Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 495-506
495
ตั้งแต่ตอนที่จูเสวียนเอ๋อใช้ร่างของตัวเองปกป้องเขา หลิงฮันก็นับจูเสวียนเอ๋อเป็นสหายเรียบร้อยแล้ว
และดูเหมือนว่าจูเสวียนเอ๋อจะไม่ใช่คนประเภทเก็บความลับไม่อยู่ ดังนั้นเขาจึงลังเลเพียงเล็กน้อยที่จะพูด “ที่แห่งที่คือมิติภายในอุปกรณ์มิติของข้า”
จูเสวียนเอ๋อกลายเป็นตกตะลึงและแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา “เป็นไปได้อย่างไร อุปกรณ์มิติที่สามารถบรรจุสิ่งมีชีวิตได้!”
หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้าก็อยู่ภายในอุปกรณ์ที่ว่านั่นหรอกรึ?”
จูเสวียนเอ๋อนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะยอมรับความเป็นจริง “แต่ทำไมมิติภายในถึงได้กว้างใหญ่ขนาดนี้? มันราวกับเป็นโลกอีกใบเลย”
“เพราะงั้นความลับนี้จึงไม่สามารถบอกให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้” หลิงฮันพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
จูเสวียนเอ๋อรีบพยักหน้า อุปกรณ์มิติที่มีขนาดกว้างขวางแทบจะไร้ขีดจำกัดและสามารถบรรจุสิ่งมีชีวิต… มูลค่าของมันต้องสูงอย่างบ้าคลั่ง ไม่แปลกเลยที่ทำไมหลิงฮันถึงเก็บเป็นความลับตลอดมา
แต่ตอนนี้หลิงฮันบอกความลับนี้แก่นางแล้ว ทำให้จิตใจของนางเต็มไปด้วยความสุข
“เสวียนเอ๋อจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป้นความลับแน่นอน!” นางพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“ตอนนี้คิดแต่เรื่องพักฟื้นให้ตัวเองซะ ที่นี่มีสมุนไพรและผลึกก่อเกิดมากมาย เจ้าสามารถใช้พวกมันได้ตามใจชอบ อย่างแรกจงรักษาความเสียหายของวิญญาณเจ้าก่อน ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้!” หลิงฮันพูด
“อืม!” จูเสวียนเอ๋อพยักหน้าอย่างอ่อนโยน ตอนนี้นางไม่ได้สวมผ้าปิดหน้า ใบหน้าอันงดงามของนางถูกเปิดเผยอย่างไม่มีปกปิด ทำให้หลิงฮันรู้สึกถึงหัวใจของตนเองที่เต้นแรง
โชคดีที่ในชีวิตที่แล้วเขาเคยเห็นความงามของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์จนชินแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาคงลุ่มหลงในเสน่ห์ของสตรีนางนี้แน่
หลิงฮันไม่ได้ออกจากหอคอยทมิฬทันที หลังจากออกมาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์เขาก็ยุ่งจนไม่มีโอกาสได้ศึกษารูปแบบอักขระบนกระดูกของสัตว์อสูรและซากศพของพระเจ้าอีกสองศพเลย
ภายในหอคอยทมิฬ เขาไม่ต้องเกรงกลัวแรงกดดันจากซากศพของพระเจ้าและสามารถตรวจสอบมันได้อย่างละเอียด ศพของพระเจ้าทั้งสองศพนี้มีสภาพสมบูรณ์ แต่แก่นวิญญาณภายในกลับแห้งเหือดหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันซากศพทั้งสองถูกดูดซับพลังงานไปโดยแมลงดูดโลหิตมาแล้วเป็นเวลานาน
“กระดูกของพระเจ้าจะสามารถบดเป็นผงและใส่เป็นส่วนผสมของเม็ดยาได้รึเปล่า?” หลิงฮันพึมพำ “ถึงแม้เจ้าของศพเหล่านี้จะไม่ใช่มนุษย์แต่พวกเขาก็มีรูปร่างเป็นมนุษย์ การนำกระดูกของมนุษย์ไปทำเป็นเม็ดยา… แค่คิดก็รู้สึกขยะแขยงแล้ว ช่างมันเถอะ ปล่อยเอาไว้แบบนี้ก่อนแล้วกัน”
เขาเลิกสนใจซากศพพระเจ้าและหยิบหัวกะโหลกทั้งสองของสัตว์อสูรขึ้นมาศึกษารูปแบบอักขระ ถ้าเขาสามารถทำความเข้าใจความลึกซึ้งของมันได้ พลังต่อสู้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นมหาศาล
ค่ำคืนผ่านพ้นไป หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬเนื่องจากการทดสอบที่สองใกล้จะเริ่มแล้ว
“ใครที่อยากเข้าร่วมทดสอบเชิญเข้าไปได้ และใครก็ตามที่สามารถออกมาได้ก็จะได้รับรางวัล ส่วนสามอันดับแรกนั้นจะได้รับรางวัลที่ยอดเยี่ยมกว่าคนอื่นๆ” รูปแบบอาคมวิญญาณพูด “ยิ่งใช้เวลาน้อย รางวัลที่ได้รับก็จะยิ่งล้ำค่า”
ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น ในการทดสอบแรก มีเพียงสามอันดับแรกเท่านั้นที่ได้รางวัล แต่ในการทดสอบครั้งนี้ใครที่ผ่านบททดสอบก็มีสิทธิได้รางวัลทุกคน
ทุกคนเดินเข้าไปยังสิ่งก่อสร้างตรงหน้า ทันใดนั้นทัศนียภาพเบื้องหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยหมอกหนา
มีผู้คนมากมายเข้าสิ่งก่อสร้างแห่งนี้พร้อมกัน แต่ตอนนี้ทุกคนกลับเหลือแค่ตัวคนเดียว มองไปรอบๆก็ไม่เห็นใคร
“รูปแบบอาคม” หลิงฮันพึมพำ บททดสอบที่สองคือรูปแบบอาคม หากแก้ไขรูปแบบอาคมและออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้จะนับว่าผ่านการทดสอบ และคนที่ออกไปได้ไวที่สุดสามคนถึงจะติดสามอันดับแรก
หลิงฮันยืนอยู่ตรงกลางรูปแบบอาคม หมอกในสถานที่แห่งนี้หนาแน่นเป็นอย่างมาก ‘ตูม’ ทันในนั้นสัตว์อสูรก็ปรากฏตัวและพุ่งเข้าใส่เขา ‘ฉัวะ’ เพียงแค่ดาบเดียวสัตว์อสูรตนนั้นก็ถูกผ่าออกเป็นชิ้นๆ แต่กลับไม่มีโลหิตไหลทะลักออกมา
มันคือสัตว์อสูรที่ถูกสร้างขึ้นโดยรูปแบบอาคมไม่ใช่สัตว์อสูรของจริง
“ดูจากพลังของสัตว์อสูร สถานที่แห่งนี้ควรเป็นรูปแบบอาคมระดับห้าที่มุ่งเน้นไปที่จิตใจ” หลิงฮันเข้าใจรายละเอียดของรูปแบบอาคมอย่างรวดเร็ว ความยากของการทดสอบนี้คงจะขึ้นอยู่กับระดับพลังบ่มเพาะของแต่ละคนด้วยเช่นกัน
กุญแจสำคัญในการแก้รูปแบบอาคมนี้คือการที่ต้องต้านทานการโจมตีจากรูปแบบอาคมเอาไว้ให้ได้
ในชีวิตที่แล้วหลิงฮันเคยตระเวนไปยังโบราณสถานมานับไม่ถ้วนและเข้าใจหลักการของรูปแบบอาคมอย่างลึกซึ้ง ในการสร้างรูปแบบอาคมเขาอาจจะเป็นมือใหม่ แต่ในการแก้รูปแบบอาคมนั้น เขาเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ
เขาเดินอยู่ภายในรูปแบบอาคมอย่างช่ำชอง บางครั้งก็ไปทางซ้ายบางครั้งก็ไปทางขวา และหลังจากผ่านไปสิบนาที จู่ๆสมองของเขาก็กลายเป็นว่างเปล่าและเดินออกมาจากรูปแบบอาคม
เพียงแต่ว่าเขาไม่ใช่คนแรก
เบื้องหน้าของเขาคือฮูหนิวที่กำลังแทะเนื้อแห้งด้วยความเบื่อหน่าย เมื่อนางเห็นหลิงฮัน นางก็วิ่งเข้าใส่อย่างเริงร่าโดยไม่สนใจมือที่เปราะเปื้อนของนางแม้แต่น้อย นางกอดแขนของหลิงฮันและพูด “หนิวคิดถึงหลิงฮัน!”
หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม “หนิวหนิวมาถึงตั้งแต่ตอนไหน?”
“นานแล้ว!” ฮูหนิวพูดในขณะที่ดูดเลียนิ้วตัวเอง
“เด็กสาวคนนี้แปลกประหลาดมาก!” รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวและชี้ไปยังฮูหนิว “ข้าไม่เคยเห็นคนที่ไม่รับผลกระทบจากรูปแบบอาคมอย่างสิ้นเชิงแบบนี้มาก่อน นางเดินออกมาโดยเมินเฉยต่อกฎของที่รูปแบบอาคมตั้งเอาไว้อย่างง่ายดาย!”
หลิงฮันตกตะลึง ก่อนหน้านี้ก่อนที่เขาจะออกมาจากรูปแบบแบบอาคม เขาต้องเดินไปตามเส้นทางที่รูปแบบอาคมกำหนดไว้ ไม่สามารถเดินออกมาตรงๆได้
แต่จากคำพูดของรูปแบบอาคมวิญญาณ ดูเหมือนฮูหนิวจะไม่เดินตามเส้นทางที่ตั้งเอาไว้และเดินผ่านพวกมันออกมาโดยตรงเลย
“หนิวคืออัจฉริยะ!” ฮูหนิวพูดพร้อมกับตบหน้าอกอย่างภาคภูมิใจ
“เจ้าจะเป็นอัจฉริยะหรือไม่นั้นข้าไม่รู้ แต่ครั้งนี้เจ้าต้องเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน เจ้าทำลายสถิติทั้งหมดที่เคยมีมา!” รูปแบบอาคมวิญญาณพูด “เจ้าสามารถเลือกของรางวัลได้”
หลิงฮันพูดกับฮูหนิว “หนิวหนิว ขอทักษะกายาเก้ามังกรทรราช”
“อืม!” ฮูหนิวตกลงด้วยน้ำเสียงร่าเริง “หนิวอยากได้ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชและมอบให้กับหลิงฮัน!”
รูปแบบอาคมวิญญาณจ้องไปยังหลิงฮันและพูดกับฮูหนิว “โอกาสที่ล้ำค่าเช่นนี้ เจ้ากลับมอบให้คนอื่น?”
“หนิวต้องการแบบนั้น! ฮูหนิวพูดอย่างไม่สนใจและนำมือทั้งสองข้างพาดเอว
รูปแบบอาคมกลายเป็นไร้คำพูดและโยนบอลแสงไปทางหลิงฮัน “เจ้าช่างโชคดียิ่งนัก ไม่เช่นนั้นด้วยเวลาที่เจ้าทำได้ เจ้าคงไม่อาจได้ครอบครองส่วนที่สองของทักษะนี้”
หลิงฮันหัวเราะและนำบอลแสงกระทบกับหน้าผาก ทันใดนั้นประกายแสงนับไม่ถ้วนก็ทะลักเข้าไปยังจิตสำนึกของเขาเพื่อผสานเข้ากับทักษะกายาเก้ามังกรทรราชก่อนหน้านี้ ถ้าเขาฝึกฝนทักษะนี้จนถึงจุดสูงสุด ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งดั่งมังกรที่แท้จริงหกตัว
ผู้คนเริ่มเดินออกมาจากรูปแบบอาคมเรื่อยๆ รูปแบบอาคมนี้ไม่ได้ยากเกินไป ซึ่งไม่อาจกักขังเหล่าอัจฉริยะเอาไว้ได้
หนึ่งวันผ่านไปและอันดับของหลิงฮันก็คืออันดับที่สองในขณะที่อันดับที่สามคือหลินเซียงฉิน
หลิงฮันสามารถเลือกเม็ดยาได้สามประเภทเป็นของรางวัล ซึ่งทำให้เขาอยากจะร้องไห้ มีเม็ดยาอะไรบ้างที่เขาไม่สามารถหลอมขึ้นมาได้? เขาอยากจะได้สมุดทักษะรูปแบบอาคมมากกว่า เขาทำการต่อรองกับรูปแบบอาคมวิญญาณเพื่อขอเปลี่ยนของรางวัลแต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างเย็นชา
‘ขี้งกอะไรอย่างนี้!’ หลิงฮันบ่นในใจ
496
ถึงแม้เขาจะไม่อยากได้เม็ดยาเป็นของรางวัล แต่เขาก็ไม่ต้องการเสียโอกาสไปเช่นกัน
เม็ดยาทั้งสามนั้นไม่ใช่เม็ดยาระดับต่ำ และบังเอิญเป้นอย่างมากที่หนึ่งในนั้นคือเม็ดยาพยัคฆ์ซ่อนชะตาสวรรค์ ดังนั้นหลิงฮันจึงเลือกเม็ดยาชนิดนี้
เม็ดยาอีกสองชนิดคือเม็ดยาที่เอาไว้ช่วยเหลือในการทะลวงผ่านระดับสวรรค์ แต่หลิงฮันไม่ต้องการมัน แถมเขาก็ยังสามารถหลอมพวกมันขึ้นมาได้ด้วยตนเอง เพราะหากถึงตอนที่พลังบ่มเพาะของพรรคพวกของเขาบรรลุระดับก้าวสู่เทวา เขาก็คงไม่ขาดแคลนสมุนไพรที่ใช้หลอมเม็ดยาชนิดนี้แล้ว
นี่คือรางวัลสำหรับจูเสวียนเอ๋อ
“ยังเหลือการทดสอบสุดท้ายอยู่ คนที่ไปถึงที่นั่นทันภายในระยะเวลาสิบวันจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการทดสอบ” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าว
ทุกคนออกเดินทาง แม้คนที่ไม่ผ่านการทดสอบที่สองก็สามารถเข้าร่วมการทดสอบที่สามได้หากพวกเขาสามารถไปถึงสถานที่ทดสอบได้ทันเวลา
พวกหลิงฮันเองก็ออกเดินทางเช่นกัน และในเมื่อเขาได้รับทักษะกายาเก้ามังกรทรราชมาสองส่วนแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่หลิงฮันจะอยากได้ส่วนสุดท้ายเพื่อทำให้ทักษะนี้สมบูรณ์
ขณะที่เดินทางเขาก็เริ่มทำการศึกษาทักษะไปด้วย
ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชแตกต่างกับทักษะทั่วไป มันไม่ใช่ทักษะที่มีไว้เพื่อฝึกฝนปราณก่อเกิด มันคือทักษะสำหรับฝึกฝนกายหยาบของมนุษย์ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดจนมีกายหยาบที่เทียบได้กับพระเจ้า
สำหรับหลิงฮัน ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชนั้นราวกับถูกสร้างมาเพื่อเขา เพราะว่าตัวเขานั้นฝึกฝนคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ทำให้มีกายหยาบที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับแร่เหล็กระดับเดียวกัน และถ้าหากเขาบรรลุกายาเพชรได้ กายหยาบของเขาจะน่าสะพรึงหลัวยิ่งกว่านี้อีก!
ด้วยกายหยาบที่แข็งแกร่ง หากเขาฝึกฝนทักษะกายาเก้ามังกรทรราชไปพร้อมๆกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมากกว่าเดิมสองเท่า
แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้ทำการฝึกฝน นั่นเพราะรูปแบบอาคมวิญญาณให้เวลากับพวกเขาเพียงสิบวันเท่านั้น แถมเส้นทางที่ต้องเดินผ่านยังเต็มไปด้วยภัยอันตรายอีกด้วย
หลังจากเดินไปได้ซักพักพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ได้หายไปจนไม่มีเส้นทางให้เดินต่อ แต่กลับกัน บนกลางอากาศได้ปรากฏก้อนหินรายเรียงกันสูงไปถึงขอบฟ้า
“สถานที่ทดสอบที่สาม… หรือว่าจะเป็นบนฟ้า?”
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น”
“นี่คือบันไดหินที่เชื่อมต่อกับสรรค์?”
ทุกคนรู้สึกว่าบันไดหินไม่ใช่สถานที่ทดสอบ เพราะจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานสามารถบินบนอากาศได้ ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถบินรวดเดียวไปถึงบนสุด แต่พวกเขาก็ยังสามารถหยุดพักระหว่างทางได้
“ลองดูก่อน” หลิงฮันกระโดดขึ้นไป แต่สีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปทันที ขณะที่กระโดด เขารู้สึกได้ถึงแรงโน้มถ่วงที่รุนแรงผิดปกติ โดยปกติแล้วเขาสามารถกระโดดได้สูงอย่างน้อยหลายร้อยฟุต แต่ตอนนี้แค่ห้าฟุตก็ทำได้ยากแล้ว
โชคดีที่เขายังกระโดดไปหยุดอยู่ที่หินที่ลอยอยู่
เรื่องที่น่าแปลกก็คือหลังจากที่เขาไปยืนอยู่บนก้อนหินกลางอากาศ แรงโน้มถ่วงที่รุนแรงได้กลับสู่สภาพปกติ
ดูเหมือนว่าแรงโน้มถ่วงจะมีไว้เพื่อยับยั้งการบินบนฟ้าของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน และทำให้พวกเขาทุกคนก้าวไปต่อได้ยากขึ้น
ความรุนแรงของแรงโน้มถ่วงก็น่าจะขึ้นอยู่กับระดับพลังของแต่ละคนเช่นกัน
“พวกเจ้าขึ้นมา เส้นทางนี้ดูเหมือนจะไม่ง่ายเสียแล้ว” หลิงฮันพูด
เส้นทางนี้คล้ายคลึงกับทางเข้าเมืองในการทดสอบแรก แต่ประเด็นก็คือรูปแบบอาคมวิญญาณกล่าวเอาไว้ว่าพวกเขาต้องไปถึงสถานที่ทดสอบภายในสิบวัน… นั่นหมายถึงอะไร?
เส้นทางที่จะไปถึงสถานที่ทดสอบสุดท้ายต้องไกลมากแน่นนอน!
ทุกคนเริ่มกระโดดตามขึ้นมาทีละคน บางคนที่กระโดดได้ไม่สูงพอก็ต้องกระโดดใหม่อีกครั้ง นี่เป็นเพียงก้อนหินก้อนแรกเท่านั้น ส่วนก้อนหินที่ลอยอยู่ปลายทางสุดท้ายนั้นไม่สามารถมองเห็นได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางนี้จะไกลขนาดไหน
ในตอนแรก ทุกคนนั้นเต็มไปด้วยกำลังใจที่ฮึกเหิมและพวกเขากระโดดข้ามก้อนหินไปทีละคน แต่หลังจากผ่านไปสิบนาที ความเร็วของพวกเขาก็เริ่มช้าลงจนแผ่นหลังเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
หลิงฮันยังคงก้าวกระโดดอย่างผ่อนคลาย ที่จริงเขาสามารถให้พวกหลิวอู๋ตงและคนอื่นๆเข้าไปยังหอคอยทมิฬและพาพวกเขาขึ้นไปยังจุดบนสุดได้ แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น ในสายตาของหลิงฮัน บันไดหินนี้จะทำให้พวกพัฒนาขึ้นอย่างมาก
คนที่สามารถก้าวขึ้นไปยังจุดบนสุดได้ภายในเวลาสิบวัน คนคนนั้นไม่ใช่แค่มีพรสวรรค์ในด้านศาสตร์แห่งวรยุทธ แต่ยังเป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเขามีจิตใจที่ไม่ย่อท้ออีกด้วย
ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่ได้หยุดรอคนอื่นและกระโดดข้ามก้อนหินไปอย่างรวดเร็ว
ในสถานที่แห่งนี้ จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานก็ต้องใช้วิธีก้าวกระโดดเช่นกัน แถมยิ่งมีระดับพลังสูงเท่าไหร่ แรงโน้มถ่วงก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น
ผ่านไปสักพักหลิงฮันก็ทิ้งทุกคนไว้เบื้องหลัง คนเดียวที่ยังตามเขามาติดๆคือฮูหนิว
ความเร็วของเด็กสาวเองก็ถูกจำกัดเอาไว้เช่นกัน แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังรวดเร็วอยู่ดี อย่างน้อยๆนางก็ไม่ได้เชื่องช้าไปกว่าหลิงฮันเลย
เมื่อใดก็ตามที่เหนื่อยล้า พวกเขาก็จะนั่งพักบนก้อนหินที่ลอยอยู่กลางอากาศและดูดซับพลังวิญญาณรอบๆเพื่อฟื้นฟูพลังและบ่มเพาะพลังไปพร้อมๆกัน
หลังจากฟื้นฟูพลังและบ่มเพาะพลังเสร็จ หลิงฮันก็ทำการฝึกฝนทักษะกายาเก้ามังกรทรราช
หลิงฮันขยับตัวด้วยท่าทางที่แปลกประหลาด ‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ กระดูกทั่วร่างของเขาเริ่มแตกหักจนร่างของเขาเกือบโค้งงอ พลังปราณและโลหิตในร่างของเขาไม่สามารถโคจรได้ตามปกติ เขารู้สึกเจ็บปวดจนเกือบจะกระอักเลือดออกมา
ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชขั้นต้นมีทั้งหมดสิบสองท่าทาง ก่อนที่เขาจะได้รับส่วนที่สองมา ส่วนขั้นต้นของทักษะนี้มีเพียงหกท่าทางเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่าทักษะกายาเก้ามังกรทรราชที่สมบูรณ์จะมีทั้งหมดสิบแปดท่าทาง
497
หนึงนาทีต่อไป หลิงฮันเปลี่ยนไปเป็นท่าที่สอง แคร๊ก แคร๊ก แคร๊ก กระดูกภายในร่างกายของเขาแตกหักอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะบ่มเพาะกายาเหล็กไหลได้สมบูรณ์แบบ และความแข็งของกระดูกเทียบได้กับเหล็กหายากในระดับเดียวกัน แต่เขาก็ยังคงรู้สึกได้ว่ากระดูกของเขากำลังแตกหัก
เนื่องจากเขาเป็นคนที่ทำท่าทางนี้ด้วยตัวเอง มันจึงเทียบเท่ากับการต่อสู้กับตัวเอง ดังนั้นแม้ว่ามันจะเป็นเหล็กหายากในระดับเดียวกัน เหล็กศักดิ์สิทธิ์ก็ยังต้องแตก
ด้วยท่าทางแปลกประหลาดนี้ เลือด เนื้อและกระดูกของเขาราวกับว่าพวกมันแต่ละส่วนนั้นมีชีวิต และดูดซับพลังอย่างเมามันแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับเขา แต่ทว่ามันกลับไม่ได้เปลี่ยนเป็นพลังก่อเกิด แต่เป็นพละกำลังแทน
กล้ามเนื้อของเขาไม่ได้ใหญ่โตขึ้นแต่อย่างใด แต่เขาก็ยังคงรู้สึกได้ว่าเซลล์แต่ละเซลล์นั้นเต็มไปด้วยพลังและเขาสามารถบดขยี้ขุนเขาได้ด้วยพลังเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นภาพลวงตา เขาเพิ่งจะบ่มเพาะมัน ดังนั้นมันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะแสดงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งออกมาได้รวดเร็วเพียงนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่เขาบ่มเพาะมันได้อย่างสมบูรณ์และมีกายหยาบเทียบได้กับกายหยาบพระเจ้า เช่นนั้นกำปั้นของเขาก็จะเต็มไปด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัวของมังกรที่แท้จริงเก้าตัว
หลิงฮันเปลี่ยนไปเป็นท่าที่สามและ แคร๊ก แคร๊ก แคร๊ก กระดูกของเขายังคงแตกหักอย่างต่อเนื่อง เขาถึงขั้นกระอักเลือดออกมา แต่มีสิ่งสกปรกปะปนออกมาด้วย ทำให้เขารู้สึกงงงวยด้วยความประหลาดใจ ประสิทธิภาพของมันเห็นได้ชัดจนเกินไป
เม็ดเหงื่อบนร่างกายของเขาเหมือนกับฝน และเส้นผมต่างเปียกโชก ด้วยเสียงที่หยดไหลของเม็ดเหงื่อและอากาศที่ร้อนขึ้นทำให้ก่อตัวเป็นไอน้ำสีขาว
ฮูหนิวรู้สึกว่ามันน่าสนใจและเริ่มเลียนแบบท่าทางของหลิงฮันทันที
“มันเจ็บ!” เด็กสาวตัวน้อยกรีดร้องออกมาไม่หยุด นางทรุดตัวลงกับพื้นและพูดออกมาด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “ไม่เห็นจะสนุกเลยแม้แต่น้อย!”
หลิงฮันอยากจะหัวเราะออกมา เด็กสาวตัวน้อยที่เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดนั้นไม่ได้แปลกประหลาดไปทั้งหมด
สิบสองนาทีต่อมา หลิงฮันทำท่าทางทุกอย่างอีกครั้ง เม็ดเหงื่อก่อตัวปกคลุมไปทั่วร่าง หลิงฮันเปียกโชกไปทั้งตัว จากนั้นหลิงฮันเปลี่ยนท่าทางอีกครั้งแล้วกลับไปอยู่ในท่าแรก
ร่างกายของเขายังคงดูดซับพลังงานเข้าไปในร่างกายอย่างต่อเนื่อง แต่มันค่อนข้างแปลกประหลาดทีเดียว ในตอนที่เขาเปิดใช้งานทักษะห้าธาตุสวรรค์ พลังพวกนั้นจะกลายเป็นพลังก่อเกิด แล้วถูกเก็บรวบรวมไว้ที่ตันเถียนและมหาสมุทรวิญญาณ แต่ทว่าตอนนี้นั้นพลังที่ดูดซับมาได้จากทุกเซลล์จะกลายเป็นพละกำลัง
พลังก่อเกิดหรือพละกำลัง อะไรคือความแตกต่าง?
หลิงฮันเคยได้ยินมาว่าบางคนเกิดมาพร้อมกับพละกำลังมหาศาล พวกเขาไม่จำเป็นต้องฝึกฝนบ่มเพาะพลังแม้แต่นิดเดียว เพียงแค่หมัดและลูกเตะก็สามารถทำลายภูเขาสูงได้ทั้งลูก เหมือนกับมนุษย์และมด ซึ่งมดจะต้องฝึกฝนกี่ระดับกันก่อนที่จะสามารถเผชิญหน้ากับพละกำลังของมนุษย์ได้?
ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชบางทีอาจถูกสร้างขึ้นโดยสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งและมุ่งเน้นไปที่การบ่มเพาะกายา และกลายเป็นกายหยาบพระเจ้า!
หลิงฮันหยุดความคิดที่ทำให้เขาเสียสมาธิและมุ่งสมาธิทั้งหมดเพื่อชี้นำโลหิต กล้ามเนื้อ เส้นโลหิตและกระดูกดูดซับพลังงานที่ลอยอยู่ในอากาศและเปลี่ยนให้มันกลายเป็นพละกำลัง สิ่งที่เขากินไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นมากมายมาก ดังนั้นพลังที่แปลงเปลี่ยนมาจากพวกมันจึงน่าหวาดกลัว ทำให้เขารู้สึกได้ว่ามันกำลังจะระเบิดออกมา
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา หลิงฮันหยุดและนั่งลงบนพื้นทันทีแล้วอ้าปากหายใจ
นี่มันเป็นอะไรที่เหนื่อมาก แต่ก็ให้ความรู้สึกสบายที่ไม่อาจอธิบายออกมาได้และก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ
หลังจากนั่งพักได้ชั่วครู่ เขาก็เข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่ออาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วทดสอบพละกำลังของเขา
มันเทียบได้กับระดับรวมธาตุ!
พระเจ้า เขาฝึกมันเพียงแค่ชั่วโมงเดียว และก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้ว
หลิงฮันพยักหน้าให้กับตัวเอง ตอนนี้เขาอยู่ในระดับแก่นแท้จิตวิญญาณและกินยาบำรุงมามากมาย และเมื่อสิ่งเหล่านี้เหือดแห้งไป มันจะยังคงเพียงพอสำหรับคนปกติที่จะข้ามผ่านระดับหลอมกายาได้ทันทีหรือไม่?
ในทางตรงกันข้าม ถ้าปล่อยให้จอมยุทธระดับหลอมกายากินยาบำรุงมากมายเกินไป พวกเขาจะตายเพราะกินเยอะเกินไป
“อย่างไรก็ตาม ข้าเริ่มต้นเร็วเกินไปเพราะข้าอยู่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแล้ว และความก้าวหน้าบางทีอาจจะไม่รวดเร็วนัก” หลิงฮันพูดกับตัวเองและฉีกยิ้มออกมา การบ่มเพาะกายาเป็นหนึ่งในไผ่ลับของเขา ในอนาคตถ้าใครคิดว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์หมดหนทาง แต่จู่ๆเขาก็ระเบิดพละกำลังมหาศาลออกมา เขาก็จะผลิกสถานการณ์ได้ทันทีด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว
หลิงฮันออกจากหอคอยทมิฬ เขาก่อไฟและเริ่มต้มน้ำกับฮูหนิว ตอนนี้เขาใช้พลังไปจำนวนมากและมีความอยากอาหารมากยิ่งขึ้น
“ในอนาคต ภายในหอคอยทมิฬข้าจะเลี้ยงสัตว์อสูรให้มากขึ้น” หลิงฮันกล่าว มิฉะนั้น อาหารคงจะไม่เพียงพอสำหรับท้องของเขาและฮูหนิว
“เย้ เย้!” ฮูหนิวแสดงท่าทางดีใจออกมา และจ้องมองไปที่หลิงฮันพร้อมกับน้ำลายที่หกไหลออกมา “ไข่นั่น!”
“ไข่นั่นกินไม่ได้!” หลิงฮันรีบพูดออกมา เด็กสาวตัวน้อยยังไม่ละทิ้งความพยายามและไม่ลืมเรื่องไข่ของอีแร้งเพลิงสีคราม
“ฮึ่ม ขี้งก!” ฮูหนิวบุ้ยปาก แต่เมื่ออาหารปรุงเสร็จแล้ว นางก็เริ่มกินมันอย่างรื่นเริงทันที
เมื่อพวกเขากำลังจะกินอาหารเสร็จ พวกเขาก็เห็นว่ามีใครบางคนกำลังปีนขึ้นมาอย่างยากลำบาก
มันคือเชิงจงเฉิน
หลิงฮันไม่คิดเลยว่าคนที่จะมาถึงเป็นคนที่สามนั้นจะไม่ใช่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานจากรุ่นก่อน แต่กลับเป็นราชันดาบชุดคลุมขาวผู้ที่เป็นอัจฉริยะอันดับแปดของปีนี้
หลิงฮันพยักหน้า การทดสอบรอบที่สามนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่ง…และแน่นอนว่าถ้าไม่ใช่สัตว์ประหลาดอย่างหลิงฮันและฮูหนิวที่เป็นระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นสองและสาม แต่กลับมีพลังที่เทียบเท่ากับขั้นเก้า นั้นก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งทันที
โดยรวมแล้วการทดสอบครั้งนี้ทดสอบความดื้อรั้นของคน
จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณนั้นได้เปิดมหาสมุทรวิญญาณขึ้นแล้ว ซึ่งทำให้มีการไหลเวียนพลังก่อเกิดอย่างเนื่องเนื่องและสร้างรากฐานวิญญาณที่สามารถเชื่อมต่อกับสวรรค์ได้ การปีนไต่แบบนี้นั้น พวกเขาไม่มีทางเหน็ดเหนื่อยอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม แรงดึงดูดที่นี่มันหนักหน่วงเกินไปและทำให้ผู้คนรู้สึกเหนื่อยได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นคนที่เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าและช้ากว่านั้นขึ้นอยู่กับความแน่วแน่ของแต่ละคน
…ถ้าเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดพักแล้ว แล้วจะถึงเมื่อไหร่กัน?
สายตาของนักดาบผู้นี้เป็นเหมือนกับดาบ เขาเต็มไปด้วยความดื้อรั้นและแน่วแน่ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่หยุดจนกว่าจะไปถึงปลายทาง
สภาพร่างกายของเขาเหมือนกับหลิงฮันก่อนหน้านี้ที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและเส้นผมที่เปียกโชก แต่ชายที่หลั่งเหงื่อไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกเห็นใจ แต่เห็นว่าเป็นชายที่เข้มแข็ง
ผู้ชาย…ควรจะเป็นเช่นนั้น!
หลิงฮันล้มเลิกความคิดที่จะชวนเขากินอาหาร เชิงจงเฉินกำลังทะลวงผ่านขีดจำกัดของตัวเองและเป็นไปได้มากว่าระดับพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหรือมีความก้าวหน้าบนวิถีแห่งดาบ
“ฮูหนิว พวกเราจะมัวทำตัวขี้เกลียดไม่ได้แล้ว ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดในทีเดียวกันเลย!” หลิงฮันกล่าว
“ไปกันเลย!” ฮูหนิวชูกำปั้นเล็กๆของนางขึ้นมา
ทั้งสองเริ่มปีนไต่อีกครั้ง พลังของพวกเขาเหนือกว่าระดับของตัวเอง และเนื่องจากสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยแรงโน้มถ่วง แต่ความเร็วของพวกเขานั้นค่อนข้างเร็วและในไม่ช้าก็แซงเชิงจงเฉิน
อย่างไรก็ตาม หลิงฮันนั้นได้ถอนหายใจออกมา เขาทำตัวผ่อนคลายเกินไป ซึ่งมันจะทำให้เขาไม่สามารถทะลวงผ่านขีดจำกัดของตัวเองได้
ในทางกลับกัน มันก็เป็นเพราะเขาได้ทะลวงผ่านขีดจำกัดของระดับนี้ไปแล้วเลยทำให้ตอนนี้เขาสามารถทำตัวผ่อนคลาย
498
สำหรับคนอื่น “บันไดสู่สวรรค์” เป็นการทดสอบที่ยากเย็น แต่สำหรับสัตว์ประหลาดทั้งสองคน หลิงฮันและฮูหนิวนั้นมันเป็นการทดสอบที่ง่ายดาย และไม่อาจผลักดันให้พวกเขาทะลวงผ่านขีดจำกัดของตัวเองได้
ดังนั้น ในไม่ช้าหลิงฮันจึงหมดความสนใจและหลังจากปีนไต่มาเป็นเวลาหนึ่งวัน เขาก็หยุดดูดซับพลังก่อเกิดแล้วเปลี่ยนเป็นพละกำลัง แต่การบ่มเพาะทักษะกายาเก้ามังกรทรราชนั้นเจ็บปวดมากเพราะท่าทางแต่ละท่าทางนั้นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ ทุกครั้งที่เขาทำถึงขั้นกระอักเลือดออกมา
ไม่แปลกที่เขาต้องกินยาบำรุงจำนวนมาก มิฉะนั้นเขาคงจะตายเพราะกระอักเลือดทุกวัน
ทุกครั้งที่หลิงฮันฝึกเสร็จ เขาก็จะเริ่มกินเนื้อกับฮูหนิว และเห็นราชันดาบชุดคลุมขาวปีนไต่ขึ้นมา ในแต่ละวันที่ผ่านไป การแสดงออกของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย และสายตาของเขากลับยิ่งเปล่งประกายมากขึ้น
หลิงฮันสามารถมองเห็นได้ว่ามีบางอย่างปลูกอยู่ภายในหัวใจของนักดาบผู้นี้ และเมื่อมันงอกเงยขึ้น มันจะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรน์
นี่คือโอกาสของเชิงจงเฉิน
หลังจากผ่านไปเก้าวัน ในที่สุดหลิงฮันและฮูหนิวก็ปีนขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดของบันไดสู่สวรรค์ และสถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนอันกว้างใหญ่ที่แปลกสุดจะพรรณนา ราวกับว่ามันเป็นดินแดนที่ถูกแยกส่วนออกมา
ทันใดนั้น คลื่นพลังที่ผิดปกติถูกส่งมาจากด้านล่างและปล่อยพลังที่น่าทึ่งออกมา การปรากฏตัวของคลื่นพลังนั่นเป็นเหมือนกับน้ำขึ้นน้ำลง
“ใครบางคนกำลังทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน!” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ
ในไม่ช้าคลื่นพลังนั่นก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง
“คนที่สองกำลังทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน!” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจมากกว่าเดิม
จากระดับแก่นแท้จิตวิญญาณไประดับบุปผาผลิบาน นี่เป็นกระบวนการก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไป แม้จะทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้วแต่ก็ยังคงห่างไกลจากคำว่าพระเจ้า ตัวตนระดับบุปผาผลิบานนั้นสามารถบินและมีชีวิตอยู่รอดเพียงแค่ดูดซับพลังปราณโดยที่ไม่ต้องกินอาหาร ซึ่งเป็นอะไรที่มนุษย์ไม่สามารถเปรียบเทียบด้วยได้
ดังนั้น การข้ามผ่านขั้นตอนพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
ในช่วงครึ่งวัน หลิงฮันรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังเจ็ดระลอกที่ทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน และแน่นอนว่าไม่ใช่คนคนเดียวกันที่ทะลวงผ่านเจ็ดครั้งเพราะความล้มเหลว
มันน่าจะเป็นเหล่าอัจฉริยะที่ติดอยู่ในระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าและอยู่ห่างจากระดับบุปผาผลิบานเพียงแค่ก้าวเดียว เมื่อถูกจำกัดด้วยความยากลำบากในการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน พวกเขาจึงหยุดอยู่กับที่
แต่ที่นี่ พวกเขาถูกบังคับให้ทะลวงผ่านขีดจำกัดของตัวเองด้วยอำนาจจิตที่ทำให้ผู้คนเข้าสู่สถานะของการเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และปฐพีได้อย่างง่ายดาย มองทะลุผ่านตัวเองและทำความเข้าใจได้ทันที และได้รับกุญแจก้าวเข้าสู่ระดับถัดไป
ไม่แปลกที่มีคนจำนวนมากต้องการเข้ามาที่นี่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับสมบัติกลับไปแม้แต่ชิ้นเดียว เพียงแค่ประสบการณ์ก็คุ้มค่าแล้ว
แน่นอนว่าคนทั้งเจ็ดคนสามารถทะลวงผ่านได้นั่นเป็นเพราะพวกเขาสะสมพลังระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้มากพอแล้ว แต่ทั้งหมดนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเอง
ทั้งเจ็ดคนนั้นยังมาไม่ถึงปลายทาง ในตอนบ่ายของวันที่สิบ มีคนอีกสามคนทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานทีละคนทีละคน แสดงให้เห็นว่า พวกเขาทั้งสิบคนไม่สามารถมาที่นี่ได้ภายในสิบวัน เพราะการทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวัน
เมื่อพวกเขาทะลวงผ่านผ่านระดับบุปผาผลิบานสำเร็จแล้ว เวลาหนึ่งเดือนคงจะครบกำหนดและทุกคนจะถูกขับไล่ออกจากเขตแดนลี้ลับ
ราชันดาบชุดขาวมาถึงเป็นคนที่สาม และเมื่อเขาก้าวผ่านบันไดขั้นสุดท้าย เขาก็นั่งขัดสมาธิทันที พลังปราณเริ่มเข้าสู่ร่างของเขาราวกับมือที่ไร้รูปร่างกำลังดึงพลังปราณเข้ามา
เมื่อจับตามองอย่างใกล้ชิด พลังปราณก่อรูปร่างเป็นสัตว์อสูรดุร้ายสามตัว มันกระโดดโลดเต้นอยู่บนตัวเชิงจงเฉินคนละมุม
“นี่มันปรากฎการณ์สามอสูร!” หลิงฮันรู้สึกตกใจว่า “ตำนานเป็นเรื่องจริง มันจะปรากฏออกมาเมื่อสามารถเอาชนะตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ซึ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาของพลังลึกลับในสวรรค์และโลก! กล่าวกันว่าจำนวนสัตว์วิญญาณที่สามารถดึงออกมาได้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะทะลวงผ่านขั้นของระดับพลังได้ตามจำนวนที่ปรากฏตอนนี้ เชิงจงเฉินได้รับกำไรอย่างมหาศาล”
พลังปราณพุ่งพล่านและยังคงเปลี่ยนรูปร่างเป็นสัตว์อสูรอย่างต่อเนื่อง สัตว์อสูรสามตัวกระโจนเข้าหาเชิงจงเฉินทีละตัวและทำให้พลังของเขาเพิ่มขึ้นไม่หยุด
ครึ่งชั่วโมงต่อมาก พลังงานได้ระเบิดออกมาจากร่างของเชิงจงเฉิน เขาลืมตาขึ้นทันที ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็กสองดาง แต่แล้วความเร่าร้อนก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ดวงตาของเขายังคงเต็มไปด้วยแววตาที่แหลมคมเหมือนกับดาบ
ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นห้า!
ระดับพลังของเขาเพิ่มขึ้นสามขั้นอย่างที่คิด
หลิงฮันรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ทำไมเขาถึงแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งเกินไปถึงขั้นการทดสอบที่นี่ไม่อาจบังคับให้เขาก้าวผ่านขีดจำกัดของตัวเองได้…
และคนที่สี่ที่ขึ้นมาถึงคือชางเย่!
จิตสังหารเอ่อล้นออกมาจากร่างกายของเขา เขาถือกระบี่อยู่ในมือขวา แววตาของเขาดูน่าสะพรึงกลัว ราวกับว่าเขาไม่เกรงกลัวและไม่ลังเลที่จะโจมตีออกไปด้วยกระบี่ของเขาเพื่อสะบั้นจอมยุทธระดับทลายมิติ!
การขัดเขลาจิตตานุภาพของเขาในที่สุดก็สามารถปลดปล่อยจิตสังหารออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ชางเย่เองก็นั่งลงทันทีเช่นกัน และพรึบ พลังปราณโคจรอยู่รอบร่างกายและก่อร่างเป็นสัตว์อสูรสามตัวพุ่งเข้าไปในร่างกายของเขา
‘เฮ้อ หรือว่าพวกเจ้าพยายามทำให้ข้าโกรธ?’
หลิงฮันส่ายหัว แต่ก็เผยให้เห็นถึงรอยยิ้ม ชางเย่นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะ และความสำเร็จของเขาในอนาคตนั้นไร้ขีดจำกัด! ในแคว้นพิรุณ เขามีความรู้สึกว่าชางเย่จะกลายเป็นจักรพรรดิกระบี่ตะวันคนที่สองในอนาคต แต่ตอนนี้ความรู้สึกกลับกลายเป็นความเชื่อมั่น
ตราบใดที่ชางเย่ยังมีชีวิตอยู่และก้าวหน้าต่อไป เขาจะต้องกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน!
หลิงฮันลูบคางของตัวเอง เขาควรปล่อยให้ชางเย่พัฒนาด้วยตัวเองหรือไม่? หากติดตามอยู่เคียงข้างเขาและได้รับการปกป้องตลอด ชางเย่จะไม่มีวันกลายเป็นจอมยุทธที่แท้จริง แต่เป็นเพียงได้แค่ลูกสมุนที่ทรงพลังเท่านั้น
ผู้คนเริ่มทยอยกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น อวี่คุนหลุนและอัจฉริยะอันดับต้นๆจากการจัดอันดับครั้งก่อนหรือสองครั้งก่อนนั้นยังไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็นแม้แต่คนเดียว บางทีพวกเขาอาจเป็นสิบคนเหล่านั้นที่ทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน
หลิงฮันคิดแบบนั้นได้ชั่วครู่หนึ่ง และหยุดคิดเรื่องพวกนั้นทันที เขาปรารถนาที่จะผ่านการทดสอบที่สามและได้รับทักษะกายาเก้ามังกรทรราชฉบับสมบูรณ์
เมื่อวันนี้สิ้นสุดลงมีคนเพียงสิบสี่คนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบ หลิวอู๋ตง และเย่วไค่หยู่ยังขึ้นมาไม่ถึง แสดงให้เห็นว่าจิตตานุภาพของพวกเขายังไม่หนักแน่นพอ
…เชิงจงเฉินใช้เวลามากกว่าเก้าวันกว่าจะมาถึงที่นี่และเกิดปรากฏการณ์สามอสูรเช่นเดียวกัน
ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างปกติทีเดียวสำหรับพวกเขาที่มาไม่ถึง
รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวออกมาและเหลือบมองผู้คนทั้งสิบสี่คนแล้วพูดว่า “การทดสอบรอบที่สามคือทักษะการปรุงยา มันไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน ซึ่งข้าจะเป็นคนตัดสินด้วยตัวเอง”
อย่างรวดเร็ว ผู้คนสิบสามคนจากสิบสี่คนยอมแพ้ทันที
เพราะอะไรน่ะหรือ? ไม่มีพวกเขาคนใดที่เป็นนักปรุงยาเลยแม้แต่คนเดียว การทดสอบนี่มันอะไรกัน!
สีหน้าของรูปแบบอาคมวิญญาณรู้สึกแปลกใจ และจ้องมองไปที่หลิงฮันขณะที่มันพูดว่า “เจ้าเองก็เป็นนักปรุงยางั้นรึ? เจ้าเป็นนักปรุงยาเพียงคนเดียวหรือที่อยู่ที่นี่?”
“แน่นอนและมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!” หลิงฮันจงใจถอนหายใจออกมา
รูปแบบอาคมวิญญาณคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “แม้จะมีเพียงแค่เจ้าเพียงคนเดียว ถ้าระดับเม็ดยาที่เจ้าปรุงมานั้นไม่ถึงระดับ เจ้าจะไม่ได้รับรางวัลตอบแทนอะไรเลย”
มันกำลังสบประมาทปรมาจารย์นักปรุงยาอยู่อย่างนั้นหรือ?
499
“รีบเริ่มได้แล้ว!” หลิงฮันอดใจรอไม่ไหว ราวกับว่าเขาเห็นส่วนสุดท้ายของทักษะกายาเก้ามังกรทรราชอยู่ในมือของเขาแล้ว
“…เจ้าหนู เจ้าอวดดีเกินไป!” แม้แต่รูปแบบอาคมวิญญาณก็ยังพูดโต้เถียงออกมา
หลิงฮันหัวเราะเสียงดังและเข้าไปในอาคารที่อยู่ข้างหน้า
พรึบ ร่างกายของเขาหายไปและปรากฏตัวอยู่ในห้องปรุงยาที่มีกำแพงล้อมรอบ มีชั้นวางตั้งเป็นแถวซึ่งมีสมุนไพรอยู่ทุกชนิด ขณะที่หม้อปรุงยานั้นอยู่ตรงกลางห้อง
หลิงฮันรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว สัมผัสสวรรค์ของเขาถูกดึงออกไปอีกแล้ว
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะอุทานออกมาด้วยความโศกเศร้า ส่วนผสมสมุนไพรที่อยู่ที่นี่อย่างน้อยเป็นสมุนไพรระดับเก้า และเขาอยากจะนำเม็ดยาออกมาหลังจากที่ปรุงมันเสร็จ แต่ทว่าเขากลับไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นพื้นที่จิตและทุกอย่างเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
“ที่แห่งนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความร้อนของเปลวเพลิง ส่วนผสมทั้งหมดที่เจ้าต้องการล้วนอยู่บนชั้นวางหมดแล้ว และถ้ามันไม่มีอยู่ที่นี่ จงบอกข้าและข้าจะนำมันมาให้กับเจ้า” รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวออกมา
หลิงฮันอดที่จะถามออกไปไม่ได้ว่า “เม็ดยาระดับใดที่ข้าจะปรุงมันขึ้นมาเพื่อที่จะได้รับส่วนสุดท้ายของทักษะกายาเก้ามังกรทรราช?”
รูปแบบอาคมวิญญาณเพียงแค่กลอกตาของมัน เจ้ายังไม่ทันจะเริ่มปรุงยาเลยแต่ดวงตาของเจ้ากลับจับจ้องไปที่ของรางวัลแล้ว? เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเลยรึ? มันหยุดและพูดว่า “ด้วยอายุของเจ้าแล้ว อย่างน้อยต้องเป็นเม็ดยาระดับปฐพีขั้นสูง และมันขึ้นอยู่กับคุณภาพของเม็ดยาด้วย”
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูดให้เร็วกว่านี้!” พรึบ พรึบ พรึบ หลิงฮันหยิบส่วนผสมจากชั้นวางด้วยความรวดเร็ว “เพื่อเป็นการรับประกัน ข้าจะปรุงเม็ดยาระดับสวรรค์ขั้นต่ำ ‘เม็ดยาสายรุ้งสีครามชำระล้างวิญญาณ’”
มุมปากของรูปแบบอาคมวิญญาณกระตุกอย่างเห็นได้ชัด เม็ดยาระดับสวรรค์งั้นรึ? เจ้าต้องพูดจาโอ้อวดอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลิงฮันเริ่มลงมือปรุงยาแล้ว มือทั้งสองข้างของเขาเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติและรื่นไหล เขาเลือก ชำระล้างแล้วปรุงมัน และสุดท้ายก็เริ่มเปิดหม้อเพื่อปรุงเม็ดยา กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นภายในครั้งเดียว มันดูเรียบง่ายและรื่นไหลอย่างไม่น่าเชื่อ
ปากของรูปแบบอาคมวิญญาณเริ่มอ้าขึ้นอย่างช้าๆ จนกระทั่งกลายเป็นวงกลมและเผยท่าทีตกใจอย่างมากออกมา
สัตว์ประหลาดแบบนี้มีตัวตนอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร?
พรสวรรค์ที่น่าทึ่งในวิถีวรยุทธ และความสามารถที่โดดเด่นในรูปแบบอาคม และอย่างสุดท้าย ความสามารถที่ไร้ผู้ใดเปรียบในศาสตร์ปรุงยา…คนที่เชี่ยวชาญทุกอย่างมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ด้วยหรือ?
การปรุงเม็ดยาระดับสวรรค์ใช้เวลาไม่นาน เพราะหลังจากผ่านไปสามวันสามคืน หลิงฮันรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก
นั่นเป็นเพราะมันเป็นเม็ดยาระดับสวรรค์ และสัมผัสสวรรค์ของเขาในปัจจุบันนั้นยังอ่อนแอเกินไป ทำให้ไม่สามารถทนต่อการปรุงยาได้มากกว่าหนึ่งหม้อปรุงยา
รูปแบบอาคมวิญญาณไม่ได้มองไปที่เม็ดยาแม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนแต่เป็นภาพลวงตาที่เปลี่ยนไปภายในรูปแบบอาคมของมัน มันจ้องมองหลิงฮันอยู่ตลอดทุกขั้นตอนการปรุงยา และสามารถรับรู้ได้ว่าเม็ดยาที่เขาปรุงเสร็จแล้วนั้นมีคุณภาพเกี่ดาว
“เอามันไป เอามันไปเลย!” รูปแบบอาคมวิญญาณโยนลูกบอลแสงออกไป มันไม่จำเป็นต้องพูด แน่นอนว่านี่คือส่วนสุดท้ายของทักษะกายาเก้ามังกรทรราช
หลิงฮันรีบรับลูกบอลแสงอย่างรวดเร็วและกดทบลงมันลงบนหน้าผาก อย่างที่คิด ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง จนในที่สุดมันก็สมบูรณ์
“เจ้าหนู เจ้ามีคุณสมบัติที่จะกลายเป็นศิษย์ของสิบสองพระราชวัง ดังนั้น เจ้าอยากกลายเป็นศิษย์ของพระราชวังใด?” รูปแบบอาคมวิญญาณถามออกมาอย่างกะทันหัน
หลิงฮันยิ้มและพูดว่า “ก่อนอื่นเจ้าทำให้สัมผัสสวรรค์ของข้ากลับไปที่ร่างของข้าก่อน ข้าจะให้เจ้าดูอะไรบางอย่าง แต่ห้ามให้ผู้ใดล่วงรู้เด็ดขาด”
“ฮึ่ม การกระทำทุกอย่างของข้าล้วนแต่ลึกลับ” รูปแบบอาคมเค้นเสียงออกมา แต่ก็ยังคงทำตาม
สัมผัสสวรรค์ของหลิงฮันกลับเข้าร่าง เขายังคงอยู่ด้านในอาคาร แต่ไม่ได้อยู่ในห้องปรุงยา และเขายังสามารถเชื่อมต่อกับหอคอยทมิฬได้อีกครั้ง จากนั้นหลิงฮันได้นำกุญแจพระราชวังราศีธนูออกมาไว้ในมือ
“หืม เจ้ามีกุญแจที่จะเปิดพระราชวังราศีธนูงั้นรึ?” รูปแบบอาคมวิญญาณกรีดร้องออกมา “ทำไมเจ้าถึงไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?”
“ถ้าข้านำมันออกมาเร็วกว่านี้ แล้วข้าจะได้รับทักษะกายาเก้ามังกรทรราชหรือไม่?” หลิงฮันตอบด้วยประโยคคำถาม
“…เจ้าเด็กอวดดี!” รูปแบบอาคมวิญญาณพูดพึมพัม และหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน “ข้ามีข่าวร้ายจะบอกเจ้า มันไม่ใช่ครั้งแรกที่พระราชวังราศีธนูถูกเปิด ดังนั้นสมบัติภายในพระราชวังคงจะหายเกลี้ยงไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่สองสิ่งที่ไม่สามารถนำออกไปได้”
“บัดซบ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” รูปแบบอาคมวิญญาณหัวเราะลั่น มันรู้สึกรำคาญหลิงฮันมานานแล้ว และตอนนี้มันรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก มันหยุดหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “แต่ทว่าสมบัติที่แท้จริงภายในพระราชวังราศีธนูทั้งสองสิ่งนั้นไม่สามารถนำออกไปได้”
“มันคืออะไรงั้นรึ?” หลิงฮันถาม
“พลังลึกลับและพิกัด” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าว
พลังลึกลับ!
หลิงฮันรู้สึกมีความสุข มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก แต่อะไรคือพิกัด? เขาถามออกไปว่า “พิกัดของอะไร?”
“ในอดีต ราชาสายน้ำสวรรค์เคยค้นพบมหาคลังสมบัติของพระเจ้า เพียงแค่นำไม่กี่อย่างออกมาก็ทำให้เขากลายเป็นพระเจ้า พิกัดเหล่านั้นจะเป็นสถานที่ตั้งของมหาคลังสมบัติของพระเจ้า” รูปแบบอาคมวิญญาณตอบ
หลิงฮันตระหนักขึ้นมาได้ทันทีว่าสิ่งที่เหยียนเทียนจ้าวต้องจะต้องเป็นพิกัดพวกนั้นอย่างแน่นอน
“พิกัดพวกนั้นมีเฉพาะในพระราชวังราศีธนู?” หลิงฮันถามอีกครั้ง
“ไม่ มีทั้งสิบสองวัง การสืบทอดมรดกของสิบสองพระราชวังนั้น คนผู้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติที่จะได้รับสมบัติที่เหลืออยู่ของราชาสายน้ำสวรรค์เสียก่อน” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าว
“แล้วมหาคลังสมบัติคืออะไร?” หลิงฮันถาม
รูปแบบอาคมวิญญาณกลอกตาของมันและพูดว่า “ข้าเป็นเพียงแค่แกนกางของรูปแบบอาคมนี่ ไม่ได้รอบรู้ไปทุกอย่าง แล้วข้าจะรู้ได้ยังไง?”
หลิงฮันครุ่นคิดและพูดว่า “ครั้งนี้มันยังมีคนอื่นอีกหรือไม่ที่มีกุญแจ?”
“อะไรกัน เจ้าเดาเรื่องนั้นได้ด้วยงั้นรึ?” รูปแบบอาคมวิญญาณรู้สึกประหลาดใจ “ก่อนหน้าเจ้า มีชายคนหนึ่งนำกุญแจออกมาอย่างรีบร้อน และไม่ได้สนใจการทดสอบแม้แต่น้อย”
“เขาชื่อเหวินอีเจี้ยนใช่หรือไม่?” หลิงฮันรู้สึกวิตกกังวล
“ถูกต้อง”
อย่างที่คิด มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เจอเหวินอีเจี้ยนตอนที่สิบสองเขตแดนลี้ลับเปิด และดูเหมือนจะติดตามสถานการณ์ภายในภูมิภาคเหนืออย่างใกล้ชิดตั้งแต่ที่เขาได้รับกุญแจมา
“เขาเปิดพระราชวังอะไร?”
“พระราชวังราศีพิจิก”
หลิงฮันคิดชั่วครู่และพูดว่า “หากพระราชวังราศีธนูถูกเปิดแล้ว แล้วพิกัดมหาคลังสมบัติของพระเจ้าถูกนำออกไปแล้วหรือยัง?”
“ไม่” รูปแบบอาคมวิญญาณส่ายหัวของมัน และคืนกุญแจให้กับหลิงฮันพร้อมกับพูดว่า “นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่กุญแจเปิดพระราชวังราศีธนู แต่ยังเป็นวัตถุในการตรวจสอบเพื่อที่จะเข้ามหาคลังสมบัติของพระเจ้า หากไม่มีกุญแจ เจ้าก็จะไม่สามารถเข้าไปในนั้นได้ อย่างไรก็ตาม กุญแจจะหายไปหลังจากที่ถูกใช้งาน หากมันปรากฏออกมาอีกครั้ง มันหมายความว่าผู้ที่ครอบครองมันก่อนหน้านี้นั้นไม่ได้เข้าไปในมหาคลังสมบัติของพระเจ้า”
นั่นคือเรื่องสำคัญ
“หลังจากที่เจ้าออกไปจากที่นี่ ข้าจะพาเจ้าไปที่พระราชวังราศีธนู” รูปแบบอาคมวิญญาณยังคงกล่าวต่อ
“ตกลง!”
หลิงฮันออกไปข้างนอก และมีหลายคนที่จ้องมองมาที่เขาทันที ทุกคนต่างรู้ว่าหลิงฮันเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์ เขาจะต้องได้รับสมบัติที่น่าทึ่งมาอย่างแน่นอน
อ้าวเฟิงและจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานต่างเปิดเผยจิตสังหารของตัวเองในสายตาของพวกมัน ถ้าไม่ใช่เพราะความเกรงกลัวต่อรูปแบบอาคมวิญญาณ พวกมันจะต้องลงมือโจมตีอย่างแน่นอนและแย่งชิงมันมา
“เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า เจ้า และเจ้า” รูปแบบอาคมวิญญาณชี้ไปที่คนที่มาถึงภายในสิบวัน “พวกเจ้าทุกคนมีคุณสมบัติที่จะเป็นศิษย์ภายนอกของสิบสองพระราชวัง คนที่สนใจให้ตามข้ามา”
ทั้งสิบสามคนรีบติดตามไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่พวกเขามาเพื่อคว้าโอกาสหรอกหรือ?
ส่วนฮูหนิวไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ นางเพียงแค่ตามหลิงฮันไปเท่านั้น
500
รูปแบบวิญญาณอาคมพาพวกเขาเข้าไปในห้องและทำพิธีสวดต่อหน้าป้ายความทรงจำ ตอนนี้พวกเขาเป็นศิษย์ต่างแดนของสิบสองพระราชวัง และแต่ละคนจะได้รับทักษะวรยุทธ อย่างไรก็ตามมันไม่สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นต่อได้ มิฉะนั้นมันจะกระตุ้นบางสิ่งบางอย่างเขาและวิญญาณก็จะดับสูญ
ฮูหนิวไม่ต้องการมัน นางจะไม่ปล่อยให้คนอื่นทิ้งอะไรไว้ในจิตใจของนาง
หลิงฮันสามารถสืบทอดพระราชวังราศีธนูได้ สถานะของเขาในไม่ช้าจะสูงส่งถึงขั้นเกือบจะเรียกได้ว่าหนึ่งในนายท่านแห่งเขตแดนลี้ลับ
หลังจากที่ทุกคนได้รับมรดาแล้ว พวกเขาก็ออกไปทีละคนทีละคน
“เอาล่ะ การทดสอบสิ้นสุดลงแล้ว พวกเจ้าจะไปไหนก็ได้ตามที่ต้องการ มันยังมีเวลาเหลืออยู่อีกสิบวันเพื่อบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่ และเมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะส่งทุกคนออกไป” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไปราวกับรู้ว่าพวกเขาจะต้องไปที่ไหน ซึ่งมีเพียงแค่พวกเขาเท่านั้นที่รู้
…
รูปแบบอาคมวิญญาณเค้นเสียงของมันออกมา มันไม่ได้สนใจคนอื่นเลยแม้แต่น้อย แต่หลิงฮันตอนนี้นั้นเป็นเจ้าของพระราชวังราศีธนู ดังนั้นมันจะยอมให้ทุกคนก่ออาชญากรรมต่อหน้าต่อตามันได้อย่างไร?
มันคว้าไปที่ไหล่ของหลิงฮัน และพรึบ พวกเขาทั้งสองคนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
“เขาอยู่ไหน!?” บรรดาผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดกระโจนออกมา แต่หลิงฮันและรูปแบบอาคมวิญญาณนั้นหาตัวไปแล้ว
“เห็นได้ชัดว่าหลิงฮันได้รับรางวัลไปแล้ว แต่ทำไมรูปแบบอาคมวิญญาณยังอยู่กับเขา?” ใครบางคนกล่าว
“หรืออาจจะเป็น?”
“…หรือว่าจะเป็น?”
“…กุญแจจากตระกูลเจียงนั้นอยู่กับเขา!” ทุกคนต่างกรีดร้องออกมา
ตระกูลเจียงมีกุญของเขตแดนลี้ลับ และตามแผนเดิมเพื่อเขาจาหาตัวเจ้าบ่าวผ่านการประลองยุทธ คนที่แข็งแกร่งที่สุดจะได้เป็นบุตรเขยและได้รับสมบัติ อย่างไรก็ตาม กุญแจนั้นได้ถูกขโมยไประหว่างการประลองยุทธ แม้แต่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็ไม่สามารถนำมันกลับมาได้
ทุกคนต่างเคยเชื่อว่าหลงไหเชวียนขโมยกุญแจไป แต่ทว่าศิษย์ของนิกายพันศพนั้นเห็นได้ชัดว่ายังอยู่ด้านล่าง แม้จะปีนขึ้นมาด้านบนก็ยังทำไม่สำเร็จ
หรือว่าสิ่งที่หลงไหเชวียนนั้นเป็นความจริงว่ากุญแจของมันถูกขโมยไปแล้ว?
หลังจากที่เข้าสู่เขตแดนลี้ลับ หลงไหเชวียนได้พูดว่ากุญแจไม่ได้อยู่กับมัน แต่ใครจะเชื่อในสิ่งที่มันพูดออกมา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้พูดโกหก และกุญแจอยู่กับหลิงฮัน
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ชางเย่และฮูหนิวทันที
“พวกเจ้าทุกคนอยากได้อะไร อย่าคิดเชียวว่าจะต่อสู้เพื่อแย่งอาหารกับฮูหนิว!” ฮูหนิวรีบพูดออกมาอย่างเดือดดาล และซ่อนเนื้อแห้งไว้ด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“จับตัวพวกมันและใช้พวกมันข่มขู่หลิงฮัน แล้วบังคับให้เขาส่งมอบสมบัติที่ได้รับมา!” ทุกคนพูดออกมาทีละคน …
เมื่อร่างของหลิงฮันปรากฏ เขาก็มาถึงจตุรัสแล้ว สภาพแวดล้อมโดยรอบของจตุรัสนั้นมีพระราชวังที่งดงามสิบสองแห่งตั้งตระหง่านอยู่ แต่ทว่าประตูของแต่ละพระราชวังนั้นปิดอย่างแน่นอน
ด้านหน้าพระราชวังแต่ละแห่งนั้นจะมีอนุสาวรีย์อยู่ มันมีทั้งแกะขาว วัวทองคำ ปลาสองตัว…แต่ละแห่งล้วนแต่ต่างกัน
“นั่นคือพระราชวังราศีธนู เจ้าสามารถผ่านประตูของพระราชวังได้โดยใช้กุญแจ” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าว และรู้สึกตกใจเล็กน้อยเผยให้เห็นถึงการแสดงออกที่แปลกประหลาดขณะที่มันพูดออกมาว่า “ใครบางคนกำลังทำร้ายพวกพ้องของเจ้า”
หลิงฮันขมวดคิ้วและพูดว่า “พาข้ากลับไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่จำเป็น ข้าจะปกป้องพวกเขาเพื่อเจ้า” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าวด้วยรอยยิ้ม และร่างของมันก็กระพริบหายไปในทันที
ด้วยการปกป้องของรูปแบบอาคมวิญญาณ พวกเขาจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน แม้ราชาแมลงจะมาที่นี่ มันก็ไม่มีทางทำอันตรายอะไรพวกเขาได้
หลิงฮันนำกุญแจออกมาเพื่อผ่านประตูทางเข้าพระราชวังราศีธนู กุญแจนี่ไม่ได้ใช้เพื่อเปิดประตูพระราชวัง แต่ใช้เป็นเหมือนบัตรผ่านอนุญาตให้เขาผ่านเข้าไป
อย่างที่คิดภายในพระราชวังนั้นว่างเปล่าแทบจะไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย
มันว่างเปล่าอย่างแท้จริง!
หลิงฮันถอนหายใจออกมา ผู้อาวุโสคนไหนที่ไร้คุณธรรมขนาดนี้และไม่หลงเหลืออะไรให้เขาเลยแม้แต่น้อย? เขาควรจะขุดหลุมศพของคนคนนั้นขึ้นมาดีหรือไม่? หลิงฮันเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้ายอยู่ชั่วครู่ แล้วจ้องมองไปที่รูปปั้นภายในพระราชวัง มันเป็นจอมยุทธที่กำลังยิงลูกศรขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้มันจะเป็นเพียงแค่รูปปั้นธรรมดา แต่มันก็ทำให้หลิงฮันตกตะลึงอย่างมากราวกับว่าลูกศรนั่นสามารถยิงได้แม้กระทั่งดวงอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้า
“พลังลึกลับ! มันเป็นเทคนิคการยิงธนู!”
หลิงฮันเผยสีหน้าแห่งความสุขออกมา “เดี๋ยวก่อน ถ้ามันเป็นเทคนิคการยิงธนูแล้วใช้ควบคู่กับเนตรแห่งสัจธรรม ประสิทธิภาพของมันจะเป็นเช่นไร?”
หลิงฮันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที พลังลึกลับทั้งสองอย่างอยู่เพื่อกันและกัน มันไม่ใช่หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง แต่บางทีอาจมากกว่านั้น
“จะยังไงก็ตาม ข้าต้องเอาพลังลึกลับนั่นมาก่อนเป็นอันดับแรก!”
หลิงฮันมายืนอยู่ด้านหน้ารูปปั้นและวางมือลงบนรูปปั้น
ทันใดนั้น จิตสำนึกของเขาก็เปล่งประกาย การปรากฏตัวของตัวตนที่ทรงพลังยืนอยู่บนท้องฟ้าและยิงดวงดาวที่อยู่ในท้องฟ้า มันเป็นฉากที่น่าทึ่งมาก
หลิงฮันรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงเท่านั้น ตัวตนของคนผู้นี้ทรงพลังเกินไป แม้ว่าเขาจะเห็นแค่ฉากเพียงไม่กี่ฉากของคนผู้นี้ในครั้งอดีต มันก็ยังคงทำให้เขารู้สึกว่าหัวกำลังระเบิด
เขาฝืนทน แต่โลหิตยังคงไหลออกมาจากหู จมูก และปากของเขา ผลกระทบมันรุนแรงเกินไป
“คือมันนี่เอง!” หลิงฮันพูดพึมพัมไม่หยุด
มันแตกต่างจากเนตรแห่งสัจธรรม เมื่อเขาได้รับเนตรแห่งสัจธรรม ภาพของจอมยุทธได้ปรากฏออกมาเพื่อแสดงพลังให้เขาเห็น และอธิบายสิ่งต่างๆได้ยอดเยี่ยม
“ศรฆ่ามังกรทะลวงผ่านดารา!”
นี่คือชื่อของพลังลึกลับ พลังของมันสามารถทะลวงผ่านดวงดาวและสังหารมังกรที่แท้จริงได้!
“เอ่อ ข้าได้รับทักษะกายาเก้ามังกรทรราชมา และเมื่อมันถึงจุดสูงสุดข้าจะมีพลังของมังกรที่แท้จริงเก้าตัว และนี่คือศรฆ่ามังกร แปลว่าข้าสังหารตัวเอง?” หลิงฮันหัวเราะกับตัวเอง
“บัดซบ มันเห็นได้ชัดว่านี่คือพระราชวังราศีธนู แต่มันกลับไม่ทิ้งคันธนูให้ข้า?”
แต่หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ระดับบุปผาผลิบาน ข้าสามารถใช้ร่างกายเป็นคันธนูได้และใช้พลังปราณจากสวรรค์และโลกเป็นดั่งลูกศร แม้จะไม่มีธนู แต่ก็ยังสามารถปลดปล่อยพลังอันน่าทึ่งของมันออกมาได้ นอกจากนี้ ข้าเองบ่มเพาะกากยาควบคู่ไปด้วย ทำให้มีพละกำลังมหาศาล พลังของลูกศรจะต้องน่าทึ่งมากอย่างแน่นอน ด้วยวิธีนี้ ข้าก็จะมีวิธีการโจมตีระยะไกลอีกวิธีหนึ่ง”
หลิงฮันนั่งสมาธิและจุดจ่ออยู่กับการดึงพลังภายในรูปปั้น เขามีเวลาแค่สิบวันเท่านั้นหรืออาจจะมากกว่านั้น และหลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน เขาก็จะถูกขับไล่ออกจากเขตแดนลี้ลับเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงไม่อาจสูญเสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ และถ้าเขาไม่อาจทำความเข้าใจกับพลังลึกลับนี่ได้ เขาจะต้องกลับมาอีกครั้งในอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้า
หลิงฮันไม่หยุดพักและยังคงดูดซับพลังภายในรูปปั้น เขาทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อทำให้มันกลายเป็นความเข้าใจของตัวเขาเอง ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีพิกัดอยู่ภายในรูปปั้นนี้ แต่ตอนนี้มันไม่มีความหมายตั้งแต่ที่มันอยู่ในมหาคลังสมบัติ ซึ่งบางที่มันอาจเป็นพื้นที่บนดินแดนพระเจ้า
ในขณะที่กำลังดูดซับพลัง รูปปั้นราวกับว่ากำลังผสานหลอมรวมเป็นหนึ่งกับเขาเข้าไปอยู่ในรากฐานวิญญาณและดูดซับพลังปราณอย่างต่อเนื่อง
พลังปราณที่อยู่ที่นี่อุดมสมบูรณ์มาก ดังนั้นพลังของหลิงฮันจึงเพิ่มขึ้นอย่างน่าแปลกใจในแต่ละวัน มันรวดเร็วมาก
…รูปปั้นนี่แท้จริงแล้วมันสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของพระราชวังราศีธนู!
หลายวันผ่านไป หลิงฮันยังคงนั่งขัดสมาธิและไม่รู้ว่าวันเวลาผ่านไปกี่วันแล้ว
ทันใดนั้น ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยและปรากฏตัวอยู่ในหุบเขาพร้อมกับแสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์ที่อยู่บนหัว
หลิงฮันรู้สึกตกใจก่อนที่สติของเขาจะกลับมา เขาออกจากเขตแดนลี้ลับแล้ว และกลับมาที่ภูมิภาคเหนือ
“หยานเทียนจ้าว!” ดวงตาของเขาปล่อยแสงที่เยือกเย็นออกมาเมื่อเห็นหยานเทียนจ้าวยืนห่างจากเขาออกไปสิบฟุต
501 สังหารหยานเทียนจ้าว
หยานเทียนจ้าวแสยะยิ้ม “หลิงฮัน สมบัติที่เจ้าครอบครองอยู่ ข้าจะกลับมาแย่งชิงพวกมันในอนาคต!”
“เจ้ายังมีอนาคตอยู่อีกรึ?” จิตสังหารของหลิงฮันปะทุออกมาและพุ่งเข้าใส่หยานเทียนจ้าว “วันนี้เจ้าจะต้องตาย!”
“ฮ่าๆ เจ้ากำลังพูดจาผายลม?” หยานเทียนจ้าวตอบโต้และอุทานด้วยความประหลาดใจ “เจ้าบรรลุระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นแปดแล้ว?” มันแสยะยิ้มอีกครั้ง ถึงอย่างไรหลิงฮันก็ยังด้อยกว่ามันที่เป็นระดับบุปผาผลิบานอยู่ดี
‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ผู้คนที่เข้าไปยังเขตแดนลี้ลับเริ่มกลับออกมาทีละคน
พวกเขาจ้องมองมายังหลิงฮัน ก่อนหน้านี้ที่ตระกูลเจียงตามหาเจ้าบ่าว พวกเขาทุกคนพ่ายแพ้ต่อหลิงฮันและหยานเทียนจ้าว แต่ตอนนี้พวกเขาทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้ว ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“หอคอยน้อย ขอพรศักดิ์สิทธิ์ให้ข้า!” หลิงฮันพูดในใจ ถึงแม้พรศักดิ์สิทธิ์จะได้ผลลัพธ์ดีที่สุดเมื่อตอนเขาบรรลุระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้า แต่เขาจำเป็นใช้มันในตอนนี้เพื่อสังหารหยานเทียนจ้าวและทำให้บ่วงกรรมที่เขาสร้างขึ้นสิ้นสิ้นลง
‘ตูม’ กลิ่นอายของหลิงฮันทะยานขึ้นฟ้า พลังบ่มเพาะของเขากลายเป็นระดับบุปผาผลิบานขั้นแปดในทันที
‘หืม?’ สายตาทุกคู่ของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานตกไปอยู่ที่หลิงฮัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เป็นไปได้อย่างไรที่พลังบ่มเพาะของเขาจะเพิ่มขึ้นได้อย่างน่ากลัวขนาดนี้?
สีหน้าของหยานเทียนจ้าวเปลี่ยนเป็นจริงจังโดยสัญชาตญาณ พลังต่อสู้ของหลิงฮันนั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไปซึ่งมันก็ได้ประจักด้วยตนเองแล้ว ก่อนหน้านี้ที่มันมีพลังบ่มเพาะสูงกว่าหลิงฮัน พวกเขาทั้งคู่สู้กันได้อย่างสูสี แต่ตอนนี้พลังบ่มเพาะของหลิงฮันสูงกว่ามันแล้วแถมยังไม่ใช่น้อยๆด้วย การต่อสู้ครั้งนี้จะต้องสาหัสแน่ๆ
“ตาย!” หลิงฮันสะบั้นคมดาบ ‘ฟุบ’ ปราณดาบสิบเล่มพุ่งตรงออกไป
หยานเทียนจ้าวล่าถอยและรีดเค้นพลังป้องกันจนถึงขีดสุด
แต่หลิงฮันนั้นทรงพลังเกินไป เมื่อดาบกำเนิดมารถูกกวัดแกว่ง พลังที่น่ากลัวก็ปลดปล่อยออกมาเกิดเป็นประกายแสงล้อมรอบหยานเทียนจ้าวอย่างสมบูรณ์ ด้วยพลังบ่มเพาะที่ต่ำกว่ามันตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“ฮ่าๆ เจ้าเพียงแค่ฝืนบังคับให้พลังบ่มเพาะกลายเป็นระดับบุปผาผลิบานเท่านั้น เจ้าไม่ใช่ระดับบุปผาผลิบานที่แท้จริง!” หยานเทียนจ้าวมองเห็นจุดอ่อนของหลิงฮันในทันที
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ระดับบุปผาผลิบานทรงพลัง? นั่นเพราะพวกเขาสามารถชักนำพลังวิญญาณของสวรรค์และปฐพีมาโอบล้อมตนเองและทำให้พลังโจมตีแข็งแกร่งขึ้นสิบเท่าหรืออาจจะร้อยเท่า! หลิงฮันเพียงแค่มีพลังบ่มเพาะระดับบุปผาผลิบานขั้นแปดเท่านั้น เขาไม่สามารถใช้งานพลังวิญญาณของสวรรค์และปฐพีได้
นี่คือจุดอ่อนของหลิงฮัน
แต่ถึงอย่างไรความต่างเพียงขั้นพลังเล็กๆของระดับบุปผาผลิบานก็ยังกว้างอยู่ดี ดังนั้นระดับบุปผาผลิบานขั้นแปดจึงเพียงพอที่จะทำให้เขามีอำนาจเหนือความการชักนำพลังวิญญาณของสวรรค์และปฐพีของหยานเทียนจ้าว
หยานเทียนจ้าวไม่หวั่นเกรง มันแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับหลิงฮัน ความเข้าใจในวิถียุทธของมันนั้นสูงส่งทำให้สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่ถึงแม้จะเป็นมันก็ไม่กล้าที่จะปะทะกับความคมของดาบกำเนิดมารซึ่งๆหน้า ทำให้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานคนอื่นอ้าปากค้าง พลังต่อสู้ของทั้งสองคนนี้จะต้องเกิดกว่าหกดาวแน่ๆ ซึ่งเหนือกว่าเหล่าจอมยุทธอาวุโสไปไกล
“หลิงฮัน เจ้าไม่สามารถสังหารข้า จงหยุดมือและเก็บรักษาชีวิตของเจ้าเอาไว้ซะ เมื่อเวลามาถึง ข้าจะเป็นคนตามหาเจ้าเอง!” หยานเทียนจ้าวหัวเราะลั่น
เวลาที่มันกล่าวก็คือตอนที่มันบรรลุระดับทะลายมิติได้แล้ว และมีคุณสมบัติที่จะบดขยี้มิติเพื่อกลายเป็นพระเจ้า
“เจ้าจะไม่มีวันนั้น ไม่ว่าอย่างไรวันนี้เจ้าก็ต้องตาย!” หลิงฮันพูดอย่างเย็นชา เขารวบรวมพลังปราณและปลดปล่อยทักษะดาบลึกลับสามพันเล่มออกไปจนปรากฏประกายแสงแห่งดาบพันเล่ม
สีหน้าของหยานเทียนจ้าวเปลี่ยนเป็นมืดมน กระบวนท่านี้แข็งแกร่งเกินไปทำให้มันไม่กล้าป้องกันซึ่งๆหน้า มันรีบหันหลังและบินหนีทันที ตัวตนระดับบุปผาผลิบานนั้นสามารถเหาะเหินกลางอากาศได้ มันบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและพูด “หลิงฮัน รอข้าก่อนล่ะ!”
“ข้าไม่จำเป็นต้องรอ!” หลิงฮันเก็บดาบกำเนิดมารเข้าฝักและตั้งท่าใช้มันแทนคันศร ในมือที่ว่างเปล่าของหลิงฮันจู่ๆก็มีลูกศรปรากฏขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่า เขากระตุ้นใช้งานเนตรแห่งสัจธรรมเพื่อมองหาจุดอ่อนของหยานเทียนจ้าว
‘ฟุบ’ ลูกศรพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนไม่อาจมองทัน
“อ้ากก!” หยานเทียนจ้าวกรีดร้อง ซี่โครงของมันถูกลูกศรแทงทะลุ โลหิตสีเขียวสาดกระจายไปทั่ว บริเวณซี่โครงคือจุดอ่อนของมัน ทันทีที่ถูกลูกศรแทงทะลุปราณก่อเกิดในร่างของมันหลั่งไหลออกมาจนร่างของมันโซเซล่วงหล่นจากท้องฟ้า
หลิงฮันพุ่งเข้าใส่พร้อมกับกวัดแกว่งดาบในมือ เมื่อร่างของหยานเทียนจ้าวล่วงหล่นเขาก็ใช้ออกด้วยทักษะดาบลึกลับสามพันเล่ม
ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในแววตาของหยานเทียนจ้าว ในขณะนี้มันรู้สึกอย่างชัดเจนว่าความตายกำลังใกล้เข้ามา มันไม่อยากตาย มันครอบครองความทรงจำของพระเจ้าและมีโอกาศถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่จะกลายเป็นพระเจ้าได้ในอนาคต
แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายไปแล้ว ประกายแสงแห่งดาบนับพันกำลังพุ่งเข้าใส่มัน นี่คือกระบวนท่าสังหารของหลิงฮัน จุดอ่อนของหยานเทียนจ้าวได้รับบาดเจ็บสาหัสแถมร่างก็ยังกำลังดิ่งลงสู่พื้น มันไม่สามารถหลบหลีกประกายแสงแห่งดาบนับพันได้
ภายใต้สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด มันสร้างตราประทับขึ้นที่ฝ่ามือและปลดปล่อยตาข่ายสีเขียวมากมายออกมาด้านหน้าเพื่อยับยั้งการโจมตีของหลิงฮันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ’ ประกายแสงแห่งดาบที่ราวกับห่าฝนฉีกกระชากตะข่ายสีเขียวจนขาดทันที ประกายแสงแห่งดาบที่เหลืออยู่อย่างน้อยห้าร้อยเล่มกระหน่ำเข้าใส่ร่างของหยานเทียนจ้าว กล้ามเนื้อของมันถูกฟันขาดจนกระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้าจนเหลือแต่กระดูก
บนหน้าผากของมันปรากฏรูกลวงที่ถูกประกายแสงแห่งดาบแทงจนทะลุ
ทุกคนส่ายหัว หยานเทียนจ้าวถูกบดขยี้จนใกล้ล่วงหล่นสู่ประตูแห่งความตายแล้ว ภายในไม่กี่ลมหายในนี้ชีวิตของมันคงดับสิ้น
หยานเทียนจ้าวจ้องมองไปยังหลิงฮัน ตอนนี้ลูกตาสองข้างของมันหลุดออกไปแล้วจนเหลือเพียงรูสีดำ มันยังไม่อยากจะเชื่อว่าการดูถูกหลิงฮันจะทำให้ชีวิตของมันดับสิ้นไปตลอดกาล
“ฮ่าๆๆๆ หลิงฮัน ตอนนี้ชีวิตของข้าจบสิ้นแล้ว แต่อย่าคิดว่าเจ้าจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข!” มันพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายคำรามออกมา “ชายผู้นี้ได้รับกุญแจของตระกูลเจียงและเปิดประสู่เข้าสู่พระราชวังราศีธนูที่เป็นขุมสมบัติของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว สมบัติที่ถูกซ่อนอยู่ในนั้นคือสิ่งที่แม้แต่จิตใจของพระเจ้ายังต้องหวั่นไหว! นอกจากนั้นเขายังมีสมบัติที่สามารถนำสิ่งมีชีวิต…”
‘ฉัวะ!’
ดาบของหลิงฮันถูกสะบั้นออกไปและจบชีวิตของหยานเทียนจ้าว
แต่ถึงอย่างนั้นเมล็ดก็ถูกหว่านไปแล้ว สายตาของหลิงฮันกวาดผ่านโดยรอบและมองเห็นผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความละโมภราวกับต้องการกลืนกินตัวเขา
‘ขุมสมบัติของพระเจ้า!’
502 ลากไปซวยด้วยกัน
หลิงฮันไม่หวาดกลัวหรือพูดแก้ตัว เพราะหากมีสมบัติเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะพูดอะไรออกไปก็ไม่มีใครฟัง
สายตาของเขากวาดผ่านไปเห็นเหวินอีเจี้ยน หลิงฮันรีบโบกมือและพูด “ศิษย์น้องเหวิน!”
‘พรวด’ คนจำนวนไม่น้อยสำลักออกมา ทำไมหลิงฮันถึงเรียกเหวินอีเจี้ยนว่าศิษย์น้อง? ทั้งสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยไม่ใช่รึไง?
เหวินอีเจี้ยนเองก็ชะงักและพูด “ไม่ทราบว่าทำไมปรมาจารย์หลิงถึงเรียกข้าว่าศิษย์น้อง?”
“เจ้าและข้าต่างก็ได้รับมรดกของสิบสองพระราชวัง เพราะงั้นพวกเราจึงเป็นพี่น้องกัน!” หลิงฮันหัวเราะ เขาต้องการลากเหวินอีเจี้ยนไปซวยด้วยกันกับเขา แน่นอนว่าหลิงฮันไม่ได้หวาดกลัวจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน แต่ถ้าตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณโผล่มา คงจะเป้นเรื่องยากที่จะจัดการปัญหา
ยิ่งกว่านั้นหากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป บางทีตัวตนระดับทลายมิติอาจจะข้ามภูมิภาคมาตามล่าเขาก็ได้ แม้เขาจะมีหอคอยทมิฬ แต่คิดว่าเขาอยากจะซ่อนตัวอยู่ในเปลือกหอยไปตลอดชีวิตรึ?
เหวินอีเจี้ยนคือคนที่มาจากภูมิภาคตะวันออกและข้ามมายังภูมิภาคเหนือเพื่อรับผลประโยชน์ ดังนั้นอีกฝ่ายก็ต้องแบ่งปันความลำบากของเขาไปเช่นกัน
“เหอๆ ปรมาจารย์หลิงช่างเป็นคนชอบพูดเล่นเสียจริง!” เหวินอีเจี้ยนหัวเราะ
หลิงฮันยักไหล่และพูด “ศิษย์น้องเหวินได้รับมรดกของพระราชวังราศีพฤศจิก เจ้ากล้าที่จะสัจสาบาญว่าสิ่งที่ข้าพูดไม่ใช่เรื่องจริงรึไม่?”
ภายในส่วนลึกของดวงตาเหวินอีเจี้ยนปรากฎความไม่พอใจ แต่สีหน้าของเขาก็ยังคงสงบนิ่งและพูดอย่างไม่แยแส “ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้นด้วย? ไร้สาระ!”
หลิงฮันไม่พูดต่อและกวาดสายตาผ่านทุกคน “ข้าและศิษย์ร้องเหวินคือราชันในหมู่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน ยิ่งกว่านั้น…” หลิงฮันเรียกจิตวิญญาณศิลาออกมา “ถ้าพวกเจ้าต้องการก็เข้ามา ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะมีผู้คนมากมายเพียงใดที่จะนองเลือดและทิ้งชีวิตเอาไว้ ณที่แห่งนี้”
ปากของเหวินอีเจี้ยนกระตุก ทำไมหลิงฮันถึงได้นำมันไปเกี่ยวข้องด้วยอีกแล้ว? คนคนนี้ไม่คิดจะฟังสิ่งที่คนอื่นพูดเลยรึไง?
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังประหลาดใจ การได้รับผลประโยชน์จากพระราชวังราศีพฤศจิกทำให้ในที่สุดเขาก็ทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานได้สำเร็จ แต่เขาก็ได้รับทักษะลึกลับที่สามารถซ่อนเร้นพลังบ่มเพาะของตนเองได้ทำให้เขายังดูเหมือนเป็นเพียงจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นทำไมหลิงฮันถึงสามารถมองออกได้เพียงแค่การชำเลือง?
“ไม่ต้องสนใจ จัดการพวกมันทั้งสองเลย!” จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานทั้งหลายแลกเปลี่ยนความเห็นกัน ไม่ว่าจะเป็นมรดกของสิบสองพระราชวังหรือขุมสมบัติของพระเจ้า ทั้งสองอย่างล้วนแต่เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามหาศาล ถึงแม้หากความจริงเหวินอีเจี้ยนจะไม่ได้ครอบครองมัน พวกเขายอมที่จะสังหารผิดคนดีกว่าที่จะเสียโอกาสไป
“ข้าจะไม่มัวเสียเวลาเล่นกับพวกภูมิภาคเหนือไร้สมองแล้ว!” เหวินอีเจี้ยนคำราม กลิ่นอายของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานปะทุออกจากร่างของเขาและบินทะยานขึ้นท้องฟ้า
“คิดจะหนี?” ทันใดนั้นการโจมตีนับไม่ถ้วนก็กระหน่ำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ถึงแม้พลังต่อสู้ของเหวินอีเจี้ยนจะแข็งแกร่ง แต่เขาก็เพิ่งจะทะลวงผ่านระดับได้สำเร็จ รากฐานของเขายังไม่มั่นคงพอที่จะต้านทานการโจมตีที่บ้าคลั่งเหล่านี้ทำให้ร่างของเขาถูกบังคับให้ล่วงหล่นสู่พื้นดิน
“ศิษย์น้องเหวิน มาสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันเถอะ!” หลิงฮันหัวเราะ
เหวินอีเจี้ยนเกือบจะระเบิดความเกรี้ยวกราดออกมา ทั้งๆที่เขาสามารถแอบหลบออกไปอย่างเงียบๆได้แท้ๆ แต่หลิงฮันกลับเปิดเปิงความลับของเขาออกมา ตอนนี้เขาได้ตกอยู่ในสถานการณ์คับขับจนสีหน้ากลายเป็นมืดมน
“หลิงฮัน ข้าไปล่วงเกินเจ้าเมื่อใด? ทำไมเจ้าต้องสร้างความลำบากให้ข้าเช่นนี้?” เหวินอีเจี้ยนพูดอย่างเย็นชาและไม่เรียกหลิงฮันว่าปรมาจารย์หลิงอีกต่อไป
หลิงฮันหัวเราะ “ศิษย์น้องเหวิน พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน แน่นอนว่าเวลาเช่นนี้พวกเราก็ต้องช่วยเหลือกันเป็นธรรมดา ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!”
‘ปกป้องน้องสาวเจ้าสิ ทั้งๆที่ข้าสามารถแอบหลบหนีออกไปได้โดยที่ไม่มีใครรู้แท้ๆ’
ใบหน้าของเหวินอีเจี้ยนบูดเบี้ยว โชคดีที่จอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณได้กลับไปหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นหากตัวตนเช่นนั้นแทรกแซง เขาคงมีแต่ต้องยอมจำนน
“หลิงฮัน หนี้ครั้งนี้ข้าจะต้องทำให้เจ้าชดใช้!” มันสัจสาบาญในขณะที่ยืนเคียงข้างหลิงฮัน ทั้งสองคนและจิตวิญญาณศิลาหันหลังให้กัน
“ฮ่าๆ นั่นคงเป็นเรื่องของอนาคต” หลิงฮันพูดอย่างไม่ใส่ใจ
หลิวอู๋ตงและพรรคพวกคนอื่นๆของหลิงฮันไม่เข้าไปยุ่ง ถ้าพวกเขายื่นมือเข้าไป ไม่เพียงแค่จะไม่เป็นการช่วยหลิงฮัน แต่ยังกลายเป็นตัวถ่วงอีกด้วย
“ใครต้องการสมบัติ เชิญโจมตีเข้ามา” หลิงฮันหัวเราะลั่น “แต่พวกเจ้าควรจะคิดให้รอบคอบเสียก่อน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นถึงนักปรุงยาระดับสวรรค์ หากเจ้าทำให้ผมแม้แต่เส้นเดียวของข้าร่วง ทั่วทั้งสมาคมนักปรุงยาจะต้องลงมือสร้างความลำบากให้กับพวกเจ้า!”
ใบหน้าของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานทุกคนกระตุก พวกมันคิดว่าหลิงฮันทำตัวกล้าหาญและเจ้าเล่ห์ไปพร้อมๆกัน
ท่าทีของเขาไม่เหมือนกับรุ่นเยาว์อายุสิบแปดแม้แต่น้อย กลับกันเขาดูเหมือนจิ้งเจ้าเฒ่ามากกว่า
“จับตัวทั้งสองคนเอาไว้ พยายามอย่าทำให้พวกเขาบาดเจ็บ!” เหล่าจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานเห็นพ้องต้องกัน สถานะนักปรุงยาระดับสวรรค์เป็นอะไรที่หนักหนาเกินไป หากลงมือสังหารแบบลับๆคงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าพวกเขาสังหารหลิงฮันต่อหน้าผู้คนมากมาย… ใครก็ตามที่เป็นคนลงมือจะต้องถูกนิกายของตนใช้เป็นแพะรับบาปเพื่อบรรเทาความโกรธของนักปรุงยาทั่วโลก
สมบัติก็ไม่ได้แถมยังต้องเสียชีวิตอีก ใครจะต้องการเป็นแบบนั้น?
ดังนั้นทุกคนจึงหวังในใจลึกๆว่าอยากให้มีใครสักคนเผลอพลั้งมือสังหารหลิงฮัน แต่ตัวของพวกเขาเองจะไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด
“ลุย!”
จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานเกินกว่ายี่สิบคนโจมตีพร้อมกัน
หลิงฮัน เหวินอีเจี้ยน และอสูรศิลาคำราม ทั้งสามกวัดแกว่งดาบและหมัดของตนพุ่งเข้าปะทะ
ฮูหนิวจ้องมองจากด้านข้างพร้อมกับกระทืบเท้า แม้นางจะเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็คงไม่สามารถหลบหนีคลื่นกระแทกที่เกิดจากการกระหน่ำโจมตีของระดับบุปผาผลิบานมากมายได้
“หนิวอยากแกร่งกว่านี้!” เด็ดสาวตะโกนดังลั่น ทันใดนั้นบางสิ่งภายในร่างของนางราวกับตื่นปลุกให้ตื่น มันส่องแสงสว่างและอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์พุ่งขึ้นสู่ท่องฟ้าราวกับจะทะลวงผ่านสวรรค์และโลกใบนี้โดยที่ไม่มีมนุษย์คนใดสังเกตุเห็นหรือสัมผัสได้แม้แต่น้อย
หลิงฮันในตอนนี้มีพลังบ่มเพาะระดับบุปผาผลิบานขั้นแปด และด้วยความเข้าใจในศาสตร์วรยุทธอันหลากหลายของเขาทำให้พลังต่อสู้ของเขาคือสิบดาว
แต่นี่เป็นเพียงพลังต่อสู้ที่เกิดจากการฝืนเพิ่มพลังบ่มเพาะของพรศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ถ้าหากเข้าบรรลุระดับบุปผาผลิบานอย่างแท้จริง แม้จะเป็นเพียงระดับบุปาผลิบานขั้นเก้า แต่พลังต่อสู้ของเขาก็จะเหนือกว่าสิบดาว
แต่ถึงอย่างไรแค่พลังต่อสู้ในตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว!
คู่ต่อสู้ตรงหน้าของเขามีเก้าคนที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานอย่างเช่น อวี่คุนหลุน ไป่เหอฉวินและคนอื่นๆที่ติดอันดับบันทึกอัจฉริยะในปีก่อนๆ ดังนั้นพลังต่อสู้ของพวกเขาในตอนนี้จะมีกี่ดาวกันเชียว?
นอกจากนี้อ้าวเฟิงและผู้อาวุโสคนอื่นๆเองก็คงจะทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานมาได้ไม่เกินหนึ่งหรือสองปี อย่างมากที่สุดที่เป็นไปได้ก็คือสิบปี แต่แค่ภายในระยะเวลาสิบปีพวกเขาจะบรรลุระดับบุปผาผลิบานได้ถึงขั้นใดกัน?
การต่อสู้กับวานรโลหิตทองคำก่อนหน้านี้เองก็มีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานเกินกว่ายี่สิบคน แถมยังมีคนหนึ่งที่บรรลุระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าแล้วด้วย แต่ผลลัพธ์เป็นอย่างไร? สุดท้ายพวกเขาทุกคนก็พ่ายแพ้จนต้องหนีกระเจิง!
503 ถ้ายอมแพ้ก็จ่ายมา
ข้างกายหลิงฮันคือเหวินอีเจี้ยนและจิตวิญญาณศิลา
เหวินอีเจี้ยนทรงพลังเป็นอย่างมาก เมื่อตอนที่เขายังอยู่ในระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเขาสามารถโค่นล้มหยานจุนฮ่าวได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้เขาบรรลุระดับบุปผาผลิบานแล้ว เขาสามารถต่อกรกับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานได้พร้อมกันสิบคนเป็นอย่างน้อยด้วยตนเอง
จิตวิญญาณศิลายิ่งน่ากลัวกว่านั้น มันแข็งแกร่งยิ่งกว่าสัตว์อสูรราชันในระดับเดียวกันเพราะมันคือจิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้า สิ่งมีชีวิตที่เกิดจากเจตจำนงสวรรค์!
ทั้งสามร่วมมือกันและสามารถรับมือกับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานยี่สิบกว่าคนได้
“ยอดเยี่ยม! ยอดเยี่ยม!” เมื่อได้เริ่มต่อสู้ เหวินอีเจี้ยนก็ลืมทุกสิ่งและกวัดแกว่งดาบอย่างบ้าคลั่ง เขาอ้ามือซ้ายออกและควบแน่นตราประทับแปลกประหลาดขึ้นมา “ในเมื่อพวกเจ้าต้องการทักษะลึกลับของสิบสองพระราชวังขนาดนั้น งั้นข้าก็จะให้พวกเจ้าได้ลิ้มลอง!”
เขากระแทกมือซ้ายออกไปด้านหน้า แมงป่องสีดำขนาดมหึมาปรากฏออกมาและโจมตีทุกคนด้วยก้ามของมัน ในขณะเดียวกัน มันยกหางที่เป็นเหล็กในของมันขึ้นและกระหน่ำทิ่มแทงออกไป
แมงป่องตนนี้ปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวออกมาจนแม้แต่หลิงฮันยังต้องชะงัก
พลังลึกลับของพระราชวังราศีพฤศจิก?
พวกเขาทั้งสามคนเป็นฝ่ายได้เปรียบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และยิ่งมีพลังลึกลับแมงป่องของเหวินอีเจี้ยนเพิ่มเข้ามา จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานยี่สิบกว่าคนก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง
หยานจุนฮ่าวและคนอื่นๆอ้าปากค้าง
นี่พวกมันเป็นอัจฉริยะของรุ่นเยาว์ในยุคสมัยนี้จริงๆรึ? ลองดูเหวินอีเจี้ยนที่มีอายุเพียงสิบแปดปีสิ พลังต่อสู้ของเขาสามารถบดขยี้เหล่าอัจฉริยะรุ่นก่อนๆได้ทั้งหมด เมื่อเทียบกันแล้ว พวกเขายังมีหน้าจะเรียกตนเองว่าอัจฉริยะแห่งยุคอยู่อีกรึ?
“หลิงฮันจะต้องฝืนเพิ่มพลังบ่มเพาะด้วยเม็ดยาแน่ๆ เขาไม่ใช่ระดับบุปผาผลิบานที่แท้จริง”
“ใช่แล้ว อย่าที่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานก่อนหน้านี้พูด พลังต่อสู้ของหลิงฮันเทียบได้กับระดับบุปผาผลิบานขั้นสองหรือสามเท่านั้น”
“แต่ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ดูเหมือนว่าพลังต่อสู้ของหลิงฮันในตอนนี้จะอยู่ที่สิบดาวเป็นอย่างน้อยสินะ?”
“ไม่ใช่แค่หลิงฮัน เหวินอีเจี้ยนเองก็น่ากลัวไม่แพ้กัน”
จอมยุทธที่ดูการต่อสู้อยู่ด้านข้างพูดคุยกัน พวกเขาคิดว่าถ้าตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณไม่มา คงไม่มีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานคนใดสามารถจับกุมหลิงฮันและเหวินอีเจี้ยนได้แน่ๆ
อ้าวเฟิงและจอมยุทธระดับบุปาผาลิบานคนอื่นๆเริ่มหมดแรงทรุดตัว
ที่จริงแล้วพวกมันก็มียันต์อาคมหรือม้วนคำสั่งที่ได้รับมาจากผู้อาวุโสระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่พวกมันก็ใช้สมบัติเหล่านั้นไปหมดแล้วเมื่อตอนที่อยู่ในเขตแดนลี้ลับ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังเหลือสมบัติเช่นนั้นอยู่
เมื่อถูกสถานการณ์บังคับ คนที่ยังมีสมบัติเหลืออยู่ก็เริ่มนำออกมาใช้ทีละคน
พวกมันไม่อยากถูกกล่าวโทษว่าลงมือสังการนักปรุงยาระดับสวรรค์ แต่พวกมันก็ไม่ต้องการถูกผู้คนประนามว่าเป็นตัวโง่งมถูกพ่ายแพ้ต่อรุ่นเยาว์เพียงสองคนเช่นกัน พวกมันจะต้องจับกุมทั้งสองคนให้ได้
‘ตูม’ ม้วนคำสั่งลอยสูงขึ้นท้องฟ้าและเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านทันที จากนั้นก็มีภูเขาสองลูกอันสูงสง่าสีดำปรากฏออกมา มันปลดปล่อยกลิ่นอายของปฐพีอันไร้ที่สิ้นสุด
ร่างของเหวินอีเจี้ยนหยุดชะงักและเกือบจะล่วงหล่นสู่พื้น
อำนาจของตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณยังแข็งแกร่งเกินไปสำหรับเขาในตอนนี้ แม้จะเป็นเพียงอำนาจจากม้วนคำสั่ง แต่กลิ่นอายของมันก็ยังน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี
“ก็แค่ม้วนคำสั่งของระดับตัวอ่อนวิญญาณ!” เหวินอีเจี้ยนค้นหาสิ่งของบางอย่างในแหวนมิติและทันใดนั้นบนฝ่ามือของเขาก็ปรากฏเปลือกหอยสังข์อันหนึ่ง “ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะเล่น ข้าก็จะเล่นกับพวกเจ้า!” เขาโยนเปลือกหอยสังข์ในมือออกไป
‘หวู่!’ เสียงหอนแห่งบรรพกาลดังก้อง ราวกับกำลังร้องเรียกต่อสวรรค์และปฐพี
ร่างสีฟ้าครามทะยานออกมาจากเปลือกหอยสังข์ ครึ่งบนของมันเป็นร่างกายของบุรุษส่วนครึ่งร่างเป็นหางปลา ในมือของมันถือฉมวกสามง่าม ‘ฟึบ’ มันทิ่มแทงฉมวกสามง่ามเข้าใส่ภูเขาสีดำที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
‘ปัง!’
ภูเขาสีดำระเบิดออกกลายเป็นเศษหินเศษดินทันที ผู้คนที่มองอยู่กลายเป็นหวาดกลัว ภูเขานั่นคือการโจมตีของตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณ แม้จะเป็นแค่เศษเสี้ยวที่แตกกระจายออกมาก็สามารถสังหารจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้ภายในพริบตา
โชคดีที่ด้วยการทิ่มแทงของเงือกชายตนนั้น ภูเขาสีดำก็สูญเสียอำนาจของมันไปทำให้เศษหินหรือดินที่กระจัดกระจายไม่หลงเหลือพลังทำลายอยู่อีกต่อไป
“สิ่งนั้นช่างยอดเยี่ยมนัก!” สายตาของหลิงฮันส่องประกายและพูด “ศิษย์น้องเหวิน ให้ข้ายืมมันไปเล่นสักสองสามวันจะได้รึไม่?”
เหวินอีเจี้ยนกรอกตาและรีบเก็บเปลือกหอยสังข์อย่างรวดเร็ว “ฝันไปเถอะ!”
หลิงฮันหัวเราะ “ศิษย์น้องเหวิน สังหารพวกมันซะ!”
เหวินอีเจี้ยนไม่กล่าวตอบ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าหอยสังข์เมื่อครู่เป็นสมบัติที่เขาได้มาโดยบังเอิญและสามารถใช้ได้เพียงหนึ่งครั้งต่อเดือน หากยังไม่ถึงหนึ่งเดือนแล้วเขาฝืนกระตุ้นใช้งานเปลือกหอยสังข์ สิ่งที่ต้องใช้เป็นค่าตอบแทนก็คืออายุขัยของตัวเขาเอง ฝืนกระตุ้นใช้งานหนึ่งครั้งจะต้องเสียอายุขัยสิบปี ฝืนใช้สองครั้งเสียอายุขัยร้อยปี… ถึงแม้เขาจะเป็นระดับบุปผาผลิบานแล้ว แต่ก็ไม่อาจใช้งานมันได้บ่อยครั้งนัก
แต่คนอื่นๆไม่รู้ข้อจำกัดในด้านนี้ พวกมันรู้เพียงแค่ว่าม้วนคำสั่งของพวกมันถูกทำลายได้อย่างง่ายดาย
“พวกเราไม่ขอสู้ต่อแล้ว!” พวกมันเริ่มพูดขึ้นมาทีละคน ถ้าพวกมันยังดื้อรั้นสู้ต่อไปก็มีเพียงจะทำให้ตนเองขายหน้าเท่านั้น
“ไม่สู้แล้ว?” สายตาของหลิงฮันกวาดมองทุกคน “พวกเจ้าเป็นคนเริ่มการต่อสู้เอง และตอนนี้พวกเจ้าจะมาบอกว่าไม่ต้องการสู้แล้ว… พวกเจ้าคิดจะล้อเล่นกับข้าและศิษย์น้องเหวินรึไง?”
‘บัดซบ ทำไมต้องเอาข้าไปร่วมด้วยอีกแล้ว?’
เหวินอีเจี้ยนบ่นในใจ แต่เขาเองก็คนที่มีความภาคภูมิในในตนเองสูง การถูกผู้คนเหล่านี้รุมโจมตีทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเช่นกัน
“เช่นนั้นแล้วปรมาจารย์หลิงต้องการสิ่งใด?” อ้าวเฟิงเปิดปากพูด
หลิงฮันยิ้มอย่างเย็นชาและพูด “พวกเจ้าจู่โจมข้าที่เป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์อย่างไร้เหตุผลและทำให้ข้าหวาดกลัว เรื่องนี้จำเป็นต้องมีเบี้ยทำขวัญ! แถมพวกเจ้ายังข่มขู่พรรคพวกของข้าเมื่อตอนอยู่ในเขตแดนลี้ลับอีก พวกเจ้าคิดจะปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ?”
อ้าวเฟิงและจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานคนอื่นๆมีสีหน้ามืดมน จริงอยู่ที่พวกมันต้องการใช้หลิวอู๋ตงและคนอื่นๆในการขู่หลิงฮัน แต่พวกมันก็ถูกรูปแบบอาคมวิญญาณหยุดเอาไว้เสียก่อน แต่ตอนนี้พวกมันกลับต้องจ่ายเบี้ยทำขวัญ?
“ไม่ต้องการจ่ายค่าชดเชย? งั้นก็มาสู้กันต่อ!” หลิงฮันพูด
คำขู่ของหลิงฮันทำให้อ้าวเฟิงและคนอื่นๆกลายเป็นไร้คำพูด
“แล้วพวกเราต้องชดใช้อย่างไร?” อ้าวเฟิงกัดฟันเอ่ยถาม
“แค่ให้กล่าวคำขอโทษนั้นมันไม่มีความหมาย ใครจะรู้ว่าในขณะที่ปากของพวกเจ้าพูดขอโทษ แต่ในใจนั้นคิดอะไรอยู่…” หลิงฮันครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นมา “จ่ายค่าชดใช้ด้วยผลึกก่อเกิดหนึ่งพันผลึกต่อหนึ่งคน”
หนึ่งพันผลึก? ทุกคนถอนหายใจโล่งอก ผลึกก่อเกิดหนึ่งพันผลึกเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยสำหรับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน
“หนึ่งพันผลึกก่อเกิดสามดาวต่อหนึ่งคน!” หลิงฮันพูดเสริม
‘พรวด!’
อ้าวเฟิงและคนอื่นๆสำลักออกมา ทำไมเจ้าไม่พูดว่าจะปล้นพวกข้าเลยล่ะ? ผลึกก่อเกิดสามดาวจำเป็นต้องใช้จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขึ้นไปในการหลอมสร้าง หนึ่งเดือนจะสามารถหลอมได้เพียงหนึ่งผลึก แต่เจ้ากลับพูดว่าต้องการผลึกก่อเกิดสามดาวถึงหนึ่งพัน?
“คิดให้ดี ใครก็ตามที่ปฏิเสธเป็นคนแรก ข้าจะจับตัวมันเอาไว้ที่นี้!” หลิงฮันหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม
เหล่าจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ตอนนี้พวกมันอยากจะรีบกลับไปยังนิกายเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสระดับตัวอ่อนวิญญาณ ดังนั้นพวกมันจึงอยากรีบหลบหนีจากเงื้อมมือของหลิงฮันให้เร็วที่สุด พวกมันเริ่มโยนแหวนมิติออกมาทีละคน
บางคนที่มีผลึกก่อเกิดสามดาวไม่ถึงหนึ่งพันผลึกได้ใช้วัตถุดิบหายากหรือสมุนไพรต่างๆแทน
504 ความรักที่อ่อนโยนราวกับสายน้ำ
เมื่อเห็นหลิงฮันได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล เหวินอีเจี้ยนก็อดที่จะทักขึ้นมาไม่ได้ “ข้าไม่ได้รับส่วนแบ่ง?”
“ศิษย์น้อยเหวิน เจ้ามาจากนิกายใหญ่จากภูมิภาคตะวันออก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ต้องการความมั่งคั่งเล็กๆน้อยๆเช่นนี้หรอก” มือของหลิงฮันเคลื่อนไหวไม่หยุด ผ่านไปไม่นานแหวนมิติมากกว่ายี่สิบวงก็ถูกเก็บเข้าไปในกระเป๋าของเขา
‘บัดซบ ผลึกก่อเกิดสามดาวใครบอกว่าข้าไม่สนสนใจ?’ แต่เมื่อถูกหลิงฮันพูดใส่แบบนั้นเขาก็ไม่สามารถยอมเสียหน้าร้องขอส่วนแบ่งได้ “ในเมื่อเจ้าได้รับมรดกสืบทอดจากสิบสองพระราชวังเหมือนกับข้า งั้นพวกเราก็ถูกโชคชะตาตัดสินให้กลายเป็นคู่แข่งกันในอนาคต!”
“อาจจะไม่ใช่แบบนั้น มรดกที่ได้รับมา ส่วนของใครก็ของคนนั้น” หลิงฮันยิ้ม
“เจ้าคิดว่าเรื่องแบบนั้นจะเป้นไปได้?” เหวินอีเจี้ยนแสยะยิ้ม ใครกันจะไม่อยากได้ขุมสมบัติมรดกของพระเจ้าทั้งหมดเป็นของตนเอง?
“ไม่ใช่งั้นรึ?” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของหลิงฮัน เหวินอีเจี้ยนก็กลายเป็นสับสนและส่ายหัวทันที “เจ้าช่างเป็นคนที่แปลกนัก”
“เจ้าเป็นคนที่แข็งแกร่ง ข้าหวังว่าในอนาคตเจ้าจะมีคุณสมบัติที่ให้ข้าท้าทาย!” หลิงฮันพูด
เหวินอีเจี้ยนกรอกตาและพูด “ข้าคือระดับบุปผาผลิบานที่แท้จริง ส่วนเจ้าฝืนเพิ่มพลังด้วยเม็ดยา ถ้าจะกล่าวว่าใครจะเป็นฝ่ายท้าทาย นั่นต้องเป็นเจ้าที่ท้าทายข้า! แต่จะอย่างไรก็ช่าง ข้าจะไม่มัวมาพูดไร้สาระกับเจ้าอีกแล้ว ไม่งั้นข้าคงตกตายเพราะความเกรี้ยวกราดแน่!”
เหวินอีเจี้ยนหันหลังจากไป เขาโบกมือและพูด “ครั้งหน้าที่พบกัน ข้าจะสังหารเจ้าด้วยทุกอย่างของข้า!”
ทำไมจู่ๆเขาถึงพูดจาเหมือนกับย่าวหุยเยว่?
“ศิษย์น้องเหวิน รอก่อน!” หลิงฮันตะโกนออกไป
เหวินอีเจี้ยนชะงักและหันกลับมามองด้วยสีหน้าสงสัย
“เจ้าจะไม่ให้ข้ายืมเปลือกหอยสังข์นั่นไปเล่นสักสองสามวันจริงๆรึ?” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
เหวินอีเจี้ยนเกือบจะกระอักเลือดออกมา เขากัดฟันพูด “ไสหัวไป!” จากนั้นเหวินอีเจี้ยนก็รีบบินจากไปด้วยความเร่งรีบ เขายังไม่แน่ใจว่าควรจะกลับไปยังภูมิภาคตะวันออกหรือไปหลบซ่อนตัวในสถานที่ลับตาคนดี
เพราะอย่างไรอีกไม่นานข่าวที่เขาได้รับมรดกจากพระราชวังราศีพฤศจิกก็คงจะแพร่กระจายออกไปทั่วภูมิภาคตะวันออก และบางทีแม้แต่อาจารย์ของเขาก็อาจจะสนใจในมรดกนี้
หลิงฮันหัวเราะและดีดนิ้วไปยังทิศทางของหลิวอู๋ตงและพรรคพวกคนอื่นๆ “พวกเราก็ไปกันเถอะ”
“ไปที่ไหนรึ?” หลิวอู๋ตงถาม
“แน่นอน กลับเมืองหยางสวรรค์”
“แต่ข่าวที่เจ้าได้รับมรดกของสิบสองพระราชวังมาจะต้องถูกแพร่กระจายไปทั่วโลกในไม่ช้านี้ เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนจะมาตามล่าตัวเจ้า!” ทุกคนพูดพร้อมกัน
หลิงฮันพยักหน้าและพูด “นั่นเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวจริงๆ ข้าเกรงว่าแม้แต่สถานะนักปรุงยาระดับสวรรค์ก็อาจจะช่วยได้ไม่มาก แต่ข้าก็ยังต้องกลับไปยังเมืองหยางสวรรค์อยู่ดี!”
มารดาของเขาถูกจับอยู่ที่นั่น แล้วจะให้เขาหลบไปหนีไหนที่อื่นได้อย่างไร?
ฉื่อฮวาหลัน หลินเซียงฉินและรุ่นเยาว์คนอื่นๆเดินมากล่าวลาหลิงฮัน การประลองจัดอันดับบันทึกอัจฉริยะและการสำรวจเขตแดนลี้ลับได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีรุ่นเยาว์เหล่านี้ถึงจะกลับมาพบกันอีกครั้ง
หลิงฮันรีบพาทุกคนออกจากหุบเขา หลังจากนั้นไม่นานพรศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬก็หมดลง
หลังจากออกมาจากหุบเขาแล้ว หลิงฮันและทุกคนก็เข้าไปยังหอคอยทมิฬ เมื่อเขาปลอมแปลงใบหน้าเรียบร้อย เขาก็ออกจากหอคอยทมิฬและไปยังเมืองเล็กๆเพื่อจ้างรถม้าไปยังเมืองหยางสวรรค์
หลังจากเข้านั่งในรถม้า หลิงฮันก็สั่งคนขับรถว่าห้ามรบกวนเขาและกลับเข้าไปยังหอคอยทมิฬ
ระหว่างการเดินทาง พลังบ่มเพาะของทุกคนเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากรถม้าเดินทางได้สองวัน หลิวอู๋ตง ชูหวู่จิวและชางเย่ก็ทะลวงผ่านระดับแก่นแท้จิตวิญญาณได้สำเร็จ ตั้งแต่ที่พวกเขาบรรลุระดับห้วงจิตวิญญาณ เวลาผ่านมาเพียงแค่สองถึงสามเดือนเท่านั้น เมื่อลองนึกดู แม้แต่ตัวพวกเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
อาการบาดเจ็บของสัมผัสสวรรค์ของจูเสวียนเอ๋อดีขึ้นมาก นี่เป็นเพราะนางมีพรสวรรค์ในวิถีแห่งวรยุทธยอดเยี่ยมอยู่แล้ว หลังจากได้รับบาดเจ็บจากเจตจำนงของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน สัมผัสสวรรค์ของได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง เมื่อใดที่อาการบาดเจ็บของนางฟื้นตัว ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของนางจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแน่นอน
หลิงฮันเรียกนางมาและโยนขวดเม็ดยาให้นาง
“นายน้อยฮัน บาดแผลของเสวียนเอ๋อเกือบจะหายดีแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องใช้เม็ดยาใดๆอีกต่อไป” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลด้วยใบหน้าที่งดงามราวกับนางฟ้า ในเมื่อหลิงฮันเคยเปิดผ้าคลุมหน้าของนางและเห็นใบหน้านางแล้ว นางจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังใบหน้ากับหลิงฮันอีกต่อไป ความงามของนางนั้นทำให้แม้แต่หลิวอู๋ตงและหลีซื่อฉางเกิดความลุ่มหลง
หลิงฮันหัวเราะและพูด “นี่ไม่ใช่สำหรับเจ้า แต่เป็นอาจารย์ของเจ้า”
ในตอนแรกจูเสวียนเอ๋อชะงักไปชั่วขณะก่อนที่ใบหน้าของนางจะกลายเป็นตื่นเต้นและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หรือวว่านี่จะเป็น…”
“เม็ดยาพยัคฆ์ซ่อนชะตาสวรรค์” หลิงฮันพยักหน้า “ข้าได้รับมันมาตอนที่ผ่านการทดสอบรอบที่สอง และโชคดีที่เจ้ามารับการลอบโจมตีแทนข้า ไม่เช่นนั้นข้าคงตายไปแล้วและไม่มีโอกาสได้รับรางวัลชิ้นนี้ ดังนั้นข้าจึงจะมอบให้เป็นของขวัญ…”
หลิงฮันยังพูดไม่ทันจบ จูเสวียนเอ๋อก็โผเข้ามากอดร่างเขาแน่น
อะไรกัน หรือสตรีนางนี้จะเสพติดการกอดข้าไปแล้ว?
“ขอบคุณ! ขอบคุณมาก!” จูเสวียนเอ๋อพูดด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ การรักษาอาจารย์คือความปรารถนาสูงสูดของนาง
หลิงฮันเคอะเขินอยู่สักพักก่อนที่จะตบบ่าของนางและพูด “เรื่องเล็กน้อย เมื่อบาดแผลของเจ้าหายดี รีบกลับไปนิกายจันทราครึ่งเสี้ยวซะ”
“อืม!” จูเสวียนเอ๋อพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและพยักหน้าอย่างอ่อนโยน
“เอาล่ะ เจ้าปล่อยข้าได้แล้ว ไม่เช่นนั้นข้าคงให้คำมั่นกับเจ้าไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเจ้ายังกอดข้าแบบนี้” หลิงฮันพูดหยอกล้อ
“ไม่ว่านายน้อยฮันต้องการจะทำอะไรกับเสวียนเอ๋อ เสวียนเอ๋อก็ยินยอม!” นางพูดตอบด้วยด้วยน้ำเสียงที่เบาบาง แต่ด้วยความสามารถในการได้ยินของหลิงฮัน แน่นอนว่าเขาได้ยินสิ่งที่นางพึมพำอย่างชัดเจน
โลหิตในร่างของหลิงฮันเดือดผล่านและมีความคิดที่จะจับกดสตรีที่งดงามภายในอ้อมอกของเขานางนี้
ใครกันจะไม่ชอบสตรีที่งดงามเช่นนี้? เขาไม่ได้บังคับฝืนใจนางและไม่ได้หลอกล่อนางด้วยผลประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องอดทนและแสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษหรอกสินะ?
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆภาพเงาของสตรีนางหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองของหลิงฮัน ทำให้ความคิดเลินเล่อของเขาสลายหายไปทันที
ภาพเงานั่นคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์
505 จัดการเรื่องสำคัญไม่ได้
หลิงฮันปฏิเสธจูเสวี่ยนเอ๋อและพูดว่า “อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี เจ้ากลับไปพักผ่อนเสียก่อน”
จูเสวี่ยนเอ๋อเพิ่งพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกเขินอายออกมาจนถึงขั้นทำให้ทั้งร่ายกายของนางลุ่มร้อน แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกประหลาดใจแทน ถ้าหลิงฮันใช้ประโยชน์และจับนางกด พวกเขาก็จะได้รับประสบการณ์แนบเนื้อกันมากที่สุด แล้วนางก็จะไม่ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมต่อหน้าหลิงฮัน แต่ตอนนี้นางไม่กล้าแม้แต่จะลืมตาขึ้นมาและอยากจะรีบไปให้พ้น
“เฮ้อ สาวงามอุตส่าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของข้าด้วยตัวเองทั้งที แต่ข้ากลับไม่ฉวยโอกาสคว้ามันไว้!” หลิงฮันล้มตัวนอนอยู่บนพื้นหญ้า เขาจ้องมองท้องฟ้าที่ไร้ดวงดาวและดวงจันทร์ “หรือว่าสมองว่าจะมีปัญหาถึงคิดถึงผู้หญิงป่าเถื่อนนั่นขึ้นมาในเวลานั้น!”
จากนั้นหลิงฮันก็ลุกขึ้นมา ใบหน้าของเขากระตุก “เฮ้อ หรือว่าข้าจะตกหลุมรักนางเข้าให้แล้ว?”
“มิฉะนั้น ภายใต้สถานการณ์เมื่อครู่ชายคนใดจะปฏิเสธได้ลง? ข้าไม่มีภรรยา ดังนั้นมันไม่สำคัญว่าข้าจะอยู่กับผู้หญิงคนไหนถูกต้องไหม? ไม่ว่าจะเป็นหลิ่วอู๋ตงหรือหลีซื่อฉาง ทำไมข้าถึงไม่เคยคิดที่จะแตะต้องพวกนางเลย?”
“มันจบแล้ว มันจบสิ้นแล้ว นี่มันก็ผ่านมาหลายพันปีแล้ว แต่ข้าก็ยังนึกถึงนาง!”
“เหตุใดถึงเป็นแบบนั้น?”
“นอกเหนือจากความงดงามที่เหนือกว่าสตรีทุกคน มีความแข็งแกร่งมากกว่าคนส่วนใหญ่ มีพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธมากกว่าคนส่วนใหญ่ และมีเรือนร่างที่ดีกว่าคนส่วนใหญ่ ดูเหมือนว่านางไม่จำเป็นต้องสะสมแต้มบุญอีกต่อไป แต่ประเด็นคือนางเป็นคนป่าเถื่อน ลงไม้ลงมือกับศิษย์ทั้งสี่คนของข้า และมาสถานที่ของข้าฉกเม็ดยาเป็นระยะๆ นางไม่เคยถือว่าตัวเองเป็นคนนอก ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงแบบนั้นที่ไหนมาก่อนเลย!”
“อะไรกัน!?”
สีหน้าของหลิงฮันแสดงออกอย่างแปลกประหลาด หรือว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ทำตัวเหมือนเป็นภรรยาลับของข้า เป็นไปได้ไหม มันเป็นไปได้หรือไม่!?
“ข้าช่างโง่เง่ายิ่งนัก!” หลิงฮันตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้า
หอคอยทมิฬน้อยปรากฏออกมาและพูดกับเขาอย่างเฉยเมยว่า “ใช่แล้ว เจ้าเป็นคนโง่เง่าอย่างแน่นอน”
“ข้าแค่พูดออกมาอย่างไม่ทันคิด คนที่ฉลาดอย่างข้ายังห่างไกลจากคำว่าโง่หลายล้านไมล์!” หลิงฮันรีบกลับมาเป็นปกติราวกับว่าเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าอะไรทำให้เขาหนักใจ
“เจ้าไม่อาจปกปิดข้าได้ ในหลายสหัสวรรษที่ผ่านมา ข้าอยู่ในดวงวิญญาณของเจ้า และความทรงจำของเจ้าทุกอย่างข้าล้วนแต่เคยเห็นมาหมดแล้ว” หอคอยทมิฬยังคงพูดอย่างเฉยเมย
“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสอดส่องเรื่องส่วนตัวของคนอื่น?” หลิงฮันอยากจะต่อยใครสักคน
“เจ้าคิดว่าข้าอยากดูงั้นรึ?” หอคอยทมิฬพูดอย่างเย็นชา มันหยุดพูดชั่วครู่แล้วพูดต่อว่า “มันเห็นได้ชัดว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์สนใจในตัวเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย!”
ตั้งแต่ที่หอคอยทมิฬรู้เรื่องนั้น หลิงฮันไม่เสแสร้งอีกต่อไป เขาถอนหายใจออกมาและพูดว่า “ผู้หญิงป่าเถื่อนนั่นโดดเด่นเกินไป ถ้านางชอบข้าก็แค่พูด…ไม่อ่อนโยนเลยแม้แต่น้อย!”
อย่างไรก็ตาม หลิงฮันต้องส่ายหน้าทันที สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เป็นหนึ่งในเจ็ดจอมยุทธระดับสวรรค์ในชีวิตที่แล้วของเขา เทพธิดาแห่งการต่อสู้ผู้ที่เป็นรองแค่จักรพรรดิดาบ แล้วนางจะแสดงออกเหมือนผู้หญิงทั่วไปได้อย่างไร?
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง นางจะยังคงเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์หรือไม่?
“ความอ่อนโยนของเจ้านั้นข้าไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย!” หลิงฮันพูดพึมพำ สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์อยากจะมาหาเขาก็มาอยากจะไปก็ไปและหยิบเอาโน้นเอานี่ไปด้วย นางทำตัวไม่เหมือนคนนอกเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นคำใบ้ที่เห็นได้ชัด
น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาภาคภูมิใจในตัวเองมากเกินไป และสิ่งเดียวที่เขาต้องการคือทะลวงผ่านระดับทลายมิติเพื่อเหนือความผู้หญิงป่าเถื่อนคนนั้น ถ้าเขาถอยคนละก้าว บางทีสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เองก็อาจลดบรรยากาศสูงส่งของตัวเองลงและทั้งสองคนก็คงจะอยู่ด้วยกันไปแล้ว
แต่ทว่าตอนนี้ พวกเขาถูกคั่นด้วยระยะเวลาพันปี!
“แม้แต่เจียงเย่เฟิงอาจจะกลายเป็นพระเจ้าแล้วก็เป็นได้ และด้วยพรสวรรค์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์ นางเองก็อาจทะลวงผ่านระดับทลายมิติและกลายเป็นพระเจ้าเหมือนกัน…และเมื่อกลายเป็นพระเจ้าอายุขัยอาจไม่มีที่สิ้นสุด การมีชีวิตอยู่หลายหมื่นปีคนไม่ใช่ปัญหา”
หลังฮันกำหมัดแน่นทันที “รอจนกว่าข้าจะทะลวงผ่านระดับทลายมิติและกลายเป็นพระเจ้าก่อนเถอะ ข้าจะต้องตามหาเจ้าอย่างแน่นอน! ผู้หญิงป่าเถื่อนแบบเจ้า ถ้าเจ้ากล้าแต่งงานกับชายอื่น ข้ากับเจ้าคงต้องพอกันที!”
รถม้าส่ายไปส่ายมา และใช้เวลาเจ็ดวันเพื่อกลับไปยังเมืองหยางสวรรค์
หลิงฮันปล่อยหลีซื่อฉาง หลิ่วอู๋ตงและคนอื่นออกมา และให้พวกเขาไปที่ร้านอาหารไม่อาจลืมเลือนและตำหนักราชันโอสถเพื่อรับผลึกก่อเกิดที่ได้รับมา
เขาไปที่ตำหนักโอสถภูมิภาคเหนือเป็นการส่วนตัวเพื่อมาหากงหยางไท่ซุน เขาต้องไปรับแม่ของเขาและพากลับไปที่แคว้นพิรุณเพื่ออยู่กับพ่อของเขา
นักปรุงยาจะอุทิศหัวใจและจิตวิญญาณเพื่อหลอมเม็ดยา ถึงขั้นยอมสละสิทธิ์การเข้าร่วมสิบสองเขตแดนลี้ลับ แม้ว่าเหตุผลส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะพวกเขาไม่เหมาะกับศาสตร์วรยุทธ กลุ่มนักปรุงยาจึงไม่สนใจศาสตร์วรยุทธ ดังนั้นในหมู่พวกเขาจึงมีจอมยุทธที่แข็งแกร่งเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น ในหมู่นักปรุงยาของตำหนักโอสถภูมิภาคเหนือ มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่บรรลุระดับตัวอ่อนวิญญาณและนั่นคือกงหยางไท่ซุน
หลิงฮันเชื่อว่ากงหยางไท่ซุนจะเคารพสถานะนักปรุงยาระดับสวรรค์ของเขา และไม่ต้องการแย่งชิงสมบัติที่เขาได้รับมาจากสิบสองพระราชวังอย่างแน่นอน แน่นอนว่าเขาไม่ไว้วางใจคนที่เขาไม่ยังรู้จักไม่ดีพอ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดเขาสามารถหลบหนีเข้าไปในหอคอยทมิฬได้อย่างปลอดภัย
หลังจากที่มาถึงตำหนักโอสถภูมิภาคเหนือ เขาก็แสดงให้ทุกคนเห็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมของเขา
“คารวะปรมาจารย์หลิง!” บนเส้นทางของเขา นักปรุงยาทุกคนต่างแสดงความเคารพของพวกเขาออกมา
หลิงฮันพยักหน้าตอบโต้เล็กน้อย และในไม่ช้าก็มาถึงที่พักส่วนตัวของกงหยางไท่ซุน และเมื่อกงหยางไท่ซุนรู้ข่าว เขาเองก็รีบออกมาต้อนรับทันทีเช่นเดียวกัน
“ปรมาจารย์หลิง ชายชราผู้นี้เป็นคนไร้ค่าที่ไม่อาจจัดการเรื่องนั้นได้!” กงหยางไท่ซุนตำหนิตัวเอง
ความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นภายในใจหลิงฮันขณะที่เขาพูดออกมาทั้งขมวดคิ้วว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“นิกายจันทราเหมันตร์ไม่ยอมปล่อยนาง!” กงหยางไท่ซุนกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ด้วยคำสั่งของนักปรุงยาระดับสวรรค์บนกระดาษบวกกับตัวเขาที่เป็นนักปรุงยาระดับปฐพีขั้นกลางเข้าไปด้วยก็ยังไม่เพียงพอ แม้กระทั่งเขายังรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
หลิงฮันลูบคางของตัวเอง หรือว่านิกายจันทราเหมันตร์คิดจะข่มขู่เขาโดยใช้แม่ของเขา?
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่นิกายจันทราเหมันตร์จะรู้ความสัมพันธ์ของหลิงฮันกับเย่วฮงฉาง แต่คนอื่นคงจะคิดว่ามันแปลกที่นักปรุงยาระดับสวรรค์เรียกร้องให้นิกายจันทราเหมันตร์ปล่อยตัวคนคนหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิภาคเหนือไม่ใช่ภูมิภาคกลาง ที่แห่งนี้นักปรุงยาระดับสวรรค์นั้นแทบจะไม่ต่างจากนักปรุงยาระดับปฐพีขั้นกลางเลย
ถ้าจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณไม่ไว้หน้าเขาจริง เขาจะทำอะไรได้? เรียกจอมยุทธระดับก้าวสู่เทวามาปราบพวกเขางั้นหรือ?
เช่นเดียวกับภูมิภาคกลาง ย่าวหุยเย่วและศิษย์จากนิกายใหญ่ไม่ให้ความเคารพนักปรุงยาแม้แต่น้อย
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลิงฮันพยักหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะต้องไปที่นิกายจันทราเหมันตร์ด้วยตัวเอง
“ปรมาจารย์หลิง ชายชราผู้นี้พร้อมที่จะเดินทางไปพร้อมกับท่าน” กงหยางไท่ซุนกล่าวออกมาด้วยความกังวล เห็นได้ชัดว่าเขาได้ยินเรื่องที่หลิงฮันได้รับมรดกของสิบสองพระราชวังมาแล้ว และเกรงว่านิกายจันทราเหมันตร์อาจใช้กำลัง
“ไม่จำเป็น ข้ามีแผน” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
จากนั้น หลิงฮันเดินออกมาจากตำหนักโอสถภูมิภาคเหนือและกลับไปที่พักของเขา หลิ่วอู๋ตงและคนอื่นเองก็กลับมาทีละคนพร้อมกับข่าวร้าย
ร้านค้าทั้งสองถูกทำลาย
ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนทำ แต่หลังจากที่ร้านค้าปิดในตอนกลางคืน และเมื่อตอนเช้าพอเปิดประตูมาก็มีซากศพอยู่ด้านใน ด้วยกลิ่นเหม็นของซากศพที่ฟุ้งไปทั่วอากาศ ใครมันจะอยากกินหรือซื้อเม็ดยากัน?
นิกายพันศพ มีเพียงแค่พวกมันเท่านั้นที่ใช้วิธีการต่ำต้อยเช่นนี้
“หรือว่าพวกมันพยายามทำให้ข้าอยู่ไม่สุข?” หลิงฮันพูดพึมพัม โชคดีที่ร้านค้าทั้งสองสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับหลิงฮันเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขาร่ำรวยอย่างรวดเร็วคือการประมูลเม็ดยา ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นจึงไม่อาจทำให้เขาเคร่งเครียดได้
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้ข้าได้รับมรดกของสิบสองพระราชวังมาแล้ว และภูมิภหลังของข้าคงจะถูกเปิดเผยออกมาทีละเล็กน้อย ดังนั้นข้าจะต้องรีบช่วยท่านแม่ให้เร็วที่สุดแล้วพาไปอยู่กับท่านพ่อที่แคว้นพิรุณ และไม่อาจปล่อยให้ใครอยู่กับข้าได้
“ไปที่นิกายจันทราเหมันตร์!”
506 กินประตูหลัก
หลิงฮันเพียงแค่ปิดร้านอาหารไม่อาจลืมเลือนและตำหนักราชันโอสถ ระหว่างนั้นหยินหงได้มาหาเขาครั้งหนึ่ง และหลิงฮันสัญญาว่าจะไปหาช่วงปลายปีเพื่อทำตามสัญญาก่อนหน้านี้ที่ว่าเขาจะเป็นตัวแทนของตำหนักสมบัติวิญญาณแห่งภูมิภาคเหนือ
หลังจากนั้น เขาก็มุ่งหน้าไปที่นิกายจันทราเหมันตร์
จูเสวี่ยนเอ๋อยังไม่ได้กลับไปที่นิกายจันทราครึ่งเสี้ยว อาการบาดเจ็บของนางยังไม่หายดีและด้วยชื่อเสียงของความงดงามของนาง ถ้าคนอื่นรู้ว่านางได้รับบาดเจ็บ มันคงจะเป็นเรื่องยากที่จะรับประกันได้ว่าคนอื่นจะไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อกักขังนางเป็นภรรยาของตัวเอง
ดังนั้น นางจึงพักฟื้นอยู่ในหอคอยทมิฬและติดตามหลิงฮันไปที่นิกายจันทราเหมัตร์
หลิงฮันยังคงจ้างรถม้าขณะที่มั่นฝึกฝนบ่มเพาะพลังอยู่ทุกวัน
การเดินทางไปที่นิกายจันทราเหมันตร์ใช้เวลาหนึ่งเดือน เมื่อเขาไปถึงแล้ว เขาคงจะบรรลุระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าแล้ว
ภายในหอคอยทมิฬ ทุกคนฝึกบ่มเพาะพลังอย่างขยันขันแข็ง โดยเฉพาะฮูหนิวที่เริ่มฝึกฝนบ่มเพาะพลังเป็นครั้งแรก ซึ่งทำให้หลิงฮันอยากจะกรีดร้องออกมาราวกับว่าเขาเห็นผี
หลังจากหนึ่งเดือน ในที่สุดรถม้าที่โยกเยกไปมาตลอดทางก็มาถึงนิกายจันทราเหมันตร์ หลิงฮันทะลวงผ่านระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าซึ่งเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว และทักษะกายาเก้ามังกรทรราชเองก็บรรลุระดับห้วงจิตวิญญาณแล้วเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม พละกำลังที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่เหมือนกับพลังก่อเกิด ซึ่งพลังของมันจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อทะลวงผ่านขั้นถัดไป พละกำลังไม่มีอุปสรรคขวางกัน มันเป็นเพียงแค่การสะสมอย่างต่อเนื่องของการฝึกฝน
เมื่อมีกายหยาบของพระเจ้าจะมีอุปสรรคเกิดขึ้น ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชคือการเปิดประตูเก้าบานภายในร่างกาย และเมื่อประตูแต่ละบานถูกเปิดออกก็จะครอบครองพลังของมังกรที่แท้จริง เมื่อประตูทั้งเก้าบานถูกเปิดออกจนหมด คนผู้นั้นก็จะมีกายหยาบพระเจ้า
มิฉะนั้น หากใครมีพลังของมังกรที่แท้จริง คนผู้นั้นก็จะยังคงถูกกังขังอยู่ในระดับมนุษย์ อย่างมากที่สุดคนผู้นั้นอาจเป็นได้แค่มนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด
เช่นเดียวกับจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่อาจต่อสู้กับระดับบุปผาผลิบานได้
น่าเสียดายที่หลิงฮันมาถึงคอขวดในการเรียนรู้อักขระรูปแบบกระดูกแล้ว เขาไม่อาจทำความเข้าใจมันได้ทั้งหมด บางทีระดับพลังของเขาอาจจะยังไม่เพียงพอและเขาต้องก้าวเข้าสู่ระดับบุปผาผลิบานเสียก่อนเพื่อทำความเข้าใจมัน
กลับกัน เขามีความก้าวหน้าในวิถีแห่งดาบอย่างน่าทึ่งเพราะคอขวดของปราณดาบเล่นที่สิบนั้นได้ถูกเปิดออกแล้ว มันเหมือนกับว่าเขากลับมาอยู่ตอนที่สร้างปราณดาบหนึ่งเล่มได้ ในช่วงเวลาหนึ่งเดือน เขาสามารถสร้างปราณดาบได้อีกสามเล่ม!
ปราณดาบสิบสามเล่ม นี่มันเหนือกว่าย่าวหุยเย่วเสียอีก!
…อย่างไรก็ตาม บางทีย่าวหุยเย่วอาจสร้างปราณดาบได้สิบเล่มแล้วในตอนนั้น ในไม่ช้าเขาคงสร้างปราณดาบเล่มที่สิบเอ็ดได้ และบางทีตอนนี้เขาอาจสร้างปราณดาบได้ไม่ต่ำกว่าสิบสามเล่ม
หลิงฮันเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของย่าวหุยเย่ว นอกจากนี้ เหวินอีเจี้ยนยังไม่เคยโจมตีออกมาสุดกำลัง ขีดจำกัดของเจ้านั่นบางทีอาจสร้างปราณดาบได้มากกว่าสิบเล่ม
หลิงฮันโบกมือส่งสัญญาณให้รถม้าล่าถอยขณะที่เขาเดินไปที่ประตูหลักของนิกายจันทราเหมันตร์เพียงลำพัง
ประตูและเส้นทางที่คุ้นเคยนี่…เขาเพิ่งจะมาถึงแต่ก็ถูกบดบังรัศมีไปเสียแล้ว แน่นอนว่านิกายใหญ่จะไม่ยอมให้ผู้คนเข้าไปข้างในได้ตามที่พวกเขาต้องการ
แท้จริงแล้วหลิงอันมีแผ่นป้าย “ฮันหลิง” อยู่แต่เขาไม่ได้นำมันออกมา เดิมที่เขาคิดว่าจะใช้ข้อมูลนี้เพื่อสืบหาที่อยู่ของแม่อย่างลับๆ แต่ทว่าตั้งแต่ที่เขากลับไปอยู่ที่ตัวตนนักปรุงยาระดับสวรรค์อีกครั้ง เขาก็ไม่อยากสร้างปัญหาและมุ่งความสนใจไปที่แม่ของเขา
“ข้าคือหลิงฮัน จงไปเรียกประมุขนิกายของพวกเจ้าให้โผล่หัวออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!” หลิงฮันพูดอย่างไม่แยแส
เรียกประมุขนิกายให้โผล่หัวออกมา?
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ศิษย์จำนวนหนึ่งที่อยู่ใกล้ประตูหลักรู้สึกประหลาดใจทันที เจ้าเด็กหนุ่มนี่บ้าหรือเปล่าถึงวิ่งมาหาเรื่องนิกายจันทราเหมันตร์เพื่อพูดจาแบบนั้นออกมา? หรือว่าเขาจะเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว?
หลิงฮันไม่อยากพูดโต้เถียงที่นี่และปลดปล่อยแรงกดดันของจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณออกมา ทำให้หลายคนเงียบปากและใบหน้ากลายเป็นซีดขาว พวกเขารีบวิ่งโซเซไปมาเพื่อขอให้ผู้อาวุโสออกมาจัดการ
ในไม่ช้า จอมยุทธจำนวนหนึ่งได้ปรากฏตัวออกมา มีจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณหลายคน และระดับแก่นแท้จิตวิญญาณหนึ่งคน และแน่นอนว่าศิษย์ธรรมดาที่อยู่ระดับก่อเกิดธาตุนั้นมีมากที่สุด ทุกคนอยากรู้อยากเห็นมากว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะนิกายจันทราเหมันตร์เป็นหนึ่งในสี่นิกายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเหนือ แต่กลับมีใครบางคนกล้าเข้ามาท้าทายพวกเขา?
“อะไรนะ หลิงฮันงั้นรึ?!” ใครบางคนรู้จักเขา พวกเขาคือสหายจากเก้าแคว้นในดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว
ไป๋หยู่เฉวียน ชงเหอกวง และคนอื่น พวกเขาทุกคนต่างเป็นอัจฉริยะจากเก้าแคว้นในดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว ความก้าวหน้าของพวกเขานั้นสามารถมองเห็นได้ชัดเจน พวกเขาทุกคนต่างทะลวงผ่านระดับห้วงจิตวิญญาณแล้ว หากกลับไปที่ดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยว พวกเขาจะต้องกลายเป็นเสาหลักของตระกูล
พวกเขารู้สึกตกใจมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาได้ยินว่าหลิงฮันกลายเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์แล้ว นี่เป็นเหมือนกับความฝันสำหรับพวกเขา เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ มันจะต้องเป็นคนสองคนที่มีชื่อเหมือนกันอย่างแน่นอน
ทว่า ชายหนุ่มอายุสิบแปดปีที่ยังค่อนข้างที่เป็นบุคคลในตำนานแห่งเก้าแคว้นดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวได้ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาแล้ว
“ท่านคือปรมาจารย์หลิงนี่เอง!” จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเดินออกมา เขาผสานมือเพื่อคำนับให้กับหลิงฮันและพูดว่า “พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ท่านมาที่นี่ ข้าขอถามท่านได้หรือไม่ว่าท่านมีธุระอันใดหรือ?”
หลิงฮันเหลือบมองเขาและพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “เจ้าเป็นใครกันถึงมีสิทธิ์พูดกับข้า? คนต่ำต้อยอย่างเจ้าควรไปยืนอยู่ด้านข้างและไปเรียกคนใหญ่คนโตมาที่นี่”
จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคนนั้นแทบสำลัก และเผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา
ฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มอายุสิบแปดปีเท่านั้น…เขาอุตส่าพูดด้วยความสุภาพเพื่อแสดงความเคารพนักปรุงยาระดับสวรรค์ แต่เขากลับไม่คิดเลยว่าหลิงฮันจะตอบกลับด้วยคำพูดที่เยือกเย็นแบบนั้นกลับมา! ตามที่เขาเห็น นิกายจันทราเหมันตร์เป็นหนึ่งในนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดของภูมิภาคเหนือ แม้ว่านักปรุงยาจะได้รับการยอมรับไปทั่ว แต่ตอนนี้เขากลับบุกมาที่หน้าประตูนิกาย แล้วใครจะต้องทำตัวสุภาพกับเขา?
“นิกายจันทราเหมันตร์ไม่ต้อนรับท่าน โปรดจากไป!” จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคนนั้นพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
“ข้าได้พูดไปแล้วว่าเจ้าไม่มีสิทธิ์พูดกับข้า ทำไมเจ้าถึงชอบพูดจาไร้สาระแบบนั้นออกมากัน?” หลิงฮันพูดออกมาด้วยความไม่พอใจเช่นเดียวกัน
“สามห้าว!” จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคนนั้นรู้สึกโกรธและปล่อยการโจมตีใส่หลิงฮัน เขาวางแผนที่จะสอนบทเรียนให้กับเจ้าเด็กนี่และบอกให้เขารู้ว่าที่นี่คือนิกายจันทราเหมันตร์ไม่ใช่สมาคมนักปรุงยา
“เจ้าเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแต่กลับกล้าโจมตีนักปรุงยาระดับสวรรค์งั้นรึ?” หลิงฮันพูดออกมาอย่างเยือกเย็นขณะที่ร่างของเขาแวบหายไปต่อหน้าจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคนนั้น
ทำไมเขาถึงรวดเร็วเยี่ยงนี้?
อีกฝ่ายรู้สึกตกตะลึง แต่ก่อนที่เขาจะมีเวลาตอบโต้มือของหลิงฮันก็ได้ปาดผ่านคอของเขาไปแล้วโดยที่ไม่รู้สึกตัว
เขาตายแล้ว!
อึก เสียงตกตะลึงดังขึ้นอยู่รอบข้าง นั่นเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ แต่เขากลับถูกฆ่าด้วยการโจมตีเดียว นี่มันน่าทึ่งเกินไป!
หรือว่าหลิงฮันจะทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้ว?
ผู้คนจากเก้าแคว้นดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวนั้นตกใจยิ่งกว่า เหตุใดหลิงฮันถึงแข็งแกร่งขนาดนี้…ทุกคนเดินทางออกจากเก้าแคว้นดินแดนทางเหนืออันโดดเดี่ยวพร้อมกัน เพียงแค่ไม่เจอกันหนึ่งปี ช่องว่างระหว่างพวกเขาราวกับสวรรค์และโลก!
ตุบ ศพของจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณคนนั้นตกลงพื้นทำให้ฝุ่นตลบเล็กน้อย
หลิงฮันดึงกำปั้นของเขากลับมาและพูดอย่างไม่แยแสว่า “คนที่สามารถพูดและตัดสินใจได้ยังไม่ออกมาอีกงั้นรึ?”
“ปรมาจารย์หลิง ท่านเดินทางมาที่นิกายจันทราเหมันตร์เพื่อฆ่าคนนั้นคงไม่ใช่เรื่องฉลาดเท่าไหร่นักหรือไม่จริง?” ผู้คนหลายคนบินออกมาจากภูเขาและยืนอยู่บนอากาศอย่างสง่า
“ข้ามีเพียงเรื่องเดียวที่อยากจะพูด ส่งตัวเย่วฮงฉางมา!” หลิงฮันพูดออกมาอย่างไร้เหตุผล
“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านลงมือฆ่าศิษย์คนหนึ่งของนิกายจันทราเหมันตร์ แต่ยังต้องการเรียกร้อง?” อ้าวเฟิงเองก็ปรากฏตัวออกมา “จงมอบมรดกของสิบสองพระราชวังมาซะเพื่อเป็นการชดใช้!”
“เจ้ารู้วิธีพูดตลกเหมือนกันนี่!” หลิงฮันสะบัดมือขวาและเรียกอสูรศิลาออกมา “กินภูเขานั่นให้หมดทั้งลูก!”
อสูรศิลาเช็ดเหงื่อ มันชอบกินหิน แต่หินพวกนั้นไม่ใช่หินธรรมดา พวกมันถูกเสริมความแข็งแกร่ง และมันไม่อาจกลืนกินหินได้ทุกชนิด
แต่เมื่อเจ้านายของมันพูดแบบนั้น แล้วมันจะไม่เชื่อฟังคำสั่งได้อย่างไร?
อสูรศิลาทำตามคำสั่งทันที สิ่งแรกที่ต้องเผชิญคือประตูหลัก มันบดขยี้ด้วยฝ่ามือ แล้วหยิบเสาที่แตกหักขึ้นมาและกัดกินมัน
ทุกคนรู้สึกประหลาดใจและโกรธ เพราะประตูหลักนั้นเป็นเหมือนใบหน้าของนิกาย!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น