Alchemy Emperor of the Divine Dao 1912-1915

 ตอนที่ 1912 เจ้าเป็นนักปรุงยาได้อย่างไร


 


ซางต๋าคือผู้สืบทอดของนิกายตะวันบริสุทธิ์ ถึงแม้พรสวรรค์ของเขาจะไม่โดดเด่นเทียบเท่า เอี่ยนเซียนลู่ แต่การที่สามารถมีสถานะเป็นถึงผู้สืบทอดของขุมอํานาจราชานิรันดร์ระดับหกได้ แน่นอนว่าความสามารถในศาสตร์วรยุทธของเขาย่อมไร้ข้อกังขา


 


เขาปลดปล่อยการโจมตีอย่างเกรี้ยวกราด ‘ตูม’ คลื่นเปลวเพลิงปะทุออกมาจากร่างของเขา และแปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นสัตว์อสูรนิรันดร์ที่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยตราประทับแห่งเต๋า


 


เมื่อเทียบกันแล้ว จ้าวชิงเพิ่งกลายเป็นเศษสวะไปเลย!


 


หลิงฮันขยับตัวหลบหลีกและตะโกน “ผู้สืบทอดแสนไร้ยางอาย นอกจากจะไม่ชดใช้ข้าแล้ว ยังคิดจะสังหารข้าเพื่อปิดปากอีก!”


 


เสียงตะโกนนี้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายทันที หลายคนที่ยืนอยู่รอบข้างเผยสีหน้าเหยียดหยามไปยังชางต๋า ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้สาเหตุที่เกิดความบาดหมางขึ้น แต่ก่อนหน้านี้พวกเขา ก็เห็นว่าซางต๋าเป็นฝ่ายก้าวเดินเข้าไปจับเท้าหลิงฮัน


 


ใบหน้าของซางต๋าขึ้นสีและคําราม “เจ้าหนู ข้าจะฆ่าเจ้า!”


 


ไม่ว่าเชื่อว่าเขาจะถูกหลิงฮันยั่วยุได้อย่างง่ายดาย


 


ทุกคนจ้องมองไปยังซางต๋าที่กําลังคํารามอย่างเกรี้ยวกราด ด้วยแววตาสงสัย


 


อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้สืบทอดราชานิรันดร์ทั่วไป แต่เป็นถึงผู้สืบทอดราชานิรันดร์ระดับหก เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะสูญเสียความสุขุมได้ง่ายดายเพียงนี้?


 


แต่พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าฝีปากของหลิงฮันนั้นร้ายขนาดไหน อย่าว่าแต่ผู้สืบทอดราชานิรันดร์เลย ต่อให้เป็นราชานิรันดร์หลิงฮันก็สามารถยั่วยุได้


 


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ทุกคนก็เผยสีหน้าตกตะลึง คราวนี้พวกเขาไม่ได้ประหลาดใจในตัว ซางต๋า แต่เป็นหลิงฮันแทน


 


รุ่นเยาว์ผู้นี้…แข็งแกร่งมาก


 


ถึงแม้หลิงฮันจะเอาแต่หลบอย่างเดียว แต่ก็ต้องรู้ว่าการหลบหลีกโดยไม่ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย นั้นทําได้อยากกว่าการตอบโต้อย่างเดียวเสียอีก


 


กล่าวอีกแง่หนึ่งคือ พลังต่อสู้ของหลิงฮันนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าซางต๋า หรืออาจจะแข็งแกร่งกว่า!


 


สวรรค์!


 


เรื่องแบบนี้เป็นไปได้อย่างไร?


 


พวกเขารู้ตัวตนของหลิงฮันได้ไม่อยาก เพราะหลิงฮันคือผู้สืบทอดของเมืองวิถีโอสถ แต่เมือง วิถีโอสถเป็นเพียงขุมอํานาจสี่ดาวเท่านั้น ต่อให้อํานาจของเมืองนี้จะเทียบเคียงได้กับขุมอํานาจ ราชานิรันดร์ระดับหนึ่ง แต่จะเทียบเคียงกับนิกายตะวันบริสุทธิ์ได้อย่างไร?


 


นอกจากนั้นไม่ใช่ว่าผู้สืบทอดของเมืองวิถีโอสถ จะต้องเชี่ยวชาญในศาสตร์ปรุงยาหรอกรึ?


 


พวกเขาคิดว่าเอี๋ยนเซียนลู่ให้ความสําคัญ กับพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาของหลิงฮันถึงได้เชิญชวนให้มางานชุมนุมเสียอีก เพราะอย่างไรตัวของเอี๋ยนเซียนลู่ก็ยังไม่บรรลุเป็นราชานิรันดร์ หากสร้างสายสัมพันธ์กับหลิงฮันได้ ก็จะได้รับประโยชน์มหาศาล เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกเขาได้รับรู้แล้วว่า พรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของหลิงฮันเองก็ยอดเยี่ยม จนถึงขนาดเป็นคู่ต่อสู้ให้กับพวกเขาได้ หรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ํา


 


เรื่องนี้ทําให้พวกเขารู้สึกยอมรับไม่ได้ พวกเขาคืออัจฉริยะที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ฟ้าประทานแท้ๆ แต่กลับมีนักปรุงยาที่แข็งแกร่งทัดเทียมพวกเขาได้


 


บ้าชัดๆ!


 


“เจ้าคิดจะเอาแต่หลบอย่างเดียวงั้นรึ?” ชางตําใช้วิธีกล่าวยั่วยุ “ด้วยนิสัยที่ขี้ขลาดเช่นนี้ ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเจ้าบ่มเพาะพลังไปเพื่ออะไร”


 


“แต่อย่างน้อยข้าก็ไม่ใช่คนที่จะไปจับเท้าบุรุษผู้อื่น” หลิงฮันยิ้ม


 


เมื่อซางต๋าได้ยินเช่นนั้น ความเกรี้ยวกราดของเขาก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง


 


ภายในฝ่ามือทั้งสองของเขา ทักษะยุทธได้ถูกโคจรและพัวพันไปด้วยอํานาจแห่งเต๋าที่ทรงพลังสมกับเป็นผู้สืบทอดขุมอํานาจนิรันดร์ระดับหกจริงๆ หากจ้าวชิงเฟิงมาสู้กับซางตําผู้นี้ล่ะก็ จ้าวชิงเฟิงคงพ่ายแพ้ภายในหนึ่งร้อยกระบวนท่า และถูกสังหารภายในหนึ่งพันกระบวนท่า


 


หากพูดให้เจาะจงเข้าไปอีก พลังต่อสู้ของเขาค่อนข้างทัดเทียมกับจักรพรรดินี


 


แต่น่าเสียดายที่เขาต้องมาเจอกับหลิงฮัน


 


ต่อให้เอี๋ยนเซียนลู่ลดพลังบ่มเพาะของตนเองลงมาเหลือสี่นิพพาน ก็ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายจะเอาชนะหลิงฮันได้


 


เอี้ยนเซียนลู่เกิดมาในเส้นทางแห่งนิรันดร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ เพียงแต่หลิงฮันก็ไม่ได้อ่อนแอ เขาครอบครองอํานาจต้นกําเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสองชนิด แถมยังบ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ซึ่งเป็นทักษะราชานิรันดร์ระดับเก้าเป็นอย่างน้อยอีก นอกจากนั้นหลังจากที่ร่างกาย ถูกขัดเกลา ด้วยพลังของราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์ กายหยาบของเขาถูกเติมเต็มเข้าไปอีกขั้น ทําให้พลังต่อสู้ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้สืบทอดราชานิรันดร์ระดับแนวหน้าเลยแม้แต่น้อย


 


ซางต๋าผู้นี้…ไม่มีคุณสมบัติพอให้เขาเหลียวมอง!


 


หลิงฮันถอนหายใจ เขาตั้งใจจะใช้ซางต๋าเป็นหินลับคมแท้ๆ แต่ผู้สืบทอดที่ถูกบ่มเพาะโดย ขุมอํานาจราชานิรันดร์ระดับหก กลับไม่สามารถสร้างแรงกดดันให้เขาได้เลยแม้แต่น้อย


 


“ต๋าต๋าน้อย เจ้าช่างอ่อนแอนัก!” เขากล่าวความจริงออกไป หากพลังต่อสู้ของอีกฝ่ายทัดเที่ยมกับเขาล่ะก็ บางที่ประมือกันด้วยพลังทั้งหมด ประตูสู่นิรันดร์ห้านิพพานของพวกเขาอาจจะเปิดออกก็เป็นได้


 


ชางต๋ากระทืบเท้าอย่างเกรี้ยวกราด หมอนี่กล้าดูหมิ่นเขางั้นรึ? ช่างไม่รู้เสียแล้วว่าคําว่าความตายสะกดอย่างไร


 


“เจ้ารนหาที่เองนะ!” เขาสะบัดมือขวานหอกยาวสีเงินออกมา พริบตาเดียวกัน ออร่าอันเย็นยะเยือกที่ทรงพลังก็พรั่งพรูไหลออกมา


 


ท่าทีของหลิงฮันเปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าหอกเล่มนี้ มีพลังพอที่จะสร้างความบาดเจ็บให้เขาได้


 


หอกเล่มนี้เป็นไปได้ว่าจะเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ ที่มีพลังอยู่ในระดับแบ่งแยกวิญญาณ ต่อให้นิรันดร์สี่นิพพานจะไม่สามารถกระตุ้นใช้งานอํานาจของมันได้ทั้งหมด แต่ความแหลมคมของตัวหอก ก็เพียงพอที่จะสร้างภัยคุกคามต่อกายหยาบของเขา


 


“น่าสนุก” หลิงฮันเกิดความสนใจและดวงตาส่องประกาย


 


“ไม่ใช่แค่น่าสนุก แต่ข้าจะส่งเจ้าไปปรโลกด้วย!” ซางต๋าลงมืออย่างไม่ลังเล หากเขาสังหารผู้สืบทอดของเมืองวิถีโอสถแล้วจะอย่างไร? เขาไม่เชื่อว่าเมืองวิดีโอสถจะกล้าเอาความกับนิกายตะวันบริสุทธิ์


 


“พรีบ” หอกสีเงินพุ่งทะลวงราวกับมังกรเงิน คลื่นอํานาจของมันสั่นสะเทือนไปทั่วท้องฟ้า ตราประทับแห่งเต๋บนหอกส่องประกายเป็นระยะ พร้อมกับบดขยี้ชั้นมิติแหลกเป็นเสี่ยงๆ


 


นี่ไม่ใช่อุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ในระดับแบ่งแยกวิญญาณหยาง แต่เป็นระดับแบ่งแยกวิญญาณหยินหรือสูงกว่า!


 


หลิงฮันไม่กล้าประมาท เขารีบนําดาบอสูรนิรันดร์ออกมาสะบั้นเข้าน้ํานั่นกับหอกสีเงิน


 


ตูม!


 


เมื่ออาวุธทั้งสองเข้าปะทะกัน เสียงตกกระทบดังสนั่น จนราวกับก้องกังวานไปทั่วห้วงอวกาศ ก้อนกรวดตามพื้นลอยกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้าจนเกิดเป็นคลื่นพายุทมิฬ


 


ร่างของซางต๋าถูกซัดลอยกระเด็น แม้หอกสีเงินในมือของเขาจะทรงพลังแค่ไหน แต่พลังของตัวเขาเองก็อ่อนด้อยกว่าหลิงฮัน


 


เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใบหน้าของทุกคนก็กระตุกอย่างรุนแรง จริงอยู่ที่พวกเขาคาดเดา เอาไว้แล้วว่า พลังต่อสู้ของหลิงฮันนั้นแข็งแกร่งกว่าซางต๋า แต่ความจริงที่แม้จะเห็นด้วยตาตัวเอง ก็เป็นเรื่องยากอยู่ดีที่พวกเขาจะทําใจเชื่อได้ลง


 


เจ้าเป็นนักปรุงยาได้อย่างไร?


ตอนที่ 1913 ความทรงจําจากสวรรค์และปฐพี 


 


หลิงฮันมองไปยังซางต๋าที่ลอยกระเด็น พร้อมกับเก็บดาบอสูรนิรันดร์ ตอนนี้เขาไม่คิดจะเสียเวลากับอีกฝ่ายอีกต่อไป และต้องการขึ้นไปยังยอดเขาให้เร็วที่สุด เนื่องจากคนแรกที่ขึ้นไปบนยอดเขาได้ จะเป็นผู้ที่ได้ครอบครองวาสนาอันยิ่งใหญ่ของสวรรค์และปฐพี


 


“ไปกันเถอะ”


 


จักรพรรดินีพยักหน้า ในขณะที่ธิดาโรวทําหน้าตาน่าสงสาร และจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาอ้อนวอน


 


หลิงฮันถอนหายใจ เขารู้ตัวดีว่าตนเองไม่ควรใกล้ชิดกับธิดาโร๋วมากเกินไป แต่เสน่ห์ของสตรีผู้นี้ก็ช่างมากมาย จนสุดท้ายจิตใจของเขาก็ได้รับผลกระทบ และค่อยๆ ยอมรับในตัวอีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ


 


เขาเอื้อมมือออกไปนาร่างของธิดาโร๋วเข้าสู่อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่ใช่หอคอยทมิฬ เนื่องจาก เขายังไม่ได้เชื่อใจนางขนาดนั้น


 


หลิงฮันมุ่งหน้าต่อ โดยมีจักรพรรดินีเดินเคียงข้าง ผู้คนมากมายมองตามแผ่นหลังของเขา และไล่ตามมาเช่นกัน


 


ยิ่งไต่ขึ้นสูงเท่าไหร่ แรงกดดันของภูเขาก็ยิ่งหนักหน่วงขึ้น หลิงฮันและจักรพรรดินีเคลื่อนที่ได้ เชื่องช้ามาก เมื่อเทียบกับพวกเอี้ยนเซียนลู่สามคน หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป นอกจากเนื้อจะไม่ได้กินแล้ว แม้แต่ซุปก็คงไม่เหลือมาถึงพวกเขา


 


แต่จะให้ทําไงได้?


 


ทั้งสามคนคือนิรันดร์ห้านิพพาน ตัวตนระดับโลกียนิพพานที่มีพลังต่อสู้เทียบเท่าระ ดับแบ่งแยกวิญญาณ


 


“หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาไม่มีทางไล่ตามทั้งสามคนทันแน่” หลิงฮันหันไปกล่าวกับจักรพรรดินี


 


จักรพรรดินีพยักหน้า “นอกเสียจากว่าพวกเราจะทะลวงผ่านระดับห้านิพพาน!”


 


“แรงกดดันที่นี่รุนแรงมาก บางทีพวกเราอาจจะหาโอกาสที่จะทะลวงผ่านเจอก็เป็นได้”


 


“หากทําได้จริง สิ่งนี้จะถือว่าเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สําหรับพวกเรา!”


 


ทั้งสองมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม


 


ใช่แล้ว จะยังมีวาสนาใดยิ่งใหญ่ไปกว่าการทะลวงผ่านระดับห้านิพพานสําเร็จอีก?


 


หลิงฮันนั้นสามารถต้านทานแรงกดดันของภูเขา ได้สบายกว่าจักรพรรดินี แต่เพื่ออ นาคตของจักรพรรดินีแล้ว เขาจึงไม่คิดจะนําจักรพรรดินีเข้าไปยังหอคอยทมิฬ แต่เลือกที่จะก้าว ผ่านแรงกดดันอันรุนแรงของภูเขา ไปพร้อมกันทีละก้าวแทน


 


หนึ่งวัน สองวัน สามวัน… หนึ่งเดือน!


 


พวกเขาเดินไปตามทางของภูเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม จนมองไม่เห็นตีนเขาอีกต่อไป รอบตัวพวกเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยหมู่เมฆที่ลอยไปมา เพียงแต่เมื่อแหงนมองไปยังด้านบน พวกเขาก็ยังไม่สามารถมองเห็นปลายยอดบนสุดของภูเขาอยู่ดี


 


หลิงฮันกับจักรพรรดินี้ไม่รู้ว่าพวกอู่เซียนสู่ขึ้นไปถึงยอดภูเขาได้รึยัง แต่แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวของที่นี่ ทําให้พวกเขารู้สึกเหมือนกันกําลังปะทะกับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังอยู่ตลอดเวลา จนเยื่อผิวหนังภายในร่างกายของพวกเขา เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ


 


ห้านิพพาน


 


พวกเขาเริ่มมองเห็นความหวัง ที่จะบรรลุระดับห้านิพพานอยู่เพียงแค่เอื้อม แต่ไม่ว่าจะยื่น มือออกไปอย่างไร ความหวังที่ว่าก็ดูเหมือนห่างไกล และไม่สามารถแตะต้องได้


 


“ตอนนี้พวกเขาก็ขัดเกลาตัวเองมามากแล้ว หรือพวกเราควรจะดูดซับหยกต้นกําเนิดวิถีสวรรค์กันเลยดี?” จักรพรรดินี้เอ่ยถาม


 


หลิงฮันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ใช่แค่พวกเขาจะไม่มีประสบการณ์ในการทะลวงผ่านระดับห้านิพพานด้วยตัวเอง แต่แม้แต่ผู้คนรอบข้างที่รู้จัก ก็ไม่มีใครเลยที่จะไถ่ถามได้


 


“อย่าเพิ่งดูดซับหยกต้นกําเนิดวิถีสวรรค์ แล้วรอดูไปก่อนดีกว่า” หลิงฮันคิดว่าการทะลวงผ่านระดับห้านิพพานไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น


 


จักรพรรดินีพยักหน้า


 


เมื่อทั้งสองเดินหน้าต่อไปอีกสักพัก ที่เบื้องหน้าพวกเขา เมฆหมอกก็ค่อยๆ ลอยเข้าหากัน และก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง


 


ในพื้นที่สูงชันเช่นนี้ การที่จะมีเมฆหมอกอยู่ทุกที่ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกคือเมฆหมอกตรงหน้านี้ค่อยๆ รวมตัวกันจนมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ รูปลักษณ์ของมันค่อยๆ เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่หู ตา จมูก ปากเท่านั้น แม้แต่กล้ามเนื้อและโลหิตเองก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วย


 


เพียงแค่เวลาหนึ่งลมหายใจ มนุษย์ผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ หากหลิงฮันไม่ เห็นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงเมื่อครู่นี้ เขาคงไม่เชื่อเด็ดขาดว่ามนุษย์ตรงหน้าผู้นี้ แท้จริงแล้วคือเมฆหมอก


 


มนุษย์ตรงหน้าคือรุ่นเยาว์ผู้หนึ่ง ที่ศีรษะเต็มไปด้วยเส้นผมสีหน้า และมีกลิ่นอายที่โหดเหี้ยม


 


เขามีท่าที่หยิ่งทะนง และหากมองเข้าไปในดวงตาให้ดี จะพบว่าส่วนลึกภายในลูกตาดําของ เขา มีรูปทรงเหมือนกับไม้กางเขน


 


“เผ่าดาบมาร” จักรพรรดินีเอ่ยพรวดขึ้นมา


 


“อะไรคือเผ่าดาบมารงั้นรึ?” หลิงฮันถาม


 


“ในความทรงจําจากสายเลือดของข้า มีเรื่องราวของเผ่านี้อยู่” จักรพรรดินีอธิบาย “เผ่าดาบมารเป็นเผ่าที่น่าสะพรึงกลัวมาก ถึงแม้จํานวนคนของพวกเขาจะมีไม่มาก แต่ผู้คนของเผ่านี้ ล้วนแต่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ที่สูงส่ง มีราชานิรันดร์อยู่มากมาย”


 


มีราชานิรันดร์อยู่มากมาย!


 


“คนของเผ่านี้ทุกคนล้วนแต่เชี่ยวชาญให้เพลงดาบ หากทักษะดาบของพวกเขาถูกสะบั้นออกไป ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นตัวตนแบบใด ก็ต้องถูกนั่นออกเป็นสี่ส่วน”


 


“คนที่อยู่ต่อหน้าพวกเรานี้ สมควรเกิดจากอํานาจแห่งกฎเกณฑ์ ที่ทรงพลังอย่างหนึ่ง!”


 


ในระหว่างที่ทั้งสองคนกําลังคุยกัน รุ่นเยาว์ตรงหน้าก็เดินเข้ามาหาหลิงฮันและกล่าว “อี้อู๋ซาง เนื่องจากเจ้าคือคนที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่แปด ของสุดยอดอัจฉริยะแห่งดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออก ข้ากู่เฟยผู้นี้จึงได้มาที่นี่เพื่อขอคําชี้แนะจากเจ้า”


 


สถานการณ์แบบนี้มันอะไรกัน?


 


หลิงฮันและจักรพรรดินีมองหน้ากัน กู่เฟยผู้นี้กําลังพูดอยู่กับใครกันแน่? อี้อู๋ซางงั้นรึ? พวกเขาทั้งสองไม่มีใครชื่ออี้อู๋ซางเสียหน่อย


 


“อี้อู๋ซาง เจ้าที่ถูกจัดอยู่ในอันดับแรก ระวังว่าสถานะนี้จะกลายเป็นคําสาป ทําให้เจ้าคิดอยู่ในขั้นพลัง ราชานิรันดร์ระดับแปดไปตลอดกาลล่ะ!” กู่เฟยกล่าวต่อ “เข้ามา ที่เจ้า แทนชื่อตนเองว่าหย่งชางว่านกู่ (อนันต์รุ่งโรจน์) ก็เพราะต้องการหลบหนีจากข้าสินะ!”


 


จิตใจของหลิงฮันและจักรพรรดินีสั่นสะท้าน


 


อี้อู๋ซาง คือราชานิรันดร์หย่งชาง!


 


สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่ราชานิรันดร์หย่งชางบรรลุเป็นราชานิรันดร์ บางทีความสําเร็จในอดีตกาล อาจจะเป็นตัวเหนี่ยวนําอํานาจของสวรรค์และปฐพี ทําให้ความทรงจําของเขาถูกจารึกเอาไว้ที่นี่


 


หลังจากยุคสมัยในตอนนั้นเป็นต้นมา เมื่ออํานาจของสวรรค์และปฐพี่ถูกกระตุ้นในตอนที่ดวงดาวทั้งสามโคจรมาบรรจบกัน ร่างของกู่เฟยจากความทรงจํา ก็จะถูกสร้างขึ้นมาและท้าทายผู้คนที่มุ่งหน้าสู่ยอดเขา


 


กู่เฟยผู้นี้เป็นตัวตนจากยุคอดีตกาล บางทีตอนนี้เขาอาจจะสิ้นชีพ หรืออาจจะไต่เต้ากลายเป็น ราชานิรันดร์ไปแล้ว แต่ไม่ว่าในตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นอย่างไร กู่เฟยตรงหน้านี้ก็เป็นเพียงร่างที่ถูกสร้างขึ้น จากความทรงจําของอี้อู๋ซาง


 


“เข้ามา!” กู่เฟยกล่าวเสียงดัง ในขณะที่เขากล่าวประโยคนี้ออกมา กลุ่มเมฆอีกก้อนก็ควบแน่นรวมตัวกัน กลายเป็นมนุษย์อีกร่างหนึ่งที่ไม่ใช่กู่เฟย


 


“อี้อู๋ซาง ข้าจางหยุนขอท้าประลองเจ้า!”


 


ตอนที่ 1914 หนิวมาแล้ว


 


หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดินีและยิ้ม “หนึ่งต่อหนึ่งดีไหม?”


 


“อืม!” จักรพรรดินี้พยักหน้า


 


หลิงฮันเผชิญหน้ากับกู่เฟย ส่วนจักรพรรดินีเผชิญหน้ากับจางหยุน


 


อัจฉริยะจากยุคบรรพกาลทั้งสองปลดปล่อยการโจมตีทันที “ตูม” ทักษะนิรันดร์ระเบิดอํานาจอันน่าสะพรึงกลัวออกมา


 


อัจฉริยะจากยุคบรรพกาลทั้งสองคนนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมาก พลังต่อสู้ของพวกเขาอยู่ในระดับของราชาในหมู่ราชาทั่วไปเท่านั้น หากเป็นสถานการณ์ปกติหลิงฮัน กับจักรพรรดินีคงสามารถกําราบทั้งสองได้อย่างง่ายดาย แต่สภาพแวดล้อมของที่นี่กับหนักหน่วงไปด้วยแรงกดดันที่รุนแรง การต่อสู้ในครั้งนี้จึงตึงมือเล็กน้อย


 


หลังจากปะทะอยู่นานพักหนึ่ง ในที่สุดหลิงฮันกับจักรพรรดินี้ก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ร่างของอัจฉริยะยุคบรรพกาลทั้งสอง สลายกลับคืนเป็นเมฆหมอกและลอยหายไปในภูเขา


 


“สมกับเป็นคนที่คนที่ราชานิรันดร์หย่งชางจดจําได้ ทั้งสองนับว่าแข็งแกร่งเลว” หลิงฮันกล่าว


 


จักรพรรดินีพยักหน้า หากอิงตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ดูเหมือนว่ายิ่งเข้าใกล้ยอดเขาเท่าไหร่ ศัตรูที่พบเจอก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น


 


แต่ในเมื่อที่นี่คือสถานที่ที่ราชานิรันดร์หย่งชางบรรลุเป็นราชานิรันดร์ ในตลอดช่วงชีวิตของการบ่มเพาะ อีกฝ่ายจะต้องพบเจอคู่ต่อสู้ระดับแบ่งแยกวิญญาณ ระดับตําหนักอมตะ หรือระดับข้ามผ่านต้นกําเนิดแท้มาแล้วแน่นอน ถ้าหากปรมาจารย์เช่นนั้นปรากฏตัว หลิงฮันกับจักรพรรดินีคงทําได้เพียงล่าถอย


 


“เรื่องแบบนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะไม่งั้นแล้วราชานิรันดร์หย่งชาง คงไม่ให้เอี๋ยนเซียนลู่มาที่นี่แน่” หลิงฮันกล่าว


 


“ขึ้นไปต่อ เดี๋ยวก็รู้เอง” ความมั่นของจักรพรรดินียังคงแน่วแน่


 


“แต่จะว่าไป หรือว่าราชานิรันดร์หย่งชางจะถูกสาปจริงๆ เพราะในยุคสมัยต่อๆ มานี้ พลังบ่มเพาะของเขาก็ยังติดอยู่ที่ ราชานิรันดร์ระดับแปด”


 


“เรื่องนั้นน่าจะเป็นเพียงแค่ความบังเอิญ”


 


ทั้งสองเดินหน้าต่อ แต่หลังจากที่เคลื่อนที่ไปได้ไม่ไกล เมฆหมอกก็รวมตัวกันอีกครั้ง


 


“อี้อู๋ซาง ข้าซางตงหลาย ขอท้าสู้เจ้า! ”


 


“ข้า ต่งจีฉี ขอคําแนะนําจากเจ้าหนึ่งหรือสองกระบวนท่า!”


 


เมฆหมอกแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษสองคน


 


การปะทะเริ่มขึ้นในทันที หลิงฮันและจักรพรรดินี้เลือกคู่ต่อสู้ และใช้เวลานานพอสมควร กว่าจะเอาชนะศัตรูได้


 


ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้า


 


เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ศัตรูที่พบเจอยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ


 


ทั้งสองมุ่งต่อไปได้อีกไม่นาน ศัตรูอีกสองคนก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า


 


หลิงฮันกับจักรพรรดินี้ต่อสู้อย่างไม่หยุดหย่อน การปะทะที่ดุเดือดตลอดทางนี้ ได้ทําให้พวกเขารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในร่างกาย


 


สองเดือน…. สามเดือน ห้าเดือน วันเวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเงียบเฉียบ แม้จะเป็นในอีกครึ่งปีต่อมา ทั้งสองก็ยังไต่ขึ้นไปไม่ถึงยอดเขา


 


ไม่ใช่ว่ายอดเขาสามตะวันสูงเกินไป แต่เป็นเพราะพวกเขาก็ต้องปะทะกับศัตรูอยู่ตลอดทาง


 


ยังดีที่ไม่ว่าศัตรูจะปรากฏตัวกี่คนต่อกี่คน ศัตรูเหล่านั้นก็ยังเป็นเพียงตัวตนระดับโลกียนิพพาน


 


“นี่น่าจะเป็นสิ่งที่กําหนดเอาไว้แล้ว พวกเรามีพลังบ่มเพาะระดับโลกียนิพพาน เพราะงั้นศัตรูจึงเป็นจอมยุทธระดับโลกียนิพพานเช่นกัน หากยังมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าอาจจะมีศัตรูในระดับห้านิพพานปรากฏตัวก็ได้”


 


“ชักน่าตื่นเต้นขึ้นมาแล้ว”


 


ทั้งสองลืมเรื่องวาสนาอันยิ่งใหญ่บนยอดเขาไปเสียสนิท เนื่องจากการทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์ห้านิพพาน คือสิ่งสําคัญมากต่อชีวิตพวกเขา มีเพียงระดับห้านิพพานเท่านั้นที่จะทําให้พวกเขาก้าวสู่เส้นทางของจักรพรรดิ และไม่ด้อยไปกว่าอัจฉริยะระดับแนวหน้า


 


ในอีกบริเวณหนึ่งของภูเขา


 


“ปัง” เอี๋ยนเซียนลู่ปล่อยหมัดเข้าใส่ศัตรู จนแหลกสลายกลับคืนสภาพเป็นเมฆหมอก ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความมั่นใจเกินพรรณนา


 


เขารู้จักสถานที่แห่งนี้ดีกว่าใครอื่น เพราะงั้นเขาจึงเชื่อมั่นว่า เขาจะต้องเป็นคนที่ขึ้นไปถึงยอดบนสุดของภูเขาเป็นคนแรกแน่นอน


 


ที่เขาเคยกล่าวออกไปว่า เขาไม่รังเกียจที่จะแข่งขันแย่งชิงวาสนากับอัจฉริยะคนอื่นนั้นเป็นความจริง เนื่องจากเขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าตนเองนั้นไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหลักที่เขาเรียกทุกคนมารวมตัวกัน มีเพียงการที่อัจฉริยะจํานวนมากมารวมตัวกัน และทําการต่อสู้ที่ยอดเขาสามตะวันเท่านั้น วาสนาอันยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และปฐพี ที่เกิดจากราชานิรันดร์หย่งชางถึงจะปรากฏขึ้นมาได้


 


วาสนาที่ว่านี้ไม่ได้ช่วยยกระดับพลังบ่มเพาะให้สูงขึ้นแต่อย่างใด แต่มันจะช่วยให้แก่นพลังภายในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง


 


กายหยาบวิถีนิรันดร์ที่เขามีมาแต่กําเนิดนั้น ช่วยให้เขาสามารถเข้าใกล้อํานาจแห่งเต๋าที่ยิ่งใหญ่ได้ง่ายกว่าใคร เพราะงั้นไม่ว่าจะเป็นทักษะนิรันดร์แบบใด เขาก็สามารถฝึกฝนได้อย่างง่ายดาย แต่คําว่า “เข้าใกล้ ก็ไม่ใช่อํานาจแห่งเต๋าที่แท้จริงอยู่ดี และยังมีช่องว่างให้พัฒนาต่อไปได้อยู่


 


ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องการครอบครองวาสนาอันยิ่งใหญ่ เพื่อที่กายหยาบของเขาจะได้เข้าใกล้อํานาจแห่งเต๋าที่แท้จริงยิ่งขึ้นไปอีก


 


เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็จะมีคุณสมบัติสามารถต่อกรกับ เหล่าอัจฉริยะท้าทายสวรรค์เพียงหยิบมือเหล่านั้นได้!


 


หากใครได้ยินความคิดของเอี๋ยนเซียนลู่ในตอนนี้ พวกเขาจะต้องตกตะลึงมากเป็นแน่ การที่สามารถถูกเอี๋ยนเซียนลู่เรียกว่า “อัจฉริยะท้าทายสวรรค์” คนผู้นั้นจะต้องเป็นตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใดกัน?


 


ที่บริเวณตีนเขา


 


“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะดังขึ้น พร้อมกับร่างของเด็กสาวผู้หนึ่งได้กระโดดลงมาจาก มังกรอินทรี นางหอมือทั้งสองมาไว้ที่ปากและตะโกนเสียงดัง “หลิงฮัน หนิวมาแล้ว!”


 


“ประมุขหญิงน้อย ท่านไม่ควรทําพฤติกรรมตะโกนเสียงดังเช่นนั้น! ” ที่ด้านของหลิงนาง สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งรีบมาห้ามปราม


 


เด็กสาวผู้นี้แน่นอนว่าย่อมเป็นฮูหนิว


 


ฮูหนิวนํามือทั้งสองข้างท้าวไว้ที่เอวและบ่น “ข้าเบื่อจะตายอยู่แล้ว ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่ได้ หนิวไม่เป็นประมุขหญิงน้อยอะไรนั่นแล้ว จริงสิ หนิวมอบตําแหน่งนั่นให้เจ้าแล้วกัน!”


 


สตรีวัยกลางคนยิ้มเจื่อน “ประมุขหญิงหน้อย หลิงฮันถูกลูกหลงจากการปะทะกันของตัวตนระดับข้ามผ่านกําเนิดแท้ ไม่มีทางเด็ดขาดที่เขาจะยังมีชีวิตอยู่”


 


นางพยายามพูดโน้มน้าว “หลิงฮันที่อยู่ที่นี่ต้องเป็นเพียงคนชื่อเหมือนกันแน่ เพราะงั้นพวกเราควรรีบกลับตําหนักมัจฉาวายุภักษ์กันดีกว่า”


 


“ไม่!” ฮูหนิวส่ายหัวไปมา “เจ้าจะกลับก็กลับไป แต่หนิวไม่กลับ! อีกอย่าง เจ้ารู้ตัวนี้ไม่ว่าเจ้านั้นตาต่ำอย่างมาก ที่มองไม่ออกมาหลิงฮันของหนิวแข็งแกร่งขนาดไหน เขาไม่มีทางตายเด็ดขาด!


 


“ประมุขหญิงน้อย…”


 


ครืนน!


 


จู่ๆ คลื่นพลังบางอย่างก็เกิดการผันผวน จนชั้นบรรยากาศเกิดรอยแตกร้าว


 


สตรีวัยกลางคนสีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจัง และแหงนมองท้องฟ้า “ในเมื่อผู้อาวุโสหย่งชามาแล้ว ทําไมท่านถึงไม่ปรากฏตัวล่ะ?”


ตอนที่ 1915 เหมือนแต่ไม่ใช่


ที่ชั้นบรรยากาศเกิดการผันผวนของห้วงมิติ พร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งได้ก้าวเดินออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า


 


บุรุษผู้นี้สวมชุดสีฟ้าคราม และมีรูปลักษณ์อยู่ในช่วงอายุยี่สิบปี ใบหน้าของเขาขาวเนียนดั่งหยก และมีแววตาอบอุ่น ที่ไม่ว่าใครมองก็ต้องรู้สึกสบายใจ


 


คนคนนี้ นอกจากรูปโฉมที่หล่อเหลาแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรที่ดูพิเศษเลย


 


เขาคือราชานิรันดร์หย่งชางจริงๆรึ?


 


“เจ้าคือหลี่ว์ไห่หรงงั้นรึ?” บุรุษชุดฟ้าครามกล่าวและเผยสีหน้าเอ็นดู “เด็กสาวที่อยู่ใกล้ชิดธิดาอี่อวิ๋นในตอนนั้น ไม่คาดคิดว่าตอนนี้จะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับสี่แล้ว”


 


สตรีวัยกลางคนมองไปยังชายด้วยสีท่าทางนับถือและกล่าว “หลี่ว์ไห่หรงคารวะผู้อาวุโสหย่งชาง!”


 


ราชานิรันดร์แต่ละระดับมีอํานาจที่แตกต่างกันราวกับสวรรค์และปฐพี เพราะงั้นต่อให้นางจะเป็นราชานิรันดร์ระดับสี่ แต่พลังของนางก็ยังห่างชั้นกับราชานิรันดร์หย่งชางไม่รู้กี่เท่า และยิ่งกว่านั้นราชานิรันดร์หย่งชาง ก็ยังอายุเยอะกว่านางมากโขอีกด้วย


 


ราชานิรันดร์หย่งชางสะบัดมือเพื่อบอกว่าไม่จําเป็นต้องมากพิธี และหันไปมองฮูหนิว “นั่นคือ ร่างกําเนิดใหม่ของราชานิรันดร์อี่อวิ๋นงั้นรึ?”


 


เขาจ้องมองฮูหนิวด้วยแววตาส่องประกาย


 


อูหนวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ ตาลุง เจ้าไม่คิดรีว่าการมองคนอื่นด้วยแววตาเช่นนั้น เป็นสิ่งที่เสียมารยาท?”


 


ราชานิรันดร์หย่งชางจ้องมองอยู่สักพัก ก่อนจะหัวเราะและส่ายหัว “ไม่ใช่ เจ้าไม่เหมือนธิดาอี่อวิ๋นแม้แต่น้อย! ถึงแม้เจ้าจะได้รับพรสวรรค์ และตราประทับวรยุทธของนางมา แต่เจ้ากับนางเป็นคนละคนกันแน่นอน”


 


“ดูเหมือนเรื่องที่ว่าฮ่อวินถูกโจมตีและดับสิ้นไปแล้ว จะเป็นความจริงสินะ”


 


ราชานิรันดร์หย่งชางโศกเศร้าเป็นอย่างมาก “ธิดาอี่อวิ๋นเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในโลก ไม่ใช่ราชานิรันดร์ผู้ใดก็ยินยอมที่จะศิโรราบต่อฝ่าเท้าของนาง… ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก”


 


ยุหนิวพึมพํา “ ตาลงตัวเหม็นคนนี้ คงไม่ใช่วัวแก่ที่คิดจะกินหญ้าอ่อนหรอกนะ”


 


แน่นอนว่าราชานิรันดร์หย่งชางย่อมได้ยินอย่างชัดเจน ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความรู้สึกประหลาดใจ ถึงแม้ฮูหนิวจะเหมือนกับราชานิรันดร์อี่อวิ๋นอยู่หลายส่วน แต่ดูเหมือนนิสัยของทั้งสองจะแตกต่างกันอย่างสมบูรณ์จริงๆ


 


ราชานิรันดร์หย่งชางคือหนึ่งในคนที่หลงรักราชานิรันดร์อี่อวิ๋น เพราะงั้นเมื่อเห็นฮูหนิวในตอนนี้ ความรักที่เขามีต่อธิดาอี่อวิ๋น จึงแปรเปลี่ยนกลายเป็นความเอ็นดูต่อฮูหนิวแทน


 


“พวกเจ้าคงไม่ได้มาที่นี่ เพื่อก่อปัญหาอะไรใช่รึไม่?” ราชานิรันดร์หย่งชางยิ้ม ต่อหน้าฮูหนิวแล้ว เขาได้ละทิ้งมาดอันน่าเกรงขามไป และกล่าวหยอกล้อออกมา


 


“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้น!” หลี่ว์ไห่หรงรีบกล่าวแทรก “ข้าเพียงแค่มาทําหน้าที่คอยคุ้มกันประมุขหญิงน้อยเท่านั้น ข้าจะไปกล้าล่วงเกินผู้อาวุโสได้อย่างไร?” ถึงแม้อีกฝ่ายจะเพียงแค่ล้อเล่น แต่ด้วยความต่างชั้นของพลัง ทําให้นางไม่รู้สึกตลกเลยแม้แต่น้อย


 


ราชานิรันดร์หย่งชางยิ้ม “ภูเขาลูกนี้คือสถานที่ที่ข้าบรรลุเป็นราชานิรันดร์ หลังจากยุคสมัยผ่านพ้นไป สวรรค์และปฐพีได้ให้กําเนิดวาสนาที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เด็กสาวผู้นี้สามารถเข้าร่วมชิงได้ ส่วนเจ้ารอคอยอยู่ที่นี้”


 


“น้อมทําตามที่ผู้อาวุโสกล่าว” หลี่ว์ไห่หรงกล่าวอย่างเคารพ


 


อีกฝ่ายเป็นถึงราชานิรันดร์ระดับแปด ในตําหนักมัจฉาวายุภักษ์มีเพียงผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น เท่านั้น ที่สามารถกําราบอีกฝ่ายได้ เพียงแต่ผู้อาวุโสสูงสุดนั้นได้รับบาดเจ็บแห่งเต๋า หากเข้าร่วมการประลองที่รุนแรงล่ะก็ เป็นไปได้ว่าหลังจากที่การประลองจบลง ชีวิตของนางจะถึงคราวดับสิ้น


 


“ไปได้” ราชานิรันดร์หย่งชางสะบัดไปยังฮูหนิว


 


“ข้าไม่จําเป็นต้องฟังคําพูดของเจ้าเสียหน่อย” ฮูหนิวพึมพําและก้าวเข้าสู่ภูเขา


 


“หลิงฮัน! หลิงฮัน! หลิงฮัน!”


 


นางหัวเราะเสียงดังพร้อมกับพุ่งทะยานขึ้นสู่ทางเดินของภูเขา ระยะเวลาที่ต้องแยกจากกันนั้นยาวนางเหลือเกิน นางคิดถึงหลิงฮันของนางเป็นอย่างมาก


 


ถึงแม้ฮูหนิวจะออกตัวช้ากว่าคนอื่นครึ่งปี แต่ด้วยพลังต่อสู้ที่ไร้เทียมทานของนาง ทําให้นางพุ่งทะยานขึ้นเขาไปได้อย่างรวดเร็ว


 


ราชานิรันดร์หย่งชางจ้องมองแผ่นหลังของฮูหนิว และเผยสีหน้าชื่นชม “สมกับเป็นเด็กสาวที่สืบทอดพรสวรรค์ของอี่อวิ๋น จํานวนอัจฉริยะที่สามารถต่อกรกับนางได้ สมควรมีไม่เกินสิบคน”


 


หลี่ว์ไห่หรงเผยสีหน้าไม่พอใจทันที ประมุขหญิงน้อยของนางคือร่างกําเนิดใหม่ของประมุขหญิงคนก่อน เพราะงั้นพลังของประมุขหญิงน้อยของนาง จึงสมควรไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน ในยุทธภพนี้จะมีคนที่สามารถต่อกรกับนางได้ถึงสิบคนได้อย่างไร?


 


“ฮ่าๆๆ” ราชานิรันดร์หย่งชางยิ้ม และไม่ต่อเถียงอะไรกับหลี่ว์ไห่หรง ในสายตาของเขา อีกฝ่ายเป็นเพียงรุ่นเยาว์ผู้หญิงเท่านั้น


 


หลิวย่า คนผู้นี้คืออัจฉริยะที่เพิ่งเฉิดฉายเมื่อไม่นานมานี้


 


แน่นอนว่าสําหรับดินแดนแห่งเซียนนั้น คําว่า “ใหม่” หรือ “ไม่นาน” ย่อมหมายถึงระยะเวลาที่เพิ่งผ่านมาไม่เกินแสนปีหรือล้านปี หลิวย่าผู้นี้นั้นก่อนที่จะบรรลุระดับสี่นิพพาน เขาเป็นคนที่ปิดบังความสามารถของตนเองเอาไว้ โดยที่หลังจากเป็นนิรันดร์สี่นิพพานแล้ว เขาได้สําแดงความสามารถออกมา และเหยียบย่ำอัจฉริยะไปมากมาย


 


เพราะไม่งั้นแล้ว เขาจะไม่มีคุณสมบัติให้เอียนเซียนสู่เชิญชวนมาที่นี่


 


สภาพของเขาในตอนนี้ค่อนข้างเหนื่อยหอบ เนื่องจากศัตรูที่พบเจอระหว่างทางแข็งแกร่งมาก เขาจึงต้องทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อเอาชนะ และหยุดพักฟื้นฟูปราณก่อเกิด หากไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุดแล้ว เมื่อพบเจอศัตรูคนต่อไป เขาคงไม่สามารถเอาชนะได้


 


ใบหน้าของเขาในตอนนี้ประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม เขามั่นใจมากว่าความเร็วในการไต่ขึ้นภูเขาของเขา ต้องรวดเร็วกว่าอัจฉริยะคนอื่นๆ แทบทุกคนแน่นอน


 


แต่ในขณะที่เขารู้สึกว่าตนเองพักเพียงพอแล้ว และกําลังจะลุกขึ้นยืนนั่นเอง เขาก็พบว่าที่ด้านหลังของ มีอะไรบางอย่างกําลังเคลื่อนไหวอยู่


 


ในฐานะที่เป็นจอมยุทธที่ทรงพลังคนหนึ่ง เขารีบหันกลับไปและตั้งท่าเตรียมพร้อมอย่างระมัดระวังทันที


 


ใครบางคน กําลังวิ่งมาทางนี้


 


หลิวย่าตกตะลึง ด้วยความเร็วในการไต่ของเขา จะมีใครอื่นสามารถไล่ตามกันได้อย่างไร?


 


เหลือเชื่อ!


 


เขาจะอยากเห็นหน้าคนที่กําลังวิ่งใกล้เข้ามา และทําการท้าประลอง บางทีคนผู้นี้อาจจะเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด เท่าที่เขาเคยพบเจอเลยก็เป็นได้


 


“ไสหัวไป! หลบไปให้พ้น!” ในขณะที่เสียงตะโกนดังขึ้น ร่างของใครบางคนก็ปรากฏออกมาจากระยะที่ห่างไกลออกไป เจ้าของเสียงคือสตรีงดงาม ที่เส้นผมสีดําส่องประกายระยิบราวกับหมู่เมฆ


 


สีหน้าของหลิวย่าเปลี่ยนไปทันที่ราวกับเห็นผี


 


เขาไม่ได้ตกตะลึงเพราะความงามของสตรีผู้นี้ จริงอยู่ที่อีกฝ่ายงดงามเป็นอย่างมาก แต่ยังมีสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่า ก็คือจํานวนคนมากมายที่วิ่งไล่ตามนางมาจากด้านหลัง!


 


คนจํานวนมากเหล่านี้หลิวย่ารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างมาก เนื่องจากแต่ละคนคืออัจฉริยะที่ปรากฏขึ้นมาจากความทรงจําของราชานิรันดร์หย่งชาง ที่เขาเคยปะทะด้วยมาก่อน


 


ตูม! ตูม!


 


สตรีที่พุ่งเข้ามา ทําการปล่อยหมัดเข้าใส่หลิวย่า


 


หลิวย่ามองดูหมัดอันเรียบเนียนที่พุ่งเข้าใส่ ถึงแม้กําปั้นตรงหน้านี้จะดูงดงามแค่ไหน แต่มันก็อัดแน่นไปด้วยอํานาจที่น่ายําเกรง ตราประทับแห่งเต๋าที่พัวพันอยู่รอบกําปั้นนั้น ทรงพลังราวกับจะสามารถบดขยี้ได้แม้แต่ผืนปฐพี


 


“ข้าไม่ใช่ อ้ากกก!” เขาต้องการกล่าวออกไปว่า ตนเองไม่ใช่อัจฉริยะจากยุคบรรพกาลที่ปรากฏออกมาจากความทรงจํา แต่ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบ ร่างของเขาก็ถูกหมัดซัดเข้าใส่เสียก่อน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)