Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 507-516
ตอนที่ 507
“หลิงฮัน!” จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานมากมายคำรามด้วยความโกรธ หลิงฮันยังเยาว์วัยเกินไป ทำให้เป็นเรื่องยากที่พวกมันจะยอมเคารพเขาในฐานะนักปรุงยาระดับสวรรค์
หลิงฮันยิ้มและทำตัวราวกับไม่ได้ยินพวกมัน
อสูรศิลามีสีหน้ามืดมน เสาหินนั้นรสชาติไม่อร่อยแม้แต่นิดเดียว มันหันไปมองหลิงฮันและหวังว่าเจ้านายของมันจะอนุญาติให้มันเลิกแทะเสาหินเหล่านี้
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าอยากจะพบเยว่ฮงฉางข้าก็จะให้เจ้าพบนาง!” อ้าวเฟิงพูด มันเป็นทายาทของตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณ ดังนั้นคำพูดของมันจึงมีน้ำหนักมากกว่าจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานทั่วไป มันโบกมือเพื่อออกคำสั่งกับคนคนหนึ่ง
หลิงฮันขมวดคิ้ว สีหน้าของอ้าวเฟิงดูแล้วไม่ได้เกรี้ยวกราดอะไรนักแถมยังปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกด้วย หรือว่ามันจะรู้ความสัมพันธ์ของเขากับเยว่ฮงฉางแล้ว?
เรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างไรนักปรุงยาระดับสวรรค์ก็เป็นตัวตนที่ผู้คนในภูมิภาคเหนือไม่เคยพบเห็นมาก่อน แถมหลิงฮันยังสั่งให้พวกเขาปล่อยตัวนักโทษอย่างไร้เหตุผลอีก จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะสืบค้นข้อมูลเบื้องลึกของหลิงฮัน
หลิงฮันแสยะยิ้ม ที่เขาบุกมาที่นี่นั้นไม่ใช่เพราะอารมณ์ชั่ววูบ เขาเองก็มีไพ่ลับอยู่เช่นกัน!
ผ่านไปไม่นาน จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคนหนึ่งก็คุมตัวสตรีคนหนึ่งเดินเข้ามา สตรีนางนั้นดูมีอายุประมาณสี่สิบปี แม้สีหน้าของนางจะเศร้าหมองแต่ก็ไม่อาจปกปิดความงดงามของนางได้ หากมองดูให้ดี มีหลายส่วนที่ใบหน้าของนางดูคล้ายหลิงฮัน
นางคือเยว่ฮงฉาง!
หลิงฮันไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม ความสัมพันธ์ของสายเลือดทำให้เขามั่นใจว่านางต้องเป็นมารดาของเขาแน่นอน
“ปรมาจารย์หลิง ตอนนี้นางถูกพาตัวมาที่นี่แล้ว ท่านมีอะไรจะกล่าวรึไม่?” อ้าวเฟิงพูดอย่างไม่แยแสราวกับทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของมัน
หลิงฮันยืนตรงพาดมือไว้ด้านหลังและพูด “ปล่อยตัวนาง!”
“ศิษย์น้องฮงฉาง เจ้าไม่คิดว่ารุ่นเยาว์ผู้นี้ดูคุ้นตาบ้างรึ?” อ้าวเฟิงหันไปพูดเยว่ฮงฉางแทน
ตั้งแต่ตอนที่นางถูกพาตัวมา เยว่ฮงฉางก็จดจ้องไปยังหลิงฮันย่างไม่อาจละสายตา ร่างกายของนางสั่นเครือและไม่สนใจคำถามของอ่าวเฟิงแม้แต่น้อย นางจ้องมองหลิงฮันไม่วางตาราวกับว่าแม้จะมองเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ
“ปรมาจารย์หลิง ดูเหมือนว่าท่านจะมาจากแคว้นพิรุณแห่งดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวในเมืองเล็กๆที่ถูกปกครองโดยเมืองต้าหยวน บิดาของท่านมีชื่อว่าหลิงอะไรนะ?” สีหน้าของอ้าวเฟิงเปลี่ยนเป็นเย็นชาและถามหลิงฮันอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเยว่ฮงฉางก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยิ่งขึ้น แต่นางก็รีบพูดแทรกขึ้นอย่างไร้อารมณ์ “ข้าไม่รู้จักรุ่นเยาว์ผู้นั้น พาตัวข้ากลับ!”
“ศิษย์น้องฮงฉาง หลังจากแยกห่างกับบุตรมาถึงสิบแปดปี ทำไมเจ้าถึงได้ทำตัวเย็นชาเช่นนี้?” อ้าวเฟิงยิ้ม ในที่สุดมันก็พูดเรื่องนี้ออกไป
‘ฮึ่ม!’ เมื่อใดยินคำพูดของอ้าวเฟิง ผู้คนของนิกายจันทราเหมันต์ก็สั่นไหว ที่แท้มารดาของหลิงฮันก็เป็นหนึ่งในศิษย์ของนิจันทราเหมันต์นี่เอง! ยิ่งกว่านั้นสถานะของนางดูเหมือนจะไม่ธรรมดาอีกด้วย เพราะอย่างนี้เองหลิงฮันถึงได้ออกคำสั่งให้ปล่อยตัวนาง
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอันใด” เยว่ฮงฉางยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง
กลับกัน หลิงฮันเปิดเผยรอยยิ้มและพูดออกไป “ท่านแม่ ไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไปแล้ว วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อพาตัวท่านกลับไปพบกับท่านพ่อ!”
ทันใดนั้นทั่วทั้งนิกายจันทราเหมันต์ก็ตกอยู่ในความโกลาหล ก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่แน่ใจนัก แต่ตอนนี้หลิงฮันเป็นคนยืนยันด้วยตัวเองแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่านักปรุงยาระดับสวรรค์ที่สูงส่งจะมีความสัมพันธ์อันลึกซึ่งกับนิกายจันทราเหมันต์!
แต่ความสัมพันธ์ที่ว่าดูเหมือนจะไม่ใช่ในทางที่ดี
เมื่อหลิงฮันเรียกนางว่าท่านแม่ น้ำตาของเยว่ฮงฉางก็พรั่งพรูออกมา ที่นางปฏิเสธบุตรของนางเป็นเพราะนางไม่อยากให้นิกายจันทราเหมันต์ใช้ตัวนางเป็นตัวประกันในการบีบบังคับหลิงฮัน แต่นางไม่เคยนึกเลยว่าบุตรของนางจะเรียกนางว่ามารดาต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้!
“ฮ่าๆๆๆ!” อ้าวเฟิงหัวเราะอย่างชั่วร้าย มันไม่เคยนึกเลยว่ามดปลวกที่มันไว้ชีวิตเมื่อหลายปีก่อนจะกลับกลายมาเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์ได้ สถานะเช่นนี้อยู่เหนือกว่าผู้นำนิกายของมันเสียอีก
ตอนนี้เป็นเรื่องยากมากที่มันจะลงมือสังหารหลิงฮัน โดยเฉพาะหลิงฮันที่มีมรดกของสิบสองพระราชวังอยู่ในครอบครอง ซึ่งเป็นมรดกที่เกี่ยวข้องกับขุมทรัพย์ของพระเจ้า ถ้านิกายจันทราเหมันต์สังหารหลิงฮันและขโมยสมบัตินั่นมา ทั่วทั้งภูมิภาคเหนือจะต้องร่วมมือกันโจมตีนิกายจันทราเหมันต์โดยอ้างว่าเป็นการแก้แค้นให้กับนักปรุงยาระดับสวรรค์แน่นอน
แต่หากบีบบังคับให้หลิงฮันอาศัยอยู่ในนิกายจันทราเหมันต์นั้นมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ตราบใดที่หลิงฮันยินยอมที่จะพำนักอยู่ที่นี่ ใครกันจะสามารถเข้ามาก้าวก่ายได้? การบีบบังคับให้หลิงฮันอยู่ที่นี่นั้นไม่ใช่เรื่องยาก ตราบใดที่มีพวกมันยังมีเยว่ฮงฉาง
หากใช้ชีวิตของเยว่ฮงฉางเป็นตัวประกัน มันยังต้องกลัวว่าหลิงฮันจะไม่ยอมเชื่อฟังอีกรึ?
แต่ถึงอย่างไรอ้าวเฟิงก็มีท่าทีไม่มีความสุขแม้แต่นิดเดียว สตรีที่สมควรจะเป็นภรรยาของตนกลับคลอดบุตรให้กับชายอื่น เมื่อเห็นหน้าหลิงฮันทำให้มันรู้สึกเหมือนกับถูกหลอกลวง
ช่างโชคร้ายยิ่งนักที่การสังหารหลิงฮันไม่ใช่สิ่งที่มันสามารถตัดสินใจเองได้ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่ามันต่อต้านความประสงค์ของปีศาจเฒ่าระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งเก้าของนิกายจันทราเหมันต์
“ปรมาจารย์หลิง ในเมื่อท่านได้พบเจอกับมารดาแล้ว ในอนาคตต่อจากนี้ท่านจะต้องอาศัยอยู่ในนิกายแห่งนี้ ส่วนบิดาของท่านนั้น ข้าจะเชิญชวนเขามาที่นี่เพื่อให้ครอบครัวได้พบหน้ากันอีกครั้ง!” อ้าวเฟิงพูดอย่างเหี้ยมโหด คิดรึว่ามันเป็นคนใจดีถึงขนาดที่จะยอมพาชายที่แย่งภรรยาของมันไปให้มาอยู่ที่นี่เพื่อเกะกะสายตา?
ตัวประกันนั้นมีแค่คนเดียวก็พอแล้ว ส่วนคนที่เหลือก็แค่สังหารทิ้งให้หมด
“ปรมาจารย์หลิง ในเมื่อพวกเราแสดงความจริงใจขนาดนี้ ท่านจะไม่แสงความจริงใจกับพวกเราบ้างรึ?” อ้าวเฟิงพูดพร้อมกับแสยะยิ้ม “ได้ยินว่าท่านได้รับสมบัติมากมายจากสิบสองเขตแดนลี้ลับสวรรค์ ช่วยนำมันออกมาให้พวกเราได้เห็นหน่อยจะเป็นอะไรไป!”
หลิงฮันยิ้มอย่างเย็นชา “หูของเจ้ามีปัญหารึไง? ข้าบอกว่าวันนี้ข้าจะพาตัวนางกลับไป!”
“ถ้าปรมาจารย์หลิงต้องการกลับไปก็เชิญ!” จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานอีกคนหนึ่งพูด ชื่อของมันคือหลีเป้ยหยวน ตระกูลหลีของมันเองก็มีตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณอยู่เช่นกัน “แต่ไม่ว่าอย่างไรศิษย์น้องฮงฉางก็เป็นคนของนิกายจันทราเหมันต์ เพราะงั้นนางจะต้องอยู่ที่นี่”
หลิงฮันมองไปยังจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานนับสิบคนตรงหน้าเขาและพูด “แล้วถ้าหากข้าใช้กำลังพานางกลับไปล่ะ?”
“ฮ่าๆๆๆ!” ทุกคนหัวเราะลั่นในขณะที่อ้าวเฟิงพูดขึ้นมา “ปรมาจารย์หลิง ความสำเร็จในศาสตร์แห่งการปรุงยาของท่านนั้นไร้ผู้ใดเปรียบ แต่ท่านยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ และถึงแม้ท่านจะใช้เม็ดเพิ่มระดับพลังได้ถึงหนึ่งระดับใหญ่ แต่นิกายแห่งนี้ก็ไม่ได้มีเพียงจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน!”
ที่จริงตอนนี้หลิงฮันไม่สามารถใช้พรศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬได้แล้ว แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่กล่าวมันออกไป
“การสังหารเป็นสิ่งที่คนป่าเถื่อนเขาทำกัน” หลิงฮันพูดอย่างเหยียดหยาม เขากวาดมือขวาหนึ่งครั้งก่อนที่ซากศพร่างหนึ่งจะปรากฏขึ้นด้านหน้าประตูทางเข้านิกาย ‘ตูม’ กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวถูกปลดปล่อยออกมาจากซากศพนั่น
ตอนที่ 508
ทุกคนล้มลงพื้นอย่างอ่อนแรง อำนาจของซากศพพระเจ้านั้นทรงพลังเกินไป แถมสถานที่แห่งนี้ยังไม่ใช่วิหารศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถสกัดกั้นกลิ่นอายของมันได้ ภายในพริบตาแรงกดดันนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งภูเขาที่จนตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณต้องบินหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยหวาดกลัวที่จะอยู่ใกล้ซากศพนี้
หลิงฮันยิ้มและพูด “เห็นรึยัง? อย่างที่ข้ากล่าว ข้าไม่ลงมือสังหารใครเพราะมันเป็นวิธีชั้นต่ำ”
ถ้าหลิวอู๋ตงได้ยินคำพูดนี้ นางจะต้องหัวเราะเยาะเย้ยเป็นแน่ นั่นเพราะหลิงฮันชื่นชอบการสังหารเป็นที่สุด บ่อยครั้งที่เขาสามารถใช้สถานะในการแก้ไขปัญหาได้ แต่เขามักจะใช้กำปั้นในการแก้ปัญหาแทน
ตอนนี้ไม่มีใครพูดตอบโต้หลิงฮัน ภายใต้อำนาจกดขี่ของซากศพพระเจ้า จึงเป็นธรรมดาที่พวกมันจะอ้าปากไม่ไหว
หลิงฮันเดินไปยืนด้านข้างเยว่ฮงฉางและช่วยพยุงนางให้ลุกขึ้น “ท่านแม่ หลายปีที่ผ่านมาท่านต้องทุกข์ทรมานมากมายนัก!”
เยว่ฮงฉางไม่สามารถเปิดปากพูดได้ แต่ดวงตาที่กระพริบของนางนั้นมีหยดน้ำตาไหลลงมา
หลิงฮันพยุงตัวมารดาไปยังด้านข้างเพื่อนั่งลงพร้อมกับพูดเรื่องของๆของบิดาของเขา เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนของนิกายจันทราเหมันต์กลายเป็นไร้คำพูด นี่พวกมันยังนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่ตรงนี้นะ!
แต่นอกจากเหงื่อที่ไหลท่วมร่างแล้ว พวกมันก็ไม่สามารถทำอันใดได้
“ท่านแม่ ข้าจะส่งท่านหลบหนีไปก่อน!” หลิงฮันพยุงร่างของเยว่ฮงฉางไปยังด้านหลังหินขนาดใหญ่ เขาบอกกับนางว่าห้ามต่อต้านและส่งนางเข้าไปยังหอคอยทมิฬ
นิกายจันทราเหมันต์จะต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่นอน พวกมันมีตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณอยู่ทั้งเก้าคน แม้แต่ตอนนี้ทั้งเก้าคนก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้เขา แต่เมื่อใดที่หลิงฮันเก็บซากศพของพระเจ้ากลับไป พวกมันจะต้องบุกโจมตีเขาทันทีแน่นอน
หลิงฮันเดินกลับไปยืนอยู่ด้านหน้าอ้าวเฟิง
‘ปัก!’
หลิงฮันเหยียบย่ำไปที่ใบหน้าของมันจนกระแทกพื้นอย่างรุนแรง ทำให้อ้าวเฟิงร้องโอดครวญทุกข์ทรมาน มันไม่มีกายาหินผา หรือกายาเหล็กไหลเหมือนหลิงฮัน ร่างกายที่ไม่มีปราณก่อเกิดคอยคุ้มกันของมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนธรรมดามากนัก
“ข้าสมควรจะเอาชีวิตของเจ้าไปเสียแต่ตอนนี้ แต่ในฐานะบุตรชาย หน้าที่จบชีวิตของเจ้าจะต้องเป็นของบิดาข้า!” หลิงฮันเตะอ้าวเฟิงอย่างรุนแรงจนรากฐานวิญญาณของมันพิการ
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พลังบ่มเพาะของอ้าวเฟิงจะหยุดนิ่งอยู่ในระดับบุปผาผลิบานขั้นสาม ในขณะที่พลังบ่มเพาะของหลิงตงซิงจะสามารถไล่ตามทันได้ตลอดเวลา
…หากมันคิดจะซ่อมแซมรากฐานวิญญาณ? เป็นไปไม่ได้ เม็ดยาระดับที่สามารถฟื้นฟูรากฐานวิญญาณได้คือเม็ดยาระดับสวรรค์ขึ้นไป! แล้วตระกูลอ้าวจะไปหาเม็ดยาเช่นนั้นได้จากไหน? มันทำได้เพียงรอคอยความตายโดยไม่อาจเพิ่มอายุขัยได้มากกว่านี้เท่านั้น!
อ้าวเฟิงไม่อาจเปิดปากพูดได้ มันร้องโอดครวญอยู่ในลำคออย่างทุกข์ทรมาน
ในฐานะอัจฉริยะของนิกายจันทราเหมันต์ที่ไม่อาจก้าวหน้าได้อีก มันทั้งตกตะลึง เกรี้ยวกราด และหวาดกลัว ทันใดนั้นมันก็หมดสติไปทันที
ทำให้จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานหวดกลัวจนหมดสติไป บางทีหลิงฮันอาจจะเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย เขากวาดสายตาไปยังเฟิงหยางและเดินเข้าไปหา “ถึงแม้ข้าจะไม่เคยแยแสสนใจเจ้า แต่ไหนๆข้าก็มาแล้ว ข้าขอดูแลเจ้าสักหน่อยแล้วกัน”
เมื่อเห็นว่าแขนขาของเฟิงหยางสั่นเทิ้มราวกับพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง หลิงฮันก็คว้าตัวของมันและเดินออกไปให้ห่างจากซากศพของพระเจ้า
“หลิงฮัน เจ้ารังแกผู้อื่นโดยใช้วิธีขี้โกง เจ้ามีความยุติธรรมอยู่บ้างรึเปล่า!” เฟิงหยางคำราม
หลิงฮันตกตะลึงและพูดกลับไป “หูของข้ามีปัญหารึเปล่า? เจ้ากล้าพูดเรื่องความยุติธรรมออกมา? เมื่อตอนที่เจ้าอยู่แคว้นพิรุณ ไม่ใช่ว่าเจ้าก็ใช้อำนาจของม้วนคำสั่งของอาจารย์เจ้าพยายามสังหารข้าหรอกรึ?”
“ที่อาจารย์มอบม้วนคำสั่งให้ข้าก็เป็นเพราะความสามารถของข้า มันไม่นับว่าเป็นการเล่นขี้โกง!”
“เฟิงหยาง เจ้านี่ช่างตกต่ำจริงๆ!”
คำพูดของหลิงฮันทำให้ใบหน้าของเฟิงหยางเปลี่ยนเป็นสีแดง ในตอนนั้นมันเต็มไปด้วยความทะนงตัวและไม่สนใจตัวตนของจักรพรรดิพิรุณแม้แต่น้อย แต่สุดท้ายก็เป็นจักรพรรดิพิรุณที่ปลดปล่อยอำนาจอันทรงพลังออกมาขับไล่จอมยุทธที่นิกายจันทราเหมันต์ส่งไป
ถ้าตอนนั้นมันไม่ทำตัวโอหังเกินไป บางทีจักรพรรดิพิรุณคงไม่ยืนมือเข้าไปแทรกแซง
“หลิงฮัน เจ้ากล้าที่จะให้เวลาข้าสามปีรึไม่? เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะบรรลุระดับบุปผาผลิบานและจะขอท้าทายเจ้าอีกครั้ง!” เฟิงหยางพูดอย่างไม่เกรงกลัว มันมีสายเลือดของสัตว์อสูรโบราณ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของมันจึงเหนือกว่าจอมยุทธทั่วไป
“ช่างโง่งม!” หลิงฮันส่ายหัว “ทำไมข้าต้องรอเจ้าถึงสามปี?”
“เจ้า… เจ้าต้องการสังหารข้า? ที่แห่งนี้คือนิกายจันทราเหมันต์!” เฟิงหยางคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
“เจ้าประเมินตนเองสูงเกินไป ถ้าข้าสังหารเจ้าแล้วจะทำไม? ข้าขอสาบานเลยว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับตัวข้าเด็ดขาด!” หลิงฮันเอื้อมมือไปยังใบหน้าของเฟิงหยางและพูด “เจ้ามีอะไรจะสั่งเสียไหม? เห็นแก่ที่เจ้าเป็นคนจากแคว้นพิรุณเหมือนกัน ข้าจะสังหารเจ้าโดยให้มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด”
“เจ้าไม่อาจสังหารข้า! ข้าคือลูกศิษย์ของตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณ!” เฟิงหยานร้องโหยหวนออกมา “อาจารย์ ช่วยข้าด้วย! ช่วยข้าด้วย!”
“คร่ำครวญไปเถิด ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครช่วยเจ้าได้” หลิงฮันพูดดวยรอยยิ้ม
“ปรมาจารย์หลิง ช่วยเห็นแก่หน้าข้าและปล่อยศิษย์ตัวน้อยๆของข้าไปได้รึไม่?” ทันใดนั้นเอง เสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นจากสถานที่ที่ห่างไกล เงาอันครุมเครือของชายชราหนวดขาวผู้หนึ่งปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า
มันคือตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณของนิกายจันทราเหมันต์และเป็นอาจารย์ของเฟิงหยาง จือเฮอชุน
หลิงฮันพูดอย่างไม่แยแส “ทำไมเจ้าต้องเห็นแก่หน้าเจ้า เจ้าเป็นใคร?”
‘เจ้ากล้าพูดกับตัวตนระดับตัวอ่นอวิญญาณเช่นนั้นได้อย่างไร?’
ทุกคนชะงักไปในตอนแรก แต่เมื่อคิดดูให้ดี สิ่งที่หลิงฮันกล่าวก็นับว่าไม่แปลก!
ถ้าเป็นในภูมิภาคกลาง ตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณเรียกได้ว่ามีคุณสมบัติเป็นเพียงคนรับใช้ของนักปรุงยาระดับสวรรค์เท่านั้น
ใบหน้าของจือเฮอชุนกระตุก ท่าทางราวกับเทพเซียนของมันหายไปพร้อมกับชี้นิ้วมายังหลิงฮันและพูดข่มขู่ “เจ้าหนู ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องแม้แต่เส้นผมหนึ่งเส้นของลูกศิษย์ของข้า ชายชราผู้นี้จะถลกหนังเจ้าทั้งเป็น!”
“ข้าควรจะแสร้งทำเป็นหวาดกลัวหรือไม่?” หลิงฮันแสยะยิ้ม “โชคร้ายจริงๆ ถึงแม้เจ้าจะมีชีวิตอยู่มาเป็นเวลานาน แต่เจ้าก็ไม่สมควรที่จะได้รับความเคารพจากข้า รีบๆไสหัวไปซะ ถ้าเจ้าอยากจะช่วยลูกศิษย์ก็ลงมาแล้วข้าจะสังหารเจ้าไปพร้อมกันเลย สุนัขเฒ่า!”
จือเฮอชุนคำรามด้วยความโกรธ แต่ด้วยอำนาจกดขี่ของซากศพพระเจ้า มันจึงไม่กล้าขยับเข้าไปใกล้แม้แต่นิดเดียว ไม่เช่นนั้นมันก็จะต้องกลายเป็นเหมือนกับคนอื่นๆที่ได้รับแรงกดดันจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้
หลิงฮันยิ้มให้เฟิงหยางและพูด “ดูสิ แม้แต่อาจารย์ของเจ้าก็ไร้หนทางช่วย ทางที่ดีเจ้าควรจะยอมรับโชคชะตาของตนเองได้แล้ว!”
ตอนที่ 509
ไม่! ไม่!” เฟิงหยางตะโกน มันยังไม่อยากตาย มันยังไม่อาจตายตอนนี้ได้!
มันครอบครองสายเลือดสัตว์อสูรโบราณและมีโอกาสที่จะกลายเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติในอนาคต ยิ่งไปกว่านั้น มันยังไม่ได้แก้แค้นให้กับการตายของน้องชายและขาที่มันต้องสูญเสียไปเลย นี่มันกำลังจะตายด้วยน้ำมือของศัตรูของมันจริงๆงั้นรึ?
ไม่ยอมรับ มันไม่อาจยอมรับได้!
“เอาล่ะ มาจบความบาดหมางนี่กันเถอะ!” หลิงฮันกล่าว “ในตอนที่เจ้าฆ่าและทำร้ายผู้คนอย่างโจ่งแจ้ง เจ้าเคยแม้แต่จะคิดหรือไม่ว่าคนที่ถูกกลั่นแกล้งนั้นรู้สึกยังไง? ดังนั้น เจ้าจะต้องเผชิญสิ่งเดียวกันกับที่เจ้าเคยทำลงไป มันมักจะมีคนที่สามารถทำโทษเจ้าได้อยู่เสมอ!”
“และเจ้านั้นโชคร้ายมากที่ได้พบกับข้า!”
“จงเป็นคนดีในชีวิตหน้า…ยังไงก็ตาม สิ่งที่เจ้าทำลงไปในชีวิตนี้ เจ้ายังอยากเป็นมนุษย์อีกงั้นหรือ? เจ้าควรจะเกิดเป็นหมูเสียดีกว่าและชดใช้บาปของเจ้า!”
หลิงฮันกระทืบเท้าอย่างรุนแรง หัวทั้งหัวของเฟิงหยางจมลงไปในกองโคลนทันที แขนขาของมันชักกระตุกอย่างชั่วครู่ ก่อนที่จะแน่นิ่งไป
เห็นได้ชัดว่าเฟิงหยางตายแล้ว
“หลิงฮัน! หลิงฮัน! หลิงฮัน!” จือเฮอชุนคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวอยู่บนท้องฟ้า มันรู้สึกโกรธหลิงฮันสุดขีด
“เข้ามาถ้าเจ้ามีความกล้ามากพอ นายท่านผู้นี้ยินดีที่จะต่อสู้กับเจ้าสามร้อยรอบ!” หลิงฮันท้าทาย
จือเฮอชุนไม่กล้าที่จะยอมรับคำท้า หากเข้าไปหาหลิงฮันมีแต่มันจะได้รับแรงกดดันจากซากศพพระเจ้าเท่านั้น
หลิงฮันหัวเราะออกมาเสียงดังและพูดว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมเข้ามา ข้าคงต้องขอตัว! นอกจากนี้พวกเจ้าควรขบคิดให้ดี ถ้าพวกเจ้าต้องการไล่ล่านายท่านผู้นี้ บางทีมันอาจทำให้ชีวิตของพวกเจ้าต้องจบสิ้น”
หลิงฮันเดินออกไปและโบกมือ แล้วเก็บซากศพระเจ้าเข้าไปในหอคอยทมิฬ แต่แรงกดดันที่หนักหน่วงก็พุ่งเข้ามาหาเขาทันทีจนเกือบทำให้เขากระอักเลือดออกมา
….เขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระภายใต้แรงกดดันของตัวตนระดับพระเจ้า แต่การสัมผัสซากศพของพระเจ้านั้นยังคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลิงฮันพยายามต่อต้านมันด้วยความยากลำบากและไม่แสดงให้ใครเห็นถึงมัน
“ถ้าพวกเจ้าต้องการไล่ล่านายท่านผู้นี้ก็จงมา!” หลิงฮันจ้องมองไปที่อ้าวเฟิงอีกครั้ง ตอนนี้มันรู้สึกตัวแล้ว “เจ้ายังตายไม่ได้ ชีวิตของเจ้านั้นท่านพ่อของข้าจะเป็นคนตัดสิน มิฉะนั้น ท่านพ่อของยังคงมีความรู้สึกเสียใจหลงเหลืออยู่”
เฟิงอ้าวอยากจะชูนิ้วกลางใส่หลิงฮัน แต่เม็ดเหงื่อที่หนาวเย็นนั้นปกคลุมไปทั่วร่างกายของมัน มันไร้เรี่ยวแรงอย่างสมบูรณ์ มิฉะนั้นมันคงจะชูนิ้วกลางใส่หลิงฮันไปแล้ว
หลิงฮันรีบลงมาจากภูเขาอย่างรวดเร็ว บนท้องฟ้า สัมผัสสวรรค์ของคนเก้าคนจ้องมองมาที่เขาอยู่ตลอดเวลา แปดคนเต็มไปด้วยจิตสังหาร ขณะที่อีกคนแสดงให้เห็นถึงความเป็นมิตร
นั่นจะต้องเป็นผู้อาวุโสของตระกูลเย่วอย่างแน่นอน!
ในความเป็นจริง ยิ่งเขาทำตัวอุกอาจมากเท่าไหร่ ผู้อาวุโสตระกูลเย่วก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น เขาเป็นทายาทของตระกูลแม้จะไม่ใช่แซ่เย่วก็ตาม
อย่างไรก็ตาม จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณอีกแปดคนนั้นไม่คิดที่จะลงมือโจมตี มันอาจเป็นเพราะซากศพตัวตนระดับพระเจ้า บางทีพวกมันกำลังรอให้หลิงฮันลดการป้องกันลงและค่อยจู่โจมทีเผลอเพื่อสังหารเขา
ยิ่งไปกว่านั้น มันจะต้องเป็นปัญหาอย่างมากแน่นอนถ้านักปรุงยาระดับสวรรค์ตกตายอยู่ภายในนิกายจันทราเหมันตร์ ดังนั้นพวกมันจึงทำได้แค่รอให้หลิงฮันไปไกลก่อนแล้วค่อยลงมือ
“หลิงฮัน! หลิงฮัน!” เย่วไค่หยู่รีบพุ่งเข้ามาหา หลังจากที่ออกจากเขตแดนลี้ลับ เขาตรงกลับไปที่นิกายจันทราเหมันตร์ทันที ดังนั้นเขาจึงมาถึงที่นี่รวดเร็วกว่าหลิงฮันหลายวัน
“พี่ชายเย่วนี่เอง!” หลิงฮันหัวเราะ
“นายน้อยฮัน…อึก!” เย่วไค่หยู่รีบมุ่งหน้าเข้ามาหาและคว้าไปที่คอเสื้อของหลิงฮัน “เจ้าคนสารเลว เจ้ารู้อยู่แก่ใจว่าข้าคือลูกพี่ลูกน้องของเจ้า แต่เจ้ายังบอกให้ข้าเรียกเจ้าว่านายน้อยฮัน นายน้อยฮัน! ข้าจะปล่อยให้ท่านป้าเป็นคนตัดสินว่าใครถูกใครผิด!”
หลิงฮันหัวเราะลั่นและพูดว่า “เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าพวกเรานั้นเคยเดิมพันกันและเจ้าเป็นฝ่ายแพ้?”
“เมื่อไหร่กันที่ข้าไปเดิมพันกับเจ้า?” เย่วไค่หยู่นึกไม่ออก
หลิงฮันโยนเหรียญตราแสดงตัวตนให้เย่วไค่หยู่ได้เห็น
“ฮันหลิง!” เย่วไค่หยู่รับเหรียญตรานั้นไว้และในที่สุดก็รู้ว่าฮันหลิงแท้จริงแล้วคือหลิงฮัน! ในตอนที่พวกเขาเข้าไปในที่ซ่อนของต้วนเซิงจื้อ หลิงฮันได้เดิมพันกับเขาว่าเขาจะสามารถสังหารทหารซากศพทั้งหมดได้ทันเวลาหรือไม่ และเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นฝ่ายแพ้การเดิมพันกับหลิงฮัน
เจ้าหมอนี่คาดการณ์ไว้แล้ว!
“เจ้ามันเป็นคนเจ้าเล่ห์เกินไป!” เย่วไค่หยู่พูดติเตียน ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไม “ฮันหลิง” ถึงมอบโอสถฟื้นคืนวิญญาณให้กับเขาเป็นของขวัญ หลังจากที่คำตอบทั้งหมดถูกเปิดเผยออกมาหมดแล้ว ทำให้เขารู้สึกอับอายมากจึงติเตียนหลิงฮัน
มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่เขายอมรับของขวัญพวกนั้น
หลิงฮันหัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ข้าจะมาหาเจ้าอีกในอนาคต สำหรับตอนนี้ เจ้าควรกลับไปได้แล้ว ข้าเกรงว่าพวกตาเฒ่าจะโจมตีทีเผลอและลากเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
“เจ้ารับมือกับพวกเขาได้งั้นรึ?” เย่วไค่หยู่พูดออกมาอย่างจริงจัง
“ไม่มีปัญหา” หลิงฮันพูดออกมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เย่วไค่หยู่พยักหน้า เขาเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิงฮันมาแล้วในสิบสองเขตแดนลี้ลับสวรรค์และมั่นใจในตัวหลิงฮันมาก หากหลิงฮันพูดว่าไม่มีปัญหา มันจะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ อย่างลืมมาเยี่ยมข้าพร้อมกับท่านป้าของข้าและท่านลุงด้วยล่ะ!” เย่วไค่หยู่พูดเตือนอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ทำไมเจ้าพูดย่ำตลอดเหมือนคนแก่เลย” หลิงฮันสะบัดมือเพื่อไล่เขขาไป
“เจ้านั่นแหละคนแก่!” เย่วไค่หยู่พูดสวน เขาหันหลังจากไปพร้อมกับโบกมือให้หลิงฮัน
หลิงฮันเองก็โบกมือเช่นเดียวกัน แล้วหันหลังกลับจากไปอย่างเร่งรีบ
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เขาก็อยู่ห่างไกลจากนิกายจันทราเหมันตร์พอสมควร บางทีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแปดคนที่ตามเขาอยู่เบื้องหลังอาจลงมือโจมตีในไม่ช้า
หลิงฮันยิ้มและกระโดดลงไปแม่น้ำ จุ่ม น้ำกระจายไปทั่ว แต่เขากลับไม่ลอยขึ้นมา และเข้าไปในหอคอยทมิฬแทน
พรึบ พรึบ พรึบ คนเก้าคนปรากฏอยู่บนฟากฟ้า แต่ละคนแสดงสีหน้าตกใจออกมาเพราะพวกเขาไม่อาจสัมผัสได้ถึงตัวตนของหลิงฮันได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ชายชราคนหนึ่งได้เปิดเผยรอยยิ้มแห่งความสุขออกมาในความตกใจของเขา
เห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้อาวุโสแห่งตระกูลเย่ว
“มันหายตัวไปได้ยังไงกัน?” จือเฮอชุนตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“เจ้าเด็กนั่นจะต้องใช้วิธีการพิเศษบางอย่างที่สามารถปกปิดตัวตนและลบร่องรอยของตัวเองได้” ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวคาดเดา สายตาของเขาดูน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ลูกหลานของมัน อ้าวเฟิงคือคนที่จะมีโอกาสก้าวเข้าสู่ระดับตัวอ่อนวิญญาณแต่รากฐานวิญญาณของมันกลับถูกทำลาย!
“แยกกันไปค้นหา!”
ทั้งเก้าคนกระจายตัวออกไปทันที ผู้อาวุโสตระกูลเย่วเห็นได้ชัดว่ามีแผนอย่างอื่นอยู่ในใจ ถ้าเขาพบหลิงฮัน ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ทำอะไรหลิงฮันเท่านั้น แต่ยังคิดที่วิธีที่จะพาเขาหนีไปด้วย
อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่อาจรู้ได้ว่าหอคอยทมิฬนั้นกลายเป็นจุดสีดำที่ไหลไปตามแม่น้ำไปไกลแล้ว แม่น้ำสายนี้จะกลับสู่ท้องทะเล ซึ่งเป็นทางออกของดินแดนทางตอนเหนืออันโดดเดี่ยว
หลิงฮันไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาเข้าไปในหอคอยทมิฦและอยู่กับแม่ของเขา
“ลูกแม่!” หลังจากที่เห็นหลิงฮัน เย่วฮงฉางที่หยุดร้องไห้ออกมาได้แล้วนั้นก็ร้องไห้ออกมาทันทีอีกครั้งพร้อมทั้งสวมกอดหลิงฮันและไม่อยากปล่อย นางรอคอยมาเป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว และคิดว่าคงไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตใหม่ แต่สวรรค์นั้นไม่ได้ทอดทิ้งนาง ในที่สุดนางก็ได้เห็นหน้าลูกชายของตัวเองอีกครั้ง
หลิงฮันเองก็รู้สึกดีใจเช่นเดียวกัน ในที่สุดเขาก็มีพ่อและแม่เสียทีในชีวิตนี้
ตอนที่ 510
ภายในหอคอยทมิฬ หลิงฮันมองเห็นชายชราผิวคล้ำร่างผอมปรากฏตัว แม้ชายชราจะดูธรรมดาทั่วไป แต่กลิ่นอายที่มันปลดปล่อยออกมานั้นน่าสะพรึงกลัวจนสามารถทำให้ผู้คนขวัญผวาได้เลย
มันคือตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ที่ทำให้หลิงฮันประหลาดใจก็คือกลิ่นอายของชายชราผู้นี้นั้นอบอวลไปด้วยความตาย
ปราณซากศพ!
ชายชราผู้นี้มาจากนิกายพันศพ!
หลังจากนิ่งเฉยมานาน ในที่นิกายพันศพก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ไม่ใช่เพียงชายชราร่างผอมแค่คนเดียว ผ่านไปสักพักชายชราร่างอ้วนเตี้ยก็ปรากฏตัวตามมา
“โจมตีไม่โดน” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกล่าว
“อุปกรณ์มิตินั่นช่างไม่ธรรมดาจริงๆ มันสามารถป้องกันได้แม้แต่การโจมตีของเจ้า” ชายชราอ้วนเตี้ยกล่าว
“เป็นสมบัติที่ล้ำค่าอย่างแท้จริง!” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกล่าว “ถ้านิกายของเราได้มันมาครอบครอง พวกเราจะยังต้องกลัวผู้ใดอีก?”
“ฮ่าๆๆ ใช่แล้ว!” ชายชราร่างอ้วนถูมือไปมาพร้อมกับหัวเราะลั่น
แต่ปัญหาก็คือพวกมันจะนำสมบัตินั่นมาได้อย่างไร? พวกมันไม่รู้แม้แต่ตำแหน่งที่หลิงฮันอยู่ เพราะงั้นจึงไม่อาจสังหารเพื่อแย่งชิงมันมาได้
“เจี่ยวหยิน เจ้าเคยปะทะกับเจ้าหนูนั่นมาแล้ว มันมีจุดอ่อนใดให้เราใช้ประโยชน์ได้บ้าง?” ชายชราร่างอ้วนถาม
เจี่ยวหยินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคารพ “อาวุโสเทียนเฉื่อ พรสวรรค์ในวิถีวรยุทธของเจ้าหนูนั่นน่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก แถมสัมผํสสวรรค์ก็ยังเฉียบแหลมอีกด้วย ข้าเคยพยายามลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว”
“ฮึ่ม อาณาเขตแห่งนี้คือภูมิภาคเหนือที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณคือราชัน ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าข้าจะจัดการกับเจ้าหนูนั่นไม่ได้!” อาวุโสเทียนเฉื่อพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“คุ้มกันที่นี่เอาไว้ เมื่อเจ้าหนูนั่นปรากฏตัวอีกครั้ง จงคร่าชีวิตของมันซะ!” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกล่าว
“อะไรกัน?!” ร่างของพวกมันชะงักพร้อมกันในขณะที่สายตาจ้องมองไปยังบริเวณช่องว่างของหุบเขา พวกมันเห็นชายชราแปดคนกำลังย่างเท้าเข้ามาใกล้อย่างเชื่องช้าก่อนที่จะปรากฏอยู่ที่ด้านหน้าพวกมัน
“ที่แท้ก็เป็นสหายพี่น้องจากนิกายจันทราเหมันต์นี่เอง” อาวุโสเทียนเฉื่อประสานมือทักทาย
“เหอะ เจ้าเรียกใครว่าพี่น้อง?” จือเฮอชุนพูดอย่างเย็นชา
“ในเมื่อเห็นพวกเราแล้ว พวกเจ้ายังไม่ไสหัวไปอีก?”
“ไสหัวไป?” อาวุโสเทียนเฉื่อแสยะยิ้ม “จือเฮอชุน เจ้ารู้รึไม่ว่านิกายของพวกข้าแข็งแกร่งขนาดไหน? ผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายพันศพคือตัวตนระดับทลายมิติอันเกรียงไกร! ผู้อาวุโสรองทั้งเจ็ดที่คอยคุ้มกันนิกายคือระดับสวรรค์ทุกคน! ผู้คุมกฎระดับก้าวสู่เทวามีสามสิบสามคนในขณะที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณเช่นพวกเรานั้นมีเป็นร้อย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จือเฮอชุนและอีกเจ็ดคนก็สูดหายใจลึก
ขุมกำลังนี้แข็งแกร่งเกินไป ขนาดตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณยังมีนับร้อย หากนับทั่วทั้งภูมิภาคเหนือ ระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งหมดจะมีจำนวนใกล้เคียงนิกายพันศพรึเปล่า?
“แล้วอย่างไร?” ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวกรอกตา “ราชันของภูมิภาคเหนือคือระดับตัวอ่อนวิญญาณ เหล่าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณขึ้นไปที่ข้ามผ่านกำแพงของภูมิภาคมาจะต้องถูกผนึกพลังบ่มเพาะหรืออาจจะกระทั่งพลังชีวิต ดังนั้นสถานที่ตั้งของนิกายพันศพสมควรจะตั้งอยู่ที่ภูมิภาคกลาง ถ้าเช่นนั้นทำไมเจ้าไม่ขอให้ตัวตนระดับก้าวสู่เทวามาปรากฏตัวที่นี่ล่ะ?”
“นิกายของเราจะรวมผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันในไม่ช้านี้ เมื่อเวลานั้นมาถึง หากพวกเจ้าไม่อยากกลายเป็นทหารซากศพ พวกเจ้าก็ต้องร้องขอความเมตตาจากพวกข้า!” อาวุโสเทียนเฉื่อพูดอย่างทะนงตน “เพียงแค่กำแพงแห่งภูมิภาค คิดรึว่าตัวตนระดับสูงของนิกายเราจะทำลายมันไม่ได้?”
จือเฮอชุนและอีกเจ็ดคนตกตะลึง กำแพงแห่งภูมิภาคคืออะไร? มันคือกำแพงที่สร้างขึ้นโดยจอมยุทธระดับทลายมิติ และถ้าเป็นเช่นนั้น มันจะสามารถต้านทานการโจมตีของจอมยุทธระดับทลายมิติเหมือนกันได้รึ?
“ใครที่เชื่อฟังเราจะรุ่งโรจน์ และใครที่ต่อต้านเราจะแตกดับ!” ชายชราร่างผอมผิวคล้ำกับอาวุโสเทียนเฉื่อพูดออกมาพร้อมกัน
“บดซับ!” ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวคำรามด้วยความโกรธ “ความชั่วร้ายไม่มีทางชนะความดี ถ้าผู้นำนิกายของเจ้ากล้าลงมือผลีผลาม คิดรึว่านิกายดาบสวรรค์และนิกายนกอมตะเมฆาจะไม่แทรกแซงหยุดยั้งพวกเจ้า? เลิกพูดเรื่องไร้สาระและไสหัวไปได้แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องตาย!”
อาวุโสเทียนเฉื่อและชายชราร่างผอมผิวคล้ำเค้นเสียงดูถูก ‘ฟิ้ววว’ เมื่อพวกมันผิวปากด้วยเสียงแสบแก้วหู โลงศพทั้งสี่ก็ลอยใกล้เข้าใกล้มาจากตำแหน่งที่ห่างไกลพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความตายที่อบอวลไปทั่วบริเวณ
ชายชราสองคนนี้วางแผนจะซุ่มสังหารหลิงฮัน ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกมันจึงไม่สามารถนำทหารซากศพไว้ใกล้ตัวได้
‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ ทหารซากศพสี่ตัวกระโจนออกมาจากโลงศพ ใบหน้าของพวกมันหน้าสยดสยองเป็นอย่างมาก แต่ชั้นผิวหนังบนร่างของพวกมันถูกปกคลุมด้วยแสงสีทองราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์
ทหารซากศพระดับทองคำขั้นหนึ่ง พลังของพวกมันเทียบได้กับจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ
“แล้วแบบนี้ล่ะจะว่าอย่างไร?” อาวุโสเทียนเฉื่อพูดเยาะเย้ย
จือเฮอชุนและผู้อาวุโสอีกเจ็ดคนขมวดคิ้ว แปดปะทะหก พวกมันยังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ แต่ปัญหาก็คือถึงแม้พวกมันจะสามารถเอาชนะได้ แต่ค่าเสียหายที่ต้องจ่ายก็ต้องมหาศาลแน่นอน
“เหอะ เป้าหมายของทุกคนคือเจ้าหนูนั่น ทำไมไม่รอให้มันปรากฏตัวและค่อยสังหารมันด้วยกันล่ะ เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราทุกคนจะสามารถขโมยสมบัติของมันมาได้!” จือเฮอชุนกล่าว
“งั้นก็ตามนั้น!” ชายชราระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งสองของนิกายพันศพเองก็ไม่ได้ต้องการเปิดศึกตั้งแต่แรกแล้ว เพราะอย่างไรพวกมันก็เสียเปรียบในเรื่องของจำนวนคน
เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ พวกมันก็ล้มเลิกความเป็นปรปักษ์กันชั่วคราวและรอคอยให้หลิงฮันปรากฏตัว
ภายในหอคอยทมิฬ หลิงฮันฮันถอนหายใจ ด้วยการโจมตีเมื่อสักครู่ทำให้หอคอยทมิฬที่มีขนาดทำเม็ดฝุ่นปลิวลอยตามสายลมไปยังบริเวณที่ห่างไกล ไม่เช่นนั้นถ้าหากเขานำซากศพของพระเจ้าออกมา เขาจะต้องกำราบตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งสิบคนนั่นได้อย่างแน่นอน
แต่แรงกดดันนั่นจะมีผลกับทหารซากศพรึ?
หลิงฮันไม่รู้ในเรื่องนี้ เพราะอย่างไรทหารซากศพก็เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าหุ่นเชิด ไม่เคยมีใครกล่าวมาก่อนว่าพวกมันสามารถถูกกดดันด้วยกลิ่นอายใดๆ
แล้วเขาจะทำอย่างไรดี? รอให้พวกมันหมดความอดทนแล้วจากไป?
หลิงฮันส่ายหัวทันที หากเป็นเช่นนั้นอสูรเฒ่าเหล่านั้นจะต้องออกตามหาหลิงตงซิงเป็นแน่
เขาตัดสินใจที่จะทำการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้และจัดการอสูรเฒ่าบัดซบเหล่านั้นด้วยพรศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬ
หลิงฮันตั้งมั่น เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านทุกอย่างทิ้งและเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะพลัง ในตอนแรกเขามีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าช่วงกลางอยู่แล้ว หลังจากบ่มเพาะพลังได้สิบวัน พลังบ่มเพาะของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าช่วงปลาย
ภายในตันเถียนของเขาปรากฏห้วงมหาสมุทรวิญญาณอันกว้างใหญ่โดยมีแก่นแท้จิตวิญญาณสองลูกอันทรงอำนาจลอยอยู่เหนือมหาสมุทร
“จะดีกว่านี้ถ้าใช้เวลาอีกไม่กี่เดือนในการควบแน่นพลังบ่มเพาะให้ถึงจุดสมบูรณ์ก่อนที่จะทะลวงผ่าน แต่ว่าตอนนี้ข้าไม่มีเวลาขนาดนั้น ข้าต้องรีบเริ่มทะลวงกำแพงของระดับบุปผาผลิบานเดี๋ยวนี้เลย!” หลิงฮันกล่าว
‘แกรก แกรก แกรก แกรก’ กระดูกภายในร่างของเขาเริ่มปริแตก ราวกับห่วงโซ่แห่งเต๋าที่เหนี่ยวรั้งวัฏจักรมนุษย์กำลังพังทลาย หลิวอู๋ตงและคนอื่นนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆหลิงฮัน ทำให้พวกเขาได้รับผลประโยชร์อย่างมาก
ตอนที่ 512
การก้าวผ่านจากระดับแก่นแท้จิตวิญญาณไปยังระดับบุปผาผลิบานคือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ภายในแก่นแท้จิตวิญญาณของจอมยุทธจะปรากฏบุปผาศักดิ์สิทธิ์ที่เบ่งบานซึ่งนั่นคือสิ่งที่ทำให้ร่างกายก้าวข้ามห่วงโซ่มนุษย์
ทำไมระดับบุปผาผลิบานถึงสามารถควบคุมพลังวิญญาณของสวรรค์และปฐพีเพื่อเพิ่มพลังให้การโจมตีได้? นั่นเพราะพวกเขามี ‘บุปผาศักดิ์สิทธิ์’ ที่สามารถชักนำพลังวิญญาณของสวรรค์และปฐพี
แต่จอมยุทธจะสามารถสร้าง ‘บุปผาศักดิ์สิทธิ์’ ขึ้นมาได้อย่างไร?
พวกเขาต้องหว่านเมล็ดบุปผาศักดิ์สิทธิ์ลงบนแก่นแท้จิตวิญญาณในตันเถียนและรอให้มันเติบโตกลายเป็นบุปผาศักดิ์สิทธิ์ หลังจากสำเร็จขั้นตอนนี้แล้วเท่านั้นถึงจะเรียกได้ว่าเป็นระดับบุปผาผลิบานที่แท้จริง
แต่ขั้นตอนแรกนนั้นไม่ใช่เพียงแค่หว่านเมล็ด แต่ต้องเลือกชนิดของเมล็ดที่จะหว่าน
‘เมื่อหว่านเมล็ดแล้ว บุปผาศักดิ์สิทธิ์ของข้าก็จะเบ่งบานและพลังบ่มเพาะของข้าก็จะทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน ในชีวิตที่แล้ว ข้าหว่านเมล็ดธาตุไฟ เมื่อเมล็ดบุปผาศักดิ์สิทธิ์ของข้าเบ่งบาน มันทำให้ข้าชักนำพลังวิญญาณธาตุไฟของสวรรค์และปฐพีได้’
‘แต่มีคำกล่าวว่าจอมยุทธหนึ่งคนสามารถหว่านเมล็ดได้ถึงสามเมล็ด และสามบุปผาศักดิ์สิทธิ์ที่เบ่งบานแล้วจะถูกเรียกว่าราชาบุปผาศักดิ์สิทธิ์’
‘ข้าครอบครองรากฐานวิญญาณห้าธาตุ ทำไมถึงไม่ลองหว่านเมล็ดทั้งห้าชนิดดูเลยล่ะ?’
‘เมล็ดบุปผาศักดิ์สิทธิ์สามารถหว่านได้ตอนที่บรรลุระดับแก่นแท้จิตวิญญาณช่วงสูงสุดเท่านั้น ดังนั้นข้าต้องรีบตัดสินใจให้ดี’
‘…ไม่ต้องคิดมาแล้ว ข้าจะเดินไปยังวิถีไร้พ่าย ดังนั้นข้าจะหว่านเมล็ดทั้งห้าชนิด!’
สีหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยวและเริ่มรีดเค้นธาตุทั้งห้าจากดอกบัวหายนะห้าธาตุผสาน ด้วยเมล็ดที่เกิดจากรากฐานห้าธาตุนี้ บุปผาศักดิ์สิทธิ์ที่เบ่งบานแล้วก็จะมีห้าธาตุเช่นกัน
เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะสามารถชักนำธาตุทั้งห้าของสวรรค์และปฐพีมาผสานการโจมตีได้ ซึ่งพลังทำลายล้างของมันจะต้องฝืนสวรรค์อย่างแน่นอน
หลิงฮันเริ่มลงมือหว่านเมล็ดทั้งห้าธาตุ แต่เมล็ดทั้งห้าธาตุนั้นไม่อาจแยกออกจากกันในขณะที่เขามีแก่นแท้จิตวิญญาณสองดวง เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะตัดสินใจหว่านเมล็ดทั้งห้าธาตุลงไปยังแก่นแท้จิตวิญญาณดวงล่าง สำหรับอีกดวงหนึ่งนั้น… คงต้องเอาไว้คิดว่าจะทำอย่างไรกับมันทีหลัง
หลังจากฝังเมล็ดทั้งห้าธาตุลงไปยังแก่นแท้จิตวิญญาณแล้ว สิ่งที่จำเป็นต้องใช้เพื่อทำให้เมล็ดเติบโตคือพลังงานอันมหาศาลและความเข้าใจในศาสตร์แห่งวรยุทธ ทั้งสองสิ่งนี้เปรียบได้กับ ‘ปุ๋ย’ ที่ใช้เพาะเลี้ยงเมล็ดธาตุซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดได้
หลิงฮันนำสมุนไพรและหยดวิญญาณออกมาเคี้ยวกินเพื่อใช้เป็นพลังงาน ส่วนความเข้าใจในศาสตร์แห่งวรยุทธนั้นเข้าไม่คาดเหลืออยู่แล้ว แม้ครั้งนี้จะเป็นการเพาะเลี้ยงเมล็ดธาตุถึงห้าธาตุ แต่จิตใจของเขาก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ความเข้าใจในศาสตร์แห่งวรยุทธที่เขามีสามารถช่วยเหลือเขาได้ไปจนถึงระดับสวรรค์
ความเร็วในการเติบโตของเมล็ดธาตุนั้นไม่แน่นอน… มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่ามี ‘ปุ๋ย’ ที่มากพอรึเปล่า บางทีก็อาจจะเติบโตเต็มที่ได้ภายในระยะเวลาสองวัน แต่ถ้ามีปุ๋ยไม่เพียงพอก็อาจจะใช้เวลาหลายปี หลายสิบปี หรืออาจจะร้อยปีเลยก็ได้
…เกินกว่าร้อยปีนั้นคงไม่มีวันเกิดขึ้น เพราะอายุขัยที่มากกว่าร้อยปีนั้นมีเพียงจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขึ้นไปเท่านั้น
ในขณะที่เมล็ดธาตุกำลังเติบโต พวกมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายอักขระที่ส่องสว่างเจิดจ้า
ด้วยความเข้าใจในศาสตร์แห่งวรยุทธของหลิงฮันทำให้เม็ดธาตุเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยความพยายามเพียงหนึ่งวันเมล็ดธาตุก็เติบโตกลายเป็นลำต้นที่มีดอกไม้ตูมอยู่ด้านบนซึ่งดอกนั้นใกล้จะเบ่งบานกลายเป็นบุปผาศักดิ์สิทธิ์แล้ว
เมื่อใดที่บุปผาศักดิ์สิทธิ์บานออก หลิงฮันก็จะกลายเป็นระดับบุปผาผลิบานที่แท้จริง โดยที่ตอนนี้เขานับว่าเป็นเพียงระดับบุปผาผลิบานครึ่งก้าวเท่านั้น
หลิงฮันนั่งขัดสมาธิ นี่คือขั้นตอนที่ยุ่งยากที่สุดและจำเป็นต้องใช้พลังงานมหาศาล
กิน! กิน!
หลิงฮันยัดสมุนไพรเข้าปากอย่างมูมมามราวกับจะไม่มีวันพรุ่งนี้ เต๋าแห่งเพลิงในร่างของเขาเผาผลาญสมุนไพรให้เปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างบ้าคลั่ง
‘บัดซบ ทำไมพลังงานมากขนาดนี้ยังไม่พออีก?’ หลิงฮันสาปแช่งในใจ เมื่อตอนที่เขาทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานในชีวิตที่แล้ว เขาใช้พลังงานเพียงหนึ่งในร้อยส่วนของครั้งนี้เท่านั้น
ทางเลือกเดียวในตอนนี้คือกินอย่างต่อเนื่อง!
หลิงฮันกลายเป็นตัวตะกละเหมือนกับฮูหนิว หลิวอู๋ตงและคนอื่นๆมองมายังเขาด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง เจ้ากำลังทะลวงผ่านระดับหรือกำลังแปลงร่างเป็นอสูรที่หิวโหย? แม้แต่ฮูหนิวก็ยังแสดงอาการตกตะลึงและพูดพึมพำ “ดูเหมือนจะกินเยอะกว่าหนิวอีก สมกับเป็นหลิงฮันของหนิว!”
เขากินอย่างตะกละตะกลามเป็นเวลาสองวันสองคืนจนในที่สุดหลุมลึกอั้นไร้ก้นบึ้งของเขาก็รู้สึกอิ่ม ดอกไม้ห้าดอกเรียงตามธาตุสั่นไหวเล็กน้อยราวกับมันจะเบ่งบานได้ตลอดเวลา
บุปผาศักดิ์สิทธิ์กำลังเบ่งบานอย่างช้าๆ!
‘ปัง ปัง ปัง’ เสียงแห่งเต๋าก้องกังวานไปทั่วหอคอยทมิฬพร้อมกับหลิวอู๋ตงและคนอื่นๆที่เข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง
การสังเกตการณ์ใครบางคนทะลวงระดับ โดยเฉพาะระดับบุปผาผลิบานแล้วนับว่าเป็นผลประโยชน์ครั้งใหญ่
แต่แน่นอนว่าคนที่ร่างกายกำลังเกิดการเปลี่ยนมากที่สุดคือหลิงฮัน บนแก่นแท้จิตวิญญาณดวงล่าง บุปผาศักดิ์สิทธิ์ห้าธาตุกำลังเบ่งบานทีละดอก
ดอกสีครามคือตัวแทนของธาตุไม้ ดอกสีแดงคือตัวแทนของธาตุไฟ ดอกสีขาวคือตัวแทนของธาตุทอง ดอกสีดำคือตัวแทนของธาตุน้ำ และดอกสีทองคือตัวแทนของธาตุดิน
ดอกไม้ทั้งห้าธาตุเบ่งบานออกมาพร้อมกันทั้งหมด
ระดับบุปผาผลิบานที่แท้จริง!
ตอนที่ 513
บุปผาศักดิสิทธิ์ห้าดอกเบ่งบาน พวกมันสั่นไหวไปมาเล็กน้อยแม้ที่นี่จะไม่มีลม แสดงให้เห็นถึงตัวตนที่อยู่เหนืออกว่ามนุษย์
หลิงฮันลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน ในที่สุดเขาก็กลับไปอยู่ที่ระดับบุปผาผลิบาน ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ในบางมุมมอง นี่เป็นก้าวแรกที่จะทำให้เขากลับไปอยู่ที่จุดสูงสุดอีกครั้ง
“นายน้อยฮัน!” ทุกคนพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นและเดินเข้ามาหาหลิงฮันทีละคน
“ลูก เจ้ารู้สึกเจ็บปวดตรงไหนไหม?” เย่วฮงฉางดึงแขนของหลิงฮันและจ้องมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้จะไม่เห็นสีหน้าที่เจ็บปวดของหลิงฮัน แต่นางก็อดที่จะถามออกไปไม่ได้และรู้สึกกังวล
“ไม่เลย ทุกอย่างราบรื่นดี” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
“ขอแสดงความยินดีด้วย นายน้อยฮัน!” ชูหวู่จิวและกว่างหยวนยืนอยู่ด้านหลังคนอื่น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าไปขัดใจหญิงสาวเหล่านี้ แต่พวกเขาก็ยังคงแสดงความประทับใจออกมา ชายหนุ่มอายุสิบแปดปีกลายเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานแล้ว!
ถ้าอยู่ในดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว เขาจะต้องเป็นตัวตนไร้พ่ายอย่างแน่นอน
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “รอข้าไปจัดการเจ้าพวกนั้นเสร็จก่อนและคืนนี้พวกเขาจะมาดื่มฉลองกัน!”
เมื่อพูดแบบนั้นออกมา เขาก็ก้าวออกจากหอคอยทมิฬ
“เจ้าหนู!” ผู้อาวุโสเทียนเฉื่อและชายชราผิวคล้ำลงมือจู่โจมหลิงฮันทันที ด้านหลังพวกมันมีทหารซากศพอยู่สี่ร่างที่เปล่งแสงสีทองออกมา แต่ทว่าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแปดคนจากนิกายจันทราเหมันตร์นั้นเลือกที่จะนั่งดูและชมการต่อสู้
แสดงให้เห็นว่าพวกมันเป็นกังวลกับซากศพตัวตนระดับพระเจ้าที่อยู่ในมือของหลิงฮัน แม้จะไม่เห็นหลิงฮันใช้มัน แต่พวกมันก็ยังไม่กล้าที่จะกระโจนออกไปข้างหน้า นั่นมีแต่จะเอาชีวิตของตัวเองไปทิ้ง
เมื่อผู้อาวุโสเทียนเฉื่อและชายชราอีกคนเข้าใกล้ หลิงฮันได้ยกมือขึ้นมาและนำซากศพตัวตนระดับพระเจ้าออกมา ศพของชายชราผู้นี้อาจตายมานานจนไม่อาจนับปีได้ แต่เขากลับนำออกมาใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า
‘ผู้อาวุโส ในอนาคตข้าจะจัดพิธีฝังศพอย่างยิ่งใหญ่ให้กับท่านอย่างแน่นอน’ หลิงฮันพูดอยู่ในใจ
ตุบ ตุบ ผู้อาวุโสสองคนจากนิกายพันศพทรุดตัวลงกับพื้นดินทันที ภายใต้แรงกดดันของตัวตนระดับพระเจ้า พวกมันไม่อาจต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม ทหารซากศพทั้งสี่ร่างนั้นดูเหมือนจะไม่ได้รับผลประทบแม้แต่น้อย พวกมันไม่มีจิตสำนึกตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นพวกมันจะถูกตัวตนระดับพระเจ้าสะกดข่มได้อย่างไร?
ทหารซากศพระดับทองคำสี่ร่างเป็นตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณ แล้วพวกมันจะน่าหวาดกลัวแค่ไหน?
หลิงฮันไม่ได้ใช้พรศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬทันที และเปิดใช้งานเกราะอัสนีแทน ทันใดนั้น ประกายแสงของสายฟ้าได้หลั่งไหลออกมาและก่อตัวเป็นม่านพลังอัสนีล้อมรอบตัวเขา จากนั้นหลิงฮันรีบล่าถอยทันที เขาไม่ได้บ้าขนาดนั้นที่จะต่อสู้กับทหารซากศพที่เป็นถึงตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณสี่คนซึ่งซึ่งหน้า
ทันใดนั้น ความทรงจำบางอย่างได้แล่นผ่านเข้ามาในหัว ขณะเดียวกันเท้าของหลิงฮันเริ่มเคลื่อนไหวได้เป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
ย่างก้าวเทพธิดาปีศาจ!
นี่คือเทคนิคการเคลื่อนที่ระดับสวรรค์ มันจะสามารถใช้ได้เฉพาะหลังจากที่ก้าวเข้าสู่ระดับบุปผาผลิบานแล้วเท่านั้นไม่ใช่เทคนิคการเคลื่อนที่ของมนุษย์! ในชีวิตที่แล้วของเขา เขาฝึกฝนย่างก้าวเทพธิดาปีศาจจนเชี่ยวชาญ และใช้มันแม้กระทั่งตอนเป็นจอมยุทธระดับสวรรค์
ความรู้สึกโหยหวนกลับคืนมา และหลิงฮันรู้สึกมีความกล้าหาญมากยิ่งขึ้น เขาสามารถหลบหลีกการโจมตีของทหารซากศพทั้งสี่ที่เป็นถึงระดับตัวอ่อนวิญญาณได้อย่างง่ายดาย เทคนิคการเคลื่อนที่ระดับสวรรค์จะไม่พริ้วไหวได้อย่างไร?
จอมยุทธในภูมิภาคเหนือนั้นมีระดับพลังที่ต่ำ แม้แต่นิกายที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างนิกายจันทราเหมันตร์และนิกายจักรพรรดิสัตว์อสูรนั้นยังมีเพียงแค่เทคนิคระดับปฐพีขั้นกลางเท่านั้น และทักษะของพวกเขาเองก็เหมือนกัน อย่างมากที่สุดคือทักษะระดับปฐพีขั้นสูง
แล้วทักษะกับเทคนิคพวกนั้นจะเทียบกับเทคนิคระดับสวรรค์ได้อย่างไร?
จุดแข็งของทหารซากศพคือความอดทนที่ไม่เกรงกลัวต่อความควายหรือความเจ็บปวด พวกมันแค่ใช้สัญชาตญาณในการต่อสู้ ถ้าพวกมันสามารถใช้ทักษะหรือเทคนิคได้เหมือนกับตอนที่พวกมันยังมีชีวิต นั่นคงจะเป็นเรื่องที่ขัดแย้งต่อเหตุผลอย่างแท้จริง
ดังนั้นการโจมตีของพวกมันจะจัดการกับหลิงฮันที่ใช้ย่างก้าวเทพธิดาปีศาจได้อย่างไร?
“หรือว่านี่จะเป็นมรดกที่เจ้าเด็กเหลือขอนี่ได้รับจากสิบสองพระราชวัง?”
“มันน่าตกตะลึงมากที่สามารถหลบหลีกการโจมตีของทหารซากศพทั้งสี่ร่างได้อย่างง่ายดายและได้รับเพียงแค่พลังงานที่กระจัดกระจายออกมาเท่านั้น…แต่เกราะที่เขาสวมอยู่ก็เพียงพอที่จะป้องกันพลังงานพวกนั้น”
“หืม ทำไมเกราะที่เจ้าเด็กนั่นสวมอยู่ถึงดูคล้ายกับเกราะอัสนีเลย?”
“เป็นไปไม่ได้ เกราะอัสนีมันไม่มีทางซ่อมแซมได้และไม่ใช่ว่ามันอยู่ในมือของหนึ่งในศิษย์ของพวกเราหรอกหรือที่ชื่อว่าฮันอะไรสักอย่าง”
“ฮันหลิง!”
“อึก…”
จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งแปดคนของนิกายจันทราเหมันตร์ต่างอ้าปากค้างด้วยความตกใจพร้อมกัน ฮันหลิงถ้าอ่านจากหลังมาหน้าไม่ใช่หลิงฮันหรอกรึ?
บัดซบ! พวกมันถูกหลิงฮันหลอกเข้าเต็มเปาและช่วงชิงสมบัติจากนิกายจันทราเหมันตร์ของพวกมันไป! พลังของเกราะอัสนีที่หลิงฮันสวมใส่อยู่สามารถต้านทานพลังของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณได้เล็กน้อย แล้วมันจะมีค่ามากแค่ไหนกัน?
“พวกเราต้องเอามันกลับมา!” ทั้งแปดคนพูดออกมาพร้อมกัน ดวงตาของพวกมันลุกไหม้ไปด้วยความต้องการ
“ฮ่าฮ่าฮ่า ภายใต้การโจมตีของทหารซากศพทั้งสี่ร่าง เจ้าเด็กนั่นกลับเผลอถอยห่างจากซากศพตัวตนระดับพระเจ้า”
“ประเสริฐ เมื่อมันอยู่ห่างออกไปอีกเล็กน้อย พวกเราจะใช้โอกาสโจมตีมัน!”่
“ตกลง ครั้งนี้พวกเราจะฆ่าเจ้าเด็กนั่นด้วยการโจมตีเดียว!”
ทั้งแปดคนเฝ้าสังเกตและรอคอยโอกาส
หลิงฮันดูเหมือนจะพัวพันกับการต่อสู้จนลืมว่ายังมีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแปดคนซุ่มโจมตีเขาอยู่ เขาถูกโจมตีโดยทหารซากศพที่เป็นตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณสี่ร่าง ดังนั้นเขาจะระวังทั้งซ้ายและขวาไปพร้อมกันได้อย่างไร?
หลิงฮันยังคงล่าถอยออกห่างจากซากศพระดับพระเจ้าขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนนี้แหละ!” ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวและคนอื่นกระโจนออกมา ตอนนี้หลิงฮันกำลังหลบหนีทหารซากศพอยู่ และมันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับโจมตีทีเผลอ!
พรึบ พรึบ พรึบ พวกมันห้าคนปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าและอีกสามคนปรากฏตัวอยู่ด้านหลังและเริ่มปล่อยการโจมตีออกมาทีละคน!
“ข้ากำลังรอคอยพวกเจ้าอยู่เลย!” หลิงฮันแสยะยิ้ม เขามีสัมผัสสวรรค์ของจอมยุทธระดับสวรรค์ แล้วสุนัขเฒ่าพวกนี้จะรอดพ้นสายตาของเขาไปได้อย่างไร? นี่คือกลยุทธ์การต่อสู้ที่เขานำออกมาใช้ ถอยออกห่างจากซากศพตัวตนระดับพระเจ้าเพื่อหลอกล่อให้สุนัขเฒ่าพวกนี้ออกมา
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวและอีกเจ็ดคนต่างใจสั่นและความรู้สึกไม่สบายใจได้เกิดขึ้นอยู่ภายในใจของพวกมันอย่างไม่มีเหตุผล นี่เป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณและหลังจากที่บรรลุมาถึงระดับตัวอ่อนวิญญาณ พวกมันจึงเชื่อมั่นในสัญชาติญาณของตัวเองมาก
ดังนั้น พวกมันจึงรีบหยุดมือทันทีและหันหลังกลับเพื่อล่าถอย
“สายเกินไปแล้ว!” หลิงฮันยกมือขวาขึ้นมาและนำซากศพตัวตนระดับพระเจ้าอีกร่างถูกขวางออกไป
ตึง แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏออกมาอย่างกะทันหัน และตุบ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณห้าคนที่ปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าทรุดตัวลงอยู่กับพื้นทันที ขณะที่อีกสามคนด้านหลังเดินเดินโซเซไปมา พวกมันยังคงพยายามหลบหนีแรงกดดันของตัวตนระดับพระเจ้า
ท้ายที่สุด พวกมันก็อยู่ห่างไกลพอและไม่ได้รับแรงกดดันมากนัก
‘น่าเสียดายจริงๆ’ หลิงฮันกรีดร้องอยู่ในใจ ถึงกระนั้น ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวและจือเฮอชุนก็อยู่ในกลุ่มคนห้าคนที่ทรุดตัวลงอยู่กับพื้นด้านหน้า ทำให้หลิงฮันรู้สึกพอใจมาก นี่คือคนที่เขาต้องฆ่าให้ได้
หลิงฮันก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับดาบกำเนิดมารที่ปรากฏอยู่ในมือ และปล่อยการโจมตีใส่จือเฮอชุน
“เจ้ากล้างั้นรึ!” ในระยะไกล จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณสามคนคำราม นิกายจันทราเหมันตร์มีจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งหมดเก้าคน ถ้าห้าคนตกตายอยู่ที่นี่ ความแข็งแกร่งของพวกมันจะต้องลดลงไปกว่าครึ่ง ถึงขั้นหลุดออกจากตำแหน่งหนึ่งในสี่ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุด
“ทำไมข้าจะไม่กล้า?” หลิงฮันพูดอย่างเย็นชาและกวัดแกว่งดาบของเขา ฉึก หัวของจือเฮอชุนถูกตัดและโลหิตพุ่งออกมาทันที
จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณที่น่าเกรงขาม ซึ่งเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของภูมิภาคเหนือกลับตกตายไปอย่างโง่เขลา!
การตายโดยที่ไม่สามารถใช้ทักษะใดออกมาได้และทำได้เพียงนอนกองอยู่บนพื้นรอให้คนอื่นฆ่า แล้วพวกมันจะแตกต่างจาคนธรรมดาตรงไหน?
ดวงตาของจือเฮอชุนเบิกกว้าง ใบหน้าของมันซีดขาว มันรู้ว่ามันกำลังจะตายและเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
ตอนที่ 514
หลิงฮันรีบลงมือ ทหารซากศพระดับทองคำกำลังไล่ตามเขาอยู่ ถ้าเขาปล่อยให้พวกมันโจมตี บางทีแม้แต่เกราะอัสนีก็ไม่อาจช่วยเขาได้ นั่นเป็นเพราะตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณจะดูแคลนได้อย่างไร?
ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา มันยังไม่อยากตายและไม่อยากตายมากยิ่งขึ้นไปอีกถ้าต้องตายด้วยน้ำมือของหลิงฮัน
หลิงฮันแสยะยิ้มและพูดว่า “ข้าเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์ ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยตัวเอง นั่นจะไม่เพียงพอที่เจ้าจะไปพูดโอ้อวดอีกรึ?” ดาบของหลิงฮันเริ่มกวัดแกว่งและหัวของผู้อาวุโสตระกูลอ้าวก็ถูกตัดกระเด็นออกไป
เขาทำแบบนี้ไปมาจนพรากชีวิตของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งห้าคนไปจนหมด แล้วค่อยไปสังหารจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณอีกสองคนที่มาจากนิกายพันศพทีหลัง
ภายใต้แรงกดดันของซากศพตัวตนระดับพระเจ้า คนเหล่านั้นไม่มีแม้แต่พลังที่จะเรียกร้องขอความเมตตาและทำได้แค่นอนรอความตายอย่างไม่เต็มใจเท่านั้น
จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ ตัวตนเหล่านั้นควรจะเป็นตัวตนไร้พ่ายในภูมิภาคเหนือ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะศัตรูของพวกเขาได้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณต้องการฆ่าจอมยุมธระดับตัวอ่อนวิญญาณ? มันเป็นเรื่องยากที่จะทำแบบนั้น!
ท่วา ตอนนี้พวกเขาเป็นเหมือนข้าวสาลีที่รอให้คนอื่นเก็บเกี่ยวได้อย่างง่ายดาย
เมื่อผู้อาวุโสเทียนเฉื่อและชายชราผิวคล้ำตาย ทหารซากศพระดับทองคำทั้งสี่ร่างก็จะหลุดพ้นจากการควบคุมทันที พวกมันจะไม่สนใจหลิงฮันอีกต่อไปและจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้เพียงแค่การฆ่าฟันและกระหายเลือดเท่านั้น
นี่คือสัญชาตญาณของทหารซากศพ
หลิงฮันถอนหายใจออกมา เมื่อนำซากศพตัวตนระดับพระเจ้าออกมา เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างง่ายดาย แต่มันกลับไม่มีผลต่อทหารซากศพทั้งสี่ร่าง แต่เดิมเขาไม่สามารถใช้พรศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬได้ แต่ด้วยพลังเพียงแค่ระดับบุปผาผลิบาน เขาจะหยุดยั้งทหารซากศพทั้งสี่ร่างนี่ได้อย่างไร?
ทหารซากศพพวกนี้คือร่างของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณจะฆ่ามันได้ต้องใช้จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณหลายคน ถ้าพวกมันถูกปลดปล่อยในดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว ผู้คนจำนวนมากจะต้องทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
“ข้าไม่สามารถแบกรับภาระกรรมนี่ได้!” หลิงฮันพูดเสียงแผ่วเบา “หอคอยน้อย!”
พรึบ หอคอยน้อยถ่ายเท่พลังงานมหาศาลให้กับหลิงฮันโดยตรงและทำให้ระดับพลังของเขาพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ระดับตัวอ่อนวิญญาณขั้นแรก!
อึก ดวงตาของสุนัขเฒ่าที่เหลืออยู่สามคนจากนิกายจันทราเหมันตร์แทบหลุดออกจากเบ้าตา ตอนแรกพวกมันคิดว่าระดับพลังของหลิงฮันนั้นอยู่ที่ระดับบุปผาผลิบานนั้นเป็นผลมาจากเม็ดยา และเขาไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม ระดับพลังของหลิงฮันทยานไปอยู่ที่ระดับตัวอ่อนวิญญาณอย่างกะทันหัน ในที่สุดพวกมันก็รู้แล้วว่าแท้จริงแล้วหลิงฮันทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้ว!
ชายหนุ่มคนนี้…น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!
หลิงฮันในตอนนี้ไม่ได้ให้ความสนใจพวกมันสามคนเลยแม้แต่น้อย ทหารซากศพสี่ร่างจะต้องถูกทำลาย หากปล่อยไว้มันจะเกิดหายนะครั้งใหญ่
ในขณะที่ดาบกำเนิดมารถูกยกขึ้นมา หลิงฮันเริ่มปลดปล่อยดาบลึกลับสามพ้นเล่ม คลื่นดาบแสงสี่พันเล่มปรากฏ ภายในตันเถียนของหลิงฮัน บุปผาศักดิ์สิทธิ์ห้าดอกกระเพื่อมเล็กน้อย ชักนำพลังปราณของสวรรค์และโลกมาเพื่อเสริมอำนาจพลังให้กับดาบแสง
ปัง พลังของทักษะดาบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าร้อยเท่า!
นี่มันน่าสะพรึงกลัวเกินไป ชิ่ว ชิ่ว ชิ่ว ชิ่ว ขณะที่ดาบแสงถูกปล่อยออกมา ทหารซากศพระดับทองคำถูกสะบั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที
…อาวุธวิญญาณระดับสิบรวมกับทักษะลึกลับสามพันเล่มและบุปผาศักดิสิทธิ์สิบดอกที่เพิ่มพลังให้ พลังทำลายล้างของมันน่าตกตะลึงมาก แม้แต่ทหารซากศพระดับทองคำยังถูกฆ่าทันที!
สุนัขเฒ่าสามคนของนิกายจันทราเหมันตร์จ้องมองหน้ากันไปมา แต่ละคนต่างแสดงสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยพวกมันกำลังรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งถึงขั้นพวกมันไม่มีความกล้าพอที่จะต่อสู้กับเขาอีก
มันจะดีกว่าถ้ากลับไปที่นิกายที่มีรูปแบบอาคมป้องกันอยู่ ซึ่งเป็นรูปแบบอาคมระดับก้าวสู่เทวา แล้วค่อยรอคอยอีกหนึ่งร้อยปีหรืออาจมากกว่านั้น นิกายจันทราเหมันตร์ก็จะฝังรากลึกและกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง
หลิงฮันไม่ได้ไล่ตามพวกมันไป เขาเพียงแค่อยากฆ่าผู้อาวุโสตระกูลอ้าวและจือเฮอชุน และเมื่อพวกมันทั้งสองคนตายไปแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าคนอื่นอีก
หลังจากที่เขาฟื้นคืนพลังมาได้เล็กน้อย เขาก็ปลดปล่อยดาบลึกลับสามพันเล่มออกไปอีกครั้งเพื่อสังหารทหารซากศพที่เหลือ
ถ้าพวกมันเป็นจอมยุทธ พวกมันจะต้องวิ่งหนีไปอย่างแน่นอนเมื่อพวกมันเห็นเพื่อนของมันสองคนถูกฆ่าตายไปแล้ว แต่พวกมันนั้นเป็นทหารซากศพที่ไม่เกรงกลัวต่อความตาย พวกมันมีเพียงแค่สัญชาตญาณฆ่าฟันและกระหายเลือดเท่านั้น
ในอีกสิบนาทีต่อมา ทหารซากศพระดับทองคำทั้งสี่ร่างก็ถูกหลิงฮันกำจัดจนหมดสิ้น
หลังจากที่หลิงฮันหายใจได้มั่นคงมากยิ่งขึ้น เขาก็เก็บซากศพตัวตนระดับพระเจ้าสองร่างเข้าไปในหอคอยทมิฬ แรงกดดันของตัวตนระดับพระเจ้าจะลดลงเล็กน้อยทุกครั้งที่ใช้ และมันจะสามารถสยบจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณครั้งต่อไปได้หรือไม่นั้นไม่อาจมั่นใจได้
เขาเรียกทุกคนออกมาจากคอยทมิฬและบอกทุกคนว่าจะเดินทางไปที่หุบเขาจันทราล่วงหล่น
เย่วฮงฉางอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ย้อนกลับไป เมื่อนางและหลิงตงซิงมาที่นี่ พวกเขาก็ถูกอ้าวเฟิงจับตัว จากนั้น นางก็ถูกแยกทางกับสามีและลูกของตัวเอง แต่ในพริบตาเวลาสิบแปดปีก็ผ่านไปแล้ว
หลิวอู๋ตงและหลีซื่อฉางรีบปลอบนาง พวกนางปฏิบัติกับเย่วฮงฉางราวกับหญิงชราอายุเจ็ดสิบถึงแปดสิบปี เมื่อเห็นแบบนั้นหลิงฮันถึงกับส่ายหัว
หลิงฮันกวาดสายตามองสนามรบและเก็บแหวนมิติของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณทั้งเจ็ดคนเข้าไปในหอคอยทมิฬ ภายในแหวนมิติส่วนใหญ่จะเป็นผลึกก่อเกิด และผลึกก่อเกิดระดับสี่ดาวก็มีอยู่บ้าง นอกจากนี้มันยังมีทักษะและเทคนิคอยู่เล็กน้อย แต่พวกมันไม่อาจทำให้หลิงฮันสนใจแม้แต่น้อย
จากนั้นพวกเขาได้เข้าสู่หุบเขาจันทราร่วงหล่นและมาถึงตำหนักดาราเจิดจรัส
เมื่อได้รับแจ้งว่ามีนักปรุงยาระดับสวรรค์เดินทางมาถึง นักปรุงยาถึงคนต่างคุกเข่าเพื่อแสดงความเคารพ แม้แต่หลงหย่งฉางและนักปรุงยาระดับปฐพีอีกสองคนก็ไม่เว้น พวกเขาเชิดชูหลิงฮันเป็นอย่างยิ่งถึงขั้นหมอบกราบอยู่บนพื้น
หลิงฮันพยุงชายชราทั้งสามคนขึ้นมาทีละคนและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าปรุงเม็ดยาโอสถฟื้นคืนวิญญาณไปแล้ว แต่ข้าจะปรุงเม็ดยาระดับปฐพีอย่างอื่นอีกทีหลัง พวกเจ้าทุกคนจะเข้ามาเฝ้าดูก็ย่อมได้”
“ขอบคุณปรมาจารย์หลิง!” ชายชราทั้งสามคนรู้สึกประทับใจมาก เมื่อได้เป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์ หลิงฮันไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขาก็ได้ แต่เขากลับเรื่องที่จะสนใจ ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกประทับใจและอบอุ่นภายในหัวใจ
หลิงฮันพักที่ตำหนักดาราเจิดจรัสเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น หลังจากที่เขาปรุงเม็ดยาเสร็จ เขาก็เดินทางไปยังแคว้นพิรุณต่อ เขากำลังเร่งรีบที่จะพาให้พ่อแม่ของเขากลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง และอยากรู้ว่าตอนนี้หลิงตงซิงเป็นเช่นไรบ้าง
เพื่อเดินทางให้รวดเร็วขึ้น หลิงฮันพาทุกคนเข้าไปในหอคอยทมิฬและใช้ย่างก้าวเทพธิดาปีศาจมุ่งหน้าไปที่เมืองต้าหยวน
หลังจากนั้นสามวัน เขาก็มาถึงเมืองต้าหยวน
เขาเรียกทุกคนออกมาจากหอคอยทมิฬอีกครั้ง อย่างแรกเขาต้องไปหาราชาต้าหยวนเสียก่อน
“ปรมาจารย์หลิง!” เมื่อเห็นหลิงฮัน ราชาต้าหยวนรีบผสานมือทำความเคารพ นี่คือนักปรุงยาระดับดำขั้นสูง ซึ่งสถานะสูงส่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก…เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่รู้ว่าหลิงฮันนั้นกลายเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์แล้ว ทั้งยังก้าวเข้าสู่ระดับบุปผาผลิบานแล้วด้วย
หลิงฮันไม่ได้เปิดเผยตัวตนของเขาเพื่อสร้างแรงกดดันให้กับราชาต้าหยวน ในความเป็นจริง สถานะนักปรุงยาระดับปฐพีขั้นสูงก็เพียงพอที่จะใหญ่สุดในที่แห่งนี้แล้ว ถ้าเขาเปิดเผยตัวตนนักปรุงยาระดับสวรรค์และจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน บางทีราชาต้าหยวนอาจมอบคลานอยู่บนพื้นด้วยความหวาดกลัว
หลิงฮันเพียงแค่หัวเราะและพูดว่า “ราชาต้าหยวน พวกเราไม่ได้พบเจอกันมาหนึ่งปี ทุกอย่างเป็นเช่นไรบ้าง?”
“ทุกอย่างราบรื่นดีทั้งหมดเป็นเพราะปรมาจารย์หลิง!” ราชาต้าหยวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่ได้พูดเล่น จักรพรรดิพิรุณคนใหม่ดูแลตระกูลหลิงเป็นอย่างดี แม้แต่สถานะของราชาต้าหยวนยังเพิ่มขึ้นด้วย
หลิงฮันพยักหน้าและพูดว่า “แล้วท่านพ่อของข้าล่ะ?”
“ไม่กี่วันก่อน คนต่างถิ่นจำนวนหนึ่งหลายคนมาที่นี่เพื่อตรวจสอบที่อยู่ของท่านพ่อของท่าน ดังนั้นข้าจึงลงมือด้วยตัวเองและพาท่านพ่อของท่านและตระกูลหลิงไปยังที่พักแห่งใหม่” ราชาต้าหยวนกล่าว
“ยอดเยี่ยมเลย!” หลิงฮันตบไหล่เขา จากนั้นเขาเดินไปที่โต๊ะและสบัดมือผ่านโต๊ะ ทันใดนั้นขวดเม็ดยาจำนวนมากได้ปรากฏออกมาในพริบตา “ราชาต้าหยวน ข้ากำลังรีบที่จะไปพบพ่อของข้า รับของพวกนี้ไว้ ตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
ตอนที่ 515
ราชาต้าหยวนแสดงคำขอบคุณออกมาและรีบบอกหลิงฮันถึงสถานที่ที่ตระกูลหลิงอาศัยอยู่ เขาสันนิษฐานว่าหลิงฮันคงจะยังเป็นนักปรุงยาระดับดำขั้นสูงอยู่และเม็ดยาที่หลิงฮันให้กับเขาจะต้องยอดเยี่ยมแน่ๆ
แต่พอหลิงฮันจากไป ราชาต้าหยวนได้หยิบเม็ดยาขึ้นมาตรวจสอบ ทันใดนั้นเขาตกตะลึงจนเกือบจะหงายลงพื้น
พระเจ้าช่วย!
เม็ดยาทุกเม็ดยาที่หลิงฮันให้มาล้วนแต่เป็นเม็ดบยาระดับปฐพี แถมแต่ละขวดยังมีสรรพคุรและข้อห้ามเขียนไว้อย่างละเอียดด้วย ร่างของราชาต้าหยวนสั่นสะท้าน เขาเคยคาดหวังเอาไว้ว่าสักวันจะกลายเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ ซึ่งวันนั้นก็มาถึงแล้ว!
ราชาต้าหยวนอดที่จะตื้นตันใจไม่ได้ การดูแลตระกูลหลิงนั้นเป็นงานที่งายราวกับพลิกฝ่ามือ แต่ตอนนี้เขากลับได้ผลตอบแทนมากมายขนาดนี้กลับมา
ปรมาจารย์หลิงช่างเป็นคนที่ใจกว้างยิ่งนัก!
…
หลิงฮันนั้นไม่สนใจเม็ดยาเหล่านั้นแม้แต่น้อย สำหรับเขาเม็ดยาระดับปฐพีก็เป็นเพียงเม็ดยาธรรมดาทั่วไป เขาสามารหลอมพวกมันขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น หลังจากตอบแทนราชาต้าหยวนแล้ว หลิงฮันก็รีบไปหามารดาและสหายของเขา จากนั้นก็ออกจากเมืองต้าหยวนมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตกจนมาถึงเมืองเล็กๆที่ห่างไกลเมืองหนึ่ง
หลิงตงซิงและคนตระกูลคนอื่นๆอาศัยอยู่ที่นี่
ยิ่งเข้าใกล้เมืองเยว่ฮงฉางก็ยิ่งรู้สึกประหม่า นางเอาแต่จัดแต่งทรงผมและจับใบหน้าของนางเพราะกังวลว่าหากนางแก่ขึ้น หลิงตงซิงจะยังจำนางได้รึเปล่า
เมื่อผ่านเข้าเมืองมา พวกเขาก็มาถึงลานที่พักขนาดใหญ่ที่ประตูถูกปิดอยู่
หลิงฮันเคาะประตูและผ่านไปไม่นานก็มีเสียงดังออกมาจากภายใน “เจ้ามาหาใคร?”
“ข้าคือหลิงฮัน”
เสียงเอะอะดังออกมาจากด้านหลังประตู ดูเหมือนว่าเจ้าของเสียงผู้นั้นจะสะดุดล้ม ทันใดทันประตูก็เปิดออกมาพร้อมกับชายวัยกลางคนที่พูดกับหลิงฮันด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “นายน้อยฮัน ท่านกลับมาแล้ว!”
ชายวัยกลางคนคือคนรับใช้ของตระกูลหลิง ก่อนหน้านี้ที่ตระกูลเชิงเกือบจะทำลายตระกูลหลิงจนสิ้นซาก เขาสามารถหลบหนีไปได้ หลังจากเหตุการณ์นั้นมาเขาก็ยังภักดีทำงานให้กับตระกูลหลิง
หลิงฮันยิ้มและพูด “ข้ากลับมาแล้ว! ท่านพ่ออยู่ที่ไหน?”
“นายท่านใหญ่กำลังรับแขกอยู่ให้ห้องรับรอง” คนรับใช้กล่าว
“แขกที่ว่าคือใคร?” หลิงฮันถาม
“มีแม่สื่อกำลังพูดกับนายท่านใหญ่เรื่องการแต่งงาน” คนรับใช้กล่าว
ก่อนหน้านี้เยว่ฮงฉางเต็มไปด้วยความรู้สึกประหม่า แต่เมื่อนางได้ยินแบบนั้น นางก็กลายเป็นอารมณ์เสียและรีบเดินไปถามคนรับใช้ทันที “โอ้ นายท่านใหญ่ของเจ้ากำลังรับคนมาเป็นภรรยา?”
คนรับใช้ไม่รู้จักเยว่ฮงฉาง แต่ในเมื่อนางมากับหลิงฮัน จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่กล้าเมินเฉย “นายท่านใหญ่เสียภรรยาไปนานหลายปีแล้ว และพวกเราเหล่าคนรับใช้ต่างก็หวังว่านายท่านใหญ่จะแต่งงานใหม่และมีคู่ครอง”
“เยี่ยมไปเลยนี่ ข้าเองก็อยากจะเห็นเช่นกัน!” สีหน้าของเยว่ฮงฉางเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางเดินตรงผ่านสวนในบ้านและมุ่งหน้าไปยังยังห้องรับรอง
คนรับใช้ต้องการจะหยุดนางโดยคิดว่านางเป็นแค่แขก นางไม่สามารถทำพฤติกรรมเช่นนี้ได้
หลิงฮันรีบคว้าตัวคนรับใช้เอาไว้และพูดด้วยรอยยิ้ม “ลุงฟู ข้าว่าลุงควรจะภาวนาให้แก่ตัวเองเอาไว้นะ”
“นายน้อยฮันหมายความว่าอย่างไร?” ลุงฟูรู้สึกสับสน
“นั่นคือท่านแม่ของข้า” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้มซุกซน
ร่างของลุงฟูแข็งข้างและครุ่นคิดด้วยความสงสัย ‘ไม่ใช่ว่ามารดาของนายน้อยฮันก็คือภรรยาของนายท่านใหญ่หรอกรึ? แต่ว่านายหญิงได้เสียชีวิตไปนานแล้วไม่ใช่รึไง? ไม่นะ… หรือว่าที่จริงๆนางจะยังไม่ตาย?’
ลุงฟูเริ่มกังวลขึ้นมาทันที เขาพูดว่านายท่านใหญ่สมควรแต่งงานใหม่ต่อหน้านายหญิง! ถ้านายหญิงเกิดแค้นเคืองเขาขึ้นมาในอนาคต นั่นจะไม่ย่ำแย่รึไง?
หลิงฮันหัวเราะและแตะไหล่ลุงฟู “ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องกังวล!”
“นายน้อยฮัน ท่านแกล้งข้าที่ไม่บอกกับข้าตั้งแต่แรก” ลุงฟูพูดด้วยใบหน้าขมขื่น
หลิงฮันรู้ดีว่าเยว่ฮงฉางไม่ใช่คนแบบนั้นและต้องการหยอกล้อลุงฟูเล่นเท่านั้น เขาจะสามารถไปหาคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์เช่นนี้ได้ที่ไหนอีก?
เขา หลิวอู๋ตงและคนอื่นๆไม่ได้ตามเข้าไป หลังจากนั้นไม่นานก็มีสตรีอายุราวๆสี่สิบปีวิ่งออกมาด้วยใบหน้าที่มีร่องรอยของฝ่ามือ จากขนาดรอยแล้ว นั่นต้องเป็นฝ่ามือของเยว่ฮงฉางไม่ผิดแน่
ภายในห้องรับรแงมีเสียงร้องให้ดังออกมา หลิงฮันครุ่นคิดและพูดออกไป “ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ วันนี้ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าคงไม่มีเวลาให้พวกเรา”
“ทำไมล่ะ?” ฮูหนิวถามพร้อมกับเอียงหัว
หลิงฮันหัวเราะอย่างซุกซนและพูด “ทั้งสองไม่ว่างเพราะต้องใช้เวลาใกล้ชิดกัน”
หลิวอู๋ตงและหญิงสาวคนอื่นหน้าแดงในขณะที่ฮูหนิวเกาะคอหลิงฮันและพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน “หลิงฮันก็ต้องใกล้ชิดกับหนิว!”
ในวันต่อมาช่วงกลางวัน ในที่หลิงหลิงตงซิงก็มีเวลาและเรียกหลิงฮันเข้าไปพบ เยว่ฮงฉางพิงแนบอยู่ข้างกายหลิงตงซิงโดยไม่มีท่าทีโกรธเคืองอย่างเมื่อวันก่อนแล้ว
เมื่อพ่อลูกพบกัน พวกเขาก็โอบกอดกันแน่นทันที
ทั้งสามคนพูดคุยกับอยู่สักพักก่อนที่เข้าเริ่มสนทนาหัวข้อวรยุทธ
โดยในความคิดของเยว่ฮงฉางคือไม่จำเป็นต้องกลับไปแก้แค้น ขอแค่ครอบครัวสามารถใช้ชีวิตในอย่างมีความสุขก็พอ แต่หลิงฮันกับหลิงตงซิงนั้นกลับต้องการแก้แค้นและไม่อาจยอมละทิ้งความปฏิปักษ์กับอ้าวเฟิง
ที่หลิงฮันจงใจทำให้รากฐานวิญญาณของอ้าวเฟิงพิการก็เพื่อหลิงตงซิงจะได้สามารถสงมือสังหารอ้าวเฟิงได้ด้วยตนเอง
“ท่านพ่อ ตอนนี้รากฐานวิญญาณของท่าฟื้นฟูกลับมาแล้วสินะ?” หลิงฮันถาม
“ฟื้นฟูแล้ว!” หลิงตงซิงตอบอย่างหึกเหิม เขาไม่เพียงแค่ฟื้นฟูรากฐานวิญญาณกลับมา แต่ยังสัมผัสได้ถึงประตูที่จะทะลวงผ่านระดับก่อเกิดธาตุได้แล้วด้วย “โอ้ จริงสิ นักปรุงยาที่เจ้าไว้วานมาตอนก็ยังพักยู่ที่นี่”
ที่แท้ลิ่วจี้ถงก็ยังอยู่ที่นี่อยู่นี่เอง ถึงว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นตัวลิ่วจี้ถงในตำหนักเม็ดยาภูมิภาคเหนือ
หลิงฮันพยักหน้าและพูด “ข้าทำให้รากฐานวิญญาณของอ้าวเฟิงพิการและสังหารผู้อาวุโสของตระกูลอ้าว ท่านพ่อ การที่จะสามารถล้างแค้นได้ สิ่งที่ท่านต้องทำมีเพียงการบรรลุระดับบุปผาผลิบานเท่านั้น”
หลิงตงซิงตกตะลึง ผู้อาวุโสของตระกูลอ้าวสมควรเป็นตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณแต่กลับถูกบุตรของเขาสังหาร? แต่หลิงฮันจะพูดหลอกเขาได้อย่างไร? หลิงตงซิงอดที่จะหัวเราะลั่นออกมาไม่ได้ ความสำเร็จของบุตรชายเขาช่างยิ่งใหญ่นัก
หลิงฮันกับหลิงตงซิงพูดคุยกันเรื่องแผนการในอนาคต อีกไม่นานข่าวที่หลิงฮันได้รับมรดกแห่งขุมสมบัติของพระเจ้าจะต้องแพร่กระจายไปทั่วโลก และคงมีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่ต้องการไล่ล่าสังหารเขาเพื่อผลประโยชน์
หลิงตงซิงและตระกูลหลิงจะกลายเป็นจุดอ่อนของเขาหากพวกเขาถูกจับตัวได้
ดังนั้นหลิงตงซิงจึงวางแผนที่จะเคลื่อนย้ายและหลบซ่อนตระกูลหลิงไปซักระยะ
หลิงฮันเองก็วางแผนที่จะใช้เวลานี้ในการเพิ่มพลังบ่มเพาะของบิดาเขารวมถึงของตัวเขาเอง ตอนที่ทะลวงผ่านจากระดับแก่นแท้จิตวิญญาณมาระดับบุปผาผลิบานขาเร่งรีบเกินไป ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องทำให้รากฐานของเขามั่นคงเสียก่อนเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆในอนาคต
เยว่ฮงฉางไม่คัดค้านอะไร สำหรับนางนั้นขอแค่ครอบครัวได้กลับมาพบหน้ากับก็เพียงพอแล้ว
“เคลื่อนย้าย!”
หลิงฮันนำทุกคนเข้าไปยังหอคอยทมิฬ ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะไม่ถูกแกะรอยได้
หลังจากทิ้งจดหมายเอาไว้ให้ราชาต้าหยวน หลิงฮันก็เหยียบท้องฟ้าลอยออกจากแคว้นพิรุณ เขาลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะเลือกมุ่งเข้าไปยังแคว้นเพลิง
เมื่อข้ามผ่านเทือกเขาสูงและแม่น้ำ หลิงฮันก็มาปรากฏตัวอยู่ที่เมืองเล็กๆในเขตชายแดนของแคว้นเพลิง เมืองนี้อยู่ภายใต้อาณาเขตร่วมกันของแคว้นวายุและแคว้นเพลิง เมืองเป่าหยางแห่งนี้คือเมืองอันไร้กฎระเบียบ
แม้จะมีผู้คนหน้าใหม่ปรากฏตัวที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ละคนมีเป้าหมายของตนเองและไม่ต้องการเข้าไปยุ่งกับเรื่องของคนอื่น
หลิงฮันซื้อลานที่พักขนาดใหญ่แห่งหนึ่งและนำทุกคนออกมา ลานที่พักแห่งนี้มีขนาดใหญ่โตพร้อมกับสวนผักที่กว้างขวาง หากเลี้ยงสัตว์ไว้ที่นี่ด้วย พวกเขาคงจะสามารถเลี้ยงดูตนเองได้
ตอนที่ 516
ในตอนแรกในคฤหาสน์ที่ซื้อมานั้นไม่มีอาหารแม้แต่นิดเดียว แต่หลิงฮันมีหอคอยทมิฬซึ่งมีวัตถุดิบต่างๆบรรจุเอาไว้มากมาย
หลิงตงสูญเสียเวลาไปเปล่าๆถึงสิบแปดปี และตอนนี้รากฐานวิญญาณของเขาได้ฟื้นฟูกลับมาแล้ว และด้วยทรัพยากรสมุนไพร สัตว์อสูรและเม็ดยาอย่างไม่จำกัดจากหลิงฮัน พลังบ่มเพาะของเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
หลิงฮันวางแผนจะพักอยู่ที่นี่สักครึ่งปี จากนั้นค่อยไปหาหยินหงที่เมืองหยางสวรรค์เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันของตำหนักสมบัติวิญญาณ แต่ถึงตอนนั้นเขาคงจะต้องปลอมแปลงใบหน้า
ถ้าหยินหงขายเขา นั่นก็ถือว่าเป็นเขาเองที่มองคนผิด แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่หวาดกลัวต่อภัยอันตรายใดๆอยู่แล้ว
เรื่องการเข้าร่วมแข่งขันเป็นสิ่งที่เขาสัญญาเอาไว้ซึ่งก็ต้องรักษาคำพูด
พลังบ่มเพาะของหลิวอู๋และคนอื่นๆเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าเพราะพวกเขาเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับแก่นแท่จิตวิญญาณ พวกเขาต้องใช้เวลาสักพักในการทำให้รากฐานมั่นคง การทะลวงผ่านขั้นต่อไปอย่างต่อเนื่องไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับการบ่มเพาะพลัง
หลังจากใช้ชีวิตอย่างสงบมาหลายสิบวัน เยว่ฮงฉางก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ
สถานการณ์ของบุตรของนางนี่มันอะไรกัน… ทั้งๆที่มีสาวงามขนาดนั้นอยู่ข้างกาย แต่เจ้ากับทำเพียงจ้องมองพวกนางด้วยสายตา? ช่างเสียของและน่าอับอายยิ่งนัก!
เยว่ฮงฉางออกคำสั่งให้หลิงฮันใช้เวลาทุกๆวันกับสาวๆเหล่านี้
นี่คือมารดาของเขา ดังนั้นหลิงฮันจึงทำได้เพียงยอมเชื่อฟัง
คนแรกคือหลิวอู๋ตง
ทั้งสองคนออกจากคฤหาสน์และเดินเตร่ออกไปข้างนอกเมือง สายลมอ่อนพริ้วไหวผ่านร่างของพวกเขา แสงแดดที่ส่องลงมาทำให้ผิวของหลิวอู๋ตงดูราวกับหยกงามที่ไม่อาจละสายตาออกห่างได้
“โอ้ย!” จู่ๆหลิวอู๋ตงก็เดินเซและล้มลงไปที่พื้น หลิงฮันเดินเข้าประชิดและคว้าตัวนางเอาไว้
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิงฮันถาม
หลิวอู๋ตงโน้มตัวซบอกเขาและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้อเท้าข้าพลิก”
ข้อเท้าพลิก? จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณข้อเท้าพลิกในขณะที่เดินอยู่?
หลิงฮันคาดเดาทันทีว่านางจะต้องกำลังแกล้งทำ?
แต่เข้าจะกล้าพอที่จะเปิดโปงการกระทำของนางรึ?
สิ่งที่ยากลำบากที่สุดคือการทำให้สตรีพึงพอใจ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“งั้นก็กลับกันเถอะ” หลิงฮันพูด
“อืม! หลิวอู๋ตงพลังหน้าและซบอยู่ในอ้อมกอดหลิงฮัน กลิ่นอายของความเป็นชายที่สัมผัสได้จากร่างของหลิงฮันทำให้สมองของนางปั่นป่วนจนเกือบเป็นลม”
แต่ละก้าวที่ถูกพยุง นางรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ท่ามกลางปุยเมฆที่ไร้น้ำหนัก แก้มของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้นเรื่อยๆจนทำให้ดูงดงามยิ่งกว่าเดิม
ในขณะที่เดินอยู่ นางรวบรวมความกล้าและกอดเข้าที่เอวของหลิงฮันในขณะที่ใบหน้าของนางแนบชิดอยู่กับหน้าอกของเขา ความสุขที่เกินจะบรรยายได้ปะทุขึ้นภายในจิตใจของนางและอยากจะเดินอยู่แบบนี้ไปตลอดกาล
แต่สุดท้ายเมื่อพวกเขากลับมาถึงคฤหาสน์และหลิงฮันปล่อยตัวนาง หลิวอู๋ตงก็เริ่มรู้สึกเขินจนต้องวิ่งหนีในขณะที่หลิงฮันหัวเราะลั่นออกมา ไม่ใช่ว่าเจ้าข้อเท้าพลิกหรอกรึ? ทำไมถึงได้วิ่งไวขนาดนั้นล่ะ? การแสดงของเจ้าช่างไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย
ในวันที่สองคนที่หลิงฮันต้องใช้เวลาด้วยคือหลีซื่อฉาง
“โอ้ย!” ขณะที่เดินอยู่ จู่ๆหลีซื่อฉางก็สะดุดและล้มลง
ใช่แล้ว ข้อเท้าของนางพลิกเช่นกัน!
‘พวกเจ้าถูกสอนโดยอาจารย์คนเดียวกันสินะ?’
หลิงฮันช่วยพยุงนางเอาไว้ พร้อมกับคิดว่านี่ต้องเป็นความคิดของแม่เขาแน่นอน ไม่เช่นนั้นหญิงสาวทั้งสองคนนี้คงไม่ทำอะไรไร้ยางอายเช่นนี้ แถมเขากับพวกนางยังรู้จักกันมากตั้งสองปีแล้ว ที่ผ่านมาพวกนางไม่เคยข้อเท้าพลิกเลยสักครั้ง แต่ทำไมตอนนี้ถึงข้อเท้าพลิกเสียล่ะ?
วันที่สามคือจูเสวียนเอ๋อ
หลิงฮันถอนหายใจและพูด “เจ้าคงจะไม่ข้อเท้าพลิกในขณะที่เดินอยู่หรอกนะ?”
จูเสวียนเอ๋อชะงักนิ่ง ทำไมถึงไม่เป็นไปตามแผนกัน? แต่ถึงอย่างนั้นนางก็เป็นหญิงที่ฉลาด ‘ฟุบ’ ร่างงดงามของนางอ่อนแรงและล้มใส่หลิงฮัน ‘เจ้าคงไม่ใจร้ายขนาดปล่อยให้ข้าล้มใส่พื้นหรอกนะ?’
หลิงฮันไม่เต็มใจที่จะทำตามแผนของนาง แต่เมื่อคิดว่าหากมารดาของเขารู้เข้าเขาจะโดนตำหนิ… เขาจึงต้องยอมจำใจปกป้องดอกไม้งามดอกนี้ หลิงฮันโอบร่างจูเสวียนเอ๋อเอาไว้ทันที
“พี่ฮัน…” นางพูดด้วยเสียงต่ำและน่าหลงใหล
เลือดกำเดาของหลิวฮันเกือบจะทะลักออกมา สาวงามราวกับเทพธิดากำลังอยู่ในอ้อมกอดของเขาและส่งเสียงอันน่าหลงใหลออกมา… ถ้าเขาไม่ยังไม่หวั่นไหว เขาคงไม่ใช่ผู้ชายแล้ว
“เสวียนเอ๋อรู้ว่าพี่ฮันมีหญิงสาวในใจแล้ว แต่เสวียนเอ๋อไม่สนใจ แค่พี่ฮันแบ่งพื้นที่ในหัวใจให้เสวียนเอ๋อบ้างก็พอแล้ว” จูเสวียนเอ๋อพูดด้วยเสียงที่ส่วนเพ้อฝัน
หัวใจของหลิงฮันสั่นรัว ในโลกนี้มีคำพูดใดจะน่าหลงใหลไปมากกว่านี้อีกรึไม่?
เขาไม่สามารถสลัดสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ทิ้งไปจากหัวใจได้ แม้จะผ่านไปหลายพันปีแต่เขาก็ยังคงคิดว่ากลังจากนางกลายเป็นพระเจ้า นางจะต้องมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้และไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่นางจะหลงรักชายอื่นแม้แต่น้อย
ด้วยสภาพการณ์เช่นนี้ทำให้เขาไม่สามารถมีหญิงอื่นได้ เพราะงั้นที่ผ่านมาเขาถึงได้ไม่มีความคิดเกินเลยใดๆต่อหลิวอู๋ตงและหลีซื่อฉาง
หลิงฮันโอบกอดนางและพูด “บางทีเจ้าอาจจะต้องรออีกหลายร้อยปี”
นี่ไม่ใช่คำพูดเกินจริง แม้เขาจะกลับไปยังระดับสวรรค์ได้อย่างรวดเร็วและบรรลุระดับทลายมิติได้ แต่จากระดับทลายมิติกลายเป็นพระเจ้านั้น… เขาไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าใด ซึ่งร้อยปีนั้นไม่ใช่ระยะเวลาที่ยาวนานเลย
“เสวียนเอ๋อยินดีที่จะรอ!” จูเสวียนเอ๋อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นางสามารถบรรลุระดับบุปผาผลิบานได้แน่นอน และอย่างน้อยก็จะได้รับอายุขัยอย่างน้อยสามร้อยปี การรอคอยเพียงร้อยปีนั้นก็ทำให้นางรู้สึกเหมือนมีอายุเพิ่มเป็นสามสิบปีเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นหากติดตามหลิงฮันล่ะก็ ด้วยพรสวรรค์ของนางแล้วระดับบุปผาผลิบานยังไม่ใช่ขีดจำกัด มีความเป็นไปได้ที่นางจะบรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณ ระดับก้าวสู่เทวาหรือแม้แต่ระดับสวรรค์
ในเมื่อจูเสวียนเอ๋อเต็มใจที่จะรอ หลิงฮันจะสามารถพูดอะไรได้อีก? ถ้าเขาปฏิเสธกลับไป มารดาของเขาต้องเอาแส้ฟาดเขาแน่!
หลิงฮันโอบกอดจูเสวียนเอ๋อ ทั้งสองจ้องหน้ากันโดยไร้คำพูดพร้อมกับแสงแดดอันอบอุ่นที่สาดลงมาระหว่างพวกเขา
จูเสวียนเอ๋อเป็นหญิงที่ฉลาด นางไม่ถามว่าคนที่อยู่ในใจของหลิงฮันคือใคร นางไม่คิดจะเอาตัวเองไปแข่งขันหรือเปรียบเทียบ
บรรยากาศช่างอบอุ่นและหอมหวาน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น