Alchemy Emperor of the Divine Dao 1908-1911

 ตอนที่ 1908 ใต้ยอดเขา 


 


เนื่องจากระยะเวลาการนัดหมายของเอี๋ยนเซียนลู่ใกล้จะมาถึงแล้ว หลิงฮันจึงรีบใช้เวลาที่เหลือ ไปกับการขัดเกลาทักษะปรุงยา


 


ในด้านของศาสตร์วรยทุธนั้น เขาบรรลุระดับสี่นิพพานสูงสุดแล้ว จึงไม่สามารถขัดเกลาพลังต่อได้


 


ธิดาโร๋วตั้งหน้าตั้งตารอเป็นอย่างมาก เดิมทีแล้วตัวของนางเป็นเพียงผู้สืบทอดของขุมอํานาจสามดาวเท่านั้น แต่ทว่าตอนนี้ไม่เพียงแค่นางจะได้ก้าวเข้ามายังขุมอํานาจห้าดาว แต่นางยังได้เข้าร่วมงานรวมตัวที่ถูกจัดขึ้นโดยเอี๋ยนเซียนลู่ ที่แม้แต่ผู้สืบทอดราชานิรันดร์ทั่วไปยังไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมอีกด้วย


 


“เอี๋ยนเซียนลู่จะเป็นอัจฉริยะแบบใดกัน?” หลิงฮันกับจักรพรรดินีสงสัยเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามายังอาณาเขตของวิหารอนันต์รุ่งโรจน์ ผู้คนในที่แห่งนี้ก็เอาแต่พูดถึงตํานานของอี๋เซียนลู่ ราวกับว่าอีกฝ่ายคือตัวตนที่จะกลายเป็นราชานิรันดร์หย่งชางคนที่สอง


 


เรื่องที่เอี๋ยนเซียนลู่จะบรรลุระดับราชานิรันดร์ได้นั้นไม่เป็นที่กังขา แต่สิ่งที่ทุกคนต่างคิดไม่ตกก็คือ ในอนาคตเขาจะบรรลุได้ราชานิรันดร์ระดับใดกันแน่


 


ระดับห้า? ระดับเจ็ด? ระดับแปด? หรือ อาจจะระดับเก้า!


 


ที่ด้านล่างตีนเขาของยอดเขาสามตะวัน ผู้คนจํานวนหนึ่งมารวมตัวกัน แต่ก็ไม่มีใครเลยที่ขึ้นไปยังภูเขา


 


นั่นเพราะพวกเขาไม่สามารถก้าวขึ้นไปได้นั่นเอง


 


หลิงฮันลองดูแล้วเหมือนกัน แต่ก็ไม่อาจขึ้นไปยังภูเขาได้ เนื่องจากภูเขาลูกนี้มีแรงกดดันอันทรงพลังปกคลุมอยู่ ซึ่งต่อให้เป็นเพลิงเก้าสวรรค์ หรือวารีพลังหยินลี้ลับก็ไม่อาจต้านทานไหว


 


นั่นเพราะแรงกดดันที่ว่าไม่ใช่แรงกดดันทั่วไป แต่เป็นเจตจํานงยุทธของปรมาจารย์ที่ทรงพลัง


 


ขนาดอํานาจแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพีทั้งสองก็ยังไร้ประโยชน์ ต่อให้เอี๋ยนเซียนลู่จะเป็นนิรันดร์ห้านิพพาน หลิงฮันก็ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะสามารถย่างก้าวขึ้นไปยังภูเขาลูกนี้ได้


 


บางที่ภูเขาลูกนี้อาจจะเป็นเหมือนกับเขตแดนลี้ลับ ที่ใช่ว่าจะผ่านไปได้ตลอด แต่ต้องรอเวลาเปิดออก


 


ซึ่งวันที่ว่าจะเป็นต้องวันนี้ที่ เอี๋ยนเซียนลู่กล่าวว่าเมื่อดวงดาราทั้งสามโคจรมาพบกันแน่นอน


 


ผู้คนเริ่มเดินทางมาถึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางคนเลือกที่จะรออยู่เฉยๆ ในขณะที่บางคน


เลือกที่จะลองก้าวผ่านขึ้นไปยังยอดเขา แต่ก็ร่วงกลับลงมาอย่างหมดท่า


 


ส่วนทางด้านจักรพรรดินีและธิดาโร๋วนั้น พวกนางตกเป็นเป้าสายตาอย่างไม่ต้องสงสัย


 


หลายคนระงับอารมณ์ของตนเองได้ ส่วนบางคนก็เข้ามาประชิดใกล้พวกนางอย่างไม่อ้อมค้อม


 


หลิงฮันขยับเดินขึ้นหน้ามาขวางคนที่ก้าวเข้ามา


 


“นี่ เจ้ากําลังขวางทางข้าอยู่นะ” คนที่ก้าวเดินเข้ามาคือ รุ่นเยาว์ร่างสูงผมสีฟ้าสีครามที่มีเขาอยู่บนหัวสองข้าง เขาทั้งสองข้างของเขาปลดปล่อยแสงเงาสีฟ้าเป็นระลอก


 


หลิงฮันขมวดคิ้ว “เจ้าจ้องมองพวกนางตาไม่กะพริบเช่นนั้น ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องเสียมารยาทหรืออย่างไร?”


 


“ฮ่าๆๆ!” รุ่นเยาว์ผมสีครามหัวเราะและหรี่ตามองหลิงฮัน “เจ้าตัวอัปลักษณ์ เจ้าไม่เคยได้ยินคําพูดที่ว่า สาวงามย่อมคู่ควรกับวีรบุรุษรีไง?”


 


“โอ้ งั้นเจ้าก็เป็นวีรบุรุษงั้นสิ?” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส


“แน่นอน ข้า จู้เสี่ยเกอผู้นี้คืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก!” รุ่นเยาว์ผมสีคราวยกนิ้วโป้งขี้นมาชี้ใส่หน้าอกของตนเองอย่างภาคภูมิใจ


 


“เหอะ ช่างปากกล้านัก!” ยังไม่ทันที่หลิงฮันจะได้ตอบโต้อะไร เสียงอันเย็นชาของใครบางคนก็เอ่ยแทรกเข้ามา


 


เหล่าคนที่ถูกเชิญชวนมาที่นี่ ใครบ้างไม่ใช่สุดยอดอัจฉริยะ ที่มีศักยภาพระดับราชาในหมู่ราชา หรืออาจจะถึงขั้นจักรพรรดิ?


 


“เจ้าเป็นใคร?” จู้เสี่ยเกอหันหน้าไปเอ่ยถามรุ่นเยาว์ที่เอ่ยแทรก ด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์


 


“หลิวเฟยซาน!” รุ่นเยาว์ที่เข้ามาแทรกกล่าวอย่างหยิ่งทะนง


 


“ไม่เคยได้ยินมาก่อน!” จู้เสี่ยเกอเค้นเสียง


 


“ถ้างั้นเดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้และจดจําไปชั่วชีวิต เพราะข้าจะเป็นคนที่ทุบตีเจ้าจนหมดสภาพ!” หลิวเฟยซานคํารามเสียงดังและผลักมือขวาออกไปด้านหน้า มือของเขาแปรสภาพกลายเป็นกรงเล็บทองคําขนาดใหญ่ พร้อมกับจู่โจมเข้าใส่จู้เสี่ยเกอ


 


“ฮ่าๆ เจ้าแส่หาความอัปยศให้ตัวเองแล้ว!” จู้เสี่ยเกอไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย เขาสะบัดมือทั้งปลดปล่อยคลื่นมหาสมุทรขนาดยักษ์ออกมา


 


ตูม!


 


สุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์ทั้งสองเข้าปะทะกัน พวกเขาคือตัวตนระดับโลกียนิพพานชั้นแนวหน้า ต่อให้พลังบ่มเพาะจะยังไม่บรรลุเป็นห้านิพพาน แต่พลังต่อสู้ของทั้งสองก็น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก


 


หลิงฮันตกตะลึง… มีคนมาแย่งหน้าที่ของเขาไปได้อย่างไร?


 


เขาจับคางครุ่นคิด หรือว่าเขาจะเป็นตัวนําพาหายนะจริงๆ? ไม่เช่นนั้นเพียงแค่เขาพูดออกไปไม่กี่คํา จะทําให้คนสองคนทําการปะทะกันอย่างรุนแรงได้อย่างไร?


 


หลิงฮันอยากเข้าร่วมปะทะด้วย ในหลายปีที่ผ่านมานี้เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับศาสตร์ปรุงยา ทําให้รู้สึกคันไม้คันมืออยากต่อสู้เป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รังเกียจที่ตนเองจะต้องร่วมมือกับคนอื่นเพื่อปะทะกับใครสักคน


 


หลิวเฟยซานกับจู้เสี่ยเกอเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด สุดยอดอัจฉริยะทั้งสองปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาตอบโต้อย่างเฉิดฉาย ดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า


 


จักรพรรดินีมองดูการต่อสู้ด้วยสีหน้าจริงจังเล็กน้อยอยู่สักพักก่อนจะกล่าวออกมา “สองคน นั้นแข็งแกร่งมาก! หากข้าไม่ใช้ไฟลับที่มีอย่างมากก็คงเสมอกับพวกเขาเท่านั้น”


 


หลิงฮันพยักหน้า สองคนนี้แข็งแกร่งกว่าจ้าวชิงเฟิงมากพอสมควร สิ่งที่จักรพรรดินีกล่าวออกไปไม่ใช่การยกยอพวกเขา หรือดูหมิ่นตนเองแต่เป็นความจริง


 


จริงอยู่ที่จักรพรรดินีมีไพ่ลับอยู่ในมือ แต่คิดรึว่าทั้งสองจะไม่มี?


 


“แต่เจ้าน่าจะเอาชนะพวกเขาได้” จักรพรรดินีกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


ตอนที่ 1909 เอี๋ยนเซียนลู่ปรากฏตัว


 


หลิงฮันเผยรอยยิ้ม ตอนนี้เขาบรรลุระดับสี่นิพพานขั้นสูงสุดแล้ว เมื่อรวมกับไพ่ลับมากมายที่มีอย่าง อํานาจแก่นกําเนิดสวรรค์ทั้งสองที่แม้แต่ราชานิรันดร์ก็ยังอิจฉาแล้ว หากในระดับพลังเดียวกัน เขาไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ก็ดูจะแปลกประหลาดเกินไป


 


หลิงฮันกวาดสายตามองอัจฉริยะรอบด้านแต่ละคน ถึงแม้กลิ่นอายของพวกเขาจะดูหยิ่งทะนง แต่ออร่าพลังก็ถูกสะกดเอาไว้ ทําให้ไม่สามารถตรวจสอบพลังต่อสู้ได้


 


“ข้าตงเหมินหง เห็นการต่อสู้ตรงหน้าแล้วชักจะรู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา มีใครต้องการประมือกับข้าบ้างรึไม่?” ชายร่างสูงผู้หนึ่งกระโดดออกมาด้วยท่าที่น่าเกรงขาม และใช้กระบี่สีม่วงในมือกวัดแกว่งท้าทายทุกคน


 


“ข้าเอง!” รุ่นเยาว์ชุดเหลืองอีกคนกระโดดตามออกมา เขาไม่พูดพล่ามไร้สาระอะไร และเข้าปะทะกับตงเหมินหงอย่างดุดันในทันที


 


อัจฉริยะเช่นพวกเขา ไม่ว่าใครต่างก็เป็นพวกบ้าคลั่งศาสตร์วรยุทธ เมื่อเห็นคู่สองคู่ทําการปะทะกับอย่างพวกเดือด จิตวิญญาณสู้รบของพวกเขาก็ฮึกเหิมตามไปด้วย


 


อัจฉริยะมากมายเริ่มทําการต่อสู้กัน ในตอนแรกแม้ทุกคนจะแยกกันสู้เป็นคู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน รูปแบบการต่อสู้ก็กลายมาเป็นตะลุมบอน เมื่อเห็นหน้ากันทุกคนจะทําการจู่โจมทันทีโดยไม่สนว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร


 


มีเพียงอัจฉริยะอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่ร่วมวงต่อสู้ด้วย พวกเขายืนกอดอกอยู่ในระยะที่ห่างออกไปเล็กน้อย


 


“พี่ชายเหลา เจ้าว่าถ้าหากเอี๋ยนเซียนลู่มาถึงและเห็นภาพตรงหน้านี้ เขาจะเกรี้ยวกราดรึไม่?” ชายผู้หนึ่งที่ยืนดูอยู่หัวเราะ และกวาดมองเหล่าอัจฉริยะที่กําลังตะลุมบอนกันด้วยสายตาเหยียดหยาม


 


ที่ด้านข้างของเขามีชายชุดม่วงอีกคนยืนอยู่ รูปลักษณ์ของชายผู้นี้งดงามเป็นอย่างมาก ผิวของเขาเรียบเนียนและขาวกระจ่างราวกับสตรี


 


ถ้าไม่ใช่เพราะมีลูกกระเดือกล่ะก็ ผู้คนคงคิดว่าเขาเป็นสตรีที่แต่งตัวเป็นบุรุษเป็นแน่


 


ชายชุดม่วงยิ้มเผยฟันสีขาว “ถ้าเจ้าลงมือ เพียงแค่หนึ่งกระบวนท่าก็กําราบพวกนั้นได้ไม่ใช่รึไง” เสียงของเขาแหลมเล็กราวกับขันที


 


โดยปกติแล้ว ต่อให้เขาเป็นขันที่จริงๆ ด้วยพลังบ่มเพาะระดับนิรันดร์ อวัยวะส่วนใดที่ถูกตัดไปก็ย่อมฟื้นสภาพกลับมาใหม่ได้ ไม่มีทางเด็ดขาดที่ตัวตนระดับนิรันดร์จะพิการ


 


“ฮ่าๆ นั่นเป็นเรื่องของเอี๋ยนเซียนลู่ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!” ชายคนก่อนกล่าว เขาคือรุ่นเยาว์ที่สวมชุดขาว และมีท่าที่เป็นกันเอง


 


รุ่นเยาว์ชุดม่วงยิ้ม “แล้วเจ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทําไม?”


 


“ข้าแค่ได้ยินมาว่าเจ้ามีความสนใจในตัวเอี๋ยนเซียนลู่ ไม่ใช่ว่านี่เป็นโอกาสดีที่เจ้าจะได้ใกล้ชิดกับเขาหรอกรึ?” รุ่นเยาว์ชุดขาวหัวเราะ


 


ตูม!


 


รุ่นเยาว์ชุดม่วงลงมือทันที มือขวาของเขาเคลื่อนไหวอย่างอ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูก และแปรเปลี่ยนกลายเป็นอสรพิษสีทอง อสรพิษอ้าปากกว้างเผยให้เห็นเขี้ยวยาวของซี่ และเขมือบเข้าใส่รุ่นเยาว์ชุดขาว


 


คลื่นพลังผันผวนอันน่าสะพรึงระเบิดออกมา “ตูม” เมื่อการโจมตีนี้ถูกปล่อยออกไป เหล่าอัจฉริยะที่กําลังตะลุมบอนกันอยู่ ก็หยุดชะงักและหันมามองทันที


 


รุ่นเยาว์ชุดขาวลงมือตอบโต้ “พรึบ” ที่เบื้องหน้าเขามีม่านแสงสีขาวปรากฏออกมา ตราประทับอํานาจแห่งเต๋ที่พัวพันอยู่ พรุ่งพรูไปด้วยอํานาจที่ราวกับจะบดขยี้สวรรค์ให้พังทลาย


 


“ตูม” อสรพิษทองคําที่พุ่งเขมือบ ไม่สามารถทะลวงผ่านชั้นม่านแสงได้


 


“ซานจื้ถง เจ้ารนหาที่ตายรึ?” รุ่นเยาว์ชุดม่วงคํารามด้วยเสียงโทนต่ำอย่างน่าประหลาด


 


“นั่นก็อยู่ที่ว่าเจ้ามีความแข็งแกร่งพอรึเปล่านะ เหลาซง!” รุ่นเยาว์ชุดขาวหัวเราะอย่างไร้ความหวาดกลัว


 


รุ่นเยาว์ทั้งสองคนทะยานร่างเข้าปะทะกัน จนคลื่นพลังอันไร้ที่สิ้นสุดกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ


 


“ห้านิพาน!” หลิงฮันและจักรพรรดินีมองหน้ากัน พร้อมกับอุทานออกมา


 


นิรันดร์สี่นิพพานไม่มีทางแข็งแกร่งขนาดนี้แน่ มีเพียงนิรันดร์ห้านิพพานเท่านั้น ที่แค่คลื่นพลังผันผวนก็สามารถทําให้จอมยุทธระดับโลกียนิพพานตัวสันได้


 


ดูเหมือนว่าในหมู่อัจฉริยะที่มารวมตัวกันที่นี่ นอกจากอู๋เซียนลู่แล้ว จะยังมีนิรันดร์ห้านิพพานคนอื่นอยู่อีก


 


“นั่นมัน…. อํานาจอสรพิษต้นกําเนิดสวรรค์และปฐพี!” ธิดาโร๋วอุทานออกมา ใบหน้าอันงดงามของนางแสดงออกถึงความรู้สึกหวาดผวาที่เกินกว่าจะพรรณนา


 


“อํานาจอสรพิษต้นกําเนิด?”


 


หลิงฮันเคยรู้จักอํานาจแก่นกําเนิดสวรรค์และปฐพี อย่างเพลิงเก้าสวรรค์ และวารีพลังหยินเร้นลับ หรือรู้จักแม้แต่ศิลาต้นกําเนิดความวุ่นวาย ที่เป็นศิลาแรกเริ่มที่เกิดขึ้นพร้อมกับสวรรค์และปฐพี แต่อํานาจอสรพิษต้นกําเนิดล่ะมันคืออะไร?


 


“เมื่อสวรรค์และปฐพี่ถือกําเนิดจากความว่างเปล่า สิ่งมีชีวิตแรกเริ่มที่เกิดขึ้นมา ถูกรู้จักกันไปนามของบรรพบุรุษต้นกําเนิด” จู่ๆ หอคอยน้อยก็เอ่ยขึ้น


 


“มังกรตนแรก ถูกเรียกว่าอํานาจต้นกําเนิดมังกร วิหคเพลิงตนแรก ถูกเรียกว่าวิหคต้นกําเนิด ส่วนอสรพิษตนแรกเองก็ถูกเรียกว่า อสรพิษต้นกําเนิด!”


 


“มันถือสิ่งมีชีวิตระดับใด?” หลิงฮันถาม


 


“เป็นถึงบรรพบุรุษต้นกําเนิดของสิ่งมีชีวิต แน่นอนว่าพวกมันต้องเป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ แต่ด้วยเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง ขั้นพลังของพวกมันก็ย่อมต่างชั้นกันไป” หอคอยน้อยกล่าว “บรรพบุรุษต้นกําเนิดที่ทรงพลังที่สุดคือมังกรบรรพบุรุษ วิหคเพลิงต้นกําเนิด และต่อๆ ไปตามลําดับ อสรพิษต้นกําเนิดนั้นค่อนข้างอ่อนแอ ระดับพลังของมันคือราชานิรันดร์ขั้นเจ็ดหรือแปดเท่านั้น”


 


“หากไม่มีวาสนาพิเศษ ไม่มีทางที่มันจะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าได้”


 


หลิงฮันพยักหน้า เหลาซงผู้นี้จะต้องเป็นผู้สืบทอดของอสรพิษต้นกําเนิดไม่ผิดแน่ แต่ไม่รู้ว่า ร่างเดิมที่แท้จริงของอีกฝ่ายนั้นเป็นอสรพิษ หรือมนุษย์กันแน่


 


หลิงฮันโลหิตเดือดพล่าน ที่นี่มีนิรันดร์ห้านิพพานอยู่มากกว่าหนึ่งคน บางทีหากได้วิเคราะห์การต่อสู้ของพวกเขา ประตูสู่ระดับห้านิพพานของเขาอาจจะเปิดออกก็เป็นได้


 


เขาและจักรพรรดินีจ้องมองอย่างไม่ละสายตา นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบเห็นการต่อสู้ของตัวตนระดับห้านิพพาน


 


“เหอๆ พี่ชายเหลา พี่ชายซาน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ต่อให้ข้าต้อนรับได้ไม่ดี พวกท่านก็ไม่เห็นจะต้องหัวเสียจนทะเลาะกันเลยไม่ใช่รึไงกัน?” เสียงหัวเราะดังขึ้น พร้อมกับร่างของรุ่นเยาว์สวมชุดผ้าไหมทองผู้หนึ่ง พุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็วสูง


 


ที่เบื้องหลังของรุ่นเยาว์ผู้นี้ มีรุ่นเยาว์อีกสามคนตามมาติดๆ สองคนเป็นบุรุษ หนึ่งคนเป็นสตรี ทั้งสามคนนี้ไม่ว่าใครก็มีกลิ่นอายราวกับเป็น มังกรและวิหคเพลิงในหมู่มนุษย์


 


“เอี๋ยนเซียนลู่!” ทั้งเหลาซงและซานจี้ถงหยุดการปะทะกันกลางคัน และหันไปมองรุ่นเยาว์ชุดผ้าไหมทองด้วยสีหน้ายําเกรง


 


สําหรับนิรันดร์สี่นิพพานอาจจะจินตนาการถึงพลังของเอี๋ยนเซียนลู่ไม่ออก มีเพียงอัจฉริยะที่บรรลุห้านิพพานอย่างพวกเขาสองคนเท่านั้น ที่รับรู้ว่าเอี๋ยนเซียนลู่นั้นทรงพลังขนาดไหน


ตอนที่ 1910 จักรพรรดิที่ไร้เทียมทาน


 


เอี๋ยนเซียนลู่มีรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา ถึงแม้จะไม่ได้ดูน่าหลงใหลเหมือนกับเหลาซง แต่ก็ดูดีในแบบทั่วๆ ไป


 


เพียงแต่ทันทีที่เอี๋ยนเซียนลู่ปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นเหลาซงหรือซานจี้ถงก็ถูกบดบังรัศมีในทันที ราวกับว่าทั้งสองเป็นได้เพียงตัวตนเบื้องล่างเอี๋ยนเซียนลู่


 


ทั้งๆ ที่เป็นระดับห้านิพพานเหมือนกัน แต่กลับต่างชั้นกันราวกับสวรรค์และปฐพี!


 


เอี๋ยนเซียนลู่มีทีท่าสงบนิ่ง แต่ผู้ติดตามทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังกลับแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์แทนผู้เป็นนาย


 


คนเหล่านี้กล้าสร้างปัญหาในงานรวมตัวที่เอี๋ยนเซียนลู่จัดขึ้นงั้นรึ?


 


“พวกข้าก็แค่เล่นกันเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น” ซานจี้ถงยิ้มและยืนตรงตระหง่านราวกับเล่มดาบ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมให้ตนเองดูด้อยค่า เมื่ออยู่ต่อหน้าเอี๋ยนเซียนลู่


 


จักรพรรดิเช่นเขาจะหวาดกลัวผู้ใดได้อย่างไร?


 


เอี๋ยนเซียนลู่ยิ้มมุมปากและไม่ไถ่ถามอะไรต่อ เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า ที่ตอนนี้ดวงตะวันขนาดมหึมากําลังหม่นแสง และค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยจันทรากับดวงดารามากมาย


 


“ยังมีเวลาเหลืออยู่ ก่อนที่ดวงดาวสามดวงจะโคจรมาบรรจบกัน” เขากล่าวเสียงเบา “ในเมื่อทุกคนมารอกันนานแล้ว พวกเรามานั่งพักกันก่อนดีกว่า”


 


อู๋เซียนลู่นั่งลงเป็นคนแรก ซึ่งการกระทําของเขานั้นได้ส่งผลให้ ราชาในหมู่ราชามากมายนั่งลงตามโดยไม่รู้ตัว


 


มีไม่กี่คนที่เป็นข้อยกเว้น อย่างเช่นซานจี้ถง เหลาซง หลิงฮัน และจักรพรรดินี ทางด้า นของสตรีนกอมตะ ได้หลิงฮันเป็นคนช่วยคุ้มกันทําให้ไม่เผลอนั่ง ในขณะที่ธิดาโร๋วก็ได้จักรพรรดินีคอยช่วยเหลือ เนื่องจากนางตั้งใจไว้แล้วว่าสตรีผู้นี้จะต้องเป็นคนของตระกูลหลิง จึงไม่อาจยอมให้ถูกผู้อื่นควบคุม


 


นอกจากชื่อที่กล่าวมาก็ยังมีอัจฉริยะอีกห้าคนที่ยังยืนตระหง่านอยู่ ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่ใช่จักรพรรดิระดับห้านิพพาน แต่ก็มีศักยภาพพอที่จะบรรลุระดับนั้นได้


 


เอี๋ยนเซียนลู่กวาดสายตามองกลุ่มของหลิงฮัน ก่อนจะชะงักชั่วขณะแต่ก็ละสายตาออกได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นเสน่ห์ของจักรพรรดินี และธิดาโร๋วก็ไม่สามารถดึงดูดเขาได้


 


จิตใจของคนผู้นี้แข็งแกร่งจนน่าสะพรึงกลัว!


 


หลิงฮันยิ้มให้กับจักรพรรดินี ก่อนที่ทั้งสองจะนำเก้าอี้ออกมาจากอุปกรณ์มิติ และนั่งลงพร้อมกัน


 


พวกเขานั่งเพราะอยากนั่ง ไม่ใช่เพราะถูกควบคุมโดยเอี๋ยนเซียนลู่


 


เอี๋ยนเซียนลู่ยิ้ม “ที่เรียกทุกคนมาไกลขนาดนี้ เหตุผลข้อแรกก็เพราะต้องการแลกเปลี่ยนศาสตร์วรยุทธ…”


 


“ฮ่าๆๆ ” ซานจี้ถงหัวเราะอย่างเหยียดหยามแทรกขึ้นมาทันที “แลกเปลี่ยนวรยุทธกับคนเหล่านี้งั้นรึ? เอี๋ยนเซียนลู่ สมองของเจ้ามีปัญหาอย่างไร? เจ้าคิดว่าคนเหล่านี้จะเทียบเคียงพวกเราได้? ”


 


เขาคือจักรพรรดิ ส่วนคนเหล่านี้เป็นเพียงราชาในหมู่ราชา เพราะงั้นคนเหล่านี้จะถูกปฏิบัติอย่างทัดเทียมกับเขาได้อย่างไร?


 


“เจ้าว่าอย่างไรนะ!” ใครหลายคนลุกพรวดด้วยความเกรี้ยวกราด


 


“เหอะ ก็แค่ฝูงสวะไร้ค่า! ” ซานจี้ถงยิ้มเหยียดหยาม “ต่อให้พวกเจ้าร่วมมือกัน เพียงแค่หนึ่งนิ้วมือของข้า ก็สามารถกําราบพวกเจ้าให้สิ้นซากได้ไม่ยาก พวกเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่า ตนเองมีคุณสมบัติจะแลกเปลี่ยนวรยุทธกับข้า? ช่างน่าขันนัก”


 


“งั้นก็ลองดูได้! ” รุ่นเยาว์ชุดเขียวทะยานร่างออกมาด้านหน้า ที่หน้าผากของเขาลวดลายสามเส้นประทับเอาไว้


 


ซานจี้ถงมองไปยังอีกด้วยฝ่ายสีหน้าดูหมิ่น “ตระกูลอินเกองั้นรึ? ข้าจําได้ว่าในตระกูลเจ้ามีคนที่อัจฉริยะอยู่ผู้หนึ่งที่ชื่อฮาหมิง หรืออะไรนี่ล่ะ ในอดีตข้าเคยกําราบเขาด้วยการโจมตีเพียงสามกระบวนท่า! ”


 


ใบหน้าของรุ่นเยาว์ชุดเขียวเปลี่ยนสีทันใด พร้อมกับชี้นิ้วไปยังซานจี้ถง “จะ… เจ้าคือจ้าวอสูรเจ็ดดาบ! ”


 


“ที่นี้ยังอยากลองดีกับข้าอีกรึไม่? ” ซานจี้ถงกล่าวอย่างไม่แยแส


 


รุ่นเยาว์ชุดเขียวมีสีหน้าฉุนเฉียวแต่ก็ยอมหันหลังกลับไป


 


ฮาหมิงคือผู้อาวุโสที่อยู่ในยุคสมัยก่อนของเขา ในตอนที่อีกฝ่ายมีพลังบ่มเพาะระดับโลกียนิพพาน อีกฝ่ายมีพลังต่อสู้ที่ไร้เทียมทานเป็นอย่างมาก และถูกกล่าวขานว่าเป็นอัจฉริยะที่มีโอกาสบรรลุเป็นราชานิรันดร์ เพียงแต่ว่าครั้งหนึ่งที่อีกฝ่ายออกเดินทางไปฝึกฝน เขาได้พ่ายแพ้ให้กับนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานผู้หนึ่ง ทําให้ความมั่นใจในตัวเองถดถอย และหมดศักยภาพของอัจฉริยะ


 


คนที่โค่นฮาหมิงมีฉายาว่าจ้าวอสูรเจ็บดาบ เนื่องจากคู่ต่อสู้ทุกคนล้วนแต่ถูกเขากําราบจนหมดสภาพภายในเจ็ดดาบ


 


“จ้าวอสูรเจ็ดดาบ!”


 


ทุกคนตั้งสติกลับมาหลังจากที่ตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ ที่แท้ซานจี้ถงก็คือจ้าวอสูรเจ็ดดาบ!


 


ในอดีตเคยมีปรมาจารย์ดาบรุ่นเยาว์ที่ท้าทายผู้คนไปทั่วยุทธภพ ไม่รู้ว่ามีอัจฉริยะในระดับโลกียนิพพานมากมายกี่คนแล้วที่ถูกเขากําราบ จนหมดสิ้นความมั่นใจ


 


“เอี๋ยนเซียนลู่ ที่เจ้าชวนข้ามา มีเหตุผลอะไรกันแน่? ” ซานจี้ถงกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ถึงแม้นิรันดร์จะมีอายุขัยไร้ขีดจํากัด แต่เขาก็ไม่ต้องการทิ้งเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์เช่นนี้


 


เอี๋ยนเซียนลู่ยิ้มอย่างไม่แยแส “ยอดเขาสามตะวันแห่งนี้ คือสถานที่แห่งความสําเร็จของอาจารย์ของข้า เมื่อดวงดาวสามดวงโคจรมารวมตัวกัน จินตนภาพอันน่าอัศจรรย์จะอุบัติขึ้น”


 


“ในครั้งนี้ นอกจากเรียกพวกเจ้ามาเพื่อ เฉลิมฉลองวันครบรอบความสําเร็จให้กับอาจารย์ของข้าแล้ว อาจารย์ของข้ายังคาดเดาเอาไว้ว่า สวรรค์และปฐพี่จะสร้างจินตนภาพที่น่าอัศจรรย์ขึ้น ผู้ใดที่สามารถขึ้นไปบนยอดเขาได้ จะได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์และปฐพี!”


 


เขามองไปยังซานจี้ถงและเหลาซง ก่อนจะกล่าวต่อ “ที่ข้ายังไม่ทะลวงผ่านระดับแบ่งแยกวิญญาณ ก็เพราะรอคอยวันนี้อยู่”


 


“ในเมื่อมีวาสนาที่วิเศษขนาดนั้น ทําไมต้องเรียกพวกข้ามาแย่งชิงกับเจ้าด้วย? ” เหล่าซงถาม


 


“เมื่อดวงดาวสามโคจรมารวมกันในวันนี้ แรงกดดันของราชานิรันดร์จะลดลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าทุกคนจะมีคุณสมบัติขึ้นเขาไปได้” เอี๋ยนเซียนลู่กล่าว “ข้าไม่รังเกียจที่น่าจะแย่งชิงวาสนากับพวกเจ้า และนอกจากนั้นข้าก็ยังมีเรื่องสําคัญอื่นกับพวกเจ้าด้วย”


 


“เรื่องสําคัญอะไร? ” ซานจี้ถงเอ่ยถาม มีเพียงเขากับเหลาซงเท่านั้น ที่สามารถพูดคุยกับเอี๋ยนเซียนลู่ได้อย่างทัดเทียม


 


“ไม่จําเป็นต้องรีบ” เอี๋ยนเซียนลู่กล่าว “หากขึ้นไปถึงยอดเขาไม่ได้ ต่อให้รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”


ตอนที่ 1911 ขึ้นยอดเขา


 


หากขึ้นไปยังยอดเขาไม่ได้ ก็ไม่มีคุณสมบัติจะรับรู้งั้นรีบ


 


หลิงฮันรู้สึกสนใจขึ้นมา เรื่องสําคัญที่เอี๋ยนเซียนลู่ว่าคืออะไรกันแน่ หรือจะเกี่ยวข้องกับพายุมืดกัน?


 


เขากล่าวกับสตรีนกอมตะ “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าเข้าอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ไปก่อน”


 


“อืม! ” สตรีนกอมตะพยักหน้าอย่างไม่คัดค้าน นอกจากนางจะไม่ได้มีศักยภาพในระดับราชาแล้ว นางยังไม่บรรลุแม้แต่ระดับโลกียนิพพานเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นอย่าว่าแต่ขึ้นไปให้ถึงยอดเขาเลย แต่จะลองก้าวเข้าสู่ภูเขานางก็หมดสิทธิ์แล้ว


 


หลิงฮันนำสตรีนกอมตะเข้าสู่หอคอยทมิฬ ส่วนในด้านของธิดาโร๋วนั้นเขาเลือกที่จะเมินเฉย


 


“เห้อ! ” ธิดาโร๋วแสร้งทําเป็นถอนหายใจ


 


หลิงฮันทําหูทวนลม เขาจําเป็นต้องเลิกสนใจสตรีผู้นี้เสียบ้าง ไม่เช่นนั้นนางจะยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่


 


“ดวงดาวสามดาวโคจรมาบรรจบกันแล้ว! ” จู่ๆ เอี๋ยนเซียนลู่ก็เอ่ยขึ้นมา ที่เหนือน่านฟ้าดวงดาวที่ส่องประกายสามดวงได้ปรากฏให้เห็น และพุ่งทะยานเป็นเส้นวิถีโคจรเดียวกัน “ตอนนี้สามารถขึ้นไปยังภูเขาได้แล้ว ด้วยอํานาจแห่งเต๋าสวรรค์และปฐพีที่ถูกกระตุ้นให้ทํางาน ใครก็ตามที่ขึ้นไปถึงยอดเขาได้เป็นคนแรก และนั่งลงบนโขดหินขนาดใหญ่ ที่อาจารย์ของข้าเคยนั่งตอนทะลวงผ่านระดับราชานิรันดร์ คนผู้นั้นจะได้รับมอบวาสนาอันยิ่งใหญ่”


 


“เอาล่ะ เริ่มกันได้แล้ว”


 


เอี๋ยนเซียนลู่เป็นคนแรกที่เคลื่อนที่นาขึ้นไปยังภูเขา


 


เหลาซงและซานจี้ถงพุ่งทะยานร่างตามไปติดๆ ในขณะที่ผู้ติดตามทั้งสามของเอี๋ยนเซียนลู่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ตามไปด้วย


 


ทั้งสามคนจ้องมองหลิงฮันด้วยสีหน้าเย็นชา


 


จ้าวชิงเฟิงถูกหลิงฮันสังหาร เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะมองหลิงฮันเป็นศัตรู หากไม่ใช่เพราะเอี๋ยนเซียนลู่ห้ามไว้ พวกเขาทั้งสามคงลงมือไปแล้ว


 


แน่นอนว่าหลิงฮันยอมไม่เก็บทั้งสามคนมาใส่ใจ ผู้ติดตามเหล่านี้มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าจ้าวชิงเฟิงเท่านั้น ต่อให้เหยียบย่ำไปก็ไม่ได้ทําให้เขารู้สึกดี


 


หลิงฮันจับกุมมือจักรพรรดินีเอาไว้และเดินขึ้นหน้า ทางด้านของธิดาโร๋ว นางเองก็อยากลองไต่ภูเขาดูเช่นกัน นางต้องการรู้ว่าพลังของนางกับเหล่าอัจฉริยะชั้นแนวหน้า จะแตกต่างกันแค่ไหน


 


เหล่าราชาในหมู่ราชาคนอื่นๆ จิตวิญญาณลุกโชน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า วาสนาที่เกิดขึ้นในสถานที่ที่มีการบรรลุระดับราชานิรันดร์ จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน


 


หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดินีและกล่าว “บางที นี่อาจจะเป็นโอกาสที่พวกเราจะบรรลุระดับห้านิพพานก็เป็นได้”


 


“อืม! ” จักรพรรดินีพยักหน้า


 


ในขณะที่ดวงดาวทั้งสามโคจรมาบรรจบกัน แรงกดดันที่ผันผวนอยู่ในภูเขาได้สลายไปมากก็จริง แต่การจะปีนป่ายขึ้นไปให้ถึงยอดบนสุดก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลําบากอยู่ดี


 


ที่ดูเหมือนพวกอู๋เซียนลู่ทั้งสามคน สามารถไต่ขึ้นไปยังภูเขาได้อย่างง่ายดาย ก็เพราะทั้งสามคนเป็นนิรันดร์ห้านิพพาน ถึงแม้พลังบ่มเพาะของพวกเขาจะยังอยู่ในระดับโลกียนิพพาน แต่แท้จริงแล้วพลังต่อสู้ของทั้งสามนั้น สามารถเทียบเคียงได้กับระดับแบ่งแยกวิญญาณ


 


เพียงแค่หลิงฮันก้าวขึ้นสู่อาณาเขตของภูเขา เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ที่ลงมาจนหลังแทบงอ


 


จักรพรรดินีเองก็เช่นกัน นางเผยสีหน้าหนักอึ้งออกมาเล็กน้อย ส่วนธิดาโร๋วนั้นแตกต่างออกไป ทันทีที่ก้าวขึ้นสู่ภูเขา นางก็ส่งเสียงอุทานออกมา และแทบทรุดตัวลงไปนอนกับพื้น


 


“แม่นางผู้แสนงดงาม ให้ข้าช่วยเจ้าเอง! ” มือที่หนาใหญ่คู่หนึ่งยื่นเข้ามาใกล้ ดูจากมุมที่มือนี้เคลื่อนที่เข้ามาแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถมองออกว่ามือคู่นี้ตั้งใจที่จะเอื้อมผ่านไหล่ของธิดาโร๋ว และอ้อมมาจัมกุมหน้าอกของนาง


 


เพียงแต่ตอนนี้ธิดาโร๋วกําลังถูกแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวกดทับอยู่ นางจึงไม่สามารถเคลื่อนตัวหลบได้ และทําได้เพียงเผยสีหน้าอับอาย


 


คนที่แสร้งทําเป็นช่วยคือรุ่นเยาว์ร่างผอมชุดคลุมม่วงผู้หนึ่ง ที่ตอนนี้ใบหน้ากําลังเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาอย่างเด่นชัด


 


“หมับ” เพียงแต่ทันทีที่กํามือ รุ่นเยาว์ชุดม่วงก็ต้องรู้สึกแปลกประหลาด เนื่องจากสิ่งที่มือของเขาจับได้นั้นมีสัมผัสที่แข็ง และรูปทรงผิดจากที่จินตนาการเอาไว้


 


ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เมื่อเห็นว่ายอดเขาของสตรีที่เขาคิดเอาไว้ แท้จริงแล้วกลับกลายเป็นรองเท้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดิน


 


“เจ้าคิดจะทําอะไรกับเท้าของข้างั้นรึ? ” หลิงฮันยิ้ม


 


รุ่นเยาว์ชุดม่วงล่าถอยอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเผยสีหน้าขยะแขยง


 


ถึงแม้หลิงฮันจะไม่ได้คิดครอบครองสตรีทรงเสน่ห์ผู้นี้ แต่อีกฝ่ายก็ร่วมหัวจมท้ายกับเข้ามานาน เขาจึงไม่อาจนิ่งเฉยยอมให้นางถูกเอาเปรียบได้


 


เขายิ้มและกล่าว “มาจับเท้าของข้าเช่นนี้ เจ้าคิดจะชดใช้ค่าเสียหายให้ข้าอย่างไร?”


 


มุมปากของรุ่นเยาว์ชุดม่วงกระตุกเล็กน้อย พร้อมกับสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นมืดมน


 


เจ้ากล้าเย้าแหยู่ข้างั้นรึ?


 


“หืม ข้ารู้จักเจ้า เจ้าคือผู้สืบทอดคนใหม่ของเมืองวิถีโอสถสินะ? ” รุ่นเยาว์ชุดม่วงกล่าวออกมา เมื่อรับรู้ถึงตัวตนของหลิงฮัน


 


ก่อนหน้านี้เมืองวิถีโอสถได้เชิญชวนขุมอํานาจมากมายไปเข้าร่วมการพิธี นิกายตะวันบริสุทธิ์ของเขาเองก็ได้รับคําเชิญชวนเช่นกัน เพียงแต่นิกายตะวันบริสุทธิ์นั้นเป็นถึงขุมอํานาจราชานิรันตร์ระดับหก เพราะงั้นพวกเขาจึงไม่ได้ตอบรับคําเชิญ


 


เพียงแต่โฉมหน้าของหลิงฮันก็ถูกแพร่กระจาย ไปทั่วดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออกแล้ว ในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นผู้สืบทอดของเมืองวิดีโอสถ หากพบเจอกันเขาก็ต้องยอมไว้หน้าอีกฝ่ายบ้าง


 


หลิงฮันเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกําลังคิดอยู่ได้ไม่ยาก “ต่อให้คิดจะตีสนิทกับข้าก็ไม่มีประโยชน์ รีบจ่ายค่าชดใช้มาเดี๋ยวนี้! ”


 


มุมปากของรุ่นเยาว์ชุดม่วงกระตุกยิ่งกว่าเดิม เขาที่บังเอิญไปจับเท้าของหลิงฮัน จนต้องรู้สึกขยะแขยงเช่นนี้ กลับกลายเป็นฝ่ายผิดงั้นรึ? เขากล่าว “ผู้สืบทอดเมืองวิถีโอสถอาจจะดูสูงส่งในสายตาผู้อื่น แต่ต่อหน้าซางต๋าผู้นี้ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากแมลงตัวเหม็น!”


 


เขาไม่กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด เมืองวิถีโอสถมีอํานาจเทียบเท่าได้กับขุมอํานาจห้าดาวทั่วไปเท่านั้น สําหรับขุมอํานาจราชานิรันดร์ระดับสอง หรือสามขึ้นไปแล้ว ย่อมไม่จําเป็นแยแสต่ออํานาจของเมืองวิดีโอสถแต่อย่างใด


 


“ช่างเป็นคนที่หน้าไม่อายยิ่งนัก นอกจากจะเสียมารยาทมาจับเท้าคนอื่นแล้วยังกล้าพูดจาข่มขู่ เพื่อปิดบังการกระทําอันไร้ยางอายของตนเองอีก” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส


 


ซางต๋าเกรี้ยวกราดและผลักมือเข้าใส่หลิงฮัน “รนหาที่ตาย!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)