Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 484-494
484
อสูรศิลาเป็นจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นจากสรรค์และโลก และมันไม่ได้อ่อนแอกว่าสัตว์อสูรระดับราชาในระดับเดียวกัน บางทีมันอาจแข็งแกร่งเลยด้วยซ้ำทั้งยังมีพลังโจมตีและพลังฟื้นฟูที่น่าหวาดกลัว
แม้ว่ามันจะเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับบุปผาผลิบาน พลังต่อสู้ของมันอย่างน้อยก็มีห้าดาว ในทางตรงกันข้าม เหมี่ยวฉีซือนั้นเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นสาม แต่พลังต่อสู้ของมันกลับมีเพียงแค่สี่ดาว…แต่ก็ไม่อาจดูแคลนมันได้ จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานที่มีพลังต่อสู้มากกว่าหนึ่งดาวนั้นก็น่าประทับใจมากแล้วและสามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ!
แต่น่าเศร้า ทำไมมันต้องมาเจอกับอสูรศิลาด้วย?
การโจมตีของมันกระทบกับร่างของอสูรศิลา แต่กลับมีเพียงก้อนหินไม่กี่ก้อนเท่านั้นที่แตกออกมา และในไม่ช้าก้อนหินที่แตกออกมาเหล่านั้นก็ลอยกลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นมันที่โดนหมัดจากอสูรศิลาแทนล่ะ?
หึหึ มันจะต้องกระอักเลือดออกมาไม่หยุดอย่างแน่นอน!
เมื่อต่อสู้กับอสูรศิลา เหมี่ยวฉีซือจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างน่าเศร้า
กู่หยวนเหลียงและเกิ่งจิงเฉิ้งรู้สึกตกตะลึง พลังฟื้นฟูของเจ้าอสูรศิลานี่มันน่าหวาดกลัวเกินไป และถึงแม้พวกมันจะใช้ม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ พวกมันจะสร้างความเสียหายหนักให้กับเจ้าหุ่นเชิดนี่ได้หรือไม่?
ประเด็นคือม้วนคำสั่งมันคุ้มค่าที่จะแลกกับหยดวิญญาณนี้หรือไม่?
เหมี่ยวฉีซือเองก็รู้สึกลังเล แต่ยิ่งลังเลมากขึ้นมันก็จะทำให้มันเสียเปรียบมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน มันถูกอสูรศิลาต่อย และถึงแม้ว่ามันจะยกแขนขึ้นมากันใบหน้า แต่พลังอันหนักหน่วงของอสูรศิลาก็ยังคงทำให้มันกระเด็นปลิวออกไป
ปัง มันกระแทกเข้ากับวัตถุหกเหลี่ยมที่อยู่ตรงกลางวิหารศักดิ์สิทธิ์ ทำให้วัตถุนั่นสั่นอย่างรุนแรง
เหมี่ยวฉีซือหันหน้าไปดู แต่แล้วมันก็เผยสีหน้าตกใจออกมาทันที และใบหน้าของมันถึงขั้นบิดเบี้ยว ใบหน้าแดงก่ำของมันกลายเป็นซีดขาวอย่างรวดเร็ว
มันรู้สึกตกใจมาก และขณะที่มันขยับแขนขวา ม้วนคำสั่งก็ปรากฏออกมา และใช้ออกไปอย่างไม่ลังเล
ม้วนคำสั่งระเบิดพลังของมันออกมาอยู่ในรูปของฝ่ามืออันร้อนแรงและพุ่งเข้าหาวัตถุหกเหลี่ยม พลังที่เอ่อล้นออกมาเห็นได้ชัดว่านี่เป็นการโจมตีของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ
กู่หยวนเหลียงและเกิ่งจิงเฉิ้งทั้งรู้สึกตกใจและสับสน ถ้าเหมี่ยวฉีซือใช้ม้วนคำสั่ง มันควรจะใช้กับอสูรศิลามิใช่หรือ? แต่มันกลับใช้ม้วนคำสั่งกับวัตถุหกเหลี่ยมที่อยู่ด้านหลังมัน…? หรือว่ามันมึนงงหลังจากถูกตบตี?
เหมี่ยวฉีซืออยู่ใกล้มาก ดังนั้นการโจมตีนี่จึงส่งผลกระทบกับมันด้วย ไม่ว่าจะดูยังไงมันเป็นการกระทำที่ฆ่าตัวตายอย่างเห็นได้ชัด!
ปัง!
เปลวเพลิงหมุนวนอยู่ในอากาศและพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกไป ปัง ปัง ปัง ปัง เสาหินแตกหักทีละต้น หลิงฮันไม่รีรอที่จะเรียกทองคำก่อเกิดผลาญโลหิตออกมา และกวาดเสาหินที่แตกหักทุกต้นเก็บเข้าไปในหอคอยทมิฬ
อสูรศิลาฉีกยิ้มออกมาทันที มันรู้ดีว่าหลิงฮันไม่ได้เก็บเสาหินเพื่อนำมากิน
เมื่อเปลวเพลิงหายไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่ของเหมี่ยวฉีซือคือซากศพที่ถูกเผาไหม้ เมื่ออยู่ใกล้การโจมตีของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณมากขนาดนั้น แม้จะเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าก็ไม่มีทางรอด
เว้นแต่ว่าคนคนนั้นจะแปลกประหลาดเหมือนกับหลิงฮันที่ครอบครองกายาเหล็กไหลและเกราะอัสนี
วัตถุหกเหลี่ยมเปลี่ยนไป!
ตอนแรกมันมีสีดำเหมือนกับทองดำ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นอำพัน เมื่อหลิงฮันและคนอื่นเห็นสิ่งที่อยู่ภายในอำพัน พวกเขาทุกคนเผยสีหน้าตกใจออกมาทันที
ภายใน “อำพัน” บางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ถูกโซ่เหล็กสิบแปดเส้นตรึงไว้อยู่กับพื้นดิน แต่สิ่งที่แปลกคือไม่มีใครสังเกตเห็นก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีแมลงดูดโลหิตอยู่ด้วย ซึ่งปากของมันกำลังทิ่มแทงไปที่หัวใจของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ราวกับว่ามันกำลังดูดเลือดของมันอยู่
สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์มีขนสีแดง ร่างกายของมันผอมแห้งมากเห็นได้ชัดว่ามันถูกดูดเลือดแทบจะเหือดแห้ง ส่วนร่างของแมลงดูดโลหิตนั้นมันมีขนาดหนึ่งเมตรและมีปีกสีทอง
แปลกยิ่งนัก!
อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นเรื่องประหลาดที่เหมี่ยวฉีซือใช้ม้วนคำสั่งกับ “อำพัน” โดยที่ไม่คิดแม้แต่ชีวิตของตัวมันเอง… นอกจากนี้ “อำพัน” นี่มันถูกสร้างขึ้นมาจากอะไรกัน แม้จะได้รับการโจมตีจากม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแต่มันก็ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย?
หลิงฮันจ้องมองไปที่แมลงดูดโลหิตและอดที่จะเผยสีหน้าตกใจออกมาไม่ได้ ระดับของแมลงดูดโลหิตนี่มันเหนือกว่าพวกเขามาก เพียงแค่แมลงดูดโลหิตที่มีขนาดเท่ากำปั้นก็อยู่ระดับบุปผาผลิบานแล้ว และตอนนี้มันมีความยาวถึงหนึ่งเมตร ดังนั้นมันจะอยู่ระดับไหนกัน?
ระดับสวรรค์? ระดับทลายมิติ? หรืออาจเป็นระดับพระเจ้า?
ถ้าดินแดนลี้ลับนี่ถูกแยกออกมาจากดินแดนพระเจ้า เช่นนั้นมันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นตัวตนระดับพระเจ้า และก่อนหน้านี้ทำไมเหมี่ยวฉีซือถึงฆ่าตัวตาย?
มันมีสัตว์อสูรขนาดใหญ่สองตัวอยู่ที่นี่ นั่นคือแมลงดูดโลหิตและสัตว์อสูรขนแดง ตอนนี้สัตว์อสูณทั้งสองตัวนั้นปรากฏตัวอยู่ในส่วนลึกที่สุดของวิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เข้ากันเหมือนกับน้ำและไฟ…มันคืออะไรกันแน่?
ในขณะที่ทุกคนกำลังมึนงง ราชาแมลงดูดโลหิตก็ลืมตาของมันขึ้นและร่างกายของมันเริ่มขยับ!
มันไม่ใช่เป็นเพราะว่าปีกของมันขยับ แต่ “อำพัน” นั่นกำลังลอยขึ้นและดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถหลุดพ้นจากโซ่ตรวนได้ เมื่อมันลอยขึ้นมา อสูรขนแดงโดดลงมาจาก “อำพัน” และตกลงบนพื้นพร้อมกับเสียงของโซ่ตรวนทั้งสิบแปดเส้นที่เปล่งเสียงแหลมออกมา
ฉากนี้มันดูแปลกมากไม่ว่าจะมองไปที่ไหนก็ตาม
หลิงฮันจ้องมองไปที่โซ่ตรวนสิบแปดเส้น ซึงมันดูธรรมดา แต่เมื่อมองดูอย่างใกล้ชิด มันกลับเต็มไปด้วยอักขระที่ส่องแสงออกมาเล็กน้อยราวกับว่าพวกมันเป็นโซ่ศักดิ์สิทธิ์
“นายน้อยฮัน!” เย่วไค่หยู่และกว่างหยวนตะโกน ราชาแมลงบินโซเซไปมา ความเร็วของมันนั้นน่าขบขันมาก
กู่หยวนเหลียงสะบัดผ่ามือและโจมตี ปัง มันปะทะเข้ากับอำพัน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและทำให้ราชาแมลงหันเหความสนใจมาที่มัน ปากที่แหลมยาวของมันชี้ไปที่กู่หยวนเหลียง และขณะที่มันดูด กู่หยวนเหลียงนั่นไม่มีพลังที่จะต่อต้านแม้แต่น้อยและถูกดูดไปทางอำพัน
กู่หยวนเหลียงรู้สึกตกใจมาก มันต้องการที่จะบินหนี แต่ทว่ามันกลับไม่สามารถหลุดพ้นจากแรงดูดที่น่าหวาดกลัวนี่ได้ และมันก็กระแทกเข้ากับอำพันแล้วปากที่แหลมคมก็แทงไปที่หัวใจของมันทันที
ทันใดนั้น ร่างกายของมันราวกับถุงน้ำที่รั่วไหล และในพริบตาใบหน้าของมันก็ซีดขาวจนน่าหวาดกลัวราวกับว่าทั้งร่างกายของมันถูกดูดออกไปจนไม่มีอะไรเหลือ
จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานกำลังจะถูกดูดเลือดหมดตัวจนตาย!
อย่างไรก็ตาม จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานยังคงเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งอยู่ดี กู่หยวนเหลียงนำม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณออกมาจากแหวนมิติ และทำเช่นเดียวกับเหมี่ยวฉีซือ มันใช้ม้วนคำสั่งกับราชาแมลงที่อยู่ด้านหลังของมัน
ปัง ครั้งนี้อำนาจพลังที่หนาวเย็นพัดผ่านไปทั่ว ทำให้ด้านในของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง และอำพันก็ถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์ ส่วนกู่หยวนเหลียงนั้นไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ ร่างกายของมันจึงถูกแช่แข็งและใบหน้าของมันดูเหมือนจะเผยสีหน้าที่โล่งใจออกมา
หรือว่าก่อนหน้านี้เหมี่ยวฉีซือเองก็พยายามที่จะลากราชาแมลงไปกับมันด้วยเพราะเลือดของมันกำลังจะถูกดูดจนเหือดแห้ง? อย่างไรก็ตาม ปากของราชาแมลงเห็นได้ชัดว่ากำลังแทงอยู่ในร่างกายของสัตว์อสูรขนแดง แล้วมันดูดเลือดของเขาจนเหือดแห้งได้อย่างไร?
แคร๊ก ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมอำพันเริ่มเกิดรอยแตกพร้อมกับซากศพของกู่หยวนเหลียง ราชาแมลงบินออกมาอย่างเชื่องช้าและหันเหความสนใจของมันกับคนที่เหลืออยู่
485
“ไป!”
ทั้งสี่คนที่เหลือไม่ลังเลอีกต่อไป ราชาแมลงตนนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถต่อกรได้! ขนาดตอนนี้มันถูกผนึกอยู่ในอำพัน ม้วนคำสั่งโจมตีของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้ ถ้าหากไม่มีอำพันคอยทำให้การเคลื่อนไหวของมันช้าลงล่ะก็ พวกเขาคงไม่อาจหนีพ้นความตายไปได้
วิหารศักดิ์สิทธิ์มีหน้าที่สำคัญที่การสังเวยบูชา หรือว่าตัวตนที่‘ผู้คนในยุคโบราณ’เคยเคารพบูชาก็คือราชาแมลงตัวนี้? แต่ถ้าราชาแมลงได้รับความเคารพขนาดนั้น ทำไมมันถึงถูกผนึกอยู่ในอำพัน?
อสูรขนแดงที่ถูกผนึกอยู่ในอำพันกับราชาแมลงคืออะไรกันแน่? เห็นได้ชัดว่าราชาแมลงได้ดูดเลือดของอสูรขนแดงที่อยู่ในอำพันมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว แต่เลือดของอสูรขนแดงตนนั้นก็ยังไม่เหือดแห้ง?
เมื่อคิดเช่นนี้ หลิงฮันก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้… บางทีอสูรขนแดงตนนั้นอาจจะยังไม่ตาย!
แปลกประหลาด… สถานที่แห่งนี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทั้งสี่คนก็รีบเผ่นไปยังทางออกของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ราชาแมลงไล่ตามพวกเขามาอย่างไม่รีบร้อนเพราะมันไม่อาจเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว
หลังจากก้าวออกมาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ เกิ่งจิงเฉิ้งก็บินขึ้นฟ้าเพื่อรีบเผ่นหนีทันที ณ เวลานี้มันลืมเรื่องการแย่งชิงหยดวิญญาณจากพวกหลิงฮันไปสนิท สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของตัวมันเอง!
หลิงฮันและพรรคพวกกระโดดขึ้นหลังจิตวิญญาณศิลาและบินออกห่างจากยอดเขา จิตวิญญาณศิลานั้นหันหลังกลับไปมองวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยความรู้สึกเสียดายเสาหินที่อยู่ภายในวิหาร สำหรับมันแล้ว เสาหินเหล่านั้นคือยาบำรุงชั้นเลิศ
ราชาแมลงยังคงไล่ตามพวกเขามา แต่ความเร็วของมันเชื่องช้าเป็นอย่างมาก มันเริ่มถูกพวกหลิงฮันทิ้งห่างไกลออกไปเรื่อยๆจนเห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆสีดำ
‘ฟุบ ฟุบ’ เกิ่งจิงเฉิ้งและอสูรศิลาบินไปยังประตูทางเข้าชั้นสาม ในตอนนี้ยังมีผู้คนจำนวนนึงกำลังเฝ้ารออยู่ เมื่อเห็นพวกหลิงฮันกลับมา ผู้คนเหล่านั้นก็แสดงสีหน้าสงสัยออก พวกมันอยากจะรู้ว่าภายในวิหารมีอะไรซ่อนอยู่
แต่คนที่หัวไวก็รู้สึกตัวทันทีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานที่บินไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคน มีเพียงเกิ่งจิงเฉิ้งคนเดียวเท่านั้นที่กลับมา… หรือว่า!?
“อาวุโสเกิ่ง!” ใครบางอุทานออกมา
‘เพี๊ยะ’ ร่างของเกิ่งจิงเฉิ้งกระแทกเขากับชายคนนั้นและใช้ฝ่ามือตบอีกฝ่ายจนปลิวกระเด็น ส่วนตัวมันรีบพุ่งเข้าประตูกลับไปยังชั้นสองอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันหัวเราะและพูด “ถ้าพวกเจ้าไม่อยากตายก็รีบกลับออกไปซะ ไม่ต้องถามเหตุผลว่าเพราะอะไร ข้าไม่มีเวลามาอธิบายให้พวกเจ้าฟัง!” เมื่อพูดจบ เขา เยว่ไค่หยู่ และกว่างหยวนก็เข้าประตูกลับไปยังชั้นสองเช่นกัน
ตรงบันไดหน้าประตูที่ชั้นสองยังคงมีอสูรขนแดงเจ็ดตัวยืนเฝ้าอยู่ แต่ในเมื่อเกิ่งจิงเฉิ้งเป็นคนแรกที่ปรากฏตัว อสูรขนแดงทั้งเจ็ดจึงไล่ตามมันไป แต่เมื่อพวกมันเห็นว่าหลิงฮันและพรรคสามคนปรากฏตัวตามมา อสูรขนแดงก็แยกกลุ่มออกเป็นสองกลุ่ม สี่ตัวไล่ตามเกิ่งจิงเฉิ้งต่อไปในขณะที่อีกสามตัวคำรามและพุ่งเข้าใส่พวกหลิงฮัน
“พวกเจ้าจะคำรามไปเพื่ออะไร!” หลิงฮันกระโดดไปข้างหน้าพร้อมกับประกายแสงแห่งดาบที่ถูกปลดปล่อยออกมา ‘ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ’ อสูรขนแดงทั้งสามตัวถูกหั่นกลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ “ไป!” หลิงฮันไม่หยุดชะงักและรีบเผ่นต่อ
ราชาแมลงที่ไล่ตามพวกเขามานั้นทรงพลังเกินไป ถ้าพวกมันไล่ตามพวกเขาทัน ชีวิตของพวกเขาจะต้องจบสิ้นแน่
ด้านหลังของพวกหลิงฮัน จอมยุทธคนอื่นๆเริ่มวิ่งตามออกมา ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องวิ่งหนี แต่ขนาดจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานยังต้องหนี สิ่งที่ไล่ตามมาจะต้องน่าสะพรึงกลัวมากแน่นอน
ทันใดนั้นเมฆสีดำก็ลอยผ่านมาจนทุกคนต้องอ้าปากตกตะลึง… มันคือกองทัพแมลงดูดโลหิต!
แต่เมื่อทุกคนเตรียมพร้อมที่จะสู้ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น กองทัพแมลงเหล่านั้นเมินเฉยพวกเขาอย่างสิ้นเชิง พวกมันบินขึ้นบันไดและเข้าประตูไปยังชั้นสาม
ทุกคนถอนหายใจโล่งอกทันที มีเพียงหลิงฮันที่สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นบิดเบี้ยว เขารีบตะโกนออกคำสั่ง “รีบขึ้นมาบนศิลาน้อยซะ!”
กองทัพแมลงขึ้นไปยังชั้นสาม… มีความเป็นไปได้สูงมากที่นั่นจะเป็นคำสั่งของราชาแมลง ถึงแม้ตัวของราชาแมลงจะเคลื่อนที่ได้เชื่องช้า แต่ถ้ามันให้กองทัพแมลงเหล่านั้นแบกมันเอาไว้ล่ะ?
เยว่ไค่หยู่และกว่างหยวนเองก็คิดเช่นนั้น สีหน้าของพวกเขากลายเป็นซีดเผือดและรีบกระโดดขึ้นไปบนหลังจิตวิญญาณศิลาทันที แต่ศิลาน้อยไม่ได้บินขึ้นฟ้าเพื่อเผ่นหนี ‘ฟุบ’ มันควบแน่นพลังไปยังบริเวณส่วนขาและก้าวกระโดดไปข้างหน้าไกลหลายร้อยเมตร
การบินไม่ใช่วิธีที่เร็วที่สุด มันได้เปรียบเฉพาะในตอนที่ใช้ข้ามผ่านภูมิประเทศระยะไกลเท่านั้น แต่หากเป็นพื้นดินที่ราบเรียบ แรงทีบส่งที่เกิดจากการกระโดดของจิตวิญญาณศิลานั้นรวดเร็วกว่า
จอมยุทธคนๆอื่นล้วนแต่สับสนว่าทำไมพวกหลิงฮันถึงต้องหวาดกลัวขนาดนั้น
บางคนที่ฉลาดย่อมรู้ว่าแม้แต่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานสองคนยังต้องหายสาบสูญอยู่ภายในวิหาร ดังนั้นภายในชั้นสามต้องมีสัตว์ประหลาดที่น่าพรึงกลัวอยู่แน่นอน พวกเขาไม่ลังเลอีกต่อไปและรีบนำยันต์อาคมออกมาแปะติดตามร่างกาย ภายในพริบตาความเร็วของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นและรีบมุ่งหน้าไปยังทางเข้าชั้นหนึ่ง
แต่บางคนกลับไม่ต้องการใช้สมบัติที่ล้ำค่าขนาดนั้นอย่างสิ้นเปลือง พวกเขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วปกติของตนเอง
‘ฟุบ!’
กองทัพแมลงกลับออกมาจากประตูทางเข้าชั้นสาม แมลงดูดโลหิตนับไม่ถ้วนบินวนล้อมรอบผนึกอัมพันชิ้นหนึ่ง แมลงเหล่านั้นกำลังแบกอำพันบินไล่ตามเหล่าจอมยุทธ
ผู้คนที่หลบหนีล่าช้าได้ถูกกองทัพแมลงโอบล้อม ราชาแมลงลงมือโจมตี และร่างของผู้คนเหล่านั้นก็ค่อยๆเริ่มแห้งเหือดไปทีละคน กองทัพแมลงไม่หยุดแค่นั้น มันบินไล่ตามเหล่าคนที่หลบหนีอยู่ข้างหน้า
จิตวิญญาณศิลากระโดดเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานมันก็ไล่ตามเกิ่งจิงเฉิ้งทัน
เกิ่งจิงเฉิ้งวางแผนจะโจมตีพวกหลิงฮันเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อซื้อเวลา แต่เมื่อนึกถึงอำนาจที่ทรงพลังของจิตวิญญาณศิลา มันก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปและเก็บพลังไว้ใช้สำหรับวิ่งหนี
ตอนนี้ประตูทางเข้าชั้นหนึ่งได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาแล้ว
‘ฟุบฟุบ’ พวกเขาเข้าประตูไปที่ละคนและรีบวิ่งแยกย้ายกันไปที่ทางเข้าวิหาร
“ไม่ดีแล้ว แม่นางหลีอยู่ที่ใด?” จู่ๆเยว่ไค่หยู่ก็นึกออกว่าหลีซื่อฉางออกมารอพวกเขาที่ชั้นหนึ่งไม่ใช่รึไง?
“ไม่ต้องกังวล นางกลับออกไปแล้ว” หลิงฮันพูดโดยไม่คิด
เยว่ไค่หยู่เกิดความรู้สึกสงสัย แต่ถ้าหลิงฮันพูดแบบนั้นเขาก็ทำได้เพียงยอมเชื่อ
ผ่านไปสักพักจอมยุทธคนอื่นก็พุ่งออกมาจากประตูทางเข้าพร้อมกับกองทัพแมลงดูดโลหิตที่ตามออกมา ตรงด้านหลังของกองทัพแมลง แมลงจ่าฝูงขนาดเท่ากำปั้นนับร้อยตัวกำลังทำหน้าที่คอยแบกอำพันที่ผนึกร่างของราชาแมลงเอาไว้
‘พรึบ’ กองทัพแมลงกระจายตัวบินไปยังทางออกทั้งสามทาง
ทางด้านหลิงฮันนั้นอสูรศิลาได้พาพวกเขาออกมาจากวิหารก้นทะเลสาปแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลามามัวว่ายน้ำ ดังนั้นจิตวิญญาณศิลาจึงเหาะเหินบินขึ้นฟ้าและพาพวกเขาไปยังชายฝั่งทะเลสาป
ณ ตอนนี้มีจอมยุทธบางคนที่เพิ่งเดินทางมาถึงทะเลสาปแห่งนี้และจ้องมองไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ใต้ทะเลสาปด้วยท่าทีตกตะลึง
“หนีไป ใต้ล่างนี้มีอสูรที่ทรงพลัง ถ้าพวกเจ้าไม่รีบหนีเสียแต่ตอนนี้ ชีวิตของพวกเจ้าจะจบสิ้น!” หลิงฮันตะโกนออกไป
“นั่นมันปรมาจารย์หลิง!” ใครบางคนจำหลิงฮันได้
เมื่อเห็นหลิงฮันที่กำลังรีบเผ่นหนีด้วยความรีบร้อน บางคนก็เลือกที่จะเชื่อแต่บางคนกลับไม่เชื่อ และไม่ใช่เพียงแค่พวกเขาไม่หลบหนีเท่านั้น พวกเขายังลงไปสำรวจเบื้องล่างอีกด้วย ทันใดนั้นแมลงดูดโลหิตนับไม่ถ้วนก็บินออกมาและเมื่อราชาแมลงปรากฏตัว โศกนาฏกรรมหมู่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็เกิดขึ้น
486
ด้านในวิหารศักดิ์สิทธิชั้นสาม ภายในวิหารทองคำที่มีขนาดเล็กกว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์สิบเท่า
โซ่เหล็กทั้งสิบแปดเส้นที่ตรวนร่วงของอสูรขนแดงเอาไว้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับอสูรขนแดงได้ตายไปแล้ว แต่หลังจากผ่านพ้นกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด หยดสีแดงขนาดเล็กก็หลั่งไหลออกมาจากร่างของมัน
มันคือหยดโลหิต
ก่อนหน้านี้ปากของราชาแมลงดูดโลหิตได้ทิ่มแทงบริเวณหัวใจของอสูรขนแดงตนนี้อยู่ และเมื่อมีหยดโลหิตสีแดงไหลออกมา ราชาแปลงก็จะดูดหยดโลหิตนั่นเข้าไป แต่ตอนนี้ราชาแมลงไม่อยู่แล้ว หยดโลหิตสีแดงจึงหลั่งไหลออกมาจากบริเวณหัวใจของมัน
ทันใดนั้นสิ่งที่น่าตกตะลึงก็บังเกิดขึ้น เมื่อโลหิตเริ่มหลั่งไหล พลังอำนาจของอสูรขนแดงก็เริ่มฟื้นคืนมา ขนสีแดงตามร่างของมันค่อยๆหดหายไปจนมองเห็นผิวหนังเหี่ยวแห้งที่ติดหุ้มกระดูกเอาไว้
ที่แท้อสูรขนแดงก็เป็นผู้หญิง แต่สภาพของนางในตอนนี้นั้นราวกับซากศพ บนหัวของนางไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว รูปร่างของนางสามารถบรรยายได้เพียงอย่างเดียวคือ ‘น่ากลัว’
แต่หลังจากนั้นเมื่อโลหิตหยดที่สองเริ่มก่อตัวและโคจรไปทั่วร่างของนาง พลังของนางก็กลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับผิวหนังนางที่เริ่มมีน้ำมีนวล ในขณะที่หน้าอกและบั้นท้ายของนางนูนขึ้น ผมยาวสีแดงของนางก็เริ่มงอกยาวจนถึงบั้นท้ายและปิดบังส่วนลับเอาไว้
นางเป็นสาวงามที่มีริมฝีปากแดงราวกับเปลวเพลิง ใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาด หลังของนางมีปีกสีดำรูปร่างเหมือนกับปีกค้างคาวยาวสามเมตรงอกออกมา
‘ตึง ตึง ตึง ตึง’ โซ่เหล็กสั่นไหว นางปรบมือและเอ่ยออกมา “ถูกขังมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ช่างน่าเบื่อจริงๆ!”
“หากไม่มีแมลงกลืนกินโลหิตคอยกำราบอำนาจของข้า โซ่ผนึกปีศาจเหล่านี้ก็ไม่สามารถกังขังนายหญิงผู้นี้ได้อีกต่อไป!”
นางหัวเราะและพูดกับตนเอง “ตระกูลเฟิงยี่กำราบนายหญิงผู้นี้ได้ แต่กลัวว่าการลงมือสังหารนายหญิงผู้นี้ทำทำให้ตระกูลที่ทรงอำนาจพิโรธ ดังนั้นพวกมันจึงกังขังนายหญิงผู้นี้เอาไว้และใช้แมลงกลืนกินโลหิตคอยดูดกลืนแก่นแท้โลหิตของข้า ทำให้ข้าไม่สามารถหลบหนีออกไปได้”
“แปลกนัก ทำไมนายหญิงผู้นี้ถึงรู้สึกว่าที่มิใช่ดินแดนโบราณของตระกูลเฟิงยี่ แต่เป็นพื้นที่มิติที่แปลกประหลาดแทน?”
“ช่างมันเถอะ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการหลบหนีและตามหามนุษย์หนุ่มผู้นั้น! นายหญิงผู้นี้สัมผัสได้ถึงสุดยอดมหาสมบัติบนตัวของเขา!”
***
พวกหลิงฮันยังคงวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง หลังจากหลบหนีออกไปได้ไกลหลายร้อยเมตรพวกเขาถึงถอนหายใจโล่งอก
ทั้งสามคนตัดสินใจหยุดพัก พลังวิญญาณในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้หนาแน่นเป็นอย่างมาก หากพวกเขาไม่บ่มเพาะพลังทุกวันจะนับว่าเป็นการสูญเสียโอกาสครั้งใหญ่ อสูรศิลาขอเสาหินจากหลิงฮันและเริ่มแทะกินอย่างมีความสุข
หลังจากไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป ทั้งสามคนก็บ่มเพาะพลังเสร็จสิ้น ช่วงพลังของพวกเขาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
“ผลประโยชน์ในครั้งนี้ช่างสุดยอดยิ่งนัก!” เยว่ไค่หยู่นำขวดหยกที่บรรจุหยดวิญญาณออกมา พวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พวกเขารู้ว่ามันต้องเป็นสมบัติชั้นยอดแน่ๆ ส่วนวิธีการใช้นั้น พวกเขาทำได้เพียงจ้องมองมันอย่างไร้หนทาง
หยดวิญญาณเป็นสมบัติล้ำค่า แค่มันไม่สามารถใช้กินแบบสุ่มสี่สุ่มห้า หากประสิทธิภาพของมันมีมากกว่าระดับพลังของผู้กินมากเกินไป ร่างของผู้ที่กินมันเข้าไปอาจจะระเบิดตายได้
หลิงฮันหยิบขวดหยกมาและพูด “ขอข้าศึกษาวิธีการใช้มันซักพัก ก่อนอื่นพวกเรามากินอาหารกันเถอะ!” เขานำหัวสิงโตและร่างจระเข้ที่เป็นศพของอสูรยักษ์ออกมา จากนั้นจึงก่อไฟเพื่อทำอาหาร
นี่คือราชาสัตว์อสูรระดับบุปผาผลิบาน ถ้าพวกเขากินทุกส่วนของมันพร้อมกัน ร่างของพวกเขาทั้งสามคนจะต้องระเบิดตายเพราะไม่อาจดูดซับพลังงานได้หมดแน่นอน ดังนั้นหลิงฮันจึงตัดส่วนขาของมันมาใช้ทำอาหาร
เยว่ไค่หยู่และกว่างหยวนทำหน้าที่ตั้งเต็นท์ที่พัก หลังจากนั้นหลิงฮันก็นำหลีซื่อฉางออกมาจากหอคอยทมิฬซึ่งเยว่ไค่หยู่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก หลิงฮันกับกว่างหยวนบอกไปว่าพวกเขาเห็นหลีซื่อฉางเดินอยู่แถวๆนี้ ทำให้หลีซื่อฉางสับสนอย่างบอกไม่พูด
เมื่อใดกันที่สัมผัสของมันอ่อนแอจนไม่สามารถรับรู้ว่ามีจอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุเดินอยู่แถวๆนี้? แถวมันก็ยังบังเอิญเกินไป… พวกเขาหลบหนีมาโดยไม่ล่วงรู้ทิศทาง แต่กลับบังเอิญโชคดีมาพบกับหลีซื่อฉางงั้นรึ?
แต่หลังจากที่สุราเข้าปาก เยว่ไค่หยู่ก็หลงลืมทุกสิ่งทุกคนที่เคยสงสัย
ทั้งสี่คนเริ่มลงมือกินอาหาร หลีซื่อฉางนั้นเพียงแค่กัดคำเล็กๆทั่วทั้งร่างของนางก็ส่องประกายออกมาและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งขัดสมาธิทำการบ่มเพาะพลัง
แม้แต่เยว่ไค่หยู่กับกว่างหยวน เมื่อกินเข้าไปหนึ่งจานเล็กๆพวกเขาก็ต้องรีบบ่มเพาะพลังเพื่อดูดซับพลังงานเช่นกัน มีเพียงหลิงฮันเท่านั้นที่ยังคงกินอย่างต่อเนื่องราวกับถูกฮูหนิวเข้าสิง ซึ่งทำให้เยว่ไค่หยู่ตกใจจนลูกตาเกือบหลุดออกจากเบ้า
เยว่ไค่หยู่มั่นใจมากว่าถ้าเขากินเนื้อที่ล้ำค่าจำนวนมากขนาดนั้นเข้าไป ร่างของเขาจะต้องระเบิดแน่นอน
หลังจากกินอาหารอย่างตะกละตะกลาม ในไม่ช้าหม้อน้ำซุปก็หมดเกลี้ยง หลิงฮันเริ่มโคจรทักษะห้าธาตุสวรรค์เพื่อซึมซึมพลังงานที่ได้รับมา
‘ตูม’ แสงศักดิ์สิทธิ์ถูกปลดปล่อยออกมาจากทั่วร่างหลิงฮันพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย
แทรก/แก้ไข Anchor
คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ถูกกระตุ้นใช้งานและกำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนากายหยาบของเขาจากกายาเหล็กไหลเป็นกายาเพชร แต่พลังงานที่ต้องใช้ในขั้นตอนนี้นั้นมีจำนวนมากเกินไป เขาจึงไม่สามารถบรรลุกายาเพชรได้ในระยะเวลาสั้นๆ
หลิงฮันลุกขึ้นและเดินเข้าไปในเต็นท์ที่พัก เขาแกล้งทำเป็นนอนหลับและเข้าไปยังหอคอยทมิฬ ตอนนี้เขาต้องการเวลาเล็กน้อยเพื่อทำการศึกษาหยดวิญญาณ
487
ในตอนนั้น หยดวิญญาณที่มีอยู่เต็มแค่แอ่งหินเท่านั้น ซึ่งมันมีอยู่น้อยมาก หลังจากที่เก็บมันเข้าไปในขวดหยก มันเติมเต็มได้แค่ครึ่งขวดเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เย่วไค่หยู่และกว่างหยวนแยกมันออกไปสองขวดทำให้มันยิ่งน้อยไปอีก
ตั้งแต่ที่พวกเขาไม่รู้ว่าหยดวิญญาณคืออะไร หลิงฮันจึงเข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อทดสอบด้วยตัวเขาเอง
…ภายในหอคอยทมิฬ เขาเป็นดั่งพระเจ้า แม้เขาจะกินยาพิษเขาไป เขาก็สามารถขจัดมันออกมาได้
เขาถามกับหอคอยทมิฬน้อยว่า “ถ้าอยู่ในนี้แล้วข้ากินยาพิษเข้าไป ข้าจะไม่ตายถูกต้องหรือไม่?”
หอคอยทมิฬน้อยสั่นเล็กน้อยและพูดว่า “ถ้าเจ้าอยากแส่หาความตายจะไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าได้”
คำพูดพวกนั้น…
หลิงฮันนำขวดหยกออกมาแล้วเขย่ามันและพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร?”
“มันมีเศษเสี้ยวพลังงานแห่งสวรรค์และโลกที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ทีเดียว” หอคอยทมิฬน้อยพูดอย่างเรียบเฉย แต่หลิงฮันสามารถรู้สึกได้ถึงความเหยียดหยาม
มันคิดว่าหลังจากที่มันกลืนกินศิลาแห่งความสับสนวุ่นวายเข้าไปความภาคภูมิใจในตัวเองจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
หลิงฮันหยุดแล้วถามว่า “ข้าสามารถกินมันตรงๆเลยได้หรือไม่?”
หอคอยทมิฬน้อยครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ไม่ เจ้ายังอ่อนแอเกินไป หากกินมันโดยตรงร่างกายของเจ้าจะต้องระเบิดตายอย่างแน่นอน แม้แต่พลังของหอคอยทมิฬก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้ทันเวลา”
“มันทรงพลังขนาดนั้นเลย?”
“เจ้าจะลองก็ได้” หอคอยทมิฬพูดยั่วยุ
หลิงฮันกลอกตาของเขาและพูดว่า “ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า มันเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้างั้นหรือที่ยั่วยุข้าแบบนั้น?”
“หากเจ้านายที่กินยาพิษเข้าไปแล้วตายนั้นถือว่าเป็นคนที่โง่เขลาอย่างแท้จริง เช่นนั้นมันคงจะถึงเวลาเปลี่ยนเจ้านายแล้ว” หอคอยทมิฬกล่าวอย่างไม่แยแส
“ข้าคงต้องขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังเสียแล้ว ข้าจะไม่ตาย และจะมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม
เขาเขย่าขวดหยกและพูดว่า “ข้าสามารถกินมันหลังจากเจือจางด้วยน้ำได้หรือไม่?”
“ได้” หอคอยทมิฬพูด
“ข้าจะต้องเจือจางมันกี่ครั้ง?” หลิงฮันถามอีกครั้ง
“ประมาณหนึ่งหมื่นครั้ง” หอคอยทมิฬพูด
พรวด หลิงฮันสำลัก หนึ่งหมื่นครั้งเลยหรือ? ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงแค่หยดวิญญาณธรรมดา แต่ถ้าต้องเจือจางหนึ่งหมื่นครั้งเพื่อให้เขาสามารถกินมันได้ เช่นนั้นหยดวิญญาณนี่เปรียบได้เหมือนกับทะเลสาบขนาดเล็ก
ไม่เพียงแต่เขาจะได้กินมันเท่านั้น กระทั่งอาบมันก็สามารถทำได้
“ประเสริฐ!” หลิงฮันหัวเสียงดัง สมกับเป็นหยดวิญญาณของดินแดนพระเจ้า ประสิทธิภาพของมันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
เขากำลังจะเทหยดวิญญาณลงไปในบ่อน้ำ แต่ก็หยุดชะงักเล็กน้อยแล้วถามหอคอยทมิฬน้อยว่า “ภายในหอคอยทมิฬ มันคงไม่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นใช่หรือไม่?”
“ไม่” หอคอยทมิฬน้อย ‘ส่ายหัว’
หลิงฮันเทขวดหยกหยดวิญญาณลงไปทั้งขวดลงในบ่อน้ำ แล้วใช้มือตักขึ้นมาดื่ม ทันใดนั้น ปากของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมและเอ่อร้นไปด้วยพลังราวกับว่าเขากำลังจะกลายเป็นอมตะ
พลังงานของมันมากเกินไป
น่าเสียดายที่คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ไม่ได้ทำงานอัตโนมัติและต่อสู้กับทักษะห้าธาตุสวรรค์เพื่อรับพลังงานไป นั่นหมายความว่าคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ไม่ต้องการพลังงานประเภทนี้และเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของหลิงฮันจะรับมันไหว
เรื่องนี้ทำให้หลิงฮันรู้สึกดีใจและผิดหวังพร้อมกัน
เห็นได้ชัดว่าพลังงานนี่มันเอ่อร้น แต่คุณภาพของมันนั้นไม่เท่ากับพลังงานของสัตว์อสูรระดับราชา
นี่หมายความว่าหยดวิญญาณสามารถสะสมได้แค่ระดับเดียวเท่านั้น
หลิงฮันไม่สนใจแม้แต่น้อย อย่างน้อยก่อนที่จะบรรลุระดับทลายมิติ กำแพงของระดับพลังก่อนหน้านี้ทั้งหมดไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเขา เขาเพียงแค่ต้องสะสมพลังให้มากพอก็ทะลวงผ่านระดับได้แล้ว
หลิงฮันใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงจนในที่สุดเขาก็สกัดหยดวิญญาณเสร็จ จากนั้นเขานำขวดหยกหลายขวดออกมาและกรอกหยดวิญญาณที่เจือจางแล้วเข้าไปในขวด
“พลังงานของหยดวิญญาณเพียวๆนั้นรุนแรงเกินไป ใครดื่มมันเข้าไปคนผู้นั้นจะต้องตาย ส่วนนี่คือหยดวิญญาณที่เจือจางแล้ว พวกเจ้าสามารถดื่มมันได้ พี่ชายเย่ว พี่ใหญ่กว่างสามารถจิบพวกมันทีละนิดได้ตลอดเวลา สำหรับซือฉาง เจ้าดื่มมันได้อย่างมากสิบหยด แล้วค่อยปรับตามสภาพของเจ้า”
พวกเขาทั้งสามคนพยักหน้าและรับขวดหยกทีละคน
จากนั้นหลิงฮันก็เข้าไปในหอคอยทมิฬแล้วกินมันอึกใหญ่และเริ่มสกัดมันต่อ
อย่างไรก็ตาม หยดวารีเจือจางนี่เป็นเหมือนกับเม็ดยา เมื่อหลิงฮันกินมันสามอึก เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่อาจสกัดพลังของมันได้สมบูรณ์และทำให้ประสิทธิภาพของมันลดลงไปครึ่งหนึ่งทันที
จากนั้นหลิงฮันก็ออกมาจากหอคอยทมิฬ เขาล้มตัวลงเพื่อนอนหลับพักผ่อน แม้จะเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแต่ก็ยังต้องหลับนอนบ้าง นี่คือวิธีการที่ยอดเยี่ยมสำหรับฟื้นฟูพลังวิญญาณ
หลังจาก “รุ่งอรุณ” ทั้งสี่คนก็ออกเดินทางต่อ
มีแมลงดูดโลหิตบางส่วนไล่ตามพวกเขามา แต่ระดับของพวกมันนั้นธรรมดา ดังนั้นหลิงฮันและคนอื่นจึงไม่สนใจพวกมัน และลงมือฆ่าพวกมันทันทีเพื่อไม่ให้พวกมันกลับไปเรียกพวกของมันมาหาพวกเขา
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน กำแพงขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่ด้านหน้าของพวกเขา ซึ่งมีความสูงตระหง่านฟ้า และข้างในเมืองมีเสาแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ามันเป็นเสาแสงที่ดึงดูดให้พวกเขามาที่นี่
“บินข้ามผ่านกำแพงได้หรือไม่?” ทั้งสี่คนสงสัย
หลิงฮันเรียกอสูรศิลาออกมาเพื่อลองดู แต่มันกลับบินได้เพียงแค่ร้อยกว่าเมตรเท่านั้นก่อนที่จะตกลงมา และส่งความคิดให้กับหลิงฮันว่ายิ่งสูงเท่าไหร่แรงกดดันยิ่งหนักหน่วงมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นมันจึงบินได้เพียงร้อยกว่าเมตรเท่านั้น
เพื่อที่จะข้ามกำแพงนี้ได้ มันจะต้องเป็นจอมยุทธระดับไหนกัน?
ทั้งสี่คนทำได้แค่เดินไปตามกำแพงเมืองเท่านั้น หากมันมีกำแพงเมือง แน่นอนว่าย่อมมีประตูเมือง
อย่างที่คิด หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ประตูเมืองขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า มันมีความสูงหลายร้อยฟุต ใครก็ตามที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูจะให้ความรู้สึกว่าตัวเองนั้นไร้ค่าทันที
มีผู้คนอยู่จำนวนมากอยู่ที่ประตูเมือง บางคนกำลังจะเข้าไปในเมือง แต่ก็มีหลายคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง
ตอนแรกหลิงฮันก็ไม่รู้อะไร แต่ในไม่ช้าเขาก็ค้นพบว่าบรรดาผู้คนที่กำลังจะเข้าไปในเมืองนั้นเดินช้ามาก บางคนก็เผยสีหน้าที่เจ็บปวดออกอมา และถึงขั้นกระอักเลือดออกมาก็มี และล่าถอยราวกับว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส
“หากมีความสามารถเข้าประตูเมือง คนผู้นั้นจะมีคุณสมบัติที่จะได้รับการทดสอบ และกลายเป็นศิษย์ของสิบสองพระราชวัง” ด้านข้างประตูเมืองมีข้อความสามแถวขนาดใหญ่ที่ดูสะดุดตาเขียนอยู่
หลิงฮันประหลาดใจและพูดว่า “ถ้างั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีกุญแจเปิด คนผู้นั้นก็ยังสามารถได้รับสมบัติของสิบสองพระราชวัง?”
“มันจะต้องเป็นแบบนั้นอย่างแน่นอนเพราะผู้ก่อตั้งรุ่นที่สามของนิกายแห่งนี้เป็นอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาซึ่งผ่านการทดสอบนี้และกลายเป็นศิษย์ภายนอก เขาได้รับทักษะวรยุทธระดับพระเจ้ามาและทำให้นิกายแห่งนี้เป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของภูมิภาคเหนือ” เย่วไค่หยู่กล่าวออกมาอย่างกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความประทับใจ
เขาหยุดพูด แล้วพูดต่อว่า “อันที่จริงแล้วผู้ก่อตั้งรุ่นที่สามมีโอกาสที่จะกลายเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติ แต่สภาพแวดล้อมของโลกไม่อนุญาต นิกายสิบสองพระราชวังนั้นมีกฎที่เข้มงวด ห้ามไม่ให้มีการสืบทอดมรดกของพระราชวัง ดังนั้นผู้ก่อตั้งรุ่นที่สามทำได้เพียงละทิ้งความรู้ของเขาบนวิถีวรยุทธ ซึ่งยังคงรักษานิกายนี้ไว้ได้นานนับพันปี ถ้าพวกเราสามารถได้รับมรดกที่แท้จริงของนิกายสิบสองพระราชวัง นิกายนี่จะไม่อ่อนแอไปกว่านิกายใหญ่ในภูมิภาคกลาง!”
หลิงฮันพยักหน้า การได้เป็นศิษย์ภายนอกและได้รับมรดกที่แท้จริงนั้นแตกต่างกันมาก มิฉะนั้นหยานเทียนจ้าวคงไม่ต้องการบางอย่างภายในพระราชวังมากขนาดนั้น
บางสิ่งที่ทำให้ตัวตนระดับพระเจ้าต้องเคลื่อนไหวได้นั้นมันเป็นสมบัติแบบใดกัน?
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะมีกุญแจ แต่เขาก็ยังคงต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน นั่นคืออย่างแรกต้องผ่านประตูเมือง มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เข้าไปในสิบสองพระราชวัง ดูเหมือนว่าคนที่จะได้รับมรดกของสิบสองพระราชวังจะไม่ได้รับมาเพราะโชคเพียงอย่างเดียว แต่คนผู้นั้นเองก็ต้องมีพรสวรรค์มากพอตัวด้วย
“นายน้อยฮัน!” ในขณะนั้น เสียงของหลิ่วอู๋ตงและคนอื่นดังขึ้นมาขณะที่ชางเย่ ชูหวู่จิว จูเสวี่ยนเอ๋อและคนอื่นต่างเดินมาหาเขา
“หลิงฮัน!” ฮูหนิวกระโจนออกไปแล้วกอดขาข้างหนึ่งของเขาเหมือนกับของหวาน
488
“ระหว่างทางมาที่นี่พวกเจ้าพบอันตรายอะไรหรือไม่?” หลิงฮันถาม
“ทุกอย่างราบรื่นดี พวกเราพบสัตว์อสูรบ้าง แต่พวกมันทุกตัวก็ถูกพวกเราจัดการหมดแล้ว และยังเก็บเกี่ยวสมุนไพรมาได้หลายอย่างด้วย!’ ชูหวู่จิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม
หลิวอู๋ตงจูงมือของจูเสวี่ยนเอ๋อแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมและพูดว่า “ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเสวี่ยนเอ๋อ ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้งของนาง อย่างน้อยพวกเราคงจะได้รับบาดเจ็บไปแล้ว”
หลิงฮันพยักหน้า ทั้งกลุ่มของพวกนาง นอกเหนือจากจูเสวี่ยนเอ๋อที่เป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแล้ว คนอื่นนั้นเป็นจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ และนางจะรู้สึกตกดันก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ ถ้าพวกเขาพบกับสัตว์อสูรระดับบุปผาผลิบานเข้า แม้แต่จูเสวี่ยนเอ๋อก็ทำได้เพียงแค่วิ่งหนี
ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ของจูเสวี่ยนเอ๋อนั้นบาดเจ็บอยู่ เพียงแค่มีชีวิตอยู่ก็ยากลำบากแล้ว แล้วอาจารย์ของนางจะสร้างม้วนคำสั่งให้นางได้อย่างไร?
…มันมีความขัดแย้งหลายอย่างระหว่างตระกูลภายในนิกาย ยกตัวอย่างเช่นนิกายจันทราเหมันตร์ ถ้าผู้อาวุโสตระกูลเย่วตาย ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวจะมอบม้วนคำสั่งให้เย่วไค่หยู่หรือไม่?
เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นเรื่องตลก
“ประตูเมืองนี้สามารถผ่านได้หรือไม่?” หลิงฮันถาม
“นั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก!” หลิวอู๋ตงส่ายหัวของนางและพูดว่า “ในหมู่พวกเรามีเพียงแค่จูเสวี่ยนเอ๋อและฮูหนิวเท่านั้นที่สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย แต่ช่างเย่และข้านั้นเดินได้ไม่กี่ก้าว ในขณะที่ชูหวู่จิ่วดูเหมือนจะเดินได้แค่สองสามก้าวเท่านั้น”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเพื่อที่จะผ่านประตูเมืองนั้นยากกว่าการต่อสู้แย่งชิงอันดับเสียอีก!
หลิงฮันมองไปรอบๆและไม่เห็นอวี่คุนหลุน หยานจุนฮ่าว และคนอื่นๆ เขาจึงสันนิษฐานว่าพวกเขาเหล่านั้นผ่านประตูเมืองไปแล้ว
“พวกเราไม่จำเป็นต้องรีบ อย่างแรกไปด้านข้างกันก่อน” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่พาทุกคนไปอยู่ด้านข้างแล้ว เขาก็นำเนื้อส่วนขาของสัตว์อสูรยักษ์ ปลาแก่นแท้เหมันต์เยือกแข็งและหยดวิญญาณเจือจางออกมา “พวกนี้จะช่วยบำรุงร่างกายของพวกเจ้าเล็กน้อยและยกระดับความแข็งแกร่งของพวกเจ้า แล้วพวกเราทุกคนจะสามารถเข้าไปข้างในได้”
ฮูหนิวเลิกเกาะขาหลิงฮันทันทีและหยิบเนื้อส่วนขาของสัตว์อสูรก่อนเป็นอันดับแรก ตามด้วยปลา และพูดออกมาอย่างรีบร้อนว่า “ห้ามทุกคนหยิบ ทุกอย่างเป็นของหนิว!”
ทุกคนหัวเราะเสียงดังออกมาทันที เมื่อมันเกี่ยวข้องกับอาหาร เด็กสาวตัวน้อยจะเผยนิสัยที่แท้จริงออกมา แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของนาง
หลิงฮันเริ่มต้มน้ำ มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมจิตวิญญาณเปลวเพลิงเพื่อดึงพลังออกมาจากเนื้อสัตว์อสูร และเขาใส่สมุนไพรหลายอย่างลงไป ในไม่ช้ากลิ่นหอมโชยก็เตะจมูกของทุกคน ทำให้ทุกคนเริ่มน้ำลายไหล
“เทพธิดาจู เจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของนายน้อยฮันแล้วสินะ!” เย่วไค่หยู่พูดอย่างโศกเศร้าและโกรธ นี่คือเทพธิดาที่สมบูรณ์แบบในสายตาของเขา
จูเสวี่ยนเอ๋อหันสายตาไปมอง และใบหน้าที่งดงามของนางก็แดงก่ำจากความเขินอาย นางไม่เคยเห็นใครพูดตรงไปตรงมาแบบนี้มาก่อน โชคดีที่นางสวมผ้าคลุมขาวปกปิดใบหน้าอยู่ คนอื่นจึงมองไม่เห็นใบหน้าที่เขินอายของนาง
“อย่าใช้ความคิดชั่วร้ายของเจ้าทำให้เกียรติของข้าต้องแปดเปื้อน!” หลิงฮันพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ฮึ่ม!” เย่วไค่หยู่แสยะยิ้ม หลังจากที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหลกับหลิงฮันมาหลายวัน เขาจึงมีความกล้าหาญมากยิ่งขึ้นและดูเหมือนว่าจะลืมไปแล้วว่าหลิงฮันนั่นยังคงมีสถานะนักปรุงยาระดับสวรรค์อยู่ จึงปฏิบัติกับหลิงฮันเหมือนกับคนรุ่นเดียวกัน
นั่นเป็นเพราะนิสัยที่ตรงไปตรงมาและไม่บิดเบือนของเย่วไค่หยู่
“หลิงฮันเป็นของหนิว!” ฮูหนิวรีบพูดออกมาทันทีและคว้าคอของหลิงฮันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ
หลิงฮันใบหน้าบิดเบี้ยวและพูดว่า “เจ้ารัดคอข้าแรงไปแล้ว ข้าจะตายอยู่แล้ว!”
ฮูหนิวรีบปล่อยหลิงฮันและนางจูบไปที่แก้มของเขา แล้วหันไปบุ้ยปากใส่จูเสวี่ยนเอ๋อ
“เอาล่ะมากินกันเถอะ!” หลิงฮันตักซุปใส่ชามของทุกคนและให้แต่ละคนและมอบขวดหยกหยดวิญญาณเจือจางให้กับทุกคน
ทุกคนเทหยดวิญญาณเหมือนกับไวน์ และในขณะที่พวกเขากินเนื้อสัตว์อสูรและดื่มซุป ในไม่ช้าแสงหลากสีได้ส่องสว่างออกมาจากตัวของพวกเขา ราวกับว่าโลหิตและพลังปราณกำลังไหลทะลักออกมา และเริ่มบ่มเพาะพลังทีละคน
จากลำดักที่ปลีกตัวออกไปบ่มเพาะพลังนั้นแสดงให้เห็นถึงระดับพลังและพรสวรรค์ในวิถีวรยุทธ หลีซื่อฉางเห็นได้ชัดว่าอ่อนแอที่สุด ถึงแม้ว่านางจะก้าวหน้าขึ้นจากก่อนหน้านี้สองเท่า แต่นางเพียงแค่กัดเนื้อสัตว์อสูรคำเดียวและกินซุปสองซ้อนก็ต้องบ่มเพาะพลังแล้ว ถัดมาคือชูหวู่จิ่ว ชางเย่ และหลิ่วอู๋ตง กว่างหยวนแล้วจูเสวี่ยนเอ๋อ
อย่างไรก็ตาม หลิงฮันและฮูหนิวยังคงนั่งกินอยู่และกินนู้นกินนี่อย่างมีความสุข
จนกระทั่งอาหารในหม้อถูกกินจนสะอาด แม้แต่น้ำซุปหยดเดียวก็ยังไม่เหลือ จากนั้นหลิงฮันก็เริ่มนั่งบ่มเพาะพลังเพื่อสกัดและดูดซับพลัง ในขณะที่ฮูหนิวไม่ต้องทำ อะไรก็ตามที่เข้าไปในท้องของนางนั้นจะเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณให้นางทันที
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วโมง ทุกคนต่างก็มีความก้าวหน้าอย่างมากและอยากลองที่จะผ่านประตูเมือง
หลิงฮันไม่สนใจ แม้ว่าจะมีใครบางคนไม่สามารถเข้าไปได้ มันก็ไม่สำคัญ เพราะทุกคนนั้นสามารถเข้าไปในหอคอยทมิฬได้และเพียงแค่เขาเดินผ่านประตูเมืองเพียงคนเดียวก็เกินพอ อย่างไรก็ตาม นอกจากหลี่ซื่อฉางผู้ที่ทุ่มเทหัวใจและวิญญาณไปกับศาสตร์ปรุงยาแล้วนั้น คนอื่นทุกคนต่างเดินอยู่บนวิถีวรยุทธ ดังนั้นหลิงฮันจึงหวังว่าพวกเขาจะผ่านประตูเมืองไปได้ด้วยพลังของตัวเอง
นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นการยืนยันพรสวรรค์และความสามารถของพวกเขา แต่มันยังเพิ่มความมั่นใจให้พวกเขาได้อย่างมากเช่นเดียวกัน
นั่นเป็นเพราะ หลิวอู๋ตงและคนอื่นนั้นต่างมาจากสถานที่เล็กๆอย่างแคว้นพิรุณ ซึ่งย่อมมีความคิดที่ว่าตัวเองนั้นอ่อนด้อยเมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์จากนิกายใหญ่ของภูมิภาคเหนือ
“ลองอีกครั้ง” พวกเดินไปที่ประตูเมืองและเริ่มพยายามที่จะผ่านเข้าไป
ตึง แรงกดดันอันหนักหน่วงกดทับพวกเขาทันที พวกเขาราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่กำลังเดินอยู่ในโคลน แต่ละย่างก้าวนั้นเดินได้อย่างยากลำบากมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเดินไปได้ไกลเท่าไหร่ แรงกดดันยิ่งหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น
ไม่แปลกที่แม้แต่หลิ่วอู๋ตงและชางเย่ไม่สามารถผ่านมันไปได้ การทดสอบนี่ไม่ใช่การทดสอบธรรมดาอย่างแน่นอน
“ข้าจะแสดงเคล็ดลับให้พวกเจ้าดู” หลิงฮันกล่าว
“นายน้อยฮัน ท่านกำลังเยาะเย้ยพวกเรา?” ชูหวู่จิ่วแทบจะร้องไห้ออกมาเพราะถึงแม้ว่าหลิงฮันจะพูดว่าจะแสดงเคล็ดลับให้ดู แต่เขาก็แค่เอามือไขว้ไว้ด้านหลังและเดินอย่างผ่อนคลาย
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ฮูหนิวหัวเราะเสียงดัง นางวิ่งตรงไปข้างหน้าแล้ววิ่งกลับวนไปวนมาอย่างง่ายดาย
หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ การทดสอบนี่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล คนที่มีระดับพลังสูง แรงกดดันที่จะได้รับก็จะมากขึ้น มิฉะนั้นจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณคงไม่อาจผ่านไปได้ และจะมีเพียงแค่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเท่านั้นที่จะผ่านไปได้
ความแข็งแกร่งของหลิ่วอู๋ตงและชางเย่ก้าวหน้าขึ้นมาก เดิมทีพวกเขาเดินได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่ทว่าครั้งนี้พวกเขากลับเดินได้อย่างผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับชูหวู่จิ่ว หลังจากที่เดินได้สิบก้าว เขาก็เริ่มเหงื่อท่วมหัวและใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว แสดงให้เห็นว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด
หลิงฮันและฮูหนิวผ่านการทดสอบที่ประตูเมืองโดยที่ไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย เมื่อพวกเขาเดินผ่านประตูเมืองได้หนึ่งร้อยเมตร แรงกดดันก็ได้หายไปอัตโนมัติและกลับมาเป็นปกติ ในขณะที่เย่วไค่หยู่ หลิ่วอู๋ตงและช่างเย่เดินมาที่นี่ทีละคนทีละคน
ส่วนกว่างหยวนและชูหวู่จิ่วเดินได้แค่สามในสี่
“นายน้อยฮัน พวกเราวางแผนที่จะบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่” พวกเขาทั้งสองคนกล่าวด้วยความหนักแน่น
หลิงฮันคิดและพูดว่า “ตกลง นี่อาจเป็นการทดสอบ แต่มันก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การบ่มเพาะพลังเช่นกัน”
“ขอรับ!” ทั้งสองคนพยักหน้า แม้ว่าพวกเขาจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถช่วยเหลือหลิงฮันได้ มันคงจะเป็นการดีกว่าที่จะบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่เพื่อยกระดับพลังของพวกเขาเพื่อพวกเขาจะได้ช่วยเหลือหลิงฮันได้ในอนาคต
หลิงฮันยังคงพาหลี่ซื่อฉางเข้าไปในหอคอยทมิฬ หากปล่อยให้สาวงามอยู่ด้านนอกมันจะดึงดูดความวุ่นวายเข้ามาหา รวมถึงนางไม่ได้มุ่งมั่นในวิถีวรยุทธจึงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนอยู่ที่นี่
ดังนั้น หลิงฮัน ฮูหนิว หลี่ซื่อฉาง จูเสวี่ยนเอ๋อ ชางเย่และเย่วไค่หยู่ พวกเขาทั้งหกคนยังคงเดินหน้าต่อไป
489
หลังจากเดินได้สักพัก พวกเขาก็หยุดอยู่ด้านหน้าสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนบ้านธรรมดา แต่ทว่ากลับมีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่ประตู ซึ่งตรงนั้นเองหลิงฮันเห็นอวี่คุนหลุน หยานจุนฮ่าวและหลงไหเชวียน!
มันยังคงนอนอยู่ในโลงศพสามชีวิต แต่นอกเหนือจากโลงศพนั่นแล้ว มันยังพาโลงศพอีกสองโลงมาด้วยบางทีมันอาจจะขุดทหารซากศพมาจากหลุมศพ
เฟิงหยางเองก็อยู่ที่นี่สายตาที่จ้องมองออกไปนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งทำให้อ้าวเฟิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะมันยังไม่รู้ถึงความบาดหมางระหว่างเฟิงหยานและหลิงฮัน ในบรรดาบุตรทั้งเจ็ดของตระกูลอ้าว มีสามคนที่มาที่นี่และทั้งสามต่างเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกมันมีความสามารถมากขึ้น
“ไค่หยู่คารวะผู้อาวุโสอ้าว!” เย่วไค่หยู่คำนับอ้าวเฟิง สิ่งที่เขาคิดกับสิ่งที่เขาทำนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
อ้าวเฟิงยกมือขึ้นมาเล็กน้อย
“ทุกคนกำลังรออะไรอยู่ที่นี่งั้นรึ?” หลิงฮันถามราชันดาบชุดขาว ในบรรดาคนเหล่านี้ เขามีความประทับใจในตัวเชิงจงเฉินมากที่สุด
“เมื่อพวกเราเดินผ่านประตูเมืองมาและมาถึงที่นี่ รูปแบบอาคมวิญญาณก็ได้ปรากฏขึ้นและพูดว่ามีการทดสอบอยู่ที่นี่ และคนที่ได้สามอันดับแรกจะได้รับรางวัลตอบแทนที่น่าอัศจรรย์” เชิงจงเฉินตอบกลับ
“รูปแบบอาคมวิญญาณ?” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ
“ถูกต้องแล้ว เขตแดนลี้ลับทั้งหมดนี่ถูกควบคุมโดยรูปแบบอาคมวิญญาณ” จูเสวี่ยนเอ๋อพูดแทรก เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ของนางบอกเรื่องนี้กับนาง
หลิงฮันพยักหน้า แม้ว่าคนพวกนี้จะเข้ามาในสิบสองเขตแดนลี้ลับสวรรค์เป็นครั้งแรก แต่ผู้อาวุโสของพวกเขาก็เคยเข้ามาที่นี่มาก่อน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมบอกข้อมูลหลายอย่างให้กับคนของตัวเองรู้
“โอ้ว แล้วของรางวัลคืออะไรงั้นรึ?” หลิงฮันถามด้วยความสงสัย
“มันไม่ได้พูด” เชิงจงเฉินส่ายหัว
ริมฝีปากของหลิงฮันกระตุก เขาพูดว่า “ไม่ได้พูดงั้นหรือ? แต่พวกเจ้ากลับรออยู่ที่นี่?”
“มันจะต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอน!” เย่วไค่หยู่เปิดปากพูด “ผู้ก่อตั้งรุ่นที่สามของข้าได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่จากที่นี่ และวิถีวรยุทธของเขาก็ก้าวหน้าราวกับติดปีกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”
ไม่แปลกที่อัจฉริยะทั้งหมดต่างรวบตัวอยู่ที่นี่และไม่ไปที่อื่น ในทางกลับกัน หากไม่มีกุญแจ แม้ว่าคนเหล่านี้จะมาถึงสิบสองพระราชวัง พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ ดังนั้นมันจึงการดีกว่าที่จะอยู่ที่นี่เผื่อได้รับรางวัลตอบแทน
“แล้วรูปแบบอาคมวิญญาณอยู่ไหนล่ะ พาข้าไปดูหน่อย” หลิงฮันพูด บางทีเขาอาจพูดคุยกับมันได้และสอบถามข้อมูลกับมัน
“หลังจากที่มันพูดเสร็จ มันก็หายไปแล้ว” เชิงจงเฉินกล่าว
“พวกเราต้องรออีกนานแค่ไหน?”
“สิบวันหลังจากเขตแดนลี้ลับเปิด”
หลิงฮันคำนวณว่าอีกไม่กี่วัน หากเขารู้ก่อนหน้านี้ เขาคงท่องไปทั่วอีกสักพักและอาจจะพบสมุนไพรล้ำค่า อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าราชาแมลงจะมุ่งหน้ามาที่นี่หรือไม่ ซึ่งมันเป็นสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวมาก และถ้ามันตามมาถึงที่นี่ คนพวกนี้จะต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ
นอกเสียจากรูปแบบอาคมวิญญาณจะเข้ามาแทรกแซง
หลิงฮันไม่รู้ว่ารูปแบบอาคมที่อยู่ที่นี่อยู่ระดับไหน แต่หากมันถูกสร้างขึ้นจากดินแดนพระเจ้า มันจะต้องเป็นรูปแบบอาคมระดับพระเจ้าเป็นอย่างน้อย
ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างอดทน พลังปราณที่อยู่ที่นี่นั้นอุดมสมบูรณ์มาก ราวกับเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับบ่มเพาะพลัง หากฝึกฝนที่นี่หนึ่งวันอาจเทียบได้กับข้างนอกหนึ่งร้อยวัน ดังนั้น ถ้าพวกเขานั่งอยู่ที่นี่ มันคงจะเป็นการเสียเวลาแย่ เพราะพวกเขาสามารถยกระดับพลังได้อย่างรวดเร็วในที่แห่งนี้
หลิงฮันทำตัวอุกอาจมากยิ่งขึ้น เขากินเนื้อสัตว์อสูรจำนวนมากทุกวันพร้อมกับปลาแก่นแท้เหมันต์เยือกแข็งและส่วนผสมของสมุนไพรอายุพันปีทุกประเภท แสงหลากสีพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อพวกมันเดือด ทำให้แม้กระทั่งจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานยังต้องเผลอกลืนน้ำลาย
เมื่อเห็นพวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อย มันทำให้ลำคอของพวกเขาเริ่มสั่นและต้องกลืนน้ำลายไม่หยุด
แต่น่าเสียดาย ใครมันจะกล้าปล้นนักปรุงยาระดับสวรรค์กัน?
ในภูมิภาคเหนือ ใครบางคนก็ไม่ได้ไว้หน้านักปรุงยาระดับสวรรค์ แต่การไม่ไว้หน้าไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นจะมีความโกรธแค้นอย่างรุนแรง นั่นเป็นเพราะเมื่อทุกคนต่อสู้กับเพื่อแย่งชิงสมบัติมันคงไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่ถ้าคนคนนั้นพยายามที่จะพบอาหารของนักปรุงยาระดับสวรรค์ คนทั้งโลกคงจะเยาะเย้ยคนคนนั้นจนตาย
ใครบางคนนั้นค่อนข้างหน้าด้านทีเดียว อย่างเช่น ฉื่อฮวาหลัน และหลินเซียงฉินที่มาโดยไม่ได้รับคำเชิญและขอเข้ากลุ่มของพวกเขา โดยใช้ประโยชน์จากความงดงามของพวกนาง พวกนางหยิบชามและตะเกียบ ตักซุปและหยิบเนื้อ ซึ่งทำให้ฮูหนิวกรีดร้องออกมาเสียงดัง พวกนางจะขโมยอาหารของนางได้อย่างไร?
โชคดีที่นอกเหนือจากหลิงฮันแล้ว ไม่มีใครกินได้เยอะ ดังนั้นเด็กสาวตัวน้อยจึงรู้สึกร้อนใจชั่วครู่เท่านั้น และในไม่ช้าก็เริ่มต่อสู้แย่งอาหารกับหลิงฮันอย่างขะมักเขม้น
“หลิงฮัน ในที่สุดเจ้าก็มาสักที!” หลงไหเชวียนเข้ามาใกล้ขณะที่อยู่ในโลงศพสามชีวิต
“อะไร เจ้าคงไม่ได้อยากกินเนื้อด้วยหรอกใช่หรือไม่?” หลิงฮันแสร้งทำเป็นตกใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้าตายแล้วหรอกรึ? คนตายกินอาหารได้ด้วย?”
“หยุดพล่ามได้แล้ว!” หลงไหเชวียนตะโกนเสียงดัง มันไม่ได้เปิดเผยว่าหลิงฮันครอบครองอาวุธวิญญาณที่เก็บสิ่งมีชีวิตเข้าไปได้และความลับที่ว่าหลิงฮันมีกุญแจพระราชวังราศีธนู มันไม่ใช่เพราะมันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อหลิงฮัน แต่เพราะต้องการให้มันเป็นของตัวเอง
“แล้วอะไรถึงพาเจ้ามาที่นี่?” หลิงฮันแสยะยิ้ม
“ข้าเพียงแค่ต้องการได้ยินคำพูดสุดท้ายของเจ้าเพราะในไม่ช้าข้าจะปรับแต่งเจ้าให้กลายเป็นทหารซากศพ!” หลงไหเชวียนพูดจาพูดเหลวไหล “และคนพวกนี้ที่อยู่รอบตัวเจ้าจะไม่มีใครสามารถหลบหนีไปได้!”
ในภูมิภาคเหนือ มีคนจำนวนมากทีเดียวที่ต้องการให้หลิงฮันตาย แต่ถ้าพูดข่มขู่ว่าจะฆ่านักปรุงยาระดับสวรรค์อย่างเปิดเผยนั้น… หลงไหเชวียนอาจเป็นคนเดียวที่กล้าทำ
หลิงฮันถอนหายใจและพูดว่า “ถ้างั้นเจ้ามาที่นี่เพื่อพูดจาไร้สาระนี่เอง เอ้า ปรบมือเร็วเข้า!”
หลิ่วอู๋ตงและคนอื่นเริ่มปรบมือทีละคนพร้อมหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน
หลงไหเชวียนไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่พูดด้วยเสียงทุ้มว่า “หลิงฮัน ในไม่ช้าเจ้าจะได้รับรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลก!”
“เช่นนั้นข้าจะรอดู” หลิงฮันยิ้ม
“ฮึ่ม!” โลงศพขยับและกลับไปอยู่ที่เดิม แต่หลิงฮันกลับเรียกดาบกำเนิดมารออกมา และโจมตีไปที่โลงศพสามชีวิต และเปรี๊ยง ประกายแสงกระจายไปทุกทิศทุกทาง
“เจ้ากำลังทำอะไร?” หลงไหเชวียนกล่าว มันรู้สึกฉุนเฉียว
“ไม่ได้ทำอะไร เจ้าก็หลบอยู่ในกระดองเต่าของเจ้าไปเถอะ!” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้มขณะที่เขาโจมตีอย่างต่อเนื่อง
หลงไหเชวียนรู้สึกรำคาญและโกรธ ด้วยการป้องกันของโลงศพสามชีวิต เห็นได้ชัดว่ามันไม่กลัวการโจมตีของหลิงฮัน แต่ถูกหลิงฮันโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ ทำให้มันรู้สึกอับอาย ยิ่งไปกว่านั้น แรงสั่นสะเทือนของการโจมตีแต่ละครั้งนั้นสั่นไปทั่วโลงศพ ถึงแม้มันจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่แรงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องทำให้มันรู้สึกไม่สบาย
เมื่อหลิงฮันโจมตีไปหลายร้อยครั้งและดูไม่มีท่าทีว่าจะหยุด มันจึงทนไม่ไหวและตะโกนออกมาว่า “เจ้าจะพอได้แล้วหรือยัง!?”
“แน่นอนว่าไม่ เจ้าเข้ามาหาข้าและพูดข่มขู่ข้าอย่างเปิดเผย และยังจะจากไปทั้งแบบนั้น เจ้าคิดว่ามันจะจบง่ายๆงั้นรึ?” หลิงฮันพูดอย่างชั่วร้าย
หลงไหเชวียนพูดไม่ออก หรือว่าปากของมันทำให้หลิงฮันรู้สึกโกรธ?
มันรีบควบคุมโลงศพสามชีวิตและมุ่งไปที่ประตูเมือง มันยังเหลือเวลาอีกสองวันก่อนการทดสอบจะเริ่มต้นขึ้น และมันต้องการหลบซ่อนอยู่สักพัก เพราะที่นี่มีคนมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีรูปแบบอาคมวิญญาณอยู่ และมันไม่ต้องการเปิดเผยไพ่ลับเร็วจนเกินไป
หลิงฮันไม่ได้ไล่ตามมันไป หากมันหลบอยู่ในโลงศพสามชีวิต การจะฆ่าหลงไหเชวียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ในไม่ช้าสองวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พรึบ ร่างมนุษย์ปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ คนผู้นั้นดูเหมือนเด็กอายุห้าถึงหกขวบ ร่างกายของเขาโปร่งใสราวกับภาพมายา
รูปแบบอาคมวิญญาณ!
“การทดสอบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากที่พวกเจ้าทุกคนผ่านประตูนั่นไป พวกเจ้าสามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้สามคนและเลือกสถิติการต่อสู้ที่ดีที่สุด สุดท้าย อันดับของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับพลังต่อสู้
มันเป็นพื้นที่ทางจิต และมีเพียงแค่สัมผัสสวรรค์ของพวกเจ้าเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่สามารถใช้วิธีการสนับสนุนใดๆได้ทั้งสิ้น และพวกเจ้าก็ไม่อาจได้รับบาดเจ็บ”
ยิ่งพวกเจ้ามีดาวมากเท่าใด รางวัลที่พวกเจ้าได้รับยิ่งยอดเยี่ยมมากขึ้นเท่านั้น ถ้าพวกเจ้าทุกคนเป็นพวกคนไร้ค่า และมีดาวเพียงแค่สองถึงสามดวง หากเป็นเช่นนั้นรางวัลตอบแทนที่พวกเจ้าจะได้รับมากที่สุดคือทักษะระดับปฐพี
และมีเพียงแค่สามอันดับแรกเท่านั้นที่จะได้รับรางวัล”
490
รูปแบบอาคมจิตวิญญาณหายไปอีกครั้งหลังจากพูดจบ
ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะเดินไปยังบ้านที่มีประตูสีดำที่ตั้งอยู่ตรงหน้าพวกเขา ประตูทางเข้านั้นดำสนิทจนไม่สามารถมองเห็นภายใน
“ไปกันเถอะ” หลิงฮันและพรรคพวกเองก็เดินไปยังบ้านหลังนั้นเช่นกัน บ้านที่ดูธรรมดาหลังนี้ราวกับเป็นหลุมอันไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าผู้คนจะเข้าไปมากขนาดไหนก็ไม่แออัด
‘ฟุบ’ ทันทีที่หลิงฮันเดินเข้าไป เขาก็พบว่าตัวเขาได้โผล่มาที่ห้องหินทรงกลมที่ถูกผนึกเอาไว้รอบด้าน ห้องนี้มีขนาดกว้างขวางถึงหนึ่งร้อยฟุต
เมื่อนึกถึงคำพูดของรูปแบบอาคมจิตวิญญาณ หลิงฮันก็รีบตรวจสอบและพบว่าเขาสูญเสียการติดต่อกับหอคอยทมิฬไปแล้ว
สัมผัสสวรรค์ของเขาถูกดึงออกจากร่างพร้อมกับถูกส่งเข้ามาในห้องหินนี้
ไม่น่าเชื่อ!
หลิงฮันตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ร่างของจอมยุทธที่ไร้สัมผัสสวรรค์ก็ไม่ต่างอะไรกับเปลือกหอยเปล่าๆ ถ้าหากสัมผัสสวรรค์ของเขาถูกกักขังอยู่ที่นี่ตลอดกาล ร่างกายของเขาก็จะไม่สามารถกินอาหารได้และต้องตกตาย!
แม้ระดับบุปผาผลิบานจะละทิ้งกายหยาบของมนุษย์ทิ้งไปแล้ว และแค่ทำการดูดซับพลังวิญญาณพวกเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ แต่ถ้าหากสัมผัสสวรรค์ของพวกเขาถูกขังอยู่ที่นี่ พวกเขาก็จะตายอย่างช้าๆเพราะหมดอายุขัยอยู่ดี
ถ้ารูปแบบอาคมวิญญาณต้องการจะกำจัดพวกเขา มันก็ง่ายเพียงแค่หนึ่งความคิดเท่านั้น…
สมกับเป็นรูปแบบอาคมระดับพระเจ้า แม้แต่เขาก็ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าสัมผัสสวรรค์ถูกดึงออกจากร่างไปตอนไหน
‘พรึบ’ รูปแบบอาคมร่างเด็กปรากฏตัวและพูด “จงเลือกคู่ต่อสู้ซะ เจ้าอยากจะสู้กับคนที่มีระดับพลังเท่าใดและพลังมีต่อสู้กี่ดาว?”
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนที่จะพูด “คู่ต่อสู้คนแรกขอเป็นระดับแก่นแท้จิตวิญญาณที่มีพลังต่อสู้ยี่สิบดาว”
“เจ้ามีพลังบ่มเพาะระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้า หรือว่าพลังต่อสู้ของเจ้าจะเกินสิบแปดดาว?” รูปแบบอาคมวิญญาณที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์แสดงท่าทีประหลาดใจออกมา “ไม่เลวๆ พลังต่อสู้ของเจ้าค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว”
หลิงฮันกลายเป็นตกตะลึง พลังต่อสู้ที่เกินกว่าสิบแปดดาวยังเป็นแค่ค่อนข้างน่าประทับใจ?
“เจ้าใช้อาวุธอะไร?” รูปแบบอาคมวิญญาณถาม
“ดาบ!” หลิงฮันตอบ
‘ฟุบ’ ดาบเล่มยาวปรากฏขึ้นกลางอากาศและปักลงที่พื้นข้างๆขาของหลิงฮัน
หลิงฮันต้องการจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่จะได้ถาม รูปแบบอาคมวิญญาณก็หายไปเสียแล้ว สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาแทนก็คือนักดาบไร้สีหน้าคนหนึ่ง
แข็งแกร่ง!
หลิงฮันอดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ อีกฝ่ายคือนักดาบที่ปลดปล่อยเจตจำนงแห่งดาบอันทรงพลังออกมาทั่วร่าง เพียงแค่การชำเลืองมองของอีกฝ่าย วิญญาณของหลิงฮันก็รู้สึกราวกับจะถูกสะบั้นออกเป็นชิ้นๆ
จิตวิญญาณของเขาลุกโชนและหยิบดาบขึ้นมา “มาสู้กัน!”
นักดาบคนนั้นย่อเข่าเล็กน้อยก่อนที่จะพุ่งออกจากที่ ความเร็วของเขานั้นเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก ‘พรึบ’ ดาบยาวของเขาถูกชักออกมาพร้อมกับประกายแสงอันเย็นเฉียบบนใบดาบ
หลิงฮันไม่หวั่นไหวและใช้ดาบของตนเองตอบโต้
‘ปัง ปัง ปัง’ ทั้งสองคนเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด แม้นี่จะเป็นการต่อสู้ด้วยสัมผัสสวรรค์ แต่มันก็สมจริงอย่างมาก แรงกระแทกที่เกิดจากการปะทะนั้นไม่เหมือนของปลอมแม้แต่น้อย
นักดาบคนนั้นสะบั้นดาบพร้อมกับปลดปล่อยปราณดาบสิบเล่มเข้าใส่หลิงฮัน
“ไม่เลว ปราณดาบสิบเล่มงั้นรึ ในที่สุดข้าก็พบคนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้แล้ว!” หลิงฮันหัวเราะและปลดปล่อยปราณดาบสิบเล่มออกไปเช่นกัน
‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ ปราณดาบเข้าปะทะและทำลายกันเอง
หลิงฮันตกตะลึงมากที่ความหนาแน่นของปราณดาบอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแม้แต่นิดเดียว ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่หายากมาก เขากลายเป็นตื่นเต้นและพูด “รับการโจมตีนี้ของข้า!” หลิงฮันเริ่มตั้งท่าเตรียมใช้ทักษะดาบลึกลับสามพันเล่ม
เพียงแต่ก่อนที่หลิงฮันจะรวบรวมปราณก่อเกิดได้มากพอ นักดาบคนนั้นก็จู่โจมอย่างรวดเร็วจนหลิงฮันต้องหยุดการสะสมพลังปราณ
“น่าสนุกดีนี่!” หลิงฮันหัวเราะ “ในระดับพลังเดียวกัน เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่หยุดกระบวนท่าของข้าได้!”
นักดาบคนนั้นมีเพียงสัญชาตญาณในการสู้รบและพุ่งโจมตีใส่หลิงฮันอย่างต่อเนื่อง
หลิงฮันกระตุ้นเนตรแห่งสัจธรรมและใช้งานทักษะร้อยเงาพันแปร ขณะที่เคลื่อนที่หลบหลีกดาบของอีกฝ่าย เขายังสามารถรวบรวมพลังปราณสำหรับทักษะดาบลึกลับสามพันเล่ม
การโจมตีของนักดาบคนนั้นเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นใบดาบเล่มยาวของอีกฝ่ายก็สะบั้นลงพื้นพร้อมกับสร้างภาพลวงตาภูเขาขนาดใหญ่สิบลูกพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
‘ตูม ตูม ตูม ตูม’ ภูเขาขนาดใหญ่ทั้งสิบเข้าปะทะกับร่างของหลิงฮัน แต่หลิงฮันนั้นไม่แยแสแม้แต่น้อย ด้วยการฝึกฝนกายาเหล็กไหล หากอยากจะสร้างบาดแผลให้เขา การโจมตีปลดปล่อยออกมาก็ต้องเป็นการโจมตีระดับบุปผาผลิบานเป็นอย่างน้อย
หลิงฮันหัวเราะลั่น ‘ฉึบ ฉึบ ฉึบ’ ประกายแสงแห่งดาบหนึ่งพันเล่มถูกปลดปล่อยออกมาและพุ่งโจมตีใส่นักดาบคนนั้นอย่างรุนแรง
หลังจากประกายแสงแห่งดาบจางหาย ร่างของนักดาบคนนั้นก็สลายไปราวกับเป็นหมอกหรือควัน
สถานที่แห่งนี้คือการต่อสู้ด้วยสัมผัสสวรรค์ ซึ่งนักดาบคนนั้นก็ไม่ใช่ตัวจริงเช่นกัน
“ยอดเยี่ยมมาก เจ้าผ่านการทดสอบ” รูปแบบอาคมจิตวิญญาณปรากฏตัวอีกครั้ง “เจ้ายังมีโอกาสเลือกคู่ต่อสู้อีกสองครั้ง”
หลิงฮันถามกลับทันที “ผลลัพธ์ของข้าในตอนนี้สามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้รึยัง?”
“จากกฎแล้ว ข้าไม่สามารถตอบเจ้าได้” รูปแบบอาคมวิญญาณส่ายหัว
หลิงฮันถอนหายใจ เขาครุ่นคิดชั่วขณะก่อนจะพูดออกไป “คู่ต่อสู้คนต่อไปขอเป็นระดับแก่นแท้จิตวิญญาณที่มีพลังต่อสู้ยี่สิบห้าดาว”
“ตามที่เจ้าต้องการ” รูปแบบอาคมจิตวิญญาณหายไปอีกครั้งพร้อมกับนักดาบอีกคนที่ปรากฏตัวขึ้นมา เจตจำนงแห่งดาบของเขาแข็งแกร่งกว่าคนก่อนหน้านี้มาก เส้นผมแต่ละเส้นที่พริ้วไหวของเขาทำให้อากาศถูกตัดขาดจนเกิดเป็นคลื่นพลังอันแข็งแกร่ง
หลิงฮันตกตะลึงเป็นอย่างมาก โลกเบื้องล่าง พลังต่อสู้ที่สูงที่สุดถูกจำกัดเอาไว้ที่ยี่สิบดาว
ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่คิดเลยว่ารูปแบบอาคมจิตวิญญาณจะสามารถสร้างคู่ต่อสู้ที่มีพลังต่อสู้ยี่สิบห้าดาวให้เขาได้จริงๆ
เขาติดสินใจจะต้องสู้ดูซักตั้ง
หลิงฮันพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายจนเกิดเป็นการต่อสู้ที่รุนแรง นักดาบคนนี้แข็งแกร่งกว่าคนที่แล้วอย่างที่คาดไว้ ซึ่งนักดาบคนนี้นั้นแข็งแกร่งกว่าคนที่แล้วหลายขุม การเพิ่มพลังต่อสู้ของตนเองให้มากขึ้นห้าดาวนั้นเป็นสิ่งที่อัจฉริยะทั่วไปไม่สามารถทำได้
การต่อสู้ครั้งนี้ หลิงฮันทุ่มกำลังต่อสู้อย่างยากลำบาก กระบวนท่าดาบนับไม่ถ้วนโจมตีใส่ร่างของเขาจนแม้แต่กายาเหล็กไหลก็ไม่สามารถต้านทานได้ และที่หลิงฮันรู้สึกหดหู่มากที่สุดก็คือเขาไม่สามารถใช้คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ได้
รูปแบบอาคมวิญญาณไม่สามารถจำลองทักษะของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ในสถานที่แห่งนี้!
นั่นหมายถึงระดับของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์นั้นเหนือกว่ารูปแบบอาคมวิญญาณระดับพระเจ้าตนนี้
นักดาบคนที่สองนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง เมื่อประกายแสงทั้งหนึ่งเล่มของทักษะดาบลึกลับสามพันเล่มถูกปลดปล่อยออกไป อีกฝ่ายสามารถทำลายประแสงทั้งหนึ่งพันเล่มได้เกือบหมด ประกายแสงแห่งดาบหนึ่งร้อยเล่มที่เหลือเข้าปะทะกับนักดาบคนนั้นแต่ก็ไม่สามารถทำให้ร่างกายสลายไปได้ นักดาบคนนั้นสูญเสียขาซ้ายและแขนขวาไปพร้อมกับปรากฏรูขนาดใหญ่ที่หน้าอก แม้จะเหลือขาเพียงข้างเดียว อีกฝ่ายก็ยังคงยืนนิ่งและจับดาบอย่างมั่นคง
หลิงฮันยิ้มอย่างขมขื่น นี่น่ะรึพลังต่อสู้ของระดับแก่นแท้จิตวิญญาณยี่สิบห้าดาว ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!
491
หลิงฮันโจมตีและทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง ‘ปัง ปัง ปัง’ โชคดีที่นักดาบคนที่สองสูญเสียแขนและขาไปอย่างละข้างแล้ว พลังต่อสู้ของเขาจึงลดลงอย่างมาก ในที่สุดก็เป็นหลิงฮันที่ได้เปรียบ
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับอีกฝ่ายมากกว่าหนึ่งพันกระบวนท่าก่อนที่จะกำจัดอีกฝ่ายได้สำเร็จ หลิงฮันรู้สึกเหนื่อยจนแทบจะฟุบลงนอนกับฟื้น
“เจ้าสามารถพักผ่อนได้สิบนาที” รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวและสะบัดมือ ทันใดนั้นบาดแผลบนร่างของหลิงฮันก็หายไปหมดสิ้น
หลิงฮันนั่งลงทำท่าขัดสมาธิ เขายื่นมือซ้ายออกไปและรวบรวมพลังปราณไปยังฝ่ามือเล็กน้อย ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็กลายเป็นปิติยินดี นั่นเพราะรูปแบบอาคมวิญญาณสามารถจำลองปราณอสูรบนฝ่ามือของเขาได้
นี่คือสิ่งที่เขาได้รับมาจากจักรพรรดิจอมอสูรที่เป็นตัวตนระดับพระเจ้า พลังทำลายของมันจึงน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง พลังของฝ่ามือนี้เทียบได้กับระดับตัวอ่อนวิญญาณยี่สิบดาวเป็นอย่างน้อย
หลิงฮันเปลี่ยนใจและพูด “ครั้งนี้ข้าต้องการต่อสู้กับระดับตัวอ่อนวิญญาณยี่สิบดาว!”
…
ในห้องทดสอบห้องอื่น หลงไหเชวียนกำลังต่อสู้กับตัวตนระดับบุปผาผลิบาน
ข้างกายของมันมีทหารซากศพเกราะเงินซึ่งมีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน!
“ถ้าไม่ใช่เพราะพลังบ่มเพาะของข้ายังต่ำเกินไปจนไม่สามารถปรับแต่ซากศพของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณได้ ข้าคงจะเลือกคู่ต่อสู้ที่มีพลังบ่มเพาะระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว!” ใบหน้าของหลงไหเชวียนเต็มไปด้วยความทะนงตน “แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว! พลังบ่มเพาะของข้าอยู่ที่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นสาม แต่ข้าสามารถชนะระดับบุปผาผลิบานห้าดาวได้ ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเทียบข้าได้!”
มันชี้นิ้วไปยังคู่ต่อสู้ระดับบุปผาผลิบานและออกคำสั่งกับทหารซากศพ “สังหารมัน!”
“โฮกก!” ทหารซากศพพุ่งเข้าใส่ศัตรูทันที
…
ในห้องทดสอบอีกห้องหนึ่ง ร่างของหยานเทียนจ้าวปรากฏขึ้นมา
ตั้งแต่ที่เข้ามายังเขตแดนลี้ลับมันก็แอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดมาตลอด ไม่ใช่เพราะมันกลัวหลิงฮัน แต่มันเพียงแค่รอหาจังหวะในการขโมยกุญแจที่อยู่ในมือหลิงฮัน ตอนนี้คู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้ามันคือตัวระดับบุปผาผลิบาน
“ฮ่าๆๆ ที่นี่คือมิติแห่งพลังวิญญาณ ตัวข้าที่ผสานเข้ากับความทรงจำของพระเจ้า แน่นอนว่าสัมผัสสวรรค์ของข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่าทุกคน!” มันพูดด้วยความภาคภูมิใจ “แม้พลังต่อสู้ที่แท้จริงของข้าจะอยู่ที่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ แต่หากเป็นมิติที่ใช้สัมผัสสวรรค์ การต่อกรกับระดับบุปผาผลิบานนั้นไม่ใช่ปัญหา!”
‘ตูม’ ฝ่ามือของคู่ต่อสู้ของมันพุ่งโจมตีใส่ราวกับพายุ ศัตรูของมันคือตัวตนระดับบุปผาผลิบานที่น่าสะพรึงกลัว
…
ต่อสู้กับระดับแก่นแท้จิตวิญญาณยี่สิบห้าดาวอาจจะเป็นขีดจำกัดของหลิงฮันแล้ว
แต่คราวนี้คู่ต่อสู้ของเขาคือระดับตัวอ่อนวิญญาณยี่สิบดาว!
แม้พลังทำลายของเขาสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ แต่กุญแจหลักที่จะทำเช่นนั้นได้สำเร็จคือเมื่อนักดาบคนที่สามปรากฏตัว เขาจะต้องเตรียมปลดปล่อยปราณอสูรในมือซ้ายออกไปให้ทันเวลา
“ตามที่เจ้าต้องการ” หลังพูดเสร็จรูปแบบอาคมวิญญาณก็หายไปอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของนักดาบคนที่สาม อีกฝ่ายแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าหลิงฮันเตรียมดักรอโจมตีเอาไว้แล้วจนเขาไม่สามารถใช้ชักดาบได้ทัน อีกฝ่ายก็ใช้สัมผัสสวรรค์โจมตีใส่หลิงฮันทันที
สัมผัสสวรรค์ของตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณนั้นรวดเร็วและแข็งแกร่งขนาดไหน? แค่ถูกสัมผัสเบาๆ จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณก็ถูกบดขยี้หลายร้อยครั้งแล้ว
แต่ใครคือหลิงฮัน? เขามีเศษเสี้ยวสัมผัสสวรรค์ของระดับสวรรค์ คิดจะใช้สัมผัสสวรรค์จู่โจมเขาง้นรึ?
‘ตูม’ ภายใต้การโจมตีด้วยสัมผัสสวรรค์ของนักดาบคนที่สาม หลิงฮันไม่ปรากฏแม้แต่รอยขีดข่วน มือซ้ายของเขาประทับเข้ากับร่างของนักดาบคนที่สามพร้อมกับอักขระปราณอสูรที่ส่องประกายออกมา ‘ปัง’ ร่างของนักดาบคนที่สามจางหายไปทันทีหลังจากที่ปรากฏตัว
รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับท่าทางที่ไร้คำพูด หลิงฮันใช้เล่ห์กลในการต่อสู้ครั้ง แต่ก็เป็นตัวมันเองไม่ใช่หรือที่จำลองความสามารถเช่นนั้นของหลิงฮันขึ้นจนทำให้เกิดช่องโหว่ในการต่อสู้ครั้งนี้?
แต่กลับกัน หากหลิงฮันไม่มีสัมผัสสวรรค์ที่แข็งแกร่ง ร่างของเขาก็คงจะถูกสัมผัสสวสรรค์ของอีกฝ่ายบดขยี้และไม่สามารถใช้เล่ห์กลได้สำเร็จ
“ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะผ่าน” รูปแบบอาคมวิญญาณพูดด้วยความเศร้าหมอง เมื่อครู่มันเพิ่งพบเจอกับสัตว์ประหลาดตัวน้อยมา… มันไม่สามารถชักนำสัมผัสสวรรค์ของเด็กสาวตัวน้อยให้เข้ามายังห้องทดสอบได้ ทำให้เด็กสาวไม่สามารถเข้าร่วมการทดสอบ
“ข้าออกไปได้รึยัง?” หลิงฮันถาม
“รอจนกว่าทุกคนจะทดสอบเสร็จ สามอันดับแรกจะได้รับของรางวัลในทันที” รูปแบบอาคมวิญญาณพูด
หลิงฮันพยักหน้าและรอคอย
ผ่านไปหนึ่งวันการทดสอบก็สิ้นสุด ผลการประเมินจะตัดสินจากการทดสอบทั้งสามครั้งของทุกคน
‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ สัมผัสสวรรค์ของทุกคนที่ไม่ติดสามอันดับแรกค่อยๆจางหายออกไปจากห้องทดสอบ
“อะไรกัน ข้าชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังต่อสู้เจ็ดดาวได้ แต่กลับไม่ติดสามอันดับแรก?”
“บัดซบ ข้าชนะได้แม้กระทั่งแปดดาว!”
ทุกๆคนเริ่มใคร่ครวญ ทั้งๆที่พวกเขาแข็งแกร่งขนาดนั้นแล้วทำไมถึงยังไม่สามารถติดสามอันดับแรกได้ ช่างไร้สาระยิ่งนัก
อวี่คุนหลุน หยานจุนฮ่าวและอันดับหนึ่งของบันทึกอัจฉริยะหลายรุ่นก่อนมีท่าทีปั้นยาก พวกเขาสามารถชนะได้แม้แต่คู่ต่อสู้ที่มีพลังต่อสู้สิบดาวแต่ก็ยังไม่สามารถติดสามอันดับแรกได้ ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก
สีหน้าของอ้าวเฟิงและคนอื่นๆที่อยู่ในช่วงอายุสามสิบกว่าปีกลายเป็นมืดมน พวกเขาสามารถชนะคู่ต่อสู้ระดับบุปผาผลิบานที่มีพลังต่อสู้ห้าดาวได้ หากเทียบแล้วความยากในการต่อสู้กับระดับบุปผาผลิบานห้าดาวก็เทียบได้กับระดับแก่นแท้จิตวิญญาณสิบดาว และยิ่งระดับพลังสูงขึ้นก็ยิ่งสู้ข้ามระดับได้ยากขึ้น หรือว่ารูปแบบอาคมวิญญาณจะไม่พิจารณาเรื่องเหล่านี้?
ทุกคนมองไปรอบๆและเห็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานสิบห้าคนอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้ระดับบุปผาผลิบานที่เข้าร่วมทดสอบก็มีสิบห้าคน นั่นหมายความว่าไม่มีระดับบุปผาผลิบานคนใดเลยที่ติดสามอันดับแรก
“ข้าไม่ยอมรับ!”
“ข้าไม่ยอมรับเช่นกัน!”
“พวกเราทุกคนไม่ยอมรับ!”
ทุกคนเริ่มตะโกนส่งเสียงคัดค้าน พวกเขาอยากได้คำอธิบายจากรูปแบบอาคมวิญญาณ
รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวและพูด “พวกเจ้าสงสัยในความยุติธรรมของข้า?”
“นายท่านรูปแบบอาคมวิญญาณ ท่านได้คำนึงถึงความยากลำบากในการต่อสู้ข้ามระดับของระดับบุปผาผลิบานรึเปล่า?” อ้าวเฟิงถามอย่างสุภาพ
รูปแบบอาคมวิญญาณที่มีรูปร่างเหมือนเด็กแสดงท่าทีเย้ยหยัน “นายท่านผู้นี้มีชีวิตมานานกว่าเจ้าหลายพันเท่า เจ้ากล้าถามคำถามเช่นนั้นกับนายท่านผู้นี้ได้อย่างไร?”
ใครบางคนพูดขึ้น “นายท่านรูปแบบอาคมวิญญาณ เช่นนั้นแล้วสามอันดับแรกสามารถชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังต่อสู้กี่ดาวได้กัน?”
“นั่นสิ บอกพวกเราหน่อยเถอะ!”
“ข้าอยากจะรู้ว่าสามอันดับแรกมีความแข็งแกร่งขนาดไหน!”
รูปแบบอาคมวิญญาณหยุดนิ่งไปชั่วขณพก่อนที่จะพูดออกมา “ย่อมได้ อันดับสามคือจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณที่ชนะคู่ต่อสู้ระดับบุปผาผลิบานขั้นห้าได้”
‘พรวด!’
ทันใดนั้นทุกคนก็สำลักน้ำลายและเปิดเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมาทันที
ทุกคนรู้ดีว่าความแตกต่างของระดับแก่นแท้จิตวิญญาณและระดับบุปผาผลิบานนั้นกว้างใหญ่จนไม่อาจข้ามผ่าน แต่กลับมีจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณที่โค่นคู่ต่อสู้ระดับบุปผาผลิบานได้จริงๆ? แถมยังเป็นระดับบุปผาผลิบานขั้นห้าด้วย นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นใช่หรือไม่?
492
ทักษะกายาเก้ามังกรทรราช
“นายท่านรูปแบบอาคมวิญญาณ เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปได้ด้วยงั้นหรือ?” ช่าวเทียนจื้อพูดออกมาอย่างเย็นชา เขาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งเมื่อสองรุ่นที่แล้ว และเท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนระดับบุปผาผลิบาน พลังของเขาค่อนข้างน่าสะพรึงกลัวและเขาเองก็เป็นคนที่ค่อนข้างทะนงตัวทีเดียว
รูปแบบอาคมวิญญาณเหลือบมองเขาและพูดอย่างสุภาพว่า “เจ้ากำลังสงสัยนายท่านผู้นี้?”
“นายท่านรูปแบบอาคมวิญญาณไม่คิดว่ามันน่าสงสัยอย่างนั้นหรือ?” ช่าวเทียนจื้อกล่าว
“อำนาจของนายท่านผู้นี้ไม่อนุญาตให้ข้าท้าทาย!” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าวอย่างเย็นชาและสะบัดมือไปที่ช่าวเทียนจื้อ ทันใดนั้น พยัคฆ์ขาวยักษ์ตัวหนึ่งได้ปรากฏออกมาจากอากาศและกระโจนเข้าใส่ช่าวเทียนจื้อ
ในขณะที่พยัคฆ์ขาวปรากฏตัวออกมา ทุกคนรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นอันไร้ที่สิ้นสุดและหวาดกลัวที่จะเผชิญหน้ากับมันจากส่วนลึกของวิญญาณพวกเขา มันแข็งแกร่งเกินไปถึงขั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้
ช่าวเทียนจื้อเองก็รู้สึกตกใจมาก และไม่คิดเลยว่ารูปแบบอาคมวิญญาณจะโจมตีมัน มันจึงไม่มีข้อสงสัยอะไรทั้งสิ้นแล้วนำม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณออกมาและโยนมันใส่พยัคฆ์ขาว
ปัง ม้วนคำสั่งเผาไหม้และกลายเป็นอีแร้งเหมันตร์ เมื่อมันกระพือปีกใส่พยัคฆ์ขาว ทำให้มันถูกพัดไปตามสายลมที่หนาวเหน็บ
อย่างไรก็ตาม พยัคฆ์ขาวเพียงแค่อ้าปากของมันและกลืนกินอีแร้งเหมันตร์เข้าไปทั้งตัว โดยที่ไม่แม้แต่จะกัดและช่าวเทียนจื้อเองก็หายไปในปากของมันด้วยเช่นกัน
อึก!
เสียงของทุกคนหายไปทันที นั่นเป็นถึงม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่พยัคฆ์ขาวกับกลืนกินการโจมตีได้อย่างง่ายดาย แล้วความแข็งแกร่งของมันจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน? ไม่แปลกที่ทุกคนต้องการมรดกของสถานที่แห่งนี้ เพียงแค่รูปแบบอาคมวิญญาณก็แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว และถ้าใครได้รับมรดกที่แท้จริง คนผู้นั้นจะแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนกัน?
รูปแบบอาคมวิญญาณเรียกพยัคฆ์ขาวกลับ และพูดกับทุกคนอย่างไม่แยแสว่า “ยังมีใครคนใดที่ยังสงสัยนายท่านผู้นี้อีกหรือไม่?”
ทุกคนรีบส่ายหัวของตัวเองพร้อมกัน แม้ว่ารูปแบบอาคมวิญญาณจะจงใจปกปิดมันไว้ แล้วใครจะกล้าคัดค้าน? ในโลกใบนี้ ใครก็ตามที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นคนตัดสินใจ การร้องเรียนคือพฤติกรรมของผู้อ่อนแอ
รูปแบบอาคมวิญญาณไม่ได้พูดว่าใครสองอันดับแรกคือใครและจ้องมองไปที่ฮูหนิวอยู่หลายครั้ง ทั้งสามคนข้างในค่อนข้างแปลกประหลาด พวกเขาทั้งสามเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและยากที่จะเข้าใจ
มีเพียงแค่เด็กสาวตัวน้อยนี่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถพาสัมผัสสวรรค์ของนางเข้าไปได้ นั่นเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
…
ภายในพื้นที่ทางจิต หลินฮันและคนอื่นรู้ว่าพวกเขาอยู่สามอันดับแรกและเต็มไปด้วยความคาดหวัง
พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนอะไร?
“หลงไหเชวียน เจ้าคืออันดับสามของการทดสอบในครั้งนี้ นี่คือทักษะลับสามทักษะ เจ้าสามารถเลือกมันได้หนึ่งทักษะ” รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวอยู่ด้านข้างของหลงไหเชวียนก่อนเป็นคนแรก
พรวด!
หลงไหเชวียนสำลักออกมาทันที
ตอนแรกมันมั่นใจมากว่ามันจะต้องเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน มันต่อสู้กับระดับบุปผาผลิบานได้ทั้งที่มันเป็นระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ แต่กลับเป็นอันดับสาม นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน? มีใครบนโลกที่สามารถเทียบกับมันได้บ้าง? อย่างไรก็ตาม มันเป็นได้แค่อันดับสามจริงๆงั้นรึ?
‘บัดซบ! เป็นไปไม่ได้!’่
“มันเกิดข้อผิดพลาดอะไรหรือไม่ ข้าได้แค่อันดับสามงั้นรึ?” หลงไหเชวียนกล่าวอย่างไม่พอใจ แต่รู้สึกไม่เชื่อมากยิ่งกว่า
ความโกรธของรูปแบบอาคมวิญญาณยังไม่หายไป และเมื่อหลงไหเชวียนท้าทายมัน ความโกรธของมันจึงปะทุออกมาทันทีอีกครั้งและพุ่งออกไปเพื่อทุบตีมันอย่างโหดเหี้ยม หลังจากที่ทุบตีหลงไหเชวียน มันได้โยนลูกบอลแสงไปที่หัวของหลงไหเชวียนและจมลงไป
“ออกไป!” มันเตะหลงไหเชวียน ทำให้สัมผัสสวรรค์ของมันกลับเข้าสู่ร่างและกระแทกเข้ากับห้อง
“อ๊ากกกก!” หลงไหเชวียนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น เมื่อสัมผัสสวรรค์ของมันกลับมา มันก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ราวกับว่ามันถูกทุบตีจริงๆ อย่างไรก็ตาม มันก็ค้นพบว่าทุกคนต่างจ้องมองมาที่มันอย่างโหดเหี้ยม มันจึงรีบกระโดดเข้าไปในโลงศพสามชีวิตทันที
ในฐานะที่มันเป็นคนหยิ่งยโส แต่มันก็ไม่กล้ายั่วยุจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานสิบห้าคนที่อยู่ที่นี่
“ม่ายยยยยยย!” ในไม่ช้ามันก็ตะโกนร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า เพราะทักษะลับที่มันได้มานั้นคือเคล็ดลับสกัดเม็ดยา!
บัดซบ!
มันไม่ใช่นักปรุงยา แต่มันกลับมอบเคล็ดลับสกัดเม็ดยาให้กับมัน?
มันเป็นความคิดของตัวมันเองที่กล้าท้าทายรูปแบบอาคมวิญญาณ และไม่มีอะไรที่มันสามารถคัดค้านได้
รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง แต่ปรากฏตัวกับหยานเทียนจ้าว
“หยานเทียนจ้าว เจ้าคืออันดับสองของการทดสอบในครั้งนี้ นี่คือเม็ดยาสามประเภท เจ้าสามารถเลือกมันได้หนึ่งอย่าง” มันพูดเกือบจะเหมือนเดิม แต่รางวัลตอนแทนนั้นเปลี่ยนไป
“นี่มันอะไรกัน!?” หยานเทียนจ้าวยืนขึ้นด้วยความตกใจ มันเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่เป็นถึงระดับบุปผาผลิบานที่มีพลังต่อสู้ยี่สิบดาวได้ทั้งที่เป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากแล้ว มันครอบครองความทรงจำของพระเจ้า และต่อสู้กับสัมผัสสวรรค์ แต่มันก็ยังไม่ได้รับอันดับหนึ่ง?
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มันทำมานั้นกลับไม่ได้รับอันดับหนึ่ง แล้วมันจะทำใจเชื่อได้อย่างไร?
“อะไร เจ้าเองก็สงสัยนายท่านผู้นี้ได้งั้นรึ?” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าวอย่างดุเดือด ดูเหมือนว่ามันจะลงไม้ลงมืออีกแล้ว
“ข้ามิกล้า!” หยานเทียนจ้าวเป็นคนที่มีเหตุผล มันรู้ดีว่ารูปแบบอาคมวิญญาณนี่มีอำนาจมากแค่ไหน
“ดีมากที่เจ้าไม่กล้า จงรีบเลือกรางวัลของเจ้าเสีย!” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าวอย่างเย็นชา มันมีลูกบอลแสงสามลูกอยู่บนมือของมัน ซึ่งแต่ละลูกบรรจุเม็ดยาอยู่ด้านใน
…
ในไม่ช้า รูปแบบอาคมวิญญาณก็ปรากฏขึ้นอยู่ที่ที่หลิงฮันอยู่
“หลิงฮัน เจ้าคืออันดับหนึ่งของการทดสอบในครั้งนี้ นี่คือทักษะลับสามทักษะ เจ้าสามารถเลือกได้หนึ่งทักษะ” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าว รางวัลตอบแทนนั้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง
หลิงฮันเผยรอยยิ้มออกมาและตั้งคำถามออกไปแทน “ผลการต่อสู้ของอันดับสองและอันดับสามเป็นเช่นไร?”
“ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ ซึ่งเอาชนะระดับบุปผาผลิบานห้าดาวและยี่สิบดาวได้ตามลำดับ” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าว
หลิงฮันอดที่จะรู้สึกตกใจไม่ได้ มีคนที่แข็งแกร่งแบบนั้นอยู่ด้วย? ไม่ บางที่พวกมันอาจจะเป็นเหมือนเขาที่ใช้ช่องโหว่ของการทดสอบ
“จงรีบเลือกเสีย!” รูปแบบอาคมวิญญาณค่อนข้างใจร้อนทีเดียว
หลิงฮันมองไปที่ลูกบอลแสงทั้งสามลูกบนมือของมันและพูดว่า “แล้วไหนทักษะลับสามประเภท?”
“วางลูกบอลแสงบนหน้าผากของเจ้าเพื่อดูทักษะลับที่อยู่ภายใน หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าจะไม่มีสิทธิ์ดูทักษะลับทั้งสาม” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าว
หลิงฮันทำตามที่มันบอกและเผยสีหน้าตกใจออกมาทันที
ทักษะลับทั้งสามนี่ล้วนแต่เป็นอัญมณี!
“รูปแบบอาคมมายาสวรรค์” “เคล็ดลับปรุงยาร้อยแปดวิถี” และ “ทักษะกายาเก้ามังกรทรราช” มันมีทั้งรูปแบบอาคม เคล็ดลับปรุงยาและทักษะวรยุทธ
หลิงฮันดูที่บทนำ ทั้งสามล้วนแต่เป็นระดับพระเจ้า!
เขาลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจและเลือก “ทักษะกายาเก้ามังกรทรราช”
เขาเพิ่งเริ่มเรียนรู้รูปแบบอาคม มันเป็นเพียงแค่ความสามารถเสริมเท่านั้นและไม่ได้โดดเด่นกว่าศาสตร์วรยุทธ สำหรับศาสตร์ปรุงยา เขายังมีเวลาอีกนานก่อนที่จะทะลวงผ่านระดับทลายมิติและกลายเป็นพระเจ้า ดังนั้นสูตรเม็ดยาระดับพระเจ้าจะมีความหมายอะไร?
ดังนั้น เขาจึงเลือกทักษะวรยุทธ
ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชเป็นทักษะเสริมแกร่งให้กับร่างกาย และเมื่อมันถึงจุดสูงสุด กล้ามเนื้อจะเป็นดั่งพระเจ้าและมีพละกำลังดั่งมังกรที่แท้จริงเก้าตัว!
มังกรที่แท้จริงคือหนึ่งในสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสัตว์อสูรในตำนาน หากครอบครองความแข็งแกร่งกายภาพของมังกรที่แท้จริงเก้าตัว…มันจะน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน? อย่างไรก็ตาม ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชนี่บ่มเพาะได้ยากมาก อย่างมากอาจครอบครองพลังของพลังกรที่แท้จริงสามตัวเท่านั้น
“ขี้เหนียวยิ่งนัก ทำไมถึงเลือกได้แค่หนึ่งในสาม?” หลิงฮันคัดค้าน
“มันยังมีการทดสอบอีกสองรอบ และถ้าเจ้าสามารถเป็นอันดับหนึ่งได้ทั้งสองรอบ เจ้าจะมีโอกาสที่จะได้รับมัน” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าวอย่างไม่แยแส และวางลูกบอลแสงบนหัวของหลิงฮัน ทันใดนั้น แสงของตัวอักษรทองคำได้หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายของเขาและรวมเป็นหนึ่งกับเขา
“ไปได้แล้ว!” รูปแบบอาคมวิญญาณเตะหลิงฮันออกไปเช่นเดียวกัน
หลิงฮันไม่ได้ตอบโต้ สัมผัสสวรรค์ของเขาเต็มไปด้วยทักษะกายาเก้ามังกรทรราช และกลายเป็นความทรงจำให้กับเขา แต่ทว่าตัวอักษรลึกลับพวกนั้นยากที่จะทำความเข้าใจ แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
ตอนที่ 492.2 อีแร้งเพลิงสีคราม
ปัง สัมผัสสวรรค์ของหลิงฮันกลับเข้าร่าง
ทุกคนจ้องมองไปที่หลิงฮัน เขาเป็นคนที่ออกมาเป็นคนสุดท้าย หรือว่าเขาจะเป็นอับดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้?
อันดับสามมีพลังต่อสู้ระดับบุปผาผลิบานห้าดาว เช่นนั้นเขามีพลังต่อสู้มากแค่ไหนกัน? แต่ทว่าจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณจะเหนือก้าวคนที่ก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปแล้วได้อย่างไร?
“ปรมาจารย์หลิง ท่านได้รับสมบัติอะไรมาอย่างนั้นหรือ?” จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานคนหนึ่งถาม
นี่ควรจะเป็นความลับส่วนตัวที่ไม่ควรถามถึง แต่มันใช้ประโยชน์จากระดับพลังที่สูงกว่าจึงกล้าถาม ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นเพราะมันกังวลตัวตนของนักปรุงยาระดับสวรรค์ของหลิงฮันอยู่ มิฉะนนั้นมันคงจะปล้นเขาไปแล้ว
หลิงฮันจ้องมองมันและพูดว่า “ทำไมข้าจะต้องบอกเจ้าด้วย?”
จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานคนนั้นสำลักน้ำลายของตัวเอง และสีหน้าของมันเปลี่ยนไปอย่างมากราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ยังไงก็ตาม หลิงฮันเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์ เมื่อคำนึงถึงสถานะของเขาแล้ว หลิงฮันเหนือกว่าตัวมันมาก ดังนั้นถ้าหลิงฮันด่าทอมัน มันสามารถทำอะไรได้บ้าง?
คนที่ไม่เกรงกลัวต่อนักปรุงยาระดับสวรรค์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การแสดงออกอย่างรุนแรงนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สายตาของมันกลายเป็นหนาวเย็นและเต็มไปด้วยจิตสังหาร ตราบใดที่หลิงฮันอยู่ลำพังหรือเมื่อใดที่ไม่มีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานอยู่ข้างหลังเขา มันจะเข้าไปแย่งชิงสมบัติและฆ่าพยยานรู้เห็นทั้งหมด
แม้หลิงฮันจะเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์ แต่ตอนนี้เขาอยู่ในเขตแดนลี้ลับ ความอยู่รอดของเขานั้นต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง!
หลิงฮันปล่อยจิตสังหารของเขาออกมาและยิ้มอย่างหนาวเย็น ด้วยจิตวิญญาณสองธาตุจากห้าธาตุที่เขาครอบครอง เขาจำเป็นต้องกลัวฝ่ายตรงข้ามที่เป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานหรือไม่? ถ้าเขามีเย่วไค่หยู่นำม้วนคำสั่งออกมาใช้อีกม้วน กระทั่งสังหารมันก็ย่อมทำได้!
บางคนรู้สึกยินดี บางคนรู้สึกเกลียดชัง หลงไหเชวียนดูมืดมนกว่าเล็กน้อยเพราะมันท้าทายรูปแบบอาคมวิญญาณเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกของรางวัลจึงได้รับเคล็บลับปรุงยามา แม้ว่าสิ่งที่ถูกเขียนไว้ล้วนแต่เป็นสูตรเม็ดยาระดับสวรรค์ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับมัน?
ส่วนหยานเทียนจ้าวโชคดีกว่ามาก มันได้รับเม็ดยาล้ำค่า ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้มันทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน ดังนั้น มันจึงจับตามองไปที่หลิงฮันและเชื่อว่าทักษะลับที่หลิงฮันได้รับมานั้นจะต้องมีค่ามากกว่าอย่างแน่นอน
จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานต่างจ้องมองไปที่หลิงฮัน หยานเทียนจ้าวและหลงไหเชวียน พวกมันต้องการสมบัติที่พวกเขาได้รับมา และต้องการล่วงรู้ความลับของพวกเขาทั้งสามคนว่าทำไมถึงต่อสู้กับฝ่ายตรงกับที่เป็นระดับบุปผาผลิบานได้ทั้งที่เป็นแค่จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ
เมื่อรูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง พวกเขาก็ถูกส่งไปยังทุ่งหญ้าและที่ราบที่มีสัตว์อสูรน่าสะพรึงกลัววิ่งพล่านอยู่ ที่แห่งนี้คือการทดสอบรอบที่สอง กฎมีความคล้ายคลึงกัน สามอันดับแรกจะได้รับรางวัล แต่การทดสอบนี่ไม่ได้วัดระดับพลังต่อสู้
พวกเขาทั้งหกคนออกเดินทาง หลิวอู๋ตงและคนอื่นนั้นต่างก็อยากรู้อยากเห็นว่าหลิงฮันได้รับสมบัติอะไรมา หลิงฮันบอกพวกเขาเกี่ยวกับทักษะกายาเก้ามังกรทรราช ทำให้พวกเขาทุกคนรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ชื่อของมันก็ฟังดูน่าเกรงขามแล้ว
“ฮูหนิว ทำไมเจ้าถึงไม่ติดสามอันดับแรก?” หลิงฮันรู้สึกว่ามันแปลกมาก ด้วยพลังต่อสู้ของฮูหนิว มันเป็นไปได้มากว่านางสามารถกัดระดับบุปผาผลิบานตายได้
“หนิวไม่รู้เหมือนกัน หนิวเข้าไปไม่ได้” ฮูหนิวตอบกลับ
ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะรู้สึกแปลกใจ ฮูหนิวไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ ไม่ใช่ว่ามันเป็นเพราะฮูหนิวไม่ได้เข้าบ้านลั่งนั้น แต่เป็นเพราะรูปแบบอาคมวิญญาณนั้นไม่สามารถแยกสัมผัสสวรรค์ออกมาจากตัวนางได้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้รับการทดสอบ
หืม แม้แต่รูปแบบอาคมระดับพระเจ้าก็ยังไม่สามารถแยกดวงวิญญาณของฮูหนิวออกมาได้ นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก!
ไม่แปลกที่แม้แต่ศิลาแห่งความสับสนวุ่นวายก็ไม่สามารถทำให้นางได้รับผลกระทบ
“นายน้อยฮัน การเดินทางของพวกเราจะไม่ราบรื่นหรอกใช่ไหม?” ชางเย่ถาม
“แน่นอนว่าไม่!” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม เขาหยุดพูดชั่วครู่แล้วพูดต่อว่า “แปลกแฮะ ทำไมข้าถึงไม่เห็นเหวินอีเจี้ยน?”
“บางที่เขาอาจวิ่งไปที่ไหนสักแห่ง”
“หรืออาจพบกับสัตว์อสูรและตายไปแล้ว!” เย่วไค่หยู่พูดออกมาด้วยความชั่วร้าย ชายคนนั้นหล่อเหลาเกินไปถึงขั้นทำให้ผู้คนอิจฉา
หลิงฮันหัวเราะลั่น เขาส่ายหัวและพูดว่า “เหวินอีเจี้ยนไม่ใช่คนที่มีอายุสั้น คนอย่างเขามีความเป็นไปได้มากที่จะกลายเป็นพายุลูกใหม่ในอนาคต! เขาไม่อยู่ที่นี่เพราะเขาอาจได้รับโอกาสอื่นอยู่”
ทันใดนั้นหลิงฮันเริ่มคิดว่า ทำไมเหวินอีเจี้ยนถึงมาที่ภูมิภาคเหนือ เป็นไปได้ไหมที่เขามาเพียงแค่เพื่อชมความงดงามของจูเสวี่ยนเอ๋อ? อัจฉริยะอย่างเหวินอีเจี้ยนแน่นอนว่าไม่มีทางเดินทางกว่าหมื่นไมล์เพียงเพราะเขาได้ยินความงดงามของนาง
แล้วมันคงจะเป็นเรื่องบังเอิญเกิดไปที่เขามาในตอนที่สิบสองเขตแดนลี้ลับกำลังเปิด?
ทันใดนั้นความคิดบางอย่างได้ผุดขึ้นมา เขาคาดเดาว่าบางทีเหวินอีเจี้ยนเองก็อาจมีกุญแจเหมือนกัน!
ด้วยเหตุนั้น เหวินอีเจี้ยนจึงข้ามภูมิภาคมาเพียงลำพังเพราะกลัวว่าความลับของเขาจะถูกล่วงรู้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสที่จะช่วงชิงมันไป นั่นเป็นเพราะเขาเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าเท่านั้น
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดา แต่หลิงฮันมั่นใจมากทีเดียวว่าจะต้องเป็นแบบนั้น
เมื่อออกจากเขตเมือง ทุ่งหญ้าและภูเขาก็ปรากฏขึ้น ต้นไม้สูงร้อยกว่าเมตรสามารถมองเห็นได้ทุกที่ทั้งยังมีหลากสีและสดใส ราวกับช่อดอกไม้ที่บานสะพรั่ง
อย่างไรก็ตาม ภูเขาและป่านั้นแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่พื้นที่ที่ปลอดภัย
…บางทีอาจมีสัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณอยู่ที่นี่ และถ้าพวกเขาเผชิญหน้ากับมันเข้า ชะตาของพวกเขาคงจะถึงฆาตแล้ว
“ระวังให้ดี พวกเราอาจไม่เจอสัตว์อสูรที่นี่ แต่อาจเจอโจรระดับบุปผาผลิบานเข้า” หลิงฮันพูด
ทุกคนพยักหน้าและกลายเป็นระมัดระวังและเคร่งขรึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่วไค่หยู่ เขาถือม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณอยู่ในมือและดูเหมือนพร้อมที่จะปาออกไปทุกเมื่อถ้ามีใครกล้าปรากฏตัวออกมา
ผู้คนแยกกันออกไปก่อนที่จะเข้าไปในป่า นี่คือภายในเขตแดนลี้ลับ ใครจะเชื่อใจคนอื่นได้อย่างง่ายดายถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิท? แล้วถ้าพวกเขาถูกแทงจากด้านหลังจะเป็นเช่นไร ใครจะร้องไห้ให้กับพวกเขา?
“ก๊า ก๊า ก๊า…” เสียงนกร้องไม่หยุดดังไปทั่วป่า และอาจเป็นนกตัวใหญ่บินอยู่บนท้องฟ้าเป็นบางครั้ง ปีกของพวกมันกางออกมามีความยาวมากกว่าร้อยฟุตและมีขนเหมือนกับดาบ บางตัวไม่มีขนเลยก็มี แต่กลับมีเกล็ดสีดำยื่นออกมาให้ความรูปสึกเหมือนเหล็กเย็น
พวกเขาเห็นอีแร้งฟ้ากำลังจับกระทิงราวกับกำลังจับลูกไก่
กระทิงดำเกล็ดแดง! เมื่อทุกคนเห็น พวกเขาต่างอ้าปากด้วยความตกใจ เพราะกระทิงดำเกล็ดแดงนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ทว่าตอนนี้มันกลับถูกอีแร้งฟ้าจับได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นอีแร้งฟ้านั้นเป็นอสูรระดับใดกัน?
หลิงฮันต้องมองอย่างเคร่องเครียด อีแร้งฟ้านั่นเป็นสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทว่าที่มีชื่อว่าอีแร้งเพลิงสีคราม มันสามารถพ่นเปลวเพลิงสีฟ้าออกมาได้ และถึงขั้นหลอมละลายเหล็กหายากระดับแปดได้
ใช่แล้ว มันเป็นราชาในหมู่สัตว์อสูร สัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวาทั่วไปนั้นแน่นอนว่าไม่มีพลังที่น่าสะพรึงกลัวแบบนั้น
ถ้าอีแร้งเพลิงสีครามปล่อยการโจมตีใส่พวกเขา แน่นอนว่าเขาจะต้องพาทุกคนเข้าไปในหอคอยทมิฬ ส่วนเย่วไค่หยู่และจูเสวี่ยนเอ๋อนั้นเขาไม่อาจพาเข้าไปได้
…เย่วไค่หยู่ปากสว่างเกินไป ส่วนจูเสวี่ยนเอ๋อยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากเขา ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงไม่ล่วงรู้ตัวตนของหอคอยทมิฬได้
โชคดีที่อีแร้งเพลิงสีครามเพียงแค่จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาหนาวเย็นแล้วบินจากไปราวกับพวกเขาเป็นสัตว์เลื้อนคลานที่ไม่อาจดึงดูดความสนใจของมันได้
ตอนที่ 492.3 ขโมยไข่
พวกเขาทั้งหกคนไม่กล้าที่จะประมาท มันอันตรายเกินไปเพราะที่นี่มีสัตว์อสูรที่ทรงพลังมากมายที่สามารถฆ่าพวกเขาได้เป็นร้อยครั้ง แต่เมื่อคิดถึงโอกาสที่พวกเขาจะได้รับนั้นแทบจะไม่มี
ยิ่งไปกว่านั้น นี่เองก็เป็นโอกาสที่หายากที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น การมีชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นและความตายนั้นจะทำให้ระดับพลังของจอมยุทธก้าวหน้าขึ้น
โชคของพวกเขาไม่ได้เลวร้ายนัก พวกเขาไม่เจอกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังเลย จนกระทั่งครึ่งวันต่อมาสัตว์อสูรตัวหนึ่งได้ปรากฏออกมา มันมีความสูงเกือบสิบฟุต ขนของมันดำเงาเป็นประกาย มันมีขาสี่ขาและมีหางสามหางเหมือนกับไม้เท้า
อย่างไรก็ตาม หัวของมันกลับเป็นงู และแลบลิ้นแผล็บแผล็บ ลิ้นของมันมีความยาวประมาณหนึ่งฟุต และแยกออกเป็นสองแฉกเหมือนกับง้าว
“ระดับบุปผาผลิบาน!” ทุกคนสูดลมหายใจอย่างหนาวเย็น
โดยที่ไม่พูดอะไรออกมา หลิงฮันเรียกอสูรศิลาออกมา สัตว์อสูรนี่ไม่ใช่บททดสอบสำหรับพวกเขา แต่มันปรากฏตัวออกมาเพื่อเอาชีวิตของพวกเขา
“โฮกกกก!” อสูรศิลาคำรามใส่สัตว์อสูรหัวงู มันไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย
สัตว์อสูรหัวงูเผยท่าทีหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย มันไม่ใช่ราชาในหมู่สัตว์อสูร ดังนั้นแม้ว่าระดับพลังของมันจะสูงกว่าอสูรศิลาอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็ยังคงแสดงความลังเลออกมาและไม่กล้าโจมตีผลีผลาม
“ว้าว หินยักษ์!” ฮูหนิวเบิกตากว้าง มันเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นอสูรศิลา จากนั้นนางกระโดดขึ้นไปอยู่บนหัวของอสูรศิลาทันที และชี้ไปที่สัตว์อสูรหัวงูและพูดว่า “วิ่ง วิ่ง วิ่ง หนิวต้องการกินเนื้อของมัน โค่นสัตว์อสูรตัวใหญ่นั่นเลย!”
อสูรศิลารู้สึกโกรธ นอกจากหลิงฮันแล้ว มันดูถูกเหยียดหยามทุกคน แล้วใครจะสามารถขี่หัวของมันได้? จิตวิญญาณของธาตุทั้งห้านั้นมีความภาคภูมิใจที่เป็นจิตวิญญาณของธาตุทั้งห้า ในตอนนั้น แม้มันจะตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ แต่มันก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อหลิงฮัน ซึ่งมันเป็นหอคอยทมิฬที่ทำให้มันยอมจำนน ดังนั้นเด็กสาวตัวน้อยนี่คืออะไร?
มันกำลังจะระบายความโกรธออกมา แต่แล้วมันก็ต้องตกใจขณะที่มันรู้สึกได้ถึงตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวจากฮูหนิว และกลายเป็นเชื่อฟังทันทีอย่างกับสุนัขแล้วคำรามออกมาเสียงดังขณะพุ่งเข้าหาสัตว์อสูรหัวงู
“ตีมัน ตีมัน ตีมันเลย!” ฮูหนิวประมือและหัวเราะขณะที่นางออกคำสั่ง
หลิงฮันรู้สึกว่ามันแปลก อสูรศิลาเชื่อฟังฮูหนิว…หรือว่าสมองของมันจะอัดแน่นไปด้วยหิน?
สัตว์อสูรหัวงูต่อสู้กับอสูรศิลาหลายยกและเริ่มหลบหนี มันได้รับประสบการณ์อันทรงพลังและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าสะพรึงกลัว มันไม่อาจเทียบกับฝ่ายตรงข้ามได้แม้แต่น้อย ดังนั้นมันจึงทำได้แค่หลบหนีเท่านั้น
“อย่าปล่อยให้มันหนี วิ่งตามมันไป!” ฮูหนิวออกคำสั่งให้อสูรศิลาวิ่งตาม
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน อสูรศิลาก็พาฮูหนิวกลับ ทำให้เด็กสาวตัวน้อยหน้าบูดบึ้งและด่าทออสูรศิลาว่า “ใช้การไม่ได้เลย เจ้าปล่อยให้เนื้อของฮูหนิวต้องบินจากไป ถ้าเจ้าไม่เป็นหิน หนิวคงจะกินเจ้าไปแล้ว!”
อสูรศิลาไม่มีข้อแก้ตัวและทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“เป็นหุ่นเชิดที่ทรงพลังยิ่งนัก!” จูเสวี่ยนเอ๋อที่ไม่รู้ความจริงอุทานออกมา นี่เป็นหุ่นเชิดระดับบุปผาผลิบาน! นางหันไปมองหลิงฮันและกล่าวชื่นชมอย่างเป็นธรรมชาติว่า “นายน้อยฮันได้พิสูจน์ให้เห็นว่าท่านเป็นอัจฉริยะ ราชันนักปรุงยา รวมถึงปรมาจารย์ด้านรูปแบบอาคม เสวี่ยนเอ๋อรู้สึกประทับใจมาก!”
ฮูหนิวรู้สึกไม่พอใจและพูดว่า “หินยักษ์ ทุบตีผู้หญิงน่าเกลียดคนนั้นซะ!”
อสูรศิลาเผยท่าทีชั่วร้ายออกมาทันทีและจ้องมองไปที่จูเสวี่ยนเอ๋อ
หลิงฮันรีบพูดให้มันหยุดและพูดว่า “หยุดซนได้แล้ว!”
ฮูหนิวเริ่มเล่นนิ้วของตัวเองและพูดพึมพัมว่า “หนิวไม่ได้ซุกซน แต่หนิวจริงจัง” จูเสวี่ยนเอ๋อสั่นด้วยความกลัวและไม่คิดว่าเด็กสาวตัวน้อยนี่จะเป็นคนที่ขี้อิจฉาขนาดนั้น
อสูรศิลายังคงเชื่อฟังหลิงฮันมากกว่า นั่นเป็นเพราะหลิงฮันเป็นเจ้านายของมัน หลิงฮันคิดขึ้นมาได้ว่าไม่เก็บอสูรศิลายักษ์เข้าไปในหอคอยทมิฬจะดีกว่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอัตราย แม้แต่สัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณก็อาจปรากฏตัวออกมา ดังนั้นมันคงจะดีกว่าถ้าปล่อยให้อสูรศิลาคุ้มกันอยู่ด้านนอก
พวกเขาเดินออกไปได้อีกสักพักหนึ่ง ต้นไม้ขนาดยักษ์ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา รากของมันใหญ่ขนาดร้อยคนโอบ และมีความสูงหลายร้อยฟุต อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แปลกคือมันแทบจะไม่มีกิ่งไม้เกือบจะมีเพียงแค่ลำต้นเหมือนกับเสา ส่วนกิ่งไม้ที่ยื่นออกมานั้นเล็กมาเหมือนกับขน ซึ่งดูไม่สดุดตาเลยแม้แต่น้อย
ด้านบนสุดของต้นไม้มีบางอย่างที่คล้ายมงกุฎขนาดใหญ่อยู่ แต่เมื่อจ้องมองอย่างใกล้ชิด มันไม่ใช่มงกุฎ แต่เป็นรังนก!
พระเจ้า รังนกใหญ่ยักษ์อะไรเยี่ยงนี้!
หลิงฮันใช้เนตรแห่งสัจธรรม หลังจากที่มอง เขาก็ดูประหลาดใจและพูดว่า “มันมีไข่อยู่ในรังนก และจากลวดลายบนเปลืองไข่ มันน่าจะเป็นไข่ของอีแร้งเพลิงสีคราม และอีแร้งเพลิงสีครามก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย!”
เย่วไค่หยู่อ้าปากกว้างและพูดว่า “นายน้อยฮัน ท่านคงไม่ได้คิดที่จะขโมยไข่ของมันหรอกใช่ไหม?” เขารู้สึกตกใจมาก อีแร้งเพลิงสีครามนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวาและไม่มีใครคนใดในภูมิภาคเหนือสามารถต่อกรกับมันได้ แต่หลิงฮันกลับกล้าที่จะขโมยลูกหลานของมัน
หลิงฮันแสยะยิ้มและพูดว่า “ทำไมจะไม่?” จากนั้นเขาก็อธิบายให้ทุกคนฟังด้วยความมั่นใจว่า “อีแร้งเพลิงสีครามถูกกังขังอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่ถ้าตามพวกเราออกไปด้านนอก มันสามารถบินได้อย่างอิสระ ข้ากำลังทำเรื่องดีๆอยู่!”
จูเสวี่ยนเอ๋อถอนหายใจและพูดว่า “การเป็นหัวขโมยอย่างโจ่งแจ้งและชอบธรรม มันเป็นครั้งแรกที่เสวี่ยนเอ๋อเจอกับคนแบบนั้น!”
“ข้าด้วย!”
“ข้าคนที่สอง!”
หลิวอู๋ตงและชางเย่คล้อยตาม
ฮูหนิวปรบมือขณะที่พูดออกมาว่า “หนิวจะช่วยหลิงฮันเอง หนิวจะฉกไข่และต้มให้มันสุกแล้วกิน!” ทันใดนั้น นางปีนไต่ขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยความว่องไวเหมือนกับลิงทันที
ความเร็วของนางไม่ได้ช้าไปกว่าอสูรศิลาตอนที่บินอยู่บนฟ้าแม้แต่น้อย และเมื่อเห็นเช่นนั้น หลิงฮันจึงล้มเลิกให้อสูรศิลาบินขึ้นไปบนต้นไม้
ในไม่ช้า ฮูหนิวก็ปีนลงมาด้วยมือข้างเดียว ในขณะที่มืออีกข้างนั้นกอดไข่ที่มีขนาดไม่เล็กไปกว่าตัวนางอยู่ ทำให้คนอื่นรู้สึกกังวลว่านางจะตกลงมาพร้อมกับไข่
แม้ว่านางจะโขมยไข่ได้อย่างง่ายดาย แต่กลิ่นอายของอีแร้งเพลิงสีครามยังคงอยู่ภายในรัง มันเป็นแรงกดดันที่ยอดเยี่ยมสำหรับสัตว์อสูรและจอมยุทธ ถึงขั้นรับรองได้ว่าแม้แต่สัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณก็ยังไม่กล้าเข้ามาใกล้ มิฉะนั้นแขนขาของพวกเขาคงจะไร้เรี่ยวแรง และถึงขั้นสูญเสียพลังที่จะเคลื่อนไหว แต่สำหรับคนที่แปลกประหลาดอย่างฮูหนิว แน่นอนว่ามันไม่มีผลแม้แต่น้อย
ในไม่ช้าฮูหนิวก็ลงมาอยู่บนพื้นและกอดไข่อย่างมีความสุขพร้อมกับพูดว่า “ต้มหรือทอดดี?”
“ไม่ทั้งสองอย่าง!” หลิงฮันแย่งไข่มาและพูดว่า “ตัดใจมากมันซะ!”
“บู้ววบู้ววบู้วว หนิวอยากกิน!” ฮูหนิวบุ้ยปากและแสดงความไม่พอใจออกมา
หลิงฮันไม่สนใจนางและเก็บไข่นกเข้าไปในหอคอยทมิฬ เย่วไค่หยู่และจูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกแปลกใจ สิ่งมีชีวิตสามารถนำเก็บเข้าไปในแหวนมิติได้ด้วย? ไม่ใช่ว่ามันจะตายหรอกหรือ?
“รีบหนีกันเถอะ!” พวกเขาทั้งหกคนรีบวิ่งจากไปทันที ถ้าอีแร้งเพลิงสีครามกลับมา มันจะต้องเป็นปัญหาอย่างแน่นอน
พวกเขาทั้งหกคนเดินจากไปไกลพอสมควร และทันใดนั้นเสียงร้องกรีดร้องที่ทำให้พื้นดินต้องสั่นไหวก็ดังขึ้น คลื่นเสียงนั่นเป็นเหมือนกับคมดาบและตัดต้นไม้ที่อยู่โดยรอบเป็นชิ้นๆ แม้ว่าพวกเขาจะป้องกันด้วยพลังทั้งหมด แต่ชางเย่และหลิวอู๋ตงก็ยังคงได้รับบาดเจ็บเพราะระดับพลังของทั้งสองคนนั้นต่ำกว่าคนอื่นเล็กน้อย
“อีแร้งเพลิงสีครามกลับมาแล้ว!”
“วิ่ง!”
พวกเขาทั้งหกคนเร่งความเร็วขึ้น ขณะที่หลิงฮันคิดกับตัวเองว่าถ้าอีแร้งเพลิงสีครามพบร่องรอยของพวกเขาเข้า เขาจะพาทุกคนเข้าไปในหอคอยทมิฬทันที
ชิ่ว!
ในขณะนั้น ประกายแสงของดาบถูกยิงออกมาจากด้านข้างอย่างกะทันหัน และเล็งไปที่ใต้ซี่โครงข้างขวาของหลิงฮัน
493
จังหวะในการลอบจู่โจมนั้นสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก ขณะที่ทุกคนกำลังคิดถึงแต่เรื่องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ใครจะไปคิดว่าจู่ๆจะมีดาบโจมตีเข้ามา
แม้แต่หลิงฮันก็คาดไม่ถึง สัมผัสสวรรค์ของเขาตรวจจับจิตวิญญาณที่ทรงพลังรอบๆไม่พบแม้แต่น้อย
พลังของดาบนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ด้วยการที่มีอำนาจเสริมอย่างปราณดาบเก้าเล่ม เห็นได้ชัดว่าคนที่ลอบจู่โจมนั้นคิดจะลงมือกับพวกเขาถึงตาย!
ในช่วงเวลาเช่นนี้ หลิงฮันยังคงแหงนหน้าขึ้นมองตำแหน่งที่ดาบถูกปล่อยออกมาจนพบกับคนคนหนึ่ง
หยานเทียนจ้าว มันทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้ว!
หลิงฮันไม่สามารถหลบการโจมตีนี้ได้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะอย่างไรเขาก็สามารถหลบเข้าไปในหอคอยทมิฬได้เพียงแค่นึกคิด เขาสามารถเข้าไปยังหอคอยทมิฬได้ก่อนที่ปลายดาบจะสัมผัสกับร่างของเขา
หลิงฮันเริ่มจะคิดแล้วว่าหมอนี่สมกับเป็นคนที่ได้ครอบครองความทรงจำของพระเจ้าจริงๆ สำหรับมัน การทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานนั้นง่ายราวกับเดินเล่น แต่ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้พลังบ่มเพาะของมันก็ยังอยู่ที่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณไม่ใช่ระดับบุปผาผลิบานครึ่งเก้า แค่จู่ๆมันกลับกลายเป็นระดับบุปผาผลิบานได้ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเช่นนี้มันจะน่าสะพรึงกลัวเกินไปหน่อยรึเปล่า?
เดี๋ยวสิ… ในการทดสอบแรก เขาได้รับทักษะกายาเก้ามังกรทรราชเป็นรางวัล และถ้าหยานเทียนจ้าวได้รับเม็ดยาเป็นรางวัล นั่นก็ไม่แปลกที่จู่ๆพลังบ่มเพาะของมันจะกลายเป็นระดับบุปผาผลิบาน
เมื่อความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมาในหัว หลิงฮันก็คิดจะหลบเข้าไปในหอคอยทมิฬและเรียกอสูรศิลาออกมาสู้ แต่ทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาด้านหน้าและโผกอดเขาเพื่อป้องกันการลอบโจมตี
ร่างนั้นคือจูเสวียนเอ๋อ!
สตรีโง่… หากถูกกอด เขาก็ไม่สามารถเข้าไปในหอคอยทมิฬได้… นอกเสียจากเขาจะทำให้นางหมดสติและพาตัวนางเข้าไปในหอคอยทมิฬด้วย แต่กว่าจะทำเช่นนั้นเสร็จ การโจมตีของหยานเทียนจ้าวก็คงจะมาถึงตัวพวกเขาแล้ว
หลิงฮันหัวเราะทั้งน้ำตา นี่เจ้าพยายามช่วยข้าหรือพยายามทำให้ข้าบาดเจ็บกันแน่?
‘ฉัวะ!’
ดาบเสียบเข้าร่างของจูเสวียนเอ๋อจนทะลุร่างของนาง พลังของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานแข็งแกร่งเกินไป แม้แต่พลังป้องกันของจูเสวียนเอ๋อก็ไม่สามารถบั่นทอนพลังของมันลดลงได้มากนัก
เมื่อปลายดาบสัมผัสกับร่างของหลิงฮันมันก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยเกราะอัสนี นี่คืออาวุธวิญญาณระดับสิบซึ่งทนทานเป็นอย่างยิ่ง มันจะถูกเจาะทะลวงง่ายๆได้อย่างไร? แต่พลังของจอมยุทธระดับบุปผาผลิเขาก็ยังแข็งแกร่งอยู่ดี อำนาจของดาบได้ส่งผ่านเข้าไปยังร่างกายของหลิงฮันจนทำให้อวัยวะภายในของเขาได้รับความเสียหาย
สภาพของจูเสวียนเอ๋อนั้นย่ำแย่กว่าเขามาก ร่างกายของนางไร้เรี่ยวแรงพร้อมกับพลังชีวิตที่ลดลงอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “ศิลาน้อย สังหารมัน!”
‘พรึบ’ ร่างของเขากับจูเสวียนเอ๋อหายเข้าไปในหอคอยทมิฬ
“ทั้งสองคนหายไปแล้ว!” เยว่ไค่หยู่อุทานออกมาพร้อมกับหันไปมองคนอื่น แต่คนอื่นๆกลับไม่มีสีหน้าตกตะลึงแม้แต่น้อย “ข้าเป็นคนเดียวรึที่คิดว่ามันแปลก? เมื่อครู่คนสองคนหายไปในพริบตาเลยนะ!”
“กล้าทำร้ายหลิงฮันของหนิว! หนิวจะกัดเจ้าให้ตกตายไปเลย!” ฮูหนิวปลดปล่อยจิตสังหารออกมาและพุ่งเข้าใส่หยานเทียนจ้าวพร้อมกับอสูรศิลา
หยานเทียนจ้าวแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา มันรู้ว่าหลิงฮันครอบครองเกราะสมบัติอยู่ ดังนั้นมันจึงวางแผนลอบโจมตีโดยไม่ให้หลิงฮันมีเวลากระตุ้นใช้งานเกราะที่ว่านั่น
มันครอบครองความทรงจำของพระเจ้า จึงเป็นธรรมดาที่มันจะรู้วิธีปกปิดกลิ่นอายของตนเองจากสัมผัสสวรรค์ของหลิงฮัน
แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น อย่างแรกคือสตรีที่นำตัวเข้ามาป้องกันหลิงฮัน ถึงแม้พลังป้องกันของระดับแก่นแท้จิตวิญญาณจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานพลังโจมตีของมัน แต่ก็ยังสามารถบั่นทอนอำนาจของดาบมันให้ลดลงได้อยู่ดี และสิ่งที่มันคาดไม่ถึงมากที่สุดก็คือการที่หลิงฮันและสตรีคนนั้นหายไปด้วยกันอย่างไร้ร่องรอย
มันสัมผัสถึงช่องว่างมิติที่ถูกฉีกขาดไม่ได้ ดังนั้นทั้งสองจะต้องไม่ได้หลบหนีไปโดยการเคลื่อนย้ายมิติแน่นอน หรือว่า… หลิงฮันจะมีสมบัติที่สามารถบรรจุสิ่งมีชีวิต?
สมบัติเช่นนั้นแม้แต่บนดินแดนแห่งพระเจ้าก็ถือว่าล้ำค่ามาก หากไม่ใช่ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่อาจครอบครองได้
แววตาของมันกลายเป็นพร่ามัว มันจะต้องนำสมบัติเช่นนั้นมาครอบครองให้ได้!
‘ปัง’ อสูรศิลาโจมตี ในขณะที่ฮูหนิวใช้ทักษะเคลื่อนที่ไปด้านหลังหยานเทียนจ้าวและอ้าปากกว้าง เมื่อประจันหน้ากับวิญญาณของธาตุทั้งห้า แม้แต่หยานเทียนจ้าวก็ไม่อาจประมาทได้ เพราะอย่างไรตอนนี้ร่างของมันก็ไม่ใช่ร่างของพระเจ้า
…
ภายในหอคอยทมิฬ หลิงฮันรีบเรียกใช้พลังอำนาจของหอคอยในการรักษาตนเอง แต่กลับพบว่าไม่สามารถทำได้
“หอคอยน้อย ทำไมบาดแผลของข้าไม่ฟื้นตัว?” หลิงฮันถาม
“ใครบอกเจ้าว่าหอคอยทมิฬสามารถรักษาบาดแผลได้?” จิตวิญญารหอคอยปรากฏตัวและพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “หอคอยทมิฬสามารถขับไล่สิ่งแปลกปลอมออกจากร่างเจ้าได้ แต่ไม่สามารถใช้รักษาบาดแผล”
หลิงฮันถอนหายใจและพูด “ถ้าข้าตาย เจ้าจะต้องไปหาเจ้านายใหม่นะ ทำไมเจ้าถึงยังเยือกเย็นได้แบบนั้น?”
“ก็แค่การเปลี่ยนเจ้านาย ถึงอย่างไรอายุขัยของข้าก็ไม่มีจำกัดอยู่” จิตวิญญาณหอคอยพูดอย่างไม่แยแส
‘’บัดซบ!”
หลิงฮันไม่มีเวลาไปต่อล้อต่อเถียง เขาโคจรหยดวารีอมตะทันทีและรีบตรวจสอบสอบบาดแผลของจูเสวียนเอ๋อ แม้นางจะไม่ถูกโจมตีในจุดสำคัญ แต่พลังของระดับบุปผาผลิบานก็น่ากลัวเกินไป มันทำลายอวัยวะภายในทุกอย่างของนาง หากปล่อยไว้ อีกไม่นานชีวิตของนางจะต้องดับสูญแน่ๆ
แม้หลิงฮันจะไม่มีความจำเป็นที่จะช่วยชีวิตนาง แต่เขาจะยอมให้คนอื่นมาตายเพื่อเขาได้อย่างไร?
หลิงฮันพูดอย่างเคร่งเครียด “หอคอยน้อย คิดว่าวิธีทำให้สภาพร่างกายของนางมั่นคง ข้าจะหลอมเม็ดยา!”
จิตวิญญาณหอคอยตรวจสอบชั่วขณะและพูด “นางใกล้จะตายแล้ว ข้าจำเป็นต้องใช้พลังแห่งต้นกำเนิดที่ล้ำค่าเพื่อคงสภาพของนางไม่ให้ย่ำแย่ไปกว่าเดิม เจ้าจงคิดให้ดี พลังต้นกำเนิดของข้าในตอนนี้มีจำกัด หากใช้จนหมดข้าจะไม่สามารถแสดงอำนาจเพื่อช่วยเหลือเจ้าได้ในยามคับขัน”
“ไม่จำเป็นต้องคิด ข้าไม่อาจปล่อยให้นางตาย!” หลิงฮันพูดอย่างไม่ลังเล
“ตกลง!” จิตวิญญาณหอคอยสั่นไหวเล็กน้อยแสดงถึงการพยักหน้า ทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มโอบล้อมทั่วร่างจูเสวียนเอ๋อ เพื่อผนึกพลังชีวิตอันน้อยนิดของนางไม่ให้ดับสูญ
ตอนนี้ในหอคอยทมิฬมีสมุนไพรอยู่มากมาย แม้แต่สมุนไพรระดับสูงก็มีไม่น้อย เม็ดยาที่สามารถหลอมได้ตอนนี้คือเม็ดยาระดับปฐพีขั้นต่ำ “โอสถวารีนกอมตะ” ซึ่งเป็นเม็ดยาสำหรับรักษาบาดแผล แต่มันจะสามารถรักษาอาการของจูเสวียนเอ๋อได้หรือไม่นั้น หลิงฮันเองก็ไม่มั่นใจ
เขาจะสามารถเพิ่มหยดวารีอมตะเข้าไปเป็นส่วนผสมได้รึเปล่า?
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวหลิงฮัน แต่ว่าเขาจะนำหยดวารีอมตะออกมาได้อย่างไร?
“หอคอยน้อย เจ้ามีวิธีรึไม่?” หลิงฮันถาม
494
“หยดวารีอมตะมีผลต่อคนที่บ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ เท่านั้น แม้เจ้าจะนำมันออกมา ประสิทธิภาพของมันก็จะลดลงอย่างมหาศาล” จิตวิญญาณหอคอยพูดอย่างไม่แยแส
“ลดลงอย่างมหาศาลแต่ก็ยังได้ผลอยู่สินะ?” แววตาของหลิงฮันเปล่งประกาย
“ถูกต้อง สำหรับคนที่ไม่ได้บ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ผลลัพธ์ของมันจะลดลงหนึ่งร้อยเท่า” จิตวิญญาณหอคอยพูด
“ขอแค่มันยังมีประโยชน์ก็พอ!”
หลิงฮันเป็นปรมาจารย์แห่งศาสตร์ปรุงยา เขาเพิ่มหยดวารีอมตะห้าหยดเข้าไปในสูตรเม็ดยาโอสถวารีนกอมตะ… เขาเหลือเอาไว้เพียงหยดเพื่อช่วยชีวิตตนเองยามคับขัน
ภายในเวลาครึ่งชั่วเขาก็หลอมเม็ดยาเสร็จสิ้น มีเพียงแค่เม็ดเดียวเท่านั้นที่หลิงฮันสามารถสกัดผลลัพธ์ของหยดวารีอมตะเข้าไปได้
“ความหวังสุดท้าย!” หลิงฮันป้อมเม็ดยาให้จูเสวียนเอ๋อ แต่พลังชีวิตของนางใกล้จะหมดแล้ว นางจะมีแรงกินเม็ดยาได้อย่างไร?
หลิงฮันนำผ้าปิดหน้าของนางออกและนำเม็ดยาป้อนใส่ปากพร้อมกับน้ำดื่ม แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนเม็ดยาจะยังไม่ถูกกลืนลงไป
“หลีซื่อฉาง ช่วยส่งลมหายใจให้นางที” หลิงฮันรีบเรียกหลีซื่อฉางมาที่นี่
เมื่อเห็นจูเสวียนเอ๋อ หลีซื่อฉางก็แสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา นางพึมพำ “ในโลกนี้มีสตรีที่งดงามขนาดนี้ได้อย่างไร?”
หลิงฮันเพิ่งสังเกตว่าจูเสวียนเอ๋อนั้นงดงามไม่แพ้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เมื่อชีวิตก่อนของเขาแม้แต่น้อย
ที่ต่างกันก็คือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์มีนิสัยที่ดุร้ายราวกับธิดาสงคราม ส่วนจูเสวียนเอ๋อนั้นเยือกเย็นราวกับแสงสว่างของจันทรา
“อย่ามัวแต่จ้องมอง รีบลงมือ!” หลิงฮันเร่งรีบเพราะการคงสภาพพลังชีวิตของจูเสวียนเอ๋อไว้ต้องใช้พลังแห่งต้นกำเนิดของหอคอยทมิฬ
หลีซื่อฉางรีบวิ่งเข้าประทับริมฝีปากแบ่งลมหายใจให้จูเสวียนเอ๋อเพื่อทำให้นางกลืนโอสถวารีนกอมตะเข้าไป
ทันใดนั้นบาดแผลของจูเสวียนเอ๋อก็ฟื้นฟูด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่นางก็ยังไม่ได้สติ ภายใต้การโจมตีของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน สัมผัสสวรรค์ของนางนั้นเกือบจะถูกทำลาย
หลิงฮันถอนหายใจ สัมผัสสวรรค์ที่ได้รับความเสียหาย… แม้จะเป็นเขาก็ยังปวดหัว ตอนนี้พลังชีวิตของจูเสวียนเอ๋อฟื้นฟูกลับมาแล้ว แต่นางจะฟื้นขึ้นมาตอนไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความปรารถนาในการอยากมีชีวิตต่อของนาง
“ซื่อฉาง ดูแลนางด้วย!” หลิงฮันพูดพร้อมกับระเบิดจิตสังหารออกมาและออกจากหอคอยทมิฬ
แต่พอเขาออกมา หยานเทียนจ้าวก็จากไปแล้ว
“มันหนีไปแล้ว ตอนนี้ฮูหนิวกับศิลาน้อยกำลังไล่ตามอยู่” ชางเย่พูด
มุมปากของเยว่ไค่หยู่กระตุกและพึมพำ “ทำไมถึงมีแค่ข้าคนเดียวที่รู้สึกแปลกที่เห็นคนสองคนหายไปในอากาศที่ว่างเปล่า แถมตอนนี้ยังมีหนึ่งคนปรากฏตัวกลับมาอีก! หรือว่าจะเป็นตัวข้าเองที่แปลกประหลาด?”
“นายน้อยฮัน ธิดาจูเป็นอย่างไรบ้าง?” เยว่ไค่หยู่รีบถาม
“ยังไม่ตาย” หลิงฮันพยักหน้า
ในขณะที่พวกเขาพูดจิตวิญญาณศิลาก็กลับมาพร้อมกับฮูหนิวที่นั่งอยู่บนไหล่มัน
“มันหนีไปได้ หนิวทำได้แค่กัดแขนข้างหนึ่งของมันขาด!” ฮูหนิวโยนแขนที่ขาดข้างหนึ่งลงมา
หลิวอู๋ตงและคนอื่นๆตกตะลึง สามารถกัดแขนข้างหนึ่งของหยานเทียนจ้าวที่เป็นตัวตนระดับบุปผาผลิบานจนขาด พลังต่อสู้ของฮูหนิวช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
สีหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นเย็นชา หยานเทียนจ้าวครอบครองความทรงจำของพระเจ้า ก่อนหน้านี้ตอนที่เคยสู้กัน แม้ร่างของมันจะถูกตัดขาดมันก็ยังฟื้นฟูสภาพกลับมาเป็นปกติได้ สำหรับมันแล้ว การงอกแขนหนึ่งข้างกลับมาใหม่คงไม่ใช่เรื่องยาก
หลิงฮันตัดสินใจว่าครั้งหน้าที่พบเจอหยานเทียนจ้าว ถ้าเขายังไม่บรรลุระดับบุปผาผลิบาน เขาก็จะใช้พรศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬเพื่อสังหารหยานเทียนจ้าว!
ยังไงซะหลิงฮันก็เป็นคนหลอมเม็ดยาที่ทำให้หยานเทียนจ้าวฟื้นขึ้นมาจากการหลับใหล ดังนั้นคนที่จะจบชีวิตมันก็ต้องเป้นเขาเช่นกัน
“นายน้อยฮัน! นายน้อยฮัน!” เยว่ไค่หยู่วิ่งเข้ามา “เมื่อกี้นายน้อยหายไปไหนกัน? แล้วตอนนี้ธิดาจูล่ะอยู่ที่ไหน? ทำไมถึงมีแค่ข้าคนเดียวที่รู้สึกว่ามันน่าสงสัย?”
หลิงฮันกระพริบตาและพูด “เมื่อครู่เจ้าแค่ตาลาย!”
‘ตาลายตูดข้าสิ! เห็นได้ชัดว่าธิดาจูไม่อยู่ที่นี่ ทำไมเจ้าถึงไม่อธิบายหข้าฟังเสียที!’
หลิงฮันไม่อธิบายให้ฟังแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเยว่ไค่หยู่ก็ทำได้เพียงขยับปากพึมพำ
“ยังไงก็ไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” หลิงฮันพูด
ทั้งห้าคนเดินหน้าต่อ ด้วยการลอบโจมตีของหยานเทียนจ้าวก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง แต่การเดินทางกลับราบรื่นผิดปกติ พวกเขาไม่พบเจอสัตว์อสูรโจมตีแม้แต่ตัวเดียวและเดินออกจากป่าอย่างราบรื่น
ดูเหมือนว่าอีแร้งเพลิงสีครามจะอาละวาดอย่างเกรี้ยวกราดจนสัตว์อสูรที่อยู่ในถ้ำของตนเองไม่กล้าออกมา
พอออกจากป่ามาก็พบกับพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ ในระยะที่ไกลออกไปมีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่
นั่นควรจะเป็นสถานที่ทดสอบครั้งที่สอง
ทั้งห้าคนเดินไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็มาถึงด้านหน้าสิ่งก่อสร้าง เนื่องจากพวกเขามาถึงเร็ว จำนวนคนที่อยู่ที่นี่จึงมีเพียงสิบคนเท่านั้น
รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวและพูดอย่างเฉยชา “อีกหนึ่งวันข้างหน้า การทดสอบจะเริ่มขึ้น” จากนั้นมันก็มองมายังหลิงฮัน “เจ้านี่ช่างชอบสร้างปัญหาจริงๆ!”
หลิงฮันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าไปสร้างปัญหาอะไรกัน?”
“ทั่วทั้งป่ากำลังตกอยู่ในความโกลาหล ไม่ใช่เจ้าหรอกรึที่เป็นคนสร้างปัญหา?” รูปแบบอาคมวิญญาณเค้นเสียง
หลิงฮันยักไหล่และพูด “ไม่มีกฎว่าห้ามทำแบบนั้นสินะ?”
“แต่นั่นก็สร้างปัญหาให้ข้า!” รูปแบบอาคมวิญญาณพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาที่เจ้าก่อขึ้น คนที่จะผ่านป่ามายังสถานที่ทดสอบที่สองได้ก็จะลดลงอย่างน้อยแค่ครึ่งนึง”
คนไม่กี่คนที่มาถึงก่อนรู้สึกประหลาดใจ หลิงฮันไปก่ออะไรไว้กันแน่?
วันต่อมา ผู้คนก็เริ่มมาถึงสถานที่ทดสอบที่สองเพิ่มขึ้น และอย่างที่คาด จอมยุทธที่มาถึงมีเกินกว่าเจ็ดสิบคน หรือก็คือจากจำนวนคนของบททดสอบที่หนึ่ง มีเกินกว่าครึ่งที่มาถึง
หลิงฮันตั้งเต็นท์และใช้โอกาสนี้เข้าไปในหอคอยทมิฬ เพราะว่าตอนนี้จูเสวียนเอ๋อตื่นแล้ว
บาดแผลบนร่างของนางฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ แต่สัมผัสสวรรค์ของนางยังได้รับความเสียหายอย่างหนัก การจะทำให้กลับมาเป็นปกติไม่ใช่ใช้เพียงแค่วันหรือสองวัน แต่ต้องใช้เวลาเป็นเดือน แต่ถ้าหากนางก้าวผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ ความเข้าใจในวิถีวรยุทธของนางจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
จูเสวียนเอ๋อถาม “นายน้อยฮัน ที่นี่คือที่ไหน?”
ยิ่งกว่านั้นนางยังพบว่าหลีซื่อฉางอยู่ที่นี่ด้วย!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น