Alchemy Emperor of the Divine Dao 1896-1901
ตอนที่ 1896 ช้าก่อน!
จ้าวชิงเฟิงมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า
ในความคิดของเขา หลิงฮันกับเขานั้นมีพลังต่อสู้ที่ทัดเทียมกัน แต่ที่ก่อนหน้านี้เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็เพราะกายหยาบหลิงฮันแข็งแกร่งเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นล่ะก็ ในการประลองครั้งแรก หลิงฮันคงถูกเขาสังหารไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
แต่ทว่า ในการประลองครั้งนี้ พลังต่อสู้ของเขากับอีกฝ่าย กลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว!
หลิงฮันสามารถรับการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเขาได้อย่างง่ายดาย ราวกับการโจมตีของเขาไม่ต่างอะไรจากการผายลม
ผลลัพธ์เกิดขึ้นนี้ทำให้เขานึกถึงเอี๋ยนเซียนลู่ ในตอนที่ยังไม่บรรลุห้านิพพาน หรือว่า… เจ้าหมอนี่จะกำลังจะกลายเอี๋ยนเซียนลู่คนที่สอง?
ในขณะที่จ้าวชิงเฟิงกำลังครุ่นคิด เนื้อหนังบนใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ สลายตัวกลายเป็นเศษฝุ่น
ทุกคนยืนมองอย่างแน่นิ่งไร้คำพูด ไม่มีใครปฏิเสธว่าจ้าวชิงเฟิงนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง พลังของอัจฉริยะผู้นี้สามารถทำให้แม้แต่ ผู้สืบทอดของขุมอำนาจราชานิรันดร์ก็ยังมัวหมอง ช่างน่าสลดนักที่ท้ายที่สุด เขาต้องมาตายอย่างไร้ค่า
ใช่แล้ว… แม้แต่จะลากหลิงฮันไปได้เขาก็ไม่อาจทำได้
จ้าวชิงเฟิงอ้าปากกล่าวคำพูดสุดท้าย “เจ้าแข็งแกร่งจริงๆ ข้าคนนี้ขอยอมรับ! เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของนายน้อยเอี๋ยนได้ หลังจากการตายของข้า เจ้าเองก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่นานเช่นกัน เนื่องจากด้วยนิสัยของเจ้าแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมจำนนต่อใคร ซึ่งนายน้อยน้อยเอี๋ยนก็ไม่มีวันยอมไว้ชีวิตคนแบบเจ้าเช่นกัน! ”
เมื่อเขาเอ่ยปากพูด ความเร็วในการแหลกสลายของยิ่งเร็วขึ้น หลังจากที่เขากล่าวจบ ทั่วร่างก็แหลกสลายกลายเป็นฝุ่นและถูกพัดหายไปตามสายลม
หลิงฮันยิ้มมุมปาก ไม่ว่าคำพูดสุดท้ายของจ้าวชิงเฟิงจะเป็นคำแนะนะหรือคำขู่ เขาก็ไม่เก็บมาใส่ใจ
ในระดับพลังเดียวกัน เขาไม่หวั่นเกรงต่อผู้ใด
เอี๋ยนเซียนลู่อะไรนั่น สุดท้ายก็ต้องกลายมาเป็นหินลับคมให้แก่เขา
ปรมาจารย์จื่อเฉิงยิ้ม ถึงแม้จ้าวชิงเฟิงจะโผล่มาและเสียชีวิตในงานพิธีอันยิ่งใหญ่ แต่วิหารอนันต์รุ่งโรจน์ก็ย่อมเข้าใจเหตุผลของเรื่องที่เกิดขึ้น และถึงแม้เอี๋ยนเซียนลู่จะไม่พอใจและไร้เหตุผลแค่ไหน อีกฝ่ายก็เป็นเพียงผู้สืบทอด ที่มีพลังบ่มเพาะระดับโลกียนิพพานเท่านั้น
เวลา… ขอแค่ศิษย์ตัวน้อยของเขามีเวลาเท่านั้น อีกฝ่ายก็จะเฉิดฉายและมีอำนาจพอที่จะเหยียดหยามยุทธภพ
“ฮ่าๆ ดำเนินพิธีต่อได้” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าว ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ยุ่งเหยิงเกิดขึ้น แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นผลดีต่อตัวหลิงฮันเอง
แต่แน่นอนว่าหลังจากนี้เขาจะทำการตรวจสอบอยู่ดีว่า ใครกันที่เป็นคนปล่อยให้จ้าวชิงเฟิงเข้ามาในงานพิธีได้
“ช้าก่อน! ” เพียงแต่ว่าทันใดนั้นเอง ใครบางคนก็ตะโกนแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
บัดซบ วันนี้มันวันอะไรกัน เหตุใดถึงได้มีคนชอบตะโกนโผล่หัวกันมาเยอะนัก?
ชายชราผู้หนึ่งเดินออกมาจากฝูงชน เขาพาดสองมือไว้ด้านหลังอย่างน่าเกรงขาม
“ลู่จิ้น! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงขมวดคิ้ว
ลู่จิ้นผู้นี้คือนักปรุงยาสามดาว และเป็นนิรันดร์ระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ เขาคือนักปรุงยาอัจฉริยะที่มีศักยภาพพอจะบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาว
ลู่จินผสานมือทักทายปรมาจารย์จื่อเฉิงด้วยสีหน้าอวดดี ราวกับไม่เห็นปรมาจารย์จื่อเฉิงอยู่ในสายตา
ทุกคนรอบข้างต่างเผยท่าทีประหลาดใจ
เมื่อครู่จ้าวชิงเฟิงก็ปรากฏตัวสร้างความวุ่นวายแล้วหนหนึ่ง พอมาตอนนี้ก็เป็นนักปรุงยาลู่จิ้นอีก… นี่กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองวิถีโอสถกันแน่?
“เจ้ามีอะไร? ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เพียงแต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นถึงนักปรุงยาสามดาว และนิรันดร์ระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ เพราะงั้นเขาจึงจำเป็นต้องไว้หน้าอีกฝ่าย
“ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะบอก! ” ลู่จิ้นกล่าวเสียงดังก้องราวกับฟ้าผ่า
ภายใต้อำนาจของปรมาจารย์ระดับข้ามผ่านต้นดำเนิดแท้ รัศมีของหลิงฮันได้หม่นหมองลงไปทันที
“เรื่องสำคัญอะไร ทำไมเจ้าต้องมาพูดในเวลาเช่นนี้? ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าว
ลู่จิ้นแสยะยิ้ม “ด้วยเรื่องอันสำคัญนี้ พิธีการแต่งตั้งผู้สืบทอดคนใหม่จะสิ้นความสำคัญ และล้มเลิกไปได้เลย! ”
“โอ้? ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงคร้านจะเสวนากับลู่จิ้น ถ้าหากอีกฝ่ายไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมจริงๆล่ะก็ เขาก็ไม่คิดจะไว้หน้าอีกฝ่ายอีกต่อไป
“ข้า…” ลู่จิ้นชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า “บรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาวแล้ว! ”
นักปรุงยาสี่ดาวแล้ว… นักปรุงยาสี่ดาวแล้ว… นักปรุงยาสี่ดาวแล้ว… คำหกคำนี้ดังก้องกังวานไปทั่วพื้นที่อยู่ชั่วขณะ
ทุกคนตกตะลึงจนลืมตัวหยุดหายใจไปอย่างน้อยสิบลมหายใจ
นักปรุงยาสี่ดาว!
ในเมืองวิถีโอสถ ไม่สิ… ต่อให้เป็นทั่วทั้งดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออก ก็มีนักปรุงยาสี่ดาวอยู่เพียงสี่คนเท่านั้น ซึ่งสถานะของพวกเขาล้วนแต่เทียบเท่า กับราชานิรันดร์
ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์จื่อเฉิงมีสถานะสูงกว่านักปรุงยาลู่จิ้น แต่ถ้าหากที่เขากล่าวมาเป็นความจริง สถานะของทั้งคู่ก็จะกลายมาเป็นทัดเทียมกัน
ปรมาจารย์จื่อเฉิงชะงักเล็กน้อย และอดคิดไม่ได้ว่า เรื่องที่ลู่จิ้นบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาว กับเรื่องที่จ้าวชิงเฟิงสามารถผ่านเข้ามายังที่นี่ได้นั้น ช่างบางเอิญเกิดขึ้นพร้อมกันเสียจริง
ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่ง่ายแล้ว!
ใบหน้าของปรมาจารย์จื่อเฉิงยังคงแน่นิ่งไม่เปลี่ยน “มีข้อพิสูจน์หรือไม่? ”
“นี่คือเม็ดยาสี่ดาวที่ข้าหลอมสำเร็จเมื่อสิบวันก่อน เชิญตรวจสอบดูได้! ” ลู่จิ้นดีดนิ้ว ‘พรึบ’ ก้อนแสงสีขาวบางอย่างถูกส่งลอยออกไปหาปรมาจารย์ชิวเย่
ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงไม่ส่งเม็ดยาให้กับปรมาจารย์จื่อเฉิง แต่ส่งให้กับปรมาจารย์ชิวเย่แทน
ปรมาจารย์ชิวเย่ที่กำลังถือขวดสุราอยู่ในมือ เมื่อเห็นว่าขวดเม็ดยาลอยเข้ามา เขาก็ยื่นมือออกไปคว้าขวดเม็ดยามาอยู่ที่มือ สีหน้าของเขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะวางขวดสุราลงและแก้ผนึกบนขวดยา
เม็ดยานิรันดร์สี่ดาวคือเม็ดยาที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก ออร่าที่เล็ดลอดออกมาเพียงเล็กน้อยถือว่าเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ เพราะงั้นจึงต้องผนึกเอาไว้
ปรมาจารย์จื่อเฉิง และปรมาจารย์เทียนซินขยับเข้ามาใกล้เพื่อดูด้วยกัน
ผู้คนโดยรอบก็เช่นกัน พวกเขาเขย่งเท้ายื่นหน้ายื่นตาโดยไม่รู้ตัว
‘พรึบ’ แต่ยังไม่ทันที่จะเห็นเม็ดยา คลื่นพลังสีครามภายในขวดก็ควบแน่นรวบกัน กลายเป็นจิ้งจอกน้อยดวงตาโตแสนน่ารัก
ตอนที่ 1897 ประนีประนอม
ปรมาจารย์จื่อเฉิงและปรมาจารย์อีกสองคน สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมพร้อมกัน
ยิ่งเม็ดยามีระดับสูงขึ้นก็จะยิ่งแสดงความเป็นรูปธรรมออกมามากขึ้น การที่เม็ดยานิรันดร์สี่ดาวจะมีรูปร่างเหมือนสัตว์จึงเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก
ปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสามมองหน้ากันและกล่าว “เม็ดยาเมฆาคราม! ”
เม็ดยาเมฆาครามคือเม็ดยาที่หลอมได้ง่ายที่สุดในหมู่เม็ดยานิรันดร์สี่ดาว เพราะงั้นส่วนนักปรุงยาที่คิดจะยกระดับตนเองเป็นนักปรุงยาสี่ดาว จึงเลือกหลอมเม็ดยาเมฆาครามกันเป็นส่วนใหญ่ เพียงแต่ถึงแม้จะบอกว่า ‘หลอมง่าย’ มันก็ยังเป็นถึงเม็ดยานิรันดร์สี่ดาวอยู่ดี
“ระยะเวลาที่เม็ดยาถูกหลอมยังผ่านมาไม่ถึงหนึ่งเดือน”
ปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสองวิเคราะห์ได้อย่างง่ายดาย
ดูเหมือนว่าลู่จิ้นจะไม่ได้ไปหาเม็ดยานิรันดร์สี่ดาว มาหลอกว่าตนเองเป็นคนหลอม เพื่อให้ได้สถานะนักปรุงยาสี่ดาวจริงๆ
ปรมาจารย์จื่อเฉิงผนึกขวดเม็ดยาใหม่ และส่งคืนให้กับลู่จิน “นี่คือเม็ดยานิรันดร์สี่ดาวจริงๆ ยินดีกับน้องชายลู่ด้วยที่ไต่เต้าขึ้นมาเป็นนักปรุงยาสี่ดาวได้แล้ว ความสำเร็จของเจ้าถือว่าเป็นความรุ่งโรจน์ของเมืองวิถีโอสถอย่างแท้จริง”
ปรมาจารย์จื่อเฉิงหัวเราะและกล่าวต่อ “วันนี้มีเรื่องน่ายินดีเกิดขึ้นถึงสองเรื่องด้วยกัน ทั้งการถือกำเนิดของนักปรุงยาสี่ดาว และผู้สืบทอดที่มากพรสวรรค์”
เขาจงใจยกเรื่องที่ลู่จิ้นกลายเป็นนักปรุงยาสี่ดาวแล้ว ให้ดูสำคัญกว่าเรื่องของหลิงฮัน เพราะเห็นได้ว่าที่อีกฝ่ายโผล่หัวมาในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมต้องมีเป้าหมายคือหลิงฮันแน่นอน
ลู่จิ้นสะบัดมือและกล่าว “พี่ชายจื่อเฉิง ท่านนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้ปกครองมาจะสามแสนล้านปีแล้วสินะ? ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นจิตใจของปรมาจารย์จื่อเฉิงก็สั่นสะท้าน ดวงตาของเขาหรี่ลงและกล่าวตอบ “ไม่ผิด เจ้าช่างความทรงจำดีเหลือเกินนะ”
เมืองวิถีโอสถที่กฎเช่นนั้นจริงๆ ทุกๆ สามแสนล้านปีจะผู้ที่นั่งอยู่บนสถานะผู้ปกครองเมือง จะต้องสละบัลลังก์เปลี่ยนให้คนที่มีคุณสมบัติมาดำรงตำแหน่งแทน ระยะเวลาในการปกครองที่ปรมาจารย์จื่อเฉิงเหลืออยู่นั้นคือราวๆ สองถึงสามล้านปี ซึ่งแต่เดิมแล้วชายชราคิดว่า เวลาเท่านี้เพียงพอแล้วที่จะใช้ฝึกฝนหลิงฮัน
“ตามกฎของเมือง ตำแหน่งผู้ปกครองจะต้องเปลี่ยนทุกสามแสนล้านปี” ลู่จิ้นจ้องมองปรมาจารย์จื่อเฉิง “ในเมื่อเวลาใกล้จะมาถึงแล้ว ข้าขอให้ทำการเลือกผู้สืบทอด ที่จะขึ้นครองตำแหน่งต่อบัดเดี๋ยวนี้! ”
ขึ้นครองตำแหน่งต่อ!
ปรมาจารย์จื่อเฉิงชะงัก ถึงว่าทำไมอีกฝ่ายถึงรับโผล่หน้ามาตอนนี้ ที่แท้ลู่จิ้นก็มีเป้าหมายสิ่งนี้นี่เอง
ในสถานการณ์ปกติแล้ว ปรมาจารย์เทียนซินกับปรมาจารย์ชิงเย่นั้น ไม่สนใจเรื่องผู้สืบทอดแม้แต่น้อย เพราะงั้นหากเขาต้องการที่จะเลือกใครเป็นผู้ครองตำแหน่งต่อ ใครกันจะกล้าต่อต้าน? แต่เมื่อตอนนี้ลู่จิ้นบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาวแล้ว อีกฝ่ายจึงมีสิทธิ์มีเสียงพอที่จะเลือกผู้สืบทอดได้
แต่ทำไมเขาถึงต้องเช่นนั้นน่ะรึ? นั่นเพราะลู่จิ้นยังมีสถานะอีกอย่างหนึ่งคือ อาจารย์ของหลู่เซียนหมิง!
ถ้าหากต้องเลือกผู้สืบทอดสักคนมาครองตำแหน่งต่อในตอนนี้ล่ะก็ หลิงฮันจะหมดสิทธิ์ทันที เนื่องจากเขายังไม่ได้ผ่านพิธีการแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอด
หรือต่อให้มีสิทธิ์ หลิงฮันที่เพิ่งบรรลุเป็นนักปรุงยาหนึ่งดาว จะสามารถเทียบชั้นกับผู้สืบทอดคนอื่นๆ ได้งั้นรึ?
ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญนักที่ลู่จิ้นบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาวได้ในช่วงเวลานี้ การที่ใครสักคนจะถูกแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดได้ จำเป็นที่จะต้องได้รับการยินยอมจากนักปรุงยาสี่ดาวทุกคน เพราะงั้นตราบใดที่ลู่จิ้นคัดค้าน หลิงฮันก็จะไม่สามารถกลายเป็นผู้สืบทอด
“จะเลือกผู้มาครองตำแหน่งต่อในตอนไหนนั้น ข้าตัดสินใจเอาไว้แล้ว! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์
ลิ่นจิ้นคือคนที่เพิ่งบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาว ส่วนพวกเขาทั้งสามคนเป็นนักปรุงยาสี่ดาวที่มากประสบการณ์ เพราะงั้นมีรึที่ทั้งสามคนจะเก็บลู่จิ้นมาใส่ใจ?
ต่อให้จะเป็นนักปรุงยาสี่ดาวเหมือนกัน แต่ความสามารถในการใช้ห้วงจิตปรับแต่งย่อมแตกต่างกัน เพราะงั้นความต่างระหว่างลู่จิ้นกับปรมาจารย์ทั้งสามจึงมีมากมหาศาล
“โอ้ ถ้างั้นข้าขอคัดค้านเรื่องที่หลิงฮันจะเป็นผู้สืบทอดคนใหม่” ลู่จิ้นส่ายหัว “รุ่นเยาว์ผู้นี้โหดเหี้ยมเกินไป นอกจากเขาจะสังหารผู้สืบทอดขุมอำนาจราชานิรันดร์ไปถึงสองคน เขายังเพิ่งสังหารจ้าวชิงเฟิงและล่วงเกินวิหารอนันต์รุ่งโรจน์อีก หากแต่งตั้งเขาเป็นผู้สืบทอด จะไม่ใช่เป็นการตบหน้าขุมอำนาจราชานิรันดร์เหล่านั้นหรอกรึ? ”
สีหน้าของปรมาจารย์จื่อเฉิงกลายเป็นมืดมน โดยแสดงออกถึงความไม่สบอารมณ์อย่างมาก
ในความเป็นจริง เรื่องที่เขาจะแต่งตั้งหลิงฮันเป็นผู้สืบทอดนั้น ไม่ใช่การกระทำที่เอาแต่ใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากเขาคิดจะมอบตำแหน่งผู้ปกครองต่อให้คนของตัวเองจริง ศิษย์คนก่อนหน้านี้ทั้งสามของเขาคนไหนบ้างที่ไม่มีคุณสมบัติ?
แต่ลู่จิ้นน่ะรึ?
เพียงเพื่อให้ศิษย์ของตนเองได้เปรียบ อีกฝ่ายยอมถึงขนาดใช้วิธีการไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้!
เพียงแต่สถานการณ์ในตอนนี้ ลู่จิ้นก็ถือไพ่เหนือกว่าจริงๆ ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม หลิงฮันก็จะไม่สามารถเป็นผู้สืบทอดได้
ปรมาจารย์จื่อเฉิงมองไปยังลู่จิ้น ลู่จิ้นเองก็มองมายังปรมาจารย์จื่อเฉิง ดวงตาของทั้งสองฝ่ายเชื่อมต่อกัน และพึมพำพูดอะไรบางอย่าง
หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ปรมาจารย์จื่อเฉิงก็ประกาศ “หลังจากนี้อีกสามปี จะมีการคัดเลือกผู้สืบทอดที่จะขึ้นครองตำแหน่งต่อจากข้า”
ลู่จิ้นเองก็ประกาศ “ข้าเองก็ยอมรับให้แต่งตั้งหลิงฮันเป็นผู้สืบทอดคนใหม่”
ปรมาจารย์ทั้งสองยอมถอยคนละก้าว เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน
มองจากผิวเผินลู่จิ้นอาจจะดูเป็นฝ่ายได้เปรียบ เนื่องจากระยะเวลาสามปีนั้น ต่อให้อยู่ในห้องบ่มเพาะกาลเวลาทั้งวัน ระยะเวลาหลิงฮันมีก็แค่สามร้อยปีเท่านั้น ด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ หลิงฮันจะพัฒนาตนเองให้เหนือกว่าหลู่เซียนหมิงได้อย่างไร?
แต่ที่ปรมาจารย์จื่อเฉิงยอมรับข้อตกลงสามปีนี้ ก็เพราะเขารับรู้ถึงศักยภาพในศาสตร์ปรุงยาของหลิงฮันดี และมีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่า หลิงฮันสามารถใช้ทักษะห้วงจิตปรับแต่งได้แล้ว!
สามปีให้หลังนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่หลิงฮันจะบรรลุเป็นนักปรุงยาสองดาว และใช้ห้วงจิตปรับแต่งได้สองขั้น
เพียงเท่านี้หลิงฮันก็มีคุณสมบัติ ที่จะแย่งชิงตำแหน่งกับผู้สืบทอดคนอื่นๆ แล้ว
ตอนที่ 1898 คนของตำหนักเมฆาอัสนีปรากฏตัว
หลังจากปรมาจารย์ทั้งสองตกลงกันได้ พิธีการก็ดำเนินต่อไป
หลิงฮันกวาดสายตามองหลู่เซียนหมิง ที่ตอนนี้กำลังแสยะยิ้มอยู่
อีกฝ่ายคิดว่าแค่นี้จะชนะแล้วงั้นรึ?
สามปีสำหรับคนอื่นอาจจะไม่มีประเปลี่ยนแปลง เพราะถึงแม้จะเข้าไปอยู่ในห้องบ่มเพาะกาลเวลา เวลาที่มีก็คือสามร้อยปีเท่านั้น
เพียงแต่ว่าหลิงฮันมีต้นสังสารวัฏ อันเป็นสมบัติที่สามารถพลิกชะตาท้าสวรรค์!
ตอนนี้ข้าจะยอมให้เจ้าได้ใจไปก่อน อีกไม่ช้าก็เร็วข้าจะจัดการทุกอย่างให้สิ้น
หบิวฮันไม่เก็บมาใส่ใจ หลู่เซียนหมิงผู้นี้ไม่มีคุณสมบัติจะให้เขาแยแสแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าตำแหน่งผู้สืบทอดไม่ใช่สิ่งที่ถูกแต่งตั้งได้จากคำพูดของใคร หลิงฮันจำเป็นต้องแสดงความสามารถในศาสตร์ปรุงยาออกมาเช่นกัน การทดสอบนั้น ไม่ใช่แค่ต้องตอบคำถามของนักปรุงยามากประสบการณ์ แต่ยังต้องแก้ปัญหาเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกี่ยวกับศาสตร์ปรุงยา และหลอมเม็ดยาต่อหน้าทุกคนหนึ่งครั้ง
หลังจากหลิงฮันแสดงศักยภาพในศาสตร์ปรุงยาเสร็จแล้ว การทดสอบก็จบลง และถึงคราวเริ่มขั้นตอนแต่งตั้งสถานะในที่สุด
ปรมาจารย์จื่อเฉิงประกาศว่าหลิงฮันคือผู้สืบทอดคนที่สิบ ของเมืองวิถีโอสถในยุคสมัยนี้ ตัวตนระดับตำอมตะรับคำรับและรีบลงมือสลักชื่อของหลิงฮันลงบนหินต้นกำเนิดสวรรค์
ในโลกบรรพกาล หินต้นกำเนิดสวรรค์คือสิ่งที่สามารถใช้รับการโจมตีของ จอมยุทธระดับต่ำกว่าสร้างสรรพสิ่งได้ แต่หลังจากที่เข้าสู้ดินแดนแห่นเซียนแล้ว จอมยุทธที่สามารถโจมตีทำลายหินต้นกำเนิดสวรรค์ได้นั้นมีอยู่มากมาย มันจึงถูกใช้เป็นแผ่นศิลาจารึก
‘ครืนน’ เพียงแต่ทันใดนั้นเอง เสียงดังสนั่นหวั่นไหวก็สั่นสะเทือนไปทั่วท้องฟ้า พร้อมกับเมฆาสีแดงที่ปลดปล่อยคลื่นเปลวเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุด ได้เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้จากระยะทางที่ห่างไกล
ตัวตนระดับตำหนักอมตะกำลังสลักชื่อของหลิงฮัน เกิดตกตะลึงกับเสียงสั่นสะเทือนที่ดังขึ้นกะทันหัน ทำให้มือลั่นจนอักษรชื่อของหลิงฮันที่กำลังถูกสลักอยู่ หยิกไปหยิกมาไม่เป็นระเบียบ
“ฮึ่ม! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงเค้นเสียงไม่สบอารมณ์ และมองไปยังท้องฟ้าพร้อมกับคำราม “คนจากขุมอำนาจใดกัน กล้าดีอย่างไรถึงได้บุกมาโดยไม่สนกฎของเมืองวิถีโอสถ! ”
โอ้ เมฆสีแดงเพลิงนั่นคือปรมาจารย์ผู้หนึ่งงั้นรึ?
ทุกคนแหงนมองเมฆแดงเพลิง ที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ ถึงแม้ระยะทางที่กว่าเมฆแดงเพลิงจะมาถึงจะยังอยู่อีกไกล และเมืองแห่งนี้มีค่ายกลอาคมป้องกันติดตั้งเอาไว้ก็ตาม แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกได้ถึงความร้อนระอุราวกับกำลังถูกแผดเผา
‘พรึบ’ เมื่อคลื่นเปลวเพลิงสลายไป เรือเหาะขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ และค่อยๆ ร่อนลงมาจอดอยู่เหนือน่านฟ้า
บนเรือเหาะลำนี้ มีสัญลักษณ์รูปร่างเหมือนอัสนีที่น่ายำเกรงสลักเอาไว้
“ตำหนักเมฆาอัสนี! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงเค้นเสียงไม่สบอารมณ์ และเผยสีหน้าจริงจัง
ก่อนหน้านี้เขาไปเยือนตำหนักเมฆาอัสนี กับตระกูลจื่อเหอด้วยตนเองเพื่อสะสางความบาดหมางระหว่างขุมอำนาจทั้งสองกับหลิงฮันเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ขุมอำนาจทั้งสองจะไม่ชอบใจ แต่ผู้สืบทอดของพวกเขาก็ถูกสังหารจากการประลองที่เป็นยุติธรรม ก่อนหน้านี้พวกเขาถึงได้ไม่ส่งคนมาตามล่าหลิงฮัน
ยิ่งปรมาจารย์จื่อเฉิงมาขออภัยด้วยตัวเอง และตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็ไม่ใช่ขุมอำนาจที่จะล่วงเกินได้ด้วยแล้ว ขุมอำนาจราชานิรันดร์ทั้งสองจึงตัดสินใจไม่ถือสาเอาความหลิงฮัน
ในความเป็นจริง ถ้าหากไม่ใช่เพราะปรมาจารย์จื่อเฉิงมาบอกล่ะก็ พวกเขาคงไม่รู้เลยว่าหลิงฮันทั้งสองนั้นเป็นคนเดียวกัน
ทั้งๆ ทำข้อตกลงกันไปแล้ว… แต่ตำหนักเมฆาอัสนีก็ยังโผล่หน้ามา!
ความบังเอิญที่ลู่จิ้นเพิ่งบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาว และเกือบจะทำให้หลิงฮันไม่ได้เป็นผู้สืบทอด กับการที่ตำหนักเมฆาอัสนีบุกมานั้นช่างน่าสงสัยยิ่งนัก
ปรมาจารย์จื่อเฉิงอดไม่ได้ที่จะมองไปยังลู่จิ้น ที่ตอนนี้ใบหน้าแสดงออกถึงความสงบนิ่งไม่หวั่นไหวใดๆ
สำหรับจอมยุทธที่บรรลุระดับพลังที่สูงขนาดนี้แล้ว การจะไม่แสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
“ฮ่าๆ ไม่นึกถึงวันวานเก่าๆ กันบ้างรึไง? ” เสียงตะโกนดังขึ้น ก่อนที่ชายร่างใหญ่จะเหาะเหินลงมาจากท้องฟ้า หนึ่งก้าวของเขาสามารถเคลื่อนที่ได้ไกลหลายไมล์ เพียงแค่ชายร่างใหญ่ก้าวเดินสามสี่ก้าว ร่างของเขาก็มาปรากฏอยู่ที่ลานพิธี
“ป้าเยา! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงหรี่ตาและมีสีหน้าเคร่งขรึม
ป้าเยาผู้นี้คือนิรันดร์ระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ของตำหนักเมฆาอัสนี ในตอนที่เขายังเป็นรุ่นเยาว์เขามีสถานะเป็นหนึ่งในผู้สืบทอด ในอดีตเขาเคยโค่นล้มผู้สืบทอดขุมอำนาจราชานิรันดร์อื่นๆ มาแล้วมากมาย และเป็นอัจฉริยะที่มีความหวังจะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ เพียงแต่หลังจากที่พลังบ่มเพาะติดค้างอยู่ในระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้มาเป็นเวลาหลายหมื่นล้านปี สถานะของเขาจึงถูกเปลี่ยนเป็นผู้อาวุโสแทน
“ปรมาจารย์จื่อเฉิง ปรมาจารย์ชิวเย่ ปรมาจารยเทียนซิน แล้วก็… ปรมาจารย์ลู่จิ้น! ” ป้าเยากวาดสายตามองปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสี่ ก่อนจะหยุดสายตาค้างไว้ที่ลู่จิ้นและเผยรอยยิ้ม
ปรมาจารย์จื่อเฉิงและหลิงฮันชะงัก ป้าเยาผู้นี้เพิ่งมาถึงแท้ๆ แต่เหตุใดถึงรู้ว่าลู่จิ้นบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาวแล้ว?
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเคยติดต่อกันมาก่อน
คนผู้นี้ต้องไม่ได้มาดีแน่
“เจ้าน่ะรึหลิงฮันผู้ห้าวหาญ? ” ป้าเยาหยิ่งทะนงไม่สนใจปฏิกิริยาตอบโต้ของปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสี่ และจดจ้องไปยังหลิงฮัน
เพียงแต่เขาก็มีคุณสมบัติที่จะหยิ่งทะนงเช่นนี้ ในแง่ของพลังต่อสู้แล้ว เขาคือหนึ่งในนิรันดร์ระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ที่แข็งแกร่งที่สุด
“รุ่นเยาว์คือหลิงฮัน ส่วนข้าจะห้าวหาญหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองแบบไหน” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สุภาพหรือหยิ่งยโส
พรวด!
ผู้คนรอบด้านตกตะลึง การที่กล่าวตอบกลับไปว่าห้าวหาญหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมอง ต่อหน้านิรันดร์ระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้นั้น ยังไม่เรียกว่าห้าวหาญอีกรึ?
“ฮ่าๆๆ! ” ป้าเยาหัวเราะลั่นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหยุดหัวเราะอย่างกะทันหัน และจ้องมองหลิงฮันด้วยสีหน้ามืดมน “เจ้าช่างบ้าบิ่นนัก ที่กล้าสังหารแม้กระทั่งผู้สืบทอดของข้า ถึงแม้ปรมาจารย์จื่อเฉิงจะสะสางความผิดที่เจ้าทำลงไปให้แล้ว ทำให้เจ้าไม่ต้องทิ้งชีวิต แต่ก็อย่าได้คิดว่าชีวิตของเจ้าจะหนีพ้นความลำบากไปได้! ”
“เจ้า… จงคุกเข่าลงซะ! ”
ตอนที่ 1899 เกลือเป็นหนอน
แววตาของป้าเยาจดจ้องไปยังหลิงฮัน คลื่นเสียงคำรามของเขาดังสนั่นออกไปด้วยอำนาจที่ทรงพลัง จนผมสีดำของเขากระพือไปมา
ปรมาจารย์จื่อเฉิงไม่คาดคิดว่าป้าเยาจะลงมือต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ เพียงแต่ตัวเขานั้นมีพลังต่อสู้ที่อ่อนแอกว่าป้าเยามาก เพราะงั้นมีรึที่เขาจะตอบโต้การโจมตีของป้าเยาทัน?
แต่ถึงจะไม่ทันเขาก็ต้องรีบช่วยหลิงฮันให้เร็วที่สุด ถ้าหากผู้สืบทอดถูกทำให้คุกเข่าต่อหน้าสาธารณชนล่ะก็ ในอนาคตหลิงฮันจะยังมีหน้าไปพบใครได้อีก?
ลู่จิ้น!
ปรมาจารย์จื่อเฉิงคำรามในใจ หากมีหลิงฮันได้รับความอัปยศล่ะก็ เขาขอสาบานเลยว่า หลู่เซียนหมิงก็จะไม่ได้อยู่ดีเช่นกัน!
เขากล้าพูดอย่างเต็มปากเลยว่า ป้าเยากับลู่จิ้นจะต้องมีข้อตกลงอะไรกันแน่นอน ทั้งสองจึงได้วางแผนสร้างความวุ่นวายเช่นนี้ ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่อีกฝ่ายพยายามบีบบังคับให้เขา จำเป็นต้องเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งในสามปีให้หลังแล้ว เดาไม่ได้ไม่ยากเลยว่าถ้าหากหลิงฮันถูกกำจัดออกไป คนที่มีความหวังจะได้เป็นสานต่อตำแหน่งของเขา ย่อมเป็นหลู่เซียนหมิง
ถ้าหากอาจารย์ยังมีความคิดเช่นนี้ ลูกศิษย์เองก็งไม่ต่างกัน
‘ครืนนน’ คลื่นพลังผันผวนจากเสียงคำรามของป้าเยา พรั่งพรูไปด้วยอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว จนส่งผลให้นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานทุกคนที่อยู่ที่นี่ ขาอ่อนไร้เรี่ยวแรงในทันที แม้แต่ตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณเองก็ตั่วสั่นสะท้านแทบจะต้านทานไม่ไหว
ฟู่เกาหยุน ฟู่เสี่ยวอวิ๋น และคนอื่นๆ ที่คุ้นหน้าคุ้นตา ต่างเผยสีหน้าหวาดหวั่น ขนาดพวกเขาอยู่ในระยะที่ห่างไกล และไม่ใช่เป้าหมายของคลื่นเสียงก็ยังได้รับผลกระทบจนขาสั่น เพราะงั้นมีรึหลิงฮันที่เป็นเป้าหมายจะรอดไปได้?
ท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังสนั่น ปรมาจารย์จื่อเฉิงพุ่งทะยานมาคุ้มกันหลิงฮันที่ด้านหน้า แต่ก็สายไปแล้ว
อะไรกัน!
เพียงแต่หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น ร่างของหลิงฮันยังคงยืนตระหง่านองอาจ โดยที่ไม่แสดงอาการขาสั่นเลยแม้แต่นิดเดียว
เป็นไปได้อย่างไร?
ระดับโลกียนิพพานก็คือระดับโลกียนิพพาน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นราชาในหมู่ราชา หรือจักรพรรดิ แต่ด้วยระดับพลังที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว จะอย่างไรเจ้าก็ต้องได้รับผลกระทบ จากอำนาจคลื่นเสียงของป้าเยาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
เจ้ามันไม่ใช่มนุษย์!
แน่นอนว่าหลิงฮันนั้นเป็นมนุษย์ เพียงแต่ภายในร่างกายของเขามีแก่นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสอง ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว พวกมันคือตัวตนระดับราชานิรันดร์
ป้าเยาที่เป็นนิรันดร์ระดับข้ามผ่านต้นเนิดแท้ คิดจะบังคับให้ราชานิรันดร์คุกเข่างั้นรึ? ช่าน่าขันโดยแท้
แน่นอนว่านี่เป็นในกรณีที่ป้าเยาใช้เพียงแรงกดดันของตนเองเท่านั้น ถ้าอีกฝ่ายผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เข้ามาในแรงกดดันด้วยเพียงเล็กน้อย เพียงแค่ชั่วอึดใจเดียว หลิงฮันคงถูกสังหารไปแล้วหลายร้อยหลายพันครั้ง
“ป้าเยา เจ้าล้ำเส้นเกินไปแล้ว!” ปรมาจารย์ชิวเย่กล่าวอย่างเย็นชา ถึงแม้หลิงฮันจะไม่ใช่ศิษย์ของเขา แต่ก็เป็นผู้สืบทอดของเมืองวิถีโอสถ
เพราะงั้นการที่คนนอกลงมือกับหลิงฮัน ก็ไม่ต่างอะไรกับการล่วงเกินเมืองวิถีโอสถ ซึ่งการกระทำนี้เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ชิวเย่ไม่อาจเมินเฉยได้
ป้าเยาไม่แยแส ด้วยพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งของเขา ต่อให้จอมยุทธระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ทั่วทั้งเมืองวิถีโอสถร่วมมือกัน เขาก็ยังสามารถกลับออกไปจากที่นี่ได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าหนู ดูเหมือนว่าในร่างกายของเจ้าจะมีอะไรบางอย่างอยู่สินะ!” เขามองไปยังหลิงฮัน ด้วยแววตาส่องประกาย
การที่ไต่เต้าบ่มเพาะพลังมาจนถึงจุดนี้ได้ เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีความลับใดที่สามารถ เล็ดลอดไปจากสายตาของเขาได้
จะบอกว่าหลิงฮันใช้ความสามารถของตนเอง ในการต้านทานแรงกดดันของเขางั้นรึ? แน่นอนว่าเขาไม่มีทางเชื่อเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด สิ่งที่จะสามารถยับยั้งแรงกดดันของเขาย่อมเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน บางทีสมบัติที่ว่าอาจจะถูกจัดอยู่ในระดับราชานิรันดร์ด้วยซ้ำ
“เจ้าคิดจะทำแบบนี้เพื่ออะไร?” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ในเมื่ออีกฝ่ายลงมือกับเขาแล้ว เขาก็ไม่คิดจะเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโสอีกต่อไป
“ฮึ่ม เจ้าทำตัวอวดดีเช่นนั้นต่อหน้าตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ได้อย่างไร? ด้วยกิริยาเช่นนี้ เจ้ายังคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอดของเมืองวิถีโอสถอยู่อีกงั้นรึ?” ลู่จิ้นเปิดปากพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
สุนัขเฒ่า นี่เจ้าตาบอดงั้นรึ?
เจ้าไม่เห็นรึไงว่าเป็นป้าเยาที่ลงมือจู่โจมข้าก่อน? ทั้งที่เป็นแบบนั้นแต่เจ้ากลับยังมาบอกว่าข้าทำตัวอวดดีไม่สุภาพ!
หลิงฮันเกรี้ยวกราดและสบถหยอกล้อออกมา “ปรมาจารย์ลู่จิ้น ท่านกับตัวบัดซบนี้คงจะรักกันมากสินะ พอสามีร้องภรรยาถึงได้ขานรับเช่นนี้!”
*夫唱妇随 สำนวน สามีร้องภรรยารับ = สามีกับภรรยาที่กลมเกลียวเข้าขากัน*
‘พรวด’ เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงฮัน ผู้คนมากมายรอบข้างก็สำลักและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ทางด้านของป้าเยานั้นเขาไม่แสดงความเกรี้ยวกราดใดๆ แต่จ้องมองมายังหลิงฮันด้วยใบหน้าที่แสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยมแทน
แต่ทางลู่จิ้นนั้นไม่ใช่ เขารู้สึกเกรี้ยวกราดจนแทบขาดใจตาย
ตัวเขาเพิ่งจะบรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาว จิตวิญญาณจึงยังอยู่ในช่วงที่กำลังฮึกเหิม การที่ต้องมาถูกนักปรุงยาหนึ่งดาวตัวจ้อยเช่นนี้หยอกล้อ เขาจึงไม่อาจระงับความโกรธไหว
“เจ้ารนหาที่ตายงั้นรึ!” เขาคำรามเสียงแหลม
“จะคำรามหาอะไร?” ปรมาจารย์จื่อเฉิงเกรี้ยวกราด “ดูเหมือนแค่ข้ายอมอ่อนข้อให้นิดน้อย เจ้าจะได้ใจจนคิดว่าตนเองสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบสินะ? นักปรุงยาสี่ดาวทำไม? คนอย่างเจ้าไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นคนถือรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ!”
เจ้าสุนัขบัดซบ ข้าทนเจ้ามานานแล้ว!
“ข้า… ข้า… ข้า…” ลู่จิ้นเกรี้ยวกราดแต่ก็พูดอะไรไม่ออก
“เจ้าที่เป็นนักปรุงยาของเมืองวิถีโอสถ กลับเลือกขายคนของตัวเองและร่วมมือกับคนนอกงั้นรึ? เจ้ามันเดรัจฉานยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก!” ปรมาจารย์จื่อเฉิงสบถอย่างเกรี้ยวกราด จนใบหน้าของลู่จิ้นกลายเป็นซีดเผือด
“ข้าขอเสนอ ให้ขับไล่คนเช่นนี้ออกไปจากเมืองวิถีโอสถ!” ปรมาจารย์จื่อเฉิงชี้นิ้วไปยังลู่จิ้นด้วยสีหน้ามืดมน
ก่อนหน้านี้ที่เขายอมอดทน ก็เพราะนักปรุงยาสี่ดาวนั้นเป็นตัวตนที่สำคัญ เขาจึงมองภาพรวมเพื่อประโยชน์ของเมืองวิถีโอสถ แต่การกระทำที่เพื่อตนเองจะบรรลุเป้าหมายแล้ว อีกฝ่ายถึงขนาดยอมขายคนของตัวเองและช่วยเหลือคนนอกนั้น เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์จื่อเฉิงไม่อาจทนไหว
เจ้าคิดว่าที่ข้ายอมเจ้า หมายความว่าข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้างั้นรึ?
ช่างไร้เดียงสานัก!
ตอนที่ 1900 การตอบโต้ที่ดุดัน
“อย่าได้ฝัน! ” ลู่จิ้นกระทืบเท้า และชี้นิ้วไปยังปรมาจารย์จื่อเฉิงด้วยท่าทีกระวนกระวาย
ถ้าเกิดเขาถูกขับไล่ออกจากเมืองวิถีโอสถจริงๆ เรื่องนี้จะกลายเป็นตราบาปที่ไม่อาจลบล้างไปชั่วชัวชีวิต และไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน เขาก็จะกลายเป็นตัวตลก
ปรมาจารย์จื่อเฉิงไม่แยแส ชายชราหันไปมองปรมาจารย์ชิวเย่ และปรมาจารย์เทียนซิน “พวกเจ้าทั้งสองมีความคิดเห็นอย่างไร? ” ใบหน้าของชายชราแสดงออกถึงความเย็นชาอย่างถึงที่สุด
“น้องชายจื่อเฉิง เจ้าคือคนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้ปกครองของเมืองวิถีโอสถ เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น” ปรมาจารย์ชิวเย่กระดกสุราด้วยท่าทีไม่สนใจ ก่อนจะกล่าวต่อ “แต่เมืองวิถีโอสถมีนักปรุงยาสี่ดาวอยู่สามคนเหมือนเดิมก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว”
ส่วนปรมาจารย์เทียนซินนั้น สีหน้าของเขานิ่งเฉยเป็นอย่างมาก ด้วยการที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่าง วิธีการคิดก็เลยต่างออกไป เขากล่าว “อืม”
นอกจากการการหลอมเม็ดยานิรันดร์ ที่มีชีวิตเหมือนกับเขาขึ้นมาแล้ว ในโลกนี้ก็แทบจะไม่มีสิ่งใดที่กระตุ้นความสนใจของเขาได้ กับแค่การที่มีนักปรุงยาสี่ดาวลดลงไปคนนึงน่ะรึ? เรื่องแบบนี้เขาไม่คิดจะสนใจเลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินบทสนทนาของปรมาจารย์ทั้งสาม มุมปากของทุกคนก็กระตุกอย่างบ้าคลั่ง และไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
นักปรุงยาสี่ดาวผู้หนึ่งกำลังจะถูกขับไล่ไปอย่างง่ายดาย ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำนี่น่ะรึ!
“ไสหัวไป! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงชี้นิ้วใส่ลู่จิ้น ครั้งนี้เขาเกรี้ยวกราดอย่างแท้จริง เจ้ากล้ารังแกศิษย์ของข้างั้นรึ? ถ้างั้นข้าก็จะเหยียบย่ำเจ้าให้จมดินและไม่เหลืออนาคต!
“เจ้าจะขับไล่ข้าไม่ได้! ข้าคือนักปรุงยาสี่ดาว! ” ลู่จิ้นคำรามด้วยสีหน้าซีดเผือด “เจ้าใช้อำนาจส่วนรวมในการแก้แค้นความแค้นส่วนตัว! ข้าไม่ยอมรับ! ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด! ”
“เจ้าไม่ยอมรับแล้วยังไง? ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าวอย่างเย้ยหยัน
สถานะของปรมาจารย์จื่อเฉิงในโลกแห่งศาสตร์ปรุงยานั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก อย่างที่เห็นว่าขนาดคนที่เป็นเพียงผู้ช่วยนักปรุงยาของเขา ก็ยังสามารถทำตัวกร่างไปทั่วทั้งเมืองวิถีโอสถได้ โดยไม่เห็นหัวแม้แต่นักปรุงยาสามดาว
ยิ่งกว่านั้นชายชราก็ยังฝึกสอนสร้างศิษย์ ให้บรรลุเป็นนักปรุงยาสี่ดาวมาแล้วถึงสามคน
เพราะงั้นในโลกแห่งศาสตร์ปรุงยา ปรมาจารย์จื่อเฉิงจึงเปรียบเสมือนต้นไม้ใหญ่ที่มั่นคง และหากเพียงมีวาสนาสักเล็กน้อย ไม่แน่ชายชราอาจจะบรรลุเป็นนักปรุงยาห้าดาวก็เป็นได้
“ฮ่าๆ ท่านควรไตร่ตรองด้วยความยุติธรรมจะดีกว่านะ! ” ป้าเยาเอ่ยแทรก ตำหนักเมฆาอัสนีกับลู่จิ้นได้ทำข้อตกลงกับอย่างลับๆ โดยตำหนักเมฆาอัสนีจะช่วยให้ลู่จิ้นมีอำนาจปกครองเมืองวิถีโอสถ ซึ่งในทางกลับกัน เมืองวิถีโอสถก็ต้องส่งมอบเม็ดยาจำนวนมหาศาลมาให้ตำหนักอัสนีทุกๆ ปี
ส่วนเรื่องที่มาสร้างความลำบากให้หลิงฮัน พวกเขาแค่ทำไปสนุกๆ เท่านั้น เพราะอย่างไรกับแค่การกดดันหลิงฮันเล่นๆ นั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรสำหรับพวกเขา
แต่ไม่คาดคิดว่าการที่พวกเขามากดดันหลิงฮันเช่นนี้ จะไปกระตุ้นความเกรี้ยวกราดของปรมาจารย์จื่อเฉิง จนสถานการณ์กลายมาเป็นเช่นนี้
“นักปรุงยาสี่ดาว จะถูกขับไล่เพียงเพราะคำพูดแค่นั้นได้อย่างไร” ป้าเยากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร ถึงได้มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นในที่แห่งนี้? ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงขยับนิ้วไปชี้หน้าป้าเยาแทน พร้อมกับสบถออกมาอย่างเหยียดหยาม
ข้าคือใคร?
ราชาในหมู่นักปรุงยาสี่ดาว! ตามหลักแล้ว สถานะของข้าเทียบเท่าราชานิรันดร์ด้วยซ้ำ
ต่อให้ป้าเยาจะเป็นตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ที่แข็งแกร่ง แต่อีกฝ่ายจะเทียบชั้นกับราชานิรันดร์ได้รึไง?
แน่นอนว่าไม่! เพราะงั้นก็จงหุบปากไปซะ ต่อหน้าข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเอ่ยปากแทรก!
“เจ้าเองก็ไสหัวไป! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงคำราม
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้าน อาจารย์ผู้เห็นแก่เงินของเขาก็มีด้านนี้เหมือนกันสินะ
เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ที่ปรมาจารย์จื่อเฉิงเกรี้ยวกราดแทนเขาเช่นนี้
ใบหน้าของป้าเยาเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ปรมาจารย์จื่อเฉิง ท่านระวังคำพูดหน่อยดีกว่านะ! ”
“ข้าเวลาเจ้าไสหัวไปภายในสามลมหายใจ ไม่ใช่นั่น ข้าจะใช้ทุกวิถีทางทำให้ปรมาจารย์ทั่วยุทธภพไล่ล่าสังหารเจ้า! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงกล่าว “หากไม่เชื่อก็ลองดู! ”
พริบตาที่ประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา ท่าทีองอาจของป้าเยาก็หายไปทันใด
เขาคือตัวตนไร้เทียมทานในระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ก็จริง แต่ขุมอำนาจราชานิรันดร์นั้น ไม่ได้เพียงตำหนักเมฆาอัสนีเพียงขุมอำนาจเดียว
ขุมอำนาจราชานิรันดร์ขุมอำนาจอื่นเองก็มีผู้สืบทอดในยุคก่อนๆ ที่พลังบ่มเพาะติดค้างอยู่ที่ระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้อยู่เช่นกัน
หากนักปรุงยาสี่ดาวไม่ลังเลที่จะใช้ทุกวิถีทาง เพื่อทำให้จอมยุทธที่ทรงพลังเหล่านั้นลงมือล่ะก็ ชีวิตของเขาคงตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่
ตำหนักเมฆาอัสนีเป็นเพียงขุมอำนาจราชานิรันดร์ระดับหนึ่ง ในขณะที่ดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออกนั้น ยังมีขุมอำนาจราชานิรันดร์ระดับสอง สาม… เจ็ด และแปดอยู่อีก หากจอมยุทธจากขุมอำนาจเหล่านั้นต้องการสังหารเขา มีรึที่จะต้องหวาดกลัวอำนาจของตำหนักเมฆาอัสนี?
“หนึ่ง! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงเริ่มนับร้อยหลังด้วยแววตาโหดเหี้ยม
“สอง! ”
ป้าเยาเปลี่ยนสีหน้าและไม่กล้าเสี่ยงกับปรมาจารย์จื่อเฉิง หลังจากเค้นเสียงครั้งหนึ่ง เขาก็ทะยานร่างกลับไปยังเรือเหาะ
ปรมาจารย์มาจื่อเฉิงไม่แม้แต่จะมองตามป้าเยา และหันมากล่าวกับลู่จิ้น “เจ้าเองก็ไสหัวไปได้แล้ว! ”
“ไม่ เจ้าจะทำแบบนี้ไม่ได้ ข้าคือนักปรุงยาสี่ดาว! ” ป้าเยาคำรามเสียงดัง
ปรมาจารย์จื่อเฉิงสะบัดแขนเสื้อ “พี่ชายกู่ พี่ชายฉาง พี่ชายจ้าว ขับไล่คนผู้นี้ออกไปซะ! ”
พริบตาหลังจากสิ้นประโยค ตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ทั้งสามก็ปรากฏตัว เมืองวิถีโอสถก็มีจอมยุทธทรงพลังที่ไม่ใช่นักปรุงยาเช่นกัน พวกเขาเหล่านี้มีหน้าที่คุ้มครองเมืองวิถีโอสถ เนื่องจากนักปรุงยาจะใช้วเวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนศาสตร์ปรุงยา
“น้องชายลู่ โปรดออกไปด้วย! ” จอมยุทธทรงพลังทั้งสามกล่าวกับลู่จิ้นอย่างไร้อารมณ์
ลู่จิ้นพบว่าตนเองไม่มีทางแก้ไขสถานการณ์ได้แล้ว เขากำหมัดแน่นด้วยความรู้สึกขมขื่น
ก่อนหน้านี้เขายังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่เลยแท้ๆ แต่เป็นตัวเขาเองที่ได้คืบจะเอาศอก จึงกลายมาอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังแบบนี้
ถึงแม้จะเป็นนักปรุงยาสี่ดาวเหมือนกัน แต่เขารู้ตัวดีว่าตนเองยังห่างชั้นกับปรมาจารย์จื่อเฉิงแค่ไหน
ลู่จิ้นถอนหายใจและหันหลังจากไปด้วยท่าทีหม่นหมอง ซึ่งต่างจากตอนที่ปรากฏตัวอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนรอบข้างตกตะลึง เหตุการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปไวเหลือเกิน
ปรมาจารย์จื่อเฉิงกวาดสายตามองเหล่าผู้สืบทอด ก่อนจะพบเห็นร่างของหลู่เซียนหมิงที่กำลังตัวสั่นสะท้าน จึงได้ประกาศออกมา “หลังจากนี้สามปี การคัดเลือกผู้สืบทอดที่แท้จริง จะยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเดิม! ”
ตอนที่ 1901 ฝึกหนัก
อะไรกัน?
ทุกคนต่างสับสนว่าทำไม
เห็นได้ชัดว่าการที่ปรมาจารย์จื่อเฉิงต้องกำหนด ให้มีการคัดเลือกผู้ขึ้นครองตำแหน่งคนต่อในอีกสามปีนั้น เป็นเพราะเขาถูกลู่จิ้นกดดัน แต่ตอนนี้ลู่จิ้นได้ถูกขจัดออกไปแล้ว หากปรมาจารย์จื่อเฉิงต้องการช่วยให้หลิงฮันได้เปรียบกว่าผู้สืบทอดคนใดล่ะก็ ใครกันจะกล้าคัดค้าน?
หรือไม่งั้น หากเขาต้องการเปลี่ยนระยะเวลาคัดเลือกไปเป็นหลังจากนี้อีกหมื่นปี หรือแสนปีก็ย่อมทำได้ เพราะสำหรับนิรันดร์ ระยะเวลาเพียงเท่านี้ไม่ถือว่ายาวนาน แถมยังเพียงพอที่จะทำให้หลิงฮันเติบโตอีกด้วย
ทั้งๆ ที่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ปรมาจารย์จื่อเฉิงก็ยังเลือกที่จะทำตามคำพูดเดิม
นี่ล่ะคือความแตกต่างของปรมาจารย์จื่อเฉิงกับลูจิ้น!
ทุกคนรู้สึกเลื่อมใสปรมาจารย์จื่อเฉิงเป็นอย่างมาก ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมอีกฝ่ายถึงได้ปกครอบเมืองวิถีโอสถมาได้นานแสนนาน และเป็นที่เคารพของผู้คน
หลิงฮันมองไปยังปรมาจารย์จื่อเฉิงที่กำลังยิ้มอย่างลึกลับ
เขารู้ว่าที่ปรมาจารย์จื่อเฉิงทำเช่นนี้ ก็เพื่อต้องการสร้างแรงกดดันให้แก่เขา
เพียงแต่ดูเหมือนทุกคนจะคิดลึกในเรื่องของปรมาจารย์จื่อเฉิงเกินไปแล้ว หลิงฮ้นสามารถคาดเดาได้อย่างไม่ยากว่า หากในเวลาสามปีเขายังไม่สามารถพัฒนา จนมีความสามารถเทียบเท่าหลู่เซียนหมิง และผู้สืบทอดคนอื่นๆ ได้ล่ะก็ ปรมาจารย์จื่อเฉิงจะต้องยื่นเวลาคัดเลือกผู้สืบทอดออกไปอีกแน่ๆ
หลู่เซียนหมิงรู้สึกโล่งอก เขานึกว่าตนเองจะไปต่อไม่รอดแล้วแท้ๆ แต่ไม่คาดคิดว่าการคัดเลือกผู้สืบทอดที่แท้จริง จะยังเป็นไปตามกำหนดการสามปีเหมือนเดิม
หากเป็นเช่นนี้ ในอีกสามปีให้หลัง เขาก็จะเหยียบย่ำผู้สืบทอดคนอื่น และกลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง!
“ดำเนินพิธีต่อได้! ” ปรมาจารย์จื่อเฉิงสะบัดมือ ก่อนจะกลับมานั่งและปิดตาลงด้วยท่าทีเหมือนชายชราที่กำลังอ่อนแรง
งานพิธีดำเนินต่อไป
ตัวแทนจากขุมอำนาจสามดาวและสี่ดาว เรียงรายกันเข้ามาแสดงความยินดีกับหลิงฮันพร้อมกับมอบของขวัญมากมาย ในตอนแรกของขวัญที่พวกเขาเตรียมมานั้นไม่ได้มากมายเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นว่าปรมาจารย์จื่อเฉิงเอ็นดูหลิงฮันเป็นอย่างมาก พวกเขาจึงเพิ่มจำนวนของสมบัติเข้าไป
กลุ่มแรกที่เขามาแสดงความยินดีคือเหล่าตัวแทนของขุมอำนาจสี่ดาว ก่อนจะถึงคราวของขุมอำนาจสามดาว อย่างนิกายอาญาสิ้นแสง ตระกูลเป่ยหยิ่วและอื่นๆ
ตัวจากขุมอำนาจที่เป็นศัตรูกับหลิงฮัน รู้สึกกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมากที่ต้องมาปั้นหน้ายิ้มแย้ม แสดงความยินดีให้กับคนที่เป็นศัตรูเช่นนี้
แต่จะให้พวกเขาทำอะไรได้? อีกฝ่ายกลายเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจสี่ดาวไปแล้ว เพียงแค่ส่งตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้มาหนึ่งคน ขุมอำนาจของพวกเขาก็คงถูกกวาดล้างอย่างง่ายดายแล้ว
พวกเขาทำได้เพียงแค่หวังว่า หลิงฮันจะลืมความบาดหมางก่อนหน้านี้ไปซะ
“หากพวกเจ้ามอบแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ให้ข้ามากกว่านี้ล่ะก็ ข้าอาจจะหลงลืมเรื่องราวบางอย่างก็เป็นได้” หลิงฮันยิ้ม
ตัวแทนของนิกายอาญาสิ้นแสงชะงักทันที ใครจะไปคาดคิดว่าหลิงฮันจะยื่นข้อเสนอ ต่อหน้าผู้คนมากมายอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้?
แต่นั่นก็เป็นเรื่องดี ทีนี้ความบาดหมางระหว่างหลิงฮัน กับพวกเขาจะได้ถูกสะสางเสียที เพราะอย่างไรแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ล้ำค่ามากมาย เหมือนกับแร่โลหะกึ่งนิรันดร์
เนื่องสถานะของตระกูลฟู่ค่อนข้างต่ำกว่าใคร พวกเขาจึงอยู่รั้งท้ายในการร่วมแสดงความยินดี
“ขอแสดงความยินดีกับผู้สืบทอดหลิงด้วย! ” ฟู่เกาหยุนผสานมือคารวะด้วยความรู้สึกชื่นชม
หลิงฮัน… ช่างเป็นบุรุษที่ยากจะหยั่งถึงนัก
หลิงฮันจงใจเอ่ยทักทายฟู่เกาหยุนสองสามประโยค เพื่อเป็นการไว้หน้าฟู่เกยหยุน
หลังจากที่ฟู่เกาหยุนแสดงความยินดีเสร็จ ผ่านไปไม่นานก็มีผู้คนมากมายเข้ามาล้อมรอบเขา แต่ไถ่ถามคำถามๆ มากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับหลิงฮัน
ด้วยเหตุการณ์ในครั้งนี้ โอกาสที่ในอนาคตฟู่เกาหยุนจะได้ขึ้นบัลลังก์ เป็นประมุขของตระกูลฟู่ย่อมมีมากกว่าเก้าส่วน
เพื่อสหายแล้ว หลิงฮันย่อมยินดีช่วยเหลือเสมอ
งานพิธีดำเนินต่อไปอีกเป็นเวลาสามวัน ซึ่งหลิงฮันรับของขวัญติดต่อกันจนมือไม้อ่อน
หลังจากงานพิธีสิ้นสุด หลิงฮันก็ได้นำแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์หมดให้ดาบอสูรนิรันดร์ดูดกลืน แต่น่าเสียดายที่แม้แร่จะโลหะจะถูกเผาผลาญจนหมด ดาบอสูรนิรันดร์ก็ยังไม่ยกระดับกลายเป็น อุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สี่ดาว
เขาและจักรพรรดินีเริ่มเก็บตัวฝึกฝนอีกครั้ง
พวกเขามีเป้าหมายเดียวกันคือ การบรรลุเป็นระดับสี่นิรันดร์สูงสุดเพื่อทะลวงผ่านไปยังห้านิพพาน แต่หลิงฮันยังมีภารกิจอีกอย่างคือ ต้องการพัฒนาฝีมือให้กลายเป็นนักปรุงยาสองดาวภายในสามปี และขัดเกลาทักษะห้วงจิตปรับแต่งให้สมบูรณ์ที่สุด
หากทำได้ เขาก็จะไม่อยู่ในสถานะที่เสียเปรียบผู้สืบทอดคนอื่นๆ อีกต่อไป
หลิงฮันเข้าสู่หอคอยทมิฬ เพื่อศึกษาเม็ดยาสองดาวภายใต้ต้นสังสารวัฏ
เขาใช้เวลาอยู่ในห้วงความคิด ‘สามพันปี’ ก่อนจะออกจากหอคอยทมิฬ และเข้าไปยังห้องบ่มเพาะกาลเวลา
ระหว่างการฝึกฝน หลิงฮันเทียวไปมาไต่ถามปัญหาต่างๆ กับปรมาจารย์จื่อเฉิงอยู่หลายครั้ง และเนื่องจากพัฒนาการของหลิงฮันเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่ไปหา จิตใจของปรมาจารย์จื่อเฉิงจึงเลือดร้อนเดือดพล่าน
ศิษย์ตัวน้อยของเขาผู้นี้มีโอกาสบรรลุเป็นนักปรุงยาสองดาวในสามปีจริงๆ ดูเหมือนว่า เขาจะไม่ต้องกลับคำพูดที่ประกาศออกไปแล้ว
จริงสิ… ต้องทำให้ศิษย์ตัวน้อยของเขาให้กำเนิดบุตรมากมายให้ได้ หากทำเช่นนั้น เขาก็จะสร้างนักปรุงยาที่โดดเด่นออกมาได้อีกหลายคน!
ในระหว่างที่หลิงฮันเก็บตัวฝึกฝนอยู่ ชายชราก็เริ่มทำการคัดเลือกนางสนมให้หลิงฮัน ซึ่งสตรีที่จะมาให้กำเนิดบุตรของหลิงฮัน จำเป็นต้องมีศักยภาพในศาสตร์ปรุงยาที่ยอดเยี่ยมด้วย เพื่อที่เด็กที่เกิดมาจะได้รับสายเลือดมาจากทั้งบิดามารดา
แน่นอนว่าหลิงฮันย่อมไม่รู้เรื่องว่าชายชรากำลังคิดอะไรอยู่ เพราะไม่งั้นเขาคงหลบหนีออกจากเมืองวิถีโอสถแล้ว
ภายในหอคอยทมิฬ ใต้ต้นสังสารวัฏ วันเวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านหนึ่งสองปีครึ่ง ในที่สุดหลิงฮันก็หลอมเม็ดยาสองดาวเม็ดยาได้สำเร็จ
หลังจากบอกเรื่องนี้ให้ปรมาจารย์จื่อเฉิงรับรู้ เขาก็เริ่มขัดเกลาทักษะห้วงจิตปรับแต่งต่อ
ห้วงจิตปรับแต่งขั้นสอง… นี่คือเป้าหมายต่อไปที่เขาก็บรรลุให้ได้
ทางด้านศาสตร์วรยุทธเขาก็ไม่ได้ละเว้นเสียทีเดียว ปรมาจารย์จื่อเฉิงเอ็นดูเขาเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายจึงได้ส่งทรัพยากรบ่มเพาะมาให้เขาโดยไม่คิดเงิน
ทรัพยากรที่ว่าไม่ใช่ของเมืองวิถีโอสถ แต่เป็นทรัพยากรที่มาจากกระเป๋าของปรมาจารย์จื่อเฉิงเอง
ความมั่งคั่งที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนล้านปีของนักปรุงยาสี่ดาวนั้น ยากที่จะจินตนาการได้ว่าจะมีมากมายมหาศาลขนาดไหน!
ความช่วยเหลือจากปรมาจารย์จื่อเฉิง ทำให้พลังบ่มเพาะของหลิงฮันยกระดับเป็นสี่นิพพานขั้นปลาย ในขณะที่พลังบ่มเพาะของจักรพรรดินียกระดับเป็นสี่นิพพานสูงสุด เนื่องจากใช้เวลาทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะพลังเพียงอย่างเดียว แต่สำหรับการทะลวงผ่านไปยังระดับห้านิพพานนั้น เกรงว่าคงต้องรอคอยวาสนาเพียงอย่างเดียว
ซึ่งในเวลานี้เอง ผู้ส่งสารคนหนึ่งก็มาถึงเมืองวิถีโอสถ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น