Alchemy Emperor of the Divine Dao 1827-1836

ตอนที่ 1827 การต่อสู้อันดุเดือดรูปแบบ...

 

หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูดกับแผนการของราชาในหมู่ราชาทั้งสอง ที่คิดจะฉีกกระชากเสื้อผ้าของเขา


ถึงแม้การถูกทำลายเสื้อผ้าจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเขาก็ตาม แต่ประเด็นคือเขาไม่ได้อยากโป๊เปลือย!


ไม่ต้องกล่าวถึงตอนนี้ที่มีภรรยาของเขากับธิดาโร๋วอยู่ด้วยเลย ต่อให้พวกนางทั้งสองไม่อยู่ เขาก็ไม่อยากเผยร่างโป๊เปลือยให้พวกลั่วAnchorจ่างเฟิงเห็น


ถ้าคิดจะโป๊ล่ะก็ พวกเจ้าก็โป๊เองสิ!


หลิงฮันเกรี้ยวกราดและโจมตีเข้าใส่เสื้อผ้าของลั่วจ่างเฟิงและAnchorจื่อเหอAnchorปิงอวิ๋น มาดูกันว่าฝ่ายไหนจะโป๊เปลือยก่อนกัน


การต่อสู้ของจักรพรรดิและราชาในหมู่ราชานั้นย่อมดุเดือดเป็นอย่างมาก แต่ทว่าธิดาโร๋วที่มองดูอยู่กับแสดงสีหน้าปั้นยากออกมาแทน


นี่ราชาในหมู่ราชาเช่นพวกเจ้าสู้กัน โดยต่างฝ่ายต่างพยายามฉีกเสื้อผ้าของกันและกันเหมือนกับนักสู้ข้างถนนแบบนี้น่ะรึ?


ทางด้านของหลิงฮันนั้น กายหยาบของเขาไร้เทียมทานและสามารถรับการโจมตีของราชาในหมู่ราชาทั้งสองได้อย่างไม่หวั่นเกรงก็จริง เพียงแต่ว่าเสื้อผ้าของเขานั้นไม่ใช่


ต่อให้เสื้อผ้าของเขาจะถูกทักทอมาจากวัสดุเซียนและขนของสัตว์อสูรนิรันดร์ แต่มีรึที่มันจะต้านทานการกระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่งของจอมยุทธระดับสามนิพพาน ที่ใช้อำนาจของราชานิรันดร์ได้?


เสื้อผ้าของหลิงฮันถูกฉีกขาดจนเละเทะอยากไม่หน้าแปลกใจ เพียงแต่ว่าสภาพของลั่วจ่างเฟิงกับจื่อเหอปิงอวิ๋นก็ไม่ได้ต่างไม่จากเขาเหมือนกัน ณ เวลานี้ทั้งสามคนสวมใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นราวกับขอทาน


สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกลั่วจ่างเฟิงหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขารู้ตัวดีว่า ตนไม่สามารถต้านทานอำนาจเปลวเพลิงของสวรรค์และปฐพีในสถานที่แห่งนี้ได้ เมื่อใดที่เกราะโลหิตมังกรของพวกเขาพังทลาย ชีวิตของพวกเขาจะต้องดับสูญ


แต่ในความหวาดกลัวก็มีความดีใจแฝงอยู่บ้าง เพราะการที่หลิงฮันโจมตีตอบโต้พวกเขาอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ แสดงว่าอีกฝ่ายก็กำลังหวาดกลัวอยู่เหมือนกัน


ชัยชนะขึ้นอยู่กับว่า ฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายต้านทานไม่ไหวก่อน


ต้องฉีกกระชากไม่ให้เหลือ!


ราชาในหมู่ราชาทั้งสองกัดฟันและพยายามทำลายเสื้อผ้าของหลิงฮันต่อไป


เจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะเป็นฝ่ายทำลายเสื้อผ้าของข้าได้ฝ่ายเดียว?


หลิงฮันเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาไม่ต้องการเปิดเผยก้นต่อหน้าสาธารณชน


‘พรึบ’ เพลิงเก้าสวรรค์ถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นดาบเพลิงด้วยทักษะควบคุมเปลวเพลิง และสะบั้นเข้าใส่ราชาในหมู่ราชาทั้งสอง ถึงแม้ลั่วจ่างเฟิงกับจื่อเหอปิงอวิ๋นจะแข็งแกร่งแค่ไหน ทั้งสองคนก็ไม่สามารถต้านทานอำนาจของแก่นกำเนิดสวรรค์และปฐพีที่ถูกใช้ออกด้วยทักษะระดับราชานิรันดร์ได้อย่างสมบูรณ์


“ใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุด!” จื่อเหอปิงอวิ๋นกัดฟันและกล่าวกับลั่วจ่างเฟิง หากยังปล่อยเอาไว้แบบนี้ เกรงว่าสภาพพวกเขาคงไม่ดีไปกว่าหลิงฮัน


ลั่วจ่างเฟิงกัดฟันและตบฝ่ามือเข้าที่หน้าอก ‘อัก’ ทันใดนั้นโลหิตระลอกหนึ่งก็ไหลออกมาจากปากของเขา


โลหิตที่ไหลออกมาส่องประกายแสงแวววาว ก่อนจะระเหยและถูกดูดซับเข้าไปในเกราะแขน พริบตาหลังจากนั้น เกราะแขนที่ส่องประกายเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ส่องแสงสว่างยิ่งกว่าเดิม และถูกปกคลุมไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าอันลึกล้ำ


ร่างของลั่วจ่างเฟิงอ่อนแรงอยู่ชั่วครู่ เกราะแขนที่เขาสวมใส่อยู่นั้นสามารถปลดปล่อยอำนาจสูงสุดได้อยู่ในของเขตของระดับโลกียนิพพานเท่านั้น แต่เมื่อครู่เขาได้ยอมเผาผลาญแก่นโลหิตของตนเองเพื่อที่อำนาจของเกราะแขนจะได้ยกระดับสูงขึ้น


ในขณะเดียวกัน สีหน้าของจื่อเหอปิงอวิ๋นก็เปลี่ยนเป็นมืดมน ทั่วร่างของนางมีตราประทับแห่งเต๋าหลั่งไหลออกมาทีละน้อย ก่อนที่ที่บริเวณหน้าอกของนาง จะมีดาบโปร่งใสลอยออกมา


นี่คืออำนาจของแก่นกำเนิดนิรันดณ์ห้วงมิติ!


นางเผาผลาญแก่นพลังของตนเองจนเส้นผมบริเวณจอนเปลี่ยนเป็นสีขาว เพื่อที่จะสร้างดาบห้วงมิติวิญญาณเล่มนี้ขึ้นมา


“ลงมือ!”


ลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋นปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดเข้าใส่หลิงฮันพร้อมกัน


ตูม!


ทันทีที่การโจมตีถูกปลดปล่อยออกมา คลื่นแสงทำลายอันเจิดจ้าก็ปกคลุมไปทั่วร่างหลิงฮันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆจางหาย


ร่างโป๊เปลือยของหลิงฮันค่อยๆประจักษ์ต่อสายตาทุกคน โชคดีที่ในตอนนี้ทั่วร่างของเขาถูกชโลมไปด้วยโลหิต ทำให้ผิวหนังไม่ได้ถูกเปิดเผยทุกส่วน


เนื่องจากว่าการโจมตีเมื่อครู่อัดแน่นไปด้วย อำนาจของตราประทับและสมบัติของราชานิรันดร์ กายหยาบของหลิงฮันจึงรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก


จื่อเหอปิงอวิ๋นกับลั่วจ่างเฟิงชะงักและกลายเป็นไร้คำพูด แน่นอนว่าสิ่งที่ให้ทั้งสองคนตกตะลึงไม่ใช่เพราะเห็นอวัยวะบางส่วนของหลิงฮัน แต่เป็นทั้งๆที่หลิงฮันรับการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของพวกเขาไปแล้ว ยังได้รับบาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้อยต่างหาก


แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็จบกันแค่นี้ล่ะ!


ไหนดูสิ เจ้าสวมใส่เกราะโลหิตมังกรเอาไว้ส่วนไหน?


ทั้งสองคนพยายามมองหา แต่ก็มองไม่เห็นชิ้นส่วนของเกราะโลหิตมังกรอยู่ที่อวัยวะส่วนไหนเลย


ธิดาโร๋วที่มองดูอยู่อยากจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าเป็นอย่างมาก แต่ด้วยพลังของตัวตนระดับนิรันดร์ที่ทรงพลังเช่นนาง สัมผัสสวรรค์ก็ยังสามารถใช้มองแทนดวงตาได้อยู่ดี ซึ่งต่อให้ปิดตาไป นางก็ยังสามารถมองเห็นก้นของหลิงฮันที่อยู่ต่อหน้านางได้อย่างชัดเจน


หลิงฮันนำเสื้อผ้าส่วนหนึ่งออกมาพันไว้ที่รอบเอวชั่วคราว ก่อนจะจ้องมองไปยังพวกลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋นด้วยแววตาเกรี้ยวกราด


“ตาย!”


หลิงฮันกระหน่ำปลดปล่อยการโจมใส่ทั้งสองคน


ตอนนี้ลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋นกำลังอยู่ในสภาพที่อ่อนแรงเป็นอย่างมาก เนื่องจากเพิ่งใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดออกไป เพราะงั้นคิดว่าจะเป็นไปได้รึ ที่ทั้งสองจะสามารถรับการโจมตีอันบ้างคลั่งของหลิงฮัน?


ยิ่งกว่านั้นเป้าหมายของการโจมตีของหลิงฮันก็ยังเป็นเสื้อผ้าของพวกเขาทั้งสองคนด้วย ซึ่งการจะป้องกันไม่ให้ฉีกขาดเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก


เสื้อผ้าของจื่อเหอปิงอวิ๋นกับลั่วจ่างเฟิงขาดวิ่นและลอยกระจัดกระจายไปทั่ว ก่อนจะเผยให้เห็นผิวอันเรียบเนียน


ทางด้านของลั่วจ่างเฟิงนั้นยังดีเพราะเป็นบุรุษ แต่ในด้านของจื่อเหอปิงอวิ๋น เสื้อผ้าที่ขาดแหว่งเป็นรูนับไม่ถ้วนจนเผยให้เห็นอวัยวะแทบจะทุกส่วนนั้น ทำให้นางรู้สึกอับอายจนแทบจะฆ่าตัวตาย


เพียงแต่ว่าก่อนหน้าจะไปกังวลเรื่องนั้น นางยังมีเรื่องที่เป็นต้องกังวลมากกว่า


ตอนนี้เกราะโลหิตมังกรปรากฏรูพุพังนับไม่ถ้วน ซึ่งส่งผลให้อำนาจคุ้มกันของมันค่อยๆหายไป


นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวจากภายนอก ค่อยๆไหลผ่านเข้ามาในรูของเกราะ แต่ไม่ว่าอย่างไรในตอนนี้ อำนาจของเกราะโลหิตมังกรก็ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งพอที่จะช่วยประคับประคองนางไปได้อีกชั่วคราว


หนี!


จื่อเหอปิงอวิ๋นหันหลังและล่าถอยอย่างไม่ลังเล


หากนางต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ล่ะก็ ต่อให้ได้หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์มาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ก่อน


นางกลัวตายจนไม่แยแสความเป็นความตายของลั่วจ่างเฟิงเลยแม้แต่น้อย นางตัดสินใจเผ่นหนีอย่างเด็ดขาดราวกับลืมไปแล้วว่า เมื่อครู่นางกับลั่วจ่างเฟิงเพิ่งร่วมสู้ด้วยกันมา


“ฮึ่ม!” แต่คิดรึว่าหลิงฮันจะปล่อยให้นางทำตามใจชอบ? คราวนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องสังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นความเคียดแค้นของเขาจะไม่สลายไป และจิตใจจะไม่มีวันสงบสุข

 

 

 


ตอนที่ 1828 สังหาร

 

ทางด้านของลั่วAnchorจ่างเฟิงนั้น ตอนนี้ความคิดในหัวของเขากำลังขัดแย้งกัน


ควรจะหนีหรือไม่หนีดี?


หากจะหนีล่ะก็ ตอนนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นที่กำลังถูกไล่ล่าเอาชีวิตนั้น ในช่วงวิกฤตเป็นตาย นางจะสามารถระเบิดพลังเฮือกสุดท้ายออกมาถ่วงเวลาหลิงฮันเอาไว้ได้ ซึ่งนานพอที่จะทำให้เขาหลบหนีพ้น


แต่ถ้าหากเขาเลือกที่จะหนีไป หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ก็จะตกไปอยู่ในมือของหลิงฮันอย่างแน่นอน


ลั่วจ่างเฟิงนั้นครุ่นคิดอย่างรวดเร็วและตัดสินใจหลบหนี ขนาดการโจมตีผสานที่ทรงพลังที่สุดของเขากับจื่อเหอปิงอวิ๋นก็ยังไม่สามารถสังหารหลิงฮันได้ ต่อให้เขาอยู่ต่อไปก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี


แถมเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือ หลิงฮันนั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่แม้จะไม่สวมเกราะโลหิตมังกร ก็ไม่ได้รับผลกระทบจากอำนาจเปลวเพลิงของเขตแดนลี้ลับแห่งนี้!


‘พรึบ’ แต่ในขณะที่เขาหันหลังและพยายามหลบหนีนั่นเอง จู่ๆคลื่นดาบก็พุ่งทะยานมาขวางทางเขา


ผู้ที่โจมตีคือจักรพรรดินี


ลั่วจ่างเฟิงชะงักก่อนจะหันไปมองจักรพรรดินีและกล่าว “แม่นางจงมากับข้า ด้วยอำนาจของข้า ในอนาคตข้าจะช่วยให้เจ้ามีสถานะเป็นถึงคุณหนูแห่งตำหนักเมฆาอัสนี!”


‘พรึบ’ จักรพรรดิให้คำตอบโดยการปลดปล่อยปราณดาบโจมตีอีกครั้ง


ลั่วจ่างเฟิงไม่คิดจะโน้มน้าวให้เสียเวลา เขาผลักฝ่ามือโจมตีตอบโต้จักรพรรดินีและทะยานร่างหลบหนีอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอย่างไร สิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือต้องหนีออกจากที่นี่ให้ได้ก่อน


จักรพรรดินีเค้นเสียงดูถูก ก่อนที่ร่างหลักและร่างแยกทั้งเก้าของนางจะทำการอัญเชิญสัตว์อสูรสงครามเปลวเพลิงนับร้อยออกมา


ถึงแม้นางจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของลั่วจ่างเฟิง แต่ก็สามารถถ่วงเวลาเอาไว้ได้ชั่วขณะ เนื่องจากในตอนนี้ อีกฝ่ายกำลังอยู่ในสภาพที่อ่อนแรงที่สุด


แผนการของจักรพรรดินีนั้นดูออกได้ไม่ยาก นางต้องการถ่วงเวลาลั่วจ่างเฟิงเอาไว้ เพื่อรอให้หลิงฮันเป็นคนกลับมาจัดการ


หลิงฮันจดจ้องไปยังจื่อเหอปิงอวิ๋นที่กำลังเผ่นหนี เขานำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาพร้อมกับอัญเชิญสัตว์อสูรสงครามทั้งสิบ หลังจากที่พลังบ่มเพาะของเขาบรรลุเป็นนิรันดร์สามนิพพานแล้ว พลังของสัตว์อสูรสงครามก็ถูกยกระดับขึ้นมาหลายเท่า พวกมันแต่ละตัวมีพลังต่อสู้ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าจื่อเหอปิงอวิ๋น


ยิ่งพอพวกมันทั้งสิบโจมตีพร้อมกันแล้ว มีรึที่จื่อเหอปิงอวิ๋นจะต้านทานไหว?


“หากเจ้าสังหารข้า เจ้าจะถูกตัวตนทรงพลังของตระกูลจื่อเหอไล่ล่า! เจ้าควรรู้เอาไว้ว่า ถ้าหากเป็นศัตรูกับขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ล่ะก็ ต่อให้หนีไปสุดขอบโลก เจ้าก็ไม่มีวันรอดชีวิต!” จื่อเหอปิงอวิ๋นไม่ร้องขอความเมตตาและเลือกที่จะข่มขู่


หลิงฮันไม่แยแส เขาตั้งปฏิญาณเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสังหารสตรีที่ไร้ความเป็นมนุษย์ผู้นี้ให้ได้


จื่อเหอปิงอวิ๋นรู้สึกสิ้นหวังอย่างแท้จริง กายหยาบของหลิงฮันไร้เทียมทานถึงขนาดที่สามารถท้านทานการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของนางได้ เพราะงั้นต่อให้นางลงมือโจมตีต่อไป อย่างมากหลิงฮันก็คงจะได้รับบาดเจ็บแค่เล็กน้อยเท่านั้น


นางตาของนางส่องประกายโหดเหี้ยม ถ้าหากนางจะต้องตายอยู่ที่นี่ นางก็จะลากหลิงฮันไปด้วย!


เรือนร่างของจื่อเหอปิงอวิ๋นสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆโปร่งใส ราวกับตัวตนของนางได้หายไปจากจุดที่นางยืนอยู่


หลิงฮันกวัดแกว่งดาบสะบั้นเข้าใส่นาง แต่แทนที่นางจะหลบหลีก นางกลับเลือกที่จะพุ่งทะยานร่างเข้าหาหลิงฮันแทน


‘ฉัวะ’ ดาบอสูรนิรันดร์ตัดผ่านร่างโปร่งใสของนางโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น


จื่อเหอปิงอวิ๋นรีบเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว และอ้าแขนโอบรัดหลิงฮันเอาไว้แน่น โดยที่เรือนร่างอันงดงามของนางได้มีตราประทับจำนวนมากพรั่งพรูออกมา


นี่คือการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของนางอย่างแท้จริง แถมยังเป็นการโจมตีครั้งสุดท้ายอีกด้วย สิ่งที่นางกำลังจะทำคือการระเบิดแก่นกำเนิดนิรันดร์ออกมา และตายไปพร้อมกับศัตรู


เนื่องจากอยู่ภายใต้แรงรัดอันหนักแน่นของจื่อเหอปิงอวิ๋น หลิงฮันจึงไม่สามารถเข้าสู่หอคอยทมิฬได้ และต้องรับการโจมตีเพียงอย่างเดียว


“ห้วงมิติวายุคลั่ง!” จื่อเหอปิงอวิ๋นกล่าวออกมาเบาๆ ‘ครืนนน’ พริบตาเดียวกันนั้นเอง คลื่นพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว ก็ปะทุออกมาจากร่างกายของนาง


หลิงฮันรู้สึกราวกับร่างกายกำลังถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เพียงแต่หลังจากที่บรรลุเป็นนิรันดร์สามนิพพาน กายหยาบของเขาก็เกือบจะยกระดับเทียบเท่าแร่โลหะกึ่งนิรันดร์สามดาวแล้ว เขาเค้นเสียงเย็นชาและโคจรอำนาจของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์


เมื่อความสามารถของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ถูกกระตุ้น พลังป้องกันของเขาจะพุ่งทะยานเพิ่มสูงขึ้นเป็นเวลาสั้นๆ ซึ่งต่อให้เป็นการโจมตีของตัวตนระดับตัดวิญญาณหยิน เขาก็สามารถต้านทานไหว


‘ตูม’ วายุห้วงมิติโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่หลิงฮันยืนรับการโจมตีด้วยท่าทีนิ่งเฉย


จื่อเหอปิงอวิ๋นเผยสีหน้าตกตะลึง โดยที่ทำใจเชื่อไม่ลงว่า การโจมตีครั้งสุดท้ายของนางจะไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อหลิงฮันเลยแม้แต่น้อย!


เพื่อการโจมตีนี้ นางถึงขนาดยอมสละแม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะได้รับบาดเจ็บสักหน่อยไม่ใช่รึไง?


แต่นางไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว เรือนร่างอันงดงามของนางๆค่อยแตกร้าวราวกับเศษกระจก แม้แต่ดวงวิญญาณเองก็แหลกสลายลอยไปตามสายลม


น่าพิสมัย


หลิงฮันไม่แสดงสีหน้าเป็นทุกข์หรือมีความสุข การเข่นฆ่านั้นไม่ใช่สื่งที่น่าพิสมัยอยู่แล้ว แต่การที่เขาไม่สามารถสังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นด้วยมือของตนเองนั้น ทำให้เขารู้สึกสลดต่อเหล่าคนแคระที่ต้องตายอย่างไร้ความเป็นธรรม!


สายตาของเขากวาดมองไปยังลั่วจ่างเฟิง และรังเกียจที่จะต้องสังหารใครเพิ่มอีกสักคน


เมื่อถูกสายตาของหลิงฮันจับจ้องขนทั่วร่างของลั่วจ่างเฟิงก็ตั้งชันทันที เขาส่งเสียงคำรามและพุ่งทะลวงผ่านวงล้อมของสัตว์อสูรสงครามเปลวเพลิงนับร้อยของจักรพรรดินี ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามเข้าปะทะกันหลิงฮันเด็ดขาด เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงต้องมีจุดจบตามจื่อเหอปิงอวิ๋นไป


ในฐานะที่เป็นถึงผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ และเป็นอัจฉริยะที่มีความหวังบรรลุเป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ในอนาคต เขาจะมาตายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?


ด้วยการที่ลั่วจ่างเฟิงดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างสุดชีวิต จักรพรรดินีจึงไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้อีกต่อไป เขาพุ่งหนีออกมาจากวงล้อมสัตว์อสูรสงครามได้แต่ก็ต้องแลกมาด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน ซึ่งแน่นอนว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ลั่วจ่างเฟิงย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว


หลิงฮันโคจรทักษะแสงอัสนีและไล่ตามลั่วจ่างเฟิง


ลั่วจ่างเฟิงเผยสีหน้าอัปยศอย่างถึงที่สุด ในสายตาของเขา หลิงฮันนั้นเป็นเพียงขยะไร้ค่า การที่ต้องมาถูกขยะไร้ค่าไล่ล่าเช่นนี้ ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอาย


รอให้ออกไปจากเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ก่อนเถอะ!


ลั่วจ่างเฟิงกล่าวในใจ หลิงฮันคือคนที่ครอบครองอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสองชนิด แถมยังอาจจะได้ครอบครองหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ด้วย เพราะงั้นเขาจึงไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายลอยนวลไปไหนได้อย่างแน่นอน เขาจะไปเรียกปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งของตำหนักเมฆาอัสนีมาช่วยกำราบหลิงฮัน และแย่งชิงวาสนามาจากอีกฝ่าย


ทั่วร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยคลื่นสายฟ้า กายหยาบกำเนิดอัสนีสวรรค์ระเบิดพลังออกมา และพุ่งทะยานหนีด้วยความเร็วสูง

 

 

 


ตอนที่ 1829 อ้อนวอน

 

หลิงฮันโคจรทักษะแสงอัสนี และไล่ล่าตามไปด้วยความเร็วที่ทัดเทียม


“มิติเอกเทศ!” หลิงฮันยื่อมือไปออกไปด้านหน้าและควบแน่นพลังไปยังจุดที่ลั่วAnchorจ่างเฟิงอยู่


ลั่วจ่างเฟิงรู้สึกเย็นยะเยือกจนขนบนแผ่นหลังลุกซู่ เขากัดฟันและรัดเค้นพลังของสายฟ้าภายในร่าง ‘ครืนน’ ความเร็วของเขาถูกยกระดับขึ้นและระเบิดความเร็วที่เหนือกว่าการโจมตีของหลิงฮันออกมา


มิติเอกเทศสัมผัสโดนเพียงอากาศที่ว่างเปล่า


หลิงฮันตกตะลึงเล็กน้อย กายหยาบกำเนิดอัสนีสวรรค์ไม่ใช่เล่นๆเลยจริงๆ


แต่จะว่าไปก่อนหน้านี้เขาก็ดูดซับสมุนไพรนิรันดร์กลายพันธุ์ ที่มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีผสานเอาไว้เข้าไปไม่ใช่รึ?


ต้องลองดูบ้าง!


ในขณะที่กำลังไล่ล่า หลิงฮันได้ทำการเพ่งจิตนึกถึงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เพิ่งดูดซับจากสมุนไพรนิรันดร์


ก่อนหน้านี้ที่ดูดซับสมุนไพรนิรันดร์กลายพันธุ์เข้าไป สิ่งที่เขาซึมซับและย่อยเข้าสู่ร่างกายมีเพียงแค่อำนาจแห่งเต๋าเท่านั้น เพราะรีบที่จะทะลวงผ่านระดับสามนิพพานให้เร็วที่สุด ทำให้ไม่มีเวลาซึมซับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองของสมุนไพร


‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ’ เขาค่อยๆซึมซับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนี โดยที่คลื่นสายฟ้ารอบกายเริ่มขยายกว้างขึ้นทีละน้อย


ในความเป็นจริงนั้น อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีนั้นคืออำนาจที่หลิงฮันเชี่ยวชาญที่สุด เพราะว่าเขาใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ ขัดเกลากายหยาบตั้งแต่อยู่โลกใบเล็กแล้ว แถมเขายังดัดแปลงอำนาจของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ มาเป็น ทักษะโจมตีของตนเองอีก


ก็แค่ว่าเพลิงเก้าสวรรค์กับวารีพลังหยินเร้นลับนั้น มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่งเทียบเท่าราชานิรันดร์ พักหลังนี้เขาจึงเลือกที่จะใช้อำนาจของแก่นกำเนิดพลังทั้งสองนี้มากกว่า


แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของนางนั้นอ่อนด้อย ที่จริงนั้นตรงกันข้ามเลยเสียมากกว่า ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของเขานั้นโดดเด่น จนสามารถประยุกต์ทักษะอัสนีขึ้นมาได้มากมาย


ด้วยเหตุนี้ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของสมุนไพรนิรันดร์กลายพันธุ์ ที่ลอยอยู่ในห้วงจิตวิญญาณของเขา จึงถูกซึมซับอย่างรวดเร็ว


ดวงตาสองข้างของหลิงฮันเริ่มส่องประกาย และแปรเปลี่ยนเป็นเส้นสายฟ้าสีขาวไหลผ่านไปทั่วร่าง พริบตาเดียวกันนั้น ร่างกายของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นหน้าด้วยความเร็วที่สูงขึ้น


ทักษะแสงอัสนีของเขาพัฒนาเป็นทักษะใหม่!


ลั่วจ่างเฟิงที่กำลังเผ่นหนีอยู่รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ที่จู่ๆความเร็วของหลิงฮันก็เพิ่มสูงขึ้น และค่อยๆขยับเข้ามาใกล้เขาเรื่อย


เขาตกตะลึงจนเผลออ้าปากค้างลิ้นห้อย


ต้องรู้ก่อนว่า ความเร็วที่เขาใช้เคลื่อนที่อยู่ในตอนนี้นั้น เป็นความสามารถของกายหยาบกำเนิดอัสนีสวรรค์ ที่เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าในระดับโลกียนิพพาน ไม่มีใครสามารถไล่ตามทันอย่างแน่นอน


แต่ทว่าหลิงฮันนั้นไม่เพียงแค่กำลังไล่ตามเขาทัน แต่ยังดูเหมือนว่าจะรวดเร็วยิ่งกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ


หรือว่าหมอนี่จะไม่ได้แค่ครอบครองแก่นกำเนิดพลังเปลวเพลิงและวารี แต่ยังครอบครองแก่นกำเนิดอัสนีอีกด้วย?


ลั่วจ่างเฟิงตกตะลึงจนกลายเป็นไร้คำพูด ในขณะเดียวกันนั้นเอง หลิงฮันก็ค่อยๆทะยานร่างเข้ามาเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงระยะที่สามารถโจมตีถึงแล้ว


ลั่วจ่างเฟิงเค้นเสียงและกล่าว “หลิงฮัน เจ้าสังหารAnchorจื่อเหอAnchorปิงอวิ๋นไปแล้ว และจะต้องถูกขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ไล่ล่าแน่นอน หากเจ้ายังล่วงเกินตำหนักเมฆาอัสนีอีก โอกาสรอดชีวิตของเขาจะไม่เหลืออีกต่อไป!”


หลิงฮันหัวเราะ “เจ้าพูดเหมือนกับว่า หากข้าไม่ไล่ล่าเจ้า แล้วตำหนักเมฆาอัสนีจะปล่อยข้าไปอย่างนั้นล่ะ”


“ข้าไม่ได้มีความบาดหมางอันลึกซึ้งกับเจ้า!” ลั่วจ่างเฟิงพยายามโน้มน้าว


หลิงฮันแสยะยิ้มและกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าโง่รึไง? เจ้ารู้แล้วว่าข้ามีอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสอง และหลังจากนี้อาจจะได้ครอบครองหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ ด้วยนิสัยละโมบของเจ้า มีรึที่จะยอมปล่อยข้าไป? ให้ข้าเดานะ หลังจากที่ออกจากเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ไป เจ้าจะต้องเรียกปรมาจารย์ที่ทรงพลังจากตำหนักเมฆาอัสนี มาจัดการข้าเป็นแน่”


ลั่วจ่างเฟิงชะงักเพราะเขาคิดแบบนั้นๆ “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร! ข้าขอให้สัตย์สาบานด้วยเกียรติของข้าเลย!”


หลิงฮันส่ายหัว “ลั่วจ่างเฟิง เจ้านี่มันไร้ศักดิ์ศรียิ่งกว่าสตรีเสียอีก! ในสถานการณ์สิ้นหวัง ขนาดจื่อเหอปิงอวิ๋นก็ยังสู้สุดชีวิตจนตัวตาย แต่เจ้ากลับเลือกที่จะอ้อนวอนขอชีวิต!”


ลั่วจ่างเฟิงเกรี้ยวกราดและคำรามออกมา “หลิงฮัน เจ้าอย่าได้คิดว่าจะสามารถเหยียดหยามคำคนอื่นได้ตามใจชอบ เพียงแค่เพราะเจ้าครอบครองเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นเพียงแค่นิรันดร์สามนิพพานตัวจ้อย ที่อ่อนด้อยกว่าตัวระดับแบ่งแยกวิญญาณทุกคน!”


หลิงฮันหัวเราะ “ลั่วจ่างเฟิง เจ้าคิดว่าอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์ทั้งสอง คือเหตุผลที่ทำให้ข้ากล้าหยิ่งผยองงั้นรึ?” ไพ่ลับที่ทรงพลังที่สุดของเขาคือหอคอยทมิฬต่างหาก อย่างน้อยต่อให้เป็นตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะ ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของหอคอยทมิฬ!


เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิตใจของลั่วจ่างเฟิงก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดผวา


ถ้าหากอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพียังไม่ใช่ไพ่ลับของหลิงฮัน แล้วสิ่งใดกันล่ะที่เป็นไพ่ลับของเขา?


ยังมีสิ่งอื่นใดที่ทรงพลังกว่าอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอีกรึ?


ลั่วจ่างเฟิงนึกออกแค่เพียงราชานิรันดร์ จะบอกว่าหลิงฮันมีพลังของราชานิรันดร์อยู่ในร่างกายอย่างนั้นรึ? ไม่มีทาง!


แต่มองยังไงหลิงฮันก็ดูไม่เหมือนคนที่กำลังโกหกแม้แต่น้อย อีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าหากสังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นแล้วจะมีผลลัพธ์อย่างไร ก็ยังกล้าไล่ล่านางโดยไม่ลังเล


“จะ… เจ้าเป็นใครกันแน่?” คราวนี้ลั่วจ่างเฟิงหวาดกลัวอย่างแท้จริง เขารู้สึกว่าต่อให้เป็นตำหนักเมฆาอัสนี ก็ไม่อาจคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่เขาได้


“ลองเดาดูสิ” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม


ภายในช่วงเวลาเสี้ยววินาที ภายในหัวของลั่วจ่างเฟิงได้นึกถึงความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน


หรือว่าจะเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้ากัน? ถึงแม้จะเป็นขุมอำนาจที่เรียกว่าขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์เหมือนกัน แต่ขุมอำนาจของราชานิรันดร์ระดับหนึ่ง จะไปเทียบกับขุมอำนาจของราชานิรันดร์ระดับสองได้อย่างไร?


ต่างแตกต่างของพลังนั้นกว้างใหญ่ไพศาลไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!


ราชานิรันดร์ของตำหนักเมฆาอัสนีคือราชานิรันดร์ระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งตราบใดที่เขาไม่ได้ปะทะเป็นตายกับราชานิรันดร์คนอื่น ชีวิตของเขาจะคงอยู่ตราบชั่วนิรันดร์


หรือแท้จริงแล้ว หลิงฮันจะเป็นผู้สืบทอดของราชานิรันดร์ระดับสอง… ระดับสาม… หรืออาจจะระดับเก้า?


หากไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้นล่ะก็ หลิงฮันจะไปนำความมั่นใจมาจากไหน? นอกจากนั้นแล้ว คิดว่าราชานิรันดร์ที่จะยอมมอบอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพี ให้รุ่นเยาว์ของตนเองนั้น จะต้องเป็นราชานิรันดร์ระดับใด? เกรงว่าคงมีเพียงราชานิรันดร์ระดับเก้าเท่านั้น! เนื่องจากพวกเขาบรรลุระดับพลังที่สูงสุดแล้ว อำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีจึงไม่มีประโยชน์ต่อพวกเขาอีกต่อไป


เขากัดฟันและกล่าว “ข้าขอติดตามเจ้าเป็นนายท่านได้หรือไม่?”


เมื่อเขากล่าวประโยคนั้นออกไป จิตใจของเขาก็รู้สึกทรมานราวกับท้องฟ้าร่วงหล่นมาใส่


ในฐานะที่เป็นถึงผู้สืบทอดของตำหนักเมฆาอัสนี ช่างน่าเหลือเชื่อนักที่ลั่วจ่างเฟิงกล่าวขอเป็นลิ่วล้อของผู้อื่นด้วยปากตัวเองเช่นนี้

 

 

 


ตอนที่ 1830 ระเบิดตัวเองอีกแล้ว

 

เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกมา ไม่ใช่แค่ใบหน้าของลั่วAnchorจ่างเฟิงเท่านั้นที่หน้าขึ้นสี แต่หลิงฮันเองก็ตกตะลึงเช่นกัน


ให้ตายเถอะ หมอนี่เป็นผู้สืบทอดขุมอำนาจที่ทรงพลังจริงรึเปล่า? เหตุใดถึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้?


จริงอยู่ที่ไม่มีใครอยากตาย แม้แต่หลิงฮันเองก็หวาดกลัวความตายเช่นกัน แต่ถ้าหากจะต้องยอมเสียศักดิ์ศรีล่ะก็ เขายอมตายเสียดีกว่าจะต้องอ้อนวอนคุกเข่าขอชีวิต


“เจ้าทำให้ข้ารู้สึกขยะแขยงจริงๆ!” หลิงฮันกล่าวและผลักฝ่ามือออกไป ตอนนี้พวกเขาทั้งสอง อยู่ในระดับที่สามารถโจมตีถึงแล้ว


มิติเอกเทศ


สีหน้าของลั่วจ่างเฟิงแสดงออกถึงความไม่ยินยอม ตัวตนที่สูงส่งเช่นเขา จะมาตายในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร?


แต่ในพริบตานั้นเอง จู่ๆความมืดก็ปกคลุมตัวเขา และนำพาเข้าสู่ห้วงมิติที่ต่างไปจากเดิม


ลั่วจ่างเฟิงหวาดผวาและระเบิดพลังทั้งหมดโจมตีใส่ห้วงมิติอย่างบ้าคลั่ง


มิติเอกเทศสามารถคงสภาพอยู่ได้แค่เกือบหนึ่งลมหายใจเท่านั้น ก่อนจะถูกอำนาจของอัสนีบดขยี้ไม่เหลือซาก เพียงแต่ว่า ทันทีที่ลั่วจ่างเฟิงปรากฏตัวกลับออกมา หมัดอันทรงพลังก็ได้เข้าประชิดใบหน้าของเขา


ระยะเวลาเกือบหนึ่งลมหายใจ ถือว่ามากพอแล้ว ที่จะถ่วงเวลาให้หลิงฮันไล่ตามทัน


ลั่วจ่างเฟิงหวาดกลัวและรีบปล่อยหมัดเข้าตอบโต้ แต่หลังจากที่หมัดเข้าปะทะกัน ทั่วร่างของเขาก็สั่นสะท้าน และลอยกระเด็นอย่างไม่อาจต้านทาน เนื่องจากใช้พลังแทบทั้งหมดไปกับการเสริมอำนาจให้กับเกราะแขนแล้ว พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้จึงตกต่ำเกินกว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฮัน


หลิงฮันโคจรแสงอัสนีรูปแบบใหม่ที่ถูกยกระดับขึ้นจากเดิม และไล่ตามร่างลั่วจ่างเฟิงที่ลอยกระเด็นทันในพริบ พร้อมกับกระหน่ำหมัดเข้าใส่ราวกับห่าฝน


‘ตูม ตูม ตูม’ หน้าอกของลั่วจ่างเฟิงถูกบดขยี้อย่างรวดเร็ว โลหิตภายในร่างไหลทะลักออกมา และสามารถมองเห็นโครงกระสีขาวกับอวัยวะภายใน


หลิงฮันไม่ปรานีแม้แต่น้อย ทุกๆหมัดที่เขาชกออกไป ล้วนแต่ผสานอำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์เอาไว้ด้วย ซึ่งหลังจากรับการโจมตีไป ลั่วจ่างเฟิงจะต้องตายอย่างแน่นอน


ณ เวลานี้ ลั่วจ่างเฟิงถือว่าตกอยู่ในสภาพที่สิ้นหวังอย่างแท้จริงและตระหนักได้ว่า ไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็คงไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตรอดแน่นอน ดวงตาของเขาเบิกกว้างและส่งเสียงคำรามเป็นครั้งสุดท้าย “งั้นก็มาตายด้วยกัน!”


หยดโลหิตไหลออกมาจากดวงตาของลั่วจ่างเฟิง พริบตาเดียวกันนั้น อำนาจแห่งอัสนีที่น่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดออกมาจากร่างของเขา กายหยาบของลั่วจ่างเฟิงไม่สามารถต้านทานอำนาจที่ตนเองปลดปล่อยออกมาได้ และค่อยๆแหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอำนาจสายฟ้า


แก่นกำเนิดนิรันดร์อย่างกายหยาบกำเนิดอัสนีสวรรค์นั้น มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ส่วนหนึ่งอยู่ระดับเดียวกันกับราชานิรันดร์ เพราะงั้นการที่ลั่วจ่างเฟิงยอมสละชีวิตตนเอง โดยการระเบิดแก่นกำเนิดนิรันดร์ พลังทำลายล้างที่เกิดขึ้นจึงรุนแรงพอที่จะสังหารจอมยุทธระดับโลกียนิพพานได้ทุกคน


“ช่างโง่เง่าและคิดอะไรตื่นเขินนัก!” หลิงฮันส่ายหัว นี่อีกฝ่ายไม่เห็นรึไงว่าAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นที่ระเบิดแก่นกำเนิดนิรันดร์ของตนเองเหมือนกัน และผลสุดท้ายเป็นเช่นไร?


‘ครืนนน’ อำนาจสายฟ้าโหมกระหน่ำระเบิดเป็นวงกว้าง ราวกับจะต้องการบดขยี้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลให้สูญสิ้น


อำนาจทำลายล้างของคลื่นระเบิดนี้ ต่อให้เป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานสูงสุดก็ต้องถูกสังหารภายในไม่กี่ลมหายใจ หรือก็ให้ไม่ตาย ความบาดเจ็บที่ได้รับก็ต้องสาหัสเกินเยียวยา


เพียงแต่ว่าหลังจากที่คลื่นสายฟ้นอันเกรี้ยวกราดสลายไป ร่างของหลิงฮันก็ยังคงยืนแน่นิ่งอย่างองอาจ เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาชะงักจนกลายเป็นไร้คำพูดก็คือ ชุดที่เขานำมารัดไว้ที่เอวชั่วคราวนั้นถูกบดขยี้ไปแล้ว ทำให้ก้นของเขาเผยสู่สายตาประชาชนอีกครั้ง


ลั่วจ่างเฟิงนั้นถึงแม้จะไม่เหลือกายหยาบอยู่แล้ว แต่วิญญาณก็ยังไม่สลายไปอย่างสมบูรณ์ เขาจดจ้องไปยังหลิงฮันด้วยความรู้สึกไม่ยินยอมเป็นอย่างมาก ที่การโจมตีสละชีวิตของเขาไม่สามารถทำให้หลิงฮันบาดเจ็บแม้แต่น้อย


นี่เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดแบบใดกันแน่?


เขาอยากจะเอ่ยคำถามสุดท้ายนี้ออกไป แต่ดวงวิญญาณก็สลายไปอย่างสมบูรณ์เสียก่อน


ดวงตาของหลิงฮันกวาดมองไปยังระยะที่ห่างไกลออกไป และพบคนสามคนกำลังยืนตัวสั่นอยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา คนทั้งสามคนนั่นก็รีบหันหลังเผ่นหนีอย่างรวดเร็ว


สามคนที่ว่าคือหลินฟาง เถิงเซินและเหวยเหนียน ที่หลบหนีไปก่อนหน้านี้


หลิงฮันไม่ได้ไล่ตามเพราะอยู่ในระยะที่ห่างไกลเกินไป ทั้งสามคนเป็นถึงราชาแห่งยุค คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไล่ตามพวกเขาทันในระยะทางขนาดนี้


“สามี!” จักรพรรดินีลอยตามมาหาเขาและโผเข้าสู่อ้อมกอด


ธิดาโร๋วที่มองดูอยู่ในระยะที่ห่างออกไปใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน


นางอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกจากการที่ได้เห็นก้นของหลิงฮันถึงสองครั้ง… นี่เจ้าคงไม่ได้จงใจใช่รึไม่?


หลิงฮันโอบจักรพรรดินีเอาไว้ในอ้อมกอด เขาไม่คิดจะใส่เสื้อผ้าให้เสียเวลาและเข้าสู่หอคอยทมิฬพร้อมกับจักรพรรดินี ในมุมมองของธิดาโร๋วนั้น คงไม่ติดใจอะไรและคิดแค่ว่าเขาเพียงเข้าสู่อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปเท่านั้น


การที่ถูกจักรพรรดินีที่มีเรือนร่างเย้ายวนรัดแน่นขนาดนี้ ใครกันจะอดใจไหว?


แน่นอนว่าต่อให้เป็นหลิงฮันก็ไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งเขาก็ไม่จำเป็นต้องอดกลั้นแม้แต่น้อยเนื่องจากสตรีผู้นี้คือภรรยาของเขา!


……


หลังจากเสร็จกิจธุระกันแล้ว หลิงฮันกับจักรพรรดินีก็ออกมาจากหอคอยทมิฬ และรู้สึกโล่งอกที่พบว่าถ้ำหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ยังไม่เปิดออก


“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ฉวยโอกาสหรอก!” ธิดาโร๋วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


หลิงฮันยิ้ม ต่อให้ธิดาโร๋วต้องการแย่งชิงสมบัติไปก็ไม่สามารถทำได้อยู่ดี เพราะว่าหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์คืออำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพี ที่ผ่านการพัฒนามาเกินกว่าร้อยล้านปี ทำให้อำนาจของมันไม่ใช่สิ่งที่นิรันดร์สี่นิพพานสามารถต้านไหว


หากต้องการจะครอบครองมันจริงๆ ก็คงต้องใช้วิธีการเหมือนกับพวกจื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วจ่างเฟิง ที่ยืมอำนาจของราชานิรันดร์มาใช้

 

 

 


ตอนที่ 1831 เก็บเกี่ยวหยกต้นกำเนิดวิถ...

 

หลังจากรอคอยไปอีกหนึ่งวัน ในที่สุดถ้ำก็เปิดออก โขดหินจำนวนมากที่ขวางทางอยู่ค่อยๆถูกหลอมละลาย และเผยทางเข้าถ้ำให้เห็น


ในช่วงหนึ่งวันที่ผ่านมานี้ หลิงฮันทำการตรวจสอบอุปกรณ์มิติของลั่วAnchorจ่างเฟิงกับAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋น และพบของดีๆมากมายอยู่ภายในสมกับที่ทั้งสองเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์


ทั้งจักรพรรดินีและธิดาโร๋วรอคอยอยู่ด้านนอก เนื่องจากพวกนางไม่สามารถต้านทานอำนาจของหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ได้


ร่างของหลิงฮันก้าวเดินเข้าไปโดยมีเพลิงเก้าสวรรค์ปกคุมร่างกาย ยิ่งเขาฝึกฝนทักษะควบคุมเปลวเพลิงด้วยแล้ว อำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์ที่สามารถปลดปลอยออกมาได้ จึงทรงพลังเป็นอย่างมาก


ภายในถ้ำไม่ได้มิดสนิท เพราะที่บริเวณเพดานมีหินย้อยทคอยทำหน้าที่ส่องแสงสว่าง ขนาดของถ้ำเองก็ไม่ได้กว้างมากเช่นกัน เพียงแค่หลิงฮันเดินไปได้ครึ่งไมล์ก็พบทางตันแล้ว


ที่ด้านหน้าของเขาปรากฏแผ่นหินขนาดใหญ่ ที่ด้านบนมีทารกสองคนสองอยู่ ดูจากรูปลักษณ์แล้ว ทารกทั้งสองคงเพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น ทารกทั้งเมื่อเห็นหลิงฮันเดินเข้ามาจากปากถ้ำไม่ได้ส่งเสียงร้องโวยวาย แต่จ้องมองด้วยสายตาสงสัยแทน


ทารกทั้งสองคนนี้คือคนแคระที่เพิ่งเกิดมาจากหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ หลิงฮันถอนหายใจโล่งอกทันที เมื่อได้รู้ว่าเผ่าคนแคระยังไม่ได้สูญพันธุ์ไปอย่างสมบูรณ์


เขาอุ้มทารกทั้งสองขึ้นมาอุ้ม และสะบัดมือนำศพของเหล่าคนแคระจากหมู่บ้านออกมาจากหอคอยทมิฬ เพื่อที่พวกเขาจะได้หลับอยู่ภายในนี้อย่างสงบสุข


เมื่อเขามองเลยแผ่นหินไป สิ่งที่ปรากฏก็คือก้อนผลึกทรงกลมที่สองประกายแสงอ่อนๆ หากมองให้ละเอียดดีๆ จะพบว่าก้อนผลึกกลมก้อนนี้ดูเหมือนถูกแกะสลักมาจากเนื้อหยก โดยที่ไม่มีร่องของการแกะสลักเลยแม้แต่น้อย


เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะมาถูกสร้างขึ้นด้วยอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพี ไม่ใช่ด้วยเงื้อมมือของมนุษย์


“เป็นหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์จริงๆ!” หอคอยน้อยเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “ภายใต้สวรรค์นี้ จำนวนของหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์นั้นมีอยู่น้อยเสียยิงกว่าน้อย เพราะกว่ามันจะเกิดขึ้นมาได้ ก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งยุคสมัย”


หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป “จะเป็นไปได้ไหมว่า ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ที่ทรงพลัง จะมีหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์เก็บเอาไว้?”


หอคอยน้อยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าว “ใช้ว่าจะเป็นไปไม่ได้”


ราชานิรันดร์นั้นมีอายุขัยที่ไม่จำกัด อย่าพูดถึงหนึ่งยุคสมัยเลย ต่อให้เป็นหลายร้อยหลายพันยุคสมัยพวกเขาก็ไม่มีวันสิ้นอายุขัย พูดตามทฤษฎีแล้วถือว่าไม่ใช่เรื่องยาก หากในช่วงชีวิตอันยาวนานของพวกเขา จะมีหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์อยู่ในครอบครองมากกว่าหนึ่งก้อน


“แต่การจะทำแบบนั้นได้ ก็ต้องเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังจริงๆเท่านั้น” หอคอยน้อยกล่าวต่อ “ยกตัวอย่างเช่น ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์”


“ดูเหมือนเจ้าจะรู้เกี่ยวกับตำหนักมัจฉาวายุภักษ์อยู่เยอะทีเดียวนะ” หลิงฮันกล่าว


หอคอยน้อยครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ถ้าจะให้พูดล่ะก็ ข้าและตำหนักมัจฉาวายุภักษ์นั้นดูเหมือนจะมีความเกี่ยวพันกัน”


“ว่าไงนะ!” หลิงฮันตกตะลึงและหยุดชะงัก “ถ้างั้นการที่ประมุขคนก่อนของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ ร่วงหล่นไปยังทวีปฮงเทียนเหมือนกับหอคอยทมิฬ ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญน่ะสิ”


“ฮ่าๆ ในโลกนี้จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนั้นได้อย่างไร?” ครั้งนี้หอคอยน้อยกล่าวโดยไม่ครุ่นคิด ราวกับต้องการให้หลิงฮันรู้ความลับบางส่วน


“ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์คือขุมอำนาจระดับใด?” หลิงฮันรู้สึกสงสัย


“ราชานิรันดร์ระดับเก้า!” หอคอยกล่าวออกไปตรงๆ


หลิงฮันรู้สึกราวกับโลหิตในร่างเดือดพล่าน ก่อนจะขมวดคิ้ว “แต่อดีตประมุขของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ตายไปแล้วไม่ใช่รึ”


“ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ยังไม่ราชานิรันดร์ระดับเก้าอยู่อีกคน” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนกับกำลังหัวเราะ “สตรีที่เจ้าเรียกว่าแม่มดเฒ่าผู้นั้นไงล่ะ”


หลิงฮันแทบจะสำลัก หญิงชราที่ต้องใช้ไม้เท้าด้วยเดินผู้นั่นน่ะรึ?


เหลือเชื่อ นางเป็นถึงราชานิรันดร์ระดับเก้า!


แต่เดี๋ยวก่อน…


หลิงฮัยกล่าวต่อ “แล้วทำไมตอนนั้นแม่มดเฒ่าผู้นั้นถึงไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเจ้าล่ะ? แถมเจ้ายังไม่บอกข้าอีกว่าเจ้ารู้จักนาง” หากหอคอยน้อยแสดงตัวในตอนนั้นล่ะก็ เขาอาจจะไม่ต้องแยกจากกับภรรยาและบุตรก็เป็นได้


หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่แยแส “ตราบใดที่เจ้าไม่ใช้หอคอยทมิฬต่อหน้าราชานิรันดร์ ต่อให้เป็นราชานิรันดร์ก็ไม่สามารถตรวจพบข้าได้!”


“และเหตุผลที่ข้าไม่บอกเจ้าว่าข้ารู้จักนาง ก็เพราะข้าไม่ต้องการให้เจ้าเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนเร็วก่อนไป เพราะจะเป็นการขัดขวางพัฒนาการของเจ้า เส้นทางการบรรลุเป็นมหาปราชญ์สวรรค์ จำเป็นต้องเริ่มขัดเกลาพลังจากโลกใบเล็กขึ้นมา”


หลิงฮันเอ่ยถามจุดที่สงสัย “มหาปราชญ์สวรรค์ที่เจ้าว่าคืออะไรกันแน่?”


หอคอยน้อยแน่นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะกล่าว “เลิกสนทนาไร้สาระแล้วไปเก็บหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ได้แล้ว! ด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้ หากรู้ความลับมากเกินไปจะเป็นการนำความตายมาสู่ตัวเปล่าๆ”


เจ้าหอคอยปากเสีย!


หลิงฮันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองไปยังหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ด้านหน้า ที่พัวพันไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ เกรงว่านอกจากเผ่าคนแคระแล้ว ใครก็ตามที่ไปแตะต้องคงจะสิ้นชีพในทันที


เพียงแต่ว่าตัวเขานั้นมีอำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์!


หลิงฮันก้าวเดินไปด้านหน้าและหยิบหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ ก่อนจะนำมันเก็บเข้าไปในหอคอยทมิฬ


‘ครืนนนน’ ทันใดนั้นเอง จู่ๆภายในถ้ำก็เกิดการสั่นไหว และมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า


หลิงฮันรู้ว่าหลังจากนี้ ถ้ำแห่งนี้จะไม่มีเผ่าคนแคระถือกำเนิดขึ้นมาอีกต่อไป และทารกคนแคระทั้งสองที่เขาอุ้มอยู่นี้ จะกลายเป็นผู้สืบทอดเผ่าพันธุ์เพียงหนึ่งเดียว


เขาตัดสินใจว่าจะคิดหาหนทางช่วยทารกทั้งสองนี้ให้อยู่ร่วมกับเผ่ามนุษย์ให้ได้ เพื่อที่ในอนาคตทั้งสองจะได้แต่งงานและสืบเผ่าพันธุ์ต่อไป


“หอคอยน้อย หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ที่เก็บไปมีขนาดใหญ่หรือเล็กแค่ไหน?” หลิงฮันเอ่ยถามด้วยความหวัง เขาไม่ต้องการครอบครองสมบัติชิ้นนี้ไว้เพียงคนเดียว แต่ต้องการแบ่งมันให้กับจักรพรรดินีด้วย หรือหากเป็นไปได้ เขาก็อยากจะนำมันไปแบ่งให้ฮูหนิวด้วยเช่นกัน


เพียงแต่ว่าตำหนักมัจฉาวายุภักษ์เป็นขุมอำนาจที่ทรงพลัง ถึงขนาดมียันต์ไม้ท้อผูกชะตาอยู่ในครอบครอง บางทีที่นั่นอาจจะมีหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์อยู่มากกว่าหนึ่งก็เป็นได้


หอคอยน้อยส่งเสียงพึมพำก่อนจะกล่าวออกมา “หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ชิ้นนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับสองคน”


หลิงฮันรู้สึกสลดทันที


“แต่มันเพียงพอที่จะใช้ได้ถึงสามคน!” หอคอยน้อยกล่าวเสริม

 

 

 


ตอนที่ 1832 ใครติดนิสัยใคร

 

สามคน!


หลิงฮันชะงักแน่นิ่งไปเป็นอันดับแรก ก่อนจะเผยท่าทางตื่นเต้น


เจ้าหอคอยบัดซบนี่ ขอบพูดจาปั่นหัวเขาเสียจริง


หลังจากหายตกตะลึง ความสงสัยก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา “ไม่ใช่เจ้าบอกว่า หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์สามารถดูดซับได้มากสุดสองคนหรอกรึ?”


“…ถ้าเจ้าคิดว่าสามคนมันมากไปและไม่ต้องการ เจ้าก็โยนมาทิ้งไปสิ!” หอคอยน้อยกล่าวอย่างฉุนเฉียว


ก็ได้… ข้ายอมแพ้ไม่เถียงกับเจ้าก็ได้


หลิงฮันส่ายหัว และเดินกลับออกจากถ้ำในขณะที่ใช้แขนหนึ่งข้างอุ้มทารกทั้งสองเอไว้


ในความเป็นจริง ทารกเผ่าคนแคระทั้งสองไม่ได้ตัวเล็กเหมือทารกเลยแม้แต่น้อย ขนาดตัวของพวกเขาเรียกได้ว่าเท่ากับคนแคระที่โตเต็มไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่า หลังจากที่พวกเขาเกินมา ร่างกายจะไม่มีการพัฒนาใดๆเลย


“มีวิธีทำให้ทั้งสองคนเติบโตเป็นเหมือนคนทั่วไปรึเปล่า?” หลิงฮันถามหอคอยน้อย


“เจ้านี่ช่างหัวทื่อจริงๆ” หอคอน้อยสบถ “เหตุผลที่เผ่ากูลูมีร่ายกายเตี้ยก็เพราะพวกเขาไม่รู้จักศาสตร์วรยุทธ หากสามารถบ่มเพาะพลังได้ ความสูงของร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นเอง”


นั่นไง เจ้าพูดจาหมิ่นข้าอีกแล้ว!


หลิงฮันลูบคางครุ่นคิด เคยมีสักครั้งหรือไม่ที่ในบทสนทนา จะไม่มีคำเหยียดหยามจากหอคอยน้อย?


เท่าจำความได้ดูเหมือนจะไม่มีเลยสักครั้ง ให้ตายเถอะ… เขาไม่เคยพบเห็นสมบัติชิ้นใด ที่ไร้ความเคารพต่อผู้เป็นนายแบบนี้มาก่อนเลย


“เหอะๆ ขอโทษด้วยแล้วกัน” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง


หลิงฮันมั่นใจแล้วว่าหอคอยน้อยกับสุนัขตัวดำขะต้องเป็นสหายกันแน่นอน เพราะแม้แต่การพูดด้วยน้ำประชด ทั้งสองก็ยังเหมือนกัน! เขาเริ่มอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า เจ้าของหอคอยสามภพจะต้องเป็นคนแบบไหนกันแน่ ถึงได้สร้างจิตวิญญาณนิสัยเช่นนี้ขึ้นมาได้


หรือบางทีนิสัยของสุนัขตัวดำ ก็อาจจะได้อิทธิพลมาจากคนผู้นั้นก็เป็นได้?


“หืม?” เมื่อเห็นว่าหลิงฮันเดินออกจากถ้ำมาพร้อมกับเด็กสองคน จักรพรรดินีและธิดาโร๋วก็อุทานด้วยความประหลาดใจ


หลิงฮันกล่าวอธิบายให้สตรีทั้งสองคนรับรู้ว่าทารกทั้งสองนี้ คือผู้สืบทอดสุดท้ายของเผ่าคนแคระ


“ไปจากที่นี่กันเถอะ”


ทั้งสามคนย้อนกลับเส้นทางเก่า เมื่อวาสนาอันยิ่งใหญ่ของภูเขาแห่งนี้ถูกครอบครองไปแล้ว อีกไม่นานมันคงกลายเป็นเพียงภูเขาธรรมดาทั่วไป


หลิงฮันอธิบายเกี่ยวกับหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ให้จักรพรรดินีฟัง ส่วนธิดาโร๋วนั้นถึงแม้นางจะลงเรือลำเดียวกับพวกเขามานาน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยังไม่แน่นแฟ้นถึงขั้นที่จะยอมแบ่งหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ให้


หลังจากเวลาผ่านหนึ่งวัน พวกเขาก็กลับมาถึงตำหนักเฉียนหลงโดยไม่พบเจออุปสรรคใดๆ ภูเขาไฟขนาดมหึมาปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของพวกเขาอีกครั้ง พร้อมกับหมอกควันที่ลอยฟุ้งไปทั่วอากาศ


ทารกเผ่าคนแคระทั้งสองคนนั้นถูกส่งไปอยู่ในหอคอยทมิฬแล้ว บังเอิญที่ว่าสตรีนกอมตะกำลังเบื่อๆอยู่พอดี นางจึงรับหน้าที่คอยดูแลทารกทั้งสองเป็นการฆ่าเวลาให้


“เรื่องที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าจะต้องชดใช้คืนแน่นอน!” ธิดาโร๋วกับหลิงฮันด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เนื่องจากบุรุษผู้นี้กล้าเมินเฉยเสน่ห์ของนาง


แต่จะอย่างไรก็ดี นางจำเป็นที่จะต้องแยกทางกับบุรุษผู้นี้เสียตรงนี้


หลิงฮันนั้นเป็นตัวอันตรายเกินไป เขาไม่เพียงสังหารผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ไปถึงสองคน แต่ยังปล่อยให้พยานรู้เห็นหนีรอดไปด้วย


หลิงฮันยิ้มและโยนขวดหยกให้แก่นาง


‘ฟุบ’ ธิดาโร๋วรับขวดหยกเอาไว้และเอ่ยถาม “สิ่งนี้คืออะไร?”


“ใบชา” หลิงฮันกล่าวห้วนๆและเดินโอบเอวจักรพรรดินีจากไป


จักรพรรดินีไม่พอใจเล็กน้อย สตรีผู้นั้นคือผู้ครอบครองAnchorกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักร สิ่งที่อีกฝ่ายสมควรทำคือการมาหลับนอนกับสามีของนางเพื่อยกระดับความเร็วในการบ่มาเพาะแท้ๆ เหตุใดนางจะต้องปล่อยอีกฝ่ายให้ไปเป็นของบุรุษผู้อื่นด้วย?


แต่ในเมื่อหลิงฮันยืนกรานว่าไม่ต้องการ นางก็ไม่อยากขัดกาตัดสินใจของหลิงฮัน เพราะอย่างไรอายุขัยของจอมยุทธก็ยืนยาวอยู่แล้ว เพราะงั้นในอนาคตถึงยังมีโอกาสอยู่อีก ต่อให้เมื่อถึงตอนนั้นธิดาโร๋วแต่งงานไปแล้ว นางก็ยังสามารถลักพาตัวมาได้อยู่ดี


ทางด้านของธิดาโร๋วนั้น นางแทบจะปาขวดหยกกลับมาใส่หัวหลิงฮัน


จริงอยู่ที่หลิงฮันช่วยชีวิตของนางเอาไว้ แต่นางก็ช่วยเขากับจักรพรรดินีในการต่อสู้ด้วยไม่ใช่รึไง? ทั้งๆที่ลงเรือลำเดียวกันแล้วแท้ๆ แต่สิ่งที่หลิงฮันมอบให้นางกลับเป็นแค่ใบชาขวดเดียว


เพียงแต่ว่า เมื่อใดที่นางลองเปิดขวดหยกดู นางจะต้องตกตะลึงในความล้ำค่าของใบชาแน่นอน ถึงแม้ประสิทธิภาพของใบชาจะไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับต้นสังสารวัฏ แต่สำหรับจอมยุทธระดับโลกียนิพพานแล้ว ใบชานี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอย่างแท้จริง


หลิงฮันไม่คิดจะอธิบายใดๆกับธิดาโร๋วและมุ่งหน้าไปยังภูเขาไฟมหึมา ด้วยเพลิงเก้าสวรรค์และทักษะควบคุมเปลวเพลิงของเขา หากไปที่นั่นจะต้องเก็บเกี่ยวศิลาโลหิตมังกรได้จำนวนมากแน่นอน


และเนื่องจากระยะเวลาในการตามหาหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์กินเวลานานเกินไป หลิงฮันและจักรพรรดินีจึงถูกคนอื่นแซงหน้าไปหมดแล้ว โอกาสที่พวกเขาจะได้พบเจอศิลาโลหิตมังกรระหว่างทางนั้นแทบจะเป็นศูนย์


แต่หลิงฮันกับจักรพรรดินีก็ไม่คิดจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว พวกเขามองการไกลกว่านั้น โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ภูเขาไฟที่เป็นต้นกำเนิดศิลาโลหิตมังกร


ธิดาโร๋วเองก็ไม่ได้ทิ้งระยะห่างจากพวกเขาไปไหนไกล เนื่องจากเป้าหมายของนางก็คือภูเขาไฟ


ตัวนางเองก็ฝึกฝนทักษะทักษะควบคุมเปลวเพลิงเช่นกัน เพียงแต่ว่านางนั้นไม่มีหอคอยทมิฬ ที่สามารถเร่งระยะเวลาฝึกฝนได้ด้วยต้นสังสารวัฏ เพราะงั้นในแง่ของความเชี่ยวชาญในการใช้ทักษะเปลวเพลิงนั้น ธิดาโร๋วยังถือว่าห่างชั้นกับหลิงฮันและจักรพรรดินีอยู่มาก


แต่ถึงแม้นางจะไม่สามารถเข้าสู่ส่วนลึกของภูเขาไฟได้เหมือนพวกหลิงฮัน นางก็ยังสามารถไปได้ไกลกว่าคนอื่นๆอยู่ดี


ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาไฟมากเท่าไหร่ อำนาจแห่งเปลวเพลิงก็จะรุนแรงขึ้นเท่านั้น เมื่อไปถึงจุดหนึ่งแล้ว แม้แต่เกราะโลหิตมังกรก็ไม่อาจช่วยคุ้มกันให้ได้


สิบวันต่อ และแล้วพวกเขาก็มาถึงหุบเขาซึ่งเป็นอาณาเขตที่ใกล้ชิดกับภูเขาไฟมากที่สุด หากเดินทางไปไกลกว่านี้ล่ะก็ ต่อให้เป็นเกราะโลหิตมังกรก็ต้องถูกหลอมละลาย


หุบเขาแห่งนี้มีขนาดใหญ่มากทีเดียว แถมในหมู่พื้นที่ที่จอมยุทธทั่วไปสามารถเหยียบย่ำเข้าถึงได้ หุบเขาแห่งนี้ก็คือสถานที่ที่มีศิลาโลหิตมังกรอยู่มากที่สุด เพราะงั้นจอมยุทธแทบจะทุกคนที่เข้ามาในเขตแดนลี้ลับ จึงปักหลักอยู่ที่นีและตามหาศิลาโลหิตมังกรทุกวัน


เมื่อหลิงฮันกับจักรพรรดินีมาถึงหุบเขา พวกเขาก็พบเห็นผู้คนจำนวนมากพลุกพล่านไปมาราวกับที่นี่คือตลาดสด


ทั้งสองก้าวเข้าสู่หุบเขา และพบเจอกลุ่มคนเจ็ดคนที่เดินออกมาพอดี


“หืม?” ต่างฝ่ายต่างหยุดชะงัก กลุ่มคนทั้งเจ็ดนี้ ห้าคนคือกลุ่มของฟู่เกาหยุนและเหล่าผู้ติดตาม ในขณะที่อีกสางคนคือฟู่เสี่ยวอวิ๋นและซือถูเซี่ยวเจิน

 

 

 


ตอนที่ 1833 เอาคืน

 

“นะ น้องชายหลิง?” ฟู่เกาหยุนมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าประหลาดใจ


อันที่จริงไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่เฉิงจงและคนอื่นๆเองก็มองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าแบบเดียวกัน เนื่องจากสภาพของหลิงฮันในตอนนี้นอกจากหัวล้านแล้ว แต่ขนคิ้วก็ยังไม่เหลือเลยแม้แต่เส้นเดียว


หลิงฮันยกมือขึ้นไปลูบหัวของตัวเอง เพราะลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท เมื่อถูกคนอื่นเห็นสภาพนี้ เกรงว่าภาพลักษณ์ของเขาพังพินาศเสียแล้ว


“ฮ่าๆ การเก็บเกี่ยวศิลาโลหิตมังกรของพวกเจ้าเป็นไปด้วยดีรึไม่?” เขาพยายามเบี่ยงประเด็น


“หนุ่มน้อยหลิง ก้นของเจ้าไม่เป็นอะไรใช่รึเปล่า?” ซือถูเซี่ยวเจินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง


หลิงฮันแทบจะสำลักออกมา การที่หัวข้าล้าน มันไปเกี่ยวอะไรกับก้นกัน ทำไมเจ้าจะต้องไปสนใจส่วนนั้นด้วย?


โชคดีที่ฟู่เกาหยุนเอ่ยปากแทรกเข้ามาก่อน “ผลการเก็บเกี่ยวค่อนข้างดีทีเดียว ครั้งนี้ภูเขาไฟระเบิดรุนแรงมาก ทำให้จำนวนของศิลาโลหิตมังกรมีเยอะกว่าครั้งก่อนๆที่ผ่านมา ถือว่าพวกเราโชคดีมากจริงๆ”


“หลิงฮัน ทำไมเจ้าถึงเพิ่งมาที่นี่เอาป่านนี้?” เฉิงจงเอ่ยถาม ถึงแม้พวกเขากับหลิงฮันจะตัดความสัมพันธ์กันแล้ว แต่เมื่อเห็นว่าฟู่เกาหยุนยังคงแสดงท่าทางสนิทสนมกับหลิงฮันอยู่ เขาจึงต้องกล่าวอะไรออกมาบ้าง


หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น การเดินทางก็เลยล่าช้าไปหน่อย” เขาไม่คิดจะโอ้อวด


เฉิงจงแสดงสีหน้าภาคภูมิใจทันที ขนาดแค่จะมาที่นี่เจ้ายังเสียเวลาไปกับอุปสรรคเล็กๆน้อยๆงั้นรึ? ช่างอ่อนหัดเสียจริง


“โอ้ นั่นมันหลิงฮันไม่ใช่รึ?” เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับร่างของเป่ยเสวียนหมิงค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้ โดยที่ด้านหลังมีใครหลายคนติดตามมาด้วย ในหมู่ผู้ติดตามของเขา มีจอมยุทธผู้หนึ่งที่มีท่าทางเย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก


“ทั้งๆที่ล่วงเกินผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ไปแล้วแท้ๆ แต่ยังกล้าปรากฏตัวที่นี่อีกรึ? ข้าล่ะไม่รู้จริงๆว่าเจ้าไปเอาความกล้ามาจากไหน” เป่ยเสวียนหมิงกล่าวถากถาง เขารอคอยวันนี้มานานแล้ว


หลิงฮันมองไปยังอีกฝ่ายราวกับกำลังมองไปยังตัวตลก “แล้วเจ้าอยากรู้ไหมล่ะว่าความกล้าของข้านั้นมีมากขนาดไหน?”


“เหอะ เจ้าจะกร่างได้ก็แค่ไม่กี่วันนี้เท่านั้น หากแม่นางAnchorAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นพบเจอเจ้าเมื่อไหร่ เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน!” เป่ยเสวียนหมิงแสยะยิ้ม ก่อนจะเปลี่ยนไปมองที่ฟู่เสี่ยวอวิ๋นและกล่าว “ฟู่เสี่ยวอวิ๋น ทีนี้เจ้ารู้สึกเสียใจแล้วรึยังที่ละทิ้งข้า ไปสวะเช่นนี้?”


ใบหน้าของฟู่เสี่ยวอวิ๋นแสดงออกถึงความเหยียดหยาม ที่นางไม่ต้องการแต่งงานกับเป่ยเสวียนหมิง ไม่ใช่เพราะนางดูหมิ่นความอัปยศของอีกฝ่าย แต่เพราะนางได้เห็นนิสัยที่แท้จริงของอีกฝ่ายต่างหาก


“เส่าหลิน เจ้ารู้สึกคันไม้คันมือบ้างรึเปล่า?” เป่ยเสวียนหมิงหันกลับไปกล่าวกับผู้ติดตามคนที่มีท่าทางเย่อหยิ่ง


ชายผู้ติดตามคนนั้นแสยะยิ้มและกล่าว “ท่านต้องการให้ข้าจัดการใคร?”


Anchor


“คนกลุ่มนี้” เป่ยเสวียนหมิงชี้ไปยังพวกฟู่เกาหยุน


อดีตพี่เขยของเขาผู้นี้มักจะดูถูกเขามาโดยตลอด ทั้งๆที่เขาพยายามทำดีด้วยแทบตาย


ตอนนี้เมื่อไม่สามารถแต่งงานกับฟู่เสี่ยวอวิ๋นได้แล้ว ก็ถึงเวลาอันควรที่เขาจะต้องสั่งสอนอดีตพี่เขยคนนี้เพื่อระบายความแค้นเสียบ้าง!


แล้วเขาไม่กลัวการล้างแค้งขากตระกูลฟู่งั้นรึ?


เหอๆ นอกจากที่นี่จะไม่ใช่อาณาเขตของตระกูลฟู่แล้ว ด้วยอำนาจของนิกายอาญาสิ้นแสง มีรึที่ตระกูลฟู่จะกล้าทำอะไรเขา?


ตราบใดที่เขาไม่ได้สังหารใคร ก็ไม่มีปัญหาต้องกังวล


ชายเย่อหยิ่งผู้นี้มีชื่อว่าเหอเส่าหลิน เขามองไปยังฟู่เกาหยุนอย่างเหยียดหยามและกล่าว “พวกเจ้าจงเข้ามาพร้อมกันให้หมดทีเดียว ข้าไม่ต้องการเปลืองแรงไปไล่จัดการพวกเจ้าทีล่ะคน”


ฟู่เกาหยุนและเหล่าผู้ติดตามเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที แต่ก็ต้องพยายามระงับความโกรธเอาไว้ เนื่องจากฟู่เกาหยุนนั้นมอบสิทธิ์เข้าร่วมเขตแดนลี้ลับทั้งหมดให้กับผู้ติดตาม และไม่ได้พายอดฝีมือที่ทรงพลังมาคอยคุ้มครองเหมือนกับเป่ยเสวียนหมิง


“อะไรกัน ไม่กล้างั้นรึ?” เหอเส่าหลินแสยะยิ้ม “ผู้สืบทอดของตระกูลฟู่อะไรกัน เจ้ามันก็แค่เศษสวะขี้แพ้ดีๆนี่เอง!”


“เจ้าเป็นถึงนิรันดร์สี่นิพพานสูงสุด แต่กลับมาท้าสู้กับพวกข้าน่ะรึ? เจ้าไม่รู้สึกละลายใจบ้างเลยรึไง?” ฟู่เกาหยุนทนไม่ไหวและกล่าวเหน็บแนมกลับไป


“อ่อนแอก็คืออ่อนแอ จะหาข้ออ้างไปเพื่ออะไร?” เหอเส่าหลินกล่าวอย่างเย็นชา คิดว่าพลังบ่มเพาะของเขาพระเจ้าเป็นคนมอบให้รึไง? การที่บรรลุระดับพลังนี้ได้ ล้วนแต่มาจากความพยายามอย่างหนักของเขาทั้งนั้น


ฟู่เกาหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงมืดมน “ครั้งนี้ข้าขอยอมแพ้!”


“ไปกันเถอะ!” เขาสะบัดมือและกำลังจะนำพวกพ้องจากไป


“ใครบอกกันว่าให้เจ้าไปได้?” เป่ยเสวียนหมิงยิ้มเจ้าเล่ห์มุมปาก “เจ้าไม่เข้าใจกฎของผู้อ่อนแอเลยรึไง? หากเจ้ายอมแพ้ ก็ต้องทิ้งบางสิ่งเอาไว้ด้วย!”


ฟู่เกาหยุนกัดฟัน เขายดมือขวาขึ้นและตวัดตัดแขนซ้ายจนขาด


“ท่านพี่!” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นอุทาน


ฟู่เกาหยุนไม่ได้กล่าวตอบนาง และใช้สายตาจดจ้องไปยังเป่ยเสวียนหมิง “เท่านี้พอรึยัง?”


เป่ยเสวียนหมิงหัวเราะและกล่าวอย่างเย็นชา “ยังไม่พอ!”


ครั้งนี้แม้แต่เฉิงจงและคนอื่นๆก็โมโหจนแทบจะทนไม่ไหว ขนาดตัดมือทิ้งข้างหนึ่งแล้วยังไม่พออีกงั้นรึ? นี่เจ้ายังจะต้องการอะไรอีก?


เป่ยเสวียนหมิงกวาดสายตามองไปยังฟู่เสี่ยวอวิ๋น และยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ “ฟู่เสี่ยวอวิ๋น ที่เรื่องราวกลายมาเป็นแบบนี้ทั้งหมดก็เพราะเจ้า! เจ้าเองก็ต้องชดใช้ด้วย”


“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกัดริมฝีปาก


“ถอดเสื้อผ้าออก” เป่ยเสวียนหมิงกล่า “จงให้พวกเข้าเชยชมเรือนร่างของเจ้าซะ”


ใบหน้างดงามของฟู่เสี่ยวอวิ๋นเปลี่ยนเป็นซีดขาว หากเผยเรือนร่างเปลือยเปล่าต่อหน้าสาธารณชนล่ะก็ นางจะยังมีหน้าไปพบใครได้อีก? ต่อให้ในอนาคตนางบรรลุเป็นราชานิรันดร์ ความอัปยศในจิตใจของนางก็ไม่มีวันหายไป


ซือถูเซี่ยวเจินเป็นคนแรกที่ทนต่อไปไม่ไหวและกล่าวออกมา “นี่เจ้ายังเป็นบุรุษที่มีไข่อยู่รึเปล่า? เข้ามาเลย มารดาผู้นี้จะเป็นคนจัดการเจ้าเอง!”


หลิงฮันที่ตอนแรกกำลังคิดจะเข้าแทรกแซง ต้องหยุดชะงักและเปลี่ยนสีหน้าทันที เมื่อได้ยินคำพูดที่หยาบคายของนาง


เป่ยเสวียนหมิงกัดฟัน ต่อให้มอบความกล้าให้เขาเพิ่มขึ้นอีกหมื่นเท่า เขาก็ไม่กล้าบาดหมางกับหลานสาวของปรมาจารย์นักปรุงยาสามดาว เขาสะบัดมือและกล่าว “เส่าหลิน ในมือแม่นางฟู่ไม่ยินยอมที่จะให้ความร่วมมือ ก็จัดการพี่ชายและเหล่าผู้ติดตามซะ!”


“น้อมรับคำสั่งนายน้อย!” เหอเส่าหลินโค้งตัวเล็กน้อย เขารู้ดีว่าความสำเร็จภายภาคหน้าของเป่ยเสวียนหมิงจะต้องสูงส่งกว่าเขาแน่นอน เพราะงั้นเขาจึงจำเป็นต้องแสดงท่าทางเคารพ


เมื่อโค้งตัวเสร็จ เหอเส่าหลินก็กวาดมองไปยังฟู่เกาหยุนและเหล่าผู้ติดตามด้วยสายตาโหดเหี้ยม

 

 

 


ตอนที่ 1834 ความกล้าของข้า

 

เหอเส่าหลินไม่ใช่ราชาแห่งยุค เพราะงั้นจึงกล่าวได้ว่า การที่จะได้ทุบตีราชาแห่งยุคอย่างฟู่เกาหยุน คือสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิต


เขามองไปยังฟู่เกาหยุนด้วยท่าทางองอาจ หากอีกฝ่ายฝ่ายถูกเขาทุบตีจนเสียหน้าล่ะก็ ต่อให้ในอนาคตฟู่เกาหยุนบรรลุเป็น ตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณหรือระดับขอบเขตตำหนัก ความอัปยศในวันนี้ก็จะไม่มีวันเลือนหายไป


“ฮ่าๆ วันนี้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ ไม่คาดคิดว่าโลกนี้จะมีอันธพาลที่ต่ำช้าขนาดนี้อยู่ด้วย” หลิงฮันส่ายหัวและก้าวเดินขึ้นหน้า


จักรพรรดินียืนพาดมือไว้ด้านหลังอย่างนิ่งเฉย สายตาของนางไม่ได้แยแสผู้คนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย


“หลิงฮัน ไม่ต้องรีบร้อนไป ตอนนี้ยังไม่ถึงตาของเจ้า!”Anchorเป่ยเสวียนหมิงแสยะยิ้ม เจ้าคิดรึว่าข้าจะยอมปล่อยเจ้าไป?


“พอดีข้ารอไม่ไหวแล้ว!” หลิงฮันก้าวเดินต่อไปเนื่องจากเขาไม่สนใจจะดูการแสดงที่น่ารังเกียจจากเป่ยเสวียนหมิง  เหนือสิ่งอื่นใดคือ ถึงแม้เขาจะตัดสายสัมพันธ์กับฟู่เกาหยุนแล้ว แต่อีกฝ่ายก็เฉยช่วยเหลือเขามาก่อน อย่างน้อยเกราะโลหิตมังกรที่จักรพรรดินีสวมใส่อยู่ก็เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายมอบให้


นอกจากนั้นฟู่เกาหยุนก็ไม่ใช่คนนิสัยแย่อะไรด้วย


“หยุด!” ผู้ติดตามคนหนึ่งด้านหลังเป่ยเสวียนหมิงก้าวเดินออกมา และยกหมัดโจมตีใส่หลิงฮัน ทั้งๆที่ลิ่วล้ออยู่ตรงนี้แท้ๆ แต่หากต้องให้เจ้านายออกหน้า ลิ่วล้ออย่างพวกเขาจะไปเหลือความสำคัญอะไร?


‘ครืนนน’ หมัดถูกปลดปล่อยออกไปด้วยพลังทำลายอันน่าสะพรึง พร้อมกับตราประทับแห่งเต๋าที่ค่อยๆพรั่งพรูออกมา


ผู้ติดตามคนนี้คือนิรันดร์สามนิพพานสูงสุด ในความเป็นจริง ถึงแม้เขาจะอ่อนแอกว่าเหอเส่าหลิน แต่พลังต่อสู้ของเขาก็แข็งแกร่งกว่าเป่ยเสวียนหมิงเสียอีก


ด้วยหนึ่งหมัดนี้ หลิงฮันจะต้องถูกบดขยี้แน่นอน


หลิงฮันลงมือตอบโต้ เขายกมือขึ้นอย่างลวกๆและคว้าจับไปที่ข้อมือของผู้ติดตามคนนั้น ทำให้การโจมตีหยุดชะงักลง


เป่ยเสวียนหมิงตกตะลึงจนอ้าปากค้างทันที เท่าที่เขาจำความได้ หลิงฮันนั้นเป็นเพียงนิรันดร์หนึ่งนิพพานเท่านั้น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีพรสวรรค์ที่ราวกับสัตว์ประหลาดขนาดไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่รับการโจมตีของนิรันดร์สามนิพพานได้


สามนิพพาน!


เป่ยเสวียนหมิงรู้สึกราวกับถูกตบหน้าอย่างจัง หลิงฮันบรรลุเป็นนิรันดร์สามนิพพานแล้ว!


เป็นไปได้อย่างไรกัน… เวลาเพิ่งผ่านมาเท่าไหร่เอง แต่พลังบ่มเพาะของหลิงฮันกลับบรรลุระดับสามนิพพาน ซึ่งเหนือกว่าเขาไปแล้ว ในโลกนี้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?


“การทุบตีคนอื่นมันมีความสุขมากรึไง?” หลิงฮันเอ่ยถามผู้ติดตามที่ปล่อยหมัดใส่เขาด้วยสีหน้าเมินเฉย


‘เพี๊ยะ!’


หลิงฮันดึงแขนของอีกฝ่ายเข้าหาตัวและใช้มืออีกข้างตบเข้าที่ใบหน้า “ว่ายังไง? มีความสุขรึเปล่า?” เมื่อเอ่ยถามออกไป เขาก็ทำการตบอีกครั้ง


ผู้ติดตามผู้นี้ถูกตบจนใบหน้าฟกช้ำแต่หลิงฮันก็ยังไม่หยุด หลังจากตบต่อไปได้อีกสักพัก กล้ามเนื้อใบหน้าของอีกฝ่ายก็ฉีกขาด ฟันแต่ละซี่ค่อยๆแตกหักและมีกระดูกโผล่ออกมา


กับคนที่ตั้งใตสังหารเขาด้วยหมัดแล้ว หลิงฮันไม่คิดจะปรานี


“หยุดมือ!” เป่ยเสวียนหมิงคำราม


ถ้าหากคนของเขาถูกทุบตีแล้วเขาไม่เคลื่อนไหวล่ะก็ ในอนาคตใครจะอยากมาติดตามเขา?


‘เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ’ หลิงฮันตบใบหน้าของผู้ติดตามผู้นี้ต่ออีกสักพัก ก่อนจะลากร่างผู้ติดตามในมือเดินเข้าไปหาเป่ยเสวียนหมิง เผื่อบอกเป็นนัยๆว่าคนต่อไปคือเจ้า


“เหอเส่าหลิน!” เป่ยเสวียนหมิงรีบส่งเสียงขอความช่วยเหลือ


เหอเส่าหลินพยักหน้าและรีบกระโดดกลับมายืนหน้าเป่ยเสวียนหมิง เขาแสยะยิ้มพร้อมกับกล่าว “ราชาในระดับสามนิพพานงั้นรึ? เหอๆ ต่อหน้าข้า พลังของเจ้าไม่ต่างอะไรจากการผายลม!”


หลิงฮันลากผู้ติดตามในตรงไปหาเหอเส่าหลินโดยไม่กล่าวอะไร ในสายตาของเขา เหอเส่าหลินเป็นเพียงก้อนอากาศธาตุเท่านั้น ซึ่งไม่มีความจำเป็นให้เขาต้องเก็บมาใส่ใจ


“โอหัง!” เหอเส่าหลินเค้นเสียงคำรามอย่างเย็นชา และปล่อยหมัดขวาเข้าใส่ใบหน้าหลิงฮัน


‘ฟุบ’ หลิงฮันใช้อีกมือจับข้อมือของเหอเส่าหลินเอาไว้


สีหน้าของเหอเส่าหลินกลายเป็นแข็งค้าง


เป็นไปได้อย่างไร?


เป่ยเสวียนหมิงเองก็แสดงสีหน้าโง่งม เหอเส่าหลินคือจอมยุทธที่มีพลังต่อสู้ทัดเทียมกับผู้สืบทอดของขุมอำนาจทรงพลังในระดับสี่นิพพานสูงสุด เป็นไปได้อย่างไรที่การโจมตีของเขาจะถูกหลิงฮันหยุดเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย?


นี่มันราวกับว่าพลังต่อสู้ของทั้งสองต่างกันราวฟ้ากับเหว


“เจ้าเองก็อยากถูกทุบตีอย่างมีความสุขเหมือนกันสินะ?” หลิงฮันกล่าวพร้อมกับดึงร่างของเหอเส่าหลินเข้ามาใกล้


เหอเส่าหลินรีบโคจรพลังทั้งหมดเพื่อต่อต้านแต่ก็ไม่เป็นผล และถูกหลิงฮันใช้มือข้างเดียวกับที่ดึงเขาเข้าไปตบเข้าที่ใบหน้าอย่างรุนแรง


นอกจากจะเจ็บปวดแล้ว ยังน่าอับอายเป็นอย่างมากด้วย ที่ต้องถูกตบต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้


เมื่อสมใจแล้ว หลิงฮันก็สะบัดข้อมือทั้งสองข้าง ‘พรึบ พรึบ’ ร่างของเหอเส่าหลินและผู้ติดตามอีกคน ถูกโยนไปยังเป่ยเสวียนหมิงด้วยสภาพไร้สติ


เป่ยเสวียนหมิงเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว และสีหน้ากลายเป็นมืดมน


ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ผู้สืบทอดของนิกายอาญาสิ้นแสงเพียงคนเดียวที่เข้ามาที่นี่ แต่ด้วยการที่ผู้สืบทอดแต่ละคนเป็นศัตรูกัน มีรึที่เขาจะไปขอความช่วยเหลือได้?


สิ่งที่เขาทำได้คือทำเหมือนฟู่เกาหยุนเมื่อครู่นี้


“…ข้าขอยอมแพ้!” เป่ยเสวียนหมิงกัดฟันแค้นจนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดบวม


หลังจากกล่าวประโยคนี้จบ เขาก็สะบัดมือส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามคนอื่นๆ แบกร่างเหอเส่าหลินกับผู้ติดตามอีกคนที่หมดสติอยู่ขึ้นมา


“คิดจะหนีรึ?” หลิงฮันเค้นเสียงและกล่าว


“แล้วเจ้าต้องการอะไร?” เป่ยเสวียนหมิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงมืดมน เขาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าคงไม่สามารถจากไปได้ง่ายๆ


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดถึงเรื่องที่ข้าล่วงเกินAnchorAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นสินะ? เหอๆ ข้าจะบอกอะไรให้ฟัง เมื่อกี่วันที่ผ่านมานี้ ข้าด้สังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นไปแล้ว!”


‘ครืน’ สมองของเป่ยเสวียนหมิงตกตะลึงจนภายในหัวเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว


โกหก… ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่ๆ!


หากหลิงฮันแค่บาดหมางกับจื่อเหอปิงอวิ๋น ตระกูลจื่อเหอคงไม่ทำอะไร แต่ถ้าจื่อเหอปิงอวิ๋นถูกสังหารล่ะก็ สถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง


เมื่อถึงตอนนั้น เกรงกว่าทุกคนในที่สุดคงติดร่างแหซวยไปกับหลิงฮันด้วย!


“จะ… เจ้าต้องพูดล้อเล่นแน่ๆ!”


หลิงฮันเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม “กับสวะไร้ค่าเช่นเจ้า ทำไมข้าจะต้องเสียเวลาไปพูดเล่นด้วย? เจ้าบอกสินะว่าข้าช่างกล้าจริงๆ? ฮ่าๆ เดี๋ยวข้าจะแสดงให้เห็นเองว่าข้านั้นกล้าขนาดไหน”


เขาสะบัดนิ้ว ‘ฉัวะ’ ปราณดาบพุ่งทะลุกลางกะโหลกของเป่ยเสวียนหมิง พร้อมกับวนกลับมาเฉือนเข้าที่หลังลำคอ


‘ตุบ’ ขาของเป่ยเสวียนหมิงไร้เรี่ยวแรงและล้มลงกับพื้นในทันที ดวงตาของเขาค่อยๆหม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว


ฟู่เกาหยุนและคนอื่นๆที่มองดูอยู่ตกตะลึงจนร่างแข็งค้าง จู่ๆฟู่เกาหยุนก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ครั้งหนึ่ง หลิงฮันเคยเอ่ยถามเขาว่า ‘ข้าขอสังหารเป่ยเสวียนหมิงได้หรือไม่’ ในตอนนั้นเขาคิดเพียงว่าหลิงฮันแค่พูดเล่นๆ แต่เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขาถึงรู้ว่าในตอนนั้นหลิงฮันตั้งใจจะสังหารเป่ยเสวียนหมิงจริงๆ!

 

 

 


ตอนที่ 1835 ก่อปัญหาเอาไว้มากมาย

 

หลังจากสังหารเป่ยเสวียนหมิง มีรึที่นิกายอาญาสิ้นแสงจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไป?


ตัดเรื่องที่หลิงฮันมีสายสัมพันธ์อันดีกับปรมาจารย์นักปรุงยาสามดาวทั้งสองทิ้งไปได้เลย ต่อให้หลิงฮันเป็นหลานของหนึ่งในปรมาจารย์สองคนนั้น เขาก็ต้องชดใช้การตายของผู้ทอดนิกายอาญาสิ้นแสงด้วยชีวิต!


“ละ… หลิงฮัน!” ฟู่เกาหยุนและคนอื่นๆสั่นสะท้าน ใบหน้าของพวกเขาทุกคนเปลี่ยนเป็นสีเขียว


“ว่าไง มีอะไรรึ?” หลิงฮันหันไปมองพวกฟู่เกาหยุน เมื่อเขาเห็นว่าใบหน้าของทุกคน กำลังแสดงออกถึงความกระอักกระอ่วนเขาก็เข้าใจทันที “ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องคิดมาก หมอนี่ไม่ใช่ผู้สืบทอดคนแรกของนิกายอาญาสิ้นแสง ที่ข้าสังหารไปเสียหน่อย แต่จะว่าไปผู้สืบทอดคนก่อนนั้นมีชื่อว่าอะไรนะ?”


เขาทำท่าทางครุ่นคิด ถ้าหากหนานกงถิงรับรู้เรื่องนี้หลังความตายได้ล่ะก็ เขาคงตายตาไม่หลับเป็นแน่ ตัวเขามีสถานะเป็นถึงผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับสามดาวแท้ๆ แต่หลิงฮันกลับเจ้าไม่ได้แม้แต่ชื่อของเขา


พรวด! ฟู่เกาหยุนและคนอื่นๆสำลักออกมา คำพูดของหลิงฮันนั้น นอกจากจะไม่ทำให้พวกเขาสบายใจแล้ว ยังทำให้พวกเขาหวาดหวั่นยิ่งขึ้นไปอีก


เจ้าบอกว่าสังหารผู้สืบทอดอีกคนของนิกายอาญาสิ้นแสงไปแล้วงั้นรึ?


นิกายอาญาสิ้นแสงมีผู้สืบทอดในระดับโลกียนิพพานอยู่สองคนเท่านั้น นอกจากเป่ยเสวียนหมิงแล้ว อีกคนก็คือหนานกงถิง


“น้องชายหลิง คนคนนั้นชื่อว่าหนานกงถิงรึเปล่า?” ฟู่เกาหยุนกล่าวด้วยความหวังว่าจะไม่ใช่แบบนั้น


หลิงฮันทำท่าปรบมือและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หมอนั่นแหละ!”


บ้าไปแล้ว!


ฟู่เกาหยุนและคนอื่นๆอุทานในใจ ก่อนจะมองไปยังหลิงฮันด้วยแววตาว่างเปล่า เนื่องจากไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาใช้บรรยายบุรุษผู้นี้ดี


“โอ้จริงสิ ที่ข้าบอกว่าสังหารAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นไปน่ะ ข้าไม่ใช่ล้อเล่นหรอกนะ” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกพวกหลินฟางทั้งสามคนเห็นแล้ว ต่อให้ปิดบังไปก็ไม่มีประโยชน์


เมื่อได้ยินประโยคนี้ พวกฟู่เกาหยุนก็กลายเป็นหวาดผวา


จื่อเหอปิงอวิ๋นคือใครน่ะรึ?


นางคือผู้สืบทอดของตระกูลจื่อเหอ และเป็นราชาในหมู่ราชาที่สามารถตัดผ่านสวรรค์และปฐพีได้สำเร็จ!


การจะฝึกฝนให้อัจฉริยะระดับนั้นถือกำเนิดขึ้นมา มีเพียงแค่ขุมอำนาจระดับราชานิรันดณ์เท่านั้นที่ทำได้ แถมจำนวนก็ยังมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยอีกด้วย เจ้าจะบอกว่าอัจฉริยะที่ล้ำค่าขนาดนั้นถูกเจ้าสังหารไปแล้วงั้นรึ? นะ… นี่เจ้ายังสร้างปัญหาได้มากกว่านี้อีกรึเปล่า?


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “จริงสิ ลั่วAnchorจ่างเฟิงก็ถูกข้าสังหารไปด้วยเหมือนกัน!”


‘ตุบ’ ฟู่เกาหยุนและคนอื่นๆเข่าทรุดลงไปนั่งกับพื้น


หลิงฮันหัวเราะ “ตอนนี้ข้าคือตัวปัญญาอย่างแท้จริง พวกเจ้าอย่ามาใกล้ชิดข้าเกินไปจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นหากมีใครพบเห็น พวกเจ้าอาจจะติดร่างแหไปกับข้าด้วย”


หลังจากจ้องมองหลิงฮันอยู่นานสองนาน ฟู่เกาหยุนก็ถอนหายใจและกล่าว “น้องชายหลิง ข้ามองไม่ออกเลยจริงๆว่าในอนาคตเจ้าจะไปได้ไกลขนาดไหน”


เขาคิดว่าเป้าหมายในการได้ขึ้นครอง เป็นประมุขของขุมอำนาจสามดาวของเขานั้นสูงส่งมากแล้ว แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับหลิงฮัน


อีกฝ่ายสังหารผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ทั้งสองคนไปแล้ว ซึ่งจะต้องถูกตระกูลจื่อเหอและตำหนักเมฆาอัสนีไล่ล่าแน่นอน เพียงแค่ความสามารถในการก่อปัญหาที่น่าอัศจรรย์ขนาดนี้ เขาก็เทียบหลิงฮันไม่ได้แล้ว


“เก่าหยุน ไปกันเถอะ” เฉิงจงเร่งเร้า เนื่องจากไม่ต้องการติดต่อสัมพันธ์กับหลิงฮันอีกต่อไป


ฟู่เกาหยุนถอนหายใจ เขาพยักหน้าให้หลิงฮันก่อนจะเดินออกไปจากหุบเขา


กลุ่มของเขาคนอื่นๆก็ตามไปเช่นกัน ทางด้านฟู่เสี่ยวอวิ๋นนั้น นางอดไม่ได้ที่จะชำเลืองสายตามองไปยังหลิงฮันในขณะที่เดินสวนกัน หัวใจของนางรู้สึกบีบรัดเล็กน้อย ถ้าหากหลิงฮันยังอยู่กับตระกูลฟู่ต่อไปล่ะก็ บางทีเขากับนางอาจจะมีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกันเหมือนอย่างที่เป่ยเสวียนหมิงว่าก็ได้


แต่น่าเสียดายที่ในตอนนี้ เรื่องเช่นนั้นไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว ถ้าให้นางยืนกรานจะติดต่อสัมพันธ์กับหลิงฮัน แต่ตระกูลฟู่ก็ไม่มีทางยินยอมแน่นอน หากตกเป็นเป้าหมายของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ไปด้วยล่ะ ชะตากรรมของตระกูลฟู่คงมีอย่างเดียวคือ ถูกลบล้างหายไป


เมื่อพวกฟู่เกาหยุนจากไป หลิงฮันก็กวาดสายตามองไปยังเหอเส่าหลินและผู้ติดตามคนอื่นๆของเป่ยเสวียนหมิง เพียงแต่ว่าเขาเองก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยชอบเข่นฆ่าอยู่แล้ว เขาจึงทำเพียงแค่ทำลายตันเถียนของคนเหล่านี้เท่านั้น อีกไม่กี่ปีพลังบ่มเพาะของคนเหล่านี้จะค่อยๆสลายไปจนกลายเป็นเพียงมนุษย์ทั่วไป


เมื่อไม่ธุระอะไรแล้ว เขากับจักรพรรดินีก็จับมือกันเดินเข้าไปในหุบเขา


เวลาผ่านไปไม่นาน เรื่องที่หลิงฮันสังหารเป่ยเสวียนหมิงก็แพร่กระจายไปทั่ว แถมยังมีข่าวลืออีกด้วยว่าเขาสังหารลั่วจ่างเฟิงกับจื่อเหอปิงอวิ๋นไปแล้ว เพียงแต่ว่าในเมื่อไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ด้วยตาตัวเองผู้คนจึงไม่เชื่อข่าวลือนี้ ทั้งสองคนที่เป็นถึงผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ มีรึจะถูกสังหารง่ายๆ?


แต่จะอย่างไร ในตอนนี้ก็แทบจะไม่มีใครเลยที่กล้ายั่วยุหลิงฮันกับจักรพรรดินี


ถึงแม้พลังของเป่ยเสวียนหมิงจะไม่แข็งแกร่ง แต่เขาก็มีผู้ติดตามที่ทรงพลังคุ้มกันอยู่ข้างกาย ซึ่งทั้งๆที่เป็นแบบนั้นแล้ว เขาก็ยังถูกหลิงฮันสังหารเอาได้


เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าหลิงฮันไม่ได้มีแค่ความกล้าอย่างเดียว แต่ยังทรงพลังมากอีกด้วย


ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากหลิงฮันสังหารลั่วจ่างเฟิงกับจื่อเหอปิงอวิ๋นไปแล้วจริงๆ มีรึที่อีกฝ่ายจะไม่กล้าสังหารพวกเขา?


ทุกเส้นทางที่หลิงฮันเดินผ่าน สายตาของทุกคนได้มองไปยังเขาราวกับเป็นเทพแห่งพาหะนําโรคและขยับตัวถอยห่าง ถึงแม้จักรพรรดินีจะงดงามขนาดไหนพวกเขาทุกคนไม่กล้าลงมือ


เพียงแต่ว่าก็ยังมีคนอยู่บางส่วนที่คิดว่า ตราบใดที่มีกำลังพลมากพอและร่วมมือกันลอบโจมตีในทีเผลอล่ะก็ พวกเขาก็ยังมีโอกาสที่จะสังหารหลิงฮันได้สำเร็จ และสามารถนำศพของหลิงฮันไปสร้างความดีความชอบได้


โดยเฉพาะหากเรื่องที่หลิงฮันสังหารลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋นเป็นความจริง ความดีความชอบที่พวกเขาจะได้รับคงมากมายมหาศาล


ยิ่งเมื่อคิดว่าจะได้สตรีที่งดงามหาใครเปรียบ อย่างจักรพรรดินีมาเป็นสินสงครามด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้คนเหล่านี้ตื่นเต้นเข้าไปใหญ่


คนที่มีความคิดเช่นนี้เริ่มเข้าหากันและไปโน้มน้าวหาแนวร่วมเพิ่ม ซึ่งก็แน่นอนว่าย่อมมีคนที่ส่วนหนึ่งที่ถูกชักจูงในที่สุด

 

 

 


ตอนที่ 1836 หลิงฮันอีกแล้วรึ

 

หลิงฮันใช้เวลาหนึ่งวันอยู่ในหุบเขาเพื่อพักผ่อนเล็กน้อย


ก่อนหน้านี้เขาได้รับสินสงครามมาเป็นจำนวนมาก ในช่วงพักผ่อนเขาได้นำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาเพื่อดูดกลืนแร่โลหะที่เพิ่งได้รับมา นอกจากอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ที่ได้จากเชียนจ้าวหยางแล้ว ก็ยังอีกมากมายที่ได้รับมาจากลั่วAnchorจ่างเฟิงและAnchorจื่อเหอAnchorปิงอวิ๋น


ทั้งสองคนสมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจทรงพลัง ความมั่งคั่งของพวกเขาช่างน่าอัศจรรย์นัก!


เขาให้ดาบอสูรนิรันดร์กลืนกินอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์และแร่โลหะทั้งหมดที่มี จนในที่สุดอุปกรณ์นิรันดร์ในอนาคตชิ้นนี้ ก็บรรลุเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ระดับสาม


ระดับสามจากสิบระดับ… ถือว่าสำเร็จเกือบจะหนึ่งในสามส่วนแล้ว


หลิงฮันพึงพอใจเป็นอย่างมาก ระดับของดาบอสูรนิรันดร์เหนือกว่าพลังบ่มเพาะเขาไปแล้ว ระดับของมันในตอนนี้สามารถเทียบได้กับ จอมยุทธระดับตัดวิญญาณหยางหรือตัดวิญญาณหยิน แต่น่าเสียดายที่เป็นเพราะพลังบ่มเพาะของเขายังต่ำกว่าดาบอสูรนิรันดร์ เขาจึงไม่สามารถสลักตราประทับแห่งเต๋าที่ทรงพลังยิ่งขึ้นลงไปได้ ทำให้พลังของมันถูกจำกัดเอาไว้


แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เขาค่อยบ่มเพาะพลังตามไปทีหลังก็ไม่เสียหาย


หนึ่งวันผ่านไป หลิงฮันกับจักรพรรดินีก็ตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตสุดท้าย ซึ่งก็คือส่วนที่เป็นภูเขาไฟ เพื่อเข้าสู่ส่วนลึกที่สุดของเขตแดนลี้ลับ


แต่ในขณะที่พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังเป้าหมาย พวกเขาก็พบว่าจู่ๆอาณาเขตภายในหุบเขาก็กลายเป็นครึกครื้น เนื่องจากธิดาโร๋วได้ปรากฏตัว


สตรีแห่งนิกายซู่หนู่ผู้นี้ช่างงดงามและมีเสน่ห์อย่างแท้จริง ไม่รู้ว่ามีบุรุษมากมายที่คนที่จ้องมองนางด้วยแววตาที่แข็งค้าง และน้ำลายไหล


ธิดาโร๋วเองก็พบเห็นหลิงฮันกับจักรพรรดินีเช่นกัน ซึ่งมุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อยทันที


แน่นอนว่านางดื่มชาจากต้นสังสารวัฏไปแล้ว และเนื่องจากตอนนั้นนางอยู่ในอารมณ์โมโห นางจึงดื่มน้ำชาจากใบชาในขวดหยกรวดเดียวหมด และรู้สึกเสียใจแทบตายมาถึงตอนนี้


น้ำชานั่นจะต้องเป็นชาระดับนิรันดร์อย่างแน่นอน!


ถึงแม้ใบชาจะไม่มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ให้ซึมซับ แต่มันสามารถช่วยให้นางรู้แจ้งถึงอำนาจแห่งเต๋าได้อย่างน่าอัศจรรย์


เจ้าบุรุษบัดซบ เป็นเพราะเจ้าไม่ได้บอกข้าว่าใบชาขวดนั้นล้ำค่าขนาดไหน ข้าถึงได้ดื่มมันอย่างสูญเปล่าแทบหมดในรวดเดียว!


เมื่อจ้องมองไปยังหลิงฮัน ธิดาโร๋วก็อารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมาและอย่างจะลงมือทุบตี เพียงแต่เมื่อนางนึกว่าหลิงฮันนั้นเป็นตัวปัญหาขนาดไหน นางจึงเลือกที่จะไม่ลงมือ เพราะเกรงว่าจะติดร่างแหไปด้วย


หลิงฮันที่เห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา และจับมือพาจักรพรรดินีเดินหน้าต่อไป เพียงแต่ว่าหลังจากที่พวกเขาเดินต่อไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆพื้นดินเบื้องล่างก็แยกออก พร้อมกับเงาของคนสามคนได้พุ่งทะยานออกมา และทะลวงฝ่ามือเข้าใส่หลิงฮัน


ในขณะเดียวกัน โขดหินขนาดใหญ่รอบด้านของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงและหายไป โดยที่ร่างของคนอย่างน้อยสิบคนปรากฏมาแทนที่ พร้อมกับพุ่งทะยานปลดปล่อยการโจมตีใส่หลิงฮันจากทุกทิศทาง


หลิงฮันตกตะลึงเล็กน้อย สิ่งที่ทำให้เขาตะลึงนั้นไม่ใช่การลอบโจมตีของคนเหล่านี้ แต่เป็นทักษะที่พวกเขาใช้หลบซ่อนตัวต่างหาก เนื่องจากจนกระทั่งคนเหล่านี้เริ่มลงมือโจมตี เขาไม่สามารถตรวจจับตัวตนของพวกเขาได้เลยแม้แต่น้อย


ทักษะซ่อนตัวที่คนเหล่านี้ใช้ นับว่าน่ายกย่องจริงๆ


ในตอนแรกธิดาโร๋วก็ตกตะลึงเช่นกัน และคิดที่จะลงมือช่วยเหลือ แต่เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าหลิงฮันนั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังขนาดไหน นางก็ล้มเลิกความคิดทันที


นางเห็นมาด้วยตาตัวเองว่า ขนาดลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋นยอมสละชีวิตเพื่อระเบิดตัวเอง ก็ยังไม่สามารถทำอะไรหลิงฮันได้


ตูม!


การโจมตีจากจอมยุทธหลายสิบคนระเบิดพลังออกมา แสงของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์บิดเบี้ยวไปทั่ว และเกิดเป็นคลื่นทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุด


ในระยะที่ห่างออกไป ใครหลายคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างรู้สึกตกตะลึงกับการลอบโจมตีครั้งนี้และส่ายหัวไปตามๆกัน หากถูกลอบโจมตีด้วยจำนวนคนขนาดนี้ โดยที่มีราชาแห่งยุคหลายคนร่วมด้วยล่ะก็ หลิงฮันจะต้องตายอย่างแน่นอน


แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้หลิงฮันทำตัวโดดเด่นกันล่ะ?


แต่เมื่อคลื่นแสงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์สลายไป ร่างของหลิงฮันกับจักรพรรดินีกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม โดยที่มีร่องรอยบาดเจ็บอยู่บนร่างกายเลยแม้แต้นิดเดียว แถมยังดูเหมือนไม่ได้ถูกโจมตีเสียด้วยซ้ำ


อะไรกัน!


“ไม่จริง!” หนึ่งในผู้ลอบโจมตีคนหนึ่งอุทานออกมา


ต่อให้หลิงฮันจะสามารถป้องกันการโจมตีทั้งหมดได้ แต่ก็ไม่สมควรง่ายดายขนาดนี้


แน่นอนว่าเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ ในชั่วพริบตาหลิงฮันได้ปลดปล่อยทักษะมิติเอกเทศใส่ตัวเองและจักรพรรดินี ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ มิติที่เขาสร้างขึ้นย่อมไม่มีทางถูกทำลายเพราะการโจมตีของเศษสวะเหล่านี้


หลิงฮันมองไปยังชายที่ร้องโอดครวญและปล่อยหมัด ‘ตูม’ เพียงการโจมตีเดียว ร่างของชายผู้นั้นก็ถูกบดขยี้กลายเป็นฝนโลหิต


เมื่อเห็นภาพตรงหน้า สีหน้าของเหล่าผู้ลอบโจมตีก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดและเผ่นหนีทันใด กลุ่มของพวกเขามีคนอยู่หลายสิบคน ส่วนฝั่งหลิงฮันมีแค่คนเดียว อย่างมากอีกฝ่ายก็สามารถไล่ตามพวกเขาทันแค่หนึ่งหรือสองคนเท่านั้น


พวกเขาไม่ได้รู้เลยว่า ความคิดของพวกเขาช่างไร้เดียวสานัก


จักรพรรดินีเค้นเสียง ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ สัตว์อสูรสงครามสิบตัวปรากฏออกมาและคำรามใส่เหล่าผู้ลอบโจมตี


สัตว์อสูรสงครามน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก เพียงชั่วครู่ เหล่าผู้รอบโจมตีสองถึงสามคนก็ถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน


หลิงฮันเองก็ลงมือเช่นกัน เขาโคจรทักษะแสงอัสนีและพุ่งทะยานไปกำจัดเหล่าคนที่ลอบโจมตีที่เหลือจนสิ้นซาก


เขาปัดสิ่งเปราะเปื้อนบนมือทิ้ง และจับมือจักรพรรดิออกเดินทางต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ฮึ่ม ไม่ว่าหมอนั่นจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่หากสังหารAnchorเป่ยเสวียนหมิงไปแล้ว ทันทีที่ออกจากเขตแดนลี้ลับ หมอนั่นจะต้องถูกนิกายอาญาสิ้นแสงแน่นอน!” ในเหล่าผู้ที่มองดูเหตุการณ์อยู่ บุรุษตาชั้นเดียวผู้หนึ่งเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงริษยา


นอกจากเจ้าจะมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งแล้ว เจ้ายังได้ครอบครองสตรีที่งดงามไร้ที่เปรียบอีก เหตุใดโลกนี้ถึงไร้ความยุติธรรมยิ่งนัก?


ใครหลายคนที่มองดูอยู่หัวเราะสะใจ เนื่องจากความแข็งแกร่งของหลิงฮันนั้น ช่างขัดหูขัดตาพวกเขาเป็นอย่างมาก


ในกรณีของจื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วจ่างเฟิงนั้น ถึงแม้ทั้งสองจะแข็งแกร่งจนยากที่จะหยั่งถึง แต่ทั้งสองก็เป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ที่พวกเขาทำได้เพียงแหงนมอง พวกเขาจึงไม่รู้สึกริษยาอะไร


แต่หลิงฮันล่ะเป็นใคร?


เขาเป็นเพียงแค่จอมยุทธภายใต้การปกครองของขุมอำนาจระดับสามดาวแท้ๆ แต่กลับมีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าผู้สืบทอดอย่างพวกเขางั้นรึ?


‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ ในจังหวะนั้นเอง เงาของคนสามคนก็พุ่งทะยานเข้ามา ทั้งสามคนที่ว่าคือ หลินฟาง เถิงเซินและเหวยเหนียน


“แม่นางหลิน!”


“พี่ชายเถิง!”


“พี่ชายเหวย!”


ทุกคนอุทานออกมา ในหมู่ผู้สืบทอดด้วยกันนั้น ทั้งสามคนนี้คืออัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเป็นอย่างมาก หากไม่เช่นนั้น พวกเขาคงไม่สามารถผ่านการทดสอบของตำหนักเฉียนหลงไปได้ ทั้งๆที่คนอื่นๆไม่สามารถทำได้


“เหตุใดทั้งสามคนถึงมาเอาป่านนี้?” ใครบางคนเอ่ยถาม


หลินฟางแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “นั่นก็เพราะหลิงฮัน!”


หลิงฮันอีกแล้วรึ?


ทุกคนตกตะลึง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)