Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 603-606

ตอนที่ 603

 

พบสหายเก่า

หลังจากที่หลิงฮันผสานเข้ากับสายฟ้า มันทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นสามเท่า รวมถึงทักษะย่างก้าวเทพธิดาปีศาจด้วย ซึ่งอยู่เหนือกว่าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณและระดับก้าวสู่เทวา


“อย่างไรก็ตาม การหลบหนีไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า ข้าต้องทะลวงผ่านระดับตัวอ่อนวิญญาณให้เร็วที่สุดถึงจะมีคุณสมบัติที่จะปะมือกับราชันกระบี่น้อย”


“เฮ้อ โลกใบนี้มีจอมยุทธที่มีระดับพลังสูงส่งมากมายยิ่งนัก ถ้าเป็นชีวิตที่แล้วของข้า ความแข็งแกร่งของข้าคงเทียบได้กับจักรพรรดิดาบ อย่างน้อยคนที่มีอายุร้อยปีก็เหนือกว่าคนรุ่นก่อนหน้านี้แล้ว”


“ตอนนี้ อัจฉริยะที่มีอายุช่วงหนึ่งร้อยปีปรากฏตัวออกมาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด”


“แต่นั่นทำให้ข้ามีแรงจูงใจเพิ่มมากขึ้น”


“ข้าเพิ่งผสานเข้ากับสายฟ้า แต่มันยังไม่ใช่ร่างสายฟ้า ทว่าก็ไม่ได้ห่างจากขั้นตอนนั้นมากนัก หากข้าแข็งแกร่งพอ”


หลิงฮันเดินไปหาฮูหนิวและจูเสวี่ยนเอ๋อด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ไปกันเถอะ พวกเราจะไปกันที่แคว้นพันบุปผา และไปสร้างความเพลิดเพลินกับอัจฉริะที่นั่นสักเล็กน้อย”


“ไปกันเลย!” ฮูหนิวกระโดดดีใจ พักที่นี่มาหลายวันทำให้นางรู้สึกเบื่อมาก


แต่น่าเสียดายที่เรือรบทองคำถูกทำลายไปแล้ว ทำให้ตอนนี้พวกเขาต้องเดินด้วยเท้า เพราะพวกเขาขี้เกียจไปจ้างรถม้าอีกครั้ง


เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น พวกเขาทั้งสามคนปลอมตัว


ตอนแรกหลิงฮันจะให้พวกเขาทั้งสามคนแต่งตัวเป็นคู่สามีภรรยาและลูกสาวตัวน้อย แต่ฮูหนิวนั้นไม่ยอม ดังนั้นพวกเขาจึงแต่งตัวกลายเป็นสามพี่น้องแทน


นอกจากนี้ หลิงฮันยังใช้เทคนิคจากสมัยบรรพกาล ทำให้กลิ่นอายของเขาอ่อนลงมากเหลือแค่ระดับห้วงจิตวิญญาณ ดังนั้นถ้าราชันกระบี่น้อยหาตัวเขาพบ อีกฝ่ายถือว่ามีความสามารถอย่างแท้จริง


พวกเขาทั้งสามคนเดินทางออกจากเมืองเก้าเมฆาและมุ่งหน้าไปที่แคว้นพันบุปผา


หลิงฮันไม่ได้รีบร้อน การเปิดสำนักสวรรค์อย่างเป็นทางการยังเป็นเพียงแค่ข่าวลือ  อย่างน้อยในเมืองเก้าเมฆากำหนดการเปิดสำนักยังไม่กำหนดอย่างเป็นทางการ


เขาคิดว่าอย่างน้อยน่าจะครึ่งปี มิฉะนั้นทวีปฮงเทียนอันกว้างใหญ่ ผู้คนคงจะแห่กันมาด้วยความรีบร้อน


“หืม?” หลิงฮันรู้สึกตกใจ เขาหันกลับไปมองอย่างรวดเร็วและเห็นเพียงแค่เมฆฝุ่นที่ลอยฟุ้งอยู่ด้านหลัง และกลุ่มคนกำลังเข้ามาใกล้เขา


ในตอนแรกเขาคิดว่าเป็นราชันกระบี่น้อยที่ไล่ตามเขามาอีกครั้ง แต่เขาพบว่าคนพวกนั้นเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน


พวกเขามีทั้งหมดเจ็ดคน ความเร็วของพวกเขานั้นเร็วมากจนตามหลิงฮันทัน


หลิงฮันกวาดสายตามองคนพวกนั้น และช่วยไม่ได้ที่เขาจะเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา “ชางเย่!”


ท่ามกลางหมู่คนพวกนั้น คนผู้หนึ่งหยุดฝีเท้าทันทีและหันหลังกลับ เขาจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยความประหลาดใจ


เขาคือชางเย่


เป็นเวลานานแล้วที่พวกเขาไม่ได้พบเจอกัน และชางเย่ก็ได้ทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้ว และกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของตัวเอง


“ข้าคือหลิงหยุน” หลิงฮันยิ้ม


เมื่อได้ยินชื่อนั้น ชางเย่เข้าใจทันทีว่านี่คือหลิงฮัน และใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความปิติยินดี


“ชางเย่ เกิดอะไรขึ้น?” หญิงสาวเสื้อแดงถาม นางเป็นคนที่งดงามมาก เส้นผมของนางเป็นดั่งก้อนเมฆ ผิวพรรณงดงามราวกับหยกและเป็นดั่งเทพธิดา


ถึงกระนั้นชางเย่ก็ไม่ได้พูดชื่อของหลิงฮันออกมา เขายิ้มและพูดว่า “เขาเป็นสหายของข้าชื่อหลิงหยุน และเป็นคนบ้านเดียวกับข้า”


“โอ้ว!” หญิงสาวเสื้อแดงและคนอื่นต่างพยักหน้าที่แท้ก็เป็นสหายของชางเย่นี่เอง


แต่ทว่าพวกเขาพบว่าหลิงฮันเป็นแค่จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ แน่นอนว่าพวกเขาไม่เห็นหลิงฮันในสายตา ถ้าชางเย่ไม่หยุดพูดคุยด้วย พวกเขาคงออกเดินทางต่อไปแล้ว ตัวตนต่ำต้อยแบบนั้นไม่มีค่าที่ต้องเสวนาด้วย


“นายน้อยหลิง!” ชางเย่รู้สึกตื่นเต้นมาก


หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “เจ้าเรียกข้าว่านายน้อยหลิง หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าเรียกเจ้าว่านายน้อยเย่ด้วย?”


ชางเย่เข้าใจว่าหลิงฮันไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน เขายิ้มออกมาและหยุดเรียกหลิงฮันว่านายน้อยหลิง


หญิงสาวเสื้อแดงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณมีคุณสมบัติอะไรที่จะมาเทียบเคียงพวกเขา และทำให้พวกเขาต้องเสียเวลา?


“ชางเย่ ไปกันได้แล้ว ข้าได้รับข่าวที่แน่นอนมาแล้วว่าสำนักสวรรค์จะเปิดอย่างเป็นทางการในอีกหกเดือนข้างหน้า พวกเราจะไปก่อนเผื่ออาจรู้เนื้อหาของการทดสอบและจะได้เตรียมตัวได้ทัน” คนผู้หนึ่งกล่าว


“โอ้ว สำนักสวรรค์จะเปิดอย่างเป็นทางการในอีกครึ่งปีงั้นหรือ?” หลิงฮันพูดแทรก และระหว่างที่รอเขาจะออกไปค้นหาตำแหน่งของหุบเขาไร้ขอบเขต


“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” ชายหน้าขาวกล่าว  “เจ้าเด็กนี่ต้องการเข้าร่วมสำนักสวรรค์งั้นรึ? นี่เป็นเรื่องตลกสิ้นดีทั้งที่เป็นแค่จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ แต่อยากเข้าร่วมสำนักสวรรค์”


มีเพียงแค่อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วม


“โฉวจื่อเฟย เจ้าพูดแบบนั้นหมายความว่าไง?” ชางเย่มองไปที่ชายหน้าขาว และไม่ลังเลที่จะฟันอีกฝ่ายด้วยกระบี่


“ชางเย่ ทำไมเจ้าต้องดึงกระบี่ออกมาจากฟักด้วย?” ชายหน้าขาวที่ชื่อโฉวจื่อเฟยแสดงสีหน้าตกใจ มันไม่คิดว่าชางเย่จะปกป้องจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณอันต่ำต้อยคนนี้


“ขอโทษซะ!” ชางเย่พูดออกมาอย่างเย็นชา แววตาของเขาแหลมคมเหมือนกระบี่และปลดปล่อยจิตสังหารออกมา


ในสายตาของเขา หลิงฮันเป็นผู้มีพระคุณและเป็นคนที่เขาเคารพนับถือ แต่ทว่าโฉวจื่อเฟยกลับพูดจาดูหมิ่นหลิงฮัน จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะทำให้เขารู้สึกโกรธ


“ชางเย่ ข้าเห็นเจ้ามีความสามารถเลยเป็นสหายกับเจ้า คิดหรือว่าแท้จริงแล้วเจ้ามีความสามารถในระดับเดียวกับพวกข้า!” สีหน้าของโฉวจื่อเฟยกลายเป็นเย็นชาเช่นกัน เหล่ารุ่นเยาว์นั้นต่างมีความภาคภูมิใจของตัวเองและยากที่จะก้มหัวให้คนอื่น


“พอได้แล้ว! ทุกคนต่างเป็นสหายกันทั้งนั้นจะทะเลาะกันไปทำไม” ชายคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ “หากทุกคนต้องการเดินทางไปที่สำนักสวรรค์ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันไปเลย”


โฉวจื่อเฟยอยากจะปฏิเสธ มันจะเดินทางร่วมกับจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณอันต่ำต้อยได้อย่างไร? แต่ทว่ามีคนกระซิบอยู่ข้างหูของมันว่า “เจ้าไม่คิดที่จะเล่นสนุกกับเจ้าเด็กนี่หรือ?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น มันหยุดที่จะพูดปฏิเสธทันทีและจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยสายตาเย็น และคิดอยู่ในใจว่าจะต้องทำให้เขาอับอายและออกจากกลุ่มไปด้วยความสมัครใจ


ชางเย่ยังไม่ยอมแพ้ แต่เมื่อเห็นหลิงฮันส่ายหัวขอให้หยุด เขาจึงเก็บกระบี่และทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายลง

 

 

 


ตอนที่ 604

 

วิกฤต

ทุกต่างพูดแนะนำตัวเอง ยกเว้นชางเย่และโฉวจื่อเฟย ส่วนชายหนุ่มอีกสี่คนที่เหลือชื่อว่า เจิงเจี้ยนเซิน อยี่หยวนหมิง โจวไค่จี้ และฝานเวิ่งหลิน ส่วนหญิงสาวเพียงคนเดียวที่สวมเสื้อแดงชื่อว่าเหอหลันหยุน


จอมยุทธส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเพศชาย ส่วนเพศหญิงนั้นจะมีน้อยมาก ยิ่งเป็นจอมยุทธที่อยู่ในระดับบุปผาผลิบานนั้นยิ่งหายากขึ้นไปอีก นอกจากนี้เหอหลันหยุนยังเป็นหญิงสาวที่งดงาม ทำให้หาตัวจับได้ยากมากยิ่งขึ้นไปอีก


ดังนั้น โฉวจื่อเฟยจึงติดเหอหลันหยุน แต่ดูเหมือนว่าเหอหลันหยุนนั้นจะมีใจให้กับชางเย่


นี่เป็นเรื่องน่าเสียดายสำหรับจูเสวี่ยนเอ๋อ ในภูมิภาคเหนือจูเสวี่ยนเอ๋อเป็นหญิงสาวที่งดงามที่สุด แต่ตอนนี้นางปลอมตัวอยู่ทำให้ดูเป็นหญิงสาวธรรมดาทำให้ความงดงามของนางถูกบดบัง


พวกเขาทั้งสิบคนกลับไปเดินทางกันต่อ เมื่อพวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับสำนักสวรรค์ โฉวจื่อเฟยและคนอื่นเต็มไปด้วยความมั่นและคิดว่าพวกเขาจะต้องเข้าร่วมสำนักได้โดยที่ไม่ต้องกังวล


ส่วนโฉวจื่อเฟยนั้นอยากเห็นหลิงฮันอับอายที่พูดว่าเขาต้องการเข้าร่วมสำนักสวรรค์ และคิดว่าอีกฝ่ายนั้นไม่เจียมเนื้อเจียมตัว


หลิงฮันคิดอยู่ในใจว่า เมื่อเขาแสดงความแข็งแกร่งที่แท้จรองออกมา เจ้าหมอนี่จะต้องหวาดกลัวอย่างแน่นอน


พวกเขาเดินทางตลอดทั้งวัน เมื่อถึงเวลากลางคืน พวกเขาจะนำกระโจมออกมาจากแหวนมิติ และไม่ลืมที่จะฝึกฝนบ่มเพาะพลัง นอกจากนี้พวกเขายังไม่ลดการป้องกันลง


นั่นเป็นเพราะโลกของจอมยุทธนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้าย และไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะถูกลอบฆ่า


แต่ก็นั่นเอง ผ่านไปเพียงสามวันพวกเขาก็ต้องพบเข้ากับเหตุยุ่งยาก


ตู้ม ตู้ม ตู้ม เสียงต่อสู้อย่างดุเดือดดังมาจากด้านหน้า และในไม่ช้าพวกเขาเห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้ หนึ่งในนั้นเป็นสาวงามอายุประมาณยี่สินปี สวมเสื้อคลุมสีแดงเลือด และกำลังถือดาบยาวอยู่ในมือของนาง และคู่ต่อสู้ของนางเป็นหญิงสาวสี่คน


ในทางตรงกันข้าม หญิงสาวชุดแดงไม่เพียงแต่จะเยาว์วัยกว่าเท่านั้น แต่ยังงดงามกว่าหญิงสาวทั้งสี่คนถึงสิบเท่า


หญิงสาวทั้งห้าคนต่างเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน จากฉากที่เกิดขึ้น หญิงสาวพวกนั้นดูเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่าหญิงสาวชุดแดงมาก แต่ว่าเมื่อนางฝ่าวงล้อมไปได้ นางก็รีบวิ่งหนีไปทันที แต่ยังคงถูกหญิงสาวอีกสี่คนไล่ตาม


นี่ทำให้คนอื่นรู้สึกแปลกใจถ้านางเป็นฝ่ายได้เปรียบ ทำไมนางต้องหนีด้วย?


หลังจากที่หญิงสาวทั้งสี่คนไล่ตามอยู่ชั่วครู่ หนึ่งในพวกนางนำแส้ออกมา และพันไปที่รอบเอวของหญิงสาวชุดแดงทำให้นางหยุดเคลื่อนไหวทันที


หญิงสาวอีกสามคนจึงใช้โอกาสนี้โจมตีอีกฝ่ายอย่างดุเดือดอีกครั้ง


มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่หญิงสาวชุดแดงจะหลุดพ้นจากการถูกจับ และตกอยู่ในวงล้อมอีกครั้ง


“งดงามมาก!”


“นางดงามดั่งเทพธิดา!”


“นี่คือผู้หญิงของข้า พวกเจ้าห้ามเข้ามายุ่ง!”


สายตาของโฉวจื่อเฟยและชายหนุ่มที่เหลือต่างจับจ้องไปที่หญิงสาวชุดแดง นางงดงามและแข็งแกร่งกว่าเหอหลันหยุนมาก และอยากจะกระโจนออกไปเพื่อช่วยเหลือนาง


“ฉินหยีเย่ว เจ้าคิดว่าจะหลุดพ้นเอื้อมมือของข้าได้งั้นรึ!” ในระยะไกล เสียงของคนผู้หนึ่งพูดออกมา ในไม่ช้ารถลากอันหรูหราเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว มันถูกลากด้วยราชสีห์นิลสองตัว พวกมันเป็นสัตว์อสูรโบราณ แม้จะไม่ได้เป็นสัตว์อสูรระดับสูง แต่สายเลือดของมันหาได้ยากมาก


รถลากนั่นมีความหรูหรามาก มันมีความยาวห้าฟุตและสูงสามฟุต ทำให้มันดูเหมือนพระราชวังเคลื่อนที่ ส่วนวัสดุที่ใช้นั้นมีความซับซ้อนมาก และยังมีภาพวาดอยู่บนรถลาก ทว่ามันกลับเป็นภาพวาดที่น่าขยะแขยง


“นิกายวายุจันทรา!” เจิงเจี้ยนเซินอุทานออกมาเป็นคนแรกหลังจากที่เห็นธงบนรถลาก


“ว่าไงนะ!” โฉวจื่อเฟยและคนอื่นตกใจไปตามกัน


นิกายวายุจันทราเป็นหนึ่งในนิกายที่แข็งแกร่งในภูมิภาคกลาง แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่าห้านิกายโบราณ แต่ก็มีจอมยุทธระดับสวรรค์อยู่เหมือนกัน


ทันใดนั้น ความคิดที่อยากจะเป็นวีรบุรุษเข้าไปช่วยเหลือหญิงสาวชุดแดงของพวกเขาจางหายไป


“ท่านสุภาพบุรุษ ข้าชื่อฉินหยีเย่วจากหุบเขาทมิฬได้โปรดช่วยข้าด้วย!” ในตอนนั้นเอง หญิงสาวชุดแดงร้องขอความช่วยเหลือจากทุกคน


หุบเขาทมิฬ!


ทุกคนรู้สึกตกใจ หุบเขาทมิฬเป็นหนึ่งในขุมพลังใหญ่เหมือนกัน แต่ด้อยกว่านิกายวายุจันทรามาก


“ฉินหยีเย่ว ทำไมเจ้าต้องลากคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ข้าเป็นนายน้อยแห่งนิกายวายุเหมันตร์ ส่วนเจ้าเป็นลูกศิษย์ของประมุขแห่งหุบเขาทมิฬ พวกเราเป็นคู่รักที่เหมาะสมกันยิ่งนัก พวกเรารีบกลับไปกันเถอะ และข้าจะพาเจ้าเข้าสู่โลกแห่งความสุขระหว่างชายและหญิง”  เสียงของชายคนนั้นดังมาจากรถลาก


“หูชิ่งฟาง แม้ว่าข้าจะต้องตาย ข้าก็จะไม่มีวันไปกับเจ้า!” ฉินหยีเย่วตะโกนและกำลังพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการจับกุมของหญิงสาวทั้งสี่คน


“มันจบแล้ว มันจบสิ้นแล้ว!” อยี่หยวนหมิงรู้สึกผิดหวัง


“ข้าได้ยินมาว่าศิษย์ของนิกายวายุจันทราต่างเป็นพวกมากตัณหา และได้ยินมาว่าประมุขนิกายวายุจันทรามีภรรยาหลายร้อยคน ส่วนสาวงามที่ถูกเขาทำร้ายมีมากถึงหมื่นคน!”


“ฉินหยีเย่วถูกประมุขนิกายวายุจันทราหมายหัว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะหลบหนีได้พ้น”


“พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย!”


“แม้ว่าพวกเราจะเข้าไปช่วย แต่ความแข็งแกร่งของพวกเรานั้นยังไม่เพียงพอ!”


โฉวจื่อเฟยและคนที่เหลือมองหน้ากันไปมา พวกเขาเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน ไม่ว่าจะเป็นฉินหยีเย่วหรือหญิงสาวสี่คนนั้น อย่างน้อยพวกนางก็เป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นกลางถึงขั้นปลายกันแล้ว มันต่างชั้นกันเกินไป แต่สำหรับอัจฉริยะช่องว่างแค่นี้มันไม่มีความหมายอะไรเลย


นอกจากนี้ พวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าไปยั่วยุนิกายวายุจันทรา


หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ชางเย่ เข้าไปช่วยนาง!”

 

 

 


ตอนที่ 605

 

ล่าถอย

ชางเย่กระโจนออกไปข้างหน้าพร้อมกับกระบี่ที่อยู่ในมือ และปลดปล่อยปราณกระบี่เก้าเล่มออกมา


ความก้าวหน้าของเขานั้นรวดเร็วมาก ตอนนี้เขาสร้างปราณกระบี่ได้เก้าเล่มแล้ว


จอมยุทธนั้นไม่ได้มองกันแค่ระดับพลังบ่มเพาะ แม้จะเป็นระดับบุปผาผลิบานที่ขั้นพลังเท่ากันแต่บางคนก็มีพลังต่อสู้เพียงหนึ่งดาว แต่บางคนก็มีพลังต่อสู้ห้าดาวหรืออาจจะสิบดาว ชางเย่เองก็เป็นเพียงระดับบุปผาผลิบานขั้นหนึ่ง แต่พลังต่อสู้ของเขาคือเจ็ดดาว!


นี่เป็นความสามารถของตัวเขาเอง แต่ก็เป็นผลจากหินชะตาสวรรค์เช่นเดียวกัน ซึ่งทำให้เขามีพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นห้าดาว


ปราณกระบี่เก้าเล่มทะลวงผ่านหญิงสาวทั้งสี่คน และเขาคว้ามือของฉินหยีเย่วและช่วยเหลือนางออกมา


ก่อนหน้านี้ฉินหยีเย่วก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงชางเย่ที่มีพลังไม่ด้อยไปกว่านางเลย


“หึ่ม!” ในรถลาก หูชิ่งฟางรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่งและพูดว่า “เจ้ากล้าที่จะเข้ามายุ่งเรื่องของข้างั้นรึ?”


ชางเย่ไม่ใช่คนพูดมาก เขากวัดแกว่งกระบี่ และหญิงสาวทั้งสี่คนก็ถูกจัดการ


ความแข็งแกร่งของชางเย่มากกว่าโฉวจื่อเฟยและคนที่เหลือ พวกเขารู้แค่ว่าชางเย่เป็นคนที่แข็งแกร่งมาก และยอมรับในตัวเขา แต่พวกเขาค่อนข้างทนงตัวและไม่คิดว่าตัวเองนั้นด้อยกว่าชางเย่ ตอนนี้เมื่อเปรียบเทียบความแข็งแกร่งระหว่างพวกเขาแล้ว มันทำให้พวกเขารู้สึกตกใจ


“ขอบคุณ!” ฉินหยีเย่วไม่สามารถโค้งคำนับขอบคุณได้ระหว่างการต่อสู้ แต่นางก็ยังคงพยักหน้าให้กับชางเย่


ชางเย่ไร้ความรู้สึกและไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา


หลิงฮันถอนหายใจ เขาปฏิบัติกับผู้หญิงแบบนี้ได้อย่างไร?


“รนหาที่ตาย!” ในรถลากชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีอายุประมาณยี่สิบปีเดินออกมา เขาค่อนข้างดูหล่อเหลาทีเดียว แต่ใบหน้ากับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย และดวงตาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยตัณหา


เขาคือหูชิ่งฟาง


“เจ้าคนพิการ เจ้ากล้ามากที่เข้ามายุ่งเรื่องของข้า แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”


ชางเย่จับกระบี่ที่อยู่ในมือแน่น และพูดว่า “หากเจ้าอยากต่อสู้ก็เข้ามาซึ่งซึ่งหน้า”


สีหน้าของเหอหลันหยุนแสดงให้เห็นถึงความหลงใหล นางชื่นชอบชางเย่ที่ทำตัวกล้าหาญและไม่เกรงกลัวนายน้อยแห่งนิกายวายุจันทรา และรู้สึกเป็นห่วงเขา


“เป็นแค่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นแรก แต่กล้าที่จะท้าทายข้างั้นรึ!” หูชิ่งเฟิงแสยะยิ้มและโจมตีชางเย่ อาวุธที่มันใช้คือกระบอง เมื่อมันถูกเปิดใช้งานจะปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมา


กระบี่ของชางเย่เป็นอาวุธวิญญาณระดับห้า และเขาเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานได้ไม่นาน ทว่าเขากลับไม่หวาดกลัวหูชิ่งเฟิงแม้แต่น้อย


ตู้ม ตู้ม ทั้งสองคนเข้าห้ำหั่นกัน หูชิ่งฟางแข็งแกร่งกว่ามาก เขาเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นเจ็ดและมีพลังต่อสู้สิบดาวมากกว่าชางเย่สามดาว และยังมีอาวุธวิญญาณระดับหกอยู่ในมือ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นฝ่ายได้เปรียบ


อย่างไรก็ตาม ชางเย่นั้นยังคงรับมือได้ ในสถานการณ์แบบนี้ เขายังคงตอบโต้ซ้ำไปซ้ำมาทั้งรุกและรับพร้อมกัน


สำหรับหูชิ่งฟางมันไม่อาจพ่ายแพ้ให้กับชางเย่ได้ อย่างแรกมันแข็งแกร่งกว่าชางเย่ อย่างที่สองเขาเป็นใคร? แล้วจะแพ้จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นแรกได้อย่างไร?


หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย เขาควบแน่นพลังก่อเกิดให้เป็นลูกศรอยู่ในมือ และยิงใส่หูชิ่งฟาง แม้ว่าเขาจะแอบยิงใส่หูชิ่งฟาง แต่ไม่ได้หมายที่จะเอาชีวิตของมัน


ลูกศรพุ่งเข้าหาหูชิ่งฟาง มันไม่ตระหนักถึงลูกศรเลยแม้แต่น้อยและถูกยิงไปที่หัวเข่า ทำให้มันสดุดเกือบจะล้ม


ชางเย่จึงใช้โอกาสนี้โจมตีอีกฝ่ายทันที


“อ๊าก!” หูชิ่งฟางกรีดร้อง กระบี่ฟันมาที่ไหล่ของมันเกือบถึงกระดูก ซึ่งทำให้มันรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เรื่องที่ทำให้มันรู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิมคือมันไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น มันรู้สึกแค่ว่าขาข้างขวาของมันชาไปเท่านั้นเอง


มันเกิดอะไรขึ้น?


จูเสวี่ยนเอ๋อและฮูหนิวหันไปมองหลิงฮัน คนอื่นอาจไม่เห็น เพราะพวกเขาไม่สนใจหลิงฮันแม้แต่น้อยที่เป็นแค่จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ


อย่างไรก็ตาม หูชิ่งเฟิงมีระดับพลังและพลังต่อสู้ที่สูงกว่าชางเย่ อาการบาดเจ็บจากกระบี่ไม่ได้ร้ายแรงมากนัก ในไม่ช้าบาดแผลของมันก็จะฟื้นฟูและจะลงมือจัดการชางเย่อีกครั้ง


หลิงฮันยิ้ม มือข้างขวาของเขาขยับ แต่ครั้งนี้เขาใช้ทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดารา


ความแข็งแกร่งของหลิงฮันในปัจจุบันอยู่ในระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว แม้จะไม่ใช้ลูกธนูจริงก็ตาม แต่ทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดาราก็ยังคงทรงพลังอยู่ดี และเมื่อใช้ควบคู่กับพลังสายฟ้าแล้วมองหาจุดอ่อนของหูชิ่งฟางด้วยเนตรแห่งสัจธรรมเขาสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดาย


ทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์สามทักษะถูกใช้พร้อมกัน หูชิ่งฟางความจะรู้สึกเป็นเกียรติที่ถูกโจมตีด้วยทักษะระดับศักดิ์สิทธิ์สามทักษะ


หูชิ่งฟางสะดุดอีกครั้งและถูกกระบี่ของชางเย่ฟัน


หลังจากที่สะดุดหลายรอบ หูชิ่งฟางหนีเข้าไปในรถลากและตะโกนว่า “ถอยก่อน พวกเจ้ากล้ามากที่ทำแบบนี้กับข้า แล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”


ชางเย่กระโจนและพูดว่า “ออกมา!”


หูชิ่งฟางไม่กล้าออกมา มันคิดว่าอีกฝ่ายใช้ทักษะลับบางอย่างอยู่ ตอนนี้มันรู้สึกหวาดกลัวแล้ว เจ้าเด็กนี่ไม่สนใจสถานะของมันในนิกายวายุจันทราเลยแม้แต่น้อย หากสู้ต่อมันอาจจะต้องตายอยู่ที่นี่


“ข้าจะต้องแก้แค้นเจ้าอย่างแน่นอน!” หูชิ่งฟางกรีดร้องออกมาและเรียกหญิงสาวสี่คนกลับเข้ามาในรถลาก


ชางเย่อยากจะไล่ตามพวกมันไป แต่ทว่ารถลากมีม่านพลังป้องกันอยู่


“อย่าไล่ตามมัน มันเป็นรถลากโบราณของนิกายวายุจันทรา ถ้ามันถูกควบคุมโดยจอมยุทธที่แข็งแกร่ง แม้แต่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็ทำอะไรมันไม่ได้” ฉินหยีเย่วกล่าวให้ชางเย่หยุดไม่ไล่ตาม


ชางเย่หันไปมองหลิงฮัน และเมื่อเห็นหลิงฮันส่าย เขาเลยเก็บกระบี่เข้าไปในแหวนมิติ


“แล้วข้าจะรอ” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

 

 


ตอนที่ 606

 

หน้าด้าน

“เจ้า… เจ้าพบเจอกับภัยพิบัติแล้ว!” โฉวจื่อเฟยตะโกนใส่ชางเย่ “เจ้ารู้รึเปล่าว่าอีกฝ่ายคือใคร? เขาคือนายน้อยของนิกายวายุจันทรา! นิกายที่ว่ามีจอมยุทธระดับสวรรค์คอยคุ้มครองอยู่ เจ้าต่อต้านขุมอำนาจที่ทรงพลังเช่นนั้นไหวรึ?”


“ใช่แล้ว เจ้านำพาความตายมาหาพวกเราทุกคน!” เจิงเจี้ยนเซินพูดออกมา


ชางเย่แสยะยิ้มดูถูกและพูด “ถ้าภรรยา มารดา หรือลูกสาวของเจ้าตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เจ้าจะพูดแบบนี้รึเปล่า?”


ฉินหยีเย่วยิ้มและพูด “แม้อำนาจโดยรวมของหุบเขาทมิฬของข้าจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับนิกายวายุจันทราแต่พวกเขาก็ไม่สามารถบุ่มบ่ามรังแกนิกายของข้าได้ง่ายๆ! เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นความบาดหมางระหว่างรุ่นเยาว์เท่านั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวตนระดับสูงจะเข้ามาแทรกแซง ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นการจุดฉนวนสงครามระหว่างสองขุมอำนาจ”


เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิตใจของทุกคนก็เริ่มผ่อนคลายเล็กน้อย


“แต่ยังไงก็รีบเดินทางกันเถอะ อาณาเขตนี้คือเขตแดนที่อยู่ในการปกครองของนิกายวายุจันทราถึงแม้จะไม่ใช่อาณาเขตหลัก แต่ข้าก็ได้ยินมาว่ามีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นปลายคอยรักษาการอยู่ หากพบเจอเข้าคงไม่ใช่เรื่องดี!” ฉินหยีเย่วพูดเสริม


นางเป็นสตรีที่งดงามและเกิดมามีนิสัยเหมาะสมกับการเป็นผู้นำ ดังนั้นนางจึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางของกลุ่มทันที


ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ที่นี่อยู่ในอาณาเขตของนิกายวายุจันทรา พวกเขาต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด


พวกเขาไม่กล้าเดินทางไปตามเส้นทางถนน ดังนั้นจึงเลือกที่จะเดินหลบเข้าไปในป่า พวกเขาไม่ทำการลอยฟ้าเพราะไม่อยากสูญเสียพลังปราณโดยไม่จำเป็น


เมื่อตกกลางคืนทุกคนก็หยุดพัก พวกเขาก่อไฟอุ่นเนื้อแห้งและเริ่มสนทนากัน


“ที่แท้พวกเจ้าก็กำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักสวรรค์!” ฉินหยีเย่วฟังบทสนทนาของทุกคนและพูดออกมา “ข้าเองก็กำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักสวรรค์เช่นกัน ข้าพบเจอกับหูชิ่งฟางเมื่อครึ่งเดือนก่อนและถูกอีกฝ่ายไล่ตามไม่หยุด แต่โชคดีที่ในที่สุดข้าก็ได้รับความช่วยเหลือจากพวกเจ้า”


หลายคนแสดงท่าทีเขินอายออกมาเมื่อได้รับคำชม สีหน้าของโฉวจื่อเฟยนั้นประดับไปด้วยความพึงพอใจราวกับว่าคนที่ช่วยนางไม่ใช่ขางเย่แต่เป็นตนเอง


“แม่นางไม่ต้องกังวล ถ้าหูชิ่งฟางกล้ากลับมาอีกครั้ง ข้าจะเป็นคนจัดการกับมันเอง!” โฉวจื่อเฟยพูดจาใหญ่โต ใครกันจะไม่อยากพูดจาโอ้อวดต่อหน้าหญิงงามเช่นนี้?


“พรวด!”


แม้คนอื่นจะได้ยินคำพูดอวดดีของโฉวจื่อเฟย แต่พวกเขาก็ไม่ได้หัวเราะออกมา แต่สำหรับฮูหนิวแล้วนางไม่รู้จักคำว่าไว้หน้าคนอื่นและหัวเราะพรวดออกมา


“เด็กน้อย เจ้าขำอะไร?” โฉวจื่อเฟยคำรามออกมา สิ่งที่เขาไม่ชอบที่สุดคือการโดนหักหน้า ดังนั้นเมื่อเห็นฮูหนิวหัวเราะ เขาจึงจ้องมองฮูหนิวด้วยสายตาที่เกรี้ยวกราด


“ก็ที่เจ้าพูดมันตลกดีไม่ใช่รึ?” ชางเย่ชักกระบี่และจ้องมองไปยังโฉวจื่อเฟย


“เด็กคนนี้น่ารักจัง!” ฉินหยีเย่วเอื้อมมือออกมากอดฮูหนิว แม้ฮูหนิวจะแปลงโฉมเอาไว้ แต่มันก็ไม่อาจซ่อนความน่ารักของนางได้


“หญิงอัปลักษณ์ อย่าจะเข้ามากอดหนิวเชียว!” ฮูหนิวรีบล่าถอยด้วยท่าทีรังเกียจ


แต่นางถูกหลิงฮันสั่งเอาไว้ว่าห้ามใช้พลังโดยไม่จำเป็น ดังนั้นแล้วนางจะหลบหนีออกจากโผกอดของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นกลางได้อย่างไร? ใบหน้าเล็กๆของนางถูกฉินหยีเย่วกอดรัดอยู่ในอ้อมแขนทันที


“หนิวหายใจไม่ออก! รีบๆนำก้อนไขมันของเจ้าออกไปจากหน้าหนิวซะ! ไม่เช่นนั้นหนิวจะทุบตีเจ้า!” ฮูหนิวดิ้นรนในขณะที่ตะโกนออกมา


โฉวจื่อเฟยและชายอื่นๆอดที่จะรู้สึกอิจฉาไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้พวกเขาอยากจะเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่แทนที่ฮูหนิวเหลือเกิน…


ฉินหยีเย่วแสดงท่าทีผิดหวังและอ้าแขนออก ฮูหนิวรีบวิ่งกลับไปหาหลิงฮันและหลบอยู่ในอ้อมแขนของเขาทันที นางเงยหน้าไปพูดกับหลิงฮัน “หญิงอัปลักษณ์คนนั้นคิดจะทำให้หนิวหายใจไม่ออกด้วยก้อนไขมันนั่น หนิวขอทุบตีนางให้ตายได้รึเปล่า?”


ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก หญิงอัปลักษณ์นั่นคิดจะสังหารหนิวที่น่ารักผู้นี้!


เมื่อถูกกล่าวถึงหน้าอกถึงสองครั้ง ใบหน้าของฉินหยีเย่วก็เปลี่ยนเป็นสีแดง


หลิงฮันยิ้มและพูด “ช่างมันเถอะ หญิงสาวที่ยอดเยี่ยมเช่นหนิวหนิวไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องของสตรีเช่นนั้นมาคิดมากหรอก”


ฮูหนิวครุ่นคิดชั่วขณะและพูดออกไป “เอาเถอะ หนิวเป็นคนใจกว้างอยู่แล้ว หนิวไม่สนใจหญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้าหรอก!”


คนอื่นๆที่ไม่รู้ถึงพลังของฮูหนิวต่างก็หัวเราะลั่น พวกเขาต่างคิดในใจว่า ‘ถ้าเจ้ารู้ถึงความหน้ากลัวของฉินหยีเย่วที่เป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นกลาง เจ้าจะกล้าพูดเช่นนี้ไหม?’


เมื่อพูดถึงเรื่องกินแล้ว ฮูหนิวไม่สนใจใคร นางนำอาหารออกมาจากแหวนมิติ อาหารเหล่านี้ล้วนแต่ถูกปรุงขึ้นจากผักและเนื้อสัตว์อสูรจากหอคอยทมิฬ มันทั้งสดใหม่และน่าอร่อยจนทำให้ใครก็ตามที่ได้กลิ่นต้องน้ำลายไหล


พวกโฉวจื่อเฟยทั้งหกคนต่างก็เคยได้กลิ่นอาหารของฮูหนิวมาตั้งแต่สามวันก่อนแล้ว แต่พวกเขารู้สึกอายเกินไปที่จะมาขออาหารจากเด็กสาวพวกเขาจึงทำได้เพียงฝืนกลืนน้ำลายตนเอง แต่ฉินหยีเย่วนั้นถูกใจฮูหนิวและไม่รู้สึกอับอายอะไรที่จะพูดขออาหารจากเด็กสาว “สาวน้อย เจ้าช่วยแบ่งอาหารให้พี่สาวกินด้วยได้รึไม่?”


ฮูหนิวครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะพูด “ก็ได้!” นางฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นเล็กๆและห่อด้วยผัก จากนั้นก็ส่งให้กับฉินหยีเย่ว “นี่คือวิธีการกินที่หนิวคิดขึ้นมาเอง มันเรียกว่าเนื้อห่อผัก”


ฉินหยีเย่วอ้าปากกินเนื้อห่อผักเข้าไปและเคี้ยวมันอย่างช้าๆ แต่ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที


ทำไมถึงได้อร่อยเช่นนี้!


ความชุ่มชื่นจากผักที่ผสมกับความชุ่มฉ่ำของเนื้อย่างอย่างลงตัวได้กระตุ้นขยายสัมผัสรับรสของนางอย่างเต็มที่


“หึหึ!” ฮูหนิวยิ้มอย่างชั่วร้าย ถ้าเจ้าได้กินของอร่อยเช่นนี้เข้าไป เจ้าจะต้องอยากกินมันเพิ่มอีกแน่นอน ถ้าหากเจ้าไม่ได้กินมัน เจ้าจะต้องเป็นทุกข์จนตรอมใจตาย! เหอะ ใครใช้ให้เจ้าใช้ก้อนไขมันทั้งสองมาทำให้หนิวทรมานกันล่ะ?!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)