Alchemy Emperor of the Divine Dao 1817-1826
ตอนที่ 1817 สู้แย่งอาวุธ
กลุ่มคนแคระส่งเสียงเอะอะโวยวาย ถึงแม้พวกเขาจะชอบพูดจาโผงผาง แต่พวกเขาก็ไม่เคยสังหารใครมาก่อน
ธิดาโร๋วและคนอื่นๆแสดงสีหน้าที่ไม่อาจทำใจยอมรับได้
ช่างน่าขันยิ่งนัก จอมยุทธระดับทลายมิติที่ต่ำต้อยสามารถสังหารราชาในระดับสี่นิพพานได้อย่างไร?
สายตาของทุกคนจดจ้องไปยังท่อนไม้ในมือของคนแคระ ต้องเป็นเพราะพลังของสิ่งนี้แน่ๆ เชียนจ้าวเถี้ยนถึงได้ถูกสังหารภายในไม่กี่ลมหายใจ
ธิดาโร๋วและคนอื่นดวงตาส่องประกาย ถ้าหากได้ท่อนไม้ของพวกคนแคระมาครอบครอง พวกเขาก็จะกลายเป็นตัวตนที่ไร้เทียมทานที่สุดในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ และสามารถสังหารนิรันดร์ระดับสี่นิพพานได้ราวกับหมูหมา
ท่อนไม้ที่ว่าหากอยู่ในมือของเหล่าคนแคระก็ไม่ได้ถือว่าน่าหวาดกลัวเท่าไหร่ เพราะถึงแม้คลื่นแสงที่พุ่งออกมาจะรวดเร็ว แต่ด้วยพลังบ่มเพาะระดับธิดาโร๋วและคนอื่น พวกเขาย่อมสามารถหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย
ก่อนหน้านี้ที่เชียนจ้าวเถี้ยนถูกโจมตี เป็นเพราะเขาประมาทเกินไปเท่านั้น
ถ้าหากท่อนไม้ที่ว่าตกมาอยู่ในมือของพวกเขาที่เป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานล่ะก็ ภัยคุกคามของท่อนไม้ก็จะยกระดับสูงขึ้นหลายร้อยล้านเท่า เนื่องจากคลื่นแสงที่ถูกปลดปล่อยออกไปจะซับซ้อนจนแทบไม่อาจหลบหลีกได้
‘พรึบ’ เป่ยหยิ่วย้งเป็นคนแรกที่ลงมือ เขาที่เป็นถึงราชาในระดับสี่นิพพานสูงสุด ย่อมมีความมั่นใจอยู่แล้วว่าจะสามารถสังหารคนแคระทั้งหลายเหล่านี้ได้ภายในพริบตา โดยจะไม่ปล่อยโอกาสให้แม้แต่จะตั้งตัว
‘ตูม!’
เขาปล่อยหมัดออกไปด้วยอำนาจที่ทรงพลัง อำนาจแห่งกฎเกณฑ์จากหมัดถูกควบแน่นกลายเป็นพายุและลอยเข้าใส่เหล่าคนแคระ
ด้วยพลังของเขา คนแคระเหล่านี้จะถูกสังหารภายในพริบตา โดยที่ไม่แม้แต่จะรู้สึกได้ถึงความตายที่คืบคลานเข้ามา
‘ปัง!’
เสียงปะทะอันรุนแรงดังก้องกังวาน พร้อมกับพายุอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ถูกสลายออกเป็นเสี่ยงๆ ร่างของหลิงฮันปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าเหล่าคนแคระโดยที่ยื่นหนึ่งมือมาไว้ด้านหน้า เขาคือคนที่ตอบโต้การโจมตีเมื่อครู่ของเป่ยหยิ่วย้ง
ในแง่ของพลังต่อสู้ หลิงฮันยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเป่ยหยิ่วย้งได้ เพราะงั้นร่างของเขาจึงถูกดันล่าถอยไปด้านหลัง และกระดูกส่งเสียงสั่นไหว
“คนยักษ์เสียสติไปแล้ว!”
“ลงมือเร็วเข้า! ลงมือเลย!”
เหล่าคนแคระตกอยู่ในความโกลาหล พวกเขายื่นท่อนไม้ด้านหน้าและปลดปล่อยคลื่นแสงไปทิศนู้นทิศนี้อย่างมั่วซั่ว
ตอนนี้พวกธิดาโร๋วรับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของท่อนไม้แล้ว เพราะงั้นพวกนางจึงเตรียมตัวเอาไว้ก่อนแล้ว และสามารถหลบหลีกคลื่นแสงได้ก่อนที่จะมาถึงตัว
โชคดีที่เหล่าคนแคระรับรู้ว่าฝ่ายไหนคือศัตรูฝ่ายไหนคือมิตร พวกเขาจึงไม่โจมตีใส่หลิงฮันกับจักรพรรดินี
“หลิงฮัน เจ้ากล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือรึ!” เป่ยหยิ่วย้งเค้นเสียงเย็นชา หากหลิงฮันไม่ยื่นมือเข้ามาล่ะก็ เหล่าชนพื้นเมืองแคระเหล่านี้คงถูกสังหารภายในหนึ่งกระบวนท่าไปแล้ว
หลิงฮันยืนพาดมือไว้ด้านหลังและกล่าว “ข้าไม่คัดค้านใดๆหากเจ้าต้องการแย่งชิงสมบัติ แต่การกระทำที่สังหารผู้บริสุทธิ์ตามเอาเภอใจของเจ้านั้น ข้าไม่อาจยืนดูอยู่เฉยๆได้”
ใบหน้าของเป่ยหยิ่วย้งเปลี่ยนเป็นมืดมน แม้แต่หลินฟางและคนอื่นๆก็เช่นกัน พวกเขาไม่ยอมรับในคำพูดของหลิงฮัน ในสายตาของพวกเขา จอมยุทธระดับทลายมิติที่อ่อนแอนั้นไม่นับว่าเป็นมนุษย์เสียด้วยซ้ำ! ต่อให้ต้องสังหารมดปลวกเช่นนี้จำนวนมาก พวกเขาก็ไม่มีทางลังเลแม้แต่น้อย
โลกแห่งวรยุทธนั้น ผู้อ่อนแอย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง!
“หลิงฮัน จิตใจเช่นนั้นของเจ้า เจ้ายังกลายแสวงหาจุดสูงสุดของวิถีวรยุทธอยู่อีกรึ? ช่างน่าขันยิ่งนัก!” เป่ยหยิ่วย้งกล่าวเหยียดหยามในขณะที่ร่างกายยังคงหลบหลีกคลื่นแสงอันสะเปะสะปะของเหล่าคนแคระ
หลิงฮันไม่หวั่นไหวกับคำพูดของอีกฝ่ายและเกิดนึกสงสัยขึ้นมา หรือว่าเป็นเพราะคนเหล่านี้ตัดขาดสวรรค์และปฐพีไม่สำเร็จ พวกเขาถึงได้ตัดนิพพานด้วยวิธีปกติจนไม่หลงเหลือความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกัน?
“ลงมือพร้อมกัน มาดูว่าคราวนี้หมอนั่นจะช่วยเหลือคนแคระได้รึไม่!” เป่ยหยิ่วย้งกล่าวกับคนอื่นๆ
เถิงเซิน หลินฟางและคนอื่นๆพยักหน้า ต่อให้ไม่ใช่เพราะวาสนาอันยิ่งใหญ่ แต่แค่ท่อนไม้เหล่านั้น ก็คุ้มค่าพอให้พวกเขาลงมือแล้ว
ถ้าได้ท่อนไม้มาครอบครอง ภายใตเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงแห่งนี้ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใครแม้แต่คนเดียว
หลิงฮันขมวดคิ้ว พวกเป่ยหยิ่วย้งและคนอื่นๆนั้นมีหลายคนที่มีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับสี่นิพพานขั้นสูงสุด ต่อให้กายหยาบของเขาจะไร้เทียมทานและไม่ต้องหวาดกลัวอะไร แต่หากเหล่าคนแคระถูกลูกหลงจากการโจมตีของพวกเป่ยหยิ่วย้งล่ะก็ พวกคนแคระคงไม่อาจมีชีวิตรอดแน่นอน
ต่อให้มีจักรพรรดินีอยู่ด้วย แต่นางก็ยังไม่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งพอที่จะประมือกับนิรันดร์สี่นิพพาน ยิ่งพวกเป่ยหยิ่วย้งเป็นราชาแห่งยุคด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
จะทำอย่างไรดี?
“ชนเผ่ากูลู เข้ามาในอุปกรณ์มิติของข้า!” หลิงฮันกล่าวออกไปว่าอุปกรณ์มิติเพื่อปกปิดการมีอยู่ของหอคอยทมิฬ และเตรียมนำอุปกรณ์มิติทั่วไปโยนออกมา
เหล่าคนแคระชะงักด้วยความสับสน อุปกรณ์มิติคืออะไร?
ในความเป็นจริงแล้ว เผ่าของพวกเขาไม่มีรูปแบบการบ่มเพาะพลังเสียด้วยซ้ำ ตั้งแต่เกิดมาพวกเขาก็มีพลังอยู่ในระดับทลายมิติแล้ว แถมการโจมตีที่พวกเขารู้จัก ก็คือการโจมตีด้วยท่อนไม่เพียงอย่างเดียว
“อย่าได้ประนีประนอม!” หลินฟาง เถิงเซินและคนอื่นลงมือตามๆกัน
ณ เวลานี้นอกจากธิดาโร๋วแล้ว ทุกคนต่างสำแดงพลังกระหน่ำปลดปล่อยการโจมตีออกมาอย่างโหดเหี้ยม
หลังจากคุณธรรมในจิตใจตีกันอยู่สักพัก ธิดาโร๋วก็ตัดสินใจลงมือในที่สุด เพียงแต่ว่าเป้าหมายการโจมตีของนางนั้นไม่ใช่หลิงฮันกับจักรพรรดินีหรือเหล่าคนแคระ แต่เป็นพวกเป่ยหยิ่วย้ง!
จริงอยู่ที่นางเป็นสตรีงดงามที่สามารถทำทุกอย่างได้ตามใจชอบ แต่นางก็มีขีดจำกัดของตัวเอง!
ตอนที่ 1818 สถานการณ์เปลี่ยนไปมาในชั่...
พวกหลิงฮันสามคนปะทะกับพวกเป่ยหยิ่วย้งแปดคน
การต่อสู้นี้เป็นการต่อสู้ที่ไร้ความยุติธรรมอย่างสิ้นเชิง ต่อให้หลิงฮันจะแข็งแกร่งจนเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดไร้เทียมทานในระดับโลกียนิพพาน แต่พลังต่อสู้ของเขาก็ยังไม่มากพอที่จะเอาชนะราชาในระดับสี่นิพพานสูงสุด
จักรพรรดินีดีก็ไม่ต่างจากเขา พลังต่อสู้ของนางถูกกำจัดเอาไว้ด้วยพลังบ่มเพาะ ซึ่งทำได้เพียงรับการโจมตีจากศัตรูอย่างเฉียดฉิว
โชคยังดีที่ธิดาโร๋วนั้นแข็งแกร่งพอสมควร
แต่เดิมนางมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่สี่นิพพานทั่วไป แต่หลังจากผ่านการทดสอบของตำหนักเฉียนหลง พลังบ่มเพาะของนางก็ยกระดับขึ้นมาเป็นสี่นิพพานสูงสุด ยิ่งเมื่อใช้ประโยชน์จากกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักรและทักษะยั่วยวนด้วยแล้ว นางจึงสามารถรับมือกับราชาในระดับสี่นิพพานสูงสุดได้ถึงสองคน
แต่ถึงอย่างนั้น ศัตรูก็ยังมีมากเกินไปอยู่ดี
“คนยักษ์ ข้าให้เจ้ายืมอาวุธศักดิ์สิทธิ์!” คนแคระผู้หนึ่งโยนท่อนไม้ไปยังหลิงฮัน
คนแคระผู้นี้หลักแหลมและตัดสินใจหาวิธีเปลี่ยนสถานการณ์
“ฮ่าๆ ขอบใจมาก!” หนึ่งในจอมยุทธระดับนิรันดร์กล่าว เขากำก้อนหินเอาไว้ในมือและกล่าว “สลับ!”
หลิงฮันยื่นมือออกไปเพื่อคว้าท่อนไม้ แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆห้วงมิติก็เกิดการผันผวนและท่อนไม้ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นก้อนหิน! เมื่อเขารีบหันไปมองยังจอมยุทธคนเมื่อครู่ ก็พบว่าท่อนไม้ได้ไปอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายเสียแล้ว
อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติ!
ไม่น่าเชื่อว่าคนผู้นี้จะสามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาไม่เคยแสดงพลังนี้ให้เห็นมาก่อน ทุกคนจึงคิดว่าเขาเชี่ยวชาญเพียงแต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัคคีเท่านั้น
จอมยุทธผู้นี้มีชื่อว่าถานเว่ย ซึ่งมีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับสามนิพพานสูงสุด
“ตาย!” ถานเว่ยหันท่อนไม้ชี้มายังหลิงฮัน
“มิติเอกเทศน์!” หลิงฮันยื่นมือออกไปและโคจรทักษะ ‘พรึบ’ ร่างของถานเว่ยหายไปจากตำแหน่งเดิมในพริบตา หลิงฮันใช้โอกาสนี้เคลื่อนที่ด้วยแสงอัสนีไปหยุดที่ตำแหน่งนั้น ก่อนที่ร่างของถานเว่ยจะโผล่กลับมาอีกครั้ง
ถานเว่ยรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าหลิงฮันจะเชี่ยวชาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติเช่นกัน หลังจากที่ปรากฏตัวกลับมา ถึงแม้เขาจะไม่ใด้หันหลังไปมองแต่รับรู้ได้จากสัมผัสสวรรค์ว่าหลิงฮันอยู่ด้านหลังเขาในตอนนี้
หลิงฮันปล่อยหมัดเข้าใส่หลังศีรษะของถานเว่ย โดยที่การโจมตีนี้ทรงพลังมากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายเสียชีวิตได้
“อย่าได้คิดว่าจะทำสำเร็จ!” หลินฟางลงมือขัดขวาง ‘พรึบ’ นางขยับมือขวากวัดแกว่งแส้สีดำรัดหมัดของหลิงฮันเอาไว้ ทำให้การโจมตีของหลิงฮันหยุดก่อนถึงศีรษะของถานเว่ยราวๆครึ่งนิ้ว
หลิงฮันเค้นเสียง เขานำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาและสะบั้นใส่แส้ที่รัดมือ
“ช่างเพ้อฝัน!” หลินฟางแสยะยิ้ม แส้ของนางคืออุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะกึ่งนิรันดร์สองดาวและถูกถักขึ้นรูปให้เป็นแซ่ด้วยเส้นเอ็นของสัตว์อสูรนิรันดร์ ทำให้แซ่ชิ้นนี้มีความทนทานเป็นอย่างมาก
คิดจะตัดแส้ของนางให้ขาดงั้นรึ? อย่าได้ฝันเลย!
‘พรึบ’ ดาบอสูรนิรันดร์กวัดแกว่งสะบั้นเข้าใส่แส้พร้อมกับระเบิดคลื่นแสงแห่งดาบอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา แน่นอนว่าดาบอสูรนิรันดร์ไม่อาจตัดแส้ให้ขาดได้ แต่แผนการของหลิงฮันคือกระตุ้นดาบอสูรนิรันดร์ให้ทำการดูดกลืนแก่นโลหะที่อยู่ภายในแส้
‘ฟุบ’ เวลาผ่านไปเพียงไม่ถึงสิบลมหายใจ แก่นโลหะของแส้ก็ถูกดูดกลืนจนหมดเกลี้ยงและเสื่อมสภาพ พริบตาหลังจากนั้นหลิงฮันได้ทำการโคจรเพลิงเก้าสวรรค์เพื่อเผาเส้นเอ็นสัตว์อสูรนิรันดร์ให้หลอมละลาย และใช้ปลายดาบแหลมคมของดาบอสูรนิรันดร์ฟันแส้จนขาดเป็นสองส่วน
เพียงแต่ว่าทันทีที่เขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ กลุ่มของพวกเป่ยหยิ่วย้งหลายคนก็กระโดดเข้ามาคุ้มกันถานเว่ย เพื่อเปิดโอกาสเว้นช่องว่างให้ถานเว่ยยกท่อนไม้ขึ้นมาเล็งใส่หลิงฮัน
“ฮ่าๆๆ!” พวกเป่ยหยิ่วย้งหัวเราะลั่น ถึงแม้หลังจากนี้พวกเขาทุกคนจะต้องสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ตอนนี้พวกเขาก็ถือว่าเป็นพันธมิตรชั่วคราวที่ต้องช่วยเหลือกัน
“ทีนี้เจ้าเสียใจรึยังที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกข้า?” เป่ยหยิ่วย้งแสยะยิ้ม เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน? วีรบุรุษที่จะช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ทุกคนบนโลกนี้งั้นรึ?
หลิงฮันยิ้มอย่างไม่แยแสและกล่าว “สิ่งที่ข้าทำลงไป ข้าไม่เคยรู้สึกเสียใจ!”
“ถ้าเช่นนั้นก็ตายซะ!” ถานเว่ยคำราม เมื่อครู่เขาเกือบจะถูกการโจมตีของหลิงฮันสังหารเสียแล้ว เพราะงั้นเขาจึงรู้สึกอัปยศเป็นอย่างมาก
ในฐานะของผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับสามดาว เขาจะถูกทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นได้อย่างไร?
“ทุกๆคน ทำไมพวกเราต้องใช้กำลังตัดสินปัญหากันด้วยล่ะ?” ธิดาโร๋วกล่าวด้วยใบหน้าที่ประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ของทักษะยั่วยวน ภายใต้อำนาจของทักษะนี้ ความงดงามของนางได้ถูกยกระดับขึ้นหลายเท่า จนบุรุษผู้ใดที่เห็นนางจะต้องร่างกายร้อนผ่าวจนกระดูกหลอมละลาย
ต่อให้เป่ยหยิ่วย้งและคนอื่นๆจะเป็นราชาแห่งยุค แต่ในจังหวะนี้ จิตใจของพวกเขาเต้นแรงและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จนหลงลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าพวกเขาเป็นใครและทำอะไรอยู่
“นังแพศยา ตายซะ!” หลินฟางยิ้มอย่างโหดเหี้ยม นางถูกความงดงามของจักรพรรดินีและธิดาโร๋วกดขี่มาเป็นเวลานานแล้ว ตอนนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้เอาคืน!
นางคว้าท่อนไม้จากมือถานเว่ยและเล็งไปยังธิดาโร๋ว
หากเป็นในสถานการณ์ปกติ ถานเว่ยคงไม่ถูกนางแย่งชิงอาวุธไปง่ายๆแบบนี้ เพียงแต่ว่าตัวเขาในตอนนี้กำลังตกอยู่ในภวังค์ของมนต์เสน่ห์ ทำให้ปฏิกิริยาตอบโต้ช้าลงไปจากปกติหลายหมื่นเท่า กว่าเขาจะรู้สึกตัวท่อนไม้ก็ถูกหลินฟางแย่งไปเสียแล้ว
ธิดาโร๋วใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด คลื่นแสงจากท่อนไม้สามารถสังหารนิรันดร์ระดับสามนิพพานสูงสุดได้ภายในพริบตา ต่อให้นางจะมีพลังบ่มเพาะสูงขึ้นมาในระดับสี่นิพพาน ก็เกรงว่าผลลัพธ์คงไม่ต่างกัน
“ไม่!” เป่ยหยิ่วย้งและคนอื่นๆได้สติกลับมาและอุทาน
เจ้าจะสังหารสตรีที่งดงามขนาดนั้นไม่ได้!
หลินฟางเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมและไม่ลังเลที่จะออกแรงกดไปยังท่อนไม้ ‘พรึบ’ คลื่นแสงถูกปลดปล่อยออกไป
แต่ในจังหวะพร้อมกันกับที่หลินฟางกดท่อนไม้นั้นเอง เงาของร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานมาบังด้านหน้าธิดาโร๋ว
ตอนที่ 1819 ตายเพราะเข้าไปใกล้
ร่างนั้นคือหลิงฮัน!
สิ่งที่ทุกคนไม่สังเกตเห็นเลยคือ คลื่นแสงที่พุ่งเข้าใส่เขานั้นไม่ได้ทะลุร่างกับเหมือนกับตอนเชียนจ้าวเถี้ยน
หลิงฮันขดตัวลงพร้อมกับใช้มือกุมหน้าท้องด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ฮ่าๆๆๆ!” หลังจากชะงักตกตะลึงไปชั่วขณะ พวกเป่ยหยิ่วย้งก็หัวเราะลั่น
ธิดาโร๋วยังไม่ตาย นับว่าเป็นเรื่องดี!
“ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะลุ่มหลงในความรักจนถึงกับยอมสละชีวิตแบบนี้!” เถิงเซินกล่าว
“เจ้ามันสมควรตายไปนานแล้ว!” เป่ยหยิ่วย้งแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยมและดวงตาส่องประกาย
เขาผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาในหัว คือจะเก็บซากศพของหลิงฮันเอาไว้และนำไปมอบให้กับAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นเพื่อสร้างความดีความชอบ
“คืนสมบัติของข้ามา!” ถานเว่ยที่ได้สติกลับคืนมาก็ยื่นมือไปคว้าท่อนไม้จากหลินฟาง เพียงแต่ว่าหลินฟางนั้นไม่ยินยอมและผลักร่างของเขาออกไปด้วยพลังต่อสู้ระดับสี่นิพพานที่เหนือกว่า
ธิดาโร๋วอ้าปากค้าง สายตาของนางจดจ้องไปยังแผ่นหลังของบุรุษเบื้องหน้าที่ใช้ร่างกายตนเองปกป้องนาง
ตั้งแต่นางมีชีวิตมา ไม่รู้ว่ามีบุรุษพูดจาประจบประแจง หรือให้คำมั่นสัญญากับนางมาแล้วกี่คนต่อกี่คนว่าจะปกป้องนางด้วยชีวิต แต่ในสถานการณ์ที่ชีวิตของนางตกอยู่ในวิกฤตจริงๆ บุรุษที่จะยืนหยัดเพื่อนางเหมือนคำมั่นที่ให้ไว้จะมีซักกี่คนเชียว?
เกรงว่าจนถึงตอนนี้ก็มีเพียงหลิงฮันแค่หลิงฮันเท่านั้น!
แถมบุรุษผู้นี้ก็ไม่เคยกล่าวประจบประแจงหรือให้คำสัญญาเลยสักครั้งว่าจะปกป้องนาง
ณ เวลานี้หัวใจของธิดาโร๋วได้ถูกหลอมละลายเป็นที่เรียบร้อย ดวงตาของนางเริ่มพร่ามัวเนื่องจากมีหยาดน้ำตาไหลออกมา
นางตกหลุมรักหลิงฮันแล้วรึ?
บางทีอาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหัวใจของนางในตอนนี้กำลังรู้สึกหวั่นไหวอย่างแท้จริง
“เจ้าคือคนของตระกูลหลิง เพราะงั้นสามีของข้าจึงต้องคุ้มครองเจ้าเป็นธรรมดา!” เสียงของจักรพรรดินีดังขึ้นจากด้านหลัง
ธิดาโร๋วหันกลับไปมองและพบว่าใบหน้าของจักรพรรดินีนั้น ประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีร่องรอยของความเศร้าโศกใดๆเลย
นะ… นี่เจ้าใจแข็งเกินไปรึเปล่า?
เจ้าสามารถยิ้มได้ในขณะที่บุรุษของตัวเองถูกสังหารเนี่ยนะ?
ระหว่างนั้นสีหน้าของเป่ยหยิ่วย้งก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ‘ฟุบ’ เขาทะยานร่างเข้ามายืนด้านหน้าหลิงฮันเพื่อหวังจะเก็บซากศพ
“เจ้าคนน่ารังเกียจ!” ธิดาโร๋วสบถและคิดจะลงมือโจมตีเป่ยหยิ่วย้ง แต่ก็ถูกจักรพรรดินีรั้งเอาไว้ก่อน
เป่ยหยิ่วย้งที่เห็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก สิ่งที่เขาคิดคือจักรพรรดินีคงจะตัดใจจากหลิงฮันไปแล้วเรียบร้อย เพราะต่อให้ยึดติดกับคนตายไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา
เขาเอื้อมมือขยับเข้าหาหลิงฮัน ซึ่งก็เป็นในตอนนี้เองที่ใบหน้าของเขาได้แสดงท่าทางหวาดผวาออกมา
หลิงฮันกำลังแสยะยิ้มมองมายังเขา!
ชักไม่ดีแล้ว!
เป่ยหยิ่วย้งรับรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพียงแต่ทุกอย่างก็สายไปแล้ว
‘โพล๊ะ’ หมัดของหลิงฮันเจาะทะลุหน้าอกของเป่ยหยิ่วย้ง พริบตาเดียวกันความเย็นยะเยือกอันไร้ที่สิ้นสุดก็ได้กัดกร่อนไปทั่วห้วงจิตวิญญาณของเป่ยหยิ่วย้ง ทำให้พลังชีวิตของเขาถูกแช่แข็งและหลับไหลไปชั่วนิจนิรันดร์
ราชาในระดับสี่นิพพานสูงสุดถูกสังหารในกระบวนท่าเดียว!
“เป็น… ไป… ได้… อย่…” เป่ยหยิ่วย้งมองไปที่ใบหน้าของหลิงฮันและยื่นมือออกไป ราวกับต้องการซักถามหาเหตุผล
หลิงฮันไม่ตอบโต้อะไร เขากัดฟันและหันไปกล่าวกับจักรพรรดินี “ภรรยาข้า เลิกพูดเรื่องนั้นเสียที รู้ไหมว่าข้าเจ็บจะตายแล้ว”
ภายในร่างกายของเขามีแก่นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสองชนิด เพราะงั้นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ถึงแม้จะมีระดับสูงกว่า จึงไม่อาจบดขยี้หรือสังหารเขาได้ เพียงแต่ถึงแม้เขาจะไม่ตาย แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับก็มากพอที่จะทำให้เขาตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปถึงครึ่งวัน
บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นเงียบกริบ ร่างของทุกคนในตอนนี้แข็งค้างราวกับรูปปั้นหิน
สัตว์ประหลาด!
เจ้าต้องเป็นสัตว์ประหลาดแน่ๆ!
ไม่ว่าใครก็เห็นเหมือนกันว่าเชียนจ้าวเถี้ยนที่ถูกคลื่นแสงโจมตีใส่นั้น ร่างกายได้แหลกสลายหายไปภายในพริบตา แต่เจ้าที่โดนโจมตีใส่เต็มๆเหมือนกันกลับบอกแค่ว่ารู้สึกเจ็บงั้นรึ?
“จะ… เจ้าไม่เป็นอะไรได้อย่างไร?” ถานเว่ยถามด้วยสีหน้าโง่งม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความตกตะลึงให้แก่เขาเป็นอย่างมาก
หลิงฮันยักไหล่และกล่าว “อยากรู้งั้นรึ? เอาแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงออกมาสักหมื่นจินสิแล้วข้าจะบอก ไม่สิ… แต่สุดท้ายพวกเจ้าก็ต้องตาย ยังไงสมบัติของพวกเจ้าก็ต้องตกเป็นของข้าอยู่ดี”
ตั้งแต่ตอนแรกที่เข้าเขตแดนลี้ลับมา คนพวกนี้ก็มีแผนการคิดจะสังหารเขาเพื่อสร้างความดีความชอบกับจื่อเหอปิงอวิ๋น แต่ทว่าก่อนหน้านี้บังเอิญว่าพวกเขาได้พบเห็นเสียก่อนว่าเขามีกายหยาบที่ไร้เทียมทานขนาดไหน จึงได้หยุดแผนการไปชั่วคราวและเพิ่งกลับมาลงมืออีกครั่งในตอนนี้ เพราะงั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้เขาต้องไว้ชีวิตคนเหล่านี้
“พวกคนยักษ์ช่างชั่วร้าย! จัดการเลย!” เหล่าคนแคระเองก็ค่อยๆตั้งสติกลับมาได้ และเริ่มโจมตีอีกครั้ง
หลินฟางและคนอื่นๆรีบแยกย้ายกันหลบหลีกคลื่นแสง และเนื่องจากพวกเขาเองก็ถือครองท่อนไม้อยู่เหมือนกัน พวกเขาจึงสามารถโจมตีตอบโต้พวกคนแคระได้ ความเร็วของคลื่นแสงที่ถูกใช้ออกด้วยเงื้อมมือของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานนั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก จนหลิงฮันไม่รู้ว่าการคลื่นแสงจะพุ่งไปที่ใครและช่วยป้องกันให้ไม่ทัน
“อ้ากก! ข้าโดนโจมตีแล้ว” คนแคระผู้หนึ่งร้องโอดครวญ แต่ร่างกลายก็ไม่ได้แหลกสลาย
พวกเจ้าก็เป็นสัตว์ประหลาดเหมือนกัน!
หลินฟางและคนอื่นๆที่เป็นราชาแห่งยุคหรืออัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ สามารถเข้าใจได้ในทันทีว่าคนแคระเหล่านี้มีความสามารถในการต้านทานคลื่นแสงจากท้อนไม้ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ถึงแม้คลื่นแสงจะสามารถให้เขาพวกเขาบาดเจ็บได้ แต่ก็ไม่สามารถสังหารให้ตาย!
หลิงฮัน ธิดาโร๋วและจักรพรรดิรับท่อนไม้มาจากคนแคระและกระหน่ำโจมตีสวนพวกหลินฟาง
คลื่นแสงจากท่อนไม้พุ่งทะลวงยุ่งเหยิงไปทั่วบริเวณ
ถึงแม้แค่ใช้นิ้วจับท่อนไม้ก็สามารถปลดปล่อยคลื่นแสงได้เหมือนกัน แต่ความเร็วของคลื่นแสงเมื่อถูกใช้ออกด้วยพลังของพวกหลิงฮันทั้งสามคนนั้น ย่อมว่องไวกว่าความเร็วในการโจมตีของพวกคนแคระอย่างเทียบไม่ติด
ตอนที่ 1820 สมบัติขุนเขา
“ถอย! ล่าถอย!” หลินฟางและคนอื่นๆตะโกนลั่น ด้วยการที่มีท่อนไม้อยู่ในมือ พวกหลิงฮันทั้งสามคนจึงเป็นภัยคุกคามที่น่าสะพรึงกลัวเกินไป
ท่อนไม้ที่พวกเขามีอยู่คือแค่หนึ่งท่อนเท่านั้น ด้วยความต่างของจำนวนท่อนไม้กับความสามารถในการต้านทานคลื่นแสงของหลิงฮันกับเหล่าคนแคระแล้ว จะให้พวกเขาตอบโต้ได้อย่างไร?
หลังจากพยายามล่าถอยอย่างเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายคนที่เหลือรอดหนีไปได้ก็มีเพียงหลินฟาง เถิงเซินและเหวยเหนียนสามคนเท่านั้น โดยที่คนอื่นๆถูกคลื่นแสงบดขยี้ร่างกายจนแหลกสลายไปแล้ว
“พวกเราชนะ!” เหล่าคนแคระชูสองมือขึ้นฟ้าและโห่ร้อง
“ต้องฉลอง!”
“มาจัดงานเลี้ยงแด่ความสำเร็จครั้งนี้กัน!”
เหล่าคนแคระไม่ได้รับรู้ถึงความยากลำบากเลยว่าหากไม่มีความช่วยเหลือของหลิงฮันแล้ว ความต่างของพลังระหว่างพวกเขากับพวกหลินฟางนั้นมีมากขนาดไหน แถมยังไม่กังวลแม้แต่น้อยเลยด้วย ว่าพวกหลินฟางที่เหลือรอดไปได้จะกลับมาแก้แค้นหรือไม่
เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้พวกหลิงฮันสามคนได้รับความเชื่อใจและการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเหล่าคนแคระทันที
ทางด้านของธิดาโร๋วนั้น จิตใจของนางยังคงสั่นสะท้านไม่หาย นางรู้สึกหวั่นไหวกับการที่หลิงฮันใช้ร่างกายของตนเองปกป้องนางเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันนั้น การที่หลิงฮันไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลยก็ทำให้นางรู้สึกราวกับถูกหลอกให้เสียน้ำตาโดยเสียเปล่าเช่นกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องที่นางถูกหลิงฮันช่วยชีวิตเอาไว้ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อยู่ดี
“เจ้าอยากจะชดใช้บุญคุณไหมล่ะ?” จักรพรรดินียื่นมือไปจับคางอันงดงามของธิดาโร๋วและกล่าว “คืนนี้ไปหลับนอนกับสามีของข้าสิ!”
ธิดาโร๋วแสดงสีหน้าอับอาย นี่เจ้าไม่คิดจะวางตัวให้ดูดีบ้างเลยรึไง?
หลิงฮันส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น เหตุใดจักรพรรดินีถึงหมกมุ่นกับAnchorกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักรขนาดนั้นกัน? หากไม่มีกายหยาบที่ว่าข้าจะไม่สามารถบรรลุจุดสูงสุดของวิถีวรยุทธได้เลยรึไง?
เพียงแต่ว่าสิ่งใดที่จักรพรรดินีตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้พูดไปก็ไม่อาจหยุดนางได้ เพราะงั้นหลิงฮันจึงไม่เกลี้ยกล่อมนางอีกต่อไปและไต่ถามเรื่องต่างๆกับเหล่าคนแคระ
เนื่องจากได้รับความช่วยเหลือจากหลิงฮัน เหล่าคนแคระจึงเชื่อใจเขาและเล่าทุกอย่างที่เขาถามให้ฟัง
ท่อนไม้ที่เหล่าคนแคระถืออยู่ในมือนั้น เป็นสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนำออกมาจากถ้ำแห่งหนึ่ง แต่เรื่องหนึ่งที่หลิงฮันตกตะลึงเป็นอย่างมากก็คือ เรื่องที่ว่าคนแคระเหล่านี้นั้นไม่ได้เกิดมาจากวิธีการปกติ แต่พวกเขาเกิดมาจากถ้ำที่เอ่ยถึง
ทุกๆสองหมื่นปี พวกคนแคระจะเข้าไปยังถ้ำแห่งที่ว่า เพื่อนำตัวคนแคระที่เกิดใหม่ออกมาและฝังคนแคระที่เสียชีวิตแล้วเอาไว้ด้านใน
หลิงฮันเริ่มครุ่นคิดว่าบางที พวกคนแคระแหล่านี้อาจจะเกิดมาจากอำนาจต้นกำเนิดปฐพีก็เป็นได้
ที่เขาคิดเช่นนี้ก็เพราะ นอกจากพวกคนแคระจะเกิดมาจากในถ้ำแล้ว ในตอนที่พวกเขาถูกคลื่นแสงของท่อนไม้โจมตีเข้าใส่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเหตุผลเดียวที่จะอธิบายได้ก็คือทั้งคนแคระและท่อนไม้นั้น มีต้นกำเนิดมาจากหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์เหมือนกัน
หลิงฮันยื่นคำขอว่าต้องการเข้าไปสำรวจยังถ้ำแห่งนั้น แน่นอนว่าเหล่าคนแคระจะปฏิเสธคำขอร้องจากผู้มีพระคุณได้อย่างไร?
เหล่าคนแคระพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวออกมาว่าพวกเขาจะไปขออนุญาตผู้เฒ่าของเผ่าก่อน แล้วจะมาให้คำตอบหลิงฮันทีหลัง
หลิงฮันไม่เร่งเร้าใดๆ พวกเขาทั้งสามคนตัดสินใจพักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชั่วคราว เพื่อรอคำตามจากเหล่าคนแคระ
หลิงฮันและจักรพรรดินีเข้าไปในหอคอยทมิฬ ในตอนนี้พลังบ่มเพาะของพวกเขาได้บรรลุขั้นสูงสุดของระดับสองนิพพานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่ทะลวงผ่านไปขั้นพลังต่อไปได้ ภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้พวกเขาจะไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใครอีกต่อไป
หากเป็นในสถานการณ์ปกติ การจะทะลวงผ่านไปยังขั้นพลังต่อไป อาจจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหมื่นปี แต่ถ้าหากจอมยุทธคนใดไร้พรสวรรค์ในการทำความเข้าใจล่ะก็ ต่อให้ใช้เวลาเป็นพันล้าน หมื่นล้าน หรือแสนล้านปี ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะทะลวงผ่านขั้นพลังได้
แต่ว่าหลิงฮันนั้นมีAnchorต้นสังสารวัฏอยู่ในครอบครอง ก่อนหน้านี้หลังจากที่ต้นสังสารวัฏเกิดการวิวัฒนาการ ประสิทธิภาพของมันได้เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมหลายเท่า แถมยังบังเอิญออกผลมาออกมาจำนวนหนึ่งอีกด้วย
ต้นสังสารวัฏนั้นออกผลได้ยากมาก และการที่มันเป็นถึงต้นกำเนิดของพงไพรนับไม่ถ้วน ผลที่มันให้กำเนิดขึ้นมาจึงเป็นถึงสมุนไพรระดับนิรันดร์!
เพียงแต่ว่าเนื่องจากต้นสังสารวัฏต้นนี้ยังเติบโตมาได้ไม่นาน ผลที่มันให้กำเนิดจึงมีประสิทธิภาพไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น
หลิงฮันและจักรพรรดินีแบ่งผลนิรันดร์กินกันคนละสี่ผล และบ่มเพาะพลังใต้ต้นสังสารวัฏ พวกเขาหวังที่จะทะลวงผ่านขั้นพลังให้ได้ภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
เวลาผ่านไปเจ็ดวัน ในที่สุดหลิงฮันกับจักรพรรดินีก็ออกมาจากหอคอยทมิฬ
ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะยังทะลวงผ่านขั้นพลังไม่ได้ แต่พวกเขาก็มั่นมากถึงเก้าในสิบส่วนว่า หากได้เก็บตัวบ่มเพาะพลังอีกครั้ง พวกเขาจะต้องบรรลุเป็นนิรันดร์สามนิพพานอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้พวกเขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เพราะไม่มีสมุนไพรนิรันดร์เหลือแล้ว และก็ไม่สามารถกินเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตได้ด้วย
“เจ้าสมุนไพรกลายพันธุ์ตนนั้น!” หลิงฮันฉุดนึกถึงสมุนไพรนิรันดร์ที่มีรูปร่างของกระต่ายแต่หัวเป็นหมาป่าขึ้นมาทันที หากได้ดูดซับแก่นพลังของมันล่ะก็ ทั้งเขาและจักรพรรดินีจะต้องบรรลุระดับสามนิพพานเป็นแน่
ซึ่งในตอนนี้เอง การปรึกษาหารือของเผ่ากูลูก็ได้คำตอบในที่สุด พวกเขายินยอมให้พวกหลิงฮันทั้งสามคนเข้าไปในถ้ำได้ แต่มีเงื่อนไขคือต้องเก็บสมบัติขุนเขากลับมาใช้เป็นเครื่องสังเวยเสียก่อน
ภายในภูเขาแห่งนี้มีหินชนิดหนึ่งที่ถูกเรียกว่าสมบัติขุนเขา ซึ่งเผ่ากูลูมักนิยมใช้มันเป็นเครื่องสังเวยพิธีกรรมสำหรับเปิดทางเข้าถ้ำ
เนื่องจากเหล่าคนแคระจะเข้าไปด้านในถ้ำได้เพียงแค่ครั้งเดียวในรอบสองหมื่นปีเท่านั้น พวกเขาจึงยินดีที่จะยอมให้พวกหลิงฮันเข้าไปในถ้ำ ถ้าหากนำสมบัติขุนเขากลับมาใช้เป็นเครื่องสังเวยได้
หลิงฮันและจักรพรรดิตัดสินใจรีบออกเดินทางในทันที โดยที่ธิดาโร๋วก็เลือกที่จะติดตามทั้งสองไปด้วย
“ขอบอกเอาไว้ก่อนนะว่า ถึงแม้ข้าจะช่วยเหลือเจ้าและยอมให้ตามมาด้วย ก็ใช้ว่าพวกข้าจะแบ่งสมบัติที่พบเจอให้แก่เจ้า” หลิงฮันกล่าวอย่างหนักแน่น
ธิดาโร๋วกัดฟันอย่างไม่สบอารมณ์ทันที ก่อนหน้าที่จะมีเรื่องสมบัติเข้ามาเกี่ยวข้อง เจ้ากับข้ายังร่วมมือกันฉันมิตรอยู่เลยแท้ๆ!
นางไม่อาจทำใจยอมรับได้ ด้วยความงดงามอันล้นเหลือของนาง เพียงแค่นางกล่าวคำพูดไม่กี่คำและมอบรอยยิ้มให้ ไม่ว่าบุรุษคนไหนก็ไม่มีทางปฏิเสธคำขอของนางได้เป็นอันขาด
แต่บุรุษที่นางกำลังพบเจออยู่นี่มันอะไรกัน?
ธิดาโร๋วหันมองไปยังจักรพรรดินี นางยอมรับก็จริงว่าหากบุรุษผู้ใดมีสตรีที่งดงามขนาดนี้อยู่ข้างกาย บุรุษผู้นั้นคงสามารถต้านทานเสน่ห์ของสตรีได้ทั้งหมดทั้งมวล
แต่สิ่งที่นางไม่อาจยอมรับคือ การที่จะมีบุรุษคนใดรอดพ้นจากมนต์สะกดของทักษะนิกายซู่หนู่ไปได้!
หากทำให้บุรุษผู้นี้ยอมศิโรราบแนบเท้าของนางไม่ได้ล่ะก็ เกรงว่าความรู้สึกอัปยศนี้จะกลายเป็นมารผูกมัดจิตใจของนาง จนส่งผลให้นางไม่อาจทะลวงผ่านระดับแบ่งแบกวิญญาณไปตลอดชีวิต
บุรุษจอมขี้เหนียว… มาตัดสินกัน ข้าไม่เชื่อว่าจะทำให้เจ้ายอมศิโรราบไม่ได้!
ตอนที่ 1821 ค้นหา
พวกหลิงฮันทั้งสามคนทำการออกเดินทางสำรวจภูเขา โดยที่หลิงฮันกล่าวเตือนเหล่าคนแคระเอาไว้แล้วว่าให้ระวังตัวกับคนนอกไว้ให้ดี แต่ด้วยการที่มีท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ คิดว่าพวกคนแคระคงไม่น่าพบเจอปัญหาอะไร
จากที่คนแคระเผ่ากูลูเล่ามา หินสมบัติขุนเขาที่ว่าจะถูกฝังลึกลงไปอยู่ใต้พื้นดิน ซึ่งบางก้อนอาจจะอยู่ลึกลงไปถึงหลายสิบเมตร
เท่าที่ได้ยินมานั้น หินสมบัติขุนเขาจะมีเอกลักษณ์ที่สังเกตเห็นได้ง่ายมาก เนื่องจากผิวของตัวหินจะส่องประกายเรืองแสงเหมือนกับสีน้ำนม และมีของเหลวใสๆอยู่ภายใน ครั้งหนึ่งเผ่ากูลูผู้กล้าหาญคนหนึ่งได้ลองเปิดหินสมบัติขุนเขาเพื่อดื่มของเหลวที่อยู่ภายในดูและเสียชีวิตลงในทันที
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชนเผ่ากูลูจึงไม่กล้ามองหินสมบัติขุนเขาเป็นสิ่งปกติอีกต่อไป และเชื่อว่าหินสมบัติขุนเขาคือการลงโทษของพระเจ้า
ด้วยพลังของพวกหลิงฮันทั้งสามคนแล้ว การขุดหรือบดขยี้พื้นดินนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่กับภูเขาลูกนี้นั้นกลับแตกต่างออกไป
โครงสร้างของมันทนทานเป็นอย่างมาก!
หลิงฮันพยายามทำลายโขดหินหลายก้อนดูแต่ก็ไม่เป็นผล จนสุดท้ายเขาก็ต้องยอมลงมือขุดดินอย่างช้าๆเหมือนคนทั่วไป
“หอคอยน้อย เจ้าพอจะเดาได้รึไม่ว่าสมบัติขุนเขาคืออะไร?” หลิงฮันเอ่ยถาม
หอคอยน้อยครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “สิ่งนั้นอาจจะเป็นหยกสมบัติวิญญาณที่เชื่อมต่อกับถ้ำ เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่เกิดจากจากรวมตัวกันของออร่าที่เล็ดรอดออกมาจากศิลาต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ มันจึงสามารถใช้เปิดถ้ำของหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ได้”
“เจ้ามั่นใจว่าหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์อยู่ในถ้ำนั่นจริงๆ”
“ข้ามั่นใจเกินกว่าเก้าส่วน” หอคอยน้อยพยักหน้า “แต่ในเมื่อตอนนี้หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์พัฒนาจนสมบูรณ์แล้ว คาดว่าคงมีแต่พลังอำนาจระดับราชานิรันดร์เท่านั้นที่สามารถเก็บเกี่ยวมันได้ เพราะงั้นคนที่เจ้าต้องระวังเอาไว้ให้ดีมีเพียงผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์สองคนนั่นเท่านั้น”
“แล้วเจ้าสามารถหาสมบัติขุนเขาได้รึเปล่า?” หลิงฮันถามต่อ
“หากอยู่ในระยะที่ใกล้พอ ข้าก็สามารถสัมผัสถึงมันได้” หอคอยน้อยกล่าวตอบ
“ต้องใกล้ขนาดไหนรึ?”
“ภายในระยะสิบฟุต”
หลิงฮันพยักหน้า หากสมบัติขุนเขาก้อนใดถูกฝังเอาไว้ใต้ดินไม่เกินสิบฟุตและ หอคอยน้อยจะสามารถสัมผัสถึงมันได้ล่ะก็ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าให้เขาสุ่มขุดหาไปทั่วทั้งภูเขา
หลิงฮันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลายเป็นนักขุดภูเขา
พื้นดินแทบจะทั้งหมดของภูเขาลูกนี้เต็มไปด้วยก้อนหินหนา และมีพื้นที่ส่วนที่เป็นดินอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะงั้นหากจะขุดพื้นดินของภูเขาลูกนี้ก็จำเป็นต้องใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในการหลอมละลาย
โชคดีที่พวกหลิงฮันทั้งสามคนยืมท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์มาจากเผ่ากูลูด้วย พวกเขาจึงสามารถประหยัดพลังไปได้หลายส่วน
การขุดดินดำเนินเวลาไปมากกว่าห้าเดือน โดยที่ราชาแห่งยุคทั้งสามพยายามทำหน้าที่อย่างขะมักเขม้น
“เจ้าหนู ไปทางซ้าย!” จู่ๆเสียงของหอคอยน้อยก็ดังขึ้น
ร่างของหลิงฮันหยุดชะงักก่อนจะเผยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าพบแล้วรึ?”
หอคอยน้อยกล่าวตอบอย่างฉุนเฉียว “ข้าบอกให้ไปทางซ้ายก็ไปทางซ้ายสิ จะมัวพล่ามไร้สาระทำไม?”
นี่ถ้าเจ้าไม่ปากเสียเจ้าจะตายรึไง?
หลิงฮันเบี่ยงทิศขุดไปทางซ้าย ก่อนที่เสียงของหอคอยน้อยจะดังขึ้นอีกครั้ง “มากไป ขยับไปทางขวาหน่อย”
หลังจากเบี่ยงทิศทางขุดไปมาอยู่หลายครั้ง ในที่สุดหอคอยน้อยก็นิ่งเงียบและหลิงฮันก็ทำการขุดต่อไป
“ขุดช้าๆลงหน่อย” หลังจากขุดลึกไปได้ราวๆครึ่งฟุต หอคอยน้อยก็เปิดปากพูดต่อ
หลิงฮันขุดช้าลงตามคำบอกของหอคอยน้อย และเปลี่ยนจากใช้ท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์มาใช้มือขุดแทน เพราะไม่ต้องการทำให้หยกสมบัติวิญญาณเสียหาย
หลังจากขุดต่อไปอีกไม่นาน หลิงฮันก็พบหยกสมบัติวิญญาณ
เหมือนกับที่เหล่าคนแคระบอกเอาไว้จริงๆ หินก้อนนี้มีสีขาวกระจ่างราวน้ำนม และโปร่งเล็กน้อยทำให้มองเห็นของเหลวที่อยู่ภายใน
“เป็นหยกสมบัติวิญญาณจริงๆ” หอคอยน้อยกล่าว
“สิ่งนี่คือสมบัติรึเปล่า?” หลิงฮันถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว หินก้อนนี้เกิดจากการควบแน่นของเศษเสี้ยวอำนาจต้นกำเนิดปฐพี ความล้ำค่าของมันสามารถทำให้แม้แต่ตัวตนระดับตำหนักอมตะรู้สึกหวั่นไหว”
หลิงฮันเข้าใจทันทีว่าทำไมคนแคระที่ดื่มของเหลวภายในหินก้อนนี้ถึงได้ตาย ไม่ใช่ว่าหยดของเหลวในหินก้อนนี้เป็นพิษ แต่ที่คนแคระผู้นั้นตายเป็นเพราะพลังอำนาจของของเหลวนั้นรุนแรงเกินไป จนทำลายของของคนแคระผู้กล้าหายในพริบตา
เหล่าคนแคระทุกคนมีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับทลายมิติเท่านั้น ถึงแม้พวกเขาจะมีความเกี่ยวข้องกับหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ก็ไม่สามารถต้านทานพลังอำนาจของระดับพลังที่เหนือกว่าได้
น่าเสียดายทีสมบัติชิ้นนี้จำเป็นต้องใช้สำหรับเปิดทางเข้าถ้ำ เพราะไม่เช่นนั้นเขาคงนำมันไปใช้เองแล้ว
หลิงฮันขุดหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จู่ๆจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันน่าขนลุก
“วางสมบัติขุนเขาลงซะ!” เสียงอันเย็นชาดังขึ้น ถึงแม้น้ำเสียงจะฟังดูงดงามแต่กลับแฝงไว้ด้วยจิตสังหารที่รุนแรง
การที่คนผู้นี้สามารถปรากฏตัวด้านหลังหลิงฮันโดยที่สัมผัสสวรรค์ของหลิงฮันตรวจจับไม่ได้นั้น ย่อมหมายความว่าพลังและทักษะที่อีกฝ่ายใช้ต้องทรงพลังเป็นอย่างมาก
คนที่ปรากฏตัวคือAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋น ในฐานะที่นางเป็นถึงผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ การจะมีทักษะระดับนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
หลิงฮันค่อยๆหันหลังและเผชิญหน้ากับจื่อเหอปิงอวิ๋น
ในมือของอีกฝ่ายถือท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ โดยใช้ส่วนปลายชี้มาที่ใบหน้าของเขา
ดูเหมือนนางเองก็รู้เหมือนกันว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นใช้งานอย่างไรและทรงพลังขนาดนั้น จึงได้ใช้จะใช้มันเพื่อทำให้หลิงฮันยอมศิโรราบ
แต่ทำไมนางถึงไม่ลงมือโจมตีไปเลยน่ะรึ? นั่นเป็นเพราะนางกลัวว่าการโจมตีจะไปทำลายสมบัติขุนเขาที่อยู่ในมือหลิงฮันนั่นเอง เพราะงั้นนางจึงต้องสั่งให้หลิงฮันมอบสมบัติขุนเขามาให้ก่อน ถึงจะลงมือสังหารทีหลัง
หลิงฮันขมวดคิ้วและระเบิดจิตสังหารออกมา
“You killed!” He said, “I sensed a strong smell of blood, and More than one! ” He suddenly became angry. “You killed that dwarf village!”
“เจ้าสังหารพวกเขาไปแล้ว!” เขากล่าว “ข้าสัมผัสกลิ่นโลหิตอันรุนแรงจากร่างกายเจ้าได้ ซึ่งเป็นกลิ่นโลหิตของคนจำนวนเกินกว่าหนึ่งคน!”
โทสะของเขาปะทุออกมา “เจ้าสังหารทุกคนในหมู่บ้านคนแคระ!”
จื่อเหอปิงอวิ๋นมีท่าทีไม่แยแส ค่าสังหารคนแคระในหมู่บ้านนั้นไปจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร? คนพวกนั้นมีพลังบ่มเพาะแค่ระดับทลายมิติเท่านั้น ซึ่งไม่มีค่าพอให้นางจดจำเสียด้วยซ้ำ นางเลิกคิ้วและกล่าว “ไม่ต้องพูดให้มากความ และรีบๆส่งสมบัติขุนเขามา!”
บุรุษผู้นี้น่ารังเกียจเป็นอย่างมากที่กล้าทำให้นางต้องเปิดเผยก้นต่อหน้าสาธารณชน ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่สมควรตาย แต่คนอื่นๆที่เห็นก้นของนางก็สมควรตายเช่นกัน!
หลิงฮันกำหมัดและกล่าวอย่างเย็นชา “อยากได้ ก็จงเอาชีวิตของเจ้ามาแลก!”
“ตาย!” จื่อเหอปิงอวิ๋นขยับท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อย ‘พรึบ’ คลื่นแสงถูกปลดปล่อยออกมาและพุ่งเข้าใส่ขาขวาของหลิงฮัน
ตอนที่ 1822 สมุนไพรนิรันดร์ปรากฏตัวอี...
ความเร็วของคลื่นแสงรวดเร็วเป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่จอมยุทธระดับโลกียนิพพานเลย เกรงว่าต่อให้เป็นตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณก็คงไม่อาจหลบพ้น คลื่นแสงที่พุ่งเข้ามาปะทะเข้าที่ขาของหลิงฮันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
เพียงแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ร่างของหลิงฮันยังยืนแน่นิ่งราวกับหินผา
อะไรกัน!
ใบหน้าของAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นแสดงออกถึงความตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด ปากของนางอ้าค้างโดยไม่รู้ตัว
เป็นไปได้อย่างไร!
หลิงฮันเค้นเสียงและพุ่งทะยานร่างเข้าจู่โจมจื่อเหอปิงอวิ๋น “สตรีเดรัจฉาน ข้าจะตัดหัวของเจ้าไปสังเวยให้เผ่ากูลู!”
“ช่างไม่ประมานตน!” จื่อเหอปิงอวิ๋นกล่าวอย่างเหยียดหยามหลังจากตั้งสติกลับมาได้
เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดจะนำช้าไปสังเวยให้คนตาย?
ตัวนางนั้นเป็นถึงผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ เจ้าไม่รู้รึไงว่าในอนาคตสถานะของข้าจะสูงส่งขนาดไหน?
แค่ต้านทานพลังของท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ เจ้าคิดว่าตนเองจะมีคุณสมบัติเป็นคู่ต่อสู้ของข้าแล้ว?
จื่อเหอปิงอวิ๋นเข้าปะทะกับหลิงฮันอย่างดุเดือด ซึ่งนางมั่นใจในพลังของตัวเองเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้ที่นางใช้ท่อนไม้ในการข่มขู่ก็เพราะหลิงฮันนั้นมีกายหยาบที่ทรงพลังเกินไป นางจึงไม่ต้องการสิ้นเปลืองพลังของตัวเอง
“เจ้าเป็นคนของขุมอำนาจราชานิรันดร์ขุมอำนาจใด?” นางเอ่ยถาม หากไม่ใช่เพราะมีตราประทับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของราชานิรันดร์อยู่ภายในร่างกายล่ะก็ อีกฝ่ายจะสามารถต้านทานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของอำนาจต้นกำเนิดปฐพีได้อย่างไร?
คลื่นแสงที่เกิดจากท่อนไม้ท่อนนี้ มีพลังทำลายของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เทียบได้กับของราชานิรันดร์ หากไม่ใช่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในระดับเดียวกันล่ะก็ เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะต้านทานได้
“ฮึ่ม หากเป้าหมายไม่ใช่คนของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ เจ้าก็จะสังหารใครก็ได้ตามใจชอบงั้นรึ?” หลิงฮันใช้ท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์โจมตีเช่นกัน คลื่นแสงแห่งความตายถูกปล่อยปล่อยพุ่งเข้าใส่ร่างของจื่อเหอปิงอวิ๋นอย่างไม่อาจหลบพ้น
เพียงแต่ร่างกายของจื่อเหอปิงอวิ๋นเองก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน นางยังคงกระหน่ำปลดปล่อยการโจมตีอย่างเนื่อง พร้อมกับกล่าวเหยียดหยาม “คิดว่ามีแค่เจ้าคนเดียวรึไง ที่สลักตราประทับของราชานิรันดร์เอาไว้ในร่าง?”
หลิงฮันเข้าใจทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงคิดว่าเขาเป็นคนของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์
ในเมื่อท่อนไม้ศักดิ์สิทธิ์ใช้ไม่ได้ผล เขาจึงเปลี่ยนมาโคจรพลังของเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับมาไว้ที่กำปั้น เพื่อต่อกรกับจื่อเหอปิงอวิ๋นแทน
ในด้านของพลังต่อสู้นั้น จริงอยู่ที่เขายังเทียบกับนางไม่ได้ เพียงแต่เมื่อโคจรแก่นกำเนิดพลังทั้งสองเข้ามาช่วยเหลือแล้ว การปะทะครั้งนี้เขาจึงไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแม้แต่น้อย
จื่อเหอปิงอวิ๋นแสยะยิ้ม ต่อให้เจ้าจะมีตราประทับของราชานิรันดร์สลักเอาไว้ในร่าง แต่คิดรึว่าว่าพลังของตราประทับนั่นจะใช้ได้อย่างไรขีดจำกัด?
ลองดูอย่างนางเป็นตัวอย่าง จนถึงตอนนี้นางใช้พลังของตราประทับภายในร่างเพียงเพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น และไม่เคยใช้สำหรับการโจมตีเลยสักครั้ง เพราะไม่งั้นพลังของตราประทับจะค่อยๆถูกเผาผลาญจนไม่เหลือ
หากไม่มีพลังของตราประทับราชานิรันดร์คอยคุ้มครองร่างกายล่ะก็ นางจะไม่สามารถเก็บเกี่ยวหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ได้
เพราะงั้นในความคิดของนาง การกระทำของหลิงฮันจึงบ้าบิ่นเป็นอย่างมาก หากนำพลังของตราประทับมาใช้ในการโจมตีเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง และพลังของตราประทับแห้งเหือดขึ้นมา เขาไม่คิดรึว่าตนเองจะหมดสิทธิครอบครองหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์?
ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด แต่ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไปเท่าไหร่ จื่อเหอปิงอวิ๋นก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้น ดูจากการอัตราการโจมตีอย่างต่อเนื่องของหลิงฮันแล้ว ตราประทับราชานิรันดร์ที่ประทับเอาไว้ภายในร่างกายสมควรจะถูกเผาผลาญไปจนหมดแล้วไม่ใช่รึไง? แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงยังสามารถโจมตีได้รุนแรงราวกับพลังไม่มีสิ้นสุดกัน?
เป็นไปได้อย่างไร?
ต้องรู้ก่อนว่าถึงแม้พลังของราชานิรันดร์จะไร้ขีดจำกัด แต่ทั้งหลิงฮันและนางก็ยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับโลกียนิพพานเท่านั้น เพราะงั้นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่สามารถรับมาไว้ในร่างได้จึงมีจำกัด หากสลักตราประทับแห่งกฎเกณฑ์ที่เกินระดับพลังบ่มเพาะเอาไว้มากเกินไป ร่างกายจะรับไม่ไหวจนถึงขั้นระเบิดและตายได้!
หรือจะเป็นเพราะว่ากายหยาบของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธทั่วไป ถึงได้สามารถสลักตราประทับเอาไว้ได้จำนวนมาก?
แต่เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้รึ?
การต่อสู้ดำเนินต่อไป โดยที่ความตกตะลึงของจื่อเหอปิงอวิ๋นค่อยๆเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากหลิงฮันยังคงปลดปล่อยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ระดับราชานิรันดร์ออกมาไม่หยุดหย่อน
นางไม่อาจทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และทำได้เพียงตกตะลึง
ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเอง จนถึงตอนนี้ตราประทับราชานิรันดร์ที่สลักเอาไว้ในร่างกายของนาง ก็ถูกเผาผลาญไปแล้วมากกว่าครึ่งแล้ว
หากยังสู้ต่อไป เกรงว่านางอาจจะไม่เหลืออำนาจของตราประทับมากพอให้เอาไว้เก็บเกี่ยวหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์
“ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ!” จื่อเหอปิงอวิ๋นกล่าวคำพูดทิ้งท้ายไว้และล่าถอยอย่างไม่ลังเล นางไม่ต้องการเผาผลาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อย่างเปล่าประโยชน์อีกต่อไป
หลิงฮันไม่ได้ไล่ตามนาง เนื่องจากต่อให้ไล่ตามไปเขาก็ยังไม่สามารถสังหารจื่อเหอปิงอวิ๋นได้อยู่ดี
ต้องรีบทะลวงผ่านระดับสามนิพพาน!
หลิงฮันกล่าวในใจ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะมีความคิดนี้อยู่แล้ว แต่หลังจากที่รู้ว่าจื่อเหอปิงอวิ๋นสังหารหมู่เผ่ากูลู ความมุ่งหน้าในจิตใจของเขาก็ลุกโชนกว่าเดิมหลายเท่า
เขากลับไปยังหมู่บ้านเผ่าคนแคระพร้อมกับจักรพรรดินีและธิดาโร๋ว ภาพที่พวกเขาเห็นคือศพของคนแคระทุกคนที่นอนเกลื่อนกลาดไปทั่วบริเวณ โดยที่ไม่มีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
“สตรีผู้นั้นช่างโหดเหี้ยมนัก!” หลิงฮันกวาดสายตามองด้วยร่างกายที่สั่นเครือ
ถึงแม้เขาจะคลุกคลีอยู่กับพวกคนแคระได้ไม่นาน แต่เขาก็ถูกชะตาในความใสซื่อของพวกเขาเป็นอย่างมาก และไม่เคยคิดว่าก่อนว่าวันหนึ่งจะมีเหตุการ์ณเช่นนี้เกิดขึ้น
“จื่อเหอปิงอวิ๋น หากข้าไม่สังหารเจ้า โทสะในจิตใจของข้าจะไม่มีวันสลายไป!” หลิงฮันกล่าวในขณะที่แหงนมองท้องฟ้า
‘พรึบ’ ในจังหวะนั้นเอง จู่ๆพื้นดินจุดหนึ่งก็แยกตัวและร่างของกระต่ายหัวหมาป่าก็พุ่งทะยานออกมา ปากของมันขยายกว้างหลายสิบฟุตกลายเป็นหลุมดำอันไร้ที่สิ้นสุดและงับเข้าใส่หลิงฮัน
เป็นเจ้าสมุนไพรกลายพันธุ์!
หมอนี่ช่างน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากที่สามารถหลบซ่อนตัวจากสัมผัสสวรรค์ของเขาได้ แถมยังฉลาดถึงขนาดหาโอกาสโจมตีในจังหวะที่เขากำลังเกรี้ยวกราด และสภาพจิตใจอยู่สภาวะผันผวน
ถึงแม้หลิงฮันจะตกตะลึง แต่ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา สิ่งที่เขาเป็นกังวลมาตลอดคือการที่เจ้าสมุนไพรตนนี้จะไม่ปรากฏตัวอีกครั้ง!
สมุนไพรตนนี้บังอาจกินก้นส่วนหนึ่งของเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตเข้าไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องคิดบัญชีกับมันให้ได้
‘พรวบ’ สมุนไพรนิรันดร์ดูดกลืนร่างของหลิงฮันหายไปในพริบตา หัวหมาป่าของมันคืนสภาพกลับไปมีขนาดปกติก่อนจะเลียน้ำลายที่มุมปาก
ตอนที่ 1823 ดูดซับสำเร็จ
สติปัญญาของสมุนไพรนิรันดร์ต้นนี้ไม่ต่ำเลยจริงๆ มันเลือกลงมือในจังหวะที่จิตใจของหลิงฮันกำลังผันผวน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะที่สุด
การลอบโจมตีของมันสำเร็จลุล่วงและกลืนหลิงฮันลงท้องได้ในคำเดียว
หากเข้าไปอยู่ในปากของมันแล้ว สิ่งมีชีวิตทุกอย่างในระดับโลกียนิพพานย่อมไม่อาจหลบหนีไปไหนได้
หลังจากกลืนหลิงฮันเข้าไป สมุนไพรนิรันดร์ตนนี้ก็ยังถือแครอทเอาไว้ในมือด้วยท่าทางเกียจคร้าน โดยไม่แม้แต่จะหันแยแสจักรพรรดินีและธิดาโร๋ว
ธิดาโร๋วชะงักทันทีที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า กระต่ายตัวนี้คืออสูรแบบใดกัน? ร่างกายของมันปุกปุยน่ารักมากแท้ๆ แต่หัวกลับเป็นรูปร่างของหมาป่าที่ดูโหดเหี้ยม แถมยังกินหลิงฮันเข้าไปในหนึ่งคำอีก
หลังจากแน่นิ่งไปชั่วขณะ นางก็ตั้งสติได้และคำรามพร้อมกับโจมตีไปยังกระต่ายขาว “มอบชายคนนั้นคืนมา!”
หลิงฮันเป็นคนช่วยชีวิตของนางเอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นนางติดหนี้บุญคุณเอาไว้ครั้งใหญ่
จักรพรรดินีเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก นางไม่ได้กังวลว่าหลิงฮันจะเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ที่นางไม่สบอารมณ์ก็คือการที่สมุนไพรนิรันดร์ตนนี้กล้ากลืนสามีของนางเข้าไป! นางเรียกร่างแยกทั้งเก้าออกมาอย่างรวดเร็วและลงมือจู่โจมสมุนไพรนิรันดร์
กระต่ายขาวเผ่นหนีทันที ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนี ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันจึงน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก แม้แต่จักรพรรดินีเคลื่อนไหวด้วยทักษะแสงอัสนีก็ไม่อาจไล่ตามทันและค่อยๆถูกทิ้งห่าง
แต่หลังจากที่เผ่นหนีไปได้แค่ระยะหนึ่ง จู่ๆฝีเท้าของมันก็เชื่องช้าลง และหัวที่มีรูปร่างหมาป่าของมันก็แสดงสีหน้าเจ็บปวด
ท้องของมันปูดบวมออกมาเป็นรูปหมัด ราวกับกำลังถูกใครบางคนชกจากด้านใน
จักรพรรดินีและธิดาโร๋วไล่ตามมาทัน ซึ่งทั้งสองก็ลงมือทุบตีกระต่ายขาวทันที
ในส่วนของพลังต่อสู้นั้น สมุนไพรนิรันดร์ไม่ได้มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างสมุนไพรนิรันดร์ตนนี้ นอกจากความสามารถในการหลบหนีที่ว่องไวกับความสามารถในการดูดกลืนแล้ว มันก็ไม่มีทักษะอื่นที่ใช้ต่อสู้เลย
‘ตูม’ หน้าอกของกระต่ายขาวระเบิดออก พร้อมกับร่างหนึ่งได้กระโดดออกมา ซึ่งร่างนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิงฮัน ในขณะที่ปรากฏตัวออกมา เขาได้คว้าแครอทที่อยู่ในอุ้งมือของกระต่ายมาพร้อมกันด้วย
ความจริงแล้วสิ่งที่เป็นแกนกลางของสมุนไพรนิรันดร์ก็คือแครอทชิ้นนี้ ส่วนหัวหมาป่าและร่างกระต่าย เป็นเพียงแค่ลำต้นหรือใบที่ถูกแปรสภาพเท่านั้น
กระต่ายขาวไม่ยินยอม หัวหมาป่าของมันอ้าปากกว้างพยายามจะกัดกินหลิงฮัน
“ฮึ่ม!” หลิงฮันระเบิดออร่าของแก่นพลังภายในร่างออกมา ภายใต้แรงกดดันจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของพลังต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีทั้งสอง สมุนไพรนิรันดร์ตรงหน้าก็กลายเป็นแน่นิ่งเชื่อฟังทันที
แต่ถึงแม้จะถูกออร่าที่ทรงพลังกำราบเอาไว้ ใบหน้าของกระต่ายขาวก็ยังแสดงท่าทีโหดเหี้ยมข่มขู่ไม่หยุด สิ่งที่อยู่ในความนึกคิดของมันคือ ความรู้สึกโหยหาที่จะได้กลืนกินสมุนไพรนิรันดร์ตนอื่นอย่างเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิต เพื่อที่ตัวมันจะได้แข็งแกร่งขึ้น
ความปรารถในพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม คือสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลล้วนแต่มีอยู่ในสายเลือด
หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดินีและกล่าว “ข้าจะเก็บตัวเพื่อทะลวงผ่านระดับสามนิพพาน”
จักรพรรดินีพยักหน้าและกล่าว “อืม!”
นางรู้ดีว่าหลิงฮันเกรี้ยวกราดและปรารถที่จะสังหารAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นมากเพียงใด เพราะงั้นนางจึงสนับสนุนหลิงฮันเต็มที่
‘พรึบ’ สิ้นบทสนทนา ร่างของหลิงฮันและกระต่ายขาวก็แวบหายเข้าไปในหอคอยทมิฬทันใด
ภายใต้ต้นสังสารวัฏ เขาเริ่มทำการดูดซับพลังของสมุนไพรนิรันดร์ร่างกระต่าย
สมุนไพรนิรันดร์ตนนี้มีการกลายพันธุ์มาแล้ว เพราะงั้นมันจึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นสมุนไพรนิรันดร์ที่บริสุทธิ์ สมุนไพรชนิดนี้ไม่สามารถช่วยเพิ่มปริมาณปราณก่อเกิดได้ แต่จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่หลิงฮันกำลังต้องการอยู่พอดี
สมุนไพรนิรันดร์ร่างกระต่ายดิ้นรนอย่างไม่ยินยอม ด้วยสัญชาตญาณของมันแน่นอนว่ามันย่อมไม่ต้องการถูกคนอื่นดูดกลืน แต่ใครใช้ให้มันละโมบถึงขนาดเป็นฝ่ายจู่โจมหลิงฮันก่อน จนต้องตกอยู่ในสภาพนี้กันล่ะ?
ด้วยนิสัยอันโหดเหี้ยมของมัน หลิงฮันจึงไม่คิดจะใจอ่อนเหมือนกับในกรณีของเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิต ที่เขายอมให้อาศัยอยู่ในหอคอยทมิฬและจะเก็บเกี่ยวหยดสมุนไพรนิรันดร์เพียงแค่ในทุกๆพันปี
การเลี้ยงสมุนไพรนิรันดร์เอาไว้เช่นนี้เป็นสิ่งที่ขุมอำนาจส่วนใหญ่ทำกัน เนื่องจากการจะเลี้ยงดูสมุนไพรนิรันดร์ตั้งแต่ศูนย์นั้นใช้เวลานานเกินไป ถึงแม้การเก็บเกี่ยวหยดสมุนไพรทีละเล็กทีละน้อย จะไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่ากินสมุนไพรทั้งต้นเข้าไป แต่หากมองในระยะยาวแล้ว การทำแบบนี้ก็ได้ผลดีกว่า
ระหว่างที่ถูกหลิงฮันดูดกลืนแก่นพลัง ในที่สุดสมุนไพรนิรันดร์ร่างกระต่ายก็กลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิม ซึ่งก็คือโสมต้นหนึ่งที่ทั่วร่างถูกปกคลุมไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าที่น่าสะพรึงกลัว
หลิงฮันไม่ได้จับโสมสมุนไพรกินเข้าทางปาก แต่เลือกที่จะรีดเค้นแก่นพลังของมันออกมาโดยตรง อำนาจแห่งกฎเกณฑ์จำนวนมากพรั่งพรูออกมาจากโสมสมุนไพรและพัวพันไปทั่วร่างของเขา
ด้านในร่างกายของหลิงฮัน อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ส่วนเล็กส่วนน้อยค่อยๆก่อตัวกัน เป็นตราประทับแห่งเต๋าที่รูปร่างเหมือนรังนก ยิ่งเวลาผ่านพ้นไป รังนกก็ค่อยๆถูกต่อเติมจนมีไข่ส่องแสงขนาดมหึมาปรากฏขึ้นมาบนรัง
สามวันต่อมา ‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ บนผิวของไข่ค่อยๆเกิดรอยแตกร้าวและแตกออกในทีสุด ‘พรึบ’ พริบตาเดียวกันนั้นเอง หลิงฮันก็ลืมตาขึ้นและลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
การดูดซับสมุนไพรนิรันดร์เสร็จสมบูรณ์แล้วก็จริง เพียงแต่ว่าร่างกายของเขาในตอนนี้นั้น ได้ตกอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างจะพูดยาก ที่ร่างของเขาในตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่ชุดที่สวมใส่อยู่เท่านั้นที่หายไป แต่เส้นผมและขนคิ้วเองก็ไม่เหลืออยู่เลยแม้แต่เส้นเดียว แถมทั่วร่างยังเต็มไปด้วยเมือกเหนียวเหนอะอีกด้วย
ที่เสื้อผ้าและเส้นผมของเขาหายไปนั้น เป็นผลลัพธ์มาจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ดูดกลืนที่สมุนไพรนิรันดร์ปลดปล่อยออกมาเพื่อขัดขืน แต่ด้วยการที่กายหยาบของเขาแข็งแกร่งเกินไป ส่วนที่หายไปจึงมีแค่เส้นผมและเสื้อผ้าเท่านัน้
ภายใต้ระดับราชานิรันดร์ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์นอกเหนือจากธาตุทั้งห้านั้น ช่างทรงพลังจริงๆ
หลิงฮันสะบัดมือใช้น้ำสะอาดชำระล้างร่างกาย ก่อนจะนำชุดใหม่ออกมาสวมใส่
แต่สำหรับเส้นผมและคิ้วที่ไม่หลงเหลืออยู่เลยนั้น คงไม่อาจเร่งให้มันงอกขึ้นมาใหม่ได้ในเร็วๆนี้ เพราะมันไม่ได้หลุดร่วงด้วยบาดแผลทั่วไป แต่ถูกทำลายด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์
ตอนนี้เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าจะสามารถทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์สามนิพพานได้!
ตอนที่ 1824 ทะลวงผ่านสามนิพพาน
ตอนที่ 1824 ทะลวงผ่านสามนิพพาน
ต้องสังหารAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นให้ได้… ความมุ่งมั่นนี้ได้กลายเป็นมารที่ครอบงำจิตใจของหลิงฮันไปเรียบร้อยแล้ว
หลิงฮันออกจากหอคอยทมิฬและปลดปล่อยออร่าพลังบ่มเพาะทั้งออกมา พริบตาเดียวกันนั้น ที่เหนือน่านฟ้าเมฆสีดำก็เริ่มก่อตัวรวมกัน
‘ครืนน’ ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ถูกควบแน่นและกระหน่ำผ่าลงมา อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ผสานอยู่ในสายฟ้านั้น น่าเกรงขามถึงขนาดที่ดูราวกับว่า มันต้องการจะบดขยี้มดปลวกทุกตัวที่คิดต่อต้านสวรรค์และปฐพี
หลิงฮันรับมือกับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ด้วยท่าทางสงบนิ่ง
หลังจากที่เข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนมาแล้ว ทัณฑ์สายฟ้าก็ดูเหมือนจะออมมือต่อเขายิ่งกว่าเดิมมาก
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่า ในมุมมองของสวรรค์ที่ครอบครองอำนาจอันสูงส่งเพียงหนึ่งเดียวนั้น ในดินแดงแห่งเซียนแห่งนี้ คนที่มีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดไม่ได้มีแค่หลิงฮันเพียงคนเดียว สวรรค์และปฐพีจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับเขาเท่าไหร่
หลิงฮันสลายพลังป้องกัน และชี้นำสายฟ้าสวรรค์เข้ามาขัดเกลากายหยาบ
“ตัดผ่าน!” ดวงตาของหลิงฮันส่องประกาย แสงจากดวงตาของเขาได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นเสาแห่งแสงสองแท่ง ที่ราวกับกำลังค้ำจุนสวรรค์เอาไว้ พร้อมกันนั้นเองหลิงฮันได้ทำการตั้งมือเป็นดั่งกระบี่และสะบั้นเข้าใส่ท้องฟ้า
หนึ่งกระบี่ที่ตัดขาดสวรรค์และปฐพี!
‘ครืนนน’ แม้มือของเขาจะดูเหมือนสัมผัสไม่โดนอะไร แต่สวรรค์และปฐพีกลับส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ทันใดนั้น พลังทำลายล้างของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ก็ถูกยกระดับสูงขึ้นหลายเท่าตัว
การตัดขาดสวรรค์และปฐพี จะทำให้การเชื่อมต่อที่มีกับสวรรค์แผ่วบางลง จึงเป็นธรรมดาที่สวรรค์และปฐพีจะรู้สึกไม่พอใจ
หากไม่สามารถต้านทานทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมได้ จอมยุทธที่คิดตัดขาดกับสวรรค์และปฐพีก็จะถูกบดขยี้จนตาย
หลิงฮันพยักหน้าในใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมราชาในหมู่ราชาถึงมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย บางครั้งต่อให้มีจอมยุทธมากพรสวรรค์ถือกำเนิดขึ้น และมีความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์มากพอที่จะตัดขาดกับสวรรค์และปฐพีได้ แต่ก็ใช่ว่าจอมยุทธมากสวรรค์ผู้นั้น จะสามารถต้านทานพลังทำลายล้างของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่เพิ่มขึ้นได้
ยิ่งทะลวงผ่านระดับสูงขึ้นก็ยิ่งตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้ยากขึ้น ในการตัดขาดสวรรค์และปฐพีครั้งแรก หลิงฮันนั้นแทบจะสามารถเมินเฉยพลังทำลายล้างของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้อย่างสิ้นเชิง ในการตัดขาดครั้งที่สองเขายังพอรู้สึกถึงความยากลำบากอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ในครั้งนี้สามนี้ เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามและต้องระมัดระวังให้ดี
ถ้าเป็นแบบนี้ แล้วการตัดขาดครั้งที่สี่ล่ะจะรุนแรงขนาดไหน?
เหนือสิ่งอื่นใดคือ เขายังต้องทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์ห้านิพพานอีกด้วย!
หลิงฮันคิดว่าในการตัดขาดสวรรค์และปฐพีของระดับห้านิพพานนั้น ต่อให้เขาจะบ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดีที่เขาจะมีชีวิตรอด หรือต่อให้ใช้ทักษะกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่าน ทันทีที่เขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาก็คงถูกสังหารเหมือนเดิมอยู่ดี
ห้านิพพาน… ไม่ใช่ว่าการทะลวงผ่านระดับพลังนี้คือการฆ่าตัวตายหรอกรึ?
“สวรรค์ย่อมมีทางออกให้อยู่เสมอ” หอคอยน้อยกล่าว “ในขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่บางแห่ง ตัวตนระดับราชานิรันดร์จะเตรียมสมบัติที่เรียกว่ายันต์ไม้ท้อผูกชะตาเอาไว้ให้ศิษย์ที่มีพรสวรรค์ท้าทายสวรรค์ สมบัติทีว่าจะสามารถช่วยลดทอนความรุนแรงของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้”
จิตใจของหลิงฮันสั่นไหว กล่าวคือหากใช้ยันต์ไม้ท้อผูกชะตาล่ะก็ ความยากลำบากในการทะลวงผ่านระดับห้านิพพาน ก็จะลดลงมาเหลือเพียงแค่ระดับสี่นิพพานสินะ?
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็เขาก็ยังพอมีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง!
แต่ถ้าหากเป็นการทะลวงผ่านแบบปกติล่ะก็ โอกาสที่เขาจะทะลวงผ่านสำเร็จคงมีเพียงแค่หนึ่งในร้อยล้านเท่านั้น โดยที่จักรพรรดินียิ่งแล้วใหญ่ ต่อให้นางจะครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์และบ่มเพาะทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญ ก็ยังมีคุณสมบัติไม่พอที่จะตัดขาดสวรรค์และปฐพีในระดับห้านิพาน
“ยันต์ไม้ท้อผูกชะตางั้นรึ? มันคืออะไรกัน?” หลิงฮันถาม
“หนึ่งในพฤกษาบรรพบุรุษ สมบัติที่อยู่ในระดับเดียวกันกับAnchorต้นสังสารวัฏ” หอคอยน้อยกล่าว “เพียงแต่ว่าใบของต้นท้อผูกชะตานั้นช่วยได้แค่ลดความรุนแรงของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้ความเข้าใจเพิ่มสูงขึ้นแต่อย่างได้”
แต่ไม่ว่าอย่างไร เพียงแต่ช่วยลดทอนอำนาจของสวรรค์และปฐพีได้ ก็ถือว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว
“จะหามันได้จากที่ไหน?”
“ที่ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์สมควรมี”
ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์งั้นรึ?
หลิงฮันเดินทางมายังตระกูลฟู่ก็เพราะต้องการตามหาตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ ในเมื่อตอนนี้รู้แล้วว่าตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ตั้งอยู่ที่ดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตก แถมการจะทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์ห้านิพพานก็จำเป็นต้องใช้ยันต์ไม้ท้อผูกชะตาด้วย ดูเหมือนว่าเขาคงต้องมุ่งหน้าไปที่นั่นให้เร็วที่สุดเสียแล้ว
เพราะไม่งั้น หลังจากที่บรรลุระดับแบ่งแยกวิญญาณไปแล้ว ยันต์ไม้ท้อผูกชะตาก็จะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป
“อืม หลังจากที่ออกจากเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ ข้าจะมุ่งหน้าไปดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตกทันที” หลิงฮันกล่าวพร้อมกับปล่อยหมัดขึ้นสู้ท้องฟ้า หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งวัน ถึงแม้สวรรค์และปฐพีจะยังอยากลบตัวตนของหลิงฮันให้หายไปเพียงใด แต่ก็ต้องสลายทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์อย่างไม่มีทางเลือก
บรรลุสามนิพพานสำเร็จ!
หลิงฮันเผยรอยยิ้ม ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ อย่างน้อยถ้าหากพบเจอกับจื่อเหอปิงอวิ๋นอีกครั้ง เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ภายในพันกระบวนท่า
“สามี!” เมื่อเห็นว่ามทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์สลายไป จักรพรรดินีก็เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจในตัวหลิงฮัน
ทางด้านของธิดาโร๋วนั้น นางกำลังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นางรู้ว่าก่อนหน้านี้หลิงฮันมีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับสองนิพพานขั้นกลางเท่านั้น ถึงแม้หลังจากผ่านการทดสอบของตำหนักเฉียนหลงมาได้ พลังบ่มเพาะของทุกคนจะเพิ่มสูงขึ้น แต่พลังบ่มเพาะของหลิงฮันก็สมควรยกระดับขึ้นมาเป็นสองนิพพานสูงสุดเท่านั้น ซึ่งหากต้องการจะทะลวงผ่านระดับสามนิพพานต่อ อีกฝ่ายก็จำเป็นต้องใช้เวลาขัดเกลาพลังอีกนาน
ตัวของนางเคยมีประสบการณ์มาก่อน ขนาดอาจารย์ของนางได้มอบสมบัติลับที่ช่วยในการเร่งระยะเวลาการบ่มเพาะมาให้ นางก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งล้านปีเต็มกว่าจะทะลวงผ่านระดับสามนิพพานมาได้
แต่ภายในเขตเดนลี้ลับแห่งนี้ หลิงฮันนั้นไม่มีเวลาให้ใช้สมบัติเพื่อบ่มเพาะพลังเลยแม้แต่น้อย แถมระยะเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา อีกฝ่ายยังใช้เวลาทั้งหมดไปกับการขุดดินด้วยซ้ำ ซึ่งต่อให้ดูดซับสมุนไพรนิรันดร์เข้าไปก็เป็นเป็นไม่ได้ที่จะทะลวงผ่านระดับได้เร็วขนาดนี้
สัตว์ประหลาด! ชายผู้นี้ต้องเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแน่นอน!
หลิงฮันยิ้มให้จักรพรรดินีและกล่าว “ไปที่ถ้ำกันเถอะ”
ตอนนี้เขามีสมบัติขุนเขาอยู่ในมือแล้ว ซึ่งภายในระยะเวลาสั้นๆ เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จื่อเหอปิงอวิ๋นจะหาสมบัติขุนเขาอีกก้อนพบ เพราะงั้นความเป็นไปได้สูงสุดคือ นางจะต้องแอบซุ่มโจมตีอยู่ใกล้ๆถ้ำ และรอแย่งชิงสมบัติในตอนที่เขาเปิดประตูถ้ำอย่างแน่นอน
หากจื่อเหอปิงอวิ๋นคิดจะทำเช่นนั้นจริง ที่นั่นจะกลายเป็นสุสานของนาง!
พวกหลิงฮันทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังทางไหล่เขาพร้อมกัน หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน ถ้ำแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าพวกเขา ถ้ำแห่งนี้ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก โดยที่ปากทางเข้าของถ้ำมีโขดหินอยู่จำนวนหนึ่งปิดตายอยู่
หลิงฮันนำสมบัติขุนเขาออกมาวางลงบนโขดหินตามที่เผ่าคนแคระเคยบอกเอาไว้ และรอคอยอยู่เฉยๆ บางครั้งถ้ำจะเปิดออกหลังจากรอคอยแค่ครึ่งวัน แต่ก็มีบ้างที่บางครั้งอาจจะใช้เวลานานถึงสามวัน
“เจ้าจงไสหัวไปซะ!” ทันใดนั้นเอง จู่ๆร่างหนึ่งก็ปรากฏตัว
ตอนที่ 1825 จักรพรรดิ?
Anchor
ลั่วAnchorจ่างเฟิงในตอนนี้มีท่าทางหดหู่เป็นอย่างมาก
เขาคิดว่าคนที่เป็นผู้นำในการค้นหาหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์จะต้องเป็นเขาแท้ๆ โดยที่คนที่มีคุณสมบัติจะมาแย่งชิงหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์กับเขาได้ ก็คงมีเพียงAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นแค่คนเดียว
แต่ทว่า ตั้งแต่ตอนที่ออกมาจากตำหนักเฉินหลงนั้น ไม่เพียงแค่ทางเข้าของสถานที่แห่งนี้จะถูกหลิงฮันและคนอื่นพบเจอตัดหน้าไปก่อน แต่ตอนนี้ขนาดคนที่พบเจอที่ซ่อนสมบัติเป็นคนแรกก็ยังไม่ใช่เขาแต่เป็นหลิงฮัน
หากเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาไม่บังเอิญเจอจื่อเหอปิงอวิ๋นระหว่างทางล่ะก็ เขาคงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์จะซ่อนอยู่ในถ้ำแห่งนี้ แถมยังต้องใช้สมบัติขุนเขาในการเปิดทางเข้าอีกด้วย
ก่อนหน้านี้เขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าทำไมจื่อเหอปิงอวิ๋นถึงได้บอกข้อมูลอันล้ำค่าขนาดนี้ให้แก่เขา และคิดว่าอีกฝ่ายคงจะโกหก แต่จื่อเหอปิงอวิ๋นกลับเลือกที่จะยืนยันคำพูดโดยการแสดงความทรงจำบางส่วนให้เขาเห็น ซึ่งเป็นความทรงจำของข้อมูลที่นางรีดเค้นมาจากพวกคนแคระ
ด้วยเหตุนี้แล้ว ถึงแม้ลั่วจ่างเฟิงจะยังรู้สึกลังเลอยู่บ้าง แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบถ้ำแห่งนี้ทุกๆวัน และวันนี้หลิงฮันก็ปรากฏตัวขึ้นที่นี่พร้อมกับสมบัติขุนเขาอย่างไม่คาดคิด
ฮ่าๆ ทีนี้หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์จะต้องตกเป็นของข้าแน่!
กับหลิงฮันแล้ว ลั่วจ่างเฟิงรู้สึกว่าตนเองเป็นตัวตนที่สูงส่งกว่ามาก เพราะก่อนหน้านี้ เขาจำได้ดีว่าหลิงฮันเป็นฝ่ายยอมถอยหลังเพื่อหลบทางให้เขาแต่โดยดี ซึ่งแสดงให้เห็นว่า อีกฝ่ายหวาดกลัวในสถานะผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ของเขา!
“ยังไม่ไสหัวไปอีกรึ!” เขากล่าวอย่างองอาจ
หลิงฮันเหล่ตามองไปยังลั่วจ่างเฟิง หมอนี่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งอยู่เพียงผู้เดียวรึไง? เขาหัวเราะและกล่าวกลับไป “งั้นเจ้าก็แสดงให้ข้าเห็นก่อนสิ ว่าการไสหัวไปต้องทำอย่างไร ถ้าเจ้าทำได้ดี เดี๋ยวข้ามีรางวัลให้”
ร่างของลั่วจ่างเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติกลับมาได้
ฮึ่ม เจ้ากล้าล้อเล่นกับข้างั้นรึ?
“ช่างกล้านัก!” ลั่วจ่างเฟิงแสยะยิ้มและไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดใดๆออกมา ตัวตนที่มีสถานะสูงส่งเช่นเขาไม่มีความจำเป็นต้องเก็บคำพูดของจอมยุทธไร้ชื่อมาใส่ใจ
เขาเค้นเสียงและกล่าว “ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย ข้าก็จะ…”
‘พรึบ’ ยังไม่ทันที่ลั่วจ่างเฟิงจะพูดจบ หลิงฮันก็ผลักฝ่ามือออกไปโดยเล็งเป้าหมายเอาไว้ที่ศีรษะของอีกฝ่าย
ลั่วจ่างเฟิงไม่สบอารมณ์ขึ้นมาโดยพลัน นี่เจ้ากล้าถึงขนาดเป็นฝ่ายโจมตีข้าก่อนเลยรึ?
งั้นก็ตายซะ!
ลั่วจ่างเฟิงชูสองนิ้วขึ้นมาและตวัดเข้าใส่หลิงฮัน ‘ครืน’ ที่ปลายนิ้วทั้งสองของเขาปรากฏเงาดวงดาราที่อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึง
ตูม!
การโจมตีของทั้งสองเข้าปะทะกัน หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างร่างกายสั่นสะท้านอยู่ชั่วขณะ พวกเขาก็ล่าถอยกันออกห่างจากกันสองสามก้าว
การแลกเปลี่ยนกระบวนท่าครั้งนี้ ทั้งสองเสมอกัน!
ใบหน้าของลั่วจ่างเฟิงแสดงออกถึงความตกตะลึง
ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นมาแล้วก็จริงว่าหลิงฮันมีกายหยาบที่ทรงพลังขนาดไหน แต่หากเป็นในด้านของพลังต่อสู้ล่ะก็ ไม่ว่าอย่างไรพลังของหลิงฮันก็น่าจะอ่อนแอกว่าเขาอย่างน้อยหนึ่งดาว โดยเฉพาะตอนนี้ที่พลังบ่มเพาะของเขาบรรลุเป็นนิรันดร์สามนิพพานขั้นสูงสุดแล้ว พลังต่อสู้ของเขาสมควรที่จะกำราบจอมยุทธระดับได้ทุกคน!
แต่ถึงอย่างนั้นหลิงฮันกลับสามารถตอบโต้การโจมตีของเขาได้!
จากการผันผวนของออร่าที่พรั่งพรูออกมา เขามั่นใจว่าพลังบ่มเพาะของหลิงฮันต้องยังอยู่แค่ในระดับสามนิพพานขั้นต้นไม่ผิดแน่
แต่ด้วยพลังบ่มเพาะระดับสามนิพพานขั้นต้น อีกฝ่ายจะสามารถต่อกรกับเขาได้อย่างไร? อย่างที่รู้กันว่าตัวเขานั้นเป็นถึงราชาในหมู่ราชา ที่ไม่ใช้แค่ไร้เทียมทานในระดับพลังเดียวกันเท่านั้น แต่ยังสามารถต่อกรกับราชาในระดับที่สูงกว่าได้หนึ่งระดับ
เขาคืออัจฉริยะที่สามารถคว้าชัยชนะจากจอมยุทธที่ระดับพลังสูงกว่ามาโดยตลอด แต่ทว่าสถานการณ์ตอนนี้กลับกลายเป็นตาลปัตรแทน ซึ่งมันทำให้ความภาคภูมิใจของเขาพังทลายป่นปี้
ธิดาโร๋วที่อยู่ด้านข้างเองก็เผยสีหน้าที่ตกตะลึงไม่แพ้กัน
ทั้งๆลั่วจ่างเฟิงมีพลังบ่มเพาะสูงกว่าแท้ๆ แต่หลิงฮันก็ยังสามารถโจมตีเสมอได้ ถ้าหากทั้งสองมีพลังบ่มเพาะเท่ากันล่ะก็ ไม่ใช่ว่าหลิงฮันจะเป็นฝ่ายเหนือกว่าหรอกรึ?
บุรุษผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก เขาสามารถเหนือกว่าได้แม้กระทั่งผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์!
“ศักยภาพระดับจักรพรรดิ?” ลั่วจ่างเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความอิจฉา
ศักยภาพระดับราชาคือจอมยุทธที่มีพลังต่อสู้ไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน และราชาในหมู่ราชาคือจอมยุทธที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งจนสามารถสู้ข้ามระดับได้หนึ่งขั้น
แต่สำหรับศักยภาพระดับจักพรรรดินั้น จอมยุทธผู้นั้นจะสามารถต่อสู้ข้ามระดับได้ถึงสองขั้น!
ในความเป็นจริง แค่จำนวนของราชาทั่วไปก็พบเห็นได้ยากยิ่งแล้ว โดยปกติจะมีเพียงแค่ขุมอำนาจระดับสามหรือสี่ดาวเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนจอมยุทธให้มีศักยภาพขนาดนี้ได้ ส่วนราชาในหมู่ราชานั้น จะพบเห็นได้เพียงแค่ในขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์เท่านั้น หรือบางทีหากโชคดี ขุมอำนาจระดับสี่ดาวก็อาจจะมีอัจฉริยะระดับนี้ปรากฏให้เห็นสักคน
แต่จักรพรรดิน่ะรึ?
เหอๆ เกรงว่าจอมยุทธที่มีศักยภาพขนาดนั้น คงมีให้เห็นแค่ในขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น
อย่างเช่น… ขุมอำนาจของราชานิรันดร์ระดับเก้า!
ถึงแม้ที่ตำหนักเมฆาอัสนีจะมีตัวตนระดับราชานิรันดร์ปกครองอยู่ แต่ราชานิรันดร์ผู้นั้นก็เป็นเพียงราชานิรันดร์ระดับสอง ซึ่งห่างไกลจากราชานิรันดร์ระดับเก้าดั่งฟ้ากับเหว
แต่ตอนนี้ กลับมีรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งที่อาจจะเป็นจักรพรรดิปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเขา…
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ลั่วจ่างเฟิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าคือหลิงฮัน จอมยุทธไร้ค่าผู้หนึ่งที่เจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจ”
ไม่ใช่ตัวตนที่จำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจงั้นรึ?
ลั่วจ่างเฟิงเพ่งสายตาจ้องมองไปยังหลิงฮัน ในโลกนี้มีอัจฉริยะที่สามารถขัดเกลาตนเองให้เป็นจักรพรรดิได้ โดยพึ่งพาเพียงแค่พรสวรรค์และความเพียรพยายามของตนเองอยู่จริงๆรึ?
“ในเมื่อเจ้าเป็นเพียงจอมยุทธไร้ค่า งั้นก็ตายไปซะ!” ลั่วจ่างเฟิงสะบัดแขน ‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ ทันใดนั้นจู่ๆที่แขนทั้งสองข้างของเขาก็มีแสงสว่างสีทองหลั่งไหลออกมา ตราประทับแห่งเต๋าค่อยๆก่อตัวและผสานรวมกันเป็นเกราะแขนสองข้าง
ถ้าหากจื่อเหอปิงอวิ๋นมีตราประทับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของราชานิรันดร์ล่ะก็ สิ่งที่เขามีก็คือเกราะแขนคู่ชิ้นนี้ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้โดยราชานิรันดร์ของตำหนักเมฆาอัสนี ทำให้มีออร่าของราชานิรันดร์หลงเหลืออยู่ ถึงออร่าที่ว่าจะหลงเหลือพลังอยู่เพียงเศษเสี้ยว แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะใช้กำราบจอมยุทธระดับโลกียนิพพานทุกคน
หลิงฮันจ้องมองเกราะแขนของลั่วจ่างเฟิงก่อนจะหัวเราะออกมา ยอดเยี่ยม… อุปกรณ์ชิ้นนี้สามารถนำมาใช้ขัดเกลาพลังให้กับดาบอสูรนิรันดร์ได้
“ต่อหน้าอำนาจของราชานิรันดร์ ทุกสรรพสิ่งล้วนไม่ต่างจากมดปลวก!” ลั่วจ่างเฟิงคำรามเสียงสูง
“พูดมากอยู่ได้ รับหมัดของข้าไปซะ!” หลิงฮันลงมือโจมตี กำปั้นทั้งสองของเขาถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจของแก่นกำเนิดพลังทั้งสอง ซึ่งเพียงพอที่จะใช้ต้านทานออร่าของราชานิรันดร์
“ช่างไม่ประมานตน!” ลั่วจ่างเฟิงแสยะยิ้มและปล่อยหมัดทั้งสองจู่โจมเช่นกัน ที่เกราะแขนทั้งสองข้างของเขา ตราประทับเต๋าอันไร้ที่สิ้นสุดค่อยๆหลั่งไหลออกมา โดยที่ออร่าของพวกมันทรงพลังพอที่จะบดขยี้สิ่งมีชีวิตระดับโลกียนิพพานได้ทั้งมวล
ตูม!
การโจมตีของทั้งสองคนเข้าปะทะกัน ร่างของพวกเขาสั่นสะท้านก่อนจะล่าถอยหลังและเสมอกันอีกครั้ง
ตอนที่ 1826 ราชาในหมู่ราชาร่วมมือกัน
คราวนี้ สีหน้าของลั่วAnchorจ่างเฟิงได้เปลี่ยนไปและกลายเป็นไร้คำพูดอย่างแท้จริง
ขนาดเขาใช้อำนาจของราชานิรันดร์ก็ยังไม่สามารถกำราบหลิงฮันได้
เหลือเชื่อ!
ชายหนุ่มตรงหน้าของเขาผู้นี้ จะต้องเป็นผู้สืบทอดของราชานิรันดร์ หรือไม่ก็ได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่มาเป็นแน่ เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางที่จะต้านทานอำนาจราชานิรันดร์จากเกราะแขนของเขาได้
ดวงตาของลั่วจ่างเฟิงส่องประกาย ถ้าหากเป็นอย่างหลังและเขาช่วงชิงวาสนามาจากอีกฝ่ายได้ล่ะก็ บางทีเขาก็อาจจะมีความหวังที่จะบรรลุระดับราชานิรันดร์สำเร็จก็เป็นได้!
คิดว่าขุมอำนาจอย่างตำหนักเมฆาอัสนีมีผู้สืบทอดมาแล้วกี่คนกัน?
จากยุคสมัยสู่ยุคสมัย หลังจากที่ผู้สืบทอดคนใดบรรลุระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้แล้ว และไม่สามารถทะลวงผ่านระดับราชานิรันดร์ได้ พวกเขาจะไม่ถือว่าเป็นผู้สืบทอดอีกต่อไป ซึ่งไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านพ้นมาที่ยุคสมัย ตำหนักเมฆาอัสนีก็ไม่มีราชานิรันดร์คนที่สองปรากฏขึ้นมาเสียที
ลั่วจ่างเฟิงมั่นใจว่า ในอนาคตภาคภาคหน้าเขาจะสามารถบรรลุระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับระดับราชานิรันดร์น่ะรึ? เกรงว่าความหวังที่จะบรรลุเป็นตัวตนระดับนั้นได้คงแทบเท่ากับศูนย์
เพราะเหตุนี้เขาจึงต้องการหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์มาช่วยทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์ห้านิพพาน
หากบรรลุระดับห้านิพพานได้สำเร็จ เขาจะก็สามารถกลายเป็นตัวตนระดับราชานิรันดณ์ได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่านอกจากหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์แล้ว ก็ยังมีสมบัติประเภทอื่นที่สามารถช่วยให้บรรลุเป็นราชานิรันดร์ได้อยู่อีก ยกตัวอย่างเช่น อำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพี!
เขาจ้องมองไปยังอำนาจที่อยู่บนมือของหลิงฮันทั้งสองข้างด้วยจิตใจที่สั่นสะท้านและกล่าว “เจ้าเป็นผู้ครอบครองอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีสินะ?”
หลิงฮันเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย อีกฝ่ายสามารถมองพลังของเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับออกด้วยรึ?
เมื่อเห็นท่าทางของหลิงฮัน ลั่วจ่างเฟิงก็มั่นใจทันทีว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง
หลิงฮันยื่นมือขวาออกไปด้านข้าง ในเมื่ออีกฝ่ายรู้แล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดอีกต่อไป ‘พรึบ’ ที่มือข้างขวาของเขา เปลวเพลิงที่อัดแน่นไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าอันร้อนระอุได้ปรากฎออกมา “นี่คือเพลิงเก้าสวรรค์” ‘พรึบ’ แขนซ้ายถูกยื่นออกไปตามๆกัน โดยที่ครั้งนี้สิ่งที่ปรากฏออกมาคือ วารีที่กัดกร่อนชั้นบรรยากาศด้วยความเย็นยะเยือก “ส่วนนี่คือวารีพลังหยินเร้นลับ”
บ้าไปแล้ว!
ลั่วจ่างเฟิงอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีนั้น เป็นสมบัติที่ล้ำค่าเพียงใด?
ความหายากของมันนั้นมีมากถึงขนาดที่ว่า แม้แต่ราชานิรันดร์ส่วนใหญ่ก็ไม่มีอยู่ในครอบครองแท้ๆ แต่จอมยุทธตัวจ้อยอย่างนิรันดร์ระดับสามนิพพาน กลับครอบครองอยู่ถึง
มุมปากของลั่วจ่างเฟิงค่อยๆยกขึ้นก่อนจะหัวเราะลั่น “หลิงฮัน เจ้าช่างเป็นดวงดาวนำโชคของอย่างโดยแท้จริง!”
หลิงฮันเองก็หัวเราะกลับไปและกล่าว “เจ้าคงไม่ได้กำลังคิดอยู่หรอกนะ ว่าข้าเป็นคนที่นำอำนาจแก่นกำเนิดสวรรค์ทั้งสองนี้ มามอบให้เจ้า?”
“แล้วไม่ใช่รึ?” ลั่วจ่างเฟิงกล่าวอย่างหยิ่งผยอง ทีนี้เขาก็มั่นใจแล้วว่าหลิงฮันจะต้องไม่ใช่ผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์แน่นอน เพราะราชานิรันดร์คนใดจะยอมให้ผู้สืบทอดของตัวเอง ถือครองอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสองชนิด?
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “เจ้านี่ช่างเพ้อฝันจริงๆ!”
“เหอะ แล้วถ้าหากมีข้าอยู่ด้วยล่ะ?” จู่ๆเสียงของAnchorจื่อเหอปิงอวิ๋นก็เอ่ยดังขึ้น ก่อนที่ร่างของนางจะค่อยๆลอยเข้ามาใกล้พร้อมกับดาบยาวในมือ
ลั่วจ่างเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นนาง แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เขาพอเข้าใจแล้วว่า ทำไมจื่อเหอปิงอวิ๋นถึงได้บอกเขาเรื่องสมบัติขุนเขา ที่แท้นางก็จงใจคิดจะยืมมือเขามาใช้จัดการหลิงฮันนี่เอง แต่พูดก็พูดแล้ว ในความเป็นจริงนั้น ถึงแม้เขาจะกล่าวคำพูดต่างๆออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แต่เขาเองก็รู้สึกหวาดกลัวหลิงฮันอยู่เช่นกัน
ถ้าหากมีจื่อเหอปิงอวิ๋นมาร่วมมือด้วย และใช้อำนาจของราชานิรันดร์พร้อมกันล่ะก็ พวกเขาจะต้องกำราบหลิงฮันลงได้อย่างแน่นอน ส่วนอำนาจแก่นกำเนิดสวรรค์และปฐพีทั้งสองนั้น พวกเขาค่อยแบ่งกันทีหลัง
“ข้าต้องการเพลิงเก้าสวรรค์” ลั่วจ่างเฟิงกล่าว
“อืม” จื่อเหอปิงอวิ๋นพยักหน้า ทั้งสองคนตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว
“ลงมือ!”
ลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋นปลดปล่อยการโจมตีเข้าใส่หลิงฮันอย่างพร้อมเพรียง ถึงแม้ทั้งสองจะไม่เคยร่วมมือกันมาก่อน แต่พวกเขาก็เข้าใจความสามารถของกันและกันเป็นอย่างดี ทำให้โจมตีผสานกันได้อย่างสมบูรณ์
ตอนนี้หลิงฮันต้องเผชิญหน้ากับราชาในหมู่ราชาถึงสองคน!
จักรพรรดิที่มองดูอยู่ไม่เคลื่อนไหวใดๆ ถึงแม้นางจะเป็นราชาในหมู่ราชาเหมือนกัน แต่ด้วยพลังบ่มเพาะของนางในตอนนี้ หากนางยื่นมือเข้าไปก็คงเป็นได้แค่ตัวถ่วงของหลิงฮันเท่านั้น
ทางด้านของธิดาโร๋วนั้น นางเตรียมพร้อมกำลังจะยื่นมือเข้าไปช่วย ด้วยพลังระดับสี่นิพพานของนาง คงสามารถพอฝืนสู้กับราชาในหมู่ราชาระดับสามนิพพานได้อยู่บ้าง
เพียงแต่ว่าเมื่อหันไปเห็นว่าจักรพรรดินียังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ นางจึงเปลี่ยนมาเป็นรอดูสถานการณ์ต่อไปก่อน
หลิงฮันโจมตีตอบโต้ผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ทั้งสองอย่างไม่หวั่นเกรง เนื่องจากเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับนั้นเป็นแก่นพลังของเขา เขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าอำนาจพวกมันจะแห้งเหือด
แต่กับจื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วจ่างเฟิงนั้นไม่ใช่ อำนาจที่พวกเขาปลดปล่อยออกมาคือพลังที่หยิบยืมมาจากตราประทับและสมบัติของราชานิรันดร์ ซึ่งหากใช้ไปนานๆพลังย่อมแห้งเหือดได้ในที่สุด
หลิงฮันเป็นฝ่ายกระหน่ำโจมตีอย่างโหดเหี้ยม ในขณะที่จื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วจ่างเฟิงทำเพียงแค่หลบหลีกไปมา เพราะตั้งใจให้หลิงฮันใช้พลังจนหมดสภาพแล้วค่อยตอบโต้
แต่คิดรึว่าแผนการแบบนั้นจะได้ผล?
“จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้!” จื่อเหอปิงอวิ๋นกล่าวกับลั่วจ่างเฟิง
ลั่วจ่างเฟิงก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน จริงอยู่ที่อำนาจของราชานิรันดร์นั้นแข็งแกร่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่ใช่พลังของตัวพวกเขาเอง และสามารถถูกเผาผลาญจนหมดสิ้นได้ ซึ่งแตกต่างจากอำนาจแก่นกำเนิดสวรรค์และปฐพี
เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และรีบกล่าวออกไป “ที่นี่คือเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง!”
จื่อเหอปิงอวิ๋นที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว ย่อมเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อได้ในทันที “ตราบใดที่ไม่มีเกราะโลหิตมังกร ต่อให้เป็นตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะ ก็ต้องถูกอำนาจเปลวเพลิงของที่นี่บดขยี้!”
ราชาในหมู่ราชาทั้งสองพบวิธีจัดการหลิงฮันในที่สุด โดยที่ทั้งสองคนทำการเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้มาเป็นการทำลายชุดสวมใส่ของหลิงฮันแทน
พวกเจ้า!
หลิงฮันเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน เนื่องจากตัวเขาไม่ได้สวมเกราะโลหิตมังกรเอาไว้
ปัง! ปัง! ปัง!
แต่แน่นอนว่าในหัวของพวกจื่อเหอปิงอวิ๋นย่อมไม่คิดถึงความเป็นไปได้นี้ ทั้งสองต่างคิดว่าพวกเขาค้นพบวิธีจัดการหลิงฮันได้อยู่หมัดแล้ว และพยายามกระหน่ำโจมตีเสื้อผ้าของหลิงฮันอย่างสุดกำลัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น