Alchemy Emperor of the Divine Dao 1788-1801
ตอนที่ 1788 ขุมอำนาจยักษ์ใหญ่ปรากฏตัว
เชียนจ้าวเถี้ยนรีบตั้งสติกลับมา เพียงแต่ว่าเมื่อเขามองไปยังจักรพรรดินี เขากลับไม่สามารถระเบิดความโกรธออกมาได้ และกล่าวออกไปอย่างกระอักกระอ่วน “แม่นาง หรือเจ้าจะบอกว่าที่ข้าพูดไปไม่ใช่ความจริง?”
‘พรึบ’ จักรพรรดินีทำการปล่อยฝ่ามือออกไปอีกครั้ง
แต่คราวนี้เชียนจ้าวเถี้ยนเตรียมรับมือไว้ก่อนแล้ว เพราะงั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องล่าถอยและสามารถตอบโต้ได้
‘ปัง ปัง ปัง’ การต่อสู้ของทั้งสองคนเกิดขึ้นที่ห้องโถงเรือ ซึ่งโชคดีที่โครงสร้างเรือรบนั้นแข็งแกร่งพอจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไร แต่อุปกรณ์อื่นๆอย่างโต๊ะ ถ้วยชา หรือภาพวาดต่างๆนั้น ถูกการโจมตีของทั้งสองคนบดขยี้กลายเป็นเศษผง
“หยุดมือ!” ผู้คนรอบข้างรีบโน้มน้ามให้หยุดการต่อสู้ แต่มีรึที่จักรพรรดินีจะฟังคน? นางยังคงกระหน่ำโจมตีไม่หยุดยั้ง
คนอื่นๆไม่มีทางเลือก นอกจากช่วยกันหยุดรั้งเชียนจ้าวเถี้ยน
‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ จักรพรรดินีไม่สนใจใครทั้งนั้น นางผลักฝ่ามือเข้าใส่ใบหน้าของเชียนจ้าวเถี้ยนเจ็ดครั้งก่อนจะหยุดมือ
ช่างโหดเหี้ยม แต่ก็งดงาม!
ทุกคนจ้องมองจักรพรรดินีและธิดาโร๋วสลับกัน พวกเขาต่างรู้สึกว่าการจะเลือกสตรีคนใดคนหนึ่งในสองคนนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เนื่องจากพวกนางมีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
“ฮึ่ม! ช่างน่ารังเกียจนัก!” แขนและขาของเชียนจ้าวเถี้ยนในตอนนี้ถูกคนอื่นรั้งเอาไว้ ทำให้ไม่อาจลงมือตอบโต้ได้ ความรู้สึกคับแค้นที่อยู่ในใจของเขารุนแรงจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา
เขาใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้
เมื่อครู่นี้เขาได้รับความอัปยศไปก็จริง แต่หลิงฮันก็ต้องได้รับความอัปยศจากเชียนจ้าวหยวนด้วยเช่นกัน แถมความอัปยศที่ได้รับอาจจะหนักหนายิ่งไปกว่าเขาด้วย!
ความเคียดแค้นในครั้งนี้ เขาจะขอไปเอาคืนที่หลิงฮัน
เสน่ห์ของจักรพรรดินีมีมากเกินไป แม้แต่เชียนจ้าวเถี้ยนที่ถูกนางทุบตีก็ยังล้มเลิกความคิดที่จะตอบโต้
ฝูงชนปล่อยตัวเชียนจ้าวเถี้ยน พวกเขากลับไปจ้องมองการประลองในแผ่นกระดานอีกครั้ง ก่อนที่สีหน้าจะเผยให้เห็นถึงความตกตะลึง
สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างมาก หลิงฮันในตอนนี้กำลังกวัดแกว่งดาบในมือเข้าปะทะกับเชียนจ้าวหยวนอย่างสูสี
เป็นไปได้อย่างไร!
แน่นอนว่าย่อมเป็นไปได้ หลังจากที่ดาบอสูรนิรันดร์ถูกยกระดับขึ้นมาเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สองดาว พลังต่อสู้ของมันก็เพิ่มขึ้นมาจนเทียบเท่าหลิงฮัน
เพียงแต่ว่าการพึ่งพาดาบอสูรนิรันดร์ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ชนะเชียนจ้าวหยวนได้อยู่ดี หลิงฮันทำการโคจรทักษะนิรันดร์มากมายด้วยแขนทั้งหกและกระหน่ำโจมตีใส่เชียนจ้าวหยวน
ถึงอย่างนั้นเชียนจ้าวหยวนก็ยังสามารถรับมือกับการโจมตีของหลิงฮันได้อย่างไม่วิตก การขัดเกลาพลังบ่มเพาะหลายหมื่นล้านปีของเขาไม่ได้มีไว้ประดับเพียงอย่างเดียว
ไม่ใช่ว่าหากใช้เพลิงเก้าสวรรค์หรือวารีพลังหยินเร้นลับ หลิงฮันจะสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างง่ายดายหรอกรึ?
พลังทั้งสองคือไพ่ลับพิเศษ ซึ่งหลิงฮันไม่คิดจะเผยมันออกมาง่ายๆ ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้ครั้งนี้ก็เป็นเพียงการประลอง หากเขาเผยความสามารถทั้งหมดออกไปให้คนอื่นๆด้านนอกรับรู้แล้วล่ะก็ ในอนาคตหากต้องเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น พวกเขาคงเตรียมตัวรับมือเอาไว้ก่อนได้แน่นอน
ราชาแห่งยุคคือตัวตนที่ไม่อาจประมาทได้!
‘ครืนนน’ ทันใดนั้นเอง จู่ๆด้านนอกตัวเรือก็เกิดเสียงเอะอะ ทุกคนในห้องโถงเรือมองหน้ากันและรีบวิ่งไปยังดาดฟ้าเรือเพื่อดูสถานการณ์
เหนือหัวของพวกเขา เรือรบขนาดมหึมาสองลำกำลังแล่นเข้ามา
เรือรบของขุมอำนาจต่างๆที่ว่าใหญ่แล้ว เมื่อเทียบกับเรือรบมหึมาสองลำนี้ เรือรบของพวกเขาเรียกได้ว่ามีขนาดเล็กจนเทียบไม่ติดไปเลย
“เรือรบระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้!”
“ขุมอำนาจสี่ดาว!”
เหล่าราชาแห่งยุคใบหน้าเปลี่ยนสีด้วยความตกตะลึง
จริงอยู่ว่าเมื่อเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงเปิดออก ขุมอำนาจสี่ดาวหรือขุมอำนาจห้าดาวอย่างราชานิรันดร์จะส่งคนมาเข้าร่วม แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน ในช่วงไม่กี่ร้อยล้านปีที่ผ่านมานี้ ขุมอำนาจสี่ดาวหรือห้าดาวไม่เคยส่งใครมาเข้าร่วมเขตแดนลี้ลับเลยแม้แต่คนเดียว
ถึงแม้ขุมอำนาจสามดาวกับขุมอำนาจสี่ดาวจะมีสถานะแตกต่างกันเพียงหนึ่ง แต่ถ้าหากขุมอำนาจสี่ดาวต้องการกำจัดขุมอำนาจสามดาวล่ะก็ พวกเขาเพียงแค่ส่งตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้มาหนึ่งคน หรือส่งเรือรบระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้มาบุกโจมตี พวกเขาก็สามารถลบล้างขุมอำนาจสามดาวให้หายไปได้อย่างง่ายดาย
ถ้าเช่นนั้นเหตุใดขุมอำนาจสามดาวถึงไม่ซื้อเรือรบระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้?
เหตุผลแรกเป็นเพราะขุมอำนาจสามดาวไม่มีทรัพยากรเงินมากพอที่จะซื้อได้ และเหตุผลที่สอง คือต่อให้ขุมอำนาจระดับสามดาวสั่งสมทรัพยากรมาจากรุ่นสู่รุ่นจนมีความมั่งคั่งมากพอ แต่ตำหนักกองกำลังสงครามก็ไม่มีทางขายให้กับพวกเขาอยู่ดี เรือรบระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้นั้น ขุมอำนาจที่สามารถซื้อได้คือขุมอำนาจระดับสี่และห้าเท่านั้น
นี่คือกฎเหล็กการค้าของตำหนักกองกำลังสงคราม
“ไม่รู้ว่าขุมอำนาจใดกันแน่ที่มา?” ทุกคนแหงนมองขึ้นไปยังท้องฟ้า แต่เนื่องจากเรือรบได้ติดตั้งรูปแบบอาคมเอาไว้ หากพลังบ่มเพาะไม่สูงพอจะไม่สามารถมองทะลุผ่านเข้าไปด้านในได้
‘พรึบ พรึบ’ เมื่อเรือรบมหึมาหยุดจอด ร่างของบุรุษและสตรีก็ก้าวออกมา ทางด้านของบุรุษนั้น เขาคือชายหนุ่มสวมชุดขาวที่มีอัสนีบาตพัวพันอยู่รอบกาย ซึ่งสายฟ้าเหล่านั้นก็ไม่ใช่สายฟ้าธรรมดา แต่เป็นสายฟ้าสวรรค์!
เป็นไปได้อย่างไรที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะมีสายฟ้าสวรรค์พัวพันอยู่รอบร่างกาย?
สายตาของจักรพรรดินีหรี่ลงทันที ชายหนุ่มผู้นี้มีแก่นกำเนิดนิรันดร์ กายหยาบกำเนิดอัสนีสวรรค์!
นางกวาดไปมองที่สตรีอีกคน ก่อนที่ดวงตาจะหรี่ลงอีกครั้ง
สตรีผู้นี้สวมชุดสีแดงน่าเกรงขาม ผมสีดำยาวของนางถักเป็นเปียขนาดใหญ่และมีใบหน้าที่งดงามไม่แพ้ธิดาโร๋ว แต่เนื่องจากว่านางไม่ได้บ่มเพาะทักษะยั่วยวน เมื่อเทียบกับธิดาโร๋ว เสน่ห์ของนางจึงถือว่าด้อยกว่า
แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็ยังเป็นสตรีที่งดงามมากอยู่ดี
เหตุผลที่จักรพรรดินีหรี่ตามองไม่ใช่เพราะความงามของสตรีผู้นี้ แต่เป็นเพราะทั้งๆที่อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้กลับดูราวกับว่าอีกฝ่ายอยู่ห่างไกลจนไม่อาจเอื้อมถึง กลิ่นอายของสตรีผู้นี้เปรียบแล้วก็เหมือนกับบุปผาห้วงมิติ
แก่นกำเนิดนิรันดร์ห้วงมิติ!
ในหมู่แก่นกำเนิดนิรันดร์ หนึ่งในความสามารถที่พบเจอยากที่สุดคือพลังห้วงมิติ!
ตอนที่ 1789 ราชาที่แท้จริง
ที่นี่มีผู้ครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์อยู่ถึงสี่คน!
น่าอัศจรรย์…
“ลั่วจ่างเฟิง!” ใครบางคนจู่ๆก็อุทานออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ราชาเช่นพวกเขาสมควรไม่หวั่นเกรงใครแท้ๆ แต่เหตุใดเสียงของผู้นั้นถึงได้สั่นเครือนด้วยความตกตะลึงกัน?
“จ่างเฟิง? ลั่วจ่างเฟิง? หรือว่า!” หลังจากที่คนอื่นๆครุ่นคิดอยู่สักพัก พวกเขาเองก็เผยท่าทางตกตะลึงออกมาตามๆกัน
ลั่วจ่างเฟิง ผู้สืบทอดแห่งตำหนักเมฆาอัสนี… ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์!
ไม่คาคคิดว่าเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง จะสามารถดึงดูดตัวตนอย่างผู้สืบทอดขุมอำนาจ ระดับราชานิรันดร์ได้!
“จื่อเหอปิงอวิ๋น!” ใครอีกคนมองไปยังสตรีงดงามชุดแดงและกล่าวด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น
ตระกูลจื่อเหอคือขุมอำนาจที่คงอยู่มานานไม่รู้กี่ล้านปี โดยที่ผู้ก่อตั้งตระกูลยังคงมีชีวิตอยู่ และผู้ก่อตั้งคนนั้นคือตัวตนระดับราชานิรันดร์!
ถูกแล้ว ตระกูลจื่อเหอก็เป็นขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์
เหลือเชื่อ เป็นเพราะผู้สืบทอดจากขุมอำนาระดับราชานิรันดร์มาที่นี่ถึงสองคนพร้อมกันนี่เอง เรือรบระดับสี่ดาวถึงได้ถูกส่งออกมา
ในดินแดนแห่งเซียนนั้น ไม่มีเรือรบระดับห้าดาวเนื่องจากไม่มีใครสามารถสร้างมันขึ้นมาได้
ลั่วจ่างเฟิงกวาดสายตามองฝูงชนและยิ้ม “ทุกๆคน แม่นางปิงอวิ๋นและข้าคงไม่ได้มารบกวนพวกเจ้าหรอกนะ?”
“มะ… ไม่เลย!” ทุกคนรีบส่ายหัว
ต่อให้การปรากฏตัวของทั้งสองจะเป็นการรบกวนจริง แต่ใครกันจะกล้าพูดออกไป?
“ข้าได้ยินมาว่าเขตแดนลี้ลับกำลังจะเปิดออกที่นี่ ซึ่งข้ากับแม่นางปิงอวิ๋นบังเอิญผ่านมาแถวนี้พอดี พวกข้าก็เลยคิดว่าอยากเข้าไปหาประสบการณ์ที่ด้านในเขตแดนลี้ลับดู” ลั่วจ่างเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นท่าทางเป็นกันเองของลั่วจ่างเฟิง ความรู้สึกตึงเครียดของทุกคนก็ค่อยๆหายไป
ลั่วจ่างเฟิงดูแล้วเหมือนจะเป็นคนที่เข้าหาง่าย ในขณะที่จื่อเหอปิงอวิ๋นนั้นตรงกันข้าม นางเผยสีหน้าเย็นชาที่ทำให้ทุกคนไม่อยากเข้าใกล้
“นั่นรึธิดาโร๋ว?” ลั่วจ่างเฟิงมองไปยังธิดาโร๋ว แม่แต่คนที่เป็นถึงผู้สืบทอดขุมอำนาระดับราชานิรันดร์เช่นเขาก็ยังเผยสีหน้าตกตะลึง
“ธิดาโร๋วช่างงดงามอย่างแท้จริง ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของแม่นางมาเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งการได้มาเห็นด้วยตาของตัวเองในวันนี้ ทำให้รู้เลยว่าธิดาโร๋วงดงามดั่งคำร่ำลือจริงๆ”
ธิดาโร๋วยิ้มตอบกลับพอเป็นพิธี นางไม่ใช่คนที่เมื่อมีใครยกยอปอปั้นแล้วจะวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดของคนผู้นั้น
ลั่วจ่างเฟิงดูสนใจในตัวธิดาโร๋วเป็นอย่างมาก คำพูดที่เขาเอ่ยกับฝูงชนนั้น อย่างน้อยสามในสิบประโยคล้วนแต่เอ่ยถึงธิดาโร๋ว
ลั่วจ่างเฟิงยิ้มและเอ่ยกล่าว “ในเมื่อเขตแดนลี้ลับก็ยังไม่เปิดออก พวกเราไม่มาประลองแลกเปลี่ยนวรยุทธกันหน่อยรึ?”
เจ้าก็เอากับเขาด้วยรึ?
เหล่าฝูงชนนึกถึงหลิงฮันขึ้นมาทันที เนื่องจากที่พวกเขามาท้าประลองหลิงฮันในตอนนี้ก็เป็นเพราะธิดาโร๋วเป็นสาเหตุ การที่ลั่วจ่างเฟิงกล่าวว่าต้องการประลองนั้น เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องการแสดงพลังให้ธิดาโร๋วเห็น
หากพูดถึงขุมอำนาจเบื้องหลัง ไม่มีใครในที่นี้ที่เทียบชั้นกับลั่วจ่างเฟิงได้ แต่หากเป็นพลังล่ะก็พวกเขาสามารถเทียบได้!
ในฐานะราชาแห่งยุค ในหมู่พวกเขาใครกันจะคิดว่าตนเองอ่อนแอกว่าคนอื่น?
ลั่วจ่างเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งทะลวงผ่านระดับสามนิพพานมาได้ไม่นาน เพราะงั้นคนที่จะท้าประลองข้าได้จึงต้องเป็นนิรันดร์สามนิพพานและสี่นิพพาน”
เหล่าฝูงชนหลายคนรู้สึกหึกเหิมและอยากท้าประลอง
“ข้ามีชื่อว่าเชียนจ้าวเถี้ยน ระดับพลังบ่มเพาะคือนิรันดร์สามนิพพานขั้นสูงสุด นายน้อยจ่างเฟิงโปรดชี้แนะข้าด้วย!” เชียนจ้าวเถี้ยนเป็นคนแรกที่ท้าประลอง ก่อนหน้านี้เขาถูกจักรพรรดินีทำให้อัปยศเป็นอย่างมาก จึงอยากกู้หน้าคืนให้เร็วที่สุด
ลั่วจ่างเฟิงพาดมือไว้ด้านหลังและกล่าว “ลงมือได้”
เชียนจ้าวเถี้ยนไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เพราะว่าถึงแม้เขากับลั่วจ่างเฟิงจะมีพลังระดับสามนิพพานเหมือนกัน แต่อีกฝ่ายเป็นเพียงนิรันดร์สามนิพพานขั้นต้น ในขณะที่เขาเป็นนิรันดร์สามนิพพานขั้นสูงสุด การที่อีกฝ่ายทำท่าทางไม่แยแสเช่นนั้น จะไม่หยิ่งทะนงตนเกินไปหน่อยรึ?
เชียนจ้าวเถี้ยนคำรามเสียงเบาพร้อมกับโคจรทักษะ เขาอ้าปากกว้างปลดปล่อยห้วงดาราจักรออกมาจากปาก ดวงดาวนับไม่ถ้วนแปรเปลี่ยนกลายเป็นคมดาบพุ่งทะยานเข้าใส่ลั่วจ่างเฟิง
ร่างของลั่วจ่างเฟิงสั่นไหวเล็กน้อยและปล่อยหมัดเข้าใส่ห้วงดาราจักร ‘ตูม’ ห้วงดาราจักรถูกบดขยี้ในพริบตา และคลื่นหมัดที่ยังไม่สลายไปได้พุ่งกระแทกใส่หน้าของเชียนจ้าวเถี้ยนจนลอยกระเด็นขึ้นฟ้า
ลั่วจ่างเฟิงเก็บหมัดและกล่าวอย่างไม่แยแส “ต่อไปเป็นใคร?”
ขะ… แข็งแกร่ง!
ทุกคนตกตะลึงอย่างมากเมื่อได้เห็นหมัดเมื่อครู่ อย่างที่รู้กันว่าเชียนจ้าวเถี้ยนนั้นคือราชาแห่งยุค ในระดับพลังเดียวกันเขาสมควรไร้เทียมทานแท้ๆ ซึ่งต่อให้พบเจอศัตรูที่เป็นราชาเหมือนกัน ก็ต้องแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันก่อนอย่างน้อยหลายหมื่นกระบวนท่า ถึงจะเห็นความแตกต่างว่าใครแข็งแกร่งกว่า
แต่ทว่า ลั่วจ่างเฟิงที่ดูโจมตีลวกๆกลับสามารถโค่นเชียนจ้าวเถี้ยนนั้นได้ในหนึ่งกระบวนท่า
ความต่างของพลังขนาดนี้มันอะไรกัน?
เหตุใดลั่วจ่างเฟิงถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้?
จักรพรรดินีขมวดคิ้ว เพลิงสู้รบของนางลุกโชน
ลั่วจ่างเฟิงบรรลุนิรันดร์ด้วยการตัดขาดสวรรค์และปฐพี เพราะงั้นพลังต่อสู้ของเขาจึงแข็งแกร่งจนสามารถสู้ข้ามระดับได้ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นผู้ครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์ด้วยแล้ว หากกระตุ้นใช้งานอำนาจของแก่นกำเนิดนิรันดร์ พลังต่อสู้ของเขายังจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นไปกว่านี้ได้อีก
ณ เวลานี้ ไม่มีใครผลีผลามเสนอตัวขอท้าประลองอีกต่อไป
ถึงแม้ลั่วจ่างเฟิงกับพวกเขาจะเป็นราชาแห่งยุคเหมือนกัน แต่พลังต่อสู้กับห่างชั้นราวกับสวรรค์และปฐพี
นี่น่ะรึจอมยุทธที่ถูกบ่มเพาะโดยขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์!
ดวงตาของสตรีมากมายส่องประกาย ต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียน ไม่ว่าใครก็ล้วนแต่ต้องหลงไหลและเคารพผู้แข็งแกร่ง
ทางด้านของธิดาโร๋วเผยแววตาที่แสดงถึงความเลื่อมใส
ความเป็นจริงนั้นหากจะมีใครเอาชนะใจนางได้ล่ะก็ คนผู้นั้นจะต้องสามารถเอาชนะนางได้ในระดับเดียวกันเป็นอย่างน้อย
แต่นางที่เป็นราชาแห่งยุคและยังมีแก่นกำเนิดนิรันดร์ด้วยแล้ว ต่อให้เป็นฟู่เกาหยุนหรือราชาแห่งยุคคนอื่นๆก็ทำได้เพียงศิโรราบต่อหน้าหน้า
จากที่เห็นเมื่อครู่นี้ พลังต่อสู้ในระดับเดียวกันของลั่วจ่างเฟิงจะต้องแข็งแกร่งกว่านางมากแน่นอน ซึ่งนั่นเพียงพอที่จะทำให้จิตใจของนางเริ่มหวั่นไหว
ตอนที่ 1790 ความแข็งแกร่งของลั่วจ่างเฟิง
แต่ทันใดนั้น จู่ๆเงาของบุรุษผู้หนึ่งก็ผุดขึ้นในจิตใจของนาง
หลิงฮัน!
ลั่วจ่างเฟิงนั้นมีขุมอำนาจที่ทรงพลังคอยหนุนหลังอยู่ แต่ทางด้านของหลิงฮัน ถึงแม้เขาเป็นเพียงแขกของขุมอำนาจสามดาวอย่างตระกูลฟู่ แต่พรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าลั่วจ่างเฟิง! ยิ่งเมื่อหากเป็นในด้านของความสามารถในการรู้แจ้งล่ะก็ เกรงว่าหลิงฮันคงเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า เพราะภายในเวลาแค่ชั่วโมงกว่า เขาก็สามารถแก้ไขทักษะโบราณได้
ไม่กี่วันก่อนนางลองฝึกฝนทักษะเปลวเพลิงที่ว่าดูแล้ว ถึงแม้นางจะเพิ่งทำความเข้าใจทักษะได้แค่เล็กน้อย แต่นางก็รู้สึกตกตะลึงอย่างมาก เพราะทักษะนี้เป็นทักษะที่มีระดับสูงกว่าทักษะทั้งหมดที่นางเคยฝึกฝนมา
กล่าวคือ มันต้องเป็นทักษะระดับขอบเขตตำหนักอมตะเป็นอย่างน้อย
การที่หลิงฮันมีความสามารถในการทำความเข้าใจ ที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้หมายความว่าอย่างไร?
ในอนาคต ชายหนุ่มผู้นี้จะสามารถบรรลุเป็นตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะ!
ถึงแม้ลั่วจ่างเฟิงจะเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ แต่ความเป็นไปได้ที่เขาจะบรรลุเป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ได้ก็แทบจะเท่ากับศูนย์ อย่างมากความเร็จสูงสุดของลั่วจ่างเฟิงก็อาจจะหยุดอยู่แค่ระดับขอบเขตตำหนักอมตะ เนื่องจากการไต่เต้าขึ้นเป็นราชานิรันดร์เป็นสิ่งที่ยากลำบากเกินไป
หากมองจากมุมนี้ หลิงฮันนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าลั่วจ่างเฟิงเลยแม้แต่น้อย
ลั่วจ่างเฟิงกวาดสายตาของฝูงชน และรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นแววตาอันเลื่อมใสของธิดาโร๋ว แต่ทว่าเมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นจักรพรรดินี สีหน้าของเขาก็กลายเป็นแข็งค้างทันที
กลิ่นอายของสตรีผู้นี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันยากจะหยั่งถึง แก่นกำเนิดนิรันดร์ภายในร่างของเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย เหมือนกับตอนที่พบเห็นธิดาโร๋ว
นางเองก็มีแก่นกำเนิดนิรันดร์เช่นกัน?
เขาที่เป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจยักษ์ใหญ่ ย่อมรู้ดีว่าหากแก่นกำเนิดนิรันดร์มีปฏิกิริยาเช่นนี้ ย่อมหมายความว่า บุคคลตรงหน้าก็เป็นคนที่ครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์เช่นกัน
ยิ่งกว่านั้นเรือนร่างของสตรีผู้นี้ก็ยังสมบูรณ์แบบมากอีกด้วย แม้จะไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้า แต่แค่กลิ่นอายของนางก็เพียงพอที่จะทำให้เขาจิตใจสั่นไหว
ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจอสตรีแบบนี้ที่นี่!
ลั่วจ่างเฟิงละสายตากลับ ก่อนจะยิ้มและกล่าว “ต่อไปเป็นใคร?”
เหล่าฝูงชนหันมองหน้ากันโดยไม่มีใครกล่าวอะไรออกมา
เชียนจ้าวเถี้ยนที่เป็นถึงนิรันดร์สามนิพพานขั้นสูงสุดและเป็นราชาแห่งยุค ยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีของลั่วจ่างเฟิงได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว เพราะงั้นต่อให้เป็นนิรันดร์สี่นิพพานขั้นต้นหรือขั้นกลาง ก็อาจจะยากที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับลั่วจ่างเฟิงผู้นี้
ด้วยเหตุนี้ สายตาของทุกคนจึงจดจ้องไปยังคนสามคนอย่างเป่ยหยิ่วย้ง หลินฟางและเถิงเซิน เพราะมีเพียงแค่สามคนนี้ที่มีพลังบ่มเพาะระดับสี่นิพพานขั้นสูงสุด และเป็นราชาแห่งยุค
แต่ไม่ว่าอย่างไรทุกคนก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดี ว่าเหตุใดลั่วจ่างเฟิงที่เพิ่งบรรลุระดับโลกียนิพพานสามนิพพาน ถึงได้มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้
“ตัดขาดสวรรค์และปฐพี!” ราชาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดผวา
การตัดผ่านนิพพานอย่างสมบูรณ์ยังไม่ใช่จุดสูงสุด เหนือไปกว่านั้นยังมีการตัดขาดสวรรค์และปฐพีอยู่อีก!
ตามตำนานที่เล่ากันมา คนที่ตัดขาดสวรรค์และปฐพีสำเร็จจะได้เป็นราชาในหมู่ราชา
ดวงตาของธิดาโร๋วส่องประกายเลื่อมใสยิ่งกว่าเดิม ราชาที่ตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้นั้น
ยากที่จะปรากฏให้เห็นในยุคสมัยหนึ่ง
“ข้าขอท้าประลองเอง!” เป่ยหยิ่วย้งก้าวเท้าออกมา เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าลั่วจ่างเฟิงนั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่เหนือกว่าเขาเพราะตัดขาดสวรรค์และปฐพีสำเร็จ แต่ประเด็นคือตัวเขาในตอนนี้มีพลังบ่มเพาะระดับสี่นิพพานสูงสุด ซึ่งเหนือกว่าลั่วจ่างเฟิงหนึ่งขั้นใหญ่
“นายน้อยจ่างเฟิง โปรดชี้แนะข้าด้วย” เขากล่าวอย่างสุภาพ
ลั่วจ่างเฟิงหันมองเป่ยหยิ่วย้งก่อนจะกล่าว “ไปปะทะกันด้านนอก”
การปะทะกับเชียนจ้าวเถี้ยนก่อนหน้านี้ ลั่วจ่างเฟิงลงมือโดยไม่กล่าวอะไรแท้ๆ แต่คราวนี้กลับกล่าวว่าให้ไปประลองกันด้านนอก นั่นหมายความว่า แม้จะเป็นลั่วจ่างเฟิงก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเป่ยหยิ่วย้งได้อย่างง่ายดาย
เป่ยหยิ่วย้งเหาะเหินไปยืนตระหง่านกลางท้องฟ้า ออร่าอันกระหายเลือดได้พรั่งพรูไปทั่วร่างกายของเขา พร้อมกับดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉาน และฝ่ามือแปรสภาพกลายเป็นกรงเล็บโลหิตที่พัวพันไปด้วยตราประทับแห่งเต๋า ‘พรึบ’ ที่แผ่นหลังของเขา ปีกสีโลหิตสองข้างงอกยาวออกมาหลายพันฟุต จนบดบังแสงอาทิตย์ที่อยู่เบื้องบน
“เผ่าอีกาโลหิตรึ?” ลั่วจ่างเฟิงประหลาดใจเล็กน้อย
เป่ยหยิ่วย้งคำรามและกระพือปัก ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ขนนกมหาศาลนับไม่ถ้วนพุ่งทะยานเข้าหาลั่วจ่างเฟิงจนเกิดเป็นภาพที่น่าตกตะลึง ขนนกที่ถูกปลดปล่อยออกมามีจำนวนมากมายเกินไป จนไม่เหลือพื้นที่ให้หลบหลีกเลยแม้แต่นิดเดียว
ลั่วจ่างเฟิงไม่กล้าประมาท ต่อให้เขาเป็นราชาในหมู่ราชาที่สามารถสู้ข้ามระดับได้ แต่จะโค่นศัตรูได้ง่ายดายเพียงใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพลังต่อสู้และทักษะยุทธของคู่ต่อสู้ด้วย
เขายื่นหมัดทั้งสองข้างไปด้านหน้า “เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ” อัสนีบาตที่ทรงพลังถูกควบแน่นมารวมตัวกันเป็นลูกบอลทรงกลมและผลักออกไป
พรึบ พรึบ พรึบ ตูม ตูม ตูม
ขนนกมากมายถูกปลดปล่อยออกมาไม่หยุด แต่ทันทีที่พวกมันปะทะเข้ากับบอลอัสนี ขนนกแต่ละอันก็ถูกบดขยี้กลายเป็นเศษซาก
‘ตูมมม’ พริบตาต่อมา จู่ๆบอลอัสนีก็ระเบิดออก คลื่นพลังที่เกิดขึ้นส่งผลให้ผู้คนที่มองดูอยู่นัยน์ตาฝ้าฟางไปชั่วขณะ และถึงขนาดสูญเสียการได้ยินไปด้วย ‘ครืนนน’ คลื่นกระแทกอันทรงพลังแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ
โชคดีที่เรือรบมีรูปแบบอาคมคุ้มกันติดตั้งเอาไว้ เหล่าผู้คนบนเรือรบจึงไม่จำเป็นต้องหลบ
‘เปรี๊ยะ’ ทั่วท้องฟ้ากลายเป็นสีขาวโพลน ราวกับโลกทั้งใบถูกอัสนีบาตที่น่าสะพรึงกลัวทำลาย
เมื่ออำนาจของสายฟ้าสลายไป ร่างของเป่ยหยิ่วย้งก็ปรากฏออกมาให้เห็น เป่ยหยิ่วย้งในตอนนี้กำลังไขว้แขนทั้งสองข้างเพื่อป้องกันตัว ผมสีดำยาวของเขายุ่งเหยิงไม่เป็นทรง และถึงแม้ชุดบางส่วนจะขาดแหว่งไปบ้าง แต่บนร่างกายของเขาก็ไม่ปรากฏร่องรอยบาดเจ็บ
กระบวนท่าเมื่อครู่ ทั้งสองฝ่ายเสมอกัน
ทุกคนที่มองดูอยู่ไร้คำใดจะเอ่ยกล่าว ขนาดเป่ยหยิ่วย้งที่เป็นราชาระดับสี่นิพพานสูงสุด ลั่วจ่างเฟิงก็ยังสามารถสู้ได้อย่างสูสี!
ถึงแม้ลั่วจ่างเฟิงจะไม่สามารถต่อกรกับตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณได้ แต่ถ้าหากเขาลดพลังบ่มเพาะลงไปสักหนึ่งขั้น ก็คงไม่มีปัญหาในการเป็นคู่ต่อสู้ให้กับนิรันดร์ระดับสี่นิพพานขั้นต้น
กล่าวคือเขาสามารถสู้ข้ามระดับได้ถึงสองระดับ!
เดี๋ยวก่อน… สัตว์ประหลาดระดับนี้ก็เคยปรากฏตัวก่อนหน้านี้แล้วไม่ใช่รึ?
จู่ๆเงาของใครบางคนก็ผุดขึ้นมาในหัวของทุกคน
หลิงฮัน!
ตอนที่ 1791 ยุยง
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครคิดว่าหลิงฮันจะเป็นราชาในหมู่ราชา เพราะไม่มีใครทำใจยอมรับได้
พวกเขาที่เป็นถึงรัชทายาทของขุมอำนาจสามดาว ยังบรรลุได้เพียงการตัดผ่านนิพพานที่สมบูรณ์ เพราะงั้นมีรึที่จอมยุทธบ้านนอกจากขุมอำนาจภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่จะบรรลุการตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้
ถึงแม้พวกเขาจะตกตะลึงในพลังต่อสู้ของหลิงฮัน แต่พวกเขาก็สรรหาเหตุผลต่างๆขึ้นมาเอง อย่างเช่นหลิงฮันอาจจะกินเม็ดยาต้องห้ามเข้าไป อาจจะยืมพลังจากอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ หรืออาจจะใช้ยันต์อาคมระดับนิรันดร์เสริมพลังต่อสู้ให้กับตนเอง
หากไม่ใช่เพราะพวกเขาได้เห็นพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวของลั่วจ่างเฟิงล่ะก็ พวกเขาคงไม่นึกว่าการตัดขาดสวรรค์และปฐพีสามารถทำได้จริงๆ
เนื่องจากลั่วจ่างเฟิงเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจห้าดาว ทุกคนจึงสามารถทำใจยอมรับการตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้ และเริ่มมองย้อนกลับไปยังหลิงฮันว่าบางทีชายหนุ่มผู้นี้ ก็อาจจะตัดขาดสวรรค์และปฐพีสำเร็จเช่นกัน
เพียงแต่ถ้าหากให้พวกเขาเดิมพันว่าหลิงฮันกับลั่วจ่างเฟิงนั้น ใครกันที่แข็งแกร่งกว่าล่ะก็ แน่นอนว่าทุกคนย่อมเดิมพันไปยังลั่วจ่างเฟิง
ทำไมน่ะรึ?
เหตุผลไม่มีอะไรซับซ้อน นั่นเพราะลั่วจ่างเฟิงคือผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์!
ทักษะระดับนิรันดร์ที่ลั่วจ่างเฟิงฝึกฝนมา จะนำไปเทียบกับทักษะของหลิงฮันได้อย่างไร?
แม้แต่ธิดาโร๋วที่คิดว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์มากกว่า เพราะสามารถแก้ไขทักษะโบราณให้นางได้ ก็ยังคิดเหมือนกันว่าหากเป็นการต่อสู้ระดับเดียวกันล่ะก็ ลั่วจ่างเฟิงย่อมเป็นฝ่ายที่เหนือกว่า
บางทีคงมีเพียงจื่อเหอปิงอวิ๋นเท่านั้นที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้กับลั่วจ่างเฟิงได้ เนื่องจากนางเองก็เป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาระดับราชานิรันดร์เช่นกัน
ลั่วจ่างเฟิงและเป่ยหยิ่วย้งปะทะกันอย่างดุเดือด ฝ่ายหนึ่งมีข้อได้เปรียบเรื่องพลังบ่มเพาะที่สูงกว่า ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นราชาในหมู่ราชาที่บรรลุนิรันดร์ด้วยการตัดขาดสวรรค์และปฐพี การต่อสู้ของทั้งสองนั้นยากมากที่จะรับรู้ได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายเหนือกว่า
แต่หลังจากที่การปะทะดำเนินไปราวๆครึ่งก้านธูป จู่ๆพลังต่อสู้ของลั่วจ่างเฟิงก็ทรงพลังยิ่งขึ้น
เขาใช้อำนาจของแก่นกำเนิดนิรันดร์แล้ว!
คิดว่าทำไมลั่วจ่างเฟิงถึงได้เป็นผู้สืบทอดของตำหนักเมฆาอัสนีกัน?
นั่นก็เพราะเขาเกิดมาพร้อมกับกายหยาบกำเนิดอัสนีสวรรค์ ซึ่งเหมาะสมกับทักษะบ่มเพาะของตำหนักเมฆาอัสนีเป็นอย่างมาก ไม่ว่าทักษะของตำหนักเมฆาอัสนีทักษะใดที่เขาฝึกฝน พลังของทักษะก็จะทรงพลังยิ่งกว่าใคร
“เทพอัสนีแผ่ไพศาล!” ลั่วจ่างเฟิงคำราม ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายร้อยเท่า คลื่นอัสนีสีม่วงพรั่งพรูออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุดและโอบล้อมไปทั่วร่างกายของเขา
ลั่วจ่างเฟิงกางนิ้วออกมาและทิ่มทะลวงเข้าใส่เป่ยหยิ่วย้ง
เป่ยหยิ่วย้งตกตะลึงและไม่มีเวลาให้หลบหลีก เขากระตุ้นอำนาจของสายเลือดอีกาโลหิตอย่างเต็มพลัง คลื่นแสงสีแดงฉานราวกับโลหิตทะลักออกมาจากร่างของเขา และแปรเปลี่ยนกลายเป็นหอกโลหิตพุ่งตอบโต้การโจมตีของลั่วจ่างเฟิง
ตูม!
เมื่อการโจมตีเข้าปะทะกัน เป่ยหยิ่วย้งก็กระอักโลหิตออกมา ร่างของเขาถูกส่งลอยกระเด็นไปไกลกว่าร้อยไมล์ สีหน้าของเขาในตอนนี้ซีดขาวราวกับกระดาษ
สีหน้าของลั่วจ่างเฟิงก็ซีดเผือด เนื่องจากถูกหอกโลหิตทิ่มแทงเข้าใส่หน้าอก แต่เพราะร่างกายมหึมาของเขาเกิดจากอำนาจของแก่นกำเนิดนิรันดร์ ทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และอย่างน้อยสภาพก็ยังดูดีกว่าเป่ยหยิ่วย้ง
“ฮ่าๆๆ การประลองครั้งนี้เอาเป็นว่าเสมอกันก็แล้วกัน” ลั่วจ่างเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม และทะยานร่างกลับไปยังดาดฟ้าเรือด้วยท่าทางสงบนิ่ง
สำหรับเขา การที่ได้แสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองสามารถสู้ข้ามระดับกับราชาแห่งยุคได้ถึงขนาดนี้ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
“นายน้อยจ่างเฟิงช่างถ่อมตัวนัก ข้าคิดว่าการประลองครั้งนี้ ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายแพ้!” เป่ยหยิ่วย้งเองก็ทะยานร่างกลับมาที่ดาดฟ้าเรือ ใบหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม ต่อให้เขาจะหยิ่งยโสเพราะเป็นราชาแห่งยุค แต่เขาก็เคารพคนที่แข็งแกร่ง
คนอื่นๆเองก็พยักหน้าเห็นด้วยและแสดงสีหน้าเคารพต่อลั่วจ่างเฟิง แม้แต่ธิดาโร๋วเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย
‘พรึบ’ ทันใดนั้นเอง จู่ๆร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอย่างไม่ให้ซุ้มให้เสียง ร่างที่ว่าคือหลิงฮัน ใบหน้าของเขาในตอนนี้ประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ เนื่องจากเพิ่งจะเก็บแร่โลหะกึ่งนิรันดร์ที่เป็นของเดิมพันใส่เข้าไปในหอคอยทมิฬ
“หลิงฮัน!” เมื่อทุกคนเห็นการปรากฏตัวของหลิงฮัน พวกเขาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีการประลองอยู่อีกคู่หนึ่ง ทุกคนรีบหันไปจ้องมองภายในแผ่นกระดานอย่างเร่งรีบ และพบเห็นเชียนจ้าวหยวนกำลังนอนแน่นิ่งอย่างหมดสภาพ ร่างครึ่งหนึ่งของเขาถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งถูกแผดเผาจนไหม้เกรียม
หลิงฮันฉวยโอกาสในตอนที่ความสนใจของทุกคนพุ่งเป้าไปยังเป่ยหยิ่วย้งกับลั่วจ่างเฟิง ปลดปล่อยพลังของเพลิงเก้าสวรรค์และวารีหยินเร้นลับออกมาเพื่อจัดการเชียนจ้าวหยวน
เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเชียนจ้าวหยวนแพร่พรายความไพ่ลับของเขา เพราะกว่าอีกฝ่ายจะฟื้นขึ้นมาได้ก็คงใช้เวลาอย่างน้อยสิบปี
เป้าหมายของหลิงฮันคือดินแห่งเซียนฝั่งตะวันตก เขาจึงไม่คิดจะอาศัยอยู่ทีนี่เป็นเวลานาน เพราะงั้นต่อให้คนอื่นๆจะล่วงรู้ว่าเขาสามารถใช้งานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิง และอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีได้อย่างทรงพลัง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องวิตกกังวล
หลิงฮันจ้องมองไปยังลั่วจ่างเฟิง ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะประลองอยู่ในแผ่นกระดาน แต่ความสามารถในการมองเห็นและได้ยินก็ไม่ได้ตัดขาดกับโลกภายนอก
เพราะงั้นเขาจึงรับรู้ถึงการปรากฏตัวของลั่วจ่างเฟิงและจื่อเหอปิงอวิ๋น
“สามี เจ้าต้องรีบนำนางมาครอบครองให้เร็วที่สุด!” จักรพรรดินีก้าวเข้ามาหาหลิงฮัน
หืม?
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและกล่าว “นี่เจ้ายังไม่ล้มเลิกความคิดนั้นอีกรึ?”
“มีความเป็นไปได้สูงมาก ที่บุรุษผู้นั้นจะเป็นศัตรูแย่งชิงสตรีไปจากเจ้า!” จักรพรรดินีมองไปยังลั่วจ่างเฟิงและกล่าวต่อ “หากเจ้าปล่อยให้เขาได้กายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักรไป พลังบ่มเพาะของเขาจะทิ้งห่างกับเจ้าไปอย่างรวดเร็ว”
เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้ในระดับเดียวกันหลิงฮันจะแข็งแกร่งกว่าลั่วจ่างเฟิง แต่หากลั่วจ่างเฟิงมีพลังบ่มเพาะที่สูงกว่า อีกฝ่ายก็สามารถสังหารหลิงฮันได้เพียงนิ้วเดียว
“ถูกแล้ว!” จู่ๆหอคอยน้อยก็เอ่ยแทรกร่วมสนทนา “ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์จะต้องมีสมบัติที่สามารถเร่งเวลาบ่มเพาะอยู่แน่ๆ ต่อให้สมบัติที่ว่าจะไม่สามารถเทียบเท่าต้นสังสารวัฏ แต่มันก็ลดความเสียเปรียบที่มีต่อเจ้าลงไปได้หลายเท่า”
ตอนที่ 1792 ติดร่างแหโดยไม่คาดฝัน
หลิงฮันเหงื่อตกทันที เมื่อถูกภรรยาของตนและหอคอยน้อยกดดันให้หาทางครอบครองสตรี
ไม่… จะยอมตามน้ำไม่ได้!
“โอ้ ช่างเป็นสตรีที่งดงามอะไรเยี่ยงนี้!” ‘พรึบ’ จู่ๆเงาของอะไรบางอย่างก็แวบผ่านเข้ามา พร้อมกับร่างของสุนัขร่างใหญ่สีดำได้ปรากฏขึ้นบนดาดฟ้าเรือ สุนัขตัวนี้สวมใส่กางเกงในโลหะอันแวววาวและพูดจาหยอกล้อกับจื่อเหอปิงอวิ๋น
หลิงฮันที่เห็นเช่นนั้นก็กำหมัดทันที สุนัขตัวดำตนนี้ช่างตามหลอกหลอนเขาไปทุกที่จริงๆ
“นั่นมันฮันน้อยไม่ใช่รึ?” สุนัขตัวดำก็โบกอุ้งเท้าหน้าทักทายหลิงฮัน ก่อนจะหันกลับไปมองจื่อเหอปิงอวิ๋น “แม่สาวน้อย ไหนส่งยิ้มให้นายท่านหมาหน่อยสิ!”
แววตาของจื่อเหอปิงอวิ๋นหรี่ลงเล็กน้อย พริบตาหลังจากนั้นจู่ๆร่างกายของนางก็ค่อยๆจางหายไป
เพียงแต่การเคลื่อนไหวของนางนั้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก ภาพติดตาในตำแหน่งเดิมของนางยังไม่ทันหายไป ร่างจริงของนางก็มาปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าสุนัขตัวดำและผลักฝ่ามือโจมตี
“สาวน้อย นี่เจ้าอยากนวดหลังให้นายท่านหมารึ?” สุนัขตัวดำยังคงหยอกล้อไม่เลิก “แต่น่าเสียดายที่มือของเจ้าดูจะหนักไปหน่อย นายท่านหมาขอหลบก็แล้วกัน”
‘พรึบ’ ร่างของสุนัขตัวดำหายไปในพริบตา ‘ตูม’ ฝ่ามือของจื่อเหอปิงอวิ๋นสัมผัสโดนเพียงความว่างเปล่า
หืม?
ลั่วจ่างเฟิงแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาอย่างปิดไม่มิด บางทีคนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ตัวเขานั้นรู้เป็นอย่างดีว่าพลังต่อสู้ของจื่อเหอปิงอวิ๋นไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแม้แต่น้อย ในความเป็นจริงเขากับนางนั้นเพิ่งจะไปเข้าร่วมการประลองของขุมอำนาจระดับสูงมา จึงถือโอกาสมาที่นี่ด้วยกัน
จื่อเหอปิงอวิ๋นคือคนที่เกิดมาพร้อมกับแก่นกำเนิดนิรันดร์ห้วงมิติ ในด้านความเร็วแล้ว นางเหนือยิ่งไปกว่าเขาเสียอีก เพราะงั้นการที่นางเป็นฝ่ายลงมือก่อนแต่กลับโจมตีใส่สุนัขตัวดำล้มเหลว จึงทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“ฮ่าๆ นายท่านหมาอยู่ตรงนี้!” สุนัขตัวดำปรากฏตัวที่มุมหนึ่งของดาดฟ้าเรือ และสะบัดก้นยั่วยุจื่อเหอปิงอวิ๋น เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นนี้ อย่าว่าแต่จื่อเหอปิงอวิ๋น แม้แต่คนอื่นๆก็รู้สึกคันเท้าเช่นกัน
จื่อเหอปิงอวิ๋นพยายามเคลื่อนไหวไล่ตาม แต่สุนัขตัวดำก็เปิดช่องว่างมิติหนีไปได้อย่างง่ายดาย
“เห้อ เหตุใดสาวน้อยที่หน้าตาสะสวยเช่นนี้ ถึงได้โหดเหี้ยมนัก? พอดีกว่า นายท่านหมาไม่อยากได้เจ้ามาเป็นสัตว์ขี่แล้ว! ฮันน้อย ข้าขอยกสตรีโหดเหี้ยมผู้นี้ให้ เจ้าจะจัดการนางอย่างไรก็แล้วแต่เจ้าเลย” หลังจากสิ้นประโยค สุนัขตัวดำก็ปัดตูดหนีไป
จื่อเหอปิงอวิ๋นยังคงไล่ตามต่อ แต่หากพูดถึงพรสวรรค์ในการหลบหนีแล้ว อย่างน้อยในระดับเดียวกัน หลิงฮันก็ไม่เคยเห็นใครที่ไล่ตามสุนัขตัวดำทันเลยแม้แต่คนเดียว
ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ เวลาผ่านไปไม่นาน จื่อเหอปิงอวิ๋นได้ทะยานร่างกลับมาด้วยสีหน้ามืดมน ดวงตาอันงดงามของนางจดจ้องมายังหลิงฮันอย่างโหดเหี้ยม
เจ้าสุนัขบัดซบนั่น!
หลิงฮันถอนหายใจในใจ สุนัขตัวดำจอมเจ้าเล่ห์นั่นจะต้องจงใจโยนปัญหามาให้เขาแน่นอน
“ช่างเป็นสุนัขที่ไร้ยางอายจริงๆ พวกเราทุกคนสมควรร่วมมือกันกำจัดมัน!” หลิงฮันรีบกล่าวแสดงจุดยืนอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากบาดหมางโดยไร้เหตุผล
“ในเมื่อเจ้ารู้จักสุนัขน่ารังเกียจตนนั้น ข้าก็จะจัดการเจ้าเพื่อบังคับให้มันโผล่หัวออกมา!” จื่อเหอปิงอวิ๋นกล่าวอย่างเย็นชา และลงมือโจมตีหลิงฮัน
นี่เจ้าช่วยมีเหตุผลหน่อยได้รึไม่?
หลิงฮันโคจรทักษะแสงอัสนีหลบการโจมตีของจื่อเหอปิงอวิ๋น และกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “แม่นาง อย่าได้รังแกคนอื่นโดยไร้เหตุผล!”
“ถ้าข้าทำแล้วใครจะทำไม?” จื่อเหอปิงอวิ๋นกล่าวอย่างไม่แยแส และลงมือโจมตีหลิงฮันไม่หยุด
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่สามารถรังแกได้ง่ายๆ?” หลิงฮันเกรี้ยวกราด
จื่อเหอปิงอวิ๋นนำดาบเล่มยาวออกมาและโจมตีไม่ยั้ง
หลิงฮันไม่หวั่นเกรง เขานำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาและผสานเพลิงเก้าสวรรค์ปลดปล่อยปราณดาบออกไป
หลังจากการต่อสู้ดำเนินไปครู่หนึ่ง ทุกคนที่มองดูอยู่ก็ได้ข้อสรุปว่า ในด้านของพลังต่อสู้นั้นจื่อเหอปิงอวิ๋นดูจะแข็งแกร่งกว่าหลิงฮัน เพราะอย่างไรนางก็เป็นนิรันดร์สามนิพพานที่อยู่ในระดับสูงกว่า แต่เนื่องจากพลังป้องกันอันผิดมนุษย์มนาของหลิงฮัน ทำให้การโจมตีทั้งหมดของจื่อเหอปิงอวิ๋นไร้ผล
“ฮึ่ม!” จื่อเหอปิงอวิ๋นเค้นเสียง ที่มือซ้ายของนางควบแน่นหอกโปร่งใสขึ้นมา และควบคุมหอกให้พุ่งโจมตี
‘พรึบ พรึบ พรึบ’ หอกโปร่งใสทะลวงผ่านชั้นมิติไปปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าศีรษะของหลิงฮัน
ช่างเป็นสตรีที่โหดเหี้ยมนัก!
ดวงตาหลิงฮันส่องประกายเย็นชา เพียงแค่สุนัขตัวดำกล่าวทักทายเขาและพูดคุยไม่กี่คำ สตรีผู้นี้ก็คิดจะโจมตีศีรษะของเขาเพื่อสังหารกันแล้วรึ?
‘หมับ’ หลิงฮันยื่นมือออกไปกำหอกโปร่งใส ‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ หอกโปร่งใสถูกอำนาจอันเย็นยะเยือกแช่แข็งเอาไว้ แต่ก็ยังผลักร่างของเขาถอยหลังไปหลายร้อยไมล์ก่อนที่ร่างของเขาจะกระแทกเข้าใส่ประตูห้องโถงเรือ
หอกโปร่งใสที่ยังคงอยู่ได้บิดเป็นเกลียวเล็ดรอดออกมาจากมือของหลิงฮัน และทะลวงเข้าใส่หน้าอกก่อนจะสลายไป
หลิงฮันมีกายหยาบที่ไร้เทียมทาน เพราะงั้นต่อให้เป็นพลังทำลายจากหอกโปร่งใสเมื่อครู่ก็ไม่อาจระแคะระคายผิวหนังของเขา
สีหน้าของจื่อเหอปิงอวิ๋นเปลี่ยนไปทันที หอกโปร่งใสที่นางใช้โจมตีออกไปเมื่อครู่นั้นไม่ใช่การโจมตีธรรมดา แต่เป็นการโจมตีด้วยอำนาจของแก่นกำเนิดนิรันดร์ห้วงมิติ เพราะงั้นการที่หอกโปร่งใสไม่อาจสร้างบาดแผลให้กับหลิงฮันได้ จึงเป็นความจริงที่นางไม่อาจยอมรับได้
เหนือสิ่งอื่นใดคืออีกฝ่ายคว้าจับหอกโปร่งใสได้อย่างไร?
หอกโปร่งใสที่ผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติระดับสูงจากแก่นกำเนิดนิรันดร์เอาไว้ ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธระดับโลกียนิพพานจะสัมผัสโดนได้
เมื่อถูกการโจมตีของนางพุ่งเข้าใส่ สิ่งที่จอมยุทธระดับโลกียนิพพานสามารถทำได้คือป้องกันหรือไม่ก็โจมตีต้านเท่านั้น
แต่หลิงฮันกลับสามารถคว้าจับหอกเอาไว้ได้!
เป็นไม่ได้… ต่อให้หลิงฮันมีแก่นกำเนิดนิรันดร์วารี แต่ก่อนถึงระดับราชานิรันดร์ อำนาจห้วงมิติสมควรเป็นอำนาจที่อยู่เหนือกว่าธาตุทั้งห้า เป็นไปได้อย่างไรที่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีของหลิงฮันจะต้านทานหอกห้วงมิติของนางได้?
แปลก… แปลกมาก ไม่ว่าสิ่งใดของบุรุษผู้นี้ก็ล้วนแต่แปลกประหลาดไปทั้งหมด
ตอนที่ 1793 เผาก้น
แน่นอนว่าจื่อเหอปิงอวิ๋นย่อมคิดไม่ถึงว่า แท้จริงแล้วอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีของหลิงฮันนั้นไม่ได้มาจากแก่นกำเนิดนิรันดร์ แต่เป็นวารีบรรพบุรุษ
ในระดับราชานิรันดร์ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งหมดจะไม่มีระดับสูงหรือต่ำ เพราะงั้นการที่หลิงฮันคว้าจับหอกห้วงมิติเอาไว้ได้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
ดวงตาของหลิงฮันส่องประกายเย็นชาและไม่คิดจะยอมถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว หลังจากที่พลังของหอกห้วงมิติสลายไป เขาก็พุ่งทะยานเข้าหาจื่อเหอปิงอวิ๋นและกวัดแกว่งดาบอสูรนิรันดร์ ปลดปล่อยตราประทับแห่งเต๋าอันไร้ที่สิ้นสุด
ผมสีดำของเขาสยายชี้ขึ้นฟ้า สีหน้าของเขามืดมนอย่างถึงที่สุดและปลดปล่อยจิตสังหารอันโหดเหี้ยม
ดูจากท่าทางของเขาในตอนนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาตั้งใจจะจัดการจื่อเหอปิงอวิ๋นให้ถึงตาย
คนอื่นๆที่มองดูอยู่จิตใจสั่นสะท้านและไร้คำพูดใดจะเอ่ยกล่าว
ช่างเป็นคนที่กล้าบ้าบิ่นอะไรเยี่ยงนี้!
เจ้าก็รู้ว่าจื่อเหอปิงอวิ๋นคือสมาชิกของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ แถมยังมีตำแหน่งเป็นถึงผู้สืบทอดอีกด้วย แต่ยังจะกล้าสังหารนางอีกรึ? หากหลิงฮันทำสำเร็จจริงๆ ทุกคนที่อยู่ในที่นี้จะต้องได้รับลูกหลงไปด้วย
เมื่อใดที่ราชานิรันดร์พิโรธ แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังต้องร่วงหล่น
ทั้งๆที่รู้แบบนี้แล้ว แต่เจ้าก็ยังกวัดแกว่งดาบสะบั้นเข้าใส่นางอย่างไม่ลังเลรึ?
ธิดาโร๋วที่เพิ่งเคยเห็นมุมนี้ของหลิงฮันเป็นครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกลูกศรปักเข้าใส่
พลังคือหลักพื้นฐานของจอมยุทธก็จริง แต่จิตใจที่ห้าวหาญก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน
ภายในจิตใจของธิดาโร๋ว เงาของหลิงฮันค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น จนเข้ามาแทนที่เงาของลั่วจ่างเฟิง
นี่ไม่ได้หมายความว่านางตกหลุมรักหลิงฮันแล้ว แต่ถ้าหากจำเป็นต้องเลือกคู่ครองจริงๆ นางคงเลือกหลิงฮันแทนลั่วจ่างเฟิง
จักรพรรดินีเผยรอยยิ้ม นี่คือบุรุษที่นางแสนภาคภูมิใจ
“โอหัง!” จื่อเหอปิงอวิ๋นเค้นเสียงและขยับมือกวัดแกว่งดาบยาว ชั้นมิติรอบกายของนางเกิดการบิดเบี้ยว
แก่นกำเนิดนิรันดร์ของนางมีความสามารถในการควบคุมห้วงมิติ ซึ่งเป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ระดับราชานิรันดร์
หลิงฮันที่กำลังพุ่งทะยานร่างอยู่จู่ๆก็พบว่าความเร็วของตนเองลดลง ทั้งๆที่จื่อเหอปิงอวิ๋นอยู่เบื้องหน้าไม่เกินสิบไมล์แท้ๆ แต่เขาก็ไม่อาจเข้าใกล้นางได้ แม้เวลาจะผ่านไปแล้วครึ่งลมหายใจ
ในขณะเดียวกัน จื่อเหอปิงอวิ๋นได้ปลดปล่อยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ออกมาอีกครั้ง และควบแน่นเป็นหอกโปร่งใสจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่หลิงฮันด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรรย์
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าความเร็วของหลิงฮันลดลงหรือความเร็วของจื่อเหอปิงอวิ๋นเพิ่มขึ้น แต่เป็นเพราะอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติที่นางควบคุมอยู่ ได้ส่งผลให้ระยะห่างระหว่างนางกับหลิงฮันไกลขึ้น แต่การโจมตีของนางกลับลดระยะลงแทน
เจ้าคิดว่ามีแค่เจ้าคนเดียวที่สามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติได้?
มิติเอกเทศ!
หลิงฮันผลักฝ่ามือออกไปและโคจรทักษะมิติเอกเทศเพื่อลบล้างอำนาจห้วงมิติที่อยู่รอบกาย ‘พรึบ’ ภายในพริบตา ร่างของเขาก็มาปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าจื่อเหอปิงอวิ๋น
“อะไรกัน!” จื่อเหอปิงอวิ๋นตกตะลึง หลิงฮันก็สามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติได้!
หรือว่าอีกฝ่ายจะมีสายเลือดที่สืบทอดอำนาจห้วงมิติ?
ไม่ใช่ หากเป็นเพียงแค่พลังของสายเลือด ย่อมไม่มีทางเด็ดขาดที่จะสามารถต่อต้านอำนาจห้วงมิติจากแก่นกำเนิดนิรันดร์ได้ เหตุผลเดียวที่นางสามารถยกมาอธิบายได้คือ อีกฝ่ายจะต้องได้รับพลังมาจากการดูดซับสมุนไพรนิรันดร์ที่มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติ
“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ทำให้สมบัติล้ำค่าเช่นนั้นเสียของ!” จื่อเหอปิงอวิ๋นกัดฟันแค้น หากสมุนไพรนิรันดร์เช่นนั้นมาอยู่ในมือนางล่ะก็ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติของนางจะยกระดับสูงขึ้นกว่านี้ และพลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์ก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม
หลิงฮันเค้นเสียง “สมองของเจ้ามีปัญหารึไง?”
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ทั้งสองล้วนแต่เป็นราชาในหมู่ราชา ฝ่ายหนึ่งมีพลังบ่มเพาะสูงกว่า ในขณะที่อีกคนเป็นสัตว์ประหลาด ต่อให้จื่อเหอปิงอวิ๋นจะเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮัน นางก็ไม่สามารถขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบ
หลิงฮันผลักฝ่ามือออกไปด้วยทักษะควบคุมเปลวเพลิง “ครืนน’ เพลิงเก้าสวรรค์ถูกควบแน่นกลายเป็นคันศร และพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูง
เพลิงเก้าสวรรค์มีพลังทำลายที่น่าสะพรึงกลัวในในฐานะเพลิงบรรพบุรุษอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อหลิงฮันใช้พลังของมันออกไปด้วยทักษะควบคุมเปลวเพลิงระดับราชานิรันดร์ พลังของมันยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นไปอีก
จื่อเหอปิงอวิ๋นไม่ได้ระวังศรเปลวเพลิงที่พุ่งเข้ามา นางคิดว่าหลิงฮันฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เชี่ยวชาญเพียงแค่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีเท่านั้น เพราะงั้นการโจมตีด้วยเปลวเพลิงของหลิงฮันจึงสมควรเป็นเพียงการโจมตีทั่วไป
นางกวัดแกว่งดาบในมือขวาปะทะกับหลิงฮัน และผลักฝ่ามือซ้ายออกไปเพื่อตอบโต้ศรเปลวเพลิง ซึ่งกว่านางจะรับรู้ถึงความอันตรายก็สายไปแล้ว
‘ตูม’ เพลิงเก้าสวรรค์ระเบิดพลังออกมากลายเป็นมหาสมุนเปลวเพลิงที่ทรงพลัง
จื่อเหอปิงอวิ๋นส่งเสียงคำรามและรีบโคจรอำนาจห้วงเวลาเต็มพลัง ‘พรึบ’ ห้วงมิติเกิดการบิดเบี้ยวและส่งตัวนางออกมาจากรัศมีเปลวเพลิงในทันที
สมกับที่เป็นผู้ครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์ และเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นก็ยังเอาตัวรอดได้!
只是……
เพียงแต่…
สายตาของทุกคนจดจ้องไปยังจื่อเหอปิงอวิ๋น และเพ่งมองบริเวณบั้นท้ายของนางที่กระโปรงถูกเผาไหม้ไปบางส่วน จนเผยให้เห็นก้นอันขาวเนียน
นางที่เป็นถึงผู้สืบทอดขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ใครบ้างจะเคยเห็นก้นของนาง?
แน่นอนว่าทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าไม่ควรมอง แต่ก็อดที่จะละสายตาไม่ได้ ซึ่งลั่วจ่างเฟิงเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
จื่อเหอปิงอวิ๋นชะงักแข็งค้างไปในตอนแรก ก่อนที่ใบหน้าอันงดงามจะเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน นางรีบนำเสื้อคลุมออกมาพันรอบเอวเพื่อปกปิดกระโปรงส่วนที่ถูกเผา และจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาอาฆาต
ถ้าหากสังหารบุรุษผู้นี้ไม่ได้ นางจะไม่ขอเป็นคนอีกต่อไป!
ตอนที่ 1794 ตัดความสัมพันธ์
ลั่วจ่างเฟิงพุ่งทะยานร่างเข้ามาเพื่อหยุดการต่อสู้และกล่าว “แม่นางปิงอวิ๋นสงบสติอารมณ์เอาไว้ก่อน!” จากสถานการณ์ที่เห็น หลิงฮันนั้นมีกายหยาบที่ไร้เทียมทานเป็นอย่างมาก ต่อให้จื่อเหอปิงอวิ๋นใช้พลังทั้งหมด ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะกำราบหลิงฮัน
จื่อเหอปิงอวิ๋นเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก ดวงตาของนางปลดปล่อยจิตสังหารอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา แต่ก็ยอมถอนตัวกลับไปยังเรือรบตระกูลจื่อเหอที่อยู่เบื้องบน
ไม่ว่านางจะอยากสังหารหลิงฮันขนาดไหน นางก็รู้ตัวดีว่าด้วยพลังของนางในตอนนี้ไม่มีทางทำได้ แต่ถ้าหากไปร้องขอให้ตัวตนที่ทรงพลังภายในเรือลงมือแทนล่ะก็ นางก็จะไม่เหลือศักดิ์ศรีเช่นกัน
หากหลิงฮันเป็นนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณ ทางตระกูลจื่อเหอคงส่งปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งมาจัดการหลิงฮันแน่ แต่นี่นอกจากหลิงฮันกับจื่อเหอปิงอวิ๋นจะมีพลังบ่มเพาะระดับโลกียนิพพานเหมือนกันแล้ว จื่อเหอปิงอวิ๋นยังมีขั้นพลังที่สูงกว่าด้วย
จื่อเหอปิงอวิ๋นรู้ว่าทางตระกูลจะต้องส่งคนมาจับตาดูนางอยู่ลับๆแน่นอน คนที่ถูกส่งมานั้น นอกจากจะทำหน้าที่คุ้มครองชีวิตนางแล้ว ในขณะเดียวกันยังมีภารกิจอีกอย่างคือคอยสอดส่องพฤติกรรมของนาง หากนางทำตัวไม่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้สืบทอดเมื่อไหร่ เมื่อกลับตระกูลไป สถานะของนางจะถูกริบคืนทันที
เพราะงั้นแล้ว หากต้องการแก้แค้น นางก็ต้องทำด้วยตัวเอง
“เป็นก้นที่ขาวเนียนดีจริงๆ” จู่ๆเสียงหนึ่งก็เอ่ยออกความคิดเห็น ซึ่งเจ้าของเสียงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากสุนัขตัวดำ
ร่างของมันยืนอยู่บนเรือรบโดยที่ไม่มีใครรู้ว่ามันกลับมาตั้งแต่ตอนไหน
ทุกคนชะงักด้วยความกังวลทันที ถ้าหากจื่อเหอปิงอวิ๋นรู้ว่าสุนัขตัวดำอยู่ที่นี่ล่ะก็ นางอาจจะเสียสติจนถึงขั้นสั่งการให้เรือรบโจมตีลงมาเลยก็ได้ ด้วยพลังทำลายของเรือรบระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ ทุกคนที่อยู่เบื้องล่างจะถูกสังหารในพริบตา
สามัญสำนึกทั่วไปไม่อาจใช้กับสตรีที่กำลังโกรธได้
ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้นที่หวาดกลัว แม้แต่ลั่วจ่างเฟิงก็ยังรีบกลับไปยังเรือของตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะจากไปเขาได้ทิ้งคำเชิญเอาไว้ให้ธิดาโร๋วกับจักรพรรดินีว่าพวกนางสามารถไปเที่ยวเล่นหาเขาได้ทุกเมื่อ
คนอื่นๆเริ่มจากไปทีละคน เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าที่นี่เปรียบเสมือนถังระเบิดที่สามารถปะทุได้ตลอดเวลา หากอยู่ต่อไปคงไม่ปลอดภัย
“ฮันน้อย เจ้านี่ช่างเชื้อไม่ทิ้งแถวนายท่านหมาจริงๆ ในขณะที่ต่อสู้กับสตรีงดงามเจ้ายังสามารถฉวยโอกาสกับนางได้ด้วย นายท่านหมาขอนับถือ!” สุนัขตัวดำเดินสี่ขาเข้ามาใกล้ โดยที่สมาชิกตระกูลฟู่ทุกคนต่างรีบเว้นระยะห่างกับมัน
สุนัขตัวดำตนนี้เป็นดาวภัยพิบัติอย่างแท้จริง ใครที่ใกล้ชิดกับมันล้วนแต่ต้องพบเจอกับโชคร้าย
ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้ว หลิงฮันแค่ถูกมันกวักมือทักทาย แต่สถานการณ์กลับบานปลายจนกลายไปมีความบาดหมางกับผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์
สีหน้าของฟู่เกาหยุนกลายเป็นบูดบึ้ง
เหตุผลที่ตอนนี้สถานะผู้สืบทอดของเขาอยู่เหนือกว่าใครในหมู่ผู้สืบทอดทั้งสี่ เป็นเพราะการสนับสนุนของหลิงฮันที่มีปรมาจารย์นักปรุงยาสองคนอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้หลิงฮันได้ล่วงเกินผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ไปแล้ว เพราะงั้นมีรึที่ฟู่เกาหยุนจะยังกล้าแสดงออกว่าเป็นสหายกับหลิงฮันอยู่อีก?
หากไม่ตัดขาดสัมพันธ์กับหลิงฮันให้ชัดเจน เกรงว่าประมุขตระกูลฟู่จะต้องตัดเขาออกจากตำแหน่งผู้สืบทอดแน่นอน
ต้นเหตุที่ทำลายช่วงเวลาอันเจิดจรัสของฟู่เกาหยุนจนพังพินาศ เกิดจากสุนัขตัวดำแค่ตัวเดียว!
ณ เวลานี้แม้แต่เฉิงจงและผู้ติดตามคนอื่นๆก็เริ่มคิดแล้วว่า หากฟู่เกาหยุนไม่ตัดขาดความสัมพันธ์กับหลิงฮัน พวกเขาจะเป็นฝ่ายขอตัดขาดกับฟู่เกาหยุนเอง
“น้องชายหลิง…” ฟู่เกาหยุนเอ่ยกล่าว
หลิงฮันส่ายมือราวกับเป็นสัญญาณว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น “ข้าไม่ต้องการนำพี่ชายเกาหยุนมาลำบากกับข้าด้วย เพราะงั้นลาก่อน!” เขาไม่พูดพล่ามให้เสียเวลาและพาจักรพรรดินีกับสตรีนกอมตะลงจากเรือรบ
ฟู่เกาหยุนคือสหายคนหนึ่ง ซึ่งไม่มีทางที่เขาจะยอมให้สหายติดร่างแหลำบากไปกับเขาด้วย
ฟู่เกาหยุนถอนหายใจ เขาจำเป็นต้องยึดสถานการณ์โดยรวมเป็นหลัก เพราะงั้นจึงทำได้เพียงรู้สึกเสียใจกับหลิงฮันในใจ และหวังว่าหลังจากได้รับวาสนาจากเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงแล้ว หลิงฮันจะสามารถหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย
โชคดีที่เขามอบเกราะโลหิตมังกรให้หลิงฮันไปแล้ว
“ฮันน้อย รอนายท่านหมาด้วย!” สุนัขตัวดำส่งเสียงเห่าและไล่ตามหลิงฮันไปติดๆ
“เจ้าดำน้อย นี่เจ้าเป็นตัวภัยพิบัติกลับชาติมาเกิดหรืออย่างไร? เหตุใดทุกครั้งที่ข้าอยู่กับเจ้าถึงไม่มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นเลย?” หลิงฮันถอนหายใจ
“เจ้าพูดแบบนั้นได้อย่างไร?” สุนัขตัวดำทำสีหน้าไม่พอใจ “อย่าได้ใส่ร้ายนายท่านหมาผู้นี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะกัดก้นของเจ้าให้แย… พอพูดถึงก้นแล้ว ก้นของสาวน้อยคนนั้นก็ช่างขาวเนียนดีจริงๆ ความรู้สึกเมื่อได้สัมผัสคงจะวิเศษน่าดู”
จักรพรรดินีมองไปยังสุนัขตัวดำด้วยแววตาเย็นชา เป็นเพราะสุนัขโง่ตัวนี้หลิงฮันถึงได้หมดโอกาสไล่ตามกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักร ซึ่งมันทำให้นางไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก โชคดีที่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงใกล้จะเกิดแล้ว หลิงฮันจึงยังมีโอกาสพบเจอกับธิดาโร๋วอยู่อีก
หลิงฮัน จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะหลบไปยังสถานที่ที่ไร้ผู้คน เพราะอย่างไรพวกเขาก็มีหอคอยทมิฬอยู่แล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปหลายวัน เรือรบจำนวนหนึ่งก็เดินทางมาถึง หนึ่งในเรือรบเหล่านั้น หลิงฮันพบเห็นธงสัญลักษณ์ของนิกายอาญาสิ้นแสง ซึ่งเป่ยเสวียนหมิงจะต้องมาที่นี่ด้วยเป็นแน่
หลิงฮันลูบคางครุ่นคิด เนื่องจากเขาได้ทำการล่วงเกินจื่อเหอปิงอวิ๋น และตัดขาดความสัมพันธ์กับฟู่เกาหยุนไปแล้ว หลังจากที่เข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลง เขาคงจะต้องพบเจอการต่อสู้อันนองเลือดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
แต่ไม่ว่าศัตรูจะเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจใด เขาก็จะไม่ไว้หน้าและสังหารให้สิ้น!
อย่าคิดว่าเมื่อเขาไม่มีขุมอำนาจอยู่เบื้องแล้วจะสามารถรังแกกันได้ง่ายๆ
‘ครืนนน’ ในจังหวะนั้นเอง เสียงสั่นสะเทือนอันรุนแรงก็ดังก้องกังวานขึ้นมา หมอกอันหนาแน่นค่อยๆเคลื่อนไหวแยกจากกัน และเส้นทางก็ได้ปรากฏออกมา
เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงเปิดแล้ว!
ตอนที่ 1795 เขตแดนลี้ลับเปิดออก
ในที่สุดเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงก็เปิดออก
ในทุกๆสามสิบล้านปี ภายในเขตแดนจะเกิดภูเขาจะระเบิดครั้งรุนแรง ซึ่งทั้งทำให้ศิลาโลหิตมังถูกปล่อยออกมา แถมยังสลายแรงกดดันที่อยู่ด้านใน ทำให้ผู้คนสามารถเข้าไปได้
ร่างของใครหลายคนได้ทะยานลงจากเรือรบมายังด้านหน้าเขตแดนลี้ลับ หลายคนในเวลานี้ได้สวมใส่ชุดเกราะสีแดงเอาไว้ แต่ก็มีบางส่วนที่สวมใส่ชุดธรรมดา
เกราะสีแดงคือเกราะโลหิตมังกร หากไม่สวมใส่ชุดเกราะนี้จะไม่สามารถเอาชีวิตรอดในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงได้ บางคนที่เห็นว่ายังคงสวมใส่ชุดธรรมดาอยู่นั้น แท้จริงแล้วพวกเขาได้ใส่เกราะโลหิตมังกรเอาไว้ด้านใน
“อะไรกัน เกราะโลหิตมังกรของข้าหายไปไหน?” จู่ๆใครบางคนก็อุทานขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
“นายท่านหมาขอยืมไปใช้ก่อนชั่วคราว เอาไว้จะคืนให้ทีหลัง” สุนัขตัวดำเคลื่อนที่พลิ้วไหว โดยสวมใส่ชุดเกราะสีแดงแทนกางเกงในโลหะที่มันใส่ตามปกติ
เนื่องจากชุดเกราะถูกสร้างขึ้นในรูปทรงของมนุษย์ ตัวมันในตอนนี้จึงต้องเดินด้วยขาหลังสองขา แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความเร็วของมันลดลงแม้แต่น้อย
“คืนเกราะมังกรโลหิตของข้ามา!” ชายผู้นั้นร้องโอดครวญ และวิ่งไล่ตามสุนัขตัวดำ
“เห้อ ช่างเป็นคนที่ชี้เหนียวอะไรอย่างนี้!” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ และเคลื่อนที่เข้าสู่เขตแดนลี้ลับอย่างรวดเร็ว
ชายผู้นั้นเค้นเสียงสบถในใจ และไม่กล้าไล่ตามเข้าไปภายในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงโดยไม่มีชุดเกราะ เขาทำได้เพียงกระทืบเท้าอย่างเกรี้ยวกราด
หลังจากรอคอยมานานถึงสามสิบล้านปีและได้สิทธิเข้าร่วมเขตแดนลี้ลับมาในที่สุด เขาดันโชคร้ายต้องมาถูกแย่งชิงเกราะโลหิตมังกรไปต่อหน้าต่อตา
ไม่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าก็ต้องแย่งเกราะมาจากคนอื่น!
สายตาของเขาจดจ้องไปยังชายคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง และพุ่งทะยานร่างไปแย่งชิงเกราะทันที แน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมไม่ยินยอมและทำการสู้กลับ
คิดว่า ณ เวลานี้ที่ด้านหน้าเขตแดนลี้ลับมีคนอยู่เท่าใดกัน? ภายในพริบตา จอมยุทธหลายสิบคนก็โดนลูกหลงและเกิดการปะทะเป็นวงกว้างขึ้นทันที ‘ตูม ตูม ตูม’ ตราประทับแห่งเต๋าและคลื่นพลังของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ระเบิดไปทั่วพื้นที่ จนสถานการณ์เริ่มยุ่งเหยิง
หลิงฮันต้องยอมรับเลยจริงๆว่า ความสามารถในการก่อปัญหาของสุนัขตัวดำนั้น ไร้ผู้ใดเปรียบจริงๆ
“หลิงฮัน ตายซะ!” สมาชิกตระกูลฟู่หลายคนปรากฏตัวและทำการโจมตีหลิงฮัน
ถึงแม้หลิงฮันกับฟู่เกาหยุนจะตัดขาดความสัมพันธ์กันแล้ว แต่คนของฟู่เซียวผิง ฟู่ปิงปิงและฟู่ทงไห่ก็ไม่คิดจะปล่อยหลิงฮันไป
ดวงตาของหลิงฮันส่องประกายโหดเหี้ยมและคิดจะลงมือ แต่เมื่อลองคิดไปคิดมา เขากลับเลือกที่จะคว้ามือของจักรพรรดินีเอาไว้และพุ่งทะยานร่างเข้าสู่เขตแดนลี้ลับ
ยังไม่จำเป็นต้องสู้ในตอนนี้ เพราะหากจะเอาชนะคนเหล่านี้จะต้องเผาผลาญพลังมากเกินไป หรืออาจจะถึงขั้นต้องเปิดเผยไพ่ลับอย่างเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับออกไปด้วย
ในด้านของสตรีนกอมตะนั้น นางได้เข้าไปอยู่ในหอคอยทมิฬแล้ว เนื่องจากเกราะโลหิตมังกรมีเพียงสองชุด
จักรพรรดิหันหลังจ้องมองสมาชิกตระกูลฟู่ด้วยแววตาโหดเหี้ยม
กล้าดีอย่างไรถึงได้คิดสังหารสามีของนาง?
เมื่อทักษะแสงอัสนีถูกโคจร หลิงฮันและจักรพรรดินีก็หายไปในหมอกอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เขตแดนลี้ลับจะเปิดออกแล้ว แต่หมอกโดยรอบก็ยังไม่สลายไปอย่างสมบูรณ์ แต่เพียงแค่จางลงจากปกติเท่านั้น
ที่ด้านนอกเขตแดนลี้ลับ เชียนจ้าวเถี้ยน เป่ยหยิ่วย้ง เถิงเซินและผู้สืบทอดจากขุมอำนาจมากมาย รวมทั้งผู้ติดตามของพวกเขาได้มองตามหลังหลิงฮันด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า
สิ่งที่พวกเขาคิดในตอนนี้คือ ถ้าหากสังหารหลิงฮันสำเร็จ พวกเขาก็อาจจะมีโอกาสได้สร้างสายสัมพันธ์กับตระกูลจื่อเหอ ยิ่งถ้าหากจื่อเหอประทับใจในตัวพวกเขาจนยอมแต่งงานด้วยแล้ว ไม่ใช่ว่านั่นจะเป็นความสำเร็จสูงสุดในชีวิตเลยหรอกรึ?
พวกเขาทุกคนตัดสินใจหนักแน่นว่า ตราบใดที่พบเจอหลิงฮันในเขตแดนลี้ลับ พวกเขาจะลงมือสังหารอย่างไร้ความปรานี
“ไปกันเถอะ” หลายคนเริ่มพุ่งทะยานร่างเข้าสู่เขตแดนลี้ลับ หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จื่อเหอปิงอวิ๋นก็เหาะเหินลงมาจากเรือรบตัวคนเดียว และเข้าสู่เขตแดนลี้ลับไปด้วยสีหน้าที่มั่นใจเต็มร้อย
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ลั่วจ่างเฟิงก็ปรากฏตัว ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มที่ดูราวกับว่า สถานการณ์ทุกอย่างได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
“พวกเราก็ไปกันได้แล้ว” ฟู่เกาหยุนสะบัดมือส่งสัญญาณ ในขณะที่เห็นหลิงฮันเข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงไป เขาก็ได้แต่ภาวนาในใจว่า อีกฝ่ายจะใช้โอกาสนี้หลบหนีจากเงื้อมมือของตระกูลจื่อเหอพ้น
เฉิงจงและผู้ติดตามอีกหกคนพยักหน้าและเดินตามฟู่เกาหยุน
……
ณ เมืองหลีเฮิ่น
เมืองระดับสามดาวเมืองนี้ยังคงสงบสุขเหมือนเคย ทหารยามที่เฝ้าประตูอยู่มีท่าทีผ่อนคลายเป็นอย่างมาก พวกเขาแต่ละคนนอนไขว่หว้างอย่างเพลิดเพลินใจ
“มะ… มีผู้บุกรุก!” จู่ๆเทหารยามคนหนึ่งก็อุทานออกมา เขาบังเอิญมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพบเห็นกลุ่มเงาของอะไรบางอย่างกำลังลอยมายังเมืองหลีเฮิ่น
“ข้าจะรีบส่งสัญญาณรายงานฉุกเฉินเดี๋ยวนี้” ทหารยามคนหนึ่งรีบลุกลงจากก้อนหินที่ใช้นอน
ทหารยามคนอื่นๆแหงนหน้ามองท้องฟ้าต่อ และพบว่าเงาที่กำลังลอยเข้าใกล้เมืองนั้น แท้จริงแล้วคือมังกรอินทรีจำนวนหนึ่ง บนหลังของมังกรอินทรีแต่ละตัวมีจอมยุทธสตรีนั่งอยู่ โดยสตรีที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มนั้น สวมใส่ชุดเกราะสีทองราวกับเทพสงคราม
เพียงแค่จ้องมองแวบเดียว เหล่าทหารยามก็ทรุดตัวนั่งลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว
จอมยุทธสตรีผู้นั้นช่างทรงพลัง!
“ไม่ทราบว่าพวกเจ้าเป้นใคร ถึงได้บุกมายังตระกูลฟู่ของข้า?” เสียงชราดังก้องกังวาลออกมาจากด้านในเมืองย่อยหลีเทียน
สตรีชุดเกราะทองสะบัดมือส่งสัญญาณเล็กน้อย ทันใดนั้นมังกรอินทรีที่นางขี่อยู่ก็หยุดเคลื่อนไหวอยู่กลางอากาศ ที่เบื้องหลังของนาง มังกรอินทรีนับสิบตัวก็หยุดเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงเช่นกัน
“ในช่วงไม่นานนี้ มีชายหนุ่มชื่อหลิงฮัน ผ่านมายังเมืองหลีเฮิ่นแห่งนี้หรือไม่?” จอมยุทธสตรีเอ่ยปากถาม แม้เสียงที่นางใช้พูดจะไม่ดัง แต่ก็ทรงพลังพอที่จะทำให้ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจน
“พวกเจ้าเป็นฝ่ายบุกรุกมายังตระกูลฟู่ของข้าแท้ๆ แต่กลับทำท่าทางราวกับเป็นใหญ่รึ? พวกเจ้าคิดว่าตระกูลฟู่สามารถรังแกได้ง่ายๆรึไงกัน?” ‘พรึบ’ ร่างของใครบางคนเหาะเหินออกมาจากเมือง และยืนอยู่กลางอากาศอย่างน่าเกรงขาม
คนผู้นี้คือหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลฟู่ ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะ!
ตอนที่ 1796 สตรีชุดเกราะลึกลับ
สตรีชุดเกราะจ้องมองไปยังผู้อาวุโสตระกูลฟู่ด้วยแววตาเย็นชา ราวกับอีกฝ่ายไม่ใช่นิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะ แต่เป็นเพียงหนอนแมลงไร้ค่า
ผู้อาวุโสตระกูลฟู่ผู้นี้มีชื่อว่าฟู่ตงเสวี่ย เขาคือจอมยุทธที่บ่มเพาะพลังมาเป็นเวลานานกว่าแสนล้านปี ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลฟู่ แต่ก็เป็นถึงตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะ
โดยปกติแล้ว หากมีใครจ้องมองเขาด้วยสีหน้าเหยียดหยามแบบนั้น เขาคงลงมือตบหน้าคนผู้นั้นไปแล้ว แต่สำหรับสตรีชุดเกราะผู้นี้เขาไม่กล้าผลีผลามลงมือทำอะไร
นั่นเพราะอีกฝ่ายก็เป็นตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะเช่นกัน
ในพลังบ่มเพาะระดับนี้ ตราบใดที่ไม่ปลดปล่อยออร่าออกมาให้ชัดเจน ก็ไม่มีทางรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมีขั้นพลังที่สูงขนาดไหน เพราะงั้นฟู่ตงเสวี่ยจึงไม่กล้าลงมือโดยไม่ไตร่ตรอง
“หลิงฮันอยู่ที่ไหน?” สตรีชุดเกราะกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโส
หลิงฮัน? ใครคือหลิงฮันกัน?
ถึงแม้เมื่อไม่นานมานี้ ชื่อเสียงของหลิงฮันจะดังกระช่อนไปทั่วตระกูลฟู่ แต่เพียงแค่นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานคนเดียว ย่อมไม่เพียงพอที่จะทำให้ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะให้ความสนใจ
ครืนนน!
ในจังหวะนั่นเอง จู่ๆเรือรบลำหนึ่งก็ลอยมาด้วยความเร็วสูง เมื่อเรือรบหยุดเคลื่อนไหว ชายชราร่างผอมคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่หัวเรือ สายตาของเขากวาดมองไปทั่วบริเวณก่อนจะกล่าว “เฒ่าเสวี่ย ข้าต้องการให้เจ้าส่งตัวใครบางคนให้กับข้า!”
เสียงของชายชราผู้นี้ดังกึกก้องราวกับฟ้าผ่า
ดวงตาของฟู่ตงเสวี่ยหรี่ลงพร้อมกับกล่าว “หานลั่ว เจ้าหมายความว่าอย่างไร เหตุใดจู่ๆถึงมาตามหาคนในตระกูลฟู่ของข้า?”
หานลั่วคือหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลหานซึ่งเป็นขุมอำนาจสามดาว อีกฝ่ายคือนิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะเหมือนกับเขา ซึ่งพวกเขาทั้งสองเคยปะทะกันมาแล้วกว่าร้อยครั้ง ทำให้เข้าใจเบื้องลึกในพลังของกันและกันดี
“ฮึ่ม มีเจ้าหนูใจกล้าคนหนึ่ง บังอาจทำลายกายหยาบของผู้สืบทอดตระกูลหานของข้าในโลกบรรพกาล แถมยังกล้าบุกมาท้าทายพวกข้าถึงภายในตระกูลหานอีกด้วย ท่านประมุขมีคำสั่งให้ข้ามาสังหารเจ้าหนูผู้นั้น!” หานลั่วกล่าวอย่างโหดเหี้ยม
ฟู่ตงเสวี่ยขมวดคิ้ว แม้แต่ประมุขตระกูลหานยังถึงขนาดออกคำสั่งให้สังหาร นี่แสดงว่าตระกูลหานต้องการกำจัดศัตรูผู้นั้นอย่างแท้จริง
“คนที่เจ้าตามหามีชื่อว่าอะไร?” เขาเอ่ยถาม
“หลิงฮัน!”
พรวด!
ฟู่ตงเสวี่ยสำลักและสีหน้าเปลี่ยนเป็นปั้นยาก
หลิงฮัน… หลิงฮันอีกแล้ว!
เจ้าหนูคนนี้คือใครกัน เหตุใดเขาถึงกล้าล่วงเกินขุมอำนาจระดับขอบเขตตำหนักอมตะถึงสองแห่ง?
ถ้าหากฟู่ตงเสวี่ยรู้ว่าหลิงฮันกล้าล่วงเกินแม้กระทั่งผู้สืบทอดตระกูลจื่อเหอ เขาคงสำลักออกมาเป็นโลหิตแน่นอน
“แม่นาง หลิงฮันเองก็ล่วงเกินตระกูลเจ้าด้วยงั้นรึ?” ฟู่ตงเสวี่ยมองไปยังสตรีชุดเกราะ
ในเมื่อหลิงฮันไม่ใช่คนของตระกูลฟู่ หรือผู้สืบทอดของขุมอำนาจใดภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ ฟู่ตงเสวี่ยจึงตัดสินใจมอบตัวหลิงฮันให้อย่างไม่ลังเล
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ตกคือเรื่องที่ว่า ทั้งหานลั่วและสตรีชุดเกราะต่างต้องการตัวหลิงฮันด้วยกันทั้งคู่ เพราะงั้นเขาควรจะส่งตัวหลิงฮันให้ใครดีล่ะ?
แววตาเย็นชาของสตรีชุดเกราะแสดงออกถึงความรู้สึกเบื่อหน่าย “แค่ส่งคนมาให้ก็พอ เจ้าจะมัวพล่ามไร้สาระให้เสียเวลาทำไม?”
ฟู่ตงเสวี่ยแทบจะระเบิดโทสะ ข้าเองก็เป็นนิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะเหมือนกับเจ้าแท้ๆ แต่ท่าทีเช่นนั้นของเจ้ามันอะไร? ยิ่งกว่านั้นคือเจ้าเป็นฝ่ายมาขอความช่วยเหลือแท้ๆ แต่เหตุใดถึงได้ทำตัวหยิ่งยโสนัก?
“แม่นาง หลิงฮันต้องถูกส่งให้กับตระกูลหานของข้า!” หานลั่วที่ได้ยินก็รีบกล่าวกับสตรีเกราะด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ตระกูลหานจะต้องนำตัวหลิงฮันมาให้ได้ เพราะพวกเขาไม่ได้แค่อยากแก้แค้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องการความลับที่อยู่ในตัวหลิงฮันด้วย
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ารึ?” สตรีชุดเกราะมองไปยังหานลั่วด้วยแววตาเย็นชาและไร้สีหน้า
หานลั่วที่ถูกสายตาของอีกฝ่ายจ้องมองก็ชะงักแข็งค้างทันที หัวใจของเขาเต้นรัวราวกับจะกระเด็นออกมาทางลำคอ
เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก สตรีผู้นี้เป็นนิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะเหมือนกับเขาแท้ๆ แต่เหตุใดแรงกดดันถึงได้หนักหน่วงนัก?
“ไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็ต้องถูกตระกูลหานของข้าจัดการ! แม่นาง ต่อให้หลิงฮันล่วงเกินอะไรพวกเจ้าไป แต่เขาจะตายด้วยเงื้อมมือพวกเจ้าหรือเงื้อมมือพวกข้า มันก็เหมือนกันไม่ใช่รึ?” หานลั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม
สตรีชุดเกราะขมวดคิ้วอย่างหมดความอดทนและกล่าว “ไสหัวไปซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งที่นี่!” ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นขึงขังและระเบิดจิตสังหารออกมา จนทำให้ท้องฟ้าสั่นไหว
“ถ้าไม่แสดงพลังให้เห็น เจ้าคงคิดว่าข้าอ่อนแอและยอมถูกรังแกได้ง่ายๆสินะ?” น้ำเสียงของหานลั่วแปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม วิธีจะกำราบสตรีที่หยิงผยองเช่นนี้ มีทางเดียวคือต้องใช้กำลัง
สตรีชุดเกราะกวาดสายตามองอย่างไม่แย นางยื่นมือขวาออกไปและผลักเข้าใส่หานลั่ว “เจ้ารนหาที่ตายเอง!”
“โอหัง!” หานลั่วคำรามเสียงดัง สตรีผู้นี้มีนิสัยบ้าบิ่นเกินไป
เพียงแต่ว่าหลังจากนั้น หานลั่วก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตะลึง ดวงตาของเขาเบิกกว้างจนแทบถลนออกจากเบ้า การโจมตีด้วยฝ่ามือของสตรีชุดเกราะ ได้ควบแน่นตราประทับแห่งเต๋าให้กลายเป็นแท่งเสาขนาดมหึมาขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งทะลวงเข้าใส่เขา
แข็งแกร่ง… เป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเยี่ยงนี้!
“ห้ารากฐาน!” ฟู่ตงเสวี่ยอุทานด้วยเสียงหวาดผวาและมือทั้งสองข้างสั่นสะท้านเล็กน้อย
ระดับขอบเขตตำหนักอมตะคืออะไร?
ในความเป็นจริงระดับขอบเขตตำหนักอมตะนั้น สมควรจะถูกเรียกว่าระดับสร้างรากฐานอวัยวะภายใน เนื่องจากในระดับพลังนี้ จอมยุทธจำเป็นที่จะต้องขัดเกลาอวัยวะภายในด้วยพลังระดับขอบเขตตำหนักอมตะ โดยเรียงลำดับจากหัวใจไปยังตับ ม้าม ปอด และไต
กล่าวคือในระดับขอบเขตตำหนักอมตะ จะมีขั้นพลังอยู่ทั้งหมดห้าขั้น
ฟู่ตงเสวี่ยที่ขัดเกลารากฐานอวัยวะภายในด้วยพลังระดับขอบเขตตำหนักอมตะได้เพียงหนึ่งส่วน จึงถูกเรียกว่านิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะหนึ่งรากฐาน แต่จากการโจมตีของสตรีชุดเกราะ เขาสามารถคาดเดาได้เลยว่าอีกฝ่ายนั้น มีพลังอยู่ในระดับของห้ารากฐาน!
‘ตูมมม’ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์แพร่กระจายไปทั่วท้องฟ้า พริบตาเดียวร่างของหานลั่วก็หายไปอย่างไร้ร่องลอย
ฟู่ตงเสวียหวาดกลัวจนขาสั่น ปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะที่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็ล้วนแต่เป็นที่น่ายำเกรงถูกสังหารภายในหนึ่งกระบวนท่า โดยที่กายหยาบและดวงวิญญาณถูกทำลายไปพร้อมกันอย่างไม่เหลือซาก
สตรีชุดเกราะผู้นี้… มีขุมอำนาจระดับใดอยู่เบื้องหลังกันแน่!
ตอนที่ 1797 ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์? ขุม...
ฟู่ตงเสวี่ยสูดหายใจลึกและรู้สึกว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้ว
หานลั่วถูกสังหารที่เมืองหลีเฮิ่น ซึ่งเป็นอาณาเขตของตระกูลฟู่
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่ตระกูลฟู่จะผลักความรับผิดชอบออกไปได้อย่างสมบูรณ์ บางทีทางตระกูลหานอาจจะก่อสงครามกับตระกูลฟู่อย่างเต็มรูปแบบเสียด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้เขาจะพูดอะไรออกไปได้?
อีกฝ่ายคือปรมาจารย์ห้ารากฐานที่ทรงพลัง ต่อหน้าตัวตนระดับนี้ พลังที่เขามีย่อมไร้ค่าและไม่ต่างอะไรจากมดตัวจ้อย
สุดท้ายแล้วหลิงฮันคือใครกันแน่? เหตุใดเขาถึงได้ถูกเพ่งเล็งโดยขุมอำนาจระดับสามดาวที่ทรงพลังถึงสองขุมอำนาจ แถมยังเป็นต้นเหตุให้ตัวตนระดับขอบเขตอมตะเสียชีวิตด้วย
ฟู่ตงเสวี่ยกล่าวออกไป “แม่นาง ข้าขอตัวไปตรวจสอบข้อมูลของคนที่เจ้าตามหาสักครู่” เสียงของเขาแผ่วเบาลงโดยที่ไม่รู้ตัว
ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ตัวตนระดับห้ารากฐานนั้น ต่อให้เป็นในตระกูลฟู่ก็มีอยู่เพียงคนเดียว!
ฟู่ตงเสวี่ยเหาะเหินกลับไปในเมืองย่อยหลีเทียน และรีบสั่งการให้คนไปสืบหาข้อมูลของหลิงฮันทันที ในขณะเดียวกันเขาก็ได้แจ้งเหล่าตัวตนระดับสูงของตระกูลไปด้วยว่า ณ เวลานี้ได้มีปรมาจารย์ระดับห้ารากฐานบุกมายังตระกูลฟู่ ซึ่งเขาเพียงคนเดียวไม่อาจรับมือได้
เวลาผ่านไปไม่นาน ร่างของปรมาจารย์ที่ทรงพลังก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า บางคนเปิดเผยใบหน้าชัดเจน ในขณะที่บางคนมีอำนาจผันผวนปกคลุมรูปลักษณ์เอาไว้ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง
ในตระกูลฟู่มีตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะอยู่เก้าคน โดยคนที่แข็งแกร่งที่สุดคือฟู่เสินปิงที่เป็นประมุข เขามีรูปลักษณ์อยู่ในช่วงอายุสามสิบปี ซึ่งแน่นอนว่าเขาเป็นคนจงใจทำให้ตัวเองดูมีอายุ เพราะไม่งั้นรูปลักษณ์ของเขาคงอยู่ในช่วงยี่สิบปีเท่านั้น
ฟู่เสินปิงจ้องมองสำรวจสตรีชุดเกราะและสัมผัสได้ถึงพลังอันไร้ก้นบึ้ง เกรงว่าหากมีการปะทะกันเกิดขึ้น เขาคงไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ข้อมูลของหลิงฮันก็ถูกส่งมา
ปรมาจารย์ทั้งเก้าใช้สัมผัสสวรรค์รับฟังและเผยสีหน้าประหลาดใจ
ปัญหาต่างๆที่หลิงฮันเคยก่อไว้นั้นนับว่าน่าตกตะลึงไม่น้อย แต่หากจะบอกว่าการกระทำเหล่านั้นรุนแรงถึงขนาดทำให้ขุมอำนาจระดับสามดาวถึงสองแห่งต้องลงมือเอง ก็ดูเหมือนจะเกินจริงไปหน่อย
และที่น่าแปลกคือพวกเขานึกไม่ออกแม้แต่น้อยว่า สตรีชุดเกราะตรงหน้านี้มีต้นกำเนิดมาจากที่ใด
บนอานนั่งหลังมังกรอินทรีมีสัญลักษณ์ปลาและนกสลักเอาไว้ก็จริง แต่พวกเขาก็จำไม่ได้เลยว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของขุมอำนาจใด
“ต้องขออภัยด้วย ณ เวลานี้หลิงฮันได้มุ่งหน้าไปยังเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงแล้ว” ฟู่ตงเสวี่ยกล่าวบอกความจริงออกไป และด้วยการที่ตอนนี้ประมุขของเขาได้มายืนอยู่เคียงข้าง ความมั่นใจของเขาจึงกลับมา
สตรีชุดเกราะครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะกล่าว “เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงอยู่ที่ไหน?”
ฟู่เสินปิงเป็นฝ่ายเปิดปากพูดในที่สุด “แม่นาง เจ้าคิดจะไปตามหาหลิงฮันในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงรึ?”
“เลิกพล่ามไร้สาระและตอบคำถามมา!” สตรีชุดเกราะกล่าวอย่างหยาบคาย นี่พวกเจ้าโง่กันรึเปล่า คิดว่าพวกข้าเดินทางมาจากดินแห่งเซียนฝั่งตะวันตก เพราะต้องการมาเยี่ยมชมเมืองชนบทของพวกเจ้ารึ?
“สามหาว!” เหล่าปรมาจารย์ของตระกูลฟู่เกรี้ยวกราด ช่างเป็นสตรีที่หยิ่งยโสอะไรอย่างนี้ นอกจากเจ้าจะสังหารคนอื่นที่หน้าตระกูลฟู่แล้ว เจ้ายังจะทำท่าทางไร้ความเคารพต่อประมุขของพวกข้าอีกรึ? นี่เจ้าคิดว่าตระกูลฟู่เป็นขุมอำนาจที่รังแกได้ง่ายๆรึไง?
ฟู่เสินปิงรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อยและกล่าวออกไป “แม่นาง เจ้าสังหารปรมาจารย์ตระกูลหานที่หน้าตระกูลฟู่ของข้า สำหรับเรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จำเป็นต้องมีคำอธิบาย เพราะตระกูลฟู่ไม่ต้องการเป็นแพะรับบาป!”
สตรีชุดเกราะเผยสีหน้าคร้านจะแยแส “หากต้องการคำอธิบายใดๆก็มาที่ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ ไม่ว่าจะเป็นพวกเจ้าหรือใคร ขุมอำนาจของพวกข้าจะสะสางปัญหาให้เอง!”
ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์งั้นรึ?
เหล่าปรมาจารย์ของตระกูลฟู่หันมองหน้ากันด้วยความงงงวย
ในระแวกนี้มีขุมอำนาจที่ว่าอยู่ด้วยรึ?
ไม่ใช่แค่ขุมอำนาจสามดาวเท่านั้น แต่ขุมอำนาจสี่ดาวหรือขุมอำนาจห้าดาว ก็ไม่มีแม้แต่ขุมอำนาจเดียวที่ใช้ชื่อนี้
“แม่นาง ข้าว่าพวกเจ้าพักอยู่ที่ตระกูลฟู่ของข้าไปสักพักก่อนดีหรือไม่? อย่างน้อยก็รอจนกว่าเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงจะสิ้นสุด” ฟู่เสินปิงกล่าว เขาจำเป็นต้องรีบนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปรายงานตระกูลหาน และให้ตระกูลหานส่งคนมาจัดการเอง ส่วนเรื่องราวหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรนั้น ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลฟู่แล้ว
สตรีชุดเกราะไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม “ข้าถามว่าเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงอยู่ที่ไหน ไม่ได้ขอคำแนะนำจากพวกเจ้า!”
“เจ้าจะหยิ่งยโสเกินไปรึเปล่าแม่นาง?” ปรมาจารย์สามรากฐานคนหนึ่งกล่าว เขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอีกฝ่ายเพราะมีประมุขอยู่เคียงข้าง
“พวกฝูงตัวโง่งม ต้องให้ข้าลงมือก่อนสินะ!” สตรีชุดเกราะเค้นเสียงเย็นชา มือขวาของนางยกสูงขึ้น ‘ครืนนน’ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีถูกควบแน่นกลายเป็นมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
‘ตูม’ ปลาร่างยักษ์ขนาดมหึมาราวกับขุนเขากระโดดออกมาจากห้วงสมุทร และพุ่งโจมตีเข้าใส่ปรมาจารย์ตระกูลฟู่ทั้งเก้า
“โอหัง!” ฟู่เสินปิงคำราม สตรีผู้นี้ช่างบ้าบิ่นยิ่งนัก นางสังหารปรมาจารย์ของตระกูลหานไปคนหนึ่งยังไม่พอ แต่คราวนี้ยังโจมตีใส่พวกเขาอีก
‘ตูมมม’ ปลาร่างมหึมาที่ปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีพุ่งโจมตีจนท้องฟ้าสั่นสะท้าน ฟู่เสินปิงและปรมาจารย์อีกแปดคนช่วยกันรับมือแต่ก็ไม่อาจต้านทานไหว
ปรมาจารย์แปดคนรับการโจมตีจนได้รับบาดเจ็บหนัก ฟู่เสินปิงเองก็ไม่มีข้อยกเว้น ผมเผ้าของเขากระเซอะกระเซิง และร่างกายถูกชโลมไปด้วยโลหิต
ปรมาจารย์ทั้งเกาเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด ความแข็งแกร่งนี่มันอะไรกัน?
ฟู่เสินปิงคือตัวตนระดับห้ารากฐานเหมือนกัน แถมยังมีการสนับสนุนจากปรมาจารย์ระดับขอบเขตอมตะอีกแปดคน ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นแล้วพวกเขาก็ยังพ่ายแพ้ในหนึ่งกระบวนท่า
เป็นไปได้อย่างไรที่ความต่างชั้นของพลังจะมีมากขนาดนี้?
ถ้าหากสตรีผู้นี้ต้องการจะทำลายตระกูลฟู่ เกรงว่านางคงไม่จำเป็นต้องออกแรงอะไรมากเลย
“ทะ… ท่านประมุข!” ณ พื้นเบื้องล่าง ชายหนุ่มผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเครือ
ปรมาจารย์ทั้งเก้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที ในเวลาแบบนี้เจ้ายังจะมีเรื่องด่วนอะไรอีก?
“ท่านประมุข ข้าน้อยรู้ว่าตำหนักมัจฉาวายุภักษ์คือขุมอำนาจใด” ชายหนุ่มผู้นั้นตะโกนเอ่ยต่อ ถึงแม้เขาจะหวาดกลัวจนแทบหัวใจวายตาย แต่นี่ก็เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตที่เขาจะได้แสดงตัวตนให้ปรมาจารย์ทั้งเก้าได้เห็น
ปรมาจารย์ทั้งเก้ากำลังอยากรู้เรื่องนั้นพอดี ฟู่เสินปิงส่งสายตาอะไรบางอย่าง ซึ่งฟู่ตงเสวี่ยก็พยักหน้าตอบรับและยกร่างของชายหนุ่มผู้นั้นขึ้นมากลางอากาศ “พูดมา!”
“เมื่อไม่นานมานี้ นายน้อยหยุนได้วานให้ข้าน้อยไปสืบหาตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ ข้าน้อยใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถ จนพบเจอพ่อค้าคนหนึ่งที่เขตมหาสมุนไร้พรมแดน ทำให้ได้รู้ว่าตำหนักมัจฉาวายุภักษ์นั้นตั้งอยู่ที่ดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตก”
ดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตกรึ? เพราะแบบนี้เองพวกเขาถึงไม่เคยได้ยินชื่อของขุมอำนาจนี้มาก่อน
ชายหนุ่มหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์?คือขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์!”
พรวด!
ปรมาจารย์ตระกูลฟู่ทั้งเก้าสำลักออกมาทันที พวกเขาแต่ละคนสำลักไม่หยุดและมีสีหน้าที่ประดับเอาไว้ด้วยความตกตะลึง
ตอนที่ 1798 ความบังเอิญ
ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์!
ในดินแดนแห่งเซียน ราชานิรันดร์คือขุมอำนาจที่ทรงพลังที่สุด
ฟู่เสินปิงและปรมาจารย์อีกแปดคนหวาดกลัวจนเกือบเยี่ยวราด
ถึงว่าทำไมสตรีชุดเกราะถึงได้ทรงพลังนัก ที่แท้นางก็มาจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ที่ทรงพลังนี่เอง!
ต่อให้เป็นนิรันดร์ห้ารากฐานเหมือนกัน แต่ฝ่ายที่บ่มเพาะทักษะระดับราชานิรันดร์ ย่อมต้องมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่าอยู่แล้ว
รุ่นเยาว์ที่ชื่อหลิงฮันเป็นใครกันแน่? เหตุใดเขาถึงได้มีความเกี่ยวข้องกับขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ได้! หากจะบอกว่าหลิงฮันไปทำการล่วงเกินตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ไว้นั้น พวกเขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด เนื่องจากดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตกถูกแบ่งแยกกับดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออกเอาไว้ด้วยเขตมหาสมุนไร้พรมแดน เป็นไปได้อย่างไรที่นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานตัวจ้อยจะข้ามไปล่วงเกินอีกฝ่ายได้?
“เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงอยู่ที่ไหน?” สตรีชุดเกราะกล่าวด้วยน้ำเสียงหมดความอดทน
ฟู่เสินปิงรีบกล่าวและชี้ไปยังตำแหน่งของเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงอย่างรวดเร็ว ต่อหน้าขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ เขาไม่มีความกล้าที่จะแสดงท่าทางหยิ่งยโสออกมาแม้แต่น้อย
สตรีชุดเกราะคร้านจะสนใจคำพูดยกยอของฟู่เสินปิงและตบแผ่นหลังของมังกรอินทรีหนึ่งครั้ง มังกรอินทรีทำการหันหลังและเหาะเหินจากไปอย่างรวดเร็ว
ที่ด้านหลังของนาง สตรีที่ขึ้นขี่มังกรอินทรีอีกสิบตัวก็รีบหันหลังเหาะเหินตามไป
เมื่อเห็นร่างของกองกำลังมังกรอินทรีจากไป ฟู่เสินปิงก็ถอนหายใจโล่งอกออกมาด้วยใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ฟู่เสินปิงครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ตงเสวี่ย เจ้าจงมุ่งหน้าไปยังตระกูลหานและอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง”
“ท่านประมุข คือว่า…” ฟู่ตงเสวี่ยขยับเข้ามาและกระซิบ “เมื่อครู่ข้าได้ทำการสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับหลิงฮันมาแล้ว รุ่นเยาว์ผู้นี้คือตัวสร้างปัญหาที่แท้จริง ก่อนหน้านี้ที่เขายังอยู่ในเมืองธุลีจันทรา เขาได้ทำลายตระกูลระดับโลกียนิพพานตระกูลหนึ่งจนสิ้นซาก และในตอนที่อยู่เมืองจันทราหม่นแสง เขาก็ได้สร้างความเป็นปฏิปักษ์กับขุมอำนาจสองดาวอย่างตระกูลเซียว ยิ่งกว่านั้นในไม่นานมานี้เขาก็ได้มีความบาดหมางกับเป่ยเสวียนหมิง หนึ่งในผู้สืบทอดของนิกายอาญาสิ้นแสง”
ฟู่เสินปิงขมวดคิ้ว “ส่งคนไปยังนิกายอาญาสิ้นแสงและบอกสถานการณ์ไปตามตรง เดี๋ยวนะ… ไม่ดีแล้ว เขตแดนลี้ลับเฉียนหลง!”
ณ เวลานี้เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงสมควรเปิดออกแล้ว ถ้าหากหลิงฮันถูกคนของนิกายอาญาสิ้นแสงสังหารล่ะก็ ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์จะต้องมีโทสะอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้นหลิงฮันกับฟู่เกาหยุนก็ยังสนิทสนมกันอีกด้วย ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ผู้สืบทอดอีกสามคน จะแทบลอบสังหารหลิงฮันอย่างลับๆในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง
แย่แล้ว… ถ้าหากหลิงฮันถูกคนของตระกูลฟู่สังหารล่ะก็ ตระกูลฟู่จะต้องถึงคราวพินาศเป็นแน่
“รีบส่งคนไปเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงและแพร่กระจ่ายข่าวเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องคุ้มครองหลิงฮันให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ครบสามสิบสอง”
“ขอรับ!” ฟู่ตงเสวี่ยพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
หากฟู่เสินปิงรู้ว่าหลิงฮันได้ทำการล่วงเกินขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์อย่างตระกูลจื่อเหอไปแล้วล่ะก็ ไม่รู้ว่าเขาจะทำสีหน้าอย่างไรและยังจะคุ้มครองหลิงฮันอยู่รึเปล่า
……
ณ เขตแดนลี้ลับเฉียนหลง
สิ่งแรกที่พบเห็นเมื่อเข้ามาด้านในคือหมอกสีขาวที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ หมอกเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายอะไร แต่จะลดทอนการมองเห็นและระยะของสัมผัสสวรรค์ เพียงแต่ว่าหลังจากที่เดินเข้ามาด้านในได้หนึ่งก้านธูป หมอกโดยรอบก็ค่อยๆหายไป จนสามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบตัวได้
บริเวณแห่งนี้คือพื้นที่ราบที่มีพืชพรรณสูงราวๆครึ่งตัวคนขึ้นอยู่เป็นหย่อมๆ อากาศที่สัมผัสได้นั้นอัดแน่นไปด้วยความร้อนระอุและกลิ่นกำมะถัน
ในระยะที่ห่างออกไป ทุกคนสามารถมองเห็นภูเขาใหญ่ยักษ์ที่สูงตระหง่านทะลุก้อนเมฆ บนปลายยอดของภูเขาปลดปล่อยหมอกหนาออกมา ภูเขาลูกนั้นคือภูเขาไฟที่เพิ่งปะทุ แรงปะทุได้ทำให้ออร่าอันทรงพลังภายในเขตแดนถูกสลายไป เหล่าจอมยุทธจึงเข้ามาที่นี่ได้
“หืม?” หลิงฮันประหลาดใจ นั่นเพราะสัมผัสได้ว่าแก่นกำเนิดพลังเปลวเพลิงภายในร่างกำลังลุกโชน ยิ่งกว่านั้นคือเขารู้สึกว่าออร่าความร้อนภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้เป็นมิตรต่อเขาอย่างมาก
“ข้ามีความรู้สึกว่าความร้อนภายในนี้ไม่สามารถทำอันตรายข้าได้” เขากล่าวพร้อมกับคิดจะถอดเกราะโลหิตมังกร
“ระวังด้วย!” จักรพรรดินีกล่าวเตือน
หลิงฮันพยักหน้า “ไม่ต้องกังวล ข้าพอมีความมั่นใจอยู่”
เขาค่อยๆถอดเกราะโลหิตมังกรออกอย่างช้าๆ พริบตาหลังจากนั้นคลื่นความร้อนรอบด้านก็ได้พุ่งทะยานเข้ามาหาเขาอย่างบ้าคลั่ง คลื่นความร้อนได้แปรสภาพกลายเป็นอสรพิษเพลิงจำนวนมากและพยายามจะกลืนกินเขา แต่ทันใดนั้นร่างกายของหลิงฮันก็ปลดปล่อยออร่าอันน่าเกรงขามออกมา ออร่าที่ว่าทำให้ตัวเขาในตอนนี้ดูราวกับเป็นจักรพรรดิที่อยู่เหนือสรรพสิ่ง
ออร่าที่ว่ามาจากเพลิงเก้าสวรรค์ จู่ๆเหล่าอสรพิษเพลิงก็ไร้สิ้นความเป็นปฏิปักษ์ พวกมันค่อยๆเคลื่อนไหวมาหมุนวนรอบตัวเขาและก้มหัวอย่างช้าๆ ราวกับเขาเป็นราชาของพวกมัน
“นี่คงไม่ใช่ความบังเอิญหรอกนะ?” หลิงฮันตกตะลึง
จักรพรรดินีเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน “หรือราชานิรันดร์ที่เคยครอบครองเพลิงเก้าสวรรค์ ราชานิรันดร์คิดค้นทักษะควบคุมเพลิง และราชานิรันดร์ที่เป็นคนสร้างเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ขึ้นมาจะเป็นคนคนเดียวกัน?”
“ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ไม่งั้นก็คงไม่มีเหตุผลใดมาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ได้” หลิงฮันพยักหน้า ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ครอบครองเพลิงบรรพบุรุษ แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงของระดับพลังที่สูงกว่าก็ยังสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้อยู่ดี
คลื่นความร้อนในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้รุนแรงและมีระดับที่สูงมาก เพราะงั้นเหตุผลที่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บจึงมีอยู่เหตุผลเดียว
“ความบังเอิญขนาดนี้ ราวกับว่าเป็นความประสงค์ของสวรรค์” หลิงฮันกล่าว “ข้าได้เพลิงเก้าสวรรค์มาเป็นอันดับแรก ต่อมาก็ได้รับทักษะควบคุมเพลิงจากธิดาโร๋ว และคราวนี้ก็ยังมาพบเจอเขตแดนลี้ลับของราชานิรันดร์คนเดียวกันอีก”
จักรพรรดินีพยักหน้าเห็นด้วย ความบังเอิญขนาดนี้ราวกับว่าเป็นการชี้นำจากสวรรค์จริงๆ
“แต่ยังไงก็ลืมเรื่องนั้นไปก่อน ตอนนี้ข้าต้องการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุด” หลิงฮันโหยหาอยากบรรลุเป็นนิรันดร์สามนิพพานให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้สังหารจื่อเหอปิงอวิ๋น
ตอนนี้ถึงแม้หลิงฮันจะไม่ใช้เกราะโลหิตมังกรแล้ว แต่สตรีนกอมตะก็ไม่สามารถออกมาได้อยู่ดี เนื่องจากพลังบ่มเพาะของนางยังอ่อนแอเกินไป ต่อให้มีเกราะโลหิตมังกรนางก็ไม่สามารถต้านทานความร้อนภายในเขตแดนลี้ลับได้
หลิงฮันและจักรพรรดินีเดินเคียงคู่กันตามหาศิลาโลหิตมังกร เนื่องจากมันคือทรัพยากรสำคัญที่สามารถช่วยให้พลังบ่มเพาะยกระดับขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทว่าศิลาโลหิตมังกรนั้นไม่ใช่ว่าแค่มีความมุ่งมั่นก็จะหาพบ แต่ต้องพึ่งพาโชคด้วย
ซึ่งโชคของหลิงฮันนั้นมักจะดีอยู่เสมอ หลังจากเดินไปได้ไม่นาน พวกเขาก็พบเจอเศษหินที่ส่องประกายสีแดงวางอยู่เบื้องหน้า เมื่อลองหยิบขึ้นมาตรวจสอบดูก็พบว่ามันคือศิลาโลหิตมังกร
“หืม?” หลิงฮันอุทานออกมาเพราะพบว่าเพลิงเก้าสวรรค์ในร่างกายเกิดการเคลื่อนไหว หลังจากนั้นเพียงแค่ชั่วพริบตา ศิลาโลหิตมังกรที่อยู่ในมือของเขาถูกดูดแก่นพลังไปจนหมดสิ้นและแหลกสลายกลายเป็นเศษฝุ่น
ตอนที่ 1799 กระต่ายที่เป็นสมุนไพรนิรั...
ศิลาโลหิตมังกรคือทรัพยากรล้ำค่าสำหรับการบ่มเพาะพลัง เนื่องจากมันสามารถช่วยให้จอมยุทธรู้แจ้งถึงระดับพลังของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
และถึงแม้ศิลาโลหิตมังกรจะอัดแน่นเอาไว้ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงเป็นหลัก แต่ต่อให้ไม่ใช่จอมยุทธที่ฝึกฝนทักษะเปลวเพลิงก็สามารถใช้ศิลาโลหิตมังกรเพื่อฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้ เพียงแค่ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ดีเท่ากับจอมยุทธที่ฝึกฝนทักษะเปลวเพลิงก็เท่านั้นเอง
แต่ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธที่ฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ประเภทใด การดูดซับแก่นพลังของศิลาโลหิตมังกรก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้ในพริบตาเดียว แต่ต้องค่อยดูดซับมันทีละเล็กน้อยเหมือนกับศิลาดวงดาว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ล่ะ?
เพียงแค่หลิงฮันใช้มือสัมผัส ศิลาโลหิตมังกรก็สลายกลายเป็นเศษฝุ่นในพริบตา
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทักษะควบคุมเปลวเพลิง หรือเพราะเพลิงเก้าสวรรค์กันแน่?” หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดินี
“เอาไว้เจอศิลาโลหิตมังกรอีกก้อน เราค่อยทดสอบดู” จักรพรรดินีกล่าว
ทั้งสองคนมุ่งหน้าเดินสำรวจต่อไป หลังจากเวลาผ่านไปราวๆสองชั่วโมง พวกเขาก็โชคดีพบเจอศิลาโลหิตมังกรอีกครั้ง
คราวนี้จักรพรรดินีเป็นคนหยิบศิลาขึ้นมาถือ แต่ศิลาโลหิตมังกรก็ไม่ได้สลายกลายเป็นผุยผงเหมือนกับตอนหลิงฮัน
จักรพรรดินีลองโคจรทักษะควบคุมเปลวเพลิงดู และพบว่าศิลาโลหิตมังกรค่อยๆถูกดูดซับแก่นพลังด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ผ่านไปไม่นานขนาดของศิลาก็หดเล็กลงแต่ก็ยังมีชั้นเปลือกหินหลงเหลืออยู่
ความเร็วในการดูดซับของจักรพรรดินีนั้น เมื่อเทียบกับจอมยุทธทั่วไปแล้วนับว่ารวดเร็วกว่าหลายเท่า แต่ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับหลิงฮัน
“ทีนี้ก็มั่นใจได้แล้วว่า ทุกอย่างภายในสถานที่แห่งนี้มีความเกี่ยวข้องกับราชานิรันดร์คนเดียวกัน” ทั้งสองคนพยักหน้ามั่นใจ
ที่หลิงฮันสามารถดูดซับแก่นพลังได้รวดเร็วกว่า ก็เป็นเพราะเขามีเพลิงเก้าสวรรค์
“ธิดาโร๋วก็อาจจะคาดเดาเรื่องนี้ได้เช่นกัน” หลิงฮันครุ่นคิด ตราบใดที่ธิดาโร๋วเจอศิลาโลหิตมังกรและลองดูดซับแก่นพลังของมันดู นางจะต้องรู้ได้ในทันทีว่าความเร็วในการดูดซับของนางนั้นรวดเร็วกว่าครั้งก่อนๆ
แล้วก็เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงคือสถานที่อะไร?
ตามคำเล่าลือ สถานที่แห่งนี้ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งของขุมอำนาระดับราชานิรันดร์มาก่อน
ด้วยสติปัญญาระดับนาง หากไม่สามารถคาดเดาจุดเชื่อมโยงระหว่างทักษะควบคุมเปลวเพลิง กับเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงได้ล่ะก็ นางก็ไม่สมควรเป็นนิรันดร์แล้ว
หลิงฮันและจักรพรรดินีมุ่งเดินหน้าต่อ ทั้งสองไม่สนใจมองหาศิลาโลหิตมังกรตามทางอีกต่อไป และตั้งใจจะไปเก็บเกี่ยวศิลาโลหิตมังกรที่บริเวณภูเขาไฟแทน
หลิงฮันคือคนที่สามารถเมินเฉยต่ออำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ได้ เพราะงั้นหากไปยังส่วนลึกของภูเขาไฟ พวกเขาจะต้องพบเจอศิลาโลหิตมังกรจำนวนมากแน่นอน
แถมบางที ที่นั่นอาจจะมีทักษะอื่นๆของราชานิรันดร์คนเดียวกันหลงเหลืออยู่ด้วยก็ได้
“หยุดเดี๋ยวนี้! จงมาอยู่ในชามข้าวของนางท่านหมาซะ!” เสียงคำรามของอะไรสักอย่างดังมาแต่ไกล จนหลิงฮันกับจักรพรรดินีต้องหันหน้าไปมอง
เจ้าสุนัขตัวดำอีกแล้ว!
ในระยะที่ห่างออกไป เงาสีขาวและสีแดงกำลังวิ่งไล่ตามกันด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ เงาสีขาวที่อยู่ด้านหน้าคือกระต่ายที่ขนทั่วร่างเป็นสีขาว และมีดวงตาสีแดงสดราวกับอัญมณี ในอุ้งมือของมันกำลังถือแครอทแท่งหนึ่งอยู่
ที่ด้านหลังของมันมีสุนัขตัวดำสวมเกราะโลหิตมังกรสีแดงกำลังวิ่งไล่ตามอยู่
“อย่าคิดว่าจะหนีข้าพ้น!” สุนัขตัวดำเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างมิติ ไปปรากฏด้านหน้ากระต่ายขาว
ร่างของกระต่ายขาวรีบหยุดชะงักและหันหลังวิ่งหนีไปอีกทาง
“เจ้าต้องมาเป็นอาหารของนายท่านหมาผู้นี้!” สุนัขตัวดำไล่ตามกระต่ายขาวอีกครั้ง ลิ้นของมันห้อยออกมาจากปาก พร้อมกับน้ำลายที่หยดไหลเป็นทาง
ความเร็วของสุนัขตัวดำนั้นว่องไวเป็นอย่างมาก ในระดับโลกียนิพพานกล่าวได้ว่าความเร็วของมันไร้ผู้ใดเปรียบอย่างแท้จริง หลังจากเคลื่อนที่ผ่านห้วงมิติอย่างต่อเนื่อง มันก็ไล่ตามกระต่ายขาวทันอีกครั้ง
กระต่ายขาวยังคงพยายามหลบหนี แต่สุนัขตัวดำก็ไล่ตามตามมันทันทุกครั้ง จนในที่สุดกระต่ายขาวก็ทนไม่ไหว ดวงตาของมันลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความโกรธ
ครั้งนี้เมื่อสุนัขตัวดำไล่ตามมันทัน กระต่ายขาวไม่ได้หันหลังหลบหนีและเลือกที่จะอ้าปากแทน
เหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ปากของกระต่ายขาวขยายออกกว้างอย่างน้อยสามสิบเมตรราวกับกลายเป็นหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง พริบตาหลังจากนั้นร่างของสุนัขตัวดำก็ถูกดูดเข้าไป
หลังจากกลืนสุนัขตัวดำเข้าไปแล้ว ปากของมันก็กลับสู่สภาพเดิมและแทะกินแครอทในมืออย่างมีความสุข
หลิงฮันและจักรพรรดินีตกตะลึง ทั้งสองไม่คาดคิดมาก่อนว่าจู่ๆสุนัขตัวดำจะถูกกลืนลงไปแบบนั้น
นี่สุนัขตัวดำตายแล้วรึ?
แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นแบบนั้น หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆกระต่ายขาวก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วน มันรีบอ้าปากกว้างอีกครั้งและสำรอกร่างของอะไรบางอย่างออกมา ซึ่งแน่นอนว่าร่างที่ว่าย่อมเป็นสุนัขตัวดำ
หลังจากคายสุนัขตัวดำออกมาแล้ว กระต่ายขาวก็รีบสะบั้นก้นหลบหนีหายไปในพริบตา
“เจ้ากระต่ายบัดซบนั่น อย่าให้นายท่านหมาจับตัวได้แล้วกัน ไม่เช่นนั้นข้าจะนำเจ้าไปต้มอยู่ในหม้อซุป!” สุนัขตัวดำกระทืบเท้า ณ เวลานี้เกราะโลหิตมังกรที่มันสวมใส่อยู่ปรากฏรอยแตกร้าว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภายในท้องของกระต่ายขาวตัวเมื่อครู่ มีฤทธิ์กัดกร่อนที่รุนแรงขนาดไหน
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ดำน้อย หายากนะที่จะได้เห็นเจ้าเป็นฝ่ายโดนกระทำแบบนี้”
“ฮึ่ม นายท่านหมาจะตามไปขุดทำลายถึงรังของมันเลย!” สุนัขตัวดำเค้นเสียงไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันไปกล่าวกับหลิงฮัน “เจ้าหนู เจ้าสนใจร่วมมือกันข้าไหม?”
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย “หรือว่ากระต่ายตัวนั้นจะเป็นสมุนไพรนิรันดร์?”
“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่านายท่านจะยอมเสียเวลาเพื่อจับกระต่ายทั่วไปมาเป็นอาหารรึ?” สุนัขตัวดำเยาะเย้ย
“ในเมื่อเป็นสมุนไพรนิรันดร์ งั้นข้าจะยอมร่วมมือด้วยก็ได้” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงหึกเหิม
พวกหลิงฮันสามคนไล่ตามร่องรอยของกระต่ายขาว จมูกของสุนัขตัวดำนั้นเฉียบคมราวกับเกิดมาเพื่อเป็นหัวขโมยอย่างแท้จริง เวลาผ่านไปเพียงแค่ราวๆเกือบหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็พบเห็นร่างของกระต่ายขาวกำลังนั่งอยู่บนเนินแห่งหนึ่ง มันใช้อุ้งเท้าหน้าสองข้างถือแครอทเอาไว้และกัดแทะอย่างเอร็ดอร่อย
ที่น่าแปลกก็คือแครอทที่อยู่ในอุ้งเท้าของมัน ก่อนหน้านี้หลิงฮันจำได้ว่าแครอทมีความยาวราวๆหนึ่งฟุต แต่ตอนนี้แครอทก็ยังมีขนาดเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลงทั้งๆที่ถูกแทะกินไปแล้ว
“เจ้าโง่รึเปล่า รูปลักษณ์กระต่ายที่เห็นอยู่นั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ร่างที่แท้จริงของมันคือโสมสมุนไพรระดับนิรันดร์” สุนัขตัวดำกล่าวราวกับว่าในโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรเลยที่มันไม่รู้ “สมุนไพรนั่นมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ดูดกลืนที่ทรงพลัง แถมยังสามารถใช้งานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อื่นที่เคยดูดกลืนมาไปพร้อมกันได้ด้วย”
หลิงฮันดวงตาเป็นประกาย อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ดูดกลืนคืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ประเภทนี้สามารถดูดกลืนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อื่นๆได้ทั้งหมดทั้งมวล
“แล้วอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อื่นของมันคืออะไร?” หลิงฮันถาม
“อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนี” สุนัขตัวดำกล่าว “หากไม่เพราะอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีล่ะก็ มันจะหลบหนีนายท่านหมาได้นานขนาดนั้นรึ?”
หลิงฮันคร้านจะต่อล้อต่อเถียง “แล้วเจ้ามีแผนการอะไรรึยัง?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” สุนัขตัวดำพยักหน้า “แผนการคือต้องจับมันมาให้ได้!”
บัดซบ คำพูดไร้ประโยชน์นั่นน่ะรึคือแผนการของเจ้า
ตอนที่ 1800 สูญเสีย
ไอ้ที่ต้องจับมาให้ได้น่ะมันแน่อยู่แล้ว แต่ที่ข้าอยากรู้คือทำยังไงถึงจะจับมันได้ต่างหาก?
ช่างเป็นสุนัขที่พึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย
หลิงฮันส่ายหัวเลิกสนใจสุนัขตัวดำและลงมือเอง
เขาทะยานร่างออกไปพร้อมกับโคจรทักษะควบคุมเปลวเพลิง เพลิงเก้าสวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมาและแปรเปลี่ยนกลายเป็นดาบเล่มยาวพุ่งเข้าใส่กระต่ายสมุนไพรนิรันดร์ แต่เนื่องจากเขาไม่ต้องการทำให้สมุนไพรได้รับความเสียหาย เขาจึงควบคุมพลังของดาบเพลิงเอาไว้และจะสลายมันในจังหวะที่เหมาะสม
กระต่ายขาวที่เห็นการโจมตีพุ่งเข้ามาก็หยุดกินแครอททันที มันรีบหันหลังและเผ่นหนี
ความเร็วของมันน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ ระยะห่างของมันกับหลิงฮันก็ค่อยๆแยกจากกัน
“มิติเอกเทศ!” หลิงฮันยื่นมือไปด้านหน้าและโคจรอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติ
เพียงแต่ว่าปฏิกิริยาตอบโต้ของกระต่ายขาวนั้นรวดเร็วยิ่งกว่า มันพลิกตัวหลบกระบวนท่าของหลิงฮันและทะยานร่างจากไปไม่เหลือแม้แต่เงา
หลิงฮันชะงักแข็งค้าง นี่เป็นครั้งแรกที่มิติเอกเทศใช้ไม่ได้ผลอย่างสิ้นเชิง แถมยังเป็นครั้งแรกที่มิติเอกเทศสัมผัสไม่โดนเป้าหมายด้วย
กระต่ายสมุนไพรนิรันดร์ตนนั้นจะต้องสามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีได้ไม่ผิดแน่ เพราะไม่อย่างนั้นปฏิกิริยาตอบโต้และความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันคงไม่ว่องไวขนาดนั้น
หากเป็นแบบนี้คงต้องหาวิธีอื่นในการจับมัน
กลุ่มหลิงฮันออกตามหากระต่ายขาวจนเจอตัวมันอีกครั้ง สมุนไพรนิรันดร์ตนนี้ไม่รู้ว่าสติปัญญาของมันน้อย หรือจงใจหยอกล้อพวกเขาอยู่กันแน่ มันถึงได้เลือกหนีมาไม่ไกลแบบนี้
หลิงฮันนำเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตออกมาจากหอคอยทมิฬ และสั่งให้สมุนไพรนิรันดร์ต้นนี้ไปพูดโน้มน้าวกระต่ายขาว โดยหากจำเป็นต้องยอมเสียสละหยดสมุนไพรเล็กน้อยก็ให้ยอมๆไป
เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตคัดค้าน แต่ก็ถูกหลิงฮันเตะก้นลอยกระเด็นไปตกที่ด้านหน้ากระต่ายขาว
“เอ่อ ข้ามีชื่อว่าเสี่ยวชี (เจ็ดน้อย)” เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตฝืนยิ้มประจบประแจง “แล้วพี่ใหญ่ล่ะมีชื่อเรียกว่าอะไร?”
กระต่ายขาวจ้องมองอยู่ชั่วขณะก่อนที่จู่ๆดวงตาสีแดงฉานของมันจะส่องประกาย มันไม่พูดพล่ามและอ้าปากกว้างเขมือบเข้าใส่เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตทันที
“แม่จ๋าาา!” เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตรีบหันหลังเผ่นหนี แต่ทว่าความเร็วของกระต่ายขาวนั้นว่องไวยิ่งกว่า ‘ฉึบ’ ปากของกระต่ายขาวงับเข้าที่ก้นของเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตอย่างจัง
“อ้ากกก!”
ก้นของเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตมีหยดสมุนไพรจำนวนมากไหลออกมา และถูกกระต่ายขาวดูดกลืนไปจนหมด ไม่เหลือทิ้งเหลือขว้างเลยแม้แต่หยดเดียว
“เจ้าหนูชั่ว ช่วยข้าด้วย!” เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตวิ่งมายังทิศทางของหลิงฮันอย่างเอาเป็นเอาตาย
ทางด้านของกระต่ายขาวเองก็ไม่ยอมปล่อยให้เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตหลบหนี และทำการวิ่งตามมาติดๆ
หลิงฮันลงมืออย่างไม่ลังเล แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้กระต่ายขาวกลืนกินสมุนไพรนิรันดร์เพียงต้นเดียวของเขาเด็ดขาด ‘พรึบ’ เพลิงเก้าสวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมาและแปรเปลี่ยนเป็นแส้ฟาดเข้าใส่กระต่ายขาว
เจ้ากระต่ายขาวรีบขยายปากกว้างและปลดปล่อยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ดูดกลืนออกมาเพื่อรับมือ
แต่น่าเสียดายที่เพลิงเก้าสวรรค์นั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป หลังจากต้านทานอยู่ได้ไม่นานมันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องฝืนปิดปากและกระโดดล่าถอย
“เจ้าหนู ก้นของข้าหายไปแล้ว!” เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตร้องโอดครวญ ถึงแม้ก้นของมันจะสามารถงอกขึ้นใหม่ได้ แต่ทุกๆส่วนบนร่างกายของมันล้วนแต่เป็นแก่นพลังสมุนไพรนิรันดร์ที่ล้ำค่า แม้จะมีส่วนใดส่วนหนึ่งหายไปเพียงเล็กน้อย ก็ยังถือว่าเป็นความสูญเสียครั้งมหาศาล
หลิงฮันอารมณ์บูดบึ้งเป็นอย่างมาก เขารีบนำเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตกลับเข้าหอคอยทมิฬและจดจ้องสายตาไปยังกระต่ายขาว ในเมื่อสมุนไพรนิรันดร์ต้นนี้ตั้งตัวเป็นศัตรู เขาก็จะต้องใช้ทุกวิถีทางในการจับมันมาให้ได้
“สมุนไพรนิรันดร์ต้นนั้นคิดจะดูดกลืนสมุนไพรนิรันดร์อีกต้น เพื่อต้องการยกระดับความเร็วในการเติบโตของตัวเอง!” ทันทีที่สุนัขตัวดำกล่าวจบ จู่ๆกระต่ายขาวก็อ้าปากกว้างและส่งเสียงคำรามออกมา หัวที่เคยอยู่ในรูปลักษณ์กระต่ายของมันค่อยๆบิดเบี้ยว และเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นหัวหมาป่า
“…เป็นเพราะมันดูดกลืนแก่นสมุนไพรของเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตเข้าไป มันจึงได้รับความสามารถในการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตติดไปด้วย” ดวงตาของสุนัขตัวดำส่องประกายก่อนจะตะโกน “เจ้ากระต่าย ไหนลองเปลี่ยนหัวเป็นสุนัขให้ข้าดูสิ!”
หลิงฮันกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม “หมาป่ากับสุนัขก็เหมือนกันไม่ใช่รึ?”
“ไสหัวไปให้พ้น! หมาป่ากับสุนัขนั้นต่างชั้นกันดั่งฟ้ากับเหว ต่อให้เอาหมาป่าหมื่นตัวมารวมกันก็ยังมีค่าไม่เท่ากับขนเส้นหนึ่งของสุนัข!” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
สมุนไพรนิรันดร์ร่างกระต่ายหัวหมาป่าจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาที่เย็นชาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจหันหลังและกระโดดหนีไป
มันเองก็รู้ตัวดีว่าหลิงฮันนั้นไม่ใช่คนที่จะไปยั่วยุได้ง่ายๆ และในเมื่อสมุนไพรนิรันดร์ตนนั้นไม่อยู่แล้วมันจึงไม่คิดจะสู้กับหลิงฮันต่อ อันที่จริง หากตัวมันไม่ได้ประโยชน์อะไรล่ะก็ โดยปกติมันจะเผ่นหนีจอมยุทธทุกคนที่พบเจอ
“การจะไล่จับสมุนไพรที่มีสติปัญญาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” หลิงฮันรู้สึกรันทดเล็กน้อย
ครั้งนี้เขาไม่ได้ไล่ตามไป เพราะไม่ต้องการพยายามอย่างเปล่าประโยชน์
เอาไว้รอให้พลังของเขาแข็งแกร่งกว่านี้ก่อน เขาค่อยมาไล่จับสมุนไพรต้นนี้อีกครั้ง
กลุ่มของพวกเขาออกเดินทางมุ่งหน้าต่อไปยังส่วนลึกของพื้นที่รกร้าง ราวๆห้าวันต่อมา ที่บริเวณเบื้องหน้าของพวกเขาก็ปรากฏหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพียงแต่หมู่บ้านที่ว่านั้น อยู่ในสภาพเก่าทรุดโทรมจนแทบจะไม่หลงเหลือซากปรักหักพังให้เห็น
ตรงบริเวณกึ่งกลางของหมู่บ้าน มีต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวต้นหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่
“เจ้าหนู เจ้าช่างโชคดีจริงๆ ต้นอสูรปีศาจขาว!” จู่ๆสุนัขตัวดำก็กล่าวขึ้นมา “ถึงแม้อายุขัยของต้นอสูรปีศาจขาวจะไม่ยาวนาน แต่หลังจากที่มันแห้งเหี่ยวตายไปแล้ว ก็มีโอกาสที่มันจะดูดซับพลังวิญญาณอันผันผวนโดยรอบและให้กำเนิดแก่นหัวใจพฤกษา”
“สิ่งนั้น… มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางเพศ!”
เพิ่มให้น้องสาวเจ้าสิ!
ตอนที่ 1801 ต้นอสูรปีศาจขาว
“สุนัขต่ำช้า นี่เจ้าคงอยากถูกทุบตีมากสินะ?” หลิงฮันกล่าวด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
สุนัขตัวดำยืดตัวโอบไหล่หลิงฮันและกล่าว “ฮ่าๆ ก็เห็นแขนขาของเจ้าอ่อนแรงขนาดนั้น เลยนึกว่าประสิทธิภาพในด้านนั้นของเจ้าบกพร่องเสียอีก!”
“ไปให้พ้น!” หลิงฮันยกเท้าออกแรงเตะ
สุนัขตัวดำเคลื่อนไหวหลบได้อย่างว่องไวก่อนจะกล่าวต่อ “เอาล่ะๆ ไม่เล่นแล้วก็ได้ ต้นอสูรปีศาจขาวคือพืชที่ดูดซับพลังวิญญาณทุกประเภทมากักเก็บเอาไว้ จนกลายเป็นปราณพิฆาต หากเจ้าดูดซับมันได้ พลังโจมตีที่ปลดปล่อยออกไปด้วยปราณพิฆาตจะรุนแรงไปถึงชั้นสวรรค์”
“ยิ่งกว่านั้นหากเจ้าโชคดีสามารถเรียนรู้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์สังหารมาจากมันได้ด้วยล่ะก็ ต่อให้คู่ต่อสู้เป็นราชาในหมู่ราชา โอกาสชนะของเจ้าก็จะเพิ่มขึ้นจากเดิมหลายส่วน”
หลิงฮันกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ดำน้อย เจ้าน่ะไม่ว่าดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนดีเลยแม้แต่น้อย แต่เหตุใดถึงได้ทำดีต่อข้านัก?”
“ฮึ่ม ก็แค่นายท่านหมารู้สึกถูกชะตากับเจ้า ก็เลยอยากมอบสิ่งดีๆให้ก็เท่านั้น” สุนัขตัวดำเค้นเสียงฮึดฮัด
“แล้วเจ้าไม่คิดอยากได้เองบ้างรึ?” หลิงฮันถามอีกครั้ง
ในตอนที่บุกรุกไปยังภูเขาสมุนไพรของตระกูลหานก็เหมือนกัน ทั้งๆที่เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตเป็นถึงสมุนไพรระดับนิรันดร์แท้ๆ แต่สุนัขตัวดำก็ไม่คิดจะขอส่วนแบ่งใดๆจากเขาเลย แถมตอนนี้ยังคิดจะมอบแก่นหัวใจพฤกษาให้แก่เขาอีก
หากลองคิดย้อนกลับไปแล้ว ถึงแม้สุนัขตัวดำจะชอบสร้างปัญหาให้หลิงฮันหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็กลายเป็นว่าหลิงฮันเป็นฝ่ายได้ผลประโยชน์จากปัญหาเหล่านั้นแทน
“ข้าผู้นี้คือเทพสุนัขแห่งสวรรค์และปฐพีที่เกิดมาแข็งแกร่งอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาของนอกกายมาช่วยบ่มเพาะพลัง” สุนัขตัวดำกล่าว
แน่นอนว่าหลิงฮันย่อมไม่เชื่อ บางทีสุนัขไร้ยางอายตนนี้อาจจะแอบช่วยเหลือเขาอยู่อย่างลับๆ เพื่อที่เขาจะได้แข็งแกร่งขึ้นและช่วงชิงทุกอย่างไปในคราวเดียว
หรือถ้าไม่เช่นนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะสุนัขไร้ยางอายตนนี้หวังดีต่อเขาจริงๆ
แต่ในโลกนี้จะมีคนที่หวังดีโดยที่ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่จริงๆรึ?
“เจ้าสามารถเชื่อใจสุนัขไร้ยางอายตนนั้นได้!” จู่ๆหอคอยน้อยก็เอ่ยแทรก
หลิงฮันตกตะลึง “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร? อืม… คงไม่ใช่ว่าพวกเจ้ารู้จักกันมาก่อนหรอกนะ?”
หอคอยน้อยแน่นิ่งไปชั่วขณะก่อนจะกล่าว “ข้ายังมีความทรงจำอีกมากมายที่หายไป แต่ความรู้สึกของข้าบอกว่าสุนัขตัวนั้นสามารถเชื่อถือได้”
“พวกเจ้าจะต้องเคยรู้จักกันมาก่อนแน่!” หลิงฮันกล่าวอย่างมั่นใจ เพราะที่ผ่านๆมาหอคอยน้อยไม่เคยพูดเลยสักครั้งว่าใครสามารถเชื่อใจได้ ยิ่งกว่านั้นการกระทำของสุนัขตัวดำที่คอยช่วยเหลือเขาผ่านปัญหาต่างๆที่นำมาให้นั้น ก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับผู้อาวุโสที่คอยชี้แนะรุ่นเยาว์
หอคอยสามภพกับสุนัขตัวดำ… ไม่รู้ว่าแต่ก่อนทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
หลิงฮันไม่เอ่ยถามต่อ เพราะรู้ดีว่าทั้งสุนัขตัวดำและหอคอยน้อยนั้นสูญเสียความทรงพลังไปหลายส่วน แถมถ้าหากทั้งสองไม่คิดจะปริปากพูดด้วยแล้ว ถึงถามไปทั้งสองก็ไม่ยอมเล่าให้เขาฟังอยู่ดี
“งั้นก็ไปเก็บแก่นหัวใจพฤกษากันเถอะ” หลิงฮันกล่าว
ทั้งสามคนเดินเข้าไปยังหมู่บ้านที่ตอนนี้กำแพงได้พังทลายจนเหลือความสูงแค่หัวเข่า ด้วยความสูงของกำแพงเพียงเท่านี้จึงไม่ได้บดบังระยะสายตาของพวกเขา ต้นอสูรปีศาจขาวที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้น ในความเป็นจริง นอกจากรูปทรงที่เหมือนต้นไม้ของมันแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรเลยที่เหมือนต้นไม้ ที่บริเวณลำต้นของมันมีใบหน้าจำนวนมากโผล่ออกมา ซึ่งดูๆไปแล้วก็คล้ายคลึงกับใบหน้ามนุษย์อยู่ไม่น้อย
“หืม มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!” จู่ๆสุนัขตัวดำก็หยุดเดินและจ้องเขม็งไปยังต้นอสูรปีศาจขาว
“มีอะไรงั้นรึ?” หลิงฮันเองก็หยุดเดินและรั้งจักรพรรดินีเอาไว้
“ดูเหมือนที่นี่จะมีอะไรบางอย่างผิดปกติเสียแล้ว” สุนัขตัวดำส่ายหัว
“ต้นอสูรปีศาจขาว!” ใครบางคนโผล่มาจากด้านหลังของพวกเขาและอุทานขึ้นมา
คนที่ปรากฏตัวคือชายวัยกลางคนในช่วงอายุสามสิบปี เขาเมินเฉยพวกหลิงฮันสามคนอย่างสิ้นเชิงและพุ่งพรวดเข้าไปใกล้ต้นอสูรปีศาจขาว พร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่ยักษ์ในมือ
แต่ทันใดนั้นเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น ต้นอสูรปีศาจขาวราวกับว่ากลับมามีชีวิต บริเวณลำต้นของมันแยกออกจากกันและปล่อยหมอกสีเขียวออกมาโอบล้อมไปทั่วร่างชายวัยกลางคน
หมอกสีเขียวค่อยๆสลายไปโดยแปรสภาพกลายเป็นเมือกเหนียวรัดร่างของชายวัยกลางคนเอาไว้ แถมเมือกเหนียวยังมีฤทธิ์เป็นพิษ ส่งผลให้ร่างกายของชายวัยกลางคนอ่อนแรงจนไม่สามารถขยับหนีได้
“ฮึ่ม!” ชายวัยกลางคนโคจรปราณก่อเกิดเป็นโล่คุ้มกันร่างกาย และต้านทานพิษของเมือกเหนียว แต่ความพยายามของเขาก็ไม่เกิดผล เพราะโล่ปราณก่อเกิดที่สร้างขึ้นได้แหลกสลายไปอย่างรวดเร็ว
ในจังหวะนั้นเอง ที่บริเวณรอยแยกของลำต้นอสูรปีศาจขาวก็ได้มีกิ่งยื่นออกมา กิ่งที่ว่าได้ทำการรัดร่างชายวัยกลางคนและดึงเขาเข้าไปยังรอยแยกของลำต้น
“ช่วยข้าด้วย!” ชายวัยกลางคนร้องโอดครวญขอความช่วยเหลือจากพวกหลิงฮัน แต่ทันทีที่ดวงตาของเขากวาดมองไปยังจักรพรรดินี สีหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความตกตะลึง จนลืมส่งเสียงขอความช่วยเหลือไปชั่วขณะ
จักรพรรดินีในตอนนี้ไม่ได้สวมผ้าปิดหน้าเอาไว้ ทำให้ความงดงามของนางถูกเปิดเผยออกมาอย่างไม่มีสิ่งใดปกปิด
หลิงฮันหัวเราะและทะยานร่างไปด้านหน้า แต่แทนที่เขาจะยื่นมือเข้าไปช่วยดึงร่างของชายวัยกลางคนกลับมา เขากลับโคจรเพลิงเก้าสวรรค์เป็นดาบและโจมตีใส่ต้นอสูรปีศาจขาวแทน
‘ครืนน’ เมื่อดาบเปลวเพลิงถูกกวัดแกว่งออกไป ต้นอสูรปีศาจขาวก็พ่นหมอกสีเขียวออกมาอีกครั้ง โดยคราวนี้มีเป้าหมายคือหลิงฮัน
แต่คิดว่าอำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์นั้นน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน? หมอกสีเขียวที่ลอยเข้ามาถูกดาบเพลิงกวาดเผากลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา
หลังจากกวัดแกว่งดาบไปพักหนึ่ง คลื่นความร้อนก็ได้แผ่ขยายเป็นวงกว้าง และเมือกสีเขียวที่รัดร่างของชายวัยกลางคนเอาไว้ก็ถูกหลอมละลายหายไป
ชายวัยกลางคนรีบลุกขึ้นยืนและเผ่นหนีด้วยความหวาดกลัว
หลิงฮันไม่ล่าถอย เขากวัดแกว่งดาบเพลิงเข้าโจมตีต้นอสูรปีศาจขาวต่อ
ซึ่งในจังหวะนั้น จู่ๆใบหน้าจำนวนมากบนต้นอสูรปีศาจขาวก็ดิ้นยั้วเยี้ยไปมา ลำต้นของมันเปิดกว้างยิ่งกว่าเดิมพร้อมกับมีร่างไร้ศีรษะค่อยๆโผล่ออกมาทีละตัว ร่างไร้ศีรษะแต่ละร่างถูกกัดกร่อนจนปรากฏรูนับพันตามร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็สามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างน่าประหลาด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น