Alchemy Emperor of the Divine Dao 1859-1861
ตอนที่ 1859 ชิงเฟิงผู้ไร้เทียมทาน
หลังจากหลิงฮันจากไปสักพัก ซุนตงและหลิวอวี้ก็ฟื้นขึ้นมา
เมื่อทั้งสองลืมตา ความเจ็บปวดที่บริเวณก้นก็ถาโถมเข้ามา และพอทั้งสองหันมองสภาพของกันและกัน ต่างฝ่ายจึงรับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ตนเองอยู่ในสภาพเช่นไร
ที่บริเวณรอบด้าน ผู้คนจำนวนหนึ่งกำลังมองดูพวกเขาอย่างคึกคัก
ทั้งสองรีบดึงแท่งไผ่ออกจากก้นและเผ่นหนี หลังจากวิ่งหลบมาได้ชั่วครู่พวกเขาก็รีบเข้าสู่อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเปลี่ยนชุดและทายารักษาเบื้องต้น
เวลาผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็กลับออกมา
ใบหน้าของหลิวอวี้ในตอนนี้บูดบึ้งจนอัปลักษณ์ เขาถูกทะลวงรูทวารติดต่อกันถึงสองครั้ง หากเรื่องนี้แพร่กระจายไปถึงเมืองเอกภพดาราคราม เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
สีหน้าของซุนตงก็ไม่ต่างกัน ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยได้รับความอัปยศขนาดนี้มาก่อน
เพียงแต่หลังจากการประมือกับหลิงฮัน เขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตัวเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮันแม้แต่น้อย เนื่องจากเพียงแค่แรงกดดันจากสายตาของอีกฝ่าย เขาก็ไม่สามารถต้านทานไหว
“ฮึ่ม เจ้าคิดว่าตนเองเป็นราชาแล้วจะกดขี่ข้าได้?” ซุนตงสบถ ในเมืองสี่ดาวแห่งนี้ ราชาแห่งยุคนั้นไม่ได้มีหยิบมือ!
ในความคิดของเขา หลิงฮันสมควรที่จะเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจสามดาว แต่มาแสร้งทำเป็นหมาป่าในคราบแกะที่นี่
“แต่ครั้งนี้เจ้าเล่นด้วยผิดคนแล้ว” ซุนตงกล่าวอย่างเย็นชาและดวงตาส่องประกายโหดเหี้ยม “ข้าคือผู้ติดตามของผู้สืบทอดหลู่ หากข้าถูกรังแก ผู้สืบทอดหลู่จะต้องแก้แค้นให้ข้าอย่างแน่นอน!”
“นายน้อยตง!” หลิวอวี้เองก็เคียดแค้นหลิงฮันไม่แพ้กัน ยิ่งหลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อครู่มา พวกเขาทั้งสองก็ถือว่ามีศัตรูคนเดียวกันแล้ว
“ไสหัวไป!” ซุนตงยกเท่าเตะใส่หลิวอวี้ หากไม่ใช่เพราะเจ้า มีรึที่ก้นของข้าจะพบเจอโศกนาฏกรรมเช่นนี้?
เขาสะบัดแขนเสื้อและหันหลังจากไป ความแค้นครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาคืน!
“นะ… นายน้อยตง!” หลิวอวี้ไล่ตามไปสองสามก้าวก่อนจะหยุดและครุ่นคิด อย่างไรซุนตงก็ต้องลงมือล้างแค้นอยู่แล้ว
ถ้างั้นเขาก็แค่รออยู่เฉยๆเพื่อดูการแสดงก็พอไม่ใช่รึไง?
ซุนตงมุ่งหน้ามายังที่ตั้งของรูปแบบอาคมเคลื่อนย้าย หลังจากนำแผ่นป้ายพิเศษที่เขาพกติดตัวส่องแสงออกมา ร่างของเขาก็ถูกส่งไปยังอาณาเขตที่สี่ทันที
ตระกูลซุนคือขุมอำนาจสามดาว และมีที่ตั้งตระกูลอยู่ในอาณาเขตที่สี่ เพราะงั้นในฐานะของผู้สืบทอดตระกูลซุน เขาจึงสามารถไปยังอาณาเขตที่สี่ได้ตามใจชอบ
เขาเดินมายังลานที่พักของหลู่เซียนหมิง
สถานที่แห่งนี้คือตำหนักขนาดมหึมาที่ห้อมไปด้วยภูเขาและแม่น้ำอันงดงาม เพียงแต่ว่าตอนนี้ซุนตงไม่มีกระจิตกระใจจะยลโฉมทิวทัศน์อันงดงามแม้แต่น้อย เขารีบวิ่งไปยังห้องโถงห้องหนึ่ง
เมื่อมาถึง ฝีเท้าของเขาก็ค่อยๆเคลื่อนที่ช้าลง พร้อมกับสีหน้าของเขาที่แสดงออกถึงความหวาดหวั่น
เขาลองมองเข้าไปดูภายในห้องโถง และพบว่าหลู่เซียนหมิงกำลังดื่มชาอยู่กับแขกอีกสามคน ในหมู่แขกทั้งสามคนนี้ สองคนเป็นบุรุษส่วนอีกหนึ่งคนเป็นสตรี สตรีที่เขาเห็นนั้นมีรูปลักษณ์งดงามและมีกลิ่นอายที่สูงส่ง ราวกับไม่ว่าใครก็ทำได้เพียงแหงนมอง
ส่วนบุรุษทั้งสองเองก็มีกลิ่นอายอันน่ายำเกรง ที่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นมังกรในหมู่มนุษย์
ทั้งสามจะต้องเป็นผู้สืบทอดจากขุมอำนาจราชานิรันดร์ได้ที่ยิ่งใหญ่แน่นอน เพราะไม่อย่างนั้นหลู่เซียนหมิงคงไม่มานั่งร่วมดื่มชากับทั้งสามด้วยตัวเองแบบนี้
ซุนตงค่อยๆขยับตัวเข้าไปในห้องโถวด้วยท่าทางสุภาพ เพียงแต่ว่าหลังจากที่ก้าวเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ต้องตกตะลึงเพราะแท้จริงแล้วภายในห้องโถงยังมีแขกคนที่สี่อยู่อีก
ด้วยพลังของเขา เป็นไปได้อย่างไรที่กว่าจะรู้สึกตัวถึงการมีอยู่ของแขกคนที่สี่ จะใช้เวลานานขนาดนี้?
ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง บุคคลที่ห้าในห้องโถงก็ดูราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร อีกฝ่ายหันหน้าและจ้องมองมาที่เขา ‘ครืนน’ พริบตานั้นจิตใจของซุนก็สั่นสะท้านและกลายเป็นว่างเปล่า
“ซุนตง!” เสียงของใครบางคนดังก้องเข้ามาในหัวของเขา ซุนตงตั้งสติกลับมาได้และพบว่าเจ้าของเสียงนั้นคือหลู่เซียนหมิง
ร่างกายของซุนตงสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวทันที หากเมื่อครู่แขกคนนั้นลงมือล่ะก็ เขาคงจะตายไปโดยที่ไม่แม้แต่จะรู้ตัวเสียแล้ว
แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้ เพียงแค่สายตาที่จ้องมองมา ก็ทำให้เขาหมดสภาพอย่างไม่อาจต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย
พลังอันน่าสะพรึงกลัวของอีกฝ่าย ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงหลิงฮัน
“ผู้สืบทอดหลู่!” ซุนตงรีบโค้งตัวคารวะอย่างสุภาพ
“มีเรื่องอะไรงั้นรึ?” หลู่เซียนหมิงขมวดคิ้วด้วยความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ตอนนี้ข้ากำลังรับแขกอยู่แท้ๆ แต่เจ้ากลับปรากฏตัวและทำท่าทีเหม่อลอยแบบนั้นน่ะรึ?
ซุนตงกัดฟันและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นออกไป
“ผู้สืบทอดหลู่ ท่านต้องทวงคืนความยุติธรรมให้กับก้นของข้า!” เขาทรุดตัวลงกับพื้นและร้องโอดครวญทั้งน้ำตา
หลู่เซียนหมิงใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดมน ความยุติธรรมให้ก้นเจ้าบ้าบออะไร? เจ้าพูดเรื่องน่าอายแบบนั้นออกมา แล้วคนอื่นเขาจะคิดว่าข้ากับเจ้ามีความสัมพันธ์กันแบบใด?
บุคคลที่ห้าของห้องหัวเราะและกล่าว “คนที่เจ้าว่าแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวรึ? ข้าอยากเห็นด้วยตาตัวเองจริงๆ”
หลู่เซียนหมิงยิ้ม “หากพี่ชายชิงเฟิงลงมือ ในระดับโลกียนิพพานใครกันจะเป็นคู่ต่อสู้ให้ท่านได้?”
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกไป แขกอีกสามคนก็แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที
พวกเขาคือใคร?
ในหมู่พวกเขาทั้งสามคน ใครบางที่ไม่ใช่ผู้สืบทอดของราชานิรันดร์ที่มีศักยภาพเหนือกว่าราชาแห่งยุค? การที่หลู่เซียนหมิงกล่าวว่าในระดับโลกียนิพพาน ไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของแขกคนที่สี่ได้นั้น แสดงว่าอีกฝ่ายไม่เห็นหัวพวกเขาเลยไม่ใช่รึไงกัน?
“โอ้ พวกเราคุยกันมาก็นานพอสมควรแล้ว แต่เจ้ายังไม่ได้แนะนำตัวแขกผู้นั้นให้พวกเราทราบเลยสินะ?” คนที่กล่าวมีชื่อว่าเป้าเฉิง ซึ่งแขกคนที่เขาพาดพิงถึงก็คือคนที่หลู่เซียนหมิงเรียกว่า ‘พี่ชายชิงเฟิง’
หลู่เซียนหมิงหัวเราะ “ข้าผิดเองๆ พอดีว่าข้าหาจังหวะเหมาะๆ ในการแนะนำตัวบุคคลผู้นี้ให้พวกท่านทราบไม่ได้เสียทีน่ะ ทั้งสามคน พี่ชายท่านนี้มีชื่อว่าจ้าวชิงเฟิง หนึ่งในสี่ราชาสวรรค์ภายใต้การการปกครองของผู้สืบทอดเอี๋ยนเซียนลู่”
เอี๋ยนเซียนลู่!
ผู้สืบทอดราชานิรันดร์ทั้งสามคนเผยสีหน้าตกตะลึงพร้อมกัน ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจ
ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดราชานิรันดร์ พวกเขาย่อมมีคุณสมบัติจะรู้ถึงชื่อเสียงของเอี๋ยนเซียนลู่
ราชานิรันดร์นั้นแบ่งออกเป็นเก้าระดับ โดยที่แต่ละระดับนั้นมีพลังที่ต่างชั้นกันราวกับสวรรค์และปฐพี ซึ่งเหล่าผู้สืบทอดที่ได้รับการฝึกฝนเองก็เช่นกัน
พวกเขาทั้งสามคนคือผู้สืบทอดราชานิรันดร์ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่เอี๋ยนเซียนลู่เป็นถึงผู้สืบทอดของราชานิรันดร์ระดับแปด!
จริงอยู่ที่พวกเขายอมรับในตัวของเอี๋ยนเซียนลู่ แต่เจ้าจะบอกว่าแม้แต่จอมยุทธที่อยู่ภายใต้อำนาจของอีกฝ่าย ก็ยังไร้เทียมทานเหนือกว่าพวกข้างั้นรึ? นี่เจ้าคงไม่ได้กำลังพูดล้อเล่นอยู่หรอกนะ?
ตอนที่ 1860 กำราบผู้สืบทอดได้ง่ายราวก...
“ไร้เทียมทานงั้นรึ? ก็แค่คำพูดที่ดูกล่าวเกินจริงเท่านั้น” เป้าเฉิงกล่าวอย่างไม่แยแส
หากคนที่มาที่นี่คือเอี๋ยนเซียนลู่ เขาก็คงไม่มีสิ่งใดจะโต้แย้ง แต่กับจ้าวชิงเฟิงน่ะรึ? อีกฝ่ายเป็นเพียงสุนัขข้างกายเอี๋ยนเซียนลู่แท้ๆ แต่กลับได้รับคำเยินยอว่าไร้เทียมทานในระดับโลกียนิพพาน
Anchor
จ้าวชิงเฟิงยิ้มมุมปากและมองไปยังเป้าเฉิง “เจ้าไม่พอใจงั้นหรือ?”
ช่างน่าขัน แน่นอนว่าข้าต้องไม่พอใจอยู่แล้ว!
ไม่ใช่แค่เป้าเฉิงเท่านั้น แต่ผู้สืบทอดราชานิรันดร์อีกสองคนก็ไม่พอใจเช่นกัน อีกฝ่ายเป็นเพียงลิ่วล้อแท้ๆ แต่กลับกล้าตีตนเหนือพวกเขางั้นรึ? อีกฝ่ายคิดว่าการที่ชื่อเสียงของเอี๋ยนเซียนลู่คลุมกะลาหัวเอาไว้ จะทำให้สามารถกร่างไปทั่วได้รึไง?
“แน่นอนว่าข้าไม่พอใจ!” เป้าเฉิงคำราม
“พวกเจ้าก็ด้วยสินะ?” จ้าวชิงเฟิงหันมองผู้สืบทอดราชานิรันดร์อีกสองคน
“ฮึ่ม!” ผู้สืบทอดราชานิรันดร์ทั้งสองเค้นเสียงดูถูก และคร้านแม้แต่จะเสวนากับลิ่วล้ออย่างจ้าวชิงเฟิง
“ถ้าพวกเจ้าไม่ยอมรับก็มาประลองกัน ข้าจะแสดงให้เห็นเองว่าพวกเจ้าเป็นเพียงแค่สวะไร้ค่า!” จ้าวชิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส โดยไม่ไว้หน้าผู้สืบทอดราชานิรันรด์ทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
พวกเป้าเฉิงเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก สุนัขลิ่วล้อเช่นเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดจากับพวกข้าเช่นนี้?
“เหอะ ดูเหมือนคนบางคน ก็จำเป็นต้องได้รับการสั่งสอนเสียบ้าง!” เป้าเฉิงก้าวเดินไปหยุดด้านหน้าจ้าวชิงเฟิงและกวักนิ้ว “ตามมา ข้าจะแสดงให้เห็นเองว่าข้าจะกำราบเจ้าให้ลงไปนอนแทบเท้าด้วยวิธีใด!”
จ้าวชิงเฟิงเค้นเสียง “พล่ามมากเสียจริง”
ซุนตงที่มองดูอยู่มีท่าทีตื่นเต้น เขาไม่คาดคิดว่าจ้างชิงเฟิงผู้นี้จะอวดดีขนาดนี้ อีกฝ่ายกล้าล่วงเกินแม้กระทั่งผู้สืบทอดราชานิรันดร์ทั้งสามคน แต่ประเด็นหลักที่สำคัญคือ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะสนใจที่จะลงมือจัดการหลิงฮันเสียด้วย
เพื่อที่จะกำราบหลิงฮันให้ได้ภายในไม่กี่อึดใจ เขาจึงคาดหวังให้จ้าวชิงเฟิงยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
จ้าวชิงเฟิงและเป้าเฉิงเดินออกไปยังนอกห้องโถงและเหินร่างขึ้นท้องฟ้า ในอาณาเขตที่สีของเมืองนั้น แน่นอนว่าต้องมีค่ายกลอาคมคุ้มกันที่ทรงพลังปกคลุมอยู่ ด้วยพลังของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะทำลายพลังป้องกันของค่ายกลอาคมได้
แต่เหตุผลที่ทั้งสองประมือกันบนท้องฟ้านั้น เป็นเพราะไม่อยากให้คลื่นพลังจากการต่อสู้เล็ดรอดไปทำให้สิ่งก่อสร้างของตำหนักแห่งนี้พังทลาย
“เริ่มลงมือได้!” เป้าเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
จ้าวชิงเฟิงแสยะยิ้ม ‘พรึบ’ ในช่วงเวลาเสี้ยววินาที จู่ๆร่างของเขาก็หายไปและมาปรากฏตัวอีกครั้งด้านหน้าเป้าเฉิง พร้อมกับปล่อยหมัดโจมตี
“อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติ!” เป้าเฉิงเค้นเสียงและเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย เขาไม่คาดคิดว่าจ้าวฉิงเฟิงผู้นี้จะเชี่ยวชาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่พิเศษ อย่างอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติ
เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้สืบทอดราชานิรันดร์ ถึงแม้เขาจะตกตะลึงและไม่ได้ตั้งตัว แต่เขาก็ยังตอบโต้ทัน นิ้วมือของเขาส่องประกายแสงราวกับทองคำ และสะบัดปลดปล่อยปราณดาบอันทรงพลังออกไป
เขาคือจอมยุทธผู้ครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์ทองคำ เมื่อใดที่เขากระตุ้นพลังสายเลือด ร่างกายทุกส่วนของเขาทรงพลังขึ้น และสามารถใช้แทนศาสตราวุธอันไร้เทียมทานได้
จ้างชิงเฟิงไม่หวั่นไหว เขายังคงไม่รั้งหมัดของตนเองกลับ และโจมตีปะทะกับเป้าเฉิง
ตูม!
เมื่อการโจมตีเข้าปะทะกัน คลื่นพลังของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ก็ผันผวนไปทั่วพื้นที่
ปัง ร่างของเป้าเฉิงสั่นสะท้านและลอยกระเด็น เขากระอักโลหิตออกมาด้วยสภาพที่โล่ปราณก่อเกิดรอบกายปรากฏรอpแตกร้าว แต่ในทางกลับกัน ร่างของจ้าวชิงเฟิงยังคงยื่นแน่นิ่งราวกับขุนเขา โดยที่ไม่ขยับไปจากจุดเดิมเลยแม้แต่ก้าวเดียว
พอได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผู้สืบทอดราชานิรันดร์อีกสองคนก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
แข็งแกร่ง! เพียงแค่หนึ่งกระบวนท่าก็เกือบจะเอาชนะเป้าเฉิงได้
คนผู้นี้เป็นเพียงผู้ติดตามจริงๆรึ เหตุใดพลังของเขาถึงได้แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้สืบทอดเสียอีก!
หลังจากที่จ้าวชิงเฟิงลงมือ กลิ่นอายอันไม่แยแสก่อนหน้านี้ของเขา ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นอายเย็นยะเยือกแสนโหดเหี้ยม
‘ฟุบ’ ร่างของเขาพุ่งทะยานไล่ตามเป้าเฉิงและโจมตีอีกครั้ง หมัดที่ถูกปล่อยออกไปทรงพลังราวกับขุนเขาที่สามารถบดขยี้ได้แม้แต่เมืองทั้งเมือง
เป้าเฉิงทำได้เพียงโจมตีตอบโต้และกระอักโลหิตอีกครั้ง เพียงแต่ครานี้โล่ปราณก่อเกิดของเขาได้แหลกสลายไปอย่างสมบูรณ์
หลังจากปะทะกันอีกไม่กี่สิบกระบวนท่าน ร่างของเป้าเฉิงก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้าและกระอักโลหิตต่อเนื่องอย่างหมดสภาพ
จ้าวชิงเฟิงเลือกที่จะไม่สังหารเป้าเฉิง เขาพาดมือไว้ด้านหลังและมองไปยังผู้สืบทอดราชานิรันดร์อีกสองคน “เศษสวะไร้ค่าอย่างพวกเจ้าอีกสองคนก็ไม่พอใจเช่นกันรึเปล่า?”
ผู้สืบทอดราชานิรันดร์ทั้งสองกัดฟันด้วยสีหน้าขมขื่น และไม่กล่าวโต้แย้งใดๆออกไป
ต่อให้ตอนนี้พวกเขาจะสามารถเตรียมพร้อมลงมือด้วยพลังทั้งหมด แต่อย่างมากก็คงทำได้แค่รับกระบวนท่าไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น ซึ่งไม่มีทางเลยที่จะเอาชนะจ้าวชิงเฟิงได้
ทั้งสองคนไม่อาจทำใจยอมรับได้ เพียงแค่หนึ่งในผู้ติดตามก็ยังเอาชนะพวกเขาได้ง่ายดายเพียงนี้ แล้วหากเป็นเอี๋ยนเซียนลู่ล่ะจะแข็งแกร่งขนาดไหน?
“น้องชายหลู่ พวกข้าขอตัวก่อน!” ผู้สืบทอดราชานิรันดร์ทั้งสองกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ พวกเขามาที่นี่เพื่อร่วมประลองแย่งชิงเม็ดยาเสริมรากฐาน แต่ในเมื่อจ้าวชิงเฟิงก็ร่วมประลองด้วย พวกเขาจะลงประลองต่อเพื่อทำให้ตนเองอัปยศทำไม?
หลู่เซียนหมิงกวาดมืออำลาพอเป็นพิธี ไม่ว่าอย่างไรตัวเขากับผู้สืบทอดราชานิรันดร์เหล่านี้ก็ไม่ได้เป็นมิตรสหายกันอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะเม็ดยาเสริมรากฐานล่ะก็ ในชีวิตที่พวกเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้พบกันเลยก็เป็นได้
หลังจากเป้าเฉิงลุกขึ้น เขาเองก็ขอตัวจากไปเช่นกัน
จ้าวชิงเฟิงมองไปยังซุนตง “คนที่เจ้าว่าอยู่ที่ไหน จงนำทางข้าไป”
“ขะ… ขอรับ!” ซุนตงรีบพยักหน้า ขนาดผู้สืบทอดขุมอำนาจราชานิรันดร์ อีกฝ่ายก็ยังสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย เพราะงั้นกับแค่การจัดการหลิงฮัน จะไปเป็นเรื่องยากเย็นอันใด?
หลู่เซียนหมิงยิ้ม “งั้นข้าขอไปดูด้วยแล้วกัน”
เอี๋ยนเซียนลู่คืออัจฉริยะที่ในอนาคตจะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ได้อย่างแน่แท้ เพราะงั้นหลู่เซียนหมิงจึงคิดจะคว้าโอกาสนี้สร้างสายสัมพันธ์เอาไว้
ตอนที่ 1861 ปรมาจารย์นักปรุงยาจื่อเฉิ...
เพียงแต่ว่าเมื่อซุนตงพาจ้าวชิงเฟิงและหลู่เซียนหมิงมายังอาณาเขตเมืองที่หนึ่ง พวกเขาก็พบว่าหลิงฮันได้เข้าห้องบ่มเพาะกาลเวลาไปแล้ว
“ไม่ใช่ปัญหา คนผู้นี้จะต้องเข้าร่วมการประลองด้วยแน่นอน” จ้าวชิงเฟิงยิ้มอย่างไม่แยแส “หากพลังของเขาเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง เขาย่อมสามารถพิชิตการประลองในอาณาเขตแรก และมายังการประลองสุดท้ายได้”
เขากล่าวพร้อมกับแสยะยิ้มกระหายเลือดราวกับสัตว์อสูร
ในหมู่ราชาสวรรค์ที่เป็นผู้ติดตามของเอี๋ยนเซียนลู่ เขาคือคนที่เสพติดการเข่นฆ่ามากที่สุด แม้กระทั่งในตอนที่เข้าสู่เขตแดนลี้ลับเพื่อเฟ้นหาวาสนา เขาก็เคยสังหารผู้สืบทอดจากขุมอำนาจต่างๆมาแล้วมากมาย หากไม่ใช่เพราะวิหารอนันต์รุ่งโรจน์เป็นขุมอำนาจราชานิรันดร์ระดับแปดล่ะก็ เขาคงถูกขุมอำนาจต่างๆจับกุมไปนานแล้ว
การได้สังหารอัจฉริยะคืองานอดิเรกที่เขาชื่นชอบมากที่สุด
แต่ทำไมเขาถึงไม่สังหารเป้าเฉิงน่ะรึ?
ไม่ใช่เพราะว่าเขาหวาดกลัวกฎของเมืองวิถีสวรรค์ แต่เป็นเพราะเขามีคำสั่งจากเอี๋ยนเซียนลู่ให้มาที่นี่เพื่อนำเม็ดยาเสริมรากฐานกลับไป หากเขาทำผิดกฎจนถูกขับไล่ออกจากเมืองล่ะก็ เขาจะแก้ตัวกับเอี๋ยนเซียนลู่อย่างไร?
ในยุทธภพอันกว้างใหญ่นี้ สิ่งเดียวที่เขาหวาดกลัวคือเอี๋ยนเซียนลู่
แถมอีกอย่างคือในสายตาของเขา พวกเป้าเฉิงทั้งสามคนนั้นไม่ใช่อัจฉริยะแม้แต่น้อย หากจะลงมือสังหารก็เปลืองแรงเสียเปล่าๆ
แต่กับหลิงฮันที่เพียงแค่จ้องมองก็ทำให้ซุนตงหวาดกลัวได้นั้น เขารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก
ยิ่งหากเป็นบนลานประลองล่ะก็ การจะพลั้งมือจนเกิดการสังหาร ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกันได้สินะ?
จ้าวชิงเฟิงเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม การได้สังหารอัจฉริยะแห่งโลกวรยุทธจะช่วยให้ศักยภาพของเขาถูกขัดเกลา ซึ่งบางทีประตูสู่ระดับห้านิพพานของเขาอาจจะเปิดออกก็เป็นได้
หวังว่าหลิงฮันผู้นั้นจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง
……
เนื่องจากตอนนี้ไม่สามารถผ่านเข้าไปยังอาณาเขตที่สองของเมืองชั่วคราว หลิงฮันจึงเข้าร่วมการประลองเพื่อแย่งชิงเม็ดยาเสริมรากฐาน
กฎของการประลองนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน ผู้เข้าร่วมการประลองในแต่ละอาณาเขตจะต้องประลองกันจนเหลือผู้ชนะเพียงสี่คน และสี่คนจากแต่ละอาณาเขตก็จะต้องไปปะทะกันอีกครั้งในการประลองอีกรอบที่จัดขึ้นในอาณาเขตที่สี่ ซึ่งใครก็ตามที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายก็จะเป็นผู้ชนะ และได้เม็ดยาเสริมรากฐานไปครอบครอง
ในอาณาเขตที่ห้านั้นไม่มีใครเข้าร่วมการประลอง เนื่องจากเหล่าคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น ล้วนแต่เป็นนิรันดร์ระดับสูงของเมืองวิถีโอสถ หรือไม่ก็ปรมาจารย์นักปรุงยา
หลิงฮันมุ่งหน้าไปลงทะเบียนเข้าร่วมประลองเป็นอันดับแรก ซึ่งขั้นตอนก็เสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการรับสมัครมีมาตั้งแต่สิบวันก่อนแล้ว ทำให้คนที่เพิ่งมาสมัครเหลืออยู่ไม่มาก
การประลองจะจัดขึ้นในอีกสิบเอ็ดวันต่อมา ซึ่งยังถือว่ามีเวลาอยู่ หลิงฮันจึงเข้าไปยังห้องฝึกฝนกาลเวลาอีกครั้ง ถึงแม้เวลาที่เหลืออยู่ก่อนการประลองจะมีแค่สิบวัน แต่หากเป็นในห้องเร่งกาลเวลาก็จะเป็นห้าสิบวัน ซึ่งไม่อาจปล่อยให้ผ่านไปอย่างสูญเปล่าได้
ไม่ต้องสงสัยว่าความพยายามในการหลอมเม็ดยา ในช่วงเวลาห้าสิบวันย่อมจบลงด้วยความล้มเหลว เพียงแต่ประสบการณ์ที่หลิงฮันได้รับก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น โดยเขามั่นใจว่าภายในระยะเวลาห้าปี จะต้องหลอมเม็ดยานิรันดร์เตาแรกสำเร็จแน่นอน
เพียงแต่ในเมื่อมีห้องเร่งเวลาห้าเท่า ระยะเวลาห้าปีก็จะลดลงมาเหลือหนึ่งปี ยิ่งหากห้องเร่งเวลาสิบเท่าระยะเวลาก็จะลดลงมาเหลือครึ่งปี หรือหากคุณสมบัติของห้องเร่งเวลาดีกว่านี้ ระยะเวลาๆก็จะลดลงตามลำดับ
เมื่อหลิงฮันออกมาจากห้องบ่มเพาะกาลเวลา ก็ถึงวันที่การประลองจะเริ่มขึ้นพอดี
สตรีนกอมตะออกมาจากหอคอยทมิฬ เนื่องจากนางต้องการให้กำลังใจหลิงฮัน แถมการที่ได้เห็นสามีตนเองเหยียบย่ำอัจฉริยะจำนวนมาก ก็ยังทำให้นางรู้สึกดีอีกด้วย
ส่วนจักรพรรดินีนั้นนางไม่ได้ออกมาด้วย เพราะกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการทะลวงผ่านขั้นพลัง
ทั้งสองมุ่งไปยังสถานที่จัดงานประลองในอาณาเขตที่หนึ่ง
สถานที่จัดงานประลองนั้น ไม่ใช่แค่มีลานประลองขนาดใหญ่สำหรับต่อสู้ แต่ยังมีแท่นอัฒจันทร์สำหรับรองรับผู้ชมมากถึงล้านคนอีกด้วย แท่นอัฒจันทร์ถูกขัดเสียงขึ้นราวกับภูเขา ทำให้ยิ่งอยู่ในแท่นที่สูง มุมมองที่เห็นลานประลองก็จะเล็กลง
โชคดีที่สายตาของจอมยุทธนั้นเฉียบคมกว่าคนทั่วไป ทำให้ต่อให้จะเป็นระยะที่ห่างไกล ก็ไม่ส่งผลอะไรต่อมุมมองของพวกเขา
การจะเข้าสู่สถานที่จัดงานประลองได้ จำเป็นต้องซื้อบัตรเข้าชมเสียก่อน ทุกๆครั้งที่งานประลองถูกจัดขึ้น ราตาของบัตรเข้าชมแต่ละครั้งจะไม่เท่านั้น อย่างงานประลองในครั้งนี้ ราคาของบัตรเข้าชมหนึ่งวันคือหนึ่งศิลาดวงดาว แต่หากซื้อบัตรผ่านสำหรับเข้าชมตลอดงาน ราคาของบัตรผ่านจะมีราคาอยู่ที่สิบศิลาดวงดาว
บัตรเข้าชมนั้นเป็นที่ต้องการอย่างมาก เนื่องจากในเวลาปกติจอมยุทธทั่วไปจะไม่สามารถเข้าสู่อาณาเขตที่สี่ได้ แต่หากมีบัตรเข้าชมและการประลองดำเนินไปถึงช่วงสุดท้ายล่ะซึ่งจัดในอาณาเขตที่สี่ล่ะก็ เหล่าคนที่มีบัตรเข้าชมก็จะสามารถเข้าไปยังอาณาเขตที่สี่ได้
สำหรับหลิงฮันเขาไม่จำเป็นต้องซื้อบัตรเข้างานเนื่องจากเป็นผู้ร่วมประลอง แต่สำหรับสตรีนกอมตะนั้น นางจำเป็นต้องซื้อบัตรเข้าร่วมงานต่อจากคนอื่นในราคาที่สูงกว่าราคาปกติ เนื่องจากบัตรเข้าร่วมที่ทางการเป็นคนขายถูกซื้อไปหมดเกลี้ยงแล้ว
“ช่างขูดเลือดยิ่งนัก บัตรเข้าร่วมงานใบเดียวกลับขายตั้งหนึ่งร้อยศิลาดวงดาว!” หลิงฮันกัดฟัน ถึงแม้จำนวนเงินเท่านี้จะไม่สะทกสะท้านความมั่งคั่งของเขา แต่ราคาดั้งเดิมของบัตรก็คือสิบศิลาดวงดาวเท่านั้น ทว่าเขาต้องจ่ายเพิ่มในราคาที่สูงกว่าเดิมถึงสิบเท่า
“เป็นไปได้ว่าคนที่นำบัตรเข้าร่วมงานมาขายต่อ คงมีส่วนเกี่ยวข้องกับทางการเป็นแน่ เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่มีบัตรเข้าร่วมอยู่ในมือมากมายขนาดนั้น” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “สามารถทำเงินได้มากกว่าเดิมสิบเท่าได้อย่าง่ายดาย ช่างเป็นคนที่หาลู่ทางทำเงินได้ฉลาดยิ่งนัก”
เขาล่ะอยากพบเจอปรมาจารย์นักปรุงยาจื่อเฉิง ที่เป็นคนจัดงานประลองเพื่อหาเงินจำนวนมากเข้าตัวได้อย่างง่ายดายผู้นี้จริงๆ
“เข้าไปด้านในกันเถอะ รอดูสามีเจ้าแสดงพลังอันแข็งแกร่งออกมาได้เลย!” หลิงฮันยิ้มให้กับสตรีนกอมตะ และก้าวเดินเข้าสู่สถานที่จัดงานประลอง
จอมยุทธที่ลงทะเบียนเข้าร่วมการประลองนั้นมีมากมาย การประลองของอาณาเขตที่หนึ่งจึงแบ่งลานประลอง ออกเป็นสิบหกลานประลองใหญ่ ซึ่งผู้ชนะเพียงหนึ่งในเดียวในลานประลองทั้งสิบหก จะต้องมาประลองกันอีกครั้งจนเหลือแปดคน และแปดคนจะต้องประลองต่อให้เหลือสี่คน ถึงจะเข้าไปยังอาณาเขตที่สี่เพื่อประลองนัดสุดท้าย
แต่ต่อให้ลานประลองจะแบ่งจำนวนออกเป็นสิบหก แต่ในแต่ละลานประลองก็ยังมีผู้ร่วมประลองอยู่มากมายอยู่ดี อย่างในลานประลองที่หลิงฮันอยู่นั้น มีจำนวนผู้ประลองอยู่ถึงร้อยกว่าคน
“เหอๆ การประลองที่จัดขึ้น มีไว้เพื่อยกระดับชื่อเสียงของข้าผู้นี้!” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส “หากพวกเจ้าไม่อยากเจ็บตัว ก็ลงจากลานประลองไปซะ”
ที่ข้างกายของรุ่นเยาว์ผู้นี้ มีจอมยุทธอาวุธพร้อมมืออยู่อีกสิบเอ็ดคนคอยคุมกันอยู่ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดจะกดขี่ผู้ประลองคนอื่น ด้วยจำนวนพรรคพวกที่มีมากกว่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น