Alchemy Emperor of the Divine Dao 1753-1766
ตอนที่ 1753 สังหารให้สิ้น
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลิงฮันมาเมืองธุลีจันทรา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาเมืองนี้ด้วยจิตใจอันหึกเหิม
ก่อนหน้านี่ที่เขาก่อเรื่องขึ้นที่ตระกูลติง จนต้องใช้หอคอยทมิฬเพื่อหลบๆซ่อนๆและหนีออกมานั้น ไม่ใช่นิสัยของเขาเลยแม้แต่น้อย
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป… เขากลับมาพร้อมพลังที่แข็งแกร่ง!
มาเลยตระกูลติง ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะต้องตกตะลึงแล้ว
สตรีนกอมตะถูกนำตัวเข้าไปอยู่ในหอคอยทมิฬชั่วคราว หลิงฮันกับจักรพรรดินีเดินจับมือกัน โดยที่ครั้งนี้จักรพรรดินีไม่สวมผ้าคลุมหน้าและเปิดเผยใบหนาที่แท้จริงออกมา ในเมืองหนึ่งดาวเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวว่าจะถูกใครคุกคาม
เมื่อทั้งสองเดินมาถึงประตูทางเข้าเมือง แม้พวกเขาจะไม่ได้ปลดปล่อยออร่าของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานออกมา ใบหน้าที่งดงามและกลิ่นอายอันสูงส่งของจักรพรรดินี ก็ทำให้ใบหน้าของทหารยามแข็งค้างด้วยความตะลึงและมีท่าทีนอบน้อม
พวกหลิงฮันมุ่งหน้าไปยังตระกูลติงทันที แต่ถึงแม้เมืองธุลีจันทราจะเป็นเมืองหนึ่งดาว พื้นที่ภายในเมืองก็ยังกว้างขวางมากอยู่ดี ทั้งสองคนใช้เวลาเดินทางสามวันกว่าจะมาถึงตระกูลติง
หลิงฮันเดินเข้าสู่ประตูทางเข้าตระกูลตรงๆ โดยที่มือข้างหนึ่งของเขาโอบกอดเอวของจักรพรรดินีเอาไว้ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
“หยุด… หืม!” สมาชิกตระกูลติงหกคนที่เฝ้าประตูอยู่กำลังจะบอกให้พวกหลิงฮันหยุดเดิน แต่พอเห็นใบหน้าอันงดงามของจักรพรรดินี ทั้งหกคนก็อ้าปากข้างและพูดอะไรไม่ออก
‘ปัง ปัง ปัง’ หลิงฮันลงมือซัดร่างของคนเฝ้าประตูทั้งหกคนลอยกระเด็นอย่างไม่เสียเวลาพูดพล่าม ร่างของทั้งหกคนบ้างก็กระแทกใส่ประตูทางเข้าจนทะลุเป็นรู บ้างก็ลอยกระแทกเข้าใส่กำแพงจนกระดูกภายในร่างแตกหัก
หลิงฮันไม่รู้สึกเห็นใจใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากตัวเขาไม่มีความรู้สึกดีๆต่อตระกูลติงอยู่เลยแม้แต่เศษเสี้ยว
บางทีหากเทียบกันแล้ว รังของโจรภูเขาอาจจะเน่าเฟะน้อยกว่าตระกูลติงเสียด้วยซ้ำ
คนเฝ้าประตูทั้งหกคนนั้น มีสี่คนที่ตายทันที และมีอยู่สองคนที่แม้จะยังรอดชีวิตแต่ก็อยู่ในสภาพปางตาย
หลิงฮันดึงความทรงจำจากดวงวิญญาณของสองคนที่เหลือรอดมาดู ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นมืดมน
ฮึ่ม… ในตระกูลติงไม่มีคนดีอยู่เลยจริงๆ แม้แต่คนเฝ้าประตูก็ยังทำเรื่องชั่วร้ายมานับไม่ถ้วน จำนวนคนที่ถูกคนเหล่านี้คุกคามนั้นไม่รู้ว่ามีจำนวนมากมายเท่าไหร่
“สิ่งชั่วร้ายย่อมควรค่าแก่การกำจัด!” หลิงฮันชี้นิ้วออกไปด้านหน้า ‘พรึบ พรึบ’ คลื่นปราณก่อเกิดถูกควบแน่นเป็นหอกแหลมทิ่มทะลวงเข้าใส่คนเฝ้าประตูทั้งสองตายในพริบตา
หากสวรรค์ปรานีเกินไป ข้าจะเป็นตัวแทนของสวรรค์ลงโทษพวกเจ้าเอง!
“ใครกล้ามาก่อความวุ่นวายในตระกูลของข้า?” เสียงหนึ่งคำรามดังลั่น พร้อมกับร่างของสมาชิกตระกูลติงเจ็ดคนที่ทะยานร่างเข้ามาด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
ตระกูลติงเป็นถึงหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ของเมืองธุลีจันทรา ใครกันที่กล้ามาก่อปัญหาถึงภายในตระกูลพวกเขา?
“ไม่ได้การแล้ว เป็นเจ้าหนูบัดซบนั่น!”
“ละ… หลิงฮันบุกมาก่อความวุ่นวายที่นี่!”
“รีบไปเรียกผู้อาวุโสมาเร็วเข้า!”
ทันที่เหล่าสมาชิกตระกูลติงเห็นหลิงฮัน ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว ในตระกูลติง ณ เวลานี้ หลิงฮันเป็นทั้งคนที่พวกเขารังเกียจที่สุดและหวาดกลัวที่สุดเช่นกัน
แม้แต่ผู้อาวุโสติงหู่ก็ยังถูกหลิงฮันสังหาร!
ร่างของสมาชิกตระกูลติงที่ปรากฏตัวหยุดชะงักในทันที พวกเขาทั้งเจ็ดเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งเท่านั้น ไม่มีทางเด็ดขาดที่จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้กับสัตว์ประหลาดอย่างหลิงฮันได้ โดยที่พวกเขาก็ยังไม่รู้ด้วยว่าหลิงฮันในตอนนี้บรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแล้ว
จักรพรรดินีลงมือ ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ คลื่นดาบอัสนีเจ็ดคลื่นก็ถูกปลดปล่อยออกไป และสังหารสมาชิกตระกูลติงทั้งเจ็ดในพริบตา
หลิงฮันเผยรอยยิ้ม หลังจากดูดซับหยดสายฟ้าสวรรค์จำนวนมากเข้าไป นางก็ได้รับทักษะอัสนีที่ทรงพลังมาสองทักษะ หนึ่งคือคลื่นอัสนีที่ปลดปล่อยออกไป และอีกหนึ่งคือทักษะเคลื่อนไหวที่คล้ายคลึงกับแสงอัสนีของเขา
ทั้งสองหันมองหน้ากันก่อนจะยิ้มอย่างสบายใจและเดินเข้าสู่อาณาเขตตระกูลติง
“สถานที่สกปรกโสมมเช่นนี้ต้องทำลายให้สิ้น” หลิงฮันกระหน่ำปล่อยหมัดอย่างบ้าคลั่ง สิ่งก่อสร้างมากมายของตระกูลติงที่อยู่รอบด้าน สิ่งก่อสร้างมากมายที่ถล่มลงมาส่งผลให้อาณาเขตทั่วทั้งตระกูลติงสั่นไหว
“ช่างโอหัง!” ร่างที่ทรงพลังร่างหนึ่งปรากฏตัว สมาชิกตระกูลติงที่อาศัยอยู่ใกล้ๆเองก็โผล่หน้าออกมาเช่นกัน แต่ละคนต่างมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าหน้าเกรี้ยวกราด
“หลิงฮัน!” ร่างที่ทรงพลังร่างนั้นคือนิรันดร์ระดับหนึ่งนิพพานที่มีชื่อว่าติงจุ้น เขาจดจ้องไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ที่หลิงฮันสังหารติงหู่ด้วยพลังระดับสร้างสรรพสิ่ง ตัวเขาในตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี
จะลงมือเลยหรือจะไปเรียกผู้อาวุโสที่ทรงพลังยิ่งกว่ามาดี?
เพียงแต่ในตอนนี้ ตัวตนระดับนิรันดร์ของตระกูลติงแทบจะทั้งหมดถูกส่งออกไปนอกตระกูลเพื่อตามหาหลิงฮัน นอกจากเขาแล้ว ตัวตนระดับนิรันดร์ที่เหลืออยู่และแข็งแกร่งกว่าเขาก็มีเพียงติงเหยาหลงแค่คนเดียว
“เจ้าตัวบัดซบ เจ้ามาที่นี่เพื่อรนหาที่ตายแท้ๆ!” ชายชราหนวดขาวโพลนผู้หนึ่งคำราม เขาคือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ของตระกูลติง ต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียน ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งได้
หลิงฮันจ้องมองไปยังชายชรา ‘โพล๊ะ’ ภายใต้อำนาจของแรงกดดันที่เขาปลดปล่อยออกไป ร่างของชายชราถูกระเบิดออกกลายเป็นฝนโลหิตทันที
“ช่างกล้า!” ติงจุ้นคำรามอย่างเกรี้ยวกราด กล้าสังหารคนของตระกูลติงต่อหน้าเขาเชียวรึ? “เจ้าตัวบัดซบ เจ้ามันไม่มีคุณธรรมของความเป็นมนุษย์!”
“งั้นรึ?” หลิงฮันเอื้อมมือออกไปคว้าดวงวิญญาณของชายชราที่กลายเป็นฝนโลหิตซึ่งยังไม่กระจัดกระจายหายไป เขาทำการตรวจสอบความทรงจำและกล่าว “คนผู้นี้เคยข่มขืนหญิงรับใช้ตั้งแต่อายุสิบห้าปี และในตอนที่อายุยี่สิบเอ็ดปี เพื่อเขาจะได้ครอบครองสตรีผู้หนึ่ง เขาถึงขนาดลงมือสังหารสามีของสตรีผู้นั้นทิ้ง ยิ่งกว่านั้นคือในตอนอายุสามสิบสองปี เขาเคยทำการทรมานสตรีอายุต่ำกว่าสิบสองปีจนเสียชีวิต เหอะๆ เจ้าพูดถึงคุณธรรมแต่กลับเก็บสัตว์อสูรเฒ่าเช่นนี้ไว้ในตระกูลงั้นรึ??”
หลิงฮันกวาดสายตามองสมาชิกตระกูลติง “ตระกูลติงของพวกเจ้า ยังจะมีคนดีเหลืออยู่อีกงั้นรึไง?”
เหล่าสมาชิกตระกูลติงไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
ในดินแดนแห่งเซียนนั้นมีประชากรอยู่มากมาย อย่างแค่เมืองธุลีจันทราเมืองเดียวก็มีคนอยู่กว่าหมื่นล้านคนแล้ว แถมคนที่เกิดขึ้นใหม่ก็มีอยู่เรื่อยๆ มีเหตุผลอันใดที่พวกเขาต้องไปสนใจใครจะเป็นหรือตาย?
“แค่ดูจากสีหน้าของพวกเจ้าข้าก็รู้คำตอบแล้ว!” หลิงฮันกำหมัด “ในเมื่อสวรรค์ไม่มีตา ข้าก็จะเป็นคนลงทัณฑ์พวกเจ้าเอง!”
เขาระเบิดจิตสังหารอันรุนแรงออกมา คนของตระกูลติงล้วนแต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่เขาไม่จำเป็นต้องคิดแม้แต่น้อยว่าจะสังหารดีหรือไม่
‘ตูม ตูม ตูม’ หลิงฮันปล่อยหมัดออกไป สมาชิกตระกูลติงหลายสิบคนถูกบดขยี้กลายเป็นฝนโลหิต
“วันนี้ตระกูลติงจะต้องถูกย้อมไปด้วยหยาดโลหิต!” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือก ราวกับเทพแห่งความตาย
ตอนที่ 1754 วิหารบรรพบุรุษพบเจอภัยพิบ...
“เจ้าตัวบัดซบ หยุดมือเดี๋ยวนี้!” ติงจุ้นคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ทุกครั้งที่หลิงฮันลงมือ สมาชิกตระกูลติงจะถูกสังหารไปหลายสิบคน บางคนในหมู่สมาชิกที่ตายไปเป็นทายาทของเขาด้วยซ้ำ
เขาทะยานร่างปล่อยการโจมตีใส่หลิงฮัน
“ผู้อาวุโสผู้เกรียงไกร!”
“ผู้อาวุโสของพวกเราไร้เทียมทานที่สุด!”
“สังหารผู้บุกรุกให้สิ้นซาก!”
เหล่าสมาชิกตระกูลติงที่ยังเหลือรอดโห่ร้อง
ติงจุ้นทำการปลดปล่อยทักษะกาลเวลา การโจมตีใดๆที่พุ่งมาหาเขาจะถูกลดทอนอายุจนสลายไป ซึ่งเขาจะใช้โอกาสนั้นในการสังหารศัตรู
ดวงตาของหลิงฮันส่องประกายเย็นชายิ่งกว่าเดิม “วันนี้ ข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้กับตระกูลหู”
‘ครืนน’ จิตวิญญาณของติงจุ้นสั่นสะท้านราวกับฟ้าผ่าพร้อมกับอุทานออกมา “จะ… เจ้าเป็นผู้เหลือรอดของตระกูลหู่!”
ถึงว่าทำไมหลิงฮันถึงได้ต่อต้านตระกูลติงนัก อีกฝ่ายถึงขนาดเสี่ยงชีวิตลากตระกูลหานเข้ามาเกี่ยวข้อง จนวิหารบรรพบุรุษตระกูลติงถูกทำลาย ที่แท้เจ้าหนูบัดซบตัวนี้ก็เป็นผู้สืบทอดของตระกูลหูนี่เอง!
หลิงฮันไม่กล่าวอธิบายใดๆ ติงจุ้นจะเข้าใจผิดไปแบบไหนก็ช่าง เพราะไม่ว่าอย่างไรสุดท้าย อีกฝ่ายก็ต้องถูกเขาสังหารอยู่ดี
เขาเอื้อมมือไปคว้าลำคอของติงจุ้นที่พุ่งเข้ามา
ร่างของอีกฝ่ายที่ถูกมือของเขาบีบเอาไว้แน่นพยายามดิ้นทุรนทุราย โดยไม่หลงเหลือภาพพจน์ของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานอีกต่อไป
พลังของทั้งสองฝ่ายต่างกันดั่งฟ้ากับเหว!
หลิงฮันออกแรงบิดที่มือ ‘แกร่ก’ กระดูกลำคอของติงจุ้นแตกหักอย่างง่ายดาย พร้อมกับแขนขาทั้งสี่ข้างที่ห้อยดิ่งลงกับพื้น
ติงจุ้นตายแล้ว… ร่างของเขาไม่หลงเหลือพลังชีวิตอีกต่อไป แม้กระทั่งดวงวิญญาณก็ถูกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์จากมือของหลิงฮันบดขยี้ โดยที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะลอยหนีออกมาจากกายหยาบ
หลิงฮันโยนร่างของติงจุ้นทิ้งอย่างไม่แยแส ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะปล้นชิงอุปกรณ์มิติของอีกฝ่ายมาด้วย
ผู้คนรอบด้านกลายเป็นนิ่งเงียบไร้คำพูด
นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานอย่างติงจุ้นถูกสังหารอย่างง่ายดายราวกับหมูหมา โดยที่ไม่มีโอกาสแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว?
ขาของทุกคนสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว แม้พวกเขาจะต้องการหลบหนี แต่ก็ก้าวขาไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว
หลิงฮันไร้ความปรานี ‘ปัง’ เขาปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัดเพื่อส่งสมาชิกตระกูลติงหลายสิบคนไปยังปรโลก
“โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!” สมาชิกบางคนที่จิตใจอ่อนแอ ทำการคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากหลิงฮัน
ซึ่งแน่นอนว่าหลิงฮันไม่สนใจแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเขาคือ วันนี้ตระกูลจะต้องพินาศ
เขาโจมตีอย่างไม่แยแส จนสมาชิกตระกูลติงรอบด้านถูกสังหารไม่เหลือ
หลิงฮันและจักรพรรดินีเดินหน้าต่อ เนื่องจากตัวเขาเองก็ไม่ได้คุ้นเคยกับเส้นทางภายในตระกูลติงนัก หลิงฮันจึงเลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังวิหารบรรพบุรุษที่เขาเคยไปมาก่อน
“นั่นมันเจ้าบัดซบ!”
“รีบไปแจ้งให้ท่านประมุขทราบเร็วเข้า!”
“อ้ากกก!”
ตลอดเส้นทางของหลิงฮัน ไม่มีสมาชิกตระกูลติงคนใดเลยที่รอดชีวิต เวลาผ่านไปราวๆหนึ่งชั่วโมง ทั้งสองคนก็มาถึงวิหารบรรพบุรุษของตระกูลติงในที่สุด
ตั้งแต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเวลาก็ผ่านพ้นไปแล้วสองปี แน่นอนว่าวิหารบรรพบุรุษย่อมถูกบูรณะสร้างใหม่อีกครั้งเป็นที่เรียบร้อย กำแพงวิหารสีทองส่องประกายเจิดจรัสอย่างสง่างาม
“พวกเดรัจฉานที่ทำชั่วในขณะที่ยังมีชีวิต มีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับเกียรติทั้งๆที่ตายไปแล้ว?” หลิงฮันแสยะยิ้มพร้อมกับปล่อยหมัดเริ่มการทำลายล้าง
‘ครืน ครืน ครืน’ ทั่วทั้งวิหารบรรพบุรุษสั่นสะเทือนแต่ก็ไม่พังทลาย
เหตุผลก็เพราะสถานที่แห่งนี้มีรูปแบบอาคมคุ้มกันติดตั้งเอาไว้ และหลิงฮันก็ไม่ได้มีพลังโจมตีที่รุนแรงเทียบเท่าหานลู่ที่เป็นถึงนิรันดร์สี่นิพพาน แต่ทันทีที่หลิงฮันโคจรเพลิงเก้า วารีพลังหยินเร้นลับ และทักษะอัสนีบาตชำระล้างโลกา พลังทำลายล้างของการโจมตีของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นพรวดพราด
ตามหลักแล้ว พลังทำลายของเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับพลังของพวกมัน ตราบใดที่พลังทั้งสองสัมผัสโดนเป้าหมาย อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันทรงพลังก็จะบดขยี้ทุกอย่างจนสิ้นซาก!
ในความเป็นจริงอำนาจของอัสนีบาตชำระล้างโลกาก็ทรงพลังมากเช่นกัน เนื่องจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีนั้นเป็นอำนาจที่มีพลังทำลายล้างรุนแรงที่สุดในโลก แม้ในตอนแรกอำนาจของอัสนีบาตชำระล้างโลกาจะถูกจำกัดเอาไว้เพียงแค่ในระดับสูงสุดของโลกบรรพกาล แต่หลังจากหลิงฮันเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน ขีดจำกัดของทักษะก็ถูกเปิดออกและสามารถยกระดับขึ้นไปได้อีก หากได้รับการขัดเกลาจากพลังของสวรรค์และปฐพีในดินแดนแห่งเซียน
“เกิดอะไรขึ้นกับวิหารบรรพบุรุษ!!”
“นี่ตระกูลติงของพวกเราไปทำบาปอะไรไว้กันแน่ เหตุการณ์เช่นนี้ถึงได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง?”
ใครหลายคนที่กำลังคารวะบรรพบุรุษอยู่ในวิหารบรรพบุรุษร้องโอดครวญก่อนจะปรากฏตัวออกมาและจ้องมองไปยังหลิงฮัน ดวงตาของพวกเขาแต่ละคนส่องประกายโหดเหี้ยมราวกับต้องการจะฉีกกระชากหลิงฮันเป็นชิ้นๆ
“เจ้าตัวบัดซบ!” ปรมาจารย์ที่ทรงพลังคนหนึ่งก้าวออกมา
เขาคือติงซวง นิรันดร์ระดับหนึ่งนิพพาน
ติงซวงผู้นี้คือสมาชิกตระกูบติงที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาบรรลุเป็นนิรันดร์ได้รวดเร็วกว่าจอมยุทธทั่วไป รูปลักษณ์ของเขาจึงคงสภาพอยู่ในช่วงอายุสี่สิบปีเท่านั้น
ติงเซี่ยวเฉินเองก็ปรากฏตัว สายตาของเขาจดจ้องไปยังหลิงฮันที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
ศัตรูคู่ชีวิตของเขาตรงหน้ามีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งเกินจนเขาทำได้เพียงแหงนมอง ความเกลียดชังที่มีเขาทำได้เพียงแค่ระบายอยู่ในใจ โดยไม่กล้าแสดงออกมาให้อีกฝ่ายเห็น เนื่องจากทุกครั้งที่แสดงออกมา เขาจะต้องถูกหลิงฮันทุบตีจนหมดสภาพ
หลิงฮันโคจรพลังในใจและกล่าว “อสูรสงคราม จงออกมา!”
‘พรึบ’ ทันใดนั้นเอง คลื่นแสงสามคลื่นก็ลอยพุ่งออกมาจากร่างของเขา
คลื่นแสงสีขาวควบแน่นแปรสภาพกลายเป็นพยัคฆ์ คลื่นแสงสีแดงควบแน่นกลายเป็นวิหค คลื่นแสงสีฟ้าควบแน่นกลายเป็นอสูรอาชาอัสนี
สัตว์อสูรเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดจาก ‘ทักษะสิบอสูรสงคราม’ ทักษะระดับราชานิรันดร์ที่เขาได้รับจากความทรงจำของราชานิรันดร์ว่านโซ่ว!
เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาฝึกฝนบางส่วนของทักษะสิบอสูรสงครามได้สำเร็จ และสามารถเรียกสัตว์อสูรสงครามออกมาได้สามตัว ซึ่งเขาได้ใช้เพลิงเก้าสวรรค์ วารีพลังหยินลี้ลับ และอำนาจสายฟ้าของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เป็นแก่นพลังงาน
ทันทีที่สัตว์อสูรสงครามทั้งสามตัวปรากฏออกมา พวกมันก็ส่งเสียงคำรามขึ้นสู่ท้องฟ้า จนทำให้เหล่าจอมยุทธที่อ่อนแอเยี่ยวไหลรดกางเกง
ติงซวงตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขามีความรู้ว่าไม่ว่าสัตว์อสูรตนใดในสามตนนี้จะลงมือ เขาก็ไม่อาจหนีพ้นความตายไปได้
เขาจ้องมองสำรวจหลิงฮันอยู่นานครู่หนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าจะเผยให้เห็นถึงความตกตะลึงอย่าปิดไม่มิด “ระดับโลกียนิพพาน! จะ… จะ… เจ้าบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแล้ว!”
สวรรค์ช่างไม่มีตา! เหตุใดตัวบัดซบที่สมควรตายหลายพันรอบเช่นนี้ ถึงบรรลุระดับโลกียนิพพานได้สำเร็จกัน!
ตอนที่ 1755 ปะทะติงเหยาหลง
“หากเจ้าต้านทานสามกระบวนท่าจากสัตว์อสูรของข้าได้ ข้าจะทำเพียงทำลายพลังบ่มเพาะของเจ้าและยอมไว้ชีวิต” หลิงฮันกล่าว
‘พรึบ’ เขาชี้นิ้วไปด้านหน้า พร้อมกับสัตว์อสูรพยัคฆ์ได้พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
พยัคฆ์ขาวตนนี้ถูกควบแน่นขึ้นโดยมีอำนาจของวารีพลังหยินลี้ลับเป็นแก่นพลัง เพราะงั้นออร่าที่มันปลดปล่อยออกจึงเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก
ติงซวนยกฝ่ามือขึ้นมาหวังจะตั้งท่าป้องกัน แต่ยังไม่ทันที่เขาจะยกมือขึ้นมาได้สูงเท่าไหร่ ออร่าอันเย็นยะเยือกก็แพร่กระจายเข้าใส่จนร่างกายของเขาแข็งค้างไปทั่วร่าง
ทั้งเส้นผม หนวดและคิ้วของเขาถูกแช่กลายเป็นแท่งน้ำแข็ง แม้แต่โลหิตภายในร่างก็หยุดไหลเวียน ตัวของเขาในตอนนี้ราวกับกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง
พยัคฆ์ขาวกวัดแกว่งอุ้งเท้า ‘แกร่ก’ ร่างที่ถูกแช่แข็งของติงซวนแตกกระจายเป็นเศษน้ำแข็งเศษเล็กเศษน้อยทันที
ทั้งกายหยาบและดวงวิญญาณของเขาถูกบดขยี้ไปพร้อมกัน เนื่องจากออร่าอันเย็นยะเยือกได้แช่แข็งไปถึงดวงวิญญาณ
สีหน้าของสมาชิกตระกูลติงทุกคนกลายเป็นนิ่งอึ้งราวกับคนไร้สติ
ในความคิดของพวกเขา ตัวตนระดับโลกียนิพพานนั้นเปรียบเสมือนเทพสงคราม พวกเขาไม่เคยคาดฝันมาก่อนแม้แต่น้อยว่า ตัวตนระดับนั้นจะถูกสังหารอย่างง่ายดายเพียงเพราะสัตว์อสูรที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังของหลิงฮัน
เหตุใดความต่างของพลังถึงได้มีมากขนาดนี้?
“จัดการให้สิ้น!” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส พริบตาหลังสิ้นคำสั่ง สัตว์อสูรสงครามทั้งสามตัวก็เปิดฉากล่าสังหารทันที
พลังของพวกมันนั้นไร้เทียมทาน ขนาดนิรันดร์หนึ่งนิพพานยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน มีรึที่สมาชิกคนอื่นๆของตระกูลติงที่เป็นเพียง จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งจะต้านทานพวกมันได้?
ทุกสรรพสิ่งที่พยัคฆ์ขาวเคลื่อนที่ผ่านล้วนแต่ถูกแช่กลายเป็นน้ำแข็ง ทุกสรรพสิ่งที่วิหคเพลิงบินผ่านล้วนแต่ถูกแผดเผากลายเป็นเถ้าธุรี และทุกสรรพสิ่งที่อสูรอาชาวิ่งผ่านล้วนแต่ถูกบดขยี้กลายเป็นเศษซาก
“ข้ายังไม่เคยลองทักษะนี้เลย” หลิงฮันเริ่มโคจรทักษะก้อนแสงอัสนีทำลายล้าง
ทักษะนี้คืออีกหนึ่งทักษะที่เขาได้รับมาจากการดูดซับหยดสายฟ้าสวรรค์ เหตุผลที่เขาไม่เคยได้ใช้ทักษะนี้ เพราะเขาไม่เคยพบเจอสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูนับร้อบนับพันมาก่อน
ตูมมม!
ก้อนแสงอัสนีถูกควบแน่นก่อนที่จะระเบิดออก และเผยให้เห็นถึงพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึง
ทักษะนี้ยิ่งใช้เวลาควบแน่นนานเท่าไหร่ อำนาจของมันก็จะทรงพลังไปตามๆกัน จนถึงขนาดที่ว่าอาจจะเผลอทำให้ตนเองติดร่างแหไปด้วยเลยก็เป็นไปได้
คลื่นระเบิดที่เกิดจากก้อนแสงอัสนีส่งผลให้วิหารบรรพบุรุษของตระกูลติง ถูกทำลายไปถึงหนึ่งในสิบส่วนในพริบตา
“ยังไม่รุนแรงเท่าที่ควร!” หลิงฮันส่ายหัว ก่อนหน้านี้ที่หานลู่เป็นคนลงมือ อีกฝ่ายสามารถทำลายวิหารบรรพบุรุษแทบจะทั้งหมดได้ด้วยการโจมตีทั่วไป แต่นี่ขนาดเขาจู่โจมด้วยพลังทั้งหมด กลับสามารถทำลายวิหารได้เพียงหนึ่งในสิบ
ความต่างระหว่างพลังของเขากับนิรันดร์สี่นิพพานยังมีมากเกินไป
แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ เพราะอย่างไรหลิงฮันยังเป็นเพียงนิรันดร์หนึ่งนิพพานขั้นกลางเท่านั้น
ติงเซี่ยวเฉินถูกสังหารท่ามกลางการโจมตีอันอลม่านของสามอสูรสงคราม เขาไม่รู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และคิดเพียงว่าเหตุผลที่หลิงฮันเกลียดชังตระกูลติงเป็นเพราะเขาดันไปล่วงเกินหลิงฮันก่อน
“หลิงฮัน!” เสียงคำรามอันเย็นชาและเกรี้ยวกราดดังขึ้น ร่างของจอมยุทธที่ทรงพลังที่สุดของตระกูลติงปรากฏตัวในที่สุด
ติงเหยาหลง!
ก่อนหน้านี้เขากำลังเก็บตัวบ่มเพาะพลังอยู่อย่างสันโดษ แม้ความหวังที่จะทะลวงผ่านระดับแบ่งแยกวิญญาณสำเร็จจะมีอยู่น้อยนิด แต่เขาก็ไม่เลิกล้มความพยายาม
ที่เขาละทิ้งเลิกบ่มเพาะพลังและยอมปรากฏตัวก็เพราะ สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันในตระกูลติง และเมื่อปรากฏตัวเขาก็ได้พบว่าวิหารบรรพบุรุษถูกทำลายอีกครั้งแล้ว!
“เจ้าตัวบัดซบ!” ติงเหยาหลงแทบจะบ้าคลั่ง นี่มันสองครั้งแล้วที่วิหารบรรพบุรุษพังทลายโดยมีหลิงฮันเป็นต้นเหตุ
หลิงฮันหยุดมือและเรียกสัตว์อสูรสงครามทั้งสามกลับมาข้างกาย ติงเหยาหลงคือนิรันดร์สี่นิพพาน ซึ่งเป็นศัตรูที่ไม่อาจประมาทได้แม้แต่น้อย
“วันนี้ข้ามาที่นี่เพื่อเป็นตัวแทนล้างแค้นหนี้เก่าให้กับตระกูลหู แต่ในครั้งหน้าที่ข้าปรากฏตัว นั่นจะเป็นการล้างแค้นเพื่อตัวข้าเอง!”
ตระกูลหู?
จิตใจของติงเหยาหลงสั่นสะท้าน พร้อมกับกล่าว “ที่แท้เจ้าก็เป็นผู้เหลือรอดของตระกูลหู! ฮึ่ม ไม่คาดคิดว่าคนของตระกูลหูทั้งหมดจะไม่ได้ถูกสังหารไปตั้งแต่เมื่อตอนนั้น”
หลิงฮันหัวเราะและไม่คิดจะอธิบายความเข้าใจผิดของติงเหยาหลง
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเป็นคนส่งเจ้าไปลงนรกด้วยตัวข้าเอง!” ติงเหยาหลงกล่าวอย่างเย็นชาและปล่อยหมัดที่ผสานไปด้วยอำนาจแห่งห้วงเวลาที่ทรงพลัง ทักษะยุทธทักษะนี้แต่เดิมคือทักษะที่ทรงพลังของตระกูลหู แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นทักษะที่ทรงพลังประจำตระกูลติงเป็นที่เรียบร้อย
สัตว์อสูรสงครามทั้งสามคำรามและพุ่งทะยานเข้าหาติงเหยาหลง
‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ร่างของสัตว์อสูรสงครามทั้งสามที่พุ่งทะยานออกไป ถูกอำนาจแห่งห้วงเวลาทำให้สลายไปอย่างสมบูรณ์ ทักษะกาลเวลาแปรผันพันปีคือทักษะที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก ตราบใดที่พลังบ่มเพาะไม่เท่ากันหรือสูงกว่า การโจมตีที่ปล่อยออกไปจะไม่มีทางสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ใช้ทักษะอย่างติงเหยาหลงได้
หลิงฮันโคจรแสงอัสนีเพื่อเว้นระยะห่างกับอีกฝ่าย เขาไม่คิดจะต่อกรกับติงเหยาหลงซึ่งๆหน้า
ตัวเขาในตอนนี้สามารถรับมือกับนิรันดร์สามนิพพานได้เพียงฉิวเฉียด หากเขาต้องการรับการโจมตีของนิรันดร์สี่นิพพานซึ่งๆหน้าล่ะก็ เขาจำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ซึ่งไม่อาจคงสภาพอยู่ได้นาน
“ลองใหม่อีกครั้ง!” หลิงฮันเรียกอสูรสงครามทั้งสามออกมาใหม่ คราวนี้เขาผสานอำนาจห้วงเวลาเอาไว้ให้กับพวกมันเพื่อต้านทานทักษะกาลเวลาแปรผันพันปีของติงเหยาหลง
“จัดการ!”
สัตว์อสูรสงครามพุ่งทะยานร่างเข้าโจมตีติงเหยาหลงซึ่งก็ล้มเหลวอีกครั้ง อำนาจห้วงเวลาที่ประทับเอาไว้บนตัวพวกมัน ค่อยๆ สลายหายไปทีละน้อยเมื่อปะทะเข้ากับอำนาจห้วงเวลาของติงเหยาหลง จนสุดท้ายร่างของอสูรสงครามทั้งสามก็หายไป
ความต่างของพลังยังคงมีมากเกินไปอยู่ดี
แต่ติงเหยาหลงก็ตกตะลึงเช่นกัน เนื่องจากการโจมตีของสัตว์อสูรสงครามทั้งสามเมื่อครู่นี้เกือบจะมาถึงตัวเขาได้!
รุ่นเยาว์ผู้นี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป!
หากวันนี้ไม่กำจัดสินซาก ตระกูลติงจะต้องพบเจอกับหายนะครั้งใหญ่แน่นอน
ติงเหยาหลงนำกระดิ่งชิ้นหนึ่งออกมา ตัวของกระดิ่งเป็นสีดำสนิท เพียงแค่กระดิ่งถูกนำออกมา สภาพแวดล้อมของพื้นที่โดยรอบก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เมฆสีดำจำนวนมากก่อตัวกันบนท้องฟ้าจนปกคลุมไปทั่วตระกูลติง คลื่นอัสนีบาตผ่านกระหน่ำลงมาราวกับกำลังจะเกิดทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
หลิงฮันตะลึงเป็นอย่างมาก ติงเหยาหลงยังไม่ได้ทะลวงผ่านระดับแน่ๆ เพราะงั้นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสมควรเป็นเพราะกระดิ่งสีดำในมืออีกฝ่าย
แต่เพียงแค่สมบัติชิ้นเดียวจะทำให้เกิดทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้อย่างไร?
“นั่นคือทัณฑ์สวรรค์พิโรธ” จู่ๆเสียงใครบางคนก็เอ่ยดังขึ้น ร่างของสุนัขตัวดำปรากฏตัวและกล่าวต่อ “หากมีการกระทำที่ชั่วช้าเกินกว่าสวรรค์และปฐพีจะให้อภัยเกิดขึ้น จะส่งผลให้เกิดทัณฑ์สวรรค์พิโรธตามมา”
การที่สุนัขตัวดำจะปรากฏตัวหรือหายไปอย่างลึกลับนั้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว บางทีมันอาจจะถูกเสียงเอะอะที่เกิดขึ้นในตระกูลติงดึงดูดถึงได้มาที่นี่ สิ่งที่ทำให้หลิงฮันประหลาดใจก็คือ สุนัขตัวดำตนนี้บรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแล้ว
มันไปตัดผ่านนิพพานมาที่ไหนกัน?
หลิงฮันขมวดคิ้วและกล่าว “สิ่งที่ทำให้เกิดทัณฑ์สวรรค์พิโรธคือกระดิ่งชิ้นนั้น”
“ถ้างั้นก็คงเป็นเพราะกระดิ่งชิ้นนั้นถูกสร้างขึ้นมาด้วยกระบวนการที่โหดเหี้ยมเกินไปจนสวรรค์และปฐพีไม่อาจทนไหว” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยสีหน้าโหดเหี้ยมซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก “เพื่อที่จะสร้างกระดิ่งชิ้นนั้นขึ้นมา ตระกูลติงต้องไม่ได้สังหารคนไปเพียงเล็กน้อยแน่”
“ฮันน้อย เจ้าไม่ต้องเกรงใจข้า สังหารเฒ่าชราบัดซบนั่นและทำลายกระดิ่งเลย!”
ตอนที่ 1756 กระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพราย
พูดอะไรไร้สาระ!
หลิงฮันจดจ้องไปยังกระดิ่งสีดำ หากเขาสามารถเอาชนะติงเหยาหลงได้ เขาจะกล่าวออกไปทำไมว่าจะมาล้างแค้นอีกในครั้งหน้า?
พลังของเขาในตอนนี้คือนิรันดร์หนึ่งนิพพานเท่านั้น ต่อให้พลังต่อสู้ของเขาจะเปรียบดั้งสัตว์ประหลาดขนาดไหน อย่างมากก็สามารถต่อกรกับนิรันดร์สามนิพพานได้อย่างฉิวเฉียด เทียบกับนิรันดร์สี่นิพพานแล้ว ความแตกต่างของพลังยังมีมากเกินไป
ติงเหยาหลงสั่นกระดิ่งปลดปล่อยหมอกสีดำออกมา พร้อมกับกล่าว “สิ่งนี้เรียกว่ากระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพราย! เมื่อหลายพันหลายหมื่นล้านปีก่อน บรรพบุรุษตระกูลติงได้สร้างมันขึ้นมาโดยใช้ดวงวิญญาณของผู้คนนับไม่ถ้วนเป็นเครื่องสังเวย”
“และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงทัณฑ์สวรรค์พิโรธ ประมุขตระกูลแต่ละยุคสมัยจึงต้องค่อยๆพลัดเปลี่ยนกันหล่อหลอมจากรุ่นสู่รุ่น กว่าจะสร้างกระดิ่งชิ้นนี้ขึ้นมาได้อย่างเสร็จสมบูรณ์”
“หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีศักยภาพน่าสะพรึงกลัวจนอาจจะกลายเป็นภัยคุกคามล่ะก็ ข้าคงไม่คิดจะเปิดเผยการมีอยู่ของกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพราย”
หมอกสีดำพรั่งพรูทะลักออกมาอย่างสิ้นสุดจนกลายเป็นทะเลหมอก ภายในทะเลหมอก ร่างที่มีแต่กระดูกค่อยๆปรากฏออกมาทีละตัวทีละตัวพร้อมกับส่งเสียงคำราม
“สับขาวายุ!” สุนัขตัวดำรีบเผ่นหนีทันที “ข้าขอตัวก่อน ฮันน้อย หน้าที่ผดุงคุณธรรมข้าขอส่งต่อให้กับเจ้า!”
หลิงฮันพุ่งทะยานไปยืนเคียงข้างจักพรรดินี หากสถานการณ์เริ่มไม่ปลอดภัย พวกเขาทั้งสองจะหลบเข้าไปในหอคอยทมิฬทันที
“ฮึ่ม อย่าได้คิดว่าจะหนีจาก”กระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายพ้น!” ติงเหยาหลงกล่าวอย่างเย็นชา เขายอมแม้กระทั่งนำไพ่ลับก้นหีบออกมาใช้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องสังหารหลิงฮันให้ได้
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอันน่าสยดสยอง โครงกระดูดนับไม่ถ้วนได้พุ่งทะยานบุกเข้าหาหลิงฮันและจักรพรรดินี โดยที่โครงกระดูกแต่ละตัวนั้นมีพลังต่อสู้เทียบเท่านิรันดร์สามนิพพาน!
แม้พลังของพวกมันจะอยู่ที่นิรันดร์สามนิพพาน แต่จำนวนของพวกมันมีเท่าใดกัน?
มากมายนับหมื่น!
เพราะงั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงหลิงฮันและจักรพรรดินีที่ยังเป็นเพียงนิรันดร์หนึ่งนิพพานเลย ต่อให้นิรันดร์สี่นิพพานพบเจอกับโครงกระดูกเหล่านี้ นิรันดร์สี่นิพพานที่ว่าก็คงทำได้เพียงหลบหนี
“แค่ภูติพรายอ่อนหัด อย่าได้คิดว่าจะมีคุณสมบัติมาอยู่ต่อหน้าข้า!” หลิงฮันคำรามพร้อมกับปลดปล่อยเพลิงเก้าสวรรค์
‘ครืนน’ คลื่นเปลวเพลิงระเบิดออกมาพร้อมกับโอบล้อมร่างของเขากับจักรพรรดินีเป็นวงกลม
วิธีการนี้ได้ผลเป็นอย่างมาก ร่างโครงกระดูกมากมายที่พุ่งทะยานเข้ามาไม่สามารถรอดพ้นทะลุผ่านเปลวเพลิงเข้ามาได้ และหากพวกมันคิดจะทำลายกำแพงเพลิงที่สร้างขึ้นจากเพลิงเก้าสวรรค์ ก็ไม่อาจทำได้ในระยะเวลาสั้นๆเช่นกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความตกตะลึงให้แก่ติงเหยาหลงไม่น้อย หากลองให้เขาถูกห้อมล้อมไปด้วยโครงกระดูกนับหมื่นจากกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายดูบ้าง เกรงว่าสถานการณ์ของเขาคงไม่ได้ผ่อนคลายเหมือนกับหลิงฮัน
สีหน้าของติงเหยาหลงเผยถึงความโหดเหี้ยมและกล่าว “ไม่ว่ายังไงวันนี้ข้าก็ต้องสังหารเจ้าให้ได้ ส่วนสตรีข้างกายเจ้า ข้าจะนำร่างของนางหล่อหลอมกลายเป็นซากศพที่งดงาม ซึ่งข้าเชื่อว่าต้องมีบุรุษมากมายต้องการเล่นสนุกกับศพของนางแน่”
ด้วยสถานะของเขา หากเป็นในเวลาปกติเขาคงไม่มัวเสียเวลาพูดพล่ามข่มขู่หลิงฮัน แต่ทว่า ใครใช้ให้หลิงฮันทำลายวิหารบรรพบุรุษของตระกูลติงถึงสองครั้งกัน? ความเกรี้ยวกราดในใจทำติงเหยาหลงอดไม่ได้ที่จะระบายออกมาเป็นคำพูด
ด้วยความเกรี้ยวกราดในตอนนี้ ต่อให้หลิงฮันถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้น ความโกรธของเขาก็ยังไม่จางหาย
“ติงเหยาหลง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้” จู่ๆสุนัขตัวดำก็กลับมา มันปรากฏตัวด้านหลังติงเหยาหลงและอ้าปากงับไปหนึ่งที
“อ้ากกกก” ติงเหยาหลงร้องโอดครวญ เขาคาดไม่ถึงว่าสุนัขตัวดำจะสามารถปรากฏตัวขึ้นโดยที่เขาไม่รู้สึกตัวได้ จึงไม่ได้ระวังตัวและถูกกัดเข้าเต็มๆ
ขนาดในตอนแรกที่สุนัขตัวดำยังไม่บรรลุเป็นนิรันดร์ มันก็ยังสามารถลอบกัดก้นของหานลู่ที่เป็นถึงนิรันดร์สี่นิพพานได้ ยิ่งตอนนี้มันบรรลุเป็นนิรันดร์แล้ว ต่อให้ติงเหยาหลงจะมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่าหานลู่ ก็ไม่สามารถตั้งรับการลอบกัดของสุนัขตัวดำได้
ปากของสุนัขตัวดำกัดไปที่เอวของติงเหยาหลง จนอีกฝ่ายเผลอแอ่นบั้นท้ายขึ้นหน้า
“จงรับไป ทักษะลับ ‘นายท่านหมาเด็ดลูกท้อ!’ ” สุนขตัวดำคาดการณ์เอาไว้แล้ว เมื่อบั้นท้ายของติงเหยาหลงแอ่นขึ้น มันก็รีบอ้อมไปด้านหน้าและยกเท้าเตะทิ่มทะลวงอย่างรุนแรง
‘แคร่ก’ เสียงของไข่สองลูกแตกดังขึ้น
ต่อให้ติงเหยาหลงจะเป็นนิรันดร์สี่นิพพาน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อถูกเตะไข่แตก
“อ้ากกกกกกก” ติงเหยาหลงร้องโอดครวญ ขาทั้งสองข้างของเขาหนีบเข้าหากัน พร้อมกับใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นซีดขาว
“กระบวนท่าของนายท่านหมามีสามท่า… กระบวนท่าสุดท้าย ‘ระเบิดรูทวาร!’ ” สุนัขตัวดำวนกลับไปด้านหลังติงเหยาหลงอีกครั้ง และใช้อุ้งเท้าหน้าเสียบทะลวงเข้าใส่บั้นท้าย
“โอกกกก” ติงเหยาหลงร้องโอดครวญด้วยความรู้สึกทรมานที่เกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
“แผนการลุล่วง ขอตัวก่อนล่ะ!” สุนัขตัวดำเผ่นหนีอีกครั้ง
หึ… คิดรึว่าคนอย่างมันจะใช้วิธีสู้กับศัตรูซึ่งๆหน้า?
ขาของติงเหยาหลงหนีบเข้าหากัน ในขณะที่ใช้มือข้างขึ้นจับบั้นท้ายเอาไว้ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้หลิงฮันเผลอระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่อาจห้ามใจไหว จากที่เห็นทักษะลับสามกระบวนท่าที่สุนัขตัวดำใช้ในวันนี้ เกรงกว่าอนาคตภายภาคหน้าเขาจะต้องระวังตัวให้มากเสียแล้ว
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ติงเหยาหลงเผลอหยุดควบคุมกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพราย เหล่าโครงกระดูกนับหมื่นที่ปรากฏออกมาสลายหายไปทันที
“ติงเหยาหลง!” เสียงคำรามดังขึ้น พร้อมกับร่างของประมุขตระกูลล้งได้ปรากฏตัวด้วยสีหน้าเย็นชา “ไม่นึกว่าตระกูลติงของเจ้าจะแอบสร้างอาวุธที่ชั่วร้ายเช่นนี้ขึ้นมา! ถึงว่าทำไมถึงมีเหตุการณ์ที่สมาชิกตระกูลล้งหายตัวไปอยู่เรื่อยมา ที่แท้ต้นเหตุก็คือเจ้านี่เอง!”
‘พรึบ’ ร่างอีกร่างหนึ่งปรากฏตัว ประมุขตระกูลต้วนเองก็มาเช่นกัน สายตาของเขาจ้องไปยังกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายด้วยสีหน้ามืดมน
“ติงเหยาหลง ข้าต้องการคำอธิบาย!” เขากล่าวอย่างเรียบง่าย แต่น้ำเสียงกลับหนักอึ้ง
จู่ๆติงเหยาหลงก็ถูกนิรันดร์สี่นิพพานที่ทรงพลังอีกสองคนกดดันอย่างไม่คาดฝัน
ทั้งสองคนไม่ใช่นิรันดร์สี่นิพพานทั่วไปอย่างหานลู่แต่เป็นอัจฉริยะ ถ้าเป็นต่อสู้ตัวต่อตัวยังพอว่า แต่หากทั้งสองคนร่วมมือกัน ต่อให้เป็นเขาก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างเลี่ยงไม่ได้! แต่ถึงอย่างไรหากเกิดการปะทะขึ้นมาจริงๆ แม้เขาจะบาดเจ็บหนักแต่เขาก็มั่นใจว่าต้องสังหารใครสักคนในสองคนนี้ได้แน่นอน
ติงเหยาหลงเค้นเสียงและกล่าว “ข้าจะทำอะไรแล้วจะทำไม? ไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าหากยังไม่อยากตาย!”
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องสังหารหลิงฮันในวันนี้
ติงเหยาหลงคำรามออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทั้งๆที่มือข้างหนึ่งจับก้นเอาไว้และขาทั้งสองข้างหนีบเข้าหากันอยู่
ถึงแม้ประมุขตระกูลต้วนและตระกูลล้งจะกำลังโมโหอยู่ แต่เมื่อได้เห็นสภาพของติงเหยาหลงในตอนนี้ ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของพวกเขาก็กระตุกไปมาเพราะพยายามกั้นหัวเราะ
ติงเหยาหลงที่เห็นเช่นนั้นก็ระเบิดโทสะออกมาทันที นิรันดร์สี่นิพพานที่มีสถานะทัดเทียมกับเขาถึงสองคน กำลังหัวเราะเยาะเขาราวกับเป็นตัวตลก!
“พวกเจ้าจงตายกันไปให้หมด!” เขาคำรามพร้อมกับกระตุ้นใช้งานกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายอีกครั้ง
ตอนที่ 1757 ปรมาจารย์ระดับแบ่งแยกวิญญาณ
กระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
หากอาวุธสามารถแบ่งออกเป็นระดับโลกียนิพพานสมบูรณ์กับระดับโลกียนิพพานทั่วไปได้ล่ะก็ กระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายชิ้นนี้ก็สมควรเป็นอาวุธระดับโลกียนิพพานที่สมบูรณ์ พลังของมันแข็งแกร่งถึงขนาดเทียบเท่านิรันดร์ที่ตัดนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีเลยด้วยซ้ำ
มันคือสมบัติที่ไร้เทียมทานในระดับเดียวกันอย่างแท้จริง แต่หากมันไม่ทรงพลังขนาดนี้แล้ว ตระกูลติงจะโง่ยอมเสียเวลาสร้างมันขึ้นมาทำไม?
ทันทีที่หมอกสีดำพรั่งพรูออกมา ประมุขตระกูลต้วนและประมุขตระกูลล้งก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว ทางด้านหลิงฮันและจักพรรดินีเองก็โคจรแสงอัสนีหลบหลีกออกจากรัศมีของหมอก
เหล่าภูติพรายโห่ร้องอย่างสยดสยองอยู่ท่ามกลางทะเลหมอก คลื่นเสียงของพวกมันก้องกังวาลและสั่นสะเทือนส่งผลกระทบไปถึงพวกหลิงฮัน จนรูทั้งเจ็ดบนใบหน้ามีโลหิตไหลออกมา
ช่างเป็นอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้!
คนที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆมีเพียงติงเหยาหลงที่ควบคุมกระดิ่ง ส่วนสุนัขตัวดำนั้น เนื่องจากมันหลบหนีไปไกลแล้วจึงไม่เป็นอะไร
หลิงฮันนั้นด้วยการที่มีกายหยาบที่ไร้เทียมทาน แถมดวงวิญญาณก็ยังถูกขัดเกลาด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ เพราะงั้นถึงแม้รูทั้งเจ็ดบนใบหน้าจะมีโลหิตไหลออกมา แต่เขาก็ยังต้านทานไหว ทางด้านจักรพรรดินีเองก็มีร่างแยกทั้งเก้าที่คอยแบ่งเบาความเจ็บปวด ในหกเดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน ร่างแยกทั้งเก้าได้ถูกสร้างกลับขึ้นมาใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ประมุขตระกูลต้วนและประมุขตระกูลล้งนั้นแทบไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร พวกเขาเป็นถึงนิรันดร์สี่นิพพาน หากต้องการจะสร้างความเสียหายให้พวกเขาด้วยคลื่นเสียงล่ะก็ อย่าคิดว่าจะทำได้ง่ายๆ
“จัดการ!” ประมุขตระกูลต้วนและประมุขตระกูล้งคำรามและทำการจู่โจมติงเหยาหลง ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมเป็นฝ่ายถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว
ติงเหยาหลงไม่ลงมือตอบโต้ด้วยตัวเองและควบคุมหมอกสีดำมาปกคลุมร่างกาย ด้วยวิธีการนี้ หากประมุขตระกูลต้วนและประมุขตระกูลล้งบุกมาโจมตีเขา ทั้งสองจะต้องถูกกักขังอยู่ภายในหมอกสีดำและได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน
“ทีแรกข้าคิดจะสังหารพวกเจ้าสองคนในอีกร้อยล้านปีข้างหน้า แต่ในเมื่อความลับเรื่องกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายถูกล่วงรู้แล้ว ข้าก็ขอใช้โอกาสนี้สังหารพวกเจ้าไปพร้อมๆกันเลยแล้วกัน!” ติงเหยาหลงกล่าวอย่างเย็นชา
ประมุขตระกูลต้วนและประมุขตระกูลล้งชะงักในใจ ทั้งสองไม่คาดคิดว่าตระกูลติงจะสร้างอาวุธที่ชั่วร้ายเช่นนี้ขึ้นมา แถมยังคิดจะใช้มันจัดการพวกเขาอีกด้วย
โชคดีที่พวกเขารับรู้เรื่องนี้ก่อน กระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายจึงยังสะสมความชั่วร้ายไม่พอที่จะทำให้เกิดทัณฑ์สวรรค์พิโรธอย่างแท้จริง ถึงแม้เมฆสายฟ้าจะก่อตัวรวมกัน แต่การลงทัณฑ์ก็ยังไม่เกิดขึ้น
ติงเหยาหลงใช้พลังของกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายกำราบประมุขระดับสี่นิพพานทั้งสอง และแบ่งพลังบางส่วนจู่โจมไปยังหลิงฮันกับจักรพรรดินี ในจังหวะเวลานี้ คนที่เขาต้องการสังหารมากที่สุดคือหลิงฮันเพียงคนเดียว
หากวันนี้หลิงฮันหลบหนีไปได้อีกครั้ง ตระกูลติงคงหนีไม่พ้นจุดจบ
หลิงฮันและจักรพรรดินีหลบหลีกการโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยแสงอัสนี หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพานแล้วปราณก่อเกิดของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าจนนับไม่ถ้วน เพราะงั้นต่อให้ใช้งานแสงอัสนีหลายครั้ง พวกเขาก็ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
ที่หลิงฮันยังไม่ตัดสินใจล่าถอยตั้งแต่แรกเป็นเพราะเขาต้องการรู้ว่าพลังของอาวุธชั่วร้ายชิ้นนี้จะทรงพลังขนาดไหน
ในครั้งหน้าที่กลับมาตระกูลติงอีกครั้ง เขาจะไม่มีวันหลบหนีอีกและจะบดขยี้ตระกูลติงให้สิ้นซาก
“ท่านประมุข!” ทันใดนั้นเอง จู่ๆเสียงอุทานของใครบางคนก็ดังขึ้นมา น้ำเสียงของเขาแฝงเอาไว้ด้วยความเกรี้ยวกราด
เจ้าของเสียงคือติงซง
เขารับหน้าที่ไปตระกูลหานเพื่อสะสางความบาดหมางและเพิ่งกลับมา โดยสิ่งแรกที่เขาพบเห็นหลังจากกลับมาถึงตระกูลก็คือ ภาพของวิหารบรรพบุรุษที่ถูกทำลายอีกแล้ว เพราะงั้นน้ำเสียงของเขาจึงเต็มไปด้วยความโกรธ สายตาติงซงมองไปยังหลิงฮัน และคาดเดาได้ทันทีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีสาเหตุมาจากตัวบัดซบผู้นี้
“นั่นน่ะรึหลิงฮัน?” ที่ด้านข้างติงซง มีบุรุษที่มีรูปลักษณ์อยู่ในช่วงราวๆสี่สิบปียืนอยู่ บุรุษผู้นี้สวมชุดดำลวดลายคล้ายใยแมงมุม ที่ทำให้คนที่มองมารู้สึกตาลายโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาของเขากวาดมองจักรพรรดินีหลายต่อหลายครั้งก่อนจะเผยสีหน้าตกตะลึง
“ขอตอบผู้อาวุโส รุ่นเยาว์ผู้นั้นคือตัวบัดซบหลิงฮัน!” ติงซงรีบกล่าวตอบอย่างสุภาพ
บุรุษชุดดำผู้นี้มีชื่อว่าหานหงเฟย ตัวตนระดับตัดวิญญาณหยางของตระกูลหาน
ถึงแม้ระดับตัดวิญญาณหยางจะเป็นขั้นพลังแรกเริ่มของระดับแบ่งแยกวิญญาณ แต่ความต่างชั้นกับระดับโลกียนิพพาน ก็เปรียบเสมือนกับความต่างของระดับสร้างสรรพสิ่งกับระดับโลกียนิพพาน
หานหงเฟยละสายตาจากจักรพรรดินี เขามองไปยังหลิงฮันพร้อมกับกล่าว “เจ้าจงฆ่าตัวตายซะ ส่วนสตรีผู้นั้นจงมาหาข้า”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเหมือนออกคำสั่ง
“ผู้อาวุโส ที่นี่คือเมืองธุลีจันทรา!” ประมุขตระกูลต้วนกล่าวทักท้วง
เหนือเมืองธุลีจันทราคือนิกายจันทราหม่นแสง และเหนือนิกายจันทราหม่นแสงคือตระกูลฟู่ ซึ่งเมืองเมืองนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ตระกูลหานจะทำอะไรได้ตามใจชอบ
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้า?” หานหงเฟยหันมองประมุขตระกูลต้วนด้วยแววตาเย็นชา และระเบิดออร่าของตัวตนระดับตัดวิญญาณหยางออกมาราวกับคลื่นยักษ์
ประมุขตระกูลต้วนกระอักโลหิตทันที ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นของระดับพลังระหว่างทั้งสองคน
ประมุขตระกูลล้งกำหมัดโดยไม่กล้าเถียง ในการเผชิญหน้ากับกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพราย เขายังปัดป้องและหลบหนีได้ แต่หากต้องเผชิญหน้ากับตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ เขาคงหนีไม่พ้นความตาย
“ผู้อาวุโส จะปล่อยให้เจ้าหนูนี่รอดชีวิตไม่ได้ ได้โปรดสังหารเขาให้ข้าด้วย!” ติงเหยาหลงเก็บกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพราย ในเมื่อตระกูลหานแทรกแซงเรื่องนี้โดยการส่งนิรันดร์ระดับตัดขาดวิญญาณหยางมาที่นี่ หลิงฮันจะต้องตายอย่างแน่นอน ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องลงมือเองอีกต่อไป
หานหงเฟยจดจ้องไปยังหลิงฮัน เขาเค้นเสียงทีหนึ่งก่อนที่จะยื่นมือออกไปหวังจะคว้าร่างของหลิงฮัน
‘ครืนนน’ ปราณก่อเกิดอันทรงพลังของระดับแบ่งแยกวิญญาณปะทุออกมา พลังทำลายของมันน่าสะพรึงกลัวเกินกว่าที่การโจมตีของนิรันดร์สี่นิพพานจะเทียบเคียง
“เฒ่าชราตัวเหม็น การกระทำของเจ้าจะนำพาภัยพิบัติไปสู่ตระกูลหาน! อีกไม่นานเกินรอ ข้าจะบุกไปยังตระกูลหานของเจ้าเพื่อสะสางหนี้แค้น!” หลิงฮันกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะโอบกอดร่างของจักรพรรดินี และหลบหนีเข้าสู่หอคอยทมิฬ
‘พรึบ’ ร่างของทั้งสองคนหายไปทันที
‘ตูมมม’ ฝ่ามือของหานหงเฟยที่ยื่นออกมาตกกระทบเข้าใส่วิหารบรรพบุรุษตระกูลติง วิหารบรรพบุรุษที่ก่อนหน้าที่ถูกทำลายไปเพียงครึ่งเดียว เมื่อถูกฝ่ามือนี้กระแทกเข้าใส่ก็แหลกสลายไม่เหลือซากในพริบตา
นี่คือความแข็งแกร่งของตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ!
มุมปากของติงเหยาหลงกระตุกไปมา เขารู้สึกราวกับวิญญาณของเหล่าบรรพบุรุษกำลังจะลุกคลานออกมาจากหลุมศพเพื่อสาปแช่งเขา
ตอนที่ 1758 คำเชิญชวนของสุนัขตัวดำ
หานหงเฟยตามหาร่องรอยของหลิงฮันกับจักรพรรดินีแต่ก็ลงเอยด้วยความล้มเหลว
เรื่องนี้ทำให้หลิงฮันตระหนักได้ว่า อย่างน้อยตัวตนในระดับแบ่งแยกวิญญาณก็ยังไม่สามารถตรวจพบหอคอยทมิฬได้ เมื่อลองนึกดูให้ดี ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเพลิงอัสนีเองก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆต่อหอคอยทมิฬเช่นกัน บางทีหอคอยทมิฬอาจจะเป็นที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยไปจนถึงระดับขอบเขตตำหนักอมตะ
แต่หากพบเจอปรมาจารย์ที่ทรงพลังกว่านั้น เขาต้องระมัดระวังตัวให้ดี เพราะหอคอยน้อยเคยกล่าวเตือนซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งว่า ตัวตนระดับราชานิรันดร์สามารถตรวจเจอหอคอยทมิฬได้
หานหงเฟยโมโหเป็นอย่างมาก นิรันดร์ระดับตัดขาดวิญญาณหยางอย่างเขาคว้าน้ำเหลวงั้นรึ?
เขาไม่ได้เพียงต้องการจับตัวหลิงฮันเพราะศักดิ์ศรีของตระกูลหานที่ถูกล่วงเกินเพียงอย่างเดียว แต่เขายังต้องการช่วงชิงวาสนาที่หลิงฮันครอบครองอยู่ด้วยเช่นกัน วาสนาที่อยู่กับหลิงฮันเป็นไปได้ว่าจะเป็นทักษะระดับราชานิรันดร์ เพราะงั้นหากไม่ใช่เพราะตระกูลหานไม่ต้องการดึงดูดความสนใจของขุมอำนาจที่ทรงพลังอื่นๆ พวกเขาคงส่งตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะมาที่นี่แล้ว
หานหงเฟยไม่คิดจะยอมแพ้และทำการขุดหลุมค้นหาลึกไปยังใต้ดิน เขาไม่เชื่อว่าหลิงฮันจะมีความสามารถหรือทักษะลับในการเคลื่อนย้ายข้ามมิติหายตัวไปต่อหน้าต่อตาของเขา ด้วยเหตุนี้วิหารบรรพบุรุษตระกูลติงจึงพังทลายอย่างสมบูรณ์จากการขุดของหานหงเฟย
ในตอนแรกนั้น วิหารบรรพบุรุษตระกูลติงยังพอสร้างขึ้นใหม่ได้จากซากปรักหักพัง แต่ตอนนี้หานหงเฟยได้ทำให้ทุกอย่างหายไปเหลือแต่เพียงความว่างเปล่าเป็นที่เรียบร้อย
ใบหน้าของติงเหยาหลงเปลี่ยนเป็นมืดมนแต่ก็ไม่กล้าทักท้วงอะไรและทำได้เพียงสาปแช่งหลิงฮัน
หานหงเฟยขุดทำลายทุกอย่างทั้งบนและใต้พื้นดินจนน้ำพุบาดาลไหลทะลักออกมา ณ เวลานี้วิหารบรรพบุรุษได้แปรสภาพกลายเป็นทะเลสาปขนาดย่อมไปแล้ว ซึ่งหานหงเฟยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้
ไม่ว่าตรวจสอบอย่างไรเขาหาตัวเจ้าหนูนั่นไม่เจอ
หรืออีกฝ่ายจะใช้ทักษะเคลื่อนย้ายข้ามมิติหลบหนีไปต่อหน้าต่อหน้าเขาได้จริง?
บางทีทักษะนั่นอาจจะเป็นทักษะระดับราชานิรันดร์?
ใบหน้าของหานหงเฟยสั่นสะท้านก่อนที่ดวงตาจะแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉานด้วยความโลภ
หลิงฮันมีพลังบ่มเพาะห่างจากเขาถึงหนึ่งระดับใหญ่และสี่ขั้นย่อย หากทักษะที่ว่าสามารถทำให้อีกฝ่ายหลบหนีไปจากเขาได้ทั้งๆที่พลังบ่มเพาะต่างกันขนาดนี้จริงๆล่ะก็ ความล้ำค่าของทักษะนั่นย่อมล้ำค่าหาสิ่งใดเปรียบ
หากเขาได้ครอบครองมัน ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่ต้องหวาดกลัวตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะเลยหรอกรึ?
เมื่อคิดเช่นนั้น หานหงเฟยจึงไม่ล้มเลิกความตั้งใจและอาศัยอยู่ในตระกูลต่อ ไม่ว่าอย่างไรจอมยุทธระดับนิรันดร์ก็มีอายุขัยไม่จำกัดอยู่แล้ว เขาเดิมพันว่าหลิงฮันอาจจะหนีไปไหนได้ไม่ไกลและยังอยู่ในอาณาเขตระแวกนี้ จากการที่เขาตรวจไม่พบการผันผวนของชั้นมิติ บางทีหลิงฮันคงไม่ได้หลบหนีผ่านช่องว่างมิติไปไหน แต่อาศัยอยู่ในช่องว่างมิติที่สร้างขึ้นมาชั่วคราว
และด้วยการที่หานหงเฟยอาศัยอยู่ในตระกูลติง ทางตระกูลต้วนและตระกูลล้งจึงไม่กล้านำทัพบุกมาโจมตี ทั้งสองตระกูลตัดสินใจส่งสมาชิกตระกูลไปรายงานเรื่องกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายกับนิกายจันทราหม่นแสงแทน ไม่ว่านิกายจันทราหม่นแสงจะเลือกลงมือหรือไม่ พวกเขาไม่อาจยอมให้อาวุธที่ชั่วร้ายเช่นนี้ถูกนำมาใช้งานอีกครั้ง
หลิงฮันหลบอยู่ในหอคอยทมิฬอยู่หลายวันก่อนจะแอบออกมาอย่างเงียบเฉียบ เขาทำการปกปิดออร่าของตนเองเอาไว้ ซึ่งต่อให้เป็นตัวตนระดับแบ่งแบกวิญญาณก็ยากที่จะตรวจพบเจอเขา นอกเสียจากว่าจะอยู่ในระยะที่ใกล้ชิด
“ฮันน้อย เจ้าช่วยมากับนายท่านหมาหน่อย” หลิงฮันก้าวเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ จู่ๆสุนัขตัวดำก็ปรากฏตัว มันยืนด้วยขาหลังเพียงสองข้าง และใช้ขาหน้ากอดไหล่หลิงฮันราวกับมิตรสหายคนสนิท
หลิงฮันมีท่าทีระมัดระวังตัวทันที สุนัขตัวดำนั้นเป็นจอมเจ้าเล่ห์ที่ไม่อาจเชื่อใจได้
“มีธุระอะไร?” เขากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“นายท่านหมาบังเอิญพบเจอโบราณสถานลึกลับที่เต็มไปด้วยสมุนไพรมากมาย เจ้าสนใจไปสำรวจกับข้าหรือไม่?” สุนัขตัวดำเอ่ยถาม
หลิงฮันตอบกลับด้วยความสงสัย “คนอย่างเจ้ามีด้วยรึที่ไม่เก็บของดีไว้คนเดียว?”
“เจ้าคิดว่านายท่านหมาเป็นคนอย่างไร?” สุนัขตัวดำเผยสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม “นายท่านหมาอุตส่าห์คิดถึงเจ้าเป็นคนแรก แต่เจ้ากลับสงสัยนายท่านหมางั้นรึ? ข้านี่ช่างมีตาหามีแววไม่จริงๆที่ดันไปเชื่อใจเจ้า บลาๆๆ…”
หลิงฉันเผยสีหน้าเหยียดหยามและกล่าว “ยิ่งเจ้าเล่นใหญ่ข้าก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก”
สุนัขตัวดำเลิกพล่ามไร้สาระและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่นึกว่าเจ้าจะรู้จักนิสัยข้าดีขนาดนี้ ในอนาคตการจะหลอกอะไรเจ้าคงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว”
“ความจริงแล้วคือโบราณสถานที่ข้าพบนั้นค่อนข้างมีอันตรายอยู่บ้าง นายท่านหมาจึงอยากยืมมือเจ้าเสียหน่อย” สุนัขตัวดำเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลิงฮันยังคงไม่ละความสงสัย เขาเชื่อไม่ลงว่าสุนัขตัวดำจะยอมเล่าความจริงออกมาง่ายๆ
แต่ถึงแม้สุนัขตัวดำจะมีนิสัยเจ้าเล่ห์ มันก็ไม่เคยประสงค์ร้ายกับเขามาก่อน
“อืม ถ้างั้นก็ไปกันเลย” หลิงฮันพยักหน้า หากเขาได้ครอบครองสมุนไพรระดับนิรันดร์ พลังบ่มเพาะของเขาก็จะยกระดับเร็วยิ่งขึ้น และหากเขาบรรลุเป็นนิรันดร์สองนิพพานแล้ว เขาจะมีพลังต่อสู้ที่สามารถสังหารสมาชิกตระกูลติงได้ทุกคน ยกเว้นติงเหยาหลง
“ข้ากะไว้แล้วว่าคนนิสัยเหมือนโจรเช่นเจ้าจะต้องตอบตกลง” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
รุ่นเยาว์หนึ่งคนกับสุนัขหนึ่งตัวเดินมายังป่าทึบ สุนัขตัวดำนำแร่โลหะหลากชิ้นออกมาโดยจัดเรียงเป็นรูปร่างเหมือนของแท่นบูชา
แร่โลหะที่มันนำออกมาไม่ใช่แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นแร่โลหะกึ่งนิรันดร์!
หลิงฮันชะงักและเกิดความคิดอยากจะช่วงชิงขโมยแร่โลหะเหล่านั้นมาให้ดาบอสูรนิรันดร์ดูดกลืนเสียเหลือเกิน แต่ทันใดนั้นเขาก็ต้องเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าดำน้อย พวกเราไม่ได้จะไปโบราณสถานกันหรอกรึ?”
“เห้อ นี่เจ้าคิดจะเสียเวลาเดินทางด้วยขาตัวเองงั้นรึ? หากจะไปที่นั่น ต่อให้เป็นข้าที่เคลื่อนที่ข้ามมิติได้ก็ยังต้องใช้เวลาหลายสิบวันหรืออาจจะครึ่งเดือน” สุนัขตัวดำกล่าวอย่างดูถูก “เจ้าช่างไม่เข้าใจอะไรเลยฮันน้อย นายท่านหมากำลังติดตั้งรูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายอยู่”
หลิงฮันกล่าวอย่างตกตะลึง “เจ้าสามารถสร้างรูปแบบอาคมได้ด้วยรึ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ตัวข้าในอดีตน่ะ… ” สุนัขตัวดำจู่ๆก็หยุดมือกลางคัน และใช้กรงเล็บเกาก้นด้วยท่าทางสับสน “ตัวข้าในอดีตมันทำไมรึ? ช่างแปลกประหลาดนัก ดูเหมือนข้าจะสูญเสียความทรงจำไปหลายส่วน”
หลิงฮันก็รู้สึกแบบเดียวกัน สุนัขตัวดำนั้นต้องมีพื้นเพที่ไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะในขณะที่มันยังมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับสร้างสรรพสิ่ง มันกลับสามารถลอบกัดก้นของนิรันดร์สี่นิพพานอย่างหานลู่ได้
การที่จะลอบจู่โจมนิรันดร์สี่นิพพานโดยที่ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวนั้น ต่อให้เป็นเขาในตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้
“ฮึ่ม นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก!” สุนัขตัวดำหงุดหงิดอยู่สักพักก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์กลับมายิ้มเจ้าเล่ห์ “เอาเถอะ พวกเราไปปล้นชิงโบราณสถานให้ว่างเปล่ากันดีกว่า”
สุนัขตัวดำใช้เวลาเตรียมการอยู่นานก็สร้างแท่นบูชาขนาดเล็กเสร็จสิ้น มันขึ้นไปยืนบนแท่นบูชากับหลิงฮันและพึมพำบทพูดอะไรบางอย่างออกจากปาก
หลิงฮันพยายามท่องตาม แต่ก็ต้องรู้สึกตกตะลึงเมื่อพบว่าเขาไม่สามารถจดจำคำพูดใดๆของสุนัขตัวดำได้แม้แต่คำเดียว!
ครืนนน พริบตาหลังจากท่องบทพูด แท่นบูชาก็ส่องแสงสว่างออกมาโอบล้อมร่างของหลิงฮันและสุนัขตัวดำเอาไว้ แท่นบูชาสั่นสะท้านเบาๆพร้อมกับร่างของหลิงฮันและสุนัขตัวดำที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตอนที่ 1759 สวนสมุนไพร
พวกหลิงฮันมาถึงป่าแห่งหนึ่งที่มีทิวทัศน์เป็นสีเหลือง ลำต้นและใบของต้นไม้โดยรอบมีขนาดหนากว่าปกติ แต่ความสูงพวกมันกลับเตี้ยกว่าต้นไม้ทั่วไป ราวกับว่าแดดส่องลงมาไม่ทั่วถึง
“ฮันน้อย เจ้ามัววอกแวกมองอะไรอยู่ได้ รีบมากับนายท่านหมาเร็ว” สุนัขตัวดำก้าวเดินด้วยท่าทางลับๆล่อๆ “แล้วก็อย่าได้ส่งเสียงล่ะ”
หลิงฮันขมวดคิ้วและกล่าว “ไม่ใช่เจ้าบอกว่าพวกเราจะไปโบราณสถานรึไงกัน? นี่พวกเรายังไม่ถึงถึงจุดหมายเลยแท้ๆ ทำไมต้องระมัดระวังตัวขนาดนั้นด้วย?”
“ฮึ่ม ใครบอกเจ้ากันว่ายังไม่ถึงโบราณสถานแล้วจะทำตัวเอ้อระเหยได้?” สุนัขตัวดำกล่าวโดยไม่หันกลับมามอง “โบราณสถานที่พวกเรากำลังจะไปถูกคนกลุ่มหนึ่งครอบครองอยู่ หากพวกเราไม่ระวังตัวให้ดีย่อมไม่สามารถลอบเข้าไปได้”
“ถูกครอบครองโดยผู้ใดกัน?” หลิงฮันเอ่ยถาม สุนัขตัวดำนั้นเชื่อถือไม่ได้อย่างแท้จริง แม้มันอาจจะพูดความจริง แต่ก็ต้องปิดบังข้อมูลบางอย่างที่สำคัญเอาไว้แน่ๆ
“ยังไงพวกเราก็จะขโมยอยู่แล้ว เจ้าจะไปสนใจทำไมว่าเป็นของใคร?” สุนัขตัวดำกล่าวปัดความรับผิดชอบ
หลิงฮันเหงื่อไหลด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล แต่เมื่อคิดว่าแต่เดิมแล้วโบราณสถานที่ว่าเองก็เคยไม่มีเจ้าของมาก่อน เขาก็พอจะลดความรู้สึกผิดในใจได้บ้าง และยอมเดินตามสุนัขตัวดำไป
หลังจากเดินไปได้สักพัก สุนัขตัวดำก็นำพามาถึงพุ่มไม้แห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อขยับพุ่มไม้ออกก็ได้ปรากฏหลุมลึกอยู่ด้านล่าง รูปร่างของหลุมนี้ดูแล้วเหมือนหลุมที่สุนัขชอบขุดอยู่พอสมควร
หลิงฮันกล่าวด้วยสีหน้ารังเกียจ “เจ้าคงไม่ได้จะให้ข้าลงไปในหลุมสุนัขนี้หรอกนะ?”
“หลุมสุนัขมันทำไม? เจ้ากล้าดูถูกนายท่านหมางั้นรึ?” สุนัขตัวดำกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดและแยกเขี้ยวใส่หลิงฮัน
หลิงฮันนำขาไก่ออกมาพร้อมกับยัดเข้าไปในปากของสุนัขตัวดำเพื่อปิดปากและกล่าว “ข้าจะเชื่อใจเจ้าได้แน่รึเปล่า? โบราณสถานแห่งไหนกันจะมีทางเข้าแบบนี้?”
“ฮึ่ม ที่ประตูทางเข้าหลักมีทหารยามเฝ้าอยู่แน่นหนา หากไม่ใช้เส้นทางนี้พวกเราจะลอบเข้าไปได้อย่างไร?” สุนัขตัวดำเคี้ยวขาไก่ที่อยู่ในปาก “ว่าแต่เจ้ามีขาไก่อีกไหม ถ้ามีนายท่านหมาขออีกสักอันสิ”
“จัดการธุระตรงหน้าให้เสร็จก่อน!” หลิงฮันปฏิเสธ
สุนัขตัวดำมุดลงหลุมไปเป็นคนแรก หลุมนี้เป็นสิ่งที่มันขุดขึ้นมาเพราะงั้นจึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไร
หลิงฮันเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากย่อตัวมุดลงหลุมตามไป
หลุมสุนัขเชื่อมต่อเป็นทางที่ยาวมาก หลังจากมุดอยู่เป็นเวลาถึงสองวัน ในที่สุดร่างของสุนัขตัวดำก็หยุดคลานและปรากฏกำแพงทางตันที่ตรงหน้า
กำแพงที่ปรากฏนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก พื้นผิวของมันดูราวกับเป็นภาพวาดที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนสีไปมาอย่างต่อเนื่อง
“นี่คือรูปแบบอาคมป้องกันของโบราณสถาน เดี๋ยวนายท่านหมาจะถอดรูปแบบอาคมให้เอง” สุนัขตัวดำกล่าวโอ้อวด “ในโลกนี้รูปแบบอาคมที่สามารถปิดกั้นนายท่านหมาได้นั้น แทบจะไม่มีอยู่!”
“เจ้าก็อย่าได้นิ่งเฉย มาเป็นลูกมือให้นายท่านหมาด้วย”
แม้หลิงฮันจะยังไม่สามารถสร้างรูปแบบอาคมระดับนิรันดร์ได้ แต่เขาก็พอมีความเข้าใจในรูปแบบอาคมอยู่บ้าง เพียงแค่มองดูการเคลื่อนไหวของอุ้งเท้าสุนัขตัวดำ หลิงฮันก็พอคาดเดาได้แล้วว่าทักษะรูปแบบอาคมของมันยอดเยี่ยมขนาดไหน
“อะไร เหตุใดเจ้าถึงเอาแต่มองข้าอยู่นานสองนาน?” สุนัขตัวดำหันมองหลิงฮันในขณะที่อุ้งเท้าหน้ายังคงขยับอยู่
“ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่คิดว่าในอนาคตข้าควรจะสร้างห้องสมบัติของตัวเองดีรึเปล่า” หลิงฮันกล่าว
“ถ้าเรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ของนายท่านหมาเอง นายท่านหมาจะสร้างห้องสมบัติที่ปลอดภัยที่สุดในโลกให้แก่เจ้า” สุนัขตัวดำกล่าวอย่างมั่นใจ
“ปลอดภัยแม้แต่กับตัวเจ้าเองด้วย?” หลิงฮันถาม
“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร!” สุนัขตัวดำเค้นเสียงฮึดฮัด “รูปแบบอาคมที่ข้าสร้างขึ้นจะป้องกันการบุกรุกของตัวข้าเองได้ไงกัน?”
หลิงฮันถอนหายใจ “สิ่งที่ข้าอยากป้องกันที่สุดก็คือเจ้านั่นล่ะ”
“โฮ่ง นี่เจ้าไม่เชื่อใจข้าขนาดนั้นเลยรึ!” สุนัขตัวดำแยกเขี้ยวอย่างไม่สบอารมร์ เพียงแต่ว่าอุ้งมือของมันกำลังแก้รูปแบบอาคมอยู่ จึงไม่สามารถขยับมาทะเลาะกับหลิงฮันได้
ครืนนน ทันใดนั้นเองช่องว่างรูปร่างเหมือนกับแอ่งน้ำวนก็ปรากฏขึ้นบนกำแพงรูปแบบอาคม
“รีบเข้าไปเร็ว!”
หลิงฮันและสุนัขตัวดำพุ่งกระโดดเข้าช่องว่างพร้อมกัน
ร่างของทั้งสองปรากฏตัวอีกครั้งที่สวนสมุนไพรแห่งหนึ่ง ที่มีแปลงสมุนไพรระดับศักดิ์สิทธิ์เรียงรายอยู่มากมาย หากจอมยุทธระดับต่ำกว่านิรันดร์มาเห็นที่นี่เข้า พวกเขาจะต้องตกตะลึงจนลืมหายใจเป็นแน่
หลิงฮันนำจักรพรรดินีออกมาจากหอคอยทมิฬ
“โฮ่ๆ ช่างเป็นสตรีที่งดงามเหมือนเคย!” สุนัขตัวดำแกว่งอุ้งเท้าไปมาโดยที่ไม่กล้าผลีผลามล่วงเกินใดๆ ต่อหน้ากลิ่นอายอันสูงส่งของจักรพรรดินี ไม่ว่าใครก็ย่อมรู้สึกหวั่นเกรง
“ถึงแม้ที่นี่จะเป็นสวนสมุนไพร แต่สมุนไพรระดับสูงสุดที่ปลูกเอาไว้ก็เป็นแค่สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบ” หลิงฮันกวาดสายตามอง สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นสมุนไพรนิรันดร์
“อดใจรอหน่อย!” สุนัขตัวดำกล่าว “เจ้าคิดว่าสมุนไพรนิรันดร์เป็นกระหล่ำปีที่พบเห็นได้ทั่วไปรึไงกัน? ต่อให้เป็นขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ก็ไม่สามารถปลูกสมุนไพรระดับนั้นได้มากมายนัก สมุนไพรระดับนั้นหากปลูกได้มากกว่าสิบต้นก็ถือว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว”
“แล้วที่นี่มีงั้นรึ?” หลิงฮันเอ่ยถาม
“จากการคาดคะเนของข้า ที่นี่สมควรมีอยู่สักต้นสองต้น” สุนัขตัวดำคาดเดา
ทั้งสามทำการเดินสำรวจแปลงสมุนไพร เมื่อใดที่พบเห็นสมุนไพรที่สุกงอกเต็มที่ หลิงฮันจะเก็บเกี่ยวเข้าไปในหอคอยทมิฬทันที แม้สำหรับเขาในตอนนี้ สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์จะไม่มีประโยชน์เท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยพวกมันก็พอจะช่วยเรื่องสะสมพลังปราณให้กับเขาได้
สถานที่แห่งนี้มีสวนสมุนไพรมากกว่าหนึ่งแห่ง เมื่อพวกเขาเก็บเกี่ยวสวนแห่งแรกเสร็จ ทั้งสามก็เดินหน้าไปยังสวนต่อๆไป ซึ่งในระหว่างทางนั้นเอง พวกเขาดันพบเจอชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง กำลังดูแลสมุนไพรอยู่อย่างไม่คาดคิด
ตอนที่ 1760 เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิต
‘ปัง’ หลิงฮันรีบลงมือตบหน้าของชายวัยกลางคนให้สลบทันที
สายตาของเขาชำเลืองมองมายังสุนัขตัวดำและกล่าว “สุนัขชั่ว เจ้าหลอกข้าอีกแล้ว ที่นี่ไม่ใช่โบราณสถานแต่เป็นสวนสมุนไพรของขุมอำนาจสักแห่ง!”
คนที่เขาทำให้หมดสติไปคือคนดูแลสมุนไพรไม่ผิดแน่ เนื่องจากเมื่อครู่เขาเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังชี้นำอำนาจของสวรรค์และปฐพีมายังต้นสมุนไพร
สุนัขตัวดำเหล่ตามองพร้อมกับกล่าว “นับว่าเจ้าฉลาดไม่น้อยที่รู้เรื่องนี้เร็วขนาดนี้ นายท่านหมาขอนับถือ”
หลิงฮันไร้คำพูดใดจะกล่าว
“ไม่ว่าอย่างไรมือของเจ้าก็แปดเปื้อนไปกับข้าแล้ว จะหันหลังกลับตอนนี้ก็ถือว่าสายเกินไป” สุนัขตัวดำกล่าวอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “เอาล่ะ ไปตามหาสมุนไพรนิรันดร์กันดีกว่า”
หลิงฮันถอนหายใจก่อนจะกล่าว “ไปก็ไป” เขาลงมาอยู่บนเรือของโจรแล้ว เพราะงั้นไม่ว่าจะถอนตัวหรือไม่เขาก็ยังถือว่าเป็นโจรอยู่ดี จักรพรรดินีไม่สนใจใดๆ ในความคิดของนางนั้น ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนแต่เป็นของนาง หลิงฮันเองก็เป็นบุรุษของนาง เพราะงั้นหากเขาต้องการช่วงชิงอะไรก็ย่อมทำได้
ทั้งสามเดินหน้าเก็บเกี่ยวสมุนไพรต่อ ระหว่างทางหากพวกเขาพบเจอคนดูแลสมุนไพร พวกเขาก็จะซัดคนเหล่านั้นให้หมดสติทันที
พวกหลิงฮันเดินตามเส้นทางไปเรื่อยๆเป็นเวลาสองวันจนมาพบกับกวางน้อยตัวหนึ่ง กวางที่พวกเขาพบเห็นนั้นมีความสูงราวๆสามนิ้วเท่านั้น ซึ่งนับว่าเล็กเป็นอย่างมาก ร่างของกวางตัวนี้ไร้สีจนแทบจะโปร่งใส ภายในร่างกายของมันไม่ปรากฏอวัยวะภายในใดๆ แต่กลับมีเมล็ดพันธุ์อยู่แทน
“เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิต!” หลิงฮันอุทานออกมา
กวางที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่กวางจริงๆ แต่เป็นสมุนไพรนิรันดร์ที่เรียกว่าเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิต
เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตเป็นสมุนไพรนิรันดร์ที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก ในช่วงชีวิตของมันจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เจ็ดครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งรูปลักษณ์ของมันจะแปรเปลี่ยนแตกต่างกันไป อย่างเช่นในตอนนี้รูปลักษณ์ของมันคือกวาง
เมื่อใดที่เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตแปรเปลี่ยนไปมีรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมัน นั่นหมายถึงมันเติบโตเต็มที่พร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว เพียงแต่ว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่อยู่ภายในร่างของมันนั้นจะแตกต่างออกไป โดยขึ้นอยู่กับว่าที่ผ่านๆมามันเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นอะไรมาบ้าง ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่มันอยู่
เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตที่มีรูปลักษณ์ของกวางน้อยหันมามองหลิงฮันและกล่าว “เจ้าหนูตัวเหม็น เจ้ากล้าดีอย่างไรมามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น? ระวังตัวไว้เถอะ เดี๋ยวข้าจะระเบิดรูทวารเจ้า!”
นี่มัน…
หลิงฮันรู้สึกอยากจะร้องไห้ เหตุใดสิ่งที่เขาพบเจอถึงไม่เคยมีอะไรที่ปกติเลย?
“สมุนไพรนิรันดร์ จงเข้ามาอยู่ในปากของนายท่านหมาเดี๋ยวนี้!” สุนัขตัวดำแววตาส่องประกายและพุ่งเข้าหาเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิต
“หมาโง่ นี่เจ้าไม่ได้ล้างปากมากี่ร้อยล้านปีกัน จมูกข้าจะพังเพราะกลิ่นปากของเจ้าแล้ว!” กวางน้อยเผยสีหน้ารังเกียจก่อนจะสับขาเผ่นหนีอย่างรวดเร็ว
หลิงฮัน จักรพรรดินี และสุนัขตัวดำรีบไล่ตามกวางน้อยไป
‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ทั้งสามเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง หลิงฮันและจักรพรรดินีนั้นมีทักษะย่างก้าวอย่างแส่งอัสนี ส่วนสุนัขตัวดำก็เชี่ยวชาญการเคลื่อนที่ข้ามมิติ
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนที่ได้รวดเร็วเพียงใด ก็ยังไม่สามารถไล่ตามกวางน้อยทันอยู่ดี
นั่นเป็นเพราะสมุนไพรนิรันดร์ต้นนี้มีความสามารถที่แปลกประหลาด บริเวณใดก็ตามที่มันวิ่งผ่าน จะมีเถาวัลย์งอกยาวขึ้นมาขวางกั้นพวกหลิงฮันเอาไว้ ทำให้กวางน้อยมีเวลามากพอที่จะสร้างระยะห่างกับทั้งสามคน
“เป็นเพียงแค่ขยะไร้ค่า แต่คิดจะกินข้าผู้นี้งั้นรึ? อย่างพวกเจ้าน่ะ กินเศษดินใต้เท้าข้าไปก่อนดีกว่า!” ในขณะที่กำลังเผ่นอยู่ กวางน้อยได้หันหน้ามาด้านหลังและทำท่าทางเยาะเย้ย
จักรพรรดินีเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก นางยกมือขึ้นและผลักฝ่ามือจู่โจมออกไป ‘ครืน’ พริบตานั้นปราณดาบอันทรงพลังก็แผ่พุ่งสยายไปทั่วผืนดินและท้องฟ้า
กวางน้อยที่เห็นการโจมตีที่พุ่งเข้ามา ก็รู้สึกหวาดผวาจนเผลอปล่อยหยดสมุนไพรออกมาจากร่างกาย สีหน้าของมันแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
ปกติแล้วไม่ว่าใครก็ตามที่พบเห็นสมุนไพรล้ำค่าเช่นมัน ทุกคนจะไล่ตามจับมันเพียงอย่างเดียวโดยไม่กล้าผลีผลามโจมตี เพราะกลัวจะทำให้สมุนไพรนิรันดร์เกิดความเสียหาย
หลิงฮันกวาดสายตาและรีบเก็บหยดสมุนไพรที่เมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตปล่อยออกมาใส่ขวดหยกอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาเผยถึงความรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เนื่องจากว่าหยดสมุนไพรที่เขาเก็บได้นั้น เป็นหยดสมุนไพรที่เล็ดรอดออกมาจากก้นของกวางน้อย
เขาอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ว่า เหตุใดชีวิตของเขาถึงได้พบเจอแต่เรื่องแปลกประหลาดกัน?
“ยอมแล้ว! ข้ายอมแล้ว!” กวางน้อยร้องโอดครวญ “ถ้าพวกเจ้าอยากได้สมุนไพรนิรันดร์ล่ะก็ ข้าจะมอบชิ้นส่วนบางส่วนให้ ได้โปรดอย่าสังหารข้าเลย!”
มันหวาดกลัวความตายเป็นอย่างมาก
หลิงฮันครุ่นคิดในใจก่อนจะกล่าว “พวกเราก็ไม่ต้องการทำให้เจ้าบาดเจ็บ ทางที่ดีเจ้ามาอยู่กับข้าดีกว่า ข้าเองก็มีสวนสมุนไพรที่เจ้าสามารถอาศัยอยู่ได้อย่างเพลิดเพลินเช่นกัน”
“หน้าตาของเจ้าดูไม่ใช่คนดีเลยแม้แต่น้อย หากคิดจะหลอกข้าล่ะก็ ยังเร็วไปพันปี!” กวางน้อยเผยสีหน้าเหยียดหยาม
“ฮึ่ม” จักรพรรดินีเผยสีหน้าเย็นชาพร้อมกับยกฝ่ามือขึ้น
“นะ แน่นอน ข้ายินดีไปอยู่กับเจ้า!” กวางน้อยเปลี่ยนท่าทีเป็นว่าง่ายอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะหันไปมองสุนัขตัวดำและกล่าว “หมอนี่เป็นญาติของเจ้ารึเปล่า?”
สุนัขตัวดำใช้อุ้งมือล้วงไปเกาก้นและกล่าว “เป็นไปได้!”
“เป็นไปได้น้องสาวเจ้าน่ะสิ ข้าไม่มีญาติหน้าตาอัปลักษณ์เช่นเจ้า!” ความสามารถในการยั่วยุผู้อื่นของกวางน้อยไม่เป็นสองรองใคร มันเริ่มพูดจาชวนสุนัขตัวดำทะเลาะ
“โฮ่ง อย่าได้ห้ามข้า นายท่านหมาจะเขมือบสมุนไพรปากดีตนนี้ไม่ให้เหลือ!” หากไม่ใช่เพราะหลิงฮันดึงหางมันไว้อยู่ มันคงพุ่งทะยานกลืนสมุนไพรปากดีตรงหน้าลงท้องไปแล้ว
“เลิกไร้สาระกันได้แล้ว” หลิงฮันนำเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตเข้าสู่หอคอยทมิฬ
“อะไรกัน ท่านบรรพบุรุษ!” กวางน้อยตกตะลึงอย่างมากเมื่อได้เห็นต้นสังสารวัฏ มันเดินเข้าไปใกล้และใช้หน้าถูกับลำต้นของต้นสังสารวัฏอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “มีบางอย่างไม่ถูกต้อง พฤษาต้นกำเนิดต้นนี้เติบโตขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่เหตุใดถึงยังไม่มีสติปัญญากัน? ราวกับว่ามันเพิ่งมีอายุเพียงแค่ร้อยปีเท่านั้น”
การคาดเดาของกวางน้อยถูกต้องเป็นอย่างมาก ต้นสังสารวัฎนั้นถูกเร่งให้เติบใหญ่ด้วยความสามารถของหอคอยทมิฬ หากนับอายุที่แท้จริงของมันตั้งแต่ถูกปลูกแล้วล่ะก็ อายุของมันน้อยกว่าหลิงฮันด้วยซ้ำ
หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยถามหอคอยน้อยผ่านห้วงจิตวิญญาณ “ต้นสังสารวัฏเองก็เป็นต้นกำเนิดของสวรรค์และปฐพี?”
ตอนที่ 1761 บ่อน้ำนิรันดร์
“ไม่ผิด” หอคอยน้อยพยักหน้าตอบ “เพียงแต่ว่าพฤกษาต้นกำเนิดต้นนี้ถูกเร่งให้เติบโตด้วยพลังของข้า แก่นกำเนิดพลังของมันจึงยังไม่ถึงเวลาที่จะถูกสร้างขึ้น”
“ต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด?” หลิงฮันถาม
“อีกร้อยล้านปีเป็นอย่างน้อย” หอคอยน้อยกล่าว
หลิงฮันส่ายหัวทันที ร้อยล้านปีเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกินไป บางทีการตามหาต้นสังสารวัฏต้นอื่นอาจจะรวดเร็วเสียกว่า
แต่จะอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนกวางน้อยเมฆาสวรรค์เจ็ดชีวิตจะพึงพอใจกับสภาพแวดล้อมภายในหอคอยทมิฬเป็นอย่างมาก และยอมตกลงที่จะมอบหยดสมุนไพรนิรันดร์ให้กับหลิงฮันทุกๆพันปี
“ได้สมุนไพรนิรันดร์มาแล้ว งั้นพวกเราก็ไปจากที่นี่กันเถอะ” หลิงฮันเอ่ยกล่าว
“ฮันน้อย เจ้าช่างตาต่ำยิ่งนัก แค่สมุนไพรนิรันดร์เพียงต้นเดียวจะไปเพียงพออะไร?” สุนัขตัวดำแสยะยิ้ม “ที่นี่ยังมีห้องสมบัติอยู่อีกหลายแห่ง เจ้าไม่อยากได้อุปกรณ์กึ่งนิรันดร์หรืออย่างไร? “
หลิงฮันนั้น แม้เขาจะไม่ได้ต้องการอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ แต่เขาอยากได้แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงหรือแร่โลหะกึ่งนิรันดร์เป็นอย่างมาก เขาเริ่มครุ่นคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เขากลายเป็นโจรไปแล้ว หากเป็นไปได้ก็ต้องเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้มากที่สุด!
เอาไว้หลังจากบรรลุเป็นราชานิรันดร์ เขาจะนำสิ่งที่ช่วงชิงไปกลับมาคืน
สุนัขตัวดำดูเชี่ยวชาญกับเส้นทางเป็นอย่างมาก มันนำพาหลิงฮันและจักรพรรดินีออกจากอาณาเขตภูเขา มายังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีตำหนักมากมายเรียงรายอยู่เป็นความยาวหลายร้อยไมล์ “ตำหนักเหล่านั้นคือห้องสมบัติทั้งหมด!” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย
“ห้องสมบัติย่อมหนีไม่พ้นมีรูปแบบอาคมคุ้มกันติดตั้งเอาไว้” หลิงฮันกวาดสายตามองและกล่าว
“ต่อหน้านายท่านหมา ในโลกนี้ไม่มีรูปแบบอาคมใดปิดกั้นข้าได้!” สุนัขตัวดำกล่าว
ทั้งสามก้าวเดินมายังตำหนักแห่งแรก สุนัขตัวดำเริ่มลงมือถอดรูปแบบอาคมทันที ยิ่งมีหลิงฮันคอยช่วยเหลือด้วยแล้ว เวลาผ่านไปเพียงไม่นานรูปแบบอาคมป้องกันก็ถูกถอดถอนเสร็จสมบูรณ์
“เจ้านี่เกิดมาเพื่อเป็นโจรจริงๆ!” สุนัขตัวดำเอ่ยชม
“เจ้าไม่รู้สึกกระดากปากบ้างรึ ที่เป็นคนกล่าวคำนั้นออกมาจากปากตัวเอง?” หลิงฮันสะบัดมือ
ทั้งสามคนเดินเข้าสู่ตำหนักแห่งแรก ซึ่งจากที่ดูแล้วตำหนักแห่งนี้สมควรเป็นห้องสมบัติสำหรับเก็บของใช้เป็นหลักโดยเฉพาะเสื้อผ้า เสื้อผ้ามากมายที่เก็บอยู่ที่นี่นั้นไม่ใช่เสื้อผ้าทั่วไป พวกมันถูกทักทอขึ้นจากสัตว์อสูรระดับนิรันดร์ที่แข็งแกร่ง
แม้สิ่งของต่างๆจะไม่ใช่ระดับนิรันดร์ แต่ก็เป็นระดับกึ่งนิรันดร์ แน่นอนว่าหลิงฮันไม่เกรงใจและขโมยพวกมันไปทั้งหมด
หลังจากในตำหนักแรกไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทั้งสามคนก็ย้ายไปปล่นชิงตำหนักที่สองต่อ
เมื่อทำลายรูปแบบอาคมและเข้าสู่ด้านใน สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาด้านในตำหนักที่สองก็คือบ่อน้ำที่เรียงติดกันอยู่สิบบ่อ
“นั่นมัน!”
พวกหลิงฮันอุทานออกมา บ่อน้ำตรงหน้านี้น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก ภายในบ่อน้ำมีตราประทับแห่งเต๋าอันสว่างไสวลอยไปมาราวกับฝูงปลากำลังแหวกว่าย
“บ่อน้ำนิรันดร์!” สุนัขตัวดำตะโกนลั่นและกระโดดลงบ่อน้ำทันที มันกางขาแหวกว่ายลอยไปมาท่ามกลางบ่อน้ำ พร้อมกับดูดซับแหล่งพลังงานจากภายในบ่อเข้าสู่ร่างกาย
หลิงฮันและจักรพรรดินีเองก็กระโดดลงบ่อน้ำบ่อที่สองและสามตามๆกันไป
อำนาจแห่งเต๋าจากบ่อน้ำราวกับทำหน้าที่เป็นสะพาน มันช่วยชี้นำพลังจากสวรรค์และปฐพีเข้าสู่ร่างกายอย่างไร้ข้อบกพร่อง ด้วยการช่วยเหลือของบ่อน้ำเหล่านี้ เกรงว่าต่อให้เป็นคนโง่ก็สามารถกลายเป็นปรมาจารย์ที่ทรงพลังได้
หลิงฮันตกตะลึงเป็นอย่างมาก ช่างเป็นสมบัติที่ท้าทายสวรรค์อะไรเช่นนี้!
เขายิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีกว่าตัวเองบุกเข้ามาในขุมอำนาจระดับใดกันแน่?
บ่อน้ำเหล่านี้ไม่เพียงมีแก่นพลังของสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดผสมอยู่ แต่แม้กระทั่งแก่นพลังของสมุนไพรระดับนิรันดร์ก็ยังถูกผสมเอาไว้ด้วยเล็กน้อย
พวกหลิงฮันทั้งสามคนนิ่งเงียบไม่ปริปากพูดคุยกันแม้แต่คำเดียว พวกเขาต้องการดูดซับผลประโยชน์จากบ่อน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เจ็ดวันต่อมา หลิงฮันเป็นคนแรกที่ดูดซับแก่นพลังของบ่อน้ำจนหมด เขาลุกขึ้นจากบ่อน้ำที่ตนเองอยู่และเดินไปยังบ่อน้ำบ่อที่สี่ หลังจากผ่านไปอีกสองวัน จักพรรดินีและสุนัขตัวดำก็ลุกขึ้นยืนแทบจะพร้อมกัน ทั้งสองเดินไปยังบ่อน้ำบ่อที่ห้าและบ่อที่หก
จากที่เห็นจะทำให้รับรู้ได้ว่าหลิงฮันนั้นมีกายหยาบที่แข็งแกร่งที่สุด ส่วนจักรพรรดินีนั้นแม้นางจะสร้างร่างแยกทั้งเก้ามาช่วยดูดซับแก่นพลังของบ่อน้ำได้ แต่สุนัขตัวดำก็ยังสามารถดูดซับแก่นกำเนิดพลังได้รวดเร็วเท่านาง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงไม่น้อย
หรือมันเองก็มีแก่นกำเนิดนิรันดร์เช่นกัน?
ความแตกต่างเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ หลังจากหลิงฮันขึ้นจากบ่อน้ำบ่อที่สี่และย้ายไปยังบ่อที่เจ็ด จักรพรรดินีและสุนัขตัวดำก็ใช้เวลานานถึงสามวันกว่าจะย้ายตามไปยังบ่อน้ำบ่อที่แปดและเก้าได้ เมื่อหลิงฮันย้ายมายังบ่อที่สิบและดูดซับแก่นพลังของบ่อไปกว่าครึ่งแล้ว จักรพรรดินีกับสุนัขตัวดำถึงเพิ่งจะตามมาทัน
ทั้งสามดูดซับแก่นพลังของบ่อน้ำพร้อมกันจนบ่อที่สิบแห้งเหือด
ร่างของหลิงฮันอัดแน่นไปด้วยไอความร้อนจากอำนาจแห่งเต๋า จนเสื้อผ้าที่เปียกชื้ออยู่กลับมาแห่งอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเรอออกมา อำนาจแห่งเต๋าที่ดูดซับมาจากบ่อน้ำก็เล็ดรอดลอยออกมาด้วย
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ พวกเขาเป็นโจรที่ลักลอบเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ จึงไม่มีเวลามากพอสำหรับจะใช้ย่อยซึมซับแก่นพลังที่ดูดเข้ามา
หากบ่อน้ำเหล่านี้สามารถเคลื่อนย้ายได้ล่ะก็ หลิงฮันคงนำพวกมันกลับไปด้วยและค่อยๆดูดซับพวกมันอย่างเชื่องช้า เพื่อไม่ให้เสียของไปแล้ว
แกร่ก!
ในจังหวะนั้นเอง จู่ๆประตูตำหนักก็ถูกเปิดออก และมีร่างของบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาที่ตอนนี้กำลังมีสีหน้าตื่นเต้น แต่ทันทีที่ชายหนุ่มผู้นั้นพบเห็นคนสองคนและสุนัขหนึ่งตัวอยู่ในตำหนัก ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ชะงักแน่นิ่งไปในทันที
หลิงฮันเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เขารู้สึกว่าโลกใบนี้มันช่างกลมจริงๆ
ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวคือหานฉี!
ที่นี่คือห้องสมบัติของตระกูลหาน?
ตอนที่ 1762 ทะลวงผ่านสู่ระดับสองนิพพาน
หานฉีตกตะลึงจนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
ที่นี่คือห้องสมบัติของตระกูลหานที่มีการคุ้มกันหนาแน่นที่สุด ไม่ต้องเอ่ยถึงการที่คนนอกจะเข้ามาที่นี่เลย ต่อให้เป็นสมาชิกตระกูลหาน ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาติให้เข้ามาที่นี่
เหตุผลที่เขาสามารถเข้าที่นี่ได้เป็นเพราะ ตัวเขาคือบุตรคนเล็กสุดของประมุขตระกูลหาน
สิ่งที่หานฉีไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นมากที่สุดคือ การที่เขาเปิดประตูตำหนักเข้ามาและได้พบเจอกับคนสามคนอยู่ภายในห้อง แถมหนึ่งในสามคนที่ว่าก็ยังเป็นหลิงฮันอีกด้วย
เป็น ไป ได้ อย่าง ไร!
ประโยคที่ผุดขึ้นมาในหัวเขามีเพียงคำห้าคำนี้
เขาใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะตั้งสติได้ และพบว่าทั้งสามคนดูดซับแก่นพลังของบ่อน้ำนิรันดร์ทั้งสิบไปหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
ใบหน้าของหานฉีเศร้าสลด คิดว่าเขาจะเจ็บปวดใจขนาดไหน ที่ต้องมาเห็นว่าบ่อสมุนไพรนิรันดร์อันล้ำค่าถูกคนที่เป็นศัตรูคู่แค้นขโมยไปต่อหน้าต่อตา
“จะ… จะ… เจ้า…” เขาชี้นิ้วไปยังหลิงฮันด้วยร่างกายที่สั่นเครือ ใบหน้าหานฉีในตอนนี้ซีดเผือดราวกับคนหายใจติดขัด
หลิงฮันอุทาน ‘โอ้’ ออกมาเบาๆก่อนจะกล่าวกับสุนัขตัวดำ “เจ้ารู้อยู่แต่แรกแล้วรึว่าที่นี่คือสถานที่ของตระกูลหาน?”
“แน่นอนอยู่แล้ว” สุนัขตัวดำกล่าว
หลิงฮันหัวเราะ “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ข้าเห็นว่าเจ้าทำเรื่องดีๆ”
“ฮึ่ม! นายท่านหมาทำแต่เรื่องดีๆตลอดอยู่แล้ว! เจ้าไม่รู้รึไงว่านายท่านหมาถูกเรียกว่าพลเมืองดีตัวอย่าง” สุนัขตัวดำกล่าวอย่างไม่รู้สึกละอายใจ
สุนัขตัวดำเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นอย่างมาก มันรู้ว่าคนที่เคยไล่ต้อนมันอยู่นานสองนานก่อนหน้านี้คือสมาชิกตระกูลหาน เพราะงั้นมันจึงได้วางแผนลอบเข้ามาปล้นชิงถึงภายในตระกูลหาน
“เจ้า… เจ้า… เจ้า…” หานฉียังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักราวกับสามารถหมดสติไปได้ตลอดเวลา
บ่อน้ำนิรันดร์ที่ถูกแย่งชิงไปนั้น ตระกูลหานต้องใช้เวลาเตรียมการอยู่นานไม่รู้กี่ร้อยล้านปี หากไม่ใช่เพราะบิดาของเขาเป็นประมุขตระกูลหานล่ะก็ เขาคงไม่ได้รับอนุญาติให้มาดูดซับพลังของบ่อนิรันดร์ทั้งๆที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน
นอกจากนั้นจำนวนของบ่อที่เขาสามารถดูดซับได้ก็คือบ่อเดียวเท่านั้น หากเขาฝ่าฝืนไปดูดซับแก่นพลังของบ่ออื่นๆ เขาคงถูกตระกูลลงโทษสถานหนัก ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าอาจถึงขั้นถูกประหาร
แต่ทว่าตอนนี้บ่อนิรันดร์ทั้งสิบกลับถูกผู้อื่นแย่งชิงดูดซับไปจนหมดไม่เหลือแล้ว!
“พวกเจ้าต้องตาย!” หานฉีระเบิดอารมณ์ออกมาในที่สุด และนำธงสงครามออกมา ‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ หอกน้ำแข็งถูกควบแน่นขึ้นกลางอากาศ พร้อมกับเสาหินและพื้นของตระกูลได้ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งหนาแน่น
หลิงฮันโคจรเพลิงเก้าสวรรค์และก้าวเดินขึ้นหน้า ‘พรึบ’ ไอความเย็นที่ปกคลุมอยู่รอบด้านถูกสลายหายไปในพริบตา
เขาพาดมือทั้งสองไว้ด้านหลังและเดินเข้าใกล้หานฉีด้วยท่าทางสงบนิ่ง
หานฉีกัดฟันและพยายามกวัดแกว่งธงในมือเพื่อไม่ให้หลิงฮันเข้ามาใกล้
ซึ่งความพยายามของเขานั้นสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง ด้วยพลังของหานฉีในตอนนี้ ต่อให้ธงที่อยู่ในมือของเขาเป็นอุปกรณ์นิรันดร์ก็ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฮันได้
เมื่อเห็นหลิงฮันยิ่งเข้ามาใกล้ๆเรื่อยๆ หานฉีก็ไม่มีทางเลือกอื่นและหันหลังหวังจะหลบหนี
ที่นี่คืออาณาเขตของตระกูลหานที่มีตัวตนทรงพลังคอยดูแลสถานการณ์อยู่ทุกหนแห่ง กล่าวคือที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่หลิงฮันจะลงมือทำอะไรได้ตามใจชอบ
แต่ทันทีที่เขาหันหลัง หลิงฮันก็ทะยานร่างพุ่งเข้ามาคว้าลำคอของเขาเอาไว้
หานฉีตกตะลึงเป็นอย่างมาก นี่กายหยาบของเขาจะถูกทำลายอีกแล้ว?
หลิงฮันไม่คิดจะสังหารอีกฝ่ายให้เปลืองแรง เพราะเขารู้ดีว่าหานฉีต้องมีอำนาจของตัวตนที่ทรงพลังคอยคุ้มครองอยู่แน่นอน เขาผนึกพลังบ่มเพาะของหานฉีและโยนร่างไปให้กับสุนัขตัวดำ พร้อมกับกล่าว “มีวิธีทำให้เขาทรมานโดยไม่ต้องสังหารรึเปล่า?”
สุนัขตัวดำครุ่นคิดก่อนที่ดวงตาจะส่องประกายด้วยความตื่นเต้น “ให้เป็นหน้าที่ของนายท่านหมาเอง!” แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆใบหน้าของมันก็เปลี่ยนไป “ไม่ได้การแล้ว เจ้าหนูนี้ไปสัมผัสโดนรูปแบบอาคมคุ้มกันเข้า ปรมาจารย์ของตระกูลหานจึงกำลังรุดหน้ามาที่นี่ รีบแบกร่างของเขาแล้วเผ่นกันเร็วเข้า!”
หลิงฮันพยักหน้า ถึงแม้พวกเขาจะปล้นชิงสำเร็จเพียงสองตำหนักและยังเหลือห้องสมบัติอยู่อีกมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถรับมือกับปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะได้
ต้องล่าถอยสถานเดียว
พวกเขามุ่งหน้ากลับไปยังเส้นทางเก่า หลังจากสุนัขตัวดำซ่อมแซมรูปแบบอาคมทั้งหมดแล้ว ตระกูลหานย่อมไม่รู้ว่าพวกเขาลอบเข้ามาจากเส้นทางไหน
หรือก็คือพวกเขายังสามารถใช้เส้นทางเดิมเพื่อกลับมาที่นี่ได้อีก
พวกเขาเดินทางกลับมายังหลุมสุนัขตรงพุ่มไม้อันเดิม ที่บริเวณท้องฟ้าพวกเขาพบเห็นปรมาจารย์ที่ทรงพลังเหาะเหินลอยไปมา และใช้สัมผัสสวรรค์กวาดผ่านทั่วพื้นที่ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ตระกูลหานรู้ตัวแล้วและกำลังตามหาแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างเอาเป็นเอาตาย
สุนัขตัวดำติดตั้งรูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายชั่วคราวเพื่อส่งร่างของทุกคนหลบหนีออกจากอาณาเขตของตระกูลหาน ก่อนจะเดินทางกลับไปยังรูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายอันเก่าและใช้มันเคลื่อนย้ายกลับสู่เมืองธุลีจันทรา
หลังจากกลับมาถึงรูปแบบอาคมชั่วคราวที่ติดตั้งเอาไว้ใกล้เมืองธุลีจันทรา สุนัขตัวดำก็ขอตัวพร้อมกับแบกร่างของหานฉีไปด้วย เวลาผ่านไปราวๆครึ่งวันมันถึงจะกลับมาโดยที่ร่างของหานฉีไม่อยู่แล้ว “นายท่านหมานำร่างของหมอนั่นไปฝังไว้ในหลุมลึกใต้พุ่มไม้ที่เชื่อมไปยังใต้เมืองแล้ว ขอรับประกันได้เลยว่าต่อให้ตระกูลหานพลิกดินแดนแห่งเซียนเพื่อค้นหา ก็ไม่มีทางพบเจอตัวเขา”
หลิงเผยสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะนึกได้ว่าเป็นอย่างที่สุนัขตัวดำกล่าว ปรมาจารย์ระดับนิรันดร์คนใดจะยอมเสียศักดิ์ศรีโดยการขุดดินเพื่อตามหาคน? ส่วนทางด้านหานฉีที่บรรลุเป็นนิรันดร์แล้วนั้น ต่อให้เขาจะมีอายุขัยไม่จำกัด แต่ก็คงไม่อาจได้เห็นดวงตะวันอีกครั้ง
หลังจากหมดธุระที่ต้องทำแล้ว หลิงฮันกับจักพรรดินีก็เก็บตัว เพื่อย่อยซึมซับแก่นพลังที่ดูดมาจากบ่อน้ำนิรันดร์
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ทั้งสองคนก็ปรากฏตัวออกมาจากหอคอยทมิฬ ‘ครืนน’ หลังจากการปรากฏตัวของทั้งสอง เมฆสายฟ้าก็ก่อตัวรวมกัน
พวกเขากำลังจะทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์สองนิพพาน!
ทั้งสองคนทำการรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ ด้วยพลังต่อสู้อันไร้เทียมทานของทั้งสอง พวกเขาจึงผ่านพ้นมาได้อย่างง่ายดาย
หลิงฮันและจักรพรรดินีตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนไม่คาดคิดว่าตัวเองจะสามารถบรรลุเป็นนิรันดร์สองนิพพานได้รวดเร็วขนาดนี้ แต่ความดีความชอบทั้งหมดก็ต้องยกให้กับต้นสังสารวัฏ หากไม่ใช่เพราะต้นสังสารวัฏพวกหลิงฮันคงไม่สามารถย่อยซึมซับพลังที่อยู่ในร่างกายได้ทันเวลา
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง จู่ๆสุนัขตัวดำก็ปรากฏตัว มันเองก็บรรลุเป็นนิรันดร์สองนิพพานแล้วเช่นกัน
หลังจากได้เห็นความสามารถอันท้าทายสวรรค์ของสุนัขประหลาดตัวนี้มาแล้ว หลิงฮันก็ไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไป
“หานหงเฟยออกจากเมืองธุลีจันทราไปแล้ว ถึงเวลากลับไปสะสางกับตระกูลติงเสียที” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขารู้ว่าตระกูลติงนั้นเป็นตระกูลที่ไม่มีความดีใดๆหลงเหลืออยู่เลย แต่เขาก็ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะโหดเหี้ยมถึงขนาดสร้างกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายขึ้นมา
เพื่อที่จะสร้างอาวุธที่ชั่วร้ายขนาดนั้น ไม่รู้ว่ามีกี่ร้อยล้านชีวิตที่ต้องตายไป
ตอนที่ 1763 สังหารนิรันดร์สามนิพพาน
หานหงเฟยออกจากเมืองไปแล้ว
ไม่ใช่ว่าเขาอยากจากไปเอง แต่ต้องยอมจากไปเพราะถูกตัวตนที่ทรงพลังจากนิกายจันทราหม่นแสงกดดัน
ซึ่งนั่นก็ช่วยไม่ได้ ที่นี่คืออาณาเขตของนิกายจันทราหม่นแสง พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงส่งนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณมาที่นี่? ต่อให้ตระกูลหานส่งนิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะมา นิกายจันทราหม่นแสงก็ยังมีตระกูลฟู่อยู่เบื้องหลังอยู่ดี
ในเมื่อตระกูลติงไม่มีตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณอยู่แล้ว หลิงฮันจึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใคร
เขาและจักรพรรดินีมุ่งหน้าสู่ตระกูลติงอีกครั้ง
“ปะ ปีศาจ! ปีศาจบุกมาแล้ว!” เมื่อเห็นหลิงฮันปรากฏตัว เหล่าทหารยามก็ร้องโอดครวญด้วยความหวาดผวา พวกเขาละทิ้งหน้าที่เฝ้ายามและเผ่นหนีทันที
หลิงฮันลูบคางและครุ่นคิด นี่เขาน่ากลัวขนาดนั้นเชียว?
“เจ้าคนชั่ว นี่เจ้ายังกล้ามารนหาที่ตายถึงที่นี่อีกรึ?” ติงซานและติงซงปรากฏตัวพร้อมกัน
“คนชั่ว?” หลิงฮันหัวเราะ “พวกเจ้าที่สร้างอาวุธชั่วร้ายอย่างกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายขึ้นมา ยังมีหน้ามาเรียกผู้อื่นว่าคนชั่วงั้นรึ?”
“แต่เดิมตระกูลติงมีสมาชิกอยู่หลายพันคน แต่เจ้ากลับสังหารพวกเขาจนแทบไม่เหลือ!” ติงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังทำใจเชื่อไม่ได้ว่า รุ่นเยาว์ที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานจะนำพาหายนะมาสู่ตระกูลได้ขนาดนี้
หลิงฮันชำเลืองตามองและกล่าว “ที่เขาว่ากันว่าการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานจำเป็นต้องตัดขาดความรู้สึกทางโลกนั้น ดูเหมือนว่าสิ่งที่พวกเจ้าถูกตัดไปจะไม่ใช่ความรู้สึกแต่เป็นสามัญสำนึกแทน”
“ช่างปากดี!” ติงซานคำรามและปล่อยหมัดที่รุนแรงราวกับท้องฟ้าจะถล่ม
หลิงฮันยืนนิ่งโดยไม่หลบหลีกหรือตั้งท่าป้องกัน
“รนหาที่ตาย!” ติงซานคำรามอย่างเกรี้ยวกราด ข้าเป็นถึงนิรันดร์สามนิพพานที่ทรงพลัง แต่เจ้ากลับอวดดีกล้าที่จะไม่หลบหลีกหรือป้องกันการโจมตีของข้างั้นรึ?
ติงซงที่ยืนอยู่ด้านข้างแสยะยิ้ม รุ่นเยาว์ผู้นี้คิดว่าตนเองไร้เทียมทานถึงขนาดที่จะสามารถรับมือกับการโจมตีของนิรันดร์สามนิพพานได้งั้นรึ?
หมัดของติงซานถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงเวลา พลังที่ปลดปล่อยออกมาจากหมัดถูกควบแน่นกลายเป็นโซ่จำนวนมากที่มีหนามอยู่รอบด้าน เขาตั้งใจจะใช้โซ่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์เหล่านี้ทะลวงผ่านร่างหลิงฮัน เพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความเจ็บปวดอันไร้ที่สิ้นสุด
เขาไม่คิดจะให้หลิงฮันตายอย่างรวดเร็วและสบายเกินไป
หลิงฮันแสยะยิ้มและยกมือขวาคว้าไปยังร่างของติงซาน มือปราณก่อเกิดที่พุ่งออกไปนั้น ไม่เพียงผสานไว้ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงเวลา แต่ยังโคจรทักษะกาลเวลาแปรผันพันปีไปพร้อมๆกันด้วย
ใบหน้าของติงซานแสดงออกถึงความรู้สึกตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด เนื่องจากเขาพบเห็นว่ามือปราณก่อเกิดขนาดใหญ่ที่กำลังพุ่งเข้ามานั้น มีอำนาจแห่งห้วงเวลาที่ทรงพลังผสานเอาไว้ จนทำให้ดูราวกับว่าเป็นการโจมตีที่อยู่คนละห้วงเวลาและไม่อาจปัดป้องได้
เขาหวาดกลัวจนเผลอหยุดการโจมตีของตัวเองและเตรียมล่าถอย
“คิดหนี?” หลิงฮันหัวเราะ ‘ฝึบ’ มือปราณก่อเกิดของเขาคว้าจับหัวของติงซานเอาไว้แน่น
ติงซานตะเกียกตะกายพยายามดิ้นรนกวัดแกว่งมือและขาไปมา เพื่อหวังที่จะหลุดพ้นจากมือของหลิงฮัน
หลิงฮันเค้นเสียงอย่างไม่แยแส เขาขยับมือขวาเล็กน้อยเพื่อควบคุมมือปราณก่อเกิดให้ทำการบีบรัด เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่กระดูกทั่วร่างของติงซานก็แตกหัก มือและขาที่กวัดแกว่งดิ้นรนไปมาค่อยๆห้อยลงสู่พื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ในขณะเดียวกัน ติงซงที่ยืนดูอยู่ด้านข้างรู้สึกหวาดผวาจนเหงื่อไหลทั่วร่างทันที
นิรันดร์ระดับสามนิพพาน เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮันแล้ว กลับไม่สามารถต่อต้านได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว!
เหตุการณ์นี้สมควรจะเกิดขึ้นกับคู่ต่อสู้ที่เป็นนิรันดร์สี่นิพพานเท่านั้น!
“นะ… นิรันดร์สองนิพพาน!” ในที่สุดติงซงก็สังเกตเห็น มุมปากของเขากระตุกไปมาด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
นี่มันเหลือเชื่อเกินไป…
หลิงฮันเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแท้ๆ แต่หลังจากเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน อีกฝ่ายกลับบรรลุเป็นนิรันดร์สองนิพพานเสียแล้ว?
สัตว์ประหลาด! รุ่นเยาว์ผู้นี้ต้องเป็นสัตว์ประหลาดไม่ผิดแน่!
นี่ตระกูลติงไปเป็นศัตรูกับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ปล่อยเขาซะ!” แม้ทั่วร่างจะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ติงซงก็พยายามสงบสติอารมณ์เอาไว้
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่สมองของเจ้ามีปัญหารึเปล่า?”
ติงซงเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าหลิงฮันไม่มีวันปล่อยติงซานแน่นอน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ จะให้เขาพูดอะไรนอกจากประโยคเมื่อครู่?
“หากเจ้ายอมปล่อยเขา ตระกูลติงจะยอมสงบศึกและถือว่าพวกเราสองฝ่ายไม่มีความบาดหมางกันอีกต่อไป!” เขากล่าวพร้อมกับกัดฟัน
ณ เวลานี้ไม่มีอะไรเลยที่เขาสามารถทำได้ ขนาดตัวตนระดับตัดวิญญาณหยางก็ยังทำได้เพียงจ้องมองหลิงฮันหลบหนีไปโดยไม่อาจทำอะไรได้ ยิ่งเจ้าหนูนี่สามารถบ่มเพาะพลังได้ด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงกลัวด้วยแล้ว หากไม่ยอมสะสางความบาดหมาง ตระกูลติงคงได้พังทลายจริงๆแน่
“สงบศึก?” หลิงฮันอุทานอย่างประหลาดใจก่อนจะหัวเราะ ตระกูลติงคิดว่าตนเองเป็นเหยื่อเพียงฝ่ายเดียวหรืออย่างไร?
นอกจากตระกูลติงจะชั่วร้ายถึงขนาดวางแผนทำลายตระกูลหูเพื่อแย่งชิงทักษะแล้ว ตระกูลติงยังโหดเหี้ยมถึงขั้นใช้ชีวิตของคนนับไม่ถ้วนมาหล่อหลอมสร้างกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายขึ้นมาอีกด้วย
หลิงฮันหัวเราะพร้อมกับจับหัวของติงซานแน่นด้วยมือปราณก่อเกิดทั้งสองข้าง เพียงแค่ออกแรงเล็กน้อยเสียงกระโหลกที่แหลกละเอียดของติงซานก็ดังออกมา หลิงฮันโยนร่างของติงซานเข้าใส่ติงซง จนทำให้ติงซงลอยกระเด็นไปกว่าสองสามฟุตถึงจะตั้งหลักได้
ติงซงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบก็รับรู้ได้ทันทีว่าติงซานนั้นได้ตายไปแล้ว แม้กระทั่งดวงวิญญาณก็แหลกสลายไม่เหลือ
ร่างของเขาสั่นสะท้านไปด้วยความความเกรี้ยวกราดและความหวาดกลัว
ครั้งหนึ่งรุ่นเยาว์ตรงหน้าเคยเป็นเพียงหนอนแมลงที่พวกเขาสามารถสังหารได้ตามใจนึก แต่ ณ เวลานี้หนอนแมลงที่ว่ากลับแข็งแกร่งขึ้นจนมีพลังพอที่จะสังหารพวกเขาได้แล้ว!
“ผู้อาวุโสติงซง!” สมาชิกตระกูลติงจำนวนหนึ่งปรากฏตัว พวกเขาคือนิรันดร์หนึ่งและสองนิพพานของตระกูลติงที่เพิ่งกลับตระกูลมา เพราะไม่จำเป็นต้องตามหาหลิงฮันอีกต่อไป
พวกเขามาถึงช้าเพียงก้าวเดียว ก็พบว่าติงซานกลายเป็นศพไปเสียแล้ว
นิรันดร์สามนิพพานเสียชีวิตไปอย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่มีการผันผวนของการต่อสู้เกิดขึ้นเลยงั้นรึ?
“ติงเหยาหลง หากเจ้าไม่รีบปรากฏตัว ตระกูลติงของเจ้าจะไม่หลงเหลือผู้สืบสกุลแม้แต่คนเดียว!” หลิงฮันโคจรพลังในใจและเรียกสัตว์อสูรสงครามทั้งสามตัวออกมาเริ่มเข่นฆ่าสังหาร
เพียงพริบตาเดียว ทั่วทั้งตระกูลติงก็เต็มไปด้วยเสียงร้องโอดครวญ
ตอนที่ 1764 ย่อมมีฝ่ายหนึ่งที่แข็งแกร...
ทักษะสิบอสูรสงครามคือทักษะระดับราชานิรันดร์ โดยสัตว์อสูรสามตัวที่หลิงฮันเรียกออกมานั้น สองในสามมีอำนาจต้นกำเนิดอย่างเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับเป็นแก่นพลัง ถึงแม้สัตว์อสูรที่มีแก่นพลังเป็นสายฟ้าสวรรค์จะด้อยกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังมีพลังต่อสู้ที่ทัดเทียมได้กับนิรันดร์สามนิพพานอยู่ดี
เมื่อเครื่องจักรสังหารทั้งสามถูกปล่อยออกมา ใครกันจะหยุดยั้งพวกมันได้?
ตระกูลติงถูกเปลี่ยนเป็นทะเลโลหิตในพริบตา เสียงร้องโหยหวนอันทรมานดังก้องไปทั่วทั้งเมือง
ประมุขตระกูลล้งและตระกูลต้วนปรากฏตัวพร้อมกัน แม้แต่เม่าไต๋เองก็มาเช่นกัน ปรมาจารย์ทั้งสามคนเว้นระยะและจ้องมองสงครามที่เป็นการเข่นฆ่าอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ลงมือแทรกแซง
ใบหน้าของทั้งสามคนเผยให้เห็นถึงความตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด
พลังต่อสู้ของหลิงฮันทรงพลังเป็นอย่างมาก!
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังรู้สึกแปลกประหลาดอยู่ดี
เหตุใดติงเหยาหลงถึงยังไม่ปรากฏตัวกัน?
ด้วยพลังบ่มเพาะระดับโลกียนิพพานสี่นิพพาน และพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของเขา การที่ติงเหยาหลงจะหวาดกลัวหลิงฮันนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ยังสามารถกำราบเอาชนะหลิงฮันได้
“เจ้าตัวบัดซบ!” เมื่อการล่าสังหารดำเนินไปจนสมาชิกตระกูลติงติงเหลืออยู่เพียงหนึ่งในสิบ เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดก็ดังขึ้น พร้อมกับติงเหยาหลงได้ปรากฏตัว
“ท่านประมุข!” สมาชิกตระกูลติงที่ยังเหลือรอดโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น ติงเหยาหลงคือกระดูกสันหลังของตระกูลติง ตราบใดที่ติงเหยาหลงยังอยู่ ตระกูลติงก็ยังสามารถกลับมาเฟื่องฟูได้อีกครั้ง
หลิงฮันหันหน้าไปยังต้นเสียงก่อนที่จะแสดงท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย
สภาพของติงเหยาหลงในตอนนี้นั้น หัวของเขาเต็มไปด้วยเส้นผมที่ขาวโพลน และมีใบหน้าที่เหี่ยวย่น
อย่างที่รู้กันว่าติงเหยาหลงคืออัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ เขาสามารถทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้รูปลักษณ์ของเขาคงสภาพไว้ที่ช่วงอายุสามสิบปีเท่านั้น แต่ทว่าสภาพของเขาในตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นชายชรา ที่ดูเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง
“ตาย!” ติงเหยาลงไม่พูดพล่ามและลงมือทันที
‘ครืนนน’ กระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายถูกนำออกมา ‘โฮกกก’ ภูติพรายนับหมื่นส่งเสียงร้องโหยหวน จนทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินรู้สึกหวาดผวาไปถึงจิตวิญญาณ
อำนาจของกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายถูกยกระดับขึ้น!
หลิงฮันเข้าใจทันทีว่าทำไมก่อนหน้านี้ติงเหยาหลงถึงยังไม่ปรากฏตัว และมีสภาพทรุดโทรมเช่นนี้ ที่แท้ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็กำลังใช้พลังชีวิตของตัวเองเสริมพลังให้กับกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายอยู่นั่นเอง
เหล่าภูติพรายนับหมื่นคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและพุ่งทะยานเข้าใส่หลิงฮัน
แต่เดิมแล้ว เหล่าภูติพรายมีพลังเกือบจะเทียบได้กับนิรันดร์สามนิพพานขั้นต้นเท่านั้น แต่ตอนนี้พลังของพวกมันได้พัฒนากลายเป็นนิรันดร์สามนิพพานสูงสุดแล้ว แถมจำนวนของพวกมันก็ยังมีนับหมื่น
หากต้องถูกตัวตนระดับนิรันดร์สามนิพพานสูงสุดจำนวนขนาดนี้รุมโจมตี คิดว่าจะน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน? ยิ่งกว่านั้นภูติพรายเหล่านี้ยังโหดเหี้ยม และไม่หวาดกลัวความตายอีกด้วย
ประมุขตระกูลล้ง ประมุขตระกูลต้วนและเม่าไต๋ขนลุกทั่วร่าง ทั้งสามคนรีบเว้นระยะล่าถอยไปหลายสิบไมล์เพื่อหลบหนีออกจากรัศมีของหมอกสีดำ
หลิงฮันเผยรอยิ้มอย่างไม่หวั่นเกรง
ตัวเขาในตอนนี้ข้ามผ่านจากนิรันดร์หนึ่งนิพพานมาเป็นนิรันดร์สองนิพพานแล้ว
การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่เกิดขึ้นคือ กายหยาบของเขายกระดับขึ้นจนเทียบเท่าแร่โลหะกึ่งนิรันดร์สองดาวเป็นที่เรียบร้อย
ด้วยกายหยาบของเขาในตอนนี้ ต่อให้นิรันดร์สี่นิพพานมากมายร่วมมือกับกระหน่ำโจมตี ก็ยังต้องใช้เวลาถึงจะสร้างบาดแผลให้เขาได้เล็กน้อย เพราะงั้นกับแค่ฝูงนิรันดร์สามนิพพานนับหมื่นเขาจะต้องหวาดกลัวทำไม?
ต่อหน้าหลิงฮันในตอนนี้ กระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายเป็นเพียงขยะไร้ประโยชน์!
พรวด!
เมื่อเห็นว่าหลิงฮันสามารถก้าวเดินอยู่ท่ามกลางหมอกสีดำได้อย่างสบายใจ ประมุขตระกูลล้ง ประมุขตระกูลต้วนและเม่าไต๋ก็อ้าปากค้างจนกว้างพอที่จะยัดขนมปังแท่งขนาดใหญ่เข้าไปได้
เรื่องเช่นนี้มันบ้าบอสิ้นดี!
“ปะ… เป็นไปไม่ได้!” ติงเหยาหลงดวงตาเบิดกว้างและทำอะไรไม่ถูก
เขายอมเสียสละแม้กระทั่งพลังชีวิตของตัวเอง เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพราย แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เขาทุ่มเทมาไม่สามารถทำอะไรหลิงฮันได้แม้แต่นิดเดียว เหตุการณ์ที่เกิดตรงหน้านี้ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกตบหน้าอย่างจัง
“หากได้ลองพยายามแล้ว ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” หลิงฮันสะบัดมือและโคจรพลังเพื่อควบแน่นทักษะก้อนแสงอัสนีทำลายล้าง
‘ตูม’ เมื่อการโจมตีถูกปลดปล่อยออกไป เสียงคลื่นระเบิดก็ดังสนั่นไปทั่วพื้นที่ แม้แต่หมอกสีดำเองก็ถูกทำให้สลายหายไปบางส่วน ภูติพรายจำนวนหลายร้อยแหลกสลายกลายเป็นเศษขี้เถ้า
ทักษะก้อนแสงอัสนีทำลายล้างคือทักษะโจมตีหมู่ที่ทรงพลัง หากนำมาใช้ในสถานการณ์เช่นนี้ ประสิทธิภาพของมันจะถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็มที่ เหล่าภูติพรายเองก็มีพลังเพียงระดับสามนิพพานขั้นสูงสุดเท่านั้น ซึ่งยังอยู่ในขอบเขตพลังที่หลิงฮันสามารถกำราบได้อย่างง่ายดาย
ร่างของติงเหยาหลงสั่นสะท้าน
เหล่าภูติพรายคือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังของกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพราย พวกมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆ จึงไม่สามารถตายได้ ต่อให้พวกมันถูกทำลายก็ยังสามารถสร้างกลับขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง
แต่ปัญหาก็คือทุกครั้งที่สร้างภูติพรายขึ้นมาใหม่ จำเป็นที่จะต้องเผาผลาญพลังบางส่วนของกระดิ่ง โดยหากเผาผลาญพลังของมันไปมากๆเข้า ตัวกระดิ่งจะตกอยู่ในสภาพจำศีลในที่สุด
ซึ่งการจะทำให้มันฟื้นกลับขึ้นมาเพื่อใช้งานอีกครั้งนั้น ชีวิตของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากจะต้องถูกนำมาเป็นเครื่องสังเวย
หลิงฮันโคจรพลังและปลดปล่อยทักษะก้อนแสงอัสนีทำลายล้างอย่างต่อเนื่อง ต่อให้กระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายจะสร้างเหล่าภูติพรายขึ้นมาใหม่ได้ แต่ความเร็วในการสร้างก็ไม่อาจเทียบกับความเร็วในการทำลายของเขาได้ เวลาผ่านไปไม่นาน จำนวนของเหล่าภูติพรายก็เริ่มลดลงจนเห็นได้ชัด
ประมุขตระกูลล้งและตระกูลต้วนหันมองหน้ากันก่อนจะลงมือ
ทั้งสองคิดจะใช้โอกาสนี้ กำจัดศัตรูตรงหน้าทิ้งให้สิ้นซาก!
หากสังหารติงเหยาหลงได้ ไม่เพียงแค่ภัยคุกคามจากกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายในอนาคตจะหมดไป แต่ทรัพยากรณ์มากมายที่ตระกูลติงครอบครองอยู่ก็จะตกเป็นของตระกูลพวกเขาทั้งสองด้วย
โอกาสดีๆเช่นนี้ หากไม่รีบคว้าไว้เสียตอนนี้จะให้รอไปลงมือตอนไหน?
นิรันดร์สี่นิพพานที่ทรงพลังทั้งสองร่วมมือกันจู่โจมติงเหยาหลง
ตระกูลติลในตอนนี้ นับว่าตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังอย่างแท้จริง
ตอนที่ 1765 ตระกูลติงดับสิ้น
หลิงฮันใช้โอกาสนี้ลงมือไล่ตามและสังหารติงซง
ด้วยความเร็วของแสงอัสนี ในระดับพลังเดียวกันใครจะหลบหนีเขาได้?
ทางด้านของเม่าไต๋นั้น หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่เขาก็ตัดสินใจลงมือ
ด้วยการที่ปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานมากมายร่วมมือกัน ตระกูลติงคงไม่อาจหลบหนีภัยพิบัติครั้งนี้พ้น
“ท่านประมุข!”
“บ้าที่สุด!”
เสียงของเหล่าสมาชิกตระกูลติงร้องโอดครวญเป็นเวลากว่าครึ่งวัน จนในที่สุดนอกจากติงเหยาหลงแล้ว ก็ไม่เหลือสมาชิกคนอื่นแม้แต่คนเดียว!
เพียงแต่หากติงเหยาหลงยังไม่ถูกกำจัด ไม่ช้าหรือเร็ว เขาก็ยังสามารถหวนกลับมาได้พร้อมกับกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายอยู่ดี
เพราะเหตุนั้นแล้ว ติงเหยาหลงจึงต้องถูกกำจัด และกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายต้องถูกทำลาย
ประมุขตระกูลต้วนและประมุขตระกูลล้งเร่งรีบโจมตียิ่งกว่าเดิม ในเมื่อเรื่องบานปลายมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ไม่อาจหันกลับได้อีกต่อไป พวกเขาต้องสู้จนตัวตายเพื่อสังหารติงเหยาหลงให้ได้
“สองจิ้งจอกเฒ่า พวกเจ้าช่างรนหาที่ตาย!” ติงเหยาหลงกล่าวพร้อมกับดวงตาส่องประกายโหดเหี้ยม
“หลังจากวันนี้ ข้าจะนำกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายไปถล่มตระกูลของพวกเจ้า เพื่อให้พวกเจ้าได้รับรู้ว่าการที่ตระกูลถูกทำลาย มันรู้สึกอย่างไร!”
“อย่าได้เพ้อฝัน!” หลิงฮันโคจรทักษะกายาแสงตะวันทองคำไร้เทียมทาน แขนทั้งหกของเขาปลดปล่อยทักษะระดับนิรันดร์พร้อมกัน จนทำให้พลังต่อสู้ทรงพลังขึ้นหลายสิบเท่า
พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้เทียบเท่ากับนิรันดร์สี่นิพพานขั้นต้นโดยประมาณ ถึงแม้จะไม่ถึงระดับสี่นิพพานขั้นสูงสุด แต่เขาก็ยังสามารถต่อกรรับมือกับติงเหยาหลิงได้ด้วยกายหยาบอันไร้เทียมทาน
พอมีหลิงฮันร่วมลงมือด้วย แรงกดดันที่ประมุขตระกูลล้งและประมุขตระกูลต้วนได้รับก็ลดลง
เมื่อใดที่ติงเหยาหลงใช้ทักษะโจมตีที่ทรงพลัง หลิงฮันจะเป็นคนรับการโจมตีเหล่านั้นเอาไว้ ซึ่งเปิดโอกาสให้ประมุขทั้งสองสามารถโจมตีได้สะดวกยิ่งขึ้น
ติงเหยาหลงตกอยู่ในสถานการณ์ที่แทบจะสิ้นหวัง
เขาถูกรุมจู่โจมโดยนิรันดร์ระดับเดียวกันถึงสองคน ส่วนหลิงฮันนั้นถึงแม้พลังต่อสู้จะด้อยกว่าเขาอยู่เล็กน้อย แต่พลังต่อสู้ที่เทียบเท่านิรันดร์สี่นิพพานขั้นต้นของอีกฝ่าย ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเมินเฉยได้! ก่อนหน้านี้เขายังพอรับมือกับประมุขทั้งสองคนอยู่ได้บ้าง แต่ทันทีที่หลิงฮันเข้าร่วมการต่อสู้ เขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างสมบูรณ์
เหตุใดพลังป้องกันของเจ้าหนูนี่ถึงได้น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้?
“อ้ากกกก!” ติงเหยาหลงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เขารู้สึกไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่ในตอนนี้ตระกูลติงจะเหลืออยู่เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น แต่แค่จะหลบหนีเขาก็ยังไม่อาจทำได้
“ในชีวิตหน้าเจ้าจงเลิกทำความชั่วซะ!” หลิงฮันกล่าวอย่างเย็นชา พร้อมกับกระหน่ำโจมตีไม่ยั้งด้วยทักษะกาลเวลาแปรผันพันปี เพื่อทำลายอำนาจห้วงเวลาที่อยู่รอบตัวติงเหยาลง หากเขาไม่ทำเช่นนี้ ด้วยการที่มีอำนาจห้วงเวลาเป็นเกราะคุ้มกัน ประมุขตระกูลต้วนและตระกูลล้งคงไม่อาจจัดการติงเหยาหลงได้
“แต่ชีวิตนี้เจ้าเองทำชั่วไปมาก เจ้าคงไม่มีโอกาสได้กลับตัวกลับใจในชีวิตหน้าเสียล่ะมั้ง?”
“เจ้าหนู ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะลากเจ้าไปกับข้าด้วย!” ติงเหยาหลงจ้องมองไปยังหลิงฮันด้วยดวงตาแดงฉาน
หลิงฮันแสยะยิ้ม ต่อให้เขาไม่พึ่งพาคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ติงเหยาหลงก็ยังต้องใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงเวลา ในการหล่อหลอมกายหยาบของเขาอยู่นานพอสมควรกว่าจะสร้างบาดแผลให้เขาได้
นอกจากนี้เขาก็ยังมีหยดวารีนิรันดร์ที่สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้ในพริบตา และยังสามารถเกิดใหม่ได้ด้วยกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านอีก
ด้วยความสามารถเหล่านี้ เจ้าคิดรึว่าจะสังหารข้าได้?
“เฒ่ามาร วันนี้เจ้าต้องตาย!” หลิงฮันเข้าปะทะกับติงเหยาหลง ถึงแม้หลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่าอยู่ครู่หนึ่ง ร่างของเขาจะถูกซัดลอยกระเด็นออกมา แต่เขาก็ได้ใช้ทักษะแสงอัสนีพุ่งทะยานร่างกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างไม่หวาดหวั่น
ประมุขตระกูลล้งและประมุขตระกูลต้วนใช้โอกาสที่หลิงฮันสร้างให้นี้กระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่ง หากในสถานการณ์ที่พวกเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างสิ้นเชิงขนาดนี้แล้ว ยังไม่สามารถสังหารติงเหยาหลงได้ล่ะก็ พวกเขาขอเอาเต้าหู้มาฟาดหัวตัวเองให้ตายดีกว่า
บาดแผลที่ติงเหยาหลงได้รับเริ่มสาหัสขึ้นเรื่อยๆ
การที่ถูกรุมโดยปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งถึงสามคน ทำให้เขาไม่สามารถฉวยหาโอกาสหลบหนีได้ และต้องสู้จนตัวตายสถานเดียว
ประมุขตระกูลล้งและประมุขตระกูลต้วนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หลังจากวันนี้ เมืองนี้จะไม่มีตระกูลติงอีกต่อไป!
“บัดซบ! ช่างน่ารังเกียจนัก!” ติงเหยาหลงสบถเสียงคำรามขึ้นสู่ท้องฟ้า หน้าอกของเขาถูกโจมตีจนทะลุเป็นรู และโลหิตจำนวนมากได้ไหลทะลักออกมาจากหัวใจ พลังชีวิตของเขาถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็วจนแห้งเหือดในที่สุด พร้อมกับดวงตาที่เปิดกว้างค่อยๆปิดลงจนสนิท
หนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะแห่งยุค… นิรันดร์ระดับสี่นิพพาน… ได้จบชีวิตลงแล้ว
หลิงฮันปล่อยหมัดอีกครั้ง เพลิงเก้าสวรรค์ระเบิดพลังออกมาและเริ่มหลอมละลายกระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพราย
ภาพเงาของภูติพรายจำนวนมากปรากฏออกมาพร้อมกับส่งเสียงกรีดร้อง พวกมันพยายามดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะค่อยๆอ่อนแรงลง
หลิงฮันนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมา และสะบั้นดาบออกไปดูดกลืนแก่นโลหะที่ใช้สร้างกระดิ่ง
ประมุขตระกูลต้วนและประมุขตระกูลล้งมองดูอยู่สักพักก่อนจะถอนหายใจโล่งอก เมื่อเห็นว่ากระดิ่งหมอกทมิฬหมื่นภูติพรายหายไปแล้วอย่างสมบูรณ์
หลิงฮันพยักหน้าให้กับประมุขทั้งสองและหันหลังจากไป
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้นิรันดร์สี่นิพพานทั้งสองอีกต่อไป การต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ให้แล้ว
หลิงฮันยังไม่ออกจากเมืองธุลีจันทราในทันที
ทรัพยากรของตระกูลติงเปรียบเสมือนเค้กก้อนใหญ่ หากตระกูลล้งและตระกูลต้วนคิดจะกินเค้กก้อนนี้โดยไม่แบ่งหลิงฮัน เพราะถูกความโลภเข้าครอบงำล่ะก็ พวกเขาคงไร้มโนธรรมเกินกว่าจะเป็นมนุษย์
ซึ่งก็เป็นไปตามคาด หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน ประมุขทั้งสองก็เป็นคนเดินทางมาหาหลิงฮันด้วยตัวเอง ทั้งสองเจรจากับหลิงฮันด้วยท่าทีสุภาพและส่งมอบอุปกรณ์มิติให้หลิงฮัน เมื่อตรวจสอบภายในอุปกรณ์มิติที่ได้รับมา หลิงฮันก็เผยรอยยิ้มอันพึงพอใจ
ตอนที่ 1766 มุ่งหน้าสู่เมืองหลีเฮิ่น
หลิงฮันและเม่าไต้ออกเดินทางไปยังเมืองหลีเฮิ่นพร้อมกัน
เมืองหลีเฮิ่นคือสถานที่ตั้งของตระกูลฟู่ แต่เดิม เม่าไต้คิดจะไปยังตระกูลฟู่หลังจากที่เขาบรรลุเป็นนิรันดร์สี่นิพพานแล้ว แต่หลังจากที่ได้เห็นพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งของหลิงฮัน เขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่เมืองธุลีจันทราอีกต่อไป
ต้องรีบไปยังตระกูลฟู่เพื่อขัดเกลาพลังให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หากไม่มีสมบัติที่ใช้สำหรับเหาะเหิน การเดินทางด้วยเรือก็ย่อมเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุด เนื่องจากการเคลื่อนย้ายในพริบตาด้วยรูปแบบอาคมนั้นฟุ่มเฟือยเกินไป
จุดนี้ทำให้หลิงฮันเริ่มนับถือในความสามารถของสุนัขตัวดำขึ้นมา
หลิงฮันคาดหวังกับการเดินทางครั้งนี้เป็นอย่างมาก เมื่อไปถึงตระกูลฟู่ เขาหวังเหลือเกินว่าจะตามหาตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์พบ
เวลาผ่านไปเกือบๆปี เรือโดยสารก็มาถึงเมืองหลีเฮิ่น
เมืองสามดาวแห่งนี้แบ่งออกเป็นสี่เมืองเล็กคือ เมืองย่อยหลีเทียน เมืองย่อยเฮิ่นเปี๋ย เมืองย่อยต้าหวางและเมืองย่อยเซี่ยวหวาง ในหมู่เมืองย่อยทั้งสี่นี้ เมืองย่อยหลีเทียนคือเมืองที่ลำดับชั้นสูงที่สุด เมืองแห่งนี้มีเพียงสมาชิกตระกูลฟู่ และขุมอำนาจพันธมิตรเท่านั้นที่สามารถอาศัยอยู่ได้
ส่วนผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองย่อยเฮิ่นเปี๋ยนั้น จะเป็นเหล่าขุมอำนาจที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ รองลงมาจากนั้นคือเมืองย่อยต้าหวางและเมืองย่อยเซี่ยวหวาง ที่คนอาศัยอยู่จะเป็นเพียงพลเมืองทั่วไป โดยที่เมืองต้าหวางมีลำดับชั้นที่สูงกว่า
เม่าไต้พาจางชงและเม่าซูอวี่ติดตามมาด้วย ในขณะที่หลิงฮันเองก็พาจักรรรดินีและสตรีนกอมตะติดตามมา พวกเขาจำเป็นต้องอาศัยอยู่ในเมืองเซี่ยวหวางก่อนเป็นอันดับแรก และรอคำอนุญาติจากตระกูลฟู่
ในหมู่เมืองย่อยทั้งสี่ มีเพียงเมืองเซี่ยวหวางเพียงเมืองเดียวเท่านั้น ที่สามารถอาศัยอยู่ได้หากจ่ายค่าพำนักด้วยศิลาดวงดาว ในขณะที่เมืองอีกสามเมืองจำเป็นต้องขอคำอนุญาติ
หลังจากรอคอยอยู่หลายวัน พวกหลิงฮันก็ได้รับอนุญาติให้เข้าสู่เมืองหลีเทียนได้
เมืองย่อยทั้งสี่มีโครงสร้างเรียงกันเป็นแนวตั้ง ซึ่งการจะไปยังเมืองหลีเทียนที่อยู่บนสุด จำเป็นต้องเดินทางผ่านรูปแบบอาคมเคลื่อนย้าย เหตุผลที่สามารถใช้รูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายได้ก็เพราะว่า ระยะทางระหว่างเมืองนั้นไม่ได้ไกลกันจนเกินไป ทำให้การเผลาผลาญทรัพยากรอยู่ในระดับที่รับได้
หลังจากมาถึงเมืองหลีเทียน เม่าไต้และหลิงฮันก็แยกกัน
ถึงแม้ว่าเม่าไต้จะเป็นอัจฉริยะ แต่ศักยะภาพของเขาก็ยังด้อยกว่าหลิงฮัน เพราะงั้นการปฏิบัติที่ได้รับจากตระกูลฟู่จึงต่างกัน
หนึ่งวันต่อมา และแล้วฟู่เกาหยุนก็มาหาหลิงฮัน
“น้องชายหลิง ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที!” ทันทีที่ปรากฏตัว ฟู่เกาหยุนก็กอดไหล่ต้อนรับหลิงฮันอย่างอบอุ่น
หลิงฮันยิ้มตอบรับอย่างเป็นมิตร ในขณะที่จักรพรรดินีนั้นไม่ใช่ ‘เจ้ากล้ามาแตะต้องบุรุษของข้างั้นรึ?’
ฟู่เกาหยุนนั้นไม่ทำให้หลิงฮันผิดหวังแม้แต่น้อย เขาสามารถหาซื้อแร่โลหะจำนวนมากมาให้หลิงฮันได้ ซึ่งหลิงฮันก็บังเอิญได้รับความมั่งคั่งมาจากทรัพยากร ที่ตระกูลติงสะสมมานานหลายล้านปีพอดี
หลิงฮันในตอนนี้มีศิลาดวงดาวมากถึงหนึ่งร้อยล้านก้อนอยู่ในมือ ซึ่งกล่าวได้ว่าร่ำรวยเป็นอย่างมาก
“น้องชายหลิง หากเจ้าไม่มาล่ะก็ ผู้เฒ่าเหยี๋ยนจะต้องพิโรธเป็นแน่” ฟู่เกาหยุนกล่าว เหตุผลที่เขาต้องการให้หลิงฮันมาที่ตระกูลฟู่เร็วๆนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาต้องการพาหลิงฮันไปพบเซี่ยงเหยี๋ยน หากหลิงฮันไม่รีบมาล่ะก็ ปรมาจารย์นักปรุงยาที่ยิ่งใหญ่จะต้องระเบิดอารมณ์ใส่ตระกูลฟู่เป็นแน่
หลิงฮันหัวเราะและไปพบเซี่ยงเหยี๋ยนพร้อมกับฟู่เกาหยุน
อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สำหรับทดสอบอัจฉริยะเข้าตระกูลถูกนำกลับมาแล้ว พวกหลิงฮันเข้าสู่ประตูหินและมายังลานที่พักข้างปราสาท เมื่อเปิดประตูเข้าไป นอกจากเซี่ยงเหยี๋ยนแล้ว พวกเขายังพบเห็นชายชราผมขาวโพลน และสตรีงดงามผมดำยาวยืนอยู่ในห้องด้วย
เมื่อฟู่เกาหยุนเห็นสตรีงดงามผู้นั้น ใบหน้าของเขาก็กระตุกไปมา และมีท่าทางราวกับอยากจะเผ่นหนี
“โอ้ หยุนหยุนน้อย!” ทันทีที่สตรีผู้นั้นเห็นฟู่เกาหยุน นางก็ตะโกนเรียกเสียงดังโดยที่ไม่สำรวมกิริยาแม้แต่น้อย ท่าทางที่นางแสดงออกมานั้นห้าวหาญยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก “เหตุใดเจ้าถึงทำท่าเหมือนกับอยากจะหนีให้พ้นๆหน้าข้ากัน? ข้าไม่ได้จะระเบิดรูทวารเจ้าเสียหน่อย”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง หลิงฮันก็ทำใจทันทีว่าทำไมฟู่เกาหยุนก็ทำท่าทางเช่นนั้น สตรีผู้นี้มีนิสัยห้าวเกินไป…
“เด็กโง่ ทำไมเจ้าถึงไม่ทำตัวให้เป็นสุภาพสตรีบ้าง?” ชายชราผมขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ เขาคือซือถูถัง เมื่อถูกเซี่ยงเหยี๋ยนคะยั้นคะยออยู่หลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ยอมมาที่นี่ในวันนี้
สตรีผู้นี้คือหลานสาวของเขา ชื่อของนางคือซือถูเซี่ยวเจิน เนื่องจากบุตรและสะใภ้ของเขาเสียชีวิตไปนานแล้ว หลานสาวคนนี้จึงเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่
“คารวะผู้เฒ่าเหยี๋ยน ผู้เฒ่าถัง!” ฟู่เกาหยุนก้าวเดินมาด้านหน้าและแสดงความเคารพปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสอง
ชายชราสองคนนี้คือนักปรุงยาระดับสูงสุดในตระกูลฟู่ ซึ่งสมาชิกของตระกูลฟู่ทุกคนต่างมีความนอบน้อมต่อพวกเขา
ปรมาจารย์นักปรุงยาทั้งสองยิ้มตอบรับตามมารยาท และเมื่อเซี่ยงเหยี๋ยนพบเห็นหลิงฮัน เขาก็หัวเราะออกมาและกล่าว “เจ้าหนู ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว มานี่มานี่ ขอข้าทดสอบหน่อยว่าทักษะปรุงยาของเจ้าขึ้นสนิมบ้างรึเปล่า”
“เฒ่าเหยี๋ยน เจ้าเรียกข้ามาที่นี่ทำไม?” ซือถูถังกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง “เจ้าก็รู้ว่าข้ายุ่งอยู่ตลอดเวลา ข้าไม่มีเวลามามัวไร้สาระกับเจ้าหรอกนะ”
ซือถูเซี่ยวเจินจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาสงสัย เนื่องจากนางไม่เคยเห็นเซี่ยงเหยี๋ยนมีท่าทีเป็นมิตรต่อใครแบบนี้มาก่อน
ซือถูถังเค้นเสียงและกล่าวด้วยท่าทีเหยีดยหยาม “เฒ่าถัง ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่ามัวเสียเวลาอยู่กับเม็ดยาวายุเพลิงเก้าเมฆาอย่างเปล่าประโยชน์เลยจะดีกว่า”
“ฮึ่ม เจ้ากล้าพูดได้อย่างไรว่าข้าเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์?” เซี่ยงเหยี๋ยนแสยะยิ้มพร้อมกับโยนขวดเม็ดยาให้กับอีกฝ่าย แม้สีหน้าที่เขาแสดงออกมาจะดูเหมือนไม่แยแส แต่ภายในใจนั้นเขากำลังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ซือถูถังรับขวดเม็ดยามาตามสัญชาตญาณและกล่าว “นี่คืออะไร?”
“ลองเปิดดูสิ” เซี่ยงเหยี๋ยนสะบัดมือด้วยท่าทางโอ้อวด
“มัวแต่อมพะนำอยู่ได้” ซือถูถังเค้นเสียงและเปิดขวดเม็ดยาอย่างระมัดระวัง หลังจากได้กลิ่นเม็ดยาที่ลอยออกมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงราวกับเห็นผี
ทั่วร่างของเขาสั่นสะท้านก่อนจะอุทานออกมา “เม็ดยาวายุเพลิงเก้าเมฆา!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น