Alchemy Emperor of the Divine Dao 1867-1869

 ตอนที่ 1867 เฉิงเฟิงหยุนผู้แสนรันทด

 

เพลิงกับวารีคือคู่ขนานที่ไม่อาจอยู่ร่วมกัน


ถึงแม้ในธาตุทั้งห้า ธาตุวารีจะเป็นธาตุที่กำราบธาตุเพลิงได้ แต่ในทางกลับกัน ธาตุเพลิงก็สามารถกำราบธาตุวารีได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าต้นกำเนิดพลังของธาตุไหนแข็งแกร่งกว่า


อี้เทียนเหอทรงพลังมากเป็นอย่างมาก ถึงแม้เขาจะไม่มีแก่นกำเนิดนิรันดร์ แต่เขาก็มีพลังสายเลือดที่ด้อยกว่าแก่นกำเนิดพลังเพียงเล็กน้อย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงแข็งแกร่งกว่าถังเฟิง


แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้หลิงฮันคือผู้ครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์ แถมเขาก็ยังมีเพลิงเก้าสวรรค์ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าแก่นกำเนิดนิรันดร์เสียอีก!


แก่นกำเนิดนิรันดร์คือสิ่งที่ช่วยให้สามารถใช้ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ระดับราชานิรันดร์ได้บางส่วน แต่เพลิงเก้าสวรรค์นั้นมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ระดับราชานิรันดร์ที่สมบูรณ์อยู่ในตัวมันเอง


เพียงแต่เปลวเพลิงที่หลิงฮันปลดปล่อยออกมานั้น เป็นเพียงแค่เปลวเพลิงจากแก่นกำเนิดนิรันดร์ไม่ใช่เพลิงจากเพลิงเก้าสวรรค์ คลื่นเปลวเพลิงค่อยๆปรากฏตราประทับแห่งเต๋ามากมาย และทำการต่อต้านตราประทับแห่งเต๋าของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารี


ภายใต้อำนาจเผาผลาญของเปลวเพลิงอันร้อนระอุ คลื่นวารีถูกทำให้ระเหยกลายเป็นไอ และสลายไปอย่างรวดเร็ว


ร่างของกายของอี้เทียนเหอเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที ใบหน้าที่เคยหล่อเหลาของเขากลายเป็นซูบผอมจนเห็นกระดูก ราวกับน้ำในร่างถูกทำให้แห้งเหือดไปจนหมด


ที่ด้านบนที่นั่งผู้ชม ทุกคนตกตะลึงจนแน่นิ่งไร้คำพูด


ใครจะไปคาดคิดว่าแค่การประลองเริ่มได้ไม่นาน ผลแพ้ชนะก็จะออกมาเร็วขนาดนี้


เมื่อวานหลิงฮันเอาชนะถึงเฟิงได้ในหนึ่งกระบวนท่า วันนี้เขาก็สามารถเอาชนะอี้เทียนเหอได้ในหนึ่งกระบวนท่าเช่นกัน


เหลือเชื่อ… หลิงฮันผู้นี้คือใครกันแน่?


ใบหน้าของเฉิงเฟิงหยุนชักกระตุกไปมา ถึงแม้การประลองจะยังไม่สิ้นสุดอย่างเป็นทางการ แต่เขาก็รู้แน่ชัดแล้วว่าเขาแพ้การพนัน


บัดซบ!


เขาสบถด่าในใจ เหตุใดจอมยุทธที่แข็งแกร่งขนาดนี้ถึงได้มาปรากฏในอาณาเขตที่หนึ่งกัน? หากเจ้าเป็นผู้สืบทอดราชานิรันดร์ล่ะก็ เจ้าสามารถข้ามไปยังการประลองในอาณาเขตที่สี่ได้เลยแท้ๆ


เจ้าคงไม่ได้จงใจมาปรากฏตัวที่นี่ เพื่อสร้างความอัปยศให้ข้าหรอกนะ?


“ข้าขอยอมแพ้!” อี้เทียนเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ราวกับใจจริงยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้


หลิงฮันก้าวถอยหลังเล็กน้อยก่อยจะกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับการประลอง”


ร่างของอี้เทียนเหอสั่นสะท้าน พร้อมกับโคจรแก่นกำเนิดพลังภายในร่าง พริบตาต่อมาร่างกายที่ซูบผอมของเขาก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติ ตราบใดที่แก่นกำเนิดพลังไม่ได้รับความเสียหาย สำหรับจอมยุทธแล้วบาดแผลต่างๆก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย


ใบหน้าของเขากลับมาอยู่ในสภาพหล่อเหลาเช่นเดิม และจ้องมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ชายหลิง ถ้าขออวยพรให้ท่านฝ่าฝันไปจนได้รับชัยชนะในการประลองครั้งสุดท้าย เพียงแต่ข้าได้ยินมาว่าการประลองครั้งนี้ จ้าวชิงเฟิงเองก็เข้าร่วมเช่นกัน จ้าวชิงเฟิงผู้นี้… ข้าเคยพบเจอเขามาแล้วครั้งหนึ่งที่ซากโบราณสภาน พลังของคนผู้นี้แข็งแกร่งเกินจะพรรณนา ซึ่งข้าถือว่าโชคดีมากที่รอดชีวิตกลับมาได้”


จ้าวชิงเฟิงอีกแล้วรึ!


หลิงฮันเคยได้ยินชื่อนี้จากเจ้าหน้าที่ทำการแล้วครั้งหนึ่ง แต่ในตอนนั้นเป็นเพราะเจ้าหน้าที่คนนั้นยังไม่บรรลุแม้แต่ระดับโลกียนิพพาน เขาจึงคิดว่าการที่อีกฝ่ายบอกว่าจ้าวชิงเฟิงแข็งแกร่งนั้น หมายถึงความแข็งแกร่งในระดับราชาแห่งยุคเท่านั้น แต่ถ้าหากแม้แต่อี้เทียนเหอก็ยังบอกว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากล่ะ จ้าวชิงเฟิงผู้นั้นก็คงจะแข็งแกร่งจริงๆ


“ข้าจะระวังตัวไว้” เขากล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม


“พี่ชายหลิงอย่างประมาท!” อี้เทียนเหอกล่าวอย่างจริงจัง “พลังของจ้าวชิงเฟิงนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าระดับราชาในหมู่ราชาไปแล้ว ในความคิดของข้า ถึงแม้อีกฝ่ายจะยังไม่แข็งแกร่งถึงขั้นระดับจักรพรรดิ แต่ก็อยู่ไม่ห่างจากระดับนั้นเท่าไหร่”


คราวนี้หลิงฮันรู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง… จักรพรรดิ!


ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นขนาดไหน ถ้าหากยังไม่บรรลุระดับห้านิพพานก็ไม่มีสิทธิ์ถูกเรียกว่าเป็นจักรพรรดิ อย่างเช่นหลิงฮันในตอนนี้ เขามีแค่ศักยภาพที่จะเป็นจักรพรรดิเท่านั้น ตราบใดที่เขายังไม่บรรลุห้านิพพาน เขาก็ยังเป็นเพียงราชาในหมู่ราชาแนวหน้า


เขาไม่เชื่อว่าจ้าวชิงเฟิงจะบรรลุระดับห้านิพพานแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นการประลองในรอบสุดท้ายก็ไม่จำเป็นต้องประลองกันให้เสียเวลา ความแตกต่างระหว่างนิรันดร์ห้านิพพานกับสี่นิพพาน ก็เปรียบเสมือนความต่างของระดับโลกียนิพพานกับระดับแบ่งแยกวิญญาณ


“ยิ่งกว่านั้นจ้าวชิงเฟิงก็ยังชื่นชอบที่จะสังหารอัจฉริยะอีกด้วย” อี้เทียนเหอยิ้มอย่างขมขื่น “ที่ตอนนั้นข้ารอดชีวิตมาได้ อาจไม่ใช่เพราะจ้าวชิงเฟิงเมตตา แต่คงเพราะเขาไม่แยแสที่จะสังการจอมยุทธทั่วไปอย่างข้า”


ในสายตาของจ้าวชิงเฟิง นิรันดร์ระดับราชาก็ไม่ต่างอะไรจากจอมยุทธทั่วไป!


หลิงฮันพยักหน้า “ขอบคุณมาก ข้าจะจำไว้”


อี้เทียนเหอเองก็พยักหน้าและหันหลังจากไป


ด้านบนแท่นที่นั่งผู้ชม ใบหน้าของเฉิงเฟิงหยุนมืดมนเป็นอย่างมาก ในตอนนี้เขารู้สึกอย่างจะพุ่งตัวไปทุบตีอี้เทียนเหอจริงๆ


เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นราชาอีกรึ?


บัดซบ หมูยังใจสู้ยิ่งกว่าเจ้าด้วยซ้ำ!


“ตบหน้าซะ” สตรีนกอมตะกล่าวอย่างไม่แยแส


แต่เมื่อพูดถึงการเดิมพันแล้ว เฉิงเฟิงหยุนก็นับว่าพูดจริงทำจริง เขากัดฟันและสะบัดมือตบหน้าตัวเอง


……


การประลองในครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของหลิงฮันโด่งดังยิ่งขึ้นไปอีก ขุมอำนาจมากมายต่างยื่นข้อเสนอเชิญชวนให้หลิงฮันเข้าร่วม แต่ทุกอย่างก็เหมือนเมื่อวาน หลิงฮันคร้านจะสนใจและปฏิเสธไปทั้งหมด


ในวันที่สี่และห้า หลิงฮันพบเจอคู่ต่อสู้ที่เป็นราชาแห่งยุค ยิ่งจำนวนผู้เข้าประลองเหลือน้อยลง โอกาสที่จะพบเจอจอมยุทธทรงพลังก็ยิ่งมากขึ้น เพียงแต่สำหรับจอมยุทธเหล่านั้นแล้ว การได้พบเจอหลิงฮันก็เปรียบเสมือนฝันร้าย


หลิงฮันเอาชนะการประลองไปจนถึงสิบคนหกคนสุดท้ายได้อย่างง่ายดาย


ขอแค่เอาชนะอีกสองรอบ เขาก็จะได้ผ่านไปประลองที่อาณาเขตที่สี่


ในวันที่เก้า คู่ต่อสู้ของหลิงฮันคือ… ธิดาโร๋ว!


“ในการประลองครั้งนี้ หลิงฮันจะต้องแพ้อย่างแน่นอน!” เฉิงเฟิงหยุนที่นิ่งเงียบมาหลายวันเปิดปากแสดงความคิดเห็นอีกครั้ง เนื่องจากคู่ต่อสู้ของหลิงฮันในวันนี้คือธิดาโร๋ว


“ธิดาโร๋วคือศิษย์ของนิกายซู่หนู่ เหล่าจอมยุทธในนิกายแห่งนั้น ทุกคนล้วนแต่เป็นสตรีที่งดงามราวกับเทพธิดา แถมยังฝึกฝนทักษะยั่วยวนอันเป็นเอกลักษณ์ของนิกาย อย่าว่าแต่บุรุษเพศเลย ต่อให้เป็นสตรีด้วยกันก็ไม่อาจต้านทานรอยยิ้มของนางได้!”


ความมั่นใจของเฉิงเฟิงหยุนฟื้นคืนกลับมา


ผู้ชมรอบข้างเขานั่งฟังอยู่เงียบๆ ก่อนที่ใครบางคนจะเอ่ยขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้น ท่านคิดจะเดิมพันไหม?”


ครั้งนี้เฉิงเฟิงหยุนมั่นใจเป็นอย่างมาก และเป็นฝ่ายกล่าวออกมาเอง “หากหลิงฮันยังคว้าชัยชนะได้อีกครั้ง ข้าจะเต้นระบำโชว์ที่นี่เลย!”


จากคำพูดที่กล่าวออกมา แสดงให้เห็นว่าเขามั่นใจขนาดไหน


“โอ้ นายน้อยเฉิงช่างใจกล้านัก!” ใครหลายคนเอ่ยตอบ โดยที่ไม่รู้ว่าต้องการชมเฉิงเฟิงหยุนจริงหรือไม่


……


ณ ลานประลอง


ธิดาโร๋วกำลังก้าวขึ้นลานประลองด้วยท่วงท่าที่สง่างาม ใบหน้าอันงดงามราวกับเทพธิดาของนาง ทรงเสน่ห์จนสามารถทำให้ทุกคนตกอยู่ในภวังค์ ยิ่งกว่านั้นเอวเรียวบางและบั้นท้ายอวบอิ่มที่ส่ายไปมาของนาง ก็ยังแทบทำให้หัวใจของผู้คนหยุดเต้น


เพียงแต่คิ้วของนางกลับขมวดเข้าหากัน นางถอนหายใจและพึมพำ “ทำไมข้าต้องมาเจอสัตว์ประหลาดนั่นด้วย! อย่างน้อยเอาไว้หลังจากการประลองอีกสองรอบก็ได้แท้ๆ!”


นางรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องไปAnchorตำหนักมัจฉาวายุภักษ์อะไรนั่นรึไง? เหตุใดถึงมาโผล่หัวในการประลองชิงเม็ดยาเสริมรากฐานกัน?


“ข้าขอยอมแพ้!” นางสละสิทธิ์ทันทีโดยไม่คิดแม้แต่จะสู้


พรวด!


เฉิงเฟิงหยุนสำลักออกมา ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความตกตะลึงจนถึงขีดสุด

 

 

 


ตอนที่ 1868 ชนะ

 

เฉิงเฟิงหยุนอ้าปากกว้างจนแทบจะยัดไข่เข้าไปได้ทั้งใบ


นี่มันเรื่องอะไรกัน?


ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดของนิกายซู่หนู่ และเป็นอัจฉริยะในรอบพันล้านปีหรอกรึ?


บ้าบอสิ้นดี มีที่ไหนกันที่การประลองยังไม่เริ่ม แต่เจ้าก็ยอมแพ้ไปดื้อๆเลยแบบนั้น


เฉิงเฟิงหยุนสบถอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ ก่อนจะกวาดสายตามองผู้คนรอบข้าง ที่มองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม


“ข้าขอตัว!” เขาคำรามพร้อมกับทิ้งการเดิมพันและจากไป


……


หลังจากการประลองสิ้นสุด ธิดาโร๋วก็ไล่ตามหลิงฮันออกมาจากสถานที่จัดงานประลอง


“พี่ชายหลิง ไม่ใช่ว่าท่านต้องไปตำหนักมัจฉาวายุภักษ์หรอกรึ?” เสน่ห์ของสตรีผู้นี้นับว่าเย้ายวนอย่างแท้จริง เพียงแค่คำพูดของนางก็ทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกจิตใจหวั่นไหว


สตรีนกอมตะแสดงท่าทีระมัดระวัง นางไม่ใช่จักรพรรดินีผู้สูงส่งที่เหยียดหยามโลกล้า นางเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น เพราะงั้นนางจึงไม่มีทางใจกว้างพอที่จะแบ่งหลิงฮันให้สตรีอื่นเด็ดขาด


นางทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับธิดาโร๋ว และไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายเข้าใกล้หลิงฮัน


หลิงฮันยิ้ม “เรื่องมันพูดยากน่ะ”


เขาไม่คิดจะสาธยายความโชคร้ายของตนเองให้อีกฝ่ายฟัง


“โอ้!” ธิดาโร๋วมีท่าทีไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เหตุใดเจ้าถึงได้ทำตัวเย็นชาห่างเหินกับข้าอยู่ตลอดเลย? อยู่กับข้ามันน่ารําคาญขนาดนั้นเลยรึไง?


เจ้าบุรุษตัวเหม็นน่ารังเกียจ!


นางสบถอย่างไม่สบอารมณ์ในใจ โดยที่ใบหน้ายังคงยิ้มอย่างมีเสน่ห์ด้วยทักษะของนิกายซู่หนู่


แต่น่าเสียงดายที่เสน่ห์ที่ว่านั้นใช้กับหลิงฮันไม่ได้ผล นางสะบัดมืออย่างฉุนเฉียวและหันหลังจากไป


ในวันต่อมา หลิงฮันก็ได้พบเจอกับคู่ต่อสู้คนสุดท้ายของการประลองในอาณาเขตที่หนึ่ง อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มที่ชื่อว่า ‘จู’ และไม่มีแซ่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าชื่อของชายผู้นี้อาจจะเป็นเพียงนามแฝงเท่านั้น


“นายน้อยเฉิง…” ที่ด้านบนแท่นผู้ชม ใครหลายคนจ้องมองไปยังเฉิงเฟิงหยุนอีกครั้ง


พวกเขารู้สึกนับถือเฉิงเฟิงหยุนผู้นี้จริงๆ ทั้งๆที่กินเก้าอี้ก็แล้ว ตบหน้าตัวเองก็แล้ว เผ่นหนีการเดิมพันก็ได้ แต่ก็ยังกล้าปรากฏตัวอยู่อีก


เฉิงเฟิงหยุนส่ายหัวเพื่อบ่งบอกว่าวันนี้เขาไม่คิดจะออกความเห็น


ผู้ชมรอบข้างรู้สึกผิดหวังทันที หากเป็นแบบนี้ความสนุกของการประลองก็คงลดลงไปหลายส่วน


ที่บนลานประลอง หลิงฮันแผ่มือและกล่าว “เชิญลงมือ!”


เพียงแต่เขาก็ไม่คิดจะดูถูกอีกฝ่าย การที่ชายผู้นี้ฝ่าฝันคว้าชัยชนะมาถึงรอบนี้ได้ เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้อ่อนแอ


จูหรี่ตาจ้องมองหลิงฮัน พร้อมกับแสยะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ดูน่าสยดสยอง เนื่องจากเขาไม่มีทั้งฟันและลิ้น


แต่ถึงอย่างนั้นจิตใจของหลิงฮันก็ไม่หวั่นไหว


ร่างของจูพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว และโจมตีเข้าใส่หลิงฮันด้วยดาบในมือขวา


ดาบเล่มนี้เป็นดาบที่เรียวบางเป็นอย่างมาก ความหนาของมันบางเสียยิ่งกว่าเส้นผมด้วยซ้ำ


ดาบถูกแท่งออกไปหลายครั้งราวกับห่าฝนด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ปกคลุมอยู่ที่ตัวดาบ ส่งผลให้แม้แต่ห้วงมิติอันว่างเปล่าก็ยังถูกฉีกขาด


แข็งแกร่ง!


เฉิงเฟิงหยุนชะงักและรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ทำไมวันนี้เขาถึงไม่เดิมพันกันนะ? ทั้งๆที่มีโอกาสชนะเดิมพันได้แท้ๆ!


เขาอยากจะตบหน้าตัวเองจริงๆ หลายวันมานี้เขาเฝ้ารอดูความพ่ายแพ้ของหลิงฮันอย่างใจจดใจจ่อ แต่พอวันที่โอกาสมาถึง เขากลับพลาดไม่เดิมพันเสียได้


หลิงฮันไม่ทำการป้องกันคมดาบนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าใส่แม้แต่นิดเดียว


‘ปัง ปัง ปัง’ คมดาบนับไม่ถ้วนปะทะเข้ากับร่างหลิงฮันเต็มๆ แต่จูก็ไม่เผยสีหน้าดีใจแม้แต่น้อย เนื่องจากเขาที่เป็นคนโจมตีย่อมรู้ดีกว่าใครว่า การโจมตีที่เขาจู่โจมออกไปน้อย ไม่สามารถทำอะไรร่างกายหลิงฮันได้เลย


คู่ต่อสู้ของเขาผู้นี้แข็งแกร่งจนถึงขนาดที่ว่า การโจมตีด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์แห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ไม่อาจทำอะไรได้


เมื่อรับการโจมตีเสร็จ หลิงฮันก็ขยับตัวเล็กน้อยและจ้องมองไปที่จู


ร่างของจูสั่นสะท้านจนหัวใจบีบรัด และรีบล่าถอยเว้นระยะห่างอย่างรวดเร็ว


หลิงฮันยิ้ม “พลังของเจ้าแข็งแกร่งมากทีเดียว ในหมู่คู่ต่อสู้ที่ข้าเผชิญหน้ามาหลายวันนี้ ข้ากล่าวได้เต็มปากเลยว่าเจ้าทรงพลังเป็นอันดับหนึ่ง”


จูผู้นี้มีพลังต่อสู้ที่เกือบจะเทียบเท่าได้กับราชาในหมู่ราชา หากอีกฝ่ายพบเจอกับจื่อเหอปิงอวิ๋น หรือลั่วจ่างเฟิงล่ะก็ อาจจะพอรับมือได้ถึงสองกระบวนท่า


แต่หน้าเสียดายที่คู๋ต่อสู้ของอีกฝ่ายคือเขา


หลิงฮันลงมือ เขาเกร็งนิ้วทั้งห้าและผลักฝ่ามือเข้าใส่จู


แม้ฝ่ามือจะยังไม่ปะทะเป้าหมาย แต่แรงกดดันที่พรั่งพรูออกมาจากฝ่ามือก็หนักหน่วงราวกับขุนเขานับพัน ร่างของจูชะงักแข็งข้างและเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ แม้เขาจะต้องการหลบหลีกฝ่ามือที่พุ่งเข้ามา แต่ขาทั้งสองข้างก็สั่นไม่หยุด ทำให้ยากที่ขยับตัวเคลื่อนไหว


เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คืออัจฉริยะที่เกือบจะเทียบเคียงได้กับราชาในหมู่ราชา!


จูส่งเสียงคำรามระเบิดพลังออกมา จนสลัดร่างออกจากแรงกดดันของหลิงฮันได้ในที่สุด พร้อมกับสะบั้นดาบโจมตีสวน


ต่อให้เขาจะเป็นฝ่ายแพ้ ก็ต้องแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี


ปัง!


หลังจากการโจมตีเข้าปะทะกัน จูก็ถูกคลื่นกระแทกซัดลอยกระเด็นออกนอกลานประลอง และไม่ลุกยืนขึ้นมาอีกเลย


ณ แท่นผู้ชม ทุกคนที่ดูอยู่ต่างแน่นิ่งกลายเป็นไร้คำพูด


ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่คิดว่าหลิงฮันจะพ่ายแพ้ตั้งแต่ ถูกคมดาบนับไม่ถ้วนกระหน่ำใส่แล้ว ไม่คาดติดว่านอกจากหลิงฮันจะพลิกกลับมาชนะแล้ว ยังสามารถคว้าชัยชนะไปได้อย่างรวดเร็วด้วย


เฉิงเฟิงหยุนแอบรู้สึกโชคดีที่ตนเองไม่ได้เดิมพันในวันนี้ เพราะไม่อย่างนั้นล่ะก็… แต่ถ้าหากผลลัพธ์กลายเป็นแบบนี้แล้ว ก็คงต้องรอให้เหล่าอัจฉริยะที่แข็งแกร่งราวกับสัตว์ประหลาดในอาณาเขตที่สี่ เป็นคนจัดการหลิงฮันสถานเดียว


เมื่อจบสิ้นการประลองของวัน ผู้เข้ารอบทั้งสี่คนของอาณาเขตที่หนึ่งก็ถูกตัดสิน ทั้งสี่คนที่ว่าคือ หลิงฮัน จางฉวน เหอเยว่และหยางปี้เยว่


นอกจากหลิงฮันแล้ว ผู้เข้ารอบอีกสามคนนั้นต่างก็เป็นผู้สืบทอดขุมอำนาจสามดาวเหมือนกัน และเป็นราชาแห่งยุค


เมื่อเสร็จสิ้นการประลอง พวกเขาทั้งสี่ไม่ได้กลับไปยังที่พักของตนเอง แต่ถูกเรียกให้มารวมตัวกันเพื่อมุ่งหน้าสู่อาณาเขตที่สี่ และร่วมประลองรอบตัดสินในวันพรุ่งนี้


หลิงฮันรู้สึกคาดหวังเป็นอย่างมาก ห้องบ่มเพาะกาลเวลาของอาณาเขตที่สี่นั้น มีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมกว่าของอาณาเขตที่หนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้เขาหลอมเม็ดยาเตาแรกสำเร็จให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 1869 ความหยิ่งยโสอันดับหนึ่งใน...

 

หลิงฮันและสตรีนกอมตะเดินทางไปยังอาณาเขตที่สี่ผ่านค่ายกลอาคมเคลื่อนย้าย


ในฐานะที่เป็นตัวแทนผู้ชนะ เขาจึงได้รับสิทธิพิเศษเล็กน้อยให้สามารถพาสหายหนึ่งหรือสองคน ติดตามไปยังอาณาเขตที่สี่ด้วยได้


แต่สำหรับผู้ที่ต้องการชมการประลองไม่ได้รับสิทธิ์นี้ พวกเขาจำเป็นต้องจ่ายศิลาดวงดาวเพื่อใช้ค่ายกลอาคมเคลื่อนย้าย


หลังจากมาถึงอาณาเขตที่สี่ หลิงฮันและตัวแทนคนอื่นๆไปพักผ่อนในที่พักที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ นอกจากพวกเขาแล้ว ตัวแทนผู้ชนะจากอาณาเขตที่สองและสาม ก็อยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน


มีเพียงตัวแทนผู้ชนะจากอาณาเขตที่สี่เท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ และจะปรากฏตัวในการประลองวันพรุ่งนี้


เพียงแต่ว่าในยามค่ำคืน จู่ๆกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวก็กวาดผ่านไปทั่วทั้งที่พักทั้งสิบสอง


เป็นกลิ่นอายที่ทรงพลังอะไรเยี่ยงนี้!


ตัวแทนผู้ชนะทุกคนเปิดประตูออกมา และพบเห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนตระหง่านอยู่กลางท้องฟ้า ราวกับเทพสงครามที่เหยียบย่ำยุทธภพ


“จะ… จ้าวชิงเฟิง!” ใครบางจดจำอีกฝ่ายได้และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


เหล่าคนที่คว้าชัยชนะมาถึงรอบนี้ได้ ใครบ้างไม่ใช่ราชาแห่งยุค? แต่การที่แม้แต่ราชาแห่งยุคก็ยังเอ่ยชื่อของจ้าวชิงเฟิงด้วยน้ำเสียงหวาดผวานั้น แสดงให้เห็นว่าจ้าวชิงเฟิงผู้นี้ทรงพลังขนาดไหน


“จ้าวชิงเฟิง!” ดูเหมือนว่าคนที่รู้จักจ้าวชิงเฟิงจะมีมากมาย ราชาคนอื่นๆขมวดคิ้วและเผยสีหน้าหวั่นเกรง


มีข่าวลือหนาหูว่าจ้าวชิงเฟิงไม่เพียงแค่ทรงพลังและอวดดีเท่านั้น แต่ยังมีงานอดิเรกชอบสังหารอัจฉริยะอีกด้วย


จ้าวชิงเฟิงพาดมือสองข้างไว้ที่ด้านหลัง สายตาของเขากวาดมองฝูงชนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเค้นเสียง “ไม่ว่าหน้าไหนก็เป็นเพียงขยะไร้ค่า ที่ไม่ควรค่าให้ข้าลงมือ!”


ทุกคนเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที ในกลุ่มพวกเขาใครบ้างที่ไม่ใช่ราชาแห่งยุค? ในหมู่พวกเขามีถึงคนหรือสองคนด้วยซ้ำที่มีศักยภาพเกือบจะเทียบเท่าราชาในหมู่ราชา แต่เจ้ากลับมาบอกว่าพวกข้าเป็นเพียงขยะไร้ค่างั้นรึ?


“ไม่พอใจรึไง?” จ้าวชิงเฟิงแสยะยิ้มและยื่นฝ่ามือออกไป ‘ตูม ตูม ตูม’ ปลายดาบสีครามอันแหลมคมนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า


‘ครืนน’ เมื่อปลายดาบนับไม่ถ้วนพุ่งโจมตี อำนาจแห่งเต๋าอันทรงพลังก็ระเบิดออกมาจนสวรรค์แทบจะพังทลาย


ทุกคนรีบโจมตีตอบโต้อย่างรวดเร็ว ‘ปัง ปัง ปัง’ ที่พักทั้งสิบสองพังทลายในพริบตา เมื่อฝุ่นควันสลายหายไป ร่างของคนแทบจะทุกคนก็นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น ในขณะที่คนที่ยังพอพยุงร่างไหวต่างได้รับบาดเจ็บทั่วร่างกาย


เหตุใดถึงได้ทรงพลังขนาดนี้? เพียงแค่หนึ่งกระบวนท่าก็สามารถกำราบราชานับสิบได้อย่างง่าย


“ข้าขอย้ำอีกครั้งว่าพวกเจ้ามันเป็นเพียงขยะไร้ค่า!” จ้าวชิงเฟิงกล่าวอย่างหยิ่งผยอง “ที่ข้ามาในวันนี้ ก็เพราะต้องการมาบอกให้พวกเจ้าทุกคนถอนตัว เพื่อไม่ให้ข้าต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ในการประลองวันพรุ่งนี้ จะมีเพียงการประลองนัดเดียวเท่านั้น!”


สายตาของเขาเหลือบมองคนผู้หนึ่งที่ยังคงยืนอยู่ โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆจากการโจมตีเมื่อครู่


หลิงฮัน!


ส่วนสตรีนกอมตะนั้นถูกนำตัวเขาไปในหอคอยทมิฬเรียบร้อยแล้ว


“เจ้าคือหลิงฮัน?” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น ดวงตาทั้งสองข้างของเขาลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงแห่งสงคราม


หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย อีกฝ่ายรู้จักชื่อเขาด้วยงั้นรึ?


“ไม่ผิด ข้าคือหลิงฮัน” หลิงฮันกล่าวตอบ


จ้าวชิงเฟิงผู้นี้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง บางทีอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้สืบทอด ที่ถูกฝึกฝนโดยขุมอำนาจราชานิรันดร์เสียด้วยซ้ำ


จ้าวชิงเฟิงยิ้มมุมปาก “เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ! วันพรุ่งนี้จะมีเพียงการประลองอันดุเดือด ระหว่างเจ้ากับข้าเพียงนัดเดียว!”


เขากวาดสายตามองฝูงชน “หากในวันพรุ่งนี้พวกเจ้าไม่สละสิทธิ์แต่โดยดี ก็อย่าได้คิดว่าจะมีชีวิตรอดกลับไปได้!”


ทุกคนแน่นิ่งไม่กล่าวอะไรตอบโต้ ก่อนหน้านี้พวกเขายังคิดว่าตนเองพอมีความหวัง ที่จะโค่นจ้าวชิงเฟิงอยู่ได้บ้าง แต่หลังจากที่ถูกจ้าวชิงเฟิงกำราบในหนึ่งกระบวนท่า ความมั่นใจของพวกเขาก็หายไปทันที


แต่ก็เอาเถอะ ยังไงก็ไม่มีวันชนะอยู่แล้ว จะยอมแพ้แต่เนิ่นๆหรือพ่ายแพ้ทีหลัง ก็ไม่ต่างกัน


ที่น่าสงสารที่สุดก็คงเป็นหลิงฮัน การที่ตกเป็นเป้าหมายของจ้าวชิงเฟิงเช่นนี้ ในการประลองวันพรุ่งนี้เขาจะต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน


“หลิงฮัน ข้าจะตั้งตารอการประลองในวันพรุ่งนี้ อย่าทำให้ข้าผิดหวังเสียล่ะ” จ้าวชิงเฟิงจ้องมองหลิงฮันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสะบัดแขนเสื่้อและจากไป


ความหยิ่งยโสนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าจริงๆ


หลิงฮันลูบคางครุ่นคิด หรือว่านี่เขาทำตัวไม่โดดเด่นเกินไปกันนะ? จ้าวชิงเฟิงเป็นเพียงผู้ติดตามของผู้สืบทอดแท้ๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังทำตัวโอหังในเมืองวิถีโอสถได้ตามใจชอบ


ในวันพรุ่งนี้… ข้าจะบดขยี้หมอนี่ให้เละ!


หลิงฮันตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าเอี๋ยนเซียนลู่จะเป็นอัจฉริยะที่น่ากลัวแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของอนาคต ความหยิ่งผยองที่จ้าวชิงเฟิงแสดงออกมานั้นน่าขัดหูขัดตาเป็นอย่างมาก หากไม่ทุบตีอีกฝ่ายให้หนำใจจิตใจของเขาคงไม่มีวันสงบ


เนื่้องจากที่พักก็ถูกทำลายไปแล้ว แถมการประลองในวันพรุ่งนี้ก็เข้าร่วมไม่ได้แล้วด้วย ตัวแทนผู้ชนะหลายคนจึงขอตัวจากไปในทันที แต่ก็ยังมีคนส่วนหนึ่งที่ยังคงรู้สึกไม่ยินยอม และเดิมพันความหวังเอาไว้ที่หลิงฮัน


พวกเขาหวังที่จะได้เห็นหลิงฮันพลิกผลันสถานการณ์ แลบดขยี้จ้าวชิงเฟิงให้เละ


หนึ่งค่ำคืนผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว


ในวันรุ่งขึ้น หลิงฮันกับสตรีนกอมตะได้มุ่งหน้าไปยังสถานที่จัดงานประลอง ซึ่งไม่ได้อยู่ไกลเท่าไหร่


“อะไรกัน ผู้เข้าร่วมคนอื่นๆสละสิทธิ์ไปแล้ว และเหลือผู้ประลองแค่สองคนเท่านั้น?” ณ บนลานประลอง เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ดูแลการประลอง อ่านรายงานที่อยู่ในมือด้วยสภาพที่เหงื่อไหลท่วม


บัตรเข้าชมก็ขายไปหมดแล้ว เหตุใดเหตุการณ์เช่นนี้ถึงได้เกิดขึ้นได้กัน?


“จ้าวชิงเฟิง!” เจ้าหน้าที่ดูแลการประลองกัดฟัน เขาคิดว่าต้องเป็นเพราะจ้าวชิงเฟิงแน่ๆ ที่ไปข่มขู่ผู้เข้าร่วมการประลองคนอื่นๆให้สละสิทธิ์


โชคดีที่ยังเหลือผู้เข้าร่วมประลองอยู่อีกหนึ่งคน


ถึงแม้จ้าวชิงเฟิงจะทำตัวอวดดีตามใจชอบ แต่ก็ไม่มีใครสามารถกล่าวโทษได้ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นถึงผู้ติดตามของเอี๋ยนเซียนลู่ โบราณมีคำกล่าวว่าหากจะจะตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของก่อน เอี๋ยนเซียนลู่ที่ว่าคืออัจฉริยะที่ในอนาคตจะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ได้อย่างแน่นอน!


ด้วยเหตุนี้ใครกันจะกล้าล่วงเกินเขา?


“ข้าหวังเหลือเกินว่าหลิงฮันผู้นี้จะสามารถสั่งสอนจ้าวชิงเฟิงได้!” เจ้าหน้าที่ดูแลกล่าว ก่อนจะส่ายหัวให้กับคำพูดตัวเอง


เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นเด็ดขาด ขนาดผู้สืบทอดราชานิรันดร์ก็ยังถูกจ้าวชิงเฟิงจัดการอย่างง่ายดาย เพราะงั้นมีรึที่จ้าวชิงเฟิงจะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)