Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 619-622

ตอนที่ 619

 

“หุบเขาโอสถคือสถานที่แบบไหน ทำไมถึงมีสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวามากมายขนาดนั้น?” หลิงฮันรู้สึกอยากรู้อยากเห็น เพราะสัตว์อสูรก้าวสู่เทวานั้นจะมีอาณาเขตเป็นของตัวเอง และไม่มีเหตุผลที่พวกมันต้องอาศัยอยู่ด้วยกัน


กระต่ายยักษ์พูดว่า “มันเป็นเรื่องธรรมชาติ ในหุบเขาโอสถมีราชาอินทรีระดับสวรรค์อาศัยอยู่ ณ ถ้ำหยกม่วง มันเป็นสัตว์อสูรเชื้อสายโบราณและเป็นราชาในหมู่ราชา!”


หลิงฮันถอนหายใจ การดำรงอยู่ของราชาอินทรีเป็นตัวตนที่น่าเกรงขามตั้งแต่อดีต มันไม่ใช่ราชาสัตว์อสูรธรรมดา แต่เป็นราชาในหมู่ราชา ซึ่งความแข็งแกร่งของมันเทียบเคียงได้กับจักรพรรดิดาบ สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์


ในโลกใบนี้ ราชาสัตว์อสูรนั้นมีโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองไปถึงระดับทลายมิติได้!


ถ้ามันไปถึงระดับนั้น มันจะกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดภายในดวงตะวัน และแทบจะเป็นตัวตนไร้พ่าย


“แต่เจ้าก็ยังกล้าเข้าไป!” หลิงฮันยิ้ม


“กระต่ายกับอินทรีไม่ถูกกันอยู่แล้ว ข้าต้องเข้าไปขโมยสมุนไพรเพื่อไม่ปล่อยให้มันทะลวงผ่านระดับทลายมิติ!” กระต่ายยักษ์กล่าว


หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “โชคดีที่เจ้าไม่โดนราชาสัตว์อสูรระดับสวรรค์สั่งสอน”


“เจ้าหนู เจ้าจะพูดจาให้มันฟังดูดีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง?” กระต่ายยักษ์ไม่พอใจ “อ๊าก! เจ้าเด็กนี่กัดข้าอีกแล้ว!”


ฮูหนิวเค้นเสียงและพูดว่า “เจ้าจะพูดกับหลิงฮันดีๆหรือจะให้หนิวกินเจ้า!”


“ก็ได้! ปล่อยข้าได้แล้ว!” กระต่ายยักษ์ทำได้แค่ยอมแพ้


ระหว่างพูดคุยกัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงสถานที่ที่นัดหมายกันเอาไว้ มันเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่เบื้องหน้า แต่ชาวบ้านทุกคนกลายเป็นทหารซากศพ และพวกเขาถูกหลิงฮันเก็บกวาดหมดแล้วเมื่อก่อนหน้านี้


“ทำไมพวกเจ้าถึงมาช้าขนาดนี้!” เย่หรงปรากฏตัว และเขาดูไม่พอใจขณะจ้องมองทุกคน พวกเขารู้หรือไม่ว่าเขาต้องรอนานแค่ไหน? เขาเป็นถึงอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนักสวรรค์ เวลาของเขามีค่า แต่พวกเขากับปล่อยให้เขาต้องรอนาน!


“มันมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น” ฉินหยีเย่วกล่าวและพูดเกี่ยวกับฝูงสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวา


“ว่าไงนะ!” เย่หรงรู้สึกตกใจ “ไม่แปลกใจเลยที่ข้าเห็นพื้นดินสั่นไหวรุนแรงก่อนหน้านี้ ที่แท้เป็นพวกสัตว์อสูรนี่เอง และพวกมันทุกคนเป็นสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวาหมดเลยหรือ? ขอบคุณพระเจ้าที่แม่นางฉินปลอดภัย!”


เย่หรงจ้องมองไปที่ฉินหยีเย่วด้วยสายตาเร่าร้อนป่านจะกลืนกินนาง


ในขณะนั้นหลิงฮันส่งเสียง “แฮ่ม” ออกมาแล้วนำผลลูกพีชออกมาและพูดว่า “ส่วนนี่ลูกพีชของเจ้า!”


เย่หรงเรียกสติของตัวเองกลับมา เขารู้สึกตกตะลึงและพูดว่า “เจ้าเก็บมันมาได้ด้วย?” มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แม้จะมีฝูงสัตว์อสูรแห่กันออกมา แต่เขาก็สามารถเก็บเกี่ยวมันมาได้


เมื่อได้รับมัน เย่หรงกินมันทันที ซึ่งแน่นอนว่าสมุนไพรระดับเจ็ดไม่ควรกินพร่ําเพรื่อ และควรจะกินตอนที่พบปัญหาคอขวดระหว่างบ่มเพาะพลัง ทำให้ทุกคนส่ายหน้าอยู่ในใจ


“หืม…เดี๋ยวก่อน ทำไมถึงมีเจ้ากระต่ายยักษ์อยู่ที่นี่ด้วย?” เย่หรงจ้องมองไปที่เจ้ากระต่ายยักษ์ ถ้ามันตัวโตได้ขนาดนี้มันจะต้องเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน


ก่อนหน้านี้ฉินหยีเย่วพูดแค่ว่าสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวาแห่กันออกมา แต่ไม่ได้พูดว่าที่มันแห่ออกมาเพราะเจ้ากระต่ายยักษ์นี่ขโมยโสมโลหิตราชามังกรทรราช ดังนั้นเย่หรงจึงไม่เห็นมันอยู่ในสายตาซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นถึงสัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณ


“เจ้ากำลังมองอะไร?” กระต่ายยักษ์ตะโกนใส่เย่หรง


ใบหน้าของเย่หรงกระตุกทันทีเมื่อเห็นมันพูดได้ นี่เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก!


“เจ้ากระต่ายนี่พูดได้!” เขาระงับความโกรธไว้ในใจและหันไปมองฉินหยีเย่วเพื่อยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง


“โลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาล และเต็มไปด้วยเรื่องมหัศจรรย์” ฉินหยีเย่วกล่าวขณะพยักหน้า


“ถ้างั้นเดินทางไปที่สำนักสวรรค์กันต่อเถอะ” หลิงฮันกล่าว


ทุกคนกลับไปเดินอยู่บนเส้นทางอีกครั้ง และเจ้ากระต่ายยักษ์ติดตามหลิงฮันไปอย่างมีความสุข เผ่ามนุษย์คนนี้นำโสมพันปีออกมาราวกับเป็นของไร้ค่า ดวงตาของมันจ้องมองไปที่หลิงฮันหวังจะใช้ประโยชน์ แต่มันมักจะถูกฮูหนิวลอบกัด ทำให้มันกรีดร้องราวกับเป็นกิจวัตรประจำวัน


หลังจากเข้าสู่แคว้นบุปผาลอยล่อง พวกเขาจะพบเจอรุ่นเยาว์อยู่บ่อยครั้ง พวกเขาส่วนใหญ่มีอายุไม่เกินห้าสิบปีและทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้ว และแน่นอนว่าในหมู่รุ่นเยาว์เหล่านั้นจะต้องมีคนที่บรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว


“หืม นั่นพี่ชายเย่หรงมิใช่หรือ?” ระหว่างทางพวกเขาเห็นกลุ่มคนเดินปรากฏตัวมาจากข้างทาง ในหมู่พวกเขามีใครบางคนรู้จักเย่หรงและทักทายเขา


“เจ้าคือ…” เย่หรงลังเล เขาไม่รู้จักฝ่ายตรงข้าม


“ข้ามีชื่อว่าโฮวจื้อ” อีกฝ่ายรีบแนะนำตัวเอง “ข้าเป็นศิษย์ของหุบเขาห้าธาตุ และเคยเห็นพี่ชายเย่หรงเมื่อสองปีก่อน ในตอนนั้นพี่ชายเย่หรงได้รับชัยชนะติดต่อกันสิบสองครั้งทำให้กลายเป็นหนึ่งในผู้ชนะที่หาตัวจับได้ยากนับตั้งแต่มีการประลอง ก่อนอื่น พวกเขารู้สึกนับถือพี่ชายเย่หรงเป็นอย่างยิ่ง”


เย่หรงขบคิดอยู่ครู่หนึ่งและเผยสีหน้าเบิกบาน ในความเป็นจริง เขาเพิ่งจะจำการแข่งขันนั้นได้และคนที่เขาเคยต่อสู้ด้วยบนลานประลอง อย่างไรก็ตาม เขามีชื่อเสียงเพราะชนะคู่ต่อสู้ได้สิบสองคนติดต่อกัน และเมื่อถูกอีกฝ่ายเปิดปากพูดชม ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกพึงพอใจและประทับใจในตัวฝ่ายตรงข้ามมาก


“พวกเจ้ามานี่เร็ว ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จัก นี่คือพี่ชายเย่หรง จากนิกายดาราเหินฟ้า และมีคุณสมบัติเข้าร่วมสำนักสวรรค์!” โฮวจื้อแนะนำให้สหายของเขาได้รู้จัก


อัจฉริยะ! แข็งแกร่งยิ่งนัก!


คนพวกนั้นอุทานออกมาและรีบแห่เข้าไปหาเย่หรงทันที


ช่วนไม่ได้ที่ฉินหยีเย่วส่งเสียงกระแอมออกมาและพูดว่า “พวกข้าขอทางหน่อยได้ไหม?”


“ต่อหน้าพี่ชายเย่ เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงพูดแบบนั้น!” คนผู้หนึ่งตอบโต้คำพูดของฉินหยีเย่ว


เย่หรงแสดงสีหน้าไม่พอใจทันทีและพูดว่า “นี่คือแม่นางฉิน ฉินหยีเย่วจากหุบเขาทมิฬ นางเป็นสหายที่ดีกับข้า ขอโทษนางซะ!”


เมื่อชายคนนั้นได้ยิน เขาจึงรู้ว่าเย่หรงสนใจฉินหยีเย่ว เขาเลยรีบก้มหัวขอโทษและพูดว่า “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นแม่นางฉิน ข้าหวังว่าแม่นางฉินจะยกโทษให้กับความผิดของข้า!”


ฉินหยีเย่วแสยะยิ้มและพูดว่า “เย่หรงเจ้าจะไปกับพวกเขาก็ได้”


ตลอดทางนางฟังเขาพูดจาโอ้อวดมามากพอแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 620

 

“แม่นางฉิน เจ้าถึงพูดแบบนั้นได้อย่างไร ข้ารู้สึกมีความสุขเมื่ออยู่กับเจ้า เจ้ายังไม่รู้ตัวอีกหรือ?” เย่หรงรีบพูดแย้งอย่างรวดเร็ว


“ลาก่อน!” ฉินหยีเย่วโบกมือลาและเดินจากไป


เย่หรงอยากจะเดินตามนางไป แต่กลุ่มคนที่ชื่นชมบูชาเขายืนขวางอยู่ด้านหน้าหลายคน เขาเพิ่งจะถูกปฏิเสธ แต่ไม่อาจทำแสดงสีหน้าบูดบึ้งได้เมื่ออยู่ต่อหน้าคนพวกนี้


”พี่ชายเย่ปล่อยให้นางทำตัวแบบนั้นไปเถอะ นางคงคิดว่าความงามของนางจะชักจูงคนอื่นได้ตามที่ต้องการ!” ใครบางคนกล่าว


“นางต้องเป็นผู้หญิงที่ตาบอดเป็นแน่ ถึงไม่เห็นพี่เย่อยู่ในสายตา!”


“พี่ชายเย่ ข้าพูดได้เลยในฐานะคนที่มีประสบการณ์อย่างข้า ผู้หญิงแบบนั้น ตราบใดที่พี่ชายเย่พูดจาเย็นชาและจงใจทำตัวเมินเฉยนาง เดี๋ยวนางก็จะลดตัวลงและเป็นฝ่ายเข้าหาพี่ชายเย่เอง”


“ใช่แล้ว”


เมื่อฟังความคิดเห็นของทุกคน สีหน้าของเย่หรงเริ่มดูดีขึ้น นั่นเป็นเพราะอีกประมาณครึ่งปีสำนักสวรรค์จะเปิดอย่างเป็นทางการ และเขาจะได้พบกับฉินหยีเย่วอีกครั้ง ดังนั้นตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปง้อนาง


……


“ตอนนี้พวกเรากำลังจะไปที่ไหน?” ฉินหยีเย่วถาม


“ไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นข้าตั้งหาก!” หลิงฮันยกนิ้วขึ้นมาและพูดว่า “ที่นี่คือแคว้นบุปผาลอยล่อง และพวกเราควรแยกทางกันได้แล้ว”


ช่วยไม่ได้ที่ฉินหยีเย่วจะกัดฟันตัวเอง ทำไมเขาถึงต้องการขับไล่นางออกไป? แต่นางเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง เมื่อเขาพูดเช่นนั้นนางจะอยู่ให้อับอายไปทำไม และชายคนนี้จะต้องเข้าร่วมสำนักสวรรค์ได้อย่างแน่นอน แล้วค่อยคิดบัญชีกับเขาที่นั่น!


หลังจากที่ฉินหยีเย่วจากไป หลิงฮันปล่อยให้ชางเย่ไปกับเหอหลันหยุน ชางเย่เป็นมือกระบี่ที่มีพรสวรรค์น่าอัศจรรย์ ถ้าชางเย่เอาแต่อยู่กับเขาตลอด เขาจะไม่มีวันเติบโตขึ้น


หลังจากที่ทั้งสามคนจากไป กลุ่มของหลิงฮันจึงกลายเป็นกลุ่มขนาดเล็กที่มีหลิงฮัน ฮูหนิวและจูเสวี่ยนเอ๋อ และแน่นอนว่าเจ้ากระต่ายยักษ์


“เจ้ากำลังจะพาข้าไปไหน?” กระต่ายยักษ์ถาม


หลิงฮันกลอกตาและพูดว่า “ไม่มีใครให้เจ้าตามแล้วหรือไง?”


“หึ่ม เจ้าหลอกเอาโสมของข้าไป แล้วจะให้ข้าจากไปอีกหรือ?” กระต่ายยักษ์กระโดดเพื่อเข้าหาหลิงฮัน แต่ถูกฮูหนิวกัดต้นขาหยุดไว้ก่อน


“ไม่ใช่ว่าข้าบอกเจ้าแล้วหรือให้เจ้ากลับมาปีหน้าแล้วข้าจะคืนให้เจ้าสองต้น!” หลิงฮันยิ้ม ตอนนี้เขากำลังเพาะปลูกโสมโลหิตราชามังกรทรราช ปีหน้า เขาจะเก็บเกี่ยวมันได้หลายร้อยต้น


“ข้าไม่เชื่อเจ้า!” กระต่ายยักษ์กรีดร้อง


หลิงฮันยักไหล่และพูดว่า “หากเจ้าไปเชื่อ คงไม่มีอะไรที่ต้องพูดกันแล้ว”


“ก็ได้ ก็ได้ แล้วข้าจะรอดู!” กระต่ายยักษ์อุ้งมือสองข้างราวกับกอดอก แต่ฮูหนิวแขวนอยู่ที่ต้นขาทำให้ภาพลักษณ์ที่น่าเกรงขามของมันถูกทำลาย


จากนั้น หลิงฮันนำแผนที่ออกมาและต้องการไปที่หุบเขาเงียบงัน ซึ่งอาจเป็นหุบเขาไร้ขอบเขต


นี่ไม่ต่างการการงมเข็มในกองหญ้า เพราะวิหารที่เขาตามหาอยู่อาจทรุดตัวลงและอาจถูกฝังอยู่ใต้ภูเขาก็เป็นได้


พวกเขาดูอย่างรอบคอบ แต่พวกเขาก็ไม่ได้อะไรเลย กระต่ายยักษ์จึงอดที่จะพูดถามออกมาไม่ได้และพูดว่า “เจ้าหนู เจ้ากำลังหาอะไรอยู่งั้นหรือ?”


“วิหารที่เป็นวิหารเมื่อหมื่นปีก่อน” หลิงฮันกล่าว


“แล้วทำไมเจ้ายังหามันไม่พบอีก?” กระต่ายยักษ์ถาม


“เพราะข้าไม่แน่ใจว่ามันอยู่ที่ไหน”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น กระต่ายยักษ์แทบจะเป็นลม “หัวของเจ้ามีปัญหาหรือไง?เจ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มค้นหาภูเขาลูกไหน แล้วแบบนี้เจ้าจะหาเจอไหม หากเจ้าต้องการหามัน บรรพบุรุษกระต่ายอย่างข้าจะช่วยเจ้าหาเอง!”


หลิงฮันมองด้วยความรังเกียจ “เจ้ามีบรรพบุรุษด้วยงั้นหรือ?”


“ใครบอกว่าไม่มี?” กระต่ายยักษ์พูดด้วยความภาคภูมิใจ “บรรพบุรุษของพ่อข้า เป็นบรรพชนผู้ก่อตั้ง  เมื่อดาบทะลวงผ่านโลก พวกเขาแหวกมิติและบุกเข้าไปในดินแดนสวรรค์”


“ข้าไม่เคยได้ยิน!” หลิงฮันส่ายหัว


“แน่นอนอยู่แล้วที่เจ้าจะไม่เคยได้ยิน บรรพบุรุษของข้าเป็นตัวตนเมื่อหลายล้านปีก่อน”


“หืม หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องกับการที่เจ้าสามารถพูดได้?”


“เจ้าเป็นเด็กที่ฉลาดดีนิ!สัตว์อสูรอย่างพวกข้าจะพูดได้หลังจากเข้าสู่ดินแดนสวรรค์ อย่างไรก็ตาม บรรพบุรุษของข้านั้นแข็งแกร่งเกินไป เมื่อสืบเชื้อสายกันมา มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะพูดได้ นี่คือสายเลือดอันสูงส่งของข้า”


ฮูหนิวน้ำลายไหลและพูดว่า “หลิงฮัน นี่เป็นเจ้ากระต่ายนี่ไม่ธรรมดาจริงด้วย มันจะต้องอร่อยมากกว่าเดิมแน่ รีบฆ่ามันและกินกันเถอะ!”


“กินลุงเจ้าสิ!” กระต่ายยักษ์กระโดดไปมาอย่างกระวนกระวาย “สาวน้อย ข้ามีน้ำหนักไม่มากนัก คงไม่อาจเติบเต็มท้องของเจ้าได้!”


มันเห็นความกระหายของฮูหนิว


ฮูหนิวยิ้มและพูดว่า “แค่ขาข้างเดียวก็พอ ยังไงเจ้าก็มีขาตั้งสี่ข้าง!”


กระต่ายยักษ์แทบเป็นบ้า มันมีเด็กสาวตัวน้อยแบบนี้อยู่ได้ยังไง นี่นางกำลังบังคับให้มันต้องตาย?


หลิงฮันหัวเราะและพูดพึมพัมว่า “ถ้าเจ้ามีแผนที่โบราณคงเป็นเรื่องดี พวกข้าจะได้ไม่ต้องงมเข็มในกองหญ้า”


“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าน่าจะพูดให้มันเร็วกว่านี้ ข้ารู้ว่าจะไปหาแผนที่โบราณจากไหน ไม่ต้องพูดถึงแผนที่โบราณพันปีเลย แม้แต่แผนที่โบราณหนึ่งแสนปีก็ไม่มีปัญหา” กระต่ายยักษ์กล่าว


“โอ้ว แล้วข้าต้องไปหามันที่ไหนงั้นหรือ?” หลิงฮันถาม


กระต่ายยักษ์ยกอุ้งเท้าขึ้นมาและนับ “นิกายดาบสวรรค์ นิกายกระบี่ไร้พ่าย นิกายนกอมตะเมฆา…”


ใช่แล้ว นิกายเหล่านั้นคงอยู่มาอย่างน้อยหนึ่งหมื่นปีก่อน และแน่นอนว่าจะต้องมีแผนที่ของทุกยุคสมัยอยู่ ซึ่งรวดเร็วกกว่ามากที่จะออกค้นหาด้วยตัวเอง แต่ประเด็นคือ แม้ว่าจะกำจัดขอบเขตการค้นหาให้แคบลง แต่ก็อาจใช้เวลาหลายปีในการค้นหา


ยิ่งไปกว่านั้น วิหารที่เขาตามหาอยู่บางทีอาจถูกฝังอยู่ใต้ภูเขาและทำให้การค้นหาเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น


“หลังจากเข้าร่วมสำนักสวรรค์ ข้าไม่รู้ว่าจะมีโอกาสออกไปค้นหามันหรือไม่ ถ้างั้นข้าคงต้องหาเหตุผลที่จะได้รับแผนที่โบราณนั่นมา แต่เพราะภูมิประเทศและชื่อที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ข้าไม่อาจหาที่ตั้งปัจจุบันของมันได้ ข้าจำเป็นต้องใช้แผนที่โบราณเพื่อทำการเปรียบเทียบ”


หลิงฮันคิดอยู่สักพักหนึ่งและตัดสินใจไปที่สำนักสวรรค์ก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อตีสนิทกับศิษย์ของนิกายโบราณต่างๆเพื่อหลอกล่อพวกเขา


–แผนที่โบราณมันคงไม่มีค่าขนาดนั้นหรอก


ดังนั้น คนสามคนและกระต่ายหนึ่งตัวจึงกลับไปเดินบนเส้นทางที่มุ่งหน้าสู่สำนักสวรรค์และสิบวันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็อยู่ตีนภูเขาเก้ามังกร


ตอนนี้ภูเขาแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของจอมยุทธ อัจฉริยะจากทั้งทุกสารทิศต่างมุ่งหน้ามาที่นี่ แม้ว่าจะมีเวลาเหลืออีกมาก แต่อัจฉริยะแห่งภูมิภาคกลางก็มารวบตัวกันจำนวนมากใต้ตีนเขาเพื่อรอให้สำนักสวรรค์เปิด ในขณะที่รอพวกเขาต่างฝึกฝนและขัดเกลาทักษะและวรยุทธของตัวเอง


สำหรับจอมยุทธ การต่อสู้คือชีวิตประจำวัน เมื่อหลิงฮันเพิ่งมาถึง เขาเห็นคนสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่บนท้องฟ้า


“หืม?” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ เพราะหนึ่งในนั้นคือจักรพรรดิพิรุณ!

 

 

 


ตอนที่ 621

 

กลิ่นอายของจักรพรรดิพิรุณยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจเผด็จการ หมัดทั้งสองข้างของเขาถูกปกคลุมมิดไปด้วยเส้นแสงอักขระ รัศมีหมัดของเขาหมุนวนไปมาราวกับมังกรสีชาด


จักรพรรดิพิรุณเป็นสุดยอดอัจฉริยะแห่งยุค หลังจากสละบัลลังก์และเดินทางออกมาจากดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว พลังบ่มเพาะของเขาก็ก้าวหน้าอย่างน่าตกตะลึง เมื่อไม่นานมานี้ ณ เหตุการณ์ในป่าอสูรทมิฬเขาเพิ่งจะบรรลุระดับบุปผาผลิบานแท้ๆ แต่ตอนนี้เขากลับก้าวหน้ากลายเป็นระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว!


หลังจากบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณ รูปลักษณ์ของจักรพรรดิพิรุณก็กลายเป็นอ่อนเยาว์กว่าเดิม ก่อนหน้านี้เขาดูเหมือนชายวัยกลางอายุสี่สิบปี แต่ตอนนี้เขาดูเป็นชายหนุ่มอายุสามสิบปีเท่านั้น!


หลิงฮันพยักหน้าในใจ ดูเหมือนว่าไม่นานมานี้จักรพรรดิพิรุณจะพบเจอกับวาสนามาไม่น้อย เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่สามารถก้าวหน้าได้ไวขนาดนี้


จักรพรรดิพิรุณเป็นผู้ใช้รัศมีและมีพลังต่อสู้เข้าขั้นเรียกได้ว่าน่าสะพรึงกลัว ใครกันจะสามารถต่อกันกับเขาได้?


หลิงฮันจ้องมองไปยังคู่ต่อสู้ของจักรพรรดิพิรุณ อีกฝ่ายดูเป็นชายหนุ่มที่มีอายุเพียงยี่สิบปีและต่อสู้โดยปราศจากการใช้อาวุธเช่นกัน เขาปล่อยหมัดที่ปกคลุมไปด้วยแสงสว่างอันรุ่งโรจน์เข้าต่อต้านกับจักรพรรดิพิรุณ


‘ตูม! ตูม! ตูม!’


ทั้งสองต่ออยู่กันอย่างดุเดือดอยู่บนท้องฟ้า คลื่นกระแทกอันรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนมากมายต้องขยับถอยห่าง แต่ทุกคนก็ไม่ได้ขยับหนีออกไปไกลเกินไปเพราะต้องการเห็นการต่อสู้ของทั้งสองอย่างใกล้ชิด


“แสงสว่างนั่นไม่ใช่รัศมี!” หลิงฮันมองการโจมตีของชายที่กำลังต่อสู้กับจักรพรรดิพิรุณอยู่ออกอย่างชัดเจน ถึงแม้หมัดของอีกฝ่ายจะถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างราวกับรัศมี แต่นั่นไม่ใช่รัศมีที่แท้จริง มันเป็นปราณหมัดที่ควบแน่นเข้าด้วยกันจนดูเหมือนรัศมี


กึ่งรัศมี!


เหมือนจะไม่ได้มีแค่ซวนหยวนจื่อกวงที่สร้างกึ่งรัศมีขึ้นมาได้ แม้จะไม่มาก แต่อัจฉริยะไร้ที่เปรียบคนอื่นๆก็สามารถทำได้เช่นกัน


ลองนับดูแล้ว จำนวนของปราณที่ถูกควบแน่นเข้าด้วยกันสมควรมีมากกว่ายี่สิบอัน เนื่องจากปราณเหล่านั้นถูกบีบอัดเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนาทำให้ไม่สามารถรับรู้จำนวนของปราณได้อย่างชัดเจน


แต่ถึงแม้จะอัดแน่นปราณจำนวนมากขนาดไหนเข้าด้วยกัน กึ่งรัศมีก็ยังคงเป็นกึงรัศมี มันไม่อาจต่อต้านรัศมีที่แท้จริงได้!


“ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นใครกัน?” หลิงฮันถามคนด้านข้าง


“หืม เจ้าไม่รู้จักเขางั้นรึ?” ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างอุทานด้วยความประหลาดใจ


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าควรรู้จักเขารึ?”


“เจ้าต้องเป็นคนที่เพิ่งมาถึงเป็นแน่!” ชายคนนั้นพูดอย่างมั่นใจ


“เจ้าดูออกด้วย? ช่างน่านับถือ!” หลิงฮันหัวเราะ


“ถ้าเจ้ามาถึงที่นี่เป็นเวลนานแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่รู้จักเขา” ชายคนนั้นพูดในขณะที่มองไปบนท้องฟ้า “ชายหนุ่มคนนั้นคือมู่หลงชิงแห่งภูมิภาคใต้ ในช่วงครึ่งเดือนมานี้เขาท้าสู้กับอัจฉริยะมามากมาย และจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่พ่ายแพ้เลยสักครั้ง”


“นั่นเป็นเพราะอัจฉริยะที่แท้จริงอย่างราชันกระบี่น้อย ย่าวหุยเยว่ หรือตงหลิงเอ๋อไม่อยู่ที่นี่ต่างหาก ไม่เช่นนั้นเขาจะทำอะไรตามใจชอบเช่นนี้ได้รึ? ใครบางคนพูดแทรกขึ้นมา


“แต่ถึงอย่างไรมู่หลงชิงก็ยังสุดยอดอยู่ดี ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อย” ชายคนแรกกล่าว


ใบหน้าของชายคนที่สองที่พูดแทรกขึ้นมาได้เปลี่ยนไป เขาเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่หลงชิงเช่นกัน แต่เขาไม่ต้องการที่จะยอมรับเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น เขาเค้นเสียงและพูดอย่างเย็นชา “หากให้เวลาข้าเพียงไม่กี่ปี ข้าก็สามารถก้าวข้ามเขาได้ง่ายๆ!”


หลิงฮันจ้องมองไปยังอีกฝ่าย ชายคนนี้มีพลังบ่มเพาะระดับบุปผาผลิบาน เขาดูมีอายุสามสิบต้นๆ ซึ่งหากเทียบกันแล้วมู่หลงชิงนั้นอ่อนเยาว์กว่ามาก


ช่างหน้าไม่อายยิ่งนักที่กล้าพูดว่าจะสามารถก้าวข้ามมู่หลงชิงได้ภายในไม่กี่ปี


“ฮ่าๆๆ แต่คราวนี้มู่หลงชิงได้พบกับคนที่สามารถต่อกรกับตนเองได้แล้ว” ชายคนแรกหัวเราะ


หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดิพิรุณและกล่าว “แล้วคู่ต่อสู้ของมู่หลงชิงคือผู้ใดกัน?”


“คนคนนั้นเป็นชายที่ไร้ชื่อเสียงโดยสิ้นเชิง หากเขาไม่ลงมือก็คงไม่มีใครรู้ได้ว่าเขามีพลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นและมีพลังบ่มเพาะถึงระดับตัวอ่อนวิญญาณ!” ชายคนแรกอธิบาย “ดูเหมือนว่าจะไมมีใครรู้ข้อมูลใดๆของเขาแม้แต่คนเดียว!”


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้ารู้จักเขา… เขาถูกเรียกว่าจักรพรรดิหมัด!”


“จักพรรรดิ… หมัด!” ผู้คนรอบข้างที่ได้ยินคำพูดของหลิงฮันต่างก็ไม่อาจปกปิดความตกตะลึงในใจของตนเองได้


ฉายาจักรพรรดิเป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้เรียกได้ซี้ซั้วทั่วไปงั้นรึ?


ฉายาจักรพรรดินั้นเป็นตัวแทนของจอมยุทธที่ฝึกฝนวรยุธไปได้ถึงจุดสูง หากไม่ใช้จอมยุทธระดับทลายมิติใครโลกนี้จะกล้าเรียกตนเองว่าจักรพรรดิ? ขนาดอัจฉริยะอย่างราชันกระบี่น้อยยังมีฉายาเพียง ‘ราชัน’


หลิงฮันกล่าว “เชื่อข้า ในอนาคตเขาจะเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ!”


จอมยุทธที่อัจฉริยะที่สุดแห่งดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวไม่ใช่ชางเย่แต่เป็นจักรพรรดิพิรุณ!


แน่นอนว่าคนรอบข้างย่อมไม่เชื่อคำพูดของหลิงฮัน ถึงแม้จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณจะแข็งแกร่ง แต่ภูมิภาคกลางนั้นก็ยังมีจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวา ระดับสวรรค์หรือระดับทลายมิติที่แข็งแร่งกว่าระดับตัวอ่อนวิญญาณอยู่อีกสามระดับ เพราะงั้นแล้วจะถูกเรียกว่าเป็นจักรพรรดิได้ง่ายๆได้อย่างไร?


มู่หลงชิงและจักรพรรดิรุณยังคงต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง หลังจากสู้กันยาวนานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนก็ยังไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ จนสุดท้ายทั้งสองคนก็ต้องยอมจับมือกัน


หลิงฮันเดินเข้าไปและพูดด้วยรอยยิ้ม “จักรพรรดิพิรุณ ไม่ได้พบกันเสียนาน”


“หลิงฮัน!” จักรพรรดิพิรุณมองมายังหลิงฮันและอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ข้าคิดว่าข้าบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วแล้วนะ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าความเร็วในการบ่มเพาะของข้าจะถูกเจ้าบดบังเสียได้”


จักรพรรดิพิรุณเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณมาได้ ในขณะที่หลิงฮันนั้นบรรลุระดับบุปผาผลิบานขั้นปลายเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้การที่หลิงฮันจะกลายเป็นระดับตัวอ่อนวิญญาณได้หลิงฮันจะต้องกำลายกำแพงคอขวดที่ยากลำบาก แต่เขาเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดของหลิงฮัน กำแพงคอขวดนั้นคงไม่อาจรั้งหลิงฮันเอาไว้ได้นาน


หลิงฮันชื่นชมจักรพรรดิพิรุณเป็นอย่างมาก ที่เขาสามารถเมินเฉยต่อคอขวดระหว่างระดับพลังได้เป็นเพราะเขาเคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว แต่จักรพรรดิรุณนั้นเป็นชายที่เกิดในดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว เขาพึ่งพาเพียงความพยายามของตนเองในการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานและระดับตัวอ่อนวิญญาณภายในสองปี


“มู่หลง ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก เด็กหนุ่มผู้นี้คือหลิงฮัน!” จักรพรรดิพิรุณคว้ามือของหลิงฮันและเดินไปยังมู่หลงชิง


“ระดับบุปผาผลิบาน?” มู่หลงชิงประหลาดใจ เขาไม่คิดเลยว่าจักรพรรดิพิรุณจะชื่นชมรุ่นเยาว์ระดับบุปผาผลิบาน


“ระดับบุปผาผลิบานแล้วมีปัญหาอะไร? หากไม่พอใจ นายท่านกระต่ายผู้นี้จะถีบตูดของเจ้าซะ!” ใครจะไปคิดว่าเจ้ากระต่ายจะเลือดร้อนขนาดนี้ ‘ปัง!’ มันใช้เท้าของตนเองกระแทกไปยังก้นของมู่หลงชิงจนร่างของมู่หลงชิงล้มลงไปคลุกกับฝุ่นที่พื้น

 

 

 


ตอนที่ 622

 

ใบหน้าของผู้คนรอบข้างกลายเป็นแปลกประหลาด


จอมยุทธที่สามารถมายืนอยู่ที่นี่ได้จะเป็นเพียงจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้อย่างไร พวกเขาล้วนแต่เคยไปโบราณสถานต่างๆมาแล้ว รวมถึงได้พบเจอกับสิ่งแปลกประหลาดมามากมาย แต่กระต่ายที่สามารถพูดกับมนุษย์ได้นั้น ก็ยังแปลกประหลาดจนทำให้พวกเขาตกตะลึงอยู่ดี


ยิ่งกว่านั้นกระต่ายตัวนี้ยังอุกอาจจนถึงกับเตะมู่หลงชิงจนล้มคว่ำ พลังต่อสู้ของกระต่ายตัวนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้


‘ฟุบ’ มู่หลงชิงลุกพรวดขึ้นมาและมองไปยังรอบๆ “ใครกล้าเตะบิดาผู้นี้?”


เมื่อเห็นสายตาของทุกคนที่จ้องมองไปยังกระต่ายตัวใหญ่สีขาว ใบหน้าของมู่หลงชิงก็อดที่จะกระตุกและอุทานออกมาไม่ได้ “มาดูกันว่ากระต่ายที่ตายแล้วจะยังพูดได้รึไม่?”


“ตระกูลเจ้าน่ะสิที่ตาย!” กระต่ายขาวพุ่งกระโจนออกไปด้วยขาคู่และโจมตีใส่มู่หลงชิง “ระวังทักษะเหยี่ยวสิบแปดขาของนายท่านกระต่ายให้ดี!”


“เจ้ากระต่ายบัดซบ ข้าไม่เคยไปบาดหมางกับเจ้าเลยแท้ๆ!” มู่หลงชิงเกรี้ยวกราด


“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาตะโกนใส่นายท่านกระต่ายผู้นี้? เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร?” กระต่ายคำราม


หนึ่งคนหนึ่งกระต่ายกระโดดขึ้นสูงไปบนท้องฟ้าและเริ่มปะทะกันอย่างดุเดือด


“ไม่ต้องไปสนใจพวกนั้น” หลิงฮันยิ้มและปล่อยให้ทั้งสองคนสู้กันไป


“เดี๋ยวสู้กันจนพอใจแล้วพวกนั้นก็หยุดกันเอง” จูเสวียนเอ๋อเรียนรู้รูปแบบการพูดของหลิงฮัน


หลิงฮันและจักรพรรดิพิรุณพูดคุยกับเกี่ยวกับเหตุการณ์การต่างๆในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทันใดนั้นจักรพรรดิพิรุณก็กล่าว “ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครไล่ล่าเจ้าเพราะมรดกของเขตแดนลี้ลับอีกแล้ว”


“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?” หลิงฮันมีท่าทีสงสัย


“เหวินอีเจี้ยนมาถึงภูมิภาคเหนือเมื่อไม่นานมานี้ พร้อมกับไปเยือนนิกายดาบสวรรค์ นิกายกระบี่ไร้เทียมทานและนิกายโบราณนิกายอื่นๆ ตอนนี้นิกายเหล่านั้นได้ประกาศร่วมกันแล้วว่าห้ามใครลงมือสังหารเหวินอีเจี้ยน ไม่เช่นนั้นจะต้องกลายเป็นศัตรูของมหานิกายทั้งหลาย และเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการคุ้มกัน เหวินอีเจี้ยนจะต้องเล่าอธิบายทุกสิ่งในพระราชวังมรดกแก่พวกเขา” จักรพรรดิพิรุณอธิบาย


‘โอ้ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?’


เมื่อหลิงฮันนึกให้ดีแล้ว เขาก็ต้องยอมรับว่าเหวินอีเจี้ยนคงตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแล้วจริงๆ


อีกฝ่ายไม่มีหอคอยทมิฬ ซึ่งไม่ต้องให้จอมยุทธระดับทลายมิติลงมือ แค่การไล่ล่าของจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาก็ทำให้อีกฝ่ายต้องวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนแล้ว เพราะงั้นหากยังเก็บงำเรื่องราวของมรดกในพระราชวังต่อก็มีแต่จะรั้งความก้าวหน้าของตัวเขาเองเปล่าๆ


ถ้าหากต้องให้เขาหลบซ่อนอยู่ในหุบเขาไปตลอดชีวิต ในอนาคตเขาจะสามารถกลายเป็นระดับทลายมิติหรือระดับพระเจ้าได้รึ?


ในเมื่อไม่สามารถเป็นได้ แล้วมรดกศักดิ์สิทธิ์จะมีประโยชน์อะไร?


ถ้าหลิงฮันไม่มีหอคอยทมิฬ บางทีเขาก็อาจจะต้องทำอย่างเหวินอีเจี้ยน


ตอนนี้ข้อมูลเกี่ยวกับมรดกศักดิ์สิทธิ์ได้ตกอยู่ในมือของนิกายโบราณหลายนิกายแล้ว การที่คนอื่นๆจะไล่ล่าพวกหลิงฮันหรือเหวินอีเจี้ยนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์


การกระทำครั้งนี้ของเหวินอีเจี้ยนนั้นเป็นการช่วยให้วิกฤตของหลิงฮันหายไปด้วยเช่นกัน


“เหวินอีเจี้ยนมีคุณสมบัติที่จะเข้าสำนักสวรรค์ได้โดยตรง” จักรพรรดิพิรุณกล่าวอีกครั้ง


หลิงฮันพยักหน้า ไม่ว่าจะด้วยพรสวรรค์ของเหวินอีเจี้ยนหรือความดีความชอบที่เขาบอกข้อมูลมรดกศักดิ์สิทธิ์ให้กับเหล่านิกายโบราณก็สามารถทำให้เขาเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย


“เจ้ารู้กฎกติกาในการเข้าร่วมสำนักรึเปล่า?” หลิงฮันถาม


“ในตอนนี้ยังไม่แน่ชัดนัก แต่ในเมื่อมันเกี่ยวกับพรสวรรค์วรยุทธของเหล่าอัจฉริยะ กติกาก็คงหลีกหนีไปจากการต่อสู้ไม่ได้” จักรพรรดิพิรุณพูดอย่างไม่แยแสและปลดปล่อยกลิ่นอายอันองอาจออกมา


หลิงฮันพยักหน้า สิ่งที่จักรพรรดิพิรุณขาดอยู่ก็คือทักษะบ่มเพาะที่จะช่วยให้เขาสามารถก้าวหน้าไปยังระดับทลายมิติ ส่วนในด้านทักษะยุทธนั้น เขาได้สร้างทักษะหมัดของตนเองขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาไม่ต้องการทักษะยุทธใดๆอื่นอีก มีเพียงทักษะศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่จะช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ของเขาได้


เวลาผ่านไปซักพักหลิงฮันก็นำหม้อออกมาและเริ่มทำอาหาร กลิ่นหอมที่เกิดขึ้นไม่ได้ดึงดูดแค่เพียงผู้คนที่อยู่รอบข้างแต่ยังสายตาของหนึ่งคนหนึ่งกระต่ายที่อยู่บนฟ้าก็ยังต้องจ้องลงมาที่ฝาหม้อ


ฮุหนิวกระโจนพรวดขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด “อย่าแม้แต่จะคิดที่จะขโมยอาหารของหนิว!”


หลังจากปรุงอาหารเสร็จแล้วทุกคนก็เริ่มลงมือกิน กลุ่มของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยจอมยุทธที่ทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นหลิงฮัน ฮูหนิว จักรพรรดิพิรุณหรือมู่หลงชิง พวกเขาล้วนแต่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์ ตอนนี้เมื่อทั้งสี่คนอยู่ด้วยกัน แม้ศัตรูจะเป็นจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็ยังต้องถูกจัดการทิ้งอย่างง่ายดาย แล้วใครกันจะกล้ายั่วยุพวกเขา?


เพราะงั้นแล้ว ถึงแม้ผู้คนรอบข้างจะมองดูอย่างน้ำลายสอก็ไม่มีใครกล้าเข้ามารบกวนพวกเขา


บรรยากาศรอบๆนั้นคึกครื้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีการต่อสู้ให้เห็นทุกวัน แม้บางคนจะไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมกับสำนักสวรรค์ พวกเขาก็มาที่นี่เพื่อตั้งแผงขายสิ่งของต่างๆ


ในวันถัดมา จักรพรรดิพิรุณกับมู่หลงชิงได้เข้าไปสำรวจป่ารอบๆเพื่อค้นหาสัตว์อสูร หากโชคดีพวกเขาอาจจะได้รับสมบัติอย่างเช่นแร่เหล็กหรือแก่นอสูรกลับมาด้วยก็ได้ ทำไมพวกเขาจะต้องนั่งรออยู่ที่นี่นิ่งๆเป็นเวลากว่าครึ่งปีด้วย?


หลิงฮันที่เพิ่งมาถึงที่นี่ก็เดินเที่ยวชมสินค้าอย่างคึกคัก บริเวณรอบนอกมีแผงลอยตั้งวางขายสินค้าอยู่เป็นจำนวนมาก


สินค้าที่วางขายอยู่มีทั้งโอสถระดับต่ำ สมบัติจากยุคโบราณที่ขุดขึ้นมาจากซากศพ พวกมันมีทั้งสินค้าที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์


จูเสวียนเอ๋อนั้นเดินตามติดหลิงฮันมาด้วย ในขณะที่ฮูหนิวเดินจับมือหลิงฮันโดยที่เด็กสาวได้พยายามคะยั้นคะยอให้เขาไปจากบริเวณแผงลอยแห่งนี้เสียที จนหลิงฮันอดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าการเดินเที่ยวซื้อของไม่ใช่งานอดิเรกของหญิงสาวรึไง?


หลังจากเดินไปได้ซักพัก เขาก็มองเห็นกลุ่มคนกำลังมุงอยู่ที่แผงลอยเล็กๆแห่งหนึ่ง ซึ่งพวกเขาดูมีท่าทางคึกคักอย่างมาก


หลิงฮันไปยืนมุงดูด้วยและพบว่ากลุ่มคนเหล่านี้กำลังให้ความสนใจไปยังขวดบางอย่าง


มันเป็นขวดที่ดูเก่าแก่ บริเวณกลางขวดเต็มไปด้วยรอยสกปรก รูปแบบอาคมที่ประทับเอาไว้ก็เรือนราง แถมปากขวดยังแตกหักอีก แต่ถึงอย่างนั้นขวดใบนี้ก็ปลดปล่อยน่าเกรงขามออกมา


เจ้าของร้านแผงลอยคือชายวัยกลางคนที่มีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณ ดังนั้นถึงแม้จะมีคนอยากลักขโมยขวดนี้ไปก็ไม่สามารถทำได้


“เฒ่าแก่ สมบัติชิ้นนี้คืออะไรกัน?” หลิงฮันถาม


“ขวดหลอมกลั่นเซียนอำมฤต!” ชายชรากล่าว


หลิงฮันชะงัก หลอมกลั่นเซียนอำมฤต? ช่างเป็นคำพูดที่อวดดียิ่งนัก ไม่ว่าจะมองยังไงขวดที่เก่าแก่ขวดนี้ก็ไม่น่ามีอำนาจขนาดถึงขนาดหลอมเซียนได้ แถมอักขระที่ประทับเอาไว้ก็ดูเหมือนจะเกือบจะจางหายไปหมดแล้วด้วย


“ขายยังไง?” หลิงฮันถามต่อ ถ้าราคาของมันไม่สูงเกินไปเขาก็ยินดีที่จะจ่าย


“แลกเปลี่ยนกับสมบัติที่สามารถยืดอายุขัยได้” ชายชรากล่าว แม้เขาจะมีพลังบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็แก่ชรามากแล้ว พลังชีวิตของเขาเริ่มหดหาย เห็นได้ชัดว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่กี่ปี


ด้วยสภาพเช่นนี้ สิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับเขาคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากสมบัติที่ช่วยยืดอายุขัย


แต่ใครบ้างจะไม่ต้องการมีอายุขัยยืนยาว สมบัติที่มีคุณสมบัติเช่นนั้นย่อมเป็นโอสถหรือไม่ก็ยาอายุวัฒนะที่แสนล้ำค่า มันไม่สามารถตีค่าได้ หลิงฮันไม่แปลกใจเลยที่ทำไมถึงมีผู้คนมามุงดูมากมายแต่ไม่มีใครเสนอแลกเปลี่ยนสมบัติกับขวดตรงหน้าเลยสักคน ข้อเสนอของชายชรานั้นสูงเกินจนมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเอื้อมถึง


แต่ถึงแม้จะครอบครองสมบัติที่ยืดอายุขัยได้อยู่จริงๆ มันจะคุ้มรึที่จะนำไปแลกเปลี่ยนกับขวดที่ผุพังเช่นนั้น?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)