Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 517-524
ตอนที่ 517
สหายเก่า
ในวันที่สี่ ฮูหนิวรอคอยหลิงฮันอยู่แล้ว หลังจากที่หลิงฮันกลอกตา เด็กสาวตัวน้อยได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาเสียงดังและลากหลิงฮันให้ไปทำอาหารให้กิน นางไม่มีความสม่ำเสมอในการทำสิ่งต่างๆ เมื่อไม่นานมานี้ นางเพิ่งจะพูดออกมาว่าจะฝึกฝนบ่มเพาะพลัง แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน นางก็เริ่มเอื่อยเฉื่อยแล้ว
สิ่งที่คนอื่นไม่อาจยอมรับได้คือระดับบ่มเพาะพลังของนางนั้นยังคงยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว นางทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้ว และพลังต่อสู้ของนางนั้นยังคาดการณ์ไม่ได้
วันนี้เขาพักผ่อนอย่างสงบและลืมความกดดันทั้งหมดไปเพียงแค่ใช้เวลามีความสุขไปกับความรักของพ่อแม่และความรู้สึกอ่อนโยนของเหล่าหญิงสาวที่งดงาม อย่างไรก็ตาม หลิงฮันก็ยังคงมีความก้าวหน้าบนวิถีวรยุทธที่น่าทึ่ง
ปราณดาบของเขาไปถึงสิบเก้าเล่มแล้ว แต่ปราณดาบเล่มที่ยี่สิบนั้นเป็นอีกอุปสรรคหนึ่งที่เขาต้องเผชิญ ซึ่งบางทีเขาอาจจะติดอยู่ในระดับนี้อยู่พักหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ในที่สุดเขาก็ทำความเข้าใจอักขระกระดูกทั้งสองได้แล้วที่ได้มาจากอสูรพังพอนเฒ่าและสัตว์อสูรระดับราชาอีกตัวหนึ่งที่ไม่มีชื่อ
อักขระกระดูกของอสูรพังพอนเฒ่านั้นเป็นทักษะสนับสนุน แม้ว่าหลิงฮันจะไม่รู้ว่ามันสามารถเรียกได้ว่าเป็นทักษะหรือไม่ก็ตาม มันเป็นเพียงแค่รูปแบบอาคมวิญญาณ แต่มันสามารถใช้กับดาบได้ ซึ่งทำให้พลังทำลายล้างของปราณดาบเพิ่มขึ้น มันไม่ได้เป็นความสามารถที่น่ารังเกียจ แต่เป็นความสามารถที่ใช้สนับสนุนเท่านั้น
อักขระกระดูกนี่มันใช้งานได้ยอดเยี่ยมมาก แม้แต่หลิงฮันยังรู้สึกว่าประสิทธิภาพของมันเหนือกว่าอักขระกระดูกแบบอื่น
อักขระกระดูกอีกแบบหนึ่งมันสามารถปล่อยใบมีดน้ำแข็งออกมาได้ แต่หลิงฮันได้รับพลังลึกลับศรฆ่ามังกรทะลวงดารามาแล้ว ซึ่งค่อนข้างทรงพลังทีเดียวเมื่อใช้โจมตีระยะไกล แต่เมื่อขบคิดถึงมัน ศรฆ่ามังกรทะลวงดารานั้นจำเป็นต้องใช้เวลาสะสมพลังก่อนที่จะปลดปล่อยการโจมตีออกมาได้และเป็นการโจมตีระยะไกล ในขณะที่อักขระกระดูกนี่สามารถปล่อยใบมีดน้ำแข็งออกมาเพื่อโจมตีระยะกลางถึงใกล้
อย่างไรก็ตาม ยิ่งมีเทคนิคเพิ่มขึ้นมันไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด ทักษะและเทคนิคแต่ละอย่างอาจมีสถานที่ที่มันสามารถใช้งานได้แต่ต่างกัน
ต่อไปเขากำลังจะเดินทางไปที่ภูมิภาคกลางและแน่นอนว่าเขาไม่อาจใช้ทักษะดาบลึกลับสามพันเล่มที่นั่นได้ มิฉะนั้น มันจะดึงดูดปีศาจเฒ่าของนิกายดาบสวรรค์ออกมา ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องตลก ดังนั้น เขาจึงพลิกค้นหาทักษะอื่นและค้นพบทักษะดาบหนึ่งเข้า
ทักษะดาบอเวจีไร้ลักษณ์
หลิงฮันได้รับมันมาจากโบราณสถาน มันบอกว่าเป็นมรดกพลังแปลกประหลาดที่เรียกว่านักบุญโบราณ ชุดทักษะดาบนี่ล้างบาปมนุษย์ สัตว์อสูรและผู้คน มันมีทั้งหมดแปดกระบวนท่า เจ็ดกระบวนท่าแรกเป็นความเมตตาที่ใช้สำหรับการป้องกันเท่านั้น และมีเพียงแค่กระบวนท่าสุดท้ายเท่านั้นที่โหดเหี้ยมที่สุดราวกับกลายเป็นปีศาจ
แน่นอนว่ามันต้องเป็นทักษะระดับสวรรค์ มีเพียงแค่ทักษะดาบสวรรค์เท่านั้นที่หลิงฮันที่หลิงฮันทำความเข้าใจได้ ดังนั้นแม้ว่าทักษะดาบนี่จะค่อนข้างแปลกประหลาด หลิงฮันก็ยังคงตัดสินใจที่จะฝึกฝนมัน
ทักษะดาบระดับสวรรรค์เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจถึงเจตจำนงของมันระหว่างฝึกฝนมันเพื่อเชื่อมต่อเจตจำนงของมันกับเจตจำนงของผู้ใช้เพื่อปลดปล่อยพลังของทักษะได้อย่างเต็มประสิทธิภาพของมัน
ดังนั้นเพื่อที่จะทำความเข้าใจทักษะดาบอเวจีไร้ลักษณ์ หลิงฮันจำเป็นต้องมีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์เมื่อฝึกฝนเจ็ดกระบวนท่าแรก และกระบวนท่าสุดท้าย เขาจะกลายเป็นราชาปีศาจอาชูร่าที่จะลดล้างทุกสิ่งทุกอย่าง
เขาฝึกฝนทักษะดาบและครุ่นคิดถึงสภาพจิตใจของบรรพบุรุษในตอนที่สร้างทักษะดาบนี้ขึ้นมา นี่จะทำให้เขาเข้าใจวิถีแห่งดาบได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
“อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนทักษะของคนอื่นไม่ว่ามันจะเป็นทักษะที่ทรงพลังแค่ไหนแต่มันก็เป็นทักษะของคนอื่นอยู่ดี แต่ละคนล้วนมีวิถีเป็นของตัวเอง และถึงแม้ว่ามันจะเป็นวิถีแห่งราชันเหมือนกัน แต่เส้นทางที่ไร้หัวใจมันก็ไม่มีทางเหมือนกันไปจนหมด
“ดังนั้นเพื่อที่จะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ข้าต้องสร้างทักษะของตัวเองขึ้นมา!”
“เหมือนกับจักรพรรดิพิรุณที่สร้างทักษะบุตรแห่งหมัดสวรรค์ขึ้นมาด้วยตัวเอง แม้พลังของมันจะไม่ใช่ทักษะหมัดที่ทรงพลังที่สุด แต่มันก็เป็นทักษะหมัดที่เหมาะสมกับจักรพรรดิพิรุณมากที่สุด เมื่อระดับพลังของเขายกระดับขึ้น พลังของทักษะหมัดก็จะยกระดับขึ้นเช่นเดียวกัน
“ในชีวิตนี้ ตั้งแต่ที่ข้ามุ่งเน้นไปที่วิถีแห่งดาบ ข้าจะสร้างทักษะดาบที่เป็นวิถีดาบของตัวเองขึ้นมา และมันจะทรงพลังมากยิ่งขึ้นเมื่อระดับพลังของข้าเพิ่มขึ้น”
“ข้าเคยคิดทำแบบนั้นมาก่อน แต่ไม่เคยแม้แต่จะลอง เนื่องจากตอนนี้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับบุปผาผลิบานแล้วนั้น ข้าควรนำมันมาใส่ไว้ในชีวิตประจำวันของข้า”
หลิงฮันฝึกฝนทักษะดาบอเวจีไร้ลักษณ์และตัดสินใจวิถีแห่งดาบของเขา เขารวบรวมความเข้าใจของตัวเองเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันที่เขารู้แจ้งแล้วนำแรงบันดาลใจมาให้กับเขา
มันไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น หลังจากที่หลิวอู๋ตงและคนอื่นได้รับประสบการณ์มากพอ พวกเขาก็จะก้าวกระโดดไปข้างหน้าอีกครั้ง แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นเรื่องพูดเกินจริงเหมือนในกรณีของเขา แต่มันก็ยังคงเร็วกว่าคนส่วนใหญ่
หลิงฮันให้ความสนใจหลิงตงซิงมากที่สุด หลังจากผ่านไปเพียงแค่สามเดือนเท่านั้น หลิงตงซิงก็ก้าวเข้าสู่ระดับห้วงจิตวิญญาณ ความเร็วนี่ค่อนข้างน่าสะพรึงกลัวทีเดียว
การบ่มเพาะพลังสุ่มสีสุ่มหน้าเพื่อให้ระดับสูงขึ้นนั้นไม่ใช่เรื่องดี มันเป็นเหมือนกับการดึงลำต้นเพื่อช่วยให้พวกมันเติบโตขึ้น ซึ่งมันจะทำให้รากฐานของจอมยุทธได้รับความเสียหายและอาจส่งผลต่อศักยภาพของพวกเขาในอนาคต อย่างไรก็ตาม หลิงฮันนั้นไม่มีทางเลือกอื่น ตั้งแต่ที่พ่อของเขานั้นไม่ได้เยาว์วัยอีกต่อไปและยังไม่บรรลุถึงระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าเพื่อทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน หากเป็นแบบนั้นอายุขันของหลิงตงซิงจะมีเพียงแค่ร้อยปีเท่านั้น
ในที่สุดชีวิตนี้เขาก็มีพ่อแม่และมีความมั่นใจว่าจะกลายเป็นตัวตนระดับพระเจ้า หลิงฮันจึงไม่อยากเห็นพ่อแม่ของเขามีร่วมกันได้แค่ไม่กี่สิบปี ดังนั้นอย่างน้อยเขาต้องทำให้พ่อแม่ของเขาทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน และหลังจากที่เขากลายเป็นตัวตนระดับพระเจ้า เขาจะมีเวลาค้นหาสูตรปรุงยาเพื่อปรุงมันให้กลายเป็นโอสถสวรรค์และทำให้พ่อแม่ของเขากลายเป็นตัวตนระดับพระเจ้าเพียงขั้นตอนเดียว
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวทั้งสามคนเริ่มลงรอยกันมากขึ้นในแต่ละวัน และถึงแม้ว่าพวกนางจะไม่มีเวลาใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่นัก แต่ความรู้สึกของพวกนางก็ลึกซึ้งขึ้นทุกวัน
หลังจากที่หลิงฮันบ่มเพาะพลังเสร็จและพักผ่อนบนเตียงของเขา เขาก็ปล่อยเสียงลมหายใจอันแผ่วเบาออกมา
แม้ว่าเขาจะก้าวเข้าสู่ระดับบุปผาผลิบานและเป็นตัวตนที่เหนือกว่ามนุษย์แล้ว การนอนยังคงเป็นวิธีการที่เร็วที่สุดในการลดความเหนื่อยล้าของร่างกาย และถึงแม้ว่าเขาจะไม่หลับนอนเป็นเวลาครึ่งเดือน เขาก็ยังคงมีพลังกายเต็มเปี่ยม แต่หลิงฮันเลือกที่จะนอนทุกวัน
อย่างไรก็ตาม คืนนี้ค่อนข้างเงียบงัน
หลิงฮันลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน และพบว่าหน้าต่างถูกเปิดออกเล็กน้อยขณะที่มีคนสองคนถือดาบลอบเข้ามา และแสงจันทร์ที่กระทบทำให้คมดาบดูหนาวเย็นมากยิ่งขึ้น
ขโมย?
หลิงฮันเย้ยหยันอยู่ในใจ พวกมันมาปล้นเขานี่มันรนหาที่ตายใช่หรือไม่?
แต่ก่อนที่เขากำลังจะลงมือ เขาก็รู้สึกประหลาดใจ ด้วยสายตาของหลิงฮัน เขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนแม้ในยามค่ำคืน ดังนั้นเขาจึงเห็นโฉมหน้าของโจรทั้งสองคน…เขาจำโจรทั้งสองคนนี้ได้
เขาเปล่งเสียงทางจมูกอยู่ในใจและลุกขึ้นนั่งบนเตียง
ชิ่ว ชิ่ว ดาบสองเล่มจ่ออยู่ที่ลำคอของเขาและเสียงของผู้หญิงดังขึ้น “อย่าขยับ มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้า!”
“พี่สาว อย่าพูดจาข่มขู่เขาเลย ถ้าเกิดเขาเป็นคนขี้ตกใจและกรีดร้องออกมาในตอนดึกมันจะเกิดอะไรขึ้น?” เสียงของผู้หญิงอีกคนดังขั้น
ฉากที่เกิดขึ้นมันดูคุ้นเคยมาก
“เจ้าหุบปากไปเลย!” พี่สาวดุด่า
น้องสาวเค้นเสียงออกมา และยังคงรู้สึกไม่มั่นใจ นางค่อนข้างเป็นคนสมเหตุสมผลทีเดียว
หลิงฮันหัวเราะและพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ข้าค่อนข้างเป็นคนที่มีความกล้า ข้าไม่ส่งเสียงกรีดร้องหรอก”
ทั้งสองคนรู้สึกประหลาดใจ แน่นอนว่าพวกนางเคยเห็นคนที่มีความกล้ามาก่อน แต่ถึงระดับนี้หรือไม่? มันหายากมากคนแบบนั้น และเขาใจเย็นเกินไป หรือว่าเขาไม่รู้ว่ามีดาบสองเล่มกำลังจ่อที่ลำคอของเขาอยู่?
ปัง!
ในขณะนั้น เสียงดังโครมดังมาจากด้านนอก และเสียงที่ทรงพลังดังขึ้น “สองคนที่อยู่ด้านในออกไปให้พ้น!”่
ตอนที่ 518
เหมืองแปลกประหลาด
หลิงฮันถอนหายใจออกมาและพูดว่า “ข้าขอถามพวกเจ้าหน่อยเถอะ พวกเจ้าคงจะลอบฆ่าคนอื่นล้มเหลวอีกครั้งและยั่วยุให้คนพวกนั้นตามล่าพวกเจ้ามาสินะ?”่
“หืม เจ้ารู้ได้ยังไงว่าพวกเราคือนักฆ่า?” หญิงสาวคนน้องพูดด้วยความแปลกใจ
“พวกเจ้ายังจำเสียงของข้าไม่ได้อีกรึ?” หลิงฮันถึงกับพูดไม่ออก หญิงสาวทั้งสองคนยังเหมาะสมที่จะถูกเรียกว่านักฆ่าหรือไม่?
หญิงสาวคนน้องรีบจุดตะเกียงน้ำมัน และยื่นไปข้างหน้าตรงหน้าหลิงฮัน และอดที่จะโกรธออกมาด้วยความตกใจไม่ได้ว่า “แม่เจ้า” ขณะที่ชี้นิ้วใส่หลิงฮัน นางพูดว่า “เจ้านี่เอง! ทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่? ข้านึกว่าเห็นผีเสียอีก!”
นักฆ่าทั้งสองคนเห็นได้ชัดว่าเป็นลิ่วเฟิงเอ๋อและหลิ่วลู่เอ๋อที่ลอบสังหารซูเค่อซินพลาดและจากไปพร้อมกับหยุนชวงชวงไปที่แคว้นอัคคี แต่การที่พวกเขามาพบเจอกันมันเป็นเรื่องบังเอิญเกินไปเพราะแคว้นอัคคีนั้นกว้างใหญ่มาก
หลิงฮันหัวเราะลั่นและพูดว่า “ไม่ต้องสนใจหรอกว่าทำไมข้าถึงอยู่ที่นี่ ทำไมไม่ฟังเรื่องของเจ้าดีกว่าล่ะ?”
“พวกเราต้องสร้างความเดือดร้อนให้กับนายน้อยฮันอีกแล้วเพื่อให้ที่หลบซ่อนพวกเราสองพี่น้อง” ลิ่วเฟิงเอ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้ม ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนที่สุขุมและใจเย็นเกินไป ซึ่งไม่เหมือนชายหนุ่มคนอื่นทำให้พวกนางรู้สึกปลอดภัยมากเมื่ออยู่กับเขา
“หึ่ม พวกเรายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเจ้าไปรุกรานใครมาหรือเปล่าถึงหลบหนีมาที่เมืองบ้านนอกแบบนี้ แต่เจ้ายังต้องการที่จะปกป้องพวกข้างั้นรึ?” ลิ่วลู่เอ๋อยังคงเป็นเหมือนเดิม นางจะรู้สึกอึดอัดถ้าไม่ได้พูดยั่วยุคนอื่น
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “เช่นนั้นข้าคงต้องขอโทษพวกเจ้าด้วย โปรดกลับไปที่ที่เจ้าจากมา”
“ข้าแค่พูดล้อเล่น เจ้าจริงจังกับคำพูดพวกนั้นด้วยหรือ?” ลิ่วลู่เอ๋อบุ้ยปาก
“แล้วครั้งนี้พวกเจ้าไปรุกรานใครเข้าให้ล่ะ?” หลิงฮันถอนหายใจ
ลิ่วลู่เอ๋อแสดงท่าทีภาคภูมิใจตัวเองออกมาทันทีและพูดว่า “พวกเราพยายามลอบสังหารขุนนางของแคว้นอัคคี น่าจือเหยียน!”่
“ว..ว..ว่าไงนะ ทำไมชื่อมันถึงแปลกประหลาดขนาดนี้?” หลิงฮันอุทาน
“น่าจือเหยียนชายสกปรกแต่ชื่อของมันกับคล้ายกับผู้หญิง” ลิ่วลู่เอ๋อดูเหมือนจะเข้าใจตรงกับหลิงฮันและแสดงใบหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว เหมือนกับที่ข้าได้พูดไปชื่อของมันแปลกมาก”
ลิ่วเฟิงเอ๋อถึงกับไร้คำพูดและพูดว่า “ชื่อไม่สำคัญ แต่ประเด็นคือน่าจือเหยียนเพิ่งปรากฏตัวออกมาในช่วงครึ่งปีที่แล้ว และกลายเป็นคนที่จักรพรรดิอัคคีนับถือมาที่สุด มันกล่อมให้จักรพรรดิอัคคีขุดเหมืองที่แปลกประหลาดขึ้นมา และทุกครั้งที่คนงานกลับออกมาจากเหมือง พวกเขาก็ตายวันรุ่งขึ้น”
“อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิอัคคีนั้นไม่ยอมแพ้ และได้รวบรวมกำลังคนจากทั้งแคว้นเพื่อขุดเหมือง ใครก็ตามที่กล้าขัดขืนจะต้องถูกฆ่า และตอนนี้มีผู้คนนับไม่ถ้วนในแคว้นต่างหวาดผวา ดังนั้นพวกเราต้องฆ่าน่าจือเหยียนเพื่อกำจัดความชั่วร้ายออกไปจากแคว้น!”
“หืม แม้พวกเจ้าจะเป็นนักฆ่า แต่พวกเจ้ายังเห็นใจคนอืน?” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าอย่าได้ดูหมิ่นพวกข้า มีอยู่สามอย่างเท่านั้นที่ข้าจะไม่ลงมือฆ่า!” ลิ่วลู่เอ๋อพูดอย่างภาคภูมิใจ “ข้าไม่ฆ่าเด็ก ไม่ฆ่าคนแก่และไม่ฆ่าคนดี”
หลิงฮันพยักหน้าขณะที่เขายิ้มออกมาและพูดว่า “แล้วพวกเจ้าพยายามลอบสังหารน่าจือเหยียน แต่กลับล้มเหลวและจบลงที่ถูกไล่ล่ามากกว่าหมื่นไมล์นี่คืออะไร?”่
ลิ่วลู่เอ๋อบุ้ยปากและพูดว่า “เจ้าเดาไม่ออกเลยหรือ? พวกข้าอาจจะลอบฆ่ามันสำเร็จ ทหารเลยไล่ล่าพวกข้าก็เป็นได้”่
“ฮ่าฮ่า”
“เจ้าขำอะไร?” ลิ่วลู่เอ๋อเอามือเท้าเอวและดูไม่พอใจมาก
ปัง!
เสียงดังกระหึ่มดังมาจากด้านนอก บางทีอาจมีบ้านบางหลังถูกทำลาย และมีเสียงพูดดังขึ้นมาว่า “ใครก็ตามที่อยู่เมืองนี้หากไม่มาที่ประตูทิศตะวันออกของเมืองภายในสิบห้านาที คนที่เหลือจะต้องถูกฆ่า!”
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ดูเหมือนว่าน่าจือเหยียนจะค่อนข้างเป็นตัวอันตรายทีเดียว มันถูกนักฆ่าพยายามลอบสังหารเลยส่งองค์รักษ์จักรพรรดิออกมาไล่ล่าคนร้าย”
“หึ่ม พวกมันเป็นแค่จอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณเจ็ดคนที่ไล่ตามของข้ามา โชคดีที่พวกข้ามีไหวพริบที่เฉียบแหลมเลยหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว!” ลิ่วลู่เอ๋อกล่าวอย่างภูมิใจ
“นายน้อยฮัน!” เสียงของชูหวู่จิวดังมาจากนอกประตู
หลิงฮันครุ่นคิดและพูดว่า “ปล่อยไปและสอนบทเรียนให้กับคนพวกนั้น แต่ห้ามฆ่า”
“ขอรับ!” ชูหวู่จิวรับคำสั่งและจากไป ตอนนี้เขาเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นสามแล้วและได้สะกัดพลังของสะกัดหินชะตาสวรรค์ พลังต่อสู้ของเขาพุ่งไปถึงสิบเอ็ดดาว และถือได้ว่าเป็นจอมยุทธระดับแนวหน้าของแคว้นอัคคี
อย่างไรก็ตาม หลิงฮันนั้นได้ถอนหายใจออกมา ด้วยความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ดูเหมือนว่าตระกูลหลิงจะต้องย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง
หญิงสาวสองพี่น้องนี่ไม่ได้ทำอะไรให้กับเขาเลยนอกจากสร้างปัญหา!
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน เจ้ามั่นใจเกินไปหรือเปล่าถึงดูแคลนทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอก? พวกมันเป็นถึงจอมยุทธระดับห้วงวิญญาณเชียวนะ!” ลิ่วลู่เอ๋อพูดออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าอย่าทำตัวให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้นเลย” หลิงฮันกอดอกและพูดลอยๆ “แล้วหยุนชวงชวงล่ะ?”
“หยุนชวงชวงกลายเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในเมืองจักรพรรดิไปแล้ว ทุกคนต่างรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับฟังคุณหนูชวงชวงเล่นเครื่องดนตรี และมีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ต้องการแต่งงานกับนาง!” ลิ่วลู่เอ๋อพูดและจ้องมองหลิงฮันอย่างชั่วร้าย หวังว่าจะเห็นสีหน้าที่ผิดหวังของเขา
หลิงฮันจะสนใจหยุนชวงชวงได้อย่างไร? เขาแค่นึกออกหลังจากที่เห็นสองพี่น้องคู่นี้เท่านั้นเลยถามออกมา
ในไม่ช้า ชูหวู่จิวก็กลับมาและพูดอยู่ด้านนอกประตูว่า “นายน้อยฮัน ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ยังมีคำสั่งอื่นอีกไหม?”
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “ไปพักผ่อนเถอะ”
“ขอรับ!” จากนั้นชูหวู่จิวก็จากไป
สีหน้าของสองพี่น้องเต็มไปด้วยความตกใจ หลังจากนั้นชั่วครู่ ในที่สุดลิ่วลู่เอ๋อก็เปิดปากพูดออกมาว่า “เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน คนรับใช้ของเจ้าพูดเรื่องสาระอะไรออกมา?”
หลิงฮันยักไหล่และพูดว่า “เจ้าได้ยินเสียงหมาเห่าหอนไหมล่ะ?”
ลิ่วลู่เอ๋อรู้สึกแปลกใจก่อนที่จะรู้ว่าหลิงฮันเรียกองครักษ์จักรพรรดิว่าหมา นางหัวเราะคิกคักโดยไม่ตั้งใจ แต่ก็ต้องปิดปากของตัวเองทันทีและพูดว่า “ข้าไม่ได้ยินพวกมันแล้ว!”
สีหน้าของลิ่วเฟิงเอ๋อเองก็เต็มไปด้วยความตกใจเช่นเดียวกัน “นายน้อยฮัน พวกมันเป็นถึงจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณเชียวนะ!”
หลิงฮันหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าสามารถไปได้แล้ว บางทีพวกเราอาจไม่ได้พบกันอีก เฮ้อ การได้พบเจอพวกเจ้าไม่ใช่เรื่องดีเลย”
“หึ พวกข้าไม่ได้เป็นตัวโชคร้ายเสียหน่อย!” สีหน้าของลิ่วลู่เอ๋อเต็มไปด้วยความไม่พอใจ และพูดต่อว่า “ถ้าเจ้าพูดขนาดนั้น ทำไมไม่ให้พวกข้ายืมตัวเขาสักวันสองวันล่ะและช่วยพวกข้าสังหารน่าจือเหยียนนั่น!”
หลิงฮันแสยะยิ้มและพูดว่า “เจ้ากล้าที่จะพูดอะไรแบบนั้นออกมาด้วยหรือ? เจ้าเป็นนักฆ่าแต่กลับพูดแบบนั้นออกมา ช่างน่าอายยิ่งนัก!”
“หึ่ม พวกเราแค่รวมกำลังเพื่อจำกัดคนชั่วเท่านั้น!” ลิ่วลู่เอ๋อคว้าตัวหลิงฮันและพูดว่า “ตอนนี้เจ้าเองก็อยู่แคว้นอัคคีแล้ว และโชคชะตาทำให้มาพบกัน นั่นหมายความว่าสวรรค์ลิขิตให้เป็นเช่นนั้น!”
หลิงฮันปฏิเสธที่จะพูดตอบโต้ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ สองพี่น้องคู่นี้สามารถหลบหนีไปที่ไหนก็ได้ แต่พวกนางกลับบังเอิญมาพบเจอเขา
เขาลูบคางของตัวเอง ถ้าจักรพรรดิอัคคีทำแบบนี้ต่อไป ไม่ว่าตระกูลหลิงจะย้ายไปที่ไหน พวกเขาก็อาจถูกตระกูลจักรพรรดิบีบบังคับให้ขุดแร่เหล่านั้น
เว้นแต่พวกเขาจะออกจากแคว้นอัคคี
อย่างไรก็ตาม เหมืองอะไรถึงทำให้จักรพรรดิอัคคีทำตัวบ้าบิ่นขนาดนี้ ถึงขั้นทำลายพื้นฐานของแคว้นตัวเอง?
หลิงฮันถามออกมาว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันเป็นเหมืองอะไร?”
“พวกเราไม่รู้ พวกเรารู้แค่ว่าแร่แปลกๆนั่นที่ถูกขุดออกมาทุกวันจะถูกส่งไปยังตระกูลจักรพรรดิ” ลิ่วเฟิงเอ๋อส่ายหัวของนาง
เศษเสี้ยวของความอยากรู้อยากเห็นของหลิงฮันปะทุขึ้นมา
ตอนที่ 519
ไปเมืองจักรพรรดิ
คนอย่างหลิงฮันนั้น หากเกิดความสงสัยแล้วจะไม่สามารถห้ามตัวเองได้
เขาคิดว่ามันประหลาดอย่างมาก ผู้คนที่เข้าไปในเหมือง ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาผู้ฝึกตนที่มีพลังบ่มเพาะสูงหรือต่ำขนาดไหนจะต้องตายทันทีในวันต่อมา… หรือไม่ก็ไม่ได้ออกมาจากเหมืองอีกเลย
มันเป็นพลังอำนาจแบบใดกัน?
และแร่พวกนั้นคุณสมบัติอะไรถึงได้ทำให้จักรพรรดิเพลิงให้ความสำคัญขนาดนั้น? จักรพรรดิเพลิงไม่ลังเลแม้แต่น้อยในการบังคับให้ชาวเมืองชุดแร่พวกนั้นให้เขา
หลิงฮันตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิ ด้วยพลังบ่มเพาะระดับบุปผาผลิบานและพลังต่อสู้สิบสามดาวของเขา ทั่วทั้งแคว้นเพลิงจะมีใครสามารถคุกคามเขาได้?
เมื่อเห็นว่าหลิงฮันจะมุ่งหน้าไปเมืองจักรพรรดิพี่น้องลิ่วก็ตื่นเต้นขึ้นมา แต่เมื่อรู้ว่าหลิงฮันไม่ได้พาผู้ติดตามที่แข็งแกร่งคนเมื่อวานไปด้วยและมีเพียงฮูหนิวคนเดียวที่อยู่ข้างกาย พวกนางก็ชะงักทันที
พวกเจ้าจะไปกันทำไมแค่สองคน? คิดจะไปเดินเล่นรึไง?
“นายน้อยฮัน ท่านจะไม่พาผู้ติดตามไปด้วยรึ?” ลิ่วเฟิงพูดแนะนำ
“นั่นสิ ที่เมืองจักรพรรดินั้นไม่คาดแคลนจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะตระกูลจักรพรรดิที่มีตัวตนระดับบุปผาผลิบานคอยคุ้มครองอยู่ซึ่งพวกเขาสามารถจับกุมตัวท่านได้ภายในเวลาไม่ถึงนาที!” ลิ่วลู่เอ๋อพูดอย่างมุทะลุ
“ฮ่าๆ ฮูหนิวจะจัดการให้หมดเลย!” ฮูหนิวพูดด้วยความมั่นใจ
พี่น้องลิ่วรู้อยู่แล้วว่าฮูหนิวคือสัตว์ประหลาด แต่พวกนางคงไม่คิดแน่ว่าฮูหนิวจะสามารถต่อกรกับพวกนางได้ ไม่ต้องพูดถึงตัวตนระดับแก่นแท้จิตวิญญาณหรือบุปผาผลิบานเลย พวกนางคะยั้นคะยอให้หลิงฮันพาชูหวู่จิวไปด้วย
“ข้าบอกว่าไม่จำเป็น” หลิงฮันยิ้มอย่างซุกซน เขาดีดนิ้วและพูด “ไปกันเถอะ”
พี่น้องลิ่วยอมจำใจและออกเดินทางกับหลิงฮัน พวกนางเชื่อว่าเมื่อหลิงฮันได้เจอของจริง เขาจะต้องกลับมาพาชูหวู่จิวไปด้วยแน่ๆ อย่างมากพวกนางก็แค่เสียเวลาเดินทางไปอีกรอบหนึ่ง
ทั้งสี่คนออกเดินทางมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองจักรพรรดิ
สำหรับหลิงฮัน การเดินทางครั้งนี้เป็นแค่การเดินทางระยะสั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พาหลิวอู๋ตงและคนอื่นๆไปด้วย เขาเชื่อว่าเหตุการณ์นี้จะสิ้นได้ภายในไม่กี่วัน
ผ่านไปวันสองวัน พวกเขาก็มาถึงเมืองจักรพรรดิ
หลิงฮันสอบถามเรื่องของน่าจือเหยียนมาแล้ว เขาคือคนที่ลึกลับเป็นอย่างมาก เมื่อครึ่งปีก่อนจู่ๆชายคนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาและกลายเป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิเพลิงรวมถึงได้เป็นผู้ควบคุมการขุดเหมือง
โดยปกติแล้วคงไม่มีใครให้ความสนใจกับน่าจือเหยียนมากนัก แต่เมื่อการขุดเหมืองเริ่มขึ้น ปัญหาต่างๆก็เกิดขึ้นมา คนที่เข้าไปขุดเหมืองจะต้องตกตายหลังจากออกจากเหมืองมาได้หนึ่งหรือสองวัน
หลังจากพลิกหน้าประวัติศาสตร์สิบคนดู พวกเขาก็พบว่าปัญหาของเหมืองนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว ซึ่งทำให้เหมืองถูกผนึกเอาไว้ แต่เหมืองกับถูกเปิดออกอีกครั้งด้วยคำแนะนำจากน่าจือเหยียน ไม่มีใครรู้ว่าที่จริงภายในเหมืองมีอะไรอยู่กันแน่ แต่มีหินสีแดงจำนวนมหาศาลถูกส่งไปยังปราสาทจักรพรรดิ
แม้จะมีคนเสียชีวิตมากมายทุกวันจากการขุดเหมือง แต่จักรพรรดิเพลิงก็ยังพยายามส่งประชากรมากมายทั่วทั้งแคว้นเข้าไปในเหมือง ทำให้ผู้คนทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัว
“น่าจือเหยียนผู้นี้เป้นใครกันแน่ และเป้าหมายของเขาคืออะไร?” หลิงฮันอดที่จะสงสัยไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็ตัดสินใจจะเข้าไปสำรวจเหมืองที่ว่า
“ไปกันเถอะ พวกเราจะพาเจ้าไปพบคนรักเก่า!” ลิ่วลู่เอ๋อคว้าตัวหลิงฮันและลากไปหาหยุนชวงชวง
หยุนชวงชวงเกิดและเติบโตที่ศาลาบุปผางามและนางได้เดินทางมายังแคว้นเพลิงแห่งนี้ นางซื้อคฤหาสน์หรูหราแห่งหนึ่งเพื่อนำไว้เป็นสถานที่สร้างความสนุกสนานให้กับเหล่าชนชั้นสูงโดยหารายได้จากการเก็บค่าเข้าชม เพียงแต่ว่าอย่าคิดที่จะใกล้กับนางเด็ดขาด สิ่งที่นางขายคือศิลปะการแสดงไม่ใช้ร่างกาย
สถานะของนางเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง มีผู้คนนับไม่ถ้วนที่ยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้ฟังเสียงคนตรีที่นางบรรเลง
ตอนนี้มีบุตรชายของตระกูลชนชั้นสูงมากมายที่พยายามแต่งงานกับนาง ชายหนุ่มเหล่านั้นทั้งต่อสู้แย่งชิงกันอย่างเปิดเผยและลับๆ นายน้อยแต่ละคนใจกว้างเป็นอย่างยิ่ง บ้างก็มอบลานที่พักให้นาง บ้างก็มอบเพชรพลอยให้นาง หยุนชวงชวงในตอนนี้เรียกได้ว่ามั่งคั่งยิ่งนัก
ทั้งสี่คนเดินมาถึงคฤหาสน์ของหยุนชวงชวง คฤหาสน์ถูกสร้างคาขนานกับทะเลสาป บรรยากาศรอบๆนั้นมองแล้วเพลิดเพลินใจเป็นอย่างยิ่ง
ด้านหน้าทางเข้าของคฤหาสน์ที่ผู้คนต่อแถวกันยาวเหยียด
คฤหาสน์ของหยุนชวงชวงไม่รับการจองล่วงหน้า หากอยากฟังเสียงขับร้องของหยุนชวงชวง คนผู้นั้นจะต้องมาต่อแถวกันเอง ซึ่งแม่นางชวงชวงมักจะต้อนรับในช่วงช่วงกลางวัน
หลิงฮันพยักหน้า ถ้าร้านอาหารไม่อาจลืมเลือนและร้านราชันโอสถของเขาถูกมอบให้น่าจือเหยียนผู้จัดการ บางทีธุรกิจอาจจะไปได้สวยกว่าเดิมหลายเท่าก็ได้
“พวกเจ้าทำอะไรอยู่? มาต่อแถวสิ! รึจักรึเปล่าการต่อแถวน่ะ?” เมื่อเห็นหลิงฮันเดิมตรงเข้าไปยังทางเข้า ทุกคนก็อารมณ์เสียทันที
พี่น้องลิ่วไม่สนใจคนเหล่านั้น พวกนางเดินไปยังทางเข้าและนำเหรียญตราสีดำออกมาแกว่ง จากนั้นหญิงรับใช้ชราก็รีบพาพวกนางเข้าไปข้างในทันที หลิงฮันเองก็อุ้มฮูหนิวเดินตามเจ้าไปข้างในเช่นกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนมากมายไม่พอใจและสงสัย ชายหนุ่มเข้าไปในคฤหาสน์ของแม่นางชวงชวงพร้อมกับหญิงสาวสองคน มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
สัตว์ป่า! ยิ่งกว่าสิ่งใดชายหนุ่มคนนี้ยังพาเด็กสาวตัวเล็กแค่นั้นเข้าไปด้วย!
“นายน้อยฮัน!” หลังจากหลิงฮันเข้ามาในคฤหาสน์ได้ไม่นาน หยุนชวงชวงก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ นางเดินมาในสภาพที่สวมชุดบางๆและผมที่ยุ่งกระเซิงซึ่งเป็นหลักฐานว่าเมื่อครู่นางกำลังหลับอยู่และเมื่อได้ยินว่าหลิงฮันมาหา นางก็รีบมาต้อนรับเขาทันที
หลิงฮันยิ้มและพูด “ไม่ได้พบกันนาน”
หยุนชวงชวงรีบพยักหน้า ดวงตาอันงดงามของน้ำปริ่มไปด้วยหยาดน้ำตา สำหรับนางแล้ว หลิงฮันคือผู้ช่วยชีวิตที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆจากนาง แตกต่างจากชายอื่นที่มีเป้าหมายคือความงามของนาง
“ไปกันเถอะ!” ฮูหนิวดึงมือหลิงฮัน ความหึงหวงของนางยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
หลิงฮันพยักหน้าและพูดกับหยุนชวงชวง “เจ้าสบายดีก็ดีแล้ว รักษาตัวเองด้วยล่ะ”
หยุนชวงชวงรู้สึกหดหู่และรีบพูดออกมา “นายน้อยฮันจะไม่พักที่นี่สักหน่อยรึ?”
“ข้ามีธุระ” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็มองไปยังพี่น้องลิ่วและพูดต่อ “สำหรับเรื่องของน่าจือเหยียน ข้ามีแผนการของข้าอยู่แล้ว พวกเจ้าจะทำอะไรก็แล้วแต่พวกเจ้า แต่ถ้าหากพวกเจ้าถูกจับกุมตัวอีกครั้ง ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายอีก”
“หึ พูดเหมือนกับว่าตัวเองสุดยอดมากอย่างนั้นแหละ” ลิ่วลู่เอ๋อแลบลิ้นออกมา
แน่นอนว่าหลิงฮันไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับนาง เขาเดินออกจากคฤหาสน์ไปพร้อมกับฮูหนิวเพื่อไปสำรวจเหมืองและตามหาน่าจือเหยียน เขาจะทำให้น่าจือเหยียนพิการหรือไม่ก็สังหารทิ้งซะหากเห็นว่าสมควร เข้าไม่ต้องการจะเสียเวลาอยู่ที่นี่
เมื่อชายหนุ่มและเด็กสาวเดินออกไป ผู้คนที่ต่อแถวอยู่ข้างนอกก็จ้องพวกเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
“หยุด!” ชายหนุ่มที่ดูมีอายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปีเดินออกมา มันมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับก่อเกิดธาตุขั้นเจ็ด… ในดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวแห่งนี้ มันนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง
หลิงฮันถอนหายใจ ทำไมผู้คนมักจะชอบหาเรื่องใส่ตัวตลอด?
“เจ้ามีความสัมพันธ์แบบใดกับแม่นางชวงชวง?” ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยถาม ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความอิจฉา
หลิงฮันคือบุรุษเพียงคนเดียวที่เข้าไปยังคฤหาสน์ของแม่นางชวงชวง ถึงแม้ที่จริงแล้วจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหล่าชายหนุ่มที่รออยู่ข้างนอกก็ยังรู้สึกไม่พอใจและอิจฉาอยู่ดี
“ไม่เกี่ยวกับเจ้า” หลิงฮันพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “หลบไปซะ อย่าหาเรื่องใส่ตัว”
“ช่างอวดดี!” ชายหนุ่มคนนั้นแสยะยิ้มและชักดาบยางที่เสียบอยู่ข้างเอวออกมา “กล้าทำตัวหยาบคายต่อหน้าลูกหลานตระกูลโปว? ตายไปซะ!”
มันลงมือโจมตีอย่างอุกอาจ ใบดาบดาบพุ่งเข้าใส่จุดตายของหลิงฮัน เห็นได้ชัดว่ามันมุ่งหวังเอาชีวิตของเขา
ตอนที่ 520
นายน้อยเจ็ดของตระกูลโปว
“ฮ่าๆ นั่นคือนายน้อยเจ็ดของตระกูลโปว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่ามีนิสัยโหดเหี้ยม”
“ไม่ได้เห็นหน้าแม่นางชวงชวงมาสามติดกัน อารมณ์ของโปวย่งเฟิงคงจะไม่ดีมาตั้งแต่แรกแล้ว และเจ้าหนูนั่นก็เป็นคนจุดฉนวนระเบิดขึ้นมา”
“ตระกูลโปวคือหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ของเมืองจักรพรรดิโดยมีตัวตนระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคอยคุ้มกันอยู่ แม้แต่ตระกูลจักรพรรดิก็ต้องยอมไว้หน้า… ถ้าเกิดตระกูลโปวฆ่าคนไปสักคนหนึ่งจะเป็นอะไรไป?”
“จบแล้ว เจ้าหนูนั่นจบสิ้นแล้ว”
ทุกคนพูดคุยกันอย่างออกรส และมีความสุขในความทุกข์ของหลิงฮัน พวกเขาอารมณ์เสียตั้งแต่เห็นหลิงฮันมีสิทธิในการเข้าพบแม่นางชวงชวงแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่มีความกล้าพอที่จะลงมือโจมตีผู้อย่างโจ่งแจ้งเหมือนกับโปวย่งเฟิง
‘ฟุบ’ ใบดาบที่พุ่งเข้ามาปลดปล่อยกลิ่นอายอันเย็นยะเยือก
หลิงฮันส่ายหัว ก่อนหน้านี้เขาแค่คิดจะมอบบทเรียนเล็กๆน้อยๆให้ชายหนุ่มตรงหน้าเท่านั้น แต่ในเมืองชายคนหนุ่มผู้นี้มุ่งหวังที่จะเอาชีวิตเขา เขาก็จะไม่ปรานีอีกต่อไป
เพียงแค่การสะบัดนิ้วลวกๆของหลิงฮัน คลื่นลมอันรุนแรงก็ถูกปลดปล่อยออกไป ‘ฉัวะ’ ใบดาบถูกคลื่นลมตีกลับและแทงทะลุเข้าใส่หน้าผากของโปวย่งเฟิง
เมื่อหัวถูกแทงทะลุ แน่นอนว่าคนคนนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน
โปวย่งเฟิงจ้องมองอย่างว่างเปล่ามายังหลิงฮันราวกับทำใจเชื่อไม่ลงว่าชีวิตของมันจะจบลงแบบนี้ สายโลหิตสองสายไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของมันพร้อมกับร่างกายที่ล้มลงไปด้านหน้าจนฝุ่นที่พื้นฟุ้งกระจาย
ทันใดนั้นเสียงเอะอะรอบด้านก็เงียบสนิททันที หลงเหลือแต่เพียงเสียงสูดลมหายใจ
โปวย่งเฟิงไม่ใช่จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองจักรพรรดิ แค่พลังบ่มเพาะระดับก่อเกิดธาตุขั้นเจ็ดก็ไม่นับว่าต่ำเช่นกัน หลิงฮันนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ดูมีอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น เขาจะแข็งแกร่งได้ขนาดไหนกัน?
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเขาสามารถสังหารโปวย่งเฟิงได้ด้วยหนึ่งนิ้ว!
โปวย่งเฟิงคือรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของตระกูลโปว แม้เขาจะมีนิสัยเสเพลแต่ตระกูลโปวก็ตั้งความหวังกับเขาเอาไว้สูงมากว่าสักวันจะกลายเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ
แต่ความหวังนั้นคงจะสูญเปล่าเสียแล้ว
ช่างใจเด็ดยิ่งนัก กล้าสังหารแม้แต่นายน้อยของตระกูลโปว เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาก ความเกี้ยวกราดของตระกูลโปวอาจทำให้ทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิสั่นคลอนได้เลย
ภายในคฤหาสน์ด้านบนระเบียงหยุนชวงชวงและพี่น้องลิ่วจ้องมองหลิงฮันเดินจากไป แต่หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกนางก็ตกตะลึงอย่างมากพร้อมกับปากเล็กๆของพวกนางที่เปิดกว้าง… หมอนี่ช่างเหี้ยฒโหดยิ่งนัก เขาสังหารคนได้อย่างไม่แยแส
“หมอนี่สามารถสร้างปัญญาได้เก่งกว่าข้าอีก” ลิ่วลู่เอ๋อพึมพำ
หลิงฮันยิ้มและพูด “มีใครต้องการหยุดข้าอีกรึไม่?”
ทุกคนรีบส่ายหัวพร้อมกัน ภายหมู่รุ่นเยาว์นี้ไม่มีจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณแม้แต่คนเดียว ดังนั้นทุกคนจึงไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับหลิงฮัน
สังหารโปวย่งเฟิงด้วยหนึ่งนิ้ว ทุกคนจึงเห็นพ้องต้องกันว่าหลิงฮันคือจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ หากดูจากอายุแล้ว ทุกคนยังคิดด้วยซ้ำว่าพวกเขาประเมินหลิงฮันสูงเกินไป
“ไปกันเถอะ” หลิงฮันพูดกับฮูหนิว
“อืม!” ฮูหนิวตอบรับด้วยน้ำเสียงน่าเอ็นดูและเดินตามหลังหลิงฮัน
เมื่อหลิงฮันจากไปแล้ว ทุกคนก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าหลังของพวกเขาเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทุกคนรีบแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว นายน้อยของตระกูลโปวถูกสังหารแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องรีบแพร่กระจายข่าวให้รู้กันทั่ว ไม่เช่นนั้นหากคนร้ายหลบหนีไปได้ ตระกูลโปวจะนำความโกรธมาลงที่พวกเขา
“ท่านพี่ ข้าเพิ่งจะรู้สึกตัว ข้าไม่สามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของหมอนั่นได้!” ลิ่วลู่เอ๋อพูดขึ้นมา
ลิ่วเฟิงเอ๋อพยักหน้าและพูด “ข้าบรรลุระดับห้วงจิตวิญญาณแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของนายน้อยฮันได้ หรือว่า…”
สองพี่น้องมองหน้าและพูดขึ้นมาพร้อมกัน “ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ!”
“เป็นไปไม่ได้ เมื่อสองปีก่อน นายน้อยฮันยังมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับรวมธาตุเท่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะบรรลุระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแล้ว?” หยุนชวงชวงพูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ
“ก็จริง” พี่น้องลิ่วส่ายหัว เรื่องที่พวกนางคิดมันเกินจริงเกินไป
“จริงสิ พวกเราเองก็ต้องรีบไปแล้ว โปวย่งเฟิงถูกสังหารที่นี่และถ้าพวกมันสืบสวนมาถึงเรา พวกเราจบแน่” พี่น้องลิ่วรีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว
…
หลิงฮันและฮูหนิวกำลังเดินเตร็ดเตร่ เป้าหมายของพวกเขาอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองจักรพรรดิหนึ่งพันห้าร้อยเมตร เหมืองแห่งนั้นมีอายุยาวนานกว่าหนึ่งพันปีแล้ว ภายในเหมืองมีแร่ประหลาดอยู่ไม่น้อย แต่เพราะภัยร้ายที่เล่ากันมาจากอดีตโบราณเหมืองแห่งนั้นจึงถูกปิดผนึกเอาไว้และเพิ่งจะถูกเปิดออกอีกครั้งเมื่องครึ่งปีก่อน
เวลาผ่านไปไม่นานหลิงฮันก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังไล่ตามเขามา แต่เขาก็ไม่สนใจอะไรกับแค่แมลงตัวเล็กๆ ภายในแคว้นเพลิงแห่งนี้ไม่มีใครสามารถคุกคามเขาได้
หลังจากออกจากประตูเมือง เขากับฮูหนิวก็เดินตรงไปยังทิศตะวันออก ทันใดนั้นพวกเขาก็พบกับหมอกสีแดงฉานที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า แม้แต่สายตาของหลิงฮันก็ไม่สามารถมองผ่านมันไปได้
“หืม?” หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย
“ที่นั่นไม่ดี! ไม่ดีมากๆ!”ฮูหนิวส่ายหัวและแสดงท่าทีระมัดระวังตัว
แม้แต่ฮูหนิวก็ยังพูดเช่นนั้น!
หลิงฮันประหลาดใจมากขึ้นไปอีก ฮูหนิวนั้นไม่หวาดกลัวใดๆภายใต้สวรรค์และปฐพี เมื่อก่อนหน้านี้นางยังสามารถเดินเล่นภายในหมอกปราณอสูรได้อย่างสบายใจ แต่ตอนนี้นางกลับแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมา ดูเหมือนว่าเหมืองแห่งนี้จะมีอะไรมากกว่าที่เห็นด้วยตาเปล่าเสียแล้ว
ดูท่าเขาจะประเมินน่าจือเหยียนต่ำไปหน่อย
แม้จะรู้ว่าผู้คนที่เข้าไปต้องตกตายทุกวัน แต่ก็ยังสั่งให้คนเหล่านั้นขุดเหมืองต่อไป หรือว่าภายในเหมืองจะมีสมบัติถูกฝังเอาไว้? แต่ว่าถ้าดูจากหมอกสีแดงที่แพร่กระจายออกมาแล้ว สิ่งที่ถูกซ่อนเอาไว้คงไม่ใช่สมบัติแต่เป็นสิ่งที่เลวร้าย
บางสิ่งบางอย่างที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย!
“ยิ่งต้องเข้าไปดูมากกว่าเดิมอีก” หลิงฮันพยักหน้า ครอบครัวและตระกูลของเขาอาศัยอยู่ที่แคว้นนี้ เขากลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับนิกายพันศพเกิดขึ้นที่นี่และเปลี่ยนดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวให้กลายเป็นดินแดนแห่งความตาย
“หนิวหนิวอยากจะเข้าไปในหอคอยทมิฬรึไม่?” หลิงฮันถาม
ฮูหนิวกัดนิ้วและครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะพูดออกมา “ตอนนี้ยังไม่จำเป็น!”
หรือก็คือเมื่อพวกเขาเข้าไปข้างในเหมืองหรืออยู่ภายในนั้นเป็นเวลานาน แม้แต่ฮูหนิวก็อาจจะไม่สามารถต่อต้านได้ไหว
หลิงฮันระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม โชคดีที่คนที่เข้าไปในเหมืองจะต้องตกตายในวันถัดไปเมื่อพวกเขาออกมา ตราบใดที่ไม่ใช่การตายในทันที เขายังสามารถเข้าไปยังหอคอยทมิฬและใช้อำนาจขจัดทุกสิ่งที่เป็นภัยต่อเขาได้
เขาและฮูหนิวเดินตรงไปยังเหมือง ส่วนคนที่คอยสะกดรอยไล่ตามพวกเขามาก็ยิ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้น
เมื่อหลิงฮันเกือบจะเดินถึงเหมือง คนสิบคนก็ปรากฏตัวออกมา
“หยุด!” ชายวัยกลางคนตะโกนและเดินเข้ามาอย่างองอาจ ใบหน้าของมันมืดมนและเต็มไปด้วยจิตสังหาร
มันคือโปวเหวินหลิง บิดาของโปวย่งเฟิง มันมีพลังบ่มเพาะระดับห้วงจิตวิญญาณขั้นเจ็ด หลังจากได้รับแจ้งว่าบุตรของมันถูกสังหาร มันก็รีบออกตามล่าคนร้ายทันที
“สังหารบุตรข้าและยังคิดจะเดินหนี?” มันพูดพร้อมกับกัดฟัน
“แล้วเจ้าต้องการอะไร?” หลิงฮันพูดอย่างไม่แยแส
โปวเหวินหลิงพูดอย่างโหดเหี้ยม “ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต!”
หลิงฮันส่ายหัวและพูด “ถ้าเจ้าโจมตี คนที่ตายก็จะเป็นทั้งพ่อและลูก ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าหนีไป แต่ถ้าเจ้าลงมือโจมตี ข้าจะถือว่าเจ้าแส่หาความตายเอง”
หลิงฮันหันหน้าและเดินไปยังเหมืองต่อ
เมื่อถูกจ้องมองโดยหลิงฮัน จิตใจของโปวเหวินหลิงก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวและไม่กล้าลงมือ มันกำหมัดมองดูหลิงฮันเดินจากไปและเผลอแสยะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
ใครๆต่างก็รู้ว่าหากเข้าไปในเหมืองนั่นจะต้องตกตายอย่างแน่นอน เอาเถอะ ถึงแม่มันจะไม่สามารถล้างแค้นด้วยมือตัวเอง แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือผลลัพธ์ต่างหาก
มันจ้องมองหลิงฮันเพื่อยินยันว่าหลิงฮันเข้าไปในเหมืองจริงๆ ไม่ได้แสร้งทำเป็นจะเดินเข้าไปเฉยๆและหาโอกาสหลบหนีไป
ตอนที่ 521
เข้าเหมือง
เหมืองถูกล้อมรอบไปด้วยทหารยามอย่างแน่นหนา ทหารยามไม่ได้หยุดผู้คนไม่ให้เข้าไปข้างในเท่านั้น แต่ยังป้องกันไม่ให้คนด้านในหลบหนีออกมาด้วย
…หลังจากที่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไร ใครมันจะอยากเข้าไปด้วยตัวเอง? ทุกๆวันผู้คนจำนวนมากจะถูกคุมตัวมาและพักอยู่ที่นี่ชั่วคราว หลังจากที่กลุ่มคนงานเหมืองก่อนหน้านี้ตาย คนกลุ่มใหม่ก็จะถูกส่งเข้าไปแทน
แล้วคนที่กล้าปฏิเสธล่ะ? จะถูกตัดหัวทันที!
ภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่วัน แต่ก็มีหลายคนที่ต้องการเสี่ยงโชคดู บางทีพวกเขาอาจได้รับการยกเว้นและไม่ตาย?
เพื่อป้องกันไม่ให้คนงานเหมืองที่พักอยู่ที่นี่ชั่วคราวหลบหนีได้จึงมีการสร้างกำแพงสูงตระหง่านขึ้นมาจากหินก้อนใหญ่ แน่นอนว่าคนทั่วไปนั้นไม่สามารถขุดมันได้อย่างแน่นอน มันเป็นเหมือนกับกำแพงยักษ์ที่มีความสูงถึงหกสิบห้าฟุตและยากที่จะกระโดดข้าม
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทหารลาดตะเวนอยู่ใต้กำแพงยักษ์ การหลบหนีจึงยากพอกับการปีนท้องฟ้า
แน่นอนว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับเฉพาะคนทั่วไป
หลิงฮันและฮูหนิวทะยานขึ้นไปและมาถึงอีกฝั่งหนึ่งของกำแพงยักษ์
“พวกเจ้าเป็นใคร?” ทหารยามรีบถามออกมาทันที และหอกเจ็ดเล่มต่างชี้ไปที่พวกเขาพร้อมเพรียงกัน
“ปล่อยให้พวกเขาเข้าไป” โปวเหวินหลิงได้ปรากฏตัวออกมา เขายืนอยู่บนกำแพงสูงในระยะไกล หากหลิงฮันต้องการเข้าไปในเหมือง เขาก็จะช่วยพาเข้าไป…ศัตรูต้องการฆ่าตัวตาย ดังนั้นมันจึงช่วยส่งเสริม
นั่นเป็นเพราะมันไม่สามารถมองหลิงฮันออก และทำให้มันรู้สึกได้ถึงอัตรายอย่างมาก ดังนั้น มันจึงไม่อยากต่อสู้กับหลิงฮัน
“ขอรับ นายท่านโปว!” ทหารยามรีบตอบกลับทันที
หน้าที่ของพวกเขาคือหยุดไม่ให้คนงานเหมืองหลบหนี หากใครบางคนต้องการเข้าไปข้างในแล้วมันจะทำไม? ยังไงก็ตามพวกเขาก็จะตายในวันรุ่งขึ้นอยู่ดีหลังจากที่ออกมาจากเหมือง
หลิงฮันเริ่มสำรวจพื้นที่ ข้างหน้าเป็นทางเข้าเหมืองขนาดใหญ่ที่มีเส้นทางลึกลงไปอย่างต่อเนื่อง แม้จะขุดลึกขนาดนั้น แต่น้ำบาดาลก็ยังไม่ออกมาจากหลุม
มองจากที่นี่ไม่มีคนงานเหมืองแม้แต่คนเดียวปรากฏตัวออกมาให้เห็น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาลงไปในส่วนลึกของเหมืองกันหมดแล้ว
กลุ่มก๊าซสีแดงเข้มเริ่มลอยสูงขึ้นภายในเหมืองและจะหยุดลงเมื่อพวกเขาลงไปลึกสองพันถึงสามพันเมตรและมันจะก่อตัวเป็นเมฆสีแดงขนาดใหญ่แทน
ฮูหนิวแยกเขี้ยวของนางออกมาเผยให้เห็นภาพลักษณ์ที่ดุร้าย แสดงให้เห็นว่านางค่อนข้างกังวลทีเดียว
หลิงฮันเองก็ไม่กล้าประมาทและรีบเดินเข้าไปในเหมือง เมื่อร่างของหลิงฮันลับหายเข้าไปในเหมือง โปวเหวินหลิงก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา ตอนนี้หลิงฮันจะต้องตายอย่างแน่นอน…เว้นแต่เขาจะอยู่ข้างในเหมืองไปตลอดชีวิต
แต่เขาจะอยู่ได้โดยที่ไม่กินและดื่มได้อย่างไร?
หลิงฮันเข้าสู่พื้นที่ทำเหมือง ใต้เท้าของเขาเป็นดินร่วนซุยสีแดง มันแดงมากราวกับถูกย้อมด้วยเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีกลุ่มก๊าซสีแดงเข้มข้นขึ้นไม่หยุดทำให้มันดูน่าขนลุกมาก
“ข้ารู้สึกได้ถึงลางร้าย” หลิงฮันพูด มันมาจากสัญชาตญาณของเขา
“ใช่!” ฮูหนิวพยักหน้าเห็นด้วย
ทั้งสองคนยังคงก้าวเดินไปข้างหน้า แม้พวกเขาจะบินได้แต่ก็ไม่เลือกทำเช่นนั้น ดินและหินที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่ทำให้หลิงฮันเกิดความรู้สึกแปลกประหลาด จากนั้นเขาได้หยิบก้อนหินจำนวนหนึ่งขึ้นมาและดินเข้าไปในหอคอยทมิฬ และพาฮูหนิวเข้าไปข้างในเช่นเดียวกัน
“หอคอยทมิฬน้อย เจ้ามองเห็นอะไรพิเศษหรือไม่?” หลิงฮันถาม
หอคอยทมิฬน้อยปรากฏตัวออกมาและพูดว่า “ดินต้องคำสาป ผู้ที่มีดวงชะตาการเกิดแข็งแกร่งไม่เพียงพอจะตายในไม่กี่วันหลังจากที่สัมผัสมัน”
“คำสาป?” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เคยได้ยินพลังประเภทนี้มาก่อน การสาปแช่งมันไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดหรอกหรือ แต่สามารถทำให้คนอื่นตายได้ด้วย? และดวงชะตาการเกิด มันคืออะไร?
“คำสาปเป็นพลังประเภทหนึ่งที่ได้รับมาจากเต๋า มันเป็นพลังที่ไร้ที่สิ้นสุดและสามารถแสดงออกมาได้ในรูปแบบต่างๆ” หอคอยทมิฬน้อยกล่าวอย่างเฉยเมย
“ถ้างั้นตอนนี้ข้าก็ได้รับผลกระทบจากคำสาปแล้ว?” หลิงฮันถาม
“ใช่แล้ว ตั้งแต่ที่เจ้าย่างก้าวเข้ามาคำสาปก็ติดตัวเจ้าแล้ว แต่ดวงชะตาของเจ้านั้นแกร่งกล้า เจ้าเลยยังไม่ตาย…อย่างน้อยเจ้าก็ยังไม่ตายจากคำสาประดับนี้ คำสาประดับนี้เป็นอะไรที่ข้าสามารถลบล้างได้อย่างง่ายดาย” หอคอยทมิฬกล่าว
“แล้วดวงชะตาคืออะไร?” หลิงฮันถามอีกครั้ง
หอคอยทมิฬน้อยแกว่งไปมาเล็กน้อยและพูดว่า “ทำไมเจ้าถึงมีคำถามมากมายนัก?”
“ถามเมื่อไม่รู้นั่นคือนิสัยของข้า” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
“ดวงชะตาคือชะตาที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และจะส่งผลต่อชะตากรรมของเจ้าเป็นอย่างยิ่ง” หอคอยน้อยกล่าว “ในชีวิตทั้งสองของเจ้า ดวงชะตาของเจ้านั้นยังคงเหมือนเดิม และทำให้มันเกิดขึ้นได้ที่จะหลอมรวมดวงวิญญาณสองดวงเข้าด้วยกัน และไม่ได้เป็นเพียงแค่การครอบครองร่าง”
“ซับซ้อนดีนิ” หลิงฮันเริ่มให้ความสนใจ
“ข้าไม่มีความสนใจที่จะตอบสนองความอยากรู้ของเจ้า!” หอคอยทมิฬน้อยทำตัววางท่าขึ้นมาทันที
“แล้วฮูหนิวนางจะได้รับผลกระทบหรือไม่?” หลิงฮันถามอีกครั้ง
“ดวงชะตาของสาวน้อยคนนี้พิเศษเกินไป ข้าไม่อาจมองทะลุตัวนางได้ถ้าข้าไม่ได้ใช้พลังก่อเกิดของข้า” หอคอยทมิฬน้อยกล่าว
ในที่สุดหลิงฮันลดความกังวลของเขาได้และออกจากหอคอยทมิฬพร้อมกับฮูหนิวและยังคงเดินหน้าต่อ
น่าจื่อเหยียนและจักรพรรดิอัคคีร่วมมือกันทำอะไรอยู่?…หรือมันจะเป็นอาวุธต้องคำสาปที่อยู่ภายในเหมือง? ไม่มีใครอยากจะขโมยของคนตาย เว้นแต่มันจะเป็นนิกายพันศพ
ทั้งสองคนเหยียบลงบนพื้นดินที่เปียกเล็กน้อยและเดินลึกลงไป มันเป็นเหมือนกับชาม ยิ่งเดินลึกไปเท่าไหร่ยิ่งแคบขึ้นมากเท่านั้น เมื่อพวกเขาดิ่งลงไปในที่ลึก สภาพแวดล้อมก็เริ่มมืดมน และถ้ามันไม่ได้เป็นเพราะหลิงฮันและฮูหนิวมีสายตาที่เฉียบแหลมกว่าคนอื่น บางทีเขาอาจเดินเหมือนกับคนตาบอดไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินลงไปเรื่อยๆจะปรากฏทางแยก และเห็นแสงไฟของคบเพลิงที่สั่นไหว ในความมืดแบบนี้คงไม่มีใครสามารถขุดแร่ได้
เมื่อเห็นท่าทีไร้ความกังวลของหลิงฮันและหญิงสาวตัวน้อยที่อยู่ด้านข้างเขาที่ดึงชายเสื้อของเขาอยู่ คนงานเหมืองหลายคนเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมาและเริ่มสงสัยว่ามันเป็นภาพลวงตาหรือไม่
หลิงฮันกวาดสายตามอง เขาเห็นเพียงแค่ความมืดมนบนใบหน้าของคนเหล่านี้ หลังจากที่พวกเขาได้เข้ามาที่นี่ พวกเขาก็เป็นเหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว ดังนั้นใครมันจะทำตัวใจเย็นอยู่ได้?
“อาหาร! อาหาร!” เมื่อพวกเขาเห็นเนื้อแห้งที่อยู่ในมือของฮูหนิว ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างทันที ราวกับว่าพวกเขาเป็นนักเดินทางที่เห็นโอเอซิสในทะเลทราย และรีบกรูกันเข้ามาราวกับพวกเขากำลังจะใช้กำลังแย่งมัน
หลิงฮันรู้สึกตลก คนธรรมดาหลายคนต้องการปล้นเขากับฮูหนิว?
ฮูหนิวจะปกป้องอาหารของตัวเองมากที่สุด และเผยสีหน้าดุร้ายออกมาทันที พวกเขาต้องการปล้นอาหารของนางงั้นรึ?
หลิงฮันดึงตัวฮูหนิวเข้ามาและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าต้องการอาหารงั้นรึ? แน่นอนว่าข้าจะมอบให้ แต่ต้องตอบคำถามของข้าสักสองสามข้อ” เขาสะบัดนิ้วมือและปรากฏหลุมลึกบนก้อนหิน ซึ่งทำให้คนงานเหมืองรู้สึกตกใจและชะงักทันที
เหล่าผู้คนที่จ้องมองเนื้อแห้งที่อยู่ในมือของฮูหนิวต่างน้ำลายไหลขณะที่พูดถามออกไปว่า “เจ้าอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?”
“สถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ บอกทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเจ้ารู้”
คนเหล่านั้นจ้องมองหน้ากันแล้วพยักหน้า และเริ่มพูดออกมาทีละคนทีละคน
พวกเขาถูกส่งมาที่นี่เมื่อเจ็ดวันก่อนและได้รับน้ำกับอาหารที่ใช้กินอยู่ได้แค่สองวันเท่านั้นก่อนเข้ามาในเหมือง ถ้าพวกเขาต้องการอาหารเพิ่ม พวกเขาต้องทำงานให้หนักและขุดหาแร่ให้พบ และใช้แร่ในแลกเปลี่ยนกับอาหาร อย่างไรก็ตาม แร่หาได้ยากมาก ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงรู้สึกหิวโหยเหมือนกับหมาป่า
หลิงฮันรู้สึกว่ามันแปลกเลยถามออกไปว่า “ผู้คนที่อยู่ด้านนอกจะนำอาหารมาให้พวกเจ้าจริงงั้นรึ? พวกเขาจะมอบอาหารให้กับพวกเจ้าได้ยังไง?”
ตอนที่ 522
แร่โลหิต
คนงานเหมืองพูดอธิบายออกมาทีละคน หลิงฮันจึงมอบอาหารให้พวกเขาเพื่อให้พวกเขาลดความวิตกกังวลลง ในขณะเดียวกันพวกเขาก็บอกทุกอย่างที่เขาอย่างรู้
ดังนั้น มันกลับกลายเป็นว่าใครก็ตามที่ออกจากเหมืองจะตายในวันที่สอง ถูกต้องมันเป็นเช่นนั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่าใครไม่ออกไปจะไม่ตาย ในที่แห่งนี้ บางคนอาจตายอย่างกะทันหันหลังจากผ่านไปสามถึงสี่วัน และบางคนอาจมีชีวิตอยู่ถึงสิบวันถึงครึ่งเดือน แต่ก็ไม่มีคนใดได้รับการยกเว้น เพราะท้ายที่สุดทุกคนย่อมตาย
ด้วยชีวิตที่อยู่ได้เพียงไม่กี่วัน พวกเขาก็จะยืนอยู่ด้านหน้าประตูแห่งความตาย แต่พวกเขาก็ยังคงดิ้นรนเพื่อเติมเต็มท้องของพวกเขา
ทหารยามไม่กล้าเข้ามาในเหมือง พวกมันเพียงแค่จะนำอาหารมาให้แลกเปลี่ยนกับแร่ที่พวกเขาขุดได้บริเวณรอยแยกแล้วโยนกลับไปมา อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าซุกซ่อนอาหารในพื้นที่เหมือง เพราะมันจะถูกคนอื่นขโมย ดังนั้นพวกเขาจึงกินมันทันทีเมื่อได้รับอาหารมา และแน่นอนว่ากินจนไม่เหลือทิ้งเลยสักนิด
แม้ว่าที่นี่จะเป็นเหมือง แต่ก็มีแร่โลหิตไม่มากนัก ดังนั้นบางคนที่มีชีวิตยากลำบากก็ไม่ได้ตายเพราะถูกคำสาป แต่ตายเพราะความหิวโหย ไม่มีใครคิดที่จะกินศพของพวกเขา เพราะเนื้อคนตายนั้นจะเป็นสีดำ ซึ่งดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพิษร้ายหรืออะไรบางอย่างและใครก็ตามที่กินมันก็จะต้องตาย
ดังนั้น นอกจากการกระทำที่ชั่วร้ายของใครบางคนที่กินเนื้อคนอื่นในตอนแรก ตอนนี้มันจึงไม่เคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกเลย
ไม่ใช่ทุกคนไม่ได้พยายามสุดความสามารถเพื่อขุดหาแร่โลหิต บางคนเริ่มรวมกลุ่มกันหรือบางคนที่คิดว่าพวกเขาแข็งแกร่งพอก็จะเริ่มปล้นคนอื่น อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ที่นี่ล้วนตกตายไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นในไม่ช้ากลุ่มคนเหล่านั้นก็จะหายไปในอากาศ
ในขณะที่หลิงฮันฟัง เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง
“พวกเขาน่าสงสารมาก!” ฮูหนิวกล่าว
หลิงฮันไม่เคยคิดเลยว่าเด็กสาวตัวน้อยคนนี้จะรู้สึกสงสารคนอื่นด้วย? หลิงฮันลูบหัวของฮูหนิวและพูดว่า “หนิวหนิวเติบโตขึ้นแล้วสินะถึงเป็นห่วงคนอื่นด้วย!”
“แต่ว่าพวกเขาไม่มีสิทธิ์ขโมยอาหารของฮูหนิว!” ฮูหนิวรีบปกป้องรักษาสิทธิ์ของตัวเอง
หลิงฮันยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดกับคนงานเหมืองเหล่านี้ว่า “พวกเจ้าขุดแร่ได้บ้างหรือไม่? ขายมันให้กับข้า ข้าจะให้ราคาพวกเจ้าอย่างงาม!” หลิงฮันนำน้ำและอาหารออกมาอีกครั้ง
“ข้าจะมอบมันให้กับท่าน!”
“ข้าด้วย!”
“ซื้อแร่ของข้า!”
เหล่าคนงานเหมืองรีบกรูกันเข้ามา และนำแร่โลหิตออกมาซึ่งมีขนาดเล็กมากจนน่าสงสาร ขนาดใหญ่ที่สุดนั้นมีขนาดเท่านิ้วก้อย และพวกเขากลัวว่าหลิงฮันจะรู้สึกไม่พอใจ พวกเขาจึงจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง
…เนื่องจากหลิงฮันมอบอาหารให้มากกว่าทหารยามที่อยู่ด้านนอก ทั้งยังอร่อยกว่ามาก
หลิงฮันเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง มันเป็นเพียงแค่อาหาร แต่มันกลับสามารถทำให้ผู้คนทำตัวว่านอนสอนง่ายและยอมจำนน เขาได้แจกจ่ายอาหารให้กับทุกคนและเก็บแร่พวกนั้น ซึ่งมันมีปริมาณที่น้อยมากสามารถหยิบจับได้ด้วยกำมือเดียว
เขาวางแร่ไว้ในมือของเขาและทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงบุปผาศักดิ์สิทธิ๋ภายในร่างกายก็ถูกกระตุ้น มันต้องการกินและดูดซับแร่พวกนี้ ในขณะนั้น มีชายร่างกำยำห้าคนเดินออกมาจากเหมืองด้านล่าง และเมื่อเห็นอาหารที่อยู่ในมือผู้คน สีหน้าของพวกเขาลุกไหม้ไปด้วยความโลภทันที พวกเขาแต่ละคนเผยสีหน้าที่น่ากลัวออกมาและตะโกนว่า “ส่งอาหารทั้งหมดมาให้พวกข้า!”
พวกของมันคนหนึ่งชี้นิ้วไปที่ฮูหนิวและพูดว่า “พี่ใหญ่หยาง เด็กสาวคนนั้นด้วย!”
“อะไรนะ ผู้หญิงงั้นเรอะ!” เมื่อพี่ใหญ่หยางเห็นฮูหนิว มันเลียริมฝีปากของตัวเองทันที “ข้ารักลูกไก่ตัวน้อยมากที่สุด ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าอยู่ที่นี่มาสิบวันแล้ว วันนี้ไม่เพียงแต่ข้าจะได้รับอาหาร แต่ยังจะได้รับความเพลิดเพลินด้วย!”
หลิงฮันถอนหายใจออกมา ข้างในเหมือง ความชั่วช้าของมนุษย์นั้นจะปรากฏออกมาให้เห็นชัดขึ้น และเมื่อวันเวลาผ่านไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ แล้วความชั่วร้ายจะไม่เกิดขึ้นภายในใจได้อย่างไร? อย่างไรก็ตาม ถ้ามีชีวิตอยู่ได้แค่ไม่กี่วัน ทำไมพวกเขาจะไม่ทำตามที่ตัวเองต้องการกันล่ะ?
อย่างไรก็ตาม ดวงชะตาพี่ใหญ่หยางดูเหมือนจะแกร่งกล้าทีเดียว การมีชีวิตอยู่ในที่นี่นี้ได้เป็นเวลาสิบวันและยังไม่ตายนั้น มันได้พิสูจน์คำพูดของคนแก่ว่าคนชั่วมีชีวิตยืนยาวกว่าคนดี
เมื่อเห็นพวกมันทั้งห้าคน คนงานเหมือนทุกคนต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว พวกมันห้าคนมีชื่อเสียงโด่งดัง ว่ากันว่าก่อนที่คนงานเหมืองคนอื่นจะมา พวกมันทั้งห้าคนก็อยู่ที่นี่แล้ว แต่พวกเขากลับไม่ตาย พระเจ้าช่างไร้ความเป็นธรรมเสียจริง พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน และยังต้องถูกกลั่นแกล้งโดยพวกเศษสวะพวกนี้อีก
“สาวน้อย พี่ชายคนนี้อยากจะพาเจ้าไปเล่นสนุกด้วย” พี่ใหญ่หยางจ้องมองไปที่ฮูหนิวจนเกือบน้ำลายไหลออกมาจากปาก
“หากพระเจ้าไม่พรากชีวิตของเจ้า เช่นนั้นข้าจะเป็นคนทำเอง!” หลิงฮันชี้นิ้วออกไป ปัง หัวของพี่ชายหยางปรากฏรูที่ถูกแทงทะลุไปอีกฝั่ง โลหิตและเนื้อสมองสีขาวปะปนกันไปแล้วสาดกระจายออกมา
ทุกคนรู้สึกตกใจ และจากนั้นสหายทั้งห้าคนของมันก็กรีดร้องออกมาทันที ถ้าใครไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยตัวเอง มันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการได้ว่าเสียงร้องที่เหมือนผู้หญิงนี่เป็นของชายร่างกำยำทั้งสี่คนเป็นคนส่งเสียงออกมา จากนั้นพวกมันหันไปด้านหลังและวิ่งหนี และรู้ว่าพวกมันเตะเข้ากับแผ่นหินเข้าให้แล้ว
“พวกเจ้าทุกคนต้องอยู่ที่นี่!” หลิงฮันสะบัดนิ้วของเขาและปราณดาบสี่เล่มถูกปล่อยออกมา ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ร่างของพวกมันทั้งสี่คนตกลงสู่พื้นทันที
คนงานเหมืองต่างจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยความเคารพและเต็มไปด้วยความกตัญญู เพราะเมื่อหลิงฮันแสดงความแข็งแกร่งออกมา แน่นอนว่าพวกเขาต้องทำตามที่เขาพูด แต่ทว่าหลิงฮันกลับเลือกที่จะใช้อาหารเป็นการแลกเปลี่ยนกับพวกเขา เห็นได้ชัดว่าเขาปฏิบัติกับพวกเขาในฐานะมนุษย์
‘ถ้างั้นพวกเราก็ยังคงเป็นมนุษย์อยู่!’
จิตวิญญาณบางอย่างลุกโชติอยู่ในดวงตาของคนงานเหมือง ดังนั้นพวกเขาไม่ได้เป็นศพเดินได้ที่รอให้ความตายมาถึงพวกเขา
เมื่อหลิงฮันเห็นเช่นนั้น และจึงตัดสินใจทันทีว่าจะ “พูดคุย” กับจักรพรรดิอัคคีและน่าจื่อเหยียน ทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะขุดเหมือง แล้วเขาก็จะพาคนงานเหมืองทุกคนเข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อลบล้างคำสาปให้กับพวกเขา แล้วปล่อยพวกเขาออกมา
พวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา และไม่มีทางค้นพบความลับของหอคอยทมิฬได้ พวกเขาจะรู้สึกแค่ว่าเหมือนหลับไปแล้วทุกคนก็กลับมาเป็นปกติ
ด้วยการตัดสินใจของหลิงฮัน เขาหันไปมองรอบๆ
บุปผาศักดิ์สิทธิ๋ภายในร่างกายของเขาไม่อาจททนต่อความต้องการอันแรงกล้าที่จะดูดซับแร่พวกนี้ได้อีกต่อไป หลิงฮันจึงพยายามที่จะสกัดหินก้อนที่เล็กที่สุด และพลังแปลกๆก็ถูกกัดออกมาจากภายในแร่ทันทีและเข้าไปในตันเทียนของเขา มันถูกดูดซับโดยบุปผาศักดิ์สิทธิ์
ลวดลายบนบุปผาศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายและปล่อยคลื่นพลังปราณสีแดงออกมา และบุปผาศักดิ์สิทธิ์เหมือนจะเติบโตขึ้นเล็กน้อย
ขนาดของมันเล็กจนน่าสงสาร แต่หลิงฮันมั่นใจว่าบุปผาศักดิ์สิทธิ์เติบโตขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ความกระหายเลือดของเขาเองก็ถูกกระตุ้นเช่นเดียวกัน ทำให้เขาอย่างใช้ความรุนแรง
นี่มันน่าทึ่งมาก บุปผาศักดิ์สิทธิ์ที่เติบโตขึ้นนั้นไม่สามารถทำให้ความเข้าใจของใครในวิถียุทธเพิ่มขึ้นได้ หากไม่เพิ่มความเข้าใจในวิถียุทธ บุปผาศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่เติบโตและไม่กลายเป็นผลเพื่อให้กำเนิดตัวอ่อนวิญญาณ หลิงฮันมีประสบการณ์ต่อสู้มากมาย ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มความเข้าใจในวิถียุทธ แต่สำหรับคนอื่น ความเข้าใจในวิถียุทธเป็นสิ่งสำคัญที่สุดหลังจากที่ก้าวเข้าสู่ระดับบุปผาผลิบาน
แร่พวกนี้สามารถทำให้จอมยุทธแห่กันมาได้
น่าเหลือเชื่อ ถ้าหากมีแร่พวกนี้มากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับบุปผาผลิบาน ระดับตัวอ่อนวิญญาณ หรือแม้แต่ระดับทลายมิติก็สามารถบรรลุได้อย่างง่ายได้หรอกรึ?
หลิงฮันเก็บแร่ที่เหลือเข้าไปในหอคอยทมิฬทันทีและพูดว่า “หอคอยน้อย วิเคราะห์มันทีว่าคืออะไร?”
ตอนที่ 523
นักโทษประหาร
“มันเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาที่บรรจุพลังต้นกำเนิดอันเบาบางเอาไว้” หอคอยน้อยส่งกระแสจิตพูดกับเขา
“ก้อนหินธรรมดา?” หลิงฮันประหลาดใจ ก้อนหินที่สามารถเพิ่มพลังบ่มเพาะให้กับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานได้โดยตรงคือก้อนหินธรรมดา? หากครอบครองหินธรรมดาเหล่านี้จำนวนมาก สามารถรับประกันได้เลยว่าแม้แต่หมูก็สามารถกลายเป็นตัวตนระดับทลายมิติ หรือแม้แต่ระดับพระเจ้าก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ถ้าจะเรียกมันว่าหินวิเศษก็ไม่นับเกินไป แล้วแบบนี้จะบอกว่ามันเพียงเป็นก้อนหินธรรมดา?
“พลังก่อเกิด?” หลิงฮันส่ายหัว “ทำไมข้าถึงสัมผัสมันไม่ได้เลย?”
“ไม่ใช่พลังก่อเกิด มันคือพลังต้นกำเนิด” หอคอยน้อยอธิบาย
หลิงฮันชะงักและถาม “เป็นพลังงานแบบเดียวกันกับศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวาย?”
“ถูกต้อง แต่พลังต้นกำเนิดที่อยู่ภายในก้อนหินเหล่านี้ช่างเบาบางจนข้าไม่สามารถดูดซับได้!” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
หลิงฮันกัดฟัน เจ้าคงไม่ได้จงใจตำหนิข้าที่หาก้อนหินที่ไร้ประโยชน์สำหรับเจ้ามาหรอกนะ? หินเหล่านี้ยิ่งมีมากก็ดีสำหรับข้า“ แม้หลิงฮันจะไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจในระดับพลังบ่มเพาะก็สามารถเลื่อนระดับพลังได้ แต่ครอบครัวของเขาไม่ใช่แบบนั้น หากมีหินเหล่านี้จำนวนมาก เขามั่นใจแน่นอนว่าหลิงตงซิงและเยว่ฮงฉางต้องทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานได้อย่างราบรื่น
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมจักรพรรดิอัคคีถึงต้องการแร่เหล่านี้ขนาดนั้น นั่นเพราะในสถานการณ์ที่จักรพรรดิอัคคีไม่มีทักษะบ่มเพาะขั้นสูงและความเข้าใจในพลังบ่มเพาะที่มากพอ แร่เหล่านี้คือหนทางเดียวที่จะทำให้เขาสามารถละทิ้งวัฏจักรแห่งมนุษย์ได้สำเร็จ!
หากเป็นแบบนี้แล้วการจะเกลี้ยกล่อมให้จักรพรรดิอัคคีล้มเลิกการบังคับชาวเมืองให้มาขุดเหมืองคงทำได้ยากแน่
‘ในเมื่อไม่สามารถเกลี้ยกล่อมได้ ข้าก็จะทุบตีมันจนกว่าจะยอมจำนน’ หลิงฮันคิดในใจ
“หินเหล่านี้มีจิตชั่วร้ายผสมอยู่จำนวนมาก ถ้าเจ้าดูดซับมากเกินไป ด้วยระดับพลังบ่มเพาะของเจ้าในตอนนี้เจ้าจะไม่สามารถควบคุมตนเองได้และกลายเป็นคนป่าเถื่อนที่รู้จักเพียงการสังหารและนองเลือด” หอคอยน้อยพูด
เมื่อหลิงฮันได้ยินเช่นนี้ เขาก็ละทิ้งความคิดที่จะมอบหินเหล่านี้ให้กับครอบครัวเขาทันที “แม้แต่หอคอยทมิฬก็ไม่สามารถลบล้างจิตชั่วร้ายภายในหินได้?”
“สิ่งที่เข้าใจอยากที่สุดคือนิสัยของมนุษย์… นอกเสียจากว่าข้าจะลบความทรงจำของคนคนนั้นทิ้งทั้งหมด” หอคอยน้อยกล่าว
“ช่างมันแล้วกัน!” หลิงฮันรีบส่ายหัว เขาไม่ต้องการลบความทรงจำของครอบครัวเขาและทำให้พวกเขามองตนเองเป็นคนแปลกหน้า อย่างไรภายในระยะเวลาสองร้อยปีเขาก็สามารถกลายเป็นพระเจ้าได้อยู่แล้ว เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะหาเม็ดยาระดับพระเจ้าที่สามารถช่วยยกระดับพลังบ่มเพาะของครอบครัวเขาได้ทันทีมาให้ได้
หลิงฮันยังคงมั่นใจในทักษะการปรุงยาของตนเองอยู่
หลิงฮันตัดสินใจจะจัดการกับน่าจือเหยียนและจักรพรรดิอัคคีเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยย้อนกลับมาตรวจสอบว่าภายในเหมืองแห่งนี้มีอะไรถูกฝังเอาไว้กันแน่
หลิงฮันและฮูหนิวเดินออกจากเหมืองอย่างรวดเร็วและพวกเขาตั้งใจขะมุ่งหน้ากลับไปยังกำแพงเมือง
“หยุด!” ผู้คุ้มกันเหมืองตะโกนออกมา คำสั่งที่พวกมันได้รับมาคือห้ามให้ใครออกจากสถานที่แห่งนี้
“หืม?” โปวเหวินหลิงปรากฏตัวออกมาและแสยะยิ้ม “เจ้าหนู เจ้าช่างเป็นคนบ้าบิ่นยิ่งนักที่กล้าเข้าไปในเหมืองแห่งความตาย! ตอนนี้ชีวิตของเจ้ามีเวลาเหลือเพียงครึ่งวัน!”
หลิงฮันยิ้มจางๆ ดวงชะตาของเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แม้จะเขาจะอยู่ภายในเหมืองเป็นระยะเวลาหลายปีคำสาปก็ไม่สามารถส่งผลกระทบใดๆต่อเขา ยิ่งกว่านั้นแม้เขาจะถูกคำสาปเข้าจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขายังมีหอคอยทมิฬอยู่หรอกรึ? คอยหอยทมิฬมีความสามารถที่น่าอัศจรรย์อย่างเช่นการชำระล้างจิตมารและคำสาปร้าย
“ในเมื่อข้ามีเวลาเหลืออยู่เพียงครึ่งวันก็ขอข้าไปสร้างภัยพิบัติเสียหน่อยแล้วกัน” หลิงฮันกล่าวโดยแสร้งทำเป็นบ้าคลั่ง
โปวเหวินหลิงมีสีหน้าจริงจังทันที ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่ลงมือเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ว่าหลิงฮันไม่ใช่คนที่สมควรไปล่วงเกิน แต่ตอนนี้หลิงฮันจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงครึ่งวันเท่านั้น… นั่นทำให้กลายเป็นเรื่องน่าปวดหัวมากกว่าเดิมอีก ใครกันจะต้องการต่อสู้เสี่ยงชีวิตกับคนที่พร้อมจะตาย?
“เจ้าหนู เจ้าจะต้องตายแน่นอน ข้าจะไม่ลดตัวลงไปสู้กับเจ้าแต่จะคอยติดตามเจ้าเพื่อรอดูความตายของเจ้าแทน!” โปวเหวินหลิงพูด
หลิงฮันยิ้มและถาม “จริงรึ? เจ้ากล้าที่จะตามข้าไปทุกที่จริงรึ?”
“ฮ่าๆๆ ในโลกนี้มีที่ใดที่ข้าโปวเหวินหลิงผู้นี้ไม่กล้าไป?” โปวเหวินหลิงหัวเราะลั่น
“งั้นก็ตามมา” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้มและเดินตรงไป เป้าหมายของเขาคือเมืองจักรพรรดิ โปวเหวินหลิงบอกให้ผู้คุ้มกันเมืองไม่ต้องไล่ตามหลิงฮัน
หลิงฮันไม่ได้เร่งรีบอะไรนัก เขาผ่านประตูเมืองจักรพรรดิหลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง
“รีบไปดูเร็ว นักฆ่าสาวสองคนถูกจับกุมตัวได้และพวกนางกำลังจะถูกตัดหัวต่อหน้าสาธารณะชนที่ประตูทิศตะวันออก!” เมื่อหลิงฮันเข้าเมืองมาเขาก็ได้ยินคนๆหนึ่งกำลังรีบวิ่งพร้อมกับแพร่กระจ่ายข่าว ชายคนนั้นดูมีท่าทีตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งและเดินนำผู้คนมากมายไปยังประตูทิศตะวันออก
นักฆ่าสาวแถมยังมีสองคน? คงมีแต่ลิ่วเฟิงเอ๋อและลิ่วลู่เอ๋อสินะ?
หลิงฮันเปลี่ยนแผนการและมุ่งหน้าไปยังประตูทิศตะวันออก หญิงสาวทั้งสองถูกจับกุมตัวโดยตระกูลจักรพรรดิได้อย่างไร?
หลิงฮันเร่งฝีเท้าเล็กน้อย ภายในไม่กี่นาทีเขาก็มาถึงประตูเมืองทิศตะวันออก เขามองเห็นเวทีสูงที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สี่เหลี่ยมโดยมีหญิงสาวสองคนกำลังถูกห้อยลงมาจากแท่นประหาร ผมของพวกนางยุ่งเหยิงจนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้
แต่ด้วยการที่หลิงฮันคุ้นเคยกับกลิ่นอายของพวกนาง เขาจึงมั่นใจว่าทั้งสองคือพี่น้องลิ่ว
เฮ้อ สองคนนี้สมควรเป็นนักฆ่าจริงๆงั้นรึเนี่ย?
“คิดจะสังหารน่าจือเหยียน? เห้อ งั้นหญิงสาวสองคนนี้ก็คงเป็นคนดีน่ะสิ”
“พระเจ้าช่างไม่มีตา ทำไมถึงปล่อยให้คนชั่วนั่นมีชีวิตอยู่และเป็นหญิงสาวสองคนนี้ที่ต้องตาย”
“ชู่วว เงียบๆหน่อย พวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตแล้วรึไง?”
ฝูงชนแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างดุเดือดและรู้สึกเห็นอกเห็นใจสองพี่น้องลิ่ว ประชากรในเมืองนี้ล้วนแต่รังเกียจน่าจือเหยียน
หลิงฮันไม่ได้ลงมือช่วยเหลือพวกนางในทันที เขาต้องการให้ทั้งสองคนได้รับบทเรียนเสียบ้าง ในอนาคตพวกนางจะได้ไม่ต้องเป็นนักฆ่าอีก พวกนางไม่เหมาะสมกับอาชีพนี้แม้แต่น้อย!
โปวเหวินหลิงไล่ตามหลิงฮันมาถึงที่นี่และอดที่จะแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้ นี่เจ้ากำลังจะตายอยู่แล้ว ยังจะมีอารมณ์มาดูคนอื่นถูกตัดหัวอีกรึ?
“หมดเวลาแล้ว ลงมือตัดหัว!”
เจ้าหน้าที่สำเร็จโทษคนหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวทีสูง ร่างส่วนบนของเขาเปลือยเปล่าพร้อมกับถือดาบเล่มใหญ่ไว้ในมือ เขายกไวน์ขึ้นดื่มและบ้วนไวน์ลงไปทั่วใบดาบ เมื่อดาบถูกยกสูงขึ้น ใบดาบก็ส่องประกายแห่งความสิ้นหวังออกมา
ลิ่วเฟิงเอ๋อและน้องสาวของนางถูกผนึกพลังบ่มเพาะเอาไว้จึงไม่อาจโคจรปราณก่อเกิดเพื่อป้องกันตัวเองได้ ตอนนี้ร่างกายของพวกนางไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาเท่าไหร่นัก เจ้าหน้าที่สำเร็จโทษผู้นี้มีพลังบ่มเพาะระดับรวมธาตุ และด้วยคลื่นจากหนึ่งใบดาบของเขา หัวของหนึ่งในสองพี่น้องจะต้องหลุดออกจากบ่าแน่นอน
‘ฉัวะ’ ดาบเล่มใหญ่ถูกสะบั้นลงมา
แต่เหตุการณ์ที่หัวของนักฆ่าสาวทั้งสองจะหลุดออกจากบ่าพร้อมกับโลหิตที่สาดกระจายไปทั่วดันไม่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือการปรากฏตัวราวกับสายฟ้าแลบของชายหนุ่มคนผู้หนึ่งที่ใช้หนึ่งนิ้วต้านทานใบดาบใหญ่เอาไว้
ตอนที่ 524
ขัดขวางการประหาร
เขาคือใครกัน? ทำไมถึงมีความกล้าขนาดขัดขวางการประหาร?
“เจ้ากล้าดีอย่างไร!” หนึ่งในผู้ได้รับหน้าที่ให้ดูแลการประหารกระโดดขึ้นมาบนเวที มันมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับห้วงจิตวิญญาณซึ่งในดินแดนอันเล็กๆอย่างแคว้นอัคคี มันสามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง มันจ้องมาที่หลิงฮันอย่างเกรี้ยวกราดและพูด “เจ้าคนบ่าบิ่นคนนี้เป็นใครมาจากไหนกัน?”
หลิงฮันยิ้มและพูด “ภายใต้คำสั่งของนายข้าโปวเหวินหลิง จงหยุดการประหารซะ”
‘พรวด!’
ในบริเวณที่ไม่ไกลออกไป โปวเหวินหลิงได้สำลักออกมา
เจ้าหนูนี่ไม่เพียงแค่สังหารทายาทของตระกูลโปว แต่ยังจะลากให้เขาลำบากไปด้วย!
โปวเหวินหลิงในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ระดับห้วงจิตวิญญาณและชื่อเสียงของตระกูลโปว ไม่มีใครในเมืองจักรพรรดิที่ไม่รู้จักเขา ทันใดนั้นเองสายตาทุกคู่ก็จดจ้องไปที่โปวเหวินหลิง
ผู้ดูแลการประหารมองไปยังโปวเหวินหลิงเช่นกัน มันคำรามออกมาด้วยความโกรธ “ปรมาจารย์โปว ท่านกล้าสั่งให้คนลงมือขัดขวางการประหาร นี่นับว่าเป็นการกระทำที่เรียกได้ว่าเป็นการกบฏ!”
บัดซบ!
โปวเหวินหลิงรีบกระโดดมาข้างหน้าและพูด “ปรมาจารย์โก่ว ได้โปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่รู้จักเจ้าหนูนั่นแม้แต่น้อย!”
“ปรมาจารย์โปว คำพูดของท่านช่างทำให้ข้าเจ็บปวดยิ่งนัก!” หลิงฮันแสร้งทำเป็นเสียใจ
“ไม่ใช่ว่าท่านบอกเอาไว้ว่าท่านจะสนับสนุนข้ารึไง? และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นท่านก็จะปกป้องข้า?! ปรมาจารย์โปวท่านบอกเองว่าจะติดตามข้า!”
โปวเหวินหลิงไม่รู้จะเถียงอย่างไร จริงอยู่ที่เขาบอกว่าจะติดตามหลิงฮันไปทุกที่ แต่ด้วยลักษณะท่าทางการพูดของหลิงฮัน ในสายตาคนอื่นๆเขาคงจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปเรียบร้อยแล้ว
“เหอะ จิ้งจอกเฒ่าของตระกูลโปวกล้าหาญถึงขนาดวางแผนขัดขวางการประหารเลยรึ!”
“ปรมาจารย์โปวช่างเป็นคนดีจริงๆ เขารู้ว่าหญิงสาวที่พยายามสังหารน่าจือเหยียนเป็นคนดีและคิดจะปกป้องพวกนางเพื่อผลประโยชน์ของแคว้นอัคคี”
“แต่ก็แปลกนะ เมื่อใดกันที่โปวเหวินหลิงนิสัยเปลี่ยนไปและทำอะไรแบบนี้?”
บางคนเริ่มรู้สึกยกย่องโปวเหวินหลิงในขณะที่บางคนรู้สึกสงสัย นิสัยปกติกับนิสัยในตอนนี้ของโปวเหวินหลิงนั้นต่างกันเกินไป
“ปรมาจารย์โปว หมดหน้าที่ของข้าแล้ว ที่เหลือข้าจะยกให้เป็นหน้าที่ของท่าน” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้มและหันไปพูดกับสองสาว “พวกเจ้าขอบคุณปรมาจารย์โปวที่ช่วยเหลือชีวิตของพวกเจ้าเร็วเข้า”
โซ่ที่ตรวนร่างของลิ่วเฟิงเอ๋อและลิ่วลู่เอ๋อเอาไว้ถูกหลิงฮันปลดออกทำให้พลังบ่มเพาะของพวกนางกลับมาเป็นเช่นเดิม พวกนางไม่ใช่คนโง่และรีบเล่นละครตามหลิงฮัน พวกนางก้มหัวเล็กน้อยไปทางโปวเหวินหลิงและพูดพร้อมกัน “ขอขอบคุณปรมาจารย์โปวมากเจ้าค่ะ!”
ตอนนี้โปวเหวินหลิงไม่สามารถล้างมลทินให้ตนเองได้แล้ว!
“ไปกันเถอะ!” หลิงฮันเอื้อมมือออกไปคว้าตัวหญิงสาวทั้งและเผ่นหนี “ปรมาจารย์โปว พวกเราไปพบกันในสถานที่เดิม”
“ใครบอกให้เจ้าไป!” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ประหารลงมืออย่างรวดเร็ว มันปล่อยฝ่ามือเข้าใส่แผ่นหลังหลิงฮัน มันคือผู้ใช้ทักษะฝ่ามืออยู่แล้วและเมื่อฝ่ามือของมันเคลื่อนไหว ลวดลายตราประทับก็ส่องแสงสว่างราวกับรากของต้นไม้ที่กำลังเลื้อยเข้าใส่หลิงฮัน
ในความเป็นจริงเพียงแค่ลมหายใจของหลิงฮันก็สามารถสังหารเจ้าหน้าที่คนนี้ได้ แต่เลือกที่จะใช้ทักษะเคลื่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงฝ่ามือของเจ้าหน้าที่คนนั้นแทน จากนั้นร่างของเขาก็เร่งความเร็วขึ้นและเคลื่อนไหวหลบหนีอย่างรวดเร็ว
โปวเหวินหลิงรีบระเบิดความเร็วไล่ตามไป เขาจะต้องจับตัวหลิงฮันให้ได้ ไม่เช่นนั้นความผิดของมันจะไม่ถูกลบล้าง
“ปรมาจารย์โปว เจ้าคิดจะหนีเช่นกัน?” ผู้ดูแลการประหารแสยะยิ้มอย่างมืดมน ร่างของมันเคลื่อนที่อย่างว่องไวและปล่อยฝ่ามือเข้าใส่โปวเหวินหลิง
‘หลบหนีน้องสาวเจ้าสิ!’
โปวเหวินหลิงเกือบจะกระอักเลือดออกมาเพราะความโกรธ “ปรมาจารย์โก่ว ข้ากำลังจะไปจับนักโทษสามคนนั้นกลับมา!”
“เหอๆ แล้วทำไมตอนสามคนนั้นหลบหนีข้าถึงไม่เห็นเจ้าลงมือทำอะไรเลยล่ะ? ปรมาจารย์โป่ว ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังหยุดข้าไม่ให้ไล่ตามสามคนนั้นไปหรอกรึ?” ผู้ดูแลการประหารเอ่ยถามอย่างเย็นชา มันแสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมาราวกับอ่านแผนการของโปวเหวินหลิงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
‘น้องสาวเจ้าสิ เจ้าต่างหากเป็นคนหยุดข้า!’
โปวเหวินหลิงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากลงมือ เขามีพลังใกล้เคียงกับผู้ดูแลการประหาร คิดรึว่าเขาจะยอมถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว? แต่ยิ่งเขาตอบโต้มากเท่าไหร่ คนอื่นๆก็ยิ่งเชื่อว่าโปวเหวินหลิงกำลังพยายามจะช่วยหลิงฮันและหญิงสาวอีกสองคนให้หลบหนีอยู่จริงๆ
‘บัดซบ! นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน!’
ในตอนนี้ ภายในใจของโปวเหวินหลิงเต็มไปด้วยคำสาปแช่งนับไม่ถ้วน
***
หลิงฮันพาตัวหญิงสาวทั้งสองมาจนถึงด้านนอกเมือง จากนั้นก็ทิ้งร่างของทั้งสองลงไปและพูด “สำหรับนักฆ่าที่ตกไปอยู่ในเงื้อมมือศัตรูแบบพวกเจ้าข้าว่าเลิกเสียจะดีกว่า จงหาผู้ชายดีๆสักคนและแต่งงานกับเขา จากนั้นก็อยู่บ้านคอยดูแลสามีและลูกๆซะ”
“เหอะ ทุกอย่างเป็นเพราะเจ้านั่นแหละ เจ้าเป็นคนที่ทำให้ทุกคนเกิดความเข้าใจผิด ในตอนที่พวกเราออกจากคฤหาสน์ของหยุนชวงชวง มีกลุ่มคนจำนวนมากมาล้อมถามคำถามตรวจสอบพวกเราจนสุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้น!” ลิ่วลู่เอ๋อพูดออกไปอย่างไม่สลด
หลิงฮันกรอกตาและถาม “งั้นก็เป็นความผิดของข้า?”
“แน่นอน!” ลิ่วลู่เอ๋อโยนความผิดทั้งหมดให้หลิงฮัน
หลิงฮันโบกมืออย่างลวกๆและพูด “เอาเถอะ ข้าไม่ต่อล้อต่อเถียงกับพวกเจ้าทั้งสองแล้ว ทางที่ดีพวกเจ้าทั้งสองจงรีบออกจากเมืองจักรพรรดิไปให้เร็วที่สุด!”
“แล้วน่าจือเหยียนล่ะ?”
“ข้าจะจัดการมันเอง” หลิงฮันตอบอย่างสงบนิ่ง
“เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้แค่พูดโอ้อวด?” ท่าทางของลิ่วลู่เอ๋อเต็มไปด้วยความสงสัย
หลิงฮันเค้นเสียงและพูด “ถ้าพวกเจ้าทั้งสองไม่ออกจากเมืองนี้ ข้าจะเป็นคนส่งพวกเจ้ากลับไปเอง ข้ามั่นใจว่าเจ้าน่าจือเหยียนนั่นจะต้องอยากเห็นหัวของพวกเจ้าทั้งสองหลุดออกจากบ่าแน่นอน!”
“ออกก็ได้ แค่ออกไปก็พอใช่ไหม?” ลิ่วลู่เอ๋อส่งเสียงฮึดฮัด
“ขอบคุณนายน้อยฮันมากที่ช่วยพวกเราอีกครั้ง” ลิ่วเฟิงเอ๋อแตกต่างจากน้องสาว นางก้มหัวให้กับหลิงฮันอย่างซื่อตรง นางใช้มือกดหัวบังคับให้น้องสาวของนางก้มหัวเช่นกัน
“ขอบคุณ” ลิ่วลู่เอ๋อพูดอย่างไม่เต็มใจ
หลิงฮันพยักหน้าและพูด “ในไม่กี่วันนี้ พวกเจ้าจะได้ยินข่าวการตายของน่าจือเหยียน เพราะงั้นตอนนี้พวกเจ้าสามารถออกจากเมืองไปโดยไม่ต้องติดค้างอะไรแล้ว”
“อืม!” ลิ่วเฟิงเอ๋อดึงร่างของลิ่วลู่เอ๋อเดินจากไป
ในขณะเดียวกัน ลิ่วลู่เอ๋อพยายามหันหลังกลับมาราวกับนางต้องการทะเลาะกับหลิงฮันต่อ
“น้องสาวข้า ชายคนนั้นเป็นดั่งดวงตะวันที่โดดเด่นบนท้องฟ้า เขาไม่ใช่คนที่เราจะสามารถเอื้อมถึง หากพวกเรายังดื้อรั้นพยายามเข้าถึงเขา พวกเราจะถูกความร้อนของดวงตะวันเผาไหม้” ลิ่วเฟิงเอ๋อรู้ความรู้สึกของน้องสาวนาง แม้นางจะทำเหมือนชอบทะเลาะกับหลิงฮัน แต่ที่จริงนางแค่แสดงความรู้สึกของตนเองออกไปไม่เก่งเท่านั้น
ลิ่วลู่เอ๋อหัวหน้ากลับมา ทั่วทั้งใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
***
หลิงฮันย้อนกลับไปเมืองจักรพรรดิ และในขณะที่ยังไม่ถึงประตูเมือง เขาก็พบกับโปวเหวินหลิงและเจ้าหน้าที่ประหารที่ร่วมมือกันเพื่อไล่ตามเขามา นี่พวกเขาแก้ไขความเข้าใจผิดกันได้แล้ว? ฮูหนิวไม่ส่งเสียงอะไรมาสักพักแล้ว แต่สีหน้าของนางบ่งบอกว่านางกำลังอารมณ์ดีอย่างมาก เพราะตอนนี้สตรีสองคนที่นางไม่ชอบได้จากไปแล้ว ในที่สุดนางก็ได้อยู่สองต่อสองกับหลิงฮันเสียที
“เจ้าหนู เจ้ากล้ากลับมา?” โปวเหวินหลิงถามอย่างมืดมน มันเกือบจะโมโหจนขาดใจตายเพราะการกระทำก่อนหน้านี้ของหลิงฮัน
หลิงฮันยิ้มและถาม “ด้วยการสนับสนุนของปรมาจารย์โปว มีอะไรที่ข้าไม่กล้าทำ?”
“ตาย!” โปวเหวินหลิงพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน มันต้องเป็นคนจับกุมหลิงฮันด้วยตนเองเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับหลิงฮัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น