Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 551-567
ตอนที่ 551
กัดไม่เข้า
มู่เฟยเหยา!
หลิงฮันนึกขึ้นมาได้ นางเป็นคนจากสมาคมน้ำแข็งนิรันดร์ที่ถูกก่อตั้งโดยศิษย์ของเขาและเคยประมูลเพื่อแย่งหม้อปรุงยาที่เขาเคยใช้มาก่อน พวกเขาใช้เงินราวกับสายน้ำ
ข้าไม่คิดเลยว่านางจะมางานประมูลนี้ด้วยและยังสนใจ “ก้อนหิน” นี้เหมือนกัน
เดี๋ยวก่อนนางคงไม่ได้ตั้งใจปั่นราคาหรอกใช่หรือไม่?
หลิงฮันมีชื่อเดียวกับปรมาจารย์หลิงเมื่อพันปีก่อนที่พวกนางบูชา ทั้งที่เขาจะเป็นคนคนเดียวกันก็ตาม ดังนั้นเมื่อนางเห็นแบบนั้นนางจึงคิดว่าหลิงฮันจะทำให้ชื่อเสียงของคนที่นางเคารพต้องมัวหมอง
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่นางจำเสียงของเขาได้ มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่นางจะสร้างปัญหาให้กับเขา
นักปรุงยาระดับสวรรค์เป็นตัวตนที่มีสถานะสูงส่ง แต่ไม่ได้มีอำนาจไปทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น สมาคมน้ำแข็งนิรันดร์พวกเขาบูชาหลิงฮันเมื่อหลายพันปีก่อน แต่กลับดูหมิ่นเขาอย่างสิ้นเชิง
และยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนสมาคมน้ำแข็งนิรันดร์จะมั่งคั่งมาก
“สามพัน” หลิงฮันเสนอราคาเพิ่ม
“ห้าพัน” มู่เฟยเหยาไม่ลังเลที่จะเสนอตาม
“หนึ่งหมื่น” หลิงฮั่นเพิ่มราคาสูงเท่าตัว
“สองหมื่น” มู่เฟยเหยาเสนอราคาเพิ่มขึ้น
เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ ราคาของมันได้พุ่งไปเกินหนึ่งหมื่นแล้ว และคงไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเพียงเท่านี้ ทั้งที่ราคาเริ่มต้นของมันแค่สิบผลึกก่อเกิดเท่านั้น
หลิงฮันไม่สนใจ ผลึกก่อเกิดหนึ่งดาวหรือสองดาวไม่มีประโยชน์สำหรับเขา สำหรับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานมันต้องใช้ผลึกก่อเกิดระดับสามดาวถึงจะยกระดับบ่มเพาะพลังได้
ในฐานะนักปรุงยาระดับสวรรค์ เงินไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา
การประมูลดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดมู่เฟยเหยาก็หยุดเสนอราคาจนกระทั่งราคาเสนอออกมาอยู่ที่หนึ่งล้านผลึกก่อเกิด และนางได้แสยะยิ้มออกมา
ผู้หญิงคนนี้จงใจอย่างแน่นอน!
ถึงแม้ว่าหลิงฮันจะไม่สนใจเรื่องเงินทอง แต่การถูกบังคับให้เขาต้องใช้จ่ายมากกว่าหนึ่งล้านผลึกก่อเกิดมันก็ยังทำให้เขารู้สึกไม่มีความสุข และถ้าในอนาคตหญิงสาวคนนี้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาล่ะก็สีหน้าของนางจะต้องบิดเบี้ยวอย่างแน่นอน
หลิงฮันคิดอยู่ในใจว่า เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาจะให้นางคุกเข่าลงและเรียกเขาว่าอาจารย์ปู่
ในไม่ช้าตำหนักสมบัติวิญญาณก็ส่งคนนำก้อนหินมาให้กับเขา ด้วยสถานะของหลิงฮัน เขาสามารถรับของได้ก่อนที่จะจ่ายเงิน แต่ในเมื่อเขามีเงินอยู่ในมืออยู่แล้ว เขาจึงจ่ายมันเลยทันที
เขาหยิบก้อนหินขึ้นมาและตรวจสอบอย่างละเอียด สิ่งนี้ทำมาจากหินอย่างแน่นอน ทั้งยังแข็งมาก และคิดว่าแม้แต่ดาบกำเนิดมารก็คงไม่อาจทิ้งร่องรอยไว้บนเนื้อหินได้
แล้วถ้าเป็นฟันของฮูหนิวล่ะ?
หลิงฮันครุ่นคิดและนำก้อนหินเข้าไปในหอคอยทมิฬแล้วถามหอคอยน้อยว่า “หอคอยน้อย หินนี่มันทำมาจากอะไร?”
“เจ้าคิดว่าข้ารอบรู้ไปทุกเรื่องงั้นหรือ? ข้าสูญเสียความทรงจำใช่ว่าข้าจะรอบรู้ไปทุกเรื่อง” หอคอยน้อยรีบพูดออกมา
แม้จะสูญเสียความทรงจำแต่ก็ยังทำตัวอวดดี! หลิงฮันคิดอยู่ในใจ
ปัง ปัง ปัง อสูรศิลารีบเดินเข้ามาหาและจ้องมองไปที่ก้อนหินพร้อมกับอ้าปาก ถ้ามันน้ำลายไหลได้มันลงจะไหลออกมาเหมือนกับแม่น้ำ
“นายท่าน กิน!” มันส่งสัมผัสสวรรค์ให้หลิงฮัน
“ก็ได้ข้าจะมอบมันให้กับเจ้า แต่เจ้าสิ่งนี้มันแข็งเกินไป ข้าเกรงว่าเจ้าคงกินมันเข้าไปไม่ได้หรอก” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส
อสูรศิลารู้สึกมีความสุขและรีบกัดกินมันทันที
เมื่อมันกัดก้อนหินก้อนนั้น หัวของมันก็เกิดรอยร้าวและพังทลายอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นเพราะมันแข็งเกินไป ผลคือก้อนหินไม่แตก แต่หัวของมันกลับแตกแทน โชคดีที่เศษหินที่แตกออกมานั้นสามารถกลับมารวมกันใหม่ได้ เพราะมันเป็นจิตวิญญาณศิลา
ดังนั้น เศษหินนับไม่ถ้วนเริ่มรวมตัวกันใหม่อีกครั้งและกลับสู่สภาพเดิมของมัน
อสูรศิลายังคงไม่ยอมแพ้และหยิบมันขึ้นมากินใหม่อีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือนเดิมจนกระทั่งความเร็วในการฟื้นฟูของมันช้าลงมาก
หลิงฮันรู้สึกกังวลเล็กน้อยว่ามันจะทำแบบนั้นไม่หยุดจนกระทั่งเป็นการฆ่าตัวตาย เขาจึงรีบยึดมันกลับคืนมาและพูดว่า “เจ้ายังกินหินนี่ไม่ได้รอจนกว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นก่อน ข้าจะให้เจ้ากินมัน”
อสูรศิลาทรุดตัวลงบนพื้น แขนของมันกระแทกเข้ากับพื้นอย่างรุนแรงจนทำให้พื้นดินสั่นไหว ราวกับมันรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งที่อดกิน เมื่อหลิงฮันเห็นเช่นนั้น เขารู้สึกประหลาดใจและไม่คิดว่าอสูรศิลาจะทำตัวเหมือนมนุษย์
อย่างไรก็ตาม อสูรศิลามีความสามารถในการสกัดหินทุกชนิด หลังจากที่เข้าสู่สิบสองเขตแดนลี้ลับสวรรค์ ระดับพลังของมันก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก ตอนนี้มันอยู่ที่ระดับบุปผาผลิบานขั้นเจ็ดแล้ว แต่กลับไม่สามารถสกัดก้อนหินนี้ได้ แสดงให้เห็นว่าก้อนหินก้อนนี้มันไม่ธรรมดาแค่ไหน
การประมูลยังคงดำเนินต่อไป และมีทักษะเก่าแก่หลายอย่างจากยุคบรรพกาลถูกนำมาประมูล ซึ่งทำให้หลิงฮันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองหลับไปหลายพันปี และเมื่อตื่นขึ้นมาทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปจนหมด ไม่มีอะไรที่เขารู้สึกคุ้นเคยเลย
เขาต้องทะลวงผ่านระดับทลายมิติให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากที่ทะลวงผ่านระดับทลายมิติและกลายเป็นพระเจ้า เพื่อต่อสู้กับจักรพรรดิดาบอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมี สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ที่ชอบเขาแต่กลับไม่ยอมพูด เขาจะต้องกลับไปตีก้นนางให้จงได้อย่างแน่นอน
งานประมูลจบลงเรียบร้อย เพราะนี่เป็นเพียงแค่งานประมูลครั้งใหญ่ในรอบเดือน ดังนั้นมันจึงไม่มีของมีค่าถูกนำออกมาประมูลมากนัก แต่ก็ยังคงทำให้เขาอยู่จนหมดเวลา
หลิงฮันรู้ดีว่าข่าวการปรากฏตัวของเขาต้องแพร่กระจายไปทั่วเมืองหมื่นสมบัติแล้วอย่างแน่นอน ในตอนนี้มันอาจมีจอมยุทธระดับสวรรค์แอบซุ่มโจมตีเขาอยู่ในความมืดและพยายามลักพาตัวเขาไปอย่างเงียบๆเพื่อปล้นมรดกของสิบสองพระราชวังและข้อมูลขุมสมบัติของพระเจ้า
แม้ว่าเขาจะเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์ แต่ใครจะปล่อยให้เขาเติบโตขึ้นเร็วเกินไปทั้งที่ไม่ได้มาจากขุมพลังของตัวเองกันล่ะ? มิฉะนั้น ถ้ามีจอมยุทธระดับสวรรค์หลายสิบคนติดตามอยู่รอบตัวเขา มันจะมีขุมพลังใดที่กล้าล่วงเกินเขานอกจากจอมยุทธระดับทลายมิติ?
หลิงฮันออกจากห้องและเดินหลบมุมเพื่อเข้าไปในหอคอยทมิฬ แล้วแปลงโฉม จากนั้นเขาได้เดินเข้าไปในกลุ่มฝูงชนและเดินออกจากงานประมูล ซึ่งไม่มีใครสงสัยเขาเลยแม้แต่คนเดียว
ตอนที่ 552
คำชวนของอ้วนหม่า
หลิงฮันเดินกลับไปยังที่พัก เมื่อกลับไปถึง ฮูหนิวและเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนต้อนรับเขาด้วยการโอบกอดแขนของเขาคนล่ะข้าง
“ทำไมถึงได้กลับมาช้าขนาดนี้ หนิวคิดถึงจนจะตายแล้ว!” ฮูหนิวพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“ทำไมถึงได้กลับมาช้าขนาดนี้ สวินน้อยคิดถึงจนจะตายแล้ว” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเริ่มเรียนรู้และเลียนแบบการกระทำของฮูหนิว
ส่วนจูเสวียนเอ๋อนั้นกำลังยืนยิ้มหวานอยู่อีกด้านหนึ่ง ตอนนี้นางไม่ได้สวมผ้าปิดหน้าเอาไว้ทำให้ความงามที่สามารถชักนำให้โลกตกอยู่ในความลุ่มหลงปรากฏออกมา นางไม่ได้ทำตัวออดอ้อนเหมือนกับฮูหนิวและเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน แต่นำน้ำชามาต้อนรับหลิงฮันแทน
“เสวียนเอ๋อช่างยอดเยี่ยมจริงๆ” หลิงฮันกล่าวชม
“ฮึ่ม!” ฮูหนิวรู้สึกไม่พอใจและทำแก้มป่อง “ฮูหนิวก็ทำได้!” ทันใดนั้นนางก็วิ่งจากไปเพื่อเตรียมน้ำชาบ้าง
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกำลังสับสน นางไม่รู้ว่าจะทำตามฮูหนิวหรือยืนกอดแขนของหลิงฮันอยู่แบบนี้ดี
ผ่านไปไม่นานฮูหนิวก็วิ่งกลับมาพร้อมกับชาร้อนในมือ ฮูหนิวนั้นไม่มีความเป็นกุลสตรีแม้แต่น้อย ทุกครั้งที่นางวิ่งน้ำชาก็จะกระเด็นออกมา แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่สนใจ นางเดินมาหาหลิงฮันและวางชาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หันหน้าไปจ้องมองหลิงฮันอย่างภาคภูมิใจราวกับกำลังรอคำชมจากหลิงฮัน
หลิงฮันจ้องมองน้ำชาที่เหลืออยู่ในแก้วเพียงหนึ่งในสามส่วน เขาหัวเราะและพูด “ฮูหนิวช่างยอดเยี่ยมจริงๆ คนอื่นๆจะเหลือใบชาอยู่ในแก้วเล็กน้อย แต่เจ้ากลับไม่มีเหลือเลยแม้แต่ใบเดียว”
ฮูหนิวยิ้มอย่างมีความสุข ขอแค่เป็นคำชมจากหลิงฮันนางก็พึงพอใจแล้ว
เมื่อยามค่ำคืนมาถึง ฮูหนิวและเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องตนเอง
ในที่สุดจูเสวียนเอ๋อก็มีโอกาสอยู่กับหลิงฮันสองต่อสอง นางเอนกายของตัวเองเข้าสู่อ้อมกอดหลิงฮัน การทำแบบนี้ทำให้จิตใจของนางรู้สึกสงบอย่างมาก
แล้วถึงแม้จะยังมีผลที่ตามมาของอาการแบบเจ็บหลงเหลืออยู่เล็กน้อย แต่พลังบ่มเพาะของอาจารย์นางก็กลับไปเป็นระดับตัวอ่อนวิญญาณตามเดิม ซึ่งในภูมิภาคเหนือมันคือระดับพลังที่สูงที่สุด
ตอนนี้นางไม่มีความกังวลใจใดๆเหลืออยู่แล้ว สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของนางตอนนี้คือการได้อยู่กับบุรุษผู้นี้ไปตลอดกาล
……
การใช้ชีวิตในตำหนักสมบัติวิญญาณในแต่ละวันของหลิงฮันคือเก็บตัวบ่มเพาะพลังหรือไม่ก็เล่นกับสาวๆ
แต่เนื่องจากฮูหนิวและเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนที่เบื่อการอาศัยอยู่ในตำหนักสมบัติวิญญาณแล้ว หลิงฮันจึงตัดสินใจพาหญิงสาวทั้งสามออกไปเดินเล่นรอบๆเมืองหมื่นสมบัติ
เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นก้อนอิฐหรือสิ่งก่อสร้างใดๆ ทุกคนจะสามารถสัมผัสกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์ได้ วันนี้พวกหลิงฮันได้เดินเที่ยวเล่นรอบๆเมืองนี้ทั้งวัน
เมื่อตกกลางคืน หลิงฮันก็ตัดสินใจพักอาศัยอยู่ที่โรงเตี๊ยมริมขอบทะเลสาปเพื่อเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์อันงดงาม
กลุ่มของหลิงฮันสี่คนนั่งลงริมขอบทะเลสาบพร้อมกับปิ้งเนื้อย่างกินลมชมวิว
“กลิ่นหอมจริงๆ ให้ข้าสักชิ้นนึงสิ!” ทันในนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น หลิงฮันมองเห็นร่างอ้วนกลมร่างหนึ่งปรากฏตัวและกำลังเอื้อมมือมมาคว้าเนื้อเสียบไม้ที่กำลังปิ้งอยู่อย่างไม่กลัวร้อน
“เจ้าอ้วนงี่เง่า นั่นมันของหนิวนะ!” ฮูหนิวโมโหและพุ่งเข้าใส่ร่างอ้วน ใครก็ตามที่คว้าอาหารของนางไปก็คือศัตรู
แต่ถึงแม้ชายคนนั้นจะมีร่างกายที่อ้วนกลม แต่เขากลับเคลื่อนที่ได้คล่องเป็นอย่างมาก ชั้นไขมันบนร่างของเขาบิดไปมาเพื่อหลบหลีกการพุ่งเข้าใส่ของฮูหนิวและคว้าเนื้อเสียบไม้ไปได้อย่างง่ายดาย
ฮูหนิวกลายเป็นเกรี้ยวกราดและปล่อยหมัดโจมตีออกมา
ชายร่างอ้วนทำเพียงหลบหลีกไปมาอย่างไม่ตอบโต้ แต่หลบไปได้ไม่กี่หมัด กำปั้นของฮูหนิวก็ปะทะเข้ากับพุงของชายร่างอ้วน
พุงที่กลมกลึงของชายคนนั้นยุบลงไปเป็นรอยกำปั้น แต่พุงของชายคนนั้นราวกับเป็นเกราะป้องกันที่ยืดหยุ่น มันสลายพลังโจมตีของกำปั้นฮูหนิวและคืนสภาพกลับเป็นดังเดิม
ฮูหนิวต้องการโจมตีอีกครั้งแต่ก็ถูกหลิงฮันจับตัวเอาไว้ แม้จะไม่เต็มใจ แต่นางก็ทำได้เพียงแยกเขี้ยวข่มขู่อีกฝ่าย
หลิงฮันยิ้มและพูด “อ้วนหม่า โชคชะตาพาเรามาพบกันอีกแล้ว?”
ชายร่างอ้วนคนนี้คือหม่าตั้วเป่า
หม่าตั้วเป่านั่งลงกับพื้น รูปร่างของเขากับยิ่นเฉวยางไม่ได้ต่างอะไรกันมากนัก ร่างของเขาพวกเขาอ้วนกลมจนพอนั่งลงแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับบอลกลมๆขนาดใหญ่
พอหม่าตั้วเป่ากินเนื้อในมือเสร็จเขาก็เช็ดคราบน้ำมันตรงปากและพูด “น้องชายตัวดำ ช่วงที่พวกเราไม่ได้พบกันใบหน้าของเจ้าเปลี่ยนไปอีกแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นงั้นรึ?”
หลิงฮันไม่ต้องคาดเดาก็รับรู้ได้ว่าหม่าตั้วเป่าต้องเป็นปรมาจารย์คนหนึ่งแนอน ไม่ว่าเขาจะแปลงโฉมหน้าอย่างไรอีกฝ่ายก็สามารถดูออกเพียงแค่ชำเลืองมอง หลิงฮันยิ้มและพูด “อ้วนหม่า เจ้าคงไม่ได้เดินทางมาที่นี่เพื่อกินเนื้อย่างของข้าหรอกนะ?”
“แล้วใครบอกว่าไม่ใช่แบบนั้นล่ะ?” หม่าตั้วเป่าเอื้อมือไปคว้าเนื้อย่างเพิ่มและเคี้ยวอย่างมีความสุข ส่วนฮูหนิวนั้นจ้องมองไปยังหม่าตั้วเป่าด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ นางรู้สึกว่าชายร่างอ้วนคนนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก
หลิงฮันยิ้มและนำไวน์ออกมารินใส่แก้วให้กับอีกฝ่าย “เอาล่ะ มาดื่มกัน”
“โอ้ ไวน์นี้ดูยอดเยี่ยมไม่น้อย แต่ถ้าเจ้าคิดจะมอมนายท่านเป่าผู้นี้ล่ะก็ ไม่มีทางเสียหรอก!” หม่าตั้วเป่ามองความคิดของหลิงฮันออก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาดื่ม “ยอดเยี่ยม! ไวน์ชั้นเลิศ!”
แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้พูดหยอกล้ออะไรอีก “น้องชายตัวดำ นายท่านเป่ากำลังจะสร้างขุมอำนาจหนึ่งขึ้นมาและต้องการเชิญให้เจ้าเข้าร่วมด้วย เจ้าว่าอย่างไร?”
หลิงฮันยิ้ม “ข้ากำลังตกเป็นเป้าหมายของผู้คนนับไม่ถ้วน เจ้าไม่คิดว่าข้าจะกลายเป็นตัวปัญญาให้เจ้าหรือไง?”
“ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร มือของนายท่านเป่าผู้นี้ก็จะปกคลุมท้องฟ้าเพื่อปกป้องเจ้าเอง!” หม่าตั้วเป่าพูดอย่างไม่สนใจ
“เพื่อเปิดสวรรค์!”
ตอนที่ 553
เปิดสวรรค์
‘พรวด’ หลิงฮันสำลักไวน์ออกมาทันที
ถ้าอ้วนหม่าต้องการสร้างขุมอำนาจเพื่อปกครองทั่วทั้งทวีปฮงเทียนหลิงฮันคงไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็มีคนที่มีความทะเยอทะยานแบบนั้นอยู่เหมือนกัน
แต่ถึงจะอย่างนั้นหม่าตั้วเป่าก็คงไม่มีพลังมากพอ แม้หลิงฮันจะมองไม่เห็นพลังบ่มเพาะของหม่าตั้วเป่า แต่เขาคิดว่าพลังบ่มเพาะของอีกฝ่ายคงยังไม่บรรลุถึงระดับทลายมิติ
เปิดสวรรค์งั้นรึ?
ถ้าหากมีใครคิดจะทำลายสมดุลของสวรรค์และปฐพี เนตรแห่งเต๋าสวรรค์จะปรากฏตัวและลบล้างคนที่มีความทะเยอทะยานเช่นนั้นทิ้งโดยตรง
หลิงฮันเคยกล่าวคำพูดที่คล้ายแบบนี้มาก่อน ซึ่งผลลัพธ์ก็คือมันได้ชักนำให้เนตรแห่งเต๋าสวรรค์ปรากฏตัว แม้มันจะถูกฮูหนิวไล่ไปแล้วแต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรบ้าบิ่นเช่นนั้นอีก บางสิ่งบางอย่างหากยังไม่มีอำนาจมากพอก็ไม่ควรเปิดปากพูด
“อ้วนหม่า ความทะเยอทะยานของเจ้าช่างสูงส่งนัก” หลิงฮันพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยอารมณ์ “แต่ขอข้าถามหน่อย เจ้าจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร?”
หม่าตั้วเป่าแสยะยิ้มและพูด “ระดับทลายมิติจะสามารถบดขยี้ช่องว่างมิติเพื่อให้ตนเองขึ้นไปบนแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่นั่นก็แค่สำหรับคนคนเดียว น้องชายตัวดำ เจ้าไม่คิดรึว่าถ้าหากเปิดสวรรค์ให้คนทุกคนบนโลกเบื้องล่างนี้ขึ้นไปแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันจะเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมกว่า?”
หลิงฮันจ้องหม่าตั้วเป่า เป้าหมายของการเปิดสวรรค์คือการพาทุกคนขึ้นไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์?
“เป็นไปได้รึ?” หลิงฮันถาม
“ยังไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?” หม่าตั้วเป่ากล่าว
ไม่นึกว่าอ้วนหม่าจะมีความทะเยอทะยานที่แรงกล้าเช่นนี้ เขาคิดจะนำพาทุกคนขึ้นไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน ซึ่งหลิงฮันไม่เคยคำนึงถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน
“เจ้าอ้วน ข้านับถือเจ้าจริงๆ!” หลิงฮันยกแก้ว ไม่ว่าเขาจะเข้าร่วมขุมอำนาจด้วยหรือไม่ แต่ความทะเยอทะยานของหม่าตั้วเป่าก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าแก่การชื่นชม
หม่าตั้วเป่ามีความสุขที่ได้พบกับหลิงฮันอีกครั้ง ทั้งสองคนนั่งกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน
“น้องชายตัวดำ…”
“ชื่อของข้าคือหลิงฮัน เจ้าเรียกชื่อข้าก็ได้”
“ได้เลยน้องชายตัวดำ” หม่าตั้วเป่าไม่คิดจะเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกหลิงฮัน “เจ้าเคยคิดรึไม่ว่าทำไมประวัติศาสตร์หนึ่งหมื่นปีก่อนถึงถูกบิดเบือน?”
หลิงฮันแสดงท่าทีตกใจออกมาเมื่อนึกถึงจื่อเสวี่ยนเซียนและประวัติศาสตร์ในชีวิตที่แล้วของเขา
ในชีวิตที่แล้วของเขา หลิงฮันไม่ได้เอะใจสงสัยเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เมื่อกลับมาย้อนคิดดูให้ดี ประวัติศาสตร์เมื่อเก้าพันปีก่อนในชีวิตที่แล้วของเขาก็ถูกปิดบังเอาไว้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นทักษะวรยุทธ ทักษะการปรุงยา ทักษะรูปแบบอาคมล้วนแต่ถูกทำลายจนไม่เหลือ ไม่ต่างอะไรกับในปัจจุบันนี้เลย
หรือว่าในทุกๆหนึ่งหมื่นปีจะเกิดภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นทำให้ทุกสรรพสิ่งพังทลาย?
และโกหกคำโตที่จื่อเสวี่ยนเซียนกล่าวถึงในผลึกความทรงจำจะเกี่ยวข้องกับภัยพิบัติที่ว่ารึไม่?
หลิงฮันตกอยู่ในภวังค์และพูดออกไป “พี่ชายหม่ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“แน่นอนว่าข้ารู้ แต่กำแพงมีหู ข้าไม่สามารถพูดออกไปได้” หม่าตั้วเป่าพูด
กำแพงมีหู?
หลิงฮันมองไปยังหม่าตั้วเป่าด้วยความสับสน
หม่าตั้วเป่ายกนิ้วขึ้นและชี้ไปยังท้องฟ้า
“เนตรแห้งเต๋าสวรรค์?” หลิงฮันประหลาดใจ
หม่าตั้วเป่าส่ายหัวและชี้นิ้วสูงขึ้นไปอีก
เมื่อเห็นแบบนั้นหลิงฮันก็เข้าใจในทันที เนตรแห่งเต๋าสวรรค์คือผู้พิทักษ์ของโลกเบื้องล่าง และถ้าหากเป็นสิ่งที่เหนือกว่านั้นไปอีกล่ะก็… ดินแดนศักดิ์สิทธิ์!
หรือว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์กำลังจับตามองโลกเบื้องล่างอยู่? ยิ่งกว่านั้นศัตรูที่จื่อเสวี่ยนเซียนปะทะด้วยก็คือตระกูลของนางที่เป็นคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวถึงการสูญสิ้นเผ่าพันธ์ของมนุษย์ซึ่งน่าจะเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ในรอบหมื่นปี
สิ่งที่หลิงฮันไม่เข้าใจคือการที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะทำลายโลกเบื้องล่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะถึงแม้ตัวตนระดับพระเจ้าจะลงมายังโลกนี้ พลังบ่มเพาะของพวกเขาก็จะถูกผนึกเอาไว้ แถมโลกเบื้องล่างก็ยังมีตัวตนระดับทลายมิติคอยปกป้องอยู่อีกด้วย
“น้องชายตัวดำ วัฏจักรภัยพิบัติจะวนเกิดขึ้นทุกๆหมื่นปี หลังจากนี้อีกไม่ถึงร้อยปีหรืออาจจะสิบ ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ถ้าพวกเราไม่หาทางป้องกันแก้ไข โศกนาฏกรรมเหมือนหนึ่งหมื่นปีก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง” หม่าตั้วเป่าพูด
“ไม่น่าเชื่อ!” จูเสวียนเอ๋อที่กำลังนั่งฟังอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้ เรื่องที่ทั้งสองคนคุยกันอยู่มันน่าเหลือเชื่อเกินไป
แต่กลับกัน เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกับฮูหนิวนั้นไม่สนใจแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรหนึ่งคนก็สูญเสียความทรงจำส่วนอีกหนึ่งคนก็ยังเป็นเด็ก
หลิงฮันถาม “เจ้ารู้สาเหตุของภัยพิบัติรึไม่?”
“ไม่อาจพูดได้” หม่าตั้วเป่าส่ายหัวและชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลิงฮันประหลาดใจและถาม “เป็นเรื่องยากที่จะพูดออกมารึ?”
“บางครั้งโลกนี้ก็มีกฎอยู่” หม่าตั้วเป่ายิ้ม “คนฉลาดต้องรู้จักคิดก่อนพูด น้องชายตัวดำ เจ้าเป็นคนที่สุดยอดและมีอนาคตไร้ขuดจำกัด แต่เจ้าควรตระหนักเอาไว้ว่าในโลกนี้มีตัวตนที่แข็งแกร่งอยู่มากมาย ก่อนที่เจ้าจะมีพลังมากพอสำหรับปกป้องตัวเอง เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดี”
หลิงฮันพยักหน้า “ขอบคุณที่กล่าวเตือน”
“น้องชายตัวดำ เจ้าสนใจเข้าร่วมกับข้ารึไม่?” หม่าตั้วเป่าถาม
“พลังของข้ายังอ่อนแอเกินไป เอาไว้พูดกันอีกทีเมื่อข้าบรรลุระดับสวรรค์แล้ว” หลิงฮันตอบปฏิเสธ ความทะเยอทะยานของอีกฝ่ายนั้นใหญ่โตเกินwปสำหรับตัวเขาในตอนนี้
หม่าตั้วเป่าไม่คะยั้นคะยอและแตะหลังหลิงฮัน “น้องชายตัวดำ ข้าเชื่อในตัวเจ้าว่าเจ้าจะตัดสินใจได้ถูกต้อง จริงสิ ในช่วงนี้อาณาเขตภายนอกไม่ปลอดภัยข้าแนะนำให้เจ้าอย่าออกนอกเมืองจะดีกว่า รับเครื่องรางชิ้นนี้ไป หากพบอันตรายถึงชีวิต มันจะช่วยปกป้องเจ้าได้”
หม่าตั้วเป่ามอบเครื่องรางให้หลิงฮันโดยที่ไม่รอให้หลิงฮันตอบอะไรกลับไป
หลิงฮันกับจูเสวียนเอ๋อยังคงครุ่นคิดถึงคำพูดสุดท้ายของหม่าตั้วเป่า เขาหมายความว่าอะไรกัน?
“เจ้าอวดบัดซบ นั่นมันเนื้อของหนิว!” ฮูหนิวโอดครวญ ขณะที่หม่าตั้วเป่าเดินจากไปเขาได้นำเนื้อย่างบนเตาติดมือไปด้วย ทำให้ฮูหนิวรู้สึกเจ็บปวดมาก
หลิงฮันปลอบนางและนำเนื้อชิ้นใหม่ออกมาย่าง
เขากับจูเสวียนเอ๋อมองหน้ากันอย่างเป็นกังวล หม่าตั้วเป่าเตือนพวกเขาว่าภัยพิบัติที่เกือบจะทำให้ทวีปฮงเทียนล่มสลายในทุกๆหมื่นปีกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
“อีกอย่างคืออ้วนหม่าบอกว่าพวกเราไม่ควรออกจากเมืองในช่วงนี้เนื่องจากอาณาเขตภายนอกจะไม่ปลอดภัย มันหมายถึงอะไรกัน?” หลิงฮันลูบคางในขณะครุ่นคิด เขานึกในใจว่าหม่าตั้วเป่าเป็นคนที่ลึกลับยิ่งนัก แค่คำพูดไม่กี่คำของเขาก็ทำให้หลิงฮันตกอยู่ในภวังค์ได้
จูเสวียนเอ๋อเองก็ไม่เข้าใจ มีเพียงฮูหนิวและเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนสองคนเท่านั้นที่ยังปิ้งเนื้ออย่างมีความสุข
ตอนที่ 554
ติดกับ
หนึ่งคืนต่อมา หลิงฮันและสามสาวเดินทางกลับตำหนักสมบัติวิญญาณ
ซวนหยวนจื่อกวงประกาศเอาไว้ว่ามันจะสังหารเขาถ้าหากเขาออกมาจากตำหนัก แต่เห็นได้ชัดว่ามันเองก็ไม่มีเวลามาเฝ้าจับตาดูเขาตลอดทั้งวัน ไม่เช่นนั้นตอนนี้คงเกิดการต่อสู้ที่รุนแรงขึ้นไปแล้ว
ในช่วงเที่ยงของอีกวัน หยินหงได้เข้ามาหาหลิงฮันอย่างรีบร้อน
“เกิดอะไรขึ้นรึ? ทำไมถึงได้ทำตัวรีบร้อนเป็นลิงขนาดนั้น?” หลิงฮันยิ้ม
“เดี๋ยวเถอะ จะอย่างไรนายหญิงผู้นี้ก็เป็นสตรีนะ เจ้ามาเรียกข้าว่าลิงได้อย่างไร?” หยินหงตอบด้วยน้ำเสียงไม่พึงพอใจ
“สตรีที่เอาแต่เรียกตัวเองว่านายหญิงทั้งวัน ข้าเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกนี่ล่ะ” หลิงฮันยิ้ม
“เพิ่งเคยเห็นก็มองเสียให้พอสิ” หยินหงตอบอย่างไม่เอียงอาย “ที่จริงข้ามีเรื่องด่วนต้องมาบอกเจ้า”
“เรื่องด่วนอันใด?” หลิงฮันถามออกไปลวกๆ
“ในหลายวันมานี้ ไม่มีใครเข้าเมืองมาเลย” หยินหงกล่าว
“แล้วมันเป็นปัญหาใหญ่?”
“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ เจ้ารู้รึเปล่าว่าเมืองหมื่นสมบัติแห่งนี้มีคนเข้าออกมามากเท่าใดในแต่ละวัน? หลักล้าน! แต่ช่วงนี้กลับมีแต่คนเดินทางออกไปไม่มีใครกลับเข้ามาเลย ทั่วทั้งเมืองจึงอ้างว้างเป็นอย่างมาก เจ้าลองออกไปดูข้างนอกห้องโถงสิว่ามีแขกลูกค้าหายไปมากขนาดไหน!” หยินหงกล่าว
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวหลิงฮัน เมื่อวานหม่าตั้วเป่าบอกกับเขาว่าในช่วงนี้อาณาเขตนอกเมืองไม่ปลอดภัยและแนะนำให้เขาอยู่แต่ในเมืองจะดีกว่า หรือว่าเจ้าอ้วนหม่าจะรู้ถึงสาเหตุของเหตุการณ์นี้และจงใจมากล่าวเตือนเขา?
“เจ้ารู้เหตุผลรึเปล่า?”
หยินหงส่ายหัวและพูด “หลายคนที่ถูกส่งออกไปสืบสาเหตุไม่มีใครกลับมาเลย” นางหยุดนิ่งชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ “บางทีอาจจะเป็นเพราะเมืองหมื่นสมบัติตกเป็นเป้าหมายของขุมอำนาจใดอำนาจหนึ่ง โดยพวกมันได้ดักซุ่มสังหารคนที่เดินทางออกไปทำให้ไม่มีใครกลับเข้ามาเลย”
หลิงฮันเคาะโต๊ะและถาม “ขุมอำนาจใดจะทำเช่นนี้ และทำไปแล้วพวกมันจะได้ประโยชน์อันใด?”
ตำหนักสมบัติวิญญาณมีอำนาจในการทำธุรกิจในขณะที่สมาคมนักปรุงยาคือการรวมกลุ่มกันของนักปรุงยามากมาย เมื่อทั้งสองกลุ่มอำนาจจับมือกันทำให้เม็ดยาถูกแจกจ่ายขายไปทั่วทั้งทวีปซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับเหล่าจอมยุทธ จะมีใครบ้างที่ต้องการทำลายเมืองนี้?
แม้จะเป็นนิกายโบราณอย่างนิกายดาบสวรรค์หรือนิกายนกอมตะเมฆาสวรรค์ พวกเขาต่างก็มีนักปรุงยาในนิกายของตนเองอยู่แล้ว มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะมาทำเรื่องแบบนี้?
“เพราะงั้นพวกเราจึงต้องสืบหาสาเหตุให้ได้” หยินหงกล่าว
หลิงฮันชำเลืองมองไปที่นางและพูด “เจ้ากำลังยุยงให้ข้าทำอะไรบางอย่าง?”
“แล้วเจ้าไม่อยากรู้รึไงว่าใครเป็นคนทำเรื่องแบบนี้?” หยินหงพูด
“แม้ท้องฟ้าจะร่วงหล่นแต่ก็ยังคงมีตัวตนที่แข็งแกร่งคอยยืนค้ำจุน ข้าในตอนนี้เป็นเพียงระดับบุปผาผลิบาน เรื่องนี้คงเกินตัวข้า” หลิงฮันพูดอย่างไม่แยแส
หยินหงเลิกพูดเล่นและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สถานการณ์ที่ตอนนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แม้แต่หินสื่อสารในเมืองไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ ในไม่ช้านี้เมืองหมื่นสมบัติคงกลายเป็นเมืองรกร้าง ไม่รู้ว่าภายนอกเมืองมีอะไรเกิดขึ้นกันแน่”
“มีตัวตนระดับสวรรค์อยู่ในเมืองนี้ไม่ใช่รึ? ให้พวกเขาไปสำรวจดูสิ” หลิงฮันพูด
“มีคนคาดการณ์ว่าสถานการณ์ในครั้งนี้คือแผนการชั่วร้าย เพราะงั้นตัวตนระดับสวรรค์จึงปรึกษากันแล้ว สิ่งที่สามารถช่วยปกป้องเมืองนี้ได้ดีที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้คือข่ายอาคมของเมืองหมื่นสมบัติ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่ตัวตนระดับทลายมิติ รูปแบบอาคมนี้ก็ไม่มีทางพังทลาย” หยินหงกล่าว
หลิงฮันหัวเราะ “เพราะตัวตนระดับสวรรค์กลัวตาย เลยจะให้ระดับบุปผาผลิบานอย่างข้าออกไปเสี่ยงชีวิตแทน?”
หยินหงแสดงสีหน้าเป็นกังวล “ตอนนี้เมืองหมื่นสมบัติกลายเป็นเมืองปิดตาย พวกเราไม่รู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ สิ่งจำเป็นที่สุดในตอนนี้คือการร้องขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอก”
หลิงฮันถอนหายใจ ทำไมเขาไปไหนก็ต้องเจอแต่ปัญหาด้วย?
“ข้าถูกลากเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยรึเปล่า?” หลิงฮันยิ้ม
“ฮ่าๆ เข้ามาอยู่บนเรือของข้าแล้ว สิ่งที่เจ้าทำได้ก็มีเพียงยอมทำตามอย่างเดียวเท่านั้น” หยิงหงหัวเราะออกมา
ข่าวที่หยิงหงนำมาบอกไม่ใช่ข่าวที่ดีแม้แต่น้อย
ไม่กี่วันต่อมา สถานการณ์ก็เริ่มเลวร้ายลงเรื่อยๆ เพราะหากแหงนหน้ามองขึ้นไป จะเห็นว่าก้อนเมฆสีขาวได้เลือนหายไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงเมฆหมอกสีดำห่อหุ้มไปทั่วท้องฟ้า
ตอนนี้ทุกคนต่างเป็นกังวลรู้สึกว่าภายในเมืองนั้นเริ่มไม่ปลอดภัย
หลิงฮันนำเครื่องรางที่หม่าตั้วเป่าให้เขาออกมา เขาอดที่จะนึกไม่ได้ว่าอ้วนหม่าต้องรู้อยู่แล้วแน่ๆว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นจึงเตือนเขาว่าในช่วงนี้ห้ามออกไปนอกเมือง ดูเหมือนว่าสถานการณ์อันเลวร้ายจะยังไม่จบเพียงเท่านี้ บางสิ่งบางอย่างที่อันตรายกว่ากำลังจะเกิดขึ้น
เครื่องรางชิ้นนี้สามารถช่วยชีวิตเขาได้
หลิงฮันยิ้ม หม่าตั้วเป่านั้นไม่รู้ว่าเขาครอบครองหอคอยทมิฬที่เป็นไพ่ลับสำหรับช่วยชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ แต่หลิงฮันก็ไม่อาจใช้เครื่องรางชิ้นนี้อย่างสิ้นเปลืองได้ เพราะการที่จะได้รับอะไรบางอย่างจากอ้วนหม่านั้นไม่ใช่เรื่องเง่ายเลย
“สิ่งนี้ควรเป็นยันต์อาคมเคลื่อนย้ายในพริบตา” ด้วยความรู้ในชีวิตที่แล้วของเขา หลิงฮันยังพอมองรูปแบบอักขระที่สลักเอาไว้บนเครื่องรางออกอยู่บ้าง “ในขณะที่หลบหนีเข้าไปยังหอคอยทมิฬ ข้าสามารถนำสิ่งนี้ออกมาใช้หลอกคนอื่นได้ว่าข้าใช้ยันต์อาคมเคลื่อนย้ายในพริบตา”
“สมบัติเช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นในชีวิตที่แล้วของข้า มีคำกล่าวว่ามีเพียงตัวตนระดับทลายมิติที่เข้าในหลักของมิติเท่านั้นถึงจะสร้างมันขึ้นมาได้”
“หม่าตั้วเป่าช่างมั่งคั่งไปด้วยสมบัติยิ่งนัก หรือว่าหมอนั่นจะค้นพบขุมทรัพย์โบราณ?”
“พลังของหมอนั่นเองก็ลึกลับเป็นอย่างมาก ข้าไม่สามารถมองออกได้เลย”
หลิงฮันตัดสินใจจะออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก การนั่งหลบๆซ่อนๆอยู่ในเมืองไม่ใช่นิสัยของเขา ถึงแม้จะพบเจอกับภัยอันตรายเขาก็ยังมีหอคอยทมิฬอยู่ ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังสงสัยอีกด้วยว่าทั้งๆที่เมืองหมื่นสมบัติแห่งนี้มีตัวตนระดับสวรรค์คอยคุ้มครองอยู่ แต่อีกฝ่ายก็ยังมีความคิดกล้าที่จะลุกลาม ถ้างั้นแล้วอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งขนาดไหน?
เขานำหญิงสาวทั้งสามเข้าไปหลบในหอคอยทมิฬ ไม่เช่นนั้นถ้าหากในช่วงที่เขาออกไปนอกเมืองแล้วเกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง เขาจะต้องรู้สึกผิดมากแน่ๆ
แต่ปัญหาก็คือมีเพียงจูเสวียนเอ๋อเท่านั้นที่ยอมเชื่อฟัง ส่วนฮูหนิวนั้นนางยืนกรานว่าจะไม่เข้าไปในหอคอยทมิฬและจะอยู่กับเขา ในขณะที่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไม่สามารถเข้าไปได้
สำหรับฮูหนิวหากเกิดภัยอันตรายขึ้น เขาสามารถนำนางเข้าไปในหอคอยทมิฬได้ในทันที แต่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนนั้นนางเป็นตัวตนระดับสวรรค์ หากเกิดอันตรายที่จะส่งผลต่อชีวิต สัญชาตญาณของนางอาจจะถูกกระตุ้นและฟื้นฟูความทรงจำกลับมาก็ได้
รูปแบบอาคมขนาดใหญ่ของเมืองถูกเปิดใช้งานเพื่อป้องกันภัยอันตรายที่หลบซ่อนอยู่ภายนอก แต่หากต้องการจะออกไปข้างนอกเมืองนั้นทำได้ง่ายมาก เพราะตอนนี้คนทุกคนต่างก็ไม่มีใครเป็นอาสาสมัครและกำลังต้องการให้ใครสักคนออกไปสำรวจสถานการณ์ข้างนอกแทน
กลุ่มของหลิงฮันสามคนเดินออกนอกเมืองไปอย่างเรียบง่าย แต่เบื้องหน้าก็ปรากฏหมอกสีดำที่ส่งผลต่อการมองเห็นของพวกเขา
หลิงฮันกระตุ้นใช้งานเนตรแห่งสัจธรรมแต่ก็ไม่ได้ผล หมอกเหล่านี้หนาแน่นเกินไปแม้แต่เนตรแห่งสัจธรรมก็ไม่อาจมองทะลุได้ ไม่ใช่เพราะว่าเนตรแห่งสัจธรรมนั้นอ่อนแอ แต่พลังบ่มเพาะในตอนนี้ของหลิงฮันยังต่ำเกินไปทำให้ไม่สามารถใช้งานเนตรแห่งสัจธรรมได้เต็มที่
“ระวังตัวด้วย” หลิงฮันพูดและนำจูเสวียนเอ๋อออกมาข้างนอกเนื่องจากการคะยั้นคะยอของนาง แต่ถึงอย่างไรหากพบเจออันตรายเขาก็สามารถส่งนางกลับเข้าไปหอคอยทมิฬได้ในทันทีอยู่แล้ว
ทั้งสี่คนเดินตรงไปข้างหน้าซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ การมองเห็นของพวกเขาถูกลดลงมาจนสามารถเห็นได้เพียงระยะหนึ่งฟุตรอบๆกาย
หลิงฮันยังดีหน่อย เขาสามารถมองเห็นได้ระยะสองฟุต
“หมอกนี่คือรูปแบบอาคม?” จูเสวียนเอ๋อถาม ในหมู่หญิงสาวทั้งสามนางเป็นเพียงคนเดียวที่มีความรอบรู้ เนื่องจากอีกสองคนนั้นคนหนึ่งความจำเสื่อม อีกคนหนึ่งเป็นเด็ก
หลิงฮันมีท่าทีครุ่นคิดและพูด “ถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่คือรูปแบบอาคมสังหารที่สี่!”
ตอนที่ 555
ซวนหยวนจื่อกวงเปิดศึก
“รูปแบบอาคมสังหารที่สี่?” จูเสวียนเอ๋อถามด้วยความสงสัย
“ในตำนานกล่าวเอาไว้ว่าสวรรค์และปฐพีนั้นมีวิญญาณอยู่ ซึ่งก็คือจิตวิญญาณสังหารทั้งสิบ” หลิงฮันอธิบาย “วิญญาณทั้งสิบนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมาก พวกมันถูกเรียกว่ารูปแบบอาคมสังหารทั้งสิบ ตั้งแต่รูปแบบอาคมที่สองลงไปถึงสิบ พวกมันสามารถลบล้างได้แม้แต่ตัวตนระดับทลายมิติ”
“แล้วรูปอาคมสังหารที่หนึ่งล่ะ?” จูเสวียนเอ๋อถาม
“รูปอาคมสังหารที่หนึ่ง…” หลิงฮันแน่นิ่งไปชั่วขณะ “ถูกรู้จักกันในนามรูปแบบอาคมสังหารพระเจ้า”
“มันสามารถสังหารได้แม้กระทั่งพระเจ้า?” จูเสวียนเอ๋ออุทานออกมา
“ไม่ผิด” หลิงฮันพยักหน้า “รูปอาคมสังหารที่หนึ่งสามารถลบล้างได้แม้แต่ตัวตนระดับพระเจ้า มันคือรูปแบบอาคมสังหารตนแรกของโลกใบนี้ เพียงแต่ตัวตนเหล่านี้ได้สูญหายไปนานมากแล้ว
“รูปแบบอาคมสังหารที่สี่นั้นแม้แต่จอมยุทธระดับทลายมิติขั้นปลายก็มีโอกาสที่จะถูกลบตัวตนออกไป”
“งั้นพวกเราก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายสุดๆเลยไม่ใช่รึไง?” จูเสวียนเอ๋อกล่าว
หลิงฮันพยักหน้า “ข้าไม่รู้ว่ามันมีพลังอำนาจแบบใด แต่ตอนนี้เมืองหมื่นสมบัติได้ถูกห้อมล้อมไปด้วยรูปแบบอาคมสังหารที่สี่แล้ว หรือว่ามันคิดจะสังหารผู้คนทั้งหมดในเมือง? แต่เมืองหมื่นสมบัติคือศูนย์กลางความมั่งคั่งของภูมิภาคกลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของตำหนักสมบัติวิญญาณและสมาคมนักปรุงยา รูปแบบอาคมสังหารที่สี่จะได้ประโยชน์อะไรกับการกระทำครั้งนี้?”
แปลกมาก…
หลิงฮันส่ายหัว “ปัญหาครั้งนี้พวกเราคงทำอะไรไม่ได้ แม้จะเป็นตัวตนระดับทลายมิติมาเองก็ต้องเป็นระดับทลายมิติขั้นเก้าเป็นอย่างน้อย ไม่เช่นนั้นก็มีแต่เอาชีวิตมาทิ้งเปล่าๆ”
จูเสวียนเอ๋อเห็นด้วย ในทวีปฮงเทียนมีจอมยุทธระดับทลายมิติกี่คน? เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ แต่โดยส่วนใหญ่พวกเขาคงไม่มีพลังพอที่จะต่อต้านรูปแบบอาคมสังหารแน่ๆ
พวกหลิงฮันค่อยๆล่าถอย พวกเขาหวาดกลัวว่าจะไปกระตุ้นรูปแบบอาคมสังหารที่สี่
โชคดีที่รูปแบบอาคมเป็นตัวตนที่สามารถสังหารได้แม้แต่จอมยุทธระดับทลายมิติ มันคงไม่มาให้ความสนใจกับมดปลวกตัวน้อยๆ และอีกเหตุผลหนึ่งที่มันไม่ลงมือก็เป็นเพราะพวกหลิงฮันยังไม่ได้เข้าไปในหมอกลึกมากนัก
พวกเขาออกจากอาณาเขตของรูปแบบอาคมสังหารที่สี่และกลับไปยังเมืองหมื่นสมบัติซึ่งเป็นเป้าหมายในการสังหาร แต่เพราะตอนนี้ในเมืองได้เปิดใช้งานรูปแบบอาคมป้องกันขนาดใหญ่แล้ว มันจึงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย
“ฮันหลิง!” เมื่อเดินไปถึงหน้าเมือง เสียงคำรามอันเย็นชาและร่างของชายคนหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าพวกเขา
มันคือซวนหยวนจื่อกวง
ซวนหยวนจื่อกวงจ้องมองหลิงฮันด้วยความอาฆาต ที่นี่ไม่ใช่ตำหนักสมบัติวิญญาณแถมยังเป็นนอกเมืองอีกด้วย แล้วทีนี้ใครกันจะหยุดมันได้?
หลิงฮันโบกมือและพูด “เจ้าเข้าไปในเมืองก่อน ข้าคงต้องปะทะกับหมอนี่”
“ระวังตัวด้วย!” จูเสวียนเอ๋อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“ทุบมันให้น่วมเลย!” ฮูหนิวกวัดแกว่งหมัดเล็กๆของนาง
“ทุบตีมัน!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนมักจะเลียนแบบฮูหนิว เพราะนางถูกหลิวอู๋ตงและหลีซื่อฉางล้างสมองว่าห้ามไว้ใจและเลียนแบบจูเสวียนเอ๋อเด็ดขาด
หญิงสาวทั้งสามคนเดินกลับเข้าไปในเมือง โดยเหลือไว้เพียงหลิงฮันกับซวนหยวนจื่อกวง
หลิงฮันไม่กล้าประมาท ถ้าเป็นการต่อสู้กับคนที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากัน เขามั่นใจว่าเขาไม่แพ้ใครแน่นอน แต่ซวนหยวนจื่อกวงไม่เพียงจะมีพลังบ่มเพาะที่มากกว่าเขาหลายขั้น แต่ยังมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งอีกด้วย นับว่าเขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก
ซวนหยวนจื่อกวงไม่พูดพล่าม ฝ่ามือของมันปลดปล่อยทะเลเพลิงพุ่งเข้าใส่หลิงฮันทันที
หลิงฮันใช้ย่างก้าวเทพธิดาปีศาจไปปรากฏตัวด้านข้างอีกฝ่าย ระดับพลังของเขาต่ำกว่าอีกฝ่ายมากเกินไป หากจะให้ปะทะกันซึ่งๆหน้าคงเป็นวิธีการที่งี่เง่าเกินไป
“เหอะ ฝันไปเถอะ!” ซวนหยวนจื่อกวงแสยะยิ้ม มันขยับร่างสร้างระยะห่างกับหลิงฮันและเริ่มปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังออกไปอีกครั้ง
พรสวรรค์ในวิถีวรยุทธของมันเหนือกว่าจอมยุทธทั่วไป ปราณหมัดทั้งยี่สิบสองหมัดที่ผสานเข้ากับอำนาจของสวรรค์และปฐพีจนดูเหมือนกับยี่สิบสามหมัดพุ่งเข้าใส่หลิงฮันพร้อมกัน
ท่าทีของหลิงฮันยังคงสงบนิ่ง เขามีไพ่ลับอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นดาบกำเนิดมาร เกราะอัสนีหรือกายาเหล็กไหล มีไพ่ชิ้นไหนของเขาบ้างที่ธรรมดา? หลิงฮันแสยะยิ้มและพูด “ในเมื่อเจ้าไม่กล้าปะทะกันซึ่งๆหน้าก็รับนี่ไป!”
ร่างของเขาล่าถอยและสร้างระยะห่างกับซวนหยวนจื่อกวงประมาณสิบฟุต
“เหอะ พลังบ่มเพาะของข้าสูงกว่าเข้า แถมยังมีปราณก่อเกิดที่ล้ำลึกกว่าเจ้า ไม่ว่าจะใช้วิธีการอะไรเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” ซวนหยวนจื่อกวงพูดอย่างองอาจ หนึ่งฝ่ามือของมันปลดปล่อยพยัคฆ์เพลิงทั้งสิบสามเข้าใส่หลิงฮัน
ระยะห่างแค่ไม่กี่สิบฟุต เป็นไปไม่ได้ที่อำนาจของพลังโจมตีของมันจะลดลง
หลิงฮันหัวเราะและพูด “เจ้าประเมินตัวเองสูงไป!” แขนซ้ายของหลิงอันตั้งท่าถือธนู ในขณะที่อีกหนึ่งฝ่ามือปรากฏก้อนแสงพลังที่ค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นคันศร ทันใดนั้นเขาก็ยิงคันศรนั่นออกไป
ศรฆ่ามังกรทะลวงดารา!
ซวนหยวนจื่อกวงตกตะลึงและรีบโคจรปราณก่อเกิดเพื่อป้องกัน ‘ตูม’ คันศรกระแทกเข้าที่หน้าอกของมัน โชคที่ที่มันโคจรปราณก่อเกิดได้ทันทำให้ป้องกันคันศรเอาไว้ได้ แต่การโจมตีนี้ก็รุนแรงมากจนมันเกือบจะสำลักโลหิตออกมา
แม้พลังของมันจะสูงกว่าหลิงฮัน แต่หลิงฮันนั้นโจมตีโดยเน้นจุดๆเดียวแถมคันศรก็รวดเร็วอย่างมาก มันจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าหลิงฮันจะโจมตีมายังจุดไหน
เมื่อพยัคฆ์เพลิงทั้งนี่สิบสามตัวใกล้เข้ามา หลิงฮันก็หลบหลีกอย่างง่ายดาย “ก็ไม่เท่าไหร่!”
ซวนหยวนจื่อกวงเกรี้ยวกราด ไม่ว่าจะเป็นระดับพลังหรือพลังต่อสู้มันก็เหนือกว่าหลิงฮัน มันสมควรจะจัดการหลิงฮันได้ง่ายดายแท้ๆ แต่การบาดเจ็บเพียงเพราะการโจมตีเดียวจากคนที่อ่อนแอกว่าทำให้มันเสียหน้าเป็นอย่างมาก
อัจฉริยะไร้ที่เปรียบเช่นมันต้องไม่ถูกโค่นล้มโดยอัจฉริยะคนอื่น!
มันเกรี้ยวกราดจนมีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นบนหัว เปลวเพลิงเหล่านั้นมีรูปร่างเป็นมังกรและนกอมตะโบราณซึ่งก็คือสายเลือดที่สืบทอดมาของมัน
“เจ้าต้องตาย!” ซวนหยวนจื่อกวงคำรามอย่างเย็นชา
หลิงฮันยิ้มและพูด “ช่างเป็นคนที่รู้จักเห่าเสียจริง!”
‘ตูม!’
ทันใดนั้นเอง หมอกสีดำที่ล้อมรอบเมืองก็สั่นไหวพร้อมกับปรากฏ กระบี่ ดาบ ขวานอยู่ภายในหมอก อาวุธเหล่านั้นปลดปล่อยประกายแสงที่เย็นยะเยือกออกมา
สีหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนสีและรีบพุ่งกลับเข้าไปในเมือง
ซวนหยวนจื่อกวงที่เกรี้ยวกราดอยู่แล้วกลายเป็นเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม เจ้าหนูนี่คิดจะละทิ้งการต่อสู้? มันกำลังจะลงมือหยุดหลิงฮัน แต่เมื่อมันมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของหมอกสีดำ ความรู้สึกหวาดกลัวก็ผุดขึ้นในจิตใจและรีบวิ่งไปยังประตูเมืองทันที
รูปแบบอาคมสังหารที่สี่ถูกกระตุ้นใช้งานแล้ว!
ตอนที่ 556
รูปแบบอาคมสังหารที่สี่
หลังจากที่หลิงฮันเข้ามาในเมือง เขายิ้มให้กับซวนหยวนจื่อกวางและพูดว่า “เดี๋ยวก่อน ทำไมเจ้าต้องตามข้ามาด้วย? เข้ามา เข้ามา ข้ายินดีที่จะสู้กับเจ้าสามร้อยรอบ!” หลิงฮันยื่นมือออกไปเพื่อท้าสู้
ซวนหยวนจื่อกวางยื่นอยู่นอกประตูเมือง เมื่อได้ยินหลิงฮันพูดแบบนั้นมันคิดว่าอีกฝ่ายว่างมากเลยรึ? ตอนนี้อย่าว่าแต่ต่อสู้สามร้อยรอบเลย หากอยู่นอกเมืองแบบนี้มันจะต้องถูกหมอกสีดำฆ่าตายอย่างแน่นอน
“ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง!” ซวนหยวนจื่อกวางกล่าวด้วยน้ำเสียงชั่วร้ายและพุ่งเข้าไปในประตูเมือง
น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ตกหลุมพราง
ในความเป็นจริง รูปแบบอาคมขนาดใหญ่ของเมืองสมบัติถูกเปิดใช้งานเต็มที่แล้ว และมีแสงสีขาวคล้ายกับเปลือกไข่ปกคลุมท้องฟ้าและใต้ดิน
สำหรับตำหนักสมบัติวิญญาณและสมาคมนักปรุงยา
ตู้ม ในรูปแบบอาคมสังหาร ดาบสีดำก่อตัวขึ้นมา มันมีความหยาวหนึ่งร้อยฟุต และเปล่งแสงอันเยือกเย็นออกมา แม้จะมีจอมยุทธระดับสวรรค์หลายคนอยู่ในเมือง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับดาบสีดำนี้ มันทำให้พวกเขารู้สึกหนาวเย็นไปถึงก้นบึ้งหัวใจ
น่ากลัว!
ดาบสีดำนั่นคล้ายกับอาวุธวิญญาณระดับสิบ ซึ่งแน่นอนว่าสามารถฆ่าจอมยุทธระดับสวรรค์ได้
ดาบสีดำกระหน่ำโจมตีเมืองหมื่นสวรรค์ แต่โชคดีที่รูปแบบอาคมป้องกันของเมืองถูกเปิดใช้งานแล้ว และสร้างม่านพลังเพื่อป้องกันดาบเล่มนั้น ตู้ม อักขระจำนวนมากเปล่งแสงกลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วนและกระจัดกระจายตกลงมาจากท้องฟ้า
ทุกคนรู้สึกตกใจ ขุมพลังใดที่จู่โจมเมืองหมื่นสวรรค์? ไม่ว่าจะเป็นตำหนักสมบัติวิญญาณหรือสมาคมนักปรุงยาต่างมีความมั่งคั่งทั้งยังมีสถานะสูงส่งและไม่เคยมีความบาดหมางกับขุมพลังใด แต่ทำไมพวกเขาถึงถูกโจมตี?
“หรือว่านี่คือรูปแบบอาคมสังหารที่สี่?’ ผู้อาวุโสคนหนึ่งอุทานออกมา
“รูปแบบอาคมสังหารที่สี่?” หลายคนรู้สึกสับสน
“รูปแบบอาคมสังหารมีทั้งหมดสิบรูปแบบ รูปแบบอาคมสังหารเก้าอาคมจะถูกแบ่งตามลำดับ ซึ่งแต่ละลำดับของมันไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่ก็สามารถสังหารจอมยุทธระดับทลายมิติได้! และรูปแบบอาคมแรก…เป็นรูปแบบอาคมที่ทรงพลังที่สุด แม้กระทั่งพระเจ้าก็สามารถสังหารได้!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าว
“อะไรกัน!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที
แล้วพวกเขาจะทำอะไรกับรูปแบบอาคมสังหารที่สี่ได้ รูปแบบอาคมที่ปกป้องเมืองอยู่จะสามารถต่อต้านได้หรือไม่? ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั่งจอมยุทธระดับทลายมิติยังถูกสังหาร หากรูปแบบอาคมของเมืองพังทลาย พวกเขาทุกคนคงจะหลบหนีจากความตายไม่พ้น
ใครมันเป็นคนทำมันต้องบ้าไปแล้ว!
หลิงฮันเปิดใช้งานเนตรแห่งสัจธรรม และสังเกตมองอย่างละเอียดแล้วพูดว่า “รูปแบบอาคมสังหารที่สี่มันยังไม่สมบูรณ์ จอมยุทธระดับทลายมิติน่าจะทำลายมันได้”
“เจ้าหนู เจ้ารู้อะไรงั้นรึ?”
“เจ้าคือใคร?”
“ผู้ใหญ่กำลังพูดคุยกันอยู่ เด็กน้อยอย่างเจ้าควรฟังอยู่เงียบๆ”
หลิงฮันปริปากพูดออกมาทำให้หลายคนรู้สึกไม่พอใจ คนพวกนี้ต่างมีความภาคภูมิใจเป็นของตัวเอง แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็ตาม อย่างไรก็ตาม บางคนไม่มีอคติต่อหลิงฮัน และรู้สึกมีความวัง
มันว่ากันว่าตำหนักสมบัติวิญญาณมีจอมยุทธระดับทลายมิติอยู่ ตราบใดที่เขาปรากฏตัวออกมา เขาจะต้องทำลายมันได้อย่างแน่นอน
“ตามที่สหายตัวน้อยพูด ข้าเองก็มีความรู้สึกเช่นนั้น” ชายชรากล่าว “มิฉะนั้น รูปแบบอาคมขนาดใหญ่ของเมืองคงไม่มีทางหยุดรูปแบบอาคมสังหารที่สี่ได้!”
นี่คือรูปแบบอาคมสังหารที่สี่ และยังมีรูปแบบอาคมเหลืออยู่อีกแปดรูปแบบ ซึ่งรูปแบบอาคมสังหารแรกสามารถสังหารได้แม้กระทั่งพระเจ้า ซึ่งทรงพลังกว่ารูปแบบอาคมสังหารเก้ารูปแบบรวมกันเสียอีก
สิ่งที่หลิงฮันพูดแน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อ แต่ถ้าผู้อาวุโสเห็นด้วยเหมือนกับเขา หลายคนจึงเริ่มเชื่อมั่นในคำพูดของเขา
“ผู้อาวุโสของตำหนักสมบัติวิญญาณได้โปรดทำลายมันที!”
“ใช่แล้วมีเพียงแค่จอมยุทธระดับทลายมิติเท่านั้นที่สามารถทำได้”
ทุกคนต่างพูดออกมาแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีคุณสมบัติร้องขอจอมยุทธระดับทลายมิติก็ตาม แต่ทว่าชีวิตของพวกเขามาถึงทางตันแล้วจึงกล้าที่จะพูดแบบนั้นออกมา มิฉะนั้นไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะต้องถึงจุดจบ
ร่างหนึ่งปรากฏออกมา เขาคือยิ่นเฉวยางชายร่างอ้วน เขามองออกไปที่นอกเมืองและเห็นหมอกสีดำกระจายไปทั่ว มันเป็นการโจมตีระลอกที่สอง เขาขมวดคิ้วและพูดว่า “ผู้อาวุโสใหญ่คนอื่นๆหลายคนออกไปจากเมืองหมื่นสมบัติหมดแล้ว”
“ผู้อาวุโสสูงสุดก็จากไปด้วย?” ทุกคนอุทานออกมา
“ใช่แล้ว” ยิ่นเฉวยางถอนหายใจ “ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่เหลือเพียงแค่ข้าคนเดียว”
ทุกคนรู้สึกสิ้นหวัง จอมยุทธรระดับสวรรค์นั้นไม่สามารถทำลายรูปแบบอาคมสังหารที่สี่ได้ แม้มันจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม
“ข้าหวังว่ารูปแบบอาคมของเมืองจะแข็งแกร่งพอที่จะรอให้ผู้อาวุโสเหล่านั้นกลับมา” ทุกคนตั้งตารอ
หลิงฮันรู้สึกสงสัย ผู้อาวุโสของตำหนักสมบัติออกไปนอกเมือง และยังออกไปพร้อมกันด้วย? มันเป็นไปได้ด้วยหรือที่พวกเขาจะออกไปพร้อมกัน?
ยิ่นเฉวยางส่ายหัวอีกครั้งและพูดว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งแปดคนไม่น่าจะกลับมาในเวลาอันสั้น…น่าจะกลับมาในหนึ่งปีหรือสองปี”
ทำไมถึงนานแบบนั้น?
ใบหน้าของทุกคนกลายเป็นซีดขาว หนึ่งปีหรือสองปี? รูปแบบอาคมที่ปกป้องเมืองจะอยู่ได้นานถึงหนึ่งปีหรือสองปีหรือไม่?
“เมืองหมื่นสมบัติเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคกลาง ถ้าหากขาดการติดต่อสื่อสารเป็นเวลานาน บางคนอาจคิดว่ามันผิดปกติและมุ่งหน้ามาที่นี่” ใครบางคนพูดออกมาไปด้วยความหวัง
“แต่พวกเราจะรอให้ถึงเวลานั้นได้หรือไม่?” ใครบางคนพูดออกมาในแง่ร้าย
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
รูปแบบสังหารที่สี่ยังคงกระหน่ำโจมตีเมืองหมื่นสมบัติ และการป้องกันของเมืองเริ่มต้านทานไม่ไหว ในไม่ช้าก็เกิดรอยแตกหลายแห่ง ในไม่ช้ามันคงพังทลาย
รูปแบบอาคมป้องกันของเมืองหมื่นสมบัติชั้นแรกถูกทำลาย และปรากฏรูปแบบอาคมป้องกันชั้นที่สองขึ้นมา ในไม่ช้า มันก็ถูกรูปแบบอาคมสังหารที่สี่กระหน่ำโจมตีไม่หยุด แต่ทว่ามันกลับสามารถต้านทานได้ ดังนั้นเมืองจะยังไม่แตก
แต่ปัญหาคือรูปแบบอาคมป้องกันเมืองต้องใช้ผลึกก่อเกิดมหาศาลในการทำงาน แล้วผลึกก่อเกิดจะเพียงพอที่จะเปิดใช้งานรูปแบบอาคมได้นานแค่ไหนกัน?
หลังจากปรึกษาหารือกับสมาคมนักปรุงยา ยิ่นเฉวยางก็ได้ข้อสรุปว่ามันจะคงอยู่ได้ครึ่งปี และหากได้รับการสนับสนุนผลึกก่อเกิดจากขุมพลังอื่น มันน่าจะอยู่ได้นานขึ้น
ในเวลานี้ไม่มีใครแสดงความเห็นแก่ตัวออกมา ทุกคนต่างเสนอผลึกก่อเกิดของตัวเองออกมาและหวังว่ารูปแบบอาคมขนาดใหญ่จะสามารถคงอยู่ได้นานพอที่กำลังเสริมจะมาถึง
“แล้วปรมาจารย์ของสมาคมนักปรุงยาล่ะ?” ใครบางคนถาม
ใช่แล้ว สำนักงานใหญ่ของสมาคมนักปรุงยาอยู่ที่นี่ พวกเขาอาจจ้างจอมยุทธที่แข็งแกร่งหลายคน และอาจมีจอมยุทธระดับทลายมิติอยู่ในหมู่พวกเขา
“นักปรุงยาระดับสวรรค์สองคนรวมถึงผู้ติดตามของพวกเขาได้ออกจากเมืองไปนานแล้ว” นักปรุงยาคนหนึ่งกล่าว สถานะของเขาอยู่ในระดับที่สูงเขาเป็นนักปรุงยาระดับปฐพีขั้นสูง
ตัวตนระดับสูงของตำหนักสมบัติวิญญาณและสมาคมนักปรุงยาจากไปพร้อมกัน และเมืองหมื่นสมบัติอยู่ภายใต้การล้อมกรอบจากรูปแบบอาคมสังหารที่สี่ นี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
ตอนที่ 557
กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“หรือว่าตำหนักสมบัติวิญญาณและสมาคมนักปรุงยาจะร่วมมือกันเพื่อสังหารหมู่พวกเรา?” ผู้คนที่หวาดกลัวอุทานออกมา
ยิ่นเฉวยางพูดเย้ยหยันว่า “การที่จะสังหารพวกเจ้าจะต้องวางแผนการใหญ่ขนาดนี้เลยงั้นรึ? แค่ข้าคนเดียวก็สามารถสังหารพวกเจ้าเป็นหมื่นครั้งได้แล้ว!”
มันฟังดูสมเหตุสมผล หลายคนที่กระวนกระวายเริ่มใจเย็นลง
ประเด็นคือไม่ว่าจะเป็นตำหนักสมบัติวิญญาณหรือสมาคมนักปรุงยาคงไม่ทำแบบนั้นแน่
“ผู้อาวุโสสูงสุดแปดคนของตำหนักสมบัติวิญญาณและนักปรุงยาระดับสวรรค์สองคนของสมาคมนักปรุงยาจากไปพร้อมกันงั้นหรือ?” หลิงฮันถามออกมาทันที
ยิ่นเฉวยางหันไปมองหลิงฮัน เขาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว พวกเขาได้รับข่าวการค้นพบหลุมฝังศพโบราณของจักรพรรดินักปรุงยาหลิงฮันเมื่อครั้งอดีต รวมถึงสมบัติของเขาที่รวบรวมมาตลอดชีวิต!”
ทุกคนกลายเป็นแตกตื่น
หลิงฮันเมื่อหมื่นปีก่อนคือตำนาน ไม่เพียงแต่จะเป็นจักรพรรดินักปรุงยา แต่ยังยืนอยู่บนจุดสูงสุดในโลกของจอมยุทธ เขาเป็นคนที่น่าทึ่งขนาดไหนน่ะหรือ? เพียงแค่คิดก็ทำให้ทุกคนรู้สึกอิจฉา!
แล้วข่าวการค้นพบหลุมฝังศพของเขาใครมันจะอดใจไหว?
หลิงฮันแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ในชีวิตที่แล้วเขาถูกหอคอยทมิฬทำลายกลายหยาบของเขากลายเป็นเถ้าถ่าน แล้วมันจะมีหลุมฝังศพได้อย่างไร! เห็นได้ชัดว่ามันเป็นกับดัก หลังจากที่เหล่าตัวตนระดับสูงของเมืองหมื่นสมบัติออกไป ฝ่ายตรงข้ามจึงได้โอกาสล้อมกรอบเมือง
แม้ว่าจะมีจอมยุทธระดับสวรรค์อย่างยิ่นเฉวยาง รูปแบบอาคมสังหารที่สี่สามารถสังหารจอมยุทธระดับสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย
ไม่สิ มันต้องมีแผนการที่ใหญ่บางอย่างอยู่เบื้องหลังเป็นแน่
“ดูเหมือนว่านี่เป็นเพียงแค่แผนล่อเสือออกจากถ้ำ ข้าหวังว่าเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดและนักปรุงยาระดับสวรรค์จะกลับมาอย่างปลอดภัย” ยิ่นเฉวยางถอนหายใจ
“ตอนนี้พวกเราทำได้แค่ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น!” ยิ่นเฉวยางกำหมัดแน่นและพูดว่า “ทุกคนโปรดช่วยหยางน้อยผู้นี้ปกป้องเมืองหมื่นสมบัติด้วยเถิด!”
“เมืองหมื่นสมบัติเองก็เป็นบ้านของข้าเช่นกัน ข้าจะทำสุดความสามารถ!” เสียงของชายชราคนหนึ่งลอยดังมาจากในเมือง และเต็มไปด้วยพลัง
“หยางน้อย หากไม่ถึงเวลาจำเป็น ข้าจะไม่ปรากฏตัวออกมา” ครั้งนี้เป็นเสียงของหญิงชรา แต่เสียงของนางแข็งแกร่งเหมือนกับเหล็ก ทำให้หลายคนไม่อาจยืนหยัดต่อแรงกดดันของนางได้
“อืม!” เสียงของคนที่สามลอยดังออกมา แต่พูดออกมาอย่างเรียบเฉย
เสียงเหล่านั้นคือเหล่าจอมยุทธระดับสวรรค์ที่อยู่ในเมืองตำหนักสมบัติวิญญาณ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ยิ่นเฉวยางรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย ทั้งโลกมีจอมยุทธระดับทลายมิติเพียงแค่ไม่กี่คน จอมยุทธระดับสวรรค์ถือเป็นตัวตนที่น่าอัศจรรย์ และตอนนี้จอมยุทธระดับสวรรค์สี่คนได้ร่วมมือกัน ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น
นอกจากนี้ ศัตรูที่อยู่ในความมืดถึงกับใช้รูปแบบอาคมสังหารที่สี่ได้ นี่คงไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายมีจอมยุทธระดับทลายมิติหรอกใช่หรือไม่? มิฉะนั้น ถึงแม้จอมยุทธระดับสวรรค์สี่คนจะร่วมมือกัน พวกเขาจะต่อกรด้วยได้อย่างไร?
หากไม่เป็นแบบนั้น แค่พลังของพวกเขาก็น่าจะเพียงพอแล้ว
หลิงฮันหันไปมอง แต่ก็ต้องส่ายหน้าทันที ศัตรูที่อยู่ในความมืดนี่จะต้องมีจอมยุทธระดับทลายมิติอยู่แน่นอน มิฉะนั้นมันจะกล้าขนาดนี้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามันไม่มีจอมยุทธระดับทลายมิติอยู่ มันจะใช้รูปแบบอาคมสังหารที่สี่ได้อย่างไร?
และฝ่ายตรงข้ามเองน่าจะมีสายลับอยู่ในตำหนักสมบัติวิญญาณถึงรู้การเคลื่อนไหวของพวกเขา
สรุปแล้วเมืองหมื่นสมบัติในปัจจุบันตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง
ครื้นนน รูปแบบอาคมสังหารที่สี่ส่งเสียงกึกก้อง ดาบดำ กระบี่ดำ หอกดำ อาวุธทุกประเภทกระหน่ำโจมตีรูปแบบอาคมป้องกันเมือง
วันแรกผ่านไปด้วยความหวาดกลัวของทุกคน และวันถัดไป เมื่อทุกคนจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ทุกคนรู้สึกตกตะลึง
เมื่อวาน รูปแบบอาคมสังหารที่สี่เพียงแค่กระหน่ำโจมตีเมืองด้วยอาวุธ แต่วันนี้…มันกลับโจมตีหนักเป็นสองเท่า! ด้วยเหตุนี้ทำให้พลังทำลายล้างของมันเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และทำให้ผลึกก่อเกิดถูกเผาผลาญรวดเร็วขึ้นเป็นสองเท่าเช่นเดียวกัน
ความรู้สึกผ่อนคลายของทุกคนหายไปทันที
เมื่อวานเป็นแค่การโจมตีปกติ แต่วันนี้กลับหนักเป็นสองเท่า ถ้าวันพรุ่งนี้เป็นสามเท่า และวันถัดไปมันจะไม่เป็นสี่เท่าเลยงั้นรึ? ถ้ามันทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบอาคมป้องกันเมืองคงถึงขีดจำกัดและพังทลาย
มันเป็นรูปแบบอาคมสังหารที่สี่!
หลิงฮันครุ่นคิด ถ้าเขาไม่มีหอคอยทมิฬ เขาคงไม่สามารถช่วยทุกคนได้ และคงจะใช้ยันต์อาคมเคลื่อนย้ายพริบตาหนีไป แต่ตอนนี้เขามีความสามารถที่จะช่วยเหลือทุกคนในเมือง
ถ้าเขาช่วยเหลือคนอื่น มันจะเป็นการเผยความลับของหอคอยทมิฬ แล้วจะมีสักกี่คนกันที่จะเพ่งเล็งมาที่เขา?
“เดี๋ยวก่อน ตัวตนที่แท้จริงของข้าถูกจับตามองโดยผู้คนนับไม่ถ้วน แม้ว่าข้าจะมีพื้นที่ที่สามารถรอบรับสิ่งมีชีวิตได้ แล้วถ้าเป็นอาวุธวิญญาณล่ะ?” หลิงฮันคิดในทางกลับกัน
อาวุธวิญญาณและหอคอยทมิฬที่สามารถรองรับสิ่งมีชีวิตนั้นแตกต่างกันมาก ถ้านำคนเข้าไปในหอคอยทมิฬจะต้องทำให้ฝ่ายตรงข้ามหมดสติเสียก่อน และฝ่ายตรงข้ามก็จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ถ้าอยู่ในช่วงวิกฤต ข้าจะปรากฏตัวออกมาแล้วพาทุกคนเข้าไปในหอคอยทมิฬ แล้วจากไปพร้อมกับยันต์อาคมเคลื่อนย้ายพริบตา” หลิงฮันตัดสินใจ
ในวันที่สาม สิ่งที่ทุกคนกังวลก็เกิดขึ้น
ความรุนแรงของรูปแบบอาคมสังหารที่สี่เพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า
นอกจากนี้ บรรยากาศภายในเมืองเริ่มหลุดการควบคุมอยู่ และเกิดเหตุการณ์เลวร้ายหลายอย่างเกิดขึ้นในคืนนั้น มันมีทั้งการปล้น ฆ่า และข่มขื่น เมื่อตกอยู่ในความสิ้นหวัง ธาตุแท้ของผู้คนจำนวนมากได้เผยออกมาให้เห็น
ถ้าต้องตาย ทำไมไม่ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการก่อนตายล่ะ?
เมืองหมื่นสมบัติกลายเป็นโกลาหลมากยิ่งขึ้น และผู้คำนจำนวนมากเริ่มรวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มมากมาย ในตอนแรก มันเป็นเพียงแค่กลุ่มคนธรรมดา แต่หลังจากนั้น มันมีจอมยุทธเข้าร่วมกลุ่มพวกนั้นด้วย ทำให้กลุ่มคนพวกนั้นทรงพลังมากยิ่งขึ้น
หากเป็นแบบนี้ต่อไป แม้จะไม่มีรูปแบบอาคมสังหารที่สี่ เมืองหมื่นสมบัติก็จะทำลายตัวเอง
ขุมพลังที่แข็งแกร่งภายในเมืองจึงร่วมกำลังกันเพื่อควบคุมกฎและสังหารผู้คนจำนวนมากที่กระทำความผิด จนกระทั่งในที่สุดความโกลาหลครั้งนี้ก็อยู่ภายใต้การควบคุมอีกครั้ง โชคดีที่วันที่ห้า รูปแบบอาคมสังหารที่สี่ไม่ได้รุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นห้าเท่า และยังคงรุนแรงเท่าเดิม
ทำให้หัวใจของทุกคนรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเล็กน้อย
ตอนที่ 558
นิกายพันศพบุกโจมตี
แม้ว่าจะมีเพียงแค่อาวุธสี่ประเภทโจมตีรูปแบบอาคมป้องกันเมืองหมื่นสมบัติพร้อมกัน แต่มันก็ยังทรงพลังมาก และผลึกก่อเกิดที่ต้องใช้ในแต่ละวันนั้นมากมายมหาศาล
แม้ว่าตำหนักสมบัติวิญญาณและสมาคมนักปรุงยาจะมั่งคั่ง แต่สามารถสนับสนุนผลึกก่อเกิดได้แค่หนึ่งเดือนเท่านั้นหากรูปแบบอาคมยังบริโภคผลึกก่อเกิดมากมายขนาดนี้
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน พวกเขาจะทำอะไรได้?
นี่แค่ผ่านไปสิบวันเท่านั้น
“มีบางคนปรากฏตัวออกมา!”
“ทางฝั่งตะวันออก!”
เมื่อผู้คนได้ยินข่าวนั้น พวกเขาต่างมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก และปีนขึ้นไปบนกำแพงแล้วเห็นชายหนุ่มและหญิงสาวสิบคนกำลังยืนอยู่นอกเมือง ด้านหลังของพวกเขามีชายชราร่างสูงที่มีคิ้วสีขาวยืนอยู่ด้านหลัง
“พวกเจ้าเป็นใครกัน?”
“ทำไมถึงต้องโจมตีพวกข้าด้วย?”
“พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่?”
ทุกคนถาม แต่พวกมันกลับนิ่งเงียบไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ยิ่นเฉวยางเองก็มุ่งหน้ามาดูด้วย และสำรวจชายชราตั้งแต่หัวจรดเท้า
มองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
ชายชราผู้นี้จะต้องเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์อย่างแน่นอน และระดับพลังไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา
ฝ่ายตรงข้ามทั้งสิบเอ็ดคนดูเย็นชาและไม่ไหวติ่ง ราวกับว่าพวกมันเป็นคนที่หยิ่งยโสมาก
“ข้าอยากจะถามเจ้าว่าพวกข้าไปรุกรานพวกเจ้าตอนไหน ถึงเริ่มใช้รูปแบบอาคมสังหารที่สี่ล้อมกรอบพวกข้า?” ยิ่นเฉวยางถาม
นี่คือจอมยุทธระดับสวรรค์!
ชายชราฝ่ายศัตรูพูดว่า “ในเมืองหมื่นสมบัติมีบางอย่างที่ข้าต้องการอยู่ แต่ข้าไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ใดและแน่นอนว่าจะต้องมีคนเข้ามาขวางทางพวกข้า ดังนั้นข้าจึงปิดล้อมที่นี่และจะฆ่าทุกคนทิ้งให้หมด แล้วมันก็จะไม่มีใครขวางทางข้าได้”
นี่น่ะหรือเหตุผล? เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเข้ามาขวางทาง พวกมันจึงคิดจะฆ่าทุกคนในเมืองให้หมด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?
หลังจากที่ทุกคนฟังจบ พวกเขาต่างตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ
แต่บางคนคิดว่าการที่พวกมันปิดล้อมเมืองโดยใช้รูปแบบอาคมสังหารที่สี่ ดังนั้นสิ่งที่พวกมันต้องการจะล้ำค่าขนาดไหน?
ขุมพลังที่ทำแบบนี้ได้ มันเหมือนกับตั้งตัวเป็นศัตรูกับทั้งทวีปเทียนฮง!
แม้ผู้อาวุโสสูงสุดแปดคนของตำหนักสมบัติวิญญาณและนักปรุงยาระดับสวรรค์ของสมาคมนักปรุงยาจะไม่กลับมา แต่พวกมันคิดว่าจะตีเมืองหมื่นสมบัติได้อย่างง่ายดาย? ในแง่ของจำนวน การรวมตัวกันของตำหนักสมบัติวิญญาณและสมาคมนักปรุงยาควรที่จะแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคเทียนฮงมิใช่หรือ?
ขุมพลังที่กล้ารุกรานที่นี่เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่พวกมันต้องการนั้นล้ำค่าเพียงใด
“โอ้ว แล้วมันคืออะไรงั้นหรือ พวกเราสามารถช่วยพวกเจ้าค้นหาได้เพียงแค่ปลดรูปแบบอาคมสังหารที่สี่นี่ก่อน พวกเจ้าคิดว่าไง?” ยิ่นเฉวยางหัวเราะ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนหนึ่งแต่เขาก็คุ้นเคยกับการเจรจาต่อรอง
“ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น พวกข้าจะหามันด้วยตัวเองยิ่งไปกว่านั้น นิกายของข้าชื่นชอบสถานที่แห่งนี้มาก และมันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของนิกายพวกข้า” ชายชรากล่าว
“โอ้ว แล้วเจ้ามีชื่อว่าอะไร รวมถึงนิกายของเจ้าด้วย?” ยิ่นเฉวยางถาม
ชายชราคิ้วขาวยิ้มออกมาอย่างน่ากลัวและพูดว่า “แซ่ของข้าคือไป๋ ชื่อคือหยวน ส่วนนิกายของข้าชื่อ…พวกเจ้าน่าจะรู้จักดี”
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูดออกมาและให้ทุกคนชื่นชมกับมันล่ะ?” ยิ่นเฉวยางกล่าว
“ไม่จำเป็นต้องพูด จงดูด้วยตาของพวกเจ้าเอง!” ไป๋หยวนแสยะยิ้ม มันยกมือขวาขึ้นมาและเกิดเสียงแปลกประหลาดและทัดใดนั้นโลงศพเจ็ดโลงได้ปรากฏออกมาจากหมอกดำ
“นิกายพันศพ!” ผู้คนจำนวนมากอุทานออกมาพร้อมกันทันที
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า นิกายของข้าจะใช้เมืองหมื่นสมบัติเพื่อบอกให้ทั้งโลกรู้ว่านิกายพันศพ…กลับมาแล้ว!” ไป๋หยวนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
นิกายพันศพกลับมาอย่างโจ่งแจ้ง และจะกวาดล้างเมืองหมื่นสมับิติเพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นของพวกมัน
หลิงฮันส่ายหัวอยู่ในใจ ถ้านิกายพันศพเลือกเมืองหมื่นสมบัติเป็นฐานที่มั่น รูปแบบอาคมสังหารที่สี่ก็จะไม่มีวันถูกคลายและจะกลายเป็นรูปแบบอาคมป้องกันนิกายพันศพ!
รูปแบบอาคมสังหารทั้งสิบนั้นเหมือนกัน มันเป็นรูปแบบอาคมที่เกิดขึ้นจากสวรรค์และปฐพี ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นต้องใช้ผลึกก่อเกิดเพื่อเป็นแหล่งพลังงาน
และมันยังเป็นหนึ่งในรูปแบบอาคมที่มีการป้องกันยอดเยี่ยมที่สุดในโลก
“อย่าได้พูดว่าข้าผู้นี้จะไม่มอบโอกาสรอดชีวิตให้แก่พวกเจ้า” ไป๋หยวนหัวเราะ “ศิษย์ทั้งสิบคนของนิกายข้า ตอนนี้ถึงเวลาเลือกผู้ติดตามแล้ว หากศิษย์ทั้งสิบคนของข้าเลือกใครคนผู้นั้นจะรอด”
ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมคนหนึ่งพูดออกมาว่า “ใครก็ตามที่มีอายุช่วงเดียวกับข้าและสามารถป้องกันการโจมตีของข้าได้สิบกระบวนท่า คนผู้นั้นมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ติดตามของข้า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์น้องเจ็ดพูดว่าป้องกันสิบกระบวนท่า นั่นมันไม่มากไปหน่อยหรือ?” ชายหนุ่มเสื้อคลุมม่วงยิ้ม “ใครที่สามารถป้องกันการโจมตีของข้าได้ห้ากระบวนท่าได้นั้นสามารถเป็นผู้ติดตามของข้าได้”
เห็นได้ชัดว่ามันคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่า และคิดว่ามีเพียงไม่กี่คนที่สามารถรับมือกับมันห้ากระบวนท่าได้
รุ่นเยาว์พวกนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง พวกมันทุกคนต่างเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน และมีหลายคนที่อยู่ช่วงปลายของระดับบุปผาผลิบานแล้ว ซึ่งแต่ละคนไม่ได้อ่อนแอไปกว่าซวนหยวนจื่อกวงเลย
“หึ่ม พวกหนูข้างถนนพูดจาอวดดีนัก ข้าจะสอนบทเรียนให้แก่เจ้าเอง” เจี่ยชางกระโดดลงมาจากประตูเมือง และพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าจะไม่เป็นผู้ติดตามของพวกเจ้าแต่อย่างใด เพียงแค่จะสังหารพวกเจ้าทิ้งให้หมด!”
“พูดได้ดี!” บนประตูเหมืองหลายคนแสดงสีหน้าต่างๆออกมา
นิกายพันศพใช้รูปแบบอาคมสังหารที่นี่เพื่อที่จะสังหารพวกเขาทุกคน จึงเป็นธรรมดาที่หลายคนจะรู้สึกเลือดร้อนและต้องการต่อสู้กับพวกมัน อย่างไรก็ตาม บางคนคิดต่าง สถานการณ์ในปัจจุบันนิกายพันศพเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นนกดีต้องรู้จักเลือกกิ่งไม้”
“ระดับบุปผาผลิบานขั้นสอง ใครจะเป็นคนจัดการ?” ศิษย์ทั้งสิบคนของนิกายพันศพมองหน้ากันไปมา และในที่สุดก็มองไปที่ชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบปี “ศิษย์น้องสิบเจ็ด เจ้าเป็นคนที่มีระดับพลังต่ำที่สุด ดังนั้นเจ้าจะต้องเป็นคนจัดการมัน”
ชายหนุ่มดูเชื่อฟังและเดินออกมาจากกลุ่มของมันและยืนตรงข้ามกับเจี่ยชาง
“ตาย!” เจี่ยชางเริ่มโจมตีทันที มือของของมันพุ่งออกไปและกลายเป็นกรงเล็บมังกรทองพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามทันที และได้สร้างพายุที่รุนแรงไว้เบื้องหลัง
ตู้ม กรงเล็บมังกรสร้างแรงกดดันให้กับอีกฝ่าย ราวกับมังกรที่แท้จริงปรากฏตัวออกมาเพื่อสยบโลก
“เจ้าเองก็แข็งแกร่งเหมือนกันนิ” ชายหนุ่มพยักหน้าและเริ่มเป็นฝ่ายโจมตีบ้าง
มือของมันที่พุ่งออกไปแสดงให้เห็นว่ามันมาจากนิกายพันศพ พลังปราณอันชั่วร้ายโคจรอยู่รอบมือและกลายเป็นหัวกระโหลกที่น่าสะพรึงกลัว และอ้าปากเพื่อเขมือบกรงเล็บมังกรทอง
ตู้ม!
ตอนที่ 559
ทหารซากศพ
ชายหนุ่มทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือด และเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาผลของการต่อสู้
ทุกคนในเมืองรู้สึกตื่นเต้น
แม้ว่าเจี่ยชางจะเป็นหนึ่งในห้ามังกร แต่ในหมู่รุ่นเยาว์ภูมิภาคกลางเขาไม่ติดอันดับหนึ่งในร้อยเลยด้วยซ้ำ
มีเพียงแค่ซวนหยวนจื่อกวาง ย่าวหุยเยว่และคนอื่นๆเท่านั้นที่แสดงให้เห็นถึงขีดจำกัดของรุ่นเยาว์รุ่นนี้
หลิงฮันส่ายหัวและพูดว่า “เจี่ยชางจะเป็นฝ่ายแพ้”
เสียงที่เขาพูดออกมาไม่ได้เบา ทำให้มีหลายคนที่อยู่ด้านข้างเขาได้ยินที่เขาพูด
“เดี๋ยวก่อน เจ้าเป็นใครกันถึงพูดว่าเจี่ยชางจะเป็นฝ่ายแพ้?”
“หรือว่าเจ้าจะเป็นสายให้กับนิกายพันศพ?”
“น่าสงสัย!”
หลายคนจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยสายตาชั่วร้าย
จูเสวี่ยนเอ๋อเป็นคนฉลาด นางรู้ความหมายที่หลิงฮันต้องการสื่อทันทีและพูดว่า “คนพวกนั้นเป็นศิษย์ของนิกายพันศพ และพลังที่แท้จริงของพวกมันคือ…ทหารซากศพ!”
เมื่อได้ยินจูเสวี่ยนเอ๋ออธิบาย ทุกคนหายสงสัยหลิงฮันทันที
ใช่แล้ว ทำไมนิกายพันศพถึงมีแต่ผู้คนรังเกียจ? และทำไมมันถึงถูกทำลายเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน? นั่นเป็นเพราะพวกมันหลอมทหารซากศพขึ้นมา!
ทหารซากศพคืออะไร? มันคือร่างของจอมยุทธที่ถูกฆ่าตาย รวมถึงร่างของจอมยุทธที่ถูกขโมยมาจากสุสาน และพวกมันได้หลอมเป็นทหารซากศพ
นิกายซากศพหากไร้ซึ่งทหารซากศพก็จะเป็นนิกายธรรมดา แต่ด้วยทหารซากศพของพวกมันทำให้มันกลายเป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งเหมือนกับนิกายดาบสวรรค์และนิกายนกอมตะเมฆา หรืออาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ชายหนุ่มที่เจี่ยชางกำลังต่อสู้อยู่ด้วยนั้นใช้แค่พลังของตัวเองเท่านั้น แล้วถ้ามันใช้ทหารซากศพล่ะ…ผลลัพธ์จะลงเอ่ยเช่นไร?
หลิงฮันพูดว่าเจี่ยชางจะเป็นฝ่ายแพ้ มันไม่ใช่คำพูดไร้เหตุผลหรือเขาอยู่ข้างนิกายกายพันศพแต่อย่างใด แต่เขาแค่พูดความจริงออกมาเท่านั้น
“ศิษย์น้องสิบเจ็ด ทำไมเจ้ายังจัดการมันไม่ได้อีก!”
“นี่มันช้าเกินไปแล้ว!”
“เจ้าจะให้พวกข้ารออีกกี่วันอีกกี่เดือนหรืออีกี่ปีกันถึงจะจัดการมันได้?” ชายหนุ่มเก้าคนของนิกายพันศพต่างตะโกนออกมา
ชายหนุ่มที่กำลังต่อสู้กับเจี่ยชางยิ้มออกมาอย่างชั่วร้ายและพูดว่า “หากศิษย์พี่ทั้งหลายรีบร้อนขนาดนั้น ศิษย์น้องคนนี้จะจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด!” จากนั้นมันได้ส่งเสียงตะโกนแล้วเกิดเสียงอึกทึกจากระยะไกล และมีโลงศพสี่โลงพุ่งเข้ามาพร้อมกัน
ผู้คนของนิกายพันศพล้วนแต่เป็นผู้ใช้ซากศพ ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากแค่ไหนยิ่งควบคุมซากศพได้มากขึ้นเท่านั้น อย่างเช่น มันเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นหก สามารถควบคุมทหารซากศพได้หกร่าง แต่การที่จะทำแบบนั้นได้จะต้องมีความสามารถที่สูงด้วย ดังนั้นสี่ตัวคือขีดจำกัดของมัน ส่วนศิษย์ระดับบุปผาผลิบานทั่วไปสามารถควบคุมทหารซากศพได้หนึ่งหรือสองร่าง
“ออกมา!” ชายหนุ่มตะโกนและทหารซากศพทั้งสี่ร่างกระโจนออกมาจากโลงศพทันที หัวของพวกมันแต่ละร่างเน่าเปื่อยหลงเหลือเพียงแค่โครงกระดูกเท่านั้น แต่มันกลับแข็งราวกับเหล็ก
ทหารซากศพระดับเงินขั้นสามเทียบได้กับระดับบุปผาผลิบาน
ชายหนุ่มจ้องมองไปที่เจี่ยชางและพูดว่า “เจ้าอ่อนแอเกินไปที่จะมีคุณสมบัติเป็นผู้ติดตามของข้าซือทู่ย่าวผู้นี้”
“เหลวไหล!” เจี่ยชางกลายเป็นโกรธเกรี้ยว แม้เขาจะไม่มีความคิดที่จะเป็นผู้ติดตามของฝ่ายตรงข้ามก็ตาม แต่เขาก็ไม่อาจทนฟังคำดูหมิ่นของอีกฝ่ายได้ เขาตะโกนออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวและมีกระจกปรากฏอยู่ในมือ
“กระจกทองคำ!” เขาตะโกนและชูกระจกขึ้นมาแล้วทันใดนั้นแสงสีทองพุ่งเข้าหาซือทู่ย่าว
ใบหน้าของซือทู่ย่าวกลายเป็นเย็นชา มันไม่จำเป็นต้องหลบ ทันใดนั้นทหารซากศพได้ปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของมันและป้องกันแสงสีทองที่พุ่งเข้ามาหาและปรากฏรูโบ๋บนร่างทหารซากศพ
ยอดเยี่ยม แม้ว่าร่างของทหารซากศพจะไม่สามารถเทียบกับเหล็กล้ำค่าได้ แต่มันค่อนข้างแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง แต่มันกลับถูกเจาะทะลวงได้ในการโจมตีครั้งเดียว นี่แสดงให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของอาวุธวิญญาณชิ้นนี้
ซือทู่ย่าวไม่สนใจแม้แต่น้อย และมุ่งเป้าไปที่เจี่ยชางและพูดว่า “ฆ่ามัน!” ทันใดนั้นทหารซากศพสี่ร่างกระโจนเข้าหาเจี่ยชางทันทีราวกับเสือ
ในอดีต นิกายพันศพเป็นที่เกลียดชังของทุกขุมพลัง ไม่เพียงแค่พฤติกรรมที่ชั่วร้ายของพวกมัน แต่ยังเป็นเพราะพลังของพวกมันด้วย! ในตอนแรกซือทู่ย่าวและเจี่ยชางต่อสู้กันได้อย่างสูสี แต่เมื่อทหารซากศพปรากฏตัวออกมา พลังของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทหารซากศพทั้งสี่ร่างคือตัวตนของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้า และเมื่อพวกมันถูกหลอมเป็นทหารซากศพ ทำให้พวกมันไม่เกรงกลัวต่อความตายหรือความเจ็บปวด และกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร
แม้ว่าเจี่ยชางจะกดดันอีกฝ่ายด้วยแสงสีทอง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับทหารซากศพสี่ร่างที่เป็นถึงระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้า เขาจะรับมือได้อย่างไร?
“อ่อนแอ อ่อนแอเกินไป!” ศิษย์ทั้งสิบคนของนิกายพันศพส่ายหัวและจ้องมองอย่างเหยียดหยาม
บนกำแพงเมือง ทุกคนกลายเป็นนิ่งเงียบ
เจี่ยชางอ่อนแอมาก แม้เขาจะเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นสองที่มีพลังต่อสู้เจ็ดดาวและหลังจากที่ใช้กระจกทองคำทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสิบดาว แต่อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งกว่ามาก ทหารซากศพทั้งสี่ร่างมีความแข็งแกร่งของระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้า และพวกมันยังไม่เกรงกลัวต่อความตาย แล้วเขาจะจัดการมันได้อย่างไร?
ในไม่ช้าเขาก็จะตกอยู่ในอันตราย และไม่ถึงสิบกระบวนท่าเขาก็จะถูกฆ่า
“พอได้แล้ว!” ยิ่นเฉวยางตะโกน
ไป๋หยวนยิ้มและพูดว่า “รุ่นเยาว์กำลังแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน เจ้าจะเข้ามาแทรกได้อย่างไร!”
“ข้าบอกให้หยุด!” ยิ่นเฉวยางคำราม และเสียงของเขากลายเป็นคลื่นพลังที่กระจายไปเป็นวงกว้าง
นี่คือความโกรธของจอมยุทธระดับสวรรค์ แม้แต่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานยังรู้สึกตกใจ
“เจ้าหมูอ้วน เจ้าชักจะสามห้าวเกินไปแล้ว!” ไป๋หยวนปล่อยหมอกแห่งความตายออกมาเพื่อป้องกันคลื่นเสียงของยิ่นเฉวยาง
“อะไรกัน!” เจี่ยชางกรีดร้อง ทหารซากศพทั้งสี่ร่างกำลังจับหัว แขน และขาของเขาแล้วแยกส่วน ร่างกายของเขาไม่ได้ทำมาจากเหล็ก เมื่อเขาถูกจับแยกส่วน ทำให้เขาตายทันที
“ศิษย์น้องสิบเจ็ด เจ้าจะทำแบบนั้นได้ยังไง พวกเราควรทำให้ร่างกายของมันสมบูรณ์ที่สุดเพื่อปรับแต่งเป็นทหารซากศพมิใช่หรือ?” ใครบางคนพูดออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ
ซือทู่ย่าวยิ้มและพูดว่า “มันก็แค่ระดับบุปผาผลิบานขั้นสอง ศพที่ควบคุมได้นั้นก็มีจำกัด และที่นี่ยังมีศพให้จัดการอีกตั้งเยอะ”
“มีใครอยากสู้อีกหรือไม่?”มันมองไปที่ฝูงชนบนกำแพงด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
ช่างอวดดียิ่งนัก!
ความแข็งแกร่งของเจี่ยชางถือว่าแข็งแกร่งแล้ว แต่กลับพ่ายแพ้ให้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่ามาก
อย่างน้อยคนที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับเจี่ยชางนั้นไม่ใช่คู่มือของมัน มิฉะนั้นมันจะเป็นการฆ่าตัวตาย
ตอนที่ 560
ผังเซี่ยงหมิงแห่งภูมิภาคตะวันตก
“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าตำหนักสมบัติวิญญาณจะจัดการแข่งขันขึ้นทุกๆสามปีหรือไม่ก็ห้าปีสินะ และหนึ่งในการแข่งขันก็คืองานประลองยุทธ ข้าอยากรู้ยิ่งนักว่าพอจะมีใครมีฝีมือบ้าง?” ซือทู่ย่าวกล่าวเยาะเย้ย
แม้ทุกคนจะรู้สึกโมโหที่ถูกเยาะเย้ยและดูหมิ่นแต่ก็ไม่อาจผลีผลามตกลงสู่กับดัก
“ข้าจะสู้กับเจ้าเอง!” รุ่นเยาว์เลือดร้อนผู้หนึ่งโดดลงไป แต่พลังบ่มเพาะของรุ่นเยาว์คนนี้ยังไม่บรรลุแม้แต่ระดับบุปผาผลิบาน ภายในพริบตาร่างของเขาก็กลายเป็นเศษเนื้อทันที
ซือทู่ย่าวโยนอาวุธวิญญาณของเจี่ยชางเล่นและหัวเราะออกไป “แม้เจ้าจะอ่อนแอ แต่อาวุธวิญญาณชิ้นนี้ไม่เลวเลย มันสามารถคุกคามได้แม้กระทั่งจอมยุทธระบุปผาผลิบานขั้นปลาย”
“คืนกระจกมา!” ใครบางคนกระโดดลงมาจากกำแพงและคำรามใส่ซือทู่ย่าว เขาคือชายวัยกลางคนที่ดูมีอายุราวๆสี่สิบปี กลิ่นอายของเขายากที่จะหยั่งถึง
“เจ้าก็อายุปูนนั้นแล้ว แทรกแซงการต่อสู้ของรุ่นเยาว์จะไปสนุกอะไร!” ไป๋หยวนปล่อยฝ่ามือเข้าใส่ชายวัยกลางคน
ยิ่นเฉวยางลงมือต่อต้านการโจมตีของไป๋หยวน ‘ปัง’ เสียงปะทะอันรุนแรงดังขึ้นพร้อมกับการโจมตีของไป๋หยวนที่สลายไป ชายวัยกลางคนคนนั้นรีบล่าถอยทันที เขาคือจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณของตระกูลเจี่ย เขาอยากจะนำสมบัติกลับไปจนเกือบจะต้องทิ้งชีวิตตนเอง
“ฮ่าๆๆ” ไป๋หยวนหัวเราะ “ชายชราผู้นี้จะให้โอกาสเจ้า หากใครที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบปีสามารถชนะรุ่นเยาว์สิบคนของฝ่ายข้าได้หนึ่งครั้ง ชายชราผู้นี้จะยอมให้คนจำนวนสิบคนออกไปจากเมืองนี้ได้”
ยิ่นเฉวยางแสยะยิ้มดูถูกและพูด “คำพูดของเจ้าเชื่อถือได้รึไง??”
“เหอะ ชายชราผู้นี้จะสาบานต่อสวรรค์เลยก็ได้” ไป๋หยวนกล่าว มันยกมือขึ้นฟ้าและทำการสาบานต่อสวรรค์
คำสาบาญต่อสวรรค์ ไม่ใช่สิ่งที่จะฝ่าฝืนได้
สีหน้าของทุกคนเริ่มปรากฏร่องรายความหวัง ขอแค่ชนะหนึ่งครั้งก็จะได้ตำแหน่งออกไปจากเมืองนี้สิบคน หากเป็นเช่นนั้นพวกเขากับตระกูลของก็จะสามารถออกไปจากรูปแบบอาคมสังหารนี้ได้
“ข้าจะสู้เอง!” ใครบางคนคำรามออกมาและโจมตีใส่ซือทู่ย่าว
“รนหาที่ตาย!” ซือทู่ย่าวแสยะยิ้ม ทหารซากศพทั้งสี่ตัวลงมือ ภายในพริบตาร่างของเจ้าของเสียงเมื่อครู่ก็ถูกแยกออกเป็นห้าส่วน
“ขอคนที่มีความสามารถหน่อย ไม่งั้นก็เสียเวลาเปล่าๆ” ศิษย์คนหนึ่งของนิกายพันศพกล่าวออกมา “พวกข้าไม่สนใจสังหารมดปลวก”
บนประตูเมือง เหล่ารุ่นเยาว์มองหน้ากันพร้อมกับแสดงท่าทีเกรี้ยวกราด
“อวดดีอะไรเยี่ยงนี้!” รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเป็นชายหนุ่มร่างผอมที่มีสัญลักษณ์ดวงจันทร์ส่องแสงอยู่กลางหน้าผาก
แม้ตอนยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเขาจะไม่โดดเด่น แต่เมื่อกลิ่นอายของเขาถูกปลดปล่อยออกมา ภาพลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปดั่งดวงดาวที่เจิดจรัสบนท้องฟ้า
‘ฟุบ’ รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้ากระลงไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูเมือง
“โอ้ คู่ต่อสู้คนนี้นับว่าใช้ได้” ซือทู่ย่าวพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ข้าจะขอรับร่างของเจ้าไปเป็นผู้ติดตามแล้วกัน!”
รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้ายกมือขวาขึ้นโดยที่ข้อมือของเขามีกระดิ่งสีเงินห้อยเอาไว้ เขามองไปยังซือทู่ย่าวและพูด “ถ้าข้าชนะ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าออกไปจากเมืองนี้ แต่เจ้าต้องคุกเข่าก้มหัวต่อหน้าข้าสามครั้ง”
ใบหน้าของซือทู่ย่าวเปลี่ยนไปเป็นมืดมน “ช่างปากดีนัก! หลังจากเจ้าพ่ายแพ้ ข้าจะทำให้เห็นเองว่าตัวเจ้ามันอ่อนด้อยขนาดไหน!”
รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้ายิ้มเล็กน้อย “เข้ามา ข้าจะให้เจ้าจู่โจมก่อนสามกระบวนท่า”
“โอหัง!” ซือทู่ย่าวเค้นเสียง “จัดการ!” ทหารซากศพทั้งสี่ตัวพุ่งโจมตีใส่รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้าอย่างรวดเร็ว
ท่าทางของรุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้ายังคงสงบนิ่ง มือขวาของเขาผลักออกไปด้านหน้าทำให้ทหารซากศพทั้งสี่ตัวหยุดชะงักพร้อมกันราวกับถูกหยุดเวลา
“อะไรกัน!” ทุกคนอุทานออกมา นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลิงฮันกระตุ้นใช้งานเนตรแห่งสัจธรรมเพื่อตรวจสอบ
ร่างของทหารซากศพทั้งสี่ถูกตรึงเอาไว้ด้วยเส้นด้าย เส้นด้ายเหล่านั้นมัดพวกมันเอาไว้แน่นจนไม่สามารถขยับต่อได้ ตอนแรกหลิงฮันคิดว่าด้ายเหล่านั้นคือทองคำก่อเกิดผลาญโลหิต แต่เมื่อลองดูดีๆจึงพบว่าด้ายเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นจากปราณก่อเกิด
ปราณก่อเกิดที่ควบแน่นเป็นรูปร่างจนสามารถผูกมัดศัตรูได้ ช่างน่าอัศจรรย์!
รุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้าขยับมืออีกครั้ง ทันใดนั้นทหารซากศพทั้งสี่ก็เคลื่อนไหวราวกับเป็นหุ่นเชิด มันเคลื่อนไหวเองโดยไม่รู้ตัวอย่างตะกุกตะกักทำให้ดูไปแล้วน่าขบขันมาก
ทหารซากศพทั้งสี่มีพลังต่อสู้เทียบได้กับระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้า แต่กลับถูกรุ่นเยาว์เสื้อคลุมฟ้าควบคุมได้ แข็งแกร่งยิ่งนัก!
“เขาคือใครกัน ทำไมถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้”
“ใช่แล้ว เขาคือตัวแทนร่วมแข่งขันประลองยุทธของตำหนักสมบัติวิญญาณสาขาภูมิภาคตะวันตก รู้สึกว่าจะชื่อผังเซี่ยงหมิง”
“ใช่แล้ว ชื่อของรุ่นเยาว์คนนั้นคือผังเซี่ยงหมิง”
“แข็งแกร่ง!”
ทุกคนอุทานออกมา มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นมีมองออกว่าผังเซี่ยงหมิงใช้ปราณก่อเกิดที่เกิดจากธาตุทั้งสี่ควบแน่นเป็นเส้นด้าย แต่เพราะพวกเขาไม่รู้ จึงทำให้รู้สึกว่าผังเซี่ยงหมิงดูลึกลับขึ้นไปอีก
หลิงฮันพยักหน้า เส้นด้ายที่ควบคุมด้วยฝ่ามือนั่นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ผังเซี่ยงหมิงเองก็คงไม่สามารถใช้มันออกมาได้อย่างง่ายดายนัก เพราะอย่างไรทหารซากศพก็เทียบเท่าได้กับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าสี่คน แต่พลังบ่มเพาะของผังเซี่ยงหมิงคือระดับบุปผาผลิบานขั้นห้าเท่านั้น
การตรึงร่างของศัตรูเอาไว้สี่คนอาจจะเกือบถึงขีดจำกัดของผังเซี่ยงหมิงแล้ว
“ฮ่าๆๆ เจ้าคิดว่าเจ้าแข็งแกร่งมากรึไง!” แม้ซือทู่ย่าวจะตกตะลึงในตอนแรก แต่มันกับทหารซากศพทั้งสี่นั้นมีสัมผัสที่เชื่อมโยงกัน มันจึงรู้ว่าอีกกำลังฝืนแรงตรึงร่างของทหารซากศพอยู่
‘ฟุบ’ ผ่านไปไม่นานทหารซากศพทั้งสี่ก็หลุดออกจากการผูกมัดและพุ่งเข้าใส่ผังเซี่ยงหมิง
ผังเซี่ยงหมิงไม่เกรงกลัว เขาเคลื่อนไหวมือราวกับร่ายรำเพื่อสร้างเส้นด้ายขึ้นมาอีกครั้งทำให้ทหารซากถูกผูกมัดและโดนจับเหวี่ยงออกไป
ผังเซี่ยงหมิงคำรามและเข้าร่วมต่อสู้
“ซากศพชักนำโลกา!” มันคำรามปลดปล่อยหมอกปราณซากศพที่มีความสามารถในการกัดกร่อนออกมา
“คิดว่าของแบบนั้นจะใช้กับข้าได้ผล?” ผังเซี่ยงหมิงแสยะยิ้ม เขาควบแน่นปราณก่อเกิดสร้างขึ้นเป็นโล่คุ้มกายเพื่อป้องกันหมอกปราณซากศพ เขาคือจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นห้า แน่นอนว่าปราณก่อเกิดของเขาจะต้องหนาแน่นกว่าซือทู่ย่าว และปราณซากศพจะไม่สามารถผ่านโล่ปราณก่อเกิดของเขาเข้ามาได้
ซือทู่ย่าวหัวเราะและพูด “ข้าไม่ได้ใช้เพื่อโจมตีเจ้า!”
เมื่อซือทู่ย่าวพูดเสร็จ ดวงตาของทหารซากศพทั้งสี่ก็ส่องแสงสว่างสีแดงสด กลิ่นอายที่ปลดปล่อยออกมากลายเป็นรุนแรงกว่าเดิม ‘ปัง’ ร่างของมันทำลายการผูกมัดของผังเซี่ยงหมิงและพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
ผังเซี่ยงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากดูดซับปราณซากศพเข้าไปพลังต่อสู้ของทหารซากศพได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งดาว ซึ่งนับว่าสร้างแรงกดดันให้กับผังเซี่ยงหมิงได้ไม่น้อย
ตอนที่ 561
สู้เพื่อเจ้า
ทหารซากศพทั้งสี่พุ่งเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าผังเซี่ยงหมิง พวกมันทุกตัวต่างปลดปล่อยกลิ่นอายความชั่วร้ายออกมาราวกับปีศาจที่ปีนป่ายขึ้นมาจากขุมนรก
“ก็แค่ซากศพไม่กี่ตัว คิดว่าพวกมันจะคุกคามข้าได้?” ผังเซี่ยงหมิงแสยะยิ้ม สัญลักษณ์พระจันทร์บนหน้าผากของเขาส่องสว่างพร้อมกับฝ่ามือที่เคลื่อนไหวราวกับเริงระบำ ทันใดนั้นทหารซากศพทั้งสี่ก็ถูกตรึงร่างเอาไว้อีกครั้ง
“จงแตกสลาย!” ผังเซี่ยงหมิงคำราม ทันใดนั้นมือและแขนของทหารซากศพก็ถูกตัดขาด
แข็งแกร่ง!
ต้องรู้ก่อนว่าร่างของทหารซากศพนั้นถูกหลอมกลั่นจนมีความทนทานเทียบได้กันแร่เหล็กในระดับเดียวกัน มันไม่อาจถูกทำลายได้ง่ายๆ
แม้ทหารซากศพของผังเซี่ยงหมิงจะไม่ใช่ทหารซากศพที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ทหารซากศพระดับบุปผาผลิบาน แต่การที่ผังเซี่ยงหมิงสามารถฉีกกระชากมือและเท้าของมันให้หลุดได้ในทันทีก็นับว่าไม่ใช่เรื่องปกติ
“บัดซบ!” ซือทู่ย่าวคำรามและสั่งให้ทหารซากศพโจมตีอีกครั้ง อีกอย่างทหารซากศพก็ไม่มีความเจ็บปวดอยู่แล้ว แค่สูญเสียแขนหรือขาไปไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆต่อพลังต่อสู้ของมัน
ซือทู่ย่าวเองก็เข้าร่วมต่อสู้เพื่อจัดการกับผังเซี่ยงหมิง
“ผังเซี่ยงหมิงสมควรจะเป็นฝ่ายชนะใช่ไหม?” จูเสวียนเอ๋อถามหลิงฮัน
หลิงฮันพยักหน้าและพูด “ถ้าซือทู่ย่าวไม่มีไพ่ลับอื่น ผังเซี่ยงหมิงต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างไม่ต้องสงสัย”
หลังจากปะทะกันไปหลายสิบกระบวนท่า ทหารซากศพทั้งสี่ก็ถูกตรึงร่างเอาไว้อีกครั้งทำให้ซือทู่ย่าวต้องรับศึกหนัก แต่ผังเซี่ยงหมิงยังไม่ทันจะลงมือสังหาร ซือทู่ย่าวก็ล่าถอยกลับไปรวมตัวกับศิษย์นิกายพันศพคนอื่นๆและกระอักเลือดออกมา
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องสิบเจ็ด ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสได้รับร่างของหมอนั่นเป็นผู้ติดตามเสียแล้ว” ชายหนุ่มชุดดำหัวเราะลั่นและเดินออกมา “ข้าเปียนฮ่าว ศิษย์ลำดับที่สิบสี่”
ผังเซี่ยงหมิงมองไปยังชายหนุ่มชุดดำและพูด “ข้าจะต่อให้เจ้าสามกระบวนท่า!”
“เจ้าหนู เจ้าไม่ต้องการตำแหน่งออกจากเมืองสิบคนรึไง?” ไป๋หยวนพูดแทรก
“ไม่!” ผังเซี่ยงหมิงปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
‘บัดซบ นี่เจ้าบ้าไปแล้วรึไง!’
ผู้คนมากมายอุทานในใจ เจ้าอยากจะสู้ต่อก็อย่าลากพวกข้าเข้าไปเกี่ยวด้วยสิ! มีแต่พวกสมองเพี้ยนเท่านั้นแหละที่จะสู้กันจนตกตายกันที่นี่!
หลิงฮันยิ้ม ผังเซี่ยงหมิงผู้นี้คุณสมบัติเพียงพอที่เขาจะทำให้เขายอมยื่นมือเข้าไปช่วย
“โอ้ในเมื่อเจ้าเลือกรับตำแหน่งสิบคนก็แล้วแต่เจ้า” ไป๋หยวนยิ้ม
ผังเซี่ยงหมิงยังไม่ลงมือ เขาชี้นิ้วไปยังเปียนฮ่าวและพูด “ข้าจะจัดการเจ้า!”
“สังหารข้า? เจ้าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ!” เปียนฮ่าวหัวเราะ มันมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับบุปผาผลิบานขั้นสี่ ซึ่งสูงกว่าซือทู่ย่าว แต่ประเด็นสำคัญไม่ใช่ตรงนั้น สำหรับนิกายพันศพ สิ่งสำคัญคือจำนวนของทหารซากศพและความแข็งแกร่งของทหารซากศพเหล่านั้นต่างหาก
‘ปัง’ เกิดเสียงเสียดสีบางอย่างขึ้นพร้อมกับปรากฏโลงศพที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามา ‘ปัง’ ภายในโลงเหล่านั้น ทหารซากศพสี่ตัวกระโดดออกมา แน่นอนว่าพวกมันทั้งหมดคือทหารซากศพระดับเงิน หากไม่มีโลงศพสามชีวิต ทหารซากศพก็ไม่อาจมีพลังต่อสู้เกินกว่าเจ้าของได้
เรื่องนี้ทำให้เห็นว่าโลงศพสามชีวิตนั้นน่ากลัวขนาดไหน
ผังเซี่ยงหมิงไม่หวาดหวั่นและพุ่งโจมตีใส่เปียนฮ่าว แต่ทันใดนั้นทหารซากศพสี่ตัวก็พุ่งมารับการโจมตีแทน มือขนาดใหญ่ของพวกมันทำให้เกิดคลื่นลมที่รุนแรง
เห็นได้ชัดว่าซากศพทั้งสี่นี้แข็งแกร่งกว่าของซือทู่ย่าว
“บางทีพลังต่อสู้ของพวกมันจะเป็นสิบสามดาว” หลิงฮันพยักหน้า
“ไม่น่าเชื่อ!” จูเสวียนเอ๋ออุทานออกมา
หลังจากจอมยุทธตกตายแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็จะมีแค่ซากศพ แม้ว่าจะนำซากศพเหล่านั้นไปหลอมกลั่นพลังต่อสู้ของทหารซากศพก็จะขึ้นอยู่กับพลังต่อสู้ของเจ้าของเดิม ดูเหมือนว่าเจ้าของร่างของทหารซากศพเหล่านี้ตอนมีชีวิตอยู่จะเป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งไม่น้อย
และด้วยการร่วมมือกันของทหารซากศพทั้งสี่ ทำให้ผังเซี่ยงหมิงถูกกดดันจนไม่สามารถหาโอกาสโจมตีเปียนฮ่าวได้
‘ฉัวะ!’
ข้อมือของผังเซี่ยงหมิงปรากฏโลหิตไหลทะลักในขณะที่เปียนฮ่าวยืนถือมีดที่ถูกเคลือบด้วยโลหิตอยู่ มันแลบลิ้นเลียโลหิตบนใบมีดและแสดงท่าทางกระหายเลือดออกมา
เป็นเปียนฮ่าวที่สร้างบาดแผลให้กับผังเซี่ยงหมิง แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการลอบโจมตี เพราะสำหรับนิกายพันศพ ทหารซากกับนับว่าเป็นพลังอย่างหนึ่งของผู้ใช้ ซึ่งทหารซากศพจะทำหน้าที่กดดันผังเซี่ยงหมิงและสร้างโอกาสให้เปียนฮ่าวโจมตี
“ฮ่าๆๆๆ!” เปียนฮ่าวหัวเราะ “เจ้าถูกพิษซากศพของข้าแล้ว มีเพียงแค่ยอมศิโรราบเท่านั้นถึงจะทำให้เจ้ารอดชีวิต ไม่เช่นนั้นแล้วพิษซากศพจะค่อยๆกัดเซาะร่างของเจ้าอย่างช้าๆและเปลี่ยนเจ้าเจ้าให้กลายเป็นซากศพที่รู้จักเพียงแต่การฆ่าฟัน”
“ฮึ่ม!” ผังเซี่ยงหมิงเมินเฉยคำพูดของเปียนฮ่าวและทะยานร่างกลับไปในเมือง เขานั่งลงและนำขวดเม็ดยาออกมาจากแหวนมิติ จากนั้นเมื่อดลืนเม็ดยาขนาดเท่าถั่วเหลืองเข้าไป ผังเซี่ยงหมิงก็โคจรปราณก่อเกิดชักนำให้ฤทธิ์ยาขับไล่พิษซากศพออกไป
“โง่งม!” เปียนฮ่าวแสยะยิ้มดูถูกในขณะที่มองไปยังประตูเมือง “ยังมีใครต้องการสู้กับข้าอีกบ้าง?”
ทุกคนจ้องมองไปยังซวนหยวนจื่อกวง รุ่นเยาว์ผู้นี้คือสุดยอดอัจฉริยะที่มีศักยะภาพเหนือว่าย่าวหุยเยว่และอัจฉริยะคนอื่นๆ รวมทั้งยังมีพลังบ่มเพาะสูงถึงระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้า
ถ้าซวนหยวนจื่อกวง ลงมือ ชัยชนะจะต้องเป็นของเขาแน่นอน
ซวนหยวนจื่อกวงแสดงท่าทีองอาจออกมา เขาไม่ต้องการให้เรื่องนี้จบไวนักถึงได้รอโอกาสลงมืออย่างเฉิดฉายที่สุด ในเมื่อตอนนี้ในเมืองหมื่นสมบัติไม่มีรุ่นเยาว์คนใดที่แข็งแกร่งไปกว่าเขาแล้ว งั้นก็ถึงเวลาที่จะได้ลงมือให้มันจบๆไปเสียที
ซวนหยวนจื่อกวงยิ้มให้กับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนและพูด “การต่อสู้ครั้งนี้เพื่อเจ้า!”
ตอนที่ 562
อัดแน่นปราณ
‘เวลาแบบนี้ยังไม่ลืมที่จะจีบสาว!’
แต่ผู้คนมากมายก็รู้สึกตื่นเต้นจนแววตาส่องประกายและถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าพวกเรากำลังรอให้ซวนหยวนจื่อกวงลงมืออยู่
“งี่เง่า!” หลิงฮันส่ายหัว
“งี่เง่า!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพูดตามและแลบลิ้นออกมา
“ครั้งหน้าที่พบกับเจ้าโง่นี่ เจ้าจงทุบตีมันซะ!” หลิงฮันพูด
“แต่ทำแบบนั้นข้าก็เจ็บมือสิ!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอ
หลิงฮันครุ่นคิดและนำหินก่อนหนึ่งออกมาใส่มือนาง “ใช้สิ่งนี้ทุบตีมัน”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนพยักหน้าและพูดตอบ “อืม!” นางถือก้อนหินเอาไว้ในมืออย่างกระตือรือร้น
สีหน้าของซวนหยวนจื่อกวงเปลี่ยนเป็นมืดมน ไม่ว่าจะเป็นด้านต่อสู้หรือด้านความรัก มันก็ล้วนแต่ไม่ชนะหลิงฮัน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้มันรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
‘เหอะ รอให้ข้าจัดการเจ้าพวกนิกายพันศพเหล่านี้และได้รับเกียรติยศอันสูงส่งมาก่อนเถอะ’
ซวนหยวนจื่อกวงกระโดดลงจากประตูเมืองและมองไปยังไป๋หยวนอย่างดูถูก “ถ้าเจ้ารับกระบวนท่าของข้าได้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
บ้าไปแล้ว!
เจ้ารู้รึเปล่าว่าเปียนฮ่าวมีทหารซากศพที่มีพลังต่อสู้เทียบเท่าระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าที่มีพลังต่อสู้ถึงสิบสามดาวอยู่สี่ตัว หรือเจ้าจะบอกว่าแม้จะเป็นทหารซากศพเหล่านี้ก็ไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนท่าของซวนหยวนจื่อกวงได้?
เปียนฮ่าวกลายเป็นเกรี้ยวกราด มันคือศิษย์ระดับสูงของนิกายพันศพที่มีสายตาเอาไว้จ้องมองผู้คนจากเบื้องบน แต่ตอนนี้มันกลับถูกดูหมิ่น แล้วจะไม่ให้มันรู้สึกโมโหได้อย่างไร? แต่ก่อนที่มันจะได้ลงมือโจมตี มืออันหนักหน่วงมือหนึ่งก็กดลงที่ไหล่ของมัน
มันคือไป๋หยวน
“อาวุโสไป๋ ได้โปรดให้ข้าเป็นคนสู้!” เปียนฮ่าวพูด
ไป๋หยวนส่ายหัวและพูด “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ให้ศิษย์ที่สามออกไปสู้ซะ”
“ว่าไงนะ!”
ศิษย์ของนิกายพันศพอุทานออกมา ถึงแม้พวกมันจะไม่ได้ออกมาเผชิญหน้ากับโลกภายนอกมาเป็นเวลานาน แต่ศิษย์ที่สาม จูเทียนเก้อคือศิษย์ลำดับที่สามของผู้นำนิกายพันศพและเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกมัน
ที่ต้องให้เขาออกโรง หรือว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งมาก?
จูเทียนเก้อก้าวออกมาและเปิดตามองไปยังซวนหยวนจื่อกวงชั่วขณะ สีหน้าของเขากลายเป็นแข็งทื่อและพูดออกไป “ชายผู้นี้เป็นคนที่เหมาแก่การสู้ด้วยจริงๆ แม้แต่ข้าก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะ”
เปียนฮ่าวและศิษย์คนอื่นๆตกตะลึงอีกครั้ง แม้แต่ศิษย์พี่สามก็พูดเช่นนั้น หรือว่าซวนหยวนจื่อกวงจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาทั้งหมดจริงๆ?
“หากเป็นศิษย์พี่สองอาจจะชนะได้ แต่หากเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่แข็งแกร่งเทียมฟ้าล่ะก็ หมอนี่ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้แน่นอน!” จูเทียนเก้อยิ้ม
เปียนฮ่าวและศิษย์คนอื่นๆพยักหน้าเห็นด้วยกับจูเทียนเก้อ แม้แต่พวกมันทุกคนที่เป็นอัจฉริยะยังต้องยอมแพ้ เป็นหลักฐานว่าคนที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หนึ่งแข็งแกร่งขนาดไหน
จูเทียนเก้อเดินออกมา ร่างของมันไม่สูงมากแต่ดูกำยำ
“แล้วทหารซากศพของเจ้าล่ะ?” ซวนหยวนจื่อกวงถาม
“เมื่อจำเป็นต้องใช้ เดี๋ยวมันเจ้าก็ได้เห็นเอง” จูเทียนเก้อตอบอย่างสงบนิ่ง
ซวนหยวนจื่อกวงแสยะยิ้ม “หากไม่มีทหารซากศพ เจ้าก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีจากข้า”
“ฮ่าๆ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงต้องโทษความอ่อนแอของตัวข้าเอง” จูเทียนเก้อหัวเราะ
ผู้ฉลาดย่อมไม่ลงมืผลีผลาม แน่นอนว่าซวนหยวนจื่อกวงย่อมไม่กล้าประมาทจูเทียนเก้อ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มัวเสียเวลาพูดยั่วยุและโจมตีไปแล้ว
ซวนหยวนจื่อกวงพาดหนึ่งมือไว้ด้านหลังและพูด “ในเมื่อเจ้าไม่ใช้ทหารซากศพ งั้นข้าจะสู้กับเจ้าด้วยมือเดียว”
บะ…บ้าไปแล้ว!
จูเทียนเก้อแสดงท่าทีเกรี้ยวกราด อีกฝ่ายต้องการต้อนให้มันเรียกทหารซากศพออกมาด้วยมือข้างเดียว? ช่างมั่นใจในตัวเองนัก! จูเทียนเก้อเค้นเสียงเย็นชาและอ้าปาก จากนั้นมันล้วงนำฝ่ามือล้วงเข้าไปในลำคอพร้อมกับดึงดาบสีดำออกมา
นี่มันบ้าอะไรกัน!
ทุกคนในเมืองอุทานออกมา เจ้ายากจนถึงขนาดไม่มีแหวนมิติและนำอาวุธไปเก็บไว้ในร่างกายเลยรึ?
หลิงฮันแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาและพึมพำ “หรือว่าจะเป็นกายาหลอมกลั่นดั่งที่ตำนานกล่าวเอาไว้?”
“อะไรคือกายาหลอมกลั่น?” จูเสวียนเอ๋อถาม นางในตอนนี้เองก็แปลงโฉมให้ดูเรียบง่ายเหมือนกับหลิงฮันเช่นกัน
“การขัดเกลาอาวุธวิญญาณในร่างกายจะทำให้อาวุธวิญญาณสร้างสายโลหิตของตนเองขึ้นมาและพลังอำนาจของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล” หลิงฮันพูดและส่ายหัว “ไม่ว่าจะเป็นอาวุธวิญญาณชนิดไหน หากขัดเกลาด้วยวิธีนี้มันก็จะกลายเป็นอาวุธวิญญาณที่มีไว้สำหรับเข่นฆ่าสังหาร”
ผู้คนรอบข้างฟังคำอธิบายของหลิงฮันพร้อมกับพยักหน้า มีคนไม่น้อยที่สงสัยตัวตนของหลิงฮัน รูปร่างของเจ้าก็ดูเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบสี่ ยี่สิบห้าปีแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้รอบรู้นัก?
สีหน้าของซวนหยวนจื่อกวงปรากฏร่องรอยของความสงสัย “ข้าเพิ่งเคยเห็นอะไรเช่นนี้เป็นครั้งแรก ขอให้ข้าลองทดสอบหน่อยเป็นไง?”
จูเทียนเก้อถือดาบสีดำเอาไว้ในมือ ท่าทีเกียจคร้านของมันสลายหายไปและปลดปล่อยกลิ่นอายที่บ้าคลั่งออกมา “ตามที่เจ้าต้องการ!” จูเทียนเก้อขยับเท้าพุ่งเข้าใส่ซวนหยวนจื่อกวง โลหิตที่เคลือบดาบเอาไว้สาดกระจายไปทั่วพร้อมกับปลดปล่อยปราณดาบสี่เจ็ดเล่มที่มีรูปร่างเหมือนกับแส้เข้าพัวพันร่างของซวนหยวนจื่อกวง
“น่าสนใจ” ซวนหยวนจื่อกวงพึมพำ มือหนึ่งของเขายังคงพาดอยู่ด้านหลังในขณะที่อีกมือหนึ่งชี้นิ้วปลดปล่อยพยัคฆ์เปลวเพลิงออกไปกัดกินปราณดาบของจูเทียนเก้อ
“น่าขัน เจ้าคิดจะต่อต้านดาบมารทมิฬของข้า?” จูเทียนเก้อแสยะยิ้ม
“คิดว่าข้าทำไม่ได้?” ซวนหยวนจื่อกวงพูดอย่างภาคภูมิใจ ทันใดนั้นขนาดของพยัคฆ์เปลวเพลิงก็ขยายใหญ่ขึ้นสิบฟุตและปลดปล่อยออร่าที่ร้อนระอุออกมา
“อัดแน่นปราณจนเกือบกลายเป็นรัศมี!” ไป๋หยวนเผยสีหน้าประหลาดใจ “ไม่อาจดูถูกชายหนุ่มผู้นี้ได้เลย ก่อนหน้านี้เขาจงใจปกปิดความสามารถเอาไว้!”
รัศมีคือการควบแน่นกันของปราณ ก่อนหน้านี้ตอนที่จักรพรรดิพิรุณควบแน่นปราณหมัดได้สำเร็จ เขาที่มีพลังบ่มเพาะระดับบุปผาผลิบานขั้นหนึ่งสามารถต่อกรกับสัตว์อสูรราชันระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัศมีนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
แม้พยัคฆ์เปลวเพลิงจะไม่ใช่รัศมี แต่เกิดจากกันอัดแน่นกันของปราณหมัดทั้งสิบสอง พลังของมันก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี
หลิงฮันอดที่จะพยักหน้ายอมรับไม่ได้ ความคิดของซวนหยวนจื่อกวงนับว่าฉลาดไม่น้อย เขากระตุ้นปราณให้อัดแน่นกันจนกลายเป็นกึ่งรัศมี ถ้าหากว่าปราณยังไม่กลายเป็นรัศมีที่แท้จริง ซวนหยวนจื่อกวงก็ยังสามารถฝึกฝนปราณให้มีจำนวนมากกว่านี้ก่อนที่จะควบแน่นให้กลายเป็นรัศมีที่แท้จริง
ตอนที่ 563
ชนะ
ซวนหยวนจื่อกวงและจูเทียนเก้อปะทะการโจมตีกันอย่างดุเดือด ทั้งสองคนยังออมแรงเอาไว้ หนึ่งคนใช้เพียงมือเดียวในการต่อสู้ ส่วนอีกหนึ่งคนยังไม่ได้เรียกใช้งานทหารซากศพ แต่แน่นอนว่าฝ่ายที่ได้เปรียบอยู่ก็คือซวนหยวนจื่อกวงเพราะพลังต่อสู้ส่วนใหญ่ของศิษย์นิกายพันศพนั้นจะขึ้นอยู่กับทหารซากศพ
อย่างที่คิด หลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่าไปอีกสิบกว่าท่า จูเทียนเก้อก็ถูกต้อนให้เรียกทหารซากศพออกมา
ห้าศพ!
ขีดจำกัดที่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานสามารถควบคุมได้คือหกศพ ซึ่งจูเทียนเก้อสามารถควบคุมได้ถึงห้าศพ ยิ่งเข้าใกล้ขีดจำกัดมากเท่าไหร่ผลประโยชน์ที่ได้รับก็มาเพิ่มมากขึ้น
ทหารซากศพห้าตัวย่อมแข็งแกร่งกว่าสี่ตัว แถมพลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นมายังไม่ใช่น้อยๆด้วย
ซวนหยวนจื่อกวงไม่กล้าที่จะประมาท มือที่พาดหลังเอาไว้ของเขาเริ่มขยับเพื่อต่อกรกับจูเทียนเก้อและทหารซากศพทั้งห้า ในตอนนี้ยังไม่อาจบอกได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ เพราะรุ่นเยาว์ทั้งสองคนต่างแสดงพลังที่น่าสะพรึงกลัวออกมาด้วยกันทั้งคู่
“รุ่นเก่าไม่อาจเทียบได้!”
“รุ่นเยาว์ในยุคสมัยนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”
“แน่นอน ยิ่งศาสตร์แห่งวรยุทธเจริญด้าวหน้า รุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ก็จะยิ่งปรากฏตัวออกมา ถ้าหากไม่ใช่รุ่นเยาว์แห่งยุคบรรพกาลแรกเริ่มก็ย่อมไม่อาจเทียบกับรุ่นเยาว์ในยุคสมัยนี้ได้”
ผู้คนมากมายในเมืองอุทานออกมา พวกเขาตกตะลึงในพลังต่อสู้ของซวนหยวนจื่อกวงและจูเทียนเก้อ
“แต่รุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์เช่นนี้คงจะหายากสินะ?”
“เรื่องนี้ไม่แน่นอน ในภูมิภาคกลางแห่งนี้มีพยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบอยู่ไม่น้อย”
“แต่ถึงอย่างนั้นอัจฉริยะเช่นนี้ก็ไม่น่าจะมีเกินสิบคน”
ชายชราที่ดูทรงภูมิผู้หนึ่งกล่าวอธิบาย ผู้คนที่ฟังต่างก็พยักหน้ายอมรับ
หลิงฮันเอียงหูฟังและอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “ฮูหนิว ลงไปแสดงให้ทุกคนได้เห็นหน่อย”
“ได้เลย หนิวจะแสดงความแข็งแกร่งให้พวกมันได้เห็นเอง!” ฮูหนิวกระโดดลงไปจากประตูเมืองและยืนท้าวเอว “ใครจะเป็นคนมาสู้กับหนิว?”
ศิษย์ของนิกายพันศพมองหน้ากันและหัวเราะ แค่เด็กตัวเล็กๆอายุเจ็ดหรือแปดขวบ พวกมันสามารถสังหารได้ด้วยนิ้วเดียวอยู่แล้ว แต่หากจะให้ลงมือกับเด็กสาวเช่นนี้คงจะเป็นอะไรที่น่าอับอายมาก
พวกมันทุกคนเมินเฉยต่อฮูหนิวโดยสิ้นเชิง
ไป๋หยวนมีสีหน้าตกตะลึงเพราะมันไม่สามารถมองเห็นระดับพลังบ่มเพาะของฮูหนิว
ถ้าจะบอกว่าเด็กสาวคนนี้เป็นเพียงเด็กธรรมดาที่ไม่บ่มเพาะพลังแล้วนางจะกระโดดลงมาจากกำแพงเมืองที่สูงขนาดนั้นได้อย่างไร? แม้เหล่ารุ่นเยาว์จะไม่ใส่ใจ แต่มันไม่ใช่! มันเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้ ความระมัดระวังตัวและไม่ประมาทคือสิ่งที่ทำให้มันมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้และกลายเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์
มันครุ่นคิดอยู่ขณะก่อนจะพูด “เปียนฮ่าว ไปสู้กับนาง”
“อาวุโสไป๋ ข้างั้นรึ?” ไป๋หยวนรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำไมมันจะต้องไปสู้ด้วย? อีกฝ่ายเป้นแค่เด็กสาวแท้ๆ แค่ลงมือเล็กๆน้อยๆกับนางก็ทำให้มันรู้สึกอับอายแล้ว
“อย่าประมาท” ไป๋หยวนกล่าว
แม้จะไม่พอใจแต่ไป๋หยวนก็ยอมเชื่อฟังคำพูดของอาวุโสไป๋ ดูเหมือนว่าในสายตาของอาวุโสไป๋เด็กสาวคนนี้จะไม่ธรรมดา ไป๋หยวนเก็บความไม่พอใจเอาไว้ในใจและเดินออกมา “เด็กน้อย เจ้าต้องการเล่นกับข้า?”
“ไม่ใช่เล่น แต่เป็นการต่อสู้!” ฮูหนิวกอดอกเล็กๆของนาง คำพูดที่นางกล่าวออกไปทำให้ผู้คนมากมายในเมืองหัวเราะ เด็กสาวคนนี้ช่างน่ารักยิ่งนัก
“ฮ่าๆๆๆ!” ซือทู่ย่าวและศิษย์คนอื่นของนิกายพันศพหัวเราะให้กับใบหน้าอันบูดบึ้งของเปียนฮ่าว
“ข้าจะสู้กับเจ้าเพียงมือเดียว” เปียนฮ่าวพูด
“งั้นข้าก็ไม่เกรงใจ” ฮูหนิวตอบกลับโดยเลียนแบบมาจากหลิงฮัน
เปียนฮ่าวกำลังจะพยักหน้า แต่อยู่ดีๆร่างเล็กร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของมันอย่างรวดเร็ว ‘ปัง’ ใบหน้าของมันแสดงออกถึงความเจ็บปวดและทรุดลงไปนั่งอยู่กับพื้น
ทุกคนจ้องมองไปฮูหนิวด้วยความตกตะลึง เด็กสาวที่น่ารักราวกับเทพธิดาคนนี้กลับมีความเร็วและพลังโจมตีที่น่าพรึงกลัวจนทำให้เปียนฮ่าวทรุดลงไปนั่งกับพื้น
เด็กสาวคนนี้ไม่ใช่เทพธิดาน้อยแต่เป็นปีศาจน้อย!
“ฮี่!” ฮูหนิวแยกเขี้ยวยิ้มแย้มและพูด “เป็นอะไรไป เจ้าป่วยรึไง?”
เปียนฮ่าวรู้สึกอับอายจนอยากจะขุดหลุมฝันตัวเอง ตอนแรกเขาคิดว่าคำเตือนของไป๋หยวนเป็นเพียงคำพูดไร้สาระ แต่เด็กสาวคนนี้กลับดุร้ายเกินคาดแถมยังมีพลังต่อสู้ที่วัดด้วยตรรกะทั่วไปไม่ได้ด้วย เปียนฮ่าวคำรามและกระโดดเข้าใส่ฮูหนิวพร้อมกับทหารซากศพทั้งสี่
“โอ้ ไม่ใช่เจ้าบอกว่าจะสู้กับหนิวมือเดียวรึไง?” ฮูหนิวเคลื่อนไหวอย่างลึกล้ำ ภายใต้การล้อมของทหารซากศพทั้งสี่ ท่าทีของนางก็ยังสงบนิ่งราวกับกำลังเดินเล่น มือเล็กๆของนางตะครุบเข้าใส่ทหารซากศพ
ทหารซากศพที่ร่างกายทนทานแล้วอย่างไร? เมื่อตอนที่ฮูหนิวยังมีพลังระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ กรงเล็บของนางมีพลังโจมตีเทียบเท่ากับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานสองดาว แต่นางนี้นางบรรลุระดับบุปผาผลิบานแล้ว การโจมตีของนางจึงทรงพลังมากขึ้นไปอีก
‘ปัง’ เมื่อเสียงปะทะดังขึ้น ร่างของทหารซากศพทั้งสี่ก็ถูกฮูหนิวฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆอย่างง่ายดาย
‘พรวด!’
ทุกคนสำลักออกมา เด็กสาวคนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว แม้แต่คำว่าสัตว์ประหลาดก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้เรียกนาง นี่นางอ่อนแอหรือแข็งแกร่งกว่าซวนหยวนจื่อกวงกันแน่?
“ในรายชื่ออัจฉริยะรุ่นเยาว์ของภูมิภาคกลาง คงต้องเพิ่มรายชื่อเข้าไปใหม่เสียแล้ว” ชายชราที่ดูทรงภูมิเอ่ยขึ้นมา
“เดี๋ยวสิ ไม่ใช่เจ้าบอกว่าว่าอัจฉริยะไร้ที่เปรียบแห่งภูมิภาคกลางมีแค่สิบคนรึไง?”
“……” ชายชราท่าทางทรงภูมิพูดไม่ออก ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงทันที เมื่อครู่เขาเพิ่งบอกไปว่าอัจฉริยะอย่างซวนหยวนจื่อกวงและจูเทียนเก้อนั้น ในภูมิภาคกลางคงมีไม่เกินสิบคน แต่ตอนนี้ดันมีเด็กสาวที่แข็งแกร่งจนเรียกได้ว่าฝืนสวรรค์ปรากฏตัวออกมาเสียได้
หลังจากทหารซากศพทั้งสี่ถูกฮูหนิวกำจัดอย่างง่ายดาย เปียนฮ่าวก็ต้องขอยอมแพ้อย่างไม่มีทางเลือก
ฮูหนิวหัวเราะและพูด “มีใครอีกไหม? หนิวต้องการสู้ซักสิบคน!”
ศิษย์ของนิกายพันศพตกอยู่ในความเงียบสงัด ถึงแม้เปียนฮ่าวจะแข็งแกร่งอยู่ในอันดับแปดหรือเก้าในหมู่ศิษย์ทั้งสิบคน แต่ท่าทางของฮูหนิวนั้นยังดูผ่อนคลายเป็นอย่ามาก ดังนั้นถ้าหากต้องการจะกำราบเด็กสาวคนนี้ มีแต่ต้องให้จูเทียนเก้อลงมือเท่านั้น
แต่ปัญหาก็คือตอนนี้จูเทียนเก้อกำลังปะทะกับซวนหยวนจื่อกวงอยู่
ไป๋หยวนพูด “ถ้าเจ้าต้องการสู้สิบคน งั้นก็สู้ให้ชนะรวดเก้าคนก่อน หากถึงคนที่สิบ เมื่อศิษย์ที่สามสู้จบเขาจะมาเป็นคู่ต่อสู้ให้เจ้าเอง”
“หึ จะให้หนิวรองั้นรึ? งั้นหนิวไม่สู้แล้ว!” ฮูหนิวกระทืบเท้าและเดินกลับไป
บนฝั่งประตูเมือง สายตาทุกคู่จ้องมองไปยังฮูหนิวด้วยความตะลึง ผู้อาวุโสเฒ่าบางคนถึงขนาดต้องการรับฮูหนิวไปเป็นลูกศิษย์ ขนาดอายุแค่นี้ยังแข็งแกร่งขนาดนี้ ถ้าหากนางโตขึ้น นางจะน่ากลัวขนาดไหน?
ในอนาคตอันใกล้ ตำแหน่งจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกต้องมีนางเป็นหนึ่งในนั้น
ตอนที่ 564
ทุบตีด้วยหินหนึ่งก้อน
“พวกเจ้ามองหนิวทำไม ข้าไม่แบ่งอาหารให้พวกเจ้าหรอก!” ฮูหนิวกวาดสายตามองคนเหล่านั้นอย่างระแวง คนเหล่านั้นคิดที่จะแย่งอาหารของนาง? นี่มันแย่มาก!
“อัจฉริยะแห่งภูมิภาคกลาง ถ้ารวมเด็กสาวคนนี้เข้าไปด้วยจะต้องไร้เทียมทาน” ชายชราที่ดูทรงภูมิได้ตัดสินใจและพูดสรุป
ดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างมีเกียรติมากทีเดียว แม้ว่าเขาจะพูดผิดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่หลายคนก็ยังเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
“ใช่แล้ว เด็กสาวตัวน้อยนี่หาตัวจับได้ยากอย่างแน่นอน”
“พรสวรรค์ที่น่ากลัวแบบนี้มันยากที่จะหยั่งถึง!”
หลิงฮันฟังและอดที่หัวเราะออกมาไม่ได้แล้วพูดว่า “สาวใต้สมุทร เจ้าลงไปต่อสู้ซะ”
เมื่อเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนได้ยิน ใบหน้าของนางกลายเป็นซีดขาวทันทีและส่ายหัวอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “ข้าทำไม่ได้ ข้าทำไม่ได้”
“ข้าพูดแล้วว่าเจ้าทำได้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องทำได้! อย่าลืมว่าข้าให้ก้อนหินกับเจ้าไปแล้ว จงใช้มันทุบตีคนพวกนั้น!” หลิงฮันเร้านาง
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างระดับพลังแม้แต่น้อย มิฉะนั้น แม้นางจะคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงธรรมดา นางคงไม่กล้าต่อสู้กับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน แต่ตอนนี้นางความจำเสื่อมจึงเป็นธรรมดาที่นางจะไม่รู้และพยักหน้าอย่างโง่เขลา
ในความคิดของนาง หลิงฮันเป็นคนแรกที่นางลืมตาตื่นขึ้นมาเห็น แน่นอนว่านางจะรู้สึกใกล้ชิดและเชื่อฟังเขา
หลิงฮันพยักหน้าและพูดกับพวกมันที่อยู่ด้านล่างว่า “ตอนนี้ข้าชนะพวกเจ้าเกือบคนทุกคนแล้ว”
ไป๋หยวนพยักหน้าและพูดว่า “ไม่เลว”
“งั้นข้าจะชนะพวกเจ้าอีกครั้ง ต่อไปหญิงสาวคนนี้จะเป็นคนจัดการกับพวกเจ้า” หลิงฮันพูดถึงเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่นางทันที แล้วส่ายหัว
นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน!
มันไม่มีร่องรอยของพลังก่อเกิดภายในตัวนางเลย นี่เขาจะส่งนางออกไปสู้งั้นหรือ?
“เจ้ากล้าดียังไง!” ในการต่อสู้ที่ดุเดือด เมื่อซวนหยวนจื่อกวงได้ยินที่หลิงฮันพูด สายตาของมันเบิกกว้างทันทีและอยากจะพุ่งเข้าไปตบตีหลิงฮัน
“มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า!” หลิงฮันพูดสบถออกมา
ไป๋หยวนกำลังจ้องมองไปที่เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน มันกำลังครุ่นคิดอยู่ว่ามันไม่อาจมองผ่านหญิงสาวคนนี้ได้ และแตกต่างจากเด็กสาวเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ฮูหนิวเป็นเหมือนดั่งทะเลที่มันไม่อาจมองผ่านได้ และหญิงสาวคนนี้ดูเหมือนจะอยู่ในสายหมอกที่มันไม่อาจมองผ่านได้เช่นเดียวกัน
นี่มันแปลกประหลาดเกินไป
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนก้มหน้ามองเบื้องล่าง มันสูงเกินไปและทำให้นางขวัญหายทันที “ข้าทำไม่ได้” นี่มันสูงเกินไป ถ้าข้าตกลงไปจะต้องตายอย่างแน่นอน
ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา นี่มันการแสดงตลกอะไรกัน
หลิงฮันจับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนและพานางลงจากกำแพงแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “จัดการมันเลย” เขาไม่เป็นห่วงนางแม้แต่น้อย เพราะระดับพลังที่แท้จริงของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนคือระดับสวรรค์ช่วงปลาย ทั้งยังมีสายเลือดของมังกรที่แท้จริงไหลเวียนอยู่ ถ้าพลังของนางตื่นขึ้นมา แม้แต่ไป๋หยวนก็ไม่อาจทำอะไรนางได้
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเดินไปข้างหน้าอย่างเร่งรีบพร้อมกับก้อนหินที่อยู่ในมือของนาง ซึ่งทำให้ทุกคนที่จ้องมองอยู่อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
ไป๋หยวนคิดอยู่ชั่วขณะและพูดว่า “ศิษย์ลำดับห้า เจ้าออกไปสู้”
ว่าไงนะ!
เปียนฮ่าวและคนอื่นตกใจ ศิษย์ลำดับห้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับสามในหมู่พวกมัน เขาจะถูกส่งเป็นคู่ต่อสู้ให้กับฝ่ายตรงข้าม?
ซาจั่นชายหนุ่มรูปหล่อที่ดูไม่เหมือนศิษย์ของนิกายพันศพก้าวเดินออกไปข้างหน้าและจ้องมองเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน “หญิงสาวที่งดงามอย่างเจ้ามาเป็นภรรยาของข้าเสียเถิด แล้วข้าจะพาเจ้าไปอยู่ที่จุดสูงสุดของโลก”
“อัน…อันธพาล!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกรีดร้อง
“ไร้เดียงสาดี ข้าชอบ!” มันหัวเราะและกระโจนออกไปข้างหน้า แล้วเอื้อมมือออกไปเพื่อสัมผัสใบหน้าของเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน
“เจ้ากล้าดียังไง!” ซวนหยวนจื่อกวงคำราม นี่คือผู้หญิงที่มันหมายปอง! และสาบานว่าจะต้องตัดแขนของซาจั่นให้จงได้
“เดี๋ยวก่อน เจ้ากำลังต่อสู้กับข้าอยู่ แต่เจ้ายังกล้าหันไปมองคนอื่นอีกงั้นรึ?” จูเทียนเก้อยิ้มอย่างเย็นชา และฉวยโอกาสโจมตีเพื่อปลิดชีพทำให้ซวนหยวนจื่อกวงถูกกดดัน
“ออกไปให้พ้น เจ้าคนอันธพาล!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกรีดร้องและใช้หินที่อยู่ในมือทุบตีฝ่ายตรงข้าม
ปัง!
เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย พลังของเฮ่อเหยียนสวินเสวี่ยนจึงถูกกระตุ้น มันเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวมากแม้แต่หลิงฮันและฮูหนิวก็ไม่อาจต้านทานได้
“อะไรกัน!” เพียงแค่ได้ยินเสียงกรีดร้องของนาง ข้าก็นอนกองอยู่บนพื้นแล้วและปรากฏรอยร้าวที่หน้าผาก
นี่มัน!
ใบหน้าของทุกคนกระตุก หญิงสาวคนนี้สามารถจัดการจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานได้
“บ่มเพาะกายา!” ไป๋หยวนพูดออกมา ในที่สุดมันก็รู้ว่าทำไมมันถึงมองผ่านเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายบ่มเพาะกายา ซึ่งพลังจะถูกควบแน่นอยู่ในเนื้อหนังและโลหิต
“พละกำลังของนางน่าอัศจรรย์มาก!”
“ใช่แล้ว หากต่อสู้ระยะประชิดผู้ที่บ่มเพาะกายาได้เปรียบกว่าแน่นอน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ใครปล่อยให้เจ้านี่เอ้อระเหยเกินไปล่ะ ถึงถูกอีกฝ่ายใช้ประโยชน์และจัดการด้วยหินที่อยู่ในมือ”
“ถ้าจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานไม่มีพลังก่อเกิดป้องกันล่ะก็ ผลที่ตามมาคงจะไม่แตกต่างจากคนธรรมดามากนัก”
ทุกคนพูดแสดงความคิดเห็นและพยักหน้าเห็นด้วย
“หึ่ม ถ้าอีกฝ่ายเป็นจอมยุทธ ทำไมถึงแสร้งทำตัวอ่อนแอแบบนี้ด้วย?” ศิษย์หญิงของนิกายพันศพพูดออกมา นางเป็นศิษย์ลำดับเก้าชื่อว่าฮันกู่หยุน ถึงแม้ว่าศิษย์ลำดับห้าจะพ่ายแพ้ แต่ซาจั่นยังไม่ได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมา
แม้นางจะเป็นผู้หญิงที่งดงาม แต่ก็ด้อยกว่าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน และไม่มีทางที่ทั้งสองคนจะเทียบกันได้ เพราะเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเป็นอัจฉริยะระดับสวรรค์ แล้วจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานอย่างนางจะต่อกรกับเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนได้อย่างไร?
ฮันกู่หยุนกรีดร้องออกมาทันทีและเรียกทหารซากศพของนางออกมา
ทหารซากศพของนางมีทั้งหมดสี่ตัว แต่แข็งแกร่งกว่าทหารซากศพของเปียนฮ่าว พวกมันมีพลังต่อสู้อย่างน้อยสิบสี่ดาว และอย่าได้ดูถูกพลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งดาวเชียว
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนสั่นเทา ทหารซากศพพวกนั้นทำให้นางหวาดกลัว
ปัง ปัง ปัง ปัง ทหารซากศพทั้งสี่ตัวเริ่มโจมตีออกไปอย่างรุนแรง
“ว้ายยยย” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนกรีดร้องและแกว่งหินที่อยู่ในมือไปมา ทหารซากศพทั้งสี่ร่างหัวหลุดทันทีและกระเด็นออกไป
อึก ทุกคนรู้สึกตกตะลึงอีกครั้ง
ป…ปรมาจารย์ยุทธ!
นี่ไม่ได้เป็นการพูดเกินจริงแต่อย่างใด เพียงแค่ตบตีไม่กี่ทีทหารซากศพทั้งสี่ร่างก็ถูกซัดปลิว นางน่าสะพรึงกลัวกว่าเด็กสาวตัวน้อยเสียอีก
ดูจากอายุของนางแล้ว นางน่าจะมีอายุประมาณยี่สิบปี แล้วนางแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร?
ซวนหยวนจื่อกวางประหลาดใจ เขาคิดว่าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเป็นแค่หญิงสาวที่อ่อนแอและบอบบาง และไม่คิดเลยว่านางจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ทหารซากศพทั้งสี่ร่างถูกซัดปลิวออกไปพร้อมกัน แม้แต่ตัวมันเองก็ไม่มีทางทำได้
“มีเพียงแค่จอมยุทธระดับสวรรค์เท่านั้น ที่แข็งแกร่งกว่าซวนหยวนจื่อกวงและย่าวหุยเยว่!”
ตอนที่ 565
แข็งแกร่ง
ชายชราที่ทรงภูมิถูกตบหน้าอีกครั้ง หญิงสาวที่ดูอ่อนแอ กลับน่าสะพรึงกลัวกว่าเด็กสาวตัวน้อยเมื่อครู่เสียอีก และความแข็งแกร่งของนางยังน่าทึ่งเพียงแค่ตบตีเล็กน้อยทหารซากศพทั้งสี่ร่างก็ถูกจัดการ
“มีอัจฉริยะแห่งภูมิภาคกลางเพิ่มมาอีกคนแล้ว” ชายชรากล่าว
“มันจะมีอัจฉริยะที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้ปรากฏออกมาอีกหรือไม่?” ใครบางคนถาม
“ไม่มีทาง!” ชายชรามั่นใจมาก อัจฉริยะแห่งภูมิภาคกลางที่แข็งแกร่งแบบนี้สองคนได้ปรากฏตัวออกมาพร้อมกันนี่ถือว่าเป็นปาฎิหาริย์ของภูมิภาคกลางแล้ว แล้วถ้าคนที่สามปรากฏตัวออกมาล่ะ?
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนรู้สึกตกใจ นางจ้องมองไปที่ทหารซากศพทั้งสี่ร่างที่ถูกนางจัดการ แล้วตบหน้าอกที่แบนราบและพูดอย่างสงสัยว่า “ข้าแข็งแกร่งขนาดนี้เชียว?”
ตอนนี้ฮันกู่หยุนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
นิกายพันศพแข็งแกร่งเพราะทหารซากศพ แต่ทหารซากศพทั้งสี่ร่างของนางกลับถูกจัดการในคราวเดียว นี่หรือว่านางกำลังจะตาย? หากถอนตัวจากการต่อสู้มันจะน่าละอายใจหรือไม่?
“กลับมา” ไป๋หยวนกล่าว มันเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์ แน่นอนว่าย่อมมีสายตาที่แหลมคม เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนนั้นแข็งแกร่งมากและมีประสบการณ์ต่อสู้มากเหมือนกัน แล้วจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานจะรับมือกับนางได้อย่างไร
ดังนั้นมีเพียงแค่ศิษย์ลำดับสามที่กำลังต่อสู้อยู่และศิษย์ลำดับสองกับตัวมันเท่านั้นที่จะรับมือกับนางได้
“การต่อสู้ที่ผ่านมา ข้ายอมรับความพ่ายแพ้ สาวน้อยเจ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก สนใจที่จะเข้าร่วมนิกายของพวกเข้าหรือไม่?” ไป๋หยวนกล่าวชักชวนเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน
“ไม่มีทาง!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนส่ายหัวและมองหาหลิงฮันที่อยู่บนกำแพงเมืองด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร นางต้องการกลับไป แต่กำแพงมันสูงมาก
หลิงฮันกล่าวกับนางว่า “หากเจ้าต้องการขึ้นมาก็กระโดดขึ้นมาเอง เจ้าทำได้อยู่แล้ว”
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนยังคงส่ายหน้าและพูดว่า “มันสูงเกินไปที่จะกระโดดได้” นางไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย
“เจ้าจะรู้ได้อย่างไรถ้ายังไม่ลองพยายามดู?” หลิงฮันยิ้ม
ฮึ่ม เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเค้นเสียงออกมา และกระโดดขึ้นไปบนฟ้า ทันใดนั้น ร่างของนางทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที ไม่เพียงแต่นางจะกระโดดสูงกว่ากำแพงเท่านั้น แต่ยังสูงขึ้นไปอีกจนเป็นจุดสีดำอยู่บนท้องฟ้า
หลังจากนั้นไม่นาน ปัง นางปะทะเข้ากับรูปแบบอาคมป้องกันเมือง
“แย่แล้ว นางพุ่งเข้าหารูปแบบอาคมป้องกันของเมือง!”
“ในขณะที่รูปแบบอาคมป้องกันเมืองถูกเปิดใช้งานอยู่ หากปะทะเข้ากับมัน ข้าเกรงว่าแม้แต่จอมยุทธระดับก้าวสู่เทวาก็ยังต้องตาย”
“มันจบแล้ว”
ปัง!
ในขณะนั้น มีร่างของคนผู้หนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างรวดเร็วและปะทะกับกำแพง ด้วยแรงกระแทกที่รุนแรง ทำให้กำแพงพังทลายลงทันที และมีฝุ่นฟุ้งไปทั่วอากาศ คนผู้นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยน
ใบหน้าของผู้คนกระตุกโดยที่ไม่ตั้งใจอีกครั้ง หญิงสาวคนนี้พุ่งเข้าหารูปแบบอาคมป้องกันเมืองแต่กลับไม่เป็นอะไรเลยนางแข็งแกร่งแค่ไหนกันถึงไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย?
“เจ็บเจ็บเจ็บเจ็บเจ็บ!” เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนตะโกนและใช้มือกุมหัว แต่ร่างกายของนางกลับไม่มีรอยแผลแม้แต่น้อย
หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ แม้ว่านางจะสูญเสียความทรงจำ และโคจรพลังก่อเกิดไม่ได้ แต่นางก็ยังคงฆ่าเขาได้อยู่ดี กายหยาบของนางแข็งแกร่งกว่าเขาเสียอีก
เฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนทำตัวเหมือนเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ นางเดินไปยืนอยู่ด้านข้างหลิงฮันแล้วดึงชายเสื้อของเขา ใบหน้าของนางดูโศกเศร้าราวกับจะร้องไห้ออกมา
หลิงฮันมองไปด้านล่างและพูดกับไป๋หยวนว่า “ศิษย์ของนิกายพวกเจ้า ช่างอ่อนแอเสียจริง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของไป๋หยวนบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด ซวนหยวนจือกวงไม่ได้เป็นปัญหา อย่างน้อยจูเทียนเก้อก็สามารถรับมือได้ แต่ปัญหาคือฮูหนิวและจูเหลียนสวินเสวี่ยน
ตอนนี้นิกายพันศพเริ่มกระหายชัยชนะเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับตัวเอง และมันยังเป็นการเพิ่มความมั่นใจกับชายหนุ่มและหญิงสาวเก้าคนนี้ของนิกายพันศพ
หลิงฮันกระโดดลงมาจากกำแพงเมืองและพูดว่า “เช่นนั้นที่เหลือข้าจะเป็นคนต่อสู้ให้กับพวกเจ้าเอง”
เจ้าหนุ่มนี่ไปเอาความมั่นใจมากจากไหน?
ไป๋หยวนแสยะยิ้ม ซวนหยวนจื่อกวงเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าถือว่าหาตัวจับได้ยากในช่วงอายุเดียวกับมัน ส่วนฮูหนิวและเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนเป็นคนที่มันไม่สามารถมองผ่านได้ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนไม่ธรรมดา
แล้วหลิงฮันล่ะ?
เพียงแค่เหลือบมองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นแค่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นสอง
แม้ว่าเจ้าหนุ่มนี่จะมีพลังต่อสู้สิบดาว แต่ก็เป็นได้แค่ของเล่นของคนที่มีพลังต่อสู้สิบสองดาว และในหมู่พวกมันเกือบครึ่งหนึ่งสามารถบดขยี้เขาได้
ไป๋หยวนพยักหน้าและพูดว่า “ศิษย์ลำดับสี่ ตาเจ้าแล้ว”
เที๋ยนซิวหนิงศิษย์ลำดับสี่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองในหมู่พวกมันทั้งสิบคน และเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นแปดที่สามารถควบคุมทหารซากศพได้ทั้งหมดห้าร่างไม่ได้น้อยไปกว่าจูเทียนเก้อ
เที๋ยนซิวหนิงปรากฏตัวออกมา และคิดว่ามันจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน
เที๋ยนซิวหนิงเป็นชายอายุเกือบสามสิบปี รูปร่างสูงแต่หัวล้าน แม้แต่คิ้วยังไม่มีทำให้ใบหน้าของมันดูแปลกประหลาด
เมื่อหลิงฮันเห็นช่วยไม่ได้ที่เขาจะหัวเราะออกมา
ปากของเที๋ยนซิวหนิงกระตุกและพูดว่า “ปากของเจ้ามันจะเป็นเหตุที่ทำให้เจ้าต้องตาย!”
“โอ้ว เจ้าต้องการชีวิตของข้า?” หลิงฮันยิ้ม
“ใช่แล้ว เจ้าจะต้องตายที่หัวเราะข้า!” เที๋ยนซิวหนิงพูดออกมาอย่างเย็นชา
“เจ้าไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย เจ้าฝึกฝนจนหัวล้านเลยอย่างนั้นหรือ?’ หลิงฮันยิ้ม
“สามห้าว!” เที๋ยนซิวหนิงกระโจนออกไปเพื่อโจมตีหลิงฮัน ปราณซากศพที่โคจรอยู่ในมือของมันกลายเป็นหัวกระโหลกเพื่อเขมือบหลิงฮัน
หลิงฮันกระติกนิ้ว พรึบ หัวกระโหลกนั่นหายไปทันที เขายิ้มออกมาและพูดว่า “เรียกทหารซากศพของเจ้าออกมา เจ้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะปะมือกับข้า”
พรวด!
หลายคนแทบกระอัก แม้ว่าแต่ละฝ่ายเพิ่งจะเริ่มเคลื่อนไหวและทั้งคู่จะยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของตัวเองออกมา แต่เที๋ยนซิวหนิงเป็นถึงจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นแปด แต่หลิงฮันกลับสามารถปัดเป่าการโจมตีของมันได้อย่างง่ายดาย
เที๋ยนซิวหนิงจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยสายตาเย็นชา หลังจากนั้นชั่วครู่ มันได้พูดออกมาว่า “หากเจ้าร้องขอ ข้าก็จะสนองให้!”
มันตะโกน และทันใดนั้นได้เกิดเสียงอึกทึกดังขึ้น โลงศพห้าโลงเคลื่อนที่มาและมีทหารซากศพห้าร่างกระโจนออกมา
“ทหารซากศพห้าร่าง!” ชายชราที่ดูทรงภูมิอุทานออกมา “ความแข็งแกร่งระหว่างทหารซากศพและผู้ใช้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าหนุ่มนี่ตกอยู่ในอันตรายแล้ว!”
ตอนที่ 566
ดาบกระดูก
หลิงฮันกระดิกนิ้วและพูด “เข้ามา!” เที๋ยนซิวหนิง
“ตามที่เจ้าต้องการ!” เที๋ยนซิวหนิงคำรามและพุ่งโจมตีใส่หลิงฮันพร้อมกับทหารซากศพทั้งห้าตัว เมื่อเห็นทหารซากศพห้าตัวที่ล้อมรอบหลิงฮันอยู่ ผู้คนในเมืองต่างก็ส่ายหัวถอนหายใจ รุ่นเยาว์ผู้นี้จะต้องตายแน่ๆ
นี่ไม่ใช่รุ่นเยาว์คนแรกที่ตายในวันนี้และคงจะไม่ใช่คนสุดท้ายด้วย ดังนั้นทุกคนจึงไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ ใครจะไปสนใจคนที่ไม่รู้จักกัน?
แต่ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้กลับทำทุกคนตกตะลึง
ร่างของหลิงฮันพลิ้วไหวและค่อยๆขยับเข้าใกล้ทหารซากศพทั้งห้า เขาโคจรปราณก่อเกิดและโจมตีใส่ทหารซากศพจนกระเด็น
“เป็นไปได้อย่างไร!”
“รุ่นเยาว์ผู้นั้นต้องไม่ใช่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นสองแน่ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วพลังโจมตีของเขาจะน่ากลัวขนาดนั้นได้อย่างไร?”
“พลังต่อสู้ของทหารซากศพเหล่านั้นเกือบจะถึงสิบสี่ดาวเลยไม่ใช่รึไง?”
“พลังต่อสู้ของพวกมันคือสิบสี่ดาวไม่ผิดแน่! แต่คลื่นพลังจากฝ่ามือของรุ่นเยาว์ผู้นี้กลับสามารถซัดพวกมันกระเด็นได้อย่างง่ายดาย พลังต่อสู้ของเขาช่างน่ากลัวนัก”
“อัจฉริยะ! อัจฉริยะไร้ที่เปรียบ!”
“ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าซวนหยวนจื่อกวงหรือย่าวหุยเยว่เลย!”
ใบหน้าของชายชราทรงภูมิกระตุกไปมา เพียงแค่ไม่นานได้มีรุ่นเยาว์อัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นมาหักหน้าเขาติดต่อกันถึงสามคน ตอนนี้ชายชราทรงภูมิอยากจะหาหลุมสักหลุมเพื่อมุดลงไปเหลือเกิน
“นับว่าพอมีความสามารถอยู่บ้าง” เที๋ยนซิวหนิงแสยะยิ้มและเข้าร่วมต่อสู้
อาวุธที่มันใช้คือดาบกระดูก ดูจากรูปร่างของดาบแล้ว มันคงถูกหลอมขึ้นจากกระดูกของสัตว์อสูรยักษ์ บนตัวดาบมีอักขระลึกลับถูกสลักเอาไว้
เมื่อใดที่อักขระเหล่านั้นถูกกระตุ้นใช้งานและเชื่อมต่อกัน อำนาจอันทรงพลังของสัตว์อสูรยักษ์จะสำแดงออกมา
หลิงฮันรู้สึกราวกับมองเห็นเงาของสัตว์อสูรยักษ์อยู่เหนือตัวดาบรางๆ รูปร่างของมันองอาจราวกับจะสามารถบดขยี้สวรรค์และปฐพี หลิงฮันอดที่จะมองไปยังดาบกระดูกนั่นไม่ได้ “ดาบนั้นหลอมขึ้นมาจากกระดูกของมังกรอสรพิษ?”
ตำนานกล่าวไว้ว่ามังกรที่แท้จริงมีบุตรอยู่เก้าตัว รูปร่างของพวกมันทั้งเก้าแตกต่างกันออกไปเพราะเกิดจากสัตว์อสูรเพศเมียคนละชนิด สัตว์อสูรทั้งเก้าที่กำเนิดขึ้นมาสืบทอดโลหิตของมังกรที่แท้จริงมาเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือสัตว์อสูรที่รูปร่างเหมือนกับอสรพิษ หัวเป็นสิงโตและมีเขางอกสองเขา ทั่วทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดมังกร
แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยงของสายโลหิตมังกรที่แท้จริง แต่มังกรที่แท้จริงคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุดที่ปกครองโลกนี้ โลหิตเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวของมันก็นับว่าล้ำค่าและยากที่หาได้พบ
เที๋ยนซิวหนิงเผยสีหน้าตกตะลึงและกล่าว “เจ้ารู้จักดาบนี้?” มันเองก็ได้รับการบอกเล่าตำนานของมังกรอสรพิษหลังจากที่ได้รับดาบนี้มา แต่ถึงอย่างไรสายเลือดที่อยู่ในร่างของมังกรอสรพิษก็เบาบาง แต่นั่นก็ไม่แปลกอะไร ถ้าหากเป็นมังกรที่แท้จริงจริงๆล่ะก็ ใครจะไปนำกระดูกของมันมาหลอมเป็นดาบได้?
“สายเลือดที่เบาบางและรูปแบบอักขระที่ยุ่งเหยิง ก็แค่งั้นๆ” หลิงฮันพูดประเมินดาบกระดูก
เที๋ยนซิวหนิงกลายเป็นชะงักในทันที เจ้าบอกว่า ‘ก็แค่งั้นๆ’ อย่างนั้นรึ? มันเค้นเสียงดูถูกและพูดออกมา “เพื่อสังหารเจ้า แค่ดาบงั้นๆเล่มนี้ก็เพียงพอแล้ว!” เที๋ยนซิวหนิงตวัดดาบใส่หลิงฮัน
หลิงฮันหัวเราะและพูด “แม้จะเป็นดาบที่งั้นๆ แต่ข้าก็ต้องการมัน!” ดาบกำเนิดมารไม่สามารถนำออกมาใช้อย่างผลีผลาม ดังนั้นหากได้ดาบกระดูกมาใช้แทนก็ไม่เลวเหมือนกัน
“อวดดี!” เที๋ยนซิวหนิงเกรี้ยวกราด ชายหนุ่มผู้นี้บ้าไปได้ นี่เขาไม่เห็นมันอยู่ในสายตาเลยรึไง?
หลิงฮันใช้ย่างก้าวเทพธิดาปีศาจพร้อมกับปล่อยหมัดใส่เที๋ยนซิวหนิง
ทหารซากศพทั้งห้ากรีดร้องอย่างชั่วร้ายและพุ่งไล่ตามหลิงฮันจากด้านหลัง
ตอนนี้สถานการณ์กลายเป็นการเผชิญหน้าระหว่างหลิงฮันและเที๋ยนซิวหนิง ด้วยการสนับสนุนของดาบกระดูก ปราณดาบที่เที๋ยนซิวหนิงฟันออกมาจึงมีขนาดยาวขึ้นสามฟุต
หลิงฮันไม่หวาดหวั่น หมัดของเขาปะทะเข้ากับปราณดาบของเที๋ยนซิวหนิงโดยตรง
‘ตูม’ ปราณดาบเหล่านั้นแตกสลายทันที
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สีหน้าของทุกคนก็กลายเป็นตกตะลึง
ทรงพลังเกินไปแล้ว ต้องรู้ก่อนว่าปราณดาบของเที๋ยนซิวหนิงนั้นถูกเสริมแกร่งโดยดาบกระถูก ความแหลมคมและทนทานของพวกมันเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่รู้กี่เท่า ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทุกคนถึงต้องการครอบครองอาวุธวิญญาณระดับสูง
แต่ถึงอย่างนั้นหลิงฮันกลับสามารถบดขยี้ปราณดาบเหล่านั้นหมัดด้วยเดียว แถมกำปั้นของเขายังไม่ปรากฏร่องรอยบาดเจ็บอีกด้วย… นั่นยังเรียกว่าเป็นกล้ามเนื้ออยู่อีกรึ?
เที๋ยนซิวหนิงชะงัก มันจงใจให้หลิงฮันปล่อยหมัดใส่มันและใช้ปราณดาบสวนกลับไปเพื่อทำลายหมัดของหลิงฮัน แต่มันนึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้! เที๋ยนซิวหนิงก้มลงมองไปยังดาบกระดูกในมือ นี่ใช่อาวุธวิญญาณที่หลอมขึ้นจากทายาทของมังกรที่แท้จริงจริงๆรึ?
“ไม่ต้องสงสัยให้เสียเวลา ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะกำปั้นของข้าทนทานและทรงพลัง!” หลิงฮันหัวเราะ เขาบ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ถ้าหากร่างกายของเขาบรรลุกายาเพชรล่ะก็ กายหยาบของเขาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่ามังกรที่แท้จริงเสียอีก
แม้ตอนนี้เขาจะยังบรรลุเพียงกายาเหล็กไหล แต่ดาบกระดูกก็หลอมขึ้นจากซากกระดูกสัตว์อสูรที่ตายแล้ว แม้มันจะเป็นซากกระดูกของสัตว์อสูรที่สืบสายเลือดมาจาก มังกรที่แท้จริง แต่มันจะทำให้เขาบาดเจ็บได้อย่างไร?
ถ้าเจ้าอยากจะสร้างบาดแผลให้กับร่างกายที่ทนทานเทียบเท่าแร่เหล็กระดับหกล่ะก็ เจ้าก็ต้องใช้อาวุธวิญญาณระดับเจ็ดเป็นอาวุธ
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ หลิงฮันก็ปล่อยหมัดออกไปอีกสองหมัด ทำให้เที๋ยนซิวหนิงทำได้เพียงล่าถอย
ภาพที่มองเห็นนั้นตลกเป็นอย่างมาก เที๋ยนซิวหนิงล่าถอย หลิงฮันไล่ตาม ส่วนทหารซากศพก็ไล่ตามหลิงฮันอีกที
“ฮ่าๆๆ รุ่นเยาว์ผู้นั้นค้นพบจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของทหารซากศพเสียแล้ว” ใครบางคนพูดขึ้นจากบนกำแพงเมือง
“ใช่แล้ว จุดอ่อนของทหารซากศพก็คือความเร็วที่ถูกจำกัด เพราะอย่างไรมันก็เป็นเพียงซากศพ มันไม่สามารถวิ่งได้”
“แต่ถึงอย่างไรพวกมันก็มีพลังอำนาจเทียบเท่ากับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้า คงมีอัจฉริยะระดับบุปผาผลิบานไม่กี่คนที่เคลื่อนไหวได้เร็วกว่าพวกมัน”
“รุ่นเยาว์ผู้นั้นช่างอัจฉริยะยิ่งนัก!”
เที๋ยนซิวหนิงหวาดหวั่น ตอนนี้ทหารซากศพทั้งห้ากลายเป็นไร้ประโยชน์แล้ว มันต้องเผชิญหน้ากับหลิงฮันด้วยตนเอง! พลังต่อสู้ของศิษย์ส่วนใหญ่ของนิกายพันศพนั้นขึ้นอยู่กับทหารซากศพ ถ้าหากทหารซากศพไม่สามารถใช้งานได้ พลังต่อสู้ของพวกเขาก็จะลดลงไปด้วย
ด้วยพลังบ่มเพาะระดับบุปผาผลิบานขั้นแปดและพลังต่อสู้สิบห้าดาว มันคืออัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งยุคสมัยนี้อย่างไม่ต้องสงสัย มันไม่หวั่นเกรงผู้ใดในช่วงอายุเดียวกัน แต่การที่ต้องมาเจอกับสัตว์ประหลาดอย่างหลิงฮันนั้น นับว่าเป็นโชคร้ายของมันอย่างมาก
‘ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!’
หลังจากผ่านไปร้อยกว่าหมัด ดาบกระดูกของเที๋ยนซิวหนิงก็กระเด็นหลุดจากมือและหลิงฮันคว้ามันเอาไว้ได้
“คืนมาให้ข้า!” เที๋ยนซิวหนิงรีบพูดออกมา ดาบกระดูกคือสมบัติที่ผู้นำนิกายมอบให้กับมันด้วยตนเอง
หลิงฮันส่ายหัวและพูด “ปล่อยให้อาวุธวิญญาณเช่นนี้ตกไปอยู่ในมือของเจ้าก็เสียของเปล่าๆ!” เขาหันหลังและจ้องมองไปยังทหารซากศพทั้งห้า
ตอนที่ 567
ควบแน่นปราณดาบ
หลิงฮันกระโจนเข้าหาทหารซากศพทั้งห้าพร้อมกับกวัดแกว่งดาบกระดูกที่อยู่ในมือโดยใช้ทักษะดาบสกัดแปดลมหายใจ แต่ก็ถูกป้องกันจนหมด
เขาเพิ่งเห็นซวนหยวนจื่อกวงควบแน่นปราณได้ ซึ่งทำให้หลิงฮันได้รับแรงบันดาลใจ แล้วทำไมเขาจะทำไม่ได้กันล่ะ?
ทักษะดาบลึกลับสามพันเล่มแม้ว่าขีดจำกัดของมันคือดาบสามพันเล่ม แต่พลังทำลายล้างของมันนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก
ถ้ารวมการโจมตีสามพันครั้งให้เป็นหนึ่ง แล้วพลังทำลายล้างของมันจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน?
หลิงฮันใช้ทหารซากศพทั้งห้าร่างเป็นคู่ซ้อม เขากวัดแกว่งดาบกระดูกและปราณดาบเริงระบำอยู่ในอากาศ แต่ทว่ามันกลับยุ่งเหยิงไร้ความมั่นคง อย่างไรก็ตาม ดาบสกัดแปดลมหายใจนั้นเป็นทักษะป้องกัน
เมื่อเห็นเช่นนั้น เที๋ยนซิวหนิงคิดว่าหลิงฮันเล่นตลกกับมัน มันจึงกรีดร้องออกมาและโคจรปราณศพออกมาเพื่อกระตุ้นทหารซากศพทั้งห้าร่าง ดังนั้นพลังของพวกมันจึงเพิ่มขึ้นและต้องการกำจัดหลิงฮัน
ตู้ม!
แม้ว่าช่องหว่างระหว่างหลิงฮันกับทหารซากศพจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่พลังของพวกมันก็แข็งแกร่งอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าหลิงฮันจะมีร่างกายที่แข็งแกร่ง แต่คลื่นกระแทกจากพลังโจมตีมันก็ยังคงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย
แต่โชคดีที่เขาถูกโจมตีเป็นครั้งคราว ทำให้คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์รักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้ทันที
เมื่อจ้องมองไปที่การต่อสู้ ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก
พวกมันเป็นแค่ทหารซากศพ แต่ทำไมถึงจัดการได้ยากเย็นขนาดนี้?
ตอนแรกบางคนคิดว่าหลิงฮันเป็นคนที่ฉลาดมากที่แยกทหารซากศพทั้งห้าร่างออกจากเที๋ยนซิวหนิง และบังคับให้เที๋ยนซิวหนิงต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งกับเขา แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นว่าเขากำลังอวดให้ทุกคนได้เห็นถึงพลังป้องกันที่น่าสะพรึงกลัว
ชายหนุ่มคนนี้น่าสะพรึงกลัวมาก ขณะที่โจมตีเขาไม่เปิดช่องโหว่ออกมาให้เห็นเลย และพลังป้องกันของเขายังเป็นเหมือนดั่งขุนเขา!
แล้วคนในรุ่นเดียวกัน ใครจะสามารถรับมือกับเขาได้บ้าง?
ซวนหยวนจื่อกวง? หรือย่าวหุยเยว่?
หลิงฮันไม่สนใจท่าทีตกตะลึงของทุกคน เขามองทหารซากศพเหมือนพวกมันเป็นแค่หินลับคม ไม่ไกลจากเขาซวนหยวนจื่อกวงกำลังต่อสู้กับจูเทียนเก้ออยู่ และแอบสังเกตอีกฝ่าย
หลิงฮันจึงใช้โอกาสนี้เรียนรู้ และใช้เนตรแห่งสัจธรรมเพื่อสังเกตการควบแน่นปราณของซวนหยวนจื่อกวงให้เป็นวิธีการของตัวเอง
เที๋ยนซิวหนิงจะรู้ได้อย่างไรว่าหลิงฮันกำลังพยายามทะลวงผ่านขีดจำกัดของตัวเองอยู่ แม้ว่ามันจะกดดันหลิงฮันได้ แต่มันก็ยังคงกรีดร้องออกมาอีกครั้ง และโจมตีออกไปเพื่อเอาชีวิตของหลิงฮัน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ามันจะได้เปรียบในเรื่องของจำนวน แต่มันก็ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ให้เป็นฝ่ายชนะ ซึ่งหลิงฮันดูเหมือนจะมีดีแค่พลังป้องกัน บางครั้งเขาก็ตอบโต้การโจมตี
ดวงตาของหลิงฮันเบิกกว้างขึ้น เขาหัวเราะออกมาและพูดว่า “เข้าใจแล้ว! ข้าเข้าใจแล้ว!”
เจ้าเข้าใจแล้วมันจะทำไม?
เที๋ยนซิวหนิงจ้องมองหลิงฮันและกรีดร้องออกมาว่า “เจ้าจะเข้าใจอะไรมันก็เรื่องของเจ้า แต่ดาบนั่นมันเป็นของข้า!”
“ก็ได้ งั้นเอาคืนไป!” หลิงฮันกวัดแกว่งดาบพร้อมกับปลดปล่อยปราณดาบออกมา แต่ปราณดาบนั่นมันดูไม่เสถียรและบิดตัวไปมาเหมือนกับงู
เที๋ยนซิวหนิงรู้สึกตกใจ ปราณดาบนี่ทำให้มันรู้สึกกลัว
ตู้ม!
แต่ทว่าปราณดาบกลับระเบิดด้วยตัวมันเอง และหายไปในอากาศ
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ศิษย์หลายคนของนิกายพันศพระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากที่ครุ่นคิด
ปราณดาบนี่…มีบางอย่างผิดปกติ
“หืม เขากำลังควบแน่นปราณดาบ!” ในที่สุดก็มีใครบางคนบอกออกและตะโกนออกมา
“ใช่ เขากำลังควบแน่นปราณดาบ!”
“เป็นไปไม่ได้!”
“ข้าเข้าใจแล้ว เขากำลังเรียนรู้วิธีการควบแน่นพลังปราณจากซวนหยวนจื่อกวง!”
อึก!
ครั้งนี้ ทุกคนพูดไม่ออก ชายหนุ่มคนนี้มีพรสวรรค์น่าสะพรึงกลัวเกินไป เห็นได้ชัดว่าเขาเลียนแบบหลังจากดูการต่อสู้ของซวนหยวนจื่อกวง
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเพียงแค่จ้องมองและทำความเข้าใจด้วยตัวเองได้เลยนั้นมันน่าทึ่งมาก
“ล้มเหลว” หลิงฮันส่ายหน้า แต่สีหน้าของเขาไม่ได้ดูผิดหวัง นี่เป็นแค่ความพยายามครั้งแรกเท่านั้น “อีกรอบ!” หลิงฮันกวัดแกว่งดาบอีกครั้ง และปราณดาบถูกควบแน่นจนดูคล้ายกับเสาแสงก็ได้ถูกปลดปล่อยออกมา
แต่มันก็ยังคงเหมือนเดิม ปราณดาบถูกปล่อยออกไปได้ไม่นาน และยังไม่ทันแสดงพลังของมันออกมาก็พังทลายลง
ล้มเหลวอีกครั้ง
“ทักษะลับจะฝึกฝนได้ง่ายๆได้อย่างไร?”
“มันไม่มีทางที่จะเรียนรู้ได้เพียงแค่จ้องมองไม่กี่ครั้ง”
บนกำแพงเมือง หลายคนพูดวิจารณ์ไปต่างๆนาๆ หลิงฮันมีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวเกินไป ดังนั้นจึงมีหลายคนรู้สึกอิจฉา แต่ก็มีบางคนตระหนักว่า ปราณดาบเมื่อครู่ของหลิงฮันยาวกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย
แม้จะเล็กน้อย แต่มันก็ยาวขึ้น!
ดาบที่สิบ ดาบที่ยี่สิบ และดาบที่สามสิบ ความก้าวหน้าของเขาเริ่มเห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น และผู้คนส่วนใหญ่ค้นพบว่าปราณดาบของเขาเริ่มยาวขึ้นเรื่อยๆ
เที๋ยนซิวหนิงรู้สึกประหลาดใจ หรือว่าหลิงฮันกำลังใช้มันขัดเกลาฝีมือ? มันกรีดร้องออกมาและพูดว่า “หอกกระดูก!”
ทันใดนั้น ทหารซากศพทั้งห้าร่างดูโหดเหี้ยมมากยิ่งขึ้นและเห่าหอนเหมือนสัตว์อสูร แขนขวาของพวกมันเปลี่ยนไปกลายเป็นหอกกระดูกที่ให้ความรู้สึกหนาวเย็น
ทหารซากศพทั้งห้าร่างแทงหอกกระดูกใส่หลิงฮันและดูเหมือนจะสามารถโจมตีผ่านการป้องกันของหลิงฮันได้
“ทำลาย!” หลิงฮันเค้นเสียงออกมาและกวัดแกว่งดาบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น