Alchemy Emperor of the Divine Dao 1853-1854
ตอนที่ 1853 ห้องฝึกฝนกาลเวลา
ถ้าหากบอกว่าเมืองหนึ่งดาวมีกฎในการเข้าเมืองที่ยุ่งยากแล้ว เมืองสี่ดาวยิ่งเยอะกว่า
ถึงแม้หลิงฮันจะเข้าเมืองได้ แต่อาณาเขตของเมืองก็แบ่งออกเป็นห้าส่วน นอกจากส่วนแรกที่แค่จ่ายเงินก็สามารถเข้าได้แล้ว อาณาเขตอีกสี่ส่วนจำเป็นต้องได้รับอนุญาติเสียก่อน
อย่างเช่น นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานจะสามารถขอคำอนุญาตเข้าส่วนสอง ระดับแบ่งแยกวิญญาณสามารถขอคำอนุญาตเข้าส่วนที่สามAnchorระดับขอบเขตตำหนักอมตะสามารถขอคำอนุญาติเข้าส่วนที่สี่ และระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้สามารถขอคำอนุญาติเข้าส่วนที่ห้า นอกจากนี้แล้ว นักปรุงยาในแต่ละระดับเองก็ สามารถขอเข้าสู่เมืองแต่ละส่วนได้ตามระดับของตนเองเช่นกัน
หากเงื่อนไขครบใครก็สามารถยื่นขอคำอนุญาตได้ แต่จะได้รับอนุมัติไหมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลิงฮันหาโรงเตี๊ยมพักอาศัยในอาณาเขตแรกเป็นอันดับแรก เพื่อที่จะหาวิธีถอนคำสาปในร่างกาย
เมื่อได้ที่พักเขาก็เข้าสู่หอคอยทมิฬทันที
“หอคอยน้อย” หลิงฮันเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงบางเบา
“คำสาปอสูรทมิฬอาฆาตงั้นรึ ค่อนข้างลำบากเล็กน้อย ด้วยพลังของข้าจะสามารถลบล้างคำสาปได้อย่าง่ายดายก็จริง แต่หากทำเช่นนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่จะดึงดูดความสนใจของอสูรเฒ่าจำนวนมาก เพราะงั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือการใช้กำเนิดใหม่จากเถ้าถ่าน เมื่อร่างของเจ้าเกิดใหม่ คำสาปก็จะสลายหายไปเอง” หอคอยน้อยตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“แต่ในทางกลับกัน เจ้าเองก็สามารถใช้คำสาปอสูรทมิฬอาฆาตในการขัดเกลาตนเองได้ อันที่จริงมันถือว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ”
มุมปากของหลิงฮันกระตุกไปมา เจ้าไม่ได้โดนคำสาปเองก็เลยไม่รู้น่ะสิว่า ถ้าหากอำนาจของคำสาปถูกกระตุ้น มันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีเลย!
“หากเจ้าต้องการบรรลุเป็นราชานิรันดร์ที่แข็งแกร่ง เส้นทางที่เจ้าเลือกเดินก็ต้องพบเจอความลำบากเสียบ้าง หากเรื่องแค่นี้ยังทนไม่ได้ เจ้าก็เลิกคิดถึงจุดสูงสุดของวรยุทธ และเป็นเพียงราชานิรันดร์ธรรมดาไปซะ” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่แยแส
“ฮ่ะๆ ข้าก็รู้นะว่าเจ้าแนะนำวิถีทางอันยากลำบากเพื่อประโยชน์ของข้า แต่น้ำเสียงดูหมิ่นของเจ้านี่มันช่างน่าหงุดหงิดเหลือเกิน!” หลิงฮันหัวเราะแห้งก่อนจะเผยสีหน้างออาจ “ก็ได้ ข้ายอมอดทนก็ได้!”
หลิงฮันออกจากหอคอยทมิฬ ในเมื่อตอนนี้เขาไม่สามารถตามหาตำแหน่งของหัวหน้ากองก๋วนได้ เขาจึงจำเป็นต้องทำให้อีกฝ่ายตามหาตัวเขาให้เจอ ซึ่งก็คือการทำให้ตนเองมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
วิธีการจะสร้างชื่อนั้นมีอยู่มากมาย แต่ประเด็นคือที่นี่คือเมืองวิถีโอสถไม่ใช่รึไง?
ด้วยศักยะภาพจักรพรรดิปรุงยา เขาจะพิชิตเมืองแห่งนี้และให้สร้างชื่อให้แก่ตนเอง!
ณ เวลานี้จักรพรรดินีกำลังเก็บตัวบ่มเพาะพลังอยู่ หลิงฮันจึงนำสตรีนกอมตะออกมาเพียงคนเดียว และเดินเตร็ดเตร่ผ่อนคลายในอาณาเขตแรกของเมือง
สิ่งหลักๆที่เขาต้องทำในตอนนี้คือศึกษาเม็ดยา ด้วยพรสวรรค์ของเขา เพียงแค่แสดงฝีมือออกมา ปรมาจารย์นักปรุงยามากมายก็คงยินดีที่จะรับเขาเป็นศิษย์แล้ว
เขาไม่มีทางใช้ประโยชน์จากหลู่เซียนหมิง ตามที่อสูรเฒ่าเงาโลหิตบอกเด็ดขาด
บางทีเขาอาจจะสร้างสถานะของตนเองขึ้นที่นี่ และใช้ที่นี่เป็นรากฐานในดินแดนแห่งเซียนก็ไม่เลวเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยเมืองแห่งนี้ก็เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสตร์ปรุงยา ของดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออก
หากเขากลายเป็นผู้สืบทอดของเมืองวิถีโอสถด้วยแล้ว การจะได้ยันต์ไม้ท้อผูกชะตามาครองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
หลิงฮันสืบหาข้อมูล ก่อนจะรู้สึกตกตะลึงเนื่องจากเมืองนี้มีสิ่งที่เรียกว่า ห้องฝึกฝนกาลเวลา
ภายในห้องที่ว่า อัตราการไหลของเวลาจะรวดเร็วกว่าโลกภายนอก ซึ่งสามารถช่วยประหยัดเวลาในการหลอมยาลงไปได้หลายเท่า
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากการหลอมเม็ดยาชนิดหนึ่ง โดยปกติแล้วต้องใช้เวลาสิบวัน แต่ถ้าหากเข้าไปหลอมภายในห้องฝึกฝนกาลเวลาล่ะก็ ระยะเวลาในโลกภายนอกจะลดลงมาเหลือห้าวัน สามวัน หรืออาจจะแค่หนึ่งวันเท่านั้น
หลิงฮันสอบถามรายละเอียดอีกครั้ง จึงได้รู้ว่าห้องฝึกฝนกาลเวลาในอาณาเขตแรกของเมืองนั้น มีระดับการเร่งเวลาอยู่ทั้งหมดสี่ขั้นคือ สองเท่า สามเท่า สี่เท่า และห้าเท่า
มีคำกล่าวว่าถ้าหากไปยังอาณาเขตที่สูงขึ้น ประสิทธิภาพของห้องฝึกฝนกาลเวลาก็จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นสิบเท่า ยี่สิบเท่า และสามสิบเท่า
ห้องฝึกฝนกาลเวลาที่มีระดับสูงที่สุดคือหนึ่งร้อยเท่า ซึ่งมีอยู่แค่ในอาณาเขตที่ห้าของเมืองเท่านั้น
ยิ่งระยะการไหลของเวลาเร็วขึ้นเท่าไหร่ ทรัพยากรที่ต้องเผาผลาญก็ยิ่งมากขึ้น
ค่าใช้จ่ายในการเข้าห้องฝึกฝนกาลเวลาสองเท่าคือหนึ่งศิลาดวงดาว ห้องสามเท่าคือสองศิลาดวงดาว ห้องสี่เท่าคือห้าศิลาดวงดาว และห้องห้าเท่าคือสิบศิลาดวงดาว
จากเรื่องนี้ทำให้หลิงฮันตระหนักได้ว่าAnchorต้นสังสารวัฏคือสมบัติที่ฝืนสวรรค์ขนาดไหน ขนาดไหนอดีตระยะเวลาใต้ต้นสังสารวัฏหนึ่งวันก็เท่ากับหนึ่งปีแล้ว ซึ่งถือว่าเร่งการไหลของเวลาไปได้สามร้อยกว่าเท่า ยิ่งตอนนี้หลังจากที่ต้นสังสารวัฏพัฒนาแล้ว ความเร็วในการไหลของเวลาได้เพิ่มสูงขึ้นไปอีกเป็นสามล้านเท่า
แต่ต้นสังสารวัฏก็ช่วยได้แค่การฝึกฝนในห้วงจิตวิญญาณเท่านั้น หากเป็นการหลอมเม็ดยาที่ต้องลงมือจริงแล้ว กล่าวได้ว่าต้นสังสารวัฏไม่ได้ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย
หลิงฮันตัดสินใจทำเรื่องขออนุญาติเข้าสู่อาณาเขตที่สองของเมืองเป็นอันดับแรก ซึ่งในระหว่างที่รออนุมัติ เขาก็จะไปฝึกฝนหลอมเม็ดยาในอาณาเขตแรกไปพลางๆ เพื่อไม่ให้เสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์
ด้วยต้นสังสารวัฏที่ช่วยให้เขาเรียนรู้ทักษะการหลอมได้อย่างรวดเร็ว รวมกับห้องฝึกฝนกาลเวลาที่ช่วยให้เขาทดลองหลอมเม็ดยาได้อย่างรวดเร็ว หลิงฮันไม่เชื่อว่าในระยะเวลาสั้นๆ เขาจะไม่สามารถกลายเป็นปรมาจารย์นักปรุงยาได้
ลุยเลย!
เขากับสตรีนกอมตะมุ่งหน้าไปยังห้องฝึกฝนกาลเวลา ซึ่งทั่วทั้งอาณาเขตแรกของเมือง สถานที่เดียวที่มีห้องฝึกฝนกาลเวลาคือเขตการค้าที่อยู่ไม่ไกล
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว
“แขกทั้งสอง พวกท่านต้องการห้องฝึกฝนกาลเวลาแบบใด? ถ้าจะให้ข้าน้อยแนะนำล่ะก็ เอาเป็นห้องเร่งเวลาสามเท่าจะคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายมากที่สุด” พนักงานต้อนรับกล่าวแนะนำอย่างกระตือรือร้นเอาใจใส่
“ห้องเร่งเวลาห้าเท่า… ระยะเวลาหนึ่งเดือน” หลิงฮันนำศิลาดวงดาวสามร้อยก้อนออกมาและส่งมอบให้อีกฝ่าย
“โอ้!” พนักงานคนนั้นรับศิลาดวงดาวไปตรวจสอบครู่หนึ่ง ก่อนจะมอบแผ่นป้ายหนึ่งแผ่นให้แก่หลิงฮัน “คุณลูกค้าเชิญรับแผ่นป้ายนี้ไป หมายเลขห้องฝึกฝนกาลเวลาของท่านคือห้าสิบเอ็ด ช่างบังเอิญที่ห้องนี้เป็นห้องเร่งเวลาห้าเท่าห้องสุดท้ายพอดี”
“ข้าขอเตือนท่านเล็กน้อยว่า ห้องฝึกฝนกาลเวลาสามารถเข้าไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น หากมีใครอีกคนปรากฏตัวในห้อง ห้องฝึกฝนกาลเวลาจะหยุดทำงานด้วยตัวเองในทันที และระยะเวลาที่เหลืออยู่ของท่านก็จะสิ้นสุดลง”
หลิงฮันพยักหน้า เขาพอจะรู้กฎข้อนี้ดีอยู่แล้ว เพราะกฎประเภทนี้คงมีเอาไว้เพื่อ ป้องกันไม่ให้นำคนจำนวนมากออกมาจากอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์
ในขณะที่เขากำลังจะมุ่งหน้าไปที่ห้องตามหมายเลขนั่นเอง รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็รีบวิ่งเข้ามาหาพนักงานและกล่าว “ข้าขอใช้ห้องฝึกฝนกาลเวลาห้าเท่า!”
ตอนที่ 1854
“ห้องเร่งเวลาห้าเท่างั้นรึ?” พนักงานผู้นั้นส่ายหัว “น่าเสียดาย ที่ห้องสุดท้ายเพิ่งถูกเช่าไปเมื่อครู่” หลังจากกล่าวจบ สายตาของเขาก็เบนมายังทางหลิงฮัน
จิตใตของหลิงฮันสั่นสะท้าน อย่าบอกนะว่าปัญหาแบบเดิมๆจะเกิดขึ้นอีกแล้ว?
รุ่นเยาว์ผู้นั้นมองมายังหลิงฮัน และกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “สหาย เจ้าช่วยยกห้องที่เช่าไปให้ข้าได้หรือไม่? ข้ายินดีเพิ่มเงินชดเชยให้เจ้าด้วยศิลาดวงดาว อีกหนึ่งจากสิบส่วนที่เจ้าจ่ายไป”
หลิงฮันยิ้ม เขานึกว่าอีกฝ่ายจะเสนอเงินชดเชยให้เจ้าเป็นศิลาดวงดาวจำนวนสิบเท่าเสียอีก แต่ความจริงกลับชดเชยเพิ่งให้เขาแค่หนึ่งในสิบส่วนเสียได้
ถ้าเป็นแบบนี้รุ่นเยาว์ผู้นี้ก็ไม่มีทางเป็นคุณชายเจ้าสำราญเป็นแน่ เพราะไม่อย่างไรแล้ว อีกฝ่ายก็คงเป็นคุณชายจอมขี้เหนียวที่สุดในประวัติศาสตร์
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ข้าไม่คิดจะมอบห้องให้ใคร”
รุ่นเยาว์ผู้นั้นไม่ยอมแพ้และยังคงต่อรองต่อ โดยที่หวังว่าหลิงฮันจะมอบห้องให้แก่เขา แต่ถึงแม้จะถูกปฏิเสธไปทุกครั้ง เขากลับไม่แสดงท่าทีข่มขู่ใดๆ หรือแม้แต่คำพูดอย่าง ‘รู้ไหมว่าหากไม่มอบห้องให้ข้าจะเกิดอะไรขึ้น?’ ก็ไม่ได้กล่าวออกมา
หลิงฮันรู้สึกปลื้มปริ่มเล็กน้อย หรือนี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ดูเหมือนจะไม่มีความบาดหมางใดๆเกิดขึ้น?
“จูจิ่น จัดการเสร็จรึยัง?” เสียงอันหยิ่งยโสเอ่ยดังขึ้นมา พร้อมกับการปรากฏตัวของรุ่นเยาว์อีกคนหนึ่ง ทั้งๆรุ่นเยาว์ผู้นี้เดินเข้ามาหารุ่นเยาว์คนแรกแท้ๆ แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับจดจ้องมายังสตรีนกอมตะ อย่างไม่ละสายตา
สตรีนกอมตะเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนจะขยับตัวมาหลบหลังหลิงฮัน เพื่อปิดบังสายตาที่จ้องมองมาของอีกฝ่าย
รุ่นเยาว์คนแรกที่ถูกเรียกว่าจูจิ่น เผยสีหน้ากระอักกระอ่วนและกล่าวกับรุ่นเยาว์อีกคน “นายน้อยอวี้ ข้าต้องขออภัยจริงๆ แต่ห้องเร่งเวลาห้าเท่าห้องสุดท้ายได้ถูกจองไปแล้ว”
รุ่นเยาว์ที่ถูกเรียกว่านายน้อยอวี้ จ้องมองด้วยแววตาเคลือบแคลงใจ “นี่เจ้าคงไม่ได้ไม่อยากเสียเงิน เลยจงใจหลอกข้าใช่ไหม?”
“ข้าจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร!” จูจิ่นปาดผากหน้าทั้งๆที่ไม่มีเหงื่อ “ถ้านายน้อยอวี้ไม่เชื่อ ก็ลองถามพนักงานตรงนั้นดูได้”
พนักงานต้อนรับให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยที่ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าคนพวกนี้เป็นใครก็ตาม “เป็นความจริงขอรับนายน้อยอวี้ ห้องเร่งเวลาห้าเท่าเพิ่งถูกลูกค้าท่านนั้นจองไปเมื่อสักครู่นี้เอง แต่ห้องเร่งเวลาสี่เท่านั้นยังเหลืออยู่ ซึ่งประสิทธิภาพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าไหร่นัก”
“ช่างไร้ประโยชน์นัก!” รุ่นเยาว์ที่ถูกเรียกว่านายน้อยอวี้คำรามใส่หน้าจูจิ่น “ข้าผู้นี้คือหลิวอวี้ หากข้าจะใช้อะไรสิ่งนั้นก็ต้องเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมที่สุด! ไม่เช่นนั้นหากกลับไปที่เมืองเอกภพดาราคราม ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”
สายตาของเขากวาดมองมายังหลิงฮัน “เจ้าน่ะ จงมอบห้องฝึกฝนกาลเวลามาซะ ส่วนจะเรียกร้องค่าชดเชยเท่าไหร่ ก็ไปบอกกับหมอนั่น” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ชี้นิ้วไปยังจูจิ่นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
เขาจงใจแสดงอํานาจบาตรใหญ่ให้สตรีนกอมตะเห็น
หลิงฮันถอนหายใจ เขานึกว่าเรื่องราวจะจบลงแบบปกติได้แล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายครั้งนี้ก็ยังเกิดปัญหาขึ้นอยู่ดี
สีหน้าของจูจิ่นกลายเป็นซีดขาว แต่ก็ฝืนยิ้มกล่าวออกไป “นายน้อยอวี้อย่าได้ล้อเล่นแบบนั้นสิ! สหาย ช่วยข้าหน่อยได้รึไม่ ข้าจะจ่ายค่าชดเชยให้เจ้าเพิ่มอีกสามในสิบส่วนเลย”
“จูจิ่น เหตุใดเจ้าถึงได้ใจแคบนัก? อย่าทำให้สตรีงดงามผู้นั้นหัวเราะเยาะ และห้ามทำให้ข้าเสียหน้าเด็ดขาด!” หลิวอวี้เค้นเสียงและมีท่าทางไม่สบอารมณ์
จูจิ่นฝืนยิ้ม เขาเป็นเพียงนายน้อยจากตระกูลเล็กๆตระกูลหนึ่งเท่านั้น ซึ่งในตอนนี้เขามีความจำเป็นต้องติดตามหลิวอวี้ไปทั่ว เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่อีกฝ่าย เนื่องจากตระกูลของเขา ต้องการเส้นสายทางการค้าจากตระกูลหลิว
“นายน้อยอวี้ ที่จริงแล้วห้องเร่งเวลาสี่เท่าก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่นัก ข้าสามารถเพิ่มระยะเวลาการจองให้ท่านได้” เขากล่าวกับหลิวอวี้อย่างสุภาพ
“ฮึ่ม แล้วข้าผู้นี้จะเหลือศักดิ์ศรีอะไร?” หลิวอวี้กล่าวด้วยท่าทางหยิ่งทะนง จนจมูกแทบจะแหงนทิ่มหน้าจูจิ่น “เจ้าคงยังไม่ลืมสินะว่าคนที่ต้องการประจบข้า ไม่ได้มีแค่ตระกูลเจ้าเพียงตระกูลเดียว แต่ยังมีตระกูลจิน ตระกูลหม่า และตระกูลเฉิงอยู่อีก!”
จูจิ่นที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝืนยิ้มอีกครั้งและมองไปยังหลิงฮัน “สหาย ข้าต้องขอร้องเจ้าจริงๆ ถ้าหากเจ้ายอมยกห้องฝึกฝนกาลเวลาให้ล่ะก็ ข้ายินดีจะจ่ายเงินชดเชยเพิ่มให้เป็นเท่าตัว”
ครั้งนี้เขายื่นข้อเสนอสุดตัว และหวังลึกๆว่าหลิงฮันจะไม่เช่าห้องในระยะเวลาที่นานเกินไปจนเขาไม่มีเงินจ่าย
สตรีนกอมตะไม่สบอารมณ์กับท่าทางอวดดีของหลิวอวี้ก็จริง แต่นางก็ยังมีความรู้สึกเห็นใจต่อจูจิ่นที่มีนิสัยถ่อมตน นางจึงกล่าวกับหลิงฮัน “ยอมให้เขาไปเถอะ”
ไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็ยื่นคำร้องขอ เข้าสู่อาณาเขตที่สองของเมืองไปแล้ว และมาที่นี่เพื่อทดลองประสบการณ์เท่านั้น หากจะเปลี่ยนไปใช้ห้องเร่งเวลาสี่เท่า ก็ไม่ได้ส่งผลมากเท่าไหร่
หากเป็นปกติ หลิงฮันไม่มีทางยอมมอบห้องเร่งเวลาให้แก่หลิวหยู่แน่นอน แต่ในเมื่อภรรยาของเขาเป็นคนร้องขอ และจูจิ่นเองก็ดูเป็นมิตรดี เขาจึงใจอ่อนและกล่าวออกไป “ก็ได้ ข้ายอมยกให้เจ้า”
“ขอบคุณสหายมากจริงๆ!” จูจิ่นรีบโค้งตัวแสดงความขอบคุณ
หลิวอวี้ที่มองดูอยู่เค้นเสียงเหยียดหยาม “มัวชักช้าอยู่ได้ตั้งนาน แต่สุดท้ายเจ้ามันก็แค่คนเห็นแก่เงิน! มาสิ มัวรออะไรอยู่ รีบขอบคุณข้าผู้นี้ที่ทำให้เจ้าให้ผลประโยชน์ก้อนโตเสียสิ!”
หลิงฮันที่ยื่นแผ่นป้ายออกไปแล้วรีบดึงมือกลับด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ทันที
สายตาของเขาจดจ้องไปยังหลิวอวี้ “จงถอนคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าซะ!”
หลิวอวี้จงใจกล่าวแบบนั้นออกไปเพื่อยุยงสร้างปัญหาอยู่แล้ว แน่นอนว่าจุดประสงค์ของเขาไม่ใช่เพราะไม่สบอารมณ์หลิงฮัน แต่เพราะต้องการดึงดูดความสนใจของสตรีนกอมตะ
ถึงแม้สตรีนกอมตะจะยังไม่บรรลุเป็นนิรันดร์ แต่ความงดงามของนางนั้น เกรงว่าต่อให้หาทั่วทั้งเมืองวิถีโอสถ ก็คงมีสตรีที่เทียบนางได้ไม่เกินร้อยคน
จำนวนนี้ถึงแม้จะดูเยอะ แต่คิดว่าในเมืองสี่ดาวแห่งนี้มีประชากรอยู่มากมายกี่ล้านคนกัน?
เมื่อเห็นว่าหลิงฮันเลือกที่จะต่อต้าน หลิวอวี้ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ แถมยังรู้สึกดีใจด้วยซ้ำ ต้องแบบนี้ล่ะเขาถึงจะมีโอกาสได้เฉิดฉาย และแสดงอำนาจให้สตรีงดงามผู้นั้นเห็น
“เหอะ คิดจะให้ข้ากล่าวขอโทษงั้นรึ?” หลิวอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งทะนง และมองหลิงฮันอย่างเหยียดหยาม “เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร? เจ้ามีคุณสมบัติอันใดให้ข้าเอ่ยคำขอโทษ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น