Alchemy Emperor of the Divine Dao 1902-1903
ตอนที่ 1902 คำเชิญของเอี๋ยนเซียนลู่
ผู้ส่งสารคนนี้… มาจากวิหารอนันต์รุ่งโรจน์!
บังเอิญเหลือเกินที่ผู้ส่งสารคนนี้ เพิ่งจะมาถึงก่อนที่หลิงฮันจะออกจากการเก็บตัวฝึกฝนเพียงสามวัน
ด้วยชื่อเสียงอันน่าเกรงขามของวิหารอนันต์รุ่งโรจน์ ในสามวันที่ผ่านมา ผู้ส่งสารผู้นี้จึงถูกจัดให้พักอาศัยอยู่ในอาณาเขตที่สี่ เมื่อเห็นว่าหลิงฮันออกมาจากการเก็บตัวแล้ว ใครบางคนก็รีบไปแจ้งข่าวทันที เพราะกลัวว่าหลิงฮันจะกลับไปเก็บตัวฝึกฝนอีกครั้งเสียก่อน
หลังรออยู่สักพัก รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัว
เขาสวมชุดสีฟ้าครามและมีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับสี่นิพพาน กลิ่นอายรอบกายของเขาน่ายำเกรงเป็นอย่างมาก
เพียงแค่คนส่งสารก็ยังมีศักยภาพอยู่ในระดับราชา นี่แสดงให้เห็นว่าผู้คนที่จะอยู่ภายใต้อาณัติของเอี๋ยนเซียนลู่ได้ จำเป็นต้องมีพรสวรรค์มากมายเพียงใด
“ช่างกล้าหาญไม่น้อย ที่ปล่อยให้ข้าต้องรอคอยถึงสามวัน! ” รุ่นเยาว์ชุดฟ้ากล่าวด้วยสีหน้าไม่พอใจเมื่อพบเจอหลิงฮัน
เหอะๆ
หลิงฮันหัวเราะเหยียดหยามในใจ ก่อนจะชี้นิ้วไปยังประตู “ประตูอยู่ตรงนั้น เจ้าไสหัวไปซะ”
รุ่นเยาว์ชุดฟ้าไม่คาดคิดว่าหลิงฮันจะหยิงยโสเพียงนี้ ใบหน้าของเขาขึ้นสีอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าว “หลิงฮัน ข้ามาที่นี่ในฐานะของผู้สืบทอด”
“โอ้ ผู้สืบทอดคนใดล่ะ? ” หลิงฮันกล่าวออกไปอย่างไม่แยแส
“แน่นอนว่าต้องเป็น ผู้สืบทอดเอี๋ยนเซียนลู่อยู่แล้ว! ” รุ่นเยาว์กล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “นอกจากนายน้อยเอี๋ยนแล้ว ในวิหารอนันต์รุ่งโรจน์จะยังมีใครมีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอดได้? ”
“แล้วเอี๋ยนเซียนลู่มีธุระอะไรกับข้า? ” หลิงฮันนั่งไขว้ขา ราวกับไม่รู้สึกอะไรกับคำว่า ‘เอี๋ยนเซียนลู่’
รุ่นเยาว์ชุดฟ้าสูดหายใจลึก และอดไม่ได้ที่จะขึ้นเสียงตอบกลับไป “บังอาจนัก เจ้ากล้าเรียกชื่อของผู้สืบทอดห้วนๆ แบบนั้นได้อย่างไร? ”
หลิงฮันแสยะยิ้ม “เจ้ามาหาข้าถึงที่ เพื่อสั่งสอนวิธีการพูดจาให้ข้างั้นรึ? ”
รุ่นเยาว์ชุดฟ้าเกิดความคิดอยากจะลงมือ แต่เมื่อนึกถึงวีรกรรมของหลิงฮัน ความคิดที่ว่าก็หายไปในพริบตา
ตัวเขาเป็นราชาแห่งยุคก็จริง แต่ก็อ่อนแอกว่าจ้าวชิงเฟิงไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า เพราะงั้นหากแม้แต่จ้าวชิงเฟิงก็ยังถูกหลิงฮันสังหาร แล้วเขาล่ะจะไปทำอะไรได้?
“ฮึ่ม เมื่อใดที่เจ้าเห็นผู้สืบทอดของข้า เจ้าจะได้รู้ว่าความต่างชั้นระหว่างเขากับเจ้านั้น กว้างใหญ่เพียงใด! ” รุ่นเยาว์ชุดฟ้ากล่าวอย่างภาคภูมิใจ ก่อนจะนำซองจดหมายออกมา และโยนให้หลิงฮัน “นี่คือคำเชิญเข้าร่วมงานชุมนุมจากนายน้อยของข้า”
หลิงฮันรับจดหมายมา แต่ก็ไม่ได้แกะอ่านในทันที
“อีกหนึ่งปีหลังจากนี้ จะมีการจัดงานชุมนุมเหล่าอัจฉริยะขึ้นที่ขุนเขาทลายเมฆา” รุ่นเยาว์ชุดฟ้ากล่าวอย่างภาคภูมิใจ “หลิงฮัน เจ้าควรรู้เอาไว้ว่าในหมู่คนที่ได้รับการเชิญชวนนั้น คนที่ไม่ได้เป็นผู้สืบทอดขุมอำนาจราชานิรันดร์ มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
“สำหรับเวลา และสถานที่ล้วนแต่ถูกเขียนเอาไว้ในจดหมายแล้ว เจ้าลองเปิดดูเอาเอง”
เขาแน่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “จดหมายฉบับนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนเขียนด้วยตัวเอง? ”
จดหมายที่เอี๋ยนเซียนลู่เขียนเองงั้นรึ?
หลิงฮันรู้สึกสนใจ และรีบเปิดซองจดหมายทันที
ตราประทับบนหน้าซองจดหมาย คือหลักฐานว่าซองจดหมายนี้ยังไม่เคยถูกเปิดมาก่อน เมื่อหลิงฉีกตราประทับออกคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัว ที่ราวกับจะฉีกสวรรค์ออกเป็นเสี่ยงๆ ก็พรั่งพรูออกมาจากซองจดหมาย
แข็งแกร่งมาก!
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้าน ในขณะที่เอี๋ยนเซียนลู่เขียนจดหมาย อีกฝ่ายจะต้องประทับเจตจำนงยุทธ ของตนเองเอาไว้ด้วยอย่างแน่นอน
นี่คือการทดสอบจากเอี๋ยนเซียนลู่ ว่าคนที่ได้รับจดหมายจะมีคุณสมบัติพอรึไม่
‘พรึบ’ คลื่นแสงเจิดจ้าของอำนาจแห่งเต๋า ส่องสว่างไปทั่วห้องราวกับปรมาจารย์ที่ทรงพลัง กำลังจู่โจมออกมาจากซองจดหมาย
สีหน้าของหลิงฮันกลายเป็นเคร่งขรึม แต่ก็ไม่หยุดมือและทำการฉีกซองจดหมายต่อไป
รุ่นเยาว์ชุดฟ้าไม่สามารถต้านทานอำนาจจากซองจดหมายได้ และขยับล่าถอยออกไปหลายก้าว โดยที่ใบหน้าแสดงออกถึงความชื่นชม
สมแล้วที่เจ้าสามารถสังหารจ้างชิงเฟิงได้ และได้รับการเชิญชวนจากผู้สืบทอด
แต่ที่เจ้าเปิดอยู่ก็แค่ซองจดหมายเท่านั้น บดทดสอบที่แท้จริงอยู่ที่ตัวจดหมายต่างหาก
รุ่นเยาว์ชุดฟ้าจ้องมองดูอยู่อย่างเงียบๆ ก่อนจะเห็นหลิงฮันนำจดหมายที่อยู่ด้านในซองออกมา
แผ่นจดหมายถูกพับเอาไว้สี่ทบ
หลิงฮันทำการคลี่แผ่นจดหมายหนึ่งทบ ‘พรึบ’ คลื่นแสงสีทองส่องสว่างออกมาจากจดหมาย และแปรเปลี่ยนกลายเป็นเล่มดาบทองคำพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน แต่ก็ถูกหลิงฮันใช้มือสะบัดใส่จนสลายไป
เมื่อเขาเปิดจดหมายอีกทบ ดาบทองคำก็โผล่มาอีกครั้ง แต่ก็ถูกทำให้สลายไปในที่สุด
ในขณะที่จดหมายถูกคลี่ออกอย่างสมบูรณ์นั่นเอง คลื่นพลังสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดก็พรั่งพรูหลั่งไหลออกมา พร้อมกับควบแน่นกลายเป็นกำปั้นจู่โจมเข้าใส่หลิงฮัน
หมัดนี้ทรงพลังราวกับจะบดขยี้สวรรค์ ห้วงกาลเวลา และห้วงจักรวาลให้แหลกสลายได้
หลิงฮันเองก็ปล่อยหมัดตอบโต้
ตูม!
หมัดสองหมัดเข้าปะทะกัน ร่างของหลิงฮันสั่นสะท้านและถูกทำให้ล่าถอยไปสามก้าวก่อนจะหยุด และเดินโซซัดโซเซอีกเจ็ดก้าวกว่าจะทรงตัวได้
หมัดสีดำแหลกสลายกลับกลายเป็นคลื่นสีดำ และแปรเปลี่ยนกลายเป็นตัวอักษร ‘ยอดเขาสามตะวัน ณเวลาที่ดวงดาราทั้งสามโคจรมาพบกัน’
อักษรเหล่านี้คงสภาพอยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะระเบิดออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย และสลายไป
“หลิงฮัน ในเมื่อจดหมายถูกส่งเรียบร้อยแล้ว ข้าก็ขอตัว! ” รุ่นเยาว์ชุดฟ้ากล่าว ด้วยใบหน้าเลื่อมใส
การที่สามารถรับการโจมตีของผู้สืบทอดได้ หมายความว่าพลังของหลิงฮันนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แน่นอนว่าถึงแม้จะยังเทียบเท่าไม่ได้ แม้แต่ฝ่าเท้าของผู้สืบทอดก็ตาม
หลิงฮันเมินเฉยรุ่นเยาว์ชุดฟ้า และจ้องมองไปยังแผ่นจดหมาย เนื่องจากตอนนี้เจตจำนงยุทธของเอี๋ยนเซียนลู่ได้สลายไปแล้ว บนหน้ากระดาษจึงเหลือแต่เพียงความว่างเปล่า
หากเมื่อครู่เขาทำลายหมัดสีดำไม่ได้ สิ่งที่เขาจะพบเห็นก็มีเพียงจดหมายที่ว่างเปล่า
หลิงฮันยิ้มโดยที่ดวงตาลุกโชนไปด้วยจิตวิญญาณสู้รบ
หากพูดตามตรง จากหมัดเมื่อครู่ทำให้เขารับรู้เลยว่า ตนเองไม่ใช่คู่ต่อของเอี๋ยนเซียนลู่
อีกฝ่ายจะต้องบรรลุเป็นนิรันดร์ห้านิพพานแล้วแน่นอน เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีพลังที่สามารถกดขี่เขาได้ขนาดนี้
หากการโจมตีเมื่อครู่ไม่ใช่การโจมตีผ่านจดหมาย ที่เป็นเพียงเจตจำนงยุทธ แต่เป็นหมัดของจริงล่ะก็ อย่างน้อยเขาคงจะกระอักโลหิตออกมาแล้ว
“หลังจากนี้อีกหนึ่งปี… ข้าต้องทะลวงผ่านเป็นระดับห้านิพพานให้ได้! ” หลิงฮันพึมพำและตั้งเป้าหมาย
“บางทีหากได้รับแรงกดดันจากเอี๋ยนเซียนลู่ ประตูสู่นิรันดร์ห้านิพพานของข้าอาจจะเปิดออกก็เป็นได้”
“เพียงแต่ข้าก็มีภารกิจด่วน ที่ต้องฝึกฝนทักษะห้วงจิตปรับแต่งให้บรรลุขั้นสองในอีกหกเดือน เพราะงั้นเรื่องของเอี๋ยนเซียนลู่ค่อยเอาไว้ทีหลังแล้วกัน”
หลิงฮันจับคางทำท่าครุ่นคิด เขารู้สึกว่าเวลาที่เขามีช่างไม่เพียงพอจริงๆ
ตอนที่ 1903 เริ่มคัดเลือก
หลิงฮันฝึกฝนศาสตร์ปรุงยาต่อ
ด้วยพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ของเขา และพฤกษาต้นกำเนิดอย่างต้นสังสารวัฏ หลังจากเวลาผ่านไปอีกเพียงห้าเดือน ทักษะห้วงจิตปรับแต่งของเขาก็ยกระดับเป็นขั้นสอง
“ประสิทธิภาพในการปรับแต่งขั้นสองของข้า ถือว่าอยู่ในระดับที่เพียงพอแล้ว” หลิงฮันมองไปยังเม็ดยาในมือ ที่มีลวดลายสีทองสองเส้นปรากฏออกมา หนึ่งเส้นเป็นสีทองอร่าม ในขณะที่อีกเส้นเป็นสีทองหม่นหมอง
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจ
“เพียงแต่ขนาดทักษะห้วงจิตปรับแต่งขั้นสองยังยากลำบากขนาดนี้… แทบจะจินตนาการไม่ออกเลย ว่าห้วงจิตปรับแต่งขั้นที่ห้าจะยากลำบากขนาดไหน! ”
อย่ามองว่าเขาสามารถบรรลุห้วงจิตปรับแต่งขั้นสองได้รวดเร็ว แล้วขั้นอื่นๆ จะเป็นเช่นนี้ด้วย ยิ่งขั้นของห้วงจิตปรับแต่งสูงขึ้นเท่าไหร่ ความยากที่จะฝึกฝนสำเร็จก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น เพราะงั้นห้วงจิตปรับแต่งขั้นสามจึงเป็นขีดจำกัดของนักปรุงยาแทบทุกคน และนักปรุงยาที่บรรลุห้วงจิตปรับแต่งขั้นห้าได้ จึงถูกเรียกว่าเป็นปรมาจารย์นักปรุงยา
หลิงฮันเก็บตัวฝึกฝนต่อไป เพื่อขัดเกลาประสิทธิภาพของห้วงจิตปรับแต่งขั้นสอง
ในขณะเดียวกัน ระยะเวลาสามปีที่ปรมาจารย์จื่อเฉิงกำหนดเอาไว้ ก็ค่อยๆ เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ซึ่งผู้สืบทอดทุกคนต่างอุ่นเครื่องขัดเกลาทักษะของตนเอง เพื่อตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอคอยวันที่ใกล้จะมาถึง
ก่อนหน้านี้ หลู่เซียนหมิงคือผู้สืบทอดที่มีความหวังมากที่สุด เนื่องจากพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาของเขาเหนือกว่าใครๆ แต่เขาเองก็มีจุดอ่อนเดียวกับหลิงฮัน คือระยะเวลาฝึกฝนที่ไม่มากพอ
หากให้เวลาเขาอีกหนึ่งหรือสองน้อยล้านปีล่ะก็ หลู่เซียนหมิงจะต้องก้าวขึ้นมาอยู่เหนือผู้สืบทอดทุกคนแน่นอน แต่สำหรับระยะเวลาเพียงสามปี เขาย่อมไม่สามารถไล่ตามความต่างชั้นระหว่างผู้สืบทอดคนอื่นๆ ทัน
เมื่อถึงวันที่ครบกำหนด หลิงฮันที่ยังคงฝึกฝนศาสตร์ปรุงยาอยู่ก็ถูกขัดจังหวะกลางคัน ผู้สืบทอดทั้งสิบคนต่างถูกเรียกตัวไปยังวิหารนักปรุงยา เพื่อทำการคัดเลือกผู้ปกครองคนต่อไป
หลังจากวันนี้ บางทีเมืองวิถีโอสถอาจจะไม่มีผู้สืบทอดอีกต่อไป สิ่งที่เหลืออยู่จะเพียงอนาคตประมุขเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
หลิงฮันมุ่งหน้ามายังอารมตะวันกระจ่าง ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญสำหรับใช้จัดงานรวมตัวที่สำคัญของเมืองวิถีโอสถ
ผู้สืบทอดทั้งสิบคนยืนเรียงกันอยู่ในอาราม เพื่อเฝ้ารอจุดพลิกผันโชคชะตาครั้งใหญ่ที่สุดของชีวิต
เมื่อเทียบกับผู้สืบทอดคนอื่น หลิงฮันมีท่าทีสงบนิ่งเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาพกความมั่นใจมาเต็มร้อย
ปรมาจารย์จื่อเฉิงที่มองดูอยู่ เผยรอยยิ้มพึงพอใจ ศิษย์ของเขาช่างแตกต่างจริงๆ ทั้งๆ ที่คนอื่นกำลังกระวนกระวายแทบตาย แต่หลิงฮันกลับมีท่าทีที่สงบนิ่งราวกับขุนเขา
ด้านในอารามตะวันกระจ่าง นักปรุงยามากมายมารวมตัวกัน สำหรับทางด้านของนักปรุงยาสี่ดาว ปรมาจารย์ชิวเย่ กับปรมาจารย์เทียนซินไม่ได้มาด้วย เนื่องจากพวกเขาไม่สนใจว่าใครจะได้ขึ้นผู้ปกครองคนต่อไปของเมืองวิถีโอสถ
กลุ่มของนักปรุงยาสามดาวนั่งเรียงกันล้อมรอบห้องโถงหลักของอาราม ในขณะที่นักปรุงยาระดับสองกับนักปรุงยาระดับหนึ่ง ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะได้นั่งและต้องยืนสถานเดียว
ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าว “วันนี้คือวันที่จะกำหนดผู้ปกครองคนต่อไปในอนาคตของเมืองวิถีโอสถ ในหมู่ผู้สืบทอดทั้งสิบคน… มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่จะได้แบกรับภาระในการชี้นำอนาคตของเมืองวิถีโอสถ เพียงแต่ผู้สืบทอดคนอื่นๆ ก็ยังมีความสำคัญที่จะเป็นเสาหลักคอยค้ำจุนเมืองวิถีโอสถเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรอนาคตของเมืองนี้ก็ยังต้องพึ่งพาพวกเจ้า”
“กฎการคัดเลือกไม่มีอะไรยาก พวกเจ้ามีหน้าที่หลอมเม็ดยานิรันดร์สองดาว ที่ปรับแต่งอย่างน้อยสองขั้น หากหลอมเม็ดยาสามดาวหรือปรับแต่งมากกว่าสองขั้น ก็จะได้รับแต้มพิเศษ นอกจากนั้นระยะเวลาที่ใช้ในการฝึกฝนศาสตร์ปรุงยาก็มีผลเช่นกัน ยิ่งพวกเจ้าเข้าสู่ศาสตร์ปรุงยาไม่นาน แต้มพิเศษที่ได้ก็จะสูงขึ้น”
ประโยคสุดท้ายนี้เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์จื่อเฉียงเตรียมเอาไว้เพื่อหลิงฮัน ถึงแม้หลู่เซียนหมิงจะเข้าสู่ศาสตร์ปรุงยามาได้ไม่นาน ซึ่งจะได้รับแต้มพิเศษเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับหลิงฮันแล้วยังถือว่าต่างชั้น
ปรมาจารย์จื่อเฉิงมองไปยังผู้สืบทอดทั้งสิบคนและสะบัดมือ “เริ่มได้”
เขาที่รู้ความสามารถของหลิงฮันดีกว่าใครนั้น แท้จริงแล้วเขาคร้านจะทำอะไรให้ยุ่งยาก และอยากเลือกหลิงฮันให้เป็นผู้ปกครองต่อโดยตรงเลยด้วยซ้ำ
หลิงฮันและผู้สืบทอดอีกเก้าคนเข้าสู่ห้องหลอมเม็ดยา ชนิดของเม็ดยาที่ใช้ในการทดสอบนั้นไม่ได้กำหนดเอาไว้ แต่ระยะเวลาที่มีให้คือสามเดือนในห้องหลอมเม็ดยา หรือเทียบกับเวลาจริงแล้วคือหนึ่งวันเท่านั้น
ผลตัดสินโชคชะตาจะรู้กันในหนึ่งวัน
หลิงฮันไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เขาจะทำคือการหลอมเม็ดยาตามปกติของตัวเอง
ในห้องหลอมเม็ดยาห้องหนึ่ง หลู่เซียนหมิงเผยสีหน้ามั่นใจเป็นอย่างมาก
ในสามปีที่ผ่านมานี้ ต่อให้ใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในห้องบ่มเพาะกาลเวลา ระยะเวลาที่มีก็คือสามร้อยวันเท่านั้น ซึ่งเขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าผู้สืบทอดคนอื่นๆ จะพัฒนาความสามารถไปได้ไกล
ในเรื่องความสามารถของการปรุงยา ถึงแม้เขาจะยังเทียบกับผู้สืบทอดคนไม่ได้มาก แต่หากนับแต้มจากระยะเวลาที่เข้าสู่ศาสตร์ปรุงยาแล้วล่ะก็ เขาจะได้แต้มพิเศษมาชดเชยในส่วนนั้นมากมายแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดคือเขานำผลึกสกาวแสงมาด้วย
มันคือตัวช่วยสำหรับห้วงจิตปรับแต่ง ที่สามารถทำให้ประสิทธิภาพของห้วงจิตปรับแต่ง ยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล!
นอกจากหลู่เซียนหมิงแล้ว คนที่มีความมั่นใจแบบเดียวกันก็คือฉินกู่ยวี่
ถึงแม้นางจะไม่ได้มีผลึกสกาวแสง แต่นางคือตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ ที่ในตอนทะลวงผ่านระดับตัดวิญญาณหยาง นางบังเอิญได้รับธาตุวิญญาณคู่อย่าง พฤกษาและวารีซึ่งพบเจอยากยิ่ง
หากนางเป็นเพียงจอมยุทธทั่วไป ธาตุวิญญาณเช่นนี้คงทำให้พลังต่อสู้ของนางต่ำเตี้ยติดดิน แต่ในฐานะนักปรุงยาพลังธาตุเช่นนี้คือสมบัติล้ำค่า!
นี่คือไพ่ลับที่แม้แต่อาจารย์ของนางก็ไม่เคยรับรู้
ธาตุวิญญาณนี้ช่วยให้ตัวของนางมีความสอดคล้องกับพฤกษาและสมุนไพร ซึ่งมีอิทธิพลกับการปรุงยาเป็นอย่างมาก
เพราะเหตุนี้ นางจึงมั่นใจว่าจะสามารถหลอมเม็ดยานิรันดร์ ที่ไร้ผู้ใดทัดเทียมขึ้นมาได้
ทักษะห้วงจิตปรับแต่งเองก็มีผลช่วยเสริมคุณภาพของเม็ดยา เพราะงั้นหากนางหลอมเม็ดยาคุณภาพยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ตั้งแต่แรก แต่ประสิทธิภาพของการปรับแต่งไม่ดี นางก็ยังมีแต้มต่อกว่าใครอยู่ดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น