Alchemy Emperor of the Divine Dao จักรพรรดิปรุงยาแห่งวิถีสวรรค์ 484-494

 484

อสูรศิลาเป็นจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นจากสรรค์และโลก และมันไม่ได้อ่อนแอกว่าสัตว์อสูรระดับราชาในระดับเดียวกัน บางทีมันอาจแข็งแกร่งเลยด้วยซ้ำทั้งยังมีพลังโจมตีและพลังฟื้นฟูที่น่าหวาดกลัว


แม้ว่ามันจะเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับบุปผาผลิบาน พลังต่อสู้ของมันอย่างน้อยก็มีห้าดาว ในทางตรงกันข้าม เหมี่ยวฉีซือนั้นเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นสาม แต่พลังต่อสู้ของมันกลับมีเพียงแค่สี่ดาว…แต่ก็ไม่อาจดูแคลนมันได้ จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานที่มีพลังต่อสู้มากกว่าหนึ่งดาวนั้นก็น่าประทับใจมากแล้วและสามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ!


แต่น่าเศร้า ทำไมมันต้องมาเจอกับอสูรศิลาด้วย?


การโจมตีของมันกระทบกับร่างของอสูรศิลา แต่กลับมีเพียงก้อนหินไม่กี่ก้อนเท่านั้นที่แตกออกมา และในไม่ช้าก้อนหินที่แตกออกมาเหล่านั้นก็ลอยกลับมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นมันที่โดนหมัดจากอสูรศิลาแทนล่ะ?


หึหึ มันจะต้องกระอักเลือดออกมาไม่หยุดอย่างแน่นอน!


เมื่อต่อสู้กับอสูรศิลา เหมี่ยวฉีซือจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างน่าเศร้า


กู่หยวนเหลียงและเกิ่งจิงเฉิ้งรู้สึกตกตะลึง พลังฟื้นฟูของเจ้าอสูรศิลานี่มันน่าหวาดกลัวเกินไป และถึงแม้พวกมันจะใช้ม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ พวกมันจะสร้างความเสียหายหนักให้กับเจ้าหุ่นเชิดนี่ได้หรือไม่?


ประเด็นคือม้วนคำสั่งมันคุ้มค่าที่จะแลกกับหยดวิญญาณนี้หรือไม่?


เหมี่ยวฉีซือเองก็รู้สึกลังเล แต่ยิ่งลังเลมากขึ้นมันก็จะทำให้มันเสียเปรียบมากยิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน มันถูกอสูรศิลาต่อย และถึงแม้ว่ามันจะยกแขนขึ้นมากันใบหน้า แต่พลังอันหนักหน่วงของอสูรศิลาก็ยังคงทำให้มันกระเด็นปลิวออกไป


ปัง มันกระแทกเข้ากับวัตถุหกเหลี่ยมที่อยู่ตรงกลางวิหารศักดิ์สิทธิ์ ทำให้วัตถุนั่นสั่นอย่างรุนแรง


เหมี่ยวฉีซือหันหน้าไปดู แต่แล้วมันก็เผยสีหน้าตกใจออกมาทันที และใบหน้าของมันถึงขั้นบิดเบี้ยว ใบหน้าแดงก่ำของมันกลายเป็นซีดขาวอย่างรวดเร็ว


มันรู้สึกตกใจมาก และขณะที่มันขยับแขนขวา ม้วนคำสั่งก็ปรากฏออกมา และใช้ออกไปอย่างไม่ลังเล


ม้วนคำสั่งระเบิดพลังของมันออกมาอยู่ในรูปของฝ่ามืออันร้อนแรงและพุ่งเข้าหาวัตถุหกเหลี่ยม พลังที่เอ่อล้นออกมาเห็นได้ชัดว่านี่เป็นการโจมตีของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ


กู่หยวนเหลียงและเกิ่งจิงเฉิ้งทั้งรู้สึกตกใจและสับสน ถ้าเหมี่ยวฉีซือใช้ม้วนคำสั่ง มันควรจะใช้กับอสูรศิลามิใช่หรือ? แต่มันกลับใช้ม้วนคำสั่งกับวัตถุหกเหลี่ยมที่อยู่ด้านหลังมัน…? หรือว่ามันมึนงงหลังจากถูกตบตี?


เหมี่ยวฉีซืออยู่ใกล้มาก ดังนั้นการโจมตีนี่จึงส่งผลกระทบกับมันด้วย ไม่ว่าจะดูยังไงมันเป็นการกระทำที่ฆ่าตัวตายอย่างเห็นได้ชัด!


ปัง!


เปลวเพลิงหมุนวนอยู่ในอากาศและพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็พุ่งออกไป ปัง ปัง ปัง ปัง เสาหินแตกหักทีละต้น หลิงฮันไม่รีรอที่จะเรียกทองคำก่อเกิดผลาญโลหิตออกมา และกวาดเสาหินที่แตกหักทุกต้นเก็บเข้าไปในหอคอยทมิฬ


อสูรศิลาฉีกยิ้มออกมาทันที มันรู้ดีว่าหลิงฮันไม่ได้เก็บเสาหินเพื่อนำมากิน


เมื่อเปลวเพลิงหายไป สิ่งที่หลงเหลืออยู่ของเหมี่ยวฉีซือคือซากศพที่ถูกเผาไหม้ เมื่ออยู่ใกล้การโจมตีของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณมากขนาดนั้น แม้จะเป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานขั้นเก้าก็ไม่มีทางรอด


เว้นแต่ว่าคนคนนั้นจะแปลกประหลาดเหมือนกับหลิงฮันที่ครอบครองกายาเหล็กไหลและเกราะอัสนี


วัตถุหกเหลี่ยมเปลี่ยนไป!


ตอนแรกมันมีสีดำเหมือนกับทองดำ แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นอำพัน เมื่อหลิงฮันและคนอื่นเห็นสิ่งที่อยู่ภายในอำพัน พวกเขาทุกคนเผยสีหน้าตกใจออกมาทันที


ภายใน “อำพัน” บางอย่างที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ถูกโซ่เหล็กสิบแปดเส้นตรึงไว้อยู่กับพื้นดิน แต่สิ่งที่แปลกคือไม่มีใครสังเกตเห็นก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังมีแมลงดูดโลหิตอยู่ด้วย ซึ่งปากของมันกำลังทิ่มแทงไปที่หัวใจของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ราวกับว่ามันกำลังดูดเลือดของมันอยู่


สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์มีขนสีแดง ร่างกายของมันผอมแห้งมากเห็นได้ชัดว่ามันถูกดูดเลือดแทบจะเหือดแห้ง ส่วนร่างของแมลงดูดโลหิตนั้นมันมีขนาดหนึ่งเมตรและมีปีกสีทอง


แปลกยิ่งนัก!


อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นเรื่องประหลาดที่เหมี่ยวฉีซือใช้ม้วนคำสั่งกับ “อำพัน” โดยที่ไม่คิดแม้แต่ชีวิตของตัวมันเอง… นอกจากนี้ “อำพัน” นี่มันถูกสร้างขึ้นมาจากอะไรกัน แม้จะได้รับการโจมตีจากม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณแต่มันก็ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย?


หลิงฮันจ้องมองไปที่แมลงดูดโลหิตและอดที่จะเผยสีหน้าตกใจออกมาไม่ได้ ระดับของแมลงดูดโลหิตนี่มันเหนือกว่าพวกเขามาก เพียงแค่แมลงดูดโลหิตที่มีขนาดเท่ากำปั้นก็อยู่ระดับบุปผาผลิบานแล้ว และตอนนี้มันมีความยาวถึงหนึ่งเมตร ดังนั้นมันจะอยู่ระดับไหนกัน?


ระดับสวรรค์? ระดับทลายมิติ? หรืออาจเป็นระดับพระเจ้า?


ถ้าดินแดนลี้ลับนี่ถูกแยกออกมาจากดินแดนพระเจ้า เช่นนั้นมันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นตัวตนระดับพระเจ้า และก่อนหน้านี้ทำไมเหมี่ยวฉีซือถึงฆ่าตัวตาย?


มันมีสัตว์อสูรขนาดใหญ่สองตัวอยู่ที่นี่ นั่นคือแมลงดูดโลหิตและสัตว์อสูรขนแดง ตอนนี้สัตว์อสูณทั้งสองตัวนั้นปรากฏตัวอยู่ในส่วนลึกที่สุดของวิหารศักดิ์สิทธิ์ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เข้ากันเหมือนกับน้ำและไฟ…มันคืออะไรกันแน่?


ในขณะที่ทุกคนกำลังมึนงง ราชาแมลงดูดโลหิตก็ลืมตาของมันขึ้นและร่างกายของมันเริ่มขยับ!


มันไม่ใช่เป็นเพราะว่าปีกของมันขยับ แต่ “อำพัน” นั่นกำลังลอยขึ้นและดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถหลุดพ้นจากโซ่ตรวนได้ เมื่อมันลอยขึ้นมา อสูรขนแดงโดดลงมาจาก “อำพัน” และตกลงบนพื้นพร้อมกับเสียงของโซ่ตรวนทั้งสิบแปดเส้นที่เปล่งเสียงแหลมออกมา


ฉากนี้มันดูแปลกมากไม่ว่าจะมองไปที่ไหนก็ตาม


หลิงฮันจ้องมองไปที่โซ่ตรวนสิบแปดเส้น ซึงมันดูธรรมดา แต่เมื่อมองดูอย่างใกล้ชิด มันกลับเต็มไปด้วยอักขระที่ส่องแสงออกมาเล็กน้อยราวกับว่าพวกมันเป็นโซ่ศักดิ์สิทธิ์


“นายน้อยฮัน!” เย่วไค่หยู่และกว่างหยวนตะโกน ราชาแมลงบินโซเซไปมา ความเร็วของมันนั้นน่าขบขันมาก


กู่หยวนเหลียงสะบัดผ่ามือและโจมตี ปัง มันปะทะเข้ากับอำพัน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและทำให้ราชาแมลงหันเหความสนใจมาที่มัน ปากที่แหลมยาวของมันชี้ไปที่กู่หยวนเหลียง และขณะที่มันดูด กู่หยวนเหลียงนั่นไม่มีพลังที่จะต่อต้านแม้แต่น้อยและถูกดูดไปทางอำพัน


กู่หยวนเหลียงรู้สึกตกใจมาก มันต้องการที่จะบินหนี แต่ทว่ามันกลับไม่สามารถหลุดพ้นจากแรงดูดที่น่าหวาดกลัวนี่ได้ และมันก็กระแทกเข้ากับอำพันแล้วปากที่แหลมคมก็แทงไปที่หัวใจของมันทันที


ทันใดนั้น ร่างกายของมันราวกับถุงน้ำที่รั่วไหล และในพริบตาใบหน้าของมันก็ซีดขาวจนน่าหวาดกลัวราวกับว่าทั้งร่างกายของมันถูกดูดออกไปจนไม่มีอะไรเหลือ


จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานกำลังจะถูกดูดเลือดหมดตัวจนตาย!


อย่างไรก็ตาม จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานยังคงเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งอยู่ดี กู่หยวนเหลียงนำม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณออกมาจากแหวนมิติ และทำเช่นเดียวกับเหมี่ยวฉีซือ มันใช้ม้วนคำสั่งกับราชาแมลงที่อยู่ด้านหลังของมัน


ปัง ครั้งนี้อำนาจพลังที่หนาวเย็นพัดผ่านไปทั่ว ทำให้ด้านในของวิหารศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง และอำพันก็ถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์ ส่วนกู่หยวนเหลียงนั้นไม่สามารถหลบหนีออกมาได้ ร่างกายของมันจึงถูกแช่แข็งและใบหน้าของมันดูเหมือนจะเผยสีหน้าที่โล่งใจออกมา


หรือว่าก่อนหน้านี้เหมี่ยวฉีซือเองก็พยายามที่จะลากราชาแมลงไปกับมันด้วยเพราะเลือดของมันกำลังจะถูกดูดจนเหือดแห้ง? อย่างไรก็ตาม ปากของราชาแมลงเห็นได้ชัดว่ากำลังแทงอยู่ในร่างกายของสัตว์อสูรขนแดง แล้วมันดูดเลือดของเขาจนเหือดแห้งได้อย่างไร?


แคร๊ก ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมอำพันเริ่มเกิดรอยแตกพร้อมกับซากศพของกู่หยวนเหลียง ราชาแมลงบินออกมาอย่างเชื่องช้าและหันเหความสนใจของมันกับคนที่เหลืออยู่


485

“ไป!”


ทั้งสี่คนที่เหลือไม่ลังเลอีกต่อไป ราชาแมลงตนนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถต่อกรได้! ขนาดตอนนี้มันถูกผนึกอยู่ในอำพัน ม้วนคำสั่งโจมตีของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณก็ยังไม่สามารถทำอะไรมันได้ ถ้าหากไม่มีอำพันคอยทำให้การเคลื่อนไหวของมันช้าลงล่ะก็ พวกเขาคงไม่อาจหนีพ้นความตายไปได้


วิหารศักดิ์สิทธิ์มีหน้าที่สำคัญที่การสังเวยบูชา หรือว่าตัวตนที่‘ผู้คนในยุคโบราณ’เคยเคารพบูชาก็คือราชาแมลงตัวนี้? แต่ถ้าราชาแมลงได้รับความเคารพขนาดนั้น ทำไมมันถึงถูกผนึกอยู่ในอำพัน?


อสูรขนแดงที่ถูกผนึกอยู่ในอำพันกับราชาแมลงคืออะไรกันแน่? เห็นได้ชัดว่าราชาแมลงได้ดูดเลือดของอสูรขนแดงที่อยู่ในอำพันมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว แต่เลือดของอสูรขนแดงตนนั้นก็ยังไม่เหือดแห้ง?


เมื่อคิดเช่นนี้ หลิงฮันก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้… บางทีอสูรขนแดงตนนั้นอาจจะยังไม่ตาย!


แปลกประหลาด… สถานที่แห่งนี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว!


เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทั้งสี่คนก็รีบเผ่นไปยังทางออกของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ราชาแมลงไล่ตามพวกเขามาอย่างไม่รีบร้อนเพราะมันไม่อาจเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว


หลังจากก้าวออกมาจากวิหารศักดิ์สิทธิ์ เกิ่งจิงเฉิ้งก็บินขึ้นฟ้าเพื่อรีบเผ่นหนีทันที ณ เวลานี้มันลืมเรื่องการแย่งชิงหยดวิญญาณจากพวกหลิงฮันไปสนิท สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของตัวมันเอง!


หลิงฮันและพรรคพวกกระโดดขึ้นหลังจิตวิญญาณศิลาและบินออกห่างจากยอดเขา จิตวิญญาณศิลานั้นหันหลังกลับไปมองวิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยความรู้สึกเสียดายเสาหินที่อยู่ภายในวิหาร สำหรับมันแล้ว เสาหินเหล่านั้นคือยาบำรุงชั้นเลิศ


ราชาแมลงยังคงไล่ตามพวกเขามา แต่ความเร็วของมันเชื่องช้าเป็นอย่างมาก มันเริ่มถูกพวกหลิงฮันทิ้งห่างไกลออกไปเรื่อยๆจนเห็นเป็นเพียงจุดเล็กๆสีดำ


‘ฟุบ ฟุบ’ เกิ่งจิงเฉิ้งและอสูรศิลาบินไปยังประตูทางเข้าชั้นสาม ในตอนนี้ยังมีผู้คนจำนวนนึงกำลังเฝ้ารออยู่ เมื่อเห็นพวกหลิงฮันกลับมา ผู้คนเหล่านั้นก็แสดงสีหน้าสงสัยออก พวกมันอยากจะรู้ว่าภายในวิหารมีอะไรซ่อนอยู่


แต่คนที่หัวไวก็รู้สึกตัวทันทีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานที่บินไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคน มีเพียงเกิ่งจิงเฉิ้งคนเดียวเท่านั้นที่กลับมา… หรือว่า!?


“อาวุโสเกิ่ง!” ใครบางอุทานออกมา


‘เพี๊ยะ’ ร่างของเกิ่งจิงเฉิ้งกระแทกเขากับชายคนนั้นและใช้ฝ่ามือตบอีกฝ่ายจนปลิวกระเด็น ส่วนตัวมันรีบพุ่งเข้าประตูกลับไปยังชั้นสองอย่างรวดเร็ว


หลิงฮันหัวเราะและพูด “ถ้าพวกเจ้าไม่อยากตายก็รีบกลับออกไปซะ ไม่ต้องถามเหตุผลว่าเพราะอะไร ข้าไม่มีเวลามาอธิบายให้พวกเจ้าฟัง!” เมื่อพูดจบ เขา เยว่ไค่หยู่ และกว่างหยวนก็เข้าประตูกลับไปยังชั้นสองเช่นกัน


ตรงบันไดหน้าประตูที่ชั้นสองยังคงมีอสูรขนแดงเจ็ดตัวยืนเฝ้าอยู่ แต่ในเมื่อเกิ่งจิงเฉิ้งเป็นคนแรกที่ปรากฏตัว อสูรขนแดงทั้งเจ็ดจึงไล่ตามมันไป แต่เมื่อพวกมันเห็นว่าหลิงฮันและพรรคสามคนปรากฏตัวตามมา อสูรขนแดงก็แยกกลุ่มออกเป็นสองกลุ่ม สี่ตัวไล่ตามเกิ่งจิงเฉิ้งต่อไปในขณะที่อีกสามตัวคำรามและพุ่งเข้าใส่พวกหลิงฮัน


“พวกเจ้าจะคำรามไปเพื่ออะไร!” หลิงฮันกระโดดไปข้างหน้าพร้อมกับประกายแสงแห่งดาบที่ถูกปลดปล่อยออกมา ‘ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ’ อสูรขนแดงทั้งสามตัวถูกหั่นกลายเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ “ไป!” หลิงฮันไม่หยุดชะงักและรีบเผ่นต่อ


ราชาแมลงที่ไล่ตามพวกเขามานั้นทรงพลังเกินไป ถ้าพวกมันไล่ตามพวกเขาทัน ชีวิตของพวกเขาจะต้องจบสิ้นแน่


ด้านหลังของพวกหลิงฮัน จอมยุทธคนอื่นๆเริ่มวิ่งตามออกมา ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องวิ่งหนี แต่ขนาดจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานยังต้องหนี สิ่งที่ไล่ตามมาจะต้องน่าสะพรึงกลัวมากแน่นอน


ทันใดนั้นเมฆสีดำก็ลอยผ่านมาจนทุกคนต้องอ้าปากตกตะลึง… มันคือกองทัพแมลงดูดโลหิต!


แต่เมื่อทุกคนเตรียมพร้อมที่จะสู้ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น กองทัพแมลงเหล่านั้นเมินเฉยพวกเขาอย่างสิ้นเชิง พวกมันบินขึ้นบันไดและเข้าประตูไปยังชั้นสาม


ทุกคนถอนหายใจโล่งอกทันที มีเพียงหลิงฮันที่สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นบิดเบี้ยว เขารีบตะโกนออกคำสั่ง “รีบขึ้นมาบนศิลาน้อยซะ!”


กองทัพแมลงขึ้นไปยังชั้นสาม… มีความเป็นไปได้สูงมากที่นั่นจะเป็นคำสั่งของราชาแมลง ถึงแม้ตัวของราชาแมลงจะเคลื่อนที่ได้เชื่องช้า แต่ถ้ามันให้กองทัพแมลงเหล่านั้นแบกมันเอาไว้ล่ะ?


เยว่ไค่หยู่และกว่างหยวนเองก็คิดเช่นนั้น สีหน้าของพวกเขากลายเป็นซีดเผือดและรีบกระโดดขึ้นไปบนหลังจิตวิญญาณศิลาทันที แต่ศิลาน้อยไม่ได้บินขึ้นฟ้าเพื่อเผ่นหนี ‘ฟุบ’ มันควบแน่นพลังไปยังบริเวณส่วนขาและก้าวกระโดดไปข้างหน้าไกลหลายร้อยเมตร


การบินไม่ใช่วิธีที่เร็วที่สุด มันได้เปรียบเฉพาะในตอนที่ใช้ข้ามผ่านภูมิประเทศระยะไกลเท่านั้น แต่หากเป็นพื้นดินที่ราบเรียบ แรงทีบส่งที่เกิดจากการกระโดดของจิตวิญญาณศิลานั้นรวดเร็วกว่า


จอมยุทธคนๆอื่นล้วนแต่สับสนว่าทำไมพวกหลิงฮันถึงต้องหวาดกลัวขนาดนั้น


บางคนที่ฉลาดย่อมรู้ว่าแม้แต่จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานสองคนยังต้องหายสาบสูญอยู่ภายในวิหาร ดังนั้นภายในชั้นสามต้องมีสัตว์ประหลาดที่น่าพรึงกลัวอยู่แน่นอน พวกเขาไม่ลังเลอีกต่อไปและรีบนำยันต์อาคมออกมาแปะติดตามร่างกาย ภายในพริบตาความเร็วของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นและรีบมุ่งหน้าไปยังทางเข้าชั้นหนึ่ง


แต่บางคนกลับไม่ต้องการใช้สมบัติที่ล้ำค่าขนาดนั้นอย่างสิ้นเปลือง พวกเขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วปกติของตนเอง


‘ฟุบ!’


กองทัพแมลงกลับออกมาจากประตูทางเข้าชั้นสาม แมลงดูดโลหิตนับไม่ถ้วนบินวนล้อมรอบผนึกอัมพันชิ้นหนึ่ง แมลงเหล่านั้นกำลังแบกอำพันบินไล่ตามเหล่าจอมยุทธ


ผู้คนที่หลบหนีล่าช้าได้ถูกกองทัพแมลงโอบล้อม ราชาแมลงลงมือโจมตี และร่างของผู้คนเหล่านั้นก็ค่อยๆเริ่มแห้งเหือดไปทีละคน กองทัพแมลงไม่หยุดแค่นั้น มันบินไล่ตามเหล่าคนที่หลบหนีอยู่ข้างหน้า


จิตวิญญาณศิลากระโดดเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานมันก็ไล่ตามเกิ่งจิงเฉิ้งทัน


เกิ่งจิงเฉิ้งวางแผนจะโจมตีพวกหลิงฮันเพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อซื้อเวลา แต่เมื่อนึกถึงอำนาจที่ทรงพลังของจิตวิญญาณศิลา มันก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปและเก็บพลังไว้ใช้สำหรับวิ่งหนี


ตอนนี้ประตูทางเข้าชั้นหนึ่งได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาแล้ว


‘ฟุบฟุบ’ พวกเขาเข้าประตูไปที่ละคนและรีบวิ่งแยกย้ายกันไปที่ทางเข้าวิหาร


“ไม่ดีแล้ว แม่นางหลีอยู่ที่ใด?” จู่ๆเยว่ไค่หยู่ก็นึกออกว่าหลีซื่อฉางออกมารอพวกเขาที่ชั้นหนึ่งไม่ใช่รึไง?


“ไม่ต้องกังวล นางกลับออกไปแล้ว” หลิงฮันพูดโดยไม่คิด


เยว่ไค่หยู่เกิดความรู้สึกสงสัย แต่ถ้าหลิงฮันพูดแบบนั้นเขาก็ทำได้เพียงยอมเชื่อ


ผ่านไปสักพักจอมยุทธคนอื่นก็พุ่งออกมาจากประตูทางเข้าพร้อมกับกองทัพแมลงดูดโลหิตที่ตามออกมา ตรงด้านหลังของกองทัพแมลง แมลงจ่าฝูงขนาดเท่ากำปั้นนับร้อยตัวกำลังทำหน้าที่คอยแบกอำพันที่ผนึกร่างของราชาแมลงเอาไว้


‘พรึบ’ กองทัพแมลงกระจายตัวบินไปยังทางออกทั้งสามทาง


ทางด้านหลิงฮันนั้นอสูรศิลาได้พาพวกเขาออกมาจากวิหารก้นทะเลสาปแล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีเวลามามัวว่ายน้ำ ดังนั้นจิตวิญญาณศิลาจึงเหาะเหินบินขึ้นฟ้าและพาพวกเขาไปยังชายฝั่งทะเลสาป


ณ ตอนนี้มีจอมยุทธบางคนที่เพิ่งเดินทางมาถึงทะเลสาปแห่งนี้และจ้องมองไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ใต้ทะเลสาปด้วยท่าทีตกตะลึง


“หนีไป ใต้ล่างนี้มีอสูรที่ทรงพลัง ถ้าพวกเจ้าไม่รีบหนีเสียแต่ตอนนี้ ชีวิตของพวกเจ้าจะจบสิ้น!” หลิงฮันตะโกนออกไป


“นั่นมันปรมาจารย์หลิง!” ใครบางคนจำหลิงฮันได้


เมื่อเห็นหลิงฮันที่กำลังรีบเผ่นหนีด้วยความรีบร้อน บางคนก็เลือกที่จะเชื่อแต่บางคนกลับไม่เชื่อ และไม่ใช่เพียงแค่พวกเขาไม่หลบหนีเท่านั้น พวกเขายังลงไปสำรวจเบื้องล่างอีกด้วย ทันใดนั้นแมลงดูดโลหิตนับไม่ถ้วนก็บินออกมาและเมื่อราชาแมลงปรากฏตัว โศกนาฏกรรมหมู่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็เกิดขึ้น


486

ด้านในวิหารศักดิ์สิทธิชั้นสาม ภายในวิหารทองคำที่มีขนาดเล็กกว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์สิบเท่า


โซ่เหล็กทั้งสิบแปดเส้นที่ตรวนร่วงของอสูรขนแดงเอาไว้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ราวกับอสูรขนแดงได้ตายไปแล้ว แต่หลังจากผ่านพ้นกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด หยดสีแดงขนาดเล็กก็หลั่งไหลออกมาจากร่างของมัน


มันคือหยดโลหิต


ก่อนหน้านี้ปากของราชาแมลงดูดโลหิตได้ทิ่มแทงบริเวณหัวใจของอสูรขนแดงตนนี้อยู่ และเมื่อมีหยดโลหิตสีแดงไหลออกมา ราชาแปลงก็จะดูดหยดโลหิตนั่นเข้าไป แต่ตอนนี้ราชาแมลงไม่อยู่แล้ว หยดโลหิตสีแดงจึงหลั่งไหลออกมาจากบริเวณหัวใจของมัน


ทันใดนั้นสิ่งที่น่าตกตะลึงก็บังเกิดขึ้น เมื่อโลหิตเริ่มหลั่งไหล พลังอำนาจของอสูรขนแดงก็เริ่มฟื้นคืนมา ขนสีแดงตามร่างของมันค่อยๆหดหายไปจนมองเห็นผิวหนังเหี่ยวแห้งที่ติดหุ้มกระดูกเอาไว้


ที่แท้อสูรขนแดงก็เป็นผู้หญิง แต่สภาพของนางในตอนนี้นั้นราวกับซากศพ บนหัวของนางไม่มีผมแม้แต่เส้นเดียว รูปร่างของนางสามารถบรรยายได้เพียงอย่างเดียวคือ ‘น่ากลัว’


แต่หลังจากนั้นเมื่อโลหิตหยดที่สองเริ่มก่อตัวและโคจรไปทั่วร่างของนาง พลังของนางก็กลายเป็นแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับผิวหนังนางที่เริ่มมีน้ำมีนวล ในขณะที่หน้าอกและบั้นท้ายของนางนูนขึ้น ผมยาวสีแดงของนางก็เริ่มงอกยาวจนถึงบั้นท้ายและปิดบังส่วนลับเอาไว้


นางเป็นสาวงามที่มีริมฝีปากแดงราวกับเปลวเพลิง ใบหน้าที่งดงามราวกับภาพวาด หลังของนางมีปีกสีดำรูปร่างเหมือนกับปีกค้างคาวยาวสามเมตรงอกออกมา


‘ตึง ตึง ตึง ตึง’ โซ่เหล็กสั่นไหว นางปรบมือและเอ่ยออกมา “ถูกขังมาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ช่างน่าเบื่อจริงๆ!”


“หากไม่มีแมลงกลืนกินโลหิตคอยกำราบอำนาจของข้า โซ่ผนึกปีศาจเหล่านี้ก็ไม่สามารถกังขังนายหญิงผู้นี้ได้อีกต่อไป!”


นางหัวเราะและพูดกับตนเอง “ตระกูลเฟิงยี่กำราบนายหญิงผู้นี้ได้ แต่กลัวว่าการลงมือสังหารนายหญิงผู้นี้ทำทำให้ตระกูลที่ทรงอำนาจพิโรธ ดังนั้นพวกมันจึงกังขังนายหญิงผู้นี้เอาไว้และใช้แมลงกลืนกินโลหิตคอยดูดกลืนแก่นแท้โลหิตของข้า ทำให้ข้าไม่สามารถหลบหนีออกไปได้”


“แปลกนัก ทำไมนายหญิงผู้นี้ถึงรู้สึกว่าที่มิใช่ดินแดนโบราณของตระกูลเฟิงยี่ แต่เป็นพื้นที่มิติที่แปลกประหลาดแทน?”


“ช่างมันเถอะ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการหลบหนีและตามหามนุษย์หนุ่มผู้นั้น! นายหญิงผู้นี้สัมผัสได้ถึงสุดยอดมหาสมบัติบนตัวของเขา!”


***


พวกหลิงฮันยังคงวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง หลังจากหลบหนีออกไปได้ไกลหลายร้อยเมตรพวกเขาถึงถอนหายใจโล่งอก


ทั้งสามคนตัดสินใจหยุดพัก พลังวิญญาณในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้หนาแน่นเป็นอย่างมาก หากพวกเขาไม่บ่มเพาะพลังทุกวันจะนับว่าเป็นการสูญเสียโอกาสครั้งใหญ่ อสูรศิลาขอเสาหินจากหลิงฮันและเริ่มแทะกินอย่างมีความสุข


หลังจากไม่กี่ชั่วโมงผ่านไป ทั้งสามคนก็บ่มเพาะพลังเสร็จสิ้น ช่วงพลังของพวกเขาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย


“ผลประโยชน์ในครั้งนี้ช่างสุดยอดยิ่งนัก!” เยว่ไค่หยู่นำขวดหยกที่บรรจุหยดวิญญาณออกมา พวกเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่พวกเขารู้ว่ามันต้องเป็นสมบัติชั้นยอดแน่ๆ ส่วนวิธีการใช้นั้น พวกเขาทำได้เพียงจ้องมองมันอย่างไร้หนทาง


หยดวิญญาณเป็นสมบัติล้ำค่า แค่มันไม่สามารถใช้กินแบบสุ่มสี่สุ่มห้า หากประสิทธิภาพของมันมีมากกว่าระดับพลังของผู้กินมากเกินไป ร่างของผู้ที่กินมันเข้าไปอาจจะระเบิดตายได้


หลิงฮันหยิบขวดหยกมาและพูด “ขอข้าศึกษาวิธีการใช้มันซักพัก ก่อนอื่นพวกเรามากินอาหารกันเถอะ!” เขานำหัวสิงโตและร่างจระเข้ที่เป็นศพของอสูรยักษ์ออกมา จากนั้นจึงก่อไฟเพื่อทำอาหาร


นี่คือราชาสัตว์อสูรระดับบุปผาผลิบาน ถ้าพวกเขากินทุกส่วนของมันพร้อมกัน ร่างของพวกเขาทั้งสามคนจะต้องระเบิดตายเพราะไม่อาจดูดซับพลังงานได้หมดแน่นอน ดังนั้นหลิงฮันจึงตัดส่วนขาของมันมาใช้ทำอาหาร


เยว่ไค่หยู่และกว่างหยวนทำหน้าที่ตั้งเต็นท์ที่พัก หลังจากนั้นหลิงฮันก็นำหลีซื่อฉางออกมาจากหอคอยทมิฬซึ่งเยว่ไค่หยู่ตกตะลึงเป็นอย่างมาก หลิงฮันกับกว่างหยวนบอกไปว่าพวกเขาเห็นหลีซื่อฉางเดินอยู่แถวๆนี้ ทำให้หลีซื่อฉางสับสนอย่างบอกไม่พูด


เมื่อใดกันที่สัมผัสของมันอ่อนแอจนไม่สามารถรับรู้ว่ามีจอมยุทธระดับก่อเกิดธาตุเดินอยู่แถวๆนี้? แถวมันก็ยังบังเอิญเกินไป… พวกเขาหลบหนีมาโดยไม่ล่วงรู้ทิศทาง แต่กลับบังเอิญโชคดีมาพบกับหลีซื่อฉางงั้นรึ?


แต่หลังจากที่สุราเข้าปาก เยว่ไค่หยู่ก็หลงลืมทุกสิ่งทุกคนที่เคยสงสัย


ทั้งสี่คนเริ่มลงมือกินอาหาร หลีซื่อฉางนั้นเพียงแค่กัดคำเล็กๆทั่วทั้งร่างของนางก็ส่องประกายออกมาและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งขัดสมาธิทำการบ่มเพาะพลัง


แม้แต่เยว่ไค่หยู่กับกว่างหยวน เมื่อกินเข้าไปหนึ่งจานเล็กๆพวกเขาก็ต้องรีบบ่มเพาะพลังเพื่อดูดซับพลังงานเช่นกัน มีเพียงหลิงฮันเท่านั้นที่ยังคงกินอย่างต่อเนื่องราวกับถูกฮูหนิวเข้าสิง ซึ่งทำให้เยว่ไค่หยู่ตกใจจนลูกตาเกือบหลุดออกจากเบ้า


เยว่ไค่หยู่มั่นใจมากว่าถ้าเขากินเนื้อที่ล้ำค่าจำนวนมากขนาดนั้นเข้าไป ร่างของเขาจะต้องระเบิดแน่นอน


หลังจากกินอาหารอย่างตะกละตะกลาม ในไม่ช้าหม้อน้ำซุปก็หมดเกลี้ยง หลิงฮันเริ่มโคจรทักษะห้าธาตุสวรรค์เพื่อซึมซึมพลังงานที่ได้รับมา


‘ตูม’ แสงศักดิ์สิทธิ์ถูกปลดปล่อยออกมาจากทั่วร่างหลิงฮันพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย


แทรก/แก้ไข Anchor


คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ถูกกระตุ้นใช้งานและกำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนากายหยาบของเขาจากกายาเหล็กไหลเป็นกายาเพชร แต่พลังงานที่ต้องใช้ในขั้นตอนนี้นั้นมีจำนวนมากเกินไป เขาจึงไม่สามารถบรรลุกายาเพชรได้ในระยะเวลาสั้นๆ


หลิงฮันลุกขึ้นและเดินเข้าไปในเต็นท์ที่พัก เขาแกล้งทำเป็นนอนหลับและเข้าไปยังหอคอยทมิฬ ตอนนี้เขาต้องการเวลาเล็กน้อยเพื่อทำการศึกษาหยดวิญญาณ


487

ในตอนนั้น หยดวิญญาณที่มีอยู่เต็มแค่แอ่งหินเท่านั้น ซึ่งมันมีอยู่น้อยมาก หลังจากที่เก็บมันเข้าไปในขวดหยก มันเติมเต็มได้แค่ครึ่งขวดเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น เย่วไค่หยู่และกว่างหยวนแยกมันออกไปสองขวดทำให้มันยิ่งน้อยไปอีก


ตั้งแต่ที่พวกเขาไม่รู้ว่าหยดวิญญาณคืออะไร หลิงฮันจึงเข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อทดสอบด้วยตัวเขาเอง


…ภายในหอคอยทมิฬ เขาเป็นดั่งพระเจ้า แม้เขาจะกินยาพิษเขาไป เขาก็สามารถขจัดมันออกมาได้


เขาถามกับหอคอยทมิฬน้อยว่า “ถ้าอยู่ในนี้แล้วข้ากินยาพิษเข้าไป ข้าจะไม่ตายถูกต้องหรือไม่?”


หอคอยทมิฬน้อยสั่นเล็กน้อยและพูดว่า “ถ้าเจ้าอยากแส่หาความตายจะไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าได้”


คำพูดพวกนั้น…


หลิงฮันนำขวดหยกออกมาแล้วเขย่ามันและพูดว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร?”


“มันมีเศษเสี้ยวพลังงานแห่งสวรรค์และโลกที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ทีเดียว” หอคอยทมิฬน้อยพูดอย่างเรียบเฉย แต่หลิงฮันสามารถรู้สึกได้ถึงความเหยียดหยาม


มันคิดว่าหลังจากที่มันกลืนกินศิลาแห่งความสับสนวุ่นวายเข้าไปความภาคภูมิใจในตัวเองจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้


หลิงฮันหยุดแล้วถามว่า “ข้าสามารถกินมันตรงๆเลยได้หรือไม่?”


หอคอยทมิฬน้อยครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ไม่ เจ้ายังอ่อนแอเกินไป หากกินมันโดยตรงร่างกายของเจ้าจะต้องระเบิดตายอย่างแน่นอน แม้แต่พลังของหอคอยทมิฬก็ไม่อาจช่วยเจ้าได้ทันเวลา”


“มันทรงพลังขนาดนั้นเลย?”


“เจ้าจะลองก็ได้” หอคอยทมิฬพูดยั่วยุ


หลิงฮันกลอกตาของเขาและพูดว่า “ข้าเป็นเจ้านายของเจ้า มันเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้างั้นหรือที่ยั่วยุข้าแบบนั้น?”


“หากเจ้านายที่กินยาพิษเข้าไปแล้วตายนั้นถือว่าเป็นคนที่โง่เขลาอย่างแท้จริง เช่นนั้นมันคงจะถึงเวลาเปลี่ยนเจ้านายแล้ว” หอคอยทมิฬกล่าวอย่างไม่แยแส


“ข้าคงต้องขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังเสียแล้ว ข้าจะไม่ตาย และจะมีชีวิตอยู่อย่างยาวนาน” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม


เขาเขย่าขวดหยกและพูดว่า “ข้าสามารถกินมันหลังจากเจือจางด้วยน้ำได้หรือไม่?”


“ได้” หอคอยทมิฬพูด


“ข้าจะต้องเจือจางมันกี่ครั้ง?” หลิงฮันถามอีกครั้ง


“ประมาณหนึ่งหมื่นครั้ง” หอคอยทมิฬพูด


พรวด หลิงฮันสำลัก หนึ่งหมื่นครั้งเลยหรือ? ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงแค่หยดวิญญาณธรรมดา แต่ถ้าต้องเจือจางหนึ่งหมื่นครั้งเพื่อให้เขาสามารถกินมันได้ เช่นนั้นหยดวิญญาณนี่เปรียบได้เหมือนกับทะเลสาบขนาดเล็ก


ไม่เพียงแต่เขาจะได้กินมันเท่านั้น กระทั่งอาบมันก็สามารถทำได้


“ประเสริฐ!” หลิงฮันหัวเสียงดัง สมกับเป็นหยดวิญญาณของดินแดนพระเจ้า ประสิทธิภาพของมันช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก


เขากำลังจะเทหยดวิญญาณลงไปในบ่อน้ำ แต่ก็หยุดชะงักเล็กน้อยแล้วถามหอคอยทมิฬน้อยว่า “ภายในหอคอยทมิฬ มันคงไม่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นใช่หรือไม่?”


“ไม่” หอคอยทมิฬน้อย ‘ส่ายหัว’


หลิงฮันเทขวดหยกหยดวิญญาณลงไปทั้งขวดลงในบ่อน้ำ แล้วใช้มือตักขึ้นมาดื่ม ทันใดนั้น ปากของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมและเอ่อร้นไปด้วยพลังราวกับว่าเขากำลังจะกลายเป็นอมตะ


พลังงานของมันมากเกินไป


น่าเสียดายที่คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ไม่ได้ทำงานอัตโนมัติและต่อสู้กับทักษะห้าธาตุสวรรค์เพื่อรับพลังงานไป นั่นหมายความว่าคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ไม่ต้องการพลังงานประเภทนี้และเป็นไปไม่ได้ที่ร่างกายของหลิงฮันจะรับมันไหว


เรื่องนี้ทำให้หลิงฮันรู้สึกดีใจและผิดหวังพร้อมกัน


เห็นได้ชัดว่าพลังงานนี่มันเอ่อร้น แต่คุณภาพของมันนั้นไม่เท่ากับพลังงานของสัตว์อสูรระดับราชา


นี่หมายความว่าหยดวิญญาณสามารถสะสมได้แค่ระดับเดียวเท่านั้น


หลิงฮันไม่สนใจแม้แต่น้อย อย่างน้อยก่อนที่จะบรรลุระดับทลายมิติ กำแพงของระดับพลังก่อนหน้านี้ทั้งหมดไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเขา เขาเพียงแค่ต้องสะสมพลังให้มากพอก็ทะลวงผ่านระดับได้แล้ว


หลิงฮันใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงจนในที่สุดเขาก็สกัดหยดวิญญาณเสร็จ จากนั้นเขานำขวดหยกหลายขวดออกมาและกรอกหยดวิญญาณที่เจือจางแล้วเข้าไปในขวด


“พลังงานของหยดวิญญาณเพียวๆนั้นรุนแรงเกินไป ใครดื่มมันเข้าไปคนผู้นั้นจะต้องตาย ส่วนนี่คือหยดวิญญาณที่เจือจางแล้ว พวกเจ้าสามารถดื่มมันได้ พี่ชายเย่ว พี่ใหญ่กว่างสามารถจิบพวกมันทีละนิดได้ตลอดเวลา สำหรับซือฉาง เจ้าดื่มมันได้อย่างมากสิบหยด แล้วค่อยปรับตามสภาพของเจ้า”


พวกเขาทั้งสามคนพยักหน้าและรับขวดหยกทีละคน


จากนั้นหลิงฮันก็เข้าไปในหอคอยทมิฬแล้วกินมันอึกใหญ่และเริ่มสกัดมันต่อ


อย่างไรก็ตาม หยดวารีเจือจางนี่เป็นเหมือนกับเม็ดยา เมื่อหลิงฮันกินมันสามอึก เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่อาจสกัดพลังของมันได้สมบูรณ์และทำให้ประสิทธิภาพของมันลดลงไปครึ่งหนึ่งทันที


จากนั้นหลิงฮันก็ออกมาจากหอคอยทมิฬ เขาล้มตัวลงเพื่อนอนหลับพักผ่อน แม้จะเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแต่ก็ยังต้องหลับนอนบ้าง นี่คือวิธีการที่ยอดเยี่ยมสำหรับฟื้นฟูพลังวิญญาณ


หลังจาก “รุ่งอรุณ” ทั้งสี่คนก็ออกเดินทางต่อ


มีแมลงดูดโลหิตบางส่วนไล่ตามพวกเขามา แต่ระดับของพวกมันนั้นธรรมดา ดังนั้นหลิงฮันและคนอื่นจึงไม่สนใจพวกมัน และลงมือฆ่าพวกมันทันทีเพื่อไม่ให้พวกมันกลับไปเรียกพวกของมันมาหาพวกเขา


หลังจากผ่านไปครึ่งวัน กำแพงขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่ด้านหน้าของพวกเขา ซึ่งมีความสูงตระหง่านฟ้า และข้างในเมืองมีเสาแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ามันเป็นเสาแสงที่ดึงดูดให้พวกเขามาที่นี่


“บินข้ามผ่านกำแพงได้หรือไม่?” ทั้งสี่คนสงสัย


หลิงฮันเรียกอสูรศิลาออกมาเพื่อลองดู แต่มันกลับบินได้เพียงแค่ร้อยกว่าเมตรเท่านั้นก่อนที่จะตกลงมา และส่งความคิดให้กับหลิงฮันว่ายิ่งสูงเท่าไหร่แรงกดดันยิ่งหนักหน่วงมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นมันจึงบินได้เพียงร้อยกว่าเมตรเท่านั้น


เพื่อที่จะข้ามกำแพงนี้ได้ มันจะต้องเป็นจอมยุทธระดับไหนกัน?


ทั้งสี่คนทำได้แค่เดินไปตามกำแพงเมืองเท่านั้น หากมันมีกำแพงเมือง แน่นอนว่าย่อมมีประตูเมือง


อย่างที่คิด หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ประตูเมืองขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า มันมีความสูงหลายร้อยฟุต ใครก็ตามที่ยืนอยู่ด้านหน้าประตูจะให้ความรู้สึกว่าตัวเองนั้นไร้ค่าทันที


มีผู้คนอยู่จำนวนมากอยู่ที่ประตูเมือง บางคนกำลังจะเข้าไปในเมือง แต่ก็มีหลายคนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง


ตอนแรกหลิงฮันก็ไม่รู้อะไร แต่ในไม่ช้าเขาก็ค้นพบว่าบรรดาผู้คนที่กำลังจะเข้าไปในเมืองนั้นเดินช้ามาก บางคนก็เผยสีหน้าที่เจ็บปวดออกอมา และถึงขั้นกระอักเลือดออกมาก็มี และล่าถอยราวกับว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส


“หากมีความสามารถเข้าประตูเมือง คนผู้นั้นจะมีคุณสมบัติที่จะได้รับการทดสอบ และกลายเป็นศิษย์ของสิบสองพระราชวัง” ด้านข้างประตูเมืองมีข้อความสามแถวขนาดใหญ่ที่ดูสะดุดตาเขียนอยู่


หลิงฮันประหลาดใจและพูดว่า “ถ้างั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีกุญแจเปิด คนผู้นั้นก็ยังสามารถได้รับสมบัติของสิบสองพระราชวัง?”


“มันจะต้องเป็นแบบนั้นอย่างแน่นอนเพราะผู้ก่อตั้งรุ่นที่สามของนิกายแห่งนี้เป็นอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาซึ่งผ่านการทดสอบนี้และกลายเป็นศิษย์ภายนอก เขาได้รับทักษะวรยุทธระดับพระเจ้ามาและทำให้นิกายแห่งนี้เป็นขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของภูมิภาคเหนือ” เย่วไค่หยู่กล่าวออกมาอย่างกระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความประทับใจ


เขาหยุดพูด แล้วพูดต่อว่า “อันที่จริงแล้วผู้ก่อตั้งรุ่นที่สามมีโอกาสที่จะกลายเป็นจอมยุทธระดับทลายมิติ แต่สภาพแวดล้อมของโลกไม่อนุญาต นิกายสิบสองพระราชวังนั้นมีกฎที่เข้มงวด ห้ามไม่ให้มีการสืบทอดมรดกของพระราชวัง ดังนั้นผู้ก่อตั้งรุ่นที่สามทำได้เพียงละทิ้งความรู้ของเขาบนวิถีวรยุทธ ซึ่งยังคงรักษานิกายนี้ไว้ได้นานนับพันปี  ถ้าพวกเราสามารถได้รับมรดกที่แท้จริงของนิกายสิบสองพระราชวัง นิกายนี่จะไม่อ่อนแอไปกว่านิกายใหญ่ในภูมิภาคกลาง!”


หลิงฮันพยักหน้า การได้เป็นศิษย์ภายนอกและได้รับมรดกที่แท้จริงนั้นแตกต่างกันมาก มิฉะนั้นหยานเทียนจ้าวคงไม่ต้องการบางอย่างภายในพระราชวังมากขนาดนั้น


บางสิ่งที่ทำให้ตัวตนระดับพระเจ้าต้องเคลื่อนไหวได้นั้นมันเป็นสมบัติแบบใดกัน?


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะมีกุญแจ แต่เขาก็ยังคงต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน นั่นคืออย่างแรกต้องผ่านประตูเมือง มีเพียงแค่วิธีนี้เท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เข้าไปในสิบสองพระราชวัง ดูเหมือนว่าคนที่จะได้รับมรดกของสิบสองพระราชวังจะไม่ได้รับมาเพราะโชคเพียงอย่างเดียว แต่คนผู้นั้นเองก็ต้องมีพรสวรรค์มากพอตัวด้วย


“นายน้อยฮัน!” ในขณะนั้น เสียงของหลิ่วอู๋ตงและคนอื่นดังขึ้นมาขณะที่ชางเย่ ชูหวู่จิว จูเสวี่ยนเอ๋อและคนอื่นต่างเดินมาหาเขา


“หลิงฮัน!” ฮูหนิวกระโจนออกไปแล้วกอดขาข้างหนึ่งของเขาเหมือนกับของหวาน


488

“ระหว่างทางมาที่นี่พวกเจ้าพบอันตรายอะไรหรือไม่?” หลิงฮันถาม


“ทุกอย่างราบรื่นดี พวกเราพบสัตว์อสูรบ้าง แต่พวกมันทุกตัวก็ถูกพวกเราจัดการหมดแล้ว และยังเก็บเกี่ยวสมุนไพรมาได้หลายอย่างด้วย!’ ชูหวู่จิ่วพูดด้วยรอยยิ้ม


หลิวอู๋ตงจูงมือของจูเสวี่ยนเอ๋อแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมและพูดว่า “ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเสวี่ยนเอ๋อ ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้งของนาง อย่างน้อยพวกเราคงจะได้รับบาดเจ็บไปแล้ว”


หลิงฮันพยักหน้า ทั้งกลุ่มของพวกนาง นอกเหนือจากจูเสวี่ยนเอ๋อที่เป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณแล้ว คนอื่นนั้นเป็นจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณ และนางจะรู้สึกตกดันก็ต่อเมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ ถ้าพวกเขาพบกับสัตว์อสูรระดับบุปผาผลิบานเข้า แม้แต่จูเสวี่ยนเอ๋อก็ทำได้เพียงแค่วิ่งหนี


ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ของจูเสวี่ยนเอ๋อนั้นบาดเจ็บอยู่ เพียงแค่มีชีวิตอยู่ก็ยากลำบากแล้ว แล้วอาจารย์ของนางจะสร้างม้วนคำสั่งให้นางได้อย่างไร?


…มันมีความขัดแย้งหลายอย่างระหว่างตระกูลภายในนิกาย ยกตัวอย่างเช่นนิกายจันทราเหมันตร์ ถ้าผู้อาวุโสตระกูลเย่วตาย ผู้อาวุโสตระกูลอ้าวจะมอบม้วนคำสั่งให้เย่วไค่หยู่หรือไม่?


เห็นได้ชัดว่านั่นเป็นเรื่องตลก


“ประตูเมืองนี้สามารถผ่านได้หรือไม่?” หลิงฮันถาม


“นั่นเป็นเรื่องที่ยากมาก!” หลิวอู๋ตงส่ายหัวของนางและพูดว่า “ในหมู่พวกเรามีเพียงแค่จูเสวี่ยนเอ๋อและฮูหนิวเท่านั้นที่สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย แต่ช่างเย่และข้านั้นเดินได้ไม่กี่ก้าว ในขณะที่ชูหวู่จิ่วดูเหมือนจะเดินได้แค่สองสามก้าวเท่านั้น”


กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเพื่อที่จะผ่านประตูเมืองนั้นยากกว่าการต่อสู้แย่งชิงอันดับเสียอีก!


หลิงฮันมองไปรอบๆและไม่เห็นอวี่คุนหลุน หยานจุนฮ่าว และคนอื่นๆ เขาจึงสันนิษฐานว่าพวกเขาเหล่านั้นผ่านประตูเมืองไปแล้ว


“พวกเราไม่จำเป็นต้องรีบ อย่างแรกไปด้านข้างกันก่อน” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่พาทุกคนไปอยู่ด้านข้างแล้ว เขาก็นำเนื้อส่วนขาของสัตว์อสูรยักษ์ ปลาแก่นแท้เหมันต์เยือกแข็งและหยดวิญญาณเจือจางออกมา “พวกนี้จะช่วยบำรุงร่างกายของพวกเจ้าเล็กน้อยและยกระดับความแข็งแกร่งของพวกเจ้า แล้วพวกเราทุกคนจะสามารถเข้าไปข้างในได้”


ฮูหนิวเลิกเกาะขาหลิงฮันทันทีและหยิบเนื้อส่วนขาของสัตว์อสูรก่อนเป็นอันดับแรก ตามด้วยปลา และพูดออกมาอย่างรีบร้อนว่า “ห้ามทุกคนหยิบ ทุกอย่างเป็นของหนิว!”


ทุกคนหัวเราะเสียงดังออกมาทันที  เมื่อมันเกี่ยวข้องกับอาหาร เด็กสาวตัวน้อยจะเผยนิสัยที่แท้จริงออกมา แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ของนาง


หลิงฮันเริ่มต้มน้ำ มีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถควบคุมจิตวิญญาณเปลวเพลิงเพื่อดึงพลังออกมาจากเนื้อสัตว์อสูร และเขาใส่สมุนไพรหลายอย่างลงไป ในไม่ช้ากลิ่นหอมโชยก็เตะจมูกของทุกคน ทำให้ทุกคนเริ่มน้ำลายไหล


“เทพธิดาจู เจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของนายน้อยฮันแล้วสินะ!” เย่วไค่หยู่พูดอย่างโศกเศร้าและโกรธ นี่คือเทพธิดาที่สมบูรณ์แบบในสายตาของเขา


จูเสวี่ยนเอ๋อหันสายตาไปมอง และใบหน้าที่งดงามของนางก็แดงก่ำจากความเขินอาย นางไม่เคยเห็นใครพูดตรงไปตรงมาแบบนี้มาก่อน โชคดีที่นางสวมผ้าคลุมขาวปกปิดใบหน้าอยู่ คนอื่นจึงมองไม่เห็นใบหน้าที่เขินอายของนาง


“อย่าใช้ความคิดชั่วร้ายของเจ้าทำให้เกียรติของข้าต้องแปดเปื้อน!” หลิงฮันพูดอย่างตรงไปตรงมา


“ฮึ่ม!” เย่วไค่หยู่แสยะยิ้ม หลังจากที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหลกับหลิงฮันมาหลายวัน เขาจึงมีความกล้าหาญมากยิ่งขึ้นและดูเหมือนว่าจะลืมไปแล้วว่าหลิงฮันนั่นยังคงมีสถานะนักปรุงยาระดับสวรรค์อยู่ จึงปฏิบัติกับหลิงฮันเหมือนกับคนรุ่นเดียวกัน


นั่นเป็นเพราะนิสัยที่ตรงไปตรงมาและไม่บิดเบือนของเย่วไค่หยู่


“หลิงฮันเป็นของหนิว!” ฮูหนิวรีบพูดออกมาทันทีและคว้าคอของหลิงฮันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ


หลิงฮันใบหน้าบิดเบี้ยวและพูดว่า “เจ้ารัดคอข้าแรงไปแล้ว ข้าจะตายอยู่แล้ว!”


ฮูหนิวรีบปล่อยหลิงฮันและนางจูบไปที่แก้มของเขา แล้วหันไปบุ้ยปากใส่จูเสวี่ยนเอ๋อ


“เอาล่ะมากินกันเถอะ!” หลิงฮันตักซุปใส่ชามของทุกคนและให้แต่ละคนและมอบขวดหยกหยดวิญญาณเจือจางให้กับทุกคน


ทุกคนเทหยดวิญญาณเหมือนกับไวน์ และในขณะที่พวกเขากินเนื้อสัตว์อสูรและดื่มซุป ในไม่ช้าแสงหลากสีได้ส่องสว่างออกมาจากตัวของพวกเขา ราวกับว่าโลหิตและพลังปราณกำลังไหลทะลักออกมา และเริ่มบ่มเพาะพลังทีละคน


จากลำดักที่ปลีกตัวออกไปบ่มเพาะพลังนั้นแสดงให้เห็นถึงระดับพลังและพรสวรรค์ในวิถีวรยุทธ หลีซื่อฉางเห็นได้ชัดว่าอ่อนแอที่สุด ถึงแม้ว่านางจะก้าวหน้าขึ้นจากก่อนหน้านี้สองเท่า แต่นางเพียงแค่กัดเนื้อสัตว์อสูรคำเดียวและกินซุปสองซ้อนก็ต้องบ่มเพาะพลังแล้ว ถัดมาคือชูหวู่จิ่ว ชางเย่ และหลิ่วอู๋ตง กว่างหยวนแล้วจูเสวี่ยนเอ๋อ


อย่างไรก็ตาม หลิงฮันและฮูหนิวยังคงนั่งกินอยู่และกินนู้นกินนี่อย่างมีความสุข


จนกระทั่งอาหารในหม้อถูกกินจนสะอาด แม้แต่น้ำซุปหยดเดียวก็ยังไม่เหลือ จากนั้นหลิงฮันก็เริ่มนั่งบ่มเพาะพลังเพื่อสกัดและดูดซับพลัง ในขณะที่ฮูหนิวไม่ต้องทำ อะไรก็ตามที่เข้าไปในท้องของนางนั้นจะเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณให้นางทันที


หลังจากผ่านไปสองสามชั่วโมง ทุกคนต่างก็มีความก้าวหน้าอย่างมากและอยากลองที่จะผ่านประตูเมือง


หลิงฮันไม่สนใจ แม้ว่าจะมีใครบางคนไม่สามารถเข้าไปได้ มันก็ไม่สำคัญ เพราะทุกคนนั้นสามารถเข้าไปในหอคอยทมิฬได้และเพียงแค่เขาเดินผ่านประตูเมืองเพียงคนเดียวก็เกินพอ อย่างไรก็ตาม นอกจากหลี่ซื่อฉางผู้ที่ทุ่มเทหัวใจและวิญญาณไปกับศาสตร์ปรุงยาแล้วนั้น คนอื่นทุกคนต่างเดินอยู่บนวิถีวรยุทธ ดังนั้นหลิงฮันจึงหวังว่าพวกเขาจะผ่านประตูเมืองไปได้ด้วยพลังของตัวเอง


นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นการยืนยันพรสวรรค์และความสามารถของพวกเขา แต่มันยังเพิ่มความมั่นใจให้พวกเขาได้อย่างมากเช่นเดียวกัน


นั่นเป็นเพราะ หลิวอู๋ตงและคนอื่นนั้นต่างมาจากสถานที่เล็กๆอย่างแคว้นพิรุณ ซึ่งย่อมมีความคิดที่ว่าตัวเองนั้นอ่อนด้อยเมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์จากนิกายใหญ่ของภูมิภาคเหนือ


“ลองอีกครั้ง” พวกเดินไปที่ประตูเมืองและเริ่มพยายามที่จะผ่านเข้าไป


ตึง แรงกดดันอันหนักหน่วงกดทับพวกเขาทันที พวกเขาราวกับเป็นมนุษย์ธรรมดาที่กำลังเดินอยู่ในโคลน แต่ละย่างก้าวนั้นเดินได้อย่างยากลำบากมาก ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเดินไปได้ไกลเท่าไหร่ แรงกดดันยิ่งหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น


ไม่แปลกที่แม้แต่หลิ่วอู๋ตงและชางเย่ไม่สามารถผ่านมันไปได้ การทดสอบนี่ไม่ใช่การทดสอบธรรมดาอย่างแน่นอน


“ข้าจะแสดงเคล็ดลับให้พวกเจ้าดู” หลิงฮันกล่าว


“นายน้อยฮัน ท่านกำลังเยาะเย้ยพวกเรา?” ชูหวู่จิ่วแทบจะร้องไห้ออกมาเพราะถึงแม้ว่าหลิงฮันจะพูดว่าจะแสดงเคล็ดลับให้ดู แต่เขาก็แค่เอามือไขว้ไว้ด้านหลังและเดินอย่างผ่อนคลาย


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ฮูหนิวหัวเราะเสียงดัง นางวิ่งตรงไปข้างหน้าแล้ววิ่งกลับวนไปวนมาอย่างง่ายดาย


หลิงฮันพยักหน้าอยู่ในใจ การทดสอบนี่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล คนที่มีระดับพลังสูง แรงกดดันที่จะได้รับก็จะมากขึ้น มิฉะนั้นจอมยุทธระดับห้วงจิตวิญญาณคงไม่อาจผ่านไปได้ และจะมีเพียงแค่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณเท่านั้นที่จะผ่านไปได้


ความแข็งแกร่งของหลิ่วอู๋ตงและชางเย่ก้าวหน้าขึ้นมาก เดิมทีพวกเขาเดินได้ไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่ทว่าครั้งนี้พวกเขากลับเดินได้อย่างผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น


แต่มันเป็นเรื่องยากสำหรับชูหวู่จิ่ว หลังจากที่เดินได้สิบก้าว เขาก็เริ่มเหงื่อท่วมหัวและใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว แสดงให้เห็นว่าเขาตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด


หลิงฮันและฮูหนิวผ่านการทดสอบที่ประตูเมืองโดยที่ไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย เมื่อพวกเขาเดินผ่านประตูเมืองได้หนึ่งร้อยเมตร แรงกดดันก็ได้หายไปอัตโนมัติและกลับมาเป็นปกติ ในขณะที่เย่วไค่หยู่ หลิ่วอู๋ตงและช่างเย่เดินมาที่นี่ทีละคนทีละคน


ส่วนกว่างหยวนและชูหวู่จิ่วเดินได้แค่สามในสี่


“นายน้อยฮัน พวกเราวางแผนที่จะบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่” พวกเขาทั้งสองคนกล่าวด้วยความหนักแน่น


หลิงฮันคิดและพูดว่า “ตกลง นี่อาจเป็นการทดสอบ แต่มันก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสมแก่การบ่มเพาะพลังเช่นกัน”


“ขอรับ!” ทั้งสองคนพยักหน้า แม้ว่าพวกเขาจะไปได้ไกลกว่านี้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถช่วยเหลือหลิงฮันได้ มันคงจะเป็นการดีกว่าที่จะบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่เพื่อยกระดับพลังของพวกเขาเพื่อพวกเขาจะได้ช่วยเหลือหลิงฮันได้ในอนาคต


หลิงฮันยังคงพาหลี่ซื่อฉางเข้าไปในหอคอยทมิฬ หากปล่อยให้สาวงามอยู่ด้านนอกมันจะดึงดูดความวุ่นวายเข้ามาหา รวมถึงนางไม่ได้มุ่งมั่นในวิถีวรยุทธจึงไม่จำเป็นต้องฝึกฝนอยู่ที่นี่


ดังนั้น หลิงฮัน ฮูหนิว หลี่ซื่อฉาง จูเสวี่ยนเอ๋อ ชางเย่และเย่วไค่หยู่ พวกเขาทั้งหกคนยังคงเดินหน้าต่อไป


489

หลังจากเดินได้สักพัก พวกเขาก็หยุดอยู่ด้านหน้าสิ่งก่อสร้างที่ดูเหมือนบ้านธรรมดา แต่ทว่ากลับมีผู้คนจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่ประตู ซึ่งตรงนั้นเองหลิงฮันเห็นอวี่คุนหลุน หยานจุนฮ่าวและหลงไหเชวียน!


มันยังคงนอนอยู่ในโลงศพสามชีวิต แต่นอกเหนือจากโลงศพนั่นแล้ว มันยังพาโลงศพอีกสองโลงมาด้วยบางทีมันอาจจะขุดทหารซากศพมาจากหลุมศพ


เฟิงหยางเองก็อยู่ที่นี่สายตาที่จ้องมองออกไปนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ซึ่งทำให้อ้าวเฟิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะมันยังไม่รู้ถึงความบาดหมางระหว่างเฟิงหยานและหลิงฮัน ในบรรดาบุตรทั้งเจ็ดของตระกูลอ้าว มีสามคนที่มาที่นี่และทั้งสามต่างเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกมันมีความสามารถมากขึ้น


“ไค่หยู่คารวะผู้อาวุโสอ้าว!” เย่วไค่หยู่คำนับอ้าวเฟิง สิ่งที่เขาคิดกับสิ่งที่เขาทำนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง


อ้าวเฟิงยกมือขึ้นมาเล็กน้อย


“ทุกคนกำลังรออะไรอยู่ที่นี่งั้นรึ?” หลิงฮันถามราชันดาบชุดขาว ในบรรดาคนเหล่านี้ เขามีความประทับใจในตัวเชิงจงเฉินมากที่สุด


“เมื่อพวกเราเดินผ่านประตูเมืองมาและมาถึงที่นี่ รูปแบบอาคมวิญญาณก็ได้ปรากฏขึ้นและพูดว่ามีการทดสอบอยู่ที่นี่ และคนที่ได้สามอันดับแรกจะได้รับรางวัลตอบแทนที่น่าอัศจรรย์” เชิงจงเฉินตอบกลับ


“รูปแบบอาคมวิญญาณ?” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ


“ถูกต้องแล้ว เขตแดนลี้ลับทั้งหมดนี่ถูกควบคุมโดยรูปแบบอาคมวิญญาณ” จูเสวี่ยนเอ๋อพูดแทรก เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ของนางบอกเรื่องนี้กับนาง


หลิงฮันพยักหน้า แม้ว่าคนพวกนี้จะเข้ามาในสิบสองเขตแดนลี้ลับสวรรค์เป็นครั้งแรก แต่ผู้อาวุโสของพวกเขาก็เคยเข้ามาที่นี่มาก่อน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมบอกข้อมูลหลายอย่างให้กับคนของตัวเองรู้


“โอ้ว แล้วของรางวัลคืออะไรงั้นรึ?” หลิงฮันถามด้วยความสงสัย


“มันไม่ได้พูด” เชิงจงเฉินส่ายหัว


ริมฝีปากของหลิงฮันกระตุก เขาพูดว่า “ไม่ได้พูดงั้นหรือ? แต่พวกเจ้ากลับรออยู่ที่นี่?”


“มันจะต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอน!” เย่วไค่หยู่เปิดปากพูด “ผู้ก่อตั้งรุ่นที่สามของข้าได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่จากที่นี่ และวิถีวรยุทธของเขาก็ก้าวหน้าราวกับติดปีกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา”


ไม่แปลกที่อัจฉริยะทั้งหมดต่างรวบตัวอยู่ที่นี่และไม่ไปที่อื่น ในทางกลับกัน หากไม่มีกุญแจ แม้ว่าคนเหล่านี้จะมาถึงสิบสองพระราชวัง พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปข้างในได้ ดังนั้นมันจึงการดีกว่าที่จะอยู่ที่นี่เผื่อได้รับรางวัลตอบแทน


“แล้วรูปแบบอาคมวิญญาณอยู่ไหนล่ะ พาข้าไปดูหน่อย” หลิงฮันพูด บางทีเขาอาจพูดคุยกับมันได้และสอบถามข้อมูลกับมัน


“หลังจากที่มันพูดเสร็จ มันก็หายไปแล้ว” เชิงจงเฉินกล่าว


“พวกเราต้องรออีกนานแค่ไหน?”


“สิบวันหลังจากเขตแดนลี้ลับเปิด”


หลิงฮันคำนวณว่าอีกไม่กี่วัน หากเขารู้ก่อนหน้านี้ เขาคงท่องไปทั่วอีกสักพักและอาจจะพบสมุนไพรล้ำค่า อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้ว่าราชาแมลงจะมุ่งหน้ามาที่นี่หรือไม่ ซึ่งมันเป็นสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวมาก และถ้ามันตามมาถึงที่นี่ คนพวกนี้จะต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ


นอกเสียจากรูปแบบอาคมวิญญาณจะเข้ามาแทรกแซง


หลิงฮันไม่รู้ว่ารูปแบบอาคมที่อยู่ที่นี่อยู่ระดับไหน แต่หากมันถูกสร้างขึ้นจากดินแดนพระเจ้า มันจะต้องเป็นรูปแบบอาคมระดับพระเจ้าเป็นอย่างน้อย


ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่างอดทน พลังปราณที่อยู่ที่นี่นั้นอุดมสมบูรณ์มาก ราวกับเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับบ่มเพาะพลัง หากฝึกฝนที่นี่หนึ่งวันอาจเทียบได้กับข้างนอกหนึ่งร้อยวัน ดังนั้น ถ้าพวกเขานั่งอยู่ที่นี่ มันคงจะเป็นการเสียเวลาแย่ เพราะพวกเขาสามารถยกระดับพลังได้อย่างรวดเร็วในที่แห่งนี้


หลิงฮันทำตัวอุกอาจมากยิ่งขึ้น เขากินเนื้อสัตว์อสูรจำนวนมากทุกวันพร้อมกับปลาแก่นแท้เหมันต์เยือกแข็งและส่วนผสมของสมุนไพรอายุพันปีทุกประเภท แสงหลากสีพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเมื่อพวกมันเดือด ทำให้แม้กระทั่งจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานยังต้องเผลอกลืนน้ำลาย


เมื่อเห็นพวกเขากินอย่างเอร็ดอร่อย มันทำให้ลำคอของพวกเขาเริ่มสั่นและต้องกลืนน้ำลายไม่หยุด


แต่น่าเสียดาย ใครมันจะกล้าปล้นนักปรุงยาระดับสวรรค์กัน?


ในภูมิภาคเหนือ ใครบางคนก็ไม่ได้ไว้หน้านักปรุงยาระดับสวรรค์ แต่การไม่ไว้หน้าไม่ได้หมายความว่าคนผู้นั้นจะมีความโกรธแค้นอย่างรุนแรง นั่นเป็นเพราะเมื่อทุกคนต่อสู้กับเพื่อแย่งชิงสมบัติมันคงไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่ถ้าคนคนนั้นพยายามที่จะพบอาหารของนักปรุงยาระดับสวรรค์ คนทั้งโลกคงจะเยาะเย้ยคนคนนั้นจนตาย


ใครบางคนนั้นค่อนข้างหน้าด้านทีเดียว อย่างเช่น ฉื่อฮวาหลัน และหลินเซียงฉินที่มาโดยไม่ได้รับคำเชิญและขอเข้ากลุ่มของพวกเขา โดยใช้ประโยชน์จากความงดงามของพวกนาง พวกนางหยิบชามและตะเกียบ ตักซุปและหยิบเนื้อ ซึ่งทำให้ฮูหนิวกรีดร้องออกมาเสียงดัง พวกนางจะขโมยอาหารของนางได้อย่างไร?


โชคดีที่นอกเหนือจากหลิงฮันแล้ว ไม่มีใครกินได้เยอะ ดังนั้นเด็กสาวตัวน้อยจึงรู้สึกร้อนใจชั่วครู่เท่านั้น และในไม่ช้าก็เริ่มต่อสู้แย่งอาหารกับหลิงฮันอย่างขะมักเขม้น


“หลิงฮัน ในที่สุดเจ้าก็มาสักที!” หลงไหเชวียนเข้ามาใกล้ขณะที่อยู่ในโลงศพสามชีวิต


“อะไร เจ้าคงไม่ได้อยากกินเนื้อด้วยหรอกใช่หรือไม่?” หลิงฮันแสร้งทำเป็นตกใจ “ไม่ใช่ว่าเจ้าตายแล้วหรอกรึ? คนตายกินอาหารได้ด้วย?”


“หยุดพล่ามได้แล้ว!” หลงไหเชวียนตะโกนเสียงดัง มันไม่ได้เปิดเผยว่าหลิงฮันครอบครองอาวุธวิญญาณที่เก็บสิ่งมีชีวิตเข้าไปได้และความลับที่ว่าหลิงฮันมีกุญแจพระราชวังราศีธนู มันไม่ใช่เพราะมันมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อหลิงฮัน แต่เพราะต้องการให้มันเป็นของตัวเอง


“แล้วอะไรถึงพาเจ้ามาที่นี่?” หลิงฮันแสยะยิ้ม


“ข้าเพียงแค่ต้องการได้ยินคำพูดสุดท้ายของเจ้าเพราะในไม่ช้าข้าจะปรับแต่งเจ้าให้กลายเป็นทหารซากศพ!” หลงไหเชวียนพูดจาพูดเหลวไหล “และคนพวกนี้ที่อยู่รอบตัวเจ้าจะไม่มีใครสามารถหลบหนีไปได้!”


ในภูมิภาคเหนือ มีคนจำนวนมากทีเดียวที่ต้องการให้หลิงฮันตาย แต่ถ้าพูดข่มขู่ว่าจะฆ่านักปรุงยาระดับสวรรค์อย่างเปิดเผยนั้น… หลงไหเชวียนอาจเป็นคนเดียวที่กล้าทำ


หลิงฮันถอนหายใจและพูดว่า “ถ้างั้นเจ้ามาที่นี่เพื่อพูดจาไร้สาระนี่เอง เอ้า ปรบมือเร็วเข้า!”


หลิ่วอู๋ตงและคนอื่นเริ่มปรบมือทีละคนพร้อมหัวเราะออกมาเช่นเดียวกัน


หลงไหเชวียนไม่ได้รู้สึกโกรธ แต่พูดด้วยเสียงทุ้มว่า “หลิงฮัน ในไม่ช้าเจ้าจะได้รับรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลก!”


“เช่นนั้นข้าจะรอดู” หลิงฮันยิ้ม


“ฮึ่ม!” โลงศพขยับและกลับไปอยู่ที่เดิม แต่หลิงฮันกลับเรียกดาบกำเนิดมารออกมา และโจมตีไปที่โลงศพสามชีวิต และเปรี๊ยง ประกายแสงกระจายไปทุกทิศทุกทาง


“เจ้ากำลังทำอะไร?” หลงไหเชวียนกล่าว มันรู้สึกฉุนเฉียว


“ไม่ได้ทำอะไร เจ้าก็หลบอยู่ในกระดองเต่าของเจ้าไปเถอะ!” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้มขณะที่เขาโจมตีอย่างต่อเนื่อง


หลงไหเชวียนรู้สึกรำคาญและโกรธ ด้วยการป้องกันของโลงศพสามชีวิต เห็นได้ชัดว่ามันไม่กลัวการโจมตีของหลิงฮัน แต่ถูกหลิงฮันโจมตีอยู่ฝ่ายเดียวแบบนี้ ทำให้มันรู้สึกอับอาย ยิ่งไปกว่านั้น แรงสั่นสะเทือนของการโจมตีแต่ละครั้งนั้นสั่นไปทั่วโลงศพ ถึงแม้มันจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่แรงสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องทำให้มันรู้สึกไม่สบาย


เมื่อหลิงฮันโจมตีไปหลายร้อยครั้งและดูไม่มีท่าทีว่าจะหยุด มันจึงทนไม่ไหวและตะโกนออกมาว่า “เจ้าจะพอได้แล้วหรือยัง!?”


“แน่นอนว่าไม่ เจ้าเข้ามาหาข้าและพูดข่มขู่ข้าอย่างเปิดเผย และยังจะจากไปทั้งแบบนั้น เจ้าคิดว่ามันจะจบง่ายๆงั้นรึ?” หลิงฮันพูดอย่างชั่วร้าย


หลงไหเชวียนพูดไม่ออก หรือว่าปากของมันทำให้หลิงฮันรู้สึกโกรธ?


มันรีบควบคุมโลงศพสามชีวิตและมุ่งไปที่ประตูเมือง มันยังเหลือเวลาอีกสองวันก่อนการทดสอบจะเริ่มต้นขึ้น และมันต้องการหลบซ่อนอยู่สักพัก เพราะที่นี่มีคนมากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีรูปแบบอาคมวิญญาณอยู่ และมันไม่ต้องการเปิดเผยไพ่ลับเร็วจนเกินไป


หลิงฮันไม่ได้ไล่ตามมันไป หากมันหลบอยู่ในโลงศพสามชีวิต การจะฆ่าหลงไหเชวียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย


ในไม่ช้าสองวันได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พรึบ ร่างมนุษย์ปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ คนผู้นั้นดูเหมือนเด็กอายุห้าถึงหกขวบ ร่างกายของเขาโปร่งใสราวกับภาพมายา


รูปแบบอาคมวิญญาณ!


“การทดสอบได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลังจากที่พวกเจ้าทุกคนผ่านประตูนั่นไป พวกเจ้าสามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้สามคนและเลือกสถิติการต่อสู้ที่ดีที่สุด สุดท้าย อันดับของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับพลังต่อสู้


มันเป็นพื้นที่ทางจิต และมีเพียงแค่สัมผัสสวรรค์ของพวกเจ้าเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่สามารถใช้วิธีการสนับสนุนใดๆได้ทั้งสิ้น และพวกเจ้าก็ไม่อาจได้รับบาดเจ็บ”


ยิ่งพวกเจ้ามีดาวมากเท่าใด รางวัลที่พวกเจ้าได้รับยิ่งยอดเยี่ยมมากขึ้นเท่านั้น ถ้าพวกเจ้าทุกคนเป็นพวกคนไร้ค่า และมีดาวเพียงแค่สองถึงสามดวง หากเป็นเช่นนั้นรางวัลตอบแทนที่พวกเจ้าจะได้รับมากที่สุดคือทักษะระดับปฐพี


และมีเพียงแค่สามอันดับแรกเท่านั้นที่จะได้รับรางวัล”


490

รูปแบบอาคมจิตวิญญาณหายไปอีกครั้งหลังจากพูดจบ


ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนจะเดินไปยังบ้านที่มีประตูสีดำที่ตั้งอยู่ตรงหน้าพวกเขา ประตูทางเข้านั้นดำสนิทจนไม่สามารถมองเห็นภายใน


“ไปกันเถอะ” หลิงฮันและพรรคพวกเองก็เดินไปยังบ้านหลังนั้นเช่นกัน บ้านที่ดูธรรมดาหลังนี้ราวกับเป็นหลุมอันไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าผู้คนจะเข้าไปมากขนาดไหนก็ไม่แออัด


‘ฟุบ’ ทันทีที่หลิงฮันเดินเข้าไป เขาก็พบว่าตัวเขาได้โผล่มาที่ห้องหินทรงกลมที่ถูกผนึกเอาไว้รอบด้าน ห้องนี้มีขนาดกว้างขวางถึงหนึ่งร้อยฟุต


เมื่อนึกถึงคำพูดของรูปแบบอาคมจิตวิญญาณ หลิงฮันก็รีบตรวจสอบและพบว่าเขาสูญเสียการติดต่อกับหอคอยทมิฬไปแล้ว


สัมผัสสวรรค์ของเขาถูกดึงออกจากร่างพร้อมกับถูกส่งเข้ามาในห้องหินนี้


ไม่น่าเชื่อ!


หลิงฮันตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ร่างของจอมยุทธที่ไร้สัมผัสสวรรค์ก็ไม่ต่างอะไรกับเปลือกหอยเปล่าๆ ถ้าหากสัมผัสสวรรค์ของเขาถูกกักขังอยู่ที่นี่ตลอดกาล ร่างกายของเขาก็จะไม่สามารถกินอาหารได้และต้องตกตาย!


แม้ระดับบุปผาผลิบานจะละทิ้งกายหยาบของมนุษย์ทิ้งไปแล้ว และแค่ทำการดูดซับพลังวิญญาณพวกเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้ แต่ถ้าหากสัมผัสสวรรค์ของพวกเขาถูกขังอยู่ที่นี่ พวกเขาก็จะตายอย่างช้าๆเพราะหมดอายุขัยอยู่ดี


ถ้ารูปแบบอาคมวิญญาณต้องการจะกำจัดพวกเขา มันก็ง่ายเพียงแค่หนึ่งความคิดเท่านั้น…


สมกับเป็นรูปแบบอาคมระดับพระเจ้า แม้แต่เขาก็ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าสัมผัสสวรรค์ถูกดึงออกจากร่างไปตอนไหน


‘พรึบ’ รูปแบบอาคมร่างเด็กปรากฏตัวและพูด “จงเลือกคู่ต่อสู้ซะ เจ้าอยากจะสู้กับคนที่มีระดับพลังเท่าใดและพลังมีต่อสู้กี่ดาว?”


หลิงฮันครุ่นคิดก่อนที่จะพูด “คู่ต่อสู้คนแรกขอเป็นระดับแก่นแท้จิตวิญญาณที่มีพลังต่อสู้ยี่สิบดาว”


“เจ้ามีพลังบ่มเพาะระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้า หรือว่าพลังต่อสู้ของเจ้าจะเกินสิบแปดดาว?” รูปแบบอาคมวิญญาณที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์แสดงท่าทีประหลาดใจออกมา “ไม่เลวๆ พลังต่อสู้ของเจ้าค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว”


หลิงฮันกลายเป็นตกตะลึง พลังต่อสู้ที่เกินกว่าสิบแปดดาวยังเป็นแค่ค่อนข้างน่าประทับใจ?


“เจ้าใช้อาวุธอะไร?” รูปแบบอาคมวิญญาณถาม


“ดาบ!” หลิงฮันตอบ


‘ฟุบ’ ดาบเล่มยาวปรากฏขึ้นกลางอากาศและปักลงที่พื้นข้างๆขาของหลิงฮัน


หลิงฮันต้องการจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่จะได้ถาม รูปแบบอาคมวิญญาณก็หายไปเสียแล้ว สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาแทนก็คือนักดาบไร้สีหน้าคนหนึ่ง


แข็งแกร่ง!


หลิงฮันอดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ อีกฝ่ายคือนักดาบที่ปลดปล่อยเจตจำนงแห่งดาบอันทรงพลังออกมาทั่วร่าง เพียงแค่การชำเลืองมองของอีกฝ่าย วิญญาณของหลิงฮันก็รู้สึกราวกับจะถูกสะบั้นออกเป็นชิ้นๆ


จิตวิญญาณของเขาลุกโชนและหยิบดาบขึ้นมา “มาสู้กัน!”


นักดาบคนนั้นย่อเข่าเล็กน้อยก่อนที่จะพุ่งออกจากที่ ความเร็วของเขานั้นเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก ‘พรึบ’ ดาบยาวของเขาถูกชักออกมาพร้อมกับประกายแสงอันเย็นเฉียบบนใบดาบ


หลิงฮันไม่หวั่นไหวและใช้ดาบของตนเองตอบโต้


‘ปัง ปัง ปัง’ ทั้งสองคนเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด แม้นี่จะเป็นการต่อสู้ด้วยสัมผัสสวรรค์ แต่มันก็สมจริงอย่างมาก แรงกระแทกที่เกิดจากการปะทะนั้นไม่เหมือนของปลอมแม้แต่น้อย


นักดาบคนนั้นสะบั้นดาบพร้อมกับปลดปล่อยปราณดาบสิบเล่มเข้าใส่หลิงฮัน


“ไม่เลว ปราณดาบสิบเล่มงั้นรึ ในที่สุดข้าก็พบคนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้แล้ว!” หลิงฮันหัวเราะและปลดปล่อยปราณดาบสิบเล่มออกไปเช่นกัน


‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ ปราณดาบเข้าปะทะและทำลายกันเอง


หลิงฮันตกตะลึงมากที่ความหนาแน่นของปราณดาบอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแม้แต่นิดเดียว ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่หายากมาก เขากลายเป็นตื่นเต้นและพูด “รับการโจมตีนี้ของข้า!” หลิงฮันเริ่มตั้งท่าเตรียมใช้ทักษะดาบลึกลับสามพันเล่ม


เพียงแต่ก่อนที่หลิงฮันจะรวบรวมปราณก่อเกิดได้มากพอ นักดาบคนนั้นก็จู่โจมอย่างรวดเร็วจนหลิงฮันต้องหยุดการสะสมพลังปราณ


“น่าสนุกดีนี่!” หลิงฮันหัวเราะ “ในระดับพลังเดียวกัน เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่หยุดกระบวนท่าของข้าได้!”


นักดาบคนนั้นมีเพียงสัญชาตญาณในการสู้รบและพุ่งโจมตีใส่หลิงฮันอย่างต่อเนื่อง


หลิงฮันกระตุ้นเนตรแห่งสัจธรรมและใช้งานทักษะร้อยเงาพันแปร ขณะที่เคลื่อนที่หลบหลีกดาบของอีกฝ่าย เขายังสามารถรวบรวมพลังปราณสำหรับทักษะดาบลึกลับสามพันเล่ม


การโจมตีของนักดาบคนนั้นเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นใบดาบเล่มยาวของอีกฝ่ายก็สะบั้นลงพื้นพร้อมกับสร้างภาพลวงตาภูเขาขนาดใหญ่สิบลูกพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน


‘ตูม ตูม ตูม ตูม’ ภูเขาขนาดใหญ่ทั้งสิบเข้าปะทะกับร่างของหลิงฮัน แต่หลิงฮันนั้นไม่แยแสแม้แต่น้อย ด้วยการฝึกฝนกายาเหล็กไหล หากอยากจะสร้างบาดแผลให้เขา การโจมตีปลดปล่อยออกมาก็ต้องเป็นการโจมตีระดับบุปผาผลิบานเป็นอย่างน้อย


หลิงฮันหัวเราะลั่น ‘ฉึบ ฉึบ ฉึบ’ ประกายแสงแห่งดาบหนึ่งพันเล่มถูกปลดปล่อยออกมาและพุ่งโจมตีใส่นักดาบคนนั้นอย่างรุนแรง


หลังจากประกายแสงแห่งดาบจางหาย ร่างของนักดาบคนนั้นก็สลายไปราวกับเป็นหมอกหรือควัน


สถานที่แห่งนี้คือการต่อสู้ด้วยสัมผัสสวรรค์ ซึ่งนักดาบคนนั้นก็ไม่ใช่ตัวจริงเช่นกัน


“ยอดเยี่ยมมาก เจ้าผ่านการทดสอบ” รูปแบบอาคมจิตวิญญาณปรากฏตัวอีกครั้ง “เจ้ายังมีโอกาสเลือกคู่ต่อสู้อีกสองครั้ง”


หลิงฮันถามกลับทันที “ผลลัพธ์ของข้าในตอนนี้สามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้รึยัง?”


“จากกฎแล้ว ข้าไม่สามารถตอบเจ้าได้” รูปแบบอาคมวิญญาณส่ายหัว


หลิงฮันถอนหายใจ เขาครุ่นคิดชั่วขณะก่อนจะพูดออกไป “คู่ต่อสู้คนต่อไปขอเป็นระดับแก่นแท้จิตวิญญาณที่มีพลังต่อสู้ยี่สิบห้าดาว”


“ตามที่เจ้าต้องการ” รูปแบบอาคมจิตวิญญาณหายไปอีกครั้งพร้อมกับนักดาบอีกคนที่ปรากฏตัวขึ้นมา เจตจำนงแห่งดาบของเขาแข็งแกร่งกว่าคนก่อนหน้านี้มาก เส้นผมแต่ละเส้นที่พริ้วไหวของเขาทำให้อากาศถูกตัดขาดจนเกิดเป็นคลื่นพลังอันแข็งแกร่ง


หลิงฮันตกตะลึงเป็นอย่างมาก โลกเบื้องล่าง พลังต่อสู้ที่สูงที่สุดถูกจำกัดเอาไว้ที่ยี่สิบดาว


ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่คิดเลยว่ารูปแบบอาคมจิตวิญญาณจะสามารถสร้างคู่ต่อสู้ที่มีพลังต่อสู้ยี่สิบห้าดาวให้เขาได้จริงๆ


เขาติดสินใจจะต้องสู้ดูซักตั้ง


หลิงฮันพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายจนเกิดเป็นการต่อสู้ที่รุนแรง นักดาบคนนี้แข็งแกร่งกว่าคนที่แล้วอย่างที่คาดไว้ ซึ่งนักดาบคนนี้นั้นแข็งแกร่งกว่าคนที่แล้วหลายขุม การเพิ่มพลังต่อสู้ของตนเองให้มากขึ้นห้าดาวนั้นเป็นสิ่งที่อัจฉริยะทั่วไปไม่สามารถทำได้


การต่อสู้ครั้งนี้ หลิงฮันทุ่มกำลังต่อสู้อย่างยากลำบาก กระบวนท่าดาบนับไม่ถ้วนโจมตีใส่ร่างของเขาจนแม้แต่กายาเหล็กไหลก็ไม่สามารถต้านทานได้ และที่หลิงฮันรู้สึกหดหู่มากที่สุดก็คือเขาไม่สามารถใช้คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ได้


รูปแบบอาคมวิญญาณไม่สามารถจำลองทักษะของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ในสถานที่แห่งนี้!


นั่นหมายถึงระดับของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์นั้นเหนือกว่ารูปแบบอาคมวิญญาณระดับพระเจ้าตนนี้


นักดาบคนที่สองนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง เมื่อประกายแสงทั้งหนึ่งเล่มของทักษะดาบลึกลับสามพันเล่มถูกปลดปล่อยออกไป อีกฝ่ายสามารถทำลายประแสงทั้งหนึ่งพันเล่มได้เกือบหมด ประกายแสงแห่งดาบหนึ่งร้อยเล่มที่เหลือเข้าปะทะกับนักดาบคนนั้นแต่ก็ไม่สามารถทำให้ร่างกายสลายไปได้ นักดาบคนนั้นสูญเสียขาซ้ายและแขนขวาไปพร้อมกับปรากฏรูขนาดใหญ่ที่หน้าอก แม้จะเหลือขาเพียงข้างเดียว อีกฝ่ายก็ยังคงยืนนิ่งและจับดาบอย่างมั่นคง


หลิงฮันยิ้มอย่างขมขื่น นี่น่ะรึพลังต่อสู้ของระดับแก่นแท้จิตวิญญาณยี่สิบห้าดาว ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!


491

หลิงฮันโจมตีและทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง ‘ปัง ปัง ปัง’ โชคดีที่นักดาบคนที่สองสูญเสียแขนและขาไปอย่างละข้างแล้ว พลังต่อสู้ของเขาจึงลดลงอย่างมาก ในที่สุดก็เป็นหลิงฮันที่ได้เปรียบ


แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับอีกฝ่ายมากกว่าหนึ่งพันกระบวนท่าก่อนที่จะกำจัดอีกฝ่ายได้สำเร็จ หลิงฮันรู้สึกเหนื่อยจนแทบจะฟุบลงนอนกับฟื้น


“เจ้าสามารถพักผ่อนได้สิบนาที” รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวและสะบัดมือ ทันใดนั้นบาดแผลบนร่างของหลิงฮันก็หายไปหมดสิ้น


หลิงฮันนั่งลงทำท่าขัดสมาธิ เขายื่นมือซ้ายออกไปและรวบรวมพลังปราณไปยังฝ่ามือเล็กน้อย ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็กลายเป็นปิติยินดี นั่นเพราะรูปแบบอาคมวิญญาณสามารถจำลองปราณอสูรบนฝ่ามือของเขาได้


นี่คือสิ่งที่เขาได้รับมาจากจักรพรรดิจอมอสูรที่เป็นตัวตนระดับพระเจ้า พลังทำลายของมันจึงน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง พลังของฝ่ามือนี้เทียบได้กับระดับตัวอ่อนวิญญาณยี่สิบดาวเป็นอย่างน้อย


หลิงฮันเปลี่ยนใจและพูด “ครั้งนี้ข้าต้องการต่อสู้กับระดับตัวอ่อนวิญญาณยี่สิบดาว!”



ในห้องทดสอบห้องอื่น หลงไหเชวียนกำลังต่อสู้กับตัวตนระดับบุปผาผลิบาน


ข้างกายของมันมีทหารซากศพเกราะเงินซึ่งมีพลังเทียบเท่ากับจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน!


“ถ้าไม่ใช่เพราะพลังบ่มเพาะของข้ายังต่ำเกินไปจนไม่สามารถปรับแต่ซากศพของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณได้ ข้าคงจะเลือกคู่ต่อสู้ที่มีพลังบ่มเพาะระดับตัวอ่อนวิญญาณแล้ว!” ใบหน้าของหลงไหเชวียนเต็มไปด้วยความทะนงตน “แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว! พลังบ่มเพาะของข้าอยู่ที่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นสาม แต่ข้าสามารถชนะระดับบุปผาผลิบานห้าดาวได้ ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะเทียบข้าได้!”


มันชี้นิ้วไปยังคู่ต่อสู้ระดับบุปผาผลิบานและออกคำสั่งกับทหารซากศพ “สังหารมัน!”


“โฮกก!” ทหารซากศพพุ่งเข้าใส่ศัตรูทันที



ในห้องทดสอบอีกห้องหนึ่ง ร่างของหยานเทียนจ้าวปรากฏขึ้นมา


ตั้งแต่ที่เข้ามายังเขตแดนลี้ลับมันก็แอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดมาตลอด ไม่ใช่เพราะมันกลัวหลิงฮัน แต่มันเพียงแค่รอหาจังหวะในการขโมยกุญแจที่อยู่ในมือหลิงฮัน ตอนนี้คู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้ามันคือตัวระดับบุปผาผลิบาน


“ฮ่าๆๆ ที่นี่คือมิติแห่งพลังวิญญาณ ตัวข้าที่ผสานเข้ากับความทรงจำของพระเจ้า แน่นอนว่าสัมผัสสวรรค์ของข้าจะต้องแข็งแกร่งกว่าทุกคน!” มันพูดด้วยความภาคภูมิใจ “แม้พลังต่อสู้ที่แท้จริงของข้าจะอยู่ที่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ แต่หากเป็นมิติที่ใช้สัมผัสสวรรค์ การต่อกรกับระดับบุปผาผลิบานนั้นไม่ใช่ปัญหา!”


‘ตูม’ ฝ่ามือของคู่ต่อสู้ของมันพุ่งโจมตีใส่ราวกับพายุ ศัตรูของมันคือตัวตนระดับบุปผาผลิบานที่น่าสะพรึงกลัว



ต่อสู้กับระดับแก่นแท้จิตวิญญาณยี่สิบห้าดาวอาจจะเป็นขีดจำกัดของหลิงฮันแล้ว


แต่คราวนี้คู่ต่อสู้ของเขาคือระดับตัวอ่อนวิญญาณยี่สิบดาว!


แม้พลังทำลายของเขาสามารถจัดการอีกฝ่ายได้ แต่กุญแจหลักที่จะทำเช่นนั้นได้สำเร็จคือเมื่อนักดาบคนที่สามปรากฏตัว เขาจะต้องเตรียมปลดปล่อยปราณอสูรในมือซ้ายออกไปให้ทันเวลา


“ตามที่เจ้าต้องการ” หลังพูดเสร็จรูปแบบอาคมวิญญาณก็หายไปอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของนักดาบคนที่สาม อีกฝ่ายแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าหลิงฮันเตรียมดักรอโจมตีเอาไว้แล้วจนเขาไม่สามารถใช้ชักดาบได้ทัน อีกฝ่ายก็ใช้สัมผัสสวรรค์โจมตีใส่หลิงฮันทันที


สัมผัสสวรรค์ของตัวตนระดับตัวอ่อนวิญญาณนั้นรวดเร็วและแข็งแกร่งขนาดไหน? แค่ถูกสัมผัสเบาๆ จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณก็ถูกบดขยี้หลายร้อยครั้งแล้ว


แต่ใครคือหลิงฮัน? เขามีเศษเสี้ยวสัมผัสสวรรค์ของระดับสวรรค์ คิดจะใช้สัมผัสสวรรค์จู่โจมเขาง้นรึ?


‘ตูม’ ภายใต้การโจมตีด้วยสัมผัสสวรรค์ของนักดาบคนที่สาม หลิงฮันไม่ปรากฏแม้แต่รอยขีดข่วน มือซ้ายของเขาประทับเข้ากับร่างของนักดาบคนที่สามพร้อมกับอักขระปราณอสูรที่ส่องประกายออกมา ‘ปัง’ ร่างของนักดาบคนที่สามจางหายไปทันทีหลังจากที่ปรากฏตัว


รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับท่าทางที่ไร้คำพูด หลิงฮันใช้เล่ห์กลในการต่อสู้ครั้ง แต่ก็เป็นตัวมันเองไม่ใช่หรือที่จำลองความสามารถเช่นนั้นของหลิงฮันขึ้นจนทำให้เกิดช่องโหว่ในการต่อสู้ครั้งนี้?


แต่กลับกัน หากหลิงฮันไม่มีสัมผัสสวรรค์ที่แข็งแกร่ง ร่างของเขาก็คงจะถูกสัมผัสสวสรรค์ของอีกฝ่ายบดขยี้และไม่สามารถใช้เล่ห์กลได้สำเร็จ


“ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะผ่าน” รูปแบบอาคมวิญญาณพูดด้วยความเศร้าหมอง เมื่อครู่มันเพิ่งพบเจอกับสัตว์ประหลาดตัวน้อยมา… มันไม่สามารถชักนำสัมผัสสวรรค์ของเด็กสาวตัวน้อยให้เข้ามายังห้องทดสอบได้ ทำให้เด็กสาวไม่สามารถเข้าร่วมการทดสอบ


“ข้าออกไปได้รึยัง?” หลิงฮันถาม


“รอจนกว่าทุกคนจะทดสอบเสร็จ สามอันดับแรกจะได้รับของรางวัลในทันที” รูปแบบอาคมวิญญาณพูด


หลิงฮันพยักหน้าและรอคอย


ผ่านไปหนึ่งวันการทดสอบก็สิ้นสุด ผลการประเมินจะตัดสินจากการทดสอบทั้งสามครั้งของทุกคน


‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ สัมผัสสวรรค์ของทุกคนที่ไม่ติดสามอันดับแรกค่อยๆจางหายออกไปจากห้องทดสอบ


“อะไรกัน ข้าชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังต่อสู้เจ็ดดาวได้ แต่กลับไม่ติดสามอันดับแรก?”


“บัดซบ ข้าชนะได้แม้กระทั่งแปดดาว!”


ทุกๆคนเริ่มใคร่ครวญ ทั้งๆที่พวกเขาแข็งแกร่งขนาดนั้นแล้วทำไมถึงยังไม่สามารถติดสามอันดับแรกได้ ช่างไร้สาระยิ่งนัก


อวี่คุนหลุน หยานจุนฮ่าวและอันดับหนึ่งของบันทึกอัจฉริยะหลายรุ่นก่อนมีท่าทีปั้นยาก พวกเขาสามารถชนะได้แม้แต่คู่ต่อสู้ที่มีพลังต่อสู้สิบดาวแต่ก็ยังไม่สามารถติดสามอันดับแรกได้ ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก


สีหน้าของอ้าวเฟิงและคนอื่นๆที่อยู่ในช่วงอายุสามสิบกว่าปีกลายเป็นมืดมน พวกเขาสามารถชนะคู่ต่อสู้ระดับบุปผาผลิบานที่มีพลังต่อสู้ห้าดาวได้ หากเทียบแล้วความยากในการต่อสู้กับระดับบุปผาผลิบานห้าดาวก็เทียบได้กับระดับแก่นแท้จิตวิญญาณสิบดาว และยิ่งระดับพลังสูงขึ้นก็ยิ่งสู้ข้ามระดับได้ยากขึ้น หรือว่ารูปแบบอาคมวิญญาณจะไม่พิจารณาเรื่องเหล่านี้?


ทุกคนมองไปรอบๆและเห็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานสิบห้าคนอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้ระดับบุปผาผลิบานที่เข้าร่วมทดสอบก็มีสิบห้าคน นั่นหมายความว่าไม่มีระดับบุปผาผลิบานคนใดเลยที่ติดสามอันดับแรก


“ข้าไม่ยอมรับ!”


“ข้าไม่ยอมรับเช่นกัน!”


“พวกเราทุกคนไม่ยอมรับ!”


ทุกคนเริ่มตะโกนส่งเสียงคัดค้าน พวกเขาอยากได้คำอธิบายจากรูปแบบอาคมวิญญาณ


รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวและพูด “พวกเจ้าสงสัยในความยุติธรรมของข้า?”


“นายท่านรูปแบบอาคมวิญญาณ ท่านได้คำนึงถึงความยากลำบากในการต่อสู้ข้ามระดับของระดับบุปผาผลิบานรึเปล่า?” อ้าวเฟิงถามอย่างสุภาพ


รูปแบบอาคมวิญญาณที่มีรูปร่างเหมือนเด็กแสดงท่าทีเย้ยหยัน “นายท่านผู้นี้มีชีวิตมานานกว่าเจ้าหลายพันเท่า เจ้ากล้าถามคำถามเช่นนั้นกับนายท่านผู้นี้ได้อย่างไร?”


ใครบางคนพูดขึ้น “นายท่านรูปแบบอาคมวิญญาณ เช่นนั้นแล้วสามอันดับแรกสามารถชนะคู่ต่อสู้ที่มีพลังต่อสู้กี่ดาวได้กัน?”


“นั่นสิ บอกพวกเราหน่อยเถอะ!”


“ข้าอยากจะรู้ว่าสามอันดับแรกมีความแข็งแกร่งขนาดไหน!”


รูปแบบอาคมวิญญาณหยุดนิ่งไปชั่วขณพก่อนที่จะพูดออกมา “ย่อมได้ อันดับสามคือจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณที่ชนะคู่ต่อสู้ระดับบุปผาผลิบานขั้นห้าได้”


‘พรวด!’


ทันใดนั้นทุกคนก็สำลักน้ำลายและเปิดเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมาทันที


ทุกคนรู้ดีว่าความแตกต่างของระดับแก่นแท้จิตวิญญาณและระดับบุปผาผลิบานนั้นกว้างใหญ่จนไม่อาจข้ามผ่าน แต่กลับมีจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณที่โค่นคู่ต่อสู้ระดับบุปผาผลิบานได้จริงๆ? แถมยังเป็นระดับบุปผาผลิบานขั้นห้าด้วย นั่นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นใช่หรือไม่?


492

ทักษะกายาเก้ามังกรทรราช


“นายท่านรูปแบบอาคมวิญญาณ เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปได้ด้วยงั้นหรือ?” ช่าวเทียนจื้อพูดออกมาอย่างเย็นชา เขาเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งเมื่อสองรุ่นที่แล้ว และเท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนระดับบุปผาผลิบาน พลังของเขาค่อนข้างน่าสะพรึงกลัวและเขาเองก็เป็นคนที่ค่อนข้างทะนงตัวทีเดียว


รูปแบบอาคมวิญญาณเหลือบมองเขาและพูดอย่างสุภาพว่า “เจ้ากำลังสงสัยนายท่านผู้นี้?”


“นายท่านรูปแบบอาคมวิญญาณไม่คิดว่ามันน่าสงสัยอย่างนั้นหรือ?” ช่าวเทียนจื้อกล่าว


“อำนาจของนายท่านผู้นี้ไม่อนุญาตให้ข้าท้าทาย!” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าวอย่างเย็นชาและสะบัดมือไปที่ช่าวเทียนจื้อ ทันใดนั้น พยัคฆ์ขาวยักษ์ตัวหนึ่งได้ปรากฏออกมาจากอากาศและกระโจนเข้าใส่ช่าวเทียนจื้อ


ในขณะที่พยัคฆ์ขาวปรากฏตัวออกมา ทุกคนรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นอันไร้ที่สิ้นสุดและหวาดกลัวที่จะเผชิญหน้ากับมันจากส่วนลึกของวิญญาณพวกเขา มันแข็งแกร่งเกินไปถึงขั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้


ช่าวเทียนจื้อเองก็รู้สึกตกใจมาก และไม่คิดเลยว่ารูปแบบอาคมวิญญาณจะโจมตีมัน มันจึงไม่มีข้อสงสัยอะไรทั้งสิ้นแล้วนำม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณออกมาและโยนมันใส่พยัคฆ์ขาว


ปัง ม้วนคำสั่งเผาไหม้และกลายเป็นอีแร้งเหมันตร์ เมื่อมันกระพือปีกใส่พยัคฆ์ขาว ทำให้มันถูกพัดไปตามสายลมที่หนาวเหน็บ


อย่างไรก็ตาม พยัคฆ์ขาวเพียงแค่อ้าปากของมันและกลืนกินอีแร้งเหมันตร์เข้าไปทั้งตัว โดยที่ไม่แม้แต่จะกัดและช่าวเทียนจื้อเองก็หายไปในปากของมันด้วยเช่นกัน


อึก!


เสียงของทุกคนหายไปทันที นั่นเป็นถึงม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่พยัคฆ์ขาวกับกลืนกินการโจมตีได้อย่างง่ายดาย แล้วความแข็งแกร่งของมันจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน? ไม่แปลกที่ทุกคนต้องการมรดกของสถานที่แห่งนี้ เพียงแค่รูปแบบอาคมวิญญาณก็แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว และถ้าใครได้รับมรดกที่แท้จริง คนผู้นั้นจะแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนกัน?


รูปแบบอาคมวิญญาณเรียกพยัคฆ์ขาวกลับ และพูดกับทุกคนอย่างไม่แยแสว่า “ยังมีใครคนใดที่ยังสงสัยนายท่านผู้นี้อีกหรือไม่?”


ทุกคนรีบส่ายหัวของตัวเองพร้อมกัน แม้ว่ารูปแบบอาคมวิญญาณจะจงใจปกปิดมันไว้ แล้วใครจะกล้าคัดค้าน? ในโลกใบนี้ ใครก็ตามที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นคนตัดสินใจ การร้องเรียนคือพฤติกรรมของผู้อ่อนแอ


รูปแบบอาคมวิญญาณไม่ได้พูดว่าใครสองอันดับแรกคือใครและจ้องมองไปที่ฮูหนิวอยู่หลายครั้ง ทั้งสามคนข้างในค่อนข้างแปลกประหลาด พวกเขาทั้งสามเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและยากที่จะเข้าใจ


มีเพียงแค่เด็กสาวตัวน้อยนี่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่สามารถพาสัมผัสสวรรค์ของนางเข้าไปได้ นั่นเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์



ภายในพื้นที่ทางจิต หลินฮันและคนอื่นรู้ว่าพวกเขาอยู่สามอันดับแรกและเต็มไปด้วยความคาดหวัง


พวกเขาจะได้รับรางวัลตอบแทนอะไร?


“หลงไหเชวียน เจ้าคืออันดับสามของการทดสอบในครั้งนี้ นี่คือทักษะลับสามทักษะ เจ้าสามารถเลือกมันได้หนึ่งทักษะ” รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวอยู่ด้านข้างของหลงไหเชวียนก่อนเป็นคนแรก


พรวด!


หลงไหเชวียนสำลักออกมาทันที


ตอนแรกมันมั่นใจมากว่ามันจะต้องเป็นอันดับหนึ่งอย่างแน่นอน มันต่อสู้กับระดับบุปผาผลิบานได้ทั้งที่มันเป็นระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ แต่กลับเป็นอันดับสาม นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน? มีใครบนโลกที่สามารถเทียบกับมันได้บ้าง? อย่างไรก็ตาม มันเป็นได้แค่อันดับสามจริงๆงั้นรึ?


‘บัดซบ! เป็นไปไม่ได้!’่


“มันเกิดข้อผิดพลาดอะไรหรือไม่ ข้าได้แค่อันดับสามงั้นรึ?” หลงไหเชวียนกล่าวอย่างไม่พอใจ แต่รู้สึกไม่เชื่อมากยิ่งกว่า


ความโกรธของรูปแบบอาคมวิญญาณยังไม่หายไป และเมื่อหลงไหเชวียนท้าทายมัน ความโกรธของมันจึงปะทุออกมาทันทีอีกครั้งและพุ่งออกไปเพื่อทุบตีมันอย่างโหดเหี้ยม หลังจากที่ทุบตีหลงไหเชวียน มันได้โยนลูกบอลแสงไปที่หัวของหลงไหเชวียนและจมลงไป


“ออกไป!” มันเตะหลงไหเชวียน ทำให้สัมผัสสวรรค์ของมันกลับเข้าสู่ร่างและกระแทกเข้ากับห้อง


“อ๊ากกกก!” หลงไหเชวียนกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น เมื่อสัมผัสสวรรค์ของมันกลับมา มันก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ราวกับว่ามันถูกทุบตีจริงๆ อย่างไรก็ตาม มันก็ค้นพบว่าทุกคนต่างจ้องมองมาที่มันอย่างโหดเหี้ยม มันจึงรีบกระโดดเข้าไปในโลงศพสามชีวิตทันที


ในฐานะที่มันเป็นคนหยิ่งยโส แต่มันก็ไม่กล้ายั่วยุจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานสิบห้าคนที่อยู่ที่นี่


“ม่ายยยยยยย!” ในไม่ช้ามันก็ตะโกนร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า เพราะทักษะลับที่มันได้มานั้นคือเคล็ดลับสกัดเม็ดยา!


บัดซบ!


มันไม่ใช่นักปรุงยา แต่มันกลับมอบเคล็ดลับสกัดเม็ดยาให้กับมัน?


มันเป็นความคิดของตัวมันเองที่กล้าท้าทายรูปแบบอาคมวิญญาณ และไม่มีอะไรที่มันสามารถคัดค้านได้


รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง แต่ปรากฏตัวกับหยานเทียนจ้าว


“หยานเทียนจ้าว เจ้าคืออันดับสองของการทดสอบในครั้งนี้ นี่คือเม็ดยาสามประเภท เจ้าสามารถเลือกมันได้หนึ่งอย่าง” มันพูดเกือบจะเหมือนเดิม แต่รางวัลตอนแทนนั้นเปลี่ยนไป


“นี่มันอะไรกัน!?” หยานเทียนจ้าวยืนขึ้นด้วยความตกใจ มันเอาชนะฝ่ายตรงข้ามที่เป็นถึงระดับบุปผาผลิบานที่มีพลังต่อสู้ยี่สิบดาวได้ทั้งที่เป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากแล้ว มันครอบครองความทรงจำของพระเจ้า และต่อสู้กับสัมผัสสวรรค์ แต่มันก็ยังไม่ได้รับอันดับหนึ่ง?


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มันทำมานั้นกลับไม่ได้รับอันดับหนึ่ง แล้วมันจะทำใจเชื่อได้อย่างไร?


“อะไร เจ้าเองก็สงสัยนายท่านผู้นี้ได้งั้นรึ?” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าวอย่างดุเดือด ดูเหมือนว่ามันจะลงไม้ลงมืออีกแล้ว


“ข้ามิกล้า!” หยานเทียนจ้าวเป็นคนที่มีเหตุผล มันรู้ดีว่ารูปแบบอาคมวิญญาณนี่มีอำนาจมากแค่ไหน


“ดีมากที่เจ้าไม่กล้า จงรีบเลือกรางวัลของเจ้าเสีย!” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าวอย่างเย็นชา มันมีลูกบอลแสงสามลูกอยู่บนมือของมัน ซึ่งแต่ละลูกบรรจุเม็ดยาอยู่ด้านใน



ในไม่ช้า รูปแบบอาคมวิญญาณก็ปรากฏขึ้นอยู่ที่ที่หลิงฮันอยู่


“หลิงฮัน เจ้าคืออันดับหนึ่งของการทดสอบในครั้งนี้ นี่คือทักษะลับสามทักษะ เจ้าสามารถเลือกได้หนึ่งทักษะ” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าว รางวัลตอบแทนนั้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง


หลิงฮันเผยรอยยิ้มออกมาและตั้งคำถามออกไปแทน “ผลการต่อสู้ของอันดับสองและอันดับสามเป็นเช่นไร?”


“ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ ซึ่งเอาชนะระดับบุปผาผลิบานห้าดาวและยี่สิบดาวได้ตามลำดับ” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าว


หลิงฮันอดที่จะรู้สึกตกใจไม่ได้ มีคนที่แข็งแกร่งแบบนั้นอยู่ด้วย? ไม่ บางที่พวกมันอาจจะเป็นเหมือนเขาที่ใช้ช่องโหว่ของการทดสอบ


“จงรีบเลือกเสีย!” รูปแบบอาคมวิญญาณค่อนข้างใจร้อนทีเดียว


หลิงฮันมองไปที่ลูกบอลแสงทั้งสามลูกบนมือของมันและพูดว่า “แล้วไหนทักษะลับสามประเภท?”


“วางลูกบอลแสงบนหน้าผากของเจ้าเพื่อดูทักษะลับที่อยู่ภายใน หากไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของเจ้า เจ้าจะไม่มีสิทธิ์ดูทักษะลับทั้งสาม” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าว


หลิงฮันทำตามที่มันบอกและเผยสีหน้าตกใจออกมาทันที


ทักษะลับทั้งสามนี่ล้วนแต่เป็นอัญมณี!


“รูปแบบอาคมมายาสวรรค์” “เคล็ดลับปรุงยาร้อยแปดวิถี” และ “ทักษะกายาเก้ามังกรทรราช” มันมีทั้งรูปแบบอาคม เคล็ดลับปรุงยาและทักษะวรยุทธ


หลิงฮันดูที่บทนำ ทั้งสามล้วนแต่เป็นระดับพระเจ้า!


เขาลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจและเลือก “ทักษะกายาเก้ามังกรทรราช”


เขาเพิ่งเริ่มเรียนรู้รูปแบบอาคม มันเป็นเพียงแค่ความสามารถเสริมเท่านั้นและไม่ได้โดดเด่นกว่าศาสตร์วรยุทธ สำหรับศาสตร์ปรุงยา เขายังมีเวลาอีกนานก่อนที่จะทะลวงผ่านระดับทลายมิติและกลายเป็นพระเจ้า ดังนั้นสูตรเม็ดยาระดับพระเจ้าจะมีความหมายอะไร?


ดังนั้น เขาจึงเลือกทักษะวรยุทธ


ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชเป็นทักษะเสริมแกร่งให้กับร่างกาย และเมื่อมันถึงจุดสูงสุด กล้ามเนื้อจะเป็นดั่งพระเจ้าและมีพละกำลังดั่งมังกรที่แท้จริงเก้าตัว!


มังกรที่แท้จริงคือหนึ่งในสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสัตว์อสูรในตำนาน หากครอบครองความแข็งแกร่งกายภาพของมังกรที่แท้จริงเก้าตัว…มันจะน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน? อย่างไรก็ตาม ทักษะกายาเก้ามังกรทรราชนี่บ่มเพาะได้ยากมาก อย่างมากอาจครอบครองพลังของพลังกรที่แท้จริงสามตัวเท่านั้น


“ขี้เหนียวยิ่งนัก ทำไมถึงเลือกได้แค่หนึ่งในสาม?” หลิงฮันคัดค้าน


“มันยังมีการทดสอบอีกสองรอบ และถ้าเจ้าสามารถเป็นอันดับหนึ่งได้ทั้งสองรอบ เจ้าจะมีโอกาสที่จะได้รับมัน” รูปแบบอาคมวิญญาณกล่าวอย่างไม่แยแส และวางลูกบอลแสงบนหัวของหลิงฮัน ทันใดนั้น แสงของตัวอักษรทองคำได้หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายของเขาและรวมเป็นหนึ่งกับเขา


“ไปได้แล้ว!” รูปแบบอาคมวิญญาณเตะหลิงฮันออกไปเช่นเดียวกัน


หลิงฮันไม่ได้ตอบโต้ สัมผัสสวรรค์ของเขาเต็มไปด้วยทักษะกายาเก้ามังกรทรราช และกลายเป็นความทรงจำให้กับเขา แต่ทว่าตัวอักษรลึกลับพวกนั้นยากที่จะทำความเข้าใจ แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย


ตอนที่ 492.2 อีแร้งเพลิงสีคราม


ปัง สัมผัสสวรรค์ของหลิงฮันกลับเข้าร่าง


ทุกคนจ้องมองไปที่หลิงฮัน เขาเป็นคนที่ออกมาเป็นคนสุดท้าย หรือว่าเขาจะเป็นอับดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้?


อันดับสามมีพลังต่อสู้ระดับบุปผาผลิบานห้าดาว เช่นนั้นเขามีพลังต่อสู้มากแค่ไหนกัน? แต่ทว่าจอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณจะเหนือก้าวคนที่ก้าวข้ามความเป็นมนุษย์ไปแล้วได้อย่างไร?


“ปรมาจารย์หลิง ท่านได้รับสมบัติอะไรมาอย่างนั้นหรือ?” จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานคนหนึ่งถาม


นี่ควรจะเป็นความลับส่วนตัวที่ไม่ควรถามถึง แต่มันใช้ประโยชน์จากระดับพลังที่สูงกว่าจึงกล้าถาม ยิ่งไปกว่านั้น นี่ยังเป็นเพราะมันกังวลตัวตนของนักปรุงยาระดับสวรรค์ของหลิงฮันอยู่ มิฉะนนั้นมันคงจะปล้นเขาไปแล้ว


หลิงฮันจ้องมองมันและพูดว่า “ทำไมข้าจะต้องบอกเจ้าด้วย?”


จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานคนนั้นสำลักน้ำลายของตัวเอง และสีหน้าของมันเปลี่ยนไปอย่างมากราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ยังไงก็ตาม หลิงฮันเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์ เมื่อคำนึงถึงสถานะของเขาแล้ว หลิงฮันเหนือกว่าตัวมันมาก ดังนั้นถ้าหลิงฮันด่าทอมัน มันสามารถทำอะไรได้บ้าง?


คนที่ไม่เกรงกลัวต่อนักปรุงยาระดับสวรรค์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การแสดงออกอย่างรุนแรงนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


สายตาของมันกลายเป็นหนาวเย็นและเต็มไปด้วยจิตสังหาร ตราบใดที่หลิงฮันอยู่ลำพังหรือเมื่อใดที่ไม่มีจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานอยู่ข้างหลังเขา มันจะเข้าไปแย่งชิงสมบัติและฆ่าพยยานรู้เห็นทั้งหมด


แม้หลิงฮันจะเป็นนักปรุงยาระดับสวรรค์ แต่ตอนนี้เขาอยู่ในเขตแดนลี้ลับ ความอยู่รอดของเขานั้นต้องรับผิดชอบด้วยตัวเอง!


หลิงฮันปล่อยจิตสังหารของเขาออกมาและยิ้มอย่างหนาวเย็น ด้วยจิตวิญญาณสองธาตุจากห้าธาตุที่เขาครอบครอง เขาจำเป็นต้องกลัวฝ่ายตรงข้ามที่เป็นจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานหรือไม่? ถ้าเขามีเย่วไค่หยู่นำม้วนคำสั่งออกมาใช้อีกม้วน กระทั่งสังหารมันก็ย่อมทำได้!


บางคนรู้สึกยินดี บางคนรู้สึกเกลียดชัง หลงไหเชวียนดูมืดมนกว่าเล็กน้อยเพราะมันท้าทายรูปแบบอาคมวิญญาณเลยไม่มีโอกาสที่จะเลือกของรางวัลจึงได้รับเคล็บลับปรุงยามา แม้ว่าสิ่งที่ถูกเขียนไว้ล้วนแต่เป็นสูตรเม็ดยาระดับสวรรค์ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกับมัน?


ส่วนหยานเทียนจ้าวโชคดีกว่ามาก มันได้รับเม็ดยาล้ำค่า ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้มันทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบาน ดังนั้น มันจึงจับตามองไปที่หลิงฮันและเชื่อว่าทักษะลับที่หลิงฮันได้รับมานั้นจะต้องมีค่ามากกว่าอย่างแน่นอน


จอมยุทธระดับบุปผาผลิบานต่างจ้องมองไปที่หลิงฮัน หยานเทียนจ้าวและหลงไหเชวียน พวกมันต้องการสมบัติที่พวกเขาได้รับมา และต้องการล่วงรู้ความลับของพวกเขาทั้งสามคนว่าทำไมถึงต่อสู้กับฝ่ายตรงกับที่เป็นระดับบุปผาผลิบานได้ทั้งที่เป็นแค่จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณ


เมื่อรูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง พวกเขาก็ถูกส่งไปยังทุ่งหญ้าและที่ราบที่มีสัตว์อสูรน่าสะพรึงกลัววิ่งพล่านอยู่ ที่แห่งนี้คือการทดสอบรอบที่สอง กฎมีความคล้ายคลึงกัน สามอันดับแรกจะได้รับรางวัล แต่การทดสอบนี่ไม่ได้วัดระดับพลังต่อสู้


พวกเขาทั้งหกคนออกเดินทาง หลิวอู๋ตงและคนอื่นนั้นต่างก็อยากรู้อยากเห็นว่าหลิงฮันได้รับสมบัติอะไรมา หลิงฮันบอกพวกเขาเกี่ยวกับทักษะกายาเก้ามังกรทรราช ทำให้พวกเขาทุกคนรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่ชื่อของมันก็ฟังดูน่าเกรงขามแล้ว


“ฮูหนิว ทำไมเจ้าถึงไม่ติดสามอันดับแรก?” หลิงฮันรู้สึกว่ามันแปลกมาก ด้วยพลังต่อสู้ของฮูหนิว มันเป็นไปได้มากว่านางสามารถกัดระดับบุปผาผลิบานตายได้


“หนิวไม่รู้เหมือนกัน หนิวเข้าไปไม่ได้” ฮูหนิวตอบกลับ


ช่วยไม่ได้ที่หลิงฮันจะรู้สึกแปลกใจ ฮูหนิวไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ ไม่ใช่ว่ามันเป็นเพราะฮูหนิวไม่ได้เข้าบ้านลั่งนั้น แต่เป็นเพราะรูปแบบอาคมวิญญาณนั้นไม่สามารถแยกสัมผัสสวรรค์ออกมาจากตัวนางได้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้รับการทดสอบ


หืม แม้แต่รูปแบบอาคมระดับพระเจ้าก็ยังไม่สามารถแยกดวงวิญญาณของฮูหนิวออกมาได้ นี่เป็นเรื่องที่แปลกมาก!


ไม่แปลกที่แม้แต่ศิลาแห่งความสับสนวุ่นวายก็ไม่สามารถทำให้นางได้รับผลกระทบ


“นายน้อยฮัน การเดินทางของพวกเราจะไม่ราบรื่นหรอกใช่ไหม?” ชางเย่ถาม


“แน่นอนว่าไม่!” หลิงฮันพูดด้วยรอยยิ้ม เขาหยุดพูดชั่วครู่แล้วพูดต่อว่า “แปลกแฮะ ทำไมข้าถึงไม่เห็นเหวินอีเจี้ยน?”


“บางที่เขาอาจวิ่งไปที่ไหนสักแห่ง”


“หรืออาจพบกับสัตว์อสูรและตายไปแล้ว!” เย่วไค่หยู่พูดออกมาด้วยความชั่วร้าย ชายคนนั้นหล่อเหลาเกินไปถึงขั้นทำให้ผู้คนอิจฉา


หลิงฮันหัวเราะลั่น เขาส่ายหัวและพูดว่า “เหวินอีเจี้ยนไม่ใช่คนที่มีอายุสั้น คนอย่างเขามีความเป็นไปได้มากที่จะกลายเป็นพายุลูกใหม่ในอนาคต! เขาไม่อยู่ที่นี่เพราะเขาอาจได้รับโอกาสอื่นอยู่”


ทันใดนั้นหลิงฮันเริ่มคิดว่า ทำไมเหวินอีเจี้ยนถึงมาที่ภูมิภาคเหนือ เป็นไปได้ไหมที่เขามาเพียงแค่เพื่อชมความงดงามของจูเสวี่ยนเอ๋อ? อัจฉริยะอย่างเหวินอีเจี้ยนแน่นอนว่าไม่มีทางเดินทางกว่าหมื่นไมล์เพียงเพราะเขาได้ยินความงดงามของนาง


แล้วมันคงจะเป็นเรื่องบังเอิญเกิดไปที่เขามาในตอนที่สิบสองเขตแดนลี้ลับกำลังเปิด?


ทันใดนั้นความคิดบางอย่างได้ผุดขึ้นมา เขาคาดเดาว่าบางทีเหวินอีเจี้ยนเองก็อาจมีกุญแจเหมือนกัน!


ด้วยเหตุนั้น เหวินอีเจี้ยนจึงข้ามภูมิภาคมาเพียงลำพังเพราะกลัวว่าความลับของเขาจะถูกล่วงรู้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีโอกาสที่จะช่วงชิงมันไป นั่นเป็นเพราะเขาเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับแก่นแท้จิตวิญญาณขั้นเก้าเท่านั้น


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดา แต่หลิงฮันมั่นใจมากทีเดียวว่าจะต้องเป็นแบบนั้น


เมื่อออกจากเขตเมือง ทุ่งหญ้าและภูเขาก็ปรากฏขึ้น ต้นไม้สูงร้อยกว่าเมตรสามารถมองเห็นได้ทุกที่ทั้งยังมีหลากสีและสดใส ราวกับช่อดอกไม้ที่บานสะพรั่ง


อย่างไรก็ตาม ภูเขาและป่านั้นแน่นอนว่าย่อมไม่ใช่พื้นที่ที่ปลอดภัย


…บางทีอาจมีสัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณอยู่ที่นี่ และถ้าพวกเขาเผชิญหน้ากับมันเข้า ชะตาของพวกเขาคงจะถึงฆาตแล้ว


“ระวังให้ดี พวกเราอาจไม่เจอสัตว์อสูรที่นี่ แต่อาจเจอโจรระดับบุปผาผลิบานเข้า” หลิงฮันพูด


ทุกคนพยักหน้าและกลายเป็นระมัดระวังและเคร่งขรึม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเย่วไค่หยู่ เขาถือม้วนคำสั่งของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณอยู่ในมือและดูเหมือนพร้อมที่จะปาออกไปทุกเมื่อถ้ามีใครกล้าปรากฏตัวออกมา


ผู้คนแยกกันออกไปก่อนที่จะเข้าไปในป่า นี่คือภายในเขตแดนลี้ลับ ใครจะเชื่อใจคนอื่นได้อย่างง่ายดายถ้าไม่ใช่เพื่อนสนิท? แล้วถ้าพวกเขาถูกแทงจากด้านหลังจะเป็นเช่นไร ใครจะร้องไห้ให้กับพวกเขา?


“ก๊า ก๊า ก๊า…” เสียงนกร้องไม่หยุดดังไปทั่วป่า และอาจเป็นนกตัวใหญ่บินอยู่บนท้องฟ้าเป็นบางครั้ง ปีกของพวกมันกางออกมามีความยาวมากกว่าร้อยฟุตและมีขนเหมือนกับดาบ บางตัวไม่มีขนเลยก็มี แต่กลับมีเกล็ดสีดำยื่นออกมาให้ความรูปสึกเหมือนเหล็กเย็น


พวกเขาเห็นอีแร้งฟ้ากำลังจับกระทิงราวกับกำลังจับลูกไก่


กระทิงดำเกล็ดแดง! เมื่อทุกคนเห็น พวกเขาต่างอ้าปากด้วยความตกใจ เพราะกระทิงดำเกล็ดแดงนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณ แต่ทว่าตอนนี้มันกลับถูกอีแร้งฟ้าจับได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นอีแร้งฟ้านั้นเป็นอสูรระดับใดกัน?


หลิงฮันต้องมองอย่างเคร่องเครียด อีแร้งฟ้านั่นเป็นสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทว่าที่มีชื่อว่าอีแร้งเพลิงสีคราม มันสามารถพ่นเปลวเพลิงสีฟ้าออกมาได้ และถึงขั้นหลอมละลายเหล็กหายากระดับแปดได้


ใช่แล้ว มันเป็นราชาในหมู่สัตว์อสูร สัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวาทั่วไปนั้นแน่นอนว่าไม่มีพลังที่น่าสะพรึงกลัวแบบนั้น


ถ้าอีแร้งเพลิงสีครามปล่อยการโจมตีใส่พวกเขา แน่นอนว่าเขาจะต้องพาทุกคนเข้าไปในหอคอยทมิฬ ส่วนเย่วไค่หยู่และจูเสวี่ยนเอ๋อนั้นเขาไม่อาจพาเข้าไปได้


…เย่วไค่หยู่ปากสว่างเกินไป ส่วนจูเสวี่ยนเอ๋อยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากเขา ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงไม่ล่วงรู้ตัวตนของหอคอยทมิฬได้


โชคดีที่อีแร้งเพลิงสีครามเพียงแค่จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาหนาวเย็นแล้วบินจากไปราวกับพวกเขาเป็นสัตว์เลื้อนคลานที่ไม่อาจดึงดูดความสนใจของมันได้


ตอนที่ 492.3 ขโมยไข่


พวกเขาทั้งหกคนไม่กล้าที่จะประมาท มันอันตรายเกินไปเพราะที่นี่มีสัตว์อสูรที่ทรงพลังมากมายที่สามารถฆ่าพวกเขาได้เป็นร้อยครั้ง แต่เมื่อคิดถึงโอกาสที่พวกเขาจะได้รับนั้นแทบจะไม่มี


ยิ่งไปกว่านั้น นี่เองก็เป็นโอกาสที่หายากที่จะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น การมีชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นและความตายนั้นจะทำให้ระดับพลังของจอมยุทธก้าวหน้าขึ้น


โชคของพวกเขาไม่ได้เลวร้ายนัก พวกเขาไม่เจอกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังเลย จนกระทั่งครึ่งวันต่อมาสัตว์อสูรตัวหนึ่งได้ปรากฏออกมา มันมีความสูงเกือบสิบฟุต ขนของมันดำเงาเป็นประกาย มันมีขาสี่ขาและมีหางสามหางเหมือนกับไม้เท้า


อย่างไรก็ตาม หัวของมันกลับเป็นงู และแลบลิ้นแผล็บแผล็บ ลิ้นของมันมีความยาวประมาณหนึ่งฟุต และแยกออกเป็นสองแฉกเหมือนกับง้าว


“ระดับบุปผาผลิบาน!” ทุกคนสูดลมหายใจอย่างหนาวเย็น


โดยที่ไม่พูดอะไรออกมา หลิงฮันเรียกอสูรศิลาออกมา สัตว์อสูรนี่ไม่ใช่บททดสอบสำหรับพวกเขา แต่มันปรากฏตัวออกมาเพื่อเอาชีวิตของพวกเขา


“โฮกกกก!” อสูรศิลาคำรามใส่สัตว์อสูรหัวงู มันไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย


สัตว์อสูรหัวงูเผยท่าทีหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย มันไม่ใช่ราชาในหมู่สัตว์อสูร ดังนั้นแม้ว่าระดับพลังของมันจะสูงกว่าอสูรศิลาอย่างเห็นได้ชัด แต่มันก็ยังคงแสดงความลังเลออกมาและไม่กล้าโจมตีผลีผลาม


“ว้าว หินยักษ์!” ฮูหนิวเบิกตากว้าง มันเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นอสูรศิลา จากนั้นนางกระโดดขึ้นไปอยู่บนหัวของอสูรศิลาทันที และชี้ไปที่สัตว์อสูรหัวงูและพูดว่า “วิ่ง วิ่ง วิ่ง หนิวต้องการกินเนื้อของมัน โค่นสัตว์อสูรตัวใหญ่นั่นเลย!”


อสูรศิลารู้สึกโกรธ นอกจากหลิงฮันแล้ว มันดูถูกเหยียดหยามทุกคน แล้วใครจะสามารถขี่หัวของมันได้? จิตวิญญาณของธาตุทั้งห้านั้นมีความภาคภูมิใจที่เป็นจิตวิญญาณของธาตุทั้งห้า ในตอนนั้น แม้มันจะตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ แต่มันก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อหลิงฮัน ซึ่งมันเป็นหอคอยทมิฬที่ทำให้มันยอมจำนน ดังนั้นเด็กสาวตัวน้อยนี่คืออะไร?


มันกำลังจะระบายความโกรธออกมา แต่แล้วมันก็ต้องตกใจขณะที่มันรู้สึกได้ถึงตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวจากฮูหนิว และกลายเป็นเชื่อฟังทันทีอย่างกับสุนัขแล้วคำรามออกมาเสียงดังขณะพุ่งเข้าหาสัตว์อสูรหัวงู


“ตีมัน ตีมัน ตีมันเลย!” ฮูหนิวประมือและหัวเราะขณะที่นางออกคำสั่ง


หลิงฮันรู้สึกว่ามันแปลก อสูรศิลาเชื่อฟังฮูหนิว…หรือว่าสมองของมันจะอัดแน่นไปด้วยหิน?


สัตว์อสูรหัวงูต่อสู้กับอสูรศิลาหลายยกและเริ่มหลบหนี มันได้รับประสบการณ์อันทรงพลังและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าสะพรึงกลัว มันไม่อาจเทียบกับฝ่ายตรงข้ามได้แม้แต่น้อย ดังนั้นมันจึงทำได้แค่หลบหนีเท่านั้น


“อย่าปล่อยให้มันหนี วิ่งตามมันไป!” ฮูหนิวออกคำสั่งให้อสูรศิลาวิ่งตาม


อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน อสูรศิลาก็พาฮูหนิวกลับ ทำให้เด็กสาวตัวน้อยหน้าบูดบึ้งและด่าทออสูรศิลาว่า “ใช้การไม่ได้เลย เจ้าปล่อยให้เนื้อของฮูหนิวต้องบินจากไป ถ้าเจ้าไม่เป็นหิน หนิวคงจะกินเจ้าไปแล้ว!”


อสูรศิลาไม่มีข้อแก้ตัวและทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง


“เป็นหุ่นเชิดที่ทรงพลังยิ่งนัก!” จูเสวี่ยนเอ๋อที่ไม่รู้ความจริงอุทานออกมา นี่เป็นหุ่นเชิดระดับบุปผาผลิบาน! นางหันไปมองหลิงฮันและกล่าวชื่นชมอย่างเป็นธรรมชาติว่า “นายน้อยฮันได้พิสูจน์ให้เห็นว่าท่านเป็นอัจฉริยะ ราชันนักปรุงยา รวมถึงปรมาจารย์ด้านรูปแบบอาคม เสวี่ยนเอ๋อรู้สึกประทับใจมาก!”


ฮูหนิวรู้สึกไม่พอใจและพูดว่า “หินยักษ์ ทุบตีผู้หญิงน่าเกลียดคนนั้นซะ!”


อสูรศิลาเผยท่าทีชั่วร้ายออกมาทันทีและจ้องมองไปที่จูเสวี่ยนเอ๋อ


หลิงฮันรีบพูดให้มันหยุดและพูดว่า “หยุดซนได้แล้ว!”


ฮูหนิวเริ่มเล่นนิ้วของตัวเองและพูดพึมพัมว่า “หนิวไม่ได้ซุกซน แต่หนิวจริงจัง” จูเสวี่ยนเอ๋อสั่นด้วยความกลัวและไม่คิดว่าเด็กสาวตัวน้อยนี่จะเป็นคนที่ขี้อิจฉาขนาดนั้น


อสูรศิลายังคงเชื่อฟังหลิงฮันมากกว่า นั่นเป็นเพราะหลิงฮันเป็นเจ้านายของมัน หลิงฮันคิดขึ้นมาได้ว่าไม่เก็บอสูรศิลายักษ์เข้าไปในหอคอยทมิฬจะดีกว่า สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยอัตราย แม้แต่สัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณก็อาจปรากฏตัวออกมา ดังนั้นมันคงจะดีกว่าถ้าปล่อยให้อสูรศิลาคุ้มกันอยู่ด้านนอก


พวกเขาเดินออกไปได้อีกสักพักหนึ่ง ต้นไม้ขนาดยักษ์ได้ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา รากของมันใหญ่ขนาดร้อยคนโอบ และมีความสูงหลายร้อยฟุต อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แปลกคือมันแทบจะไม่มีกิ่งไม้เกือบจะมีเพียงแค่ลำต้นเหมือนกับเสา ส่วนกิ่งไม้ที่ยื่นออกมานั้นเล็กมาเหมือนกับขน ซึ่งดูไม่สดุดตาเลยแม้แต่น้อย


ด้านบนสุดของต้นไม้มีบางอย่างที่คล้ายมงกุฎขนาดใหญ่อยู่ แต่เมื่อจ้องมองอย่างใกล้ชิด มันไม่ใช่มงกุฎ แต่เป็นรังนก!


พระเจ้า รังนกใหญ่ยักษ์อะไรเยี่ยงนี้!


หลิงฮันใช้เนตรแห่งสัจธรรม หลังจากที่มอง เขาก็ดูประหลาดใจและพูดว่า “มันมีไข่อยู่ในรังนก และจากลวดลายบนเปลืองไข่ มันน่าจะเป็นไข่ของอีแร้งเพลิงสีคราม และอีแร้งเพลิงสีครามก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย!”


เย่วไค่หยู่อ้าปากกว้างและพูดว่า “นายน้อยฮัน ท่านคงไม่ได้คิดที่จะขโมยไข่ของมันหรอกใช่ไหม?” เขารู้สึกตกใจมาก อีแร้งเพลิงสีครามนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับก้าวสู่เทวาและไม่มีใครคนใดในภูมิภาคเหนือสามารถต่อกรกับมันได้ แต่หลิงฮันกลับกล้าที่จะขโมยลูกหลานของมัน


หลิงฮันแสยะยิ้มและพูดว่า “ทำไมจะไม่?” จากนั้นเขาก็อธิบายให้ทุกคนฟังด้วยความมั่นใจว่า “อีแร้งเพลิงสีครามถูกกังขังอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แต่ถ้าตามพวกเราออกไปด้านนอก มันสามารถบินได้อย่างอิสระ ข้ากำลังทำเรื่องดีๆอยู่!”


จูเสวี่ยนเอ๋อถอนหายใจและพูดว่า “การเป็นหัวขโมยอย่างโจ่งแจ้งและชอบธรรม มันเป็นครั้งแรกที่เสวี่ยนเอ๋อเจอกับคนแบบนั้น!”


“ข้าด้วย!”


“ข้าคนที่สอง!”


หลิวอู๋ตงและชางเย่คล้อยตาม


ฮูหนิวปรบมือขณะที่พูดออกมาว่า “หนิวจะช่วยหลิงฮันเอง หนิวจะฉกไข่และต้มให้มันสุกแล้วกิน!” ทันใดนั้น นางปีนไต่ขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยความว่องไวเหมือนกับลิงทันที


ความเร็วของนางไม่ได้ช้าไปกว่าอสูรศิลาตอนที่บินอยู่บนฟ้าแม้แต่น้อย และเมื่อเห็นเช่นนั้น หลิงฮันจึงล้มเลิกให้อสูรศิลาบินขึ้นไปบนต้นไม้


ในไม่ช้า ฮูหนิวก็ปีนลงมาด้วยมือข้างเดียว ในขณะที่มืออีกข้างนั้นกอดไข่ที่มีขนาดไม่เล็กไปกว่าตัวนางอยู่ ทำให้คนอื่นรู้สึกกังวลว่านางจะตกลงมาพร้อมกับไข่


แม้ว่านางจะโขมยไข่ได้อย่างง่ายดาย แต่กลิ่นอายของอีแร้งเพลิงสีครามยังคงอยู่ภายในรัง มันเป็นแรงกดดันที่ยอดเยี่ยมสำหรับสัตว์อสูรและจอมยุทธ ถึงขั้นรับรองได้ว่าแม้แต่สัตว์อสูรระดับตัวอ่อนวิญญาณก็ยังไม่กล้าเข้ามาใกล้ มิฉะนั้นแขนขาของพวกเขาคงจะไร้เรี่ยวแรง และถึงขั้นสูญเสียพลังที่จะเคลื่อนไหว แต่สำหรับคนที่แปลกประหลาดอย่างฮูหนิว แน่นอนว่ามันไม่มีผลแม้แต่น้อย


ในไม่ช้าฮูหนิวก็ลงมาอยู่บนพื้นและกอดไข่อย่างมีความสุขพร้อมกับพูดว่า “ต้มหรือทอดดี?”


“ไม่ทั้งสองอย่าง!” หลิงฮันแย่งไข่มาและพูดว่า “ตัดใจมากมันซะ!”


“บู้ววบู้ววบู้วว หนิวอยากกิน!” ฮูหนิวบุ้ยปากและแสดงความไม่พอใจออกมา


หลิงฮันไม่สนใจนางและเก็บไข่นกเข้าไปในหอคอยทมิฬ เย่วไค่หยู่และจูเสวี่ยนเอ๋อรู้สึกแปลกใจ สิ่งมีชีวิตสามารถนำเก็บเข้าไปในแหวนมิติได้ด้วย? ไม่ใช่ว่ามันจะตายหรอกหรือ?


“รีบหนีกันเถอะ!” พวกเขาทั้งหกคนรีบวิ่งจากไปทันที ถ้าอีแร้งเพลิงสีครามกลับมา มันจะต้องเป็นปัญหาอย่างแน่นอน


พวกเขาทั้งหกคนเดินจากไปไกลพอสมควร และทันใดนั้นเสียงร้องกรีดร้องที่ทำให้พื้นดินต้องสั่นไหวก็ดังขึ้น คลื่นเสียงนั่นเป็นเหมือนกับคมดาบและตัดต้นไม้ที่อยู่โดยรอบเป็นชิ้นๆ แม้ว่าพวกเขาจะป้องกันด้วยพลังทั้งหมด แต่ชางเย่และหลิวอู๋ตงก็ยังคงได้รับบาดเจ็บเพราะระดับพลังของทั้งสองคนนั้นต่ำกว่าคนอื่นเล็กน้อย


“อีแร้งเพลิงสีครามกลับมาแล้ว!”


“วิ่ง!”


พวกเขาทั้งหกคนเร่งความเร็วขึ้น ขณะที่หลิงฮันคิดกับตัวเองว่าถ้าอีแร้งเพลิงสีครามพบร่องรอยของพวกเขาเข้า เขาจะพาทุกคนเข้าไปในหอคอยทมิฬทันที


ชิ่ว!


ในขณะนั้น ประกายแสงของดาบถูกยิงออกมาจากด้านข้างอย่างกะทันหัน และเล็งไปที่ใต้ซี่โครงข้างขวาของหลิงฮัน


493

จังหวะในการลอบจู่โจมนั้นสมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก ขณะที่ทุกคนกำลังคิดถึงแต่เรื่องวิ่งหนีเอาชีวิตรอด ใครจะไปคิดว่าจู่ๆจะมีดาบโจมตีเข้ามา


แม้แต่หลิงฮันก็คาดไม่ถึง สัมผัสสวรรค์ของเขาตรวจจับจิตวิญญาณที่ทรงพลังรอบๆไม่พบแม้แต่น้อย


พลังของดาบนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ด้วยการที่มีอำนาจเสริมอย่างปราณดาบเก้าเล่ม เห็นได้ชัดว่าคนที่ลอบจู่โจมนั้นคิดจะลงมือกับพวกเขาถึงตาย!


ในช่วงเวลาเช่นนี้ หลิงฮันยังคงแหงนหน้าขึ้นมองตำแหน่งที่ดาบถูกปล่อยออกมาจนพบกับคนคนหนึ่ง


หยานเทียนจ้าว มันทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานแล้ว!


หลิงฮันไม่สามารถหลบการโจมตีนี้ได้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะอย่างไรเขาก็สามารถหลบเข้าไปในหอคอยทมิฬได้เพียงแค่นึกคิด เขาสามารถเข้าไปยังหอคอยทมิฬได้ก่อนที่ปลายดาบจะสัมผัสกับร่างของเขา


หลิงฮันเริ่มจะคิดแล้วว่าหมอนี่สมกับเป็นคนที่ได้ครอบครองความทรงจำของพระเจ้าจริงๆ สำหรับมัน การทะลวงผ่านระดับบุปผาผลิบานนั้นง่ายราวกับเดินเล่น แต่ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้พลังบ่มเพาะของมันก็ยังอยู่ที่ระดับแก่นแท้จิตวิญญาณไม่ใช่ระดับบุปผาผลิบานครึ่งเก้า แค่จู่ๆมันกลับกลายเป็นระดับบุปผาผลิบานได้ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเช่นนี้มันจะน่าสะพรึงกลัวเกินไปหน่อยรึเปล่า?


เดี๋ยวสิ… ในการทดสอบแรก เขาได้รับทักษะกายาเก้ามังกรทรราชเป็นรางวัล และถ้าหยานเทียนจ้าวได้รับเม็ดยาเป็นรางวัล นั่นก็ไม่แปลกที่จู่ๆพลังบ่มเพาะของมันจะกลายเป็นระดับบุปผาผลิบาน


เมื่อความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมาในหัว หลิงฮันก็คิดจะหลบเข้าไปในหอคอยทมิฬและเรียกอสูรศิลาออกมาสู้ แต่ทันใดนั้นเอง ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาด้านหน้าและโผกอดเขาเพื่อป้องกันการลอบโจมตี


ร่างนั้นคือจูเสวียนเอ๋อ!


สตรีโง่… หากถูกกอด เขาก็ไม่สามารถเข้าไปในหอคอยทมิฬได้… นอกเสียจากเขาจะทำให้นางหมดสติและพาตัวนางเข้าไปในหอคอยทมิฬด้วย แต่กว่าจะทำเช่นนั้นเสร็จ การโจมตีของหยานเทียนจ้าวก็คงจะมาถึงตัวพวกเขาแล้ว


หลิงฮันหัวเราะทั้งน้ำตา นี่เจ้าพยายามช่วยข้าหรือพยายามทำให้ข้าบาดเจ็บกันแน่?


‘ฉัวะ!’


ดาบเสียบเข้าร่างของจูเสวียนเอ๋อจนทะลุร่างของนาง พลังของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบานแข็งแกร่งเกินไป แม้แต่พลังป้องกันของจูเสวียนเอ๋อก็ไม่สามารถบั่นทอนพลังของมันลดลงได้มากนัก


เมื่อปลายดาบสัมผัสกับร่างของหลิงฮันมันก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยเกราะอัสนี นี่คืออาวุธวิญญาณระดับสิบซึ่งทนทานเป็นอย่างยิ่ง มันจะถูกเจาะทะลวงง่ายๆได้อย่างไร? แต่พลังของจอมยุทธระดับบุปผาผลิเขาก็ยังแข็งแกร่งอยู่ดี อำนาจของดาบได้ส่งผ่านเข้าไปยังร่างกายของหลิงฮันจนทำให้อวัยวะภายในของเขาได้รับความเสียหาย


สภาพของจูเสวียนเอ๋อนั้นย่ำแย่กว่าเขามาก ร่างกายของนางไร้เรี่ยวแรงพร้อมกับพลังชีวิตที่ลดลงอย่างรวดเร็ว


หลิงฮันคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “ศิลาน้อย สังหารมัน!”


‘พรึบ’ ร่างของเขากับจูเสวียนเอ๋อหายเข้าไปในหอคอยทมิฬ


“ทั้งสองคนหายไปแล้ว!” เยว่ไค่หยู่อุทานออกมาพร้อมกับหันไปมองคนอื่น แต่คนอื่นๆกลับไม่มีสีหน้าตกตะลึงแม้แต่น้อย “ข้าเป็นคนเดียวรึที่คิดว่ามันแปลก? เมื่อครู่คนสองคนหายไปในพริบตาเลยนะ!”


“กล้าทำร้ายหลิงฮันของหนิว! หนิวจะกัดเจ้าให้ตกตายไปเลย!” ฮูหนิวปลดปล่อยจิตสังหารออกมาและพุ่งเข้าใส่หยานเทียนจ้าวพร้อมกับอสูรศิลา


หยานเทียนจ้าวแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา มันรู้ว่าหลิงฮันครอบครองเกราะสมบัติอยู่ ดังนั้นมันจึงวางแผนลอบโจมตีโดยไม่ให้หลิงฮันมีเวลากระตุ้นใช้งานเกราะที่ว่านั่น


มันครอบครองความทรงจำของพระเจ้า จึงเป็นธรรมดาที่มันจะรู้วิธีปกปิดกลิ่นอายของตนเองจากสัมผัสสวรรค์ของหลิงฮัน


แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น อย่างแรกคือสตรีที่นำตัวเข้ามาป้องกันหลิงฮัน ถึงแม้พลังป้องกันของระดับแก่นแท้จิตวิญญาณจะไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานพลังโจมตีของมัน แต่ก็ยังสามารถบั่นทอนอำนาจของดาบมันให้ลดลงได้อยู่ดี และสิ่งที่มันคาดไม่ถึงมากที่สุดก็คือการที่หลิงฮันและสตรีคนนั้นหายไปด้วยกันอย่างไร้ร่องรอย


มันสัมผัสถึงช่องว่างมิติที่ถูกฉีกขาดไม่ได้ ดังนั้นทั้งสองจะต้องไม่ได้หลบหนีไปโดยการเคลื่อนย้ายมิติแน่นอน หรือว่า… หลิงฮันจะมีสมบัติที่สามารถบรรจุสิ่งมีชีวิต?


สมบัติเช่นนั้นแม้แต่บนดินแดนแห่งพระเจ้าก็ถือว่าล้ำค่ามาก หากไม่ใช่ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่อาจครอบครองได้


แววตาของมันกลายเป็นพร่ามัว มันจะต้องนำสมบัติเช่นนั้นมาครอบครองให้ได้!


‘ปัง’ อสูรศิลาโจมตี ในขณะที่ฮูหนิวใช้ทักษะเคลื่อนที่ไปด้านหลังหยานเทียนจ้าวและอ้าปากกว้าง เมื่อประจันหน้ากับวิญญาณของธาตุทั้งห้า แม้แต่หยานเทียนจ้าวก็ไม่อาจประมาทได้ เพราะอย่างไรตอนนี้ร่างของมันก็ไม่ใช่ร่างของพระเจ้า



ภายในหอคอยทมิฬ หลิงฮันรีบเรียกใช้พลังอำนาจของหอคอยในการรักษาตนเอง แต่กลับพบว่าไม่สามารถทำได้


“หอคอยน้อย ทำไมบาดแผลของข้าไม่ฟื้นตัว?” หลิงฮันถาม


“ใครบอกเจ้าว่าหอคอยทมิฬสามารถรักษาบาดแผลได้?” จิตวิญญารหอคอยปรากฏตัวและพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “หอคอยทมิฬสามารถขับไล่สิ่งแปลกปลอมออกจากร่างเจ้าได้ แต่ไม่สามารถใช้รักษาบาดแผล”


หลิงฮันถอนหายใจและพูด “ถ้าข้าตาย เจ้าจะต้องไปหาเจ้านายใหม่นะ ทำไมเจ้าถึงยังเยือกเย็นได้แบบนั้น?”


“ก็แค่การเปลี่ยนเจ้านาย ถึงอย่างไรอายุขัยของข้าก็ไม่มีจำกัดอยู่” จิตวิญญาณหอคอยพูดอย่างไม่แยแส


‘’บัดซบ!”


หลิงฮันไม่มีเวลาไปต่อล้อต่อเถียง เขาโคจรหยดวารีอมตะทันทีและรีบตรวจสอบสอบบาดแผลของจูเสวียนเอ๋อ แม้นางจะไม่ถูกโจมตีในจุดสำคัญ แต่พลังของระดับบุปผาผลิบานก็น่ากลัวเกินไป มันทำลายอวัยวะภายในทุกอย่างของนาง หากปล่อยไว้ อีกไม่นานชีวิตของนางจะต้องดับสูญแน่ๆ


แม้หลิงฮันจะไม่มีความจำเป็นที่จะช่วยชีวิตนาง แต่เขาจะยอมให้คนอื่นมาตายเพื่อเขาได้อย่างไร?


หลิงฮันพูดอย่างเคร่งเครียด “หอคอยน้อย คิดว่าวิธีทำให้สภาพร่างกายของนางมั่นคง ข้าจะหลอมเม็ดยา!”


จิตวิญญาณหอคอยตรวจสอบชั่วขณะและพูด “นางใกล้จะตายแล้ว ข้าจำเป็นต้องใช้พลังแห่งต้นกำเนิดที่ล้ำค่าเพื่อคงสภาพของนางไม่ให้ย่ำแย่ไปกว่าเดิม เจ้าจงคิดให้ดี พลังต้นกำเนิดของข้าในตอนนี้มีจำกัด หากใช้จนหมดข้าจะไม่สามารถแสดงอำนาจเพื่อช่วยเหลือเจ้าได้ในยามคับขัน”


“ไม่จำเป็นต้องคิด ข้าไม่อาจปล่อยให้นางตาย!” หลิงฮันพูดอย่างไม่ลังเล


“ตกลง!” จิตวิญญาณหอคอยสั่นไหวเล็กน้อยแสดงถึงการพยักหน้า ทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มโอบล้อมทั่วร่างจูเสวียนเอ๋อ เพื่อผนึกพลังชีวิตอันน้อยนิดของนางไม่ให้ดับสูญ


ตอนนี้ในหอคอยทมิฬมีสมุนไพรอยู่มากมาย แม้แต่สมุนไพรระดับสูงก็มีไม่น้อย เม็ดยาที่สามารถหลอมได้ตอนนี้คือเม็ดยาระดับปฐพีขั้นต่ำ “โอสถวารีนกอมตะ” ซึ่งเป็นเม็ดยาสำหรับรักษาบาดแผล แต่มันจะสามารถรักษาอาการของจูเสวียนเอ๋อได้หรือไม่นั้น หลิงฮันเองก็ไม่มั่นใจ


เขาจะสามารถเพิ่มหยดวารีอมตะเข้าไปเป็นส่วนผสมได้รึเปล่า?


ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวหลิงฮัน แต่ว่าเขาจะนำหยดวารีอมตะออกมาได้อย่างไร?


“หอคอยน้อย เจ้ามีวิธีรึไม่?” หลิงฮันถาม


494

“หยดวารีอมตะมีผลต่อคนที่บ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ เท่านั้น แม้เจ้าจะนำมันออกมา ประสิทธิภาพของมันก็จะลดลงอย่างมหาศาล” จิตวิญญาณหอคอยพูดอย่างไม่แยแส


“ลดลงอย่างมหาศาลแต่ก็ยังได้ผลอยู่สินะ?” แววตาของหลิงฮันเปล่งประกาย


“ถูกต้อง สำหรับคนที่ไม่ได้บ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ผลลัพธ์ของมันจะลดลงหนึ่งร้อยเท่า” จิตวิญญาณหอคอยพูด


“ขอแค่มันยังมีประโยชน์ก็พอ!”


หลิงฮันเป็นปรมาจารย์แห่งศาสตร์ปรุงยา เขาเพิ่มหยดวารีอมตะห้าหยดเข้าไปในสูตรเม็ดยาโอสถวารีนกอมตะ… เขาเหลือเอาไว้เพียงหยดเพื่อช่วยชีวิตตนเองยามคับขัน


ภายในเวลาครึ่งชั่วเขาก็หลอมเม็ดยาเสร็จสิ้น มีเพียงแค่เม็ดเดียวเท่านั้นที่หลิงฮันสามารถสกัดผลลัพธ์ของหยดวารีอมตะเข้าไปได้


“ความหวังสุดท้าย!” หลิงฮันป้อมเม็ดยาให้จูเสวียนเอ๋อ แต่พลังชีวิตของนางใกล้จะหมดแล้ว นางจะมีแรงกินเม็ดยาได้อย่างไร?


หลิงฮันนำผ้าปิดหน้าของนางออกและนำเม็ดยาป้อนใส่ปากพร้อมกับน้ำดื่ม แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนเม็ดยาจะยังไม่ถูกกลืนลงไป


“หลีซื่อฉาง ช่วยส่งลมหายใจให้นางที” หลิงฮันรีบเรียกหลีซื่อฉางมาที่นี่


เมื่อเห็นจูเสวียนเอ๋อ หลีซื่อฉางก็แสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา นางพึมพำ “ในโลกนี้มีสตรีที่งดงามขนาดนี้ได้อย่างไร?”


หลิงฮันเพิ่งสังเกตว่าจูเสวียนเอ๋อนั้นงดงามไม่แพ้สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์เมื่อชีวิตก่อนของเขาแม้แต่น้อย


ที่ต่างกันก็คือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งนกอมตะสวรรค์มีนิสัยที่ดุร้ายราวกับธิดาสงคราม ส่วนจูเสวียนเอ๋อนั้นเยือกเย็นราวกับแสงสว่างของจันทรา


“อย่ามัวแต่จ้องมอง รีบลงมือ!” หลิงฮันเร่งรีบเพราะการคงสภาพพลังชีวิตของจูเสวียนเอ๋อไว้ต้องใช้พลังแห่งต้นกำเนิดของหอคอยทมิฬ


หลีซื่อฉางรีบวิ่งเข้าประทับริมฝีปากแบ่งลมหายใจให้จูเสวียนเอ๋อเพื่อทำให้นางกลืนโอสถวารีนกอมตะเข้าไป


ทันใดนั้นบาดแผลของจูเสวียนเอ๋อก็ฟื้นฟูด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่นางก็ยังไม่ได้สติ ภายใต้การโจมตีของจอมยุทธระดับบุปผาผลิบาน สัมผัสสวรรค์ของนางนั้นเกือบจะถูกทำลาย


หลิงฮันถอนหายใจ สัมผัสสวรรค์ที่ได้รับความเสียหาย… แม้จะเป็นเขาก็ยังปวดหัว ตอนนี้พลังชีวิตของจูเสวียนเอ๋อฟื้นฟูกลับมาแล้ว แต่นางจะฟื้นขึ้นมาตอนไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับความปรารถนาในการอยากมีชีวิตต่อของนาง


“ซื่อฉาง ดูแลนางด้วย!” หลิงฮันพูดพร้อมกับระเบิดจิตสังหารออกมาและออกจากหอคอยทมิฬ


แต่พอเขาออกมา หยานเทียนจ้าวก็จากไปแล้ว


“มันหนีไปแล้ว ตอนนี้ฮูหนิวกับศิลาน้อยกำลังไล่ตามอยู่” ชางเย่พูด


มุมปากของเยว่ไค่หยู่กระตุกและพึมพำ “ทำไมถึงมีแค่ข้าคนเดียวที่รู้สึกแปลกที่เห็นคนสองคนหายไปในอากาศที่ว่างเปล่า แถมตอนนี้ยังมีหนึ่งคนปรากฏตัวกลับมาอีก! หรือว่าจะเป็นตัวข้าเองที่แปลกประหลาด?”


“นายน้อยฮัน ธิดาจูเป็นอย่างไรบ้าง?” เยว่ไค่หยู่รีบถาม


“ยังไม่ตาย” หลิงฮันพยักหน้า


ในขณะที่พวกเขาพูดจิตวิญญาณศิลาก็กลับมาพร้อมกับฮูหนิวที่นั่งอยู่บนไหล่มัน


“มันหนีไปได้ หนิวทำได้แค่กัดแขนข้างหนึ่งของมันขาด!” ฮูหนิวโยนแขนที่ขาดข้างหนึ่งลงมา


หลิวอู๋ตงและคนอื่นๆตกตะลึง สามารถกัดแขนข้างหนึ่งของหยานเทียนจ้าวที่เป็นตัวตนระดับบุปผาผลิบานจนขาด พลังต่อสู้ของฮูหนิวช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก


สีหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นเย็นชา หยานเทียนจ้าวครอบครองความทรงจำของพระเจ้า ก่อนหน้านี้ตอนที่เคยสู้กัน แม้ร่างของมันจะถูกตัดขาดมันก็ยังฟื้นฟูสภาพกลับมาเป็นปกติได้ สำหรับมันแล้ว การงอกแขนหนึ่งข้างกลับมาใหม่คงไม่ใช่เรื่องยาก


หลิงฮันตัดสินใจว่าครั้งหน้าที่พบเจอหยานเทียนจ้าว ถ้าเขายังไม่บรรลุระดับบุปผาผลิบาน เขาก็จะใช้พรศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬเพื่อสังหารหยานเทียนจ้าว!


ยังไงซะหลิงฮันก็เป็นคนหลอมเม็ดยาที่ทำให้หยานเทียนจ้าวฟื้นขึ้นมาจากการหลับใหล ดังนั้นคนที่จะจบชีวิตมันก็ต้องเป้นเขาเช่นกัน


“นายน้อยฮัน! นายน้อยฮัน!” เยว่ไค่หยู่วิ่งเข้ามา “เมื่อกี้นายน้อยหายไปไหนกัน? แล้วตอนนี้ธิดาจูล่ะอยู่ที่ไหน? ทำไมถึงมีแค่ข้าคนเดียวที่รู้สึกว่ามันน่าสงสัย?”


หลิงฮันกระพริบตาและพูด “เมื่อครู่เจ้าแค่ตาลาย!”


‘ตาลายตูดข้าสิ! เห็นได้ชัดว่าธิดาจูไม่อยู่ที่นี่ ทำไมเจ้าถึงไม่อธิบายหข้าฟังเสียที!’


หลิงฮันไม่อธิบายให้ฟังแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเยว่ไค่หยู่ก็ทำได้เพียงขยับปากพึมพำ


“ยังไงก็ไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” หลิงฮันพูด


ทั้งห้าคนเดินหน้าต่อ ด้วยการลอบโจมตีของหยานเทียนจ้าวก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขาระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง แต่การเดินทางกลับราบรื่นผิดปกติ พวกเขาไม่พบเจอสัตว์อสูรโจมตีแม้แต่ตัวเดียวและเดินออกจากป่าอย่างราบรื่น


ดูเหมือนว่าอีแร้งเพลิงสีครามจะอาละวาดอย่างเกรี้ยวกราดจนสัตว์อสูรที่อยู่ในถ้ำของตนเองไม่กล้าออกมา


พอออกจากป่ามาก็พบกับพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ ในระยะที่ไกลออกไปมีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่


นั่นควรจะเป็นสถานที่ทดสอบครั้งที่สอง


ทั้งห้าคนเดินไปยังทิศทางนั้นอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็มาถึงด้านหน้าสิ่งก่อสร้าง เนื่องจากพวกเขามาถึงเร็ว จำนวนคนที่อยู่ที่นี่จึงมีเพียงสิบคนเท่านั้น


รูปแบบอาคมวิญญาณปรากฏตัวและพูดอย่างเฉยชา “อีกหนึ่งวันข้างหน้า การทดสอบจะเริ่มขึ้น” จากนั้นมันก็มองมายังหลิงฮัน “เจ้านี่ช่างชอบสร้างปัญหาจริงๆ!”


หลิงฮันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าไปสร้างปัญหาอะไรกัน?”


“ทั่วทั้งป่ากำลังตกอยู่ในความโกลาหล ไม่ใช่เจ้าหรอกรึที่เป็นคนสร้างปัญหา?” รูปแบบอาคมวิญญาณเค้นเสียง


หลิงฮันยักไหล่และพูด “ไม่มีกฎว่าห้ามทำแบบนั้นสินะ?”


“แต่นั่นก็สร้างปัญหาให้ข้า!” รูปแบบอาคมวิญญาณพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาที่เจ้าก่อขึ้น คนที่จะผ่านป่ามายังสถานที่ทดสอบที่สองได้ก็จะลดลงอย่างน้อยแค่ครึ่งนึง”


คนไม่กี่คนที่มาถึงก่อนรู้สึกประหลาดใจ หลิงฮันไปก่ออะไรไว้กันแน่?


วันต่อมา ผู้คนก็เริ่มมาถึงสถานที่ทดสอบที่สองเพิ่มขึ้น และอย่างที่คาด จอมยุทธที่มาถึงมีเกินกว่าเจ็ดสิบคน หรือก็คือจากจำนวนคนของบททดสอบที่หนึ่ง มีเกินกว่าครึ่งที่มาถึง


หลิงฮันตั้งเต็นท์และใช้โอกาสนี้เข้าไปในหอคอยทมิฬ เพราะว่าตอนนี้จูเสวียนเอ๋อตื่นแล้ว


บาดแผลบนร่างของนางฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ แต่สัมผัสสวรรค์ของนางยังได้รับความเสียหายอย่างหนัก การจะทำให้กลับมาเป็นปกติไม่ใช่ใช้เพียงแค่วันหรือสองวัน แต่ต้องใช้เวลาเป็นเดือน แต่ถ้าหากนางก้าวผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ ความเข้าใจในวิถีวรยุทธของนางจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล


จูเสวียนเอ๋อถาม “นายน้อยฮัน ที่นี่คือที่ไหน?”


ยิ่งกว่านั้นนางยังพบว่าหลีซื่อฉางอยู่ที่นี่ด้วย!


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)