังอีหยุนยังคงสงบนิ่งและนำสมุนไพรออกมา “นี่คือหญ้านกอมตะคำรามที่เป็นสมุนไพรระดับเจ็ด มันเพียงพอรึไม่?”
“ก็พอใช้ได้” หลิงฮันพยักหน้า ถ้าพูดกันตามตรงแล้ว แม้แต่สมุนไพรระดับสิบก็ไม่สามารถนำมาเทียบกับชามพลิกสวรรค์ได้ แต่หากได้สมุนไพรระดับเจ็ดมาก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
หวังอีหยุนกล่าวเพิ่ม “แต่ในเมื่อชามพลิกสวรรค์คือรางวัลในการประลองของเรา ข้าขอให้พี่ชายหลิงเก็บมันเอาไว้และห้ามนำออกมาใช้”
สตรีนางนี้นับว่าฉลาดไม่น้อย…
สำหรับหลิงฮัน ชามพลิกสวรรค์คืออาวุธวิญญาณที่ทรงพลังที่สุด ก่อนหน้านี้มันสามารถสลายและหลอมกลั่นกระบี่สมบัติของซวนหยวนจื่อกวงได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ด้วยเงื่อนไขของหวังอีหยุน เขาจะไม่สามารถนำชามพลิกสวรรค์ออกมาใช้ในการประลองได้
หลิงฮันหัวเราะและเก็บชามพลิกสวรรค์กลับมาพร้อมกับกล่าว “เจ้านับว่าระวังตัวไม่เบา แต่การระวังตัวเกินไปก็ใช้ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ”
หวังอีหยุนยิ้มเล็กน้อยและกวาดแขนออกไป ทันใดนั้นเบื้องหน้าของนางก็มีพิณโบราณปรากฏขึ้นมา พิณนั้นได้มีรูปร่างของอัศวินชุดเกราะถูกสลักเอาไว้มากมาย
นางก้มตัวนั่งลงบนอากาศที่ว่างเปล่าพร้อมกับร่างที่คอยๆลอยขึ้นฟ้า “พี่ชายหลิงโปรดฟังท่วงทํานองของข้าให้ดี”
‘ฟรึบ!’
เมื่อมือของนางเริ่มดีดบรรเลง เสียงอันไพเราะของพิณก็ดังขึ้น
แววตาของทุกคนเปลี่ยนเป็นเปลี่ยนเป็นหลงใหล รูปลักษณ์ที่งดงามของหวังอีหยุนกับทักษะการดีดพิณของนางทำให้ผู้คนนับพันตกอยู่ในความลุ่มหลง
เสียงบรรเลงเกิดการผันแปรเล็กน้อย ทำให้แววตาของหลิงฮันว่างเปล่าไปชั่วขณะ
คิดจะสั่นคลอนจิตใจของเขา?
หลิงฮันแสยะยิ้ม ช่างไร้เดียงสายิ่งนัก เป็นเพียงจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแต่คิดจะสั่นคลอนจิตใจเขาที่มีเศษเสี้ยวสัมผัสสวรรค์ของจอมยุทธระดับสวรรค์?
‘ตึง!’
เสียงพิณเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เสียงบรรเลงที่อ่อนโยนหายไปกลายเป็นบทบรรเลงแห่งการสังหาร
‘ฟุบ!’ อัศวินชุดเกราะบนพิณส่องสว่าง เมื่อเสียงบรรเลงดังก้องกังวานไปทั่ว ร่างของอัศวินชุดเกราะก็ยืนขึ้นและทะยานออกมากลางอากาศ อัศวินชุดเกราะมีทั้งหมดแปดสิบเอ็ดตน พวกมันทั้งล้วนแต่มีพลังระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสูง
พิณนี้คืออาวุธวิญญาณที่สามารถอัญเชิญจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแปดสิบเอ็ดตนออกมาได้
ไม่แปลกใจเลยที่หวังอีหยุนเสนอให้หลิงฮันเก็บชามพลิกสวรรค์กลับไป นั่นเป็นเพราะนางกลัวว่าอัศวินชุดเกราะจะถูกสลายโดยชามพลิกสวรรค์นั่นเอง
อัศวินเหล่านั้นสวมชุดเกราะหนาเต็มตัว ในมือของพวกมันถือครองอาวุธหลากหลายชนิดและไม่มีความลังเลที่จะลงมือสังหารหลิงฮัน
ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ก่อนหน้านี้คือกระบี่สมบัติสามสิบหกเล่ม แต่คราวนี้คืออัศวินระดับตัวอ่อนวิญญาณแปดสิบเอ็ดตนที่ไม่อาจต้านทาน!
หลิงฮันไร้ความหวั่นเกรง กระบี่ที่ซวนหยวนจื่อกวงใช้คืออาวุธวิญญาณระดับเจ็ดสามสิบหกเล่ม แต่อัศวินระดับตัวอ่อนวิญญาณนั้นเกิดจากอาวุธวิญญาณชิ้นเดียว แน่นอนว่าพลังของพวกมันย่อมต่างกัน
หลิงฮันนำดาบกำเนิดมารออกมา ด้วยอาวุธวิญญาณชิ้นนี้ เขาจะต้องหวาดกลัวใครอีก?
‘ฟุบ’ อักขระบนดาบกำเนิดมารส่องสว่าง หนึ่ง… สอง… สาม!
อักขระที่เขากระตุ้นใช้งานได้มีจำนวนเพิ่มมาอีกหนึ่ง
อย่าคิดว่าเพิ่มมาแค่หนึ่งแล้วจะไร้ความหมาย เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถึงนี่คืออาวุธวิญญาณระดับสิบ
ภายในพริบตาพลังปราณอันไร้ที่สิ้นสุดก็พลั่งพรูออกมา หลิงฮันสะบั้นดาบในมือราวกับเป็นจอมอสูรที่ยิ่งใหญ่ พลังทำลายล้างอันมหาศาลที่ปะทุออกมาได้กลืนกินอัศวินระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งแปดสิบเอ็ดตน
ตอนที่ 635
ทุกคนไม่อาจทำใจเชื่อได้ อัศวินระดับตัวอ่อนวิญญาณแปดสิบเอ็ดตนเพียงพอที่จะพลิกมหาสมุทร เพียงแค่หลิงฮันเพียงแค่สะบั้นดาบ รูปร่างของพวกมันสั่นสะท้านราวกับจะพังทลายลง
“อาวุธวิญญาณระดับแปด หรืออาจเป็นอาวุธวิญญาณระดับเก้า!” ใครบางคนกล่าวขณะตัวสั่น
อาวุธวิญญาณไม่ใช่อาวุธธรรมดา โดยปกติแล้วพวกมันจะถูกสร้างขึ้นจากแร่เหล็กระดับเจ็ดและเสริมพลังด้วยเจตจำนงของจอมยุทธ ทำให้พลังของมันน่าทึ่ง! แม้จะอยู่ในมือของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน แต่ก็มีพลังของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ
อย่างเช่นพิณของหวังอีหยุนจะต้องเป็นอาวุธวิญญาณระดับเจ็ดที่สามารถเรียกอัศวินระดับตัวอ่อนวิญญาณออกมาได้แปดสิบเอ็ดตน แม้ว่ามันจะไม่มีกายหยาบ แต่พลังต่อสู้ของพวกมันนั้นไม่ได้หายไปและไม่กลัวการบาดเจ็บล้มตาย
ยิ่งระดับของอาวุธวิญญาณสูงเท่าไหร่ ยิ่งยากที่จะได้รับ เพราะมีจอมยุทธมากมายที่อยู่บนโลกใบนี้ และยิ่งนาน เจตจำนงที่อยู่ภายในก็จะลดลง
เว้นแต่ว่าอาวุธวิญญาณจะสามารถดูดซับพลังจากสวรรค์และโลกได้ด้วยตัวเอง และรักษาเจตจำนงไว้ได้
ดังนั้นที่พวกเขาทั้งสองคนนำอาวุธวิญญาณระดับสูงออกมาให้เห็นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะตกตะลึง
ในที่สุดสีหน้าของหวังอีหยุนก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และดาบกำเนิดมารได้สร้างแรงกดดันให้แก่นาง ทำให้ความมั่นใจของนางลดลง
จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณไม่สามารถจัดการจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานได้งั้นรึ?
ภายในใจของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แม้อัจฉริยะที่อยู่บนจุดสูงสุดของระดับบุปผาผลิบาน หรืออาจเป็นระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นต้น นางก็สามารถเอาชนะได้ แม้นางจะเป็นแค่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสองก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้นนางมีพลังต่อสู้ถึงสิบดาว นางต้องเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างแน่นอน
ทว่านางกลับไม่คิดเลยว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามคุกคาม
หวังอีหยุนรู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้น และบทเพลงของนางทำให้อัศวินระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งแปดสิบเอ็ดร่างเปล่งแสงออกมาอย่างกะทันหัน ท่าทีของพวกมันเปลี่ยนไปและหวังที่จะฆ่าหลิงฮันให้จงได้
หลิงฮันยิ้มออกมาเล็กน้อย ด้วยความเข้าใจในเจตจำนงแห่งดาบของเขา ในที่สุดอักขระบนดาบกำเนิดมารก็เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้พลังของอาวุธวิญญาณระดับสิบของเขานั้นเพิ่มขึ้น
อะไรคืออาวุธวิญญาณระดับสิบที่สามารถเทียบได้กับจอมยุทธระดับทลายมิติ!
เมื่อหลิงฮันสะบั้นดาบ ปราณดาบยี่สิบเก้าเล่มหลอมรวมกันเป็นกึ่งรัศมีดาบปะทะอัศวินระดับตัวอ่อนวิญญาณ อัศวินระดับตัวอ่อนวิญญาณหยุดเคลื่อนไหวทันที นั่นเป็นเพราะการโจมตีของหลิงฮันถูกใช้ออกมาจากอาวุธวิญญาณระดับสิบ ดังนั้นพลังทำลายล้างของมันจะต้องน่าหวาดกลัวกว่าปกติ
ดาบเดียวฆ่าอัศวินระดับตัวอ่อนวิญญาณ!
อึก!
ทุกคนรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่หนาวเย็น หลิงฮันเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ถ้าหลิงฮันเป็นคนที่มีพรสวรรค์ท้าทายสวรรค์อย่างย่าวหุยเยว่และราชันกระบี่น้อย ทุกคนก็ยอมรับ นั่นเป็นเพราะอัศวินพวกนั้นเป็นถึงระดับตัวอ่อนวิญญาณ ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมัน มันสามารถกวาดล้างคู่ต่อสู้ทุกคนที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างง่ายดาย
แต่ปัญหาคือหลิงฮันเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานเท่านั้น
หลิงฮันยังไม่หยุดกวัดแกว่งดาบ จนกระทั่งเขากวัดแกว่งดาบไปทั้งหมดแปดสิบเอ็ดครั้ง และอัศวินระดับตัวอ่อนวิญญาณถูกจัดการจนหมด
รัศมีดาบที่ถูกใช้โดยดาบกำเนิดมาร ซึ่งเป็นถึงอาวุธวิญญาณระดับสิบ อีกฝ่ายจะตอบโต้ได้อย่างไร?
“แฮ่ก!” หวังอีหยุนกระอักเลือดออกมาและดวงตาที่งดงามของนางเผยให้เห็นถึงความตกตะลึง จิตใจของนางและพิณนั้นเชื่อมต่อกัน เมื่ออัศวินระดับตัวอ่อนวิญญาณแปดสิบเอ็ดตนถูกทำลาย นางก็จะได้รับผลกระทบด้วย
ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ นางบรรเลงพิณต่อและมีดาบปรากฏออกมา
ดาบเล่มนี้บางมาก มันบางเหมือนกับเส้นไหม ถ้าไม่มองให้ดีเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองเห็นมัน
ดาบที่บางคล้ายเส้นไหมเข้าไปล้อมรอบหลิงฮัน มันสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้คล้ายกับทองคำก่อเกิดผลาญโลหิต
แต่ดาบเล่มนี้ไม่ใช่ทองคำก่อเกิดผลาญโลหิต มันคือปราณดาบและพลังปราณของนางที่ผสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“นี่มันทักษะดาบของตระกูลหวัง!”
“สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะอย่างหวังอีหยุน”
“ธิดาหวัง ฆ่าเจ้าเด็กคนนี้เลย!”
ฝูงชนส่งเสียงเชียร์หวังอีหยุนมากขึ้นและหวังว่าธิดาหวังจะเป็นฝ่ายชนะ
“น่าสนใจดีนิ” หลิงฮันพูดพึมพัม และกระตุ้นดาบกำเนิดมารปลดปล่อยปราณดาบที่ทรงพลังออกมา และตัดผ่านดาบที่กำลังล้อมรอบเขาอยู่ได้อย่างง่ายดาย ตราบใดที่ช่องว่างไม่ได้ใหญ่เกินไป อาวุธวิญญาณระดับสิบย่อมได้เปรียบอย่างท่วมท้น
ร่างของหวังอีหยุนพริ้วไหวอยู่บนท้องฟ้า ราวกับเทพธิดาที่ร่ายรำดวงจันทร์ แต่ปราณดาบแต่ละเล่มที่นางปลดปล่อยออกมานั้นแหลมคมเป็นอย่างมาก
หลิงฮันเรียกใช้ทักษะอสนีบาตเก้าทิวา พลังต่อสู้ของเขาพรั่งพรูออกมาไปถึงระดับตัวอ่อนวิญญาณสิบห้าดาวทันทีและหวังที่จะฆ่าหวังอีหยุน
ฉิง ฉิง ฉิง ดาบสองเล่มห่ำหั่นกันไม่หยุด เมื่อดาบกระทบกันทำให้เกิดแสงสว่างจ้า ทำให้เหล่าจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานหวาดกลัวที่จะจ้องมองเพราะอาจทำให้ตาของพวกเขาบอด
ทุกการปะทะ หวังอีหยุนรู้สึกร่างกายของนางด้านชา ราวกับถูกไฟฟ้าดูด
เมื่อเผชิญหน้ากับหลิงฮัน นางไม่ได้ต่างจากจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานเลย!
หรืออาจเป็นเพราะว่าทักษะอสนีบาตเก้าทิวานั้นทรงพลังเกินไป แม้แต่อัจฉริยะที่แข็งแกร่งอย่างหวังอีหยุนก็ไม่อาจต่อกรด้วยได้
หลิงฮันกำลังเล่นกับหวังอีหยุน แต่การโจมตีของเขานั้นทำให้นางถูกบังคับให้ล่าถอยไม่หยุด
หวังอีหยุนกัดฟัน นางสลัดการโจมตีของหลิงฮันและกระโดดขึ้นไปบนอากาศ แล้วปรากฏแสงสว่างระยิบระยับ
หลิงฮันขมวดคิ้วและพูดว่า “ถ้าเจ้าดิ้นรนอีกครั้ง ข้าจะเอาดาบกระแทกบั้นท้ายเจ้า!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหวังอีหยุนรู้สึกโกรธ แต่นางก็ยังคงปลดปล่อยปราณออกมาก่อเป็นแสงสว่างที่น่าสะพรึงกลัวราวกับจะทำลายโลก
“ไม่เชื่อฟัง!” ร่างกายของหลิงฮันกลายเป็นสายฟ้า แม้จะไม่ใช่สายฟ้าที่แท้จริง แต่ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นถึงสามเท่า แล้วปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าหวังอีหยุน และดาบกำเนิดมารสะบั้นไปที่ใบหน้าของหวังอีหยุน
“อ๊ากกก–” หวังอีหยุนกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและละอายใจ
ผู้ชายคนนี้กล้าที่จะทำให้นางเสียหน้า!
ถึงกระนั้น นางก็ยังคงเป็นอัจฉริยะ แม้ว่าจะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ แต่นางก็ยังคงปล่อยลำแสงใส่หลิงฮัน
หลิงฮันดึงดาบกลับมาและทำลายลำแสงนั่นทิ้ง แต่เขารู้สึกมือขวาของเขาหนักอึ้ง แทบจะไม่สามารถยกขึ้นมาได้ ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะรู้สึกตกใจ ต้องรู้ก่อนว่ากายาของเขานั้นแข็งแกร่งแค่ไหน
ตอนที่ 636
ดวงตาของทุกคนกลายเป็นร้อนผ่าว หวังอีหยุนคือสตรีที่พวกเขานับถือว่าเป็นเทพธิดา! แถมนางยังเป็นไข่มุขอันล้ำค่าของทั้งตระกูลหวังและนิกายอัสนีบาตสีครามแต่ตอนนี้บั้นท้ายของทางกับถูกจู่โจมโดยบุรุษ?
น่าอิจฉายิ่งนัก! ข้าเองก็อยากจะทำเช่นนั้นบ้างเหมือนกัน ไม่ใช่ด้วยดาบแต่ด้วยฝ่ามือของตนเอง
ผู้คนมากมายสาปแช่งหลิงฮันในใจ
แต่ก็มีใครบางคนโกรธถึงขนาดพุ่งตัวออกมาจากฝูงชน เจ้าหนูนี่บังอาจทำร้ายเทพธิดาในใจของพวกเขา ช่างสมควรตกตกตายไปนับร้อยรอบ!
หวังอีหยุนอดที่จะอุทานออกมาต่อหน้าฝูงชนไม่ได้ นี่เป็นการกระทำที่นางไม่เคยได้รับมาก่อน นางรู้สึกอับอายจนแทบจะมุดดินให้ตายๆไปเสียเลย แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮันและยอมได้เพียงให้อีกฝ่ายจู่โจมบั้นทายของนาง
‘อ้ากก!’ นางคำรามด้วยความโกรธ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือทำอะไร ร่างของนางสะบัดหันหลังและค่อยๆร่อนลงสู่พื้นพร้อมกับสีหน้าของนางที่กลับกลายมาเป็นเทพธิดาผู้แสนสงบนิ่งอีกครั้ง
“ยอมแพ้แล้ว?” หลิงฮันยิ้ม
ดวงตาอันงดงามของหวังอีหยุนอดไม่ได้ที่จะมองอย่างโกรธแค้นไปยังหลิงฮัน แต่ถึงอย่างนั้นนางจะทำอะไรได้? ถึงแม้ที่นี่จะมีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณอยู่อีก แต่พลังต่อสู้ของพวกเขาก็ไม่ได้ต่างจากนางเท่าไหร่ เพราะงั้นในเมื่อนางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮัน นางก็เชื่อว่าคนอื่นๆก็ไม่สามารถโค่นล้มหลิงฮันได้เช่นกัน
นางฝืนระงับความโกรธและพยายามรักษาภาพลักษณ์ของเทพธิดาผู้แสนสงบนิ่งเอาไว้ “อีหยุนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน การประลองนี้ท่านเป็นฝ่ายชนะ”
หลิงฮันเลิกสนใจนางและไปด้วยพูดออกมารอยยิ้ม “มีใครยังต้องการห้ามไม่ให้ข้าออกไปจากที่นี่อีกไหม?”
ทุกคนล้วนแต่เงียบกริบ หลิงฮันแข็งแกร่งเกินไป เขาสมควรเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาด มีเพียงสุดยอดอัจฉริยะในหมู่รุ่นเยาว์อย่าง ย่าวหุยเยว่และราชันกระบี่น้อยเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับหลิงฮันได้ หากพวกเขาต่อต้านก็มีแต่จะเจ็บตัวเปล่าๆ
“ไปกันเถอะ พวกเราเปลี่ยนสถานที่กินดื่มกันดีกว่า!” หลิงฮันพูดกับจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิง
“ก็ดีเหมือนกัน!” ทั้งสองคนพยักหน้า
ผู้คนมากมายจ้องหลิงฮันเป็นฟืนเป็นไฟ นี่พอเจ้ากิน ดื่ม เล่นเสร็จแล้วเจ้าก็คิดจะปัดก้นและทิ้งความวุ่นวายเอาไว้เนี่ยนะ?
หวังอีหยุนก็อยากจะตะโกนด่าออกไปเช่นกัน แต่นางเป็นเจ้าของที่นี่และเป็นผู้จัดการงานเลี้ยงขึ้น นางไม่อาจผลีผลามทำอะไรตามอำเภอใจได้ “ทุกท่าน พวกเรามาพูดรายละเอียดเรื่องพันธมิตรกันต่อเถอะ…”
……
หลิงฮัน จักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงมาถึงยอดภูเขาแห่งหนึ่ง พวกเขานั่งลงบนแผ่นหินและนำไวน์ อาหารต่างๆออกมากินกันอย่างสนุกสนาน เมื่อหลิงฮันนำผลลูกพีชออกมาวางใส่จาน กลิ่นอันหอมหวนที่แผ่ซ่านออกมาก็ทำให้ทุกคนน้ำลายสอ
“อร่อย!” ฮูหนิวกล่าวในขณะที่เคี้ยวลูกพีชอยู่ในปาก ทั่วทั้งใบหน้าและมือเล็กๆของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำหวานของลูกพีช
ในทางกลับกัน จูเสวียนเอ๋อนั้นยังคงเคี้ยวอาหารในปากอย่างเชื้องช้า แสดงออกถึงความเป็นกุลสตรี
บุรุษทั้งสามคนที่นั่งอยู่ตรงนี้นั้นล้วนแต่เป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน พวกเขาทั้งสามสาบานว่าเป็นพี่น้องกัน แน่นอนว่าจักรพรรดิพิรุณต้องเป็นพี่ใหญ่มู่หลงชิงเป็นพี่รอง ส่วนหลิงฮันนั้นเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดซึ่งทำให้เขารู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
มีเขามีชีวิตมาแล้วถึงสองรอบ อายุรวมๆแล้วของเขาเกินกว่าสองร้อยปีเสียอีก แต่ตอนนี้เขากลับต้องการเรียกชายหนุ่มอีกสองคนว่าพี่ชายใหญ่และพี่รอง! ในกรณีของ เฟิงโป๋วหยุนนั้นเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีอายุมากกว่าเขา เพราะงั้นเขาจึงไม่รู้สึกรันทดอะไร
แต่ความรู้สึกหดหู่ก็คงอยู่เพียงชั่วขณะเท่านั้น ผ่านไปสักพักเขาก็คุ้นเคยกับจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิง
ในด้านของหวังอีหยุนนั้นถึงแม้ว่านางจะเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นไว้เป็นความลับ แต่ก็มีผู้คนมากมายที่เห็นเหตุการณ์ที่นางถูกโจมตีที่บั้นท้าย ดังนั้นข่าวจึงแพร่งพรายออกไปอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าข่าวที่แพร่ออกไปก็ต้องยิ่งเกินจริงขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกเรื่องมีแค่การถูกจู่โจมที่บั้นท้าย แต่เมื่อข่าวหลุดออกไป ข่าวก็กลายเป็นว่าหวังอีหยุนถูกจับกดโดยหลิงฮัน และถูกพาไปร่วมกิจกรรมในยามค่ำคืนด้วยกัน เมื่อหวังอีหยุนกลับออกมา นางก็ไม่ได้สวมชุดเลยซักชิ้น
แต่พลังต่อสู้ของหลิงฮันเองก็ถูกยืนยันแล้วเช่นกัน ทุกคนลงมติกันว่าถ้าหากไม่ใช่อัจฉริยะที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนักสวรรค์ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮัน
ด้วยเหตุนี้หลิงฮันจึงกลายเป็นศัตรูกับนิกายอัสนีบาตรสีครามอย่างสมบูรณ์ รวมถึงลูกศิษย์จากนิกายโบราณทั้งสี่ก็ตีตัวออกห่างเขาทำให้แผนการค้นหาแผนที่โบราณของเขาต้องระงับไว้ชั่วคราว
แต่เขาก็ได้มอบหมายภารกิจนี้ไปให้กับชางเย่แทน เพราะถึงอย่างไรแผนที่ที่เขาต้องการก็เป็นแค่แผนที่ธรรมดาในยุคโบราณ มันไม่ใช่แผนที่สมบัติที่หายากอะไร
สามวันต่อมา ช่วงเวลาอันสำคัญของจูเสวียนเอ๋อก็มาถึง
นางต้องการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน
ที่จริงนางสามารถทะลวงผ่านได้ตั้งแต่หนึ่งหรือสองเดือนก่อนแล้ว แต่หลิงฮันบอกให้นางสร้างรากฐานให้มั่นคงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะทะลวงระดับ เพราะอย่างไรระดับบุปผาผลิบานก็เป็นถึงการละทิ้งวัฏจักรแห่งความเป็นมนุษย์
เพราะว่าพลังปราณที่ต้องใช้ทะลวงผ่านมีจำนวนมหาศาล หลิงฮันจึงเตรียมเม็ดยาและสมุนไพรไว้ให้นางมากมาย ผ่านไปเพียงครึ่งวัน นางก็สามารถปลูกเมล็ดวิญญาณได้ และสามวันต่อมานางก็สามารถทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานได้สำเร็จ
จูเสวียนเอ๋อมีความสุขเป็นอย่างมาก การบรรลุระดับบุปผาผลิบานไม่ใช่แค่เป็นการก้าวหน้าในศาสตร์แห่งวรยุทธ แต่ยังได้รับอายุขัยเพิ่มขึ้นอีกสองร้อยปีซึ่งทำให้ชราช้าลงอีกด้วย
นี่หมายความว่าใบหน้าของนางจะไม่แก่ชราและคงรูปลักษณ์อันอ่อนเยาว์ไปได้อีกหลายสิบปี
สำหรับสตรีแล้วจะมีอะไรสำคัญไปกว่าความงดงาม โดยเฉพาะกับสตรีที่งดงามล่มเมืองเช่นนางด้วยแล้ว
“เจ้าสร้างบุปผาอมตะในตันเถียนได้กี่ต้น?” หลิงฮันถาม เขากังวลเกี่ยวกับศักยะภาพในอนาคตของจูเสวียนเอ๋อมาก เพราะอย่างไรนางก็เป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดจากภูมิภาคเหนือ เขาไม่อยากให้ตัวเขาเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของนาง
“สามต้น” จูเสวียนเอ๋อกล่าว ใบหน้าของนางถูกประดับด้วยความประหลาดใจ
ตามปกติแล้ว จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานจะสามาถสร้างบุปผาอมตะได้เพียงดอกเดียว หากเป็นอัจฉริยะจะสร้างได้สองต้น ซึ่งหากสร้างได้เกินสามต้นจะนับว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะ
หลิงฮันพยักหน้า สามต้นนับว่านางมีศักยภาพไม่เลวเลย แต่สำหรับอัจฉริยะแห่งยุคอย่างย่าวหุยเยว่หรือราชันกระบี่น้อย พวกเขาจะต้องสร้างบุปผาผมตะได้มากกว่าสามต้นแน่นอน
แต่ถึงอย่างไรหลิงฮันก็เชื่อมั่นว่าขีดจำกัดที่สามารถสร้างได้สูงสุดคือสิบต้น และที่เขามีบุปผาผลิบานได้ถึงสิบต้นก็เป็นเพราะเขามีแก่นแท้จิตวิญญาณสองอัน ซึ่งเขาเชื่อว่าในโลกนี้ไม่มีใครอื่นแล้วที่ทำได้เช่นเขา
ตอนที่ 637
ตอนนี้หลิงฮันเองก็สามารถทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณได้แล้ว แต่เขาเลือกที่จะสร้างรากฐานให้มั่นคงไปอย่างช้าๆ
ในชีวิตที่แล้ว เขามุ่งหวังแค่เพียงการเพิ่มระดับพลังให้สูงที่สุด แต่ในชีวิตนี้เขาไม่อาจทำเช่นนั้นนั้น เขาต้องบ่มเพาะทุกๆระดับพลังให้มั่นคงจนถึงจุดสมบูรณ์แบบก่อนที่จะทะลวงผ่าน
จะอย่างไรเขาก็ยังเยาว์วัยอยู่ อายุของเขายังไม่ถึงยี่สิบปีเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องเร่งรีบ
Anchor
ก่อนจะทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณ เขาต้องสร้างปราณดาบให้ถึงสามสิบเล่มและบ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ให้บรรลุกายาเพชรเสียก่อน
แต่ตามทฤษฎีที่มีมาดังแต่ยุตบรรพกาลแล้ว ขีดจำกัดของปราณดาบคือยี่สิบก้าวเล่ม เพราะขนาดทักษะดาบลึกลับสามพันเล่มยังสามารถปลดปล่อยประแสงแห่งดาบออกมาได้เพียงสามพันเล่ม ไม่ใช่สามพันหนึ่งร้อยเล่ม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหากจะสร้างปราณดาบเล่มที่สามสิบนั้นยากลำบากขนาดไหน กายาเพชรเองก็เป็นสิ่งที่บรรลุได้เพชรเองก็เป็นสิ่งที่บรรลุได้ยากเช่นกัน แม้หลิงฮันจะกินสมุนไพรและสมบัติไปมากขนาดไหน ร่างของเขาก็ราวกับเป็นรหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง ไม่มีทางเติมเต็มได้
แน่นอนว่าหนึ่งในเหตุผลเป็นเช่นนั้นก็เพราะเขาฝึกฝนทักษะกายาเก้ามังกรทรราช พลังงานจากสมบัติส่วนใหญ่ถูกดูดกลืนไปเพิ่มพลังกายของเขา
ชางเย่เองก็ดำเนินแผนการไปได้ราบรื่นเช่นกัน เขาได้รับเม็ดยาและสมบัติมากมายจากหลิงฮันเพื่อให้นำไปจักจูงรุ่นเยาว์จากตระกูลโบราณมาเป็นพวก
เขาซื้อใจของศิษย์ที่แท้จริงจากนิกายดาบสวรรค์คนหนึ่งได้และอีกฝ่ายยินดีที่จะเรียกชางเย่ว่าพี่ใหญ่ เมื่อเห็นโอกาส ชางเย่จึงเสนอให้อีกฝ่ายนำแผนที่ยุคโบราณมาแล้วเขาจะมอบสมบัติมากมายให้
แน่นอนว่าศิษย์ที่แท้จริงผู้นั้นย่อมตกลง ก่อนที่จะเริ่มการเปิดรับสมัครเข้าร่วมสำนักสวรรค์ยังมีเวลาอีกประมาณสี่เดือน เขายังสามารถกลับไปยังตระกูลเพื่อนำแผนที่มาได้
ตอนนี้สิ่งที่หลิงฮันต้องทำคือการรอคอย
ผ่านไปสองสามวัน หลิงฮันก็เห็นจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงกลับมา
ทั้งสองคนไปฝึกฝนกับมาบนยอดหุบเขา อัจฉริยะทั้งสองนั้นมีความสามารถในศาสตร์แห่งวรยุทธไม่ต่างกันเท่าไหร่ ดังนั้นเมื่อทั้งสองคนมาประลองกัน การพัฒนาของพวกเขาจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วในการพัฒนาเช่นนี้ ภายในสองปีพวกเขาจะต้องบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นปลายแน่นอน
นี่นับว่าเป็นการพัฒนาที่น่ากลัวอย่างมาก
สุดยอดอัจฉริยะอย่างราชันกระบี่น้อยและหลางหยาเทียนเองก็มีความหวังที่จะทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวาก่อนอายุสี่สิบปีในขณะที่พวกเขาบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นปลายตอนอายุสามสิบปี
จักรพรรดิพิรุณนั้นแต่เดิมก็ไม่ใช่รุ่นเยาว์แล้ว เขาไม่เหมือนกับมู่หลงชิงที่อายุเพียงยี่สิบห้าปี ซึ่งมีโอกาสบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นปลานก่อนอายุสามสิบปี ซึ่งหลังจากนั้นหากจะทะลวงผ่านระดับก้าวสู่เทวาก่อนอายุสี่สิบปีก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่ก็ต้องรู้ด้วยว่าราชันกระบี่น้อยและหลางหยาเทียนนั้นถูกฝึกฝนโดยนิกายโบราณ ซึ่งทำให้ความเร็วในการพัฒนาเหนือกว่าทั้งสองคน
จักรพรรดิพิรุณนำข่าวใหญ่กลับมาสองข่าว มันเป็นข่าวใหญ่ที่สามารถสั่นคลอนภูมิภาคกลางหรือแม้แต่ทั่วทั้งทวีปฮงเทียน
“น่าจะเป็นเมื่อเดือนที่แล้วที่นิกายพันศพได้ใช้จ่ายมหาศาลเพื่อซื้อเมืองหมื่นสมบัติ” จักรพรรดิพิรุณกล่าว
‘พรวด’ หลิงฮันสำลักออกมา นั่นเรื่องจริงรึ?
“ตำนักสมบัติวิญญาณและสมาคมนักปรุงยานั้นไม่คลาดแคลนเงินแน่นอน เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะขายบ้านของตนเอง?” หลิงฮันสับสน “นิกายพันศพเสนอเงินจำนวนมากขนาดไหนกันแน่ จอมยุทธระดับทลายมิติและนักปรุงยาระดับสวรรค์ทั้งสองถึงไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอของพวกมัน?”
“นิกายพันศพได้จ่ายค่าตอบแทนไปอย่างมหาศาลแน่นอน” มู่หลงชิงกล่าว “เพื่อจะทำให้จิตใจของตัวตนระดับทลายมิติและนักปรุงยาระดับสวรรค์สั่นไหว เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะยื่นเสนอเกี่ยวกับความลับของการทะลวงผ่านไปยังระดับพระเจ้าและเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์”
หลิงฮันพยักหน้า เขาสงสัยมานานแล้วว่าเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน พวกเจียงเย่เฟิงจะขึ้นไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้รึเปล่า เพราะเขาไม่ได้ยินตำนานกล่าวเลยว่ามีจอมยุทธระดับทลายมิติที่สามารถกลายเป็นพระเจ้าและก้าวสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ความคิดที่ว่าเจียงเย่เฟิงขึ้นไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วนั้นเป็นเพียงแค่การสันนิษฐานของหลิงฮันเท่านั้น
เฟิงโปหยุนเคยกล่าวไว้ว่าการบดขยี้ชั้นมิติเพื่อก้าวสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นจะต้องพบกับอันตรายครั้งใหญ่ เพราะงั้นเขาจึงไม่กล้าลงมืออย่างผลีผลามและค่อยๆสร้างรากฐานของตนเองให้มั่นคงจนถึงระดับทลายมิติขั้นเก้าเสียก่อน
นิกายโบราณอย่างนิกายพันศพนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่านิกายดาบสวรรค์ ดังนั้นพวกเขาอาจจะมีปรมารย์ที่สามารถบรรลุระดับพระเจ้าได้อย่างลับๆก็ได้ และเนื่องจากพวกมันเป็นนิกายโบราณ หากจะมีเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์อยู่ในครอบครองก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
จะอย่างไรตอนนี้เมืองหมื่นสมบัติก็ตกอยู่ในมือของนิกายพันศพแล้ว
“แต่ถ้าหากนิกายพันศัพยอมที่จะสูญเสียอย่างมหาศาลเช่นนี้… แผนการของพวกมันจะต้องยิ่งใหญ่กว่าเงินที่พวกมันจ่ายไปแน่!” หลิงฮันกล่าว ก่อนหน้านี้เขาเคยคาดเดาไว้ว่าใต้เมืองหมื่นสมบัติคงจะมีซากศพของจอมยุทธระดับทลายมิติมากมายหรือไม่ก็สมบัติที่ทำให้นิกายพันศพแข็งแกร่งขึ้นถูกฝังอยู่
“นิกายโบราณทั้งห้าไม่พอใจในการกระทำครั้งของนิกายพันศพมาก พวกเขาจึงตัดสินใจส่งกองทัพไปโจมตีเมืองหมื่นสมบัติ” จักรพรรดิพิรุณกล่าว
“จากมุมมองในครั้งนี้ นิกายโบราณทั้งห้าดูใจร้อนไม่สมกับเป็นพวกเขาเลย” หลิงฮันส่ายหัวและมีท่าทีประหลาดใจ
จากประวัติศาสตร์ที่เคยได้ยิน หากไม่มีภัยพิบัติครั้งใหญ่เกิดขึ้น นิกายโบราณทั้งห้าก็จะไม่เคลื่อนไหว แต่ครั้งนี้เพียงแค่นิกายพันศพเคลื่อนไหวนิดๆหน่อยๆ พวกเขาก็ลงมือราวกับมีความแค้นส่วนตัว
“นิกายโบราณทั้งห้าปะทะกับนิกายพันศพ นี่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก มันสามารถทำให้ทวีปฮงเทียนตกอยู่ในความอลหม่านได้เลย” หลิงฮันคิดและถอนหายใจออกมา ตอนนี้เขากำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วด้วยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดต่อการบ่มเพาะพลัง เขาไม่ต้องการให้ความโกลาหลครั้งใหญ่เกิดขึ้น
“นิกายพันศพคงจะวางแผนเอาไว้ที่แล้ว เพราะงั้นพวกมันจึงกล้าวปรากฏตัวต่อหน้สารธารณะชน” จักรพรรดิพิรุณกล่าว
หลิงฮันพัยกหน้า การที่นิกายพันศพกลับมาเปิดเผยตัวตนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกมันเตรียมตัวเอาไว้พร้อมแล้ว ไม่แน่ว่าพวกมันอาจจะทำลายนิกายโบราณทั้งห้าได้อย่างง่ายดายเลยก็เป็นได้
“แล้วสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร?” หลิงฮันถาม
“นิกายโบราณทั้งห้ากำลังรวบรวมกำลังพลอยู่ พวกเขากำลังชักชวนให้ทั่วทั้งทวีปรวมพลังกันเพื่อทำลายล้างนิกายพันศพ” จักรพรรดิพิรุณกล่าว “แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็อยู่ห่างไกลมาก กว่าข่าวจะมาถึงคงต้องใช้เวลาเสียหน่อย ดังนั้นจึงบอกได้ไม่ชัดเจนนักกว่าสถานะการณ์เป็นอย่างไรแล้ว”
ตอนที่ 638
หลิงฮันครุ่นคิดและยิ้ม “ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเราในปัจจุบัน เรื่องแบบนั้นทำได้แค่คิดเท่านั้น ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะหรือแพ้ มันไม่ใช่เรื่องอะไรที่พวกเราสามารถเข้าไปแทรกแซงได้”
จักรพรรดิพิรุณและมูหรงชิงต่างแสดงความรู้สึกกระหายการต่อสู้ออกมา และเผยสีหน้าที่หลงใหล
จักรพรรดิพิรุณเป็นวีรบุรุษคนหนึ่ง พลังปราณของเขาน่าเกรงขาม ส่วนมู่หรงชิงนั้น เขาสนใจแค่กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเท่านั้น แม้พวกเขาทั้งสามคนจะมีบุคลิกที่แตกต่างกัน แต่มีสิ่งเดียวที่พวกเขาเหมือนกันคือมีความหลงใหลในวิถีวรยุทธ
มิฉะนั้น พวกเขาคงไม่สาบานร่วมกัน
“ในอีกสามสิบปีข้างหน้า ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอคำแนะนำจากพวกเจ้า!” พวกเขากล่าวด้วยความเร่าร้อน
เพียงแค่สามสิบปี พวกเขาคิดว่าจะทะลวงผ่านระดับทลายมิติแล้ว?
สิ่งที่พวกเขาพูดมันช่างไร้สาระที่สามารถทำให้ผู้คนหัวเราะจนตาย แต่พวกเขาทั้งสามคนเต็มไปด้วยความมั่นในในตัวเอง ด้วยพรสวรรค์ของพวกเขาบวกกับเม็ดยาของหลิงฮัน แน่นอนว่าพวกเขาจะมีโอกาสที่จะบรรลุระดับทลายมิติภายในสามสิบปี
“มีข่าวอย่างอื่นที่น่าสนใจอีกไหม?” หลิงฮันสงบสติอารมณ์และถามอีกครั้ง
“อืม ข่าวนี้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว” จักรพรรดิพิรุณหยุดพูดชั่วขณะและพูดต่อว่า “เมื่อไม่นานมานี้ เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในภูมิภาคกลางจู่ๆก็จัดตั้งจักรวรรดิจันทราม่วงขึ้นมา”
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจ มันยังมีคนที่คิดจะก่อตั้งแคว้นอีกหรือ แล้วมันจะมีปัญหาอะไร?
นอกจากดินแดนทางตอนเหนืออันโดดเดี่ยว มันไม่มีความจำเป็นเรื่องการก่อตั้งแคว้นในสี่ภูมิภาคและภูมิภาคกลาง มีเพียงแค่ตระกูลเก่าแก่ นิกายโบราณและขุมพลังต่างๆ หรือพูดได้ว่าทวีปฮงเทียนนั้นไม่มีกฎระเบียบ ความแข็งแกร่งคือกฎ
แต่ทว่าการก่อตั้งแคว้นนั้นถือเป็นเรื่องดี ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบซึ่งสามารถลดการฆ่าฟันได้จำนวนมาก
หลิงฮันฉุดคิดขึ้นมาได้ว่าทำไมภูมิภาคกลางและอีกสี่ภูมิภาคถึงไม่มีจักรวรรดิ ย้อนกลับไป ทั้งที่พลังของจักรภพทำให้จักรพรรดิพิรุณเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานครึ่งก้าว แต่ก็สามารถปะมือกับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานที่แท้จริงได้ ยกเว้นว่านั่นจะเป็นความแข็งแกร่งจักรพรรดิพิรุณเอง
“ในทวีปฮงเทียน การก่อตั้งจักรวรรดิเป็นเรื่องต้องห้าม” มู่หรงชิงกล่าว “ในภูมิภาคใต้ของข้ามีกฎเหล็กอยู่ ทุกขุมพลังสามารถแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงดินแดนได้ แต่ห้ามก่อตั้งจักรวรรดิ มิฉะนั้นทั้งภูมิภาคใต้จะถูกทำลาย”
“แต่ว่าภูมิภาคกลางเห็นได้ชัดว่าเป็นสถานที่ยอดเยี่ยมสำหรับฝึกฝนบ่มเพาะพลัง แต่ทำไมในทวีปฮงเทียนถึงไม่มีจักรวรรดิ?” หลิงฮันแสดงความอยากรู้อยากเห็นของเขาออกมาในชีวิตที่แล้วของเขาไม่มีการก่อตั้งจักรวรรดิ แม้เขาจะทุ่มชีวิตทั้งหมดให้กับศาสตร์ปรุงยาและไม่สนใจเรื่องพวกนั้นก็ตาม
“แต่ในสมัยโบราณที่อยู่ก่อนหน้านี้ไปอีก ทวีปฮงเทียนนั้นมีจักรวรรดิ และเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งมาก” หลิงฮันกล่าว เพราะทักษะอสนีบาตเก้าทิวามาจากสมบัติของจักรวรรดิโบราณและนี่ไม่ใช่ทักษะระดับสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุด
นั่นคือเรื่องหลายแสนปีที่ผ่านมา จักรวรรดิที่ปกครองยุคโบราณต้องการที่จะเปิดสวรรค์และพาทุกคนขึ้นไป แต่ดูเหมือนจะล้มเหลวทั้งที่จักรวรรดิที่ปกครองยุคโบราณนั้นรวบรวมผู้คนทั้งทวีปให้เป็นหนึ่งแล้วก็ตาม
“หรือว่าจักรวรรดิจันทราม่วงอยากลองดี?” จักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงต่างอุทานออกมา
“แล้วใครคือจักรพรรดิ?” หลิงฮันถาม
“แซ่ของเขาคือหม่า เรียกว่าหม่าตั้วเป่า และเขาเป็นจักรพรรดิแห่งจื่อเย่ว” จักรพรรดิพิรุณกล่าว
พรวด หลิงฮันแทบสำลัก
หม่าตั้วเป่า?
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหมื่นสมบัติ หม่าตั้วเป่าได้เชิญเขาเข้าร่วมด้วยเพื่อเปิดสวรรค์ แต่เพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่เขาคิดเรื่องพวกนั้น เขาก็ลงมือทำเรื่องการใหญ่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีคนที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุน ตระกูลราชวังศ์จื่อเย่วจะคงอยู่ได้นานแค่ไหนกัน?
เดี๋ยวก่อน จักรวรรดิที่ปกครองยุคโบราณดูเหมือนจะล้มเหลวในการเปิดสวรรค์มาแล้ว แต่หม่าตั้วเป่ายังต้องการที่จะทำแบบนั้นอีกและก่อตั้งแคว้นขึ้นมา หรือว่าการเปิดสวรรค์จะต้องอยู่ในรูปแบบของแคว้น?
หลิงฮันรู้สึกว่าความคิดภายในหัวของเขาค่อนข้างสับสน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเหนือจากความรู้ของเขา
หม่าตั้วเป่าไม่ได้เป็นคนโง่ ในทางตรงกันข้าม ความแข็งแกร่งของเขาไม่อาจหยั่งรู้ได้ แม้แต่หลิงฮันยังไม่มองไม่ออก
ตอนนี้ยังมีนิกายพันศพอยู่อีก พวกมันเป็นเหมือนอสรพิษที่จ้องจะทำให้ทุกคนบนโลกกลายเป็นศพ ส่วนอีกด้านคือจักรวรรดิจันทราม่วง หากก่อตั้งแคว้นขึ้นมา แน่นอนว่าย่อมมีการขยายดินแดนและเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพิชิตโลกกลายเป็นหนึ่ง
“ดูเหมือนโลกจะต้องเกิดความวุ่นวายอีกครั้ง” หลิงฮันถอนหายใจ
“และยังมีอีกเรื่อง ห้านิกายใหญ่ทำนายว่าหายนะที่คล้ายกับที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง” จักรพรรดิพิรุณกล่าว
“ข้ามีความสามารถแข็งฝึกฝนบ่มเพาะพลังและพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง และข้ามีความสามารถแค่ปกป้องตัวเองเท่านั้น” มู่หลงชิงกล่าว
หลิงฮันและจักรพรรดิพิรุณพยักหน้า
“นั่นมัน….” เจ้ากระต่ายที่ตั้งใจฟังมาอย่างยาวนานยกอุ้งเท้าของมันขึ้นมา “ดูเหมือนข้าจะรู้หายนะที่พวกเจ้ากำลังพูดกันอยู่”
“ถ้างั้นพูดออกมา!” หลิงฮันกล่าว
กระต่ายแสร้งทำเป็นเล่นตัว “ฮ่าฮ่าฮ่า เอาน้ำชามาเสิร์ฟให้ข้าก่อนแล้วข้าจะ… อ๊ากก!” มันยังพูดไม่ทันจบก็ถูกฮูหนิวกัด
“พูดออกมาว่า!” ฮูหนิวไม่พอใจ
เจ้ากระต่ายนี่แม้จะรู้อยู่แล้วว่าฮูหนิวชอบลอบกัด แต่มันก็ยังคงยั่วยุฮูหนิวอยู่ตลอด มันกระแอมและพูดว่า “มีข่าวลือในหมู่กระต่ายว่าทุกหมื่นปี สวรรค์จะทำการชำระล้างโลก และมีสิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยมากที่สามารถอยู่รอดได้”
“ชำระล้าง?” หลิงฮันรู้สึกตกใจ นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“แต่บรรพบุรุษของข้าที่อาศัยอยู่โลกเบื้องบนนั้นเป็นข้อยกเว้น แต่สำหรับเจ้า มันค่อนข้างเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก!” เจ้ากระต่ายพูด
หลิงฮันตอบกลับ “นี่เจ้าจะไม่แต่งเรื่องเกินจริงไปหน่อยหรือ”
“เจ้าหนู เจ้าคิดว่าข้าไปใคร ข้าเป็นกระต่ายเชียวนะ” กระต่ายพูดออกมาอย่างสบายใจ
“ถ้างั้นการชำระล้าง ทำไมพวกเราต้องถูกชำระล้างด้วย? แล้วใครเป็นคนทำ?” หลิงฮันถาม
เจ้ากระต่ายชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าและพูดว่า “เหตุผลที่ว่าทำไม กระต่ายอย่างข้าจะไปรู้เรอะ”
สวรรค์? สวรรค์คือดินแดนสวรรค์ที่ไม่ควรทำอันตายต่อคนทั่วไป จากความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ของจื่อเสวี่ยนเซียน ดินแดนสวรรค์ต้องการทำลายโลกมนุษย์
หลิงฮันวกกลับไปที่คำถามเก่า ถ้าดินแดนสวรรค์ต้องการที่จะชำระล้างโลกมนุษย์จริง ห้านิกายโบราณจะรับมือได้อย่างไร?
มันจะต้องมีเหตุผลอื่นที่อยู่เบื้องหลังเป็นแน่ และคำตอบนั้นอาจซ่อนอยู่ในวิหารที่เขากำลังตามหาอยู่
เขาต้องรีบหาแผนที่โบราณนั่นให้เจอโดยเร็ว
“หลิงฮัน ออกมารับความตายได้แล้ว!”
ตอนที่ 639
“หลิงฮัน ออกมารับความตายได้แล้ว!” เสียงที่แหลมคมราวกับกระบี่ดังขึ้น และทำให้ใบไม้ที่ร่วงหล่นอยู่ใกล้ๆถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ
ผู้คนจำนวนมากแทบจะกระอักเลือดออกมา คนผู้นี้เป็นใครกัน เพียงแค่เสียก็ทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บแล้ว
“น้องสาม มันเป็นศัตรูของเจ้างั้นรึ?” มู่หรงชิงถาม และพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “ข้าจะเป็นคนจัดการมันเอง!”
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “พี่สอง ข้าเกรงว่าท่านจะไม่ใช่คู่มือของมัน!”
“โอ้ว มันเป็นใครงั้นรึ?” แม้แต่จักรพรรดิพิรุณยังรู้สึกสนใจและแสดงท่าทีกระหายการต่อสู้ออกมา
“ราชันกระบี่น้อย!”
พรึบ มีร่างของคนผู้หนึ่งโผล่ออกมา เขามีรูปร่างที่ผอมบาง รอบร่างของพวกเขาถูกล้อมรอบไปด้วยกระบี่ที่แตกต่างกันนับไม่ถ้วน บางเล่มสั้นบางเล่มยาว บางเล่มมีสีทองบางเล่มมีสีเงิน แต่ถูกเล่มมีอักขระฝังไว้อยู่
ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว และมีบางคนถึงกับเข่าอ่อนและตกอยู่ในภวังค์
ผู้คนทั้งหมดที่สามารถมาที่นี่ได้ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะ แต่พวกเขากลับไม่สามารถต่อต้านปราณกระบี่ของราชันกระบี่น้อยได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่น่าสะพรึงกลัวแค่ไหน
ราชันกระบี่น้อย!
อัจฉริยะที่มารวบตัวกันอยู่ที่นี่เกือบเดือนแล้ว ทำให้อัจฉริยะที่อยู่ที่นี่มีมากขึ้น ทว่าภายใต้แรงกดดันจากปราณกระบี่ของราชันกระบี่น้อย ผู้คนหลายหมื่นคนไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงออกมา
นี่แหละคือราชันกระบี่น้อย เพียงแค่ปรากฏตัวออกมาก็ทำให้อัจฉริยะนับไม่ถ้วนต้องก้มหัว
หลิงฮันลุกขึ้นยืน จักรพรรดิพิรุณและมู่หรงชิงปลีกตัวออกไปอยู่ทางด้านซ้ายและขวาปล่อยให้หลิงฮันเป็นคนจัดการ
“หืม เขามีเรื่องกับราชันกระบี่น้อยด้วยหรือ?”
“เดี๋ยวก่อน เมื่อวันก่อนเขาเพิ่งจะต่อสู้กับเทพธิดาอีหยุนและทำให้นิกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ขุ่นเคือง ตอนนี้เขากำลังถูกราชันกระบี่น้อยจากนิกายกระบี่ไร้เทียนยามไล่ล่าอีก นี่เขามีความบาดหมางกับสองในห้านิกายใหญ่เลยรึ!”
“ทำไมราชันกระบี่น้อยถึงต้องการฆ่าเจ้าเด็กนี่ด้วย หรือว่าราชันกระบี่น้อยจะสนใจเทพธิดาอีหยุน?”
“ไม่มีทาง ข้าเคยได้ยินมาว่าเทพธิดาอีหยุนหลงรักหลางหยา”
“ฮ่าฮ่าฮ่าที่แท้เป็นเรื่องรักสามเศร้านี่เอง!”
“ผิดแล้ว ผิดแล้ว ถ้ารวมเจ้าเด็กนี่เข้าไปด้วย มันจะกลายเป็นรักสี่เศร้า”
ทุกคนต่างพูดว่าผู้หญิงมักชอบพูดซุบซิบนินทา ทว่ามันไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น แม้แต่ผู้ชายก็ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่เฟิงหยู่
ราชันกระบี่น้อยยืนอยู่กลางอากาศอย่างภาคภูมิใจ มันตามหาหลิงฮันมานาน แต่หาไม่เจอที่มันหาหลิงฮันเจอเพราะได้ยินว่าหลิงฮันเข้าร่วมงานเลี้ยงของหวังอีหยุนเมื่อไม่กี่วันก่อน
ดวงตาของมันกวาดมองพวกหลิงฮันทั้งสามคน มันแสยะยิ้มอยู่ที่มุมปากและพูดว่า “คิดว่าพวกเจ้ามีสามคนแล้วจะหยุดข้าได้หรือ?”
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง?” หลิงฮันกล่าวอย่างเย็นชา
“ฮึ่ม โง่เขลา!” ราชันกระบี่น้อยไม่อยากพูดให้มากความ และปลดปล่อยปราณกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวออกมา
กึ่งรัศมีกระบี่!
หลิงฮันตะโกนและเรียกใช้ดาบกำเนิดมาร ต่อหน้าศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างราชันกระบี่น้อย เขาไม่อาจทำตัวอวดดีได้ มิฉะนั้นมันจะเป็นเขาเองที่ถูกจัดการ
ตู้ม ตู้ม ตู้ม ดาบของหลิงฮันรับการโจมตีจากราชันกระบี่น้อย แต่ทว่าการโจมตีของอีกฝ่ายนั้นบังคับให้หลิงฮันต้องล่าถอยและเท้าของเขาลากไปตามพื้นดิน
“ทำลาย!” หลิงฮันกรีดร้องและสะบั้นดาบ ทำให้รัศมีกระบี่ถูกผ่าออกเป็นสองส่วน ขณะที่จักรพรรดิพิรุณและมู่หรงชิงปล่อยหมัดที่ห่อหุ้มด้วยปราณก่อเกิดและเจตจำนงของตัวเองออกไปเพื่อทำลายรัศมีดาบนั่น
“ดี พวกเจ้าเป็นแค่จอมยุทธที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณแต่อยากเป็นศัตรูกับข้างั้นรึ?” ราชันกระบี่น้อยเยาะเย้ย
จักรพรรดิพิรุณแผดเสียงคำรามและปล่อยหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณออกไปกลางอากาศ
“อะไรกัน?” ในที่สุดราชันกระบี่น้อยก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา
แม้ว่าการโจมตีของมู่หรงชิงจะไม่ใช่การควบแน่นพลังปราณ แต่เขาก็สร้างปราณได้ยี่สิบเก้าแล้ว พลังของเขาไม่ควรม้องข้าม
“ฮ่าฮ่าฮ่า แม้พวกเจ้าจะร่วมมือกันสามคนมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะจัดการข้าหรอก” ราชันกระบี่น้อยสงบสติลงอีกครั้ง แม้ว่าจักรพรรดิพิรุณจะควบแน่นพลังปราณได้ แต่เขาควบแน่นพลังปราณได้แค่สิบเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เขามีความได้เปรียบในด้านระดับพลัง เท้าข้างหนึ่งของเขาอยู่บนระดับก้าวเข้าสู่เทวาแล้ว อย่างน้อยที่สุดเขามีพลังต่อสู้ของระดับก้าวสู่เทวาห้าดาว ซึ่งถือว่าแข็งแกร่งมาก!
เมื่อมันกวัดแกว่งกระบี่ ทำให้พวกหลิงฮันทั้งสามคนต้องล่าถอยไปด้านหลังทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ราชันกระบี่น้อยหัวเราะและจ้องมองไปที่หลิงฮันที่สังหารพ่อของเขาเลยทำให้เขาโกรธแค้น และยังมีเด็กสาวตัวน้อยอีกคนที่ขโมยทักษะอสนีบาตเก้าทิวา เขาจะต้องสังหารนางด้วยเช่นกัน
หลิงฮันเค้นเสียงออกมา ร่างกายของเขากระพริบหายไปและปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าราชันกระบี่น้อยพร้อมกับสะบั้นดาบที่อยู่ในมือ
“เกิดอะไรขึ้น!” ราชันกระบี่น้อยอุทานออกมา ที่เขาอุทานออกมาไม่ได้เป็นเพราะหลิงฮันรวดเร็วเกินไป แต่อีกฝ่ายกลายเป็นสายฟ้า ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันคือทักษะอสนีบาตเก้าทิวา!
เป็นไปได้ยังไงกัน!
ทักษะอสนีบาตเก้าทิวาสามารถสืบทอดได้แค่คนคนเดียวเท่านั้น แต่ทำไมฮูหนิวและหลิงฮันถึงได้รับการสืบทอดทักษะอสนีบาตเก้าทิวาด้วยกันทั้งคู่?
-ถ้าอีกฝ่ายรู้ว่านอกเหนือจากหลิงฮันและฮูหนิวแล้ว ยังมีเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนอีกคนหนึ่งที่ได้รับการสืบทอดทักษะอสนีบาตเก้าทิวา อีกฝ่ายจะแสดงสีหน้าออกมาเช่นไร? บางทีอาจตกตะลึงอย่างไม่น่าเชื่อ
“เจ้าเรียนรู้ทักษะอสนีบาตเก้าทิวาได้ยังไงกัน!” ราชันกระบี่น้อยพูดออกมาอย่างดุเดือด
“มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า!” หลิงฮันกล่าวและควบแน่นปราณดาบยี่สิบเก้าเล่มเป็นกึ่งรัศมีดาบโจมตีใส่ราชันกระบี่น้อย
นี่คือกึ่งรัศมีดาบที่ถูกใช้ออกมาจากอาวุธวิญญาณระดับสิบ พลังของมันจึงไม่ได้ด้อยไปกว่ารัศมีดาบที่แท้จริง ดังนั้นราชันกระบี่น้อยจึงไม่กล้าประมาท และต้องใช้กระบี่ป้องกันการโจมตีของหลิงฮัน มิฉะนั้นมันอาจได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
แววตาของราชันกระบี่น้อยดูเย็นชาและพูดอย่างเย้ยหยันว่า “เอาล่ะ ข้าแค่ฆ่าเจ้าคนเดียวก็พอ!” แม้ว่าเขาจะไม่สนใจฮูหนิว แต่ความเร็วของเด็กสาวตัวน้อยนั้นรวดเร็วจนน่าตกตะลึง และไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าเขาจะฆ่านางได้
เขาใช้มือซ้ายผลักจักรพรรดิพิรุณและมู่ชิงหรงออกไป ส่วนมือขวาสะบั้นกระบี่เพื่อสังหารหลิงฮัน เขาแค่ต้องการชีวิตของหลิงฮันเพียงคนเดียวเท่านั้น
แม้ว่าพวกเขาสามพี่น้องจะร่วมมือกัน แต่ราชันกระบี่น้อยนั้นแข็งแกร่งเกินไป และพลังต่อสู้ระดับก้าวสู่เทวานั้นทำให้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด และทุกการโจมตีของเขาทำให้พวกหลิงฮันทั้งสามคนไม่สามารถต้านทานได้
หลิงฮันกินเม็ดยาเม็ดยาเม็ดยาห้าหยกพลิกผันที่เขาปรุงขึ้นมาทั้งหมดสามเม็ด ก่อนหน้านี้เขาเคยกินไปเม็ดหนึ่งแล้วตอนที่ต่อสู้กับซวนหยวนตื่อกวง และตอนนี้เขากำลังจะกินเม็ดยานี่อีกเม็ดหนึ่ง เมื่อกินเม็ดยานี้จะทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นทันทีเก้าดาว
พลังต่อสู้ดั้งเดิมของเขาคือระดับตัวอ่อนวิญญาณสิบห้าดาว และตอนนี้เมื่อพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นอีกเก้าดาว ทำให้พลังต่อสู้ของเขาบรรลุระดับก้าวสู่เทวา
ตอนที่ 640
นี่เป็นอะไรที่เหลือเชื่ออย่างมาก จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานที่มีพลังต่อสู้ทัดเทียมกับระดับก้าวสู่เทวา
ถึงแม้มันจะเทียบได้เพียงระดับก้าวสู่เทวาหนึ่งดาวก็ตามที
หลิงฮันคำรามและกวัดแกว่งดาบ ตอนนี้เขามีความสามารถพอที่จะตอบโต้ราชันกระบี่น้อยแล้ว
แต่อย่างไรความห่างของทั้งสองก็ยังกว้างขวางอยู่ดี ราชันกระบี่น้อยมีพลังต่อสู้ห้าดาวในขณะที่หลิงฮันมีพลีงต่อสู้หนึ่งดาว
โชคดีที่ยังมีจักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงคอยช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง แม้พลังต่อสู้ของทั้งสองจะยังห่างไกลจากระดับก้าวสู่เทวา แต่พวกเขาก็ยังเป็นอัจฉริยะอยู่ดี ดังนั้นราชันกระบี่น้อยจึงไม่กล้าประมาทพวกเขาแม้แต่น้อย
หลิงฮันทำหน้าที่เป็นคนโจมตีหลัก เขาคุกคามราชันกระบี่น้อยด้วยคันศรตะวันยอแสง แม้ทักษะการยิงธนูจะไม่ค่อยมีประโยชน์เมื่อใช้ต่อสู้ระยะใกล้
แต่ร่างของหลิงฮันนั้นถูกปกคลุมไปด้วยประกายอัสนีของทักษะศักดิสิทธิ์โบราณ พลังที่ประกายสายฟ้าปลดปล่อยออกมาน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง มันไม่ใช่แค่ทำให้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเชื่องช้า แต่ยังทำให้ปราณก่อเกิดของอีกฝ่ายเฉื่อยชาลงอีกด้วย ซึ่งมันทำให้พลังต่อสู้ของราชันกระบี่น้อยจึงลดลงอย่างมาก
เพราะเหตุนี้ราชันกระบี่น้อยจึงยิ่งโหยหาทักษะอัสนีบาตรเก้าทิวามากขึ้นไปอีก ถ้าเขาได้ทักษะนี้มาล่ะก็ พลังต่อสู้ของเขาต้องเพิ่มขึ้นอีกห้าดาว… ไม่สิ ต้องเพิ่มขึ้นอีกสิบดาวเป็นแน่!
จิตสังหารของราชันกระบี่น้อยพลุ่งพลาน กระบี่ยาวในมือของเขาสั่นไหวและกระหน่ำแทงใส่หลิงฮันอย่างต่อเนื่อง
หลิงฮันใช้งานทักษะเคลื่อนที่ แม้เขาจะทำหน้าที่เป็นผู้โจมตีหลัก แต่เขาก็ไม่โงพอที่จะปะทะกับการโจมตีของราชันกระบี่น้อย ความแตกต่างระหว่างพวกเขายังคงกว้างนัก เขาไม่สามารถปะทะกับอีกฝ่ายซึ่งๆหน้าได้
ราชันกระบี่น้อยแสดงศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดออกมาให้เห็น หนึ่งคนต้านทานสามอัจฉริยะ ไม่เพียงแค่เขาจะไม่เสียเปรียบ แต่ยังรุกได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ผู้คนนับหมื่นโดยรอบล้วนแต่ตกตะลึงในพลังต่อสู้ของทั้งสี่คน
แม้ราชันกระบี่น้อยจะแข็งแกร่ง แต่หลิงฮันก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย เพราอย่างไรระดับพลังและอายุของพวกเขาก็ต่างกัน ไม่เช่นนั้นหากต่อสู้ด้วยระดับพลังเดียวกัน คงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ
‘ฟุบ’ ทันใดนั้นเอง ร่างอีกร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวพร้อมกับดาบในมือที่แฝงไปด้วยจิตสังหาร
คราวนี้ใครกันอีก?
ดาบในมือของชายคนนั้นกวาดผ่านท้องฟ้าพร้อมกับปลดปล่อยปราณดาบยี่สิบเก้าเล่มออกมา!
ทุกคนตกตะลึง นี่มันอะไรกัน? แค่สร้างปราณดาบสิบอันได้ก็มีคุณสมบัติจะควบแน่นรัศมีและกลายเป็นราชันในหมู่ราชันได้แล้ว แม้จะมีบ้างที่บางคนอาจจะสร้างปราณได้สิบเอ็ดหรือสิบสองอัน แต่ตอนนี้กลับมีรุ่นเยาว์ที่สรร้างปราณดาบได้ยี่สิบเก้าเล่มปรากฏตัวขึ้นมาจนทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างอ่อนด้อย
ปราณดาบเหล่านั้นพุ่งโจมตีไปยังราชันกระบี่น้อย
“ย่าวหุยเยว่!” ราชันกระบี่น้อยคำราม ดาบของเขากวัดแกว่งและปะทะเข้ากับปราณดาบ ‘ตูม’ ปราณดาบเหล่านั้นสลายไปทันที แต่เขาก็เสียโอกาสที่จะโจมตีหลิงฮันไป
นักดาบอันดับสองของโลก ย่าวหุยเยว่!
ใครจะไปคิดว่าคนที่จู่ๆโผล่มาแบบนี้คือย่าวหุยเยว่?
แม้แต่หลิงฮันก็ยังประหลาดใจเล็กน้อย เขาและย่าวหุยเยว่ไม่มีความเป็นมิตรอะไรต่อกัน แต่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ปรากฏตัวราวกับสหายเช่นนี้?
“ชายคนนี้คือศัตรูของข้า และต้องถูกสังหารโดยข้าเท่านั้น!” ย่าวหุยเยว่ยืนถือดาบอย่างองอาจ เสื้อเขาเขาพริ้วไหวไปตามสายลมราวกับเทพเซียน
ราชันกระบี่น้อยกลายเป็นเกรี้ยวกราด นี่น่ะรึเหตุผลของเจ้า? เขามองไปยังย่าวหุยเยว่และกล่าว “เจ้ายังอ่อนแอเกินไป แม้เจ้าจะมีสิบคนก็ไม่ใช่คู่มือของข้า”
ย่าวหุยเยว่ตอบกลับอย่างไม่แยแส “เจ้าบ่มเพาะพลังมาก่อนข้าหลายสิบปี ถ้าเจ้ามีพลังบ่มเพาะหรืออายุเท่าข้ามีรึที่ข้าจะแพ้เจ้า ข้าไม่เคยสนใจเจ้าแม้แต่น้อย มีเพียงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของนิกายนิกายกระบี่ไร้เทียมทานอย่างฉือเซียวเหลินเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”
ราชันกระบี่น้อยมีแสดงความเกรี้ยวกราดออกมาให้เห็น เขากำกระบี่แน่นและพูด “ย่าวหุยเยว่ เจ้าต้องการตาย?”
“เจี้มความสามารถเพียงพอ?” ย่าวหุยเยว่ยกดาบตั้งท่าและร่วมมือกับหลิงฮันตอบโต้ราชันกระบี่น้อย
เขาทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณสำเร็จแล้ว แม้จะเป็นเพียงตัวอ่อนวิญญาณขั้นสาม แต่พลังต่อสู้ของเขาก็น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ดาบในมือของเขาก็เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูง
ย่าวหุยเยว่เองก็ควบแน่นกึ่งรัศมีขึ้นมาเช่นกัน เขายังไม่เลือกที่จะควบแน่นปราณดาบให้กลายเป็นรัศมีที่แท้จริงเพราะต้องการสร้างปราณดาบเล่มที่สามสิบ ไม่เช่นนั้นหากเขาควบแน่นรัศมีที่แท้จริงสำเร็จแล้ว ทักษะหมื่นแปรผันเป็นหนึ่งของเขาจะต้องทรงพลังมากแน่นอน
หลิงฮันถอนหายใจ เขาเองก็ฝึกฝนสามดาบเร้นลับเช่นกัน แต่โชคร้ายที่ภูมิภาคกลางแห่งนี้เข้าไปอาจใช้มันออกมาได้ ไม่งั้นจะเป็นการนำภัยพิบัติเข้าตัว
“ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก!” ราชันกระบี่น้อยคำราม แต่หลังจากนั้นเขาก็หันหลังและลอยจากไป การรวมพลังกันของอัจฉริยะเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะได้เปรียบในด้านของระดับพลังก็คงไม่อาจต้านไหว
เพราะงั้นเขาถึงได้จากไปทันที เขาไม่เชื่อว่าหลิงฮันจะตัวติดกับเหล่าอัจฉริยะเช่นนี้ตลอดเวลา
บัดซบ น่าเสียดายยิ่งนักที่เขาไม่ได้พาหุ่นเชิดเพชรมาด้วย ไม่เช่นนั้นด้วยการช่วยเหลือจากหุ่นเชิดระดับก้าวสู่เทวา เขาก็คงจัดการสี่คนนี้ได้อย่างง่ายดาย
หลิงฮันเก็บดาบ เขามองไปยังย่าวหุยเยว่ด้วยรอยยิ้มและกล่าว “ย่าวหุยเยว่ ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะปรากฏตัว”
“เหอะ ข้าไม่ได้มาเพื่อช่วยเจ้า ข้าแค่ไม่ชอบหน้าราชันกระบี่น้อยเท่านั้น ข้าเคยกล่าวเอาไว้แล้วไม่ใช่รึว่าชีวิตของเจ้าต้องจบด้วยน้ำมือข้า!” ย่าวหุยเยว่กล่าวอย่างเย็นชา
“ฮ่าๆๆ ช่างพูดตรงจริงๆ!” หลิงฮันตบไหล่ย่าวหุยเยว่และคิดว่ารุ่นเยาว์ผู้นี้น่าสนใจไม่น้อย
“อย่าทำตัวสนิทสนม ข้าไม่ใช่สหายของเจ้า!” ย่าวหุยเยว่พูดอย่างเย็นชา
“ไม่ใช่สหายก็ไม่เป็นไร เอาล่ะ มาดื่มด้วยกันเถอะ” หลิงฮันยิ้มและลากย่าวหุยเยว่ลงมา
“เสวียนเอ๋อ…” ย่าวหุยเยว่ไม่ได้ปฏิเสธ ร่างของเขาลอยลงมาสู่พื้นและมองไปยังจูเสวียนเอ๋อ แต่เมื่อเห็นใบหน้าของนาง เขาก็อดแสดงท่าทีตกตะลึงออกมาไม่ได้
สตรีผู้นี้คือใครกัน!
จูเสวียนเอ๋อยิ้มและเว้นระยะห่างกับอีกฝ่ายพอสมควร
ย่าวหุยเยว่ชะงัก สตรีตรงหน้าของเขาต้องเป็นจูเสวียนเอ๋อแน่นอน เพราะเมื่อถูกเรียกชื่อเมื่อครู่ อีกฝ่ายเป็นคนตอบรับเอง
นี่ใช่จูเสวียนเอ๋อจริงๆรึ? ไม่ว่าจะดูยังไงนี่ก็ไม่ใช่จูเสวียนเอ๋อของเขา!
ตอนที่ 641
ย่าวหุยเยว่รู้สึกโศกเศร้ามาก
นี่คือจูเสวี่ยนเอ๋อของเขาจริงหรือ?
เมื่อเขาอยู่ในภูมิภาคเหนือ จูเสวี่ยนเอ๋อเป็นตัวตนที่ทำให้เขารู้สึกลุ่มหลง เขาเต็มใจที่จะอยู่แทบเท้าของนาง แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นหน้าอีกฝ่ายแล้วมันเหมือนกับมีมีดกรีดหัวใจของเขา
นี่เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมาก
รักแรกของเขากลายเป็นฟองสบู่ไปเสียแล้ว
หลิงฮันหัวเราะและกอดไหล่ย่าวหุยเยว่แล้วพูดว่า “ย่าวน้อย พวกเราค่อยต่อสู้กันวันหลังก็ได้ สำหรับวันนี้ ข้ารู้สึกขอบคุณเจ้ามาก พวกเรามาดื่มกันเถอะ ไม่เมาไม่เลิก”
แม้ย่าวหุยเยว่จะไม่อยากดื่ม แต่ตอนนี้เขาแค่อยากเมาและลืมเรื่องเจ็บปวดนั่นไปซะ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ฟุบหลับอย่างรวดเร็ว
“เจ้าไวน์นี่ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!” จักรพรรดิพิรุณหัวเราะ
หลิงฮันยิ้มอย่างมีความหมายและพูดว่า “ไวน์นี่จะยิ่งเมาง่ายเมื่อมีเรื่องทุกข์ใจ”
ในวันต่อมา เมื่อย่าวหุยเยว่ตื่นขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนก้อนหินเพียงลำพัง และทันทีที่เขาลุกขึ้นยืน เขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เขาจึงใช้มือกุมขมับและพูดกับตัวเองว่าจะไม่เมาอีกแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าและช่วยไม่ได้ที่เขาจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ก่อนหน้านี้ เมื่อเขาปรากฏตัวต่อหน้าจูเสวี่ยนเอ๋อ เขาจะรู้สึกเบิกบานใจเป็นอย่างมาก หรือว่าเขาจะตกหลุมรักนางเข้าให้แล้ว? ผู้หญิงที่เขาไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าจะมีความรู้สึกที่แท้จริงได้อย่างไร?
มันเป็นแค่ความรู้สึกที่หลอกลวงตัวเอง และจิตนาการว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงสาวที่ไม่มีใครเทียบที่เขาทำได้แค่ชื่นชม และตอนนี้ความฝันของเขาได้พังทลายลงแล้ว
ตั้งแต่นี้ไปข้าจะมุ่งไปที่วิถีวรยุทธเพียงอย่างเดียว!
สีหน้าของย่าวหุยเยว่เผยให้เห็นถึงความปิติยินดี เพราะเขาสัมผัสกำแพงปราณดาบเล่มที่สามสิบได้แล้ว! ความผันผวนของอารมณ์ที่รุนแรงมีอิทธิพลอย่างมากต่อความก้าวหน้าของเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาพยายามที่จะทะลวงปราณเล่มที่สามสิบ
“ข้าจะต้องเป็นอันดับหนึ่งในรุ่นเยาว์!” เขาพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ และลืมเรื่องความรักไปจนหมด แน่นอนว่าอัจฉริยะที่แข็งแกร่งจะต้องมีความสามารถในการควบคุมตัวเอง
……
หลิงฮันรออีกห้าวัน แต่ชางเย่ก็ยังไม่กลับมา ในระหว่างนั้นมีข่าวว่าเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นที่ภูเขาต้าหมิง มันดูเหมือนว่าจะมีสมบัติปรากฏออกมา และมีสายฟ้าปกคลุมไปทั่วชั้นฟ้า
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนจำนวนมากมุ่งหน้าเดินทางไปที่ภูเขาต้าหมิง นั่นเป็นเพราะจากแคว้นบุปผาลอยล่อง พวกเขาเดินทางไปแค่วันหรือสองวันก็ไปถึงแล้ว
หลิงฮันรอคอยอย่างอดทน แต่จักรพรรดิพิรุณและมู่หลงชิงนั้นได้ออกเดินทางไปก่อนแล้ว และพวกเขากล่าวว่าถ้ามีสมบัติเกี่ยวกับสายฟ้า พวกเขาจะนำกลับมาให้หลิงฮันเพื่อให้บ่มเพาะพลังสายฟ้า
พี่ชายทั้งสองคนพูดออกมาด้วยความจริงใจ หลิงฮันจึงไม่อาจปฏิเสธคำพูดของพวกเขาได้ และปล่อยให้พวกเขาไป
อย่างไรก็ตาม หลิงฮันต้องการที่จะสร้างกายาสายฟ้าที่แท้จริง ตอนนี้เขาทำได้แค่ใช้พลังของสายฟ้าเพื่อเพิ่มความเร็ว แต่ถ้าเขามีกายาสายฟ้าที่แท้จริง ความเร็วของเขาจะยกระดับขึ้นและจะเทียบได้กับฮูหนิว
“ภูเขาต้าหมิงซานคงไม่ใช่หนึ่งในยี่สิบภูเขาที่สงสัยว่าเป็นภูเขาไร้ขอบเขตหรอกใช่ไหม?” จูเสวี่ยนเอ๋อพูดกับหลิงฮัน
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก!”
มันเป็นไปไม่ได้เพราะจื่อเสวี่ยนเซียนนั้นบ่มเพาะพลังสายฟ้า และภูเขาต้าหมิงเกิดปรากฏการณ์สายฟ้าขึ้น ซึ่งมันบังเอิญเกินไป
“ถ้าอีกห้าวันชางเย่ยังไม่นำข่าวกลับมา พวกเราจะมุ่งหน้าไปที่นั่น” หลิงฮันตัดสินใจที่จะไปดู
อย่างไรก็ตาม ในตอนกลางคืนชางเย่ก็กลับมา แต่เขากลับมาพร้อมกับข่าวร้าย ศิษย์ของนิกายดาบสวรรค์ไม่สามารถนำแผนที่โบราณออกมาได้ เขากล่าวว่านิกายเก็บมันไว้อย่างมิดชิด
บัดซบ!
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะสบถคำหยาบออกมา แผนที่นั่นมันมีค่ามากขนาดนั้นเลยหรือ?
หรือว่านิกายดาบสวรรค์กลัวว่าความลับจะถูกเปิดเผย? ความลับที่จื่อเสวี่ยนเซียนทิ้งไว้คืออะไรกันแน่? และมันไม่มีทางเป็นไปได้ที่พวกเขาจะรู้ว่าจื่อเสวี่ยนเซียนทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ บางทีวิหารที่เขากำลังตามหาอยู่อาจถูกฝังอยู่ใต้ดิน หรือถูกทำลายไปแล้วก็เป็นได้
ดูเหมือนข้าจะเอาแผนที่โบราณจากห้านิกายไม่ได้แล้ว!
จากนั้น หลิงฮันมุ่งหน้าไปที่ภูเขาต้าหมิงทันทีอย่างไม่ลังเล พร้อมกับจูเสวี่ยนเอ๋อและฮูหนิว แน่นอนว่าต้องมีกระต่ายติดสอยห้อยตามมาด้วย ซึ่งทั้งที่มันได้กินโสมพันปีทุกวันแต่ยังบ่นว่าไม่เพียงพอกับดอกเบี้ยที่หลิงฮันเอาโสมโลหิตราชามังกรทรราชของมันไป
ผลที่ตามมาจากการปากมากมันจึงถูกฮูหนิวกัดและส่งเสียงกรีดร้องออกมา แต่นั่นยังไม่เพียงพอที่จะสั่งสอนมันได้
ตลอดทางพวกเขาพูดคุยกัน ส่งเสียงหัวเราะ และเอะอะโวยวาย ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงภูเขาต้าหมิง
แคว้นบุปผาลอยล่องไม่ได้เป็นแคว้นที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคกลาง แต่เป็นแคว้นที่มีภูเขามากที่สุด และภูเขาต้าหมิงนี่เป็นภูเขาที่กินพื้นที่กว้างหลายร้อยไมล์ มันดูน่าทึ่งมาก
ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังปราณ สัตว์อสูร และผู้คน
เมื่อหลิงฮันเหลือบมองล้อมตัว ต้นไม้ที่นี่ดูเหมือนดาบ มันมีความสูงกว่าต้นไม้ทั่วไป ตั้งตรงและมีกิ่งน้อย ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่น
ส่วนทางด้านตะวันออกของภูเขา มีกลุ่มเมฆสายฟ้าลอยอยู่บนอากาศกระจายไปทั่วภูเขา
“ลองไปดูกันเถอะ” พวกหลิงฮันทั้งสามคนบินไปที่นั่น
ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงตีนเขา เมื่อพวกเขาจ้องมองไปที่ยอดเขา มันจะมีสายฟ้าแลบเป็นครั้งคราว นี่คือต้นกำเนิดของสายฟ้า ซึ่งส่งผลให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้
หลิงฮันอ้าปากด้วยความตกใจ “อสนีเมฆาม่วง!”
“หืม นี่เจ้ารู้จักอสนีเมฆาม่วงด้วยงั้นรึ?” เจ้ากระต่ายรู้สึกประหลาดใจและคิดว่านี่ค่อนข้างเป็นเรื่องแปลกทีเดียว “นี่เป็นหนึ่งในสิบภูเขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณ”
“ภูเขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณคืออะไรงั้นหรือ?” จูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกสงสัย
เมื่อได้ยินจูเสวี่ยนเอ๋อถาม เจ้ากระต่ายทำเป็นวางท่าที แต่เมื่อเห็นฮูหนิวจ้องมองมาที่มันอยากดุร้าย มันเผลอจับไปที่ก้นที่เต็มไปด้วยบาดแผล และไม่กล้าที่จะเล่นตัวอีกต่อไป แล้วพูดออกมาว่า “สวรรค์และโลกนั้นมีจิตวิญญาณ ลำธารนี่ ภูเขานี่ หินนี่ ไฟนี่เป็นไปได้ที่จะมีสติปัญญาและกำเนิดเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษ”
“หืม หรือว่าพวกมันจะเป็นจิตวิญญาณเปลวเพลิง จิตวิญญาณศิลา จิตวิญญาณวารี?” จูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกแปลกใจ นางปรบมือและพูดว่า “หรือว่ามีจิตวิญญาณสายฟ้าอยู่ที่นี่?”
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว มันน่าจะเป็นแบบนั้น”
ตอนที่ 642
“ทรงพลังขนาดไหน?” จูเสวียนเอ๋อถามอีกครั้ง
หลิงฮันคิดอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะพูดออกมา “ถึงแม้สวรรค์และปฐพีจะให้กำเนิดจิตวิญญาณมากมาย แต่จิตวิญญาณเหล่านั้นก็มีพลังที่แตกต่างกันไป ถ้าจะให้จัดอันดับความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณสายฟ้าล่ะก็ อัสนีบาตเมฆาม่วงสมควรติดอยู่ในสิบอันดับแรก”
“แล้วอสูรศิลากับจิตวิญญาณเพลิงล่ะ?” จูเสวียนเอ๋อรู้สึกสงสัยและอยากรู้ให้กระจ่าง
หลิงฮันเปรียบเทียบและพูด “ศิลาน้อยมีความแข็งแกร่งพอที่จะติดร้อยอันดับแรก ส่วนจิตวิญญาณเปลวเพลิงนั้นแม้จะไม่ติดร้อยอันดับ แต่ว่าหลังจากที่มันถูกหอคอยทมิฬทำให้แข็งแกร่งขึ้น ตอนนี้มันจึงน่าจะแข็งแกร่งติดร้อยอันดับได้แล้ว”
จูเสวียนเอ๋อตกตะลึง ขนาดร้อยอันดับแรกยังแข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วสิบอันดับแรกจะทรงพลังขนาดไหน?
หากเทียบแล้วก็เหมือนกับในภูมิภาคเหนือที่จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณสามารถติดร้อยอันดับแรก แต่ถ้าอยากจะติดสิบอันดับแรกล่ะ? มีเพียงต้องเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเท่านั้น!
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว อัสนีบาตเมฆาม่วงจึงน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
หลิงฮันมีท่าทีเคร่งเครียดแล้วกล่าว “อำนาจของสายฟ้านั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ หากมีจิตวิญญาณสายฟ้ากำเนิดขึ้นมาจริงๆและมันกลายเป็นตัวตนที่มีความนึกคิดขึ้นมาล่ะก็เกรงว่าจะไม่มีใครสามารถครอบครองมันได้”
ไม่ต้องพูดถึงพลังทำลายล้างที่น่ากลัวของจิตวิญญาณสายฟ้า แค่ความเร็วของมันไม่มีใครไล่ตามทันแล้ว
หลิงฮันเป็นเพียงจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน แม้เขาจะมีความเร็วเทียบได้กับจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาก็ตาม แต่จิตวิญญาณสายฟ้านั้นเป็นพลังงานสายฟ้าที่บริสุทธิ์ คิดว่ามันจะว่องไวได้ขนาดไหน? บางทีอาจจะต้องเป็นตัวตนระดับทลายมิติถึงจะสามารถจับมันได้
เดี๋ยวก่อน!
หลิงฮันชะงัก จื่อเสวี่ยนเซียนจะต้องเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติแน่ๆ หรือว่าจิตวิญญาณสายฟ้าตนนี้จะถูกจับมาและผนึกเอาไว้ทีนี่? จนกระทั่งผ่านไปหมื่นปีผนึกที่สะกดมันเอาไว้ก็อ่อนแอลงบวกกันแผ่นดินที่ไหวที่เกิดขึ้นทำให้จิตวิญญาณสายฟ้าออกมาจากผนึกได้
หรือว่าที่นี่… ในอดีตจะเป็นภูเขาไร้ขอบเขต?
หัวใจของหลิงฮันสั่นสะท้าน เขายังฝึกฝนกายาอัสนีได้ไม่สำเร็จ แต่ถ้าหากเขาหลอมรวมกับอัสนีบาตเมฆาม่วงได้ เขาก็จะต้องบรรลุกายาอัสนีได้แน่นอน
เขาตื่นเต้นจนตัวสั่น พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นขนาดไหนกัน? เกรงว่าบางทีเขาอาจจะสู้ข้ามระดับได้หลายระดับเลยก็ได้ จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานที่ต่อการกับระดับก้าวสู่เทวาได้ ช่างเป็นเรื่องที่เหนือจินตนาการจริงๆ
“ข้าอยู่ห่างจากการบรรลุกายาเพชรอีกเพียงก้าวเดียว การสร้างปราณดาบให้ถึงสามสิบเล่มก็ไม่ต่างกัน ถ้าข้าได้อันสนีบาตเมฆาม่วงมาและทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว ข้าจะสามารถต่อกรกับระดับก้าวสู่เทวาขั้นขั้นสูงได้”
นี่เป็นอะไรที่เหลือเชื่ออย่างมาก พลังต่อสู้ห้าดาวจะนับว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะ พลังต่อสู้สิบดาวเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะพลิกสวรรค์ อย่างเช่นจักรพรรดิดาบและสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ และในตอนนี้หลิงฮันมีโอกาสที่จะมีพลังต่อสู้ที่มากกว่ายี่สิบดาว!
“ดีล่ะ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะก้าวข้ามสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ที่แสนโหดเหี้ยมได้แล้ว!” หลิงฮันพึมพำ
“แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าสตรีนางนั้นอยู่ในระดับใดแล้ว ถึงแม้นางจะเป็นพระเจ้าระดับต่ำสุด แต่เพียงแค่นิ้วเดียวนางก็สามารถสยบข้าได้แล้ว”
หลิงฮันเหม่อลอยไปชั่วขณะก่อนที่จะกล่าว “เสวียนเอ๋อ เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน”
จูเสวียนเอ๋อพยักหน้า นางจงใจแสร้งทำเป็นกระซิบอะไรบางอย่างกับหลิงฮันและดึงเขาเข้าไปในป่า เมื่อหลิงฮันกำลังจะพานางเข้าไปในหอคอยทมิฬ นางก็ใช้โอกาสทีเผลอหอมแก้มหลิงฮันก่อนที่จะเข้าไปในหอคอยทมิฬ
หลิงฮันส่ายหัว เขากับจูเสวียนเอ๋อบางครั้งก็มักจะพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ เมื่อครู่ตอนที่เขาเหม่อลอย จูเสวียนเอ๋อคงจะเดาได้ว่าเขากำลังคิดถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์
“สตรีนี้เหมือนกับภูติผีไม่มีผิด พวกนางมักจะชอบหาโอกาสขโมยหัวใจของบุรุษ” หลิงฮันถอนหายใจในขณะที่เดินออกจากพุ่มไม้
“หนิวไม่ใช่ภูตผีนะ!” ฮูหนิวเท้าเอวและพูดด้วยท่าทีจริงจัง
หลิงฮันอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เขามองไปยังกระต่ายและพูด “เจ้ากระต่ายป่าเถื่อน ข้างหน้านี้กำลังจะมีอัสนีบาตเมฆาม่วงปรากฏขึ้นมา พลังสายฟ้าของมันอันตรายเป็นอย่างมาก เจ้ายังต้องการตามมาด้วยรึไม่? ถ้าเจ้าตกตายไป ข้าจะปลูกโสมโลหิตราชามังกรทรราชสองต้นไว้บนหลุมศพของเจ้าให้เอง”
“ต้องไปอยู่แล้ว นายท่านกระต่ายผู้นี้มีชีวิตยืนยาว ไม่ใช่กระต่ายชีวิตสั้น” เจ้ากระต่ายเลียอุ้งเท้าเล็กๆของตนเอง
“งั้นเจ้าก็ต้องดูแลตัวเองและแบกรับความเสี่ยงเอาเอง” หลิงฮันหัวเราะ เขาและฮูหนิวบ่มเพาะทักษะอัสนีบาตเก้าทิวา ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสหายใกล้ชิดกับพลังสายฟ้า พวกเขาทนทานต่อสายฟ้ามากกว่ากว่าคนทั่วไปไม่รู้กี่เท่า
นอกจากนี้แล้วไม่ใช่ว่าเขามีหอคอยทมิฬอยู่รึไง?
เจ้ากระต่ายแสดงสีหน้าเหยียดหยาม เจ้าไม่รู้รึไงว่านายท่านกระต่ายวิ่งได้เร็วขนาดไหน? ถ้าพูดถึงเรื่องหลบหนีแล้วนายท่านกระต่ายพูดว่าเป็นอันดับสอง ย่อมไม่มีใครกล้าเอ่ยว่าตนเองเป็นอันดับหนึ่ง
คนสองคนและหนึ่งกระต่ายเดินหน้าต่อ พลังของสายฟ้านั้นห่อหุ้มไปทั่วทั้งภูเขา อัสนีบาตสีม่วงน่าพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะต้นไม้หรือก้อนหินล้วนแต่ถูกสายฟ้าผ่าใส่ไปทั่วทุกที่และกลายเป็นเถ้าถ่านภายในพริบตา
หลิงฮันยื่นนิ้วออกไปเพื่อดูดซับพลังของสายฟ้า รากฐานวิญญาณดอกบัวหายนะห้าธาตุผสานโคจรอย่างรวดเร็ว รากของพวกมันส่องแสงสว่างปลดปล่อยอำนาจแห่งสายฟ้าออกมาและแผ่ซ่านไปยังร่างกายของหลิงฮันทำให้กายหยาบของเขาค่อยๆเปลี่ยนสภาพกลายเป็นสายฟ้า
ฮูหนิวนั้นเป็นสัตว์ประหลาดยิ่งกว่าหลิงฮัน นางบรรลุกายาอัสนีอยู่แล้ว พลังสายฟ้าโดยรอบต่างก็พยายามแย่งกันเข้าไปในร่างของนางจนทำให้นางหัวเราะออกมาไม่หยุดราวกับกำลังถูกจั๊กจี้
หลิงฮันถอนหายใจและรู้สึกอิจฉาฮูหนิว
“ไม่ต้องอิจฉาไป บรรพบุรุษของเด็กสาวคนนี้ต้องเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ทั้งพลังสายเลือดและความสามารถของนางนั้นแม้แต่นายท่านกระต่ายก็ไม่สามารถเทียบได้!” เจ้ากระต่ายพูดขึ้นจากด้านข้าง
หลิงฮันอุทาน ‘โอ้’ ออกมาชั่วขณะก่อนที่จะพูด “เจ้าคิดว่าบรรพบุรุษของฮูหนิวคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์?”
“ถ้าไม่ใช่เจ้าก็ลองบอกหน่อยสิว่าเจ้าจะบรรลุระดับบุปผาผลิบานได้ในขณะที่มีอายุเพียงเจ็ดหรือแปดปีได้อย่างไร?” เจ้ากระต่ายพูดอย่างมั่นใจ
หลิงฮันคว้าร่างของเจ้ากระต่ายขึ้นมาและถาม “ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้เรื่องของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อย งั้นบอกข้ามาหน่อยว่าพระเจ้ามีระดับพลังเท่าไหร่กัน?”
ตอนที่ 643
กระต่ายมองตาขวางใส่หลิงฮันและพูดว่า “เจ้าคิดว่ากระต่ายอย่างข้าเป็นพระเจ้าที่จะรอบรู้ไปทุกอย่าง และข้าไม่เคยไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไงว่าบรรพบุรุษของฮูหนิวจะต้องเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์?” หลิงฮันถาม
“ฮึ่ม ถ้านางไม่ได้มีบรรพบุรุษที่เป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ แล้วนางจะมีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้ได้ยังไง!” กระต่ายตะโกน
หลิงฮันส่ายหัวและรู้สึกว่ามันไม่ใช่เพราะบรรพบุรุษของฮูหนิว แต่เป็นความสามารถของนางเอง รากฐานวิญญาณในตันเถียนของนางนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก อย่างน้อยที่สุดจนกระทั่งตอนนี้ หลิงฮันไม่เคยรู้สึกกดดันเท่านั้นมาก่อน
ไม่ว่าจะเป็นชีวิตที่แล้วหรือในชีวิตนี้ก็ตาม!
เฟิงโป๋วหยุน แมงมุมยักษ์สีเงินที่เป็นตัวตนระดับทลายมิติก็ไม่อาจสร้างแรงกดดันให้เขาเท่ากับนาง
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ระดับพลังก็จะยิ่งสูงขึ้น ซึ่งทำให้หลิงฮันรู้สึกหวาดกลัวหญิงสาวที่อยู่ในตันเถียนของฮูหนิวมากยิ่งขึ้น
หลิงฮันหันไปมองฮูหนิวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม และมีเพียงแค่ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในใจของเขา ฮูหนิวจะต้องเป็นอิสระ
ขณะที่พวกเขาเดินขึ้นภูเขาได้ครึ่งทาง พลังของสายฟ้าเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เจ้ากระต่ายถึงขั้นต้องโคจรพลังปราณออกมาเพื่อต่อต้าน แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์อสูร แต่ก็ไม่อาจต้านทานพลังของสายฟ้าได้
ถ้ามันไม่โคจรพลังปราณออกมา ขนสีขาวของมันจะถูกเผาไหม้จนกลายเป็นจุล
ส่วนหลิงฮันและฮูหนิวนั้นเดินอย่างสบายเหมือนกับปลาในน้ำ แม้ว่าพลังสายฟ้าของที่นี่จะทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้ทรงพลังถึงขั้นที่พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังดูดซับพลังสายฟ้าได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคนกลุ่มแรกที่มาที่นี่ หลายคนกำลังโคจรพลังปราณเป็นเกราะกำบังขณะก้าวเดินขึ้นเขาทีละก้าว
ไม่มีใครกล้าบินบนอากาศ เพราะพลังสายฟ้าบนท้องฟ้านั้นรุนแรงเกินไป แม้แต่จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวายังเป็นไม่กล้า ดังนั้นจึงมีเพียงแค่วิธีเดียวเท่านั้นคือเดินบนพื้น
ผู้คนที่อยู่ด้านหน้าเริ่มเดินช้าลงเรื่อยๆ นั่นเป็นเพราะไม่มีใครมีรากฐานวิญญาณสายฟ้า พวกเขาต้องต่อต้านพลังสายฟ้าด้วยพลังปราณของตัวเองเท่านั้น นี่ไม่เพียงแค่จะกินพลังปราณเพียงอย่างเดียว แต่กินแรงด้วยเช่นกัน
หลิงฮันหยุดเดินกะทันหัน เพราะเส้นทางเบื้องหน้าเป็นทางเดินเล็กๆและมีคนอยู่ข้างหน้า แต่ทว่าคนผู้นั้นกำลังนั่งพักอยู่บนทางเดินซึ่งขวางทางเขา ถ้าเขาต้องการที่จะกระโดดข้ามหัวไปคนผู้นั้นไป เขาจะถูกฟ้าผ่า ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง
“เจ้ากำลังขวางทางข้าอยู่ เจ้าจะเดินหน้าต่อหรือถอยหลังมันก็เรื่องของพวกเจ้า แต่อย่ามาขวางทางข้า” หลิงฮันกล่าว
คนผู้นั้นเป็นชายอายุสามสิบปีที่เป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสูง และอาจอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว เขาไม่ได้ดูเยาว์วัยมากนัก นั่นเป็นเพราะหลังจากที่จอมยุทธทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน ความก้าวหน้าจะเชื่องช้าลง
จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณจะมีอายุขัยห้าร้อยปี แม้ว่าอายุที่แท้จริงของพวกเขาจะอยู่ในระหว่างสองร้อยปี แต่ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอายุสามสิบปี
ชายคนนั้นหันหน้าไปมองหลิงฮันและฮูหนิวทันที และช่วยไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าไม่พอใจแล้วพูดออกมาอย่างดูถูกว่า “เป็นแค่เด็กน้อยระดับบุปผาผลิบาน แต่กล้าปริปากพูดบอกข้าอย่าขวางทางงั้นรึ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเจอปัญหาแล้วที่เจอกระต่ายอย่างข้า!” เจ้ากระต่ายรู้สึกดีใจในความโชคร้ายของเขา
“กระต่ายพูดได้!” ชายคนนั้นอุทานออกมา
“ไปให้พ้นทางข้า!” หลิงฮันแสดงออกอย่างเย็นชา
ชายคนนั้นไม่สนใจที่กระต่ายพูดได้อีกต่อไป แต่ยังคงจ้องมองไปที่หลิงฮันขณะแสยะยิ้ม “เจ้ากล้ามากที่พูดกับข้าเป็นนี้ นี่เจ้ามีชีวิตอยู่มานานพอแล้วใช่หรือไม่?”
หลิงฮันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “สุนัขที่ดีนั้นจะไม่ขวางทาง เช่นนั้นข้าจะเตะเจ้าสุนัขตัวนี้กระเด็นลอยออกไป!”
“สามห้าว!” ชายคนนั้นรู้สึกโกรธ เขานำแส้ดำออกมาและเหวี่ยงแส้ไปที่คอของหลิงฮัน เขาแสดงสีหน้าโหดร้ายออกมา ตราบใดที่แส้พันคอของอีกฝ่ายได้ หัวของหัวฝ่ายจะต้องหลุดออกจากบ่าอย่างแน่นอน
หลิงฮันจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา อีกฝ่ายขวางทางเขายังมองข้ามได้ แต่อีกฝ่ายกลับกล้าที่จะหมายเอาชีวิตของเขา
แน่นอนว่าคนแบบนั้นไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตา
หลิงฮันเริ่มเคลื่อนไหวและโคจรพลังสายฟ้าบนมือและคว้าแส้นั้นไว้
เปรี๊ยง เปรี๊ยง เปรี๊ยง พลังของสายฟ้าส่งผ่านแส้และไปถึงตัวอีกฝ่าย
“อะไรกัน!” ชายคนนั้นอุทานออกมา เมื่อพลังของสายฟ้าส่งผ่านมาถึง แขนขวาของเขาทั้งแขนกลายเป็นด้านชา และนิ้วมือทั้งห้ากลายเป็นไร้ความรู้สึก แส้ที่อยู่ในมือจึงหลุดออกจากมือ
เขาจึงยื่นมือซ้ายออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อคว้าแส้นั้นเอาไว้ แต่ว่ามันกลับถูกหลิงฮันดึงกลับไปอย่างรวดเร็ว และตกอยู่ในมือของเขา
“คืนมาหาข้า!” ชายคนนั้นตะโกน
หลิงฮันกลอกตาและพูดว่า “สมองของเจ้ามีปัญหางั้นรึ?”
“เจ้าหนู นี่เจ้ากำลังแสวงหาที่ตายของตัวเองงั้นรึ?” ชายคนนั้นกล่าว
“ดูเหมือนที่เจ้าพูดเมื่อครู่ เจ้าไม่ได้ต้องการที่จะฆ่าข้า แต่แค่หยอกล้อข้าเท่านั้น” หลิงฮันส่ายหัวและเหวี่ยงแส้กลับไปหาชายคนนั้น เพราะแส้ถูกพันด้วยเหล็ก มันจึงกลายเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ยอดเยี่ยม ทำให้แส้เปลี่ยนเป็นสีขาวและห่อหุ้มด้วยพลังสายฟ้า
“เจ้า!” ชายคนนั้นเค้นเสียงออกมา สถานที่แห่งนี้มันเต็มไปด้วยพลังของสายฟ้า ซึ่งมันสามารถเพิ่มพลังต่อสู้ให้กับจอมยุทธที่บ่มเพาะพลังสายฟ้าได้เป็นสองเท่าและสามารถดึงพลังจากสายฟ้าที่อยู่รอบข้างได้
จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานสามารถดึงพลังจากพลังปราณของสวรรค์และปฐพีได้ แต่ที่นี่เป็นมหาสมุทรสายฟ้า จอมยุทธที่ใช้พลังของธาตุทั้งห้านั้นจะไม่สามารถหยิบยืมพลังของสวรรค์และปฐพีได้ พวกเขาสามารถต่อสู้ได้ด้วยพลังของตัวเองเท่านั้น ซึ่งส่งผลต่อพลังต่อสู้อย่างมาก
สำหรับจอมยุทธที่บ่มเพาะพลังสายฟ้าที่แห่งนี้เปรียบได้เหมือนกับสรวงสวรรค์
ชายคนนั้นต้องวิ่งถอยหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีครั้งนี้
หลิงฮันเดินตามไปและคว้าแส้อีกครั้ง
พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ได้มาถึงจุดสูงสุดของระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว บวกกับพลังสายฟ้าที่อยู่ที่นี่ แน่นอนว่าเขาสามารถสังหารจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณได้ทุกคน ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ได้มีรากฐานวิญญาณสายฟ้า
แล้วชายคนนั้นจะสู้กับเขาได้อย่างไร?
หลิงฮันก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว ขณะที่อีกฝ่ายก้าวถอยหลังทีละก้าว แส้ที่เหวี่ยงไปมาได้ดึงดูดสายฟ้ามาหาทำให้เกิดเสียงแหลมไม่หยุด
ชายคนนั้นเหงื่อแตกไหลพราก
พลังของสายฟ้าที่อยู่ที่นี่น่ากลัวมากเหมือนการเดินบนพื้นโคลน ทุกก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบาก และยังต้องต่อต้านพลังสายฟ้าที่เป็นเหมือนกับมหาสมุทรสายฟ้าอีก มันเป็นการบริโภคพลังปราณและพลังกายอย่างมหาศาล ดังนั้นเขาจึงหยุดเดินเพื่อพักสักครู่
แต่ว่าในขณะนั้น แส้กำลังพุ่งเข้ามาหาหัวของเขา และไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาได้พัก ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่วิ่งไปข้างหน้าเหมือนกับหมาบ้า
“น่าชิงชัง! น่าชิงชัง!” ชายคนนั้นรู้สึกโกรธมาก “เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้าชักจะมากเกินไปแล้ว! ข้าเป็นหนึ่งในคนของตระกูลหลี่ และบรรพบุรุษของข้าเป็นถึงจอมยุทธระดับสวรรค์ และโลกทั้งใบจะต้องสยบต่อข้า!”
“โอ้ว ข้ารู้สึกกลัวจังเลย ถ้างั้นข้าคงมีแค่ทางเดียวเท่านั้นคือต้องฆ่าเจ้าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต” หลิงฮันหัวเราะและเหวี่ยงแส้เร็วยิ่งขึ้น
ชายคนนั้นกรีดร้องออกมาด้วยความอับอาย ในขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า เขาเห็นผู้คนมากมายกำลังจ้องมองเขาอยู่ ทำให้แววตาของเขาเต็มไปด้วยความอับอาย
ตอนที่ 644
ชายผู้น่าสงสาร ตอนนี้แม้แต่เวลาพักเพื่อหายใจยังไม่มี
ถ้าเขาไม่วิ่ง เขาจะถูกแส้ฟาด ไม่เพียงแค่จะทำมันรู้สึกเจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังทำให้ร่างกายของเขาด้านชาและหายใจไม่ออก ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่วิ่งหนี พลังของสายฟ้าที่นี่น่าสะพรึงกลัวมาก ทำให้เขาเหมือนหมเปียกน้ำที่สามารถตายได้ทุกเมื่อ
ในแง่ของพลังกาย เขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปเท่านั้น
“การบ่มเพาะร่างกายยังคงเป็นเหมือนสำคัญมาก” หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ ถ้าเขาอยากเป็นจอมยุมธที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เขาจะต้องฝึกฝนให้สมบูรณ์แบบในทุกด้าน
“ได้โปรดอย่าทุบตีข้าอีกเลย!” ชายคนนั้นร้องขอความเมตตา ตอนนี้เขาเป็นเหมือนสุนัขที่ตายแล้ว เหงื่อของเขาไหลโชกไม่หยุด ทำให้เสื้อผ้าเปียกไปด้วยน้ำ
แต่เขาไม่มีเวลาที่เช็ดมัน เขาทำได้แค่วิ่งและวิ่งเท่านั้น
“ถ้าเจ้าบอกให้ข้าหยุด ข้าต้องหยุดด้วยหรือ นี่เจ้าอายุเท่าไหร่กัน?” หลิงฮันพูดเสียงแผ่วเบา
เปรี๊ยง เปรี๊ยง แส้ที่พันไปด้วยสายฟ้ากำลังเข้ามาใกล้
ชายคนนั้นเริ่มอาเจียนเป็นเลือด เขาต้องการที่จะวิ่งหนี แต่พลังกายนั้นเริ่มหมดลง
“หืม นั่นมันหลี่หยวนหมิงมิใช่หรือ?” มีคนสามคนกำลังอยู่เบื้องหน้า พวกเขากำลังนั่งพักอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นชายคนนั้นในตอนแรกพวกเขาต่างตกใจว่าเจ้าขอทานนี่มาจากไหน แต่เมื่อมองดูให้ดีพวกเขาก็พบว่าชายคนนั้นเป็นคนรู้จักของพวกเขา
“พี่เชาเหิง! พี่เชาเหิง!” เมื่อชายคนนั้นเห็น สีหน้าของเขาดูมีความสุขขึ้นมาทันทีและรีบก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขาตื่นเต้นจนร้องไห้ออกมาว่า “พี่ชายเชาเหิงช่วยข้าด้วย!”
ในหมู่พวกเขาทั้งสามคนนั้น ชายร่างใหญ่เป็นคนลุกขึ้นยืนและปล่อยให้หลี่หยวนหมิงมายืนแอบอยู่ด้านหลัง เขายกมือขวาและคว้าไปที่แส้ แล้วพูดว่า “เจ้าหนู แม้เจ้าอยากจะร้องขอความเมตตาหรือพูดขอโทษ จงลืมเรื่องพวกนั้นไปซะ!”
มือของเขาพันไปด้วยสายฟ้า ทว่ามันไม่ใช่สายฟ้าสีขาว แต่เป็นสายฟ้าสีน้ำเงิน
เปรี๊ยง เปรี๊ยง เปรี๊ยง ทันใดนั้นสายฟ้าสีน้ำเงินไหลไปตามแส้และพุ่งเข้าหาหลิงฮัน
หลิงฮันปล่อยแส้ออกจากมือทันทีและยืนกอดอก
เพียงแค่เหลือบมองก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่าชายร่างใหญ่นั้นแข็งแกร่งกว่าและบังคับให้หลิงฮันปล่อยมือออกจากแส้ นี่ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะอีกฝ่ายเป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสูง ถ้าพลังปราณของอีกฝ่ายทรงพลังกว่า มันก็สามารถเห็นได้ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายได้เปรียบ
ก่อนที่หลี่หยวนหมิงจะมาถึงที่นี่ ชายร่างใหญ่ก็อยู่ที่นี่แล้ว นั่นหมายความว่าที่เขาพักไม่ได้เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากสายฟ้า แต่ดูดซับพลังเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเอง
“คุกเข่าของเจ้าเพื่อชดใช้บาปที่เจ้ากระทำต่อน้องหลี่หยวนหมิง แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” ชายร่างใหญ่เปิดปากพูดเสียงดังและเกิดเสียงฟ้าร้อง
แม้ว่าหลี่หยวนหมิงจะไม่พอใจและต้องการฆ่าหลิงฮัน แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นักถูกคนอื่นช่วยชีวิตไว้ นั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลจ้าว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือสถานะจ้าวเชาล้วนแต่เหนือกว่าเขา
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยและพูดว่า “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องราวมันเป็นมายังไง แต่ต้องการให้ข้าคุกเข่าลงและขอโทษ!”
“แล้วมันจะทำไม?” จ้าวเชาพูดอย่างเย็นชา
เขาไม่ได้มีมิตรภาพที่ลึกซึ้งกับหลี่หยวนหมิง แต่พวกเขาทั้งสองคนมาจากขุมพลังที่มีจอมยุทธระดับสวรรค์เหมือนกัน และเมื่อเห็นหลี่หยวนหมิงถูกไล่ทุบตีอย่างกับสุนัข จึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่เขาจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
“ถ้างั้นมาสู้กัน!” หลิงฮันยกหมัดขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนหน้านี้ที่เขาปล่อยแส้ออกไปนั้นเพื่อทำตัวว่าอ่อนแอกว่า เขาจะแสดงพลังต่อสู้ที่จริงให้อีกฝ่ายได้เห็นก่อนได้อย่างไร?
จ้าวเชาเหิงหัวเราะลั่นและพูดว่า “ที่เจ้าสามารถต่อกรกับน้องหยวนหมิงได้นั่นเป็นเพราะที่นี่เต็มไปด้วยพลังสายฟ้าเลยทำให้เจ้าเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ข้าเองก็ได้รับประโยชน์จากพลังสายฟ้าเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นข้าเป็นถึงจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นเก้า แล้วเจ้าจะต่อสู้กันข้าได้ยังไง?”
“….ข้าคิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องเป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นเก้า!” หลิงฮันพูดเหน็บ “เพียงแค่สู้ก็จบเรื่อง เจ้าจะเปิดปากพูดให้มากความทำเพื่ออะไร?”
ใบหน้าของจ้าวเชาเหิงกลายเป็นมืดมน เขาดึงแส้กลับมาและคืนให้กับหลี่หยวนหมิง แล้วกำปั้นหักนิ้วข้อมือ และกล้ามเนื้อบนร่างกายของเขากำลังเคลื่อนไหวด้วยเช่นกันแสดงให้เห็นถึงพลังกายภาพที่น่าอัศจรรย์
หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ อีกฝ่ายเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างที่คิดทั้งยังเป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นเก้า ยิ่งไปกว่านั้นจ้าวเชาเหิงนั้นยังแข็งแกร่งกว่าหลี่หยวนหมิงหลายสิบเท่า!
หลิงฮันเริ่มหักข้อนิ้วบ้าง เสียงกระดูกของเขาส่งเสียงออกมาราวกับฟ้าร้อง ซึ่งน่าทึ่งกว่าจ้าวเชาเหิงอีก และมันทำให้หัวใจของผู้คนแตกตื่น
สีหน้าของจ้าวเชาเหิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาฝึกฝนบ่มเพาะกายาเหมือนกันแต่ไม่แข็งแกร่งเท่าอีกฝ่าย ทั้งที่อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัดและมีระดับพลังต่ำกว่า แต่อีกฝ่ายกลับมีทักษะกายาที่เหนือกว่าซึ่งทำให้เขาไม่สามารถยอมรับได้
หรือว่าอีกฝ่ายจะมาจากขุมพลังที่แข็งแกร่งกว่าเขา?
จ้าวเชาเหิงรู้สึกทุกข์ร้อนเป็นครั้งแรก บางทีการแทรกแซงในครั้งนี้อาจเป็นการหาเรื่องเข้าหาตัว แต่เมื่อเขายื่นมือเข้ามาแล้ว เขาก็ไม่สามารถถอยหนีได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่กัดฟันเดินหน้าต่อเท่านั้น
“เข้ามา!” เขากล่าว “เจ้ามันก็แค่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน พวกเราจะต่อสู้กันสามกระบวนท่าถ้าเจ้าต้านทานได้ข้าจะปล่อยเจ้าไป และตราบใดที่เจ้าขอโทษน้องหยวนหมิง เรื่องนี้จะถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น”
โดยไม่รู้ตัว เขายอมอ่อนข้อและไม่ขอให้หลิงฮันคุกเข่าเพื่อขอโทษอีกต่อไป ตราบใดที่เขาขอโทษเพื่อไว้หน้าเขา
หลิงฮันแสยะยิ้ม ทำไมเขาจะต้องไว้หน้าอีกฝ่ายด้วย?
ใบหน้าไม่ใช่สิ่งที่จะได้รับจากคนอื่น แต่ด้วยความแข็งแกร่งของตัวเอง!
หลิงฮันตะโกนและปล่อยการโจมตีใส่อีกฝ่ายขณะหัวเราะ “เจ้าจะต่อสู้กับข้าสามกระบวนท่า แต่ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสได้โต้กลับ!”
“ฮึ่ม สามกระบวนท่าของข้าจ้าว– บัดซบ!” สีหน้าของจ้าวเชาเปลี่ยนไปอย่างมาก และอีกฝ่ายได้ปล่อยการโจมตีที่มีมังกรคชสารสีทองที่สูงสิบฟุตออกมา และมีสายฟ้าล้อมรอบอยู่ใส่เขา
เขารีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว นี่มันจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ถ้าต่อให้อีกฝ่ายก่อนสามกระบวนท่า แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้ตอบโต้
ตอนที่ 645
‘ตูมตูมตูม’ เมื่อการต่อสู้ที่รุนแรงเริ่มขึ้น สายฟ้าก็ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ดังนั้นคนอื่นๆถึงล่าถอยออกไป มีเพียงฮูหนิวคนเดียวเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ที่เดิม คลื่นสายฟ้าที่ไหลผ่านร่างของนางไปนั้นไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อนางแม้แต่น้อย
การที่จ้าวเชาเหิงกล้าที่จะให้หลิงฮันโจมตีสามกระบวนท่า ได้ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งและกระหน่ำหมัดราวกับห่าฝนใส่หัวของมังกรคชสาร
“หรือว่านี้จะเป็นมังกรคชสารคลั่งสงครามของนิกายมังกรปฐพี?” เขารอบรู้เป็นอย่างมากและรู้ตัวว่านี้คือทักษะหมัดมังกรคชสารคลั่งสงคราม
มันไม่ใช่ทักษะลับของนิกายมังกรปฐพี มีลูกศิษย์มากมายที่ฝึกฝนทักษะนี้ เพราะงั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่จ้าวเชาเหิงจะจำมันได้
จ้าวเชาเหิงถอนหายใจ แม้เขาจะไม่กล้าดูถูกหลิงฮัน แต่เขาก็ไม่ได้หวาดกลัวเช่นกัน พลังต่อสู้ของเขาเองก็ไม่ได้อ่อนแอ หมัดทั้งสองข้างของเขาสั่นไหวและโจมตีเจ้าปะทะกับหลิงฮัน
เขามีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นเก้าและได้ติดอยู่ในระดับพลังนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นรากฐานของเขาจึงมั่นคงอย่างมาก ดังนั้นด้วยความได้เปรียบของระดับพลังที่มากกว่า หมัดของเขาจึงไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหลิงฮัน
แต่มันก็ทำให้เขาตกตะลึงเช่นกัน เพราะว่าพลังต่อสู้ของเขานั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นหัวกะทิในหมู่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแน่นอน แต่ตอนนี้กลับมีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานที่สามารถสู้ได้อย่างทัดเทียมกับเขา ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไป
“น้องชาย เจ้าเป็นศิษย์ของนิกายมังกรปฐพี?” จ้าวเชาเหิงถาม หากเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากสู้กับหลิงฮันอีกต่อไป เพราะอย่างไรนิกายมังกรปฐพีก็เป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังกว่าขุมอำนาจของจอมยุทธระดับสวรรค์ของเขา
“เปล่า!” หลิงฮันยิ้ม “เจ้าลองเดาดูซิ”
เดาน้องสาวเจ้าสิ!
จ้าวเชาเหิงไม่พูดพล่ามอีกต่อไป เขาตั้งใจจะหยุดการต่อสู้นี้เมื่อเขาเป็นฝ่ายกลับมาได้เปรียบ หากทำเช่นนี้เขาก็ไม่ได้ไม่ต้องล่วงเกินหลิงฮัน แถมยังรักษาหน้าได้ด้วย
ส่วนหลี่หยวนหมิงน่ะรึ? บัดซบ มันจะเป็นยังไงก็ช่าง
ทั้งสองคนเข้าปะทะกัน เป็นเรื่องยากอย่างมากที่จะดูว่าฝ่ายใดกันแน่ที่เหนือหรืออ่อนแอกว่ากัน
จ้าวเชาเหิงต้องการจะหยุดการต่อสู้นี้โดยไว เขานำกระบี่ยาวออกมาพร้อมกับอักขระบนใบกระบี่ที่ส่องแสงสว่าง กระบี่เล่มนี้คืออาวุธวิญญาณที่เขาสร้างขึ้นมาเอง แต่ก่อนมันเป็นเพียงอาวุธที่ทำจากแร่เหล็กระดับเจ็ด แต่หลังจากการฟูมฟักหลายสิบปี มันก็เลื่อนระดับกลายเป็นอาวุธวิญญาณ
หลิงฮันมองไปยังกระบี่และอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าต้องการปะทะกับข้าด้วยอาวุธวิญญาณ?”
เมื่อถือกระบี่อยู่ในมือ ความมั่นใจของจ้าวเชาเหิงก็ทะทานสูงขึ้นเสียดฟ้า ด้วยอาวุธวิญญาณระดับเจ็ดนี้ มันจะช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ให้เอาถึงสิบหรือสิบสองเปอร์เซ็นต์เลยเลยทีเดียว
ดาบกำเนิดมารปรากฏขึ้นที่มือขวาของหลิงฮัน ‘ฟรุบ’ รูปแบบอักขระสามตัวปรากฏขึ้นมา กลิ่นของดาบดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก นี่คืออาวุธวิญญาณระดับสิบ ถึงแม้หลิงฮันจะยังใช้พลังของมันออกมาได้ไม่เต็มที่ แต่อาวุธวิญญาณเล่มนี้จะอ่อนด้อยกว่าอาวุธวิญญาณระดับเจ็ดรึ?
“อาวุธวิญญาณชิ้นนั้นคืออะไรกัน!” ใบหน้าของจ้าวเชาเหิงเปลี่ยนเป็นตกตะลึง ในฐานะผู้สืบทอดของตระกูลของจอมยุทธระดับสวรรค์ สายตาของเขาย่อมไม่แย่ เขามองความน่าสะพรึงกลัวของดาบกำเนิดมารออกทันที
“เจ้าจะสู้หรือไม่?” หลิงฮันถือดาบและยิ้ม “บางทีกระบี่ของเจ้าอาจจะถูกข้าตัดขาดก็ได้!”
จ้าวเชาเหิงแสดงท่าทางลังเลทันที
ถ้าหลิงฮันเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานทั่วไป ถึงแม้เขาจะถืออาวุธวิญญาณระดับสิบเอาไว้ในมือ เขาก็คงไม่หวาดกลัว แต่โชคร้ายที่พลังต่อสู้ของหลิงฮันกลับสามารถทัดเทียมกับเขาได้ ดังนั้นจ้าวเชาเหิงจึงคิดหนักอย่างมาก
กระบี่ของเขาเป็นอาวุธวิญญาณที่เขาฟูมฟักมาหลายสิบปี แม้จะเกิดรอยบิ่นนิดเดียวจิตใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดแล้ว
“ข้าขอไม่สู้!” เขาตัดสินใจเลือกทางออกที่ปลอดภัยไว้ก่อน เพราะอย่างไรเขากับหลี่หยวนหมิงก็ไม่ได้มีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นต่อกัน จ้าวเชาเหิงคุร่นคิดอยู่ชั่วขณะและพูดออกไป “น้องชาย หลี่หยวนหมิงคือทายาทของตระกูลหลี่ ซึ่งตระกูลหลี่มีตัวตนระดับสวรรค์คอยดูแลอยู่ ข้าแนะนำว่าเจ้าไม่ควรทำมากเกินไป”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าไม่ได้ทำมากเกินไป ข้าแค่จะสังหารมันก็เท่านั้น”
ใบหน้าของจ้าวเชาเหิงกระตุก นี่น่ะรึไม่ทำเกินไป? แต่เขาจะทำอะไรได้หากหลิงฮันจะสังหารหลี่หยวนหมิง เพราะอย่างไรเขากับหลี่หยวนหมิงก็ไม่ใช่พี่น้องกันเสียหน่อย
หลี่หยวนหมิงค่อยๆเดินถอยหลังด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นมันก็หันหลังและวิ่งหนีทันที แน่นอนว่ามันย่อมไม่อยากตาย
หลิงฮัไนม่ไล่ตาม เขานำคันศรตะวันยอแสงออกมาใส่ลูกศรเข้าไป ‘ฟุบ’ ลูกศรที่โอบล้อมไปด้วยประกายสายฟ้าถูกยิงออกไปอย่างรวดเร็ว ‘ตูม’ ลูกศรเข้าทุละผ่านหัวใจของหลี่หยวนหมิงจากด้านหลัง
หลี่หยวนหมิงเดินต่อไปอีกสองสามก้าวก่อนที่ร่างของมันจะล้มลงกับพื้นพร้อมกับโลหิตที่ไหลนองออกมา สีหน้าของมันเป็นไปด้วยความสำนึกเสียใจ เขากับหลิงฮันไม่ได้มีความแค้นเคืองจนถึงขั้นจะฆ่ากันเลยแท้ๆ มันแค่ไปขวางทางหลิงฮันเท่านั้นเอง
ถ้ามันไม่ทำตัวหยิ่งยโสและใช้ชื่อเสียงของตระกูลหลี่ในการขู่เอาชีวิตหลิงฮัน ผลลัพธ์จะกลายเป็นเช่นนี้รึ?
แต่ถึงแม้จะมาเสียใจตอนนี้มันก็สายไปแล้ว ดวงตาของมันไม่ยินยอมที่จะปิดลง แต่หัวใจของมันก็ไร้วี่แววของพลังชีวิตไปแล้ว
หลิงฮันเดินตามไปเก็บลูกศรคืน เพราะอย่างไรมันก็เป็นถึงลูกศรที่สร้างขึ้นจากแร่เหล็กระดับเจ็ด
จ้าวเชาเหิงมองไปยังแผ่นหลังของหลิงฮันและเอ่ยถาม “น้องชาย เจ้ามีชื่อเรียกว่าอะไร?”
หลิงฮันหันมองกลับไปและกล่าว “หลิงฮัน”
“หลิงฮัน” จ้าวเชาเหิงหยักหน้าและกล่าวต่อ “ข้าจะเจ้าชื่อนี้ไว้! น้องชาย เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ ทั้งๆที่ข้าบ่มเพาะพลังมานานกว่ากว่าหลายสิบปีแถมยังมีระดับพลังสูงกว่าเจ้ามากข้าก็ยังทำได้เพียงเสมอกับเจ้า แต่ยุคสมัยนี้มีอัจฉริยะโผล่ขึ้นมามากมายจริงๆ ตระกูลข้าวของข้าเองก็มีสุดยอดอัจฉริยะอยู่เช่นกัน ชื่อของเขาคือจื่อหยวน ตอนนี้เขามีอายุเพียงยี่สิบสามปี แต่บรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นสองแล้ว พลังต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งกว่าข้าเสียอีก”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ถ้ามีโอกาส ข้าก็จะประลองกับเขา”
จ้าวเชาเหิงพยักหน้า แต่ในใจของเขาก็มีความรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย พรสวรรค์และศักยะภาพของเขาไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยใดก็นับว่าอยู่ในระดับหัวกะทิ แต่ยุคนี้สภาพแวดล้อมกลับเอื้ออำนวยต่อการฝึกฝนวรยุทธมากเกินไป เพราะพลังวิญญาณที่ถูกเก็บสะสมมานานกว่าหนึ่งหมื่นปีได้ทะลักออกมาอย่างไม่มีสิ้นสุด ยุคสมัยนี้จึงมีอัจฉริยะผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดและสามารถเหยียบย่ำรุ่นเยาว์ยุคก่อนได้อย่างง่ายดาย
มันจะยอดเยี่ยมขนาดไหนหากเขาเกิดช้ากว่านี้ซักห้าสิบปี
หลิงฮันเดินทางต่อ มือหนึ่งของฮูหนิวจับมือเขาเอาไว้ในขณะที่อีกมือถือขนมคบเคี้ยวกิน ส่วนเจ้ากระต่ายนั้นได้เดินตามเขาอยู่อีกด้าน เจ้ากระต่ายสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของพลังงานสายฟ้าที่น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
“ใกล้จะถึงแล้ว!” หลิงฮันมองไปด้านหน้าและแสดงท่าทีดีใจ อัสนีบาตเมฆาม่วงอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ถ้าหากเขาผสานกับมัน เขาจะสร้างกายาอัสนีได้สำเร็จ
ข้างหน้าเขา มีผู้คนมากมายกำลังเดินทางมาถึง ซึ่งที่นั่นมีบ่อน้ำอัสนีขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ตอนที่ 646
บ่อน้ำอัสนีมีความขนาดอย่างน้อยสิบฟุต มุมนึงของบ่อน้ำมีปากถ้ำปรากฏอยู่ ครึ่งหนึ่งของปากถ้ำถล่มลงมา ซึ่งสามารถสัมผัสได้ถึงความเก่าแก่
มีผู้คนมากมายยืนดูอยู่โดยรอบ บางคนต้องการจะลงไปที่บ่อน้ำและบุกเข้าไปในถ้ำ แต่เมื่อได้ลองพวกเขาก็ต้องล้มเลิกความคิดทันที ร่างของคนที่ลงไปล้วนแต่ถูกปกคลุมไปด้วยไฟฟ้าสถิตและรอยเผ้าไหม้
หลิงฮันมองไปที่บ่อน้ำและกล่าว “เกรงว่าบ่อสายฟ้านี้จะมีพลังทำลายระดับก้าวสู่เทวา”
ถึงแม้รุ่นเยาว์ในยุคสมัยนี้จะโดดเด่น แต่ขนาดสุดยอดอัจฉริยะอย่างราชันกระบี่น้อยและหลางหยาเทียนที่มีอายุเข้าสู่วัยกลางคนแล้วยังไม่สามารถบรรลุระดับก้าวสู่เทวาได้เลย แล้วคนอื่นล่ะจะทำได้รึ?
แต่ระดับพลังก็ไม่ใช่ทุกอย่าง มันสามารถใช้สมบัติต่างๆมาทดแทนกันได้ หลิงฮันเห็นบางคนนำร่มออกมากางพร้องกับกระโดดลงไปในบ่อน้ำอัสนี เมื่อร่มปะทะเข้ากับสายน้ำอัสนี ร่มคันนั้นก็ส่องแสงสว่างออกมากลายเป็นโล่คุ้มกัน
นางเป็นสตรีที่งดงามแถมยังมีเรือนร่างที่น่าดึงดูด แม่นางจะดูดุดันแต่ก็ยังมีเสน่ห์ราวกับเทพธิดา
“เหวินเหรินเชียนเชียนแห่งนิกายหยางไพศาล!”
“อะไรกัน ข้าไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน!”
“โอ้ นั่นเพราะนางเป็นคนที่มักจะทำตัวไม่โดดเด่น แต่พรสวรรค์ของนางนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก นางทั้งมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งและรูปลักษณ์ที่งดงาม นางไม่ได้ด้อยไปว่าไข่มุกงามแห่งตระกูลหวังเลย”
“แข็งแกร่งรึไม่ข้าไม่รู้ แต่นางงดงามมาก”
“แต่ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าล้มเลิกความคิดแปลกๆดีกว่า ธิดาเหวินเหรินนั้นเป็นเป้าหมายของเจียหมิงแล้ว นอกเสียจากว่าพวกเจ้าจะคิดว่าตนเองสามารถต่อกรกับเจียหมิงได้”
“เจียหมิง!”
ผู้คนมากมายล้วนตกตะลึงเมื่อได้ยินชื่อนี้ เจียหมิงคือรุ่นเยาว์สุดแข็งแกร่งที่สามารถเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์ได้โดยตรง เมื่อประมาณสองปีก่อนมีคำกล่าวว่าเขาปลีกตัวไปฝึกฝนอยู่บ่นภูเขาเพื่อต่อสู้กับสัตว์อสูรอย่างบ้าคลั่ง
ด้วยเหตุนี้เจียหมิงจึงเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก เขาไม่รู้จักคำว่าเมตตาปราณีแม้แต่น้อย ไม่มีใครรู้ว่ามีรุ่นเยาว์กี่คนแล้วที่ต้องตกตายด้วยมือของเขา บางคนที่ตายไปก็เป็นถึงศิษย์ของนิกายใหญ่หรือไม่ก็ทายาทตระกูลใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นเจียหมิงก็ยังหลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้
นั่นเพราะเจียหมิงเป็นศิษย์ของนิกายมังกรปฐพี!
ด้วยสถานะหนึ่งในห้านิหายใหญ่โบราณ ใครจะกล้าทำอะไรเขาหากเป็นการตัดสินกันระหว่างรุ่นเยาว์ด้วยกันเอง? เจียหมิงสังหารรุ่นเยาว์มากมายผ่านการประลองหนึ่งต่อหนึ่งที่ยุติธรรม ใครจะกล้าเอาผิดเขาได้?
ทุกคนหวาดกลัวที่จะพูดอะไรผล่อยๆออกมา เจียหมิงเป็นเทพแห่งความตายที่ไม่อาจไปยั่วยุได้
หลิงฮันยิ้มและพูด “ดูเหมือนจะมีบางคนเข้าไปในถ้ำแล้ว”
“อัสนีบาตเมฆาม่วงสมควรอยู่ในถ้ำนั่น และบ่อน้ำอัสนีแห่งนี้น่าจะเกิดขึ้นมาจากพลังสายฟ้าที่รั่วไหลออกมาจากมัน” เจ้ากระต่ายพยักหน้า
“ไปกันเถอะ!” ฮูหนิวจับมือลากหลิงฮันเดินไปยังบ่อน้ำอัสนีอย่างไม่สนใจรอบข้าง
หลิงฮันไม่ขัดขืน เขาโคจรทักษะอัสนีบาตรเก้าทิวาทำให้ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้า แม้เขาจะไม่สามารถต่อต้านสายฟ้าระดับก้าวสู่เทวาได้ แต่ก็น่าจะลดทอดความลำบากได้เยอะ
แต่คาดไม่ถึงเลยว่าร่างของฮูหนิวจะกลายเป็นหลุมอันไร้ที่สิ้นสุด เมื่อสายฟ้าไหลผ่านเข้ามา นางสามารถดูดวับพวกมันเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
นี่คือสายฟ้าระดับก้าวสู่เทวา ไม่ใช่แค่หลิงฮัน แม้แต่ราชันกระบี่น้อยก็ไม่อาจต้านทานได้ เมื่อเจ้ากระต่ายเห็นเช่นนี้มันจึงกระโดดตามมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อฮูหนิวเดินลงไปในแม่น้ำอัสนี ขณะที่นางเดินเบื้องหลังของนางก็เกิดเป็นทางแยกของสายน้ำ แต่เมื่อร่างของฮูหนิวเดินผ่านไป สายน้ำอัสนีก็กลับมาไหลรวมกันเป็นปกติ
ทุกคนล้วนแต่ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็น แต่สายตาทุกคู่ก็ตกลงมาอยู่ที่ร่างของหลิงฮัน แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหลิงฮันต้องเป็นคนทำแน่นอน ใครกันจะไปสงสัยเด็กสาวที่มีอายุเพียงเจ็ดถึงแปดปีหรือกระต่ายตัวใหญ่?
ด้วยการที่มีฮูหนิวคอยดึงร่างของเขา หลิงฮันจึงข้ามผ่านบ่อน้ำอัสนีมาได้อย่างรวดเร็วและเดินมาถึงทางเข้าของถ้ำ
“หนิวยังกินไม่เสร็จแล้ว!” ฮูหนิวรู้สึกไม่พอใจและมองกลับไปยังบ่อน้ำอัสนีด้านหลัง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “งั้นเจ้าก็ดูดซับสายฟ้าพวกนั้นต่อซักหน่อยก็ได้”
“ช่างเถอะ หนิวจะช่วยหลิงฮันตามหาอัสนีบาตเมฆาม่วง!” ฮูหนิวตอบกลับไปอย่างเฉลียวฉลาด
เด็กสาวคนนี้เริ่มรู้จักพูดประจบมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
“ฮิฮิ หนิวเป็นเด็กดีแบบนี้ ในอนาคตหลิงฮันจะต้องแต่งงานกับหนิว!” ฮูหนิวเริ่มพูดต่อรอง
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในถ้ำโดยที่กระต่ายเดินตามหลัง ที่มันต้องเดินตามหลังก็เพราะมันมักจะถูกฮูหนิวกัด เพราะนางบอกว่ามันชอบไปเดินขวางทางนาง เพราะงั้นเจ้ากระต่ายจึงทำได้เพียงเดินตามหลังพวกหลิงฮันอย่างไม่พอใจ ลองคิดดูสิ มันเป็นสัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณเชียวนะ ทำไมมันต้องมาเดินตามหลังเด็กน้อยที่มีพลังระดับบุปผาผลิบานด้วย?
ทางเข้าถ้ำไม่ได้มีขนาดใหญ่มากและยังอยู่ในสภาพผุพัง หลังจากเดินผ่านทางเข้าไปสักพัก พื้นที่ด้านหน้าก็กว้างขวางและลึกยิ่งขึ้น
“หืม นั่นมัน!” ตาของหลิงฮันกวาดผ่าน ทันใดนั้นร่างของเขาก็พุ่งออกไปทันที เบื้องหน้าของเขามีซากปรักหักพังตั้งอยู่ มันสมควรจะเป็นสิ่งก่อสร้างขนาดสูงมาก่อน ซึ่งตอนนี้โครงสร้างของมันเหลือไว้เพียงล่างชั้นเดียว กำเนิดของซากปรักหักพังนั้นแตกร้าวจนไม่อาจรู้ได้ว่ามันถูกสร้างมากี่ปีแล้ว
“ตำหนักสันตินิรันดร์?” หลิงฮันพึมพำ
เขาหันไปมองรอบๆและพบกับประตูพังๆบานหนึ่งในซากปรักหักกพัง ซึ่งเหลืออักศรที่ถูกสลักเอาไว้เพียงคำเดียวคือ ‘สันติ’
ต้องเป็นตำหนักสันตินิรันดร์ไม่ผิดแน่!
หลิงฮันมั่นใจมากว่านี่ต้องเป็นตำหนักที่จื่อเสวี่ยนเซียนเรียกว่าตำหนักสันตินิรันดร์แน่นอน ทั้งพลังสายฟ้าโดยรอบ ซากปรักหักพังที่สลักคำว่า ‘สันติ’ เอาไว้ ในโลกนี้คงจะมีเพียงที่นี่ที่เดียวเท่านั้น
หลังจากกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปหมื่นปี สภาพของมันจึงเปลี่ยนไปอย่างยิ่ง
หลิงฮันอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากไม่มีแผ่นดินไหวก่อนหน้านี้และไม่มีจิตวิญญาณอัสนีโผล่ออกมา เขาจะหาที่นี่พบรึเปล่า?
ภูเขานี้เป็นผู้เขาขนาดใหญ่มากพื้นที่ภายในถ้ำเองก็กว้างขวาง ตำหนักสันตินิรันดร์นั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในมุมลึกสุดของถ้ำ เนื่องจากด้านหน้านี้ยังมีทางให้ไปต่ออีกยาวไกล
หลิงฮันลังเล สิ่งที่จื่อเสวี่ยนเซียนทิ้งเอาไว้จะอยู่ในตำหนักสันตินิรันดร์หรืออยู่ในส่วนลึกสุดของถ้ำกันแน่?
นั่นเพราะตำหนักสันตินิรันดร์กล่าวเอาไว้เพียงแค่คำว่าภูเขาไร้ขอบเขตกับตำหนักสันตินิรันดร์เท่นั้น นางไม่ได้บอกรายละเอียดใดๆเพิ่มเติม
เมื่อคิดอยู่นาน หลิงฮันก็ตัดสินใจสำรวจซากปรักหักพังของตำหนักสันตินิรันดร์
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น