Alchemy Emperor of the Divine Dao 1767-1787

ตอนที่ 1767 สตรีจอมห้าว

 

“ฮ่าๆ ของแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย!” เซี่ยงเหยี๋ยนแสร้งทำเป็นถ่อมตัว


ซือถูถังตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาเทเม็ดยาออกมาและตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความตื่นเต้นจนหนวดกระพือ


เพื่อที่จะฟื้นฟูสูตรเม็ดยาโบราณให้กลับมาสมบูรณ์ และหลอมเม็ดยาวายุเพลิงเก้าเมฆาให้สำเร็จ เขาได้ใช้เวลาศึกษาไปกว่าหนึ่งพันล้านปี และถึงขนาดยอมบาดหมางกับสหายคนสนิทอย่างเซี่ยงเหยี๋ยน


ซือถูถังเชื่อว่าวิธีที่เขาคิดค้นอยู่คือวิธีที่ถูกต้อง และสักวันจะสามารถหลอมเม็ดยาได้สำเร็จตามหลักการของตนเอง เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนแม้แต่น้อยว่าเฒ่าชราที่เป็นคู่แข่งของเขา จะเป็นฝ่ายทำสำเร็จก่อน


“โอ้ ปู่เหยี๋ยน ท่านหลอมเม็ดยาสำเร็จแล้วจริงๆรึ?” ซือถูเซี่ยวเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ ราวกับชายชราตรงหน้าไม่ใช่ปรมาจารย์นักปรุงยา


“ใช่แล้ว ปู่ของเจ้าไม่อาจเทียบชั้นกับข้าได้” เซี่ยวเหยี๋ยนกล่าวด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ


ในความเป็นจริง เขากับซือถูถังบาดหมางกันเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น แต่สายสัมพันธ์ความเป็นมิตรของพวกเขายังคงอยู่เหมือนเดิม เพราะงั้นเขาจึงมองซือถูเซี่ยวเจินเปรียบดั่งหลานสาวของตนเอง


“ปู่เหยี๋ยน ท่านสุดยอดมาก!” ซือถูเซี่ยวเจินยกนิ้วโป้ง


“จะ… เจ้าทำสำเร็จได้อย่างไร?” หลังจากตั้งสติได้ ซือถูถังก็เอ่ยถาม


“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ก็วิธีการของข้าคือวิธีการที่ถูกต้องน่ะสิ ยิ่งกว่านั้นทักษะการปรุงยาของเขาก็อยู่เหนือเจ้าด้วย” เซี่ยงเหยี๋ยนกล่าวอย่างหน้าด้านๆ


ความจริงนั้นหากไม่ใช่เพราะการช่วยเหลือของหลิงฮัน ตัวเขาในตอนนี้ก็ยังคงหลงทางวนเวียนอยู่ที่เดิม


แน่นอนว่าซือถูถังไม่มีทางเชื่อ เขารู้จักเซี่ยงเหยี๋ยนดีเสียยิ่งกว่าเซี่ยงเหยี๋ยนรู้จักตัวเองเสียอีก หลังจากเค้นถามอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเซี่ยงเหยี๋ยนก็ยอมบอกความจริง


ซือถูถังจดจ้องไปที่หลิงฮันพร้อมกับกล่าว “เจ้าหนู มาเรียนศาสตร์ปรุงยาจากข้าดีกว่า”


“ไสหัวไป ข้าเป็นคนเจอตัวเขาก่อน!” เซี่ยงเหยี๋ยนคำรามหนวดกระพือทันที


“เจ้านั่นแหละไสหัวไป ความสามารถของเจ้ามีแต่จะชี้นำผู้อื่นไปในทางที่ล้มเหลว เด็กหนุ่มผู้นี้สมควรได้รับคำชี้แนะจากข้ามากกว่า”


ชายชราทั้งสองถลึงตาและกัดฟันแยกเขี้ยวใส่กัน ท่าทางของทั้งสองคนในตอนนี้ ไม่หลงเหลือความเป็นปรมาจารย์นักปรุงยาอยู่เลยแม้แต่น้อย


“พวกเราไปกันเถอะ หากเฒ่าชราทั้งสองคนได้ทะเลาะกันแล้วล่ะก็ อย่างน้อยสิบวัน พวกเขาก็คงยังไม่หยุดสู้กัน” ซือถูเซี่ยวเจินกล่าวพร้อมกับปรบมือ


เมื่อพวกเขาเดินกลับออกมาจากลานที่พัก จู่ๆเสียงการปะทะโครมครามก็ดังออกมา พร้อมกับชายชราทั้งสองได้เริ่มทำการต่อสู้กัน


“ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะมีสามหัวหกแขนเสียหน่อย เหตุใดท่านปู่ทั้งสองถึงได้ชื่นชอบเจ้ากันนะ?” ซือถูเซี่ยวเจินจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาอันงดงาม “หรือว่าตรงนั้นของเจ้าจะใหญ่ยาว?” สายตาของนางกวาดลงมายังช่วงล่างของหลิงฮัน


หลิงฮันหันไปมองฟู่เกาหยุน ในขณะที่อีกฝ่ายก็หันมามองเขาเช่นกัน ‘สตรีผู้นี้ช่างไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย!’


“พี่ชายฟู่ ไม่ใช่ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่า พวกเราต้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่งหรอกรึ?” เขากล่าวกับฟู่เกาหยุน


“จริงด้วย!” ฟู่เกาหยุนรีบทำท่าปรบมือราวกับเพิ่งนึกบางอย่างออก “ข้าเกือบลืมไปเลย ไปกันเถอะ!”


พวกหลิงฮันหันหลังและหลบหนีอย่างรวดเร็ว


“คิดว่าจะหลอกข้าได้รึไง?” ซือถูเซี่ยวเจินแสยะยิ้มและไล่ตาม


เพียงแต่ว่า ความเร็วของนางไม่สามารถเทียบกับหลิงฮันและฟู่เกาหยุนได้ หลังจากไล่ตามไม่นานนางก็คลาดสายตาจากทั้งสอง นางหยุดฝีเท้าก่อนจะพึมพำกับตัวเอง “ในเมืองนี้ ข้าไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะหลบหนีไปไหนได้ อีกไม่นานข้าจะต้องตามหาตัวพวกเจ้าให้เจอ!”


“น้องชายหลิง ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เจ้ากับน้องสะใภ้จะต้องเข้าร่วมสำนักเทียนหลง (มังกรสวรรค์)” ฟู่เกาหยุนหยุดเท้าและกล่าวกับหลิงฮัน


“อะไรคือสำนักเทียนหลงรึ?”


“มันคือสำนักที่ก่อตั้งโดยตระกูลฟู่ของเรา นอกจากคนของตระกูลฟู่แล้ว ที่นั่นก็มีอัจฉริยะจากตระกูลต่างๆที่ตระกูลฟู่รับมาฝึกฝนอยู่ด้วย” ฟู่เกาหยุนอธิบาย “ยกตัวอย่างก็ จ่างซุนเหลียงแห่งนิกายจันทราหม่นแสง”


“หากไม่ใช่เพราะเงื่อนไขต่ำสุดที่จะเข้าร่วมสำนักได้ คือระดับโลกียนิพพานล่ะก็ จ่างซุนเหลียงคงมาที่นี่ตั้งนานแล้ว”


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “แล้วภรรยาของข้าล่ะ?”


“ฮ่าๆ เพราะเป็นเจ้าไงล่ะ ตระกูลฟู่ถึงได้ยกเว้นน้องสาวสตรีนกอมตะให้เป็นกรณีพิเศษ ทางตระกูลฟู่ขอรับประกันได้เลยว่า นางจะต้องบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานได้ ภายในหนึ่งร้อยล้านปีแน่นอน” ฟู่เกาหยุนตบหน้าอก


ตระกูลฟู่ให้ความสำคัญกับหลิงฮันเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงแค่เพราะเขามีพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธที่โดดเด่น แค่ยังเป็นเพราะว่าเซี่ยงเหยี๋ยนถูกใจในตัวเขา


บรรลุระดับโลกียนิพพานในหนึ่งร้อยล้านปี?


ตามหลักแล้ว ระยะเวลาเท่านี้ไม่ถือว่าช้า แต่ยังเร็วมากเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าหลิงฮันนั้น ไม่ต้องการให้สตรีนกอมตะตัดผ่านนิพพานด้วยวิธีทั่วไป แต่ต้องการให้นางบรรลุเป็นนิรันดร์ด้วยการตัดขาดสวรรค์และปฐพี


บางทีในโลกนี้อาจจะมีเม็ดยานิรันดร์ ที่สามารถช่วยให้ตัดขาดสวรรค์และปฐพีอยู่ก็เป็นได้


หลิงฮันเชื่อมั่นในทักษะการปรุงยาของตัวเอง แม้ตอนนี้จะยังหลอมเม็ดยาแบบที่ว่าไม่ได้ แต่อนาคตภายภาคหน้า ซึ่งอาจจะเป็นตอนที่เขาบรรลุเป็นราชานิรันดร์ เขาอาจจะหลอมเม็ดยาสำหรับตัดขาดสวรรค์และปฐพีสำเร็จก็เป็นได้


ฟู่เกาหยุนขอตัวจากไป หลิงฮันใช้เวลาหลังจากนั้นนำแร่โลหะจำนวนมากออกมาให้ดาบอสูรนิรันดร์ดูดกลืน เมื่อแร่โลหะทั้งหมดกลายเป็นเศษเหล็ก ดาบอสูรนิรันดร์ก็ยกระดับกลายเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สองดาวในที่สุด


“ขนาดแค่จะทำให้ดาบอสูรนิรันดร์ยกระดับเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สองดาว ข้ายังเผาผลาญเงินไปเกือบจะสองในสามส่วน ในอนาคตหากต้องการให้มันกลายเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์เจ็ดหรือแปดดาว ข้านึกไม่ออกเลยว่าจะต้องใช้ทรัพยากรมากมายเพียงใด” หลิงฮันรู้สึกกังวล จำนวนศิลาดวงดาวที่เขาต้องใช้ในตอนนั้น คงมากมายเกินจินตนาการ


“ช่างมันไปก่อนแล้วกัน เมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้น ก็ย่อมหาเงินได้เยอะขึ้นเอง”


หนึ่งวันต่อมา หลิงฮัน จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะได้มุ่งหน้าสู่สำนักเทียนหลง และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา จักรพรรดินีจึงนำผ้าคลุมหน้ามาสวมใส่อีกครั้ง


หลังจากเดินทางอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็มาถึงจุดหมาย


สำนักเทียนหลงมีขนาดมหึมาเป็นอย่างมาก!


อาณาเขตของสำนักมีขนาดกว้างใหญ่เทียบเคียงกับเมืองธุลีจันทรา ภายในสำนักมีทั้งภูเขาและทะเลสาปมากมายตั้งอยู่


ทางเข้าของสำนักนั้นมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับสำนักที่กว้างขวาง เสารั้วสองฝั่งมีความสูงเพียงราวๆหนึ่งร้อยฟุตเท่านั้น แถมยังไม่มีบานประตูปิดทางเข้าเอาไว้อีก


แต่ถึงแม้จะไม่มีบานประตู ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถผ่านทางเข้าสำนักไปได้ เนื่องจากทางเข้าสำนักนั้น แท้จริงแล้วเป็นรูปแบบอาคมที่หากไม่มีแผ่นป้ายตราประทับ จะไม่สามารถผ่านเข้าไปได้


ในตอนที่พบเจอฟู่เกาหยุนเมื่อวาน อีกฝ่ายได้มอบแผ่นป้ายตราประทับสามแผ่น สำหรับผ่านทางเข้าไว้ให้พวกเขาแล้ว


ณ เวลานี้ที่ด้านหน้าทางเข้าดูเหมือนจะกำลังมีการทะเลาะเกิดขึ้น พวกหลิงฮันพบเห็นเม่าไต้กำลังมีปากเสียงกับรุ่นเยาว์คนหนึ่ง


“หากอยากผ่านทางก็จงคุกเข่าคลานลอดขาของข้าซะ ถ้าไม่ยอมทำก็จงไสหัวไป!”

 

 

 


ตอนที่ 1768 บังคับคลานลอดขา

 

รุ่นเยาว์ผู้นั้นอวดดีเป็นอย่างมากที่กล้าขวางทางเข้าของสำนักเทียนหลง แถมยังสั่งให้เม่าไต้คลานลอดขาของเขาอีก


แต่เม่าไต้คือใคร?


อัจฉริยะในระดับพลังของนิรันดร์จะยอมถูกทำให้อัปยศเช่นนั้นได้อย่างไร!


แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลไหนที่นี่ก็คืออาณาเขตของตระกูลฟู่ ซึ่งในฐานะคนที่เพิ่งมาใหม่แล้ว เม่าไต้ไม่อยากจะสร้างปัญหาใดๆขึ้นและพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยคำพูด


“ข้าไปล่วงเกินเจ้ารึไง?” เม่าไต้กล่าวด้วยน้ำเสียงมืดมน เนื่องจากที่แห่งนี้คือสำนักเทียนหลง นอกจากเขาแล้ว จางชงและเม่าซูอวี๋จึงไม่ได้อยู่ที่นี่


“ฮ่าๆๆๆ!” รุ่นเยาว์ผู้นั้นหัวเราะก่อนจะแสดงสีหน้าเหยียดหยาม “ขยะไร้ค่าเช่นเจ้า มีคุณสมบัติอันใดที่จะมาล่วงเกินข้าได้?”


เม่าไต้ไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม เขาพยายามระงับอารมณ์เอาไว้และกล่าว “เช่นนั้น ทำไมเจ้าถึงสร้างปัญหาให้ข้า?”


“ก็เพราะมันทำให้ข้าสนุกยังไงล่ะ!” รุ่นเยาว์ผู้นั้นเชิดคางเล็กน้อย


เม่าไต้รู้สึกว่าตนเองโชคร้ายเป็นอย่างมากที่ต้องมาตกเป็นหมายของอีกฝ่าย “ขอเสียมารยาท!” เม่าไต้กล่าวพร้อมกับเอื้อมมือขวาออกไป เขาตั้งใจที่จะผลักอีกฝ่ายให้หลบไปพ้นๆทาง


“ช่างโอหัง!” รุ่นเยาว์ผู้นั้นแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะผลักฝ่ามือออกมา ‘พรึบ’ ฝ่ามือของเขาปรากฏเปลวเพลิงที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากเปลวเพลิงทั่วไป เปลวเพลิงบนฝ่ามือนี้พัวพันไปด้วยตราประทับแห่งเต๋า


เม่าไต้ที่เห็นเช่นนั้นก็ไม่รอช้าและรีบกระโดดถอยหลังหลบทันที


“ทีนี้คิดหนีรึ?” รุ่นเยาว์ผู้นั้นหัวเราะก่อนจะเบี่ยงฝ่ามือเพื่อไล่ตามเม่าไต้


สี่นิพพาน!


หลิงฮันที่มองดูอยู่เผยท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย


รุ่นเยาว์ที่ดูเหมือนนายน้อยจอมเสเพลผู้นี้เป็นนิรันดร์สี่นิพพาน!


จากรูปลักษณ์ใบหน้าที่ยังไม่แก่เฒ่า จึงสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายนั้นทะลวงผ่านระดับโลกียนิพานตั้งแต่เยาว์วัย เพราะหลังจากที่บรรลุเป็นนิรันดร์แล้ว อายุขัยจะกลายเป็นไร้ขีดจำกัดและรูปลักษณ์จะไม่เปลี่ยนแปลงไปอีกตลอดกาล


รุ่นเยาว์ผู้นั้นยังคงกระหน่ำปล่อยฝ่ามือไม่หยุดยั้ง


โชคดีที่เม่าไต้นั้นบรรลุเป็นนิรันดร์ด้วยการตัดนิพพานที่สมบูรณ์ ถึงแม้พลังต่อสู้ของเขาจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นราชา แต่รุ่นเยาว์ตรงหน้าก็เป็นเพียงนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานทั่วไป ซึ่งเม่าไต้ย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้ต่ออีกฝ่าย ในระยะเวลาสั้นๆ


หลิงฮันจ้องมองดูการต่อสู้ก่อนจะส่ายหัว ถึงแม้เม่าไต้จะบรรลุระดับนิรันดร์ด้วยการตัดนิพพานที่สมบูรณ์ แต่พลังต่อสู้ของทั้งสองก็ต่างกันเกินไป เกรงว่าหลังจากผ่านไปราวๆหนึ่งร้อยกระบวนท่า ความต่างชั้นของพลังคงแสดงผลออกมา และเมื่อผ่านไปหนึ่งพันกระบวนท่า เม่าไต้จะพ่ายแพ้ในที่สุด


แต่แน่นอนว่า หากเม่าไต้มีทักษะลับที่ทรงพลังเก็บซ่อนไว้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


“ดูเหมือนข้าจะดูถูกเจ้าไปหน่อย!” รุ่นเยาว์ผู้นั้นเผยสีหน้าประหลาดใจ เขาคิดว่าด้วยพลังระดับสี่นิพพาน เขาจะสามารถเอาชนะเม่าไต้ได้อย่างง่ายดาย


ในความเป็นจริง รุ่นเยาว์ผู้นี้เป็นเพียงนิรันดร์สี่นิพพานขั้นต้นเท่านั้น ในขณะที่เม่าไต้เป็นนิรันดร์สามนิพพานขั้นสูงสุด ซึ่งหากไม่ใช่เพราะรุ่นเยาว์ผู้นี้ติดอยู่ในระดับพลังนี้มาเป็นเวลานาน จนขัดเกลาพลังต่อสู้จนแข็งแกร่งแล้วล่ะก็ ด้วยพลังต่อสู้ที่เทียบได้กับนิรันดร์สี่นิพพานขั้นต้นของเม่าไต้ เขาคงสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายเหนือกว่าได้แล้ว


“ฝ่ามือหยกทมิฬ!” รุ่นเยาว์ผู้นั้นเค้นเสียง ฝ่ามือของเขาได้แปรสภาพกลายเป็นสีดำ ซึ่งไม่ใช่สีดำทึบเหมือบน้ำหมึก แต่เป็นสีดำโปร่งใสราวกับเนื้อหยก บ่นฝ่ามือของเขาปรากฏลวดลายสีดำที่พัวพันไปด้วยตราประทับแห่งเต๋า


นี่คือทักษะยุทธของตระกูลฟู่ ฝ่ามือหยกทมิฬ!


เม่าไต้คำรามและทุบหน้าอกตัวเอง ทันใดนั้นแววตาของเขาก็ส่องปรากฏสีแดงฉาน และพลังต่อสู้ได้ถูกยกระดับขึ้นมาหลายเท่าตัว เขาทำการปลดปล่อยการโจมตีเข้าปะทะกับฝ่ามือสีดำที่พุ่งเข้ามา


‘ตูม’ การปะทะของทั้งสองส่งผลให้พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือน พร้อมกันนั้นเอง จู่ๆใต้พื้นดินก็ได้มีแสงสว่างสีทองพรั่งพรูออกมา ก่อนที่การสั่นสะเทือนจะหยุดลง


สำนักแห่งนี้ได้ติดตั้งรูปแบบอาคมคุ้มกันเอาไว้ โดยมันจะถูกกระตุ้นให้ทำงานทันที หากสัมผัสได้ถึงแรงปะทะที่รุนแรง


เมื่อฝุ่นควันจากการปะทะสลายไป ร่างของเม่าไต้ก็ยังคงอยู่ยืนที่เดิมด้วยสีหน้าซีดขาว มุมปากของเขาปรากฏรอยโลหิต และดวงตาอัดแน่นไปด้วยความเกรี้ยวกราด


“ทีนี้จะยอมคลานรึยัง?” รุ่นเยาว์ผู้นั้นอ้าขากว้างและชี้นิ้วลงที่ด้านล่าง


เม่าไต้กำหมัดอย่างเคียดแค้นจนเส้นเลือดปูดบวม


เขาไม่มีทางยอมรับความอัปยศอย่างการลอดผ่านช่องขาผู้อื่นแน่ แต่อย่างไรนี่ก็เป็นวันแรกที่เขาเข้าร่วมสำนักเทียนหลง หากเขาเข้าสำนักสายหรือขาดลา คิดว่าอาจารย์ในสำนักจะมองเขาอย่างไร?


หลิงฮันที่มองดูอยู่สะบัดแขนเสื้อก่อนจะก้าวเดินเข้าไปและกล่าว “เป็นวัฒนธรรมของที่นี่สินะ ที่ศิษย์ใหม่ของสำนักจะต้องคลานลอดช่องสุนัข”


รุ่นเยาว์ผู้นั้นชะงักก่อนจะรู้สึกเกรี้ยวกราด


เจ้าหาว่าระหว่างขาของข้าเป็นช่องลอดสุนัข?


“หลิงฮันงั้นรึ?” รุ่นเยาว์ผู้นี้หรี่ตาลงและมองด้วยสีหน้าเหยียดหยาม


หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ เมื่อใดกันที่เขามีชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักในตระกูลฟู่? เขาพยักหน้าและกล่าว “ถูกแล้ว ท่านปู่ของเจ้ามีนามว่าหลิงฮัน บุรุษที่แท้จริงย่อมไม่เปลี่ยนชื่อแซ่ของตัวเอง”


หากดวงวิญญาณของติงเซี่ยวเฉินยังอยู่ล่ะก็ เขาคงรู้สึกรันทดจนกระอักโลหิตออกมาเป็นแน่ นี่เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าเจ้านำชื่อข้าไปใช้มาแล้วกี่ครั้ง?


รุ่นเยาว์ผู้นั้นเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก ปู่ของข้าไม่ได้เยาว์วัยเหมือนกับเจ้าเสียหน่อย!


เขาพยายามระงับความโกรธเอาไว้และกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น “ข้าคือฟู่เจิ้งถง!”


“ไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน เจ้าเป็นหมูหมามาจากไหนกันล่ะ?” หลิงฮันสะบัดมือและกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า


การที่อีกฝ่ายปฏิบัติกับเม่าไต้เช่นนั้น แน่นอนว่าย่อมทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง


“ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีนิสัยอวดดี ซึ่งก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ!” ฟู่เจิ้งถงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

 

 

 


ตอนที่ 1769 ติดร่างแหมารับเคราะห์โดยไ...

 

ได้ยินมางั้นรึ?


หลิงฮันมองไปยังอีกฝ่ายและกล่าว “เหอๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าข้าเองก็มีชื่อเสียงพอสมควร”


“ข้าไม่ได้ชมเจ้า!” ฟู่เจิ้งถงแย้งทันที เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่คำพูดของหลิงฮันทำให้เขาสูญเสียการควบคุมอารมณ์ได้ง่ายเหลือเกิน


“ใครกันที่เป็นคนนำเรื่องของข้าไปซุบซิบนินทา?” หลิงฮันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


ฟู่เจิ้งถงแสยะยิ้มไปยังหลิงฮันก่อนจะกล่าว “ผู้สืบทอดของนิกายอาญาสิ้นแสง!”


เป่ยเสวียนหมิงงั้นรึ?


หากเป็นเป่ยเสวียนหมิง เรื่องราวก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น


เป่ยเสวียนหมิงนั้นเคยถูกเขาทุบตีจนหมดสภาพมาก่อน ซึ่งหมอนั่นก็คงจะมาทำการยุยงฟู่เจิ้งถงให้มาขวางทางเขาที่หน้าประตูสำนักในวันนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่าที่ฟู่เจิ้งถงอาจจะกำลังเบื่อพอดี จึงได้หาเรื่องเม่าไต้ หรือว่าฟู่เจิ้งถงรู้อยู่ก่อนแล้วกันแน่ว่าเม่าไต้เป็นมิตรสหายกับหลิงฮัน จึงได้จงใจหาเรื่อง


แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไร ที่เม่าไต้ต้องมาเคราะห์ร้ายในวันนี้ ก็เพราะเขาเป็นต้นเหตุ


“เจ้าเป็นลิ่วล้อของเป่ยเสวียนหมิง?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หมอนั่นถูกข้าทุบตีหมดสภาพจนไม่กล้ามาล้างแค้นด้วยตัวเองเลยรึไง ถึงได้ส่งขยะไร้ข้าเช่นเจ้ามาสร้างปัญหาให้ข้าแทน?”


ขยะไร้ค่างั้นรึ?


ฟู่เจิ้งถงแทบจะระเบิดโทสะออกมา


“หลิงฮัน เจ้าคิดว่ามีฟู่เกาหยุนคอยหนุนหลังแล้วจะสามารถทำตัวอวดดีได้?” ฟู่เจิ้งถงกล่าวด้วยท่าทางเหยียดหยาม แต่เมื่อสายตาของเขากวาดมองไปยังจักรพรรดิและสตรีนกอมตะ แววตาของเขาก็ส่องประกายขึ้นมาทันที


แน่นอนว่าที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเขาตกตะลึงในความงดงามของจักรพรรดินี ในด้านของสตรีนกอมตะ ถึงแม้นางเองก็งดงามเช่นกัน แต่ความงามระดับนี้ยังพอพบเจอได้อย่างน้อยสิบคนในเมืองหนึ่งเมือง ยิ่งกว่านั้นนางก็ยังไม่บรรลุระดับโลกียนิพพานด้วย เขาจึงไม่ค่อยรู้สึกสนใจเท่าไหร่


แต่กับจักรพรรดินีนั้นไม่ใช่ แม้รูปลักษณ์ของนางจะถูกปกปิดเอาไว้ แต่เรือนร่างที่สมบูรณ์แบบและกลิ่นอายอันสูงส่ง รวมถึงพลังบ่มเพาะระดับโลกียนิพพานได้ทำให้จิตใจของเขาสั่นไหว


หลิงฮันอุทาน ‘โอ้’ ออกมาก่อนจะกล่าว “ฟู่เกาหยุนไม่ใช่ผู้สืบทอดของตระกูลฟู่หรอกรึ?”


“ก็แค่หนึ่งในผู้มีคุณสมบัติ!” ฟู่เจิ้งถงกล่าวเหยียดหยาม


“ถ้างั้นเจ้าก็เป็นผู้แย่งชิงตำแหน่งผู้นำด้วยสินะ?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม คำพูดที่เขาเอ่ยถามออกไปนั้นเขาเพียงแค่ต้องการหยอกล้ออีกฝ่ายเท่านั้น หากคนที่ตัดผ่านนิพพานได้ไม่สมบูรณ์เช่นนี้ มีคุณสมบัติจะกลายเป็นประมุขตระกูลฟู่ในอนาคตล่ะก็ ตระกูลฟู่คงกลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะใส่ไปแล้ว


คราวนี้ฟู่เจิ้งถงไม่ได้แสดงท่าเกรี้ยวกราดออก แต่สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นคาดหวัง “แน่นอนว่าคนที่มีคุณสมบัติไม่ข้า แต่เป็นนายน้อยไห่! เขาคือผู้สืบทอดที่ในอนาคตจะได้เป็นผู้นำของตระกูลฟู่ หากฟู่เกาหยุนที่มีดีแค่ทักษะบรรเลงพิณได้เป็นผู้นำตระกูลฟู่ล่ะก็ ตระกูลฟู่ก็มีแต่จะได้รับความอัปยศ!”


ดูเหมือนว่าเนื่องจากตำแหน่งประมุขตระกูลจะเป็นอะไรที่น่าดึงดูดมากเกินไป ตระกูลฟู่จึงแบ่งออกเป็นหลายฝ่าย


หลิงฮันเข้าใจขึ้นมาทันทีว่า ที่ฟู่เจิ้งถงมาดักสร้างปัญหาให้แก่เขานั้น ไม่ใช่เพราะคำยั่วยุของเป่ยเสวียนหมิงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเขามีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฟู่เกาหยุนอีกด้วย


“ข้าไม่สนใจเรื่องภายในของตระกูลฟู่ ใครจะได้รับตำแหน่งประมุขก็ไม่เกี่ยวกับข้า” หลิงฮันส่ายหัว “เพียงแต่ว่าในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายคิดจะท้าทายข้าก่อน หากข้าไม่ทุบตีเจ้าให้ราบคาบ ข้าคงไม่อาจสงบจิตสงบใจได้”


“ฮ่าๆๆ นิรันดร์หนึ่งนิพพานเช่นเจ้าคิดว่าตัวเองสูงส่งมาจากไหน?” ฟู่เจิ้งถงหัวเราะ เจ้าหนูนี่คิดว่าตัวเองจะสามารถกร่างไปทั่วได้ เพียงเพราะมีพรสวรรค์เล็กน้อยรึไงกัน?


หลิงฮันเผยรอยยิ้ม “จะมัวพล่ามไร้สาระอยู่ทำไม รีบๆลงมือได้แล้ว เจ้าอาจจะไม่รู้แต่ข้าน่ะชอบทุบตีคนแบบเจ้าเป็นอย่างมาก”


“โอหัง!” ฟู่เจิ้งถงคำรามพร้อมกับพุ่งทะยานปลดปล่อยการโจมตีใส่หลิงฮัน


‘ครืนนน’ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันไร้ที่สิ้นสุดพรั่งพรูออกมาจากร่างของฟู่เจิ้งถง และควบแน่นกลายเป็นโซ่สีดำราวกับแมงมุมที่กำลังพ่นใยขนาดใหญ่


หลิงฮันทะยานร่างขึ้นหน้าเพื่อที่จะรับมือกับอีกฝ่ายซึ่งๆหน้า


พลังต่อสู้ของจักรพรรดินีในตอนนี้นั้นด้อยกว่าเขา นางสามารถต่อกรกับนิรันดร์สามนิพพานได้ แต่ไม่ใช่กับนิรันดร์สี่นิพพาน นอกเสียจากว่าพลังบ่มเพาะของนางจะบรรลุเป็นนิรันดร์สองนิพพานขั้นสูงสุด นางถึงจะรับมือกับนิรันดร์สี่นิพพานขั้นต้นได้


หลิงฮันเอื้อมมือออกไปคว้าโซ่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์และออกแรงดึง ร่างของฟู่เจิ้งถงที่ควบคุมโซ่อยู่ เดินกะโผลกกะเผลกไปมาจนทรงตัวไม่ไหว


“นิรันดร์สองนิพพาน!” ฟู่เจิ้งถงตกตะลึงและอุทานออกมา หลังจากหลิงฮันลงมือ เขาถึงเพิ่งรับรู้ถึงพลังบ่มเพาะของหลิงฮัน ซึ่งไม่มีทางมองผิดแน่นอน หากอีกฝ่ายเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานล่ะก็ เขายอมตัดหัวตัวเองเอามาใช้เตะแทนลูกบอลเลย!


เป่ยเสวียนหมิงช่างเชื่อถือไม่ได้ยิ่งนัก ไหนหมอนั่นบอกว่าหลิงฮันเพิ่งทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานสำเร็จ ในหุบเหวสืบสานนิพพานกัน? เห็นได้ชัดว่าหลิงฮันไปที่นั่นเพื่อทะลวงผ่านระดับสองนิพพาน ไม่ใช่เพื่อไปตัดนิพพานครั้งแรก


เขาไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาด หากจะบอกว่าหลิงฮันใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีหลังจากตอนนั้น ยกระดับจากนิรันดร์หนึ่งนิพพาน เป็นนิรันดร์สองนิพพานได้


“นิรันดร์สองนิพพานแล้วจะทำไม?” ฟู่เจิ้งถงพยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะกลับมาเผยท่าทีเหยียดหยามและเข้าปะทะกับหลิงฮัน


ตัวเขาคือนิรันดร์สี่นิพพาน ต่อให้หลิงฮันเป็นราชาในระดับสองนิพพานก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่


ปัง!


การโจมตีของทั้งสองเข้าปะทะกัน ร่างของทั้งสองฝ่ายสั่นสะท้านก่อนที่จะกระโดดล่าถอยเว้นระยะห่างพร้อมกัน และหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว


การโจมตีเมื่อครู่พวกเขาเสมอกัน


ครั้งนี้ใบหน้าของฟู่เจิ้งถงเผยให้เห็นถึงความตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด นี่มันเหลือเชื่อเกินไป… นิรันดร์ระดับสองนิพพานสามารถต่อกรกับเขาได้อย่างไร? ตัวเขาคือนิรันดร์สี่นิพพานขั้นต้น ต่อให้หลิงฮันมีพลังบ่มเพาะระดับสองนิพพานขั้นสูงสุด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่สมควรเป็นเช่นนี้


แม่เจ้า… หมอนี่มันเป็นสัตว์ประหลาดแบบใดกัน?!

 

 

 


ตอนที่ 1770 ดาบอสูรนิรันดร์สำแดงอำนาจ

 

ฟู่เจิ้งถงทำใจเชื่อไม่ลง


ศาสตร์วรยุทธมีกฎเหล็กในการสู้ข้ามระดับที่ไม่อาจทำลายได้ เพราะงั้นเรื่องเช่นนี้จึงไม่สมควรเกิดขึ้น


ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ พลังบ่มเพาะของหลิงฮันจะต้องไม่ใช่สองนิพพาน แต่เป็นสามนิพพานขั้นสูงสุด!


“ช่างเป็นพวกขี้ขลาดอะไรเช่นนี้ ทั้งๆที่มีพลังบ่มเพาะระดับสามนิพพาน แต่กลับจงใจฝึกฝนทักษะบางอย่างเพื่อปกปิดออร่าของตนเองเพื่อหลอกคนอื่น!” ฟู่เจิ้งถงกัดฟันและกล่าวอย่างเคียดแค้น


“พวกกบก้นบ่อ!” หลิงฮันคร้านจะโต้เถียงกับอีกฝ่าย เขาปล่อยหมัดออกไปพร้อมกับกระตุ้นพลังต่อสู้ให้สูงขึ้นกว่าเดิม


“จงศิโรราบต่อข้า!” ฟู่เจิ้งถงสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ในเมื่อเขากับหลิงฮันมีพลังต่อสู้ที่ทัดเทียมกัน งั้นสิ่งที่จะตัดสินผลแพ้ชนะได้ก็คือความเชี่ยวชาญในทักษะยุทธ


ด้วยการที่เป็นสมาชิกของตระกูลฟู่ มีรึที่เขาจะด้อยกว่าจอมยุทธจากเมืองหนึ่งดาว?


ปัง! ปัง! ปัง!


ทั้งสองฝ่ายเข้าห่ำหั่นกันด้วยทักษะยุทธ คลื่นกระแทกที่เกิดจากการปะทะส่งผลให้พื้นแผ่นดินสั่นสะเทือน


โชคดีที่สถานที่แห่งนี้มีรูปแบบอาคมคุ้มกันติดตั้งเอาไว้


และด้วยการที่บริเวณที่พวกหลิงฮันอยู่คือทางเข้าสำนัก จึงมีผู้คนเดินเผ่นผ่านเข้าออกไปมาอยู่ตลอดเวลา ผ่านไปไม่นาน ใครหลายคนก็สังเกตเห็นการต่อสู้ระหว่างหลิงฮันกับฟู่เจิ้งถงและหยุดดู แน่นอนว่ามีคนบางส่วนที่เมื่อพบเห็นจักพรรดินีแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจละสายตาไปจากนางได้


แต่เสน่ห์ของจักรพรรดินีก็ไม่สามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้นานนัก เพราะทุกคนเริ่มสังเกตเห็นว่าหลิงฮันนั้นเป็นเพียงนิรันดร์สองนิพพานเท่านั้น


น่าอัศจรรย์มาก เป็นไปได้อย่างไรที่นิรันดร์สองนิพพานจะแข็งแกร่งขนาดนี้? หากรุ่นเยาว์ผู้นี้บรรลุเป็นนิรันดร์สี่นิพพาน ไม่ใช่เขาจะต่อกรกับตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณได้เลยรึไง?


ตูม! ตูม! ตูม!


หลิงฮันระเบิดพลังต่อสู้ทั้งหมดออกมาและสู้ข้ามสองระดับได้อย่างไร้เทียมทาน ในที่สุดเขาก็พบเจอคู่ต่อสู้ที่ทำให้เขาต้องใช้พลังทั้งหมดได้เสียที


ยิ่งการต่อสู้ดำเนินต่อไปหลิงฮันก็ยิ่งหึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ฟู่เจิ้งถงเริ่มรู้สึกหวาดผวาขึ้นทีละน้อย เนื่องจากไม่ว่าจะดูยังไง หลิงฮันก็ไม่เหมือนกันนิรันดร์สามนิพพานเลยแม้แต่น้อย


เขาเริ่มอดรู้สึกไม่ได้ว่าอาจจะถูกเป่ยเสวียนหมิงหลอกเข้าให้แล้ว


เป่ยเสวียนหมิงนั้นไม่เคยกล่าวว่าตนเองถูกหลิงฮันโค่นล้มมาก่อน อีกฝ่ายบอกเพียงว่าหลิงฮันมาล่วงเกินตนเองและมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเฟิงเกาหยุน เพราะเหตุนั้นนายน้อยไห่ถึงได้บอกให้เขามาที่นี่เพื่อสั่งสอนหลิงฮัน


แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ ใครจะเป็นฝ่ายสั่งสอนใครกันแน่?


ไม่ว่าอย่างไรการต่อสู้ก็ดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะยอมถอยหลัง ในทางกลับกัน เขาจะต้องเอาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นในอนาคตเขาคงไม่มีหน้าไปพบใคร


ฟู่เจิ้งถงคำรามและนำดาบเล่มหนึ่งออกมา บนใบดาบเล่มนี้มีลวดลายอสรพิษถูกสลักเอาไว้ ‘ครืนน’ เมื่อปราณก่อเกิดถูกชี้นำเข้าสู่ตัวดาบ ลวดลายอสรพิษก็ส่องสว่างและมีร่างจำแลงของอสรพิษยักษ์ปรากฏออกมา


“พ่ายแพ้ไปซะ!” ฟู่เจิ้งถงกวัดแกว่งดาบสะบั้นเข้าหาหลิงฮัน ‘พรึบ’ ร่างจำแลงของอสรพิษยักษ์คดเคี้ยวไปมากลางอากาศและพุ่งทะยานใส่หลิงฮัน


“คิดว่ามีแค่เจ้าคนเดียวที่มีอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์?” หลิงฮันนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมา เมื่อไม่นานมานี้ดาบอสูรนิรันดร์เพิ่งจะถูกยกระดับกลายเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สองดาว ซึ่งเขาก็กำลังอยากจะทดสอบพลังของดาบอยู่พอดี


‘ครืนนนน’ เมื่อหลิงฮันสะบั้นดาบออกไป ดาบอสูรนิรันดร์ก็สั่นสะท้านพร้อมกับระเบิดคลื่นแสงอันเจิดจ้าขึ้นสู่ท้องฟ้า ปราณดาบนับไม่ถ้วนถูกปลดปล่อยออกมาและฉีกกระชากร่างจำแลงอสรพิษยักษ์ออกเป็นเศษซาก


แต่ถึงแม้ร่างเงาอสรพิษจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ปราณดาบก็ยังไม่สลายหายไปและยังคงพุ่งทะยานเข้าหาฟู่เจิ้งถง


“อะไรกัน!” ฟู่เจิ้งถงตกตะลึง เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าจอมยุทธจากขุมอำนาจที่อ่อนแอเช่นหลิงฮันจะมีอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์อยู่ในครอบครอง แถมยังทรงพลังยิ่งกว่าของเขาเสียอีก


เขารีบกระโดดล่าถอยอย่างรวดเร็ว ปราณดาบที่อุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ของหลิงฮันปลดปล่อยออกมานั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถบดขยี้ร่างกายของเขาได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้นั่นจะไม่ทำให้เขาเสียชีวิต แต่ใครบ้างจะอยากให้กายหยาบของตนเองถูกทำลาย?


แต่เดิมแล้วพลังต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายนั้นเท่าเทียมกัน แต่เมื่ออุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ถูกนำมาใช้ต่อสู้ ความได้เปรียบของทั้งสองฝ่ายก็เด่นชัดขึ้นมาทันที


หลังจากหลิงฮันสะบั้นดาบไปหลายสิบครั้ง ร่างกายของฟู่เจิ้งถงก็ชโลมไปด้วยโลหิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส


โชคดีที่บาดแผลที่ฟู่เจิ้งถงได้รับนั้นเกิดขึ้นจากปราณดาบ หากอีกฝ่ายถูกดาบอสูรนิรันดร์สัมผัสเข้าโดยตรงล่ะก็ อีกฝ่ายคงจะตายไปแล้ว


ฟู่เจิ้งถงล่าถอยไปหลายร้อยไมล์ก่อนจะหยุด ดวงตาของเขาจดจ้องไปยังหลิงฮันจากระยะไกลด้วยความอับอาย ตอนแรกเขาตั้งใจจะเป็นฝ่ายสั่งสอนหลิงฮันแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าคนที่ถูกสั่งสอนดันกลายเป็นเขาเสียเอง ยิ่งกว่านั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังมีพยานรู้เห็นหลายคนอีกด้วย


แต่ถ้าหากถามว่ายังจะให้เขาดื้อรั้นที่จะสู้ต่อหรือไม่นั้น ขอบอกเลยว่าไม่ เขาไม่ต้องการถูกทารุณไปมากกว่านี้แล้ว


ที่หน้าทางเข้าสำนัก ผู้คนมากมายต่างพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่รู้ว่าหลิงฮันเป็นใคร พวกเขาต่างคาดเดาที่มาของหลิงฮันกันไปต่างๆนาๆ


“ผู้อาวุโสเม่า!” หลิงฮันพยักหน้าให้กับเม่าไต้


เม่าไต้รู้สึกกระอักกระอ่วน ในตอนแรกเขาเคยคิดด้วยซ้ำว่าอยากจะรับหลิงฮันมาเป็นศิษย์ แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปี แม้หลิงฮันจะยังมีพลังบ่มเพาะที่ต่ำกว่าเขา แต่กลับมีพลังต่อสู้ที่เหนือไปกว่าเขาเสียแล้ว


การยอมรับความเป็นจริงนี้ให้ได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก


“ไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสแล้ว อย่างแรกคือตัวข้าไม่ใช่แม่ทัพใหญ่ของกองทัพจันทราม่วงอีกต่อไป และอย่างที่สองคือตัวเจ้าในตอนนี้มีพลังที่แข็งแกร่งเหนือข้าแล้ว” เม่าไต้กล่าว


หลิงฮันไม่คัดค้านและเปลี่ยนคำใช้เรียกอีกฝ่าย “เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าพี่ชายเม่า”


เม่าไต้พยักหน้า ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าสำนักไปพร้อมกับหลิงฮันนั่นเอง จู่ๆฟู่เกาหยุนก็เดินเข้ามาหา


“น้องชายหลิง ข้าได้ยินว่าเจ้าเพิ่งปะทะกับใครมางั้นรึ?” ฟู่เกาหยุนหันมองซ้ายขวาก่อนจะกล่าวต่อ “ไหนล่ะ คนที่เจ้าสู้ด้วยไปไหนเสียแล้ว?”


“การปะทะเพิ่งจะจบไปเมื่อครู่” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ทำไมถึงได้รวดเร็วขนาดนั้น? ข้ายังไม่ทันได้เห็นการแสดงสนุกๆเลยแท้ๆ ว่าแต่เจ้านี่ช่างเป็นตัวจอมปัญหายิ่งนัก แค่เพิ่งจะมาสำนักเป็นครั้งแรกเจ้าก็ไปมีเรื่องกับคนอื่นเสียแล้ว” ฟู่เกาหยุนหยอกล้อหลิงฮัน


หลิงฮันกรอกตามองบนและกล่าว “ต้นเหตุก็คือเจ้านั่นล่ะ! แต่จะว่าไป ผู้สืบทอดของตระกูลฟู่มีอยู่ทั้งหมดกี่คนรึ?”


“เหตุใดจู่ๆถึงได้ถามคำถามเช่นนั้นกัน?” ฟู่เกาหยุนทำหน้าตาประหลาดใจ


“คนที่ข้าเพิ่งโค่นไปเห็นว่าชื่อฟู่เจิ้งถง”


“ว่าไงนะ!’ ฟู่เกาหยุนอุทาน “เจ้าเพิ่งปะทะกับฟู่เจิ้งถงมางั้นรึ?”


พระเจ้า… อีกฝ่ายเป็นถึงนิรันดร์สี่นิพพานเชียวนะ!

 

 

 


ตอนที่ 1771 ต้องเจ็บตัวเสียก่อน

 

หลิงฮันสอบถามโดยรายละเอียด ทำให้ได้รู้ว่าตระกูลฟู่นั้น มีผู้สืบทอดมากกว่าหนึ่งคน


ในความเป็นจริง การที่ขุมอำนาจระดับสามดาวขึ้นไปจะฝึกฝนให้มีผู้สืบทอดเพียงคนเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะถ้าหากเกิดเหตุไม่คาดฝันทำให้ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวตายไปล่ะ พวกเขาจะต้องเสียเวลาฝึกฝนผู้สืบทอดคนใหม่อีกนานแค่ไหน?


ตามหลักแล้วขุมอำนาจที่ทรงพลังจะมีผู้สืบทอดอยู่อย่างน้อยสี่หรือห้าคนพร้อมกัน


แน่นอนว่าหากมีทรัพยากรมากพอ จะฝึกฝนผู้สืบทอดเพิ่มก็ย่อมทำได้


ยกตัวอย่างนิกายอาญาสิ้นแสง พวกเขามีผู้สืบทอดอยู่ด้วยกันถึงเจ็ดคน โดยเป่ยเสวียนหมิงเป็นเพียงหนึ่งในนั้น เหตุผลที่เป่ยเสวียนหมิงต้องการฟู่เสี่ยวอวิ๋นมาเป็นคู่ครองก็เพราะว่าหากมีอำนาจของตระกูลฟู่ช่วยสนับสนุน สถานะผู้สืบทอดของเขาก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น


ในกรณีของตระกูลฟู่ แม้จะเป็นขุมอำนาจสามดาวเหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ได้มีอำนาจเทียบเท่านิกายอาญาสิ้นแสง ผู้สืบทอดที่พวกเขาสามารถฝึกฝนได้จึงมีเพียงสี่คนเท่านั้น


นอกจากฟู่เกาหยุนและฟู่ทงไห่ที่ถูกเรียกว่านายน้อยไห่แล้ว ผู้สืบทอดอีกสองคนก็คือฟู่เซียวผิงและฟู่ปิงปิง


ณ เวลานี้ผู้สืบทอดทั้งสี่มีพลังบ่มเพาะที่แตกต่างกันมาก อย่างฟู่เซียวผิงนั้น เขาคือผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดเพราะมีพลังบ่มเพาะอยู่ในขั้นตัดขาดวิญญาณสวรรค์ของระดับแบ่งแยกวิญญาณ ซึ่งแน่นอนว่าระยะเวลาที่เขาใช้บ่มเพราะพลังก็ผ่านมาแล้วถึงหมื่นล้านปี


ฟู่ผิงผิงคือผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสอง พลังบ่มเพาะของเขาคือขั้นตัดขาดวิญญาณปฐพีของระดับแบ่งแยกวิญญาณ และบ่มเพาะพลังมานานแล้วเกินกว่าแปดพันล้านปี


ฟู่ทงไห่นั้นมีอายุที่น้อยกว่าสองคนก่อนหน้ามาก เขาบ่มเพาะพลังมาเพียงพันกว่าล้านปี ซึ่งในตอนนี้เพิ่งจะบรรลุพลังระดับแบ่งแยกวิญญาณ แต่เดิมเขาเป็นผู้สืบทอดที่มีอิทธิพลมากที่สุด แต่หลังจากที่ฟู่เกาหยุนที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าเขาถือกำเนิดขึ้นมา ตำแหน่งของเขาก็เริ่มสั่นคลอน


ด้วยเหตุนี้การแข่งขันระหว่าง ฟู่ทงไห่กับฟู่เกาหยุนจึงดุเดือดที่สุด


ตามกฎของตระกูลฟู่ เหล่าผู้สืบทอดจะไม่สามารถต่อสู้กันเองโดยตรงได้ หากจะปะทะก็ต้องปะทะผ่านผู้ติดตาม


เพียงแต่ว่าฟู่เกาหยุนนั้นมีอายุที่น้อยกว่าผู้สืบทอดคนอื่นมาก เพราะงั้นจำนวนและพลังของผู้ติดตามของเขาจึงไม่อาจเทียบกับฟู่ทงไห่ได้


โชคดีที่เพื่อความยุติธรรม ตระกูลฟู่จึงได้ตั้งกฎว่า ผู้ติดตามของเหล่าผู้สืบทอดจะต้องมีพลังบ่มเพาะภายในระดับโลกียนิพพานเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคือในขุมอำนาจระดับสามดาว ตัวตนระดับแบ่งแย่งวิญญาณจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์ เพราะงั้นจอมยุทธระดับแบ่งแยกวิญญาณคนไหนกัน จะยังต้องการเป็นผู้ติดตามของผู้อื่น?


เมื่อฟังฟู่เกาหยุนเล่าจบ หลิงฮันก็รู้ตัวว่าตนเองได้มาพัวพันกับปัญหาการแย่งชิงบัลลังก์เสียแล้ว


“เอาล่ะ ก่อนอื่นข้าจะแนะนำสหายให้เจ้าได้รู้จัก” ฟู่เกาหยุนกล่าวด้วยรอยยิ้มและเดินนำพวกหลิงฮัน


สำนักแห่งนี้มีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ราวกับดวงดาว เพราะงั้นที่พักของศิษย์แต่ละคนจึงโอ่อ่าเป็นอย่างมาก ฟู่เกาหยุนนำพาพวกหลิงฮันมายังที่พักแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนภูเขา


เมื่อพวกเขามาถึง คนรับใช้มากมายก็รีบออกมาต้อนรับทันที หลังจากเข้าสู่ที่พักแล้ว ณ บริเวณสวนภายใน พวกหลิงฮันก็พบเห็นคนหลายสิบคนกำลังนั่งดื่มชาและพูดคุยกันอยู่ ทันทีที่คนเหล่านั้นสังเกตเห็นฟู่เกาหยุน พวกเขาก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว


“ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จัก คนผู้นี้คือน้องชายหลิงฮัน ส่วนสตรีผู้นั้นเป็นภรรยาของน้องชายหลิง และคนผู้นี้คือน้องชายเม่าไต้” ฟู่เกาหยุนแนะนำกลุ่มของพวกหลิงฮันเรียงคน


“ยินดีที่ได้พบน้องชายหลิง น้องชายเม่า!” สำหรับจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะนั้น พวกเขาเพียงแค่พยักหน้าต้อนรับแต่ไม่เอ่ยชื่อ เพราะพวกนางเป็นภรรยาของคนอื่น พวกเขาจึงไม่อาจทำตัวสนิทสนมเกินไป


หลิงฮันและเม่าไต่ผสานมือขึ้นเพื่อทักทายอย่างสุภาพ


“ดูเหมือนว่านายน้อยหยุนจะประเมินรุ่นเยาว์ผู้นี้ไว้สูงมากสินะ” ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินถือถ้วยน้ำชาเข้ามาและชี้นิ้วไปยังหลิงฮัน “ให้ข้าชนแก้วชากับน้องชายหลิงสักแก้ว เพื่อเป็นเกียรติหน่อยเป็นอย่างไร?”


เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย เนื่องจากฟู่เกาหยุนนั้นถูกใจหลิงฮันจนต้องออกไปต้อนรับด้วยตนเอง แถมหลิงฮันยังนำพามิตรสหายของตัวเองมาที่นี่โดยไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอีกด้วย


มุมปากของหลิงฮันยกขึ้นเล็กน้อย เขาไม่สนใจว่าผู้สืบทอดคนใดจะได้กลายเป็นประมุขของตระกูลฟู่ แต่ถ้าหากมีใครคิดจะล่วงเกินเขา เขาก็จะไม่สุภาพด้วยเช่นกัน แต่ในขณะที่เขากำลังจะยกแก้วชาขึ้นนั่นเอง จู่ๆจักรพรรดินีก็ยื่นมือออกไปเสียก่อน


“เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะดื่มชากับสามีข้า!” นางผลักฝ่ามือออกไปด้วยอำนาจแห่งอัสนี


สีหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นเปลี่ยนไปทันที เขารีบยกมือขึ้นเพื่อตอบโต้แต่ก็ไม่อาจต้านทานพลังของจักรพรรดินีได้แม้แต่น้อย ผลสุดท้ายคือน้ำชาในแก้วได้กระฉอกทะลักเปราะไปทั่วใบหน้าของเขา


เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้น ทุกคนก็อุทานออกมา


ชายหนุ่มคนเมื่อครู่ที่ชื่อว่าจินจื้อหยิ่ว เขาเป็นสมาชิกตระกูลจินที่เป็นขุมอำนาจที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ พรสวรรค์ของจินจื้อหยิ่วผู้นี้ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากและมีโอกาสสูงมากที่จะได้กลายเป็นเสาหลักตระกูลจินในอนาคต สำหรับพวกฟู่เกาหยุนที่ต้องแย่งชิงอำนาจกัน สิ่งที่พวกเขาจำเป็นไม่ได้มีแค่ความสนับสนุนจากคนในตระกูลเท่านั้น แต่ยังต้องมีการสนับสนุนจากขุมอำนาจภายใต้การปกครองด้วย


จินจื้อหยิ่วมีพลังบ่มเพาะอยู่ในนิรันดร์สองนิพพานขั้นสูงสุด ถึงแม้เขาจะไม่ตัดผ่านนิพพานอย่างสมบูรณ์แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับฟู่เกาหยุนแล้ว พลังต่อสู้ของเขาด้อยกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ทว่าเขากลับไม่ใช่คู่ต่อของจักรพรรดินีเลยแม้แต่น้อย ซึ่งนับว่าน่าอัศจรรย์เกินไป


แม้แต่ฟู่เกาหยุนก็คาดไม่ถึงเช่นกัน แม้เขาจะรู้ว่าจักรพรรดินีนั้นแข็งแกร่ง แต่นี่นางจะแข็งแกร่งเกินไปรึเปล่า?


“ฮ่าๆ พวกเราทุกคนล้วนเป็นสหายกัน เพราะงั้นปรองดองกันไว้ดีกว่า!” ฟู่เกาหยุนรีบไกล่เกลี่ย คนเหล่านี้คือคนของเขา ถ้าหากเกิดความบาดหมางกันภายในคงจะไม่ดี


จินจื้อหยิ่วตั้งสติได้ก่อนจะจ้องมองไปยังจักรพรรดินีด้วยสายตายำเกรง เพียงแค่การโจมตีเพียงครั้งเดียว เขาก็รับรู้ได้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดินีแม้แต่น้อย


โลกแห่งวรยุทธนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน พวกหัวรั้นบางคนต้องเจ็บตัวเสียก่อนถึงจะรู้จักที่ของตัวเอง หลังจากเหตุการณ์สงบลง ทุกคนก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับศาสตร์วรยุทธกัน ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะเอ่ยขึ้น “นายน้อยหยุน ทำไมท่านถึงไม่บรรเลงพิณให้พวกเราฟังสักสองสามทำนองล่ะ?”


ทันใดนั้นเอง สีหน้าของฟู่เกาหยุนก็เปลี่ยนเป็นมืดมนทันที

 

 

 


ตอนที่ 1772 บรรเลงพิณ

 

เรื่องที่ฟู่เกาหยุนชื่นชอบการบรรเลงพิณนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดี เพราะงั้นหากเหล่าผู้ติดตามอยากจะประจบก็ทำได้ไม่อยาก เพียงแค่ขอให้ฟู่เกาหยุนบรรเลงพิณสักสองสามเพลง ใบหน้าของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มแล้ว


แต่ทว่าครั้งนี้นั้นต่างออกไป


ตั้งแต่ตอนที่ฟู่เกาหยุนต้องการพัฒนาทักษะดนตรีของหลิงฮัน ท่วงทำนองของเขาก็ได้เพี้ยนตามหลิงฮันไปด้วย จนไม่อยากดีดพิณอีก


เพราะงั้นตอนนี้การประจบขอให้เขาบรรเลงพิณนั้น นอกจากจะไม่ทำให้เขาพึงพอใจแล้ว ยังเปรียบเสมือนการตบหน้าเขาอย่างจัง


“ใช่แล้วนายน้อยหยุน บรรเลงบทเพลงให้พวกเราฟังสักสองสามทำนองสิ” คนอื่นๆเริ่มส่งเสียงเอะอะ


พวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าฟู่เกาหยุนถูกเงามืดกัดกินจิตใจอยู่ เพราะงั้นเหล่าผู้ติดตามทุกคนจึงได้โห่ร้องยุยงให้เขาบรรเลงเพลง


ฟู่เกาหยุนไม่อาจปฏิเสธคำขอจากผู้ติดตามมากมายเหล่านี้ได้ เขาจึงนำพิณออกมาอย่างไม่มีทางเลือกและพยายามทำใจให้สงบนิ่งมากที่สุด หลายวันที่ผ่านมา เขาขัดเกลาจิตใจจนนำท่วงทำนองของตนเองกลับมาได้แล้วและพยายามไม่นึกถึงหน้าหลิงฮัน


เขาปิดตาและขยับนิ้วดีดสายพิณ พริบตาเดียวท่วงทำนองที่งดงามราวกับดอกไม้ในฤดูใบไม่ผลิก็ถูกบรรเลงออกมา


คนอื่นๆทุกคนพยักหน้าขึ้นลงด้วยความเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเพลง


แต่ทางด้านหลิงฮัน เขากลับอ้าปากหาวด้วยความเบื่อหน่าย เขาไม่ใช่พวกมีอารมณ์สุนทรีย์แม้แต่น้อย เพราะงั้นการฟังเสียงท่วงทำนองเพลงจึงเป็นอะไรที่เสียเวลามาก เขาแสยะยิ้มมองไปยังจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะราวกับนึกแผนสนุกๆออก


หลิงฮันยื่นมือออกไปเคาะแก้วน้ำเป็นจังหวะ


ถึงแม้เสียงเคาะจะเบาบางมาก แต่ด้วยการรับรู้ของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน มีรึที่คนอื่นๆจะไม่ได้ยิน? แม้ทุกคนจะสงสัยว่าหลิงฮันทำอะไร แต่ก็เลือกที่จะไม่สนใจเพราะยังไงเสียงก็ไม่ได้ดังอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าฟู่เกาหยุนนั้นต่างออกไป ใบหน้าของเขากลายเป็นบูดบึ้งอย่างถึงที่สุด


เสียงบรรลุพิณของเขาเปลี่ยนไปทันที แถมยังรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง


อย่าไปสนใจ! อย่าไปสนใจ! อย่าไปสนใจ!


เขารีบกล่าวกับตัวเองในใจ แต่ยิ่งกล่าวเท่าไหร่ เสียงพิณของเขาก็ยิ่งเปลี่ยนไป


คนอื่นๆชะงักด้วยความประหลาดใจและหันมองหน้ากัน นี่นายน้อยหยุนกำลังบรรลุทำนองอะไรอยู่กัน?


“พอกันที!” ฟู่เกาหยุนโยนพิณในมือทิ้ง


ใบหน้าของทุกคนแสดงออกถึงความรู้สึกกระอักกระอ่วนราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป


“ฮ่าๆๆๆ!” หลิงฮันหัวเราะสนุกสนาน เขาจงใจแกล้งฟู่เกาหยุนอยู่แล้ว เพราะงั้นจึงกล้าที่จะหัวเราะออกมา


สำหรับหลิงฮันแล้ว ฟู่เกาหยุนไม่อาจทำอะไรได้นอกจากส่ายหัว


“กำลังสนุกอะไรกันอยู่รึไง?” ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเดินเข้าที่พักมาด้วยขาที่กระโผลกกระเผลกไปมา


“พี่ชายเฉิง!” ใครหลายคนทักทายชายหนุ่มทันที


คนผู้นี้มีชื่อว่าเฉิงจง ตระกูลเฉิงนั้นเป็นหนึ่งในขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ ด้วยเหตุนี้การสนับสนุนจากเฉิงจงจึงมีความจำเป็นต่อฟู่เกาหยุนเป็นอย่างมาก จนต้องยอมไว้หน้าอีกฝ่าย


“เฉิงจง เกิดอะไรขึ้นรึ เหตุใดเจ้าถึงเดินเช่นนั้น?” ฟู่เกาหยุนไต่ถามด้วยท่าทีเป็นกันเอง


เฉิงจงส่ายหัวและกล่าว “ข้าถูกสุนัขตัวหนึ่งกัด… อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก!”


ว่าไงนะ?


ใครบางคนที่กำลังดื่มชาอยู่เกือบจะสำลักออกมา


เฉิงจงมีพลังบ่มเพาะอยู่ที่สี่นิรันดร์ขั้นกลาง ในกลุ่มผู้ติดตามของฟู่เกาหยุนเขาคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุด จะบอกพวกเขาว่าจอมยุทธที่แข็งแกร่งขนาดนี้ถูกสุนัขกัดงั้นรึ? เรื่องนี้ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องหัวเราะ


หลิงฮันเผยท่าทีประหลาดใจ เหตุใดเรื่องนี้มันฟังดูแล้วช่างคุ้นหูนัก?


“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” ฟู่เกาหยุนเองก็ตกตะลึง แม้ตัวเขาจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างตลกนัก แต่เขาก็ต้องฝืนกลั้นไม่หัวเราะออกมา “ด้วยพลังของเจ้า เป็นไปได้ด้วยรึที่จะถูกสุนัขกัด?”


เฉิงจงถอนหายใจ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่ข้ากำลังมาที่นี่ ระหว่างทางข้าบังเอิญพบเจอฟู่จ้งเถิงกำลังเดินสภาพมอซอ ข้าเลยเยาะเย้ยหมอนั่นไปว่า ‘สุนัขบัดซบเช่นเจ้าไปบาดเจ็บอะไรมา?’ หลังจากนั้นจู่ๆสุนัขที่ไม่รู้ที่มาที่ไปก็ปรากฏตัวออกมาและกัดเข้าที่ก้นของข้า!”


ทุกคนชะงักแข็งค้างไร้คำพูด เจ้าถูกกัดง่ายๆแบบนั้นน่ะรึ?


เจ้าเป็นถึงนิรันดร์สี่นิพพานเชียวนะ!


เมื่อได้ยินที่อีกฝ่ายเล่า หลิงฮันก็มั่นใจเลยว่านี่ต้องเป็นฝีมือของสุนัขตัวดำไม่ผิดแน่


“เมื่อใดกันที่สัตว์อสูรเช่นนั้นปรากฏตัวที่เมืองหลีเทียน?” ฟู่เกาหยุนรู้สึกประหลาดใจ “ปรมาจารย์คนไหนเพิ่งจับสัตว์อสูรมาเลี้ยงรึเปล่า มันถึงได้ยังไม่เชื่องและเต็มไปด้วยสัญชาตญาณสัตว์ป่า?”


“ไม่ใช่แบบนั้นแน่!” เฉิงจงส่ายหัว “สุนัขที่กัดข้านั้นสวมใส่กางเกงในโลหะแวววาว ที่สะท้อนแสงส่องประกายแยงตา!”


พรวด ใครบางคนทนไม่ไหวและสำลักน้ำชาออกมาในที่สุด


“ยังไงก็ตาม เจ้ามานั่งก่อนดีกว่า” ฟู่เกาหยุนกล่าว


“ไม่นั่ง! ยังไงข้าก็ไม่นั่ง!” เฉิงจงรีบส่ายมือ ก้นของเขาในตอนนี้เจ็บปวดทรมานจนแม้แต่จะนั่งก็ยังทำไม่ได้


ทุกคนแอบหัวเราะในใจ เรื่องราวแบบนี้ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องรูัสึกตลก คงจะมีแค่คนโดนเท่านั้นที่โศกเศร้า


“วันนี้ที่้เรียกทุกคนมาที่นี่ นอกจากอยากให้ทุกคนได้มาพูดคุยกันแล้วก็ยังมีธุระอื่นอีกเรื่อง” ฟู่เกาหยุนปรบมือเพื่อเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ “ใกล้จะถึงเวลาที่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลง(มังกรเร้นลับ)จะเปิดออกแล้ว วันนี้พวกเราจะมากำหนดกันว่าใครบ้างที่จะได้รับสิทธิให้เข้าสู่เขตแดนลี้ลับ”


เมื่อได้ยินคำว่าเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง แววตาของทุกคนก็ส่องประกายทันที


เขตแดนลี้ลับแห่งนี้ในยุคบรรพกาลเคยเป็นที่ตั้งของขุมอำนาจที่ทรงพลังมาก่อน ในอดีตหลังจากที่มีการค้นพบเขตแดนลี้ลับแห่งนี้และพบเจอว่าด้านในมีชิ้นส่วนของแร่โลหะนิรันดร์ซ่อนอยู่นั้น ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ถึงสามแห่งก็ถูกดึงดูดและทำการต่อสู้แย่งชิงกัน


ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ภายในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงก็ไม่พบเจอสมบัติล้ำค่าอีกต่อไป


เพียงแต่ว่าสำหรับตระกูลฟู่แล้ว เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงถือว่าเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญมาก นั่นเพราะว่าภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มีบางสิ่งเรียกว่าศิลาโลหิตมังกร ซึ่งสามารถช่วยขัดเกลาพลังบ่มเพาะของจอมยุทธระดับโลกียนิพพานได้อย่างน่าอัศจรรย์ แถมยังช่วยเสริมรากฐานของระดับแบ่งแยกวิญญาณให้มั่นคงได้อีกด้วย


ในบางครั้ง ทักษะที่หายสาปสูญบางทักษะก็สามารถพบเจอได้ภายในเขตแดนลี้ลับ


เนื่องจากว่าเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงเคยเกิดการปะทะที่รุนแรงมาก่อน ภายในนั้นจึงอัดแน่นไปด้วยออร่าอันทรงพลัง มีเพียงทุกๆสามสิบล้านปีที่ภูเขาไฟภายในเขตแดนลี้ลับจะระเบิดเท่านั้น ออร่าที่ว่าถึงจะถูกสะกดเอาไว้ชั่วคราว ทำให้สามารถเข้าไปด้านในได้


เพียงแต่ว่าการจะเข้าไปในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงโดยไม่ตายนั้น สิ่งหนึ่งที่จำเป็นอย่างมากเลยคือชุดที่ทำจากเศษโลหิตศิลามังกร ซึ่งมีอยู่น้อยนิดและเกิดการสึกกร่อนเนื่องจากกาลเวลาที่ผ่านมานานกว่าเขตแดนลี้ลับจะเปิดออกในแต่ละครั้ง


ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จำนวนของคนที่จะเข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงได้จึงมีจำกัด

 

 

 


ตอนที่ 1773 แย่งชิงสิทธิ

 

ทุกคนจ้องมองไปยังฟู่เก่าหยุนด้วยสายตาคาดหวัง


เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงนั้นไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่แต่เพียงผู้เดียว แต่เป็นการปกครองร่วมกันกับขุมอำนาจสามดาวใกล้เคียงอีกสี่แห่ง บางครั้งบางคราวก็มีบ้างที่ขุมอำนาจสามดาวอื่นๆจะเข้าร่วมด้วยอีก


การเข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงถูกกำหนดข้อจำกัดไว้ที่ระดับโลกียนิพพานก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวที่ตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณหรือระดับขอบเขตตำหนักอมตะจะเข้าไปด้านใน เพียงแต่ว่าตัวตนระดับนั้นจะไม่สามารถเข้าส่วนที่ลึกมากของเขตแดนลี้ลับได้ จึงไม่คุ้มค่าที่จะสิ้นเปลือง ‘เกราะโลหิตมังกร’ ให้พวกเขาสวมใส่


ฟู่เกาหยุนเป็นหนึ่งในสี่ผู้สืบทอดตระกูลฟู่ เพราะงั้นสิทธิในการเข้าร่วมจึงอยู่ในมือเขาถึงสิบตำแหน่ง


เขาต้องมอบสิทธิให้กับตัวเองหนึ่งตำแหน่งอยู่แล้ว จึงเหลือสิทธิที่จะมอบให้คนอื่นอยู่เก้าตำแหน่ง


“นายน้อยหยุน ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็จะติดตามท่านไปโดยไม่ปริปากสักคำ!” ใครบางคนรีบเอ่ยออกมา


ช่างเป็นความภักดีที่ปลอมอะไรอย่างนี้ ในความจริงสิ่งที่เขาอยากจะกล่าวคงเป็น ‘ข้าอยากจะเข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลง เพราะงั้นขอสิทธิให้ข้าด้วย’


“นายน้อยหยุน ข้าเองก็ยินดีที่จะติดตามท่านเช่นกัน!”


“นายน้อยหยุน!”


“นายน้อยหยุน!”


ใครหลายคนตะโกนออกมาและแสดงเจตนาที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่องฟู่เกาหยุน เพียงแต่ก็มีบางคนที่ไม่แสดงท่าทีอะไรแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่นเฉิงจง เขาคืออัจฉริยะอันเป็นที่น่าภาคภูมิใจของตระกูลเฉิง เพราะงั้นต่อให้จะไม่ได้รับสิทธิจากฟู่เกาหยุน เขาก็ยังได้รับสิทธิจากทางตระกูลอยู่ดี


ในฐานะที่ตระกูลเฉิงเป็นถึงหนึ่งในห้าขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมได้รับสิทธิด้วยอยู่แล้ว


เฉิงจงนั้นเป็นผู้สนับสนุนฟู่ก่าวหยุน ซึ่งถ้าหากฟู่เกาหยุนไม่มอบสิทธิให้เขาล่ะก็ เฉิงจงก็คงจะไม่พอใจและเปลี่ยนไปสนับสนุนผู้สืบทอดคนอื่นเป็นแน่ เฉิงจงนั้นเป็นผู้สนับสนุนฟู่ก่าวหยุน แต่ถ้าหาก หลิงฮันเองก็ไม่เปิดปากกล่าวอะไร หลังจากรับรู้รายละเอียดของเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง เขาก็ตัดสินใจว่าหากฟู่เกาหยุนมองสิทธิให้แก่เขา และเขาพบเจอศิลาโลหิตมังกรภายในเขตแดนลี้ลับล่ะก็ เขาจะแบ่งพวกมันให้ฟู่เกาหยุนแน่นอน


หรือถึงแม้จะไม่พบเจอศิลาโลหิตมังกรแม้แต่ก้อนเดียว เขาก็ยังมีน้ำชาจากต้นสังสารวัฏอยู่ดี กล่าวคือเขาจะไม่มีวันรับสิทธิจากฟู่เกาหยุนโดยไม่ตอบแทนแน่นอน


นอกจากนั้นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในตัวหลิงฮันก็คือศักยภาพ ในอนาคตเขาอาจจะบรรลุเป็นได้ทั้งตัวตนระดับราชานิรันดร์และปรมาจารย์นักปรุงยาห้าดาว ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับฟู่เกาหยุนแล้วว่าจะตัดสินใจเดิมพันอย่างไร


การที่ฟู่เกาหยุนนำเรื่องนี้ออกมาพูดต่อหน้าสาธารณะชน ย่อมหมายถึงเขาได้คิดมาก่อนแล้วว่าจะมอบสิทธิให้แก่ใคร


หลังจากปล่าวประกาศออกมา เฉิงจงก็ได้รับสิทธิตามคาด ชายคนหนึ่งที่ชื่อหลี่เสวียนเองก็ได้รับสิทธิ ตามมาด้วยหลิงฮันและจักรพรรดินี ส่วนสิทธิที่เหลืออีกห้าสิทธินั้นฟู่เกาหยุนกล่าวว่าจะตัดสินจากการประลองของทุกคน


ด้วยวิธีการนี้ ผู้ที่ประลองแพ้จึงทำได้เพียงยอมรับโชคชะตาแต่โดยดี เพราะอย่างไรในโลกแห่งวรยุทธ ใครก็ตามที่แข็งแกร่งย่อมเป็นราชา


เมื่อการประลองสิ้นสุดลง ผู้ชนะนั้นไม่อะไร แต่ผู้แพ้กลับรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากที่สิทธิถึงสองตำแหน่งถูกมอบให้กับหลิงฮันและจักรพรรดินี


ทำไมถึงไม่พอใจน่ะรึ?


ทั้งสองคนเป็นคนที่เพิ่งมาใหม่แท้ๆแถมยังไม่มีพื้นเพเบื้องหลังอีก แต่กลับแย่งชิงตำแหน่งไปถึงสองตำแหน่ง เช่นนี้แล้วจะไม่พวกเขายอมรับได้อย่างไร? แต่ต่อหน้าฟู่เกาหยุนพวกเขาย่อมไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมา พวกเขาตัดสินใจเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจและไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆแน่


หลังจากงานรวมตัวสิ้นสุด พวกหลิงฮันก็เดินทางกลับไปยังที่พักภายในสำนักของตนเอง สถานที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้พวกเขานั้นใหญ่โตเป็นอย่างมาก แถมยังมีคนรับใช้ระดับดาราอยู่ถึงร้อยคน


นับว่าฟู่เกาหยุนนั้นรู้งานเป็นอย่างมาก ที่ไม่ได้จัดที่พักแยกให้พวกเขาสามคน แต่จัดให้อาศัยอยู่รวมกันแทน


พวกหลิงฮันสามคนเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นาน จู่ๆคนรับใช้ก็มารายงานว่ามีใครบางคนต้องการพบเขา หลิงฮันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะบอกให้คนรับใช้พาคนผู้นั้นเข้ามา


คนที่ปรากฏตัวคือชายหนุ่มชุดฟ้าที่หลิงฮันเคยพบในงานรวมเมื่อก่อนหน้านี้ ชื่อของอีกฝ่ายคือจ้าวผาง เขาเป็นหนึ่งในคนที่พ่ายแพ้การประลองแย่งชิงสิทธิ


“หลิงฮันสินะ?” เขาก้าวเดินเข้ามาในห้องโถงและจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาเหยียดหยาม “พรุ่งนี้จงไปบอกนายน้อยหยุนซะว่าเจ้าไม่สามารถไปเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงได้แล้ว และจะมอบสิทธิให้ข้า รับนี่ไป ข้าไม่คิดจะให้เจ้าสละสิทธิไปเปล่าๆเช่นกัน!”


เขาโยนแหวนมิติวงหนึ่งไปยังหลิงฮัน “ภายในนี้มีศิลาดวงดาวอยู่หมื่นก้อน ซึ่งสำหรับเจ้าเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”


หากให้พูดตามตรง ศิลาดวงดาวหมื่นก้อนก็นับว่าเป็นจำนวนเงินที่มากพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับจำนวนสิทธิเข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงที่มีอยู่น้อยนิดแล้ว เงินจำนวนเท่านั้นถือว่าไร้ค่า


หลิงฮันหัวเราะและรับแหวนมาเก็บไว้


จ้าวผางที่เห็นเช่นนั้นก็อดแสยะยิ้มออกมาไม่ได้


ในความคิดของเขา หลิงฮันนั้นไม่มีผู้หนุนหลังใดๆแม้แต่คนเดียว ที่เขามาอยู่ที่นี่ได้เพียงเพราะฟู่เกาหยุนเกิดถูกใจหลิงฮันก็เท่านั้น กับคนเช่นนี้เพียงแค่ข่มขู่ให้กลัวก็สามารถบังคับให้เชื่อฟังได้แล้ว


“ข้าขอรับของขวัญต้อนรับชิ้นนี้ไว้แต่โดยดีแล้วกัน เพราะงั้นเจ้ากลับไปได้!” หลิงฮันทำท่าสะบัดมือไล่


จ้าวผางชะงักทันที เขาคิดว่าตนเองคงได้ยินผิดไปจึงกล่าว “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”


“ไม่ได้ยินรึไงว่าข้าบอกให้กลับไปได้แล้ว?” หลิงฮันยิ้ม


จ้าวผางเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันใด อีกฝ่ายกล้าดีอย่างไรที่นอกจากจะไม่เชื่อฟังเขาแล้วยังกล้าเอาศิลาดวงดาวของเขาไปด้วย!


“หลิงฮัน อย่าได้เหิมเกริมจนเกินไป” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จงทำตามที่ข้าบอกซะหากไม่อยากจบไม่สวย”


หลิงฮันยิ้ม “ข้าเองก็ขอแนะนำเจ้าเช่นกันว่าอย่าได้รนหาที่”


“โอหัง!” จ้าวเผิงทนไม่ไหวอีกต่อไปและลงมือโจมตี


หลิงฮันถอนหายใจ คนประเภทที่หากไม่เจ็บตัวก่อนจะคิดไม่ได้นั้นมีอยู่ทั่วเลยจริงๆ


‘พรึบ’ เขาคว้ามือออกไปจับคอจ้าวเผิงและยกร่างอีกฝ่ายลอยขึ้นจากพื้น


“รีบๆไสหัวไปได้แล้ว!” หลิงฮันสะบัดมือออกแรงเขวี้ยง ‘ปัง’ ร่างของจ้าวผางลอยกระเด็นไปตกกระทบพื้นทางเดินและกลิ้งราวกับเป็นลูกบอล


จ้าวเผิงกลิ้งมาจนถึงประตูทางเข้าที่พักก่อนที่ร่างจะหยุดหมุน


จ้าวเผิงทั้งรู้สึกอับอายและเกรี้ยวกราด เขากล่าวออกไปอย่างไม่ยินยอม “ละ… แล้วศิลาดวงดาวของข้าล่ะ?” หากไม่ทำตามคำขอของข้า เจ้าต้องคืนศิลาดวงดาวให้ข้าสินะ?

 

 

 


ตอนที่ 1774 เล่นใหญ่

 

“ศิลาดวงดาวอะไร?” หลิงฮันเอ่ยถามอย่างเฉยเมยก่อนจะแสดงท่าทีตกใจราวกับนึกบางอย่างออก “เจ้าหมายถึงของขวัญต้อนรับที่เจ้ามอบให้ข้าน่ะรึ ทำไมข้าจะต้องมอบมันคืนด้วยล่ะ แต่จะว่าไปเจ้าชื่ออะไร?”


ชื่ออะไรน้องสาวเจ้าสิ!


จ้าวผางรู้สึกโศกเศร้าจนอยากจะร้องไห้ เจ้าเอาศิลาดวงดาวของข้าไปไม่พอ แต่ยังโยนข้าเล่นเหมือนกับลูกบอลอีก เจ้าทำถึงขนาดนี้แต่กลับจะบอกว่าจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของข้างั้นรึ?


เขาลังเลอยู่เป็นเวลานานก่อนจะตัดสินใจหันหลังจากไปโดยไม่กล่าวอะไร ต่อให้เขาจะเอาชนะหลิงฮันไม่ได้ แต่คนที่ชื่อจ้าวผางไม่มีทางยอมให้คนที่ไม่มีผู้หนุนหลังรังแกแน่นอน เจ้าคิดว่าแซ่จ้าวของข้ามีไว้เพียงประดับหรืออย่างไร?


ข้าจะไปพากำลังเสริมมา!


หลิงฮันไม่แยแสแม้แต่น้อย ต่อให้เขาจะคืนหรือไม่คืนศิลาดวงดาว อีกฝ่ายก็ไม่มีทางยอมแพ้เรื่องสิทธิเข้าเขตแดนลี้ลับแน่นอน เพราะงั้นไหนๆก็ต้องมีเรื่องกับตระกูลจ้าวแล้ว เขาจึงขอยึดศิลาดวงดาวเอาไว้เป็นค่าเสียเวลา


เพียงแต่ว่าผู้ที่จ้องจะแย่งสิทธิเข้าเขตแดนลี้ลับไปจากหลิงฮันนั้นไม่ได้มีแค่จ้าวผางเพียงคนเดียว ยังมีอีกหลายคนต้องการรังแกหลิงฮันที่ไม่มีคนหนุนหลัง


หลังจากจ้าวผางกลับออกไปไม่นาน คนรับใช้ก็มารายงานว่ามีแขกคนที่สองมาหา


แขกคนที่ว่าคือฟู่จวิ้นหย่ง


ดูจากแซ่ฟู่ของเขาแน่นอนว่าคนผู้นี้ย่อมเป็นสมาชิกของตระกูลฟู่ เพียงแต่ว่าตระกูลฟู่เองก็มีสมาชิกและตระกูลสาขาอยู่มากมาย ซึ่งสาขาตระกูลของฟู่จวิ้นหย่งนั้นไม่ได้รับความสนใจจากตระกูลหลักเท่าไหร่นัก พวกเขาจึงไม่ได้รับสิทธิเข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลง ด้วยเหตุนี้ฟู่จวิ้นหย่งจึงจำเป็นต้องพึ่งพาฟู่เกาหยุน


แต่ด้วยความสามารถที่ไม่สามารถคว้าหนึ่งในห้าสิทธิเอาไว้ได้ เขาเลยมาหาหลิงฮันแทน เนื่องจากคิดว่าหลิงฮันเป็นคนที่สามารถรังแกได้


“น้องชายหลิง!” ทันทีที่ฟู่จวิ้นหย่งผ่านประตูเข้ามา เขาก็ผสานมือทักทายหลิงฮันอย่างเป็นมิตรต่างจากจ้าวผาง


หลิงฮันยิ้มตอบรับอีกฝ่าย “พี่ชายจวิ้นหย่ง!”


ฟู่จวิ้นหย่งไม่พูดบังคับให้หลิงฮันมอบสิทธิให้แก่เขา แต่เลือกที่จะบรรยายถึงความอันตรายของเขตแดนลี้ลับแทน เขากล่าวว่าเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงนั้นเป็นสถานที่ที่อันตรายเป็นอย่างมาก เข้าไปก็มีแต่จะพบเจอภัยอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต


หลิงฮันแสร้งทำเป็นตกตะลึงและกล่าว “มันอันตราบขนาดนั้นจริงๆรึ?”


“ไม่ผิด!” ฟู่จวิ้นหย่งใช้โอกาสนี้กล่าวเสริม “น้องชายหลิง อย่างที่เจ้าเห็นว่าพลังบ่มเพาะของข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า แถมตระกูลก็ยังมอบสมบัติที่คอยคุ้มครองชีวิตเอาไว้ให้ข้าอีก ข้าว่าให้ข้าไปเขตแดนลี้ลับแห่งนั้นแทนเจ้าจะดีกว่า ส่วนเรื่องผลประโยชน์นั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล เห็นแก่ที่ว่าข้ารู้สึกถูกชะตากับน้องชายหลิง ไม่ว่าข้าจะเก็บเกี่ยวอะไรได้จากที่นั่น ข้าจะมอบให้เจ้าเก้าส่วนและเก็บไว้เพียงส่วนเดียว”


ให้ตายเถอะ หมอนี้ช่างขี้เหนียวอะไรเช่นนี้!


ขนาดจ้าวผางยังยอมเสียศิลาโลหิตมังกรเพื่อสิทธิเข้าเขตแดนลี้ลับ แต่หมอนี่กลับคิดจะฉกชิงมันไปโดยไม่ลงทุนอะไรเลย


แล้วก็ส่วนแบ่งเก้าต่อหนึ่งงั้นรึ? เจ้าคิดว่าจะมีคนเชื่อเรื่องแบบนั้นจริงๆ?


หลิงฮันรีบกล่าวปฏิเสธ “จะทำแบบนั้นได้อย่างไร? คิดว่าข้าจะยอมให้พี่ชายจวิ้นหย่งไปเสียงชีวิต แต่ข้ากลับนอนอยู่เฉยๆเพื่อรอผลประโยชน์งั้นรึ? ข้าไม่อาจทำแบบนั้นได้!”


ฟู่จวิ้นหย่งอดไม่ได้ที่จะมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าที่แข็งค้าง หมอนี่โง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่?


ในโลกนี้มีคนไร้สมองแบบนี้อยู่จริงๆรึเนี่ย?


“น้องชายหลิง เจ้าต้องเชื่อฟังคำแนะนำจากข้า และอย่าได้ฝืนตัวเองทำอะไรสิ้นคิด” ฟู่จวิ้นหย่งยังคงพล่ามปากเปียกปากเเฉะไม่หยุด


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ในเมื่อพี่ชายจวิ้นหย่งยืนกรานขนาดนั้น ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”


จริงรึ?


ฟู่จวิ้นหย่งเผยท่าทีตื่นเต้น “น้องชายหลิง โปรดกล่าวมาเลยว่าเจ้าอยากให้ข้าทำอะไร?”


“มาประลองกัน หากพลังของท่านแข็งแกร่งกว่าข้า ข้าจะยอมให้พี่ชายจวิ้นหย่งไปเขตแดนลี้ลับแทน” หลิงฮันกล่าว เขาเริ่มเบื่อที่จะฟังเรื่องไร้สาระจากชายตรงหน้าเต็มทีแล้ว


“ย่อมได้แน่นอน!” ฟู่จวิ้นหย่งรีบพยักหน้า ในความคิดของเขา การโค่นหลิงฮันนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย รุ่นเยาว์ผู้นี้ยังเยาว์วัยมากนัก ซึ่งการที่อีกฝ่ายได้รับความสนใจจากฟู่เกาหยุนก็คงจะเป็นเพราะมีศักยภาพในการเติบโตที่ยอดเยี่ยม ไม่ใช่เพราะมีพลังที่แข็งแกร่งในตอนนี้


ทั้งสองเดินมายังลานกว้างในที่พักและยืนเผชิญหน้ากัน


“น้องชายหลิง ข้าจะเริ่มลงมือแล้วนะ!” ฟู่จวิ้นหย่งกล่าวเตือนราวกับไม่อยากจะทำให้หลิงฮันได้รับบาดเจ็บ


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “อืม ข้าจะลงมือเต็มที่!”


“เจ้าโจมตีเต็มที่ได้เลย ส่วนข้าเดี๋ยวจะพยายามออมมือเอาไว้” ฟู่จวิ้นหย่งยื่นฝ่ามือที่แฝงอำนาจแห่งเต๋าอันทรงพลังเอาไว้ออกมาด้านหน้า


การที่ฟู่เกาหยุนยินยอมให้เป็นผู้ติดตาม ย่อมหมายความว่าพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของฟู่จวิ้นหย่งนั้นเป็นของจริง ถึงแม้เขาจะตัดผ่านนิพพานได้ไม่สมบูรณ์แต่ก็ใกล้เคียงเป็นอย่างมาก แต่ใกล้เคียงก็ยังคงเป็นใกล้เคียง ไม่ใช่สมบูรณ์อยู่ดี


หลิงฮันเองก็ปล่อยหมัดตอบโต้ เขาจงใจทำสีหน้าเหน็ดเหนื่อยราวกับโจมตีออกไปด้วยพลังทั้งหมด


เมื่อเห็นการโจมตีของหมัดหลิงฮัน ฟู่จวิ้นหย่งก็แสดงท่าทีเหยียดหยามออกมาทันที พลังโจมตีของอีกฝ่ายอ่อนแอเป็นอย่างมาก เขาอดคิดไม่ได้ว่ามีเหตุผลอันใดที่ทำให้ฟู่เกาหยุนถูกใจหลิงฮัน ถึงขนาดยอมมอบสิทธิเข้าเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงให้กัน


ฟู่จวิ้นหย่งมีท่าทีไม่แยแสและคิดจะสลายการโจมตีที่พุ่งเข้ามา เพียงแต่ว่าทันใดนั้นเขาก็ต้องรู้สึกตกตะลึงเมื่อพบว่าแม้พลังโจมตีจากหมัดจะอ่อนแอ แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ผสานมากับการโจมตีนั้นทรงพลังจนน่าสะพรึงกลัว ที่ต่อให้เป็นเขาก็ไม่อาจต้านทานไหว


“ไม่ดีแล้ว!” ฟู่จวิ้นหย่งอุทานในใจแต่ก็สายไปแล้วที่จะหลบ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันทรงพลังกระแทกเข้าใส่ร่างของเขาจนกระอักโลหิตออกมา และใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว


“หืม พี่ชายจวิ้นหย่ง ท่านเป็นอะไรรึเปล่า?” หลิงฮันรีบก้าวเดินไปดู “ข้าขออภัยจริงๆที่เผลอออกแรงมากไปหน่อย ข้าคิดว่าพี่ชายจวิ้นหย่งแข็งแกร่งกว่าข้ามาก ข้าก็เลย…”


เขาพล่ามทำพูดเสียดสีออกมามากมายจนทำให้ฟู่จวิ้นหย่งอยากจะแทรกแผ่นดินหนี


เขาเป็นคนบอกเองว่าจะออมมือแท้ๆ แต่กลับถูกซัดหมดสภาพจนกระอักโลหิตออกมา โดยที่ยังไม่ทันได้โจมตีเลยแม้แต่ครั้งเดียว


แถมเขาก็เป็นคนพูดเองอีกด้วยว่าให้หลิงฮันลงมือโจมตีเต็มที่ได้เลย เพราะงั้นบาดแผลที่ได้รับนี้เขาจึงไม่สามารถกล่าวโทษหลิงฮัน และทำได้เพียงกัดฟันยอมอย่างไม่มีทางเลือก

 

 

 


ตอนที่ 1775 วารีผลึกตะวันดาราใต้

 

ฟู่จวิ้นหย่งเดินคอตกจากไป


หมัดที่หลิงฮันปล่อยออกไปไม่ได้รุนแรงเท่าไหร่ เพราะงั้นเพียงแค่พักรักษาตัวสักสิบกว่าวัน บาดแผลของฟู่จวิ้นหย่งก็น่าจะหายดี


หลังจากนั้นก็ยังมีคนอื่นโผล่หน้ามาขอสิทธิอยู่เรื่อยๆ


บ้างก็มาอย่างมิตรโดยยินยอมจะมอบศิลาดวงดาว สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์หรือทักษะต่างๆเป็นค่าตอบแทน บ้างก็มาอย่างไร้มารยาทโดยการออกคำสั่งให้หลิงฮันมอบสิทธิให้


สำหรับกลุ่มคนประเภทแรก หลิงฮันได้กล่าวปฏิเสธไปอย่างเป็นมิตร แต่สำหรับกลุ่มคนประเภทที่สอง เขาได้ทำการทุบตีอย่างไม่ไว้หน้า


ปัง!


จู่ๆทั่วทั้งที่พักของเขาก็เกิดการสั่นไหวราวกับจะถล่ม เวลาผ่านไปหลายลมหายใจกว่าจะสั่นสะเทือนจะหยุด พร้อมกับเสียงของใครบางคนได้ตะโกนขึ้นมา “หลิงฮันอยู่ที่ไหน? เจ้ายังไม่ออกมาพบข้าอีกรึ!”


เสียงตะโกนนั้นแฝงไว้ด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ไม่ใช่ของระดับโลกียนิพพาน แต่เป็นระดับแบ่งแยกวิญญาณ!


หลิงฮันลุกขึ้นยืนและทะยานร่างออกไป


ณ บริเวณหน้าทางเข้าที่พัก ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่โดยนำมือทั้งสองพาดไว้ที่ด้านหลัง


แม้จะบอกว่าคนผู้นี้เป็นชายหนุ่ม แต่คลื่นพลังที่สัมผัสได้จากการไหลเวียนโลหิตของอีกฝ่ายนั้น บ่งบอกว่าคนผู้นี้มีชีวิตมาแล้วอย่างน้อยหมื่นล้านหรืออาจจะแสนล้านปี การที่รูปลักษณ์ยังดูเยาว์วัยย่อมเป็นเพราะอีกฝ่ายทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ใบหน้าจึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ


ในความเป็นจริง สำหรับตัวตนระดับนิรันดร์ที่ทรงพลังบางคนนั้น เพื่อที่ตนเองจะได้ดูมีความน่าเคารพ พวกเขาถึงขนาดยอมที่จะทำการแปลงโฉมของตัวเองให้ดูแก่ขึ้น แต่สำหรับบุคคลตรงหน้า ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนั้น


ด้านหลังของ ‘ชายหนุ่ม’ ยังมีรุ่นเยาว์อีกคนยืนอยู่ด้วยซึ่งหลิงฮันก็รู้จัก


ฟู่เจิ้งถง


เพราะก่อนหน้านี้พ่ายแพ้ไปอย่างหมดสภาพ คราวนี้ก็เลยพาตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณมาแก้แค้นงั้นรึ?


นี่ทุกครั้งที่เจ้าแพ้ใคร เขาจะต้องร้องไห้กลับไปขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทุกครั้งเลยรึเปล่า?


“เจ้าคือหลิงฮันรึ?” ตัวตนระดับแบ่งแบกวิญญาณจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาเย็นชา ชื่อของเขาคือฟู่ซือหย่วน เขาเป็นผู้นำตระกูลฟู่สาขาย่อยแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นตระกูลสาขาเดียวกันกับฟู่เจิ้งถง


หลิงฮันมองไปที่อีกฝ่ายโดยที่ไม่เอ่ยปากพูดอะไร


“ท่านผู้นำกำลังถามเจ้าอยู่ ไม่ได้ยินหรืออย่างไร!” ฟู่เจิ้งถงคำรามออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เหตุใดเจ้าหนูนี่ถึงได้กล้าขนาดนี้?


หลิงฮันชะงักก่อนจะกล่าว “โอ้ พวกเจ้าพูดกับข้าอยู่งั้นรึ?”


ท่าทีแบบนั้นมันอะไรกัน?


ฟู่ซือหย่วนเกิดความสงสัย เมื่อนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานพบเจอนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณ ไม่ใช่ว่านิรันดร์ระดับโลกียนิพพานจะต้องหวาดกลัวจนเยี่ยวราดหรอกรึ?


ฟู่ซือหย่วนกล่าวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงขึงขัง “เจ้าเอาชนะเจิ้งถงด้วยวิธีการขี้โกง เพราะงั้นเจ้าจะต้องทำการประลองกับเขาอีกครั้ง”


วิธีการขี้โกง?


หลิงฮันแสยะยิ้มในใจ ไม่น่าเชื่อว่าคนพวกนี้จะยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ จนถึงขนาดต้องหาข้ออ้างไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้มาพูด ยิ่งกว่านั้นแล้ว หากจะแก้แค้นจริงๆล่ะก็ เหตุใดฟู่เจิ้งถงถึงไม่เป็นคนมาท้าประลองใหม่ด้วยตัวเอง แต่ต้องนำตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณมาเกี่ยวข้องกัน?


เห็นได้ชัดว่าการท้าประลองครั้งนี้ ฟู่ซือหย่วนจะต้องวางแผนอะไรอยู่แน่นอน


“ก็ตามแต่ จะสู้อีกครั้งก็ได้” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส


ฟู่ซือหย่วนและฟู่เจิ้งถงทำสีหน้าราวกับคิดไว้อยู่แล้วว่าหลิงฮันจะต้องตอบตกลง ในความคิดของพวกเขา หลิงฮันจะกล้าปฏิเสธคำสั่งของตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณได้อย่างไร?


ฟู่เจิ้งถงนั้นรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้อย่างไม่ยุติธรรม พลังต่อสู้ของเขาไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าหลิงฮันแท้ๆ แต่ที่เขาแพ้เป็นเพราะอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ของอีกฝ่ายทรงพลังกว่า เพราะเหตุนั้น ครั้งนี้เขาจึงจะประลองโดยไม่ใช้อุปกรณ์นิรันดร์ แต่จะพึ่งพาสมบัติที่ผู้นำตระกูลสาขาเป็นคนมอบให้แทน


การประลองระหว่างเขากับหลิงฮันไม่ใช่แค่ส่งผลกับพวกเขาสองคนเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวโยงไปถึงตำแหน่งผู้สืบทอดของฟู่เก่าหยุนและฟู่ทงไห่ด้วย


ทั้งสามคนเดินห่างออกมาจากที่พัก จู่ๆฟู่ซือหย่วนก็ส่งเสียงคำรามที่ทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือนออกมา หลังจากนั้นไม่นาน ผู้คนจำนวนมากก็รีบรุดหน้าเข้ามาด้วยท่าทีตื่นตระหนก


“เกิดอะไรขึ้น?” คนเหล่านั้นเอ่ยถาม เพราะไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า


ฟู่ซือหย่วนกล่าวอธิบายว่าจะมีการประลองเล็กๆน้อยๆขึ้นที่นี่


ประลองเล็กๆน้อยๆรึ? ถ้าเช่นนั้นทำไมตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณถึงได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย?


ทุกคนเกิดความสงสัยแต่ก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก


หลิงฮันและฟู่เจิ้งถงขยับมายืนตรงข้ามกัน


“หลิงฮัน ครั้งก่อนเจ้าเอาชนะข้าได้เป็นเพราะใช้อุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ช่วยเหลือ แต่ครั้งนี้พวกเราจะตัดสินกันด้วยทักษะและพลังต่อสู้เพียงอย่างเดียว!” ฟู่เจิ้งถงกล่าวด้วยใบหน้าที่ไม่ยินยอม


หลิงฮันยักไหล่และกล่าว “ถ้าจะสู้ก็รีบๆเข้ามา อย่ามัวแต่พูดพล่ามไร้สาระ”


ฟู่เจิ้งถงเค้นเสียงฮึดฮัดก่อนจะโคจรพลังในใจ ‘ครืนน’ ทันใดนั้นมังกรวารีก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา ร่างของมังกรวารีที่ปรากฏตัวนั้นกระจ่างใสราวกับผลึกแก้ว เกล็ดทุกชิ้นตามตัวของมันสลักเอาไว้ด้วยตราประทับแห่งเต๋าที่น่าสะพรึงกลัว


“วารีผลึกตะวันดาราใต้!” ใครบางคนอุทานอย่างตกตะลึง


วารีผลึกตะวันดาราใต้คือดวงวิญญาณวารีอันลึกลับที่เกิดจากอำนาจของสวรรค์และปฐพีเหมือนกับเพลิงบรรพบุรุษและวารีบรรพบุรุษ หากจอมยุทธทำการดูดซับดวงวิญญาณวารีเข้าไป ไม่เพียงแค่ปราณก่อเกิดจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารียังยกระดับสูงขึ้นหลายเท่าตัวอีกด้วย


สมบัติเช่นนี้สามารถพบเจอได้หากมีวาสนาเท่านั้น บางทีต่อให้เป็นราชานิรันดร์ก็ไม่อาจมีพวกเขาอยู่ในครอบครอง


“ไม่สิ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง วารีผลึกตะวันดาราใต้ตนนี้ยังไม่พัฒนาจนมีความนึกคิดเป็นของตนเองอย่างแท้จริง” ใครบางคนที่ดวงตาเฉียบแหลมสามารถมองข้อบกพร่องออกอย่างรวดเร็ว


“ต้องเป็นเพราะมันถูกตัวตนระดับสูง จากตระกูลสาขาย่อยของฟู่เจิ้งถงจับในขณะที่ยังไม่พัฒนาจนมีสติปัญญาแน่นอน”


“เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังเป็นวารีผลึกตะวันดาราใต้ แม้จะไม่มีวิญญาณอยู่ภายในแต่อำนาจของมันก็ยังคงน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี”


ฟู่เจิ้งถงเผยท่าทีภาคภูมิใจ วารีผลึกตะวันดาราใต้ตนนี้เป็นสิ่งที่ผู้นำตระกูลสาขาของเขาพบเจอเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ หากไม่ใช่เพราะว่าเขาได้รับความอัปยศอย่างมากจากหลิงฮันและไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะหลิงฮันได้ล่ะก็ ผู้นำตระกูลคงไม่ให้ยืมวารีผลึกตะวันดาราใต้เด็ดขาด


มังกรวารีส่งเสียงคำรามด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว อำนาจที่มันปลดปล่อยออกมานั้นเทียบเท่านิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณเป็นอย่างน้อย


แบบนี้จะไปเอาชนะได้อย่างไร?


ทุกคนโดยรอบต่างส่ายหัว อย่าพูดถึงนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเลย พลังของวารีผลึกตะวันดาราใต้นั้น เป็นไปได้ว่าอาจจะไร้เทียมทานแม้แต่ในระดับตัดขาดวิญญาณหยาง


หลิงฮันเผยสีหน้าประหลาดใจ เนื่องจากพลังบางอย่างภายในร่างของเขากำลังปั่นป่วน


พลังที่ว่าคือวารีพลังหยินเร้นลับ


มันคือหนึ่งในเก้าวารีบรรพบุรุษของดินแดนแห่งเซียน และเป็นต้นกำเนิดของวารีทั้งมวล


เนื่องจากวารีพลังหยินเร้นลับกลายเป็นต้นกำเนิดพลังให้กับหลิงฮันแล้ว เขาจึงสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า วารีพลังหยินเร้นลับกำลังเกิดความกระหายอยากจะกินมังกรวารีตรงหน้า

 

 

 


ตอนที่ 1776 ฉกฉวย

 

“เจ้าคิดว่าตัวเองทำถูกรึไงที่กลั่นแกล้งผู้อื่นเช่นนี้? เจ้าไม่กลัวว่าบาปกรรมจะทำให้บุตรของเจ้าที่เกิดมาไม่มีรูก้นรึยังไง?” เสียงอันเหยียดหยามดังขึ้น พร้อมกับสตรีงดงามผู้หนึ่งที่เดินออกมาจากฝูงชน


นางคือซือถูเซี่ยวเจิน


ในความเป็นจริงต่อให้ไม่มองทุกคนก็รู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร เพราะสตรีที่พูดจาโผงผางเช่นนี้มีเพียงไม่กี่คน


“แม่นางเซี่ยวเจิน!” เหล่าคนที่เห็นซือถูเซี่ยวเจินรีบกล่าวทักทายทันที


ซือถูเซี่ยวเจินนั้นถึงแม้นางจะเป็นเพียงนิรันดร์หนึ่งนิพพาน แต่ด้วยการที่เป็นหลานสาวของปรมาจารย์นักปรุงยาสามดาว ทำให้สถานะของนางสูงส่งเป็นอย่างมาก


เมื่อเห็นว่านางปรากฏตัวแทรกแซงการประลองครั้งนี้ ฟู่ซือหย่วนก็ขมวดคิ้วเคร่งเครียด


“สาวน้อย เจ้าจะมายุ่งเรื่องนี้ไปทำไมกัน?” ฟู่ซือหย่วนยิ้มเป็นมิตรและกล่าวออกไปด้วยท่าทางของผู้อาวุโส ซึ่งไม่เข้ากับรูปลักษณ์อันเยาว์วัยเอาเสียเลย


“สาวน้อยงั้นรึ?” ซือถูเซี่ยวเจินแสยะยิ้ม “เฒ่าชรา คนหน้าตาอัปลักษณ์เช่นเจ้ามีสิทธิ์มาเรียกข้าอย่างสนิทสนมเช่นนั้นรึไง?”


ฟู่ซือหย่วนเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที เขาเคยได้ยินมาเพียงว่าสตรีผู้นี้ปากเสียขนาดไหน แต่ก็เพิ่งเคยมีประสบการณ์ด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก


แต่ต่อให้เขาจะไม่สบอารมณ์ขนาดไหน ก็ไม่สามารถทำอะไรได้


ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าซือถูถังเอ็นดูหลานสาวคนนี้ขนาดไหน ต่อให้ตนเองจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม แต่ใครกันจะกล้าลงมือกับหลานสาวของเขา?


ฟู่ซือหย่วนฝืนยิ้ม เขาส่ายมือและกล่าว “สาวน้อย นี่เป็นการประลองที่ยุติธรรม”


“ยุติธรรม? เหอๆ ยุติธรรมงั้นรึ!” ซือถูเซี่ยวเจินยิ้มอย่างมืดมน


“หลิงฮัน เจ้ามากับข้า!” นางกล่าวกับหลิงฮัน “ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าใครจะกล้าแตะต้องเจ้า?”


หลิงฮันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที การที่สตรีผู้นี้มีความยุติธรรมอันแรงกล้านั้นเขาชื่นชมเป็นอย่างมาก แต่ปัญหาก็คือเขาต้องการจะประลองเพื่อดูดกลืนดวงวิญญาณวารี


“เอาน่า ก็แค่การประลองเท่านั้น” เขาสะบัดมือให้กับซือถูเซี่ยวเจิน ณ เวลานี้แรงกระตุ้นที่วารีพลังหยินเร้นลับส่งผ่านมาถึงเขาค่อยๆรุนแรงขึ้นทุกที


ซือถูเซี่ยวเจินชะงักแน่นิ่งก่อนจะกล่าว “นี่เจ้าโง่รึเปล่า เจ้าคิดว่าวารีผลึกตะวันดาราใต้เป็นเพียงสมบัติระดับนิรันดร์ทั่วไปหรืออย่างไร?”


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าไม่เคยเห็นของแบบนั้นมาก่อน เพราะงั้นก็เลยอยากจะลองมีประสบการณ์ได้ต่อสู้กับมันดูบ้าง”


“เจ้ามันช่างไร้สมอง!” ซือถูเซี่ยวเจินชี้นิ้วใส่หลิงฮันพร้อมและกล่าว “ก็แล้วแต่เจ้า! ข้าไม่ยุ่งเรื่องของเจ้าแล้ว” นางหันหลังเดินกลับไปพร้อมกับเค้นเสียงฮึดฮัด


ผู้คนโดยรอบเริ่มเกิดความสงสัย ซือถูเซี่ยวเจินยื่นมือเข้าไปช่วยเจ้าแล้ว เหตุใดถึงไม่รับไว้แต่โดยดีกัน?


หมอนี่มีสมองรึเปล่า?


แม้แต่ฟู่ซือหย่วนเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน เขาไม่เชื่อว่าคนที่สามารถบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานได้จะเป็นคนโง่ แต่ถึงยังงั้นเขาก็คิดไม่ออกอยู่ดีว่า หลิงฮันไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าสามารถรับมือกับวารีผลึกตะวันดาราใต้ได้


ฟู่ซือหย่วนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร


ศักดิ์ศรีที่เสียไปเพราะเคยพ่ายแพ้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทวงคืนกลับมา


ฟู่เจิ้งถงคำรามและพุ่งทะยานเข้าใส่หลิงฮันเนื่องจากทนรอไม่ไหวอีกต่อไป


‘โฮกกก’ มังกรวารีส่งเสียงคำรามและเริ่มโจมตี ด้วยการที่ตัวมันเกิดมาจากดวงวิญญาณที่สวรรค์และปฐพีเป็นผู้ให้กำเนิด ถึงแม้มันจะได้รับความเสียหายจนไร้สติปัญหา แต่พลังของมันก็ยังแข็งแกร่งเทียบเท่าตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ


น่าเสียดายที่ขีดจำกัดของมันอยู่ที่ระดับแบ่งแยกวิญญาณ และไม่อาจพัฒนาขึ้นสู่ระดับขอบเขตตำหนักอมตะได้ ไม่เช่นนั้นความล้ำค่าของมันคงจะมากกว่านี้หลายเท่า


แต่เกรงว่าถ้าหากมันสามารถพัฒนาพลังเป็นระดับนั้นได้จริง ฟู่เจิ้งคงไม่ได้รับอนุญาติให้นำมาใช้แน่ เพราะอาจจะตกเป็นเป้าหมายของขุมอำนาจระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ได้


มังกรวารีทำการโจมตีด้วยพลังทำลายที่ไม่อาจต้านทาน


หลิงฮันโคจรทักษะแสงอัสนีเพื่อหวังจะพุ่งทะยานเข้าปะทะกับฟู่เจิ้งถงโดยตรง แต่มังกรวารีกลับทรงพลังเกินไป พลังของมันเทียบเท่าได้กับตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ หลิงฮันไม่อาจผ่านการขัดขวางของมันไปได้และต้องหันไปรับการโจมตีของมังกรวารีแทน


และสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงก็เกิดขึ้น หลิงฮันสามารถรับมือกับการโจมตีของมังกรวารีได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่าการโจมตีของมังกรวารีนั้นไม่ได้มีพลังทำลายอยู่ในระดับแบ่งแยกวิญญาณ แต่มีพลังทำลายระดับสร้างสรรพสิ่ง


เป็นไปได้อย่างไร!


ทุกคนตกตะลึงจนไร้คำพูด พวกเขาไม่อาจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้


หลิงฮันรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่เขาแลกการโจมตีกับมังกรวารี เขาได้ทำการดูดซับพลังและอำนาจแห่งกฎเกณฑ์บางส่วนจากมันมาเป็นของตัวเอง ซึ่งทำให้ปราณก่อเกิดของเขายกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว


แต่สำหรับจอมยุทธระดับนิรันดร์แล้ว การสะสมปราณก่อเกิดไม่ใช่ปัจจัยหลักอีกต่อไป เนื่องจากการสะสมปราณก่อเกิดนั้น ขอเพียงแค่มีเวลาก็สามารถทำได้แล้ว สำหรับนิรันดร์ที่มีอายุขัยไร้ขีดจำกัด เรื่องเวลาพวกเขาย่อมมีเหลือเฟือ


สิ่งที่สำคัญจริงๆคือการทำให้แก่นกำเนิดพลังของตนเองแข็งแกร่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นหลิงฮัน หากเขาต้องการทำความเข้าใจพลังของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เพื่อทะลวงผ่านระดับล่ะก็ อย่างน้อยในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงและอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารี เขาไม่จำเป็นต้องพยายามอะไรมากนัก เพราะแก่นกำเนิดพลังของเขาอย่างเพลิงเก้าสวรรค์ และวารีพลังหยินเร้นลับมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อยู่ในระดับของราชานิรันดร์อยู่แล้ว


กล่าวคือ ในระดับพลังก่อนถึงราชานิรันดร์ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของหลิงฮันจะรวดเร็วกว่าคนอื่นหลายพันเท่า!


หลิงฮันทำการดูดซับพลังของมังกรวารีอย่างต่อเนื่องผ่านการแลกเปลี่ยนการโจมตี แม้การต่อสู้จะดูเหมือนกำลังดุเดือด แต่แท้จริงแล้ว มังกรวารีนั้นค่อยๆอ่อนพลังลงเรื่อยๆ


หากวารีผลึกตะวันดาราใต้ตนนี้มีสติปัญญาล่ะก็ มันคงไม่สู้กับหลิงฮันอย่างสิ้นคิดและยอมโดนดูดพลังแบบนี้แน่


พลังของมังกรวารีเริ่มลดลงเรื่อยๆ ในขณะที่หลิงฮันนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และรู้สึก กระปรี้กระเปร่าอย่างมาก


“หยุดมือ!” ฟู่ซือหย่วนแทรกแซงการประลอง เขาขมวดคิ้วและกล่าวกับฟู่เจิ้งฉง “เจ้าลองโจมตีข้าด้วยพลังเต็มที่สิ”


ฟู่เจิ้งฉงที่กำลังตกตะลึงจนตัวแข็งค้างอยู่ได้สติขึ้นมา


มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง เป็นไปได้อย่างไรที่วารีผลึกตะวันดาราใต้จะไร้ประโยชน์ถึงขนาดกำจัดนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานไม่ได้


เขาควบคุมมังกรวารีให้โจมตีเข้าใส่ฟู่ซือหย่วน


‘ตูม’ มังกรวารีควบแน่นอำนาจของสวรรค์และปฐพีเป็นคลื่นวารีขนาดใหญ่ แต่หลังจากที่มันโจมตีออกไป ฟู่ซือหย่วนก็แสดงท่าทีตกตะลึงออกมา แม้การโจมตีของมังกรวารีจะดูทรงพลัง แต่พลังทำลายของมันก็อยู่แค่ในระดับของโลกียนิพพานสี่นิพพานขั้นต้นเท่านั้น


เขา ‘เข้าใจ’ ทันทีว่าทำไมหลิงฮันถึงสามารถรับมือกับมังกรวารีได้ ที่แท้พลังของมังกรวารีก็เป็นของปลอม!


วารีผลึกตะวันดาราใต้ “…..”

 

 

 


ตอนที่ 1777 นายน้อยไห่เชิญพบ

 

ใบหน้าของฟู่ซือหย่วนเปลี่ยนเป็นมืดมน นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?


หรือเป็นเพราะกาลเวลาที่ผ่านมายาวนาน พลังของวารีผลึกตะวันดาราใต้ถึงได้สลายไป?


“ฮึ่ม!” ฟู่ซือหย่วนสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์ หากจะให้เขาลงมือจัดการหลิงฮันด้วยตัวเองล่ะก็ คงไม่พ้นถูกตราหน้าว่ารังแกรุ่นเยาว์ที่อ่อนแอกว่า


ตระกูลฟู่ก็มีกฎของตระกูลฟู่ การแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดนั้นถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ในระดับโลกียนิพพาน หากฝ่าฝืนกฎ ตัวตนระดับสูงของตระกูลจะแทรกแซงและทำการลงโทษสถานหนัก


“ไปกันได้แล้ว” เขาหันหลังและเดินจากไป


ฟู่เจิ้งถงรีบไล่ตามไปด้วยสีหน้าสลด หากไม่พึงพาวารีผลึกตะวันดาราใต้ พลังต่อสู้ของเขาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเอาชนะหลิงฮันได้แน่นอน


หลิงฮันยิ้มอย่างพึงพอใจกับผลประโยชน์ที่ได้รับ


เขากลับที่พักของตัวเองและเข้าสู่หอคอยทมิฬทันที เพื่อทำการขัดเกลาพลังใต้ต้นสังสารวัฏ ปราณก่อเกิดของเขาในตอนนี้บรรลุระดับโลกียนิพพานสองนิพพานขั้นสูงสุดแล้ว เพียงแต่เนื่องจากความเข้าใจในอำนาจแห่งเต๋าของระดับพลังยังไม่มากพอ จึงยังไม่สามารถทะลวงผ่านระดับได้ แต่ต้องรอคอยฝึกฝนไปตามขั้นตอน


ภายในร่างกายของเขา แก่นกำเนิดพลังทั้งสามกำลังพัวพันอยู่ด้วยกัน


วารี เปลวเพลิง และอัสนี… แก่นกำเนิดพลังเปลวเพลิงกับวารี คือพลังต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพี ในขณะที่แก่นกำเนิดพลังอัสนีนั้นมาจากหยดสายฟ้าสวรรค์ ซึ่งมีพลังด้อยกว่าแก่นกำลังพลังอีกสองอัน ด้วยเหตุนี้ภายในตันเถียนของเขาแก่นกำเนิดพลังเปลวเพลิงและวารีจึงครอบครองพื้นที่ไปถึงเก้าในสิบส่วน ในขณะที่แก่นพลังอัสนีครอบครองพื้นที่ได้เพียงหนึ่งส่วน


วารีพลังหยินเร้นลับนั้น หลังจากที่ดูดซับพลังมาจากวารีผลึกตะวันดาราใต้แล้ว อำนาจของมันก็ทรงพลังยิ่งขึ้น แต่เนื่องจากวารีพลังหยินเร้นลับมีระดับที่สูงกว่ามาก พลังที่เพิ่มขึ้นมาจึงไม่มากเท่าไหร่


เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งวันหลิงฮันก็หยุดบ่มเพาะพลังและส่ายหัว ต่อให้มีการช่วยเหลือจากต้นสังสารวัฏ แต่ภายในร่างกายเขาก็มีพลังต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสอง หากต้องการขัดเกลาความเข้าใจในวิถีแห่งเต๋าให้มากพอที่จะทะลวงผ่านระดับสามนิพพานล่ะก็ เกรงกว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งพันปี


มันช้าไปงั้นรึ?


ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน ดูอย่างเม่าไต้เป็นตัวอย่าง อีกฝ่ายก็เป็นสุดยอดอัจฉริยะคนหนึ่ง แต่กว่าเขาจะบ่มเพาะพลังจนมีความเข้าใจในรากฐานพลังบ่มเพาะมากพอ และทะลวงผ่านระดับสามนิพพานได้ ก็ยังต้องใช้เวลาถึงสามร้อยล้านปี!


หากต้องการเพิ่มความเร็วในการรู้แจ้งเพื่อทะลวงผ่านระดับพลัง จำเป็นต้องพึ่งพาสมุนไพรนิรันดร์หรือสมบัติอย่างบ่อน้ำนิรันดร์ของตระกูลหานเท่านั้น


หลิงฮันถอนหายใจ หากเขาอยากบ่มเพาะพลังให้เร็วยิ่งกว่านี้ เขาคงจำเป็นต้องเดินทางไปสำรวจโบราณสถานต่างๆเพื่อตามหาวาสนา


เมื่อเวลาผ่านพ้นไป จ้าวผางก็ได้นำตัวตนที่ทรงพลังของตระกูลจ้าวมากดดันหลิงฮันเพื่อให้ยกสิทธิให้แก่ตนเอง จนในที่สุดซือถูเซี่ยวเจินก็ทนไม่ไหวและนำเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปเล่าให้เซี่ยงเหยี๋ยนและซือถูถังฟัง ปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสองที่รับรู้เรื่องราวรู้สึกไม่พอเป็นอย่างมากและทำการไปร้องเรียนต่อประมุขตระกูลฟู่


ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนได้รับรู้ว่าหลิงฮันนั้นไม่ใช่ว่าไม่มีผู้หนุนหลัง แต่เขามีปรมาจารย์นักปรุงยาระดับสามคอยช่วยเหลืออยู่ถึงสองคน!


หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินหลิงฮันอีกต่อไป แถมสมาชิกมากมายของตระกูลฟู่ก็เริ่มทำการเข้าหาฟู่เกาหยุนอีกด้วย


ฟู่เกาหยุนที่ได้รับการสนับสนุนจากหลิงฮัน ก็เปรียบเสมือนได้รับการสนับสนุนจากปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสอง


เมื่อตระกูลฟู่สาขาย่อยและขุมอำนาจภายในการปกครองมากมายเริ่มทำการผูกมิตรกับฟู่เกาหยุน ผู้สืบทอดอีกสามคนก็ได้รับแรงกดดันอันมหาศาลทันที


สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นฟู่เกาหยุนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ในตอนที่เขาตัดสินใจเป็นสหายกับหลิงฮันนั้น เขาเพียงแค่ถูกชะตากับนิสัยของหลิงฮันเพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหลิงฮันจะเป็นอัจฉริยะในศาสตร์ปรุงยาและจะช่วยเหลือเขาได้มากขนาดนี้


เพื่อที่จะตอบแทนหลิงฮัน ฟู่เกาหยุนได้ทำการกว้านซื้อแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมาให้หลิงฮันอย่างสุดความสามารถ และยังส่งคนไปสืบค้นสถานที่ตั้งของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ด้วยจำนวนคนที่มากกว่าเดิม


ด้วยการทุ่มเทขนาดนี้ ข่าวคราวของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์จึงมาถึงจากสถานที่อันไกลโพ้นอย่างเมืองที่ตั้งอยู่ติดกับมหาสมุทรแบ่งแยกภูมิภาค มีพ่อค้าคนหนึ่งเคยไปดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตกจึงรู้จักตำหนักมัจฉาวายุภักษ์


ความเป็นจริงคือหลิงฮันในตอนนี้อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันออก ส่วนตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ตั้งอยู่ในดินแดนแห่งเซียนฝั่งตะวันตก


หลังจากรับรู้ข่าวนี้ หลิงฮันก็รู้สึกดีใจจนเนื้อเต้น


เพียงแต่ว่าการจะข้ามมหาสมุทรขั้นภูมิภาคนั้นเป็นอะไรที่อันตรายเป็นอย่างมาก ภายในมหาสมุทรที่สัตว์อสูรนิรันดร์อยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งบางตัวเป็นถึงสัตว์อสูรระดับราชานิรันดร์ ด้วยพลังของหลิงฮันในตอนนี้ การข้ามผ่านมหาสมุทรคงไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตาย


หากจะข้ามมหาสมุทรด้วยระดับพลังที่อ่อนแอ สิ่งที่จำเป็นคือต้องติดไปกับขบวนพ่อค้าซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่มากมายมหาศาล สำหรับหลิงฮันแม้เงินจะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่จำนวนเงินในตอนนี้ของเขาคงไม่เพียงพอ


การเดินทางข้ามผ่านมหาสมุทรไม่มีใครรับประกันความปลอดภัยให้ได้ เพราะฉะนั้น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน แต่ละคนจะต้องยอมรับความเสี่ยงกันเอาเอง


หลิงฮันครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะตัดสินใจข้ามมหาสมุทรหลังจากที่บรรลุระดับแบ่งแยกวิญญาณแล้วเป็นอย่างน้อย


ที่เขาตัดสินใจเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเพื่อความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว แต่ก็เพื่อตอบโต้การช่วยเหลือของฟู่เกาหยุนด้วย ไม่เช่นนั้น หากเขาปัดตูดออกจากตระกูลฟู่ไปตอนนี้ ตำแหน่งผู้สืบทอดที่กำลังมั่นคงของฟู่เกาหยุนคงพังทลาย


ด้วยเหตุนี้ สิ่งเดียวที่เขาจะทำในตอนนี้คือรอคอยให้ถึงเวลาที่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงจะเปิดออก


สำนักเทียนหลงแห่งนี้ ในบางโอกาสปรมาจารย์ระดับสูงจะมาทำการชี้แนะให้เหล่าศิษย์ ซึ่งโดยส่วนใหญ่เหล่าอาจารย์ที่มาชี้แนะจะมีแค่ตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณเท่านั้น มีแค่น้อยครั้งที่ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะจะปรากฎตัว


หลิงฮันเข้าร่วมการชี้แนะครั้งต่างๆ โดยที่จุดประสงค์หลักคือต้องมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับระดับแบ่งแยกวิญญาณ


การทะลวงผ่านระดับแบ่งแยกวิญญาณก็เหมือนกับระดับโลกียนิพพาน ที่จำเป็นต้องทำการทะลวงผ่านในสถานที่พิเศษในดินแดนแห่งเซียน


มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลืมง่าย ความโกลาหลที่เกิดขึ้นเพราะหลิงฮันค่อยๆเลือนหายไป และผู้คนในสำนักได้เปลี่ยนมาพูดคุยกันถึงสุนัขตัวดำร่างยักษ์ที่สวมใส่กางเกงในโลหะแทน!


สุนัขตัวดำร้ายกาจเป็นอย่างมาก มันทำเรื่องชั่วร้ายทุกอย่างเท่าที่จะคิดได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่ว โดยที่ไม่มีใครสามารถจับตัวมันได้เลยจนกลายเป็นตำนานของสำนัก


เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน หลิงฮันก็มีแขกมาพบอีกครั้ง


“นายน้อยฮัน ข้ามีชื่อว่าหลิวฮวายยวี่!” แขกที่มาหาคือสตรีที่งดงาม


“นายน้อยไห่อยากเชิญท่านไปพบ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์

 

 

 


ตอนที่ 1778 ชักชวน

 

นายน้อยไห่? ฟู่ทงไห่?


หลิงฮันรับรู้เช่นกันว่าเป็นเพราะเขา สถานะของฟู่เกาหยุนในช่วงนี้จึงมั่นคงขึ้นมาเป็นอย่างมาก การสนับสนุนจากปรมาจารย์นักปรุงยาสามดาวมีน้ำหนักมากเกินไป จนฟู่ทงไห่ไม่อาจนิ่งเฉยได้


หากยังปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป ตำแหน่งผู่สืบทอดที่แท้จริงจะต้องตกเป็นของฟู่เกาหยุนแน่


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้ารู้สึกว่าข้าไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกับฟู่ทงไห่นะ”


“จะไม่มีได้อย่างไร!” นางยิ้มด้วยเสน์อันเย้ายวนราวกับดอกไม้นับร้อยที่เบ่งบาน


“ถ้าคิดจะพูดคุยกันล่ะก็ หัวข้อที่จะพูดคุยก็มีออกเยอะแยะ” นางปัดผมตัวเองเล็กน้อย เพื่อเผยให้หลิงฮันเห็นใบหูอันงดงาม


หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ข้าไม่สนใจ”


“นายน้อยฮัน ท่านต้องการทำให้ข้าอับอายรึ?” หลิวฮวายยวี่ทำสีหน้าโศกเศร้า


ท่าทีของหลิงฮันยังคงนิ่งเฉย ทักษะการยั่วยวนของหลิวฮวายยวี่นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง แต่น่าเสียดายที่ต่อหน้าหลิงฮันที่ได้เห็นใบหน้าของจักรพรรดินีอยู่ทุกวันอยู่แล้ว เสน่ห์เพียงแค่นี้ย่อมไร้ผล


เขายิ้มหน้าตายและกล่าวตอบ “ขอเชิญแม่นางหลิวกลับไป”


“หรือนายน้อยฮันกลัวว่าภรรยาทั้งสองจะหึงหวง?” หลิวฮวายยวี่หัวเราะโดยยกมือขึ้นมาปิดปากและกล่าว “ด้วยพรสวรรค์ของนายน้อยฮัน อย่ากล่าวถึงเรื่องมีภรรยาสองคนเลย ต่อให้มีภรรยานับร้อยก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม”


หลิงฮันสะบัดมือพร้อมกับกล่าว “เชิญกลับไป!”


“นายน้อยฮัน!” หลิวฮวายยวี่โน้มตัวเข้าประชิดตัวหลิงฮันและจับมือเขาเอาไว้ “นายน้อยอย่าได้ไร้เยื่อใยเช่นนั้นเลย ขอแค่บอกว่ามาอยากให้ข้าทำอะไร ข้าก็ยินยอมทำให้นายน้อยฮันทุกอย่าง!”


ดวงตาที่กระจ่างใสและริมฝีปากที่ร้อนแรงราวกับเปลวเพลิงของนาง สามารถทำให้ใครก็ตามที่จ้องมองรู้สึกเร่าร้อนได้อย่างไม่ยากเย็น


หลิงฮันเค้นเสียง “ยังไม่ไปอีกรึ?”


“นายน้อยฮัน!” ใบหน้าของหลิวฮวายยวี่เปลี่ยนเป็นขึงขัง “นกที่ฉลาดย่อมต้องเลือกต้นไม้ที่จะใช้เป็นที่พักพิงให้ดี”


“ถึงแม้ตำแหน่งของฟู่เกาหยุนในตอนนี้จะนับว่าค่อนข้างมั่นคง แต่คิดรึว่าเขาจะสามารถเทียบชั้นกับนายน้อยไห่ที่สะสมขุมกำลังมานานหลายพันล้านปีได้?”


“ถ้าหากนายน้อยฮันกับนายน้อยไห่ร่วมมือกัน ตำแหน่งประมุขตระกูลจะต้องตกเป็นของนายน้อยไห่แน่นอน ซึ่งนายน้อยไห่ได้กล่าวไว้ว่าเมื่อถึงตอนนั้น เขาจะมอบตำแหน่งผู้นำขุมอำนาจอันดับหนึ่งภายใต้การปกครองตระกูลฟู่ให้แก่นายน้อยฮัน หรืออาจจะถึงขั้นยอมสร้างเมืองให้ด้วย!”


แน่นอนว่าตอนนี้ฟู่ทงไห่จะยื่นข้อเสนออะไรก็ได้ แต่ในอนาคตภายภาคหน้าเขาจะยอมทำให้หรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงคำสัญญาปากเปล่า


ใบหน้าของหลิงฮันเผยรอยยิ้มดูถูกพร้อมกับกล่าว “ในอนาคตข้าคือคนที่จะกลายเป็นราชินิรันดร์ เจ้าไม่คิดว่าข้อเสนอของพวกเจ้าจะดูถูกข้าไปหน่อยรึไง?”


ร่างของหลิวฮวายยวี่ชะงักทันทีที่ได้ยิน


นางเคยพบเห็นผู้คนที่ยกยอตนเองมาแล้วมากมาย บุรุษที่มักกล่าวโอ้อวดตัวเองเพื่อต้องการความสนใจจากนางก็มีอยู่ไม่น้อย แต่คำโอ้อวดของคนเหล่านั้นเมื่อนำมาเทียบกับของหลิงฮันแล้ว พวกเขาดูธรรมดาไปเลย


กลายเป็นราชานิรันดร์งั้นรึ ช่างน่าขัน!


ราชานิรันดร์คือตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนแห่งเซียน ต่อให้เป็นชายที่หยิ่งทะนงในตัวเองอย่างฟู่ทงไห่ ก็ตั้งเป้าหมายอยู่แค่ระดับขอบเขตตำหนักอมตะเท่านั้น หรือบางทีถ้าหากเขาโชคดี ก็อาจจะมีความหวังอันริบหรี่ที่สามารถกลายเป็นตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ได้ แต่สำหรับราชานิรันดร์นั้นเลิกพูดถึงไปได้เลย


ต่อให้เป็นทายาทของนิกายยักษ์ใหญ่ที่สามารถเผาผลาญทรัพยากรได้อย่างไร้ขีดจำกัดขนาดไหน คนที่มีโอกาสจะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ก็คงจะมีเพียงแค่หนึ่งในหมื่น


ตัวตนระดับนิรันดร์นั้นมีอายุขัยไร้ที่สิ้นสุดก็จริง แต่ทว่าจำนวนของราชานิรันดร์กลับมีอยู่เพียงน้อยนิดจนน่าอนาถใจ


เพราะงั้นการที่หลิงฮันกล่าวประโยคโอ้อวดอย่างการที่ตนเองจะกลายเป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ออกมา จึงมีแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะใส่เท่านั้น


“นายน้อยฮันช่างมีความทะเยอทะยานที่สูงส่งยิ่งนัก…” หลิวฮวายยวี่แน่นิ่งไปนานพอสมควร ซึ่งคำพูดที่นางกล่าวตอบกลับไปนั้นไม่ใช่คำชมอย่างแน่นอน เพียงแค่นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานตัวจ้อย ที่มีปรมาจารย์นักปรุงยาสามดาวสองคนหนุนหลังอยู่เท่านั้น กลับกล้าพูดออกมาอย่างเต็มปากว่าตนเองจะกลายเป็นราชานิรันดร์งั้นรึ?


สิ่งที่เจ้าพูดออกมามีแต่จะทำให้เจ้ากลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น


หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “หากฟู่ทงไห่ช่วยให้ข้าบรรลุเป็นราชานิรันดร์ได้ ข้าจะยอมไปพบเขา แต่ถ้าทำไม่ได้ก็อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลา”


หลิวฮวายยวี่แทบจะยื่นมือออกไปตบหน้าหลิงฮัน หากมีวิธีทำให้บรรลุเป็นราชานิรันดร์ได้ ฟู่ทงไห่จะต้องการตำแหน่งผู้นำตระกูลฟู่ไปทำไม?


“ถ้าเช่นนั้นข้าจะลองถามนายน้อยไห่ดู” หลิวฮวายยวี่ยอมแพ้และยอมกลับไปในที่สุด


นี่เป็นครั้งแรกที่นางหมดความอดทนต่อหน้าบุรุษ และยังเป็นครั้งแรกด้วยที่นางต้องกลับไปมือเปล่า จิตใจของนางได้รับผลกระทบจนอดคิดไม่ได้ว่า หรือเสน่ห์ของนางจะลดลงทำให้ไม่งดงามเหมือนเดิม?


หลิวฮวายยวี่จากไปได้ไม่นานกี่ชั่วโมง ก่อนที่ใครบางคนจะมาหาหลิงฮันอีกครั้ง


แขกในคราวนี้คือฟู่ทงไห่ หนึ่งในสี่ผู้สืบทอดตระกูลฟู่


ชายผู้นี้มีกลิ่นอายที่น่าดึงดูดเป็นอย่างมาก แถมทุกๆการเคลื่อนไหวของเขายังน่าเกรงขามจนสามารถทำให้สตรีจิตใจหวั่นไหว


“ข้าคือฟู่ทงไห่!” ทันทีที่เดินผ่านประตูที่พักเข้ามา ฟู่ทงไห่ก็แนะนำตัวกับหลิงฮันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ยินดีที่ได้พบพี่ชายไห่”


“น้องชายฮัน เจ้าช่างเป็นชายที่มีความทะเยอทะยานสูงนัก ข้าเองก็เป็นคนเช่นนั้น ทำไมพวกเราถึงไม่มาร่วมมือกันสร้างยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ไปด้วยกันล่ะ?” ฟู่ทงไห่จ้องมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้ามุ่งมั่น เสน่ห์อันน่าดึงดูดของเขาสามารถทำให้ผู้คนใจอ่อนและยอมทำตามได้อย่างง่ายดาย


ด้วยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามขนาดนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมสตรีที่งดงามอย่างหลิวฮวายยวี่ถึงได้ยินยอมติดตามชายผู้นี้

 

 

 


ตอนที่ 1779 ฟู่ทงไห่

 

หลิงฮันจ้องมองฟู่ทงไห่อยู่ครู่หนึ่ง


กล่าวกันตามตรงแล้ว บุรุษผู้นี้มีกลิ่นอายน่าดึงดูดที่น่าเกรงขามมาก และสามารถผูกมัดจิตใจผู้คนได้อย่างง่ายดาย


เพียงแต่ว่าจิตใจของเขานั้นแม้แต่สวรรค์ก็ไม่อาจบ่งการได้ มีรึที่เขาจะถูกใครชักจูง?


ต่อให้เป็นความสัมพันธ์ของเขากับฟู่เกาหยุนก็ยังเป็นเพียงมิตรสหาย ไม่ใช่เจ้านายและผู้ติดตาม


แต่เรื่องนี้ต่อให้เล่าไปจะมีใครเชื่อกัน?


ฟู่ทงไห่คนหนึ่งที่ไม่คิดเช่นนั้น เพราะงั้นเขาถึงพยายามทำทุกวิถีทางในการโน้มน้าวหลิงฮัน โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่านอกจากการโน้มนาวจะไม่มีทางสำเร็จแล้ว มันยังจะทำให้หลิงฮันเกิดความรู้สึกรังเกียจเสียด้วยซ้ำ


หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไร ข้าแค่อยากใช้ชีวิตของข้าอย่างสงบสุขอยู่เงียบๆเท่านั้น เพราะเหตุนั้นเกรงว่าข้าคงไม่สามารถตอบรับความคาดหวังของพี่ชายไห่ได้”


วาจาประดุจผายลม!


แล้วที่เจ้าบอกกับหลิวฮวายยวี่ล่ะมันคืออะไร? เจ้าบอกว่าอยากเป็นราชานิรันดร์ไม่ใช่รึไง แล้วตอนนี้จะมาบอกว่าไม่มีความทะเยอทะยานงั้นรึ?


สีหน้าของฟู่ทงไห่อึมครึมเป็นอย่างมาก หากเขาชักชวนหลิงฮันมาเป็นพวกได้ไม่สำเร็จ ตำแหน่งประมุขตระกูลจะต้องตกเป็นของฟู่เกาหยุนแน่นอน


ไม่อาจยอมให้เป็นเช่นนั้นได้!


เขากล่าวยื่นข้อเสนอต่างๆมากมาย โดยที่ยอมแม้กระทั่งนำหลิวฮวายยวี่มาเป็นข้อต่อรอง ตราบใดที่หลิงฮันพยักหน้าตกลง การที่เขาจะมอบสตรีงดงามอย่างนางให้ไปเป็นนางสนมก็ใช้ว่าจะเป็นไปไม่ได้


หลิงฮันเกิดความรู้สึกเหยียดหยามต่อฟู่ทงไห่ทันที อีกฝ่ายต้องมีนิสัยแบบใดที่ถึงขนาดยกผู้ติดตามของตนเองให้กับคนอื่นได้ราวกับเป็นสิ่งของ


แต่ในมุมมองของฟู่ทงไห่นั้น ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่สำคัญเท่ากับตำแหน่งผู้นำตระกูล เพื่อที่จะได้ครอบครองตำแหน่งนี้ ไม่มีอะไรที่เขายอมเสียสละไม่ได้ หากในอนาคตเขาได้เป็นผู้นำตระกูลเมื่อใด ผลประโยชน์ที่เขาได้รับกลับคืนมาจะมากกว่าเดิมนับพันนับหมื่นเท่า


หลิงฮันไม่มีความคิดที่จะสร้างความสัมพันธ์ใดๆกับฟู่ทงไห่ แถมตอนนี้ในจิตใจของเขายังเกิดความรู้สึกรังเกียจอีกฝ่ายไปด้วยแล้ว เขากล่าวออกไปอย่างไม่แยแส “ข้าชักจะเหนื่อยแล้ว ขอเชิญพี่ชายไห่กลับไปด้วย”


สีหน้าของฟู่ทงไห่เปลี่ยนเป็นเย็นชาจนถึงขีดสุด ในที่ชีวิตนี้เขาไม่เคยถูกใครไล่ให้กลับไปมาก่อน


ที่ผ่านๆเขามักจะเป็นเพียงฝ่ายเดียว ที่สามารถทำการขับไสไล่ส่งให้คนอื่นๆไปให้พ้นๆหน้าได้ เป็นไปได้อย่างไรที่วันหนึ่งเขาจะกลายมาเป็นผู้ถูกขับไล่เสียเอง?


ฟู่ทงไห่แสยะยิ้มอย่างเหยียดหยามในใจ หลิงฮันจะต้องถูกฟู่เกาหยุนชี้นำอยู่แน่นอน ไม่รู้ว่าฟู่เกาหยุนจ่ายเงินจำนวนมหาศาลขนาดไหนไป ถึงได้ทำให้หมอนี่อยู่ภายใต้คำสั่งของตนได้


เขาตัดสินใจทันทีว่าต้องทำการตรวจสอบการใช้จ่ายของฟู่เกาหยุนอย่างถี่ถ้วน หากพบว่าฟู่เกาหยุนใช้เงินของตระกูลในการโน้มน้าวหลิงฮันล่ะก็ อีกฝ่ายจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน หรือดีไม่ดี ฟู่เกาหยุนอาจจะถูกตัดออกจากตำแหน่งผู้สืบทอดเลยด้วยซ้ำ!


เขามองไปยังหลิงฮันและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องชายฮัน เจ้าคิดจะไปเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงสินะ?”


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ไม่ผิด”


“ในฐานะที่ในอดีตข้าเคยมีประสบการณ์จากที่นั่นมาก่อน ข้าขอเตือนน้องชายฮันอย่างหนึ่งว่า ภายในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงมีภัยอันตรายซุกซ่อนอยู่มากมาย หากไม่ระวังตัวให้ดี เจ้าอาจจะนำชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่นได้!” เขากล่าวและตบไหล่หลิงฮัน แม้คำพูดและการกระทำของเขาจะดูเหมือนพยายามเตือนหลิงฮัน แต่แท้จริงแล้วมันคือคำข่มขู่


หลิงฮันหัวเราะ ในเมื่ออีกฝ่ายเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพูดคุยอีกต่อไป “ชีวิตของข้าพบเจอภัยอันตรายอยู่ตลอดเวลา พี่ชายไห่ไม่ต้องเป็นห่วง”


“งั้นก็ขอให้เจ้าโชคดี” ฟู่ทงไห่หันหลังจากไป ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาและตัดสินใจส่งคนเข้าไปยังเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงเพื่อสังหารหลิงฮัน


ภายในเขตแดนลี้ลับนั้น ตราบใดที่ไม่มีพยานรู้เห็น ใครจะไปสนใจว่ามีใครตาย?


ยิ่งกว่านั้น เป่ยเสวียนหมิงก็ยังรอจัดการกับหลิงฮันอยู่ด้วยเช่นกัน อีกฝ่ายกล่าวเอาไว้ว่าต้องการสั่งสอนหลิงฮันด้วยมือตัวเอง เพราะงั้นแล้วไม่ใช่ว่าภายในเขตแดนลี้ลับคือสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดหรอกรึ?


นิกายอาญาสิ้นแสงมีปรมาจารย์อยู่มากมาย


ถึงแม้คนของนิกายอาญาสิ้นแสงหลายคนจะไม่ได้เป็นผู้สืบทอด แต่พวกเขาก็มีพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธที่สูงส่ง และขัดเกลาพลังบ่มเพาะในระดับโลกียนิพพานมานานแล้วไม่รู้กี่ร้อยล้านปี


เหล่าคนประเภทนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก พลังต่อสู้ของพวกเขาอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้สืบทอดบางคนด้วยซ้ำ!


ฟู่ทงไห่เชื่อว่าปรมาจารย์เช่นนั้นที่จะตามเป่ยเสวียนหมิงเข้าไปยังเขตแดนลี้ลับด้วยต้องมีอยู่มากมาย เพราะงั้นหากหลิงฮันไปพบเจอกับเป่ยเสวียนหมิงภายในเขตแดนลี้ลับ หลิงฮันจะต้องตายอย่างแน่นอน


นอกจากนั้นก็ยังมีตระกูลเซียวและตระกูลหานอีก!


ฟู่ทงไห่นึกขึ้นมาได้ว่าหลิงฮันเป็นตัวปัญหาขนาดไหน อีกฝ่ายเป็นเพียงนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแท้ๆ แต่กลับล่วงเกินขุมอำนาจสองดาวและสามดาวไปแล้วมากมาย การที่หลิงฮันยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ได้ก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้ว


“แต่ปาฏิหาริย์นั่นก็ถึงเวลาสิ้นสุดแล้ว เนื่องจากครั้งนี้ข้าผู้นี้จะเป็นคนจัดการเอง!” ฟู่ทงไห่กล่าวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม


“แต่ต่อให้ข้าไม่ลงมือ ข้าก็ไม่คิดว่าอีกสองคนจะยอมนิ่งเฉยเช่นกัน” มุมปากของฟู่ทงไห่ยกขึ้น


สองคนที่เขาเอ่ยถึงย่อมหมายถึงผู้สืบทอดอีกสองคนอย่างฟู่เซียวผิงและฟู่ปิงปิง เป็นไปได้รึที่ทั้งสองคนจะไม่รีบลงมือ?


ทั้งสองสมควรตระหนักได้เช่นกันว่า ณ เวลานี้ทุกคนไม่สามารถเอาชนะฟู่เกาหยุนได้ ในเมื่อโน้มน้ามหลิงฮันให้เข้าร่วมฝ่ายตนไม่สำเร็จ ก็เหลืออยู่วิธีเดียวคือต้องสังหารหลิงฮันในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง


“หลิงฮัน… หากครั้งนี้เจ้ายังรอดชีวิตไปได้ ข้าจะขอเปลี่ยนแซ่ไปเป็นของเจ้าเลย!” เขาเหลือบตามองไปยังที่พักด้านหลัง ก่อนจะสะบัดมือและเดินจากไป


ภายในที่พัก หลิงฮันกำลังนั่งใช้มือลูบคางและครุ่นคิดด้วยความรู้สึกสงสัย


เขาไม่เคยคิดที่จะทำอะไรให้เป็นที่โดดเด่นภายในตระกูลฟู่แท้ๆ เป้าหมายของเขาในการมาอยู่ที่นี่คือตามหาสถานที่ตั้งของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์เพียงอย่างเดียว แต่เหตุเรื่องราวปัญหาต่างๆถึงได้เกิดขึ้นมากมายอย่างไร้เหตุขนาดนี้?


น่าแปลกนัก


“ไม่ต้องไปคิดมากหรอก เจ้าที่เป็นตัวปัญหาอย่างแท้จริงนั้น หากไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นสิถึงจะเรียกว่าแปลก” สตรีนกอมตะสวรรค์เดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางชินชา


หลิงฮันจับภรรยาของตนเข้ามากอดในอ้อมแขนและกล่าว “เจ้าพูดแบบนั้นกับคนที่เป็นสามีได้อย่างไร?”


สตรีนกอมตะยิ้ม การที่ได้เป็นภรรยาของบุรุษเช่นนี้ก็มีข้อดีคือนางไม่จำเป็นต้องกังวลว่าชีวิตจะไม่มีสีสัน เพราะมีเรื่องให้ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา

 

 

 


ตอนที่ 1780 นิกายซู่หนู่

 

วันเวลาผ่านไปสามเดือนอย่างรวดเร็ว


ในช่วงผ่านมาไม่มีคนของตระกูลฟู่คนใดมายุ่งกับหลิงฮันอีกแม้แต่คนเดียว พวกเขามีความคิดเห็นตรงกันคือจะแอบลอบสังหารหลิงฮันในเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง


หลิงฮันไม่หวั่นเกรง ถึงแม้เขาในตอนนี้จะยังเอาชนะนิรันดร์สี่นิพพานขั้นสูงสุดไม่ได้ แต่ด้วยกายหยาบอันทรงพลังของเขา ต่อให้เป็นการโจมตีของนิรันดร์สี่นิพพานขั้นสูงสุดที่ทรงพลัง ก็ไม่มีทางที่จะสังหารเขาได้ภายในหนึ่งกระบวน นอกจากนั้นในมือเขาก็ยังซ่อนไพ่ลับเอาไว้อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลิงเก้าสวรรค์ วารีพลังหยินเร้นลับ ทักษะสิบอสูรสงครามและอื่นๆ


จ่างซุนเหลียงกับเซียวเซิ่งหรือคนอื่นๆที่เข้าร่วมสำนักเทียนหลงมาพร้อมกับหลิงฮันนั้น อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ไม่มีคนไหนเลยที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง


หลังจากไปพบปะพูดคุยกับจ่างซุนเหลียงอยู่ครู่หนึ่ง หลิงฮันก็มุ่งหน้าไปขึ้นเรือรบของตระกูลฟู่และเตรียมตัวออกเดินทางไปยังเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง


การเดินทางครั้งนี้ตระกูลฟู่ถึงขนาดใช้เรือรบหนึ่งลำในการเดินทาง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงขนาดไหน เรือรบเช่นนี้ตระกูลฟู่มีอยู่ในครอบครองเพียงสามลำเท่านั้น โดยที่แต่ละลำมีพลังทำลายล้างเทียบเท่ากับการโจมตีของระดับขอบเขตตำหนักอมตะขั้นสูงสุด เรือลบเหล่านี้คือไพ่ลับที่ทรงพลังที่สุดของตระกูลฟู่


เมื่อเรือรบถูกนำออกมาใช้ ตราบใดที่ไม่พบเจอศัตรูที่ทรงพลังในระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ ทุกอย่างที่ขวางหน้าจะถูกปืนใหญ่ของเรือปัดเป่ากลายเป็นเศษซาก


คนที่ขึ้นเรือเพื่อไปยังเขตแดนลี้ลับเฉียนหลงมีอยู่มากมาย แต่ละคนรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อยเล็กๆ ยกตัวอย่างเช่นหลิงฮันก็รวมกลุ่มอยู่กับฟู่เกาหยุน และในกลุ่มของพวกเขานอกจากสิบคนที่ได้รับสิทธจากฟู่เกาหยุนแล้ว ก็ยังมีคนที่มารวมกลุ่มด้วยเพิ่มอีกสองคน


หนึ่งในนั้นคือฟู่เสี่ยวอวิ๋น


การที่นางมาอยู่ที่นี้นั้นเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก นางที่เป็นน้องสาวของฟู่เกาหยุน หากไม่ติดตามฟู่เกาหยุนจะให้ไปติดตามใคร?


อีกคนหนึ่งคือซือถูเซี่ยวเจิน


สำหรับนางที่เป็นหลานสาวของปรมาจารย์นักปรุงยาสามดาว การจะได้รับสิทธิเข้าร่วมเขตแดนลี้ลับจะเป็นเรื่องยากอันใด? ที่นางมาอยู่กลุ่มเดียวกับฟู่เกาหยุนก็เพราะ ปรมาจารย์นักปรุงยานักสองได้ฝากฝังนางมาให้ฟู่เกาหยุนคอยดูแล


หลิงฮันและจักรพรรดินีไม่ได้รวมตัวอยู่กับพวกฟู่เกาหยุนนาน ทั้งสองเก็บตัวอยู่ในห้องและเข้าสู่หอคอยทมิฬเพื่อขัดเกลาพลังใต้ต้นสังสารวัฏ


ความเร็วของเรือรบนั้นน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก หนึ่งเดือนต่อมาพวกเขาก็เดินทางมาถึงเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง ภูมิประเทศแถวนี้เป็นบริเวณรกร้างว่างเปล่าที่ปกคลุมไปด้วยชั้นหมอก ซึ่งภายในหมอกก็คือเขตแดนลี้ลับเฉียนหลง


มีหลายคนคาดเดาเอาไว้ว่าเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ แต่เดิมสมควรเป็นที่ตั้งของนิกายที่ทรงพลังระดับราชานิรันดร์ แต่เหตุผลที่ว่าทำไมมันถึงถูกทิ้งร้างนั้น ไม่มีใครรู้แม้แต่คนเดียว


หลังจากมาถึงจุดหมาย เรือรบก็ค่อยๆแล่นลงอย่างเชื่องช้า เรือลงที่ลงจอดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เรือรบของตระกูลฟู่เพียงลำเดียว แต่มีเรือรบลำอื่นๆอยู่ที่นี่ด้วยอย่างน้อยสิบลำ เรือรบแต่ละลำแขวนธงที่มีสัญลักษณ์และสีต่างกันเอาไว้ แต่นอกจากธงที่ต่างกันแล้ว รูปร่างของเรือรบนั้นแทบจะเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน


หลิงฮันไต่ถามฟู่เกาหยุนจึงได้รู้ว่าเรือรบเหล่านี้ ขุมอำนาจต่างๆไม่ได้สร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่ซื้อมาจากขุมอำนาจแห่งหนึ่ง


ขุมอำนาจที่ว่าคือ ตำหนักกองกำลังสงคราม!


ตำหนักกองกำลังสงครามคือขุมอำนาจสี่ดาวที่ไม่ใช่นิกายหรือตระกูลทั่วไปที่ต่อสู้เพื่อขยายอาณาเขต แต่พวกเขาคือขุมอำนาจที่ทำการค้า ตำหนักกองกำลังสงครามขายอาวุธตั้งแต่ดาบขนาดเล็กไปจนถึงเรือรบขนาดมหึมา พวกเขาสามารถสร้างอาวุธที่ใช้สู้รบได้ทุกประเภท


ความมั่งคงของตำหนักกองกำลังสงครามเป็นที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่มีใครกล้ารุกรานเนื่องจากพวกเขาเป็นถึงขุมอำนาจสี่ดาว!


ยิ่งกว่านั้นตำหนักกองกำลังสงครามก็ยังพึ่งพาอาวุธเป็นกำลังหลัก พวกเขามีเรือรบที่ถูกยกระดับให้มีพลังทำลายเทียบตัวตนระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้อยู่นับร้อย นอกจากขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์แล้ว ใครกันจะกล้าล่วงเกินพวกเขา?


“ตระกูลหลิว ตระกูลเป่ยหยิ่ว ตระกูลเชียนจ้าว ตระกูลเถิง สำนักกู่ยวี่ (พิรุณบรรพกาล) แล้วก็… นิกายซู่หนู่ (สตรีบริสุทธิ์)” สายตาของฟู่เกาหยุนกวาดมองเรือรบแต่ละลำ ก่อนจะมาหยุดค้างอยู่ที่เรือรบลำที่หก สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความรู้สึกหวาดกลัวและโหยหาย


“ไม่คาดคิดว่าครั้งนี้นิกายซู่หนู่เองก็มาเช่นกัน!” ใบหน้าของเฉิงจงเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเล็กน้อย


หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “ขุมอำนาจนั้นแข็งแกร่งงั้นรึ?”


“แข็งแกร่งแถมยังรับมือยากมาก” ฟู่เกาหยุนส่ายหัว “นิกายซู่หนู่คือนิกายที่ฝึกฝนจอมยุทธสตรีเพียงอย่างเดียว ศิษย์ของนิกายทุกคนจะฝึกฝนทักษะในการใช้เสน่ห์หลอกล่อคู่ต่อสู้และคว้าชัยชนะโดยไม่ต้องลงมือ”


เฉิงจงหัวเราะ “ในอดีต ครั้งหนึ่งนายน้อยหยุนของเราเคยเข้าไปยังเขตแดนลี้ลับและพบเจอสมุนไพรนิรันดร์ที่เพิ่งงอกเงยเต็มที่ได้ไม่นาน ซึ่งนับว่าเป็นสมบัติที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก เพียงแต่ว่าในตอนนั้นศิษย์ที่งดงามคนหนึ่งของนิกายซู่หนู่ได้ปรากฏตัวและใช้เสน่ห์ยั่วยวน จนทำให้นายน้อยหยุนยอมมอบสมุนไพรนิรันดร์ให้กับนาง”


ฟู่เกาหยุนเผยสีหน้าอับอาย ถึงแม้เขาจะรู้สึกไม่สบอารมณ์แต่ก็ยังมีความรู้สึกหลงใหลในสตรีผู้นั้นอยู่


“ในตอนนั้น หลังจากที่กลับไปถึงตระกูลฟู่ นายน้อยหยุนถูกลงโทษจนเกือบจะถูกตัดศิษย์ออกจากตำแหน่งผู้สืบทอด เพียงแต่ว่านอกจากตระกูลฟู่แล้ว คนที่ได้รับผลกระทบจากเสน่ห์ของนิกายซู่หนู่ก็ไม่ได้มีแค่นายน้อยหยุน แม้แต่ทายาทของนิกายอาญาสิ้นแสงที่มีอำนาจทรงพลังที่สุด ก็ยังไม่อาจต้านทานเสน่ห์ยั่วยวนของนิกายซู่หนู่ได้” เฉิงจงกล่าวต่อเพื่อรักษาหน้าฟู่เกาหยุน


สีหน้าของฟู่เกาหยุนเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างและกล่าว “น้องชายหลิง เจ้าอย่าได้ประมาททักษะในการใช้เสน่ห์ยั่วยวนของนิกายซู่หนู่เป็นอันขาด”


“นิกายซู่หนู่นั้นต่างจากขุมอำนาจอื่น พวกนางมีผู้สืบทอดเพียงแค่คนเดียวคือแม่นางโร๋ว ไม่มีใครรู้แซ่ของนาง ทุกคนจึงเรียกนางว่าแม่มดจอมเสน่ห์โร๋วหรือไม่ก็ธิดาโร๋ว มีข่าวลือหนาหูว่าใครก็ตามที่ล่วงรู้แซ่ของนาง จะมีโอกาสได้แต่งงานกับนาง”


“ด้วยข่าวลือนี้เอง ทำให้มีบุรุษไม่รู้กี่คนต่อกี่คนพยายามสืบหาแซ่ของนาง นี่เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าเสน่ห์ของนางน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน”


สีหน้าของฟู่เกาหยุนแสดงออกถึงความรู้สึกโหยหาย ครั้งหนึ่งแม้จะเป็นเวลาสั้นๆเขาก็เคยได้พบเจอธิดาโร๋วมาก่อน เหตุการณ์ในตอนนั้นได้กลายเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของเขา ต่อให้ต้องสูญเสียสมุนไพรนิรันดร์ไปก็ตาม เขาก็ไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อย


หลิงฮันรู้สึกสงสัย เขาอยากพบธิดาโร๋วผู้นี้ดูสักครั้ง เพราะต้องการรู้ว่าทักษะยั่วยวนของนางจะน่าอัศจรรย์ขนาดไหน

 

 

 


ตอนที่ 1781 ทักษะเพลิง

 

ตระกูลฟู่มีผู้สืบทอดระดับราชาอย่างฟู่เกาหยุน แน่นอนว่าขุมอำนาจอื่นก็ต้องมีเช่นกัน


นอกจากธิดาโร๋วของนิกายซู่หนู่แล้ว ก็ยังมีเชียนจ้าวเถี้ยนจากตระกูลเชียนจ้าว เป่ยหยิ่วย้งจากตระกูลเป่ยหยิ่ว หลินฟางจากสำนักกู่ยวี่และคนอื่นๆ พวกเขาเป็นราชาแห่งยุคที่ล้วนแต่ตัดผ่านนิพพานได้อย่างสมบูรณ์


“หวังว่าพวกเราจะไม่ต้องบาดหมางกับคนเหล่านั้น โดยเฉพาะธิดาโร๋ว!” ฟู่เกาหยุนกัดฟัน แต่ก็เผลอแสดงสีหน้าโหยหาออกมาโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าภายในจิตใจของเขายังไม่อาจลบเงาของแม่มดจอมเสน่ห์ให้หายไปได้


“ข้าคือเชียนจ้าวเถี้ยน ไม่ทรายว่าธิดาโร๋วจะปรากฏตัวให้เห็นหน่อยได้หรือไม่?” บุรุษผู้หนึ่งทะยานร่างออกมาจากเรือรบและยืนตระหง่านอย่างองอาจกลางท้องฟ้า


ชื่อของธิดาโร๋วได้กระตุ้นความสนใจของผู้คนจำนวนมาก


มีคำกล่าวว่าธิดาโร๋วนั้นคือศิษย์ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์นิกายซู่หนู่ แถมยังเป็นสตรีที่งดงามมากที่สุดอีกด้วย แม้แต่หนานซู่อวี่ที่เป็นประมุขนิกายซู่หนู่ในยุคสมัยเดียวกัน ก็ยังมีรูปลักษณ์ที่ด้อยกว่านางเล็กน้อย


ต้องรู้ก่อนว่าหนานซู่อวี่นั้นเป็นที่รู้จักกันในฉายาธิดาที่งดงามที่สุด แม้แต่ตัวตนที่ทรงพลังของขุมอำนาจสี่ดาวก็ยังหลงไหลในตัวนาง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่เอาชนะใจนางได้


แม้แต่ตอนนี้ ในหมู่ขุมอำนาจระดับสาวดาวนับร้อยรอบข้าง หนานซู่อวี่ก็ยังครองตำแหน่งสตรีที่งดงามที่สุด มีเพียงแค่ในยุคหลังนี้เท่านั้นที่ตำแหน่งของนางถูกแทนที่ด้วยธิดาโร๋ว


สตรีที่งดงามยิ่งกว่าหนานซู่อวี่ บุรุษผู้ใดบ้างจะจิตใจไม่หวั่นไหว?


ในตอนแรกก็ไม่ได้มีเสียงใดตอบกลับมาจากเรือรบของนิกายซู่หนู่ แต่พอผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆสตรีชุดขาวก็ปรากฏตัวออกมายืนอยู่บนหัวเรือ แม้รูปลักษร์ของสตรีผู้นี้จะงดงามมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่บุรุษทุกคนจะยินยอมยกทุกสิ่งทุกอย่างให้


“นั่นน่ะรึธิดาโร๋ว?”


“สมคำร่ำลือ นางช่างงดงามอย่างแท้จริง!”


“น่าขัน นี่เจ้าตาบอดหรือยังไง สตรีธรรมดาเช่นนั้นจะเป็นธิดาโร๋วไปได้อย่างไร! ธิดาโร๋วน่ะงดงามกว่าสตรีผู้นี้หลายร้อยเท่าหรืออาจจะหลายพันเท่า!”


หลิงฮันพยักหน้าเห็นด้วยในใจ ถึงแม้สตรีชุดขาวจะงดงามอย่างมาก แต่ความงามของนางก็เหนือกว่าหลิวฮวายยวี่เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น หากสตรีผู้นี้เป็นธิดาโร๋วจริง ฟู่เกาหยุนก็คงจะตาต่ำเป็นอย่างมากที่ถึงขนาดเสียสติ ยกสมุนไพรนิรันดร์ให้กับนาง


สตรีชุดขาวกล่าวด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ “คุณหนูของข้ากล่าวว่านางกำลังศึกษาทักษะลับจากยุคบรรพกาลอยู่ แต่เนื่องจากทักษะที่ว่าหายสาปสูญมาเป็นเวลานานทำให้ไม่อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ หากคุณชายเชียนจ้าวต้องการพบเจอคุณหนูของข้า นางบอกว่าท่านจะต้องทดสอบแก้ไขทักษะที่ว่าให้ได้เสียก่อน นางถึงจะต้อนรับท่าน”


เชียนจ้าวเถี้ยนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะ “แน่นอน ข้าขอรับการทดสอบ!”


คนอื่นๆที่ได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสนใจเช่นกัน ใครหลายคนรีบกล่าวออกมาว่าตนเองก็อยากลองทดสอบด้วย


สตรีชุดขาวราวกับว่าเตรียมพร้อมกับสถานการณ์เช่นนี้เอาไว้แล้ว นางนำกระดาษปึกหนาออกมาและแจกจ่ายให้กับทุกคน


ฟู่เกาหยุนรับกระดาษมาแผ่นหนึ่งด้วยความตื่นเต้นก่อนจะกล่าว “ข้าเพียงแค่สนใจในทักษะโบราณเท่านั้น ข้าไม่ได้อยากจะพบเจอธิดาโร๋วเลยแม้แต่น้อย”


ทุกคนที่ได้ยินต่างหัวเราะ คิดรึว่าใครจะเชื่อเจ้า? ใบหน้าของเจ้าแสดงออกมาหมดแล้วว่ากำลังเพ้อฝันอยากจะเจอธิดาโร๋วผู้งดงาม


ฟู่เกาหยุนไม่ได้คิดจะแก้ทักษะที่ไม่สมบูรณ์เพียงคนเดียว แต่ยื่นกระดาษออกมาให้ทุกคนช่วยกันรวมหัวคิด


หลิงฮันก็กวาดสายตามองไปที่กระดาษเช่นกัน ทักษะที่เขียนเอาไว้เป็นทักษะที่ไม่สมบูรณ์อย่างแท้จริง คำอธิบายของทักษะนั้นมีเพียงเจ็ดในสิบส่วนเท่านั้นที่สมบูรณ์ ในขณะที่อีกสามส่วนเลือนหายไป


การแก้ไขทักษะยุทธให้กลับมาสมบูรณ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันก็เหมือนกับการฟื้นฟูตำราเม็ดยา คิดว่าปรมาจารย์นักปรุงยาสามดาวอย่างซือถูถังและเซี่ยงเหยี๋ยนทุ่มเทเวลาไปมากขนาดไหนเพื่อที่จะฟื้นฟูสูตรเม็ดยาเพียงสูตรเดียว?


หนึ่งพันล้านปี!


หืม…?


แต่หลิงฮันก็ต้องเผยสีหน้าประหลาดใจ เนื่องจากพบว่าทันทีที่เขากวาดสายตาอ่านทักษะยุทธที่ไม่สมบูรณ์ ไม่รู้ทำไมจู่ๆเพลิงเก้าสวรรค์ก็ส่งแรงกระตุ้นอันรุนแรงออกมา


เกิดอะไรขึ้นกัน?


“ทักษะที่ไม่สมบูรณ์นั่นคือทักษะเปลวเพลิง เพราะงั้นมันจึงเป็นแรงกระตุ้นต่อเพลิงเก้าสวรรค์” หอคอยน้อยเอ่ยกล่าว “ที่เจ้าได้ครอบครองพลังต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีก็เรื่องหนึ่ง แต่เจ้าจะสามารถดึงอำนาจของมันออกมาใช้ได้ขนาดไหนนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”


หลิงฮันพยักหน้า เขาในตอนนี้ทำได้แค่เรียกเพลิงเก้าสวรรค์ออกมาใช้โจมตี หรือไม่ก็ผสานเพลิงเก้าสวรรค์เข้ากับทักษะบางทักษะเท่านั้น แต่ยังไม่เคยใช้เพลิงเก้าสวรรค์กับทักษะที่เหมาะสมเลยสักครั้ง


เพลิงเก้าสวรรค์นั้นไม่ใช่เพิ่งจะมาปรากฏขึ้นในตอนนี้ และเขาก็ไม่ใช่คนแรกที่ได้ครอบครองเพลิงเก้าสวรรค์ ในอดีตย่อมมีใครบางคนที่เคยครอบครองเพลิงเก้าสวรรค์มาก่อน และคิดค้นทักษะที่สอดคล้องกับเพลิงเก้าสวรรค์โดยเฉพาะขึ้น


“เพลิงเก้าสวรรค์คือเพลิงบรรพบุรุษที่เป็นต้นกำเนิดของเปลวเพลิงทุกชนิด การที่ทักษะไม่สมบูรณ์ทักษะนั้นสามารถทำให้เพลิงเก้าสวรรค์เกิดความสนใจได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่ามันเป็นทักษะที่ล้ำค่ามาก และจะช่วยเพิ่มความสามารถในการควบคุมเพลิงต้นกำเนิดของเจ้าได้” หอคอยน้อยกล่าวต่อ “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องฝึกฝนทักษะนั่น!”


ต่อให้หอคอยน้อยไม่บอกเขาก็อยากจะทำเช่นนั้นอยู่แต่ แต่ปัญหาคือนอกจากทักษะที่ว่าจะเป็นทักษะที่ไม่สมบูรณ์แล้ว มันยังอยู่ในมือของคนอื่นอีก ซึ่งไม่มีทางที่เขาจะนำมันมาครอบครองได้


หลิงฮันจ้องมองอ่านทักษะอย่างจริงจังและบางสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น ในขณะที่เขากำลังอ่านคำอธิบายทักษะส่วนที่สมบูรณ์มาจนถึงส่วนที่ไม่สมบูรณ์ จู่ๆคำอธิบายที่ช่วยเติมเต็มส่วนที่ไม่สมบูรณ์ของทักษะก็ผุดขึ้นมาในหัวเขาเองโดยที่ไม่ได้ทำอะไร


ซึ่งเขามีความรู้สึกว่าคำอธิบายที่ผุดขึ้นมานั้น ต้องเป็นคำอธิบายที่ถูกต้องอย่างแน่นอน


“เพลิงเก้าสวรรค์มีความเชื่อมโยงบางอย่างกับจอมยุทธที่สร้างทักษะนั่นขึ้นมา” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงเล็กน้อย

 

 

 


ตอนที่ 1782 แก้ไขทักษะ

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” หลิงฮันเอ่ยถาม


“ในดินแดนแห่งเซียนมีเพลิงบรรพบุรุษอยู่ทั้งหมดเก้าชนิด ซึ่งจำนวนของพวกมันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีเพียงแค่เมื่อใดที่เพลิงบรรพบุรุษชนิดหนึ่งถูกทำลายเท่านั้น สวรรค์และปฐพีถึงจะให้กำเนิดเพลิงบรรพบุรุษขึ้นมาใหม่” หอคอยน้อยกล่าวอธิบาย


“ตามการคาดเดาของข้า ในอดีตกาล จอมยุทธที่ทรงพลังผู้หนึ่งคงจะครอบครองเพลิงเก้าสวรรค์และได้สร้างทักษะเปลวเพลิงที่ทรงพลังขึ้นมา และเมื่อจอมยุทธที่ทรงพลังผู้นั้นเสียชีวิต เพลิงเก้าสวรรค์ก็ถูกทำลายไปพร้อมๆกัน”


“เพียงแต่ว่า หลังจากเวลาผ่านไปหลายล้านปีและเพลิงเก้าสวรรค์ได้ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เศษเสี้ยวจิตสำนึกของเพลิงเก้าสวรรค์ในชีวิตก่อนยังคงหลงเหลือมาจนถึงชีวิตใหม่ ทำให้มันมีปฏิกิริยากับทักษะเปลวเพลิงทักษะนั้น ถึงแม้ทักษะจะอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ แต่ว่าในอดีตทักษะได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับเพลิงเก้าสวรรค์ เพราะงั้นเพลิงเก้าสวรรค์จึงสามารถทำให้มันกลายเป็นทักษะที่สมบูรณ์ไปโดยปริยาย”


ที่หอคอยน้อยกล่าวมาก็สมเหตุสมผล ไม่เช่นนั้นแล้วจะอธิบายได้อย่างไรว่าทำไมเพียงแค่เขาจ้องมองไปยังแผ่นกระดาษ คำอธิบายส่วนที่หายไปก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขาเอง


น่าเสียดายที่คำอธิบายที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษไม่ใช่คำอธิบายทั้งหมด แต่เป็นเพียงคำอธิบายสิบบรรทัด


หลิงฮันครุ่นคิดในใจ หากต้องการทักษะ นอกจากไปพบกับธิดาโร๋วก็คงไม่มีทางอื่นแล้ว


ในอีกด้านหนึ่ง ฟู่เกาหยุนและคนอื่นๆกำลังใช้สมองทั้งหมดเท่าที่มี แก้ไขทักษะอย่างสุดความสามารถ


ไม่ใช่แค่ฟู่เกาหยุนเท่านั้นที่หลงใหลในตัวธิดาโร๋ว แต่คนอื่นๆเองก็รู้สึกคาดหวังที่จะได้พบกับนางเช่นกัน


หลิงฮันส่ายหัวในใจ หากต้องการแก้ไขทักษะที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานกับเพลิงบรรพบุรุษล่ะก็ เกรงว่าคงมีเพียงตัวตนระดับราชานิรันดร์เท่านั้นที่ทำได้


ทุกคนในที่นี้เป็นเพียงนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครสักคนแก้ไขทักษะได้สำเร็จ


เมื่อคิดดูให้ดีแล้ว เป็นไปได้ว่าธิดาโร๋วเองก็คงได้รับทักษะนี้มาโดยบังเอิญเช่นกัน เพราะงั้นนางถึงไม่รู้ว่าทักษะในมือของนางล้ำค่าขนาดไหน และนำออกมาให้คนมากมายได้เห็นเช่นนี้


โชคดีที่คำอธิบายทักษะที่เขียนเอาไว้มีเพียงแค่สิบประโยค จึงไม่เพียงพอที่จะทำให้รับรู้ได้ว่ามันคือทักษะระดับราชานิรันดร์


หลิงฮันไม่ได้บอกใครว่าส่วนที่ขาดหายไปของทักษะคืออะไร เพระเกรงว่าการที่เขาแค่กวาดสายตามองทักษะไม่สมบูรณ์ก็สามารถแก้ไขทักษะได้แล้วนั้น จะทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวาดกลัว


เวลาผ่านไปสามวัน โดยที่ตอนนี้ก็ยังไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รู้ว่าทักษะนี้คือทักษะอะไร และไม่สามารถทำการเติมคำอธิบายทักษะที่หายไปได้


ในตอนนี้เอง หลิงฮันทำการนำกระดาษที่เขียนคำอธิบายที่สมบูรณ์เอาไว้แล้วออกมามอบให้กับฟู่เกาหยุน และบอกให้อีกฝ่ายนำมันไปให้กับทางฝั่งนิกายซู่หนู่


“จะไม่เป็นอะไรจริงๆรึ?” ฟู่เกาหยุนลังเล ถึงแม้เขาจะถูกชะตากับหลิงฮันมากแค่ไหน แต่เขาก็ทำใจเชื่อไม่ลงว่าหลิงฮันจะแก้ไขทักษะได้แล้ว เพราะขนาดผู้สืบทอดมากมายจากขุมอำนาจอื่นๆก็ยังไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “แม้จะผิด แต่ลองดูก็ไม่เสียหายไม่ใช่รึไง?”


ที่หลิงฮันกล่าวก็มีเหตุผล ฟู่เกาหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนำกระดาษที่หลิงฮันมอบให้ไปส่งให้กับนิกายซู่หนู่และกลับมา


เวลาผ่านไปอีกครึ่งวัน ทางด้านของนิกายซู่หนู่ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ


ฟู่เกาหยุนคิดว่าแผ่นกระดาษที่ส่งไปคงไม่ผ่านการทดสอบแน่ๆ จึงถอนหายใจและหันกลับมาศึกษาทักษะไม่สมบูรณ์ต่ออย่างเคร่งเครียด


แต่ทันใดนั้นเอง สตรีชุดขาวที่เคยปรากฏตัวเมื่อไม่กี่วันก่อนก็มาขอพบฟู่เกาหยุน “นายน้อยฟู่ คุณหนูของข้าต้องการเชิญท่านไปพบ”


เรื่องจริงรึ?


ฟู่เกาหยุนทั้งตกตะลึงและตื่นเต้น เขารีบพยักหน้าและกล่าว “แน่นอน! แน่นอน!” เขายินยอมโดยที่ไม่เล่นตัวแม้แต่นิดเดียว


“ข้าขอไปด้วย” หลิงฮันยิ้มและกล่าว เหตุผลที่เขาช่วยฟู่เกาหยุนก็เป็นเพราะต้องการเห็นภาพรวมทั้งหมดของทักษะเปลวเพลิงที่ธิดาโร๋วครอบครองอยู่


สตรีชุดขาวเผยสีหน้าเหยียดหยามทันที นี่เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน?


สีหน้าของฟู่เกาหยุนเองก็กลายเป็นกระอักกระอ่วน เขาอุตส่าห์ได้รับคำเชิญจากธิดาโร๋วทั้งที นี่เขาต้องพาคนอื่นไปด้วยจริงๆรึ? แต่ปัญหาก็คือ ทักษะที่ส่งไปเป็นผลงานที่หลิงฮันเป็นคนแก้ไข เขาจะปฏิเสธหลิงฮันก็กระไรอยู่


หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ข้าไม่ระวังคำพูดเอง คิดเสียว่าเมื่อครู่ข้าไม่ได้กล่าวอะไรออกไปแล้วกัน”


การที่ธิดาโร๋วเชิญชวนฟู่เกาหยุนให้ไปพบ ย่อมหมายความว่านางต้องการขอให้ฟู่เกาหยุนช่วยแก้ไขส่วนอื่นๆของทักษะให้สมบูรณ์ แต่มีรึที่ฟู่เกาหยุนจะทำเช่นนั้นได้? สุดท้ายนางก็ต้องมาขอให้เขาช่วยอยู่ดี


ฟู่เกาหยุนรู้สึกโล่งอก เขากลัวว่าหลิงฮันจะยืนกรานขอติดตามไปด้วยให้ได้ ซึ่งเขาก็ไม่อยากทำลายสายสัมพันธ์กับหลิงฮันเสียด้วย


สตรีชุดขาวส่งสายตาดูถูกมายังหลิงฮันแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร พร้อมกับนำฟู่เกาหยุนไปยังเรือรบของนิกายซู่หนู่


หลังจากเวลาผ่านไปราวๆสองสามชั่วโมง สตรีชุดขาวก็ปรากฏตัวอีกครั้งตามคาด ในขณะที่ฟู่เกาหยุนที่กลับมาด้วยมีสีหน้าอับอายเล็กน้อยพร้อมกับเหงื่อไหลทั่วหน้า


หลิงฮันคาดเดาได้ไม่ยากว่า ธิดาโร๋วจะต้องนำทักษะระดับราชานิรันดร์ที่ไม่สมบูรณ์ออกมาให้ฟู่เกาหยุนช่วยแก้ไขแน่นอน เพียงแต่ว่าฟู่เกาหยุนที่ไม่มีความสามารถพอที่จะทำเช่นนั้น จึงต้องยอมเล่าความจริงออกมา


“น้องชายหลิง ช่วยไปพบธิดาโร๋วด้วยกันหน่อยได้รึไม่?” ฟู่เกาหยุนกล่าวทันทีที่กลับมา


หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ไม่สนใจ”


หืม? เหตุใดเจ้าถึงไม่สนใจล่ะ? ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้ายังเสนอตัวขอไปด้วยอยู่เลยไม่ใช่รึ?


ถึงแม้จิตใจของคนเราจะไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน แต่เจ้าจะเปลี่ยนใจเร็วเกินไปรึเปล่า?


“คุณหนูของข้าเอ่ยปากเชิญเข้าพบแท้ๆ เจ้ายังทำเป็นวางท่าอีกรึ?” สตรีชุดขาวกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่รู้ว่าในชีวิตนี้นางพบเจอกับราชารุ่นเยาว์มาแล้วกี่คนต่อกี่คน ซึ่งทุกครั้งที่ได้ยินชื่อของธิดาโร๋ว ราชารุ่นเยาว์เหล่านั้นก็จะแสดงท่าทีสุภาพต่อนางกันทุกคน


หลิงฮันไม่แม้แต่หันมองสตรีชุดขาว เขาสะบัดมือและกล่าว “เจ้ามาขอร้องให้คนอื่นไปช่วยด้วยท่าทางเช่นนั้นน่ะรึ?”


ฟู่เกาหยุนเข้าใจทันทีว่าทำไมท่าทางของหลิงฮันจึงเปลี่ยนไป “น้องชายหลิง เจ้าอย่าได้ถือสานางเลย เจ้าไม่อยากไปพบธิดาโร๋วหรืออย่างไร? บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้ แต่ธิดาโร๋วน่ะเป็นสตรีที่กล่าวกันว่ามีรูปลักษณ์ที่งดงามที่สุด!”


หลิงฮันยังคงไม่สนใจและปิดตานอนหลับ เขามั่นใจว่าการที่ธิดาโร๋วยอมเผยทักษะไม่สมบูรณ์ออกมาให้ทุกคนเห็น ย่อมหมายความว่านางต้องการฟื้นฟูทักษะให้กลับมาสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง เพราะงั้นแล้วนางจะต้องเป็นฝ่ายเข้าหาเขาก่อนแน่นอน


“ฮึ่ม!” สตรีชุดขาวมีนิสัยที่หยิ่งทะยง นางเค้นเสียงไม่พอใจและหันหลับกลับไป


“เห้อ!” ฟู่เกาหยุนถอนหายใจแต่ก็ไม่ได้ไล่ตามนาง


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เชื่อหรือไม่ว่าอีกไม่นาน นางจะเป็นฝ่ายกลับมาเอง”

 

 

 


ตอนที่ 1783 ธิดาโร๋ว

 

แน่นอนว่าฟู่เกาหยุนย่อมไม่เชื่อว่าสตรีชุดขาวจะกลับมา


แต่ถึงแม้จะไม่เชื่อเขาก็ไม่ได้กล่าวออกไปตรงๆและทำเพียงฝืนยิ้มให้กับหลิงฮัน


ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเหตุการณ์ที่ฟู่เกาหยุนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น สตรีชุดขาวปรากฏตัวอีกครั้ง!


ครั้งนี้ใบหน้าของนางประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มแสนงดงาม ทันทีที่เห็นหลิงฮัน นางก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์ “จิ่งเยว่ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่ก่อนหน้านี้ได้ทำการล่วงเกินนายน้อยไป ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ตราบใดที่นายน้อยให้อภัย ต่อให้ต้องคุกเข่าข้าก็ยอม!”


ดวงตาและปากของฟู่เกาหยุนเปิดกว้างด้วยความตะลึง


สตรีผู้นี้คือสตรีรับใช้คนสนิทของธิดาโร๋ว ต่อให้อยู่ต่อหน้าผู้สืบทอดตระกูลฟู่เช่นเขา นางก็ยังมีท่าทีไม่แยแส ใครจะไปคาดคิดว่าสตรีที่หยิ่งทะนงผู้นี้จะยินยอมถึงขนาดคุกเข่าเพื่อขออภัยหลิงฮัน?


ฟู่เก่าหยุนไม่ใช่คนโง่ เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าการจะแก้ไขฟื้นฟูทักษะที่ไม่สมบูรณ์จะต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วธิดาโร๋วคงไม่ยอมให้คนรับใช้ของตนมาคุกเข่าขออภัยเช่นนี้


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ท่าทางของเจ้าในตอนนี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว แต่ไหนล่ะความจริงใจที่บอกว่าจะยอมคุกเข่า?”


“นายน้อย… ข้าผิดไปแล้วจริงๆ!” สตรีชุดขาวคุกเข่าลงกับพื้นและโค้งร่างส่วนบน


ก่อนหน้านี้ที่นางกลับไปยังเรือรบของนิกายซู่หนู่ นางถูกธิดาโร๋วตำหนิอย่างรุนแรง และโดนกำชับมาอย่างหนักแน่นว่าต้องเชิญชวนหลิงฮันมาให้ได้


“นายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ โปรดยอมยกโทษให้ตัวตนต่ำต้อยเช่นข้าสักครั้ง!”


หลิงฮันไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยิ่งอีกฝ่ายถึงขนาดยอมคุกเข่าก้มหัวเพื่อขออภัยด้วยแล้ว เขาจึงไม่คิดจะถือสาเอาความอีกต่อไป เขาลืมตาลุกขึ้นยืนและกล่าว “ตกลง งั้นก็ไปพบคุณหนูของเจ้ากัน”


จักรพรรดินีเองก็ตั้งใจจะติดตามไปด้วย นางต้องการเห็นธิดาโร๋วที่ทุกคนเรื่องลือกัน ว่าจะงดงามแค่ไหนหากเทียบกับนาง


สตรีชุดขาวตั้งใจจะห้ามจักรพรรดินี แต่เมื่อมองไปยังหลิงฮันแล้ว นางก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่โต้แย้งอะไร


ทั้งสี่คนทำการเหาะเหินไปยังเรือรบของนิกายซู่หนู่ด้วยกัน


บนเรือรบแม้จะมีศิษย์สตรีเรือตรวจการอยู่มากมาย แต่ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มาขวางทางพวกหลิงฮัน เพราะกลุ่มของพวกเขามีสตรีชุดดาวเดินนำอยู่ หลังจากมาถึงเรือรบแล้ว ทั้งสี่คนก็เดินมายังห้องพักเรือที่ใหญ่ที่สุด


“โปรดรอสักครู่” สตรีชุดขาวกล่าวก่อนจะเคาะประตู


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงอันเฉื่อยชาก็ดังขึ้น “เข้ามาได้”


เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากประตูห้อง ถึงแม้จะไม่ดังมากแต่ก็ก้องกังวาลและน่าเย้ายวนจนสามารถทำให้จิตใจผู้คนหวั่นไหว


ขนาดยังไม่ทันได้เห็นหน้า แต่เพียงแค่เสียงยังทำให้ผู้คนหลงใหลได้ นี่แสดงให้เห็นว่าสตรีที่อยู่ภายในห้องนี้มีความงามที่น่าดึงดูดขนาดไหน


สตรีชุดขาวผลักเปิดประตูและทำท่าทางเรียนเชิญให้พวกหลิงฮันเข้าห้อง


ฟู่เกาหยุนเป็นคนแรกที่เดินเข้าไป ตามมาด้วยหลิงฮันที่เดินเคียงคู่เข้าไปพร้อมกับจักรพรรดินี ทันที่พวกเขาเข้าไป ภาพแรกที่พบเห็นก็คือสตรีผู้หนึ่งที่นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ขนาดใหญ่


สตรีผู้นี้สวมชุดกระโปรงยาวสีครีมและมีผิวที่ขาวกระจ่างใส รูปลักษณ์อันงดงามของนางเมื่อเทียบกับจักรพรรดินีแล้วค่อนข้างด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย แต่ดวงตาที่ส่องประกายอย่างมีเสน่ห์ของนางราวกับมีมนต์สะกดที่สามารถทำให้จิตใจของผู้คนสั่นไหว


เพียงแค่ชำเลืองมอง หลิงฮันก็รับรู้ได้ว่าสตรีผู้นี้เป็นสตรีที่ทรงเสน่ห์อย่างมาก ถึงแม้นางรูปลักษณ์ของนางจะไม่ได้งดงามเทียบเท่ากับฮูหนิวหรือจักรพรรดินี แต่ด้วยทักษะยั่วยวนที่นางบ่มเพาะได้ทำให้เสน่ห์ของนางถูกยกระดับขึ้นมา ความงดงามโดยรวมจึงไม่ถือว่าด้อยกว่าฮูหนิวและจักรพรรดินีเท่าไหร่นัก


ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมฟู่เกาหยุนหรือราชาคนอื่นๆต้องการครอบครองสตรีผู้นี้ ถ้าหากหลิงฮันในตอนนี้ไม่ได้มีภรรยาล่ะก็ บางทีเขาอาจจะต้องการครอบครองสตรีผู้นี้เช่นกัน


หลิงฮันละสายตาออกมาจากธิดาโร๋วและนั่งลงพร้อมกับจักรพรรดินี


ธิดาโร๋วที่เห็นท่าทางของหลิงฮันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นบุรุษที่มีท่าทีไม่สนใจนางมาก่อน แต่บุรุษเหล่านั้นมีใครบ้างที่ไม่สนใจนางจริงๆ? คนเหล่านั้นก็แค่จงใจแสร้งทำเป็นไม่สนใจนาง เพื่อดึงดูดความสนใจของนางเท่านั้น ซึ่งนางเคยพบเห็นบุรุษประเภทนั้นมาเยอะแล้ว


แต่ในกรณีของหลิงฮันนางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเสแสร้ง เนื่องจากดวงตาของเขาไม่ปรากฏร่องรอยของความลุ่มหลงอยู่เลยแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับฟู่เกาหยุน ถึงแม้ฟู่เกาหยุนจะเป็นราชาแห่งยุคสมัย แต่เขาก็ไม่อาจเก็บซ่อนตัณหาภายในจิตใจได้อย่างสมบูรณ์


“ท่านคือคุณชายหลิงฮันสินะ?” ใบหน้าของธิดาโร๋วเผยรอยยิ้มที่ไม่ได้หยิ่งทะนงเหมือนจักรพรรดินี หรือไม่ได้น่าเอ็นดูเหมือนกับฮูหนิว แต่เป็นรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์ในแบบของนางเอง


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ข้าคือหลิงฮัน”


“เห็นคุณชายฟู่บอกว่าคนที่แก้ไขทักษะให้สมบูรณ์ได้คือคุณชายหลิง เรื่องนี้เป็นความจริงรึ?” นางเอ่ยถามอีกครั้ง


หลิงฮันคร้านจะเสียเวลาเล่นลิ้นกับนาง จึงได้กล่าวออกไปตรงๆ “หากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยแก้ไขทักษะทุกส่วนให้สมบูรณ์ก็นำทักษะออกมาให้ข้าดู แล้วข้าจะช่วยศึกษาทักษะให้อย่างค่อยเป็นค่อยไป”


เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ธิดาโร๋วก็แสดงท่าทีลังเล


ทักษะที่ว่านั้น นางได้รับมาด้วยความบังเอิญ และด้วยการที่มันเป็นทักษะที่ไม่สมบูรณ์นางจึงไม่กล้าผลีผลามฝึกฝนมันเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตราย


แม้คำอธิบายของทักษะจะไม่สมบูรณ์ แต่นางมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่ามันจะต้องเป็นทักษะที่ล้ำค่าแน่นอน


เหตุผลที่นางยอมให้คนอื่นได้เห็นทักษะที่ไม่สมบูรณ์นั้นเป็นเพราะ กระดาษที่แจกจ่ายออกไปเขียนเอาไว้เพียงส่วนเดียวของทักษะ ซึ่งไม่มีทางที่จะคาดเดาเนื้อหาส่วนอื่นได้


แต่ไม่ว่าทักษะจะล้ำค่าขนาดไหน หากนางไม่สามารถใช้งานได้และเก็บเอาไว้เฉยๆ มันก็ไม่มีค่าอะไรอยู่ดี


เพราะงั้นนางจึงใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน “ตกลง!” นางพยักหน้ากล่าวและมองไปยังหลิงฮันด้วยท่าทางขุ่นเคืองเล็กน้อย เนื่องจากบุรุษผู้นี้ตัดบทพูดกับนางไปอย่างห้วนๆ และข้ามไปสนใจเรื่องการแก้ไขทักษะเลย!


ช่างเป็นบุรุษหัวทึ่มที่ไร้อภิรมย์ในความรักจริงๆ!

 

 

 


ตอนที่ 1783 ธิดาโร๋ว

 

แน่นอนว่าฟู่เกาหยุนย่อมไม่เชื่อว่าสตรีชุดขาวจะกลับมา


แต่ถึงแม้จะไม่เชื่อเขาก็ไม่ได้กล่าวออกไปตรงๆและทำเพียงฝืนยิ้มให้กับหลิงฮัน


ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานเหตุการณ์ที่ฟู่เกาหยุนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น สตรีชุดขาวปรากฏตัวอีกครั้ง!


ครั้งนี้ใบหน้าของนางประดับเอาไว้ด้วยรอยยิ้มแสนงดงาม ทันทีที่เห็นหลิงฮัน นางก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์ “จิ่งเยว่ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่ก่อนหน้านี้ได้ทำการล่วงเกินนายน้อยไป ได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย! ตราบใดที่นายน้อยให้อภัย ต่อให้ต้องคุกเข่าข้าก็ยอม!”


ดวงตาและปากของฟู่เกาหยุนเปิดกว้างด้วยความตะลึง


สตรีผู้นี้คือสตรีรับใช้คนสนิทของธิดาโร๋ว ต่อให้อยู่ต่อหน้าผู้สืบทอดตระกูลฟู่เช่นเขา นางก็ยังมีท่าทีไม่แยแส ใครจะไปคาดคิดว่าสตรีที่หยิ่งทะนงผู้นี้จะยินยอมถึงขนาดคุกเข่าเพื่อขออภัยหลิงฮัน?


ฟู่เก่าหยุนไม่ใช่คนโง่ เขาตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าการจะแก้ไขฟื้นฟูทักษะที่ไม่สมบูรณ์จะต้องไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วธิดาโร๋วคงไม่ยอมให้คนรับใช้ของตนมาคุกเข่าขออภัยเช่นนี้


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ท่าทางของเจ้าในตอนนี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว แต่ไหนล่ะความจริงใจที่บอกว่าจะยอมคุกเข่า?”


“นายน้อย… ข้าผิดไปแล้วจริงๆ!” สตรีชุดขาวคุกเข่าลงกับพื้นและโค้งร่างส่วนบน


ก่อนหน้านี้ที่นางกลับไปยังเรือรบของนิกายซู่หนู่ นางถูกธิดาโร๋วตำหนิอย่างรุนแรง และโดนกำชับมาอย่างหนักแน่นว่าต้องเชิญชวนหลิงฮันมาให้ได้


“นายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ โปรดยอมยกโทษให้ตัวตนต่ำต้อยเช่นข้าสักครั้ง!”


หลิงฮันไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยิ่งอีกฝ่ายถึงขนาดยอมคุกเข่าก้มหัวเพื่อขออภัยด้วยแล้ว เขาจึงไม่คิดจะถือสาเอาความอีกต่อไป เขาลืมตาลุกขึ้นยืนและกล่าว “ตกลง งั้นก็ไปพบคุณหนูของเจ้ากัน”


จักรพรรดินีเองก็ตั้งใจจะติดตามไปด้วย นางต้องการเห็นธิดาโร๋วที่ทุกคนเรื่องลือกัน ว่าจะงดงามแค่ไหนหากเทียบกับนาง


สตรีชุดขาวตั้งใจจะห้ามจักรพรรดินี แต่เมื่อมองไปยังหลิงฮันแล้ว นางก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบไม่โต้แย้งอะไร


ทั้งสี่คนทำการเหาะเหินไปยังเรือรบของนิกายซู่หนู่ด้วยกัน


บนเรือรบแม้จะมีศิษย์สตรีเรือตรวจการอยู่มากมาย แต่ก็ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มาขวางทางพวกหลิงฮัน เพราะกลุ่มของพวกเขามีสตรีชุดดาวเดินนำอยู่ หลังจากมาถึงเรือรบแล้ว ทั้งสี่คนก็เดินมายังห้องพักเรือที่ใหญ่ที่สุด


“โปรดรอสักครู่” สตรีชุดขาวกล่าวก่อนจะเคาะประตู


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงอันเฉื่อยชาก็ดังขึ้น “เข้ามาได้”


เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากประตูห้อง ถึงแม้จะไม่ดังมากแต่ก็ก้องกังวาลและน่าเย้ายวนจนสามารถทำให้จิตใจผู้คนหวั่นไหว


ขนาดยังไม่ทันได้เห็นหน้า แต่เพียงแค่เสียงยังทำให้ผู้คนหลงใหลได้ นี่แสดงให้เห็นว่าสตรีที่อยู่ภายในห้องนี้มีความงามที่น่าดึงดูดขนาดไหน


สตรีชุดขาวผลักเปิดประตูและทำท่าทางเรียนเชิญให้พวกหลิงฮันเข้าห้อง


ฟู่เกาหยุนเป็นคนแรกที่เดินเข้าไป ตามมาด้วยหลิงฮันที่เดินเคียงคู่เข้าไปพร้อมกับจักรพรรดินี ทันที่พวกเขาเข้าไป ภาพแรกที่พบเห็นก็คือสตรีผู้หนึ่งที่นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ขนาดใหญ่


สตรีผู้นี้สวมชุดกระโปรงยาวสีครีมและมีผิวที่ขาวกระจ่างใส รูปลักษณ์อันงดงามของนางเมื่อเทียบกับจักรพรรดินีแล้วค่อนข้างด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย แต่ดวงตาที่ส่องประกายอย่างมีเสน่ห์ของนางราวกับมีมนต์สะกดที่สามารถทำให้จิตใจของผู้คนสั่นไหว


เพียงแค่ชำเลืองมอง หลิงฮันก็รับรู้ได้ว่าสตรีผู้นี้เป็นสตรีที่ทรงเสน่ห์อย่างมาก ถึงแม้นางรูปลักษณ์ของนางจะไม่ได้งดงามเทียบเท่ากับฮูหนิวหรือจักรพรรดินี แต่ด้วยทักษะยั่วยวนที่นางบ่มเพาะได้ทำให้เสน่ห์ของนางถูกยกระดับขึ้นมา ความงดงามโดยรวมจึงไม่ถือว่าด้อยกว่าฮูหนิวและจักรพรรดินีเท่าไหร่นัก


ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมฟู่เกาหยุนหรือราชาคนอื่นๆต้องการครอบครองสตรีผู้นี้ ถ้าหากหลิงฮันในตอนนี้ไม่ได้มีภรรยาล่ะก็ บางทีเขาอาจจะต้องการครอบครองสตรีผู้นี้เช่นกัน


หลิงฮันละสายตาออกมาจากธิดาโร๋วและนั่งลงพร้อมกับจักรพรรดินี


ธิดาโร๋วที่เห็นท่าทางของหลิงฮันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ ไม่ใช่ว่านางไม่เคยเห็นบุรุษที่มีท่าทีไม่สนใจนางมาก่อน แต่บุรุษเหล่านั้นมีใครบ้างที่ไม่สนใจนางจริงๆ? คนเหล่านั้นก็แค่จงใจแสร้งทำเป็นไม่สนใจนาง เพื่อดึงดูดความสนใจของนางเท่านั้น ซึ่งนางเคยพบเห็นบุรุษประเภทนั้นมาเยอะแล้ว


แต่ในกรณีของหลิงฮันนางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเสแสร้ง เนื่องจากดวงตาของเขาไม่ปรากฏร่องรอยของความลุ่มหลงอยู่เลยแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับฟู่เกาหยุน ถึงแม้ฟู่เกาหยุนจะเป็นราชาแห่งยุคสมัย แต่เขาก็ไม่อาจเก็บซ่อนตัณหาภายในจิตใจได้อย่างสมบูรณ์


“ท่านคือคุณชายหลิงฮันสินะ?” ใบหน้าของธิดาโร๋วเผยรอยยิ้มที่ไม่ได้หยิ่งทะนงเหมือนจักรพรรดินี หรือไม่ได้น่าเอ็นดูเหมือนกับฮูหนิว แต่เป็นรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์ในแบบของนางเอง


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ข้าคือหลิงฮัน”


“เห็นคุณชายฟู่บอกว่าคนที่แก้ไขทักษะให้สมบูรณ์ได้คือคุณชายหลิง เรื่องนี้เป็นความจริงรึ?” นางเอ่ยถามอีกครั้ง


หลิงฮันคร้านจะเสียเวลาเล่นลิ้นกับนาง จึงได้กล่าวออกไปตรงๆ “หากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยแก้ไขทักษะทุกส่วนให้สมบูรณ์ก็นำทักษะออกมาให้ข้าดู แล้วข้าจะช่วยศึกษาทักษะให้อย่างค่อยเป็นค่อยไป”


เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ธิดาโร๋วก็แสดงท่าทีลังเล


ทักษะที่ว่านั้น นางได้รับมาด้วยความบังเอิญ และด้วยการที่มันเป็นทักษะที่ไม่สมบูรณ์นางจึงไม่กล้าผลีผลามฝึกฝนมันเพราะเกรงว่าจะเป็นอันตราย


แม้คำอธิบายของทักษะจะไม่สมบูรณ์ แต่นางมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่ามันจะต้องเป็นทักษะที่ล้ำค่าแน่นอน


เหตุผลที่นางยอมให้คนอื่นได้เห็นทักษะที่ไม่สมบูรณ์นั้นเป็นเพราะ กระดาษที่แจกจ่ายออกไปเขียนเอาไว้เพียงส่วนเดียวของทักษะ ซึ่งไม่มีทางที่จะคาดเดาเนื้อหาส่วนอื่นได้


แต่ไม่ว่าทักษะจะล้ำค่าขนาดไหน หากนางไม่สามารถใช้งานได้และเก็บเอาไว้เฉยๆ มันก็ไม่มีค่าอะไรอยู่ดี


เพราะงั้นนางจึงใช้เวลาครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน “ตกลง!” นางพยักหน้ากล่าวและมองไปยังหลิงฮันด้วยท่าทางขุ่นเคืองเล็กน้อย เนื่องจากบุรุษผู้นี้ตัดบทพูดกับนางไปอย่างห้วนๆ และข้ามไปสนใจเรื่องการแก้ไขทักษะเลย!


ช่างเป็นบุรุษหัวทึ่มที่ไร้อภิรมย์ในความรักจริงๆ!

 

 

 


ตอนที่ 1784 มอบร่างกายของเจ้ามา

 

ธิดาโร๋วใช้แขนดันร่างเพื่อลุกขึ้น การเคลื่อนไหวของนางแม้จะเฉื่อยชาแต่ก็งดงามเป็นอย่างมาก


ฟู่เกาหยุนมองไปที่นางด้วยแววตาแข็งค้าง


หลิงฮันถอนหายใจในใจ เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฟู่เกาหยุนถึงยอมกระทั่งมอบสมุนไพรนิรันดร์ให้แก่นาง สตรีผู้นี้คือภัยพิบัติของเหล่าบุรุษอย่างแท้จริง คนที่จะต้านทานเสน่ห์อันยั่วยวนของนางได้คงมีเพียงไม่กี่คน


ธิดาโร๋วเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้าเพื่อแสดงเสน่ห์ของเรือนร่างออกมาให้ถึงที่สุด แต่ทว่านางก็ต้องแสดงท่าทีประหลาดใจออกมาอย่างปิดไม่มิด เนื่องจากภาพที่นางเห็นคือฟู่เกาหยุนกำลังนั่งตาแข็งน้ำลายสอ แต่หลิงฮันกับมีท่าทีที่ไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย


หรือการที่จะทำให้บุรุษผู้นี้หลงไหล นางจำเป็นจะต้องโคจรทักษะยั่วยวนจริงๆ?


ในความเป็นจริงทักษะยั่วยวนนั้นมีไว้เพื่อใช้ในสถานการณ์เป็นตายเท่านั้น ทักษะที่ว่าจะทำให้บุรุษผู้เป็นศัตรูเกิดความรู้สึกหลงไหลชั่วครู่ ซึ่งนางจะใช้โอกาสในช่วงเวลานั้นลงมือปลิดชีพศัตรูได้อย่างง่ายดาย


มือของธิดาโร๋วสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนที่ตำราเก่าแก่เล่มหนึ่งจะปรากฏออกมาและถูกวางลงบนโต๊ะ ตำราเล่มนี้ได้รับความเสียหายยับเยินจากอายุขัยที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน


“นายน้อยฟู่ แล้วก็น้องสาวผู้นั้น พวกเจ้าช่วยออกไปก่อนได้หรือไม่?” ธิดาโร๋วกล่าวออกไป เพราะกลัวว่าทั้งสองคนจะแอบจดจำข้อมูลทักษะที่อยู่ภายในตำรา


ทางด้านของฟู่เกาหยุนนั้น เขารีบลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องไปโดยไม่ปริปากโต้แย้งสักคำ


แม้แต่สมุนไพรนิรันดร์เขาก็ยังมอบให้นางได้ กับแค่ทักษะเพียงทักษะเดียวทำไมเขาจะทำเพื่อนางไม่ได้?


จักรพรรดินีไม่สนใจ นางจดจ้องไปยังธิดาโร๋วด้วยแววตาหยิ่งทะนง ‘หึ… คิดจะออกคำสั่งกับข้ารึ?’


“น้องสาว!” ธิดาโร๋วถลึงตามองไปยังจักรพรรดินี แต่ทันใดนั้นแววตาของนางก็ต้องหรี่ลงด้วยความตะลึง


ช่างเป็นเรือนร่างที่สมบูรณ์อะไรอย่างนี้!


ยิ่งกว่านั้นถึงแม้ใบหน้าของอีกฝ่ายจะถูกผ้าคลุมปิดเอาไว้ แต่ก็ยังยากที่จะปกปิดกลิ่นอายอันสูงส่งและความสง่างามที่อยู่ภายในใต้ผ้าคลุม เพียงแค่จ้องมองไปยังจักรพรรดินี นางก็รู้สึกราวกับตนเองต้องการจะคุกเข่าศิโรราบ


ธิดาโร๋วตกตะลึงเป็นอย่างมาก อย่างที่รู้กันว่าตัวของนางนั้นเป็นสตรีแถมยังฝึกฝนทักษะสำหรับยั่วยวนฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย จิตใจของนางถูกขัดเกลาอย่างมั่นคง ซึ่งเป็นไปได้อย่างไรกันที่นางจะเกิดความคิดอยากคุกเข่าต่อหน้าจักรพรรดินี?


“น้องสาว เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” นางเอ่ยถามและคิดในใจว่า หรือว่าสตรีผู้นี้ก็ฝึกฝนทักษะยั่วยวนประเภทหนึ่งเช่นกัน ถึงได้สามารถทำให้จิตใจของนางสั่นไหวได้?


จักรพรรดินียื่นมือออกมาเคาะเก้าอี้และกล่าว “เรียกข้าว่าพี่สาว!”


ธิดาโร๋วรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด ข้าคือศิษย์ของนิกายซู่หนู่และเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียว ในอนาคตข้าจะกลายเป็นถึงประมุขของขุมอำนาจสามดาวที่ยิ่งใหญ่ แต่เจ้ากลับจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าพี่สาวงั้นรึ?


“น้องสาว ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจตัวเองมากพอดูเลยนะ!” นางกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย


จักรพรรดินีกรอกตา ในเมื่ออีกฝ่ายไม่คิดจะเรียกนางว่าพี่สาว นางก็ไม่สนใจจะพล่ามไร้สาระกับอีกฝ่ายอีกต่อไป


ธิดาโร๋วชะงักเล็กน้อย นางคิดจะกล่าวอะไรบางอย่างออกไปต่อ แต่ก็พบเห็นว่าหลิงฮันลงมืออ่านตำราเสียแล้ว นางจึงต้องฝืนตัวเองให้หยุดนิ่งเงียบเพื่อไม่เป็นการรบกวนหลิงฮัน


หลิงฮันกวาดสายตาอ่านตำราทักษะอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่สายตาของเขากวาดมองแผ่นกระดาษในตำรา คำอธิบายส่วนที่ไม่สมบูรณ์ก็ถูกทำให้สมบูรณ์ไปทีละส่วนอย่างรวดเร็ว


อักษรส่วนใหญ่ในคำอธิบายเป็นเพียงอักษรทั่วไป แต่ก็มีบางส่วนที่ถูกเขียนเอาไว้ด้วยตราประทับแห่งเต๋าที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้


ตราประทับแห่งเต๋าเหล่านั้นมีความสามารถในการต้านทานอำนาจของกาลเวลา เพราะไม่เช่นนั้น คำอธิบายทั้งหมดที่เขียนเอาไว้ในตำราคงเสื่อมสภาพไม่หลงเหลืออยู่แล้ว


หลิงฮันอ่านคำอธิบายทั้งหมดในตำราจบอย่างรวดเร็วก่อนจะปิดตานั่งนิ่ง ซึ่งในขณะนั้นทักษะทุกส่วนที่สมบูรณ์ก็ปรากฏขึ้นในห้วงจิตวิญญาณของเขา


หากในตอนนี้เขาแสร้งทำเป็นว่าฟื้นฟูทักษะไม่สำเร็จ ทักษะระดับราชานิรันดร์ก็จะเป็นของเขาเพียงคนเดียว


เพียงแต่ว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น แถมยิ่งกว่านั้นถึงแม้คนอื่นๆจะได้ทักษะนี้ไป พวกเขาก็สามารถใช้ทักษะควบคุมได้แค่เพลิงทั่วไปเท่านั้น ผิดกับเขาที่สามารถนำทักษะไปใช้ควบคุมเพลิงเก้าสวรรค์


หลังจากดึงเชิงอยู่เล็กน้อย หลิงฮันก็นำกระดาษกับพู่กันออกมาและเขียนคำอธิบายทักษะที่สมบูรณ์ลงไป


ในส่วนของอักษะทั่วไปนั้นหลิงฮันสามารถเขียนได้อย่างคล่องแคล่วไร้ปัญหา แต่เมื่อถึงส่วนที่ใช้ตราประทับแห่งเต๋าเป็นคำอธิบาย เขาที่ไม่สามารถเขียนตราประทับแห่งเต๋าได้จึงทำได้เพียงเขียนกำกับเอาไว้ว่า ตราประทับแห่งเต๋าส่วนนี้อยู่หน้าไหนของตำรา เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ก็สามารถเขียนทักษะที่สมบูรณ์ลงบนกระดาษอย่างครบถ้วน


เสร็จแล้วรึ?


ธิดาโร๋วตกตะลึง นางเคยนำทักษะที่ไม่สมบูรณ์ทักษะนี้มอบให้อาจารย์ของนาง ซึ่งเป็นประมุขของนิกายซู่หนู่ดูเช่นกัน แต่หลังจากศึกษามานานหลายต่อหลายปี อาจารย์ของนางก็ยังไม่สามารถแก้ไขส่วนใดของทักษะได้เลย


จะบอกว่าเวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งวัน หลิงฮันก็สามารถแก้ไขทักษะให้กลับมาสมบูรณ์ได้งั้นรึ? ช่างน่าอัศจรรย์! นี่เจ้าคงไม่ได้เขียนมั่วๆลงไปในกระดาษหรอกนะ?


ธิดาโร๋วหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาอ่านอย่างรวดเร็ว ยิ่งนางได้อ่านคำอธิบายที่อยู่ในกระดาษ ความตื่นเต้นในใจของนางยิ่งเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากนางมั่นใจว่านี่ต้องเป็นคำอธิบายทักษะที่สมบูรณ์แน่นอน!


หากจะให้นางสร้างทักษะระดับราชานิรันดร์ขึ้นมาสักทักษะคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าหากแค่ตรวจสอบความสมบูรณ์ของทักษะล่ะก็ นางมั่นใจอย่างน้อยเก้าในสิบส่วนว่าตนเองสามารถทำได้


อัจฉริยะ!


ไม่สิ… เพียงแค่คำว่าอัจฉริยะยังไม่เพียงพอ นางไม่รู้ว่าสรรหาคำพูดใดมาใช้เรียกหลิงฮัน


โชคดีที่ธิดาโร๋วรู้เพียงแค่ว่าทักษะที่นางถือครองอยู่เป็นทักษะที่ทรงพลัง แต่ไม่รู้ว่ามันคือทักษะระดับราชินิรันดร์ ไม่เช่นนั้น นางคงจะตกตะลึงยิ่งกว่านี้เสียอีก


“นายน้อยหลิง บุญคุณในครั้งนี้ข้าจะจดจำไว้” ธิดาโร๋วยิ้มอ่อนหวาน โดยที่นางไม่ได้รับรู้เลยว่าทักษะระดับราชานิรันดร์สมบูรณ์ที่นางได้รับไปนั้น ต่อให้ใช้สมุนไพรนิรันดร์จำนวนมากเป็นสิ่งตอบแทนก็ยังไม่เพียงพอ


“ไม่จำเป็นต้องจดจำบุณคุณ เจ้าแค่มอบร่างกายของเจ้าให้สามีข้าก็พอ” จู่ๆจักรพรรดินีก็เอ่ยขึ้นมา


สีหน้าของธิดาโร๋วเปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ก็ยังหัวเราะและกล่าว “น้องสาวคนนี้ช่างชอบพูดจาตลกยิ่งนัก! ถ้าเกิดว่าข้ายอมเป็นคนรักของคุณชายหลิงจริงๆ น้องสาวจะไม่เป็นกังวลรึ?”


จักรพรรดินีกล่าวออกไปอย่างไม่คิดอะไร “ทักษะที่ถูกแก้ไขสมบูรณ์นั่นถือว่าเป็นของ


ขวัญสำหรับการหมั้นหมาย เอาล่ะ… เจ้าตามพวกข้ามาได้แล้ว!”


นี่เจ้าเอาจริงรึ!


สีหน้าของธิดาโร๋วเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง “น้องสาว ข้าว่าเลิกล้อเล่นกันดีกว่า”


จักรพรรดินียังคงยืนกราน “สามี จับนางเอาไว้!”

 

 

 


ตอนที่ 1785 กายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักร

 

หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจ เหตุใดจู่ๆจักรพรรดินีถึงได้ทำเช่นนี้?


แม้นางจะหยิ่งยโส แต่นางก็ไม่เคยจงใจสร้างปัญหามาก่อน


ยิ่งกว่านั้นที่ที่พวกเขาอยู่ก็ยังเป็นเรือรบของนิกายซู่หนู่ ที่ไม่รู้ว่ามีปรมาจารย์ที่ทรงพลังอยู่มากมายเพียงใด การจะจับกุมคนของนิกายซู่หนู่ไม่ใช่ว่าเปรียบเสมือนการรนหาที่ตายหรอกรึ?


“ภรรยาข้า พอได้แล้ว…” หลิงฮันดึงมือห้ามจักรพรรดินีเอาไว้


ทางด้านของธิดาโร๋วนั้น นางเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมากเพราะรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่น


หากลองเปลี่ยนคนที่พูดเช่นนี้กับนางเป็นคนอื่น ไม่ใช่จักรพรรดินีที่มีกลิ่นอายอันน่ายำเกรงแล้วล่ะก็ นางคงไม่อยู่นิ่งเฉยแล้ว


“ขอเชิญพวกท่านกลับไป!” นางสะบัดมือด้วยความโกรธ


หลิงฮันและจักรพรรดินีเดินออกจากห้อง ฟู่เกาหยุนที่กำลังยืนรออยู่เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินออกมาก็เอ่ยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”


“ไม่มีปัญหาอะไร” หลิงฮันกล่าวด้วยท่าทีเรียบง่าย โดยไม่เอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่


ฟู่เกาหยุนโล่งอก เขาคิดจะเข้าไปในห้องอีกครั้งเพื่อกล่าวลาธิดาโร๋ว แต่ก็ถูกสตรีชุดขาวขวางเอาไว้ นางกล่าว “คุณหนูของข้าต้องการพักผ่อน ขอเชิญนายน้อยหยุนกลับไปก่อน”


ฟู่เกาหยุนรู้สึกสลดใจ เขาพยายามยับยั้งชั่งใจเอาไว้และหันหลังกลับไปพร้อมกับพวกหลิงฮัน


เพียงแต่ว่าการที่ฟู่เกาหยุนถูกเชิญให้ขึ้นเรือรบของนิกายซู่หนู่หลายต่อหลายครั้งนั้น ได้กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนมากมาย พวกเขาแต่ละคนต่างอดคิดไม่ได้ว่า หรือธิดาโร๋วจะมองฟู่เกาหยุนด้วยความรู้สึกที่ต่างไปจากมองพวกเขา?


เมื่อกลับมายังเรือรบของตระกูลฟู่ หลิงฮันกับจักรพรรดินีก็เข้าห้องพักของตัวเอง โดยหลิงฮันรีบเอ่ยถาม “สตรีผู้นั้นมีอะไรรึ เหตุใดเจ้าถึงทำแบบนั้น?”


จักรพรรดินียิ้มและกล่าว “สามีข้า เจ้าต้องครอบครองนางให้ได้!”


หลิงฮันเหงื่อตกและรู้สึกกระอักกระอ่วน เขาไม่คาคคิดว่าภรรยาของตนจะเอ่ยปากบอกให้เขาไปยุ่งเกี่ยวกับสตรีอื่นเช่นนี้


“ทำไมกัน?” เขาเอ่ยถามต่อ เนื่องจากน้ำเสียงของจักรพรรดินีดูไม่เหมือนกำลังล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย


“นางมีกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักร!” จักรพรรดินีกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “สิ่งนั้นคือแก่นกำเนิดนิรันดร์!”


แก่นกำเนิดนิรันดร์


หลิงฮันชะงักและเผยสีหน้าตกตะลึง แม้จะเป็นในดินแดนแห่งเซียน แก่นกำเนิดนิรันดร์ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะพบเห็นได้ทั่วไป แต่มีอยู่น้อยนิด แม้จะมีคำร่ำลือว่าฟู่เสี่ยวอวิ๋นมีแก่นกำเนิดนิรันดร์ แต่หลิงฮันก็ไม่เห็นว่าศักยภาพของนางจะโดดเด่นขนาดนั้น


“เชื่อข้า!” จักรพรรดินีมั่นใจเป็นอย่างมาก “เรื่องนี้คือสิ่งที่สายเลือดของข้าเป็นคนบอก กายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักรนั้นเป็นแก่นกำเนิดนิรันดร์สืบทอดที่พบเจอได้ยากยิ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วอย่างมากก็จะพบเห็นได้แค่กายหยาบเสน่ห์แปดวัฏจักรเท่านั้น”


ก่อนหน้าที่จะเป็นกายหยาบเสน่ห์แปดวัฏจักรได้ ต้องเป็นกายหยาบเสน่ห์เจ็ดวัฏจักรเสียก่อน และก่อนจะเป็นกายหยาบเสน่ห์เจ็ดวัฏจักรได้ ก็ต้องเป็นกายหยาบเสน่ห์หกวัฏจักร


การสืบทอดแก่นกำเนิดนิรันดร์ในรูปแบบนี้จะใช้เวลายาวนานมาก และห้ามมีอะไรผิดพลาด หากการสืบทอดแก่นกำเนิดนิรันดร์มีการผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว กายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักรก็จะไม่ถือกำเนิดขึ้น


ยกตัวอย่างเช่นกู่ต้าวอี้ที่ต้องใช้เวลาถึงสิบชาติภพในการสร้างแก่นกำเนิดนิรันดร์ แต่ความยากลำบากในการสร้างแก่นกำเนิดนิรันดร์ของกู่ต้าวอี้นั้น หากเทียบกับกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักรแล้ว เรียกได้ว่าแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว


เมื่อเป็นเช่นนี้ หลิงฮันจึงเข้าใจทันทีว่าเหตุใดเสน่ห์ของธิดาโร๋วถึงได้น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น ที่แท้นางก็มีแก่นกำเนิดนิรันดร์เป็นกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักร!


“ถึงจะบอกว่านางมีแก่นกำเนิดนิรันดร์ก็เถอะ…” หลิงฮันเกาหัว เขาไม่คิดว่าด้วยเรื่องเพียงแค่นี้เขาจะต้องนำนางมาเป็นภรรยา


“การบ่มเพาะพลังควบคู่ไปกับกายหยาบเสน่ห์เก้าวัฏจักร จะทำให้เจ้ารู้แจ้งและสัมผัสถึงอำนาจของสวรรค์และปฐพีได้ง่ายขึ้น บางทีในอนาคตกายหยาบวิถีหนึ่งเดียวแห่งเต๋าอาจจะเกิดขึ้นมาในร่างของเจ้าก็เป็นได้” จักรพรรดินีกล่าว


มันยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยรึ?


หลิงฮันครุ่นคิดแต่ก็ส่ายหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่สนใจ ข้ามั่นใจในศักยภาพของตนเองและไม่ต้องการการบ่มเพาะพลังคู่กับนาง!” เขาโอบกอดจักรพรรดิเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนและจูบเข้าที่ริมฝีปากของนาง


“แต่พูดถึงการบ่มเพาะพลังคู่แล้ว พวกเราก็ไปบ่มเพาะพลังคู่กันดีกว่า!” หลิงฮันกอดรัดจักรพรรดินีและพานางเข้าสู่หอคอยทมิฬ


……


หลังจากเอ้อระเหยอยู่เป็นเวลานาน หลิงฮันก็ส่งต่อทักษะควบคุมเปลวเพลิงให้จักรพรรดินี


ภายใต้ต้นสังสารวัฏ หลิงฮันกับจักรพรรดินีทำการฝึกฝนและแลกเปลี่ยนความเข้าใจในทักษะต่อกัน ด้วยพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมของทั้งสอง เวลาผ่านไปไม่นานก็เริ่มจับเคล็ดได้และใช้ทักษะได้อย่างเชี่ยวชาญ


เนื่องจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ภายในหอคอยทมิฬเป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่พิเศษ พวกเขาจึงต้องออกมาด้านนอกเพื่อทดสอบทักษะ


เมื่อจักรพรรดินีลองโคจรทักษะ เหนือฝ่ามือของนางก็มีเปลวเพลิงปรากฏลอยออกมา ซึ่งเปลวเพลิงชนิดนี้เป็นเปลวเพลิงที่ถูกควบแน่นขึ้นมาจากจากอำนาจของสวรรค์และปฐพีด้วยทักษะระดับราชานิรันดร์


“ทรงพลังมาก!” จักรพรรดินีพยักหน้าและกล่าว “ทักษะนี้จะต้องเป็นทักษะที่ถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆแน่นอน”


หลิงฮันพยักหน้า แม้แต่เขาเองก็สัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวจากเปลวเพลิงเช่นกัน เขารู้สึกว่าเปลวเพลิงของจักรพรรดินีสามารถหล่อหลอมกายหยาบของเขาได้ หากใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี


เขาขยับมือขวาและโคจรทักษะขึ้นมาบนฝ่ามือเช่นกัน


สิ่งที่ต่างออกไปจากจักรพรรดินีคือ เพลิงที่ปรากฏออกมาไม่ใช่เพลิงจากสวรรค์และปฐพี แต่เป็นเพลิงที่อยู่ภายในร่างกายของเขา


เพลิงเก้าสวรรค์!


หลิงฮันควบคุมเปลวเพลิงในใจ และเปลี่ยนก้อนเปลวเพลิงให้กลายเป็นดาบ ตราประทับแห่งเต๋าที่ดูราวกับมีชีวิตบนเปลวเพลิงนั้น ถ้าหากมองให้ดีจะพบว่ามันคือตราประทับแห่งเต๋าแบบเดียวกันกับเพลิงเก้าสวรรค์ไม่มีผิดเพี้ยน


ราชานิรันดร์ที่สร้างทักษะนี้ขึ้นมา สมควรเป็นคนที่นำตราประทับแห่งเต๋าของเพลิงเก้าสวรรค์ไปประทับเอาไว้ในทักษะยุทธ


หลิงฮันกวัดแกว่งดาบเบาๆ ไม่ว่าสิ่งใดที่ถูกดาบฟาดฟัน สิ่งเหล่านั้นก็จะถูกหั่นขาดอย่างไม่อาจต้านทาน ภายใต้การควบคุมเพลิงด้วยทักษะระดับราชานิรันดร์ทักษะนี้ พลังอำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์จึงดูดยกระดับขึ้นมาอีกหลายขั้น


“ณ ตอนนี้ข้ามีความมั่นใจว่าจะสามารถต่อกรกับนิรันดร์ระดับสี่นิพพานขั้นสูงสุดได้!” เขาหัวเราะด้วยความมั่นใจ


แน่นอนว่าคู่ต่อสู้ระดับสี่นิพพานที่ว่าจะต้องเป็นนิรันดร์สี่นิพพานทั่วไปเท่านั้น หากเป็นนิรันดร์สี่นิพพานที่ตัดผ่านนิพพานอย่างสมบูรณ์ พลังต่อสู้ของเขาคงด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ถ้าหากเป็นคู่ต่อสู้ที่ตัดผ่านนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีล่ะก็ อย่าเพิ่งเอ่ยถึงการสู้ข้ามระดับไปสี่นิพพานเลย แค่สามนิพพานก็ยากเต็มกลืนแล้ว


เพียงแต่ถ้าหากถูกเพลิงเก้าสวรรค์โจมตีเข้าใส่ตรงๆล่ะก็ เกรงว่าต่อให้เป็นนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัส


และในเวลานี้เอง จู่ๆด้านนอกเรือรบก็เกิดเสียงเอะอะ

 

 

 


ตอนที่ 1786 มาเพื่อท้าประลอง

 

หลิงฮันและจักรพรรดินีเดินออกมาดู และพบเห็นคนแปลกหน้ามากมายอยู่ด้านนอกห้องพักเรือ โดยที่คนแปลกหน้าแต่ละคนมีกลิ่นอายอันสูงส่งที่น่ายำเกรง


คนพวกนี้คือเหล่าผู้สืบทอดของขุมอำนาจสามดาว!


แต่ละคนคือราชาแห่งยุคที่ทรงพลังไม่แพ้ฟู่เกาหยุน


“ฟู่เกาหยุน… ดูเหมือนว่าผู้ติดตามของเจ้าสักคนจะแก้ไขทักษะโบราณให้กับธิดาโร๋วได้สินะ? หนึ่งในผู้ติดตามของข้ารู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนั้นเป็นอย่างมาก เลยอยากขอท้าประลองแลกเปลี่ยนวรยุทธกับผู้ติดตามคนนั้นของเจ้า” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งกล่าว


หลิงฮันจำรุ่นเยาว์ผู้นี้ได้ อีกฝ่ายคือเชียนจ้าวเถี้ยน บุรุษคนแรกที่เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เป็นคนป่าวประกาศว่าต้องการพบเจอธิดาโร๋ว


ฟู่เกาหยุนสะบัดมือพร้อมกับกล่าว “หลิงฮันคือน้องชายของข้า ไม่ใช่ผู้ติดตาม”


“ฮ่าๆๆ!” แน่นอนว่าทุกคนย่อมไม่เชื่อ หากผู้สืบทอดอย่างพวกเขาจะเป็นสหายกับใครสักคน สหายที่ว่าก็ต้องเป็นคนที่คู่ควรกับสถานะของพวกเขาด้วย แต่จากที่สอบถามสมาชิกตระกูลฟู่คนอื่นๆมา หลิงฮันเป็นเพียงตัวตนต่ำต้อยจากขุมอำนาจภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่เท่านั้น


“เกาหยุน ในเมื่อทุกคนอยากพบเจอหลิงฮัน ทำไมไม่เรียกเขาออกมาเสียล่ะ?” ใครบางคนเอ่ยกล่าวกับฟู่เกาหยุน


คนผู้นั้นคือฟู่ไฉ่ เขาเองก็เป็นสมาชิกตระกูลฟู่เช่นกัน แต่เป็นตระกูลฟู่สาขาเดียวกันกับฟู่เซียวผิง ณ เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นฟู่เซียวผิงหรือฟู่ปิงปิง ก็ล้วนแต่อยากจะทำให้หลิงฮันหายไป


ฟู่ไฉ่คือผู้นำกลุ่มผู้ติดตามของฟู่เซียวผิงสำหรับการเดินทางเข้าสู่เขตแดนลี้ลับเฉียนหลงในครั้งนี้ พลังบ่มเพาะของเขาคือระดับโลกียนิพพานสี่นิพพานขั้นสูงสุดที่ขัดเกลาพลังมานานกว่าสิบล้านปี ด้วยเหตุนี้พลังต่อสู้ของเขาจึงน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก


ใบหน้าของฟู่เกาหยุนกลายเป็นบูดบึ้ง แค่พวกคนนอกเหล่านี้ก็สร้างความรำคาญให้ข้ามากพอแล้ว แต่เจ้าที่เป็นคนใน นอกจากจะไม่ยื่นมือมาช่วยแล้ว ยังจะราดน้ำมันลงกองไฟอีก?


“ใครกันที่ต้องการท้าประลองข้า?” หลิงฮันที่ดูสถานการณ์อยู่ก้าวเดินออกมา หากเป็นการประลองแล้วล่ะก็ มีรึที่เขาจะหวาดกลัว?


“เจ้าคือหลิงฮัน?” สายตาของใครหลายคนจดจ้องมายังหลิงฮัน


การที่คนเหล่านี้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันก่อน เกรงว่าอาจจะเป็นเพราะตัวของธิดาโร๋วเองที่เป็นคนปล่อยข่าว เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ทั้งๆที่หลิงฮันกับฟู่เกาหยุนไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย คนพวกนี้จะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นและเพ่งเล็งมาที่หลิงฮันได้อย่างไร?


หลิงฮันยืนอย่างองอาจและกล่าว “โอ้ นี่พวกเจ้าอยากพบเจอข้า ถึงขนาดยอมต่อแถวกันมาเลยรึ?”


พวกข้าน่ะรึต่อแถวเพื่อพบเจ้า?


ทุกคนที่ได้ยินเช่นนั้นก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที เจ้าคิดว่าพวกข้าเป็นใคร? ราชาแห่งยุคและผู้สืบทอดขุมอำนาจสามดาวเช่นพวกข้านั้น อย่าว่าแต่เจ้าเลย ต่อให้เป็นฟู่เกาหยุนก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอให้พวกข้ามาต่อแถวเพื่อพบเจอ


“เป็นคนที่บ้าอะไรอย่างนี้!” ใครบางคนเค้นเสียงสบถอย่างเย็นชา


“คนแบบนี้ต้องสั่งสอนให้จำเสียบ้าง”


เหล่าผู้สืบทอดจากขุมอำนาจต่างๆ สั่งการให้ผู้ติดตามของตนเองทำการท้าประลองหลิงฮัน เพราะด้วยสถานะของพวกเขาแล้ว ย่อมไม่สมควรลงมือด้วยตัวเอง


“ฮึ่ม ที่นี่คือเรือรบของตระกูลฟู่ พวกเจ้ามีสิทธิอะไรที่คิดจะทำอะไรก็ทำตามใจชอบ?” ฟู่เกาหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ นี่คนเหล่านี้เห็นเขาเป็นเพียงอากาศธาตุรึไงกัน?


ฮ่าๆ แค่ประลองเอง ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย“ ฟู่ไฉ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ถูกแล้ว!” สมาชิกตระกูลฟู่อีกสองคนเห็นพ้องและกล่าวส่งเสริม พวกเขาคือตัวแทนผู้นำการเดินทางครั้งนี้ของฟู่ทงไห่และฟู่ปิงปิง


เมื่อเสียงเป็นสามต่อหนึ่ง ต่อให้ฟู่เกาหยุนจะมีตำแหน่งเป็นผู้สืบทอดตระกูลฟู่ แต่เขาก็ไม่อาจขัดแย้งได้


หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ข้ายินดีจะประลองด้วยอย่างไม่ขัดข้อง แต่ข้าก็ไม่คิดจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ หากจะประลองกับข้าก็จงนำแร่โลหะกึ่งนิรันดร์มาเป็นของเดิมพัน หรือถ้าไม่เช่นนั้นก็ไสหัวไป”


นี่เป็นโอกาสดีที่จะหาผลประโยชน์ใส่ตัว


ทางด้านของพวกเชียนจ้าวเถี้ยนและคนอื่นๆไม่รู้สึกหวาดหวั่น ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง แต่ผู้ติดตามของพวกเขาก็มีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับสี่นิพพานขั้นสูงสุดมาเป็นเวลานาน และมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งไม่แพ้พวกเขา


“ถ้าเช่นนั้นก็เข้าไปประลองในสังเวียนพิรุณเร้นลับ” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งโยนกล่องขนาดเล็กออกมาวาง กล่องใบนี้มีขนาดเล็กพอๆกับกระดานหมากรุกเท่านั้น แต่กลับมีรูปทรงเหมือนกับลานประลอง


กล่องใบนี้คืออุปกรณ์มิติในรูปแบบลานประลองที่ตัวตนทรงพลังเป็นคนสร้างขึ้นมา โดยที่สามารถต้านทานคลื่นพลังจากการปะทะกันของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานได้ กล่าวได้ว่ามันคือสถานที่สำหรับแลกเปลี่ยนกระบวนท่าที่ดีที่สุด


“ทางข้าขอเป็นคนจัดการตัวบ้าบิ่นนั่นเป็นคนแรก” เชียนจ้าวเถี้ยนยิ้มอย่างเย็นชา ก่อนจะหันหลังและกล่าว “ผู้อาวุโสหยวน ข้าขอรบกวนท่านด้วย” ที่ด้านหลังของเขา ชายวันกลางคนผู้หนึ่งพยักหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย


ชื่อของชายวัยกลางคนคือเชียนจ้าวหยวน เขาคือผู้อาวุโสของเชียนจ้าวเถี้ยน และเป็นจอมยุทธที่บรรลุพลังระดับสี่นิพพานมากว่าหมื่นล้านปีแล้ว ในระดับโลกียนิพพานนั้นต่อให้เป็นเชียนจ้าวเถี้ยนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา


ร่างของเชียนจ้าวหยวนพุ่งทะยานไปยังแผ่นกระดานลานประลอง เมื่อร่างของเขาสัมผัสกับแผ่นกระดาน ร่างกายก็หดย่อตัวลงอย่างรวดเร็วและลงไปยืนอยู่บนแผ่นกระดานลานประลอง ร่างที่ถูกย่อเล็กลงหลายหมื่นเท่าของเขาในตอนนี้ ทำให้ดูเหมือนกับเป็นมดตัวหนึ่งที่ยืนอยู่บนกระดาน


“หลิงฮัน ถึงคราวของเจ้าแล้ว!” เชียนจ้าวเถี้ยนมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ในตอนแรกเขาเป็นคนกล่าวขอพบกับธิดาโร๋วเองแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าผู้ที่ได้เข้าพบนางดันเป็นหลิงฮันกับฟู่เกาหยุน


หลิงฮันหัวเราะ “ไหนล่ะของเดิมพัน?”


“ฮึ่ม!” เชียนจ้าวเถี้ยนสะบัดมือ แร่โลหะกึ่งนิรันดร์หลายชิ้นถูกโยนลงไปยังกระดานลานประลองและถูกย่อขนาดเล็กลง


หลิงฮันยังไม่ขยับตัวลงไปยังลานประลองแต่เลือกที่จะกล่าวต่อ “มีใครที่ต้องการท้าประลองข้าอีก ก็รีบๆนำของเดิมพันออกมา เพราะหลังจากนี้ข้าจะไม่รับคำท้าแล้ว!”


“เจ้าคิดว่าจะรอดพ้นการประลองในครั้งแรกไปได้รึ?” เชียนจ้าวเถี้ยนกล่าวอย่างโหดเหี้ยม


“ไม่ต้องเป็นกังวล ต่อให้ข้าถูกทุบตีจนตายปางตาย ข้าก็จะฝืนตัวเองประลองรอบต่อๆไปแน่นอน” หลิงฮันจงใจกล่าวออกไป เพราะไม่เช่นนั้นหลังจากที่คนอื่นๆได้เห็นพลังต่อสู้ของเขาแล้ว ใครกันจะกล้าเดิมพันต่อ?


คนจำนวนหนึ่งมองหลิงฮันด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ ก่อนจะโยนแร่โลหะกิ่งนิรันดร์ออกมาพร้อมกัน


“หมดแล้วรึ? ยังมีใครต้องการท้าประลองอีกรึเปล่า?” เขาหันมองคนอื่นๆรอบทิศทาง เพื่อรับผลประโยชน์ให้มากขึ้น


แต่น่าเสียดายที่หลังจากนี้ก็ไม่มีใครคิดจะท้าประลองอีกเลย เนื่องจากทุกคนต่างคิดว่าเพียงแค่ถูกทุบตีจากการประลองสี่ถึงห้าครั้งหลิงฮันก็คงปางตายแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลาท้าประลองเพิ่มอีก

 

 

 


ตอนที่ 1787 สัตว์ประหลาดทั้งสอง

 

หลิงฮันถอนหายใจ จำนวนแร่โลหะกึ่งนิรันดร์ที่เขาจะได้รับจากการเดิมพันคือสิบกว่าก้อนเท่านั้น ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่มากเลย


“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าจะประลองหรือไม่?” เชียนจ้าวเถี้ยนกล่าวอย่างไร้ความอดทน สำหรับราชาแห่งยุคเช่นพวกเขาเวลาคือสิ่งมีค่า ที่จะปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้


“เห็นแก่ที่พวกเจ้าอุตส่าห์นำของขวัญมามอบให้ ข้าจะเล่นด้วยก็ได้” หลิงฮันทะยานร่างไปยังแผ่นกระดาน


ภายในลานประลอง ที่ด้านหน้าของเขาเชียนจ้าวหยวนยืนแน่นิ่งโดยพาดมือไว้ด้านหลัง


ที่ด้านนอก ผู้คนมากมายสามารถมองดูสถานการณ์ภายในแผ่นกระดานได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามามองใกล้ๆ


“สามกระบวนท่า” เชียนจ้าวหยวนกล่าวอย่างองอาจ


หลิงฮันเกาหัวและกล่าว “ถึงแม้ข้าจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังเป็นเพียงนิรันดร์สองนิพพาน การจะจัดการเจ้าภายในสามกระบวนท่านั้นเป็นเรื่องที่ยากเกินไป เจ้าช่วยเพิ่มจำนวนกระบวนท่าขึ้นไปอีกไม่ได้รึ?”


ฮึ่ม!


เชียนจ้าวหยวนถลึงตาไม่พอใจ คนที่จะถูกจัดการในสามกระบวนท่าคือเจ้าต่างหาก นี่เจ้าไม่เข้าใจสถานการณ์เลยรึไง?


เขาผลักฝ่ามือออกไปอย่างไม่พูดพล่าม ‘ปัง’ ฝ่ามืออันทรงพลังถูกปลดปล่อยเข้าใส่หลิงฮัน คลื่นสายลมกรรโชกถูกแปรเปลี่ยนกลายเป็นหนามอำนาจแห่งกฎเกณฑ์นับร้อย พลังทำลายของพวกมันรุนแรงราวกับท้องฟ้าจะถล่มลงมา


หลิงฮันไม่กล้าประมาท เขาเคยได้ยินมาว่าจอมยุทธระดับโลกียนิพพานสี่นิพพานจากขุมอำนาจที่ทรงพลังทั้งหลายนั้น ได้ขัดเกลาพลังบ่มเพาะมานานหลายล้านปี ทำให้พลังต่อสู้ของพวกเขาน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก


เขากำหมัดทั้งสองและทำการโจมตีตอบโต้


‘ปัง ปัง ปัง’ การโจมตีของทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ก่อนที่ร่างของหลิงฮันจะถูกทำให้ล่าถอยไปด้านหลัง ในการปะทะซึ่งๆหน้า เขายังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของนิรันดร์สี่นิพพานขั้นสูงสุดได้


แม้เชียนจ้าวหยวนจะไม่ได้ตัดผ่านนิพพานอย่างสมบูรณ์ แต่พลังต่อสู้ของเขาก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมากเพราะขัดเกลาพลังบ่มเพาะมาเป็นเวลานาน


“เจ้าเป็นนิรันดร์สองนิพพานจริงๆรึ?” เชียนจ้าวหยวนขมวดคิ้ว จากการโจมตีของหลิงฮันเมื่อครู่ เขาสามารถสัมผัสออร่าของหลิงฮันได้ว่าเป็นนิพพานสองนิพพานจริงๆ


แต่นิรันดร์สองนิพพานที่ไหนจะสามารถรับมือกับการโจมตีของนิรันดร์สี่นิพพานสูงสุดได้ โดยที่เสียเปรียบแค่เล็กน้อย?


นิรันดร์สี่นิพพานสมควรกำราบนิรันดร์สองนิพพานได้อย่างราบคาบ ต่อให้เป็นราชาแห่งยุคก็ไม่มีข้อยกเว้น!


หมอนี่เป็นสัตว์ประหลาด!


ด้านนอกแผ่นกระดาน ราชาแห่งยุคทุกคนต่างตกตะลึง


ในระดับพลังเดียวกันนั้น พลังต่อสู้ของพวกเขากล่าวได้ว่าไร้เทียมทาน แต่ใครบ้างจะสามารถสู้ข้ามระดับได้ถึงสองระดับ?


ในจังหวะนั้นเอง กลิ่นอันหอมหวนก็ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ พร้อมกับร่างของสตรีงดงามผู้หนึ่งที่มาถึงอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง สตรีผู้นี้มีผมที่นุ่มสลวยราวกับเส้นไหม และมีผิวที่ขาวกระจ่างราวกับหิมะ ความงดงามของนางเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เกินพรรณนา


“ธิดาโร๋ว!”


“ธิดาโร๋ว!”


ผู้คนทั้งหลายหันหน้าไปกล่าวทักทายสตรีงาม แววตาของพวกเขาแสดงออกถึงความหลงไหล


“พวกเจ้ากำลังดูอะไรอยู่รึ เหตุใดถึงได้คึกคักกันขนาดนี้?” ธิดาโร๋วเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์


ใครหลายคนรีบกล่าวอธิบายสถานการณ์ทันที ธิดาโร๋วทำท่าทางตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะมองดูแผ่นกระดานด้วยความสนใจ


นางรู้สึกสนใจในตัวหลิงฮันเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากอีกฝ่ายจะสามารถแก้ไขทักษะโบราณให้สมบูรณ์ได้ภายในเวลาครึ่งวันแล้ว อีกฝ่ายยังไม่ได้ผลกระทบการเสน่ห์อันยั่วยวนของนางอีก


ด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางจึงจงใจปล่อยข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนออกไป เพราะรู้ว่าพวกเชียนจ้าวเถี้ยนจะต้องไปสร้างความลำบากให้แก่หลิงฮันแน่


คนที่มีจิตใจหนักแน่นและฉลาดเฉลียวเช่นนั้น ในด้านของพลังต่อสู้ล่ะจะแข็งแกร่งขนาดไหน?


หลังจากการประลองดำเนินไปหลายกระบวนท่า ธิดาโร๋วก็เผยสีหน้าตกตะลึง


แข็งแกร่งมาก!


มีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับสองนิพพานแท้ๆ แต่กลับเกือบจะรับมือกับนิรันดร์สี่นิพพานขั้นสูงสุดได้อย่างสูสี อย่างที่รู้กันว่าเชียนจ้าวหยวนนั้นไม่ใช่นิรันดร์สี่นิพพานสูงสุดทั่วไป จากการที่เขาขัดเกลาพลังมานานหลายล้านปี ต่อให้เป็นในระดับเดียวกันเขาก็ไม่อ่อนแอไปกว่าราชาแห่งยุค


กล่าวคือ หลิงฮันในตอนนี้มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของนิรันดร์สี่นิพพานสูงสุดได้


ถึงแม้ทุกครั้งหลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่า หลิงฮันจะถูกทำให้ล่าถอยอย่างทุลักทุเล แต่เขาก็สามารถทรงตัวและพุ่งทะยานกลับมาโจมตีต่อได้อย่างรวดเร็ว ราวกับร่างกายของเขาถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะที่ไร้ความเจ็บปวด


ในโลกนี้มีสัตว์ประหลาดแบบนี้อยู่ได้อย่างไร?


“สนใจในตัวสามีของข้ารึ?” จักรพรรดินีที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เอ่ยกล่าว ถึงแม้หลิงฮันจะกล่าวว่าไม่ต้องการหาภรรยาเพิ่มอีก แต่นางก็ยังตัดใจจากแก่นกำเนิดนิรันดร์ของธิดาโร๋วไม่ได้ หากบ่มเพาะพลังคู่กับสตรีผู้นี้ พลังบ่มเพาะของหลิงฮันจะทะยานสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด


ในสายตาของนาง สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ต่อหลิงฮันจะต้องมาเป็นอันดับแรก


ธิดาโร๋วเค้นเสียงและไม่ตอบอะไร แม้จิตใจของนางจะหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็อย่าได้คิดว่าเพียงเท่านี้จะทำให้นางยอมรับได้


“ฮึ่ม จอมยุทธต่ำต้อยเช่นนั้นคิดจะครอบครองธิดาโร๋วงั้นรึ?” เชียนจ้าวเถี้ยนแสยะยิ้ม “เป็นแค่คางคกริอาจอยากกินเนื้อห่านฟ้า!”


ตูม!


เสียงการโจมตีดึงขึ้นอย่างไม่มีใครตั้งตัว สิ่งที่ทุกคนเห็นคือฝ่ามืออันงดงามของใครบางคน ได้พุ่งกระแทกเข้าหาใบหน้าของเชียนจ้าวเถี้ยนอย่างรวดเร็ว


เชียนจ้าวเถี้ยนตกตะลึงและล่าถอยอย่างร้อนรนด้วยพลังเกือบทั้งหมด


ปัง!


ร่างของเขาถูกฝ่ามือกระแทกใส่และลอยกระเด็นไปชนกับดาดฟ้าเรือ


เรือรบลำนี้คืออุปกรณ์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะ โครงสร้างภายนอกของมันถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะกึ่งนิรันดร์หกดาว ที่สามารถต้านทานพลังโจมตีของนิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะได้ เพราะงั้นร่างที่ลอยกระเด็นของเชียนจ้าวเถี้ยนจึงไม่อาจทำให้โครงสร้างของมันพังทลาย


เชียนจ้าวเถี้ยนรู้สึกมึนงงและมองเห็นดวงดาวลอยอยู่เหนือศีรษะ


ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ต่างตกตะลึงและจ้องมองไปยังจักรพรรดินี ราวกับเพิ่งสังเกตเห็นว่านางอยู่ที่นี่


ความเป็นจริงคือในตอนแรกความสนใจของทุกคนได้เพ่งเล็งไปยังหลิงฮัน ก่อนที่ต่อมาความสนใจของทุกคนจะเปลี่ยนไปยังธิดาโร๋ว จนถึงตอนนี้ไม่มีใครสังเกตเลยว่าจักรพรรดินีนั้นมีเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบและกลิ่นอายที่น่าเกรงขามขนาดไหน


ต่อให้ใบหน้าจะถูกปกปิดเอาไว้ แต่ทุกคนก็รู้สึกได้ว่าเสน่ห์ของจักรพรรดินีสามารถเทียบเคียงได้กับธิดาโร๋ว


น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!


เหนืออื่นใดคือสตรีผู้นี้แข็งแกร่งถึงขนาดที่ สามารถสยบเชียนจ้าวเถี้ยนได้อย่างง่ายดาย


แม้การโจมตีของนางจะเป็นการโจมตีทีเผลอ แต่เชียนจ้าวเถี้ยนก็ไม่ใช่นิรันดร์สามนิพพานทั่วไป แต่เป็นราชาในระดับเดียวกัน!


จะบอกว่าจักรพรรดรินีเป็นนิรันดร์สี่นิพพานรึ?


น่ากลัวว่าจะไม่ใช่แบบนั้น ออร่าที่สัมผัสได้จากนางคือนิรันดร์สองนิพพาน!


ณ เวลานี้เองสายตาของทุกคนได้จดจ้องไปยังจักรพรรดินี แม้แต่เสน่ห์อันน่าดึงดูดของธิดาโร๋วก็ลดลงไปกว่าครึ่งเมื่อจักรพรรดินีปรากฏตัว


จักรพรรดินีมองไปยังเชียนจ้าวเถี้ยน และกล่าวอย่างไม่แยแส “เจ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติอันใดมาดูหมิ่นสามีของข้า?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)