Alchemy Emperor of the Divine Dao 1802-1816

ตอนที่ 1802 ทำดีไม่ได้ดีตอบแทน

 

หลิงฮันขมวดคิ้วและหยุดฝีเท้าชั่วขณะ


“นี่มันไม่ถูกต้องจริงๆ!” สุนัขตัวดำขมวดคิ้วอยู่ด้านหลัง


ความสามารถในการพ่นหมอกเขียวก่อนหน้านี้ ยังพอเรียกได้ว่าเป็นความสามารถของสิ่งมีชีวิตธาตุไม้ แต่การที่สามารถเรียกศพเน่าเปื่อยของมนุษย์จำนวนมากออกมานั้น ไม่มีทางเป็นความสามารถของสิ่งมีชีวิตธาตุไม้แน่นอน


‘พรึบ พรึบ พรึบ พรึบ’ ศพไร้หัวหลายสิบตัวลุกขึ้นยืนด้วยร่างที่แกว่งไปแกว่งมา กล้ามเนื้อที่เน่าเปื่อยของพวกมันส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงออกมา จนทำให้ผู้คนรู้สึกอยากจะอาเจียน


“หัวของข้า!”


“หัวของข้า!”


“เอาหัวของข้าคืนมา!”


ศพไร้หัวส่งเสียงร้องโอดครวญ ทั้งๆที่พวกมันไม่มีหัวแท้ๆแต่กลับส่งคลื่นเสียงผ่านสัมผัสสวรรค์ไปยังห้วงจิตวิญญาณของคนอื่นได้


แม้พวกมันจะไม่มีลูกตา แต่พวกหลิงฮันก็รู้สึกได้ว่ากำลังถูกพวกมันจดจ้องอยู่


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆเหล่าศพไร้หัวก็ยกมือขึ้นสูงและพุ่งทะยานเข้าหาหลิงฮันด้วยความเร็วสูง


“เข้ามา!” ใบหน้าของหลิงฮันแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังและปล่อยหมัดออกไป อำนาจแห่งอัสนีถูกระเบิดออกมาพร้อมกับปกคลุมไปทั่วร่างของเขา


‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ แต่ทว่าเหล่าศพไร้หัวกลับสามารถเคลื่อนไหวหลบหลีกได้คล่องแคล่วจนน่าตกใจ พวกมันกระโดดสูงและโจมตีหลิงฮันจากบนฟ้า


น่าสนใจดีนี่


หลิงฮันคำรามและระเบิดคลื่นพลังอัสนีออกมาตอบโต้เหล่าศพไร้หัว


‘ตูม!’


การโจมตีของเขากับศพไร้หัวปะทะกันซึ่งๆหน้า ‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ’ สายสีฟ้าขาวอันเป็นเอกลักษณ์ของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์พัวพันไปทั่วร่างของเหล่าศพไร้หัว กระดูกทุกส่วนของพวกมันสั่นไหวและดิ้นทุรนทุรายไปมา


ทางด้านหลิงฮันเองก็ได้รับแรกกระแทกจากการปะทะเมื่อครู่ จนกระดูกภายในร่างสั่นสะเทือนและเกือบทรงตัวไม่อยู่


‘อ้ากกกก’ ใบหน้าจำนวนมากที่ติดอยู่บนลำต้นของต้นอสูรปีศาจขาวส่งเสียงร้องโอดครวญ ราวกับกำลังเจ็บปวดทรมาน


‘พรึบ’ ต้นอสูรปีศาจขาวพ่นหมอกสีเขียวออกมาปกคลุมร่างของศพไร้หัว ทันใดนั้นเอง คลื่นอัสนีที่พัวพันอยู่ตามร่างของพวกมันก็ค่อยๆหม่นแสงลง และสลายไปในที่สุด


ศพไร้หัวเราะกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง พวกมันพุ่งทะยานจู่โจมเข้าใส่หลิงฮันอย่างไม่รีรอ ครั้งนี้พวกมันกระโดดขึ้นสู่ท้องฟ้าและใช้ประโยชน์จากจำนวนที่มีมากกว่า แยกย้ายกันโจมตีจากหลายทิศทาง


ในขณะเดียวกันนั้นเอง ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้เผ่นหนีมาอยู่ด้านหลังก็ดวงตาส่องประกาย และลอบจู่โจมจักรพรรดินีอย่างไม่มีใครคาดคิด


สตรีผู้นี้งดงามเป็นอย่างมาก เสน่ห์ของนางเหลือล้นจนก่อนหน้านี้ได้ทำให้เขาเผลอหยุดร้องขอชีวิตจากหลิงฮันไปชั่วขณะ


ณ เวลานี้ที่หลิงฮันกำลังถูกศพไร้หัวหลายสิบตัวพัวพันอยู่ กล่าวได้ว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่สุดในการลอบโจมตีและชิงตัวสตรีผู้นี้หลบหนีไป


ตัวเขานั้นมีพลังบ่มเพาะระดับสี่นิพพานเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงมั่นใจมากว่าแผนการลอบโจมตีจากด้านหลังโดยไม่ให้จักรพรรดินีตั้งตัวจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน


‘อ้ากก’ แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆชายวัยกลางคนก็ร้องโอดครวญออกมา


ทั้งๆที่เขากำลังระมัดระวังตัวอยู่แท้ๆ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่สุนัขตัวดำได้โผล่มาและงับเข้าที่ก้นของเขา


“รนหาที่ตาย!” จักรพรรดินีดิรู้สึกตัวและหันหลังมาด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม


นางยกฝ่ามือขึ้น ‘ฟุบ ฟุบ ฟุบ’ ปราณดาบจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกมา และพุ่งเข้าใส่ชายวัยกลางคนอย่างบ้าคลั่ง


ชายวัยกลางคนเผยสีหน้าตกตะลึงทันใด ปราณดาบของจักรพรรดินีนั้นอัดแน่นไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันทรงพลัง


ตูม!


ปราณดาบนับไม่ถ้วนถาโถมเข้าใส่ชายวัยกลางคน ร่างของเขาลอยกระเด็นขึ้นสู่ท้องฟ้าจนเห็นเป็นเพียงจุดดำเท่าเม็ดถั่ว


“เหตุใดนายท่านหมาถึงโดนไปด้วยยย?” เสียงของสุนัขตัวดำดังมาจากท้องฟ้า เนื่องจากปากของมันกำลังงับก้นของชายวัยกลางคนอยู่ มันจึงถูกลูกหลงไปด้วย


หลิงฮันเค้นเสียงโหดเหี้ยมและรีบสลัดร่างออกจากวงล้อมของศพไร้หัว ‘ตูม’ เขาโคจรคลื่นอัสนีมาปกคลุมไว้ทั่วร่างกาย และงอเข่ากระโดดขึ้นสู่ท้องฟ้า


หลิงฮันไล่ตามร่างที่ลอยกระเด็นของชายวัยกลางคนทันในพริบตา และยื่นมือออกไปคว้าจับหลังของอีกฝ่ายเอาไว้


“วะ…ไว้ชีวิตข้าด้วย !” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


หลิงฮันยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าว “ข้าไม่ได้จะฆ่าเจ้า ข้าแค่จะทำให้เจ้าตกไปอยู่ในสถานการณ์ก่อนที่ข้าจะช่วยเจ้าก็เท่านั้น”


“ไม่! อย่าทำเช่นนั้น!” ชายวัยกลางคนหวาดกลัวจนเยี่ยวแทบราด


หลิงฮันไม่สนใจและเหวี่ยงร่างชายวัยกลางคนไปยังต้นอสูรปีศาจขาว


ต้นอสูรปีศาจขาวพ่นหมอกออกมาอีกครั้ง พร้อมกับยื่นกิ่งก้านออกมารัดพันร่างของชายวัยกลางคนเข้าไปในรอยแยกบนลำต้น


ชายวัยกลางคนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความหวาดกลัว เขาสามารถคาดเดาได้ว่าศพไร้หัวเหล่านี้นั้น จะต้องเป็นเหล่าจอมยุทธที่เคยถูกต้นอสูรปีศาจขาวดึงเข้าไปในรอยแยกของลำต้นเป็นแน่


“ช่วยด้วย! โปรดช่วยข้าด้วย!” ชายวัยกลางคนโห่ร้องด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง


หลิงฮันจ้องมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชาไม่หวั่นไหว


“อ้ากกก…” ชายวัยกลางคนถูกต้นอสูรปีศาจขาวลากไปภายในล้ำต้น ก่อนที่เสียงโห่ร้องจะหยุดลง


“คนชั่วช้าเช่นเจ้า ไม่สมควรมีชีวิตอยู่” หลิงฮันกล่าว อีกฝ่ายคิดว่าเขาเป็นคนมีเมตตารึยังไงกัน?


สุนัขตัวดำรีบทะยานร่างกลับมาและกล่าวกับจักรพรรดินี “สาวน้อย ครั้งหน้าช่วยเบามือหน่อยได้ไหม? ดูสิ ร่างของนายท่านหมาเกือบจะแหลกเป็นเสี่ยงๆเลย!”


จักรพรรดินีไม่แยแส


เนื่องจากในตอนนี้ต้นอสูรปีศาจขาวเพิ่งได้เหยื่อไป มันจึงหยุดโจมตีหลิงฮันชั่วคราว เหล่าศพไร้หัวเองก็ล่าถอยกลับไปยืนด้านหน้าต้นอสูรปีศาจขาว ราวกับกำลังทำการคุ้มกัน


“ต้นอสูรปีศาจขาวต้นนี้พัฒนาตนเองจนสามารถใช้งานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารได้” สุนัขตัวดำกล่าวในขณะที่มองดูอยู่ ตามหลักแล้วต้นอสูรปีศาจขาวที่ดูดกลืนพลังวิญญาณผันผวนทุกประเภทมารวมกันนั้น สมควรจะใช้ความสามารถได้แค่ปราณพิฆาตเท่านั้น


ต้นอสูรปีศาจขาวกระดุกกระดิกไปมาอยู่สักพัก ก่อนที่บริเวณลำต้นของมันจะมีใบหน้าของมนุษย์ปรากฏขึ้นมาอีกหนึ่งใบหน้า ใบหน้าที่เพิ่งปรากฏขึ้นมานี้มีสีหน้าที่แสดงออกถึงความเจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด


‘ตุบ’ ร่างของศพไร้หัวปรากฏออกมาอีกร่างหนึ่ง มันเหม่อลอยอยู่ชั่วครู่ก่อนจะจดจ้องมายังหลิงฮัน


“หัวของข้าอยู่ไหน?”

 

 

 


ตอนที่ 1803 จับต้นอสูรปีศาจขาว

 

“นั่นใช่ต้นอสูรปีศาจขาวจริงๆรึ!” หลิงฮันกล่าว


ศพไร้หัวเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง และมาหยุดนิ่งอยู่ด้านหน้าหลิงฮันประมาณสามเมตรกว่า ราวกับว่าระยะเท่านี้คือขีดจำกัดที่มันสามารถแยกห่างจากต้นอสูรปีศาจขาวได้


หลิงฮันที่เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะและเป็นฝ่ายเปิดการโจมตี


“คิดว่าข้าไม่มีวิธีการกำจัดพวกเจ้างั้นรึ?” เขาเค้นเสียงพร้อมกับควบแน่นทักษะก้อนแสงอัสนีทำลายล้าง “แหลกไปซะ!”


ครืนนน!


ก้อนแสงอัสนีทำลายล้างลอยเข้าหาเหล่าศพไร้หัว และระเบิดออกด้วยพลังทำลายที่น่าสะพรึง


ตูม ตูม ตูม ตูม ร่างของศพไร้หัวจำนวนหนึ่งถูกบดขยี้จนกลายเป็นเศษซาก


หลังจากคลื่นระเบิดสลายไป ร่างของหลิงฮันก็ค่อยปรากฏตัวอย่างเงียบเฉียบ เมื่อครู่เขาได้ใช้มิติเอกเทศหลบหนีไปยังอีกมิติ เพื่อซ่อนตัวจากคลื่นทำลายของก้อนแสงอัสนีทำลายล้าง


ยังคงมีศพไร้หัวเจ็ดตัวที่เหลือรอดจากคลื่นระเบิดเมื่อครู่ แต่ร่างของพวกมันก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ แขนและขาของพวกมันถูกบดขยี้จนไม่สามารถใช้งานได้ เพราะงั้นพลังต่อสู้จึงต้องลดลงไปหลายส่วนแน่นอน


หลิงฮันพุ่งทะยานร่างเข้าจู่โจมต้นอสูรปีศาจขาว ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ศพไรหัวที่เหลืออยู่รีบเคลื่อนที่มาขวางทางหลิงฮัน


“ไสหัวไป!” หลิงฮันคำรามและโคจรพลังของวารีพลังหยินเร้นลับ พริบตาเดียวร่างของศพไร้หัวทุกตัวก็ถูกแช่แข็ง ‘ปัง’ หลิงฮันปล่อยหมัดออกไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างที่ถูกแช่แข็งแตกกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใบหน้ามากมากที่ลำต้นของต้นอสูรปีศาจขาวบิดไปมา ราวกับกำลังรู้สึกหวาดกลัว


‘ฉึบ ฉึบ ฉึบ’ รอยแยกที่ลำต้นของมันเปิดออกและปล่อยซากศพไร้หัวออกมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ ร่างของศพแต่ละร่างนั้นเน่าเปื่อยยิ่งกว่าเดิมมาก กล้ามเนื้อของพวกมันเน่าสลายจนเหลือเพียงโครงกระดูก


เหล่าโครงกระดูกจ้องมองหลิงฮัน ถึงแม้พวกมันจะไม่มีหัว แต่ก็สามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกราวกับว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ได้


“ต้นไม้ปีศาจต้นนี้มีงานอดิเรกคือรวบรวมศพมาเก็บไว้รึไงกัน?” หลิงฮันขนลุก


ซากศพถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง เวลาผ่านไปได้ไม่นาน จำนวนของโครงกระดูกที่ล้อมรอบต้นอสูรปีศาจขาวก็มีมากนับร้อยตัว


ทันใดนั้นกิ่งก้านที่ไร้ใบของต้นอสูรปีศาจขาวก็สั่นไหวเล็กน้อย เพื่อออกคำสั่งให้กองทัพโครงกระดูกไร้หัวโจมตีหลิงฮัน


‘พรึบ พรึบ พรึบ’ โครงกระดูกนับร้อยลงมือพร้อมกัน พวกมันยื่นแขนออกมาด้านหน้าและปล่อยของเหลวสีเขียวจากฝ่ามือ


เมื่อของเหลวสีเชียวถูกพ่นออกมา หลิงฮันเริ่มหายใจติดขัดและรู้สึกว่าร่างกายค่อยๆอ่อนแรงจนแทบยกแขนขาไม่ขึ้น


พิษ!


หลิงฮันรีบโคจรเพลิงเก้าสวรรค์ ‘พรึบ’ เปลวเพลิงปะทุออกมาจากร่างของเขาและทำหน้าที่เป็นเกราะคุ้มกัน ทันใดนั้นมลพิษที่อยู่ภายในร่างกายของเขา ก็ถูกแผดเผากลายเป็นควันสีดำลอยออกมา


“สิบอสูรสงคราม!”


หลิงฮันโคจรทักษะเพื่อลงมือตอบโต้ ‘ครืน ครืน ครืน’ คลื่นเพลิงถูกปลดปล่อยออกมาและก่อตัวรวมกันเป็นรูปร่างของสัตว์อสูรนิรันดร์สิบตัว


ก่อนหน้านี้เขาสามารถสร้างสัตว์อสูรสงครามได้เพียงสามตัว เพราะนั่นคือขีดจำกัดพลังของเขา แต่ว่าในสถานที่แห่งนี้นั้นมีอำนาจแห่งเปลวเพลิงอยู่อย่างหนาแน่น เขาจึงสามารถสร้างสัตว์อสูรสงครามเปลวเพลิงขึ้นมาสิบตัวได้อย่างง่ายดาย


ยิ่งกว่านั้นหากไม่ใช่เพราะหลิงฮันมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่นิรันดร์สองนิพพานล่ะก็ สัตว์อสูรสงครามที่เรียกออกมาคงจะมีพลังในระดับแบ่งแยกวิญญาณไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันในตอนนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอ สัตว์อสูรสงครามทุกตัวมีพลังต่อสู้อยู่ในระดับของสี่นิพพานขั้นสูงสุด


สิบสัตว์อสูรสงครามพุ่งทะยานออกไป ‘ตูม ตูม ตูม’ ภายใต้อำนาจแห่งเปลวเพลิงที่ทรงพลัง เหล่าโครงกระดูกไร้หัวได้ถูกแผดเผาเป็นขี้เถ้าทันที ใบหน้ามากมายของต้นอสูรปีศาจขาวแสดงท่าทางหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม มันค่อยๆขยับตัวถอยหลังช้าๆ ราวกับว่ากำลังจะแอบหนีไปอย่างลับๆ


“คิดหนีรึ?” หลิงฮันเค้นเสียง เขาปลดปล่อยเพลิงเก้าสวรรค์ออกมาและควบแน่นเปลวเพลิงให้กลายเป็นกรงขนาดใหญ่ปิดกั้นไปทั่วฟ้าดิน


ต้นอสูรปีศาจขาวต้นนี้มีสติปัญหาที่ไม่ต่ำ เมื่อรู้ว่าไม่สามารถหนีไปไหนได้แล้ว มันจึงล้มเลิกความคิดที่จะหลบหนี และหันกลับมาจ้องหลิงฮันด้วยแววตาเข่นฆ่าแทน ที่บริเวณลำต้นมีรอยแยกปรากฏขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับปล่อยบางสิ่งออกมาจำนวนมาก สิ่งที่ปรากฏออกมาครั้งนี้ไม่ใช่ศพไร้หัว แต่เป็นหัวมนุษย์ที่มีทั้งบุรุษและสตรี ใบหน้าของหัวแต่ละหัวต่างแสดงออกถึงความรู้สึกเจ็บปวดทรมาน


หัวเหล่านี้ลอยเข้ามาห้อมล้อมหลิงฮันเอาไว้และพ่นควันสีดำออกมา


ควันสีดำค่อยๆแปรเปลี่ยนกลายเป็นขวานสองคมและหอกจำนวนมาก แถมยังมีตราประทับแห่งเต๋าประทับเอาไว้


การโจมตีประเภทนี้คือการโจมตีด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่น่าสะพรึงกลัว ต่อให้เป็นกายหยาบที่ไร้เทียมทานของหลิงฮัน ก็ยังอาจจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย หากถูกหล่อหลอมด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ติดต่อกัน


ด้วยเหตุนี้หลิงฮันจึงไม่คิดรับการโจมตีที่พุ่งเข้ามาซึ่งๆหน้าด้วยกายหยาบ เขาผลักฝ่ามือออกไปและใช้กาลเวลาแปรผันพันปีเพื่อเร่งการสลายตัว


อำนาจห้วงเวลาก็เป็นอีกหนึ่งอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ทรงพลังที่สุดก่อนถึงระดับราชานิรันดร์ ขวานสองคมและหอกจำนวนมากถูกทำให้สลายไปในพริบตา หลิงฮันใช้จังหวะนี้ดีดนิ้วปลดปล่อยปราณดาบเข้าใส่ใบหน้าจำนวนมากจนแหลกไม่เหลือซาก


ต้นอสูรปีศาจขาวดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย มันเปิดรอยแยกขึ้นที่ลำต้นอีกครั้งและปล่อยปราณพิฆาตออกมาอย่างไม่มีสิ้นสุด


ปราณพิฆาตแปรเปลี่ยนกลายเป็นโครงกระดูกมนุษย์สีดำ ในมือของมันถือเคียวขนาดใหญ่เอาไว้และกวัดแกว่งเข้าใส่หลิงฮัน


ต่อหน้าเคียวขนาดใหญ่เล่มนี้ หลิงฮันรู้สึกราวกับร่างของตนเองกำลังจะถูกเฉือนออกเป็นชิ้นๆ เขาเค้นเสียงพร้อมกับโคจรวารีพลังหยินเร้นลับและปล่อยหมัดออกไป


‘ตูม’ ทั่วทั้งบริเวณถูกแช่แข็ง แม้แต่ต้นอสูรปีศาจขาวหรือโครงกระดูกสีดำก็ไม่มีข้อยกเว้น


หลิงฮันสะบัดมือนำต้นอสูรปีศาจขาวเข้าสู่หอคอยทมิฬ


จบได้เสียที


“ส่งต้นอสูรปีศาจขาวมา!” เสียงอันเย็นชาดังขึ้นที่ด้านหลังพวกหลิงฮัน เมื่อหันกลับไปมองก็พบกับใครบางคนที่กำลังทะยานร่างเข้ามาจากระยะไกล


ร่างที่ทะยานเข้ามาคือรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งที่สีหน้าประดับเอาไว้ด้วยความหยิ่งยโส


“แล้วถ้าข้าไม่ส่งให้ล่ะ?” หลิงฮันกล่าวกลับไปอย่างไม่แยแส


“ถ้าแบบนั้น เจ้าก็ต้องตายสถานเดียว!” เสียงของรุ่นเยาว์ผู้นี้เย็นชาเป็นอย่างมาก ที่นี่คือเขตแดนลี้ลับที่ความตายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ต่อให้เขาสังหารใครทิ้ง ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีผลกระทบตามมาภายหลัง

 

 

 


ตอนที่ 1804 มนุษย์กระดาษ

 

“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทำอย่างที่กล่าวได้หรอกนะ” หลิงฮันส่ายหัว


รุ่นเยาว์ผู้นั้นแสยะยิ้มและกล่าว “ข้าคือหนานกงถิง ผู้สืบทอดของนิกายอาญาสิ้นแสง!”


ลองคิดเอาเองแล้วกันว่า หากต่อต้านข้าจุดจบของเจ้าจะเป็นเช่นไร


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไม่ใช่ว่าผู้สืบทอดของนิกายอาญาสิ้นแสง คือเป่ยเสวียนหมิงหรอกรึ?” “หุบปาก เจ้านั่นมันเป็นแค่สวะเท่านั้น!” หนานกงถิงเผยสีหน้าเหยียดหยามสุดขีด เขาขมวดคิ้วและกล่าว “ไม่ต้องพล่ามนอกเรื่อง ส่งต้นอสูรปีศาจขาวมา!”


เขามีเป้าหมายคือต้นอสูรปีศาจขาวมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าครั้งก่อนที่เขาเข้ามาในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงนั้น พลังของเขายังอ่อนแอเกินไป แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เขาทะลวงผ่านระดับพลังจากสามนิพพานมาเป็นสี่นิพพานได้สำเร็จ ทำให้พลังต่อสู้ยกระดับสูงขึ้นหลายเท่า ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังนำสมบัติมาเพื่อใช้รับมือกับต้นอสูรปีศาจขาวโดยเฉพาะอีกด้วย เพียงแต่ว่าทันทีที่เขามาถึง ต้นอสูรปีศาจขาวก็ไม่อยู่เสียแล้ว


หลิงฮันยิ้ม “ในความคิดข้า เจ้าก็ไม่ได้ต่างไปจากเป่ยเสวียนหมิง”


“บังอาจ กล้าดีอย่างไรนำเข้าไปเทียบกับขยะนั่น!” หนานกงถิงเกรี้ยวราดและควบแน่นบอลเพลิงที่อัดแน่นไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าขึ้นมาบนฝ่ามือ


“เจ้าคงไม่รู้สินะว่าข้าคือผู้ฝึกฝนวรยุทธธาตุเพลิง หากข้าลงมือในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ พลังต่อสู้จะเพิ่มขึ้นจากปกติถึงหนึ่งในสิบส่วน!” เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เจ้าแน่ใจว่าอยากให้ข้าลงมือจริงๆ?”


จักรพรรดินีเดินขึ้นหน้าและกล่าวอย่างเย็นชา “ไสหัวไป!”


หนานกงถิงที่กำลังเกรี้ยวกราดอยู่คิดจะสบถด่าจักรพรรดินี แต่พริบตาที่เขาหันไปเห็นนาง แววตาก็ชะงักทันที


ในโลกมีสตรีที่งดงามขนาดนี้อยู่ได้อย่างไร?


เขาเคยเห็นโฉมหน้าของธิดาโร๋วมาก่อน และคิดว่าอีกฝ่ายคงเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในโลกแล้ว แต่สวรรค์และปฐพีช่างสร้างปาฏิหาริย์อยู่ตลอดเวลาจริงๆ สตรีที่เขาพบเห็นอยู่ตรงหน้านี้ งดงามยิ่งกว่าธิดาโร๋วเสียอีก


“ฮ่าๆๆ!” หนานกงถิงหัวเราะบ้าคลั่ง แต่เดิมเขาไม่ได้ตั้งใจจะสู้กับหลิงฮันเลย เขาเพียงแค่คิดจะชิงต้นอสูรปีศาจขาวและจากไปเท่านั้น แต่ทว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว


เขาต้องการสตรีผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนำนางมาครอบครองให้ได้!


“ตาย!” หนานกงถิงควบคุมบอลเพลิงบนฝ่ามือให้พุ่งเข้าใสหลิงฮัน แผนการของเขาคือจะสังหารหลิงฮันก่อนเป็นอันดับแรกแล้วค่อยจับตัวจักรพรรดินี ส่วนสุนัขตัวดำที่อยู่ข้างๆนั้น เขาเมินเฉยไปแล้วอย่างสมบูรณ์


หลิงฮันยกมือขึ้นฟ้า ‘พรึบ’ เปลวเพลิงหลั่งไหลออกมาจากมือของเขาและควบแน่นกลายเป็นบอลเพลิง ที่ขนาดใหญ่กว่าของหนานกงถิงเท่าตัว


หนานกงถิงดวงตาเบิกกว้างด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


หลิงฮันผลักฝ่ามือเบาๆส่งบอลเพลิงออกไป


‘ตูมมม’ บอลเพลิงสองลูกเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง บอลเพลิงของหนานกงถิงถูกบดขยี้กลายเป็นเศษเพลิงนับร้อยในพริบตา หลังจากการปะทะ อำนาจบอลเพลิงของหลิงฮันได้สลายไปเพียงสามส่วนเท่านั้น และอำนาจส่วนที่เหลือยังคงพุ่งทะลวงเข้าหาหนานกงถิง


หนานกงถิงตั้งสติกลับคืนมาได้และดีดร่างหลบบอลเพลิงที่พุ่งเข้ามา


พลังของหนานกงถิงผู้นี้ไม่ได้อ่อนแอเลย เขาสามารถหลบบอลเพลิงได้ทันท่วงที แต่ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ ทันทีที่ร่อนร่างลงสู่พื้น จู่ๆความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นที่บริเวณบั้นท้ายของเขาจนเผลอร้องโอดครวญออกมา “อ้ากกก”


ต้นเหตุของความรู้สึกเจ็บปวดก็คือสุนัขตัวดำ มันเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างมิติมารออยู่ก่อนแล้ว


“กล้าดีอย่างไรถึงเมินเฉยนายท่านหมาผู้นี้!” สุนัขตัวดำกล่าวและกัดไม่ปล่อย


“สุนัขบัดซบ ปล่อยปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!” หนานกงถิงคำราม ‘พรึบ’ ทั่วร่างของเขาระเบิดเปลวเพลิงที่พัวพันไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าออกมา


สุนัขตัวดำจำเป็นต้องปล่อยปากอย่างไม่มีทางเลือก มันเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างมิติย้อนกลับมายืนหลังหลิงฮัน


“พวกเจ้ายั่วยุข้าเองนะ!” หนานกงถิงคำรามอย่างโหดเหี้ยม เขาเปิดกระเป๋าที่ห้อยเอาไว้บนหน้าอกและนำบางอย่างออกมา


ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนั้นจะเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่ถูกตัดแต่งเป็นรูปร่างของมนุษย์


ทีแรกก็คิดว่าจะเป็นสมบัติอะไร… มนุษย์กระดาษแผ่นนี้น่ะรึ คือไพ่ลับของหนานกงถิง?


“ฮึ่ม!” หนานกงถิงเผยท่าทางปวดใจ มนุษย์กระดาษแผ่นนี้คือสมบัติที่เขาขอมาจากผู้อาวุโสของนิกายเพื่อใช้จัดการกับต้นอสูรปีศาจขาว สมบัติประเภทนี้ไม่อาจใช้ได้หลายครั้งเท่าไหร่


มนุษย์กระดาษถูกโยนออกมา ทันใดนั้นแสงสว่างอันเจิดจ้าก็ส่องประกายออกมา และขนาดของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีขนาดเทียบเท่ามนุษย์ทั่วไป ทั่วร่างของมนุษย์กระดาษพัวพันไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าอันลึกล้ำ


“จัดการ!” หนานกงถิงชี้นิ้วใส่หลิงฮัน และออกคำสั่งกับมนุษย์กระดาษ


มนุษย์กระดาษหันหน้าเข้าหาหลิงฮันก่อนจะพุ่งทะยานลงมือในทันที


มนุษย์กระดาษตนนี้แข็งแกร่งมาก! หลิงฮันยกหมัดขึ้นและชกตอบโต้มนุษย์กระดาษ แต่เพียงทันทีที่การโจมตีปะทะกัน ร่างของหลิงฮันก็ลอยกระเด็นและมีรอยช้ำมากมายปรากฏขึ้นตามร่างกาย


“ระดับแบ่งแยกวิญญาณครึ่งก้าว!” สุนัขตัวดำอุทาน “ฮันน้อย เจ้าระวังตัวไว้ด้วย!” มนุษย์กระดาษไล่ตามหลิงฮันไปด้วยความเร็วสูงและยกมือขึ้น ตราประทับแห่งเต๋าบนฝ่ามือของมันควบแน่นเป็นหอกยาวโจมตีใส่หลิงฮัน


จิตใจสู้รบของหลิงฮันลุกโชนเมื่อได้ประมือกับศัตรูที่ทรงพลัง


เขาโคจรทักษะแสงอัสนีเร่งความเร็วและปล่อยหมัดเข้าใส่มนุษย์กระดาษ


แต่ปฏิกิริยาตอบโต้ของมนุษย์กระดาษกลับว่องไวจนน่าอัศจรรย์ มันสามารถหลบหมัดของหลิงฮันได้ทันท่วงทีและโจมตีตอบโต้ ทุกๆการโจมตีของมันสามารถทำให้ร่างของหลิงฮันปรากฏบาดแผลทีละน้อย


ระดับแบ่งแยกวิญญาณครึ่งก้าว… กล่าวคือมนุษย์กระดาษตนนี้มีพลังต่อสู้บางส่วนที่ก้าวข้ามไปสู่ระดับแบกแยกวิญญาณแล้ว


เพียงแต่จอมยุทธนั้นไม่ใช่แบบนั้น ระดับพลังบ่มเพาะของพวกเขาสามารถบรรลุได้เพียงสี่นิพพานสูงสุด หรือไม่ก็ต้องทะลวงผ่านเป็นระดับแบ่งแยกวิญญาณไปเลย


ยิ่งกว่านั้นคือด้วยการที่พลังของมนุษย์กระดาษยังไม่ใช่ระดับแบ่งแยกวิญญาณอย่างแท้จริง ตัวมันจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากพลังอำนาจภายในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง และสามารถบดขยี้จอมยุทธระดับโลกียนิพพานทุกคนได้อย่างไร้คู่ต่อสู้ ภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มันคือตัวตนไร้เทียมทานอย่างแท้จริง

 

 

 


ตอนที่ 1805 เจ้าตั้งเป้าหมายไว้สูงเท่...

 

แล้วแบบนี้จะจัดการมันได้อย่างไร?


ณ เวลานี้หลิงฮันไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลยแม้แต้น้อย สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเขาก็คือการได้ปะทะกับมนุษย์กระดาษที่อยู่ตรงหน้า หากได้ประมือกับศัตรูที่ทรงพลัง ความเข้าใจในอำนาจแห่งเต๋าของเขาก็จะยกระดับขึ้น แถมภายใต้แรงกดดันที่รุนแรง ยังเป็นการรีดเค้นศักยภาพออกมาอีกด้วย


จิตวิญญาณสู้รบของหลิงฮันลุกโชน นอกจากเพลิงเก้าสวรรค์กับวารีพลังหยินเร้นลับแล้ว เขากระหน่ำปลดปล่อยทักษะระดับนิรันดร์ทั้งหมดออกมาด้วยพลังเต็มที่ ในแง่ของพลังต่อสู้นั้น เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศัตรูระดับแบ่งแยกวิญญาณครึ่งก้าวก็จริง แต่ด้วยกายหยาบที่ทรงพลัง ต่อให้จะได้รับบาดเจ็บจากการปะทะ เขาก็ยังสามารถหันกลับมาสู้ต่อได้ในทันที


นะ… นี่เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดรึไงกัน?


ใบหน้าของหนานกงถิงเปลี่ยนเป็นสีเขียวโดยไม่รู้ตัว


เขาเชื่อว่าต่อให้เป็นผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ก็ไม่มีทางน่าสะพรึงกลัวไปกว่าหลิงฮัน


เพียงแต่ว่าระดับแบ่งแยกวิญญาณก็ยังคงเป็นระดับแบ่งแยกวิญญาณครึ่งก้าวอยู่ดี ต่อให้ความสามารถในการฟื้นฟูของหลิงฮันจะรวดเร็วราวกับปีศาจ แต่บาดแผลก็ไม่สามารถรักษาตัวไล่ตามการโจมตีที่ทรงพลังของมนุษย์กระดาษได้ทัน บาดแผลตามร่างกายของเขาค่อยๆสาหัสขึ้นเรื่อนๆ


หนานกงถิงถอนหายใจโล่งอก ดูเหมือนว่าในที่สุดหลิงฮันก็จะถูกจัดการเสียที


เขาไม่คาดคิดว่าการจะกำราบหลิงฮันจะใช้เวลาขนาดนี้


ยิ่งเวลายืดยาวเท่าไหร่ พลังงานที่กักเก็บเอาไว้ภายในมนุษย์กระดาษก็จะถูกเผาผลาญมากยิ่งขึ้น และจะไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไปในอนาคต


แต่จะอย่างไรเขาก็ยังได้ต้นอสูรปีศาจขาวและสตรีที่งดงามหาผู้ใดเปรียบมาครอบครองอยู่ดี


ถือว่าคุ้มค่าอยู่!


บาดแผลของหลิงฮันเริ่มสาหัสขึ้นเรื่อยๆ กล้ามเนื้อและผิวหนังของเขาฉีกขาดจนกระดูกปรากฏออกมาให้เห็น โชคดีที่กระดูกคือส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดในกายหยาบของเขา มันจึงไม่เกิดการแตกหักใดๆ


หลิงฮันกล่าว “เลิกเล่นกันเสียที!”


หนานกงถิงอดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม จะเล่นหรือไม่เล่น เจ้าคิดว่าตนเองเป็นคนกำหนดหรือยังไง?


หลิงฮันโคจรพลังในใจ พริบตาหลังจากนั้น สัตว์อสูรสงครามทั้งสิบก็ปรากฏตัวออกมาและพุ่งโจมตีหนานกงถิง ในขณะที่เขายังคงปะทะกับมนุษย์กระดาษต่อไป


หนานกงถิงเค้นเสียงเย็นชาและรีบปลดปล่อยทักษะนิรันดร์เพื่อต่อต้านสัตว์อสูรสงครามทั้งสิบ


เพียงแต่ว่าสัตว์อสูรสงครามแต่ละตัวนั้น มีพลังสูงถึงระดับสี่นิพพานสูงสุด ยิ่งพวกมันโจมตีพร้อมกับสิบตัวด้วยแล้ว มีรึที่หนานกงถิงจะไม่หวาดกลัว?


หลังจากปะทะกันไปได้ไม่กี่กระบวนท่า หนานกงถิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส สภาพของเขากล่าวได้ว่าย่ำแย่ยิ่งกว่าหลิงฮันเสียอีก


หลิงฮันโคจรหยดวารีนิรันดร์ บาดแผลทั้งหมดถูกฟื้นสภาพกลับมาสมบูรณ์ในพริบตา และใช้ไพ่ลับทั้งหมดอย่างเพลิงเก้าสวรรค์กับวารีพลังหยินเร้นลับออกมา


เมื่อมีอำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีทั้งสองมาช่วยเกื้อหนุน สถานการณ์ของเขาก็ดีขึ้นบ่าง แต่ก็ยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ดี


ในทางกลับกัน ทางด้านของหนานกงถิงนั้นไม่สามารถต้านทานไหวอีกต่อไป


ตัวเขาเป็นเพียงนิรันดร์สี่นิพพานขั้นต้นเท่านั้น ต่อให้จะมีศักยภาพอยู่ในระดับราชา แต่ก็ยังอ่อนแอกว่าสัตว์อสูรสงครามหลายเท่า


หนานกงถิงรีบออกคำสั่งให้มนุษย์กระดาษกลับมาช่วยเหลือเขา เพราะหากยังปล่อยเอาไว้แบบนี้ เขาต้องถูกสัตว์อสูรสงครามฆ่าตายแน่


แน่นอนว่าหลิงฮันไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น เขาใช้กายหยาบอันไร้เทียมทานพัวพันรั้งมนุษย์กระดาษเอาไว้ เพื่อไม่ให้มันมีโอกาสไปช่วยเหลือหนานกงถิง


อั่ก!


หลิงฮันกระอักโลหิตออกมา ไม่ว่าอย่างไรการจะเผชิญหน้ากับตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณครึ่งก้าวก็ยังเป็นเรื่องยากลำบากเกินไปอยู่ดี


ขนาดเขาที่มีกายหยาบอันไร้เทียมทานยังตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ถ้าหากเป็นลั่วจ่างเฟิงหรือจื่อเหอปิงอวิ๋นล่ะก็ ทั้งสองคงกลายเป็นซากศพไปแล้ว


หลังจากการปะทะผ่านไปครู่หนึ่ง และหลิงฮันกระอักโลหิตออกมาถึงสิบสามครั้ง จู่ๆมนุษย์กระดาษก็หยุดการโจมตี


หนานกงถิงถูกอสูรสงครามทั้งสิบสังหารไปเรียบร้อยแล้ว


มนุษย์กระดาษชะงักแน่นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จู่ๆร่างของมันจะลายขึ้นฟ้าและมุ่งหน้าไปยังทางเข้าเขตแดนลี้ลับด้วยความเร็วสูง


เมื่อไม่มีผู้ใดคอยคุม มันจึงกลับไปยังนิกายอาญาสิ้นแสง


เพียงแต่ว่าระยะทางจากที่นี่ไปจนถึงนิกายอาญาสิ้นแสงนั้นห่างไกลเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าพลังงานของมนุษย์กระดาษจะหมดก่อนที่จะกลับไปถึงนิกายอาญาสิ้นแสงหรือไม่


หลิงฮันคร้านจะสนใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรหลังจากที่ออกจากเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง เขาก็ตั้งใจจะไปดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตกอยู่แล้ว คิดว่านิกายอาญาสิ้นแสงจะไล่ตามเขาเขตมหาสมุนไร้พรมแดนไปแก้แค้นเขาได้?


เขาทำการตรวจสอบแหวนมิติบนร่างของหนานกงถิง ซึ่งก็สมกับที่เป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจสามดาวจริงๆ ความมั่งคั่งของอีกฝ่ายทำให้หลิงฮันยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ


การสังหารและปล้นชิง คือหนทางร่ำรวยที่รวดเร็วที่สุดจริงๆ


หลิงฮันนำแก่นหัวใจพฤกษาออกมาจากร่างของต้นอสูรปีศาจขาว แก่นหัวใจที่ว่าคือผลึกใสที่มีขนาดเท่ากำปั้นและมีหมอกควันหมุนวนอยู่ภายใน หมอกควันเหล่านั้นคือปราณพิฆาตอันหนาแน่น ที่หลังจากดูดซับไปแล้วจะทำให้มีโอกาสรู้แจ้งถึงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารได้


“ฮันน้อย เจ้ามานี่หน่อย!” จู่ๆสุนัขตัวดำก็โบกมือเรียกหลิงฮัน


“นี่เจ้าคิดเรื่องพิเรนอะไรได้อีกแล้วสินะ?” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดี


สุนัขตัวดำทำสีหน้าเคร่งขรึมและกล่าว “เจ้าหนู เจ้าตั้งเป้าหมายไว้สูงเท่าใด?”


“… ข้าไม่คุ้นกับท่าทางจริงจังของเจ้าเอาเสียเลย” หลิงฮันหัวเราะ


“ข้ากำลังจริงจังอยู่” สุนัขตัวดำกล่าวเสียงหนักแน่น


หลิงฮันครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “แน่นอนว่าต้องเป็นราชานิรันดร์อยู่แล้ว”  “เหอๆ ราชานิรันดร์รึ ฟังดูแล้วนั่นอาจจะเป็นเป้าหมายที่สูงส่งก็จริง แต่ความจริงแล้วนั้น…” สุนัขตัวดำยืนสองข้าและพาดอุ้งเท้าหน้าทั้งสองไว้ด้านหลัง “เจ้าคิดว่าหลังจากเวลาผ่านพ้นมาหลายยุคหลายสมัย ในดินแดนแห่งเซียนนี้สมควรจะมีราชานิรันดร์อยู่เท่าใด?”


“เจ้ากำลังจะบอกว่าราชานิรันดร์มีอยู่มากมายราวกับหมูหมางั้นรึ?” หลิงฮันกล่าวพร้อมกับหัวเราะ


“ถึงแม้จะไม่ขนาดที่เจ้าว่า แต่จำนวนของราชานิรันดร์นั้นมีอยู่มากมายเกินกว่าที่เจ้าคิดเอาไว้มาก” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยอารมณ์เฉื่อยชา “หลังจากบรรลุราชานิรันดร์ จะเป็นการตัดขาดกับบาปเคราะห์แห่งสวรรค์ และสามารถมีชีวิตอันเป็นนิจนิรันดร์ไปทุกยุคสวรรค์ได้อย่างแท้จริง”


“หากเป็นเช่นนั้นทำไมจำนวนของราชานิรันดร์ถึงได้มีน้อยนักล่ะ?” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ


สุนัขตัวดำมีสีหน้าหม่นหมองและกล่าว “นั่นเพราะพวกเขาตายกันไปหมดแล้ว!”


หลิงฮันชะงักแน่นิ่งโดยไม่รู้ตัว เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกไปเองไม่ใช่รึไงว่า บาปเคราะห์แห่งสวรรค์จะไม่มีผลต่อราชานิรันดร์? แต่เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงพูดย้อนแย้งเสียเองว่า ราชานิรันดร์ตายกันไปหมดแล้ว?


“เจ้าหนู เจ้ายังไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าอยากจะสื่ออีกรึ?” สุนัขตัวดำส่ายหัว “เหตุผลที่เหล่าราชานิรันดร์ในอดีตสิ้นชีพ ไม่ใช่เพราะบาปเคราะห์แห่งสวรรค์ แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ!”


“เจ้าเริ่มทำให้ข้าสับสนแล้ว!” หลิงฮันแบมือหยักไหล่

 

 

 


ตอนที่ 1806 ห้านิพพาน

 

“ดินแดนแห่งเซียนไม่ได้สงบสุขอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ” สุนัขตัวดำกล่าว


“ความไม่สงบสุขที่เจ้าว่า คือสาเหตุที่ทำให้เหล่าราชานิรันดร์เสียชีวิตงั้นรึ?” หลิงฮันเอ่ยถาม เขาเริ่มพอที่จะเข้าใจสิ่งที่สุนัขตัวดำต้องการกล่าวขึ้นมาบ้าง


สุนัขตัวดำพยักหน้า “ในที่สุดเจ้าก็เข้าใจเสียที!”


หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “สิ่งใดกันที่เป็นสาเหตุทำให้ราชานิรันดร์มากมายต้องตาย? หากเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นจริง เหตุใดถึงแทบไม่มีใครรู้เรื่องนั้นเลย?”


“เรื่องนั้นนายท่านหมาก็ยังไม่กระจ่างเท่าไหร่” สุนัขตัวดำเกาหัว “ความทรงจำของข้านั้นไม่สมบูรณ์… แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้น การที่ข้ายังสามารถจดจำเหตุการณ์ที่ว่าได้อย่างเลือนราง ย่อมหมายถึงมันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก!”


หลิงฮันลูบคาง “แล้วเหตุการณ์นั่นกับการที่จู่ๆเจ้าก็ถามถึงเป้าหมายสูงสุดของข้ามันเกี่ยวข้องอะไรกันล่ะ?”


“เกี่ยวข้องกันอย่างไรน่ะรึ?” สุนัขตัวดำเค้นเสียง “ที่ข้าอยากบอกก็คือ ต่อให้เจ้าบรรลุเป็นราชานิรันดร์ พลังของเจ้าก็ไม่แข็งแกร่งพอและสามารถตายได้อยู่ดี!”


“ราชานิรันดร์ทั้งเก้าระดับนั้น การจะทะลวงผ่านแต่ละระดับล้วนแต่ยากลำบากเหมือนการไต่เต้าขึ้นสวรรค์ แถมความแข็งแกร่งของราชานิรันดร์ระดับสองกับราชานิรันดร์ระดับหนึ่ง ก็แตกต่างเหมือนกับระดับแบ่งแยกวิญญาณกับระดับโลกียนิพพาน!”


“ยิ่งหากเจ้าต้องการบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าด้วยแล้ว ทุกๆระดับพลังก่อนระดับราชานิรันดร์ของเจ้าก็ต้องถูกขัดเกลาอย่างสมบูรณ์ด้วย”


หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล ข้าขัดเกลาทุกระดับจนบรรลุขีดจำกัดสมบูรณ์อยู่แล้ว”


คำพูดของเขาไม่ใช่คำโอ้อวด แต่เป็นความจริง


“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องคิดแบบนั้น ถึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเตือนเจ้าไงล่ะ” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยท่าทางภาคภูมิใจ “เจ้าคิดรึว่าการตัดขาดสวรรค์และปฐพีคือขีดจำกัดที่สมบูรณ์แล้ว?”


“แล้วไม่ใช่รึ?” หลิงฮันประหลาดใจ


“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว!” สุนัขตัวดำส่ายหัวไปมา “ความทรงจำบางส่วนของข้าบอกว่า หากต้องการบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้า สิ่งที่จำเป็นไม่ใช่แค่ต้องตัดขาดสวรรค์และปฐพีอย่างเดียว แต่ต้องบรรลุเป็นนิรันดร์ห้านิพพานด้วย!”


“ห้านิพาน?” หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา


นั่นจะเป็นไปได้รึ?


สี่นิพพานคือขีดจำกัดสูงสุดที่ไม่สามารถทะลวงผ่านต่อได้แล้ว ไม่เช่นนั้นหากฝืนทะลวงผ่านคนผู้นั้นจะต้องสิ้นชีพ เรื่องนี้ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดี


“แน่นอนว่าเป็นไปได้ เพียงแต่การจะบรรลุระดับห้านิพพานได้นั้น เป็นสิ่งที่ยากลำบากเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ในยุคบรรพกาลที่ผ่านมา คนที่สำเร็จมีจำนวนเพียงแค่หยิบมือ แต่เท่าที่ข้าจำได้ หากเจ้าต้องการบรรลุจุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ ไม่ว่าอย่างไรการบรรลุห้านิพพานก็เป็นสิ่งจำเป็น” สุนัขตัวดำกล่าวอย่างเคร่งขรึม “การตัดขาดสวรรค์และปฐพีสามารถทำให้เจ้าเป็นได้แค่ราชาในหมู่ราชาเท่านั้น”


“ระดับห้านิพพาน…” หลิงฮันจ้องมองไปยังสุนัขตัวดำ


“ระดับห้านิพพาน!” สุนัขตัวดำพยักหน้า หากเจ้าต้องการเป็นเพียงแค่ราชานิรันดร์ทั่วไป เจ้าจะเดินในเส้นทางวรยุทธทั่วไปก็ได้ แต่หากเจ้าต้องการบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้า เจ้าจะต้องเดินผ่านเส้นทางที่ยากลำบากนี้“


“ยิ่งกว่านั้นคือไม่ใช่แค่ระดับโลกียนิพพานเพียงอย่างเดียว แต่ทั้งระดับแบ่งแยกวิญญาณ ระดับขอบเขตตำหนักอมตะ หรือระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ เจ้าจะต้องขัดเกลาพลังบ่มเพาะให้บรรลุขีดจำกัดสมบูรณ์ทั้งหมด หากทำได้เจ้าถึงจะสามารถบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าหรือสูงยิ่งกว่า


หลิงฮันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เจ้าหมายถึงมหาปราชญ์สวรรค์งั้นรึ?”


“มหาปราชญ์สวรรค์อะไร นายท่านหมาพูดคำนั้นออกไปตอนไหน?” สุนัขตัวดำทำหน้างุนงง


ไม่รู้ว่ามันเสแสร้งหรือไม่รู้จริงกันแน่


หลิงฮันยังคงจำได้ดีว่าเจ้าของหอคอยทมิฬคนก่อนนั้นถูกเรียกว่ามหาปราชญ์สวรรค์ เพียงแต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่านั่นเป็นเพียงฉายาที่ใช้เรียกอย่างเคารพหรือเป็นระดับพลังกันแน่


เพียงแต่ว่าทั้งหอคอยน้อยกับสุนัขตัวดำก็ดูเหมือนจะไม่มีทางยอมเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแน่ เพราะงั้นเขาจึงไม่คิดถามต่อ


“แล้วเหตุใดจู่ๆเจ้าถึงรีบเอาเรื่องนี้มาบอกข้าล่ะ?” หลิงฮันเปลี่ยนเรื่องถาม


“เพราะข้ากำลังจะไปสถานที่แห่งหนึ่งเป็นเวลาสักพัก” สุนัขตัวดำมองไปยังระยะทางที่ห่างไกลด้วยแววตาลึกล้ำ สีหน้าของมันในตอนนี้ดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก


“จะไปที่ไหนกัน?” หลิงฮันสงสัย


“มันคือสถานที่ที่อันตรายมาก” สุนัขตัวดำกล่าวเสียงต่ำราวกับวีรบุรุษที่จะไม่มีวันหวนคืน


หลิงฮันขมวดคิ้วและกล่าว “เจ้าคิดจะไปทำอะไรกันแน่?”


“ในอดีต…” สุนัขตัวดำทำท่าทางราวกับระลึกความหลัง “ข้าเคยสาบานกับตัวเองเอาไว้ว่าจะขโมยกางเกงในของราชานิรันดร์หลินเมี่ยวให้ได้ เมื่อตอนนี้ข้ากลับมาดินแดนแห่งเซียนแล้ว ข้าจึงต้องทำความปรารถนาที่ว่าให้สำเร็จ!”


หลังจากกล่าวประโยคนี้ สุนัขตัวดำก็แลบลิ้นและดวงตาส่องประกายแวววาว


ไปตายซะ!


หลิงฮันยกเท้าเตะเข้าใส่สุนัขตัวดำ เขาคิดว่านานๆที่มันจะทำตัวจริงจังบ้างเสียอีก แต่สุดท้ายก็ทำตัวพึ่งพาอะไรไม่ได้เหมือนเคย


ทั้งสามคนออกเดินทางต่อ เมื่อเวลาผ่านไปอีกสิบวัน พวกเขาก็ออกจากอาณาเขตพื้นที่รกร้างอันกว้างใหญ่และมาถึงตีนเขาลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนี้ไม่ใช่ภูเขาไฟมหึมาที่เห็นในตอนแรก เพราะจากตำแหน่งที่พวกเขาอยู่นี้ยังอีกไกลนักกว่าจะไปถึงภูเขาไฟลูกนั้น


ที่ยอดบนสุดของภูเขาลูกที่พวกเขาเดินทางมาถึง มีตำหนักบางอย่างตั้งอยู่


หลิงฮันเคยได้ยินข้อมูลของเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงได้รู้ว่าตำหนักแห่งนี้ถูกเรียกว่าตำหนักเซินหลง


มีคำกล่าวว่าตำหนักแห่งนี้เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างไม่กี่แห่งในเขตแดนลี้ลับที่ไม่ถูกทำลาย แต่ได้รับความเสียหายเพียงแค่เล็กน้อย


ตำหนักเฉียนหลงสมควรเป็นสถานที่ที่ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ในอดีตเคยเอาไว้ใช้ทดสอบลูกศิษย์ระดับโลกียนิพพาน เนื่องจากมันถูกติดตั้งรูปแบบอาคมเอาไว้ โดยหากสามารถผ่านรูปแบบอาคมที่ว่าได้ จะได้รับของรางวัลตอบแทน


ในอดีต เหล่าจอมยุทธที่เคยเข้ามาในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ และได้รับสืบทอดทักษะบ่มเพาะนั้น เกินกว่าเก้าในสิบส่วนล้วนแต่ได้รับจากตำหนักเซินหลงทั้งนั้น


ในอาณาเขตพื้นที่รกร้างอันกว้างใหญ่ก่อนหน้านี้นั้น ทุกคนอาจจะมีเส้นทางที่ต่างกัน แต่เส้นทางเหล่านั้นก็ล้วนแต่ต้องมาบรรจบกันที่ตำหนักเฉียนหลงแห่งนี้ เพราะมันคือสถานที่ที่จะมีโอกาสได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจพลาดได้



ในระยะทางที่ห่างออกไปไกลพอสมควร กระต่ายร่างขาวตัวหนึ่งกำลังถือแครอทเอาไว้ในมือ และใช้ดวงตาสีแดงสดราวกับอัญมณีจดจ้องไปยังหลิงฮัน หัวที่เหมือนหมาป่าของมันอ้าปากออกเล็กน้อย ทำให้ดูมีกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม

 

 

 


ตอนที่ 1807 การลอบโจมตีที่ไร้เกียรติ

 

จอมยุทธมากมายจากหลายทิศทางมารวมตัวกันที่ตีนเขาและมุ่งหน้าสู่ยอดเขา


“หลิงฮัน ตายซะ!” แต่ทันใดนั้นเสียงคำรามของใครบางคนก็ดังขึ้นพร้อมกับพุ่งทะยานเข้าใส่หลิงฮัน ในมือของอีกฝ่ายกำลังกวัดแกว่งกระบองเหล็กยาวที่บริเวณส่วนปลาย ส่องประกายไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าที่ทรงพลัง


หลิงฮันกวาดสายตามองและพบว่าอีกฝ่ายคือคนแปลกหน้าที่เขาไม่รู้จัก เพียงแต่พลังของอีกฝ่ายก็ไม่ได้อ่อนแอ ศัตรูผู้นี้มีพลังบ่มเพาะระดับสี่นิพพานและมีพลังต่อสู้ที่น่ายำเกรง ถึงแม้จะยังไม่ถึงกับระดับของราชาแต่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าไหร่


ดูเหมือนว่าศัตรูผู้นี้จะควบแน่นรวบรวมพลังมาก่อนนานแล้ว เพื่อที่จะลอบจู่โจมด้วยการโจมตีที่ทรงพลัง อีกฝ่ายไม่เพียงแค่กระตุ้นใช้งานอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ในมืออย่างเต็มที่ แต่ยังผสานทักษะยุทธที่ทรงพลังมาในการโจมตีด้วย


ใบหน้าของหลิงฮันปรากฏร่องรอยของโทสะขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด หากอีกฝ่ายปรากฏตัวมาต่อสู้กับเขาซึ่งๆหน้า ต่อให้เขาเป็นฝ่ายชนะ เขาก็อาจจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายมีชีวิตต่อไป


แต่กับคนที่ไร้เกียรติถึงขนาดลอบโจมตีแบบนี้ ไม่มีทางเด็ดขาดที่เขาจะยอมไว้ชีวิต


จักรพรรดินีเค้นเสียงเย็นชาและคิดจะลงมือ เพียงแต่ว่าทันใดนั้นหลิงฮันก็จับไหล่ห้ามนางเอาไว้เสียก่อน


‘หมับ’ หลิงฮันขยับมือขึ้นมาเหนือศีรษะ และคว้าจับกระบองเหล็กเอาไว้


‘ตูมมมม’ คลื่นกระแทกอันทรงพลังสั่นสะเทือนไปทั่วร่างของเขา และระเบิดคลื่นทำลายไปทั่วชั้นบรรยากาศ เพียงแต่ว่าด้วยกายหยาบอันไร้เทียมทานของเขา ทำให้คลื่นพลังทำลายไม่อาจผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ และส่งผลเพียงแค่ทำให้ผิวหนังของเขาสั่นสะท้านเท่านั้น


พื้นดินในบริเวณที่หลิงฮันยืนอยู่ส่งเสียงปริแตกออกมา ก่อนที่จะปรากฏรอยแตกร้าวเหมือนกับใยแมงมุมที่มีหลิงฮันเป็นจุดศูนย์กลาง


คลื่นพลังทำลายกระจัดกระจายผ่านชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้ฝุ่นควันฟุ้งกระจายไปทั่ว


ผู้คนที่อยู่รอบข้างรีบหยุดชะงักฝีเท้าและหันมาดูอย่างรวดเร็ว


ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า ดวงตาของทุกคนก็เบิกกว้างด้วยความตะลึง


เจ้าสามารถรับการโจมตีที่ทรงพลังขนาดนั้นได้อย่างไร?


นี่เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่า? แม้แต่จอมยุทธที่ทำการลอบโจมตีเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน เขาไม่คาดคิดว่าหลิงฮันจะทรงพลังถึงขนาดนี้ ต้องรู้ก่อนว่าการโจมตีของเขานั้นเป็นการโจมตีที่สะสมพลังมาก่อนแล้วเป็นเวลานาน หากเป้าหมายไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน เมื่อถูกการโจมตีที่ทรงพลังขนาดนี้จู่โจมเข้าใส่ ไม่ว่าใครก็ต้องถูกจัดการในหนึ่งกระบวนท่า!


หลิงฮันเค้นเสียงเย็นชาและออกแรงดึงกระบองเหล็กเข้าหาตัว พริบตานั้น ร่างของจอมยุทธที่ลอบโจมตีก็ลอยเข้ามาหาเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


จอมยุทธผู้นั้นตกตะลึงและรีบพลิกร่างหวังจะหลบหนี “ยังคิดจะหนีอีกรึ?” หลิงฮันปลดปล่อยออร่าออกมา ‘ครืนน’ อำนาจอันทรงพลังราวกับคลื่นมหาสมุทรระเบิดออกมา ภายใต้แรงกดดันทรงน่าสะพรึง แขนและขาของจอมยุทธผู้นั้นสั่นสะท้านและหยุดชะงักไปชั่วครู่


อำนาจสวรรค์! ความสามารถนี้ถึงแม้จะไม่ส่งผลใดต่อราชาแห่งยุค แต่ทว่าจอมยุทธผู้นี้ไม่ใช่ราชา


ร่างของหลิงฮันพุ่งทะยานและปล่อยหมัดออกไป ‘โพล๊ะ’ หัวของจอมยุทธผู้นั้นระเบิดออกทันที เนื้อสมองสีขาวและโลหิตไหลทะลักออกมาอย่างน่าสยดสยอง หลิงฮันควบแน่นปราณก่อเกิดเป็นเกราะคุ้มกันเอาไว้ ทำให้ร่างกายไม่มีหยดโลหิตหรือสิ่งสกปรกใดๆมาติด


แววตาอันเย็นยะเยือกของเขากวาดมองทุกคนโดยรอบเพื่อเป็นคำเตือน


นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากมาล่วงเกินข้า!


เมื่อถูกสายตาของหลิงฮันจับจ้อง ทุกคนโดยรอบก็รีบก้มหัวโดยไม่รู้ตัว แม้แต่คนที่คอยแอบมองจักรพรรดินีอยู่อย่างเงียบๆ ก็ไม่กล้ามองอีกต่อไป


รุ่นเยาว์ผู้นี้แข็งแกร่งและโหดเหี้ยมเกินไป…


“หลิงฮัน เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้สังหารผู้ติดตามของข้า!” เสียงคำรามอันเย็นชาดังก้องพร้อมกับชายหนุ่มผู้หนึ่งได้ปรากฏตัวออกมา ชายหนุ่มผู้นี้สวมชุดคลุมสีเหลืองที่สลักลวดลายของสัตว์อสูรจำนวนมากเอาไว้ ลวดลายแต่ละอันลึกลับราวกับมีชีวิตและปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวออกมา


หลิงฮันมองไปยังอีกฝ่ายและกล่าว “ทำไมข้าจะสังหารคนที่คิดสังหารข้าไม่ได้?”


ชายหนุ่มผู้นั้นกล่าว “ผู้ติดตามของข้าแค่อยากประมือกับเจ้าเท่านั้น การที่เจ้าสังหารเขานับว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ!”


หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและกล่าว “จะบอกว่าที่ลอบโจมตีเพราะอยากประมืองั้นรึ? ช่างเป็นคนที่หน้าด้านดีจริงๆ …แต่จะว่าไปแล้วเจ้าคือใคร?”


รุ่นเยาว์ผู้นั้นเค้นเสียงกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “เชียนจ้าวหยาง แห่งตระกูลเชียนจ้าว!”


“ตระกูลสุนัขนี่อีกแล้วรึ!” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์


“โฮ่ง!” สุนัขตัวดำมีท่าทางโมโหและอ้าปากกัดหลิงฮัน “เจ้าหนู เหตุใดเจ้าถึงได้ปากเสียนัก!”


หลิงฮันเบี่ยงตัวหลบและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มนุษย์นั้นมีทั้งคนดีแล้วคนชั่ว แน่นอนว่าสุนัขเองก็เช่นกัน การที่เจ้ามีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนั้น เป็นเพราะเจ้ากลัวว่าจะไม่มีใครรู้รึไงว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นสุนัขชั่วช้า?”


สุนัขตัวดำเกรี้ยวกราดและวิ่งไล่กัดหลิงฮัน


สีหน้าของเชียนจ้าวหยางกลายเป็นบูดบึ้ง เขาคือหนึ่งในผู้สืบทอดของตระกูลเชียนจ้าว ที่มีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับสี่นิพพานสูงสุด ซึ่งเป็นระดับพลังที่สูงยิ่งกว่าเชียนจ้าวเถี้ยนเสียอีก อันที่จริงตัวเขานั้นสามารถทดลองทะลวงผ่านไปยังระดับแบ่งแยกวิญญาณได้แล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะต้องการเข้ามาในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง เขาจึงอดทดรอเอาไว้ก่อน


ทั้งๆที่เขามีสถานะและพลังสูงส่งขนาดนั้น แต่หลิงฮันก็ยังกล้าทำเหมือนไม่เห็นเขาอยูในสายตา!


ฮึ่ม! “ช่างรนหาที่ตาย!” เชียนจ้าวหยางลงมืออย่างไม่หวั่นเกรง ถึงแม้คนของเขาจะเพิ่งถูกหลิงฮันสังหารไป แต่เขาก็มั่นใจในพลังของตนเอง และไม่หวาดกลัวหลิงฮัน


“ดาบหมื่นวิถี!” เขาใช้มือตบไปที่บริเวณเอวของตนเอง ทันใดนั้นดาบสีทองที่มีความยาวสามฟุตหลายหมื่นเล่มก็ปรากฏออกมา ดาบสีทองแต่ละเล่มถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยรูปแบบอาคมที่หนาแน่น โดยที่รูปแบบอาคมของดาบเหล่านั้นราวกับว่าสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้


หลิงฮันจ้องมองด้วยสีหน้าตื่นเต้น แน่นอนว่าสิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่ทักษะของอีกฝ่าย แต่เป็นดาบนับหมื่น


พวกมันคืออุปกรณ์กึ่งนิรันดร์หนึ่งดาว!


สำหรับเขา ความล้ำค่าของอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สิบดาวหรืออุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบนั้น ไม่มีความแตกต่างกันแม้แต่น้อย เพราะสุดท้ายอุปกรณ์เหล่านั้นก็ต้องถูกดาบอสูรนิรันดร์ดูดกลืนไปทั้งหมด แต่การที่ได้เห็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์จำนวนมากพร้อมกันนั้น กลับทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก


นี่คือผลกอบโกยครั้งใหญ่!


ร่างของจักรพรรดินีพุ่งทะยานออกไปด้านหน้า นางไม่ใช่สตรีประเภทคุณหนูที่ต้องคอยให้บุรุษของตนเองคอบดูแล นางคือจักรพรรดินีหล่วนซิงที่ห้าวหาญ!


“แม่นาง ช่วยถอยกลับไปด้วย ข้าไม่ต้องการทำลายเจ้า!” เชียนจ้าวหยางรีบกล่าวออกมา ความงดงามของจักรพรรดินีนั้นมีมากเหลือล้นจนเขาไม่อยากลงมือ

 

 

 


ตอนที่ 1808 เก็บขยะ

 

ในความคิดของนาง ไม่ว่าจะเป็นเชียนจ้าวหยาง ลั่วจ่างเฟิงหรือใครอื่น ก็ไม่ต่างจากหมาแมวที่นางไม่จำเป็นต้องแยแสและกำจัดไปให้พ้นๆก็พอ


นางคำรามและผลักฝ่ามือเข้าใส่เชียนจ้าวหยาง


“ฮึ่ม!” เชียนจ้าวหยางเผยท่าทางเกรี้ยวกราด ถึงแม้เขาจะหลงใหลในความงามของจักรพรรดินี แต่ถ้าหากเป็นการต่อสู้แล้ว เขาไม่มีทางใจอ่อนเด็ดขาด


เขาชี้นิ้วไปด้านหน้า ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ดาบสีทองนับหมื่นเคลื่อนไหวและโหมกระหน่ำเข้าใส่จักรพรรดินีราวกับห่าฝน


ร่างของจักรพรรดินีสั่นสะท้านพร้อมกับร่างแยกทั้งเก้าที่ก้าวเดินออกมาจากร่างหลัก หลังจากนั้นร่างของจักรพรรดินีทั้งเก้าก็สั่นสะท้านอีกครั้งเพื่ออัญเชิญสัตว์อสูรสงครามเปลวเพลิงทั้งสิบออกมา


‘โฮกกกก’ สัตว์อสูรสงครามหนึ่งร้อยตัวคำราม คลื่นเสียงที่มองไม่เห็นได้ส่งผลกระทบให้ดาบสีทองนับหมื่นสั่นไหว


ทักษะดาบหมื่นวิถีคือทักษะระดับใด?


มันคือทักษะนิรันดร์ของขุมอำนาจสามดาวเท่านั้น ต่อให้มันจะเป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับเดียวกันมันก็ยังเป็นแค่ทักษะระดับขอบเขตตำหนักอมตะอยู่ดี มีรึที่จะสามารถทัดเทียมกับทักษะระดับราชานิรันดร์ถึงสองทักษะได้?


สัตว์อสูรสงครามนับร้อยพุ่งตอบโต้ดาบนับหมื่น ในขณะที่จักรพรรดินีทั้งสิบคนหยุดยืนดูอยู่เฉยๆ


‘ตูม ตูม ตูม!’


สัตว์อสูรสงครามนับร้อยเริ่มการทำลายล้างครั้งใหญ่ พวกมันกัดทำลายดาบแต่ละเล่ม จนตราประทับที่สลักเอาไว้แหลกลายกลายเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ทั่วไป และค่อยๆร่วงลงมาจากท้องฟ้า หลิงฮันรีบเก็บดาบสีทองที่ร่วงหลงมาเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มตื่นเต้น เพราะอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์จำนวนมากเหล่านี้สามารถนำไปใช้ขัดเกลาพลังให้กับดาบอสูรนิรันดร์ได้


“หยุดมือเดี๋ยวนี้!” เชียนจ้าวหยางกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง ต่อให้เขาจะเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจสามดาว แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่ายได้ตามใจ ดาบสีทองนับหมื่นเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาสรรหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองทั้งสิ้น


เชียนจ้าวหยางเปลี่ยนมาโจมตีหลิงฮันแทน เพื่อขัดขวางไม่ให้หลิงฮันชิงดาบของเขาไปมากกว่านี้ เพียงแต่ว่าทันใดนั้นจักรพรรดินีก็เคลื่อนที่เข้ามาขวางและเปิดศึกกับเขาซึ่งๆหน้า


ปัง ปัง ปัง!


ทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันอย่างดุเดือด โดยที่จักรพรรดินีเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด


แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ จักรพรรดินีสามารถสู้ข้ามระดับได้กับจอมยุทธระดับสี่นิพพานขั้นต้นเท่านั้น แต่เชียนจ้าวหยางนั้นเป็นถึงนิรันดร์สี่นิพพานขั้นสูงสุด แถมยังเป็นราชาแห่งยุคอีก


หลิงฮันไม่เข้าไปช่วยเหลือนาง จักรพรรดินีเองก็เป็นอัจฉริยะแห่งศาสตร์วรยุทธ แรงกดดันจากศัตรูที่แข็งแกร่ง จะทำให้นางเข้าใกล้ระดับนิรันดร์สองนิพพานได้เร็วขึ้น


เขาเก็บรวบรวมดาบสีทองต่ออย่างมีความสุข ดาบที่เชียนจ้าวหยางเป็นคนนำออกมาเหล่านี้ อีกฝ่ายจะไม่มีวันได้กลับคืนอีกต่อไป!


เชียนจ้าวหยางทนไม่ไหวอีก เขาชี้นิ้วไปยังดาบที่เหลือและกล่าว “จงหวนคืน!”


พริบตานั้น ตราประทับบนตัวดาบก็ส่องประกายและลอยกลับมาจากท้องฟ้า


“พวกมันเป็นของข้า!” หลิงฮันคำรามพร้อมกับโคจรวารีพลังหยินเร้นลับ ทันใดนั้นอุณหภูมิรอบด้านก็ลดฮวบจนดาบสีทองที่ลอยอยู่ถูกแช่แข็งและร่วงหล่นลงพื้น


“หลิงฮัน เจ้ากล้าดีอย่างไร!” เชียนจ้าวหยางคำราม ดาบสีทองเหล่านี้คือน้ำพักน้ำแรงทั้งหมดของเขาแท้ๆ แต่หลิงฮันกลับเก็บพวกมันไปเป็นของตนเองอย่างไม่แยแส


“ฮันน้อย เจ้าไปแย่งเก็บขยะของคนอื่นทำไม? นายท่านหมาผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ!” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม ก่อนจะเดินสี่ขาจากไป


ด้วยนิสัยต่ำช้าของสุนัขตัวดำ มีรึที่มันจะทำตัวมีคุณธรรม? เกรงว่าที่มันเดินจากไปแบบนั้น คงเพราะจะไปตามหาเป้าหมายในการสร้างปัญหา


เชียนจ้าวหยางเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม เจ้ากล้าเรียกดาบของข้าว่าขยะงั้นรึ!


เขาพยายามจะหยุดหลิงฮัน แต่ก็ไม่อาจผ่านจักรพรรดินีไปได้เสียที


เหตุผลแรกก็เพราะจักรพรรดินีนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะจักรพรรดินีงดงามเกินจน เขาเผลอออมมือให้โดยไม่รู้ตัว


หลิงฮันเก็บดาบตามพื้นอย่างสบายใจ ถ้าหากโชคดี ดาบอสูรนิรันดร์ก็อาจยกระดับกลายเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สามดาวก็เป็นได้ เขายิ้มไปยังเชียนจ้าวหยางและกล่าว “ต้องขอบคุณความใจกว้างของเจ้าจริงๆ”


“คืนดาบของข้ามา!” เชียนจ้าวหยางเกรี้ยวกราดและยอมใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดออกมา มือของเขายื่นออกมาด้านหน้าเล็กน้อยและสร้างตราประทับทรงกลมขึ้นมา อักขระที่อยู่ภายในตราประทับนั้นซับซ้อนเป็นอย่างมาก อำนาจของตราประทับค่อยๆส่องประกายเจิดจ้าและพุ่งทะลวงใส่จักรพรรดินี


จักรพรรดินีไม่กล้ารับการโจมตีซึ่งๆหน้า เนื่องจากพลังทำลายของการโจมตีน่าสะพรึงกลัวเกินไป ต่อให้ร่างหลักของนางจะสามารถแบ่งเบาความเสียหายไปยังร่างแยกทั้งเก้าได้ แต่การโจมตีนี้ก็ยังทำให้นางบาดเจ็บสาหัสได้อยู่ดี


ผู้สืบทอดของขุมอำนาจที่ทรงพลังไม่อาจประมาทได้จริงๆ เพราะอย่างไรการที่จะมายืนอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ พวกเขาก็ต้องเหยียบย่ำอัจฉริยะของตระกูลเดียวกันมาแล้วนับพัน


หลิงฮันคำรามและใช้ทักษะแสงอัสนีพุ่งไปบังการโจมตีให้จักรพรรดินี เขารวบหมัดควบแน่นอำนาจของวารีพลังหยินเร้นลับกลายเป็นมังกรวารี และชกเข้าใส่ตราประทับทรงกลม


“รนหาที่ตาย!” เชียนจ้าวหยางแสยะยิ้มในใจ เจ้าคิดว่าตราประทับของข้าคือตราประทับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั่วไปรึไง?


ตราประทับที่เขากำลังใช้อยู่คือสิ่งที่ปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะเป็นคนสลักเอาไว้ในห้วงจิตวิญญาณของเขา หากใช้ออกมาแล้วครั้งหนึ่ง พลังของตราประทับก็จะถูกเผาผลาญและจำเป็นต้องเสริมพลังกลับเข้าไปใหม่


พลังทำลายของตราประทับนี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก โดยที่เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดในระดับโลกียนิพพาน


หลิงฮันเป็นเพียงนิรันดร์ระดับสองนิพพานแท้ๆ แต่กลับเลือกที่จะโจมตีใส่ตราประทับซึ่งๆหน้า หากไม่เรียกว่ารนหาที่ตาย แล้วจะให้เรียกว่าอะไร?


‘ตูมมม’ เมื่อถูกหมัดของหลิงฮันปะทะเข้าใส่ ตราประทับก็ปรากฏรอยแตกร้าวและค่อยๆแหลดสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงลงสู่พื้น


พรวด!


ดวงตาของเชียนจ้าวหยางแทบถลนออกมาจากเบ้าเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น


นี่มันบ้าไปแล้ว!


นี่เจ้าทำลายตราประทับของปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะได้อย่างไร?


เชียนจ้าวหยางไม่มีทางคาดเดาได้แน่นอนว่าวารีพลังหยินเร้นลับนั้นเป็นพลังอำนาจที่อยู่ในระดับราชานิรันดร์ ถึงแม้พลังแท้จริงของมันจะถูกจำกัดเอาไว้เพราะพลังบ่มเพาะของหลิงฮัน แต่ในระดับโลกียนิพพานเหมือนกัน จะมีสิ่งใดที่มันไม่สามารถบดขยี้ได้?


ทั่วร่างของหลิงฮันในตอนนี้พรั่งพรูไปด้วยจิตสังหาร เขามั่นใจว่าจอมยุทธที่ลอบสังหารเขาก่อนหน้านี้จะต้องเป็นคนที่ได้รับคำสั่งมาจากเชียนจ้าวหยางไม่ผิดแน่ เพราะเหตุนั้นจอมยุทธที่ว่าจึงเป็นเพียงตัวหมาก และคนร้ายที่แท้จริงก็คือเชียนจ้าวหยาง


กับคนประเภทนี้ เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสุภาพด้วยและสังหารไปให้สิ้นซากก็พอ!

 

 

 


ตอนที่ 1809 สัตว์อสูรสงครามสำแดงอำนาจ

 

“ครั้งนี้ถือว่าเจ้าโชคดีไปแล้วกัน!” เชียนจ้าวหยวนสะบัดมือและคิดจะล่าถอย


เหตุผลที่เขายอมลงมือปะทะกับหลิงฮันก็เป็นเพราะแค่ต้องการสร้างความดีความชอบต่อจื่อเหอปิงอวิ๋น


แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าการตั้งตนเป็นศัตรูกับหลิงฮัน จะไม่ได้แค่ทำให้เขาต้องสูญเสียผู้ติดตามไปเท่านั้น แต่ยังถูกปล้นชิงดาบอาคมที่ล้ำค่าไปด้วย แถมแม้แต่ไพ่ลับที่ทรงพลังที่สุดก็ยังไม่สามารถกำจัดหลิงฮันได้อีก เขาจึงรู้สึกหดหู่และหมดกะจิตกะใจจะสู้ต่อ


หลิงฮันแสยะยิ้ม คิดจะมาหนีเอาป่านนี้น่ะรึ?


เขากล่าว “คิดจะไปไหน? เจ้าถามรึยังว่าข้าอนุญาตรึเปล่า?”


“เหอๆ!” เชียนจ้าวหยางหรี่ตามองก่อนจะหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “ข้าคือเชียนจ้าวหยาง เจ้าคิดว่าตนเองมีสิทธิอะไรมาฉุดรั้งข้าไม่ให้ไปไหนมาไหน?”


“ข้าไม่ได้คิดจะฉุดรั้งเจ้าเสียหน่อย ข้าแค่อยากส่งเจ้าไปลงนรกก็เท่านั้นเอง” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส


“ช่างโอหัง!” เชียนจ้าวหยางสบถ คิดว่าข้าเป็นใครกัน?


ข้าเป็นถึงหนึ่งในผู้สืบทอดตระกูลเชียนจ้าว! ส่วนเจ้าเป็นแค่จอมยุทธไร้ที่พึ่ง!


ในดินแดนแห่งเซียนนั้น พรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ถ้าหากไม่มีผู้หนุนหลังที่ทรงพลัง ความแข็งแกร่งของเจ้าก็ไม่ต่างอะไรจากการผายลม! เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว มีรึที่เขาจะด้อยกว่าลั่วจ่างเฟิงมากมายขนาดนั้น?


จิตสังหารของหลิงฮันลุกโชน เขาต้องการสร้างตัวอย่างให้ทุกคนเห็นว่า ถ้าหากเขาลงมือแล้ว คนที่ล่วงเกินเขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สาหัสเพียงใด ถึงแม้เขาจะไม่หวาดกลัวต่อศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่ชอบที่จะต้องมาเสียเวลาปะทะกับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา


“การสังหารเจ้า ก็ไม่ต่างอะไรกับการเชือดไก่!” เขากล่าวอย่างไม่แยแส


คำพูดของเขาไม่ได้หมายถึงว่า การสังหารเชียนจ้าวหยางนั้นง่ายดาย แต่หมายความว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นใคร เขาก็จะลงมือสังหารอย่างไม่แยแส และไม่คิดแม้แต่จะจดจำชื่อแซ่


เชียนจ้าวหยางเกรี้ยวกราด เขารู้สึกหลิงฮันนั้นอวดดีเป็นอย่างมาก


จริงอยู่ที่เขาสังหารหลิงฮันไม่ได้ แต่หลิงฮันก็ไม่มีทางสังหารเขาได้เช่นกัน


“ข้าไม่คิดจะลดตัวลงมาเสียเวลากับเจ้า!” เชียนจ้าวหยางตัดสินใจเมินเฉยหลิงฮันและออกเดินทางสำรวจเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงต่อ เพราะอย่างไรอีกแค่ก้าวเดียวเขาก็จะบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่าหลิงฮันจะมีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดขนาดไหน แต่ต่อหน้าตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ อีกฝ่ายก็เป็นได้เพียงลูกไก่ในกำมือ


เพราะเหตุนั้นแล้วจึงไม่จำเป็นที่จะต้องรีบลงมือ ยิ่งกว่านั้นเขากับหลิงฮันก็ไม่ได้มีความแค้นเคืองอะไรกันมาก่อนด้วย เขาจึงไม่คิดจะเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย


“ชะตากรรมของเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเป็นคนกำหนด!” หลิงฮันโคจรทักษะสิบสัตว์อสูรสงคราม ทันใดนั้นสัตว์อสูรนิรันดร์เปลวเพลิงทั้งสิบตัวก็ปรากฏตัว และส่งเสียงคำรามสนั่นท้องฟ้า


ตอนนี้เขาสามารถปลดปล่อยอำนาจของทักษะสิบอสูรสงครามได้อย่างเต็มที่ เพราะอยูในเขตแดนลี้ลับ แต่หลังจากออกจากที่นี่ไปแล้ว สัตว์อสูรสงครามที่เขาสามารถเรียกออกมาได้ จะเหลืออยู่แค่สองตัวครึ่ง แถมพลังต่อสู้ก็จะลดลงไปจากตอนนี้มาก


สัตว์อสูรสงครามทั้งสิบปรากฏตัวพร้อมกับพลังต่อสู้ที่ทำให้ศัตรูสิ้นหวัง


ภายในเขตเดนลี้ลับแห่งนี้ ระดับโลกียนิพพานคือราชา


สัตว์อสูรสงครามทั้งสิบมีพลังต่อสู้อยู่ในระดับสี่นิพพานสูงสุด และไม่หวาดกลัวความตายหรือความเจ็บปวด เพราะงั้นเมื่อถูกห้อมล้อมโจมตีด้วยสัตว์อสูรสงครามทั้งสิบตนนี้ ใครบางจะไม่หวาดกลัว? แม้แต่ราชาในหมู่ราชาอย่างลั่วจ่างเฟิงหรือจื่อเหอปิงอวิ๋นก็ไม่มีข้อยกเว้น หากต้องปะทะกับสัตว์อสูรสงครามทั้งสิบภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ ต่อให้เป็นทั้งสองก็ทำได้เพียงล่าถอย


เชียนจ้าวหยางคำรามอย่างเกรี้ยวกราด แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากต้านทานการโจมตีรอบทิศจากอสูรสงครามทั้งสิบอย่างสิ้นหวัง


ผู้คนที่อยู่โดยรอบ ส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตกตะลึง


เหลือเชื่อ… เชียนจ้าวหยางที่เป็นถึงผู้สืบทอดตระกูลเชียนจ้าวและเป็นราชาในระดับสี่นิพพาน กำลังถูกสัตว์อสูรทั้งสิบตัวทุบตีอย่างไม่อาจตอบโต้!


ยิ่งกว่านั้นคือ สัตว์อสูรทั้งสิบนี้ก็เป็นแค่ทักษะของหลิงฮันเท่านั้น โดยที่หลิงฮันไม่ได้ลงมือสู้เองเลยแม้แต่น้อย


พระเจ้า… รุ่นเยาว์ผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดแบบใดกันแน่?


แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้ว พลังของคนที่ล่วงเกินจื่อเหอปิงอวิ๋นแล้วยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ จะไปธรรมดาได้อย่างไร?


ผู้คนโดยรอบรู้สึกหวั่นเกรง โดยที่บางคนแอบรู้สึกโล่งอกที่พวกเขายังไม่ได้ลงมือกับหลิงฮัน


คนที่สามารถล่วงเกินขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ และยังมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ คงไม่ใช่ตัวตนที่พวกเขาจะจัดการได้จริงๆ


หลังจากนี้ก็ปล่อยให้จื่อเหอปิงอวิ๋นสะสางความแค้นของนางด้วยตัวเองดีกว่า การที่คิดจะประจบประแจงอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น มีแต่จะนำพาภัยพิบัติเข้าสู่ตัวเอง


แต่ก็แน่นอนว่ายังมีคนบางส่วนที่มั่นใจว่าพลังของตนเองเหนือกว่าเชียนจ้าวหยาง และมีไพ่ลับที่ทรงพลังยิ่งกว่า พวกเขาไม่คิดว่าตนเองจะไม่สามารถสังหารหลิงฮันได้


“หลิงฮัน อย่าได้รังแกกันเกินไป!” เชียนจ้าวหยางตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเสี่ยงชีวิต เขาถูกสัตว์อสูรสงครามทั้งสิบไล่ต้อนจนรับมือไม่ไหว


“รังแกน้องสาวเจ้าสิ! ไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าหรอกรึที่ลงมือกับข้าก่อน?” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ช่างไรเหตุผลอะไรอย่างนี้ หมอนี่คิดว่าตนเองมีสิทธิ์ลงมือกับเขาได้อยู่ฝ่ายเดียวงั้นรึ?


เชียนจ้าวหยางเผยสีหน้าโหดเหี้ยม หากเขาถูกสัตว์อสูรทั้งสิบตนนี้สังหารล่ะก็ เขาคงรู้สึกคับแค้นใจจนตายตาไม่หลับแน่ๆ เพราะงั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทุ่มสุดตัวเพื่อตอบโต้กลับ


ขอแค่สังหารหลิงฮันได้ ปัญหาทุกอย่างก็จะจบลง


เชียนจ้าวหยางตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และคำรามพุ่งทะยานเข้าหาหลิงฮัน


ปัง! ปัง! ปัง!


สัตว์อสูรสงครามทั้งสิบเคลื่อนที่มาล้อมรอบเชียนจ้าวหยางเพื่อขัดขวาง


พลังของสัตว์อสูรสงครามแต่ละตัวไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเชียนจ้าวหยาง ยิ่งพวกมันมีอยู่ด้วยกันถึงสิบตัวด้วยแล้ว เชียนจ้าวหยางจึงไม่สามารถบุกทะลวงผ่านไปได้


เขาส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด และเผาผลาญพลังชีวิต ทันใดนั้นโลหิตก็ไหลทะลวงออกมาจากปากของเขา พร้อมกับพลังต่อสู้ได้ยกระดับสูงขึ้นหลายเท่าตัว


การเผาผลาญพลังชีวิตหรือแก่นพลัง จะทำให้พลังต่อสู้ยกระดับขึ้นมาหลายเท่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ


‘ตูม’ เขาปลดปล่อยการโจมตีพุ่งทะลวงเข้าหาหลิงฮัน


สัตว์อสูรทั้งสิบกระหน่ำโจมตี แต่เชียนจ้าวหยางก็เลือกที่จะหลบหลีกโดยไม่ตอบโต้อะไร เพราะหากมัวเสียเวลาอยู่กับพวกมัน เขาอาจจะถูกห้อมล้อมขวางทางอีกครั้ง


อั่ก!


เชียนจ้าวหยางกระอักโลหิตแทบจะตลอดเวลา ร่างของเขาพุ่งทะลวงเข้าหาหลิงฮันอย่างรวดเร็ว ตราบใดที่สังหารหลิงฮันได้ สถานการณ์เสี่ยงตายในตอนนี้ก็จะสิ้นสุดลง

 

 

 


ตอนที่ 1810 ทรมานจิต

 

เชียนจ้าวหยางปล่อยหมัดเข้าใส่หลิงฮันด้วยพลังทั้งหมดที่เหลือ


นี่คือการโจมตีครั้งสุดท้ายของเขา เนื่องจากการหลบหนีจากวงล้อมของสัตว์อสูรสงครามทั้งสิบ ทำให้พลังของเขาถูกเผาผลาญไปมหาศาล แถมยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก


การโจมตีครั้งสุดท้ายเพื่อความหวังในการมีชีวิตรอด ของผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับสามดาว เป็นสิ่งที่ไม่อาจประมาทได้เลย


แต่จะอย่างไรหลิงฮันก็ไม่หวาดหวั่น เขาผลักฝ่ามือตอบโต้เชียนจ้าวหยาง


ครืนนน!


หลิงฮันปลดปล่อยทักษะนิรันดร์สองทักษะออกไปพร้อมกัน กาลเวลาแปรผันพันปีทำหน้าที่เร่งความเร็วในการสลายตัวของการโจมตีที่พุ่งเข้ามา


ถึงแม้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงเวลา จะเป็นหนึ่งในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ทรงพลังที่สุดภายใต้ระดับราชานิรันดร์ แต่พลังบ่มเพาะของทั้งสองก็ต่างกันเกินไป ทำให้การโจมตีของเชียนจ้าวหยางไม่ถูกสลายไปอย่างสมบูรณ์


เพียงแต่ว่าทักษะมิติเอกเทศที่หลิงฮันใช้ออกไปพร้อมกัน ได้ช่วยดูดกลืนพลังทำลายที่เหลือ การโจมตีของเชียนจ้าวหยางจึงไม่ส่งผล


หลิงฮันใช้มืออีกฝ่ายคว้าไปจับคอเชียนจ้าวหยางเอาไว้อย่างไม่แยแส ราวกับอีกฝ่ายเป็นเพียงหมูหมา


“หลิงฮัน พอแค่นั้น!” เสียงคำรามอันเย็นชาดังขึ้น พร้อมกับเชียนจ้าวเถี้ยนได้ก้าวเดินออกมา


มุมปากของเขาปรากฏรอบยิ้ม แถมภายในใจก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก


ทำไมน่ะรึ?


เชียนจ้าวหยางคือคู่แข่งของเขา การที่ถูกหลิงฮันทุบตีต่อหน้าสาธารณะชนเช่นนี้ มีรึที่เชียนจ้าวหยางจะยังกล้ายืนอยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดต่อไป?


ต่อให้เชียนจ้าวหยางหน้าด้านไม่ยอมสละตำแหน่ง เขาก็ยังมีวิธีมากมายที่จะเขี่ยอีกฝ่ายให้ไม่สามารถยืนอยู่ในตำแหน่งผู้สืบทอดได้อีกต่อไป


ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยให้หลิงฮันสังหารเชียนจ้าวหยางไปเลยไม่ดีกว่ารึ?


แน่นอนว่าไม่อาจทำเช่นนั้นได้ หากเขาไม่ยื่นมือเข้ามาแทรกแซง ผู้อาวุโสในตระกูลจะต้องกล่าวโทษเขาและอาจถูกปลดจากตำแหน่งผู้สืบทอดเสียเอง


เพราะเหตุนั้นแล้ว หลังจากดูการแสดงสนุกๆมาได้สักพัก เชียนจ้าวเถี้ยนจึงเพิ่งยื่นมือเข้ามาแทรก


หลิงฮันไม่แยแสคำพูดของอีกฝ่าย อย่าว่าแต่เชียนจ้าวเถี้ยนเลย ต่อให้เป็นฟู่เกาหยุนก็ไม่สามารถออกคำสั่งกับเขาได้ เขาจะยอมไว้หน้าใครหรือไม่นั้น ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาเพียงอย่างเดียว


แคร่ก!


หลิงฮันออกแรงบีบที่มือ ซึ่งคอของเชียนจ้าวหยางก็บิดเบี้ยวผิดรูปและหักในทันที หลังจากนั้นอำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์ก็ถูกชี้นำเข้าสู่ร่างกายของเชียนจ้าวหยาง และทำลายห้วงจิตวิญญาณไปพร้อมกับดวงวิญญาณจนสิ้นซาก


“เจ้า!” เชียนจ้าวเถี้ยนเกรี้ยวกราด หลิงฮันกล้าที่จะสังหารผู้สืบทอดขุมอำนาจสามดาวจริงๆ!


ไม่สิ ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่กล้าล่วงเกินแม้กระทั่งขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ เพราะงั้นสิ่งที่เขาทำในตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ


หลิงฮันมองไปยังเชียนจ้าวเถี้ยนอย่างเย็นชาและกล่าว “ทำไม เจ้าไม่พอใจงั้นรึ? หากเจ้าไม่พอใจก็เข้ามา ข้าจะสั่งสอนเจ้าด้วยอีกคน”


ถึงแม้เชียนจ้าวเถี้ยนจะถลึงตาอย่างไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่กล้ากล่าวตอบประโยคสุดท้ายของหลิงฮัน


แม้แต่เชียนจ้าวหยวนก็ยังถูกสังหารโดยหลิงฮัน แล้วเขาจะไปเหลืออะไร?


แต่ก็น่าแปลก ก่อนหน้านี้เจ้าหมอนี่ยังไม่มีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้แท้ๆ แถมยังไม่ได้ทะลวงผ่านระดับด้วย แต่เหตุใดจู่ๆพลังต่อสู้ถึงได้แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้?


หลินฟาง เถิงเซินและราชาแห่งยุคคนอื่นๆที่เพิ่งมาถึง เมื่อเห็นว่าหลิงฮันสามารถกำราบเชียนจ้าวหยางได้อย่างราบคาย พวกเขาก็รู้สึกตกตะลึงและล้มเลิกความคิดที่จะสังหารหลิงฮันทิ้งทันที


อย่างน้อยภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ หลิงฮันก็ไม่ใช่คนที่พวกเขาสมควรไปล่วงเกิน


หลิงฮันกวาดสายตามองฝูงชน ก่อนจะจับมือจักรพรรดินีและก้าวเดินขึ้นสู่ยอดเขา


เมื่อหลิงฮันและจักรพรรดินีมาถึงยอดบนสุดของภูเขา พวกเขาก็พบเห็นตำหนักอันน่าเกรงขามตั้งตระหง่านอยู่ พื้นผิวของตำหนักแห่งนี้เป็นสีดำสนิท โดยที่รูปลักษณ์ของตำหนักได้ถูกสร้างเป็นร่างของมังกร กลิ่นอายของตำหนักแห่งนี้นั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความน่ายำเกรง แต่ทำให้รู้สึกหวาดกลัว


ในตำนานบางอย่าง มีคำกล่าวว่ามังกรทมิฬคือตัวแทนแห่งปีศาจและเป็นสัญลักษณ์แห่งการทำลายล้าง


“ตำหนักเฉียนหลง” เหนือประตูทางเข้าตำหนัก อักษรขนาดใหญ่สามตัวถูกสลักเอาไว้แถมยังเปล่งประกาย


ประตูของตำหนักถูกเปิดอยู่ แต่ก็ไม่เห็นมีใครอยู่ด้านในเลย


หากจะให้พูดแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่หลิงฮันกับจักรพรรดินีจะมาถึงที่นี่เป็นคนแรก แต่ถ้าเช่นนั้นแล้วคนอื่นๆที่มาถึงก่อนพวกเขาล่ะหายไปไหน?


ทั้งสองมองหน้ากันและก้าวผ่านเข้าไปยังประตู


พวกเขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังต่อต้านที่มองไม่เห็นจนพวกเขาต้องปล่อยมือจากกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทันใดนั้นร่างของทั้งสองคนก็สั่นสะท้าน พร้อมกับถูกแยกย้ายไปปรากฏตัวในห้องหินห้องหนึ่ง


หลิงฮันเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว เขาคิดว่าในห้องแห่งนี้ อาจจะมีมนุษย์หินหรือมนุษย์เหล็กปรากฏตัว โดยที่ถ้าหากเขาเป็นฝ่ายชนะ ก็จะถือว่าผ่านการทดสอบ


นี่ไม่คิดจะมีการทดสอบใหม่ๆเลยรึไง?


ในขณะที่เขากำลังบ่นอยู่ในใจคนเดียวนั่นเอง จู่ๆแสงเงาก็ปรากฏออกมาและค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นมนุษย์ ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นใบหน้าของมนุษย์เงา แต่ก็มั่นว่าใจอีกฝ่ายจะต้องเป็นบุรุษที่ร่างผอมบาง


“รุ่นเยาว์เอ๋ย เหตุใดเจ้าถึงฝึกฝนวรยุทธ?” มนุษย์ร่างเงาเอ่ยถาม


หลิงฮันแน่นิ่งไปชั่วขณะ เนื่องจากคาดไม่ถึงเล็กน้อย


เขาเตรียมพร้อมจะสู้เต็มที่เลยแท้ๆ แต่ไม่นึกว่าจะมาถูกถามคำถามเช่นนี้


ฝึกฝนไปเพื่ออะไรงั้นรึ?


หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “เพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น และสามารถก้าวเดินไปตามเส้นทางที่ปรารถนา รวมถึงเพื่อปกป้องมิตรสหายคนสนิท”


“เป็นคำตอบที่ปกติดีนะ” ร่างเงาเอ่ยชม “คำพูดปากเปล่าก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่จิตใจของเจ้าจะแข็งแกร่งพอ ที่จะทนความโดดเดียวในการบ่มเพาะพลังได้รึเปล่า?”


หลิงฮันพยักหน้าตอบ


“ถ้าเช่นนั้น ต่อให้ดวงจิตของเจ้ารู้สึกทรมานเพียงใด ก็อย่าได้ส่งเสียง ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเจ้าล้มเหลว” เงารูปร่างมนุษย์กล่าวและชี้นิ้วไปยังหลิงฮัน


‘พรึบ’ จู่ๆหลิงฮันรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบกลายเป็นมืดสนิท


เขาสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้าไป โดยที่ไม่อาจมองเห็น ได้ยินหรือรู้สึกใดๆ


โชคดีที่หลิงฮันเคยมีประสบการณ์ในรูปแบบนี้มาก่อนแล้วเกินหนึ่งครั้ง เขาทดลองโคจรเพลิงเก้าสวรรค์ดู แต่ก็พบว่าตอนนี้เขาสูญเสียการเชื่อมต่อกับเพลิงเก้าสวรรค์ไปอย่างสิ้นเชิง


แม้แต่สัมผัสสวรรค์ของเขาก็ถูกปิดกั้นด้วยงั้นรึ?


ความทรมานของดวงจิตที่ว่า คือให้ทนอยู่ในความเงียบเช่นนี้น่ะรึ?


หลิงฮันแน่นิ่งไปชั่วขณะ เนื่องจากการสูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้า เป็นความรู้สึกที่น่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง


เพียงแต่จู่ๆเขาก็คิดได้ว่าการฝึกฝนในสถานการณ์แบบนี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวเหมือนกัน


ตราบใดที่ภายในสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่สติแตกไปเสียก่อน จิตใจของเขาจะมั่นคงและสามารถเผชิญหน้าได้กับทุกสรรพสิ่ง

 

 

 


ตอนที่ 1811 กับดัก

 

หนึ่งวัน… สองวัน… หนึ่งปี… สองปี… หนึ่งร้อยปี… สองร้อยปี…


หลิงฮันจมปลักไปกับห้วงเวลา ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าตนเองตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว แต่จิตใจก็ยังไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย


เขาเคยมีประสบการณ์สูญเสียประสาทสัมผัสทั้งห้ามาก่อนก็จริง เพียงแต่ว่าในครั้งก่อนๆนั้น เขายังสามารถเข้าสู่หอคอยทมิฬและใช้ทักษะต่างๆได้อยู่ ซึ่งต่างจากครั้งนี้ที่ดวงวิญญาณของเขาราวกับว่าถูกปิดกั้นจากห้วงจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์


แต่ว่าการได้อยู่ในสภาวะเช่นนี้ ก็มีข้อดีตรงที่ทำให้เขาสามารถละทิ้งความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมด และใช้สมาธิไปกับการฝึกฝนเพียงอย่างเดียว


ไม่รู้ว่าตอนนี้เวลาผ่านพ้นมานานเท่าไหร่แล้ว แต่หลิงฮันก็รู้สึกได้ว่าความเข้าใจในรากฐานพลังบ่มเพาะของตน ได้ยกระดับขึ้นมาถึงระดับนิรันดร์สองนิพพานขั้นสูงสุดเป็นที่เรียบร้อย


ก่อนหน้านี้เขาสะสมปราณก่อเกิดจนบรรลุขีดจำกัดในระดับสองนิพพานอยู่ก่อนแล้ว เพราะงั้นเมื่อความเข้าใจในรากฐานพลังบ่มเพาะของเขาบรรลุขีดจำกัดเหมือนกัน หากไม่ทะลวงผ่านขั้นพลังต่อไป ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะขัดเกลาพลังต่อสู้ให้แข็งแกร่งขึ้น


“รุ่นเยาว์ เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของหลิงฮัน ‘พรึบ’ ทันใดนั้นพื้นที่โดยรอบตัวเขาก็ย้อนกลับคืนมาเป็นห้องหินอีกครั้ง โดยที่มีบุรุษร่างเงายืนอยู่ อีกฝ่ายพาดมือทั้งสองไว้ที่ด้านหลัง และมีสีหน้าไร้อารมณ์


หลิงฮันรู้สึกตกตะลึงมาก


แต่เดิมแล้ว ถึงแม้จะมีต้นสังสารวัฏและแก่นกำเนิดพลังแห่งสวรรค์และปฐพีทั้งสองอยู่ในร่างกาย การที่ความเข้าใจในรากฐานพลังบ่มเพาะของเขาจะบรรลุระดับนิรันดร์สองนิพพานได้ ก็ต้องใช้เวลาราวๆหนึ่งร้อยปี นอกเสียจากว่าจะกินสมุนไพรนิรันดร์เข้าไป


แต่นี่เวลาในโลกภายนอกเพิ่งผ่านไปเพียงเท่าไหร่กันเชียว?


ในขณะที่คำถามผุดขึ้นมาในหัว จู่ๆกำแพงของห้องหินก็เปิดออก ร่างของใครบางคนพุ่งทะยานออกมาอย่างรวดเร็ว และสะบั้นปราณดาบเข้าใส่หลิงฮัน


“เจ้าตัวบัดซบ ตายซะ!” ร่างที่ปรากฏตัวคือสตรีงดงามที่ใบหน้าดับไว้ด้วยความเย็นชาอย่างถึงที่สุด ซึ่งนอกจากจื่อเหอปิงอวิ๋นแล้วจะมีใครอีก?


หลิงฮันขมวดคิ้ว ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ สตรีผู้นี้ก็มาที่นี่ด้วยเหมือนกัน!


จิตสังหารของเขาเดือดผล่าน เนื่องจากเขาไม่ชอบหน้าจื่อเหอปิงอวิ๋นเป็นอย่างมาก


หลิงฮันพุ่งทะยานร่างเข้าหาจื่อเหอปิงอวิ๋น เขารวบมือทั้งสองเป็นกำปั้นและโคจรอำนาจของพลังต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีทั้งสองพร้อมกัน หมัดข้างหนึ่งของเขาพัวพันไปด้วยคลื่นความร้อน ในขณะที่หมัดอีกข้างพัวพันไปด้วยคลื่นเย็นยะเยือก


ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!


ดูเหมือนว่าจื่อเหอปิงอวิ๋นเองก็ได้รับวาสนาจากการทดสอบของตำหนักแห่งนี้เช่นกัน พลังบ่มเพาะของนางยกระดับขึ้นเป็นสามนิพพานขั้นสูงสุด ซึ่งในด้านของพลังต่อสู้นั้น ถึงแม้นางจะเหนือกว่าหลิงฮัน แต่ก็ไม่อาจทำลายพลังป้องกันอันไร้เทียมทานของหลิงฮันได้


“เจ้าตัวบัดซบ ข้าจะถลกเนื้อหนังของเจ้า แล้วนำโลหิตของเจ้ามาดื่มเพื่อสังเวยให้กับความอัปยศของข้า!” จื่อเหอปิงอวิ๋นคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ในขณะที่กำลังประมือ


หลิงฮันพูดไม่ออก นี่นางไม่รู้จริงๆรึว่าแต่เดิมแล้วใครเป็นฝ่ายล่วงเกินใครก่อน?


เขาอยากจะโต้เถียงกลับไป แต่ก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดขึ้นมาก่อน


เหตุใดคนที่ปรากฏตัวถึงมีเพียงจื่อเหอปิงอวิ๋นแค่คนเดียว แล้วคนอื่นๆล่ะไปไหน?


เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลิงฮันก็พบเจอความผิดปกติอย่างอื่นอีก ถึงแม้อำนาจของวารีพลังหยินเร้นรับกับเพลิงเก้าสวรรค์ที่เขาใช้โจมตีจะทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่มันก็ไม่มีกลิ่นอายอันสูงส่งของพลังต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่เลยแม้แต่น้อย! ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังสัมผัสถึงหอคอยทมิฬไม่ได้อีก


นั่นหมายความว่าการต่อสู้นี้ก็เป็นหนึ่งการทดสอบเช่นกัน โดยที่หากใครคิดว่าตนเองผ่านการทดสอบแล้วและเกิดประมาท คนผู้นั้นก็จะถูกเล่นงานทันที


เมื่อรู้แบบนี้แล้ว หลิงฮันจึงไม่ต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย และเลือกที่จะปลดปล่อยพลังต่อสู้ทั้งหมดโจมตีเข้าใส่จื่อเหอปิงอวิ๋น


ซึ่งก็เป็นในตอนนี้เอง ที่เขาพบว่าถึงแม้กายหยาบของเขาจะทรงพลัง แต่มันก็ไม่ได้ไร้เทียมทานเหมือนกับกายหยาบที่ถูกขัดเกลาด้วยทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ เห็นได้ชัดว่าอำนาจลึกลับบางอย่างได้พยายามที่จะเลียนแบบพลังของเขามาให้ใช้ในการทดสอบ แต่เนื่องจากคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ วารีพลังหยินเร้นลับและเพลิงเก้าสวรรค์มีระดับที่สูงเกินไป ทำให้ไม่สามารถจำลองพลังมาให้เขาใช้ทดสอบได้อย่างสมบูรณ์


ดูเหมือนว่าแต่เดิมแล้วเขตแดนลี้ลับแห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์อย่างที่ว่าจริงๆ เพียงแต่ว่าต่อให้สถานที่แห่งนี้จะถูกสร้างขึ้นโดยราชานิรันดร์จริง แต่ ณ เวลานี้มันก็ถูกทิ้งล้างไปนานแล้ว


เพราะงั้นถ้าหากลองใช้หัวคิดดูดีๆ รูปแบบอาคมสำหรับการทดสอบอาจจะมีช่องโหว่ ที่สามารถทำให้ พลังที่ถูกจำลองมาทรงพลังยิ่งขึ้นก็เป็นได้


หลิงฮันตั้งมั่นในใจ ‘ข้าไม่ใช้จอมยุทธระดับโลกียนิพพาน ข้าคือตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ!’


‘ตูมมม’ พลังทำลายอันน่าสะพรึงกลัวหลั่งไหลออกมาจากการโจมตีของเขา จื่อเหอปิงอวิ๋นถูกบดขยี้กลายเป็นเศษเงาในพริบตาและสลายหายไป


“ไม่เลว ไม่เลว!” เสียงของมนุษย์ร่างเงาเอ่ยดังขึ้นในหูหลิงฮัน


ทันใดนั้นสภาพแวดล้อมภายในห้องหินก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยโดยที่แทบจะไม่รู้สึกตัว หลิงฮันทดลองสื่อสารกับหอคอยทมิฬดูก่อนจะถอนหายใจโล่งอก


ณ เวลานี้ เขาผ่านการทดสอบแล้วอย่างแท้จริง


หลิงฮันทำการสำรวจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายของตนเอง เพื่อดูว่าเวลาในโลกแห่งความจริงผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว เขาใช้เวลาตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงท่าทีตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด… เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น!


ภายในเวลาไม่กี่ลมหายใจนี้ เขาสามารถยกระดับพลังจากนิรันดร์สองนิพพานขั้นกลาง ไปยังสองนิพพานขั้นสูงสุดได้งั้นรึ? นี่มันปาฏิหาริย์ชัดๆ!


หรือนี้จะเป็นพลังอำนาจบางอย่างของราชานิรันดร์?


“เป็นอย่างที่เจ้าคิด” มนุษย์ร่างเงาหยักหน้า “สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นการทดสอบก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นวาสนาด้วยเช่นกัน แต่ใครจะได้รับวาสนารึไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นมีจิตใจที่หนักแน่นมากเพียงใด เพียงแต่ว่าวาสนาเช่นนี้ สามารถเกิดขึ้นได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น และจอมยุทธที่จะรับวาสนาต้องมีพลังบ่มเพาะไม่เกินระดับโลกียนิพพานด้วย ไม่เช่นนั้นหากฝืนรับวาสนา ดวงวิญญาณของคนผู้นั้นก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงขนาดที่แม้แต่ราชานิรันดร์ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้”


หลิงฮันรู้สึกสงสัยและเอ่ยถามออกไป “หากเป็นกรณีที่ว่า จิตใจของข้าแข็งแกร่งพอที่จะทนต่อการทดสอบทรมานจิตได้ แต่ข้าล้มเหลวในการทดสอบต่อสู้เมื่อครู่ล่ะจะเกิดอะไรขึ้น?”


จื่อเหอปิงอวิ๋นตัวปลอมเมื่อครู่เป็นหนึ่งในการทดสอบก็จริง แต่ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นกับดักด้วยเช่นกัน


มนุษย์ร่างเงาตอบกลับอย่างไร้อารมณ์ “หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จะไม่สามารถผ่านไปยังสถานที่ต่อไป เพื่อไขว่คว้าวาสนาที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมได้”


“วาสนาอันใดรึ?” หลิงฮันเอ่ยถาม

 

 

 


ตอนที่ 1812 บังเอิญพบเจอ

 

มนุษย์ร่างเงาไม่กล่าวตอบและชี้นิ้วไปยังหลิงฮัน ‘ครืนน’ พริบตานั้นเอง ทิวทัศน์รอบด้านของหลิงฮันก็เปลี่ยนไป ซึ่งพอรู้สึกตัว เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่ห้องหิน


เบื้องหน้าของเขาคือป่าดอกท้อที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ใบดอกท้อสีชมพูเบ่งบานและส่งกลิ่นหอมไปทั่ว จนทำให้ผู้คนรู้สึกผ่อนคลาย


ในดินแดนแห่งเซียน พืชและต้นไม้หลากหลายชนิดส่วนใหญ่จะมีความสูงตั้งแต่หมื่นฟุตไปจนถึงสามหมื่นฟุต


แต่ที่นี่ไม่ใช่แบบนั้น ความสูงของต้นดอกท้อนั้นสูงเพียงสองฟุตกว่าเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ธรรมดาสามัญเป็นอย่างมาก


หลิงฮันสำรวจร่างกายตนเองเป็นอย่างแรกเพื่อมั่นใจว่านี่คือร่างกายของเขาจริงๆ ไม่ใช่การจำลองเหมือนก่อนหน้านี้


เมื่อตรวจสอบร่างกายเสร็จ เขาก็ทำการออกเดินทางอย่างไรจุดหมาย ท่ามกลางป่าดอกท้อโดยที่ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้


แต่หลังจากเดินไปได้สักพัก หลิงฮันก็ต้องหยุดฝีเท้า เนื่องจากเขารู้สึกว่าหากยังเดินสุ่มไปมั่วๆเช่นนี้ เขาจะไม่มีวันออกไปจากป่าแห่งนี้ได้


มนุษย์ร่างเงากล่าวว่าหากผ่านการทดสอบก่อนหน้านี้ได้ เขาจะมีโอกาสได้รับวาสนาที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม


ซึ่งแน่นอนว่า วาสนายิ่งใหญ่ที่ว่าไม่มีทางได้รับมาเปล่าๆ แต่ต้องผ่านการทดสอบอีกครั้ง ซึ่งก็คือการออกจากป่าแห่งนี้


หลิงฮันทะยานร่างขึ้นสูงและเหาะวนสำรวจไปทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่พบอะไรอื่นเลยนอกจากต้นดอกท้อสีชมพู อย่างกับว่าสถานที่แห่งนี้คือโลกที่มีแต่ต้นดอกท้อเพียงอย่างเดียว


หลังจากผ่านไปสองวัน เขาก็ยังคงเดินวนไปมาท่ามกลางป่าที่เต็มไปด้วยต้นดอกท้อ


“ไม่ถูกต้อง!”


หลิงฮันส่ายหัว การจะไปให้ถึงตำแหน่งที่มีวาสนาอันยิ่งใหญ่รออยู่ ดูเหมือนจะไม่ง่ายเลยจริงๆ


เขาร่อนร่างลงสู่พื้นและนั่งขัดสมาธิเพื่อนึกถึงเส้นทางก่อนๆที่เขาเคยผ่านมา


ด้วยพลังบ่มเพาะในตอนนี้ แน่นอนว่าหลิงฮันย่อมสามารถจดจำเส้นทางทั้งหมดที่เคยเดินผ่านได้อย่างไม่หลงลืม ภายในช่วงเวลาพริบตาเดียว ภาพเส้นทางต่างๆมากมายแสนซับซ้อนก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา


“จะต้องมีรูปแบบอยู่แน่นอน!”


หลิงฮันกล่าวกับตัวเอง หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เข้าไปยังหอคอยทมิฬ เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบของสถานที่แห่งนี้ใต้ต้นสังสารวัฏ


เวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน หลิงฮันที่นั่งหลับตาอยู่ใต้ต้นสังสารวัฏก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้ม


เขามั่นใจว่า ตอนนี้เขาพบเจอเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว


“สามี!” สตรีนกอมตะก้าวเดินเข้ามาหา ตอนนี้ภายในหอคอยทมิฬเหลือนางอยู่เพียงแค่คนเดียว แม้แต่จักรพรรดิจอมอสูรจอมประจบสอพลอก็ถูกหลิงฮันทิ้งเอาไว้ในเมืองรองของนิกายจันทราหม่นแสง เพราะงั้นนางจึงรู้สึกเบื่อและเหงาเป็นอย่างมาก


หลิงฮันปลอมประโลมนาง เนื่องจากว่าสตรีนกอมตะนั้นยังไม่บรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน นางจึงไม่สามารถออกไปเดินในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงได้


หลิงฮันออกจากหอคอยทมิฬและเดินหน้าต่อ


“หืม?” เมื่อเดินไปได้สักพัก จู่ๆหลิงฮันก็พบเห็นสตรีชุดแดงเดินอยู่ด้านหน้า แผ่นหลังจากสตรีผู้นี้งดงามมาก ราวกับเป็นผลงานอันประณีตที่สวรรค์สรรสร้าง


“ภรรยาข้า!” เขาตะโกนเรียกเสียงดัง


จักรพรรดินีหยุดเดินและหันหลังกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่ประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มอันงดงาม


หลิงฮันก้าวเดินขึ้นหน้า ในขณะที่จักรพรรดินีเดินถอยหลังกลับมา ทั้งสองอ้าแขนโอบกอดกันและรู้สึกว่าเวลาที่แยกจากกันนั้น ไม่ใช่แค่สองสามวันแต่เป็นหลายยุคสมัย


ทั้งสองเดินหน้าต่อโดยจับมือกันแน่นไม่ปล่อย


ช่างเป็นความบังเอิญอย่างมาก เพราะที่จริงจักรพรรดินีก็ไม่ได้รู้ว่าต้องเดินทางไปในเส้นทางไหน นางเพียงแค่เดินสุ่มๆมาเท่านั้น แต่ก็ได้พบเจอกับหลิงฮันเข้าที่นี่


ความสามารถในการวิเคราะห์ทำความเข้าใจของนางไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิงฮัน แต่หากไม่มีต้นสังสารวัฏแล้ว นางจะเทียบกับหลิงฮันได้อย่างไร?


หลังจากทั้งสองคนเดินอยู่นานสักพัก พวกเขาก็พบเจอใครบางคนอีกครั้ง คนที่เดินอยู่ด้านหน้าพวกเขาคือสตรีผู้หนึ่ง


เรือนร่างของนางสมบูรณ์เป็นอย่างมาก เพียงแต่เมื่อเทียบกับจักรพรรดินีแล้ว เสน่ห์ของสตรีเบื้องหน้านั้น แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง


จักรพรรดินีคือสตรีงดงามที่มีกลิ่นอายของความสูงส่ง เพียงแค่จ้องมองแผ่นหลังของนาง ก็สามารถทำให้ผู้คนเกิดความเลื่อมใสและอยากจะคุกเข่าลงกับพื้น แต่สตรีผู้นี้ต่างออกไป ความงดงามของนางคือเสน่ห์อันเย้ายวนที่ทำให้จิตใจผู้คนสั่นไหว


แม้จะไม่เห็นหน้าของอีกฝ่ายหลิงฮันก็รู้ว่านางเป็นใคร โลกช่างกลมอะไรอย่างนี้นะ…


สตรีเบื่องหน้าคือธิดาโร๋ว


“สามีข้า ไปจัดการนางเร็ว!” จักรพรรดินีดวงตาส่องประกาย นางตัดสินใจแล้วว่าจะไม่มีทางปล่อยให้กายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักรตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น


ส่วนเรื่องที่ว่าธิดาโร๋วจะยินยอมหรือคิดอย่างไรนั้น นางไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย


“เจ้าหนู ลุยเลย!” หอคอยน้อยยุยงส่งเสริมอย่างไม่คาดคิด


แต่หลิงฮันไม่คิดจะทำตามคำยั่วยุ ถึงแม้ธิดาโร๋วจะงดงามและเหมาะสมจะนำมาเป็นภรรยาแค่ไหน แต่เขาก็รู้สึกว่าสตรีงดงามข้างกายของเขานั้นมีอยู่เยอะแล้ว และไม่จำเป็นต้องหาเพิ่มอีก


แม้จะไม่เห็นด้วยตา แต่สัมผัสสวรรค์ก็ทำให้ธิดาโร๋วรู้สึกตัวเช่นกันว่าพวกหลิงฮันปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง


แววตาของนางปรากฏร่องรอยของความหวาดกลัว หลิงฮันและจักรพรรดินีมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งเกินไป และในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้นางก็สามารถพึ่งพาได้แค่พลังของตนเองเท่านั้น หากพวกหลิงฮันลงมือฝืนใจทำอะไรกับนางล่ะก็ นางคงไม่อยู่ในสถานการณ์ที่สู้ดีนัก


“เป็นพวกเจ้านี่เอง!” ธิดาโร๋วหันหลังกลับมาด้วยรอยยิ้ม นิกายซู่หนู่มีคำสอนคือการใช้เสน่ห์ในการต่อสู้ ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายก็ต้องยิ้มเอาไว้


“เรียกข้าว่าพี่สาว!” จักรพรรดินีกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พึงพอใจ


ธิดาโร๋วรู้สึกกระอักกระอ่วน นางฝืนยิ้มและกล่าว “น้องสาวนี่ช่าง…” แต่ทันทีที่นางกวาดสายตามองไปยังจักรพรรดินี ริมฝีปากสีแดงงดงามของนางก็เปิดกว้างและอ้าค้างด้วยความตะลึง


ในโลกนี้มีสตรีที่งดงามขนาดนี้ได้อย่างไร!

 

 

 


ตอนที่ 1813 เหตุใดถึงมีคนอยู่มากมาย!

 

สาวงามทุกคนล้วนแต่มีความหยิ่งทะนงในตัวเอง


ยิ่งเป็นสตรีที่งามล่มเมืองอย่างธิดาโร๋วด้วยแล้ว ความมั่นใจในตัวเองของนางจึงสูงส่งมาก และไม่มีทางยอมรับว่าความงดงามของนางนั้นด้อยกว่าใคร


เพียงแต่ว่าทันทีที่เห็นจักรพรรดินี ความมั่นใจอันล้นเหลือของนางก็ไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป และยอมรับอย่างง่ายดายว่าอีกฝ่านนั้นงดงามยิ่งกว่านาง


ทุกอย่างของจักรพรรดินีล้วนแต่สมบูรณ์แบบไปหมด


ยิ่งกว่าอันกลิ่นอายของนางก็ยังน่าเกรงขามราวกับเทพธิดาผู้สูงส่ง จนทำให้ใครก็ตามที่มองไปยังนางไม่กล้าแสดงท่าทีสูงส่ง


“พะ… พี่สาว!” ธิดาโร๋วเผลอเรียกจักรพรรดินีว่าพี่สาวโดยไม่รู้ตัว


จักรพรรดินีพยักหน้าและกล่าว “ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าพี่สาวแล้ว เจ้าก็ต้องมาเป็นสะใภ้ของตระกูลหลิง”


เอ่อ… เจ้าจะเอาแต่ใจแบบนั้นก็ไม่ถูกรึเปล่า?


ธิดาโร๋วรีบสะบัดมือ “เดี๋ยวก่อน แม่นาง…”


“ข้าบอกให้เรียกว่าพี่สาว!” จักรพรรดิทักท้วง


ธิดาโร๋วกลายเป็นไร้คำพูด ต่อให้เจ้าจะงดงามดั่งนางฟ้า แต่ก็ไม่อาจทำตัวเอาแต่ใจแบบนั้น!


หลิงฮันฝืนยิ้มและกล่าว “พวกข้าแค่อยากจะขอผ่านทางไปเท่านั้น”


ก่อนหน้านี้ธิดาโร๋วหวาดกลัวทั้งหลิงฮันและจักรพรรดินีพอๆกัน แต่ตอนนี้นางกลายมาเป็นรู้สึกหวาดกลัวจักรพรรดินียิ่งกว่าแล้ว แน่นอนว่านางไม่มีทางร่วมเดินทางไปกับทั้งสองคนเด็ดขาด นางรีบอ้าแขนทำท่าทางสื่อว่าให้พวกหลิงฮันก้าวนำไปก่อนเลย


หลิงฮันคว้ามือของจักรพรรดินีและเดินหน้าต่อ เพียงแต่ว่าทันใดนั้นจักรพรรดินีก็พูดบ่นออกมา “สามี นางมีกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักร เจ้าจะปล่อยนางไปไม่ได้!”


ด้วยนิสัยอันหยิ่งยโสของนาง แน่นอนว่านางไม่มีทางกระซิบกระซาบเสียงเบา น้ำเสียงของจักรพรรดินีดังจนธิดาโร๋วสามารถได้ยินอย่างชัดเจน


ธิดาโร๋วแทบจะทรุดตัวลงกับพื้น ใบหน้าของนางกระตุกเล็กน้อยราวกับว่าไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมาดี


หลิงฮันทำได้เพียงหันไปยิ้มให้กับอีกฝ่าย และรีบพาจักรพรรดินีเดินจากไป


“อันธพาลชั่ว!” ธิดาโร๋วสบถออกมา


ข้าไปเกี่ยวอะไรด้วยกัน?


หลิงฮันรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เรื่องที่จะนำนางมาครอบครองนั้นไม่เคยอยู่ในหัวของเขาเลยแท้ๆ แต่เหตุใดเขาถึงกลายเป็นอันธพาลชั่วได้?


หลิงฮันอยากจะทวนคืนความยุติธรรมให้แก่ตนเอง แต่จู่ๆเขาก็เกิดเปลี่ยนใจและเลือกที่จะคว้ามือจักรพรรดินีเดินจากไป


เมื่อเห็นทั้งสองจากไปแล้ว ธิดาโร๋วก็โล่งอกเล็กน้อย ตัวของนางนั้นหลงทางอยู่ในป่าแห่งนี้มากว่าสามวันแล้ว แต่ก็ยังหาทางออกไม่พบเสียที ถึงแม้จอมยุทธระดับนิรันดร์จะมีอายุขัยไร้ขีดจำกัด แต่นางก็ไม่อยากสูญเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์


นอกจากนั้น ระยะเวลาที่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงจะเปิดออกก็คือราวๆสิบปีเท่านั้น หากเลยเวลาที่ว่าไปแล้ว ภูเขาไฟจะกลับมาสงบอีกครั้ง และภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้จะอบอวลไปด้วยออร่าอันทรงพลัง


นางครุ่นคิดและมีลางสังหรณ์ว่าพวกหลิงฮันนั้นอาจจะพบเจอทางออกแล้ว ถึงแม้นางจะคิดว่ามันดูบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่ในเมื่อนางเองก็ไม่รู้ว่าจะมุ่งหน้าไปทางไหนดี แล้วทำไมไม่ไล่ตามคนอื่นไปเสียล่ะ?


เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็เดินตามหลังพวกหลิงฮันไปทันที เพียงแต่ว่าระยะทางที่นางเว้นห่างกับทั้งสองนั้นค่อนข้างไกลพอสมควร แต่ก็ยังอยู่ในระยะของสัมผัสสวรรค์


หลังจากผ่านไปครึ่งวัน จู่ๆบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวเยื้องๆด้านข้างนาง


“หืม? ธิดาโร๋ว!” บุรุษผู้นั้นอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย


บุรุษผู้นั้นคือเป่ยหยิ่วย้ง


ธิดาโร๋วพยักหน้าให้อีกฝ่าย แต่ก็ไม่หยุดฝีเท้าเพราะกลัวว่าหลิงฮันจะเดินพ้นออกจากระยะสัมผัสสวรรค์ของนาง


เป่ยหยิ่วย้งรีบเดินตามนางทันที ไม่ว่าใครเมื่อพบเจอสตรีที่งดงามอย่างธิดาโร๋วก็ต้องสูญเสียความสามารถในการควบคุมตัวเองเป็นธรรมดา


ซึ่งเรื่องบังเอิญก็เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา หลังจากเดินไปได้อีกสักพัก พวกเขาก็พบเจอคนตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นหลินฟาง เชียนจ้าวเถี้ยน เถิงเซิน และค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


หลิงฮันสังเกตเห็นว่าคนที่ตามหลังเขามาเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้จงใจเดินเบี่ยงไปยังเส้นทางที่ผิด เขาเชื่อว่าหากวาสนาที่รออยู่ถูกโชคชะตาตัดสินแล้วว่าจะเป็นของเขา คนอื่นๆก็ย่อมไม่มีทางขโมยไปด้วย


หลังจากเดินต่อไปได้อีกพัก ที่เบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏต้นดอกท้อต้นหนึ่ง


ในสถานที่แห่งนี้การจะพบเจอต้นดอกท้อนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ว่าต้นดอกท้อต้นนี้นั้นต่างออกไปเล็กน้อย เนื่องจากมันตั้งอย่างสันโดษอยู่เพียงต้นเดียวและมีโพรงอยู่กลางลำต้น ซึ่งใหญ่พอที่จะให้คนลอดเข้าไป


นี่คือจุดหมายของวาสนาอันยิ่งใหญ่รึ?


หลิงฮันประหลาดใจเป็นอย่างมาก จากการวิเคราะห์ของเขาแล้ว สถานที่แห่งนี้สมควรเป็นตำแหน่งของวาสนาอันยิ่งใหญ่เป็นแน่ โดยที่ต้นดอกท้อเพียงต้นเดียวที่แตกต่างออกไปตรงหน้านี้ ก็คือหลักฐานยืนยันว่าการวิเคราะห์ของเขานั้นถูกต้อง เพียงแต่ว่าหลังจากนี้ล่ะจะต้องทำอะไรต่อ?


……


ลั่วจ่างเฟิงกำลังถือแผนที่อยู่ในมือ ซึ่งภาพที่แสดงบนแผนที่นั้น มีจุดตำแหน่งสองจุดกำลังส่องแสงอยู่ หนึ่งจุดแน่นิ่งไม่ขยับไปไหน ส่วนอีกจุดกำลังเคลื่อนที่


จุดแสงที่แน่นิ่งอยู่คือตำแหน่งของจุดหมายในแผนที่ ส่วนจุดแสงที่เคลื่อนไหวคือตำแหน่งของเขา


“เมื่อสิบล้านปีก่อน ประมุขนิกายได้เข้ามายังสถานที่แห่งนี้และพบเจอศิลาต้นกำเนิดวิถีสวรรค์”


“หลังจากเวลาล่วงเลยมานานขนาดนี้แล้ว ศิลาต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ที่ว่าสมควรจะพัฒนากลายเป็นหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะเก็บเกี่ยวมัน!”


“ท่านประมุขนั้นรักข้าเป็นอย่างมาก จึงได้มอบแผนที่ที่ระบุตำแหน่งของหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์เอาไว้ให้แก่ข้า หากเดินตามแผนที่ไป หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์จะต้องตกมาอยู่ในมือของข้าแน่นอน!”


“เพียงแต่ว่า ในช่วงเวลานั้นประมุขของตระกูลจื่อเหอเองก็เข้ามายังสถานที่แห่งนี้ เพื่อแย่งชิงแร่โลหะนิรันดร์เช่นกัน เพราะงั้นอีกฝ่ายก็คงรู้เป็นแน่ว่าที่นี่มีหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์


“เพียงแต่ว่าสมบัติอย่างหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์นั้น ไม่มีประโยชน์ใดๆต่อจอมยุทธระดับแบ่งแยกวิญญาณขึ้นไป ท่านประมุขถึงได้ส่งข้ามาที่นี่เพียงแค่คนเดียวเพื่อเป็นการทดสอบ”


“เพราะงั้น ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องนำหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์มาครอบครองให้ได้!”


ลั่วจ่างเฟิงดวงตาส่องประกาย “หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์มีประสิทธิภาพช่วยรักษาบาดแผลที่เกิดจากเต๋าแห่งสวรรค์ก็จริง แต่สำหรับข้านั้นไม่ใช่ หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์คือสมบัติที่จะมอบโอกาสในการบรรลุห้านิพพานให้แก่ข้า!”


“ระดับโลกียนิพพานห้านิพพาน… มันคือระดับพลังที่แม้แต่ท่านประมุขก็ไม่อาจเอื้อมถึง”


มือของลั่วจ่างเฟิงที่ถือแผนที่อยู่สั่นเครือ ระดับโลกียนิพพานห้านิพพานคือตำนานในหมู่ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ หลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา คิดว่ามีทายาทของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์คนไหนบ้างที่บรรลุได้?


ตราบเท่าที่เขารู้นั้น ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว!


แต่หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์นั้น เป็นสมบัติที่สามารถผลิกผันโชคชะตาได้อย่างท้าทายสวรรค์!


เขาที่เป็นราชาในหมู่ราชาจากการตัดผ่านสวรรค์และปฐพีอยู่แล้ว ตราบใดที่ได้ดูดซับพลังอำนาจของหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ เขาจะกลายเป็นผู้มีคุณสมบัติในการบรรลุเป็นนิรันดร์ห้านิพพานได้แน่นอน ถึงแม้คุณสมบัติที่ว่าจะเพิ่มขึ้นมาเพียงนิดเดียว แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เขามองเห็นความหวังอันริบหรี่


“ปัญหาที่น่าเป็นกังวลเป็นเพียงอย่างเดียวคือจื่อเหอปิงอวิ๋น นางจะต้องเล็งหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์เอาไว้เหมือนกันแน่”


ลั่วจ่างเฟิงพึมพำในขณะที่กำลังก้มมองดูแผนที่


แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมองไปเบื้องหน้า ใบหน้าของลั่วจ่างเฟิงก็แสดงออกถึงความรู้สึกตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด


แม่เจ้า… เหตุใดที่นี่ถึงมีคนอยู่มากมายเพียงนี้?

 

 

 


ตอนที่ 1814 ใกล้อีกแค่เอื้อม

 

ลั่วจ่างเฟิงชะงักและกลายเป็นแน่นิ่งไร้คำพูด


สถานที่แห่งนี้คือค่ายอาคมป่าดอกท้อสวรรค์ ขนาดเขาที่มีแผนที่ที่ได้รับจากราชานิรันดร์ ก็ยังใช้เวลาพอสมควรกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ แต่พวกเจ้าที่ไม่มีแผนที่สามารถมาถึงก่อนข้าได้อย่างไร?


หากมีเพียงแค่คนสองคนเขาก็อาจจะกล่าวว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือโชคช่วยได้ แต่ทว่าจำนวนของคนที่มาถึงจุดหมายได้นั้นมีอยู่ด้วยกันถึงสิบกว่าคน เพราะงั้นมีรึที่จะเป็นเรื่องบังเอิญ?


ลั่วจ่างเฟิงอ้าปากค้าง เขารู้สึกตกตะลึงจนแทบจะเข่าอ่อนทรุดตัวลงกับพื้น


‘พรึบ’ ใบของต้นดอกท้อเกิดการสั่นไหว พร้อมกับร่างของสตรีที่งดงามได้ปรากฏตัว


ร่างนั้นคือจื่อเหอปิงอวิ๋น ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความตกตะลึงที่ไม่ต่างจากลั่วจ่างเฟิง   สถานการณ์แบบนี้มันคืออะไรกัน? นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


ธิดาโร๋ว เป่ยหยิ่วย้งและคนอื่นๆกระซิบกระซาบพูดคุยกัน พวกเขาทุกคนสังเหตุเห็นเช่นกันว่าบริเวณแห่งนี้นั้นแตกต่างไปจากส่วนอื่นของป่าดอกท้อ ซึ่งที่นี่จะต้องเป็นสถานที่ซ่อนวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์ร่างเงาเคยเอ่ยถึงแน่นอน


ลั่วจ่างเฟิงพยายามสงบสติอารมณ์ อย่างน้อยก็ยังโชคดีที่หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ยังไม่ถูกใครชิงไป เขาก้าวเดินขึ้นหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง ออร่าอันน่าเกรงขามของเขาส่งผลให้คนที่ขวางทางอยู่หลบทางให้โดยไม่รู้ตัว


เขาเพิ่งจะบรรลุเป็นนิรันดร์สามนิพพานก็จริง แต่ในการทดสอบก่อนหน้านี้ เขาได้รับวาสนาจนพลังบ่มเพาะยกระดับขึ้นมาเป็นนิรันดร์สามนิพพานสูงสุดเป็นที่เรียบร้อย ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้ว ในตอนนี้ต่อให้เป็นราชาระดับสี่นิพพานสูงสุดก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!


นอกจากจื่อเหอปิงอวิ๋นที่ถูกส่งมาแย่งชิงหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์กับเขา คนอื่นๆก็เป็นเพียงตัวประกอบเท่านั้น


ทางด้านของหลิงฮันนั้น ตั้งแต่มาถึงที่นี่ เขาก็สับสนเป็นอย่างมากว่าวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่ว่ามันซ่อนอยู่ไหนกันแน่


แต่ทันทีที่เห็นลั่วจ่างเฟิงก้าวเข้ามาใกล้ เขาก็เกิดความคิดอะไรบางอย่างออก และขยับตัวถอยหลังเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้


อีกฝ่ายเป็นถึงผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งในอดีตเคยต่อสู้แย่งชิงแร่โลหะนิรันดร์ในที่แห่งนี้มาก่อน เพราะงั้นบางทีลั่วจ่างเฟิงกับจื่อเหอปิงอวิ๋นอาจจะได้รับข้อมูลอะไรบางอย่างมาจากราชานิรันดร์ที่ว่าก็เป็นได้


ในเมื่อตนเองไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง แล้วทำไมไม่ลองปล่อยให้คนอื่นเป็นคนทำหน้าที่นั้นแทนล่ะ?


ลั่วจ่างเฟิงที่เห็นเช่นนั้นก็แสยะยิ้มออกมา


เขาคิดไปเองว่าที่หลิงฮันหลีกทางนั้น เป็นเพราะหวาดกลัวในพลังของเขาที่เป็นราชาในหมู่ราชา


ที่ด้านข้างของเขา จื่อเหอปิงอวิ๋นเองก็ก้าวเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่ห้าวหาญและงดงาม


เพียงแต่พวกเป่ยหยิ่วย้ง เชียนจ้าวเถี้ยนและคนอื่นๆก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังบั้นท้ายของนาง และภาพก้นอันขาวเนียนก่อนหน้านี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว


จื่อเหอปิงอวิ๋นมีโทสะขึ้นมาทันที สายตาของนางกวาดมองหลิงฮันก่อนที่จะร่างกายจะสั่นสะท้านและระเบิดจิตสังหารออกมา


เพียงแต่ว่าหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์นั้นมีความสำคัญมากเกินไป มันคือสมบัติที่จะช่วยให้นางสร้างประวัติศาสตร์การบรรลุเป็นนิรันดร์ห้านิพพาน!


เพราะงั้นตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ค่อยเอาไว้ว่ากันทีหลัง และต้องตามหาหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ก่อนเป็นอันดับแรก


เมื่อเดินมาถึงต้นดอกท้อที่เป็นเป้าหมาย จื่อเหอปิงอวิ๋นก็ยืนนิ่งและยกหน้าที่เปิดเส้นทางให้เป็นของลั่วจ่างเฟิง เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะแย่งชิงวาสนา


ลั่วจ่างเฟิงลงมือโดยไม่มีใครรบกวน หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก จู่ๆโพรงที่ต้นดอกท้อก็ส่องประกายแสงสลัวออกมา พร้อมกับปรากฏบันไดหินที่ด้านใน


ลั่วจ่างเฟิงเผยรอยยิ้ม โพรงของลำต้นดอกท้อนั้นคือรูปแบบอาคมอย่างหนึ่ง โดยปกติแล้วการจะถอดรูปแบบอาคมนี้ จำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยหมื่นปี เพียงแต่ว่าเขาได้รับวิธีการมาจากราชานิรันดร์แล้ว การถอดรูปแบบอาคมจึงเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว


สายตาของเขากวาดมองไปยังคนอื่นๆอย่างเชื่องช้า แต่ทันทีที่มองเห็นจักรพรรดินี ลมหายใจของเขาก็กลายเป็นติดขัด


ปะ… เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีสตรีที่งดงามขนาดนี้อยู่บนโลก?


“หลบไป!” จื่อเหอปิงอวิ๋นแทรกตัวเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา นางเป็นคนแรกที่กระโดดเข้าไปยังโพรงและก้าวเดินบนบันไดหิน


“ก้นที่ใหญ่เกินไปของเจ้า ช่างส่งผลเสียต่อสายตาจริงๆ” เสียงตำหนิของหลิงฮันที่จู่ๆก็ดังขึ้นจากด้านหลัง แทบจะทำให้นางทรุดตัวล้มลงกับพื้น


ฝากไว้ก่อนเถอะ!


จื่อเหอปิงอวิ๋นกำด้ามดาบแน่น นางขอสาบานว่าหลังจากที่ได้รับหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์มาแล้ว นางจะต้องสังหารหลิงฮันให้ได้


ลั่วจ่างเฟิงพยายามสงบจิตใจ ถึงแม้จักรพรรดินีจะงดงามมากจนทำให้เขาตื่นเต้น และอยากจะนำตัวมาครอบครองแค่ไหน แต่เขาก็ตัดสินใจเก็บเรื่องนี้เอาไว้ทีหลังและก้าวเข้าสู่โพรงบนลำต้นดอกท้อ


หลิงฮันและจักรพรรดินีจับมือกันก้าวเข้าสู่โพรง ที่ด้านหลังพวกเขา พวกธิดาโร๋ว เชียนจ้าวเถี้ยน เถิงเซินและคนอื่นๆเองก็ค่อยๆตามเข้ามาทีละคน รวมๆแล้วจำนวนคนที่อยู่ในที่แห่งนี้นั้น มีอยู่ถึงสิบสี่คนด้วยกัน   ถึงแม้สิ่งที่พวกเขาพบเห็นหลังจากเข้าสู่โพรงต้นไม้จะมีแค่เพียงความมืดมิด แต่หลังจากก้าวเดินไปสักพัก เบื้องหน้าของพวกเขาก็ปรากฏพื้นที่สีขาว โดยที่ระยะทางที่ห่างออกไปได้มีภูเขาที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอกขาวลูกหนึ่งโผล่ขึ้นมาในระยะสายตา


เมื่อเดินต่อไปอีกพักหนึ่ง ในที่สุดบันไดหินก็มาบรรจบอยู่ที่ภูเขาหมอกขาว


ภูเขาลูกนี้น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก โดยรอบของภูเขานั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอกเมฆหนาทึบ ทำให้ไม่รู้ว่าตำแหน่งของที่พวกเขาอยู่นั้นคือตรงไหน แถมยังบดบังทัศนวิสัยจนมองอะไรแทบไม่เห็นอีกด้วย


เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว แม้แต่จื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วจ่างเฟิงเองก็ต้องหยุดนิ่ง สิ่งที่พวกเขารู้มาจากราชานิรันดร์ มีเพียงแค่ว่าสถานที่แห่งนี้มีหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ซ่อนเอาไว้เท่านั้น แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่าตำแหน่งของที่ซ่อนที่ว่านั้นอยู่ตรงไหน


กล่าวคือเมื่อมาถึงภูเขาลูกนี้แล้ว จื่อเหอปิงอวิ๋นและลั่วจ่างเฟิงย่อมไม่ได้เปรียบคนอื่นๆอีกต่อไป


“วาสนาอันยิ่งใหญ่คืออะไรกันแน่นะ?” หลินฟางเอ่ยถาม นางเองก็เป็นสตรีที่งดงามเช่นกัน เพียงแต่ว่าสถานที่แห่งนี้มีทั้งธิดาโร๋ว จื่อเหอปิงอวิ๋นและจักรพรรดินีอยู่ด้วย ความงดงามของนางจึงไม่เป็นที่โดดเด่นอะไร


คนอื่นๆส่ายหัว มนุษย์ร่างเงาบอกเพียงแค่ว่าสถานที่แห่งนี้มีวาสนาอันยิ่งใหญ่อยู่เท่านั้น แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามันคืออะไร เพราะงั้นไม่ว่าใครในที่นี้ก็ล้วนแต่รู้สึกสงสัยไม่แพ้กัน


หลิงฮันก็ไม่มีข้อยกเว้น เขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าวาสนาที่ว่าคืออะไร ซึ่งเมื่อลองครุ่นคิดดูดีๆแล้ว การที่ลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋นมายังที่นี่โดยคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างมากนั้น ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญแต่ทั้งสองจะต้องวางแผนมาที่นี่เพื่อครอบครองวาสนาอันยิ่งใหญ่อยู่ก่อนแล้วแน่นอน


การที่สามารถดึงดูดผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ได้แบบนี้ วาสนาที่ว่าจะต้องมีความล้ำค่าเกินกว่าจะจินตนาการแน่นอน


“อืม… หรือว่าจะเป็นหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์?” จู่ๆเสียงของหอคอยน้อยก็เอ่ยขึ้น

 

 

 


ตอนที่ 1815 หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์

 

“อะไรคือหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์?” หลิงฮันถาม


หอคอยน้อยหยุดเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “มันคือหยกอันล้ำค่าที่เกิดจากการพัฒนาหลายร้อยล้านปีของศิลาต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ มันถูกรู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งคือหยกสร้างและแก้ไขรากฐาน หยกชนิดนี้มีคุณสมบัติในการช่วยฟื้นฟูรากฐานการตัดผ่านนิพพานของจอมยุทธระดับโลกียนิพพาน ให้เปลี่ยนมาเป็นการตัดผ่านที่สมบูรณ์”


หลิงฮันประหลาดใจ “เจ้าหมายถึงว่า ต่อให้เป็นนิรันดร์ที่ไม่ได้ตัดขาดกับสวรรค์และปฐพี หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ก็สามารถช่วยให้กลายมาเป็นเช่นนั้นได้?”


“ไม่ผิด” หอคอยน้อยสั่นไหวราวกับพยักหน้า


หลิงฮันพยักหน้าตอบ แต่ก็ยังไม่หายสงสัยอยู่ดีว่าหากเป็นสมบัติแค่นั้น จื่อเหอปิงอวิ๋นกับลั่วจ่างเฟิงจะมาที่นี่ทำไม?


ทั้งสองคนต่างก็เป็นนิรันดร์ที่ขัดเกลารากฐานพลังบ่มเพาะทุกระดับอย่างสมบูรณ์ แถมยังตัดขาดกับสวรรค์และปฐพีอีกด้วย มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาต้องใช้หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์


หอคอยน้อยเค้นเสียงฮีดฮัดสองครั้งก่อนจะกล่าวต่อ “หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ยังมีคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งคือ หากจอมยุทธคนใดขัดเกลาทุกระดับพลังอย่างสมบูรณ์อยู่ก่อนแล้ว มันจะมอบโอกาสทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์ห้านิพพานให้แก่จอมยุทธผู้นั้น!”


“ว่าไงนะ!” หลิงฮันตกตะลึง


จากสิ่งที่สุนัขตัวดำเล่ามา มีเพียงแต่จอมยุทธที่ทะลวงเป็นนิรันดร์ห้านิพพานสำเร็จเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าหรือมหาปราชญ์สวรรค์ในอนาคต


หากเป็นแบบนั้นจริง ความล้ำค่าหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์จะเพิ่มสูงขึ้นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า หากไม่ใช่เพราะสมบัติประเภทนี้สามารถใช้ได้แค่จอมยุทธระดับโลกียนิพพานล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่ตัวตนระดับราชานิรันดร์ก็ยังต้องแย่งชิงกัน


หลิงฮันเข้าใจทันทีว่า ทำไมผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์อย่างสองคนนั้นถึงได้มาที่นี่ ทั้งสองคนจะต้องมีเป้าหมายคือการบรรลุเป็นนิรันดร์ห้านิพพานไม่ผิดแน่


“แต่ก็น่าแปลก ทำไมก่อนหน้าราชานิรันดร์ของทั้งสองขุมอำนาจ ถึงไม่เก็บสมบัติไปแต่แรกเลยล่ะ?” เขาพึมพำ


“การพัฒนาของศิลาต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ มีข้อกำจัดที่เข้มงวดมาก หากมันปรับตัวกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมของสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว ก็จะไม่สามารถหยิบจับมันไปไหนได้ เพราะไม่เช่นนั้น หากเก็บมันไประหว่างที่กำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนา คุณสมบัติต่างๆของมันจะไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป” หอคอยน้อยกล่าว


“แล้วเจ้าสัมผัสได้รึไม่ว่า หยกที่ว่ามันอยู่ตรงไหน?” หลิงฮันเอ่ยถามด้วยความหวังเล็กน้อย


“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว!” หอคอยน้อยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ


หลิงฮันตื่นเต้นขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้จื่อเหอปิงอวิ๋นกับลั่วจ่างเฟิงอาจจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะรู้ว่าต้องตามหาหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ที่ไหน แต่ตอนนี้กลับกลายมาเป็นเขาแล้วที่พอจะได้เปรียบทั้งสองขึ้นมาบ้าง


หลิงฮันจับมือกับจักรพรรดินีเบาๆและกล่าว “ไปกันเถอะ”


ในขณะที่กำลังเดินอยู่ เขาได้เล่าเรื่องของหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ให้จักพรรดินีฟัง ก่อนจะกลับมาถามหอคอยน้อยอีกครั้ง “หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์สามารถใช้ได้กับคนกี่คนรึ?”


“ขึ้นอยู่กับขนาดของหยก แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เกินสองคน” หอคอยน้อยครุ่นคิดและกล่าว


ถึงแม้หลิงฮันจะรู้สึกเสียดายไปบ้าง แต่หากสมบัติล้ำค่าของหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์สามารถใช้งานได้พร้อมกันหลายคน ก็ดูจะขัดแย้งกันเกินไปหน่อย


เขาได้แต่หวังว่าขนาดของหยกที่พบเจอ จะใหญ่พอให้เขากับจักรพรรดิใช้ด้วยกันได้


“นำทางไปเลย” หลิงฮันกล่าว


“มันอยู่ในภูเขาลูกนี้นี่ล่ะ ลองสุ่มๆหาดู ถ้าโชคดีเดี๋ยวเจ้าก็เจอเอง” หอคอยน้อยกล่าวอย่างขอไปที


หลิงฮันเค้นเสียง “หรือที่จริงแล้วเจ้าไม่รู้กันแน่ว่ามันอยู่ที่ไหน?”


หากไม่รู้ก็แค่บอกมาว่าไม่รู้ จะไปยากตรงไหนกัน


“… ข้าสามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ในระยะใกล้ๆเท่านั้น” ครั้งนี้หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ


หลิงฮันพยักหน้า ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงต้องสุ่มๆหาดูก่อน


ทั้งสองคนออกเดินหน้าโดยด้านหลังมีธิดาโร๋วที่กำลังยืนลังเลอยู่ นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจตามพวกหลิงฮัน ซึ่งด้วยความงามของนาง เป่ยหยิ่วย้งและคนอื่นๆจึงไล่ตามนางมาด้วย


ลั่วจ่างเฟิงแสยะยิ้ม พวกขยะเหล่านี้คิดว่าตนเองมีคุณสมบัติจะมาแย่งชิงหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์กับเขางั้นรึ? รอให้เขาหาหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์พบก่อนเถอะ เขาจะกลับมาช่วงชิงสตรีงดงามทั้งสองไปเป็นของตนให้ได้ เขาไม่เชื่อว่าด้วยสถานะผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ของเขา จะมีสตรีคนไหนกล้าปฏิเสธความรักจากเขา


จื่อเหอปิงอวิ๋นเองก็ไม่รีรอ นางทำการออกสำรวจภูเขาด้วยตัวคนเดียว


หลิงฮันหันไปมองด้านหลังก่อนจะเผยสีหน้าประหลาดใจ นี่ธิดาโร๋วผู้นี้เสพติดการไล่ตามเขาไปแล้วรึไงกัน?


หลิงฮันส่ายหัวถอนหายใจ แต่จะอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังหาตำแหน่งที่ซ่อนของหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ไม่พบ การที่ใครจะไล่ตามเขามาหรือไม่นั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาใส่ใจ


ภายในภูเขาลูกนี้นั้น สภาพแวดล้อมโดยรอบล้วนแต่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นไม้สีเขียวที่มีความสูงทั่วไป ซึ่งในขณะที่หลิงฮันกำลังเดินอยู่นั่นเอง จู่ๆกอหญ้าที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็ขยับไปมา


หลิงฮันจับมือของจักรพรรดินีเอาไว้แน่นและหยุดฝีเท้า โดยที่กอหญ้าเบื้องหน้าก็ค่อยๆขยับเข้ามาใกล้พวกเขาขึ้นเรื่อยๆ


กอหญ้านี่มันคืออะไรกัน? สัตว์อสูรงั้นรึ?


‘พรึบ’ ทันใดนั้นเองกอหญ้าก็ได้แยกกระจายตัวออกจากกัน เพราะมีใครบางคนกระโดดออกมาจากด้านใน ร่างที่ปรากฏตัวจากกอหญ้าคือบุรุษตัวเตี้ยคนหนึ่ง ที่มีความสูงเพียงแค่หนึ่งฟุตเท่านั้น อีกฝ่านไม่ใช่เด็กแน่นอน เพราะที่ใบหน้ามีหนวดเคราประดับเอาไว้


“หยุดอยู่ตรงนั้น!” คนแคระที่ปรากฏเอ่ยกล่าว


“หยุดอยู่ตรงนั้น!”


“หยุดอยู่ตรงนั้น!”


“หยุดอยู่ตรงนั้น!”


หลังจากสิ้นคำพูดของคนแคระคนแรก ร่างของคนแคระคนอื่นๆก็กระโดดออกมาตามๆกัน ซึ่งรวมแล้วพวกเขามีอยู่ด้วยกันทั้งหมดเจ็ดคน ในมือของพวกเขาถือท่อนไม้สั้นเอาไว้ โดยที่ท่อนไม้ที่ว่านั้นหากเป็นคนปกติคงใช้เพียงแค่มือข้างเดียว แต่กับคนแคระเหล่านี้ พวกเขาต้องใช้มือถึงสองมือในการถือและยกขึ้นชี้ใส่หลิงฮันกับจักรพรรดินี


หลิงฮันเผยรอยยิ้มและกล่าว “ก็ได้ๆ ข้าหยุดนิ่งให้แล้วตกลงไหม?”


คนแคระทั้งเจ็ดคนมองหน้ากัน ก่อนจะกล่าว “พวกเจ้าเป็นใครกัน แล้วมาที่นี่เพื่ออะไร?”


“พวกเจ้าคือคนยักษ์ในตำนานสินะ? เพราะดูจากรูปลักษณ์แล้ว พวกเจ้าสองคนทั้งตัวสูงและมีใบหน้าที่อัปลักษณ์!” คนแคระผู้หนึ่งกล่าว


“ช่างหน้าเกลียดเสียจริงๆ!”


“ข้านับถือใจพวกเจ้าจริงๆ ที่ไม่ฆ่าตัวตายหลังจากรับรู้ว่าตนเองอัปลักษณ์ขนาดไหน!”


“หากต้องอัปลักษณ์แบบพวกเจ้าล่ะก็ ข้าขอไม่ออกไปข้างนอกให้ใครเห็นจะดีกว่า!”


เหล่าคนแคระทุกคนเผยท่าทางหวาดผวา

 

 

 


ตอนที่ 1816 มือลั่น

 

จักพรรดินีเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันใด


หนึ่งในสิ่งที่นางรับไม่ได้มากที่สุดคือการถูกตำหนิเรื่องหน้าตา


“ฮึ่ม!” นางเค้นเสียงอย่างน่ายำเกรง


“อะไรกัน ข้าก็ไม่ได้กินอะไรผิดสำแดง แต่เหตุใดจู่ๆถึงได้รู้สึกว่าสตรีผู้นั้นดูงดงาม!” คนแคระผู้หนึ่งอุทานออกมาด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ


“ข้าเองก็คิดว่านางงดงามเหมือนกัน”


“พระเจ้า นี่ข้าต้องตกอยู่ในมนต์ดำบางอย่างแน่ๆ!”


คนแคระทั้งเจ็ดตกตะลึงในขณะที่หลิงฮันหัวเราะลั่น ความงดงามของจักรพรรดินีคือมนต์เสน่ห์ที่ไม่อาจต้านทานได้อย่างแท้จริง แม้จะเป็นจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าพันธุ์ก็ตาม เขาครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “พวกเจ้าเป็นใครกัน? ข้าขอเป็นแขกไปเยี่ยมชมสถานที่ของพวกเจ้าได้หรือไม่?”


“พวกเราคือนักรบเผ่ากูลู!” หนึ่งในคนแคระกล่าวด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ


หยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ถูกซ่อนเอาไว้ที่ไหนสักแห่งในภูเขาแห่งนี้ หากเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่ล่ะก็ บางทีพวกเขาอาจจะมีเบาะแสอะไรบ้างก็ได้


หลิงฮันใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบ ถึงแม้กลุ่มคนแคระเหล่านี้จะมีพลังบ่มเพาะอยู่บ้าง แต่ก็เป็นแค่ระดับทลายมิติเท่านั้น


“เจ้าจะเป็นแขกของเราก็ได้ แต่อย่าได้คิดขโมยสมบัติของพวกเราเชียว!” หนึ่งในคนแคระเอ่ยกล่าว


“ใช่แล้ว มนุษย์ตัวยักษ์เช่นพวกเจ้านั้นมีนิสัยที่ต่ำช้าที่สุด จากคำบอกเล่าของบรรพบุรุษของพวกเรา มนุษย์อย่างพวกเจ้าเคยทำเรื่องชั่วร้ายมาแล้วมากมาย”


เหล่าคนแคระบ่นเกี่ยวกับนิสัยชั่วร้ายและละโมบของมนุษย์ออกมาไม่หยุด ราวกับเผ่ามนุษย์ไม่มีดีอะไรสักอย่าง


จักรพรรดินีเค้นเสียงกล่าวออกมาอย่างไม่ไว้หน้า “ยังไม่รีบนำทางไปอีกรึ!”


ทันทีที่ถูกนางตำหนิ คนแคระทั้งเจ็บก็หยุดบ่นและเดินนำทางไปอย่างเชื่อฟัง


หลิงฮันกลั้นหัวเราะไม่ไหวและเดินตามหลังจักรพรรดินี หลังจากเดินมาได้ราวๆครึ่งชั่วโมง ที่เบื้องหน้าของพวกเขาก็ปรากฏพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่ที่มีหมู่บ้านตั้งอยู่ ภายในหมู่บ้านมีควันบางๆลอยออกมาอย่างเชื่องช้า


นี่คือที่อยู่ของชนเผ่ากูลู?


เมื่อเห็นว่าคนแคระทั้งเจ็ดนำพายักษ์สองตัวกลับมาด้วย คนแคระจำนวนมากก็รีบรุดหน้าออกมาจากหมู่บ้านและล้อมรอบหลิงฮันกับจักรพรรดินีเอาไว้ด้วยสีหน้าขยะแขยง


“ช่างน่าเกลียดอะไรอย่างนี้!”


“นี่น่ะรึเผ่าคนยักษ์ในตำนาน!”


“พระเจ้า ในโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตที่อัปลักษณ์ขนาดนี้อยู่ได้อย่างไร!”


เหล่าคนแคระอุทาน เพียงแต่ว่าหลังจากจดจ้องไปได้ครู่หนึ่ง ดวงตาของพวกเขาก็เริ่มค่อยๆมองเห็นว่าจักรพรรดินีนั้นงดงาม


หลิงฮันกระแอมและกล่าว “พวกเราขอสำรวจรอบๆบริเวณนี้ได้รึเปล่า?”


“นางได้ แต่เจ้าไม่ได้!” เหล่าคนแคระชี้ไปยังจักรพรรดินีด้วยความสับสน


จักรพรรดิแสดงท่าทางภาคภูมิใจและพาหลิงฮันเดินเข้าสู่หมู่บ้านโดยไม่สนใจคำคัดค้าน ในขณะเดียวกัน พวกธิดาโร๋วและคนอื่นๆก็ปรากฏตัวตามมา พวกนางเองก็มีความคิดเหมือนกับหลิงฮันว่า ชนเผ่าพื้นเมืองน่าจะมีเบาะแสบางอย่างเกี่ยวกับวาสนาอันยิ่งใหญ่


“มนุษย์ยักษ์ พวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาในหมู่บ้านอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกข้า!” เหล่าคนแคระหลายสิบคนรีบรุดหน้ามาขวางทางพวกธิดาโร๋ว พร้อมกับยกแท่งไม้ขึ้นมาชี้ใส่


เชียนจ้าวเถี้ยนเผยสีหน้าเหยียดหยาม ชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้มีพลังบ่มเพาะต่ำต้อยเพียงระดับทลายมิติเท่านั้น แต่ยังกล้ามาขวางทางพวกเขางั้นรึ?


เขาก้าวเดินขึ้นหน้าและคำราม “แล้วถ้าข้าบุกเข้าไปล่ะ?”


‘พรึบ!’


คนแคระคนหนึ่งขวัญอ่อนเป็นอย่างมาก จู่ๆแท่งไม้ที่ถูกมือของเขากำเอาไว้แน่นก็ปลดปล่อยคลื่นแสงเข้าใส่เชียนจ้าวเถี้ยน


เชียนจ้าวเถี้ยนตกตะลึงในความเร็วของคลื่นแสงที่พุ่งเข้ามา เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นเพียงการโจมตีของจอมยุทธระดับทลายมิติเท่านั้น ต่อให้การโจมตีจะรวดเร็วเพียงใด แต่มันจะทำอะไรเขาได้?


‘ตูม’ คลื่นแสงกระแทกเข้าใส่หน้าอกเชียนจ้าวเถี้ยนเต็มก่อนจะทะลุผ่านแผ่นหลังไปอย่างง่ายดาย และเนื่องจากว่าคนแคระนั้นมีขนาดตัวที่เตี้ยอย่างมาก คลื่นแสงที่ถูกปล่อยออกไปจึงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่ได้กระจายไปหาคนอื่นๆต่อ


เชียนจ้าวเถี้ยนค่อยๆก้มลงมาดูและพบว่าร่างกายบริเวณส่วนหน้าอกของตนเองได้หายไปแล้ว เพียงแต่ว่าอำนาจจากคลื่นแสงยังไม่สิ้นสุดและมีควันสีดำลอยออกมาจากร่างกายของเขา


ใบหน้าของเชียนจ้าวเถี้ยนเปลี่ยนเป็นหวาดผวาและพยายามเอื้อมมือไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่ในขณะที่เขากำลังยกมือขึ้นนั่นเอง ร่างของเขาก็ถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็วจนแปรสภาพกลายเป็นก้อนโคลนร่วงลงสู่พื้น


เชียนจ้าวเถี้ยนตายแล้ว!


นิรันดร์ระดับสามนิพพานสูงสุดที่ทรงพลังจากขุมอำนาจสามดาว ถูกสังหารโดยคลื่นแสงจากแท่งไม้ของจอมยุทธระดับทลายมิติ


ช่างน่าอัศจรรย์!


ธิดาโร๋วและคนอื่นใบหน้าเปลี่ยนสีและรีบล่าถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว เนื่องจากแท่งไม้ของเหล่าคนแคระยังคงชี้มายังพวกเขาอยู่!


ถึงแม้หลิงฮันจะไม่ได้หันหลังกลับมาดู แต่ภายในการสอดสองของสัมผัสสวรรค์ แน่นอนว่าเขาย่อมเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นและใบหน้าก็เปลี่ยนสีไม่ต่างกัน


หากเป็นเขาจะสามารถรอดพ้นจากคลื่นแสงนั่นได้รึเปล่า?


หลิงฮันไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากคลื่นแสงจากแท่งไม้ไม่ใช่พลังโจมตีทั่วไป แต่เป็นการโจมตีด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่มีระดับสูงลิ่ว เพราะงั้นเพียงแค่ถูกคลื่นแสงจากแท่งไม้สัมผัสตัว ร่างกายของเชียนจ้าวเถี้ยนจึงแหลกสลายโดยไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่น้อย


“คลื่นแสงนั่นคือพลังส่วนหนึ่งของแก่นกำเนิดปฐพี” เสียงของหอคอยน้อยเอ่ยดังขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ตัวเจ้าที่มีแก่นกำเนิดพลังถึงสองชนิดอยู่ในร่างกาย การโจมตีประเภทนั้นไม่สามารถสังหารเจ้าได้”


“ดูเหมือนหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์จะอยู่แถวๆนี้ไม่ผิดแน่ เพราะอาวุธที่เหมือนแท่งไม้นั่นได้รับพลังทำลายมาจากหยก”


หลิงฮันเหงื่อตกก่อนจะกล่าว “ไม่ใช่เจ้าบอกว่าหากอยู่ใกล้ๆจะสัมผัสถึงตำแหน่งของหยกต้นกำเนิดวิถีสวรรค์ได้ไม่ใช่รึไง?”


“แล้วข้าบอกไปแล้วรึไงว่าต้องอยู่ใกล้แค่ไหน?” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนจะปัดความรับผิดชอบ


หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูดกับความหยิ่งทะนงของหอคอยน้อย


“หลู่สิบเจ็ด เจ้าสังหารมนุษย์ไปแล้ว!” เหล่าคนแคระอุทานเสียงดัง


“ข้าสังหารมนุษย์!” คนแคระที่เป็นการโจมตีส่งเสี่ยงโอดครวญ “ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ ข้าแค่วิตกกังวลจนเผลอมือลั่น!”


มุมปากของพวกธิดาโร๋วกระตุกไปมาเล็กน้อย พวกนางรู้สึกว่าความตายของเชียนจ้าวเถี้ยนช่างไร้ความยุติธรรมยิ่งนัก


ราชาแห่งยุคคนหนึ่งต้องมาตายเพราะจอมยุทธที่อ่อนแอมือลั่นเนี่ยนะ? เป็นเรื่องราวที่น่าขันอะไรอย่างนี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)