Alchemy Emperor of the Divine Dao 1837-1845
ตอนที่ 1837 ภูมิหลังของสุนัขตัวดำ
“หลิงฮันไปทำอะไรไว้งั้นรึ?” หลายคนถามด้วยความสงสัย
หลินฟางมองไปยังธิดาโร๋วก่อนจะกล่าว “หลิงฮันไม่ได้สังหารแค่เป่ยเสวียนหมิงเท่านั้น แต่ยังสังหารเป่ยหยิ่วย้ง เชียนจ้าวเถี้ยนและ….” นางไล่ชื่อผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับสามดาวแต่ละที่ถูกหลิงฮันสังหาร
ทุกคนที่ได้ยินไม่ใช่ตะลึงจนไร้คำพูด แต่ยังเหงื่อตกอีกด้วย
บุรุษผู้นี้คือดวงดาวหายนะอย่างแท้จริง มีราชาแห่งยุคที่ถูกเขาสังหารไปแล้วกี่คนกัน?
โชคดีที่ เมื่อครู่หลิงฮันไม่ได้สังหารใครเพิ่ม
ทุกคนรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ในตอนที่ออกจากเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ หลิงฮันคิดจะใช้วิธีใดไหนการหลบหนีกัน? หากถูกขุมอำนาจระดับสามดาวมากมายรุมล้อมไล่ล่า โชคชะตาหลิงฮันคงหลีกหนีความตายไม่พ้นแน่นอน ทั้งๆที่รู้อยู่แล้ว แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงยังทำเช่นนี้กัน?
หลินฟางเก็บเรื่องที่ลั่วAnchorจ่างเฟิงและAnchorจื่อเหอAnchorปิงอวิ๋นถูกสังหารเอาไว้ เนื่องจากนางกับพวกเถิงเซินตกลงกันแล้วว่า จะเป็นคนนำเรื่องนี้ไปบอกกับตระกูลจื่อเหอและตำหนักเมฆาอัสนีด้วยตัวเอง ถึงแม้พวกนางจะต้องรับความโกรธจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ แต่นั่นก็สามารถเป็นสะพานเชื่อมให้พวกนางสร้างสายสัมพันธ์กับขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองได้
ทุกคนในที่นี้ต่างส่ายหัว ด้วยการร่วมมือกันของขุมอำนาจระดับสามดาวมากมาย หลิงฮันจะต้องตายอย่างแน่นอน
……
หลิงฮันและจักรพรรดินีเดินออกจากหุบเขา และเข้าสู่อาณาเขตภูเขาไฟที่ไม่เคยมีใครเข้าถึงมาก่อน
หลิงฮันนั้นไม่ได้รับผลกระทับใดๆแม้แต่น้อย ในขณะที่จักรพรรดินีจำเป็นต้องโคจรทักษะควบคุมเพลิงเอาไว้ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นแล้วอำนาจเปลวเพลิงอันเกรี้ยวกราด จะแผดเผาร่างของนางในพริบตา
ทั้งสองใช้เวลาครึ่งวันในการมาถึงตีนเขาขอบภูเขาไฟ ตลอดเส้นทางที่เดินผ่านมาก พกวเขาเก็บเกี่ยวศิลาโลหิตมังกรได้จำนวนมาก เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้ไม่เคยมีใครสามารถผ่านเข้ามาได้
ระยะเวลาที่ผ่านมาหลายล้านปี ศิลาโลหิตมังกรในพื้นที่แห่งนี้จึงกระจัดกระจายเกลื่อนกราดอยู่ทั่วบริเวณ โดยไม่จำเป็นต้องมองหาแต่อย่างใด
ที่ด้านหลังพวกเขา ธิดาโร๋วเองก็กำลังเก็บเกี่ยวศิลาโลหิตมังกรอยู่ในพื้นที่รอบนอกอย่างมีความสุข
ถึงแม้นางจะไม่สามารถเข้ามาถึงส่วนลึกของอาณาเขตภูเขาไฟได้เหมือนพวกหลิงฮัน แต่นางมาได้ไกลกว่าคนอื่น เพราะงั้นผลเก็บเกี่ยวของนางจึงไม่ถือว่าน้อยเลย
นางจ้องมองร่างของพวกหลิงฮันที่ค่อยๆหายไปจากระยะสายตา ด้วยความรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก ในส่วนลึกของภูเขาไฟจะมีสิ่งใดอยู่กัน? ยิ่งกว่านั้นคือหลังจากที่เขตแดนลี้ลับแห่งนี้กลับมาเต็มไปด้วยออร่าอันรุนแรงเช่นเดิม พวกหลิงฮันจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างไร?
ตราบใดที่ข่าวเรื่องที่หลิงฮันสังหารเหล่าผู้สืบทอดมากมายแพร่งพรายออกไป ขุมอำนาจมากมายกว่าครึ่งจะต้องไล่ล่าหลิงฮันเป็นแน่ แถมในหมู่ขุมอำนาจเหล่านั้น ยังมีขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์อยู่ถึงสองอีกด้วย!
พวกหลิงฮันและจักรพรรดินีทำการปีนไต่ภูเขา เนื่องจากถึงแม้ภูเขาไฟที่ระเบิดออกมา จะทำให้ออร่าอันรุนแรงสลายไปบางส่วน แต่ก็ยังมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ตามชั้นบรรยากาศ การเหาะเหินจึงไม่ใช่วิธีการที่ฉลาดเท่าไหร่
“โอ้ ว่าไงฮันน้อย!” เสียงทักทายอันอบอุ่นดังมาจากด้านหลังของพวกเขา พร้อมกับร่างของสุนัขตัวดำที่วิ่งเข้ามาใกล้ ถึงแม้มันจะใช้เพียงขาสองขาในการวิ่ง แต่ความเร็วของมันกลับน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก
หลิงฮันกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”
“อีกไม่นานนายท่านหมาก็จะออกเดินทางไกลแล้ว ข้าเลยมาที่นี่ก่อนเพื่อกล่าวลาเจ้า” สุนัขตัวดำเข้ามาชิดและตบไหล่หลิงฮัน “ทีนี้เจ้ารู้รึยังว่า นายท่านหมาเป็นคนดีขนาดไหน?”
หลิงฮันหัวเราะหน้าตาย ที่ผ่านๆมาไม่รู้ว่าสุนัขบัดซบตนนี้สร้างปัญหาให้เขามาแล้วมากมายขนาดไหน
“เจ้าไม่ได้ฝึกฝนทักษะเปลวเพลิงแท้ๆ แต่เหตุใดถึงสามารถเมินเฉยต่ออำนาจเปลวเพลิงของสถานที่แห่งนี้ได้?”
ต่อให้เป็นเกราะโลหิตมังกรก็ไม่มีความสามารถคุ้มกันขนาดนั้น!
อย่างที่รู้ว่าแม้แต่นิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะก็ไม่กล้าเหยียบย่ำมาในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ แต่เหตุใดสุนัขบัดซบตัวนี้ถึงทำได้?
“เอ่อ เรื่องนี้…” สุนัขตัวดำเกาหัวและมองไปยังท้องฟ้าพร้อมกับถอนหายใจ “อากาศวันนี้ช่างดีนัก ดวงจันทร์ส่องแสงเจิดจ้า แถมดวงตะวันก็ยังดวงใหญ่อีกด้วย”
“ดำน้อย เจ้าเป็นใครกันแน่?” หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะถามออกมา ความสามารถที่เหนือกว่าระดับโลกียนิพพานของมัน เป็นอะไรที่เหนือความเป็นอย่างอย่างมาก
สุนัขตัวดำลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะกล่าวในที่สุด “อืม… ยังไงข้าก็ใกล้จะไปจากที่นี่อยู่แล้ว ต่อให้บอกเจ้าไปก็คงไม่ทำให้เจ้าลำบ้างหรอกมั้ง” มันแน่นิ่งไปอีกพักก่อนจะกล่าวต่อ “นายท่านหมาผู้นี้คือราชานิรันดร์!”
พรวด หลิงฮันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา สุนัขไร้ยางอายตนนี้น่ะรึคือราชานิรันดร์? ราชานิรันดร์ผู้ใดบ้างที่จะมีรูปลักษณ์แบบนี้? เพียงแต่ว่ายิ่งหัวเราะไปสักพัก เสียงหัวเราะของเขาก็เบาลงจนกลายเป็นนิ่ง เนื่องจากท่าทางของสุนัขตัวดำนั้นจริงจัง ดูไม่เหมือนกำลังล้อเล่นอยู่เลยแม้แต่น้อย
หากเป็นที่อื่น แล้วสุนัขตัวดำทำท่าทางเช่นนี้ล่ะก็ หลิงฮันคงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังแสร้งทำอยู่ แต่ปัญหาก็คือสถานที่แห่งนี้นั้นเป็นสถานที่ ที่แม้แต่ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะก็ยังเข้ามาไม่ได้ เพราะงั้นพลังของสุนัขตัวดำจึงต้องอยู่ในระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้เป็นอย่างน้อย
อย่าบอกนะว่าที่สุนัขบัดซบตัวนี้เคยบอกว่า จะไปขโมยกางในของราชานิรันดร์หลินเมี่ยวอะไรนั่น จะไม่ใช่เรื่องล้อเล่น?
“เจ้าเป็นราชานิรันดร์จริงๆรึ?” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
สุนัขตัวดำยิ้มเย้ยหยันและกล่าว “ในอดีตมีสตรีงดงามมากมายไม่รู้เท่าที่เสนอตัวเป็นสัตว์ขี่ให้นายท่านหมาผู้นี้ ซึ่งข้าก็เลือกมาเพียงแค่สตรีที่งดงามที่สุดเท่านั้น โอ้ แต่นางก็ยังงดงามน้อยกว่าภรรยาของเจ้านะ”
มันมองไปยังจักรพรรดินี
“แล้วทำไมเจ้าถึงคอยช่วยเหลือข้ากัน?” หลิงฮันถามต่อ
สุนัขตัวดำชี้ไปยังตำแหน่งตันเถียนของหลิงฮัน และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หมอนั่นไม่ได้บอกอะไรเจ้าเลยรึ?”
มันหมายถึงหอคอยน้อยงั้นรึ?
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้าน สุนัขตัวดำกับหอคอยน้อยเป็นสหายกันจริงๆ! แถมดูแล้วทั้งสองยังสนิทชิดเชื้อกันอีกด้วย! เขาส่ายหัวและกล่าว “ไม่เลย”
สุนัขตัวดำเกาหัวและกล่าว “ในอดีตข้าเคยเป็นราชานิรันดร์ระดับแปดหรือเก้านี่ล่ะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ข้าถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหลับไหลไปเป็นเวลานาน”
“เมื่อข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ระดับพลังของข้าก็ลดลงไปจากเดิมราวกับฟ้ากับเหว และจำเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย จนกระทั่งที่ข้ากลับเข้ามายังดินแดนแห่งเซียนนี้เอง ความทรงจำบางส่วนของข้าถึงกลับมา และระดับพลังได้ย้อนคืนมาเป็นระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้”
เมื่อได้ยินเรื่องที่สุนัขตัวดำเล่า หลิงฮันก็รู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังฝันอยู่
สุนัขไร้ยางอายตนนี้ไม่เพียงแค่เป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ทั่วไป แต่ยังเคยเป็นถึงราชานิรันดร์ระดับแปดหรือเก้าด้วยงั้นรึ?
“ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมเจ้าถึงช่วยเหลือข้า” หลิงฮันกล่าว
ตอนที่ 1838 ราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์
สุนัขตัวดำส่ายหัวและกล่าว “เจ้าในตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป การรู้มากไปไม่ใช่สิ่งที่ดีเท่าไหร่ แต่เดิมแล้วนายท่านหมาตั้งใจจะชี้นำเจ้าจนถึงระดับราชานิรันดร์ แต่ด้วยระดับพลังของข้าที่เพิ่มขึ้น เกรงว่าเหล่าอสูรเฒ่าจะเคลื่อนไหวเสียก่อน หากข้ายังอยู่รอบตัวเจ้าต่อไป เจ้าจะเป็นอันตรายไปด้วย”
หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูด ขนาดอดีตราชาระดับระดับแปดหรือเก้ายังเรียกว่าอสูรเฒ่า ศัตรูที่สุนัขตัวดำกล่าวถึงคือตัวตนระดับใดกัน?
จะต้องเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าอย่างแน่นอน!
“แท้จริงแล้วภูเขาไฟลูกนี้คืออะไรกันแน่?” หลิงฮันเอ่ยถาม
สุนัขตัวดำมองไปยังยอดภูเขาไฟและกล่าว “มีสหายผู้หนึ่งล่วงหล่นลงที่นี่ เนื่องจากทะลวงผ่านระดับราชานิรันดร์ระดับเก้าล้มเหลว สหายผู้นั้นจงใจฝังร่างของตนเองเอาไว้ที่นี่ เพื่อที่จะมอบแก่นกำเนิดพลังของตนเองให้กับคนยุคหลัง”
หลิงฮันตกตะลึงจนร่างสั่นสะท้าน เขากล่าว “จริงอยู่ที่ราชานิรันดร์ระดับเก้าคือระดับพลังสูงสุด แต่มีความจำเป็นด้วยรึที่ราชานิรันดร์ระดับแปดจะต้องเสี่ยงชีวิตตนเอง เพื่อทะลวงผ่านระดับ?” เพียงแค่เป็นราชานิรันดร์ระดับแปดก็หาคนที่จะสามารถเป็นศัตรูด้วยยากแล้ว แถมยังมีอายุขัยไร้ขีดจำกัดอีก มีเหตุผลอันใดที่ต้องฝืนทะลวงผ่านราชานิรันดร์ระดับเก้า?
หากรอไปอีกหลายยุคสมัยเพื่อรวบรวมอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพี หรือสมุนไพรนิรันดร์ ไม่ใช่ว่าจะสามารถทะลวงผ่านระดับได้ปลอดภัยกว่ารึ?
ทำไมต้องรีบทะลวงผ่านจนตัวเองตายด้วย?
“เจ้าหนู เจ้าคงไม่เข้าใจสินะ!” สุนัขตัวดำตบไหล่หลิงฮัน “มองผิวเผินดินแดนแห่งเซียนอาจจะดูสงบสุข แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภายใต้ความสงบสุขอันเป็นเปลือกนอกนั้น มีหายนะที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่”
“เจ้าต้องรีบเติบโตให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นพายุมืดจะปัดเป่าทุกสิ่งจนพินาศย่อยยับ!”
หลิงฮันรู้ว่าต่อให้ถามรายละเอียดไปสุนัขตัวดำย่อมไม่ยอมบอกเขาแน่ ก็เหมือนกับหอคอยน้อยที่มักเลี่ยงตอบคำถามของเขามาโดยตลอด เพราะพลังของเขายังอ่อนแอเกินไป
เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ ถึงแม้เขาจะสงสัยว่าพายุมืดที่ว่านั้นคืออะไร แต่ตอนนี้เขาก็ต้องตั้งสมาธิไปกับการยกระดับพลังของตนเอง
“แล้วราชานิรันดร์ผู้ล่วงหล่น มีความเกี่ยวข้องอันใดกับเพลิงเก้าสวรรค์รึ?” หลิงฮันถาม
สุนัขตัวดำหัวเราะและกล่าว “อำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีนั้นสามารถพัฒนาตนเองได้ เพลิงเก้าสวรรค์นั้นหากมันเติบโตจนมีความนึกคิดเป็นของตนเองเมื่อใด มันจะไม่ใช่อำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิต!”
หลิงฮันชะงักก่อนจะกล่าว “เจ้าหมายความว่าราชานิรันดร์ผู้นี้คือสิ่งมีชีวิต ที่พัฒนาแล้วของเพลิงเก้าสวรรค์งั้นรึ?”
“ถูกต้องแล้ว!” สุนัขตัวดำพยักหน้า “ราชานิรันดร์ผู้นี้มีชื่อว่าราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์ หลังจากที่หมอนั่นเสียชีวิตแล้ว เศษเสี้ยวอำนาจเปลวเพลิงที่หลงเหลืออยู่ก็ได้ผสานรวมกัน กลายเป็นเพลิงเก้าสวรรค์ตนใหม่ เพียงแต่ว่าศพของราชานิรันดร์นั้น แม้เวลาจะผ่านไปหลายร้อยล้านปีก็ยังไม่เสื่อมสลาย หมอนั่นจึงจงใจทิ้งแก่นกำเนิดพลังของตนเองเอาไว้ให้กับคนรุ่นหลัง”
จากคำพูดของสุนัขตัวดำ ดูเหมือนว่าราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์ผู้นี้จะทะลวงผ่านระดับราชานิรันดร์ระดับเก้าล้มเหลว แต่ก็ยังเอาตัวรอดได้อยู่ เพียงแต่ว่าแทนที่จะทำแบบนั้นเขากลับเลือกที่จะสละชีวิตของตนเอง เพื่อมอบแก่นกำเนิดพลังให้กับคนยุคหลัง
ความเสียสละเช่นนี้ ทำให้หลิงฮันรู้สึกเลื่อมใสอย่างแท้จริง
“มาเร็วเจ้าหนู ด้วยแก่นกำเนิดพลังของราชานิรันดร์ใช้เวลาเตรียมการมาเป็นเวลาหลายร้อยล้านปี จะสามารถช่วยให้โอกาสบรรลุห้านิพพานของเจ้าเพิ่มสูงขึ้น”
ขนาดด้วยความช่วยเหลือของแก่นกำเนิดราชานิรันดร์ ที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ก็ยังช่วยได้แค่ทำให้โอกาสบรรลุห้านิพพานเพิ่มขึ้นงั้นรึ? ห้านิพพานเป็นระดับที่บรรลุได้ยากขนาดนั้นเชียว?
“ระดับห้านิพพานเป็นระดับพลังที่บรรลุได้ยากก็จริง แต่รากฐานของเจ้าก็ยังอ่อนแอเกินไปเช่นกัน ถึงแม้เจ้าจะขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นพลังที่สมบูรณ์ทุกระดับตั้งแต่จากโลกใบเล็ก แต่รากฐานพลังของเจ้าก็ไม่ได้รับการชี้แนะจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่” สุนัขตัวดำถอนหายใจ “ตอนนี้โอกาสที่เจ้าจะได้พลิกสวรรค์เปลี่ยนชะตาชีวิตมาถึงแล้ว!”
หลิงฮันไม่เชื่อสิ่งที่สุนัขตัวดำกล่าว เขามั่นใจว่าตัวเขานั้นไม่ได้มีศักยภาพที่ด้อยไปกว่าใคร ดูอย่างAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นกับลั่วAnchorจ่างเฟิงเป็นตัวอย่าง ทั้งสองเป็นถึงผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์แท้ๆ แต่ก็ยังถูกเขาสังหารทั้งๆที่เขามีระดับพลังที่ต่ำกว่า
เมื่อสุนัขตัวดำเห็นท่าทางไม่ยินยอมของหลิงฮัน มันก็กล่าว “เจ้าคิดว่าข้าจะนำเจ้าไปเปรียบเทียบกับเศษสวะพวกนั้นรึ? ผิดแล้ว อัจฉริยะที่จะอยู่ในสายตาของนายท่านหมาได้ มีเพียงผู้สืบทอดของขุมอำนาจราชานิรันดร์ระดับเจ็ดขึ้นไปเท่านั้น!”
“หากเจ้าได้พบเจอ เจ้าจะรู้ว่าอัจฉริยะที่แท้จริงนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด”
เมื่อได้ยินที่สุนัขตัวดำกล่าว ความหยิ่งผยองของหลิงฮันก็ค่อยๆลดลง
“เหอๆ ดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตกนั้นแข็งแกร่งกว่าดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออกก็จริง เพียงแต่ในดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออกเองก็มีขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ระดับเก้าอยู่มากมาย เจ้าแค่ยังไม่เคยพบเจอพวกเขา เลยไม่รู้ว่าอัจฉริยะที่แท้จริงนั้นเป็นเช่นไร” สุนัขตัวดำกล่าว
“อย่าหาข้าบั่นทอนกำลังใจของเจ้าเลยนะ แต่หากเทียบเจ้ากับผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ที่ทรงพลังอย่างแท้จริงล่ะก็ พลังของเจ้าถูกจัดอยู่ในระดับล่างไปถึงกลางเท่านั้น”
หลิงฮันรู้สึกไม่ยินยอมและกล่าว “อย่าลืมว่าข้ายังมีอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสอง”
“เพราะข้านับสิ่งนั้นรวมไปแล้วไงล่ะ เจ้าถึงถูกจัดอยู่ในระดับล่างไปถึงกลาง เหอๆ” สุนัขตัวดำส่ายหัว
หลิงฮันนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนที่จิตวิญญาณสู้รบจะลุกโชน เขามองไปยังยอดภูเขาไฟและกล่าว “ถ้างั้นหลังจากที่ข้าพลิกสวรรค์เปลี่ยนชะตาชีวิตแล้วล่ะ?”
“อาจจะจัดอยู่ในระดับกลาง หรือไม่ก็กลางไปถึงบน” สุนัขตัวดำกล่าวอย่างไม่มั่นใจ
อย่างมากก็แค่ระดับกลางไปถึงบนเองรึ?
หลิงฮันเผยสีหน้าไม่เชื่อ นี่สุนัขไร้บางอายตนนี้คงไม่ได้จงใจพูดเพื่อบั่นท่อนจิตใจของเขาหรอกนะ?
“เหอะๆ ถ้าข้าบอกกับเจ้าว่า มีใครบางคนถึงขนาดสละร่างกายตนเองนับพันครั้ง เพื่อที่จะบรรลุระดับห้านิพพานล่ะก็ เจ้าจะไม่ตกตะลึงจนเผลอผายลมเลยรึ?” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตอนที่ 1839 อัจฉริยะมีมากดั่งหมู่เมฆ...
หลิงฮันชะงักอยู่นานสองนาน ก่อนจะกล่าว “สละร่างกายนับพัน เพื่อขัดเกลาพลังบ่มเพาะให้บรรลุระดับโลกียนิพพานขั้นสมบูรณ์งั้นรึ?”
สุนัขตัวดำพยักหน้าและกล่าว “ถึงแม้เป้าหมายของการบ่มเพาะพลัง คือเพื่อบรรลุจุดสูงสุดแห่งเต๋าเหมือนกัน แต่เส้นทางที่สามารถเลือกเดินได้นั้นอาจจะมีนับหมื่น”
“อัจฉริยะแปลกประหลาดผู้นี้ที่ข้ารู้จักนั้น ทุกครั้งที่เขาตัดผ่านนิพพาน เขาจะสละกายหยาบไปมาหลายต่อหลายครั้ง จนเมื่อบรรลุเป็นห้านิพพานและไม่สามารถตัดผ่านนิพพานได้อีกต่อไป เขาถึงตัดสินใจทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณในที่สุด”
หลิงฮันดวงตาแข็งค้าง นั่นมันสัตว์ประหลาดแบบใดกัน?
“ไม่ใช่ว่าร่างกายของตัวเองคือร่างหายที่ดีที่สุดแล้วหรอกรึ? ต่อให้ร่างกายแรกจะไม่ใช่ร่างที่มีแก่นกำเนิดนิรันดร์ก็ตาม” เขาเอ่ยถาม
“ที่เจ้าพูดถูก” สุนัขตัวดำพยักหน้า “เพียงแต่ว่าหลังจากที่บรรลุเป็นราชานิรันดร์แล้ว ต่อให้ร่างกายจะไม่ใช่ของตัวเอง ก็สามารถผสานกับดวงวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับอัจฉริยะที่มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป็นราชานิรันดร์ได้ เรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ!”
หลิงฮันรู้สึกสนใจและกล่าวออกไป “ถ้าเช่นนั้นหลังจากบรรลุเป็นนิรันดร์ห้านิพพานแล้ว ข้าก็จะสละร่างกายนี้และขัดเกลาร่างใหม่”
“เจ้าห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด!” สุนัขตัวดำรีบคัดค้าน “ประการแรกเลยคือ ร่างกายของเจ้าถูกขัดเกลาด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะสละกายหยาบนี้ทิ้ง”
“ประการที่สองคือเจ้าไม่มีเวลามากแล้ว เจ้าต้องรีบขัดเกลาพลังบ่มเพาะทุกระดับให้บรรลุขั้นสมบูรณ์ให้เร็วที่สุด”
“ทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์คือทักษะขัดเกลากายหยาบ และดวงวิญญาณที่ทรงพลังที่สุด ใต้สวรรค์นี้กายหยาบของเจ้าจะไร้เทียมทามยิ่งกว่าใคร”
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้านทันที แม้แต่ทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์สุนัขตัวดำก็รู้จักงั้นรึ? หมอนี่กับผู้สร้างหอคอยสามภพมีความเกี่ยวข้องกันแบบใดกันแน่?
“อัจฉริยะแปลกประหลาดที่เจ้าพูดถึง คือใครกัน?”
สุนัขตัวดำมองไปยังหลิงฮันและกล่าว “ชื่อของคนผู้นั้น เจ้าเคยได้ยินมาก่อนแล้ว”
ข้าเคยได้ยินมาก่อนแล้วงั้นรึ?
“ใครกัน?”
“ราชานิรันดร์อวี้ซวี!” สุนัขตัวดำกล่าวก่อนจะแน่นิ่งไปชั่วครู่และกล่าวต่อ “ในอดีตหมอนั่นมีพลังอยู่ในระดับราชานิรันดร์ระดับแปด ที่ห่างจากนิรันดร์ระดับเก้าอีกแค่เก้าเดียว ป่านนี้น่าจะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าไปแล้วล่ะมั้ง”
ระ… ราชานิรันดร์ระดับเก้า!
หลิงฮันนึกถึงเรื่องที่เฉิงหู่เคยเล่าว่า ราชานิรันดร์ของตระกูลเฉิงนั้นถูกรุกรานโดยราชานิรันดร์จำนวนมากจนต้องหลบหนีไป และราชานิรันดร์อวี้ซวีก็ได้ทำการลบล้างตระกูลเฉิง
ถ้าหากตอนนี้ราชานิรันดร์อวี้ซวีบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าแล้วจริงๆ เขาจะแก้แค้นให้เฉิงหู่ตามสัญญาได้อย่างไร?
“ราชานิรันดร์อวี้ซวีที่ว่ากับวิหารประทับภวังคจิต…”
พริบตาหลังจากที่หลิงฮันกล่าวประโยคนี้ออกไป สุนัขตัวดำก็รีบนำอุ้งเท้ามาปิดปากเขาทันที
“เจ้าหนู เจ้าอยากตายรึไง? ชื่อบางชื่อไม่อาจกล่าวออกมาพล่อยๆได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นการไปกระตุ้นการรับรู้ของอสูรเฒ่าเหล่านั้น ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หนใดในดินแดนแห่งเซียน สัมผัสสวรรค์ของพวกเขาก็สามารถหาตัวเจ้าเจอ!” สุนัขตัวดำตะโกนจนน้ำลายของมันเปรอะไปทั่วหน้าหลิงฮัน
ไม่ใช่แค่สุนัขตัวดำเท่านั้น แต่หอคอยน้อยก็เคยเตือนเขาว่าชื่อเรียกของตัวตนที่ทรงพลังบางชื่อ คือสิ่งที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ตามใจชอบ
แต่เดี๋ยวก่อน ทั้งๆที่ราชานิรันดร์อวี้ซวีน่าจะเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าไปแล้ว แต่ตอนเรียกชื่อของอีกฝ่าย สุนัขตัวดำก็ไม่เห็นจะมีท่าทางอะไรเลยแท้ๆ แต่ทำไมพอพูดถึงวิหารประทับภวังคจิต มันถึงได้มีท่าทีหวาดผวากัน? นั่นต้องเป็นเพราะจะต้องมีตัวตนที่ทรงพลังยิ่งกว่าอยู่ในวิหารประทับภวังคจิตไม่ผิดแน่
หลิงฮันถามต่อ เพราะดูจากท่าทีแล้ว สุนัขตัวดำคงไม่บอกรายละเอียดใดๆกับเขา
หอคอยน้อยก็บอกเช่นกันว่าหากเขาต้องการรู้ทุกอย่าง จะต้องบรรลุระดับราชานิรันดร์ก่อนเป็นอย่างน้อย
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังไต่ภูเขาไฟ สุนัขตัวดำก็เล่าเรื่องบางส่วนของราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์ให้ฟัง
ในอดีต เขตแดนลี้ลับแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่น่าเสียดายที่หลังจากราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์สูญสิ้นแล้ว ขุมอำนาจแห่งนี่ก็ปิดตัวลงในชั่วข้ามคืน เหล่าศิษย์ทุกคนแยกทางกันเพื่อให้สถานที่แห่งนี้เป็นหลุมฝังศพของราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์
แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป สุนัขตัวดำและสหายคนอื่นๆที่เป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ต่างก็ถูกสังหารหรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงไม่มีใครสามารถคุ้มครองสถานที่แห่งนี้ได้อีกต่อไป จนในที่สุดราชานิรันดร์ของตำหนักเมฆาอัสนีและราชานิรันดร์ของตระกูลจื่อเหอก็มาที่นี่เพื่อปล้นชิงแร่โลหะนิรันดร์
เพียงแต่ด้วยพลังระดับราชานิรันดร์ระดับหนึ่งของทั้งสอง ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สามารถค้นพบความลับที่ราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์ได้ทิ้งเอาไว้
พวกหลิงฮันมาถึงยอดภูเขาไฟในที่สุด โดยที่สุนัขตัวดำได้บอกให้จักรพรรดินีขยับไปให้ห่างๆ พร้อมกับปลดปล่อยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ลงบนปล่องภูเขาไฟ
ปากของมันพึมพำท่องอะไรบางอย่าง จนเส้นเส้นได้ปรากฏออกมาจากปล่องภูเขาไฟ และค่อยๆแพร่กระจายไปถึงตีนภูเขาไฟ เส้นแสงที่ปรากฏออกมานั้นค่อยๆเพิ่มขึ้นเป็นสองเส้น สามเส้น จนในที่สุดก็หยุดอยู่ที่หนึ่งร้อยแปดเส้น
‘ครืนน’ แสงสว่างจากเส้นแสงเหล่านี้พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า และดูเหมือนกับว่าทั่วทั้งภูเขาจะกำลังเกิดรอยแตกร้าว
ทั่วทั้งภูเขาไฟเกิดการสั่นไหว ‘ตูม ตูม ตูม’ ศิลาโลหิตมังกรจำนวนนับไม่ถ้วนลอยออกมาจากปล่องภูเขาไฟ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ส่งผลให้เหล่าคนที่มองดูอยู่จากอาณาเขตหุบเขาตกตะลึง
เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
หรือว่าจะเป็นเพราะหลิงฮันอีกแล้ว?
ถ้าจะคิดแบบนั้นก็ค่อนข้างแปลก เพราะขนาดตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะก็ยังไม่สามารถเหยียบย่ำไปยังภูเขาไฟได้ แล้วจอมยุทธอ่อนแออย่างนิรันดร์ระดับสามนิพพานจะทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร?
แต่ถ้าจะคิดว่าไม่ใช่แบบนั้นก็แปลกอยู่เหมือนกัน เพราะเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่กลับมาเกิดขึ้นหลังจากที่หลิงฮันมุ่งหน้าไปทางนั้น
‘ตูม ตูม ตูม’ ภูเขาไฟระเบิดออกและพ่นลาวาขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือลาวาเหล่านั้นไม่ได้ร่วงลงมา เส้นทางทั้งหนึ่งร้อยแปดเส้นค่อยๆเปล่งประกายยิ่งขึ้น และไหลผ่านเข้าสู่ส่วนลึกของพื้นดิน
พื้นดินเกิดการสั่นเทือนอยู่สักพัก ก่อนที่เหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อจะเกิดขึ้น
ภูเขาไฟกำลังค่อยๆยกตัวสูงขึ้น!
หลิงฮันและจักรพรรดินีกลายเป็นไร้คำพูด เนื่องจากทั้งสองเห็นอย่างชัดเจนว่าภูเขาไฟลูกนี้ แท้จริงแล้วคือแท่งเขาของอะไรบางอย่าง!
ภายใต้พื้นที่ ร่างขนาดมหึมาได้คลายขึ้นมา ร่างที่ว่ามีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์ แต่มีเขาแท่งหนึ่งอยู่บนศีรษะ ซึ่งปลดปล่อยลาวาออกมาอย่างตจ่อเนื่อง ลองคิดดูว่าสิ่งมีชีวิตที่แค่ภูเขาไฟซึ่งเป็นเพียงแท่งเขาก็สูงเสียดฟ้า แล้วทั่วทั้งร่างจะมหึมาขนาดไหน?
ร่างมหึมายืนตระหง่านอย่างองอาจด้วยท่าทางที่ราวกับกำลังเย้ยหยันโลกใบนี้ ออร่าที่เขาปลดปล่อยออกมารุนแรงราวกับคลื่นมหาสมุทร จนทุกคนที่อยู่ต่อหน้าเขาทำได้เพียงคุกเข่าหมอบคลาน
ราชานิรันดร์ระดับแปด!
“สหายเก่า ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีกครั้ง” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยน้ำเสียงโหยหาย “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเผากางเกงในของราชานิรันดร์หลินเมี่ยวไปให้เอง เพื่อที่เจ้าจะได้หลับอย่างสงบสุข”
“เจ้าหนู มานี่!” สุนัขตัวดำตะโกนส่งเสียงเรียกโดยพลัน
ตอนที่ 1840 ดูดซับแก่นพลังของราชานิรั...
หลิงฮันก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมกับโคจรปราณก่อเกิดควบคู่ไปกับเพลิงเก้าสวรรค์
สุนัขตัวดำปลดปล่อยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อีกครั้ง และชี้นำไปยังยักษ์มหึมากลางท้องฟ้า
หน้าอกยักษ์มหึมาส่องประกาย ‘ฟุบ’ หินขนาดเท่ากำปั้นที่มีเปลวเพลิงแผดเผาอยู่ลอยออกมา
หินก้อนนี้คือหัวใจของยักษ์มหึมาที่แต่เดิมแล้วมีขนาดใหญ่โต แต่ถูกควบแน่นจนเหลือขนาดเท่ากำปั้น ‘ฟุบ’ หัวใจเปลวเพลิงลอยเข้าหาสุนัขตัวดำ
หากหัวใจก้อนนี้ลอยเข้าหานิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะล่ะก็ ร่างของนิรันดร์ผู้นั้นคงถูกแผดเผาไปแล้ว เพียงแตว่าสุนัขตัวดำนั้นเคยเป็นถึงอดีตราชานิรันดร์ ถึงแม้พลังบ่มเพาะของมันจะถดถอย แต่ความสามารถของมันก็ยังมีเหนือกว่าระดับพลัง
นอกจากนั้น ดูเหมือนมันจะรู้ดีด้วยว่าต้องจัดการกับหัวใจก้อนนี้อย่างไร
“อืม!” สุนัขตัวดำยื่นฝ่ามือออกไป หัวใจเปลวเพลิงหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเบี่ยงทิศทางไปยังศีษะของหลิงฮัน “ปิดตาของเจ้าและทำจิตใจให้สงบ พยายามปล่อยวางทุกสิ่งพร้อมกับโคจรทักษะควบคุมเปลวเพลิงซะ!”
หลิงฮันนั่งลงและทำตามที่สุนัขตัวดำกล่าว
สุนัขตัวดำขยับอุ้งมืออีกครั้ง ทันใดนั้นหัวใจเปลวเพลิงก็ส่องประกายแสงแห่งเต๋าอันเจิดจ้า
“ข้าจะแบ่งเศษเสี้ยวแก่นพลังของหัวใจเปลวเพลิงให้ เพื่อช่วยเจ้าทะลวงผ่านระดับสามนิพพาน เอาไว้หลังจากฮันน้อยพลิกสวรรค์เปลี่ยนชะตาชีวิตเสร็จแล้ว ข้าจะมอบวาสนาที่เหลือให้เจ้าได้ดูดซับ” สุนัขตัวดำสะบัดอุ้งเท้า พร้อมกับเศษเสี้ยวเปลวเพลิงจุดเล็กๆได้ลอยไปยังศีรษะของจักรพรรดินี
จักรพรรดินีนั่งลงเพื่อดูดซับผลประโยชน์
‘ตูม’ ภายในร่างกายของหลิงฮันเกิดการสั่นสะเทือนราวกับภูเขากำลังถล่มหรือไม่ก็ถูกคลื่นยักษ์ซัดเข้าใส่ เซลล์ทุกส่วนในร่างกายถูกอำนาจเปลวเพลิงหล่อหลอมยกระดับสูงขึ้น
อำนาจเปลวเพลิงของราชานิรันดร์ กำลังแผดเผาสิ่งสกปรกภายในร่างกายของเขา เพื่อให้สามารถดูดซับพลังทั้งหมดของแก่นพลังได้
หลิงฮันไม่ใช่คนที่เกิดมาพร้อมกับแก่นกำเนิดนิรันดร์ แต่อะไรคือแก่นกำเนิดนิรันดร์น่ะรึ? สำหรับจอมยุทธที่เกิดมาเป็นผู้สืบทอดของของราชานิรันดร์นั้น พวกเขาจะได้รับสืบทอดอำนาจแห่งกฎเกณฑ์บางส่วนของราชานิรันดร์มาด้วย ซึ่งก็คือแก่นกำเนิดนิรันดร์
ในหมู่จอมยุทธระดับเดียวกันแล้ว ส่วนมากจอมยุทธที่มีแก่นกำเนิดนิรันดร์จะเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานที่สุด
ณ เวลานี้แก่นพลังของราชานิรันดร์เพลิงสวรรค์ กำลังพัฒนาร่างกายของหลิงฮันให้ก่อกำเนิดแก่นกำเนิดนิรันดร์
หลิงฮันฝืนอดทนต่อความเจ็บปวด และโคจรทักษะควบคุมเปลวเพลิงไปพร้อมๆกัน เพื่อชี้นำอำนาจเปลวเพลิงให้เข้าสู่ร่างกาย
“สหายเก่า เจ้าสามารถหลับใหลได้อย่างไม่มีอะไรติดค้างแล้ว!” สุนัขตัวดำถอดเกราะโลหิตมังกรออกแต่เดิมมันสวมใส่เพื่อปกปิดไม่ให้เป็นที่สังเกตุเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ก็ไม่มีความจำเป็นแล้ว แต่แน่นอนว่ามันไม่ยินยอมที่จะถอดกางเกงในโลหะออก เพราะไม่เช่นนั้นนายท่านหมาจะไม่ใช่นายท่านมา
ยักษ์มหึมายิ้มและพยักหน้า ก่อนที่ร่างกายจะค่อยๆแตกสลายกลายเป็นเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ พร้อมกันนั้นเอง ออร่าอันร้อนระอุภายใจเขตแดนแดนลี้ลับเฉียนหลงก็หายไปอย่างสมบูรณ์
สิบวันต่อมา จู่ๆจักรพรรดิก็ลืมตาขึ้นและคำรามขึ้นสู่ท้องฟ้า ด้วยการช่วยเหลือจากอำนาจของราชานิรันดร์ ในที่สุดนางก็ทะลวงผ่านระดับสามนิพพานสำเร็จ
นางทำการรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์อันเกรี้ยวกราด แน่นอนว่าการที่จักรพรรดินีตัดขาดสวรรค์และปฐพีเป็นครั้งที่สาม ย่อมส่งผลให้สวรรค์และปฐพีเกรี้ยวกราด แต่สวรรค์ก็ยังมีกฎเหล็กที่ไม่อาจทำอะไรได้ตามใจชอบ เพราะงั้นหลังจากเวลาผ่านไปครึ่ง แม้สวรรค์จะไม่เต็มใจแต่ก็ต้องยอมสลายทัณฑ์ฟ้าสวรรค์
เพียงแต่ว่ายังไม่ทันทีจักรพรรดินีจะได้กล่าวอะไร จู่ๆสุนัขตัวดำก็ได้ชี้นำเศษเสี้ยวแก่นพลังของหัวใจเพลิงไปยังจักรพรรดินี นางจึงทำได้เพียงกลับมานั่งลงและรับอำนาจเปลวเพลิงของราชานิรันดร์เข้าสู่ร่างกาย
นางที่กายหยาบมีแก่นกำเนิดนิรันดร์อยู่แล้ว อำนาจของแก่นพลังจากหัวใจเพลิงจึงไม่สามารถทำให้นางมีแก่นกำเนิดนิรันดร์เปลวเพลิงได้ แต่จะไปช่วยยกระดับแก่นกำเนิดนิรันดร์ที่มีอยู่แล้วให้แข็งแกร่งขึ้นแทน
สุนัขตัวดำพาดอุ้งเท้าหน้าทั้งสองไว้ด้านหลัง ด้วยสีหน้าจริงจังที่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
“เวลาคือสิ่งที่น่ากลัวอยู่เสมอเลยจริงๆ ในตอนที่พายุมืดคืบคลานมาถึง เจ้าหนูนี่จะเติบโตทันรึเปล่านะ?”
“จะปล่อยให้พวกมันพบเจอตัวตนเจ้าหนูไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแผนการที่วางมาหลายร้อยหลายพันล้านปีจะต้องล้มเหลว”
“เจ้าหนู ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ห้ามตายเด็ดขาด ถึงแม้ในอนาคตเจ้าจะพบเจอหนทางที่ยากลำบาก หรือกลายเป็นศัตรูกับคนทั้งโลก เจ้าก็ฝ่ายฟันไปให้ได้”
“นั่นเพราะเจ้าคือความหวังเดียวที่มหาปราชญ์สวรรค์เหลือเอาไว้!”
หลิงฮันไม่ได้ยินสิ่งที่สุนัขตัวดำกล่าว เนื่องจากเขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการโคจรทักษะควบคุมเปลวเพลิง
หนึ่งปี… สองปี… ห้าปี… เวลาผ่านไปเกือบจะสิบปีนับตั้งแต่ที่หลิงฮันเข้ามายังเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปอีกสามวัน ในที่สุดหัวใจเปลวเพลิงก็เริ่มหม่นแสง และสลายเป็นขี้เถ้าลอยไปตามสายลม
หลิงฮันกับจักรพรรดินีลืมตาพร้อมกับและลุกขึ้นยืน
ระดับสามนิพพานสูงสุด!
ถึงแม้แก่นพลังของราชานิรันดร์ส่วนใหญ่จะถูกใช้ไปกับการยกระดับกายหยาบของพวกเขา แต่เศษเสี้ยวพลังที่เล็ดรอดออกมาก็สามารถขัดเกลาพลังบ่มเพาะของทั้งสอง ให้บรรลุเป็นนิรันดร์สามนิพพานสูงสุดได้อย่างง่ายดาย
“เจ้าหนู หลังจากนี้ก็ทำตัวดีๆล่ะ หากเอาแต่สร้างปัญหาล่ะก็ ในฐานะที่เป็นสหายกับเจ้า นายท่านหมาคงอับอายแย่!” สุนัขตัวดำสะบัดอุ้งเท้า “เอาล่ะ ภารกิจของข้าสิ้นสุดแล้ว ถึงเวลาที่จะเติมเต็มความปรารถเมื่อหลายล้านปีก่อนเสียที!”
ทันตั้งท่าด้วยขาทั้งสี่และพุ่งทะยานหายไปในพริบตา
ตอนที่ 1841 ปิดล้อมเส้นทาง
สุนัขตัวดำจากไปด้วยท่าทางที่ดูน่าเกรงขาม
หลิงฮันมองร่างของมันที่หายไปพร้อมกับถอนหายใจออกมา สุนัขตัวดำได้กลับคืนสู่ยุทธภพแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีคนอีกมากมายเท่าใดที่ต้องพบเจอกับความปั่นป่วนที่มันสร้างขึ้น เขารู้สึกอยากไว้อาลับให้กับคนเหล่านั้นจริงๆ
เขากับจักรพรรดินีมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม และเดินออกจากสถานที่แห่งนี้
“ตอนนี้แก่นกำเนิดนิรันดร์ของข้าแข็งแกร่งขึ้นมากทีเดียว” จักรพรรดินีกล่าว ด้วยความช่วยเหลือจากแก่นพลังราชานิรันดร์ แก่นกำเนิดนิรันดร์ของนางได้ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ถึงแม้นางจะยังสร้างร่างแยกได้แค่เก้าร่างเช่นเดิม แต่พลังต่อสู้นั้นเพิ่มขึ้นมามากทีเดียว
ยิ่งกว่านั้นถึงแม้กายหยาบของนางจะไม่ได้เปลี่ยนเป็นแก่นกำเนิดนิรันดร์เปลวเพลิง แต่จักรพรรดินก็สามารถเรียกใช้ อำนาจแห่งกฎเกณ์เปลวเพลิงได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วยิ่งกว่าจอมยุทธในระดับเดียวกัน
“แล้วเจ้าล่ะ?” จักรพรรดินีเอ่ยถาม
หลิงฮันหัวเราะ ‘พรึบ’ ทั่วร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง “ร่างกายของข้าพัฒนากลายเป็นแก่นกำเนิดนิรันดร์เปลวเพลิงแล้ว นอกจากข้าจะมีความใกล้ชิดกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงยิ่งขึ้น ข้ายังสามารถกระตุ้นอำนาจแห่งเต๋าเปลวเพลิง เพื่อยกระดับพลังต่อสู้ให้สูงขึ้นได้ชั่วคราวด้วย”
หากให้พูดล่ะก็ ความสามารถเช่นนี้นี่ล่ะคือแก่นกำเนิดนิรันดร์ หนึ่งคือมันจะช่วยให้จอมยุทธมีความใกล้ชิดกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์มากขึ้น สองคือมันสามารถช่วยทำให้จอมยุทธใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ ที่ทรงพลังยิ่งกว่าระดับพลังของตนเองได้ เพียงแต่ว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ทรงพลังขึ้นนั้น จะคงสภาพอยู่ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น แถมบางครั้งอาจจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สาหัส
“การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเจ้าในตอนนี้อยู่ในระดับใด?” จักรพรรดินีเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หลิงฮันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ต่อให้AnchorAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วAnchorจ่างเฟิงกลับมามีชีวิต ข้าก็สามารถสังหารทั้งสองได้ภายในหนึ่งกระบวนท่า” แน่นอนว่าหนึ่งการโจมตีที่ว่านั้น คือการโจมตีที่ยกระดับพลังต่อสู้ด้วยการยืมพลังจากเต๋าแห่งเปลวเพลิงแล้ว
จักรพรรดินียิ้ม ยิ่งหลิงฮันแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งมีความสุข
ณ ตอนนี้หลิงฮันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่า สุนัขตัวดำไม่ได้พูดเพื่อบั่นทอนความมั่นใจของเขา แต่ในดินแดนแห่งเซียนแห่งนี้ มีสุดยอดอัจฉริยะที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่จริงๆ
ทั้งสองคนเดินหน้ากลับไปยังหุบเขา ซึ่งในตอนนี้กลายเป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าที่ไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
ถึงแม้ออร่าอันรุนแรงภายในเขตแดนลี้ลับจะสลายไปแล้ว แต่ทุกคนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แถมระยะเวลาที่เข้ามาในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ยังใกล้จะเกินสิบปีแล้วด้วย พวกเขาจึงตัดสินใจล่าถอยออกไปก่อนเพราะไม่อย่างเสี่ยงชีวิต
หลิงฮันและจักรพรรดินีไม่หยุดพักและเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไปยังทางออกเขตแดนลี้ลับ
ทั้งสองเคลื่อนที่ได้รวดเร็วจนสามารถไล่ตามกลุ่มสุดท้ายที่ออกจากหุบเขาได้ทัน และเมื่อเวลาผ่านไปอีกไม่กี่วัน พวกเขาก็ออกมาจากเขตแดนลี้ลับในที่สุด
ในตอนนี้ ภายนอกเขตแดนลี้ลับครึกครื้นเป็นอย่างมาก โดยมีทั้งคนที่กำลังตื่นเต้นและกำลังเป็นกังวล แน่นอนว่าเหล่าคนที่ตื่นเต้นนั้น เป็นเพราะสมาชิกตระกูลของพวกเขา สามารถกลับออกมาจากเขตแดนลี้ลับได้อย่างปลอดภัย พร้อมกับศิลาโลหิตมังกรจำนวนมาก ส่วนเหล่าคนกำลังเป็นกังวลนั้นก็เพราะ สมาชิกตระกูลของพวกเขายังไม่กลับออกมา และมีโอกาสที่อาจจะตายอยู่ด้านในเขตเขตแดนลี้ลับ
“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น!” จู่ๆใครบางคนก็ตะโกนออกมา “ในการสำรวจเขตแดนลี้ลับครั้งนี้ มีฆาตกรโหดเหี้ยมที่สังหารผู้สืบทอดจากหลายขุมอำนาจไปมากมาย!”
“ใช่แล้วAnchorทั้งเชียนจ้าวเถี้ยน เป่ยเสวียนหมิงและเป่ยหยิ่วย้ง ล้วนแต่ถูกฆาตกรผู้นั้นสังหาร!”
“ชื่อของฆาตกรคนที่ว่าคือ หลิงฮัน!”
เพียงแค่ชั่วพริบตา ชื่อเสียงของหลิงฮันก็แพร่กระจายไปถึงหูขุมอำนาจทั้งหมด ทางด้านของตระกูลเชียนจ้าว นิกายอาญาสิ้นแสงและขุมอำนาจอื่นๆนั้น ถึงแม้ในตอนแรกพวกเขาจะไม่เชื่อว่าผู้สืบทอดของพวกเขาจะถูกหลิงฮันสังหารได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและคนของพวกเขาก็ไม่ออกมาสักที ขุมอำนาจทั้งหลายจึงเชื่อในที่สุดว่า ผู้สืบทอดของพวกเขาถูกหลิงฮันสังหารจริงๆ
เมื่อหลิงฮันกับจักรพรรดินีออกมาจากเขตแดนลี้ลับ แรงกดดันอันรุนแรงก็ถาโถมเข้าใส่ทั้งสองคนทันที ปรมาจารย์ที่ทรงพลังอย่างน้อยร้อยคนรุดหน้ามาปิดกั้นทางของพวกเขา
“เจ้าสังหารเชียนจ้าวหยาง?”
“เจ้าสังหารเป่ยหยิ่วย้ง?”
“เจ้าสังหาร…”
เหล่าคนที่รุดหน้ามาขวางทางคือตัวตนทรงพลังในระดับแบ่งแยกวิญญาณ ณ เวลานี้พวกเขาทุกคนต่างปลดปล่อยออร่าอันทรงพลัง ที่สามารถทำให้จอมยุทธระดับโลกียนิพพานทุกคนตัวสั่นออกมา
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “คงงั้นมั้ง ข้าก็ไม่มีเวลามากพอจะไปจำชื่อของพวกสวะเสียด้วยสิ”
เหล่านิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญารเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันใด เจ้าเป็นเพียงนิรันดร์สามนิพพานสูงสุดแท้ๆ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้บังอาจทำตัวโอหังต่อหน้าพวกข้า? ในหมู่พวกเขานั้น ใครบ้างที่ไม่สามารถสังหารหลิงฮันได้นับร้อยครั้ง เพียงแค่ยกฝ่ามือ?
“เจ้าหนูจอมอวดดี ในมือเจ้ายอมรับแล้ว ก็ตายไปซะ!” หนึ่งในนิรันดร์ระดับแบ่งแบกวิญญาณของตระกูลเชียนจ้าวกล่าวอย่างเย็นชา ชื่อของเขาคือเชียนจ้าวอวี่ สำหรับขุมอำนาจระดับสามดาวแล้ว นิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณเช่นพวกเขา คือตัวตนอันสูงส่งและน่าเกรงขาม
“ให้ข้าจัดการเอง!” นิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณของตระกูลเป่ยหยิ่วเอ่ยแทรก เขาเองก็เกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก
“ไม่ ให้ข้าเอง!” ปรมาจารย์หลายคนต่างคำรามออกมา เพื่อแย่งกันเป็นคนสังหารหลิงฮัน
“ช้าก่อน!”
‘พรึบ’ ร่างเงาหนึ่งบินทะยานเข้ามา พร้อมกับปลดปล่อยออร่าอันน่าเกรงขรามปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า จนนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณต้องล่าถอยอย่างไม่มีทางเลือก
Anchor
ระดับขอบเขตตำหนักอมตะ!
“ผู้อาวุโสฟู่เยี่ยน!” ทันทีที่เห็นร่างที่ปรากฏตัว เหล่านิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณก็กล่าวทักทายด้วยความเคารพ
ไม่ว่าจะไปที่ไหน ปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะก็ถือว่าเป็นตัวตนที่น่ายำเกรง แน่นอนว่าต่อให้เป็นในขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ก็ไม่มีข้อยกเว้น
ปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะผู้นี้มีชื่อว่าฟู่เยี่ยน เขาถูกฟู่เสินปิงสั่งให้มาที่นี่เพื่อรับประกันความปลอดภัยของหลิงฮัน แน่นอนว่าปรมาจารย์ที่ทรงพลังของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็คงมาที่นี่เพื่อคุ้มครองหลิงฮันเช่นกัน เขาจึงต้องรีบมาที่นี่ก่อน เพื่อสร้างความดีความต่อให้คนของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์เห็น
“ข้าขอถามผู้อาวุโสฟู่เยี่ยนได้รึไม่ ว่าทำไมต้องสั่งให้พวกข้าหยุดมือ?” นิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณผู้หนึ่งเอ่ยถาม ถึงแม้พลังของพวกเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าฟู่เยี่ยน แต่ขุมอำนาจเบื้องหลังพวกเขาไม่ว่าจะขุมอำนาจใด ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตระกูลฟู่
ยิ่งกว่านั้น เรือรบของพวกเขาที่ลอยอยู่เหนือน่านฟ้าทุกลำ ก็ล้วนแต่มีมีพลังทำลายที่เทียบเท่ากับตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะ
ตอนที่ 1842 ไม่ว่าอะไรตระกูลฟู่ก็จะรั...
ฟู่เยี่ยนถอนหายใจในใจ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อย่างเป็นศัตรูกับขุมอำนาจระดับสามดาวมากมายขนาดนี้หรอก
ตระกูลฟู่ไม่ใช่ขุมอำนาจสามดาวระดับแนวหน้า ซึ่งเพียงแค่นิกายอาญาสิ้นแสงขุมอำนาจเดียวก็สามารถลบล้างตระกูลของพวกเขาได้
แต่เพื่อที่จะประจบAnchorตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ เขาจำเป็นต้องหุ้มหนังเสือแสร้งทำเป็นไม่หวั่นเกรง ไม่เช่นนั้นการแสดงของเขาจะทำให้ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ประทับใจไม่ได้
ยิ่งหลิงฮันพบเจอความลำบากมากเท่าไหร่ ตระกูลฟู่ก็จะสร้างความดีความชอบได้มากเท่านั้น
แน่นอนว่า ฟู่เยี่ยนไม่ได้รู้เลยว่าตระกูลจื่อเหอกับตำหนักเมฆาอัสนียังไม่รับรู้ถึงข่าวการตายของผู้สืบทอดของตน
เขาพาดสองมือไว้ด้านหลังแสดงท่าทางองอาจ “ข้าแค่แนะนำว่า พวกเจ้าอย่าได้แตะต้องรุ่นเยาว์ผู้นี้แม้เพียงเส้นผม!”
ว่าอย่างไรนะ!
เหล่านิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณตกตะลึง และแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง
เหอะ จริงอยู่ที่ในที่นี้เจ้าเป็นตัวตนที่ทรงพลัง แต่เจ้าอย่าได้ลืมความจริงที่ว่าตระกูลฟู่ของเจ้านั้นไม่ใช่ผู้เป็นใหญ่เหนือใครในยุทธภพ ตระกูลฟู่ของเจ้าเป็นเพียงขุมอำนาจระดับสามดาว ที่ถูกจัดอยู่ในลำดับกลางไปถึงล่างเท่านั้น
ตราบใดที่ขุมอำนาจพวกข้าร่วมมือกัน เชื่อว่าตระกูลฟู่ของเจ้าจะต้องถูกลบหายไปภายในพริบตา
ยิ่งกว่านั้นคือ เจ้าคิดว่าตนเองจะสามารถหลบหนีจากโจมตี จากเรือรบจำวนมากที่อยู่เหนือน่านฟ้าได้งั้นรึ?
แม้แต่หลิงฮันกับจักพรรดินีเองก็ตกตะลึงเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าพวกเขาตัดความสัมพันธ์กับฟู่เกาหยุนไปก่อนหน้านี้แล้วหรอกรึ? เหตุใดฟู่เยี่ยนถึงยังออกหน้าปกป้องพวกเขาอยู่กัน?
นี่อีกฝ่ายคงไม่ได้กินยาผิดขวดหรอกนะ?
หลิงฮันที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปในหอคอยทมิฬ เพื่อหลบหนีเหล่านิรันดร์ระดับแบ่งแบกวิญญาณ พอเห็นว่าฟู่เยี่ยนกำลังออกหน้าปกป้องพวกเขาอยู่ เขาจึงตัดสินใจดูสถานการณ์ต่อไปก่อน
“ผู้อาวุโสฟู่เยี่ยน ท่านแน่ใจรึว่าจะเอาแบบนี้จริงๆ?” เชียนจ้าวอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา
จริงอยู่ที่พลังของเขาแข็งแกร่งเทียบอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ตระกูลเชียนจ้าวนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตระกูลฟู่แม้แต่น้อย เพราะงั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องสุภาพกับอีกฝ่าย
ใบหน้าของฟู่เยี้ยนเปลี่ยนเป็นมืดมนและกล่าว “เจ้ากำลังข่มขู่ข้าผู้นี้งั้นรึ?”
“ผู้อาวุโสฟู่เยี่ยน ท่านรู้รึไม่ว่าเจ้าหนูนั่นทำอะไรลงไปบ้าง?” นิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณที่ทรงพลัง ของนิกายอาญาสิ้นแสงผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ชื่อของเขาคือจ้าวหลิงเฟิง
จิตใจของฟู่เยี่ยนสั่นสะท้าน เขาเองก็รู้อยู่แล้วว่าเหล่านิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณเหล่านี้ไม่ใช่ขุมอำนาจเดียวกัน แต่มาจากหลายสิบขุมอำนาจ
ตกลงเจ้าหนูนี่ไปทำอะไรไว้กันแน่?
เขาทำหน้านิ่งและกล่าว “ข้าไม่รู้”
“เจ้าหนูนั่น สังหารผู้สืบทอดจากนิกายของข้า!” จ้าวหลิงเฟิงคำราม
ปัง!
จิตใจของฟู่เยี่ยนราวกับถูกจู่โจมอย่างแรง หากไม่ใช่เพราะจิตใจของเขาถูกขัดเกลาให้มั่นคงอยู่แล้วล่ะก็ ใบหน้าของเขาคงเปลี่ยนสีและส่งเสียงอุทานออกมาแล้วเป็นแน่
“นอกจากนั้นก็ยังสังหารผู้สืบทอดของตระกูลข้าไปถึงสองคน!” เชียนจ้าวอวี่เองก็คำรามตามๆกัน เขาเพิ่งได้รับข่าวเมื่อครู่ว่าไม่ใช่แค่เชียนจ้าวเถี้ยนเท่านั้น แต่เชียนจ้าวหยางเองก็ถูกหลิงฮันสังหารไปเหมือนกัน
“ผู้สืบทอดของนิกายข้าด้วย!”
“ของตระกูลข้าด้วย!”
“ของ…”
นิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณมากมายเปิดปากตะโกนฟ้องร้องความผิดของหลิงฮัน
แม่เจ้า!
คำสองคำผุดขึ้นในหัวของฟู่เยี่ยน!
เขานึกขึ้นมาได้ในที่สุดว่าในตอนที่หลิงฮันยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งที่อ่อนแอนั้น เขากล้าแม้กระทั่งท้ายทายตระกูลติงและตระกูลเซี่ยว แถมยังทำลายกายหยาบของรุ่นเยาว์ตระกูลหานอีกด้วย
ความกล้าหาญและความสามารถในการสร้างปัญหาของรุ่นเยาว์ผู้นี้ กล่าวได้ว่าท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง
ท่านประมุข… ที่ท่านให้ข้ามาคุ้มครองรุ่นเยาว์ผู้นี้ คงไม่ใช่เพราะท่านอยากฝังข้าลงหลุมหรอกนะ?
“ไม่ว่าเจ้าหนูนี่จะทำอะไรไว้ ใครก็ห้ามลงมือกับเขาเด็ดขาด!” ฟู่เยี่ยนกัดฟันกล่าวประโยคนี้ออกไป เขาหวังลึกๆในใจว่าด้วยการที่ตระกูลฟู่แสดงยอมเสี่ยงขนาดนี้ ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์จะต้องยอมยอมพวกเขา
…
“หัวหน้า พวกเราจะไม่ลงมือกันรึ?” ในระยะที่ห่างออกไป จอมยุทธสตรีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
สตรีชุดเกราะทองจากตำหนักมัจฉาวายุภักษ์สะบัดมือ “ให้ตัวตลกพวกนั้นแสดงละครต่อไปก่อน เพราะอย่างไรพวกเราก็เจอตัวเป้าหมายแล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จำต้องรีบ”
ไม่รู้ว่าฟู่เยี่ยนจะมีสีหน้าเช่นไรหากได้ยินคำพูดนี้ ทั้งๆที่เขาพยายามออกหน้าอย่างสุดตัวแท้ๆ แต่กลับถูกนับว่าเป็นแค่ตัวตลก
แต่สิ่งที่สตรีชุดเกราะทองกล่าวก็ไม่ผิด ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์เช่นพวกนางจำต้องมีตัวหมากที่อ่อนแอด้วยรึ?
ยิ่งกว่านั้นตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็ไม่ใช่ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ทั่วไป ในสายตาของพวกนาง ขุมอำนาจราชานิรันดร์ที่ต่ำกว่าระดับห้านั้น ไม่ขุมอำนาจที่ต้องเก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เพราะงั้นกับแค่การแสดงป่าหี่ของตระกูลฟู่ จะทำให้พวกนางรู้สึกประทับใจได้อย่างไร?
…
เมื่อได้ยินคำพูดที่ฟู่เยี่ยนกล่าวออกมา นิกายอาญาสิ้นแสงและขุมอำนาจอื่นๆก็แทบระเบิดความโกรธออกมา
หากตระกูลฟู่เป็นขุมอำนาจระดับสี่ดาวล่ะก็ พวกเขาก็คงทำใจได้ แต่ประเด็นคือทุกคนในที่สุดต่างก็เป็นขุมอำนาจระดับสามดาวเหมือนกัน แถมตระกูลฟู่ยังถูกจัดอยู่ในลำดับกลางไปถึงล่างอีกด้วย แต่เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ทำตัวโอหังเช่นนี้?
“ผู้อาวุโสฟู่เยี่ยน ท่านเห็นรึไม่ว่าในที่นี้มีตัวแทนจากขุมอำนาจทั้งหมดสามสิบเจ็ดขุมอำนาจ ซึ่งไม่มีขุมอำนาจใดเลยที่อ่อนแอไปกว่าตระกูลฟู่?” หนึ่งในนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณของตระกูลเป่ยหยิ่วทนไม่ไหว และกล่าวข่มขู่ออกมา
ฟู่เยี่ยนตัดสินใจที่จะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขากล่าวกลับไปด้วยรอยยิ้ม “ที่ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับพวกเจ้า พวกเจ้าอย่าได้เลือกทางที่ผิด!”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหล่านิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณทุกคนก็เกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม และสบถด่าจอมยุทธเฒ่าตรงหน้าในใจ
เจ้าหนูนั่นสังหารผู้สืบทอดของพวกข้าไปแล้ว แต่นอกจากเจ้าจะไม่ใช่พวกข้าแก้แค้นแล้ว ยังบอกว่าหวังดีต่อพวกข้าอีกรึ?
เจ้าคิดว่าพวกข้าโง่กันรึไง?
“ฮ่าๆ ถ้าหากผู้อาวุโสฟู่เยี่ยนยืนกรานจะช่วยเจ้าหนูนั่นขนาดนั้น พวกข้าก็คงไม่กล้าลงมือทำอะไร แต่ท่านแน่ใจสินะว่าตระกูลฟู่จะสามารถต้านทานความเกรี้ยวกราด จากขุมอำนาจนับสิบไหว?” จ้าวหลิงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมืดมน ไม่ต้องพูดถึงขุมอำนาจอื่น แค่นิกายอาญาสิ้นแสงของเขาขุมอำนาจเดียว ก็เพียงพอแล้วที่จะบดขยี้ตระกูลฟู่
ฟู่เยี่ยนสะบัดแขนเสื้อ “ไม่ว่าอะไร ตระกูลฟู่ก็จะรับไว้เอง!”
เขากล่าวประโยคนี้ออกไปด้วยท่าทางห้าวหาญและองอาจ
“โอ้ เจ้าแน่ใจรึว่าจะรับไหว?” เสียงอันเย็นชาเอ่ยดังขึ้น พร้อมกับเงาร่างหนึ่งได้ทะยานลงมาจากท้องฟ้า ออร่าที่ร่างนี้ปลดปล่อยออกมานอกจากจะไม่อ่อนแอกว่าฟู่เยี่ยนแล้ว ยังแข็งแกร่งกว่าเสียด้วยซ้ำ
ตอนที่ 1843 พวกเจ้าตกลงกันได้รึยัง?
ปรมาจารย์Anchorระดับขอบเขตตำหนักอมตะ!
“ผู้อาวุโสจื่อเหอ!” ทันทีที่นิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณเห็น พวกเขาก็รีบคุกเข่าเพื่อแสดงความเคารพ
ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะผู้นี้ไม่ใช่แค่มีระดับพลังสูงส่งกว่าพวกเขา แต่ยังมาจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์อีกด้วย เพราะงั้นต่อให้เป็นประมุขของพวกเขา ก็ต้องแสดงความเคารพอย่างถึงที่สุด
คนผู้นี้มีชื่อว่าจื่อเหอจี๋
เมื่อฟู่เยี่ยนเห็นการปรากฏตัวของอีกฝ่าย จิตใจของเขาสั่นไหว กับเชียนจ้าวอวี่และนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณเขายังสามารถแสดงอำนาจกดขี่ได้ ถึงแม้คนเหล่านี้จะร่วมมือกัน เขาก็สามารถจัดการได้ด้วยฝ่ามือเดียว
ต่อให้คนเหล่านี้ใช้อำนาจของเรือรบ เขาก็สามารถใช้ทักษะย่างก้าวในการหลบหลีกได้
หลิงฮันมองดูสถานการณ์ด้วยท่าทางสบายใจ เขานำเก้าอี้ออกมาและนั่งกอดจักรพรรดิน้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
มารดาเจ้าสิ!
ฟู่เยี่ยนแทบจะระเบิดโทสะ เจ้าคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นใครเป็นคนก่อกัน? ฮึ่ม หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีAnchorตำหนักมัจฉาวายุภักษ์อยู่เบื้องหลังล่ะก็ ข้าคงสับเจ้าเป็นชิ้นๆไปแล้ว
ต่อหน้าจื่อเหอจี๋ ฟู่เยี่ยนไม่กล้าแสดงอำนาจบาตรใหญ่อำนาจ “พี่ชายจื่อเหอ โปรดไว้หน้าข้าด้วย!”
จื่อเหอจี๋เผยสีหน้าเย็นชา “ เจ้าเป็นใครข้าถึงต้องยอมไว้หน้า? เจ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติพองั้นรึ?”
ฟู่เยี่ยนสูดหายใจลึกหลายครั้ง หลังจากสงบจิตใจได้เขาจึงกล่าวออกไป “พี่ชายจื่อเหอ รุ่นเยาว์ผู้นี้ล่วงเกินตระกูลท่านอย่างไร?”
จื่อเหอจี๋ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใบหน้าชะงักแข็งค้าง
ถ้าหากบอกออกไปว่า ผู้สืบทอดที่ถูกฝึกฝนโดยขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ถูกจอมยุทธที่ระดับพลังต่ำกว่าสังหาร ตระกูลจื่อเหอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“ไม่จำเป็นต้องพล่ามไร้สาระ เจ้าไสหัวไปซะ!” จื่อเหอจี๋กล่าวอย่างไร้ความอดทน เขาไม่เพียงมีพลังต่อสู้สูงกว่า แต่ยังมาจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์อีกด้วย เพราะงันจึงไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้าฟู่เยี่ยน
ขาของฟู่เยี่ยนสั่นเครือ แน่นอนว่าเขารู้อยู่แล้วว่าจื่อเหอจี๋นั้นมาจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ที่เขาทำได้เพียงแหงนมอง เพียงแต่ว่าเมื่อเขามองไปยังกลุ่มอัศวินหญิงจากตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ที่อยู่ห่างออกไป ภาพที่สตรีชุดเกราะทองสามารถโค่นล้มพวกเขาได้ในหนึ่งกระบวนท่าก็ผุดขึ้นมา
เขากัดฟันกล่าว พี่ชายจื่อเหอ หากไม่ใช่ความบาดหมางที่ยิ่งใหญ่อะไร ไม่ว่าอะไรที่รุ่นเยาว์ผู้นั้นล่วงเกินท่านไป ตระกูลฟู่ของข้าก็ยินดีที่จะชดใช้ให้!”
ในความคิดของเขา หลิงฮันที่มีนิสัยห้าวหาญนั้น อาจจะบังเอิญไปมีความบาดหมางกับผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์อย่างตระกูลจื่อเหอเข้าก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ปัญหาที่ว่าก็น่าจะอยู่ในระดับที่สามารถเกลี่ยไกล่กันได้
“ฮ่าๆๆ!” จื่อเหอจี๋แหงนมองท้องฟ้าและหัวเราะ
ช่างน่าขันนัก หลังจากสังหารผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ไปแล้ว ขุมอำนาจระดับสามดาวกลับกล้าบอกว่าจะชดใช้ให้งั้นรึ?
เจ้ารู้รึเปล่าว่าทรัพยากรที่ทุ่มเทไปกับการฝึกฝนผู้สืบทอด เพื่อให้ตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้นั้น สามารถพลิกขุมอำนาจระดับสามดาวของเจ้าให้กลายเป็ขอทานได้ในพริบตา?
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้ายืนกรานแบบนั้น ข้าก็จะบอกให้!” ดวงตาของจื่อเห๋อจี่ส่องประกายเย็นชา “เจ้าหนูบัดซบนั่น สังหารAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลข้า!”
‘ตุบ’ ร่างของฟู่เยี่ยนทรุดลงกับพื้นทันที ถึงแม้เขาจะเป็นปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะที่ทรงพลัง แต่หัวของเขาในตอนนี้ก็กลายเป็นว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์
เจ้าหนู… นี่เจ้ามีชีวิตมาถึงวันนี้ได้อย่างไร?
ไม่เอาแล้ว… ข้าไม่ยุ่งด้วยแล้ว
ฟู่เยี่ยนรีบลุกขึ้นยืนและกล่าว “ที่แท้เจ้าหนูนั่นก็ทำเรื่องเลวร้ายขนาดนั้นลงไปนี่เอง ข้าผิดไปแล้ว เชิญพี่ชายจื่อเหอลงมือ!” ท่าทีของเขาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เร็วยิ่งกว่าเวลาที่ใช้พลิกหน้ากระดาษเสียอีก
“เหอะ ดีแล้วที่เจ้ากล่าวแบบนั้น เพราะไม่อย่างนั้นเจ้าคงกลายเป็นศพไปแล้ว!” ‘เปรี๊ยะ’ คลื่นอัสนีผ่าลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับชายร่างใหญ่ได้ปรากฏตัว ทั่วร่างของชายผู้นี้ถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้าสีขาว ที่มีตราประทับแห่งเต๋าพัวพันอยู่เป็นจำนวนมาก
จอมยุทธทุกคนล้วนแต่ต้องผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์กันทั้งเพราะ เพราะงั้นอำนาจสายฟ้า จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนเกลียดที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ชายผู้นี้คือซุนเจิ้น หนึ่งในปรมาจารย์ที่ทรงพลังของตำหนักเมฆาอัสนี
หัวใจและตับชิ้นน้อยๆของฟู่เยี่ยนสั่นสะท้านอีกครั้ง หรือว่าแม้แต่ผู้สืบทอดของตำหนักเมฆาอัสนีก็ถูกหลิงฮันสังหารเหมือนกัน?
แม่เจ้า… ยังจะมีใครที่สามารถสร้างปัญหาได้มากกว่าเจ้าหนูนี่อยู่บนโลกอีกรึไม่?
ปัญหาเหล่านี้ไม่อยู่ในระดับที่ตระกูลฟู่สามารถรับมือได้อีกต่อไป ฟู่เยี่ยนจึงเขยิบตัวล่าถอยออกมาอย่างสุภาพ แม้จะถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยามของเชียนจ้าวอวี่และคนอื่นๆ เขาก็ต้องทำเป็นมองไม่เห็น
“หลิงฮัน เจ้าช่างกล้านัก!” ซุนเจิ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักอึ้งราวกับสายฟ้าฟาด
ใบหน้าของหลิงฮันเผยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ข้าเป็นคนที่กล้าหาญอย่างที่ว่าจริงๆ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ใครหลายคนที่สงสัยว่าหลิงฮันสังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นจริงหรือไม่ ก็มั่นใจขึ้นมาทันที
ซุนเจิ้นเค้นเสียงกล่าว “ในเมื่อเจ้ายอมรับแล้ว ก็จงลงนรกไปซะ!”
“พี่ชายซุน ท่านมอบเจ้าหนูนั่นให้เป็นหน้าที่ตระกูลจื่อเหอของข้าดีกว่า!” จื่อเหอจี๋ยื่นมือเข้ามาขวาง
หลิงฮันเป็นเพียงนิรันดร์สามนิพพานสูงสุดเท่านั้น เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะสังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นกับลั่วAnchorจ่างเฟิงได้?
รุ่นเยาว์ผู้นี้จะต้องมีความลับที่ยิ่งใหญ่ซ่อนเอาไว้อย่างแน่นอน เพราะงั้นจื่อเหอจี๋จึงต้องการตัวหลิงฮัน
ซุนเจิ้นหัวเราะ “ก็ได้ ข้าจะเป็นคนสังหารเขาเอง ส่วนเจ้าก็นำศพกลับไป”
จื่อเหอจี๋เองก็หัวเราะตามๆกัน “ในเมื่อต้องส่งตัวเจ้าหนูนั่นมาให้ข้าอยู่แล้ว ก็ให้ข้าเป็นคนสังหารไปเลยก็ได้นี่”
ปรมาจารย์ทั้งสองเริ่มโต้แย้งกัน ทั้งสองฝ่ายต่างต้องการสังหารด้วยตัวเอง เพื่อเป็นคนดูความทรงจากดวงวิญญาณ
หลิงฮันถอนหายใจ “พวกเจ้าตกลงกันได้รึยัง? ข้าไม่มีเวลามารอพวกเจ้านานหรอกนะ” น่าเสียดายที่สุนัขตัวดำจากไปเสียก่อน ไม่เช่นนั้นหากมันแสดงอำนาจที่นี่ล่ะก็ นิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะตัวจ้อยคงถูกจัดการในพริบตา
“พี่ชายซุน งั้นเอาเป็นว่าใครดีใครได้” จื่อเหอจี๋รู้ว่าคงไม่สามารถโน้มน้าวอีกฝ่ายได้แน่ จึงไม่คิดจะเถียงต่อให้เสียเวลา
“ก็ดี!” ซุนเจิ้นพยักหน้า สุดท้ายความบาดหมางระหว่างจอมยุทธ ก็ต้องตัดสินกันด้วยพลังอยู่ดี
พวกเขาต้องแย่งกันว่าฝ่ายไหนจะเร็วกว่า
ครืนน!
เพียงแต่ทันทีที่พวกเขากำลังยกมือขึ้น การโจมตีที่ทรงพลังสองระลอกก็พุ่งมาจากท้องฟ้าอันห่างไกล และโอบล้อมหยุดการเคลื่อนไหวของมือพวกเขาเอาไว้
ตอนที่ 1844 มีปัญหาอะไรให้มาที่ตำหนัก...
หลิงฮันนำจักรพรรดินีเข้าสู่หอคอยทมิฬเป็นที่เรียบร้อย เนื่องจากเขาไม่กล้าเสี่ยง ต่อหน้าตัวตนAnchorระดับขอบเขตตำหนักอมตะ ต่อให้เขากระตุ้นพลังของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ การป้องกันก็คงถูกทำลายได้ในพริบตา
ว่าแต่คราวนี้ใครยื่นมือเข้ามาช่วยอีกนะ?
ภายในหัวของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน อย่างที่รู้กันว่าตัวเขานั้นไม่มีภูมิหลังใดๆอยู่ในดินแดงแห่งเซียนเลย
Anchor
ซุนเจิ้นและจื่อเหอจี๋ตกตะลึง อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ถูกควบแน่นโจมตีมาหยุดยั้งพวกเขานั้น ทรงพลังเป็นอย่างมาก!
“สหายโปรดแสดงตัว!” ซุนเจิ้นมองไปยังระยะที่ห่างไกล
Anchor
มังกรอินทรีกระพือปีกและเหาะเหินเข้ามาใกล้ ปีกของมันที่อ้าออกนั้นมีความยาวถึงสิบฟุต บนแผ่นหลังของมังกรอินทรีมีสตรีสวมชุดเกราะทองผู้นี้นั่งอยู่ ผมของนางสยายอย่างงดงามราวกับปุยเมฆ แถมรอบกายยังปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่ายำเกรงออกมา
ด้านหลังของนาง มีกลุ่มมังกรอินทรีบินตามมาติดๆ โดยที่แผ่นหลังของพวกมันเองก็มีสตรีชุดเกราะนั่งอยู่เช่นกัน เพียงแต่ว่าเกราะของพวกนางนั้นเป็นสีเงิน
“พวกเจ้าจงไสหัวไป!” สตรีชุดเกราะทองเค้นเสียงกล่าว
“สหาย อย่าได้ล้ำเส้นเกินไป!” จื่อเหอจี๋ไม่สบอารมณ์ คิดว่าเขาเป็นใครกัน? เขาคือปรมาจารย์จากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้พูดจาเช่นนี้กับข้า?
สตรีชุดเกราะทองกำแส้ในมือพร้อมกับชำเลืองมองไปยังจื่อเหอจี๋ ราวกับกำลังตักเตือนว่า หากยังต่อต้านอยู่อีกนางจะลงมือทันที
จื่อเหอจี๋สั่นสะท้านด้วยความโกรธ “ดีๆ ดูเหมือนว่าข้าคงต้องสั่งสอนเจ้…”
พรึบ!
ยังไม่ทันที่จื่อเหอจี๋จะพูดจบ สตรีชุดเกราะทองก็สะบัดแส้ในมือ อำนาจที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวแส้นั้น รุนแรงราวกับจะทำให้สวรรค์และปฐพีล่มสลาย และสั่นสะท้านไปทั่วเก้าสวรรค์ชั้นเก้า
จื่อเหอจี๋ตกตะลึงและรีบผลักฝ่ามือตอบโต้ ‘ตูม’ ร่างของเขาถูกทำผลักถอยหลังไปหลายร้อยเมตร โดยที่ฝ่ามือยังคงยื่นค้างไว้ด้านหน้า แขนเสื้อของเขาขาดกระจุยและมีบาดแผลปรากฏให้เห็น
ปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะได้รับบาดเจ็บในหนึ่งกระบวนท่า
ซุนเจิ้นเองตกตะลึงเป็นอย่างมาก ต้องรู้ก่อนว่าทั้งเขาและจื่อเหอจี๋นั้นเป็นนิรันดร์ระดับห้ารากฐานเหมือนกัน ยิ่งพวกเขามาจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ด้วยแล้ว มีรึที่พลังต่อสู้ของพวกเขาจะธรรมดาสามัญ?
แต่ทว่าเพียงแต่การโจมตีครั้งเดียว ก็สามารถสร้างบาดแผลให้กับซุนเจิ้นได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความแตกต่างของพลัง ระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นมีมากมายเพียงใด
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” ซุนเจิ้นเอ่ยถาม
สตรีชุดเกราะทองชี้ไปยังหลิงฮันและกล่าว “ข้ามารับตัวบุรุษผู้นั้น ใครขัดขวางจะต้องตาย!”
ช่างโอหังนัก!
หัวใจของฟู่เยี่ยนเต้นแรง ทั้งๆทั้งสองฝ่ายมาจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดณ์เหมือนกันแท้ๆ แต่เหตุใดปรมาจารย์ของAnchorตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ถึงได้แข็งแกร่งขนาดนั้นกัน? ในหมู่ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ มีความต่างชั้นของพลังที่มากมายขนาดนี้ด้วยงั้นรึ?
หรือในความเป็นจริงเขาจะคิดผิด และควรจะยืนกรานปกป้องหลิงฮันจนถึงที่สุดดี?
หลิงฮันรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้จักสตรีชุดเกราะทองผู้นี้เลยแท้ๆ แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้มารับตัวเขา แถมยังยอมที่จะล่วงเกินขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ทั้งสองอีก?
“สหาย รุ่นเยาว์ผู้นี้สังหารผู้สืบทอดของตระกูลจื่อเหอของข้า กับผู้สืบทอดของตำหนักเมฆาอัสนี เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถนำตัวเขาไปได้ตามใจชอบงั้นรึ?” จื่อเหอจี๋กล่าว เขารู้ว่าสตรีชุดเกราะทองผู้นี้มีพลังต่อสู้ที่เหนือกว่าเขา แต่พวกเขาก็ยังมีเรือรบระดับสี่อยู่ มีรึที่ระดับขอบเขตตำหนักอมตะจะสามารถต้านทานไหว?
สตรีชุดเกราะทองมองไปยังจื่อเหอจี๋ด้วยจิตสังหารอันเดือดดาล แต่ก็พยายามระงับอารมณ์เอาไว้ “หากมีปัญหาอันใดก็มาที่ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ ไม่ว่าพวกเจ้าจะเป็นใคร ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็จะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง!”
“เพราะงั้นตอนนี้ พวกเจ้ารีบไสหัวไปได้แล้ว!”
ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์!
สมองของหลิงฮันสั่นไหว เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงยื่นมือมาช่วยเขา ที่แท้พวกนางก็มาจากตำหนักมัจฉาวายุภักษ์นั่นเอง!
“แล้วฮูหนิวล่ะ นางอยู่ที่นี่รึเปล่า?” หลิงฮันรีบเอ่ยถาม
สตรีชุดเกราะทองสะบัดแส้อย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “ประมุขหญิงน้อยมีชื่อว่าเทียนหยิน!”
หลิงฮันหัวเราะ “ฮูหนิวไม่ได้มารึ?”
จมูกของสตรีชุดเกราะทองแทบบิดเบี้ยว นี่สมองของเจ้ามีปัญหารึเปล่า? ข้าบอกไปแล้วว่าประมุขหญิงน้อยมีชื่อว่าเทียนหยุน เจ้าก็ยังจะเรียกนางว่าฮูหนิวอยู่อีก
“ประมุขหญิงน้อยจำเป็นต้องบ่มเพาะพลัง นางจึงไม่ได้มาด้วย” นางกล่าวโดยพยายามระงับความไม่สบอารมณ์เอาไว้
จื่อเหอจี๋และซุนเจิ้นสับสน ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์คือขุมอำนาจใดกัน?
ดินแดนแห่งเซียนนั้นกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก แถมยังมีเขตมหาสมุนไร้พรมแดนกั้นเอาไว้อีก ต่อให้อยู่ในแผ่นดินผืนเดียวกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่ขุมอำนาจทั้งหมดจะรู้จักกัน
“ต่อให้เจ้ามาจากตำหนักมัจฉาวายุภักษ์แล้วมันอย่างไร?” จื่อเหอจี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ คิดรึว่าเขาจะยอมให้ผู้สืบทอดของตระกูลจื่อเหอจะตายสูญเปล่า?
“รนหาที่ตาย!” สตรีชุดเกราะทองเค้นเสียงเย็นชา ‘พรึบ’ และสะบัดแส้ออกไป
ครั้งนี้จื่อเหอจี๋เตรียมตัวรับมือเอาไว้แล้ว เขารีบโคจรทักษะระดับราชานิรันดร์เพื่อปลดปล่อยอำนาจอันไร้ที่สุดสิ้น ที่เหนือศีรษะของเขามีห้วงดาราปรากฏออกมาและแปรเปลี่ยนกลายเป็นพยัคฆ์ขาว พยัคฆ์ขาวตนนี้อ้าปากกว้างและพ่นเล่มดาบสีทองเข้าใส่สตรีชุดเกราะทอง
‘ครืนนน’ เพียงแต่ว่าอำนาจของแส้ในครั้งนี้นั้น ทรงพลังยิ่งกว่าครั้งที่แล้วหลายร้อยเท่า จื่อเหอจี๋ตกตะลึงสุดขีดแต่ก็ไม่สามารถหลบหลีกทัน แส้ที่ฟาดลงมาได้ผ่าร่างของเขาออกเป็นสองส่วนตั้งแต่หัวจรดเท้าแยก
เขาคิดจะโคจรทักษะนิรันดร์เพื่อผสานร่างกลับ แต่พลังทำลายล้างของแส้ก็ระเบิดออกมา ‘ตูมม’ ร่างสองส่วนของเขาถูกบดขยี้กลายเป็นเศษเนื้อนับล้านชิ้นในพริบตา
นิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะห้ารากฐานที่ทรงพลัง ถูกสังหารภายในหนึ่งกระบวนท่า
ฮึ่มม!
ทุกคนตกตะลึงและกลายเป็นไร้คำพูด พวกเขารู้สึกหวาดเสียวที่แผ่นหลัง พร้อมกับหยาดเหงื่อได้ไหลท่วมหน้าผาก
ซุนเจิ้นเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ขาของเขาสั่นไหวอ่อนแรง เพราะกลัวว่าตนเองจะกลายไปเป็นเหมือนกับจื่อเหอจี๋
ในขณะเดียวกัน ทางด้านของฟู่เยี่ยนนั้น ปากของเขาอ้าค้างเปิดกว้างและพูดอะไรไม่ออก
ก่อนหน้านี้ที่สตรีชุดเกราะทองผกล่าวว่าจะสังหารหานลั่ว และก็ลงมือสังหารโดยไม่คิดอะไรนั้น เขายังพอรับได้เพราะไม่ว่าอย่างไร ตระกูลหานก็เป็นเพียงขุมอำนาจระดับสามดาว แต่จื่อเหอจี๋นั้นไม่เหมือนกัน อีกฝ่ายเป็นถึงคนของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ แต่เจ้าก็ยังสังหารเขาไปโดยไม่คิดอะไรงั้นรึ?
ไม่รู้ว่านางกล้าหาญบ้าบิ่น หรือมั่นใจในพลังของตนเองกันแน่
ในหมู่ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์มีสถานะแบบใดกันแน่?
สตรีชุดเกราะทองมองไปยังซุนเจิ้นอย่างเย็นชา สายตาอันหยิ่งทะนงของนางกำลังกล่าวเตือนว่า หากเจ้ากล้าพล่ามอะไรอีกครั้ง ข้าจะสังหารเจ้าด้วย
ซุนเจิ้นหุบปากเงียบแต่โดยดี เนื่องจากเขายังไม่อยากตาย
เพียงแต่เขาก็ตัดสินใจเอาไว้ในใจแล้วว่า เมื่อใดที่เขากลับขึ้นไปยังเรือรบ เขาจะใช้ปืนใหญ่ของเรือกระหน่ำยิงสังหารสตรีผู้นี้ให้ตายให้ได้
ผู้คนโดยรอบไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว สตรีชุดเกราะทองผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป แม้แต่ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
Anchor
หลินฟาง เถิงเซินและเหวยเหนียนใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด ไม่น่าเชื่อว่าหลิงฮันจะมีภูมิหลังที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้
บัดซบ… เจ้าเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์แท้ๆ แล้วที่ผ่านมาเจ้าจะมัวเสแสร้งอยู่ทำไม?
พวกเขาจบสิ้นแล้ว!
ตอนที่ 1845 หนึ่งกระบวนท่าปลิดชีพ
หลิงฮันไม่เคยมีความคิดจะปล่อยพวกหลินฟางให้มีชีวิตรอด เพียงแต่ก่อนหน้านี้ ทั้งสามคนบังเอิญหลบหนีไปได้ก็เท่านั้น
“มาประลองกัน หากพวกเจ้าสามคนรับสามกระบวนท่าของข้าได้ ข้าจะยอมไว้ชีวิต!” หลิงฮันก้าวเดินไปหาพวกหลินฟาง
พวกหลินฟางทั้งสามอยากจะเผ่นหนี แต่สตรีชุดเกราะเงินทั้งเก้าคนก็ขี่มังกรอินทรีมาล้อมพวกนางเอาไว้
ทั้งสามคนมองไปยังปรมาจารย์ของตระกูลตนเองด้วยแววตาอ้อนวอน แต่ปรมาจารย์แต่ละคนก็ทำได้เพียงส่ายหัว
ล้อเล่นรึเปล่า เจ้าไม่เห็นรึไงว่าแม้แต่จื่อเหอจี๋ก็ยังถูกสังหารในไม่กี่ลมหายใจ!
“ต้องลงมือพร้อมกัน!” พวกหลินฟางทั้งสามคนกัดฟันมองหน้ากัน
พวกเขารู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮัน แต่ถ้าหากเพียงแค่รับสามกระบวนท่าล่ะก็ คงน่ามีปัญหาอะไร
“ก็เข้ามาพร้อมกันทั้งสามคนนั่นล่ะ ข้าไม่ได้มีเวลาเยอะหรอกนะ” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส “สามกระบวนท่า! ตราบใดที่พวกเจ้ารอดชีวิตหลังจากสามกระบวนท่า ข้าจะคิดเสียว่าพวกเจ้าเป็นเพียงอากาศธาตุ และจะยอมไว้ชีวิต”
เมื่อทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้น ความมั่นใจของพวกเขาก็มีเพิ่มขึ้น
ถ้าพวกเขาร่วมมือกัน กับแค่สามกระบวนท่าของหลิงฮัน พวกเขาจะไม่สามารถต้านทานไหวเชียวหรือ?
สตรีชุดเกราะทองรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก นางพาดสองมือไว้ด้านหลัง และไม่เร่งเร้าหลิงฮัน
นางรู้ดีว่าประมุขหญิงน้อยหลงใหลบุรุษผู้นี้ขนาดไหน ซึ่งคำถามของนางก็คือ หลิงฮันจะเหมาะสมกับประมุขหญิงน้อยรึไม่?
เพราะงั้นนางจึงอยากเห็นด้วยตาตนเองว่า ความแข็งแกร่งของหลิงฮันจะอยู่ในระดับใด
พวกหลินฟางนั้น เมื่อเห็นว่าหลิงฮันไม่ยอมเป็นฝ่ายโจมตีก่อน พวกนางก็แสยะยิ้มในใจ หลังจากพยักหน้าให้กันแล้ว ทั้งสามคนก็รีบโคจรพลังเพื่อเตรียมปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังที่สุด
‘ครืน ครืน ครืน’ ร่างของทั้งสามคนพรั่งพรูไปด้วยตราประทับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ ในฐานะที่เป็นราชาแห่งยุค แน่นอนว่าพลังต่อสู้ของพวกเขาย่อมไม่อ่อนแอ โดยเพราะพวกเขาทั้งสามที่บรรลุระดับสี่นิพพานสูงสุดแล้ว ในระดับโลกียนิพพานนี้ พวกเขาแทบจะเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานที่สุด
ทั้งสามคนไม่เชื่อว่าหากร่วมมือกันแล้ว พวกตนจะไม่สามารถรับสามกระบวนท่าของหลิงฮันได้
ณ เวลานี้ ฟู่เกาหยุนและกลุ่มของเขาก็ออกมาจากเขตแดนลี้ลับพอดี โดยที่ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์เลยแม้แต่น้อย พวกเขาตกตะลึงเป็นอย่างมากที่เห็นหลิงฮันกำลังจะเริ่มการปะทะอีกแล้ว
หืม ทำไมผู้อาวุโสฟู่เยี่ยนถึงอยู่ที่นี่กัน?
กลุ่มของพวกเขารีบเคลื่อนที่ไปหา และเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ทันทีที่ได้ยินเรื่องราวกับทั้งหมด พวกฟู่เกาหยุนแต่ละคนก็ร่างชะงักแข็งค้าง
ละ… หลิงฮันเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์!
จิตใจของฟู่เกาหยุนเต็มไปด้วยความรู้สึกขมขื่น หากก่อนหน้านี้เขายอมทนต่อแรงกดดันให้ถึงที่สุด ความสัมพันธ์ที่เขามีต่อหลิงฮัน จะสร้างผลประโยชน์ให้เขาได้อย่างมหาศาล
“จัดการ!” พวกหลินฟางสามคนลงมือพร้อมกัน แต่ละคนต่างปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดเข้าใส่หลิงฮัน
พากเป็นฝ่ายโจมตีก่อน โอกาสที่พวกเขาจะรอดชีวิตในสามกระบวนท่าก็จะเพิ่มสูงขึ้น
หลิงฮันเผยรอยยิ้ม พริบตาเดียวกันคลื่นพลังอันน่าสะพรึงก็ไหลทะลักออกมาจากร่างกายของเขา
ใบหน้าของเหล่าตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณเปลี่ยนไป และแสดงออกถึงความตกตะลึง
คลื่นพลังที่พรั่งพรูออกมานี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก ถึงแม้มันจะยังห่างชั้นกับพลังของระดับแบ่งแยกวิญญาณอยู่มากโข แต่มันก็ทรงพลังว่าระดับสี่นิพพานไม่รู่กี่เท่าต่อกี่เท่า แถมประเด็นก็คือพลังบ่มเพาะของหลิงฮันยังอยู่ในระดับสามนิพพานสูงสุดเท่านั้น เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะปลดปล่อยอำนาจที่น่าสะพรึงขนาดนี้ออกมา?
Anchor
ร่างของซุนเจิ้นชะงักไปชั่วขณะ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหลิงฮันใช้วิธีการชั่วร้ายบางอย่างในการลอบสังหารลั่วAnchorจ่างเฟิง แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า หลิงฮันไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น
สตรีชุดเกราะทองเองก็ประหลาดใจเล็กน้อย จริงอยู่ที่ว่าแม้ในระดับเดียวกัน พลังต่อสู้ของหลิงฮันจะเทียบไม่ได้กับฮูหนิว แต่ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์นั้นเป็นถึงขุมอำนาจราชานิรันดร์ระดับเก้า ในขณะที่หลิงฮันนั้นเป็นเพียงจอมยุทธตัวจ้อยไร้ภูมิหลัง
เพราะงั้นการที่หลิงฮันสามารถขัดเกลาพลังของตนเองให้ด้อยกว่าฮูหนิวเพียงเล็กน้อยได้ ทำให้นางรู้สึกตกตะลึงอย่างแท้จริง
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมเขาถึงได้ทำให้ประมุขหญิงน้อยหลงรักได้
ที่แท้บุรุษผู้นี้ก็มีศักยภาพโดดเด่นถึงเพียงนี้!
‘ครืนนน’ การโจมตีของพวกหลินฟาง ส่องประกายเจิดจ้าไปทั่วพื้นที่
หลิงฮันส่ายหัวพร้อมกับโคจรอำนาจของแก่นกำเนิดนิรันดร์เปลวเพลิง ความสอดคล้องของเขากับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงผสานรวมเป็นหนึ่งเดียว และปลดปล่อยการโจมตีที่เหนือกว่าระดับพลังบ่มเพาะหลายเท่าตัวออกไป
‘ตูม’ เปลวเพลิงอันร้อนระอุก่อตัวรวมกันเป็นคลื่นระเบิดยักษ์ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงพรั่งพรูและโหมกระหน่ำดั่งคลื่นสมุทรไปทั่วบริเวณ นิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณมากมาย จำเป็นต้องลงมือปัดเป่ากระแสพลังที่ไหลล้นออกมา เพื่อไม่ให้รุ่นเยาว์ของตนถูกลูกหลงไปด้วย
การโจมตีตรงหน้านี้มีพลังทำลายล้างอยู่เหนือขีดจำกัด ของระดับโลกียนิพพานไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
ผู้อาวุโสตระกูลหลิน ผู้อาวุโสตระกูลเถิง และผู้อาวุโสเหวยกัดฟันอย่างไม่ยินยอม ภายใต้อำนาจของคลื่นเปลวเพลิงนี้ อย่าว่าแต่พวกหลินฟางจะรอดชีวิตหรือไม่เลย เกรงว่าร่างของทั้งสามคงถูกแผดเผาไม่เหลือแม้แต่เศษเนื้อไปแล้ว
ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ หลังจากที่คลื่นเปลวเพลิงสลายไป ร่างของหลินฟาง เถิงเซิน และเหวยเหนียนก็หายไปแล้วตลอดกาล
หลิงฮันปัดฝุ่นที่มือและหันไปหัวเราะให้กับสตรีชุดเกราะทอง “ผู้อาวุโส พวกเราจะไปกันได้รึยัง?”
การที่เขาจะข้ามเขตมหาสมุนไร้พรมแดนด้วยตนเอง เป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างมาก แต่ถ้าหากเขาติดตามกลุ่มสตรีชุดเกราะทองเหล่านี้กลับไปล่ะก็ เขาจะข้ามเขตมหาสมุนไร้พรมแดนได้อย่างปลอดภัยแน่นอน
สตรีชุดเกราะทองแน่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “อืม”
สายตาของนางกวาดมองผู้คนโดยรอบ ซึ่งก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้าสบตานาง และรีบก้มหัวอย่างรวดเร็ว แม้แต่ซุนเจิ้นเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
จริงอยู่สตรีชุดเกราะทองมาจากขุมอำนาจห้าดาวเช่นเดียวกับเขา แต่ในด้านของพลังต่อสู้ เขากลับไม่สามารถเทียบนางได้เลยแม้แต่น้อย
ณ เวลานี้ในหัวของซุนเจิ้นมีความคิดอยู่เพียงหนึ่งเดียวคือ ทันทีที่เขากลับขึ้นไปยังเรือรบแล้ว เขาจะใช้ปืนใหญ่กระหน่ำโจมตีสตรีผู้นี้ให้สิ้นซาก
“เหอะ ช่างเป็นแผนชั่วร้ายที่รนหาที่ตายเสียจริง!” ดวงตาของสตรีชุดเกราะทองส่องประกายโหดเหี้ยม และผลักฝ่ามือเข้าใส่ซุนเจิ้น
ซุนเจิ้นตกตะลึงแต่ก็ไม่กล้าโจมตีตอบโต้ เขารีบกระโดดถอยหลังและกล่าว “สหายโปรดอย่าเข้าใจผิด!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น