Alchemy Emperor of the Divine Dao 1739-1752
ตอนที่ 1739 อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เหนือชั้น
ตั้งแต่ที่หลิงฮันหายตัวไปตระกูลติงก็ออกตามหาเขามาตลอด เพียงแต่ว่าดินแดนแห่งเซียนนั้นกว้างใหญ่เกินไปและตระกูลติงก็เป็นเพียงขุมอำนาจระดับหนึ่งดาว แม้แต่ในเมืองธุลีจันทราพวกเขาก็ยังไม่อาจปิดท้องฟ้าได้ด้วยหนึ่งมือ ยิ่งนอกเมืองเมืองธุลีจันทรายิ่งไม่ต้องพูดถึง
สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงคาดเดาสถานที่ต่างๆที่หลิงฮันน่าจะมุ่งหน้าไป อย่างเช่นเมืองจันทราหม่นแสง หุบเหวสืบสานนิพพาน หรือสถานที่สำหรับทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานที่อื่น
ตระกูลติงมีตัวตนระดับโลกียนิพพานเพียงราวๆสิบคนและนิรันดร์จำนวนนั้นก็ไม่สามารถออกจากตระกูลพร้อมกับทั้งหมดได้ หากในระหว่างที่ไม่มีนิรันดร์คอยคุ้มครองตระกูลแล้วถูกสองตระกูลใหญ่รุกรานพวกเขาจะทำอย่างไร?
เพราะเหตุนั้นติงเหยาหลงจึงไม่อาจออกจากเมืองไปไหนได้ ติงซานและติงซงออกเดินทางไปตามหาหลิงฮันในเมืองจันทราหม่นแสง ส่วนนิรันดร์คนอื่นๆรับหน้าที่ไปตามหาในสถานที่อื่นๆและไปเยือนตระกูลหาน ต่อให้หานลู่จะเป็นฝ่ายทำลายวิหารบรรพบุรุษของตระกูลติง แต่ตระกูลติงก็ต้องไปอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟังเพื่อลบล้างความเข้าใจผิดกับตระกูลหาน
ติงซิ๋งนั้นเป็นนิรันดร์สองนิพพานที่รับหน้าที่มาตามหาหลิงฮันในหุบเหวสืบสานนิพพาน เนื่องจากว่าหากหลิงฮันทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานสำเร็จจริงๆ ในระดับนิรันดร์หนึ่งนิพพานด้วยกันย่อมไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ให้เขาได้
หลิงฮันจ้องมองไปยังติงซิ๋ง ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักชื่อของอีกฝ่ายแต่ก็เคยเห็นหน้าในตอนที่อยู่วิหารบรรพบุรุษ เมื่อนึกถึงวิหารบรรพบุรุษหลิงฮันก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “วิหารบรรพบุรุษของพวกเจ้าซ่อมแซมเสร็จแล้วรึยัง?”
มารดาเจ้าสิ!
เจ้ามีสิทธิ์จะถามเรื่องนั้นรึ?
“เจ้าตัวบัดซบ หากไม่ใช่เพราะเจ้าวิหารบรรพบุรุษของตระกูลข้าจะถูกทำลายงั้นรึ?” ติงซิ๋งคำรามด้วยดวงตาโหดเหี้ยม
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ตระกูลติงของเจ้าเต็มไปด้วยเหล่าคนชั่วช้า พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์มากล่าวโทษใครเมื่อถูกเล่นงานเองเสียบ้าง”
“ตาย!” ติงซิ๋งไม่พูดพล่ามและพลักฝ่ามือเข้าใส่หลิงฮันอย่างเกรี้ยวกราด
แต่ยังไม่ทันที่หลิงฮันจะทำการตอบโต้ จักรพรรดินีก็เป็นฝ่ายลงมือเสียก่อน นางเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานมาหมาดๆ จึงไม่แปลกที่จะไคร่อยากลองพลัง
‘ฟึบ’ ปราณดาบที่ส่องประกายแสงไปทั่วสวรรค์เก้าชั้นฟ้าถูกปลดปล่อยออกไป
ใบหน้าของติงซิ๋งแปรเปลี่ยนไปทันทีและรีบดึงฝ่ามือกลับ เขามีความรู้สึกว่าหากถูกปราณดาบของจักรพรรดินีโจมตีเข้าใส่จะต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน ส่วนจะบาดเจ็บแค่ไหนนั้น แม้เขาจะไม่รู้แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยง
จิตใจของติงซิ๋งเกิดความรู้สึกหวาดผวา นอกจากการถูกรุมด้วยจำนวนคนที่มากกว่าแล้ว เขาก็ไม่เคยรู้สึกถึงแรงกดดันขนาดนี้ทั้งๆที่ยังไม่เริ่มปะทะมาก่อน
แน่นอนว่าเขาจำสตรีตรงหน้าได้ นางคือสตรีที่ตัวติดกับหลิงฮันและก่อนหน้านี้เป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง การที่พลังของนางในตอนนี้ยกระดับขึ้นมาเป็นโลกียนิพพานก็แสดงว่านางเพิ่งทะลวงผ่านระดับได้ไม่นานและยังเป็นเพียงนิรันดร์หนึ่งนิพพานที่อ่อนแอ
ส่วนเขานั้นเป็นถึงนิรันดร์สองนิพพาน!
จักรพรรดินีไม่ปรานี นางปลดปล่อยการโจมตีอันรุนแรงเข้าใส่ติงซิ๋ง
ติงซิ๋งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปัดป้องการโจมตีที่พุ่งเข้ามา หลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่าไปได้ครู่หนึ่งเขาก็เริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
จักรพรรดินีนั้นบรรลุขั้นสมบูรณ์แท้จริงของระดับวารีนิรันดร์ ซึ่งหมายความว่าหลังจากทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแล้ว พลังต่อสู้ของนางจะไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน ยิ่งนางทะลวงผ่านด้วยวิธีการตัดขาดสวรรค์และปฐพีด้วยแล้ว พลังต่อสู้ของนางจึงไร้เทียมทานแม้จะเป็นการสู้ข้ามในระดับ!
หากนิรันดร์สองนิพพานคนใดต้องการเป็นคู่ต่อสู้ของจักรพรรดินี นิรันดร์สองนิพพานผู้นั้นจะต้องบรรลุขั้นสมบูรณ์แท้จริงของระดับวารีนิรันดร์หรือไม่ก็ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ติงซิ๋งมีพลังต่อสู้ที่สูงกว่านิรันดร์สองนิพพานทั่วไปเพียงเล็กน้อยและไม่ใช่ราชา จึงไม่เป็นไม่ได้เลยที่เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับจักรพรรดินี
ติงซิ๋งตกตะลึงเป็นอย่างมาก เหตุใดสตรีที่อยู่เคียงข้างหลิงฮันผู้นี้ถึงได้แข็งแกร่งนัก?
ยิ่งสู้ต่อใบหน้าของติงซิ๋งก็ยิ่งกลายเป็นบูดบึ้ง หลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่กระบวนท่าเขาก็หันหลังและเผ่นหนี
หากยังสู้ต่อเขาจะต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่แน่ๆ ต้องรีบนำเรื่องที่เกิดขึ้นไปรายงานติงเหยาหลง ติงซานและติงซง ในตระกูลติงมีเพียงสามคนนี้เท่านั้นที่จะสามารถกำราบหลิงฮันและจักรพรรดินีได้ หากยังปล่อยให้ทั้งสองคนเติบโตไปมากกว่านี้ เกรงว่าตระกูลติงจะไม่มีที่ยืนอีกต่อไป!
“ทำไมรีบร้อนนักล่ะ? พวกเรายังคุยเรื่องวันวานกันไม่จบเลย” หลิงฮันโคจรแสงอัสนี ร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและเคลื่อนด้วยความเร็วที่เหนือกว่านิรันดร์สองนิพพานไปขวางทางติงซิ๋ง
“รนหาที่ตาย!” ถึงแม้ติงซิ๋งจะกำลังหลบหนี แต่เขาก็ยังมีความหยิ่งผยองของนิรันดร์สองนิพพาน เขาเค้นเสียงเย็นชาและผลักฝ่ามือโจมตีใส่หลิงฮัน
อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เขาฝึกฝนคืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารี เมื่อผสานเข้ากับทักษะยุทธด้วยแล้ว สภาพแวดล้อมในระยะพันไมล์จึงถูกแช่แข็ง
หลิงฮันหัวเราะ คิดจะปะทะกับเขาด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์? เอาไว้บรรลุเป็นนิรันดร์สามนิพพานก่อนแล้วกัน!
‘ครืนน’ เขาโคจรเพลิงเก้าสวรรค์ คลื่นเปลวเพลิงเก้าคลื่นถูกปลดปล่อยออกมาและแปรสภาพกลายเป็นสัตว์อสูรนิรันดร์ไม่ว่าจะเป็นมังกรเพลิง วิหคเพลิงอมตะและอื่นๆ
ออร่าอันร้อนระอุที่พรั่งพรูออกมาจากสัตว์อสูรทั้งเก้าส่งผลให้ความเย็นยะเยือกจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของติงซิ๋งสลายไปทันที
ติงซิ๋งปากกระตุก อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาถูกกำราบ? เป็นไปได้อย่างไร!
ต่อให้หลิงฮันจะมีพลังต่อสู้ที่ราวกับสัตว์ประหลาด แต่ก็ไม่มีทางที่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของนิรันดร์หนึ่งนิพพานจะเหนือไปกว่าของนิรันดร์สองนิพพาน
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ทางรู้ได้ว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงที่หลิงฮันปลดปล่อยออกมานั้น ไม่ใช่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของตัวหลิงฮันเองแต่เป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเพลิงเก้าสวรรค์
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าจะคืนการโจมตีของเจ้าคืนให้!”
เขาสลายอำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์และโคจรวารีพลังหยินเร้นลับ พริบตานั้นเองอุณหูมิอันร้อนระอุก็หายไปและแทนที่ด้วยดาบเหมันต์จำนวนมาก บนดาบเหมันต์เหล่านี้ประดับเอาไว้ด้วยตราประทับแห่งเต๋าอันเย็นยะเยือก
บ้าไปแล้ว!
สีหน้าของติงซิ๋งในตอนนี้ตกตะลึงราวกับเห็นผี
นั่นมันอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารี!
เป็นไปได้อย่างไรกัน!
เจ้าเพิ่งจะบรรลุระดับโลกียนิพพานแท้ๆ อย่างมากที่สุดอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเจ้าก็สมควรจะแข็งแกร่งอยู่ในระดับของหนึ่งนิพพาน แต่นอกจากเจ้าจะกำราบข้าด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงแล้ว อำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีของเจ้าก็ยังน่าสะพรึงกลัวไม่แพ้กันด้วย
เจ้าเอาเวลาจากไหนไปฝึกฝนกัน? นี่เจ้ากินยาพิสดารอะไรเข้าไปรึเปล่า?
พระเจ้าช่วย… เจ้ามันสัตว์ประหลาด!
ตอนที่ 1740 หอคอยสามภพ
ติงซิ๋งหวาดผวา แต่เนื่องจากร่างกายของเขาถูกแช่แข็งเอาไว้จึงเคลื่อนไหวได้ช้าเกินพรรณนา
จักรพรรดินีใช้โอกาสนี้ลงมือ
ตูม!
ร่างของติงซิ๋งที่ถูกแช่แข็งราวกับรูปปั้นน้ำแข็งถูกทำลายแหลกออกเป็นเศษน้ำแข็งนับหมื่นก้อน และด้วยการที่ร่างของเขาถูกแช่แข็งอยู่ โลหิตจึงไม่ไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
วารีพลังหยินเร้นลับมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีที่เย็นยะเยือกที่สุดในโลก!
แต่นิรันดร์สองนิพพานก็ใช่ว่าจะตายง่ายๆ ดวงวิญญาณของติงซิ๋งลอยออกมาจากร่างกายและพยายามหลบหนี
ดวงวิญญาณของเขามีขนาดเล็กเท่ากำปั้นและเคลื่อนไหวได้ว่องไวจนยากที่จะจับทัน
จักรพรรดินีเค้นเสียงเย็นชาและชี้นิ้วออกไป ‘พรึบ’ คลื่นดาบพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วที่เหนือกว่า
‘ฉัวะ’ ดวงวิญญาณของติงซิ๋งระเบิดออกราวกับดอกไม้ไฟและกระจัดกระจายไปทั่วทิศทาง
นิรันดร์สองนิพพานสิ้นชีพอย่างน่าอนาถ!
จักรพรรดินีและหลิงฮันมองหน้ากัน ทั้งสองคนคือราชาที่มีพลังต่อสู้ไร้เทียมทานในระดับสองนิพพาน เมื่อพวกเราร่วมมือกันการจะสังหารติงซิ๋งได้ในสองถึงสามกระบวนท่าย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
“ไปหาคนอื่นๆกันเถอะ ไม่รู้ว่าจ่างซุนเหลียงและราชาคนอื่นๆปะทะกันรึยัง” หลิงฮันกล่าว
ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังเมืองจันทราตระหง่าน
“จะว่าไปแล้วทำไมหอคอยทมิฬชั้นที่เจ็ดถึงไม่เปิดออก?” จู่ๆหลิงฮันก็นึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“ข้าก็ไม่รู้” หอคอยน้อยสับสน “หลังจากที่เจ้าบรรลุระดับโลกียนิพพาน ข้าได้รับความทรงจำบางอย่างกลับคืนมาซึ่งมันก็ทำให้มีปริศนาที่ไม่เข้าใจเพิ่มขึ้นไปอีก แต่สิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจในตอนนี้คือข้าได้รู้แล้วว่าตัวข้าคืออะไร”
เจ้าก็คือหอคอยปากเสียไม่ใช่รึไง?
“เจ้าหมายถึง เจ้ารู้ชื่อเรียกที่แท้จริงของหอคอยทมิฬแล้ว?” หลิงฮันเอ่ยถาม
หอคอยทมิฬนั้นเป็นเพียงชื่อที่เขาตั้งขึ้นมาเองเพราะตัวหอคอยมีสีดำสนิท ซึ่งในความเป็นจริงเขาก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับหอคอยนี้เท่าไหร่
“อืม” หอคอยน้อยพยักหน้า “ชื่อเรียกที่แท้จริงของข้าคือ… หอคอยสามภพ!”
ครืนนน!
ทันใดนั้นเองเสียงกึกก้องราวกับสวรรค์และปฐพีกำลังสั่นสะท้านก็ดังสนั่นไปทั่วผืนดิน
หลิงฮันเผยท่าทางตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด ต้องเป็นเพราะหอคอยน้อยกล่าวว่า ‘หอคอยสามภพ’ แน่ๆที่ทำให้สวรรค์เกิดการตอบสนอง บางสิ่งบางอย่างที่ทรงพลังมากจนสามารถทำให้สวรรค์และปฐพีสั่นคลอนนั้น เพียงแค่เรียกชื่อของมันสวรรค์และปฐพีก็จะตอบสนอง
มีคำกล่าวว่าราชานิรันดร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพียงแค่เรียกชื่อของราชานิรันดร์ก็สามารถทำให้เกิดอัสนีบาตได้
แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่บทสนทนาของเขากับหอคอยทมิฬนั้นถูกจำกัดอยู่ในห้วงจิตวิญญาณ!
หอคอยสามภพคือการมีอยู่ที่ท้าทายสวรรค์ขนาดนั้นเชียว?
“อย่าได้เอ่อชื่อนั้นออกมา แม้แต่นึกถึงก็ห้าม” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่เช่นนั้นตัวตนที่ยิ่งใหญ่อาจจะรู้ตัวได้”
เดี๋ยวก่อน… หรือว่าที่หอคอยทมิฬตกไปอยู่ในทวีปฮงเทียนจะเป็นเพราะต้องการหลบหลีกการรับรู้ของตัวตนยิ่งใหญ่ที่ว่า?
จะว่าไปแล้ว จักรพรรดิจอมอสูรเองก็เคยบอกเหมือนกันว่าทวีปฮงเทียนนั้นครั้งหนึ่งเคยเห็นส่วนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ล่วงหล่นไปยังโลกใบเล็ก
หรือความจริงนั้นเจ้าของคนเก่าของหอคอยทมิฬจะคิดว่าการทิ้งหอคอยทมิฬเอาไว้ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะยังไม่ปลอดภัยพอ ถึงได้จงใจส่งหอคอยทมิฬไปยังโลกใบเล็กเพื่อซ่อนให้มิดชิดยิ่งกว่าเดิม
หลิงฮันลองถามหอคอยน้อยในเรื่องนี้แต่หอคอยน้อยก็ไม่รู้อะไร
ในเมื่อเป็นคำถามที่ไม่มีทางได้คำตอบหลิงฮันจึงเลิกคิดเรื่องนี้ เวลาผ่านไปไม่นานพวกเขาสามคนก็กลับมาถึงเมืองจันทราตระหง่าน
หลิงฮันไม่จำเป็นต้องสืบหาข้อมูลก็รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนได้ทันทีเนื่องจากกำลังเป็นประเด็นพูดคุยอันร้อนแรง
ราชาแห่งยุคอย่างจ่างซุนเหลียง เซียวเซิ่ง ซ่งจี๋ หม่าอิ่งและคนอื่นทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้สำเร็จและทำการปะทะกัน
ศึกแรก จ่างซุนเหลียงสามารถเอาชนะเซียวเซิ่งได้
ศึกที่สอง ซ่งจี๋ท้าประลองจ่างซุนเหลียง แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดแพ้หรือชนะ
ศึกที่สาม หม่าอิ่งและเซียวเซิ่งประลองกันสามวันสามคืน และจบลงด้วยผลลัพธ์ที่ว่าหม่าอิ่งพ่ายแพ้เพราะด้อยกว่าเล็กน้อย
นอกจากพวกเขาแล้วก็ยังมีรุ่นเยาว์ที่ทรงพลังอีกหลายคนปรากฏตัว แม้รุ่นเยาว์เหล่านั้นจะไม่แข็งแกร่งเท่าพวกจ่างซุนเหลียงแต่ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ
การปะทะกันของเหล่ารุ่นเยาว์คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้ว โดยสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นคืองานเลี้ยงที่ตระกูลฟู่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ตระกูลฟู่ได้เชิญชวนเหล่าอัจฉริยะทั้งหมดที่ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานในหุบเหวสืบสานนิพพานสำเร็จ
มีสุดยอดอัจฉริยะบางส่วนอย่างจ่างซุนเหลียง เซียวเซิ่งและราชาแห่งยุคคนอื่นๆที่ควรค่าแก่การเชิญชวนให้เข้าร่วมตระกูล
ตระกูลฟู่ไม่ใช่ขุมอำนาจที่มีเพียงคนของตัวเอง มีบ่อยครั้งที่พวกเขาเชื้อเชิญให้เหล่าอัจฉริยะเข้าร่วมกับตน ซึ่งเหล่าอัจฉริยะที่ว่าก็ล้วนแต่ยินยอม
ยกตัวอย่างเช่นจ่างซุนเหลียง ถึงแม้เขาจะมีศักยภาพที่โดดเด่น แต่หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากขุมอำนาจสามดาว ความเป็นไปได้ที่จะบรรลุระดับขอบเขตตำหนักอมตะก็แทบจะเป็นศูนย์! การจะทะลวงผ่านระดับพลังที่สูงขึ้น จำเป็นต้องได้รับการชี้แนะจากตัวตนทรงพลังที่สะสมและตกผลึกประสบการณ์ในศาสตร์วรยุทธอยู่ก่อนแล้ว การทะลวงผ่านระดับพลังด้วยความพยายามของตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ยากแสนยาก
ฉายา ‘ราชา’ เป็นเพียงคำที่แสดงถึงศักยภาพในการต่อสู้ระดับเดียวกันอันไร้เทียมทานเท่านั้น การจะรู้แจ้งและทะลวงผ่านสู่ระดับพลังใหม่ที่ไม่คุ้นเคยได้หรือไม่นั้นไม่ได้เกี่ยวกับฉายา ‘ราชา’ เลยแม้แต่น้อย
เพราะเหตุนี้ทุกคนจึงต้องการให้ได้รับเชิญเข้าร่วมตระกูลฟู่
ในครั้งนี้มีจอมยุทธมากมายที่สามารถเข้าร่วมตระกูลฟู่ได้ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะหลิงฮันกับจักรพรรดินี ทั้งสองคนตัดขาดสวรรค์และปฐพีสำเร็จจนทำให้อำนาจของสวรรค์และปฐพีเกิดการเปลี่ยนแปลง คนอื่นๆจึงทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้ง่ายดายขึ้น
คนที่แต่เดิมไม่มีหวังจะทะลวงผ่านสำเร็จกลับกลายเป็นสำเร็จ คนที่แต่เดิมสามารถตัดนิพพานได้ไม่สมบูรณ์และมีพลังต่อสู้ธรรมดา ก็กลายเป็นว่าตัดนิพพานได้สมบูรณ์
ด้วยเหตุนี้จำนวนคนที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลฟู่ได้จึงมีถึงสองร้อยเจ็ดสิบสองคน ซึ่งคนจำนวนนี้สามารถนำมิตรสหายเข้าร่วมงานได้
งานเลี้ยงไม่ได้จัดขึ้นที่ต้นตระกูลฟู่เนื่องจากอยู่ไกลเกินไปและถูกจัดขึ้นที่ภูเขานภาโปร่งด้านนอกเมืองจันทราตระหง่าน
หลิงฮันตั้งใจจะลองไปยังตระกูลฟู่ดูและใช้อำนาจของตระกูลฟู่ค้นหาที่ตั้งของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เขา จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะพักผ่อนกันหนึ่งวัน ทั้งสามก็มุ่งหน้าไปยังภูเขานภาโปร่ง
ที่ตีนเขามีประตูหินขนาดเล็กตั้งอยู่ซึ่งถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงชน มีเพียงคนส่วนหนึ่งเท่านั้นที่จะสามารถผ่านเข้าประตูไปได้ และตราบใดที่ก้าวเท้าผ่านประตูหินเข้าไป ร่างของคนคนนั้นจะหายไปทันที
หลิงฮันคาดเดาได้ไม่ยากว่าประตูหินบานนี้สมควรเป็นอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์
ที่ด้านหน้าประตูมีใครบางคนยืนเฝ้าอยู่ หากจะผ่านเข้าไปจำเป็นต้องแสดงบัตรเชิญเสียก่อน
“พวกเราไม่มีบัตรเชิญแล้วจะเข้าไปได้อย่างไร?” สตรีนกอมตะเอ่ยถาม
ตอนที่ 1741 ไม่มีบัตรเชิญแล้วจะทำไม?
“เดินเข้าไปแบบนี้นั่นล่ะ” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาใช้มือซ้ายและขวาโอบเอวของภรรยาทั้งสองเดินผ่าฝูงคนเข้าไปยังประตูหิน ด้วยออร่าอันทรงพลังที่ปลดปล่อยออกมาผู้คนรอบข้างจึงยอมหลีกทางให้เขาอย่างว่าง่าย
เพราะอย่างไรผู้คนที่มุงดูอยู่รอบด้านก็เป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วจึงไม่อาจต้านทานออร่าระดับโลกียนิพพานของหลิงฮันได้
“ขอบัตรเชิญด้วย” ยามเฝ้าประตูคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง ด้วยพลังบ่มเพาะระดับหนึ่งนิพพานของเขาย่อมเพียงพอที่จะจัดการความวุ่นวานที่อาจเกิดขึ้น
สมกับเป็นตระกูลฟู่ที่ทรงอำนาจ แม้แต่ยามเฝ้าประตูก็ยังเป็นถึงนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน!
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “พวกข้าเพิ่งออกมาจากหุบเหวสืบสานนิพพานจึงไม่ได้รับบัตรเชิญ”
ชายวัยกลางคนมองมายังหลิงฮันด้วยแววตาสงสัย
เพิ่งกลับออกมา?
หุบเหวสืบสานนิพพานเพิ่งจะปิดตัวลงไป โดยเจ้าจะบอกว่าตนเองบังเอิญกลับออกมาได้ในเวลาพอเหมาะพอเจาะงั้นรึ? คิดหรือว่าข้าจะยอมเชื่อ?
ชายวัยกลางคนคิดว่าหลิงฮันสมควรเป็นจอมยุทธที่ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานเมื่อนานมาแล้วแต่คิดจะฉวยโอกาสเข้าร่วมงานเลี้ยงเพื่อหวังเข้าร่วมตระกูลฟู่
“ต้องขออภัยด้วย หากไม่มีบัตรเชิญข้าคงต้องขอให้เจ้ากลับไป” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิงฮันไม่ได้รู้สึกฉุนเฉียวอะไรและกล่าวกลับไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “โปรดรายงานเรื่องของข้าไปบอกแม่นางฟู่เสี่ยวอวิ๋นรับรู้ด้วย”
นี่เจ้ามาที่นี่เพื่อไล่ตามธิดาฟู่เสี่ยวอวิ๋น
ชายวัยกลางคนเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที ฟู่เสี่ยวอวิ๋นคือตัวตนที่ในอนาคตจะบรรลุกลายเป็นนิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะ นางไม่ใช่สตรีที่คนอย่างเจ้าจะเอื้อมถึง
“หากเจ้ายังพูดจาไร้สาระอยู่อย่าได้หาว่าข้าไม่สุภาพ” ชายวัยกลางคนเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าไม่ได้ยินรึไง เขาบอกให้เจ้าไสหัวไป!” เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาจากด้านหลังฝูงชน
เมื่อทุกคนหันไปมองก็พบกับร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งที่ใบหน้าประดับเอาไว้ด้วยท่าทางหยิ่งยโสอวดดี
รุ่นเยาว์ผู้นี้มีชื่อว่าหนิงฮ่าว เขาคือหนึ่งในอัจฉริยะที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานสำเร็จ
โดยปกติแล้วด้วยพรสวรรค์ของหนิงฮ่าว เขาสมควรเป็นเพียงแค่นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานทั่วไป แต่เนื่องจากอำนาจของสวรรค์และปฐพีเกิดการเปลี่ยนแปลง โชคชะตาของเขาจึงแปรเปลี่ยนและสามารถตัดขาดนิพพานได้อย่างสมบูรณ์
พวกจ่างซุนเหลียงกับเซียวเซิ่งก็เป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานที่สมบูรณ์เหมือนกับเขาไม่ใช่รึไง? เพราะงั้นจึงไม่แปลกที่หนิงฉ่าวผู้นี้จะรู้สึกว่าตัวเองสูงส่ง
และเมื่อเขาได้พบเห็นหลิงฮันกับจักรพรรดินีที่เป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเหมือนกัน จึงอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทียกตนข่มท่าน ทั้งสองเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานไร้ชื่อ มีรึจะมาเทียบกับนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานสมบูรณ์เช่นเขาได้?
เขาเองก็มีสตรีอยู่ข้างกายเช่นเดียวกัน สตรีของหนิงฮ่าวผู้นี้มีรูปลักษณ์ที่งดงามและหยิ่งยโส มืออันเรียวบางของนางโอบกอดแขนของหนิงฮ่าวเอาไว้และเชิดหน้าเชิดตาจนจมูกแทบจะทิ่มท้องฟ้า
หลิงฮันหันหลัง เขาขมวดคิ้วก่อนจะกล่าว “ไม่เห็นรึไงว่าคนกำลังคุยกันอยู่? หุบปากหมาๆของเจ้าไปซะ”
ช่างกล้า!
“เจ้าอยากตาย?” ดวงตาของหนิงฮ่าวส่องประกายเย็นชาพร้อมกับกวาดมองสตรีนกอมตะและจักรพรรดินี มุมปากของเขายกขึ้นแสยะยิ้มและกล่าว “แม่นางทั้งสอง พวกเจ้าอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลฟู่? ไม่ใช่เรื่องยาก ตราบใดที่เลิกยุ่งกับบุรุษผู้นี้ข้าจะพาพวกเจ้าเข้าไป”
“พี่ชายฮ่าว แล้วข้าล่ะ?” สตรีที่อยู่ข้างกายหนิงฮ่าวฮึดฮัดไม่พอใจ ตามกฎของของงานเลี้ยง ผู้เข้าร่วมสามารถพาคนอื่นเข้าไปด้วยได้แค่คนเดียว
หนิงฮ่าวกระชากแขนกลับและกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าไสหัวไป!”
สตรีผู้นั้นชะงักร่างแข็งค้างไปชั่วขณะก่อนจะสบถออกมา “ดี… หนิงฮ่าว คนนิสัยเช่นเจ้าย่อมไม่มีวันได้ดีในชีวิตนี้!”
ใบหน้าของหนิงฮ่าวกลายเป็นมืดมนและปลดปล่อยจิตสังหารออกมา สตรีผู้นี้กล้าสาปแช่งเขาต่อหน้าสาธารณะชน?
“ไสหัวไป!” จักรพรรดินีไม่สบอารมณ์และผลักฝ่ามือออกมา
‘ครืนน’ ปราณก่อเกิดควบแน่นกลายเป็นฝ่ามือคลื่นพลังที่เล็กและเรียวงามจู่โจมเข้าใส่ใบหน้าหนิงฮ่าว
หนิงฮ่าวแสยะยิ้ม เห็นแก่เรือนร่างอันงดงามข้าเลยให้โอกาสเจ้า แต่สุดท้ายเจ้ากลับลืมตัวว่าตนเองเป็นใคร? เขายกฝ่ามือขึ้นมาและผลักออกไปเพื่อตอบโต้การโจมตีของจักรพรรดินี
‘ครืนน’ ฝ่ามือคลืนพลังของเขามีขนาดใหญ่และประดับไว้ด้วยตราประทับแห่งเต๋าอันทรงพลังของระดับโลกียนิพพาน
เมื่อฝ่ามือคลื่นพลังของทั้งสองเข้าปะทะกัน ฝ่ามือขนาดเล็กของจักรพรรดินีได้ถูกฝ่ามือขนาดใหญ่ของหนิงฮ่าวกลบจนมองไม่เห็น แต่พริบตาต่อมานั่นเอง จู่ๆฝ่ามือขนาดใหญ่ก็แหลกสลายหายไปอย่างสมบูรณ์ราวกับว่าไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อน
มือปราณก่อเกิดอันเรียวบางของจักรพรรดิปรากฏสู่สายตาอีกครั้งและพุ่งเข้าใส่หนิงฮ่าว
ใบหน้าของหนิงฮ่าวเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
การที่ฝ่ามือคลื่นพลังของเขากับของสตรีตรงหน้าปะทะกันแต่มีเพียงฝ่ามือของเขาที่สลายไปอย่างสมบูรณ์นั้นหมายความว่าอย่างไรน่ะรึ?
มันหมายความว่าพลังต่อสู้ของเขากับนางแตกต่างกันเกินไป!
ตูม!
ใบหน้าของหนิงฮ่าวถูกซัดอย่างรุนแรงและสลบเหมือดทันที
“ฮึ!” สตรีที่มากับหนิงฮ่าวเดินเข้าไปถุยน้ำลายใส่หนิงฮ่าวก่อนจะหันกลังเดินจากไป
จักรพรรดินีมีพลังต่อสู้ไร้เทียมทานในระดับสองนิพพาน หลิงฮันจึงไม่รู้สึกประหลาดใจอะไรกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เขายิ้มไปยังชายวัยกลางคนและกล่าว “ช่วยให้พวกข้าผ่านไปได้รึไม่?”
ชายวัยกลางคนชะงักแข็งค้าง เขาเองก็เป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานเช่นกันจึงรู้ดีว่าหนิงฮ่าวนั้นไม่ได้อ่อนแอและค่อนข้างแข็งแกร่งด้วยซ้ำ แต่ถึงจะอย่างนั้นอีกฝ่ายกลับถูกซัดจนสลบในพริบตา
เขารีบเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วและกล่าว “เชิญทั้งสามคน!”
คนเหล่านี้ไม่มีทางโกหกแน่ว่าเพิ่งกลับออกมาจากหุบเหวสืบสานนิพพาน เพราะหากไม่ใช่การตัดนิพพานจากเขตแดนลี้ลับที่มีอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีที่หนาแน่นแล้ว ย่อมไม่มีทางมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้
หลิงฮันพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าไปยังประตูหินพร้อมกับจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะ เมื่อพวกเขาผ่านประตูเข้ามาทิวทัศน์ที่เห็นก็เปลี่ยนไป ด้านหน้าพวกเขาปรากฎภูเขาและธารน้ำราวกับเป็นโลกขนาดย่อมๆ
“เรียนเชิญทั้งสามคนทางนี้” ภายในโลกขนาดย่อมมีคนรอต้อนรับพวกเขาอยู่
หลิงฮันและภรรยาทั้งสองเดินตามคนนำทางมายังพระราชวังที่งดงาม
“แขกผู้มีเกียรติทั้งสาม งานเลี้ยงจะถูกจัดขึ้นในพระราชวังแห่งนี้ ขอเชิญพวกท่านตามอัธยาศัย” คนต้อนรับหันหลังเดินกลับไปยังทางเดิมเพื่อรอนำทางแขกคนอื่นๆ
แต่ในขณะที่หลิงฮันกำลังจะก้าวเดินเข้าสู่พระราชวังนั่นเอง จู่ๆเขาก็ทำจมูกฟุดฟิดและเปลี่ยนทิศทางเดินไปยังลานที่พักแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้างพระราชวัง
ตอนที่ 1742 ช่วยหลอมเม็ดยา
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของหลิงฮันคือกลิ่นสมุนไพร
ในฐานะจักรพรรดิปรุงยา แม้ในตอนนี้เขาจะไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์แต่ก็ยังมีศักยะภาพที่อัจฉริยะเหนือใคร เพียงแค่กลิ่นที่เล็ดรอดออกมาเล็กน้อยก็ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจนอดใจเดิมตามกลิ่นมาไม่ไหว
มันคือเม็ดยาระดับนิรันดร์!
แต่เดิมแล้วหลิงฮันไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรงานเลี้ยงมาก เขาตั้งใจจะมากินดื่มเฉยๆแต่ไม่คาดคิดว่าที่นี่จะมีใครบางคนกำลังหลอมเม็ดยาอยู่ เขารู้สึกสนใจที่จะพบเจอกับนักปรุงยาผู้นี้เป็นอย่างมาก
ตอนนี้เขาบรรลุระดับโลกียนิพพานแล้ว ซึ่งมีคุณสมบัติเพียงพอจะหลอมเม็ดยาระดับนิรันดร์
หลิงฮันเปิดประตูเข้าไปด้านในลานที่พักโดยที่ไม่พบเจอใครเฝ้าอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เดิมโลกใบนี้ก็เป็นอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ส่วนตัวอยู่แล้วและไม่มีใครเข้ามาในเวลาปกติ เพราะงั้นทำไมต้องส่งคนมาคุ้มกันลานที่พักด้วย? แม้จะเป็นในเวลานี้ทุกคนต่างก็ล้วนมุ่งหน้าเข้าสู่พระราชวังโดยไม่สนใจลานที่พักแห่งนี้แม้แต่น้อย
หลิงฮันเดินมาถึงห้องขนาดใหญ่ที่ว่างแทบจะไม่มีสิ่งของอะไรวางเอาไว้ ตรงกลางห้องมีเพียงเตาหลอมสูงสิบฟุตตั้งอยู่ ซึ่งแทนที่จะเรียกว่าเตาหลอมมันดูเหมือนกับหอคอยเสียมากกว่า
ด้านล่างเตาหลอมเปลวเพลิงอันร้อนระอุกำลังลุกโชนและมีชายชราผู้หนึ่งกำลังเคลื่อนที่ไม่มารอบเตาหลอม ทุกครั้งที่เขาเคลื่อนไหวอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงจะพรั่งพรูออกมาจากฝ่ามือ
หลิงฮันขมวดคิ้วและกล่าว “ไม่ได้การแล้ว!”
เมื่อสิ้นเสียงของเขา การเคลื่อนไหวของชายชราก็เริ่มช้าลงและมีเหงื่อไหลท่วมหน้าผาก ทั่วทั้งเตาหลอมเกิดการสั่นไหวราวกับกำลังจะระเบิด
“รีบมาช่วยข้าเร็ว!” ชายชราตะโกนลั่น
จะให้ช่วยยังไง?
ถึงแม้หลิงฮันจะเป็นอัจฉริยะแห่งศาสตร์ปรุงยา แต่เขาก็ไม่เคยหลอมเม็ดยาระดับนิรันดร์มาก่อน
เพียงแต่ว่าฉายาจักรพรรดิปรุงยาของเขานั้นไม่ได้เป็นเพียงชื่อเรียก จะรู้วิธีหลอมเม็ดยามาก่อนรึไม่นั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะเขาสามารถเรียนรู้วิธีการหลอมได้จากการเคลื่อนไหวและขยับมือของชายชรา
ไม่ว่าจะเป็นเม็ดยาระดับใด สุดท้ายการหลอมเม็ดยาก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมเปลวเพลิง
แน่นอนว่าความเข้าใจในชนิดเม็ดยาอย่างลึกซึ้งก็สำคัญ แต่นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับหลิงฮันในตอนนี้
สิ่งที่เขาต้องช่วยมีเพียงแค่ช่วยไม่ให้เตาหลอมระเบิดเท่านั้น
เขาจ้องมองการเคลื่อนไหวและการขยับมือของชายชราอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลงมือ
‘พรึบ พรึบ พรึบ พรึบ’ เขาขยับมือควบคุมเตาหลอมด้วยเพลิงเก้าสวรรค์
ในตอนแรกแม้การเคลื่อนไหวของเขาจะดูค่อนข้างตะกุกตะกักเล็กน้อยแต่ก็เปลี่ยนเป็นเชี่ยวชาญอย่างรวดเร็ว
นี่คือศักยภาพของจักรพรรดิแห่งศาสตร์ปรุงยา
การเคลื่อนไหวของเขาในตอนนี้เป็นเพียงการขยับตามชายชราเท่านั้น หากไม่มีชายชราเป็นต้นแบบเขาย่อมไม่สามารถทำอะไรต่อเองได้
ทางด้านของชายชรานั้น เขาขยับมืออย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากควบคุมอุณหภูมิของเตาหลอมแล้ว เขายังต้องผสมสมุนไพรให้รวมเป็นเนื้อเดียวกันอีกด้วยซึ่งเป็นงานที่สาหัสเกินกว่าจะทำเพียงคนเดียว เพียงแต่ว่าตอนนี้หลิงฮันได้มาช่วยควบคุมอุณหภูมิของเตาหลอมแทนเขาแล้ว ชายชราจึงสามารถตั้งสมาธิไปแค่กับการผสมสมุนไพรได้
หนึ่งชายชราและหนึ่งรุ่นเยาว์ร่วมมือกันอย่างขะมักขะเม่นในขณะที่จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะรอคอยอยู่เงียบๆ
หลิงฮันและชายชราวุ่นวายกับการหลอมเม็ดยาเป็นเวลากว่าครึ่งวัน
‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ ชายชราผลักฝ่ามือออกไปเจ็ดสิบสองครั้งติดต่อกัน ‘ครืนนน’ เตาหลอมส่งเสียงสั่นสะท้านก่อนที่เปลวเพลิงจะค่อยๆสลายไป
“ฮ่าๆๆๆ!” ชายชราหัวเราะลั่น “หนึ่งพันสามร้อยล้านปี… ในที่ที่สุดข้าก็หลอมเม็ดยาวายุเพลิงเก้าเมฆาสำเร็จ! เฒ่าชราซือถู ในที่สุดข้าก็เหนือกว่าเจ้าแล้ว!”
เขาหัวเราะอยู่นานสักพักกว่าจะสังเกตเห็นหลิงฮันและเผยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าเป็นใคร?”
หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร แต่ขอให้ข้ายื่นมือเข้าไปช่วยงั้นรึ?”
ชายชราอ้าปากค้างด้วยความตะลึง “ข้านึกว่าเจ้าเป็นผู้ช่วยที่แม่หนูนั่นส่งมาให้ข้าเสียอีก ไม่ใช่หรอกรึ?”
แม่หนูคนไหนกัน?
หลิงฮันส่ายหัว “ข้าไม่ใช่ผู้ช่วยที่ท่านว่า”
ชายชราเกาหัวสับสนแต่ก็หัวเราะออกมา “จะใช่หรือไม่ก็ช่าง แต่ในที่สุดข้าก็หลอมเม็ดยาวายุเพลิงเก้าเมฆาสำเร็จ! เจ้าหนู เจ้าคงไม่รู้ว่าเม็ดยาชนิดนี้หลอมได้ยากเย็นแค่ไหน เพราะงั้นข้าจะเล่าให้ฟังเอง”
เขาประสบปัญหากับการหลอมเม็ดยาชนิดนี้มานานกว่าหนึ่งพันสามร้อยล้านปี เมื่อตอนนี้เขาทำสำเร็จแล้วจึงไม่แปลกที่เขาจะรู้สึกตื่นเต้นและอยากเล่าเรื่องราวให้กับใครสักคนฟัง เขาจับมือหลิงฮันไว้แน่นและพล่ามไม่หยุดโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าว่าหลิงฮันจะอยากฟังหรือไม่
เรื่องราวมีอยู่ว่าชายชราได้รับตำราเม็ดยาโบราณชนิดหนึ่งมาครอบครอง แต่เนื่องจากตำราที่ว่าเก่าแก่เกินไปเนื้อหาจึงไม่สมบูรณ์ ชายชราพยายามศึกษาหาวิธีต่างๆเป็นเวลาห้าร้อยล้านกว่าปีกว่าจะฟื้นฟูเนื้อหาของตำรากลับมาได้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลอันใดแม้ตำราจะสมบูรณ์แล้วแต่เขาก็หลอมเม็ดยาไม่สำเร็จเสียที
ชายชราผู้นี้มีชื่อว่าเซี่ยงเหยี๋ยน เขามีคู่หูที่ร่วมมือช่วยกันฟื้นฟูตำราเม็ดยาอยู่คนหนึ่งชื่อว่าซือถูถัง ทั้งสองเคยเป็นสหายที่ดีต่อกัน แต่เพราะพวกเขามีหลักวิธีการในการฟื้นฟูตำราเม็ดยาโบราณที่ต่างกันจึงมีการทะเลาะกันเกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง ทั้งสองต่างหวังว่าวิธีการของตนเองจะสามารถหลอมเม็ดยาโบราณชนิดนี้สำเร็จเพื่อที่จะได้หักหน้าอีกฝ่าย
เซี่ยงเหยี๋ยนนั้นตื่นเต้นมากจนถึงขนาดบอกวิธีหลอมและสรรพคุณของเม็ดยาให้หลิงฮันฟัง เม็ดยาวายุเพลิงเก้าเมฆามีสรรพคุณสำหรับใช้รักษาบาดแผล ต่อให้เป็นบาดแผลของตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะที่ทรงพลังมันก็สามารถรักษาได้
เมื่อเห็นว่าเซี่ยงเหยี๋ยนยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพูด หลิงฮันก็ฉวยโอกาสรีบพาภรรยาทั้งสองหลบหนีไป เซี่ยงเหยี๋ยนพยายามเดินตามอยู่สามสี่ก้าวแต่ก็ต้องหยุดฝีเท้ากะทันหัน ตอนนี้เตาหลอมของเขามีเม็ดยาอันล้ำค่าอยู่ภายใน เขากลัวว่าหากคลาดสายตาแม้แต่วินาทีเดียว เม็ดยาของเขาจะถูกขโมยไป
พวกหลิงฮันสามคนเดินออกจากลานที่พักและมุ่งหน้ากลับไปพระราชวังที่ตอนนี้งานเลี้ยงได้เริ่มขึ้นแล้ว
ที่น่าแปลกคืองานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นนั้น ไม่มีโต๊ะส่วนตัวให้กับแขกที่เข้าร่วม แต่มีโต๊ะหลายร้อยตัวเรียงติดกันวางอาหารเอาไว้แทน
แขกแต่ละคนต่างยืนถือจานเอาไว้ในมือและหยิบอาหารที่ตนเองชอบได้ตามต้องการ
หลิงฮันกล่าว “พวกเจ้าไปหาที่ยืนรอก่อน ข้าจะไปนำอาหารมาให้”
ตอนที่ 1743 วางหม้อลง
จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะพยักหน้า หลิงฮันก้าวเดินไปยังมุมบนสุดของโต๊ะวางอาหารอันยาวเหยียด
เขาหยิบจานขึ้นมาและตักอาหารอย่างไม่เกรงใจ
คนอื่นๆอาจจะตักกินทีละเล็กน้อย แต่สำหรับเขาการจะได้กินอาหารระดับสูงเช่นนี้บ่อยๆนั้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะงั้นบนจานของเขาจึงเต็มไปด้วยอาหารที่ตักมากองพูนราวกับภูเขา
การกระทำของหลิงฮันส่งผลให้คนรอบข้างแสดงท่าทีเหยียดหยาม ‘นี่เจ้าไม่ได้กินอาหารมานานขนาดไหนกันถึงได้ตะกละขนาดนี้?’
แน่นอนว่าหลิงฮันไม่สนใจ ในโลกแห่งวรยุทธ ศักดิ์ศรีไม่ใช่สิ่งที่ได้รับจากคนอื่นแต่มาจากความสามารถของตัวเอง ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรขอแค่ตัวเขารู้สึกพึงพอใจก็พอ
“พี่ชายหลิว ดูบุรุษผู้นั้นสิ เขาทำตัวตะกละตะกลามราวกับกลัวว่าจะมีใครมาขโมยอาหารของเขาเลย!” สตรีผู้หนึ่งจ้องมองหลิงฮันอย่างเย็นชาและกล่าวดูถูก นางเป็นสตรีสวมชุดสีแดงสดและมีรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างพอเรียกได้ว่างดงาม
บุรุษที่มากับนางจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาที่เหยียดหยามไม่ต่างกันพร้อมกับกล่าว “นี่จะต้องเป็นครั้งแรกที่เขาเคยกินอาหารระดับสูงเช่นนี้เป็นแน่”
“ช่างไรมารยาทจริงๆ” สตรีผู้นั้นเค้นเสียงดูถูก
นางเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งเท่านั้นและพึ่งพาบุรุษที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานข้างกายมาเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ นางคิดว่าตัวเองสูงส่งจนลืมความจริงที่ว่าหลิงฮันนั้นเป็นถึงตัวตนะระดับโลกียนิพพานที่อยู่เหนือกว่านาง
หลิงฮันไม่สนใจคำพูดนินทาของทั้งสอง อาหารในงานเลี้ยงมีแต่อาหารชั้นยอดทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเนื้อของสัตว์อสูรระดับสร้างสรรพสิ่งจำนวนมากหรือผลสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำระดับสิบเก้าและยี่สิบ หากต้องการกินอาหารระดับนี้นอกงานเลี้ยงคงสิ้นเปลืองศิลาดวงดาวจำนวนไม่น้อย
ด้วยดวงตาอันเฉียบแหลม อาหารทั้งหมดที่เขาตักใส่จานจึงมีเพียงอาหารที่ดีที่สุด
สตรีชุดแดงและบุรุษที่ต่อหลังหลิงฮันรู้สึกไม่พึงพอใจ อาหารบนจานของหลิงฮันในตอนนี้กองพะเนินรวมกันจนมีความสูงถึงเจ็ดหรือแปดฟุตแล้ว
ทั้งสองไม่มีทางเลือกและทำการแซงแถวขึ้นไปด้านหน้าหลิงฮัน หากไม่ทำเช่นนี้อาหารดีๆจะไม่มีทางตกมาถึงมือพวกเขาแน่นอน
หลิงฮันหัวเราะ แต่ในขณะที่เขากำลังจะเดินกลับไปหาภรรยาทั้งสองนั่นเอง คนรับใช้คนหนึ่งก็เดินยกหม้อต้มขนาดเล็กหม้อหนึ่งเข้ามา ในขณะที่คนรับใช้ผู้นี้กำลังเดินมายังโต๊ะอาหาร สายตาของแขกทุกคนในงานต่างจดจ้องไปที่เขา
มันคืออาหารแบบใดกัน?
เมื่อคนรับใช้วางหม้อต้มลงบนโต๊ะและยังไม่ทันจะไปเปิดฝา กลิ่นอันหอมหวานและและควันที่เต็มไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าก็ลอยเล็ดลอดออกมาจากภายในหม้อ
คนรับใช้กล่าว “นี่คือโสมเมฆานิรันดร์ที่นำมาต้มกับโลหิตวิหควายุ ขอเชิญแขกทุกท่านลองชิม”
สมุนไพรนิรันดร์ที่ผสมรวมกับโลหิตสัตว์อสูรนิรันดร์!
ถึงแม้ว่าโสมเมฆานิรันดร์จะเป็นสมุนไพรนิรันดร์ระดับหนึ่ง แต่สำหรับจอมยุทธระดับหนึ่งนิพพานแล้ว มันถือว่าเป็นยาบำรุงที่ล้ำค่ามาก ยิ่งเมื่อนำมาต้มรวมกับโลหิตของวิหควายุด้วยแล้ว ประสิทธิภาพของมันจึงเลิศล้ำเกินพรรณนา
ไม่น่าแปลกที่ซุปหม้อนี้ดึงดูดความสนใจของแขกจำนวนมาก
พริบตาเดียวด้านหลังของหลิงฮันก็มีแขกจำนวนมากมาต่อแถวหยาวเหยียด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางที่ซุปหม้อเพียงแค่นี้จะเพียงพอต่อแขกทุกคน สำหรับใครที่ต่อแถวช้าอาจจะต้องยอมทำใจอดกิน
สตรีกับบุรุษที่เมื่อครู่แซงแถวและเยาะเย้ยหลิงฮันรีบกลับมาต่อหลังหลิงฮันอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เขานำมือยกหม้อขึ้นมาและเดินจากไป
เจ้า…
“หยุด!” สตรีกับบุรุษคู่นั้นคำรามอย่างโหดเหี้ยม เจ้าจะไร้ยางอายเกินไปรึเปล่า ซุปสมุนไพรและโลหิตสัตว์อสูรนิรันดร์ที่ล้ำค่าขนาดนั้นเจ้าคิดจะกินทั้งหมดเพียงคนเดียว?
“มีอะไรรึ?” หลิงฮันหันกลับมากล่าวด้วยรอยยิ้มอันเป็นมิตร
“นำหม้อกลับมาวางที่เดิม!” ถึงแม้พวกเขาจะไม่อยากก่อความวุ่นวายในงานเลี้ยงระดับสูงแบบนี้ แต่พวกเขาก็ทนต่อการกระทำของหลิงฮันไม่ได้
เมื่อเทียบกับอาหารอื่นๆทั้งหมดที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ในงาน ความล้ำค่าของอาหารเหล่านั้นเทียบเท่าซุปหม้อนี้ไม่ได้แม้แต่หนึ่งในสิบ
“ทำไมกัน?” หลิงฮันกล่าวด้วยสีหน้าใสซื่อ
“เจ้าไม่อาจนำซุปนั่นไปเป็นของตัวเองได้!” สตรีและบุรุษคู่นั้นคำราม แขกคนอื่นที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังเองก็พยักหน้าเห็นพ้อง
“แค่ซุปหม้อเดียวพวกเจ้าไม่เคยกินกันรึไง? เหตุใดถึงต้องหงุดหงิดขนาดนั้น?” หลิงฮันแสร้งทำเป็นประหลาดใจ
แค่ซุปหม้อเดียว?
เจ้าคิดว่าซุปหม้อนี้เป็นซุปธรรมดา? ความล้ำค่าของมันสูงเกินกว่าที่คนจากขุมอำนาจหนึ่งดาวจะมีโอกาสได้ลิ้มลอง… ต่อให้เป็นรัชทายาทของขุมอำนาจสองดาวอย่างจ่างซุนเหลียงหรือเซียวเชิ่น ก็สามารถกินอาหารที่ล้ำค่าขนาดนี้ได้เฉพาะงานเฉลิมฉลองวันสมภพของประมุขพวกเขาเท่านั้น
“เอาหม้อกลับมาวางเดี๋ยวนี้!” สตรีชุดแดงกล่าวอย่างโหดเหี้ยม นางต้องการกินซุปในหม้อนั้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากซุปที่ทำจากสมุนไพรนิรันดร์และโลหิตของสัตว์อสูรนิรันดร์นั้น จะช่วยให้โอกาสสำเร็จในการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานของนางเพิ่มขึ้นหลายส่วน
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “อืม ถ้าคิดว่าพวกเจ้ากินได้ข้าก็ไม่ขัดข้อง”
เขานำหม้อกลับไปวางและยืนแน่นิ่ง
สตรีและบุรุษผู้นั้นรีบเอื้อมมือมาเปิดฝาหม้อทันที แต่เพียงแค่มือของทั้งสองสัมผัสโดนฝาหม้อ พวกเขาก็ต้องร้องโอดครวญอย่างทรมาน เมื่อยกมือขึ้นมาดูทั้งสองพบว่ามือของตนเองนั้นพองบวมราวกับขาหมูและผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีแดง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แขกคนอื่นๆที่ต่อแถวอยู่ไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าสตรีและบุรุษตรงหน้าขยับออกจากแถวแล้ว พวกเขาจึงฉวยโอกาสพยายามจะจับหม้อเพื่อตักซุป
แต่ทว่าไม่ว่าใครก็ตามที่จับฝาหม้อล้วนแต่ต้องมือพองบวมอย่าทรมาน แม้แขกบางส่วนจะลองใช้ทักษะเข้าช่วยแล้วฝาหม้อก็ยังร้อนเกินกว่าที่พวกเขาจะเปิดได้อยู่ดี
หลังจากแขกหลายสิบคนลองเปิดฝาหม้อแล้วไม่สำเร็จ สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปยังหลิงฮันด้วยความสงสัย พวกเขารู้ว่าหลิงฮันจะต้องทำอะไรบางอย่างกับหม้อแน่นอน แต่ก็ไม่อาจอธิบายได้ว่าเขาทำอะไรลงไป
แขกหลายคนสามารถคาดเดาได้ว่า พลังต่อสู้ของหลิงฮันนั้นจะต้องทรงพลังมากจนพวกเขามองไม่ออก เพราะงั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงทำใจและหันหลังจากไปทีละคน
หลิงฮันยิ้ม เขายกหม้อขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะสลายพลังของเพลิงเก้าสวรรค์และเดินกลับไปหาจักรพรรดินีกับสตรีนกอมตะ
เมื่อหันไปมองภรรยาทั้งสอง หลิงฮันก็พบว่าพวกนางถูกกำลังห้อมล้อมไปด้วยบุรุษมากกว่าสิบคน
เขาไม่รู้สึกประหลาดใจเท่าไหร่ ในกรณีของจักรพรรดินีนั้นถึงแม้นางจะไม่เผยใบหน้าที่แท้จริงให้ใครเห็น แต่รูปร่างอันสมบูรณ์แบบของนางก็มีเสน่ห์ดึงดูดให้บุรุษทุกคนลุ่มหลงเพียงแรกเห็น ยิ่งเมื่อตอนนี้นางบรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยแล้ว บุรุษคนใดบ้างจะไม่ต้องการมีคนรักที่เป็นตัวตนระดับนิรันดร์เหมือนกัน?
“น้องชาย เจ้าคิดว่าวิธีของเจ้าจะทำให้สตรีทั้งสองสนใจได้งั้นรึ?” ในขณะที่หลิงฮันกำลังเดินเข้าไปหาพวกนาง จู่ๆบุรุษคนหนึ่งก็เอ่ยทักเขาและชี้นิ้วไปยังกองภูเขาอาหารที่อยู่ในมือ
ตอนที่ 1744 หลอกล่อสตรีด้วยวิธีนี้ก็ไ...
หลิงฮันหันหน้าและพบกับรุ่นเยาว์ชุดดำผู้หนึ่ง เขากล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “แล้ว้ข้าควรทำอย่างไรพวกนางถึงจะสนใจข้า?”
“อันที่จริงหน้าตาของเจ้าก็ไม่ได้แย่หรอกนะ แต่เจ้าคิดรึว่าจะหลอกล่อสตรีงดงามทั้งสองด้วยอาหารจำนวนมากได้?” รุ่นเยาว์ชุดดำกล่าว
หลิงฮันเอ่ยถาม “สหาย เจ้ามีชื่อว่าอะไร?”
“คู่อิง” รุ่นเยาว์ชุดดำกล่าว
หลิงฮันพยักหน้า “ถ้างั้นพวกเรามาเดิมพันกันเป็นไง?”
“เดิมพันแบบไหน?” คู่อิงชะงักก่อนจะเอ่ยถาม
“ข้าจะเข้าหาสตรีทั้งสองด้วยอาหารในมือเหล่านี้ หากพวกนางยอมรับข้า เจ้าจะต้องเรียกข้าว่าพี่ใหญ่” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คู่อิงเค้นเสียงกล่าวอย่างหนักแน่น “ไม่มีปัญหา แต่หากทำไม่สำเร็จ เจ้าจะต้องเรียกข้าว่านายท่านคู่!”
แขกคนอื่นๆที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินการเดิมพันของพวกหลิงฮันก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันทีและกล่าวแทรก “งั้นข้าขอเดิมพันด้วย”
รุ่นเยาว์เหล่านี้รู้สึกว่าเรื่องราวตรงหน้าน่าสนุก แถมการเดิมพันนี้หลิงฮันก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายชนะแน่นอน สตรีทั้งสองคือสตรีที่งดงาม โดยเฉพาะสตรีคนที่สวมหน้ากาก กลิ่นอายที่นางปลดปล่อยออกมานั้นสูงส่งจนพวกเขาหลายคนไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่สตรีอย่างนางจะถูกหลอกล่อด้วยอาหาร
เหนือสิ่งอื่นใดคือทุกคนที่นี่สามารถหยิบกินอาหารได้ตามใจชอบอยู่แล้ว จึงไม่มีทางเลยที่จะใช้อาหารดึงดูดความสนใจของพวกนางได้
เป็นความบังเอิญอย่างมากที่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า หลิงฮันกับสตรีทั้งสองนั้นเข้าร่วมงานเลี้ยงมาด้วยกัน เพราะไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่กล้าร่วมเดิมพันโดยไม่คิดหน้าคิดหลังเช่นนี้
“แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่า เจ้าต้องทำให้พวกนางยอมรับครบทั้งสองคน” ใครบางคนกล่าวเสริม
สตรีทั้งสองคนนั้นมีหนึ่งคนที่มีพลังบ่มเพาะระดับสร้างสรรพสิ่ง หากนางถูกบุรุษที่เป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเข้าหา นางอาจจะเป็นฝ่ายเสนอตัวเข้าสู่อ้อมกอดด้วยตัวเองเลยก็เป็นได้
“ใช่แล้ว เจ้าต้องทำให้สตรีสวมหน้ากากผู้นั้นยอมรับด้วย” เหล่าฝูงชนเห็นพ้อง
หลิงฮันแสร้งทำเป็นขมวดคิ้วและกล่าว “ยากขนาดนั้นข้าจะทำได้รึ? ข้ายังเป็นมือใหม่ในด้านนี้อยู่เลยนะ”
“ถ้าอยากชนะเจ้าก็ต้องทำ!” ทุกคนโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากว่างานเลี้ยงที่มีแต่การดื่มกินนั้นน่าเบื่อจนไม่มีอะไรให้ทำ
“ก็ได้” หลิงฮันพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
เขาก้าวเดินไปหาภรรยาทั้งสองและกล่าว “แม่นางทั้งสอง พวกเจ้าต้องการกินซุปเนื้อสมุนไพรนิรันดร์รึไม่?”
“อืม” สตรีนกอมตะและจักรพรรดินีกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม
ฝูงชนตกตะลึง สตรีที่งดงามทั้งสองนี้แท้จริงแล้วเป็นพวกชื่นชอบการกินงั้นรึ? ต้องรู้ก่อนว่าก่อนหน้านี้ ไม่ว่าพวกเขาจะชวนพวกนางพูดคุยยังไง สตรีทั้งสองก็ไม่สนใจและแสดงสีหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนี้เพียงแค่เอ่ยว่าจะแบ่งอาหารให้ ท่าทีของพวกนางก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน!
“ถ้าพวกเจ้าทั้งสองต้องการ ก็เชิญกินได้ตามใจชอบ” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“มีข้อแลกเปลี่ยนอันใด?” สตรีนกอมตะและจักรพรรดินีเอ่ยถามอย่างให้ความร่วมมือ
“แค่จูบข้าก็พอ”
“ตกลง!”
ทั้งสองคนก้าวเดินเข้ามาและจูบแก้มของหลิงฮันคนละข้าง
แขกคนอื่นๆที่มองดูอยู่ไร้คำพูดใดๆจะกล่าวอย่างสิ้นเชิง… ที่แท้การหลอกล่อสตรีก็ทำได้ง่ายเพียงนี้!
หลิงฮันเปิดฝาหม้อและตักซุปให้ภรรยาทั้งสอง ทางด้านของสตรีนกอมตะนั้นสามารถกินซุปได้เพียงเล็กน้อยเนื่องจากยังไม่บรรลุระดับโลกียนิพพาน หากกินซุปเนื้อสมุนไพรนิรันดร์เข้าไปโดยตรงมากเกินไปนางอาจตายได้
แต่ทางด้านของจักรพรรดินีนั้น ซุปเนื้อสมุนไพรนิรันดร์มีความจำเป็นต่อนางมาก เนื่องจากนางสูญเสียร่างแยกไปมากมายในตอนที่พยายามตัดขาดสวรรค์และปฐพี
หลิงฮันหันหลังกลับไปมองฝูงชนและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่รีบเรียกข้าว่าพี่ใหญ่อีก?”
“พี่ใหญ่!” ฝูงชนกล่าวด้วยความเลื่อมใสก่อนจะหันหลังวิ่งไปยังโต๊ะอาหาร เพื่อหาซุประดับนิรันดร์มาดึงดูดความสนใจของสตรีงดงามทั้งสอง
หลิงฮันหัวเราะสนุกสนานแต่สตรีนกอมตะกลับส่ายหัว บางครั้งนางก็คิดหลิงฮันทำตัวเหมือนเด็กเกินไป ในด้านของจักรพรรดินีนั้นนางไม่คิดอะไรมาก หากหลิงฮันชอบนางก็ยินดีจะสนับสนุน
แต่เนื่องจากว่าหลิงฮันนั้นนำซุปทั้งหม้อมาครอบครองไว้คนเดียวแล้ว แขกคนอื่นๆจึงรีบร้องเรียนไปยังฟู่เสี่ยวอวิ๋นให้นำซุปมาเพิ่ม ซึ่งผลเมื่อถูกเหล่าแขกกดดันฟู่เสี่ยวอวิ๋นจึงไม่มีทางเลือกนอกจากขอให้คนรับใช้นำซุปหม้อใหม่มาวาง
ทันทีที่ซุปหม้อที่สองถูกนำมาวาง ฝูงชนก็รุมแย่งชิงซุปกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะต้องการจะนำซุปที่ได้ไปสร้างความประทับใจต่อสตรีที่งดงามอย่างจักรพรรดินี
“ภรรยาข้า รออยู่นี่สักครู่” หลิงฮันทำการปกปิดใบหน้าของตัวเองและลอบเข้าไปแย่งชิงซุป ร่างของเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วก่อนจะกลับออกมาพร้อมหม้อซุปโดยไม่มีใครรู้ตัว
เขากับจักรพรรดินีกินซุปที่ได้มาใหม่อย่างมีความสุข ในขณะที่สตรีนกอมตะกินต่อไม่ไหว
หลังจากการแย่งชิงอันชุลมุนดำเนินไปได้สักพัก ใครบางคนก็รู้สึกตัวในที่สุดว่าหม้อซุปนั้นหายไปและอุทานออกมาทันที “หม้อซุปหายไปแล้ว!”
เมื่อเหล่าฝูงชนรู้สึกตัว ทุกคนก็ตกอยู่ในความสับสน จู่ๆหม้อซุปจะหายไปราวกับอากาศที่ว่างเปล่าได้อย่างไร?
หลิงฮันเมินเฉยต่อความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เขากินซุปอย่างมีความสุขโดยไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนว่าเวลาเจ้าไปที่ไหนก็จะมีแต่เรื่องนะ” สตรีนกอมตะเอ่ยกล่าว
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะพบว่าที่นางกล่าวมานั้นถูกต้อง
อย่างตอนที่เข้าไปยังเขตแดนลี้ลับ นอกจากเขาจะพบเจอศพของราชานิรันดร์แล้ว เขายังได้ครอบครองวารีพลังหยินเร้นลับอย่างไม่คาดฝัน ส่วนในตอนที่เขาอยู่ในเมืองธุลีจันทรา วิหารบรรพบุรุษของตระกูลติงก็ถูกทำลาย และตอนที่ออกเดินทางไปประลองยุทธในเมืองจันทราหม่นแสง ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องบาดหมางกับตระกูลเซียว
น่าแปลก… ทั้งๆที่เขาไม่เคยคิดจะสร้างปัญหาเลยแท้ๆ ทำไมเรื่องเล็กที่เขาทำกลับกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมาได้
นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องของเป่ยเสวียนหมิงอีกคน เขาอยู่ของเขาเฉยๆแท้ๆแต่อีกฝ่ายกลับมาล่วงเกินเขา ในขณะที่หลิงฮันกำลังครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย จู่ๆฟู่เสี่ยวอวิ๋นก็ก้าวเดินไปยืนด้านหน้าทุกคนและกล่าว “แขกทุกๆคน หลังจากนี้ทางเราจะขอจัดการทดสอบเล็กๆน้อยๆขึ้น สำหรับใครที่ผ่านการทดสอบได้ คนคนนั้นจะได้รับการยินยอมให้เข้าร่วมกับตระกูลฟู่! และยิ่งกว่านั้นคือ ทางตระกูลฟู่ได้ทำข้อตกลงกับตำหนักวิหารพลิกผันชะตาเอาไว้แล้ว ใครที่มีพรสวรรค์โดดเด่น ทางเราจะมอบโอกาสให้คนผู้นั้นได้เข้าร่วมกับตำหนักวิหารพลิกผันชะตา ซึ่งเป็นขุมอำนาระดับสี่ดาว!”
นางหยุดกล่าวชั่วขณะและกวาดสายตามองแขกทุกคน ที่ตอนนี้ดวงตากำลังส่องประกายตื่นเต้น ก่อนจะกล่าวต่อ “ข้าหวังว่าทุกคนจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ได้”
เหล่าฝูงชนเอะอะขึ้นมาทันที ต่อให้ไม่มีโอกาสเข้าร่วมกับตำหนักวิหารพลิกผันชะตา แต่แค่ได้เข้าร่วมกับตระกูลฟู่ก็นับว่าเป็นความสำเร็จเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว!
“ข้าขอถามแม่นางฟู่ได้รึไม่ว่า การทดสอบที่จัดขึ้นคือการทดสอบแบบใด?”
ตอนที่ 1745 รับหนึ่งกระบี่ของข้า
“การทดสอบนั้นง่ายมาก ในที่แห่งนี้มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ใครก็ตามที่สามารถขึ้นถึงยอดเขาและข้ามไปยังอีกฝากหนึ่งของภูเขาได้ จะถือว่าผ่านการทดสอบ” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกล่าว
แม้น้ำเสียงที่นางใช้พูดจะเรียบง่าย แต่แขกทุกคนต่างรู้สึกเคร่งเครียด
หากการทดสอบเข้าร่วมตระกูลฟู่เป็นการทดสอบที่ง่ายอย่างที่นางว่า ตระกูลฟู่จะเรียกว่าเป็นขุมอำนาจสามดาวได้อย่างไร?
แต่ในเมื่อฟู่เสี่ยวอวิ๋นไม่คิดอธิบายรายละเอียดอะไรมาก พวกเขาย่อมไม่กล้าเอ่ยถามและเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เพราะอย่างไรเมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น พวกเขาก็จะรู้เอง
แขกทุกคนออกจากพื้นที่พระราชวังไปยังอาณาเขตทางเหนือ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของโลกจำลองในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์นั้นเบาบางเป็นอย่างมาก เพราะงั้นเพียงแค่ก้าวเท้าไม่กี่ก้าว พวกเขาก็สามารถมาถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็ว
ด้านหน้าพวกเขาปรากฏภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขาลูกนี้มีความสูงราวๆพันฟุตและกว้างหลายหมื่นฟุต เพียงแต่สำหรับนิรันดณ์ระดับโลกียนิพพานเช่นพวกเขา การข้ามภูเขาขนาดแค่นี้จะไปยากอะไร?
“ทุกคนช่วยหยิบกระดาษไปคนละแผ่นด้วย เมื่อพวกท่านไปถึงยอดบนสุดของภูเขา ที่นั่นจะมีใครบางคนรอประทับตาลงบนกระดาษให้พวกท่าน” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกล่าวและมอบกระดาษ “สำหรับใครที่ไม่ได้รับตราประทับจากคนที่อยู่บนยอดเขา จะถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ”
ทุกคนหันมองหน้ากัน แค่การได้รับตราประทับลงบนกระดาษ จะยากถึงขนาดนับว่าเป็นการทดสอบเลย?
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกล่าวต่อ “ข้าขอเตือนทุกๆท่านเอาไว้ก่อนว่าโลกแห่งวรยุทธนั้นโหดร้าย หากไม่รู้จักประมาณตนเองให้ดี อาจจะต้องนำชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
แค่การทดสอบเล็กๆน้อยๆนี้ สามารถทำให้พวกเขาเสียชีวิตได้เลย?
“ใครที่ไม่ต้องการเสี่ยงชีวิต ก็ไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบ แต่หากใครที่ยังต้องการทดสอบ จะต้องเตรียมใจยอมรับความตายเอาไว้” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกล่าวอย่างเรียบง่าย “หากไม่มีคำถามก็ขอให้ทุกคนเริ่มการทดสอบได้”
แม้จะลังเลเล็กน้อย แต่แขกมากมายก็ก้าวเดินเข้าสู่ภูเขาโดยให้คู่หูที่มาด้วยรออยู่ที่นี่
หลิงฮันนำสตรีนกอมตะเข้าสู่หอคอยทมิฬ และก้าวเข้าสู่ภูเขาพร้อมกับจักรพรรดินีอย่างไม่รีบร้อน
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกล่าวเอาไว้ว่าขอแค่ได้ประทับตราลงบนกระดาษ และข้ามไปยังอีกฝากหนึ่งของภูเขาได้ก็ถือว่าผ่านการทดสอบ เพราะงั้นทั้งสองคนจึงไม่ต้องรีบเร่งไปแข่งขันกับใคร
เมื่อพวกเขาก้าวเท้าเข้าสู่พื้นของภูเขา หลิงฮันกับจักรพรรดินีก็เผยสีหน้าประหลาดใจ เนื่องจากความเร็วของพวกเขาถูกลดลงไปหลายส่วน
ตามหลักแล้ว โลกจำลองที่ถูกสร้างขึ้นมาจะมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เบาบาง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเหนี่ยวรั้งพลังของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเอาไว้ เพียงแต่ว่าภายในภูเขาลูกนี้กลับต่างออกไป อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของมันหนาแน่นยิ่งกว่าพื้นที่ทั่วไปของดินแดนแห่งเซียนในโลกภายนอกเสียอีก ซึ่งส่งผลให้ความเร็วของพวกเขาลดลงไปหลายร้อยเท่า
เพียงแต่ว่าตระกูลฟู่ได้ตั้งการทดสอบนี้ขึ้นมาเพื่อรับอัจฉริยะเข้าร่วมตระกูล ไม่ใช่เพื่อต้องการสังหารพวกเขา เพราะเหตุนั้นไม่ว่าอย่างไรนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานที่มีความสามารถ ก็ย่อมผ่านการทดสอบนี้ได้ ยิ่งหลิงฮันกับจักรพรรดินีบรรลุนิพพานด้วยวิธีการตัดขาดสวรรค์และปฐพี แถมยังมีพลังต่อสู้ที่ไร้เทียมทานในระดับสองนิพพานด้วยแล้ว พวกเขาจึงสมควรผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนความเข้าใจในศาสตร์วรยุทธกันระหว่างทาง
หลิงฮันได้มอบทักษะยุทธที่ได้มาจากราชานิรันดร์ว่านโซ่วให้แก่จักรพรรดินี หากจักรพรรดินีสามารถสั่งการร่างแยกแต่ละร่างให้สร้างสัตว์อสูรสงครามนับสิบขึ้นมาได้ พลังต่อสู้ของนางจะเพิ่มสูงขึ้นจนน่าสะพรึงกลัว
“หยุด!” ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั่นเอง จู่ๆบุรุษผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวด้านหน้าพวกเขา บุรุษผู้นี้สวมชุดราวกับยามคุ้มกันและถือกระบี่อยู่ในมือ “หากต้องการผ่านทาง พวกเจ้าต้องรับหนึ่งกระบี่ของข้าให้ได้เสียก่อน”
หลิงฮันกล่าว “แล้วถ้าทำไม่ได้ล่ะ?”
“นั่นหมายความว่าพวกเจ้ามีโชคชะตาที่จะไม่ได้ไปต่อ” บุรุษผู้ที่ขวางทางเอ่ยกล่าว “ข้าจะพยายามเมตตา ไม่โจมตีรุนแรงจนพวกเจ้าเสียชีวิต”
เพราะแบบนี้ฟู่เสี่ยวอวิ๋นถึงกล่าวเตือนสินะ ที่แท้รูปแบบของการทดสอบก็เป็นเช่นนี้เอง
หลิงฮันเผยรอยยิ้มและกล่าว “แล้วข้าสามารถลงมือโจมตีได้ด้วยหรือไม่?”
บุรุษถือกระบี่ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะและกล่าว “เจ้าเป็นคนที่เจ็ดที่ถามข้าแบบนั้น! แน่นอนว่าเจ้าสามารถตอบโต้ได้ แต่นั่นจะทำให้พลังป้องกันของเจ้าลดลง จนไม่อาจรอดชีวิตจากกระบี่ของข้า!”
“เจ้าเป็นนิรันดร์สองนิพพาน?” หลิงฮันเอ่ยถาม
บุรุษถือกระบี่ตอบกลับอย่างไม่คิดอะไร “ไม่ผิด ข้าคือนิรันดร์สองนิพพาน เพียงแต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใช้พลังที่แท้จริงของข้าแน่นอน และจะควบคุมโจมตีให้อยู่ในระดับของหนึ่งนิพพาน”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าไม่ได้กังวล ที่ข้าถามเพราะเป็นห่วงเจ้าต่างหาก”
“เจ้าจะห่วงข้าทำไม?” บุรุษถือกระบี่ถามด้วยความสงสัย
‘ตูม’ ทันใดนั้นเอง จู่ๆจักรพรรดินีก็ปล่อยฝ่ามือเข้าใส่บุรุษตรงหน้า ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดวงดาวมากมายปรากฏออกมาจากอำนาจของตราประทับแห่งเต๋าบนฝ่ามือ
บุรุษถือกระบี่ตกตะลึง แต่ในขณะที่เขากำลังจะกวัดแกว่งกระบี่ เพื่อรับมือไปตามสัญชาตญาณนั่นเอง ความรู้สึกลังเลก็ผุดขึ้นมาในจิตใจของเขา
ฝ่ามือนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไป!
เขาเกรงว่าหากทุ่มพลังไปกับการตอบโต้ เขาอาจจะตายเพราะไม่เหลือพลังเอาไว้ป้องกัน
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ บุรุษถือกระบี่ก็ล้มเลิกความคิดที่จะตอบโต้ และนำกระบี่มาบังที่หน้าอกเพื่อป้องกันฝ่ามือที่พุ่งเข้ามา
ปัง!
ฝ่ามือของจักรพรรดินีปะทะเข้ากับตัวกระบี่ บุรุษถือกระบี่ถูกส่งลอยถอยหลังหลายก้าว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาวและกระอักโลหิตออกมา
“นี่ล่ะคือสิ่งที่ข้ากังวลว่าจะเกิดขึ้นกับเจ้า” หลิงฮันกล่าวปิดท้าย
ถึงแม้บุรุษที่ปรากฏตัวขวางทางพวกเขาจะเป็นนิรันดร์สองนิพพาน แต่อีกฝ่ายก็เป็นเพียงยามคุ้มกันของตระกูลฟู่ ซึ่งไม่มีศักยภาพของราชา แต่ในทางตรงกันข้าม พลังต่อสู้ของจักรพรรดินีนั้น สามารถกล่าวได้ว่าไร้เทียมทานแม้จะเป็นในระดับสองนิพพาน ซึ่งเทียบได้กับเป่ยเสวียนหมิง ไม่มีทางอยู่แล้วที่นิรันดร์สองนิพพานทั่วไปจะต้านทานไหว
บุรุษขวางทางพ่ายแพ้ในหนึ่งกระบวนท่า!
เขาจ้องมองไปยังจักรพรรดินีด้วยแววตาเบิกกว้าง ใครจะไปทำใจเชื่อได้ว่านิรันดร์หนึ่งนิพพาน จะสามารถเอาชนะนิรันดร์สองนิพพานเช่นเขาได้ง่ายดายขนาดนี้? หากไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง แต่มีคนอื่นบอกเขา เขาคงจะคิดว่าเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นแน่ๆ
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ต่อไปก็ข้าสินะ”
บุรุษถือกระบี่ฝืนลุกขึ้นยืน แม้หน้าอกของเขาจะรับแรงกระแทกอันหนักหน่วงมา แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ต้านไหว เขาเชื่อว่าต่อให้ตนเองได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ด้วยพลังบ่มเพาะระดับสองนิพพาน ก็ยังเพียงพอที่จะใช้ทดสอบจอมยุทธหนึ่งนิพพานทั่วไปอยู่ดี
“สามีของข้าแข็งแกร่งกว่าข้า” จักรพรรดินีกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแส นางไม่ได้คิดจะโอ้อวดแต่แค่บอกความจริง
บุรุษถือกระบี่หวาดกลัวจนตัวสั่น ‘ตุบ’ มือของเขาไร้เรี่ยวแรงจนกระบี่ร่วงลงไปที่พื้น
เขายังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร!
ตอนที่ 1746 ใครทดสอบใคร
พวกหลิงฮันสองคนผ่านการทดสอบแรกอย่างง่ายดาย โดยที่บุรุษถือกระบี่ด้านหลังพวกเขา ขาสั่นด้วยความหวาดผวา ในโลกนี้มีคู่รักที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้อยู่ได้อย่างไร?
หวังว่าข้าจะไม่ต้องพบเจอพวกเขาอีก
หลิงฮันและจักรพรรดินีพูดคุยกันถึงทักษะของราชานิรันดร์อวี้ซวีต่อ ทักษะที่หลิงฮันได้มานั้นไม่ใช่ทักษะที่สมบูรณ์ แต่เป็นเพียงส่วนสำคัญบางส่วนของทักษะ
ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนความเห็นและดื่มชาจากใบต้นสังสารวัฏไปพร้อมๆกัน พวกเขาเดินเอื่อยเฉื่อยโดยไม่สนว่าถึงการทดสอบที่ต่อไปเมื่อไหร่
ซึ่งหลังจากเวลาผ่านไปครึ่งวันเศษๆ ในที่สุดทั้งสองก็มาถึงจุดทดสอบที่สอง
ที่นี่มีผู้ทดสอบรวมตัวกันอยู่มากมาย เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นเล่นหมากรุก
หลิงฮันชำเลืองมองและพบว่านี่ไม่ใช่หมากรุกทั่วไป หมากสีดำและขาวนั้นราวกับว่ามีชีวิต หมากทุกตัวปลดปล่อยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัวออกมา หากผู้เดินหมากมีจิตวิญญาณไม่แข็งแกร่งพออาจจะล้มลงหรือหมดสติได้
คนที่กำลังแข่งหมากรุกกันอยู่ ฝ่ายหนึ่งเป็นรุ่นเยาว์ที่น่าจะเป็นผู้ร่วมทดสอบ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นชายชราชุดเทาที่ใบหน้าปรากฏรอยเหี่ยวย่นและมีผมขาวโพลน
ชายชราผู้นี้คือนิรันดร์สองนิพพาน!
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย ในตอนแรกเขาคิดว่าอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำชิ้นนี้ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ใส่พระราชวังชั่วคราวของฟู่เสี่ยวอวิ๋น แต่ดูเหมือนว่าความจริงจะไม่ใช่แบบนั้น
หากเป็นเพียงที่ใส่พระราชวังล่ะก็ ที่นี่จะมีนักปรุงยาระดับนิรันดร์ และนิรันดร์ระดับสองนิพพานอยู่ถึงสองคนได้อย่างไร?
เป็นไปได้ว่าอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ ฟู่เสี่ยวอวิ๋นอาจจะได้รับอนุญาติให้นำมาใช้ได้เป็นกรณีพิเศษเพื่อทดสอบรับคนเข้าตระกูล หากเป็นในเวลาปกติอุปกรณ์มิติชิ้นนี้สมควรถูกเก็บไว้เป็นสมบัติของตระกูลฟู่
‘อั่ก!’ ทันใดนั้นเอง จู่ๆรุ่นเยาว์ที่กำลังแข่งหมากรุกก็กระอักโลหิตออกมา เขามองไปยังชายชราด้วยสีหน้าซีดเผือดและกล่าว “ข้าอดทนได้นานเท่าไหร่?”
“ครึ่งก้านธูป” ชายชราชุดเทากล่าวอย่างไม่แยแสก่อนจะส่ายหัว “น่าเสียดาย เจ้าไม่ผ่านการทดสอบ”
หลิงฮันไถ่ถามคนรอบข้างและรู้ว่าหากต้องการผ่านการทดสอบ จำเป็นต้องถ่วงเวลาเล่นหมากรุกให้ครบหนึ่งก้านธูป
“ต่อไปใครจะทดสอบ?” ชายชราชุดเทากวาดสายตามองเหล่ารุ่นเยาว์ หลายคนที่ถูกจ้องมองรีบส่ายหัวทันที การทดสอบไม่ได้มีกฎว่าพวกเขาห้ามถอยหลังกลับ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือแค่ประทับตราลงบนกระดาษที่ได้รับมาเท่านั้น ซึ่งพวกเขาสามารถอ้อมไปยังเส้นทางอื่นได้
เหล่ารุ่นเยาว์ค่อยๆหันหน้าถอยหลังกลับ จากที่พวกเขาสังเกตมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ตามที่ทดสอบแข่งหมากรุกกับชายชรา ล้วนแต่กระอักโลหิตออกมาเพราะไม่สามารถทนได้ถึงหนึ่งก้านธูปสักคน
หลิงฮันที่ยังอยู่ก้าวเดินเข้าไปนั่งลงและกล่าว “ข้าจะเล่นกับท่านเอง”
ชายชราสะบัดมือนำหมากสีดำและขาววางเรียงบนกระดานพร้อมกับกล่าว “หมากของเจ้าคือสีดำ ข้าให้เจ้าเป็นฝ่ายเดินก่อน”
หลิงฮันไม่มัวพิธีรีตองและจับหมากสีดำเดินทันที
ชายชราจับหมากสีขาวเดินตอบโต้อย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน
หลังจากเดินหมากกันไปครู่หนึ่ง หมากสีดำของหลิงฮันนั้นยังคงเดินอย่างรวดเร็วตามเดิม แต่ในทางกลับกัน หมากสีขาวของชายชราเริ่มค่อยๆเดินช้าลงเรื่อยๆ
นี่ไม่ใช่การแข่งหมากรุกทั่วไป แต่เป็นการเผชิญหน้ากันด้วยจิตวิญญาณโดยมีตัวหมากเป็นอาวุธ ซึ่งจิตวิญญาณของแต่ละคนจะแข็งแกร่งขนาดไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์
แน่นอนว่านิรันดร์หนึ่งนิพพานไม่มีทางมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งเทียบเท่านิรันดร์สองนิพพานได้ ชายชราจึงตั้งกฎเอาไว้เพียงทนเล่นให้ครบเวลาหนึ่งก้านธูป
แต่ทว่าหลิงฮันนั้นไม่ใช่นิรันดร์หนึ่งนิพพานทั่วไป ในด้านความเชี่ยวชาญในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์นั้น เขามีทั้งอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่นิรันดร์สองนิพพานจะต้านทานไหว
หมากของชายชราถูกหมากของหลิงฮันกินจนหมดกระดานอย่างรวดเร็ว โดยที่เวลายังผ่านไปไม่ถึงแม้แต่ครึ่งก้านธูป
เขามองไปยังหลิงฮันด้วยความตกตะลึง นี่ใครกำลังทดสอบใครกันแน่?
ในฐานะกรรมการทดสอบ เขากลับพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ทดสอบเสียได้ แถมยังเป็นการพ่ายแพ้อย่างหมดท่าอีกด้วย
“เจ้าผ่านการทดสอบ” ชายชรากล่าวอย่างเศร้าใจ เขานั้นมั่นใจในฝีมือหมากรุกของตัวเองเป็นอย่างมาก ถึงได้ทำการทดสอบด้วยวิธีนี้ เขาไม่คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่าตนเองจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
หลิงฮันจับมือจักรพรรดินีเดินผ่านไป ชายชราต้องการจะเอ่ยห้าม แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ตนเองพ่ายแพ้ให้หลิงฮันอย่างหมดสภาพ เขาก็ยอมปล่อยผ่านไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
แน่นอนว่าผู้ทดสอบคนอื่นๆย่อมไม่พอใจและประท้วง
“หากพวกเจ้าเอาชนะข้าได้ พวกเจ้าก็สามารถนำคนอื่นผ่านไปด้วยได้เช่นกัน” ชายชราชุดเทาเอ่ยกล่าว คำพูดของเขาทำให้ผู้ทดสอบทุกคนสงบปากทันที
หลิงฮันและจักรพรรดินีก้าวเดินขึ้นเขาต่อไปอย่างช้าๆ หลังจากผ่านไปอีกครึ่งวัน ทั้งสองคนก็เข้าใกล้ยอดเขาขึ้นไปทุกทีและมาถึงจุดทดสอบที่สาม ซึ่งมีผู้ทดสอบจำนวนมากรวมตัวกันอยู่
ณ จุดทดสอบที่สามนี้ไม่ใช่การทดสอบพลังต่อสู้หรือความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ ผู้ทดสอบจะได้รับแผ่นกระดาษที่เขียนทักษะไม่สมบูรณ์เอาไว้ ซึ่งทุกคนจำเป็นต้องเติมเต็มทักษะที่ว่าให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
การทดสอบนี้นับว่ายากลำบากมาก
จอมยุทธส่วนใหญ่โดยเฉพาะราชารุ่นเยาว์นั้น พวกเขาต่างเดินตามรอยเท้าของจอมยุทธรุ่นก่อนมาตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุนี้การจะให้พวกเขามาทำการแก้ทักษะให้สมบูรณ์ยิ่งกว่าเดิมด้วยตนเองนั้น จึงเป็นงานที่สาหัสมาก
หลิงฮันเห็นว่าหม่าอิ่งและซ่งจี๋เองก็ติดอยู่ในการทดสอบนี้เช่นกัน ทั้งสองรีดเค้นใช้งานสมองทุกส่วนและไม่กล้าส่งกระดาษทักษะในมือคืนให้กรรมการทดสอบง่ายๆ พวกเขามีโอกาสเพียงครั้งเดียว หากทำพลาดก็จะสูญเสียโอกาสที่จะได้ผ่านขึ้นไปยังยอดเขา
หลิงฮันและจักรพรรดินีรับกระดาษทักษะมา เนื้อหาทักษะที่เขียนเอาไว้บนหน้ากระดาษมีหลายส่วนที่ขาดหายไป ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องเติมข้อความลงไปให้สมบูรณ์
“เจ้าตัวบัดซบ!” แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆเสียงคำรามของใครบางคนก็ดังขึ้น ร่างของชายชราผู้หนึ่งทะยานเข้ามาใกล้ และจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาอาฆาต
ชายชราผู้นี้เป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานของตระกูลฉี เขาคือนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานที่ก่อนหน้านี้ในหุบเหวสืบสานนิพพาน ตัวเขาและรุ่นเยาว์ของตระกูลสามคนคิดจะปล้นชิงเรือไม้ของหลิงฮัน ซึ่งสุดท้ายรุ่นเยาว์ทั้งสามก็ถูกหลิงฮันสังหาร
ชายชราทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์สองนิพพานได้สำเร็จและมาเข้าร่วมงานเลี้ยงตระกูลฟู่
แต่เดิมกฎสำหรับผู้ที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยง คือต้องเป็นจอมยุทธที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับในหุบเหวสืบสานนิพพาน ไม่ว่าใครก็ตามที่ทะลวงผ่านระดับในหุบเหวสืบสานนิพพานย่อมมีสิทธิ์เข้าร่วม ซึ่งชายชราก็ได้ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกฏข้อนี้
เพราะเขาเป็นนิรันดร์สองนิพพาน จึงสามารถผ่านการทดสอบสองครั้งก่อนหน้านี้มาได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ทว่าในครั้งที่สามนี้ การทดสอบกลับไม่ใช่การทดสอบพลังต่อสู้หรืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์ ชายชราจึงไม่อาจผ่านไปได้ง่ายๆ
ในทันทีที่เห็นหลิงฮันปรากฏตัว แววตาของเขาก็กลายเป็นแดงฉานและระเบิดจิตสังหารออกมาอย่างไม่ปิดบัง
ตอนที่ 1747 ไม่มีความเป็นธรรมชาติ
หลิงฮันมองไปยังอีกฝ่ายและยิ้ม “เจ้าเป็นใคร?”
ร่างของนิรันดร์ตระกูลฉีสั่นสะท้านด้วยความโกรธ เจ้าสังหารรุ่นเยาว์ของตระกูลข้าไปถึงสองคน แต่ยังมีหน้ามาถามว่าข้าเป็นใคร?
“อย่าคิดว่าครั้งนี้เจ้าจะหนีไปไหนพ้น!” เขาคำรามอย่างโหดเหี้ยม การทดสอบนี้ไม่มีกฎว่าห้ามสังหารกันอยู่แล้ว
กรรมการทดสอบตระกูลฟู่ที่ดูอยู่คิดจะห้ามปราม แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เลือกที่จะไม่ลงมือ
กฎต้องเป็นกฎ
“ตาย!” นิรันดร์ตระกูลฉีลงมือด้วยท่าทางระมัดระวัง สิ่งที่เขาหวั่นเกรงคือจะไปยั่วยุความไม่พอใจของกรรมการทดสอบตระกูลฟู่ แต่จากที่เห็น ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่คิดห้ามปรามอะไร
‘พรึบ’ ร่างของเขาทะยานด้วยความเร็วสูงกว่าปกติหลายสิบเท่า และปลดปล่อยการโจมตีใส่หลิงฮัน
ผู้ทดสอบที่อยู่รอบข้างรีบกระโดดหลบทันที เพราะกลัวจะถูกลูกหลงไปด้วย
ไม่ว่าอย่างไรชายชราผู้นี้ก็เป็นถึงนิรันดร์สองนิพพาน!
เพี๊ยะ!
หลิงฮันยกฝ่ามือขึ้นมาและตบเข้าที่ใบหน้าของชายชราตระกูลฉี แรงกระแทกที่เกิดจากฝ่ามือของเขาส่งผลให้ร่างของอีกฝ่ายหมุนกลิ้งหลายตลบ
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนก็อ้าปากค้างจนลิ้นห้อยออกมาทันที
นี่ตาของพวกเขามีปัญหารึเปล่า?
ความจริงแล้วหลิงฮันเป็นนิรันดร์สองนิพพาน ส่วนนิรันดร์ตระกูลฉีเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพาน? หรือเมื่อครู่พวกเขาจะตาฝาด แท้จริงแล้วคนที่ถูกตบหน้าไม่ใช่นิรันดร์ตระกูลฉี แต่เป็นหลิงฮัน?
แต่ไม่ว่าจะขยี้ตามองอย่างไร ภาพที่พวกเขาเห็นตรงหน้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง
นิรันดร์ตระกูลฉีฝืนลุกขึ้นยืนด้วยแก้มข้างซ้ายที่ปูดบวม ดวงตาของเขาเปิดด้วยความความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
เขาถูกรุ่นเยาว์ระดับหนึ่งนิพพานตบหน้างั้นรึ?
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
ก่อนหน้านี้ที่เขายังเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพาน และหลิงฮันยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง เขาสามารถไล่ต้อนหลิงฮันให้จนมุมจนต้องหลบหนีไปได้อย่างไม่ยากลำบาก ในตอนนี้แม้อีกฝ่ายจะทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานแล้ว แต่เขาเองก็บรรลุเป็นนิรันดร์สองนิพพานเช่นกัน หากพูดกันตามหลัก เขาก็ยังสมควรมีพลังที่สามารถต้อนหลิงฮันให้จนมุมได้อยู่ไม่ใช่รึไง?
เขาไม่อาจทำใจยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้
“ยังไม่ได้สติอีก?”
‘เพี๊ยะ’ หลิงฮันยกฝ่ามือตบไปที่ใบหน้าอีกฝ่ายของนิรันดร์ตระกูลฉีจนปูดบวม
ไม่ต้องกล่าวถึงนิรันดร์ตระกูลฉีที่เพิ่งบรรลุเป็นนิรันดร์สองนิพพานเลย ต่อให้เป็นนิรันดร์สองนิพพานขั้นสูงสุด หลิงฮันก็สามารถกำราบได้อย่างง่ายดาย
“ข้าจะสู้กับเจ้าจนตัวตาย!” นิรันดร์ตระกูลฉีคำราม ‘ครืนน’ เขาเผาผลาญแก่นกำเนิดพลังของตัวเอง พริบตานั้นคลื่นแสงสีทองอันไร้ที่สิ้นสุดก็พรั่งพรูออกมาจากร่างของเขา และแปรเปลี่ยนกลายเป็นดาบโลหะทองคำที่มีหนามรอบด้านราวกับเม่น
เขาพุ่งทะยานกวัดแกว่งดาบโลหะทองคำเข้าใส่หลิงฮัน พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ยกระดับขึ้นมาเกือบจะเทียบเท่ากับนิรันดร์สองนิพพานขั้นสูงสุด
การเผาผลาญแก่นกำเนิดพลังนั้น ไม่เพียงจะส่งผลต่อรากฐานระดับพลังบ่มเพาะ แต่ยังทำให้พลังต่อสู้ลดลงจากปกติหลายส่วนอีกด้วย ต่อให้ตัวตนระดับนิรันดร์จะไม่มีอายุขัยให้ลดทอน แต่ก็ไม่อาจหลบหนีผลกระทบจากการเผาผลาญแก่นกำเนิดพลังพ้น
เพียงแต่ว่าไม่ว่าอย่างไร แก่นกำเนิดพลังก็ยังสามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพรนิรันดร์อยู่ดี ความคิดเดียวที่อยู่ในหัวของนิรันดร์ตระกูลฉีในตอนนี้คือ ต้องทำทุกอย่างเพื่อกำจัดหลิงฮันให้ได้ ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์ที่ถูกตบหน้า คงทำให้เขารู้สึกอัปยศจนไม่มีหน้าไปพบเจอใคร
แววตาของหลิงฮันส่องประกายเย็นชา ก่อนหน้านี้เป็นทางฝั่งกลุ่มตระกูลฉีที่คิดจะปล้นชิงแพไม้ของเขาก่อน แม้เขาจะสังหารรุ่นเยาว์สองคนในกลุ่มอีกฝ่ายไปได้ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกไล่ต้อนจนต้องหลบหนี ไม่คาดคิดว่ายังไม่ทันที่เขาจะตามหาตัวชายชราเพื่อคิดบัญชี แต่อีกฝ่ายกลับเป็นฝ่ายเสนอตัวมาให้เขาสังหารด้วยตัวเอง
หลิงฮันตั้งฝ่ามือเป็นแนวตรงและกวัดแกว่งปลดปล่อยปราณดาบ
‘ฉัวะ’ ร่างของนิรันดร์ตระกูลฉีถูกปราณดาบผ่าออกเป็นสองส่วนในพริบตา
เพียงแต่ว่าตัวตนระดับนิรันดร์นั้นไม่อาจตายง่ายๆ ดวงวิญญาณของชายชราที่ถูกผ่าออกเป็นสองส่วนพร้อมกับกายหยาบ พยายามดิ้นรนเพื่อกลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว แต่น่าเสียดายที่ปราณดาบเมื่อครู่ หลิงฮันปลดปล่อยอำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับควบคู่ไปด้วย
ดวงวิญญาณสองส่วนดิ้นรนอยู่สักพัก แต่ก็ค่อยๆแหลกสลายหายไปในที่สุด
สายตาของทุกคนจดจ้องไปยังหลิงฮันราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาด
กรรมการของตระกูลฟู่เองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ด้วยการที่เขาเป็นคนของขุมอำนาจสามดาวอย่างตระกูลฟู่ เขาจึงรู้เป็นอย่างดีว่านิรันดร์ระดับโลกียนิพพานไม่มีทางตายง่ายๆ
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าของเขากลับกลายเป็นว่า นิรันดร์ระดับสองนิพพานถูกสังหารอย่างง่ายดายราวกับหนอนแมลงไร้ค่า
รุ่นเยาว์ผู้นี้เป็นเพียงนิรันดร์หนึ่งนิพพานเท่านั้น เหตุใดถึงได้ทรงพลังขนาดนี้?
ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความเลื่อมใสและกล่าว “เจ้าผ่านการทดสอบนี้ไปได้”
ล้อเล่นรึเปล่า… มีรึที่ตระกูลฟู่จะไม่ต้องการตัวอัจฉริยะเช่นนี้?
หลิงฮันใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบอุปกรณ์มิติของนิรันดร์ตระกูลฉี ก่อนจะพยักหน้าให้กับกรรมการทดสอบ และเดินผ่านไปพร้อมกับจักรพรรดินี
ครั้งนี้ไม่มีใครประท้วงแม้แต่คนเดียว
มุมปากของซ่งจี๋และหม่าอิ่งกระตุกไม่หยุด พวกเขาทั้งสองคนภาคภูมิใจในพรสวรรค์ของตนเองเป็นอย่างมาก แต่พอได้เห็นพลังของหลิงฮันในวันนี้ ทำให้ทั้งสองตระหนักได้ทันทีว่าพวกเขายังห่างชั้นกับราชาที่แท้จริงขนาดไหน
หลิงฮันกับจักรพรรดินีเดินมาถึงยอดเขา ทั้งสองมองเห็นชายหนุ่มสวมชุดขาวผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาเป็นชายหนุ่มที่เยาว์วัยเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มผู้นั้นดีดสายพิณอย่างอ่อนโยนโดยมีโต๊ะตั้งอยู่ด้านหน้า
“จงรับฟังการบรรเลงบทเพลงแหวกม่านเมฆาของข้า” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก่อนที่บทเพลงจะสิ้นสุด พวกเจ้าต้องหยิบตราประทับบนโต๊ะ ไปประทับลงบนกระดาษของพวกเจ้าให้ได้ หากทำไม่สำเร็จคงต้องขอเชิญให้พวกเจ้าหันหลังกลับไปเส้นทางเก่า”
ยังมีการทดสอบที่สี่อยู่อีก!
“ไหนๆก็มีคนต้องการบรรเลงบทเพลงให้ฟังแล้ว จะปฏิเสธก็กระไรอยู่” หลิงฮันกล่าวกับจักรพรรดินี
จักรพรรดินีพยักหน้าและเอนกายแนบชิดหลิงฮัน
ชายหนุ่มชุดขาวมีท่าทางไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที ทั้งสองคนนี้กล้ามาพลอดรักกันโดยไม่เห็นหัวเขา?
เขาพยายามสงบสติอารมณ์และดีดสายพิณ เสียงบรรเลงอันไพเราะถูกบรรเลงออกมา ความงดงามของท่วงทำนองที่ลอยไปทั่วทุกทิศนั้น จะส่งผลให้ผู้ฟังเริ่มสูญเสียสติและเหม่อลอยไปโดยไม่รู้ตัว
อันที่จริงแล้วการทดสอบที่สี่นั้นไม่ได้มีอยู่จริงตั้งแต่แรกแล้ว เขาจงใจมานั่งรออยู่ที่ยอดเขาด้วยตัวเอง เพราะต้องการรู้ว่าเหล่าอัจฉริยะที่ถูกเรียกว่าราชาแห่งยุค จะทนต่ออำนาจของเสียงบรรเลงของเขาได้นานเพียงใด
ตั้งแต่เริ่มการทดสอบมา คนที่สามารถอดทนต่อเสียงบรรเลงของเขาได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปดมีเพียงสองคนเท่านั้น
แต่ทว่า เมื่อชายหนุ่มชุดขาวบรรเลงบทเพลงไปได้สักพัก เขาก็ต้องเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างปิดไม่มิด นั่นเพราะว่าแววตาของหลิงฮันกับจักรพรรดินีนั้นยังคงไสกระจ่าง ทั้งสองไม่มีใครเลยที่ได้รับผลกระทบการบทเพลงของเขา
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ท่วงทำนองของเจ้าไม่มีความเป็นธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย ลองดูการบรรเลงของข้าเป็นตัวอย่างนี่”
หลิงฮันนำถ้วยจำนวนหนึ่งออกมาและคว่ำลงวางกับพื้น มือทั้งสองข้างของเขาถือตะเกียบเอาไว้และกระหน่ำทุบตีชาม เสียงบรรเลงที่ดังออกมานั้นไร้ระเบียบและไม่มีความไพเราะเลยแม้แต่น้อย แต่ทว่าเนื้อเสียงของท่วงทำนองที่ดังออกมา กลับแฝงไว้เอาไว้ด้วยอำนาจที่สามารถส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณผู้ฟังได้
ชายหนุ่มชุดขาวได้รับผลกระทบจากบทเพลงของหลิงฮันโดยไม่รู้ตัว ท่วงทำนองบรรเลงพิณของเขาถูกเปลี่ยนไปเป็นท่วงทำนองของหลิงฮันอย่างสมบูรณ์
ตอนที่ 1748 ฟู่เกาหยุน
ชายหนุ่มชุดขาวรีบพยายามทำให้ท่วงทำนองของตัวเองกลับคืนมา หากมีใครรู้ว่าตัวเขา ‘ฟู่เกาหยุนผู้เป็นอัจฉริยะแห่งเสียงบรรเลง’ ถูกใครอื่นทำให้ท่วงทำนองเสียจังหวะล่ะก็ เขาจะต้องพบกับความอับอายเพียงใด?
เพียงแต่ว่าแม้ท่วงทำนองการตีชามของหลิงฮันจะมั่วซั่ว แต่อำนาจในการลุกล้ำจิตใจกลับรุนแรงจนฟู่เกาหยุนไม่สามารถเล่นท่วงทำนองของตนเองได้
ฟู่เกาหยุนรู้สึกอัปยศเป็นอย่างมาก เขาไม่สามารถควบคุมท่วงทำนองของมือทั้งสองได้เลยแม้แต่นิดเดียว และทำได้เพียงเล่นตามจังหวะทำนองของหลิงฮัน
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “แบบนี้ข้าถือว่าผ่านการทดสอบรึเปล่า?”
ตัวเขานั้นไม่รู้วิธีการบรรเลงบทเพลงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ด้วยอำนาจจิตวิญญาณที่ทรงพลังของเขา ทำให้ท่วงทำนองที่บรรเลงออกไปสามารถส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณของผู้ฟังได้
หากเป็นในเรื่องของความมั่นคงของจิตใจแล้ว ฟู่เกาหยุนไม่สามารถเทียบเขาได้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นนิรันดร์สองนิพพานก็ตามแต่
ฟู่เกาหยุนกัดฟันและกล่าว “ก่อนอื่นใด เจ้าต้องถูกข้าทุบตีเสียก่อน!”
เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป ในศาสตร์ของการบรรเลงบทเพลงแล้ว เขาคือคนที่อัจฉริยะที่สุดของตระกูลฟู่ จึงไม่อาจยอมรับความอัปยศครั้งนี้ได้
ฟู่เกาหยุนกล่าวอย่างมั่นใจ “เจ้าต้องรับสามกระบวนท่าของข้า”
‘พรึบ’ ฟู่เกาหยุนชี้นิ้ว คลื่นวายุที่พัวพันไปด้วยแสงอำนาจสีทองถูกปลดปล่อยเข้าใส่หลิงฮัน
หลิงฮันยิ้มและชี้นิ้วออกไปเช่นกัน ‘พรึบ’ คลื่นพลังที่เย็นยะเยือกเกินพรรณนาถูกปลดปล่อยออกไป ความเย็นยะเยือกนี้ต่อให้เป็นนิรันดร์สองนิพพานก็ไม่อาจหนีพ้นถูกแช่แข็ง!
‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ คลื่นพลังสีทองของฟู่เกาหยุนถูกแช่แข็งและแตกสลายเป็นชิ้นๆในพริบตา
ฟู่เกาหยุนเผยสีหน้าตกตะลึง อีกฝ่ายต้านทานการโจมตีของเขาที่เป็นนิรันดร์สองนิพพานขั้นปลายได้!
รุ่นเยาว์ผู้นี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว!
ฟู่เกาหยุนคำรามและไม่คิดจะออมมืออีกต่อไป มือสองข้างของเขานำดาบเล่มยาวสองเล่มออกมากวัดแกว่ง และพุ่งทะยานจู่โจมหลิงฮัน
หลิงฮันรับมือกับดาบของฟู่เกาหยุนด้วยมือเปล่า กายหยาบของเขาในตอนนี้มีความทนทานเทียบเท่าแร่โลหะกึ่งนิรันดร์สองดาวครึ่ง ต่อให้เป็นการโจมตีของนิรันดร์สามนิพพาน หรืออุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สองดาวก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาบาดเจ็บ
ดาบในมือของฟู่เกาหยุนคืออุปกรณ์กึ่งนิรันดร์สองดาว ใบดาบนั้นทั้งแหลมคมและมีพลังทำลายที่น่าสะพรึงกลัว หากถูกคมดาบในมือทั้งสองข้างนี้กวัดแกว่งเข้าใส่ ต่อให้เป็นนิรันดร์สองนิพพานก็ยากที่จะมีชีวิตรอด
เพียงแต่ว่าต่อหน้าหลิงฮันแล้ว พลังเท่านี้ยังไม่เพียงพอ
ทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด ในระยะเวลาอันสั้นคงยากที่จะบอกได้ว่าฝ่ายไหนที่เหนือกว่า
ฟู่เกาหยุนตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาคืออัจฉริยะที่บรรลุขีดจำกัดสูงสุดแท้จริงในระดับวารีนิรันดร์ด้วยดวงดาวหนึ่งล้านดวง และบรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยการตัดนิพพานที่สมบูรณ์ กล่าวคือในระดับโลกียนิพพานเขาสมควรไร้พ่ายในระดับเดียวกัน
แต่ทว่าเหตุใดจอมยุทธที่เพิ่งจะทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานสำเร็จถึงสามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างไรสูสีกัน? เดี๋ยวก่อน… ไม่ใช่ว่าหากรุ่นเยาว์ผู้นี้บรรลุเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานขั้นสูงสุดล่ะก็ อีกฝ่ายจะสามารถกำราบเขาได้อย่างง่ายดายเลยหรอกรึ?
“จะ… เจ้าบรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพี!” จู่ๆเขาก็ตระหนักถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้ล่ะก็ ไม่มีทางที่นิรันดร์หนึ่งนิพพานจะมีพลังต่อสู้ราวกับสัตว์ประหลาดได้ขนาดนี้
หลิงยิ้มและกล่าว “จะต่อให้ครบสามกระบวนท่ารึเปล่า?”
ฟู่เกาหยุนหยุดลงมือและกล่าว “พอกันที ข้าไม่สู้แล้ว เจ้ามันเป็นประหลาดเกินไปจนข้าไม่แน่ใจว่าจะเอาชนะได้รึไม่”
แต่ไม่อาจเอาชนะก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสังหารหลิงฮันไม่ได้ ทักษะลับบางอย่างนั้นแม้จะใช้ออกไปจะส่งผลกระทบต่อตัวเองด้วย แต่ก็สามารถใช้บดขยี้ศัตรูได้อย่างสิ้นซาก
“ไปดื่มกันเถอะ” ฟู่เกาหยุนเดินเข้ามาโอบไหล่หลิงฮันอย่างใกล้ชิด การกระทำของเขาส่งผลให้จักรพรรดินีไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก และลงมือจู่โจมทันที
“ฮึ่ม!” ฟู่เกาหยุนอุทานออกมา ก่อนจะเข้าปะทะในระยะประชิดกับจักรพรรดินี
เพียงไม่กี่ลมหายใจทั้งสองคนก็ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันไปนับพัน โดยจักรพรรดินีเป็นฝ่ายเสียเปรียบเล็กน้อยแต่ก็ไม่รู้สึกหวาดหวั่น
“บ้าชัดๆ!” ดวงตาของฟู่เกาหยุนแทบจะถลนออกมา จักรพรรดินีเองก็ต้องบรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่สามารถต่อกรกับเขาที่เป็นถึงนิรันดร์สองนิพพานขั้นปลายได้
ต่อหน้าสัตว์ประหลาดสองคนนี้ ใครจะยังกล้าเรียกตนเองว่าอัจฉริยะ?
“ชื่อของข้าคือฟู่เกาหยุน ไม่ทราบว่าน้องชายมีชื่อว่าอะไร?” ฟู่เกาหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง โดยไม่ถือว่าตนเองมาจากตระกูลที่สูงส่ง
“我叫傅高云,兄弟你怎么称呼?”傅高云显得十分随意,丝毫没有世家子弟的架子。
“หลิงฮัน ส่วนภรรยามีชื่อว่าหล่วนซิง” หลิงฮันแนะนำตัว
ฟู่เกาหยุนพยักหน้าและไม่ไปโอบไหล่หลิงฮันเหมือนก่อนหน้านี้ “น้องชายหลิงฮัน พลังต่อสู้ของเจ้านั้นน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ข้าต้องแก้ไขทักษะบรรเลงบทเพลงอันห่วยแตกของเจ้า!”
หลิงฮันหัวเราะ นอกจากบ่มเพาะพลังแล้ว สิ่งที่เขาชื่นชอบก็มีเพียงการปรุงยาเท่านั้น เขาไม่สนใจที่จะฝึกฝนทักษะบรรเลงบทเพลงแม้แต่นิดเดียว
ตราบใดที่ฟู่เกาหยุนไม่ทำตัวใกล้ชิดหลิงฮัน จักรพรรดินีก็ไม่คิดจะลงมือ ทั้งสามคนเดินลงมาจากยอดเขาพร้อมกัน ซึ่งหลิงฮันก็ได้นำสตรีนกอมตะออกมาจากหอคอยทมิฬ และแนะนำให้ฟู่เกาหยุนรู้จัก
ฟู่เกาหยุนนั้นเปรียบกับหลิงฮันเหมือนเป็นน้องชาย เพราะงั้นในฐานะที่สตรีนกอมตะเป็นน้องสะใภ้ เขาจึงแสดงท่าทีของพี่ใหญ่อันสูงส่งออกมา
“หืม ท่านพี่ ทำไมท่านถึงได้ลงมาพร้อมกับพวกเขาล่ะ?” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นนั้นข้ามมาอยู่อีกฝั่งของภูเขาเพื่อรอพบผู้ผ่านการทดสอบ เมื่อเห็นว่าฟู่เกาหยุนเดินเคียงข้างมากับพวกหลิงฮันสามคน นางก็แสดงท่าทางประหลาดใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
เท่าที่นางจำความได้ พี่ชายของนางมีนิสัยที่หยิ่งทะนงเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครอยู่ในสายตาของเขามาก่อน แต่เหตุใดตอนนี้พี่ชายของนางถึงได้เดินหัวเราะพูดคุยอยู่กับหลิงฮันอย่างสนิทสนมกัน?
ฟู่เกาหยุนยิ้มและกล่าว “ข้านับว่าเขาเป็นน้องชายของข้าแล้ว ไม่เห็นจะแปลกหากข้าจะพาเข้าลงมาส่งด้วยตัวเอง!”
นับเป็นน้องชาย?
ท่านรู้จักเขานานขนาดไหนกัน ถึงได้เรียกอีกฝ่ายว่าน้องชาย?
เป่ยเสวียนหมิงที่อยู่ด้านข้างเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที ตัวเขานั้นเคยจงใจตีสนิทเพื่อชนะใจฟู่เกาหยุนมาแล้วหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยคิดจะแยแสเขาเลยแม้แต่น้อย
เจ้าเป็นคนที่หยิ่งทะนงมากไม่ใช่รึไงกัน? แต่เหตุใดเจ้าถึงได้เดินหัวเราะมากับเหล่าหนอนแมลงด้วยท่าทางสนุกสนานเช่นนั้น? นี่เจ้าจงใจหักหน้าข้าใช่หรือไม่?
“หลิงฮัน มาประลองกับข้าอีกครั้ง!” ทันใดนั้นเอง จู่ๆเซียวเซิ่งก็ตะโกนแทรกเข้ามา
ตอนที่ 1749 เป่ยเสวียนหมิงท้าประลอง
จนถึงตอนนี้ ผู้ทดสอบที่ผ่านมาถึงฝั่งนี้ของภูเขาได้มีเพียงสองคนคือ เซียวเชิ่งกับจ่างซุนเหลียง
จ่างซุนเหลียงนั้นเขาเพียงแค่พยักหน้าทักทาย แต่ไม่ได้ก้าวเข้ามาหาหลิงฮัน
ดวงตาของเซียวเซิ่งลุกโชนไปด้วยเพลิงอาฆาต เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เขาถูกหลิงฮันกับจักรพรรดิเล่นราวกับเป็นลูกบอลนั้น ได้สร้างความอัปยศที่ฝังลึกไปถึงก้นบึ้งจิตใจของเขา เขารู้ตัวที่ว่าในระดับสร้างสรรพสิ่ง เขาไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ให้กับหลิงฮันและจักรพรรดินีได้แน่นอน เพียงแต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ได้แตกต่างออกไปแล้ว
พลังบ่มเพาะของเขายกระดับขึ้นมาเป็นระดับโลกียนิพพาน!
ยิ่งกว่านั้นยังเป็นการตัดนิพพานอย่างสมบูรณ์อีกด้วย ต่อให้หลิงฮันจะตัดนิพพานได้สมบูรณ์เช่นกัน พลังต่อสู้ของเขากับอีกฝ่ายก็ไม่สมควรแตกต่างกันมาก
ยิ่งเมื่อเขาใช้ทักษะลับที่ทรงพลังด้วยแล้ว เขาจะต้องแก้แค้นได้สำเร็จแน่นอน!
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?” ฟู่เกาหยุนเอ่ยแทรกและปล่อยหมัดเข้าใส่เซียวเชิ่งอย่างไม่ให้ตั้งตัว
แต่ถึงแม้จะเป็นการโจมตีอย่างกะทันหัน แต่เซียวเซิ่งก็เป็นราชาแห่งยุค ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาว่องไวและกระโดดถอยหลังอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่นิรันดร์สองนิพพานก็ยังเหนือชั้นกว่านิรันดร์หนึ่งนิพพานอยู่ดี คลื่นพลังของหมัดระเบิดเข้าใส่เซียวเซิ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศจนกระอักโลหิตออกมา
พวกฟู่เสี่ยวอวิ๋นรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก เหตุใดฟู่เกาหยุนถึงได้ลงมือแทนหลิงฮันกัน?
ร่างของเซียวเชิ่งร่อนลงสู่พื้นและเดินโซเซอยู่หลายก้าวกว่าจะทรงตัวได้ เขากัดฟันพร้อมกับกล่าว “เหตุใดนายน้อยฟู่ถึงโจมตีข้า?”
“ก็เจ้าอยากสู้กับน้องชายหลิงฮันไม่ใช่รึ?” ฟู่เกาหยุนกล่าวอย่างเหยียดหยาม “สู้กับข้าก็ไม่ต่างจากสู้กับน้องชายหลิง”
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นรู้สึกสับสน นางรู้ดีว่าพี่ชายของนางเป็นคนที่หยิ่งทะนงเพียงใด ซึ่งการที่เขาจะยอมรับใครซักคนเป็นสหายนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก
“ฮึ่ม” ฟู่เกาหยุนสายหัว “พวกเจ้าทุกคนคงคิดว่าที่ข้าลงมือนั้น เป็นเพราะน้องชายหลิงฮันสหายของข้า? แน่นอน ถ้าหากมีใครคิดจะท้าทายสหายของข้า ข้าย่อมออกหน้าแทนอยู่แล้ว! เพียงแต่ต่อให้ข้าไม่ลงมือแทน ขยะเช่นเจ้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของน้องชายหลิงอยู่ดี”
เขาหยุดกล่าวไปครู่หนึ่งก่อนจะกวาดสายตามองทุกคนและกล่าวต่อ “เมื่อครู่ น้องชายหลิงสามารถต่อกรกับข้าได้อย่างทัดเทียม
ว่าไงนะ!
ฟู่เสี่ยวอวิ๋น เป่ยเสวียนหมิง เซียวเชิ่ง หรือแม้กระทั่งจ่างซุนเหลียงล้วนแต่แสดงสีหน้าไม่เชื่อ เจ้ากล่าวเกินไปรึเปล่า… อย่าได้ลืมว่าตัวเจ้าเป็นถึงนิรันดร์สองนิพพาน!
ต่อให้ราชาเช่นพวกเขามีพลังบ่มเพาะหนึ่งนิพพานขั้นสูงสุด พวกเขาก็สามารถสู้ได้ทัดเทียมกับนิรันดร์สองนิพพานขั้นต้นทั่วไปเท่านั้น
แต่ฟู่เกาหยุนนั้นเป็นถึงนิรันดร์สองนิพพานขั้นปลาย แถมยังไร้เทียมทานในระดับเดียวกันอีก ตามหลักแล้วมีเพียงราชาระดับสองนิพพานขั้นสูงสุดเท่านั้นถึงจะเอาชนะเขาได้แบบฉิวเฉียด
เพราะงั้นไม่มีทางเด็ดขาดที่หลิงฮันที่เพิ่งบรรลุเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพาน จะสามารถสู้กับฟู่เกาหยุนได้อย่างทัดเทียม
“ข้าไม่เชื่อ!” เซียวเชิ่งคำรามอย่างไม่ยินยอม
หากเรื่องนี้เป็นความจริง ก็หมายความว่าในระดับโลกียนิพพานนี้เขาจะไม่สามารถแก้แค้นได้สำเร็จ และต้องรอจนกว่าจะบรรลุระดับแบ่งแยกวิญญาณ ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่พันล้านปี
ฟู่เกาหยุนเค้นเสียงและคร้านจะโต้ตอบ
มีความจำเป็นอันใดที่เขาต้องพิสูจน์คำพูดให้ขยะตรงหน้าเชื่อ?
“ข้าก็ไม่เชื่อ!” เป่ยเสวียนหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หากหลิงฮันมีพลังต่อสู้ทัดเทียมกับฟู่เกาหยุนจริง นั่นไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขาหรอกรึ?
ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด!
“เจ้าจะไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า” ฟู่เกาหยุนกล่าวอย่างไม่แยแส ถึงแม้อำนาจของตระกูลฟู่จะไม่ได้แข็งแกร่งเท่านิกายอาญาสิ้นแสง แต่ทั้งสองก็เป็นขุมอำนาจสามดาวเหมือนกัน เขาจึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเป่ยเสวียนหมิง
เป่ยเสวียนหมิงเองก็ตระหนักในเรื่องนี้ดีจึงไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดอะไร เขาแสยะยิ้มและกล่าว “หลิงฮัน เจ้ากล้าสู้กับข้ารึไม่?”
หลิงฮันหัวเราะ “ข้ากำลังรอคำนี้จากเจ้าอยู่พอดี! เจ้าคงไม่รู้ว่าข้ารอคอยที่จะได้ซัดหน้าตากวนบาทาของเจ้ามานานแค่ไหนแล้ว”
“ฮ่าๆ น้องชายหลิง เจ้าก็รู้สึกเหมือนข้าสินะ!” ฟู่เกาหยุนหัวเราะ “ข้าเองก็อยากซัดหน้าหมอนั่นเหมือนกัน แต่ติดอยู่สถานะของข้าไม่เอื้ออำนวย ข้าขอฝากให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแทนแล้วกัน”
“เรื่องแค่นี้สบายมาก” หลิงฮันพยักหน้า
“พวกเจ้า!” เป่ยเสวียนหมิงกัดฟันแค้น นี่พวกเจ้าดูถูกข้าขนาดไหนกัน? พวกเจ้าไม่รู้รึไงว่าข้าเป็นถึงผู้สืบทอดแห่งนิกายอาญาสิ้นแสง และเป็นราชาที่ทรงพลัง
“พี่ชายเกาหยุน ถ้าข้าเผลอสังหารเขา จะเป็นปัญหาอะไรหรือไม่?” หลิงฮันหันไปเอ่ยถามฟู่เกาหยุน
ร่างของฟู่เกาหยุนสั่นสะท้านทันที ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นมืดมนเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “ห้ามเด็ดขาด!”
หากเป่ยเสวียนหมิงที่เป็นผู้สืบทอดของนิกายอาญาสิ้นแสงเสียชีวิตที่นี่ล่ะก็ นิกายอาญาสิ้นแสงจะต้องเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมากและทำสงครามกับตระกูลฟู่แน่นอน
“ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายเกาหยุน หรือท่านหวาดกลัวนิกายอาญาสิ้นแสงที่อ่อนแอ?”
เจ้าจะหาเรื่องใส่ตัวให้ข้าแบบนั้นไม่ได้!
ใบหน้าของฟู่เกาหยุนบูดบึ้งหน้าเกลียด เขาตระหนักได้ว่าหลิงฮันไม่ได้แค่บรรเลงบทเพลงได้ห่วยแตกขั้นสุดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีฝีปากที่สามารถทำให้ผู้อื่นบ้าคลั่งได้อีกด้วย
นี่ข้าคิดถูกรึเปล่าที่นับเจ้าเป็นน้องชาย?
“เลิกพล่ามไร้สาระเสียที!” เป่ยเสวียนหมิงคำรามอย่างโหดเหี้ยม แววตาของเขาแดงฉานราวกับเปลวเพลิงจะปะทุออกมา
สองคนนั้นเห็นเขาเป็นอากาศธาตุรึไง?
“ก็เห็นเจ้าไม่ลงมือเสียที ข้าก็เลยหาอะไรคุยฆ่าเวลา” หลิงฮันเผยรอยยิ้ม “เข้ามาสิ เจ้าจะยังมัวยืนโง่อะไรอยู่? รีบๆเริ่มจะได้รีบๆจบ”
“ช่างอวดดีนัก!” เป่ยเสวียนหมิงลงมือ ‘พรึบ’ ดวงตาสองข้างของเขาปลดปล่อยออร่าอันเย็นยะเยือกออกมา และควบแน่นรวมกันกลายเป็นดาบน้ำแข็งสองเล่มพุ่งทะลวงเข้าใส่หลิงฮันอย่างรุนแรง
ตอนที่ 1750 ข้านับว่าเขาเป็นน้องชาย
หลิงฮันสูดลมพร้อมกับพ่นลมหายใจออกไปด้านหน้า
‘พรึบ’ ลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนเปลวเพลิง และหลอมละลายดาบน้ำแข็งสองเล่มที่พุ่งทะยานเข้ามาจนระเหยเป็นไอน้ำในพริบตา
ใบหน้าของเป่ยเสวียนหมิงเริ่มแสดงออกถึงความระมัดระวัง
ในตอนแรกเขาคิดว่าหลิงฮันกับฟู่เกาหยุนจงใจหยอกล้อเขาเท่านั้น แต่ตอนนี้เขารับรู้แล้วว่า หลิงฮันนั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง!
ไม่เพียงแค่เป่ยเสวียนหมิง แต่ฟู่เสี่ยวอวิ๋น เซียวเชิ่ง และจ่างซุนเหลียงก็ตกตะลึงเช่นกัน
“เจ้าบรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีพิเศษ!” เป่ยเสวียนหมิงตระหนักถึงความเป็นไปได้นี้ทันที หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้แล้ว หลิงฮันจะสู้ข้ามระดับได้อย่างไร?
เหลือเชื่อ… รุ่นเยาว์ผู้นี้สร้างปาฏิหาริย์ที่มีเพียงทายาทของขุมอำนาจยักษ์ใหญ่เท่านั้นถึงจะทำได้สำเร็จ
ตัดขาดสวรรค์และปฐพี!
เป่ยเสวียนหมิงริษยาเป็นอย่างมาก เขาเองก็เคยพยายามตัดขาดสวรรค์และปฐพีมาก่อน แต่หลังจากล้มเหลวไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาก็ไม่กล้านำชีวิตตนเองไปเสี่ยงอีกต่อไป
เขาคิดว่าปาฏิหาริย์เช่นนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นกับขุมอำนาจระดับสามดาวหรือสี่ดาวมาตลอด แต่ความสำเร็จของหลิงฮันก็ได้ตบหน้าเขาอย่างจัง
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นจดจ้องด้วยแววตาเป็นประกาย ปาฏิหาริย์เช่นนั้นมีคนทำสำเร็จได้จริงๆ?
“บรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีพิเศษ?” เซียวเชิ่งและจ่างซุนเหลียงพึมพำด้วยความสับสน ด้วยการที่พวกเขามาจากขุมอำนาจเพียงสองดาว จึงไม่เข้าใจว่าการตัดขาดสวรรค์และปฐพีคืออะไร
“น้องข้า เจ้าควรเลือกแต่งงานกับหลิงฮันจะดีกว่านะ” ฟู่เกาหยุนเริ่มยุยง “อย่างที่เจ้าเห็นว่าน้องหลิงฮันนั้นมีพรสวรรค์สูงส่งกว่าตัวบัดซบนั่นขนาดไหน หากเจ้าพลาดบุรุษดีๆแบบนี้ไปล่ะก็ เจ้าอาจจะร้องไห้เสียใจไปตลอดชีวิต”
ฟู่เกาหยุนไม่ได้กระซิบกระซาบ เพราะงั้นเป่ยเสวียนหมิงจึงได้ยินคำพูดของเขาอย่างชัดเจน
ใบหน้าของเป่ยเสวียนหมิงเปลี่ยนเป็นมืดมน เขาขมวดคิ้วด้วยความโกรธและนำดาบเงินเล่มสั้นที่มีความยาวเพียงราวๆสามนิ้วออกมา
ทันทีที่ดาบถูกนำออกมา อุณหภูมิรอบด้านก็ลดลงอย่างรวดเร็ว สองคนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิอันเยือกเย็นมีเพียงฟู่เกาหยุนและจักรพรรดินีสองคน
ฟู่เกาหยุนและจักรพรรดินีทำการปลดปล่อยออร่าของตนเองออกมา เพื่อคุ้มกันให้กับฟู่เสี่ยวอวิ๋นและสตรีนกอมตะ ในขณะเดียวกัน เซียวเชิ่งกับจ่างซุนเหลียงที่ไม่อาจต้านทานความเย็นได้ก็ทำได้เพียงล่าถอยเว้นระยะออกห่าง
ทุกคนแสดงท่าทีตกตะลึงออกมาอีกครั้ง เนื่องจากพวกเขาพบเห็นว่าจักรพรรดินีสามารถต้านทานอำนาจอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ของเป่ยเสวียนหมิงได้!
“นางเองก็บรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีเช่นกัน” ฟู่เกาหยุนอธิบายให้น้องสาวตนเองฟัง
ปากของฟู่เสี่ยวอวิ๋นอ้าค้างเป็นรูปวงกลม ส่วนเป่ยเสวียนหมิงเองก็เข่าแทบทรุก มีอัจฉริยะที่สร้างปาฏิหาริย์ได้ถึงสองคน!
จ่างซุนเหลียงและเซียวเชิงกลายเป็นแน่นิ่งไร้คำพูด ทั้งสองไม่รู้ว่าอะไรคือการตัดขาดสวรรค์และปฐพี แต่พวกเขามั่นใจว่าเป็นเพราะการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีนี้แน่นอน ที่ทำให้พวกหลิงฮันมีพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว
เป่ยเสวียนหมิงตั้งสติและรวบรวมพลังไปที่ดาบในมือ
ดาบที่เขาถืออยู่คือดาบเมฆาเยือกแข็ง อุปกรณ์ระดับกึ่งนิรันดร์สองดาว หากกระตุ้นใช้งานพลังของดาบเล่มนี้ออกมาเต็มที่ แม้แต่นิรันดร์สามหรือสี่นิพพานก็ต้องถูกสังหาร
ด้วยพลังบ่มเพาะของเป่ยเสวียนหมิงในตอนนี้ แม้จะยังไม่สามารถกระตุ้นใช้งานพลังของดาบเมฆาเยือกแข็งได้เต็มที่ แต่ก็ไม่ยากที่จะกระตุ้นพลังของดาบเพื่อรับมือนิรันดร์สองนิพพานขั้นสูงสุด หลิงฮันนั้นแข็งแกร่งก็จริง แต่อีกฝ่ายจะสามารถต่อกรกับพลังของนิรันดร์สองนิพพานสูงสุดได้?
เป่ยเสวียนหมิงยกดาบชี้ขึ้นฟ้า ทันใดนั้นคมดาบก็ยืดยาวอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นดาบยักษ์ที่มีความยาวถึงสามร้อยกว่าเมตร อำนาจเหมันต์อันทรงพลังและตราประทับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันเย็นยะเยือกถูกปลดปล่อยออกมา
หลิงฮันถอนหายใจ ดาบอสูรนิรันดร์นั้นยังไม่ยกระดับขึ้นเป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์เสียที ส่วนดาบไม้ผุพังเองก็มีขีดจำกัดสูงสุดอยู่ที่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบ ตอนนี้เขาไม่มีอาวุธชิ้นใดให้ใช้งานได้เลย
ความจริงต้นเหตุก็เพราะกายหยาบอันไร้เทียมทานของเขานั่นล่ะ ที่ทำให้เขาไม่มีความต้องการหาอาวุธที่ทรงพลังมาใช้
เขายกกำปั้นหนึ่งข้างขึ้นมาและโคจรอำนาจของวารีพลังหยินเร้นลับ ความเย็นก็ต้องปะทะความเย็น
ตูม!
ดาบและหมัดถูกปล่อยเข้าปะทะกัน ทั้งตัวดาบเมฆาเยือกแข็งและหมัดของหลิงฮันปรากฏชั้นน้ำแข็งขึ้นพร้อมกัน ชั้นน้ำแข็งค่อยๆแพร่ขยายลามไปถึงแขนของทั้งสองคน
หลิงฮันไม่หวาดหวั่นและปล่อยให้ชั้นน้ำแข็งแพร่กระจายสู่ร่างกาย แต่เป่ยเสวียนหมิงนั้นตรงกันข้าม เขารีบดึงดาบกลับและกระโดดล่าถอยทันที
เป่ยเสวียนหมิงรีบกระตุ้นพลังของดาบเหมันต์เยือกแข็ง ‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ ชั้นน้ำแข็งที่แขนของเขาค่อยๆแตกออกเป็นชิ้นๆ เป่ยเสวียนหมิงถอนหายใจโล่งอกก่อนจะมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าตกตะลึง ภาพที่เขาเห็นคือหลิงฮันสะบัดแขนสลายชั้นน้ำแข็งบนแขนได้อย่างง่ายดาย
อะไรกัน!
สิ่งที่อยู่ในมือของข้าคืออุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ แต่เจ้ากลับใช้เพียงมือเปล่าปะทะกับข้า?
“ถึงคราวข้าเป็นฝ่ายบุกบ้าง!” หลิงฮันพุ่งทะยานปลดปล่อยการโจมตี
เป่ยเสวียนหมิงควบคุมดาบเมฆาเหมันต์ในใจและใช้มือทั้งสองปลดปล่อยทักษะนิรันดร์ แน่นอนว่าในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของนิกายอาญาสิ้นแสง ทักษะระดับนิรันดร์ที่เขาฝึกฝนจึงมีมากมาย แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะใช้ทักษะอะไรออกมา ก็ไม่ส่งผลต่อหลิงฮันแม้แต่ทักษะเดียว
หากที่จะเป็นศัตรูของหลิงฮัน อีกฝ่ายต้องมีพลังบ่มเพาะเทียบเท่าฟู่เกาหยุนเป็นอย่างน้อย
หลิงฮันกระหน่ำปล่อยหมัดอย่างรุนแรงโดยที่เป่ยเสวียนหมิงทำตกเป็นฝ่ายป้องกันอยู่ฝ่ายเดียว
เซียวเชิ่ง จ่างซุนเหลียง และฟู่เสี่ยวอวิ๋นตกตะลึงจนไร้คำพูด ภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตรงหน้าน่าอัศจรรย์เกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการถึง
การทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีพิเศษทำให้แข็งแกร่งขนาดนี้เชียว?
ตูม!
หลิงฮันทำลายการป้องกันของเป่ยเสวียนหมิงด้วยหมัดและเริ่มทำการทุบตีอย่างโหดเหี้ยม
คิดว่าข้าไม่รู้ตัวรึว่าเจ้าหาโอกาสสังหารข้าอยู่หลายต่อหลายครั้ง?
หากตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยล่ะก็ หลิงฮันคงไม่ไว้ชีวิตเป่ยเสวียนหมิงแล้ว แต่ถ้าหากเขาสังหารเป่ยเสวียนหมิงที่นี่ ผู้ที่รับผิดชอบย่อมต้องเป็นตระกูลฟู่ ซึ่งหลิงฮันไม่ต้องการทำเช่นนั้นกับฟู่เกาหยุน
หลิงฮันกระหน่ำปล่อยหมัดอย่างต่อเนื่องจนใบหน้าของเป่ยเสวียนหมิงปูดบวมราวกับหัวหมู
“น้องข้า เจ้าไม่คิดใหม่จริงๆรึ?” ฟู่เกาหยุนยกศอกขึ้นมาสะกิดน้องสาว
ปากของฟู่เสี่ยวอวิ๋นกระตุกไม่หยุด เป่ยเสวียนหมิงที่เป็นถึงหนึ่งในราชาแห่งยุคแท้ๆแต่กลับไม่สามารถตอบโต้หลิงฮันได้แม้แต่น้อย นางตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก
หลังจากทุบตีจนพอใจ ในที่สุดหลิงฮันก็หยุดมือ
ความจริงนั้น นอกจากใบหน้าที่ปูดบวมจนน่าอับอายแล้วเป่ยเสวียนหมิงก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไร เขาค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกอัปยศอย่างถึงที่สุด
‘พรึบ’ ทันใดนั้นเอง ร่างของชายชราผมขาวโพลนผู้หนึ่งก็ทะยานร่างเข้ามา
“โอ้ เจ้าหนู เจ้าอยู่ที่นี่จริงๆด้วย” ชายชราที่ปรากฏตัวคือเซี่ยงเหยี๋ยน สายตาของเขาจดจ้องไปยังหลิงฮันด้วยความตื่นเต้น
ตอนที่ 1751 ต้องการเรียนรู้ศาสตร์ปรุง...
อะไรกัน!
พี่น้องตระกูลฟู่มองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าตกตะลึง คงไม่ใช่ว่าชายหนุ่มผู้นี้ไปทำอะไรให้ผู้เฒ่าเหยี๋ยนไม่สบอารมณ์หรอกนะ?
ต้องรู้ก่อนว่าเซี่ยงเหยี๋ยนนั้น เป็นหนึ่งในบุคคลที่ตระกูลฟู่ให้ความสำคัญมากที่สุด!
แม้จะเป็นในดินแดนแห่งเซียน นักปรุงยาก็ยังเป็นตัวตนที่ทรงเกียรติ จำนวนของนักปรุงยาที่สามารถหลอมเม็ดยาระดับนิรันดร์ได้นั้นมีอยู่น้อยแสนน้อย ซึ่งขุมอำนาจที่ทรงพลังต่างต้องการตัวพวกเขาเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายอันมหาศาล
เซี่ยงเหยี๋ยนเป็นถึงปรมาจารย์ปรุงยาระดับสามดาว
ในดินแดนแห่งเซียน ระดับของปรมาจารย์นักปรุงยาจะแบ่งออกเป็นห้าระดับ นักปรุงยาหนึ่งดาวสอดคล้องกับพลังระดับโลกียนิพพาน นักปรุงยาสองดาวสอดคล้องกับระดับแบ่งแยกวิญญาณ เพราะงั้นนักปรุงยาสามดาวจึงสอดคล้องกับระดับขอบเขตตำหนักอมตะ
ในตอนแรก ตระกูลฟู่สามารถเชิญชวนนักปรุงยาสามดาวร่วมตระกูลได้เพียงคนเดียวคือซือถูถัง เพราะประมุขตระกูลฟู่เคยช่วยชีวิตซือถูถังเอาไว้ และในเวลาถัดมา เหตุผลที่เซี่ยงเหยี๋ยนยอมเข้าร่วมตระกูลฟู่ด้วยก็เป็นเพราะเขาเป็นสหายคนสนิทของซือถูถัง
ถึงแม้ความสัมพันธ์ของเซี่ยงเหยี๋ยนกับซือถูถังจะแตกหัก เซี่ยงเหยี๋ยนก็ไม่คิดที่จะออกจากตระกูลฟู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรทางตระกูลฟู่ก็รู้สึกเป็นกังวลอยู่ดี ว่าอาจจะมีขุมอำนาจสามดาวขุมอำนาจอื่นแอบติดต่อเชิญชวนเซี่ยงเหยี๋ยนอยู่ลับๆ
นักปรุงยาระดับนิรันดร์หนึ่งคนนั้น มีความสำคัญเทียบเท่าจอมยุทธระดับนิรันดร์ที่มีระดับพลังสอดคล้องกันถึงสิบคน!
และเพราะเหตุผลที่ว่าตระกูลฟู่ไม่ต้องการสูญเสียเซี่ยงเหยี๋ยนไป พวกเขาจึงมีความเคารพและสุภาพต่อเซี่ยงเหยี๋ยนเป็นอย่างมาก
นี่หลิงฮันไปล่วงเกินอะไรกับเซี่ยงเหยี๋ยนงั้นรึ?
สถานการณ์ชักไม่ดีแล้ว หากเซี่ยงเหยี๋ยนต้องการจัดการหลิงฮันล่ะก็ เกรงว่าประมุขตระกูลฟู่อาจจะถึงขั้นลงมือด้วยตัวเอง
เป่ยเสวียนหมิงแสยะยิ้มทันที เจ้าหนูนี่กล้าไปล่วงเกินปรมาจารย์นักปรุงยา? ฮ่าๆๆ! บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้ แต่หนึ่งในเหตุผลหลักที่นิกายอาญาสิ้นแสงต้องการตบแต่งกับตระกูลฟู่นั้น เป็นเพราะตระกูลฟู่มีนักปรุงยาระดับสามดาวอยู่ถึงสองคน
“ผู้เฒ่าเหยี๋ยน ที่ท่านมาที่นี่คงไม่ใช่เพราะมีเรื่องอะไรสำคัญหรอกใช่หรือไม่?” ฟู่เกาหยุนเอ่ยถามอย่างสุภาพ ต่อหน้าปรมาจารย์นักปรุงยา เขาไม่กล้าแสดงท่าทีหยิ่งยโสของผู้สืบทอดตระกูลฟู่แม้แต่นิดเดียว
ต่อให้ในอนาคตเขาได้เป็นประมุข เข้าก็ยังต้องให้เกียรติเซี่ยงเหยี๋ยน
เซี่ยงเหยี๋ยน หันไปมองฟู่เกาหยุนด้วยสายตาโหดเหี้ยมและตบเข้าที่ใบหน้า “ไม่ใช่เรื่องสำคัญ? เจ้ากล้าดูถูกความพยายามอันแสนเข็นหลายพันล้านปีของข้ารึ?”
เม็ดยาวายุเพลิงเก้าเมฆา คือความสำเร็จที่เขาทุ่มเทความพยายามไปอย่างมาก เมื่อถูกกล่าวเช่นนั้น จึงไม่แปลกที่เขาจะโกรธ
กลายเป็นเรื่องแล้วจริงๆด้วย!
ฟู่เกาหยุนไม่กล้าหลีกฝ่ามือที่ตบเข้ามาของเซี่ยงเหยี๋ยน เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงหนักอะไร เขาหันไปมองหลิงฮันด้วยสีหน้าสลดใจ
เหตุใดเจ้าถึงสร้างปัญหาได้ขนาดนี้?
เจ้ามาถึงที่นี่ได้ไม่นานเท่าไหร่ เจ้าก็ดันไปล่วงเกินบุคคลที่ไม่ควรล่วงเกินที่สุดในตระกูลเสียแล้ว นี่ข้าจะใช้คำไหนอธิบายความสามารถในการสร้างปัญหาของเจ้าดี?
ฟู่เกาหยุนกัดฟันและกล่าว “หลิงฮัน รีบน้อมรับความผิดของเจ้าเร็ว!” เขาส่งขยิบตาส่งสัญญาณให้หลิงฮันทำตาม
เมื่อได้ยินคำพูดของฟู่เกาหยุน เป่ยเสวียนหมิงก็แสยะยิ้มชั่วร้ายทันที
ในเมื่อจัดการหลิงฮันด้วยตัวเองไม่ได้ เป่ยเสวียนหมิงก็เกิดความคิดที่จะยืมมือของนักปรุงยาระดับสามดาวอย่างเซี่ยงเหยี๋ยนแทน
ยิ่งหากโน้มน้ามให้เซี่ยงเหยี๋ยนเข้าร่วมนิกายอาญาสิ้นแสงได้ ตำแหน่งรัชทายาทในการเป็นผู้สืบทอบนิกายอาญาสิ้นแสงของเขาก็จะมั่นคง
“พี่ชายฟู่ สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นไม่ถูกต้องเอาเสียเลย นักปรุงยานั้นเป็นตัวตนที่ทรงเกียรติ แค่กล่าวขอโทษจะไปเพียงพอได้อย่างไร?” เป่ยเสวียนหมิงยิ้มชั่วร้าย “หากหมอนั่นไม่ถูกลงโทษสถานหนัก ก็เหมือนกับพวกท่านดูหมิ่นสมาคมนักปรุงยาไม่ใช่รึไง?”
ฟู่เกาหยุนหันไปมองเป่ยเสวียนหมิงด้วยแววตารังเกียจ เจ้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะหลิงฮัน จึงคิดเอาคืนด้วยวิธีไร้ยางอายเช่นนี้? เจ้ามันไม่มีศักดิ์ศรีที่จะเรียกตัวเองว่าราชา!
ฟู่เสี่ยวอวิ๋นก็เผยสีหน้าเหยียดหยามเช่นกัน นางไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไรที่เป่ยเสวียนหมิงพ่ายแพ้ แต่การที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และมีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้นเช่นนี้ เป็นสิ่งที่นางรับไม่ได้
เป่ยเสวียนหมิงกัดฟันทำเป็นไม่สนใจ หากเขาสังหารหลิงฮันไม่ได้ แล้วเขาจะยังมีหน้าไปพบใครอีก?
“พวกเจ้าพูดเรื่องบ้าบออะไรกันอยู่?” เซี่ยงเหยี๋ยนกล่าว รุ่นเยาว์เหล่านี้ไม่คิดจะให้เขาพูดให้จบก่อนเลยรึไง?
“ขอรับผู้เฒ่าเหยี๋ยน!” ทันทีที่เซี่ยงเหยี๋ยนเอ่ยกล่าว ฟู่เกาหยุนและเป่ยเสวียนหมิงก็รีบก้มหัวโค้งคำนับอย่างสุภาพ
ใบหน้าของฟู่เกาหยุนปรากฏรอยยิ้มขมขื่น ในขณะที่ใบหน้าของเป่ยเสวียนหมิงปรากฏรอยยิ้มชั่วร้าย
“หลิงน้อย เจ้าสนใจเรียนรู้ศาสตร์ปรุงยาจากข้ารึไม่?” เมื่อเห็นทุกคนเลิกพล่ามเรื่องไร้สาระ เซี่ยงเหยี๋ยนก็รีบกล่าวกับหลิงฮันด้วยรอยยิ้ม
ว่าไงนะ!
ทันทีที่ได้ยิน ฟู่เกาหยุน เป่ยเสวียนหมิง จ่างซุนเหลียงและคนอื่นๆก็รู้สึกตกตะลึงจนแทบจะทรุดตัวล้มลงกับพื้น
นี่พวกเขาได้ยินผิดรึเปล่า?
เซี่ยงเหยี๋ยนเอ่ยถามหลิงฮันว่า สนใจมาเรียนรู้ศาสตร์ปรุงยากับตนรึเปล่างั้นรึ?
กล่าวอีกแง่คือ เซี่ยงเหยี๋ยนต้องการรับหลิงฮันเป็นศิษย์!
นักปรุงยาคือกลุ่มคนที่มีสถานะสูงส่ง ด้วยการที่จะเป็นนักปรุงยาได้นั้น จำเป็นต้องผ่านเงื่อนไขต่างๆมากมาย จำนวนของนักปรุงยาจึงมีอยู่น้อยนิดและเป็นกลุ่มคนที่สำคัญยิ่ง
ดินแดนแห่งเซียนคือดินแดนที่มีอายุขัยไม่จำกัด เพราะงั้นนอกจากศาสตร์วรยุทธแล้ว เหล่าอัจฉริยะอย่างเป่ยเสวียนหมิงหรือฟู่เก่าหยุนที่เชี่ยวชาญในศาสตร์การบรรเลงเอง ในความเป็นจริง พวกเขาก็ต้องการมีสถานะเป็นนักปรุงยาเช่นกัน
แต่ปัญหาคือ ใช่ว่าใครอยากเป็นก็จะเป็นได้!
ตอนนี้แม้แต่ฟู่เกาหยุนก็รู้สึกอิจฉาหลิงฮัน ไม่มีใครรู้ว่าตัวเขานั้นเคยขอเป็นศิษย์ของเซี่ยงเหยี๋ยนมามากมายกี่ครั้งแล้ว ซึ่งเซี่ยงเหยี๋ยนก็ปฏิเสธทุกครั้ง
ใบหน้าของเป่ยเสวียนหมิงเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง ในตอนแรกเขาคิดว่าหลิงฮันจะถูกลงโทษอย่างสาหัส แต่กลับกลายเป็นว่าเซี่ยงเหยี๋ยนตั้งใจจะรับหลิงฮันเป็นศิษย์แทน!
บัดซบที่สุด!
หลิงฮันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ขอปฏิเสธ… ผู้น้อยในตอนนี้ต้องการมุ่งมั่นฝึกฝนศาสตร์วรยุทธเพียงอย่างเดียว”
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธของหลิงฮัน ทุกคนรอบข้างก็แน่นิ่งกลายเป็นรูปปั้นหินในพริบตา
โอกาสทองมาอยู่ตรงหน้าเจ้าขนาดนี้แล้ว เจ้ายังกล้าปฏิเสธได้อย่างไร!
เซี่ยงเหยี๋ยนยังคงไม่ยอมแพ้และกล่าว “มุ่งฝึกฝนแค่ศาสตร์วรยุทธจะไปดีตรงไหน? ตราบใดที่เจ้าบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแล้ว อายุขัยของเจ้าย่อมไร้ขีดจำกัด เหนือสิ่งอื่นใดคือหากเจ้ารู้แจ้งถึงอำนาจแห่งเต๋าและประสบความสำเร็จที่สูงส่งในศาสตร์แห่งการปรุงยา การจะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ที่ทรงพลังก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจเล็กน้อย “อย่างเช่นตัวข้าที่ไม่ได้ฝึกฝนศาสตร์วรยุทธเลยตั้งแต่บรรลุระดับโลกียนิพพาน และเอาแต่หลอมเม็ดยาทุกวัน ข้าก็ยังสามารถบรรลุระดับแบ่งแยกวิญญาณในขั้นตัดวิญญาณสวรรค์ได้ ในระยะเวลาสองหมื่นล้านปี”
ตั้งสองหมื่นล้านปีเชียว?
หลิงฮันส่ายหัว ตัวเขาที่ครอบครองหอคอยทมิฬ มีโอกาสสูงมากที่จะถูกตัวตนที่ทรงพลังตามล่าในอนาคต มีรึที่เขาจะมีเวลาบ่มเพาะพลังนานขนาดนั้น? ยิ่งกว่านั้นแล้วเขายังต้องออกตามหาภรรยาและบุตรอีก เขาไม่สามารถเอ้อระเหยอยู่ที่นี่ได้ตลอดไป
“ผู้น้อยไม่ต้องการ” เขากล่าวยืนกราน
เซี่ยงเหยี๋ยนอยากจะจับหลิงฮันมาบีบคอเพื่อให้อีกฝ่ายยอมตกลงเสียเหลือเกิน นี่เจ้าไม่รู้รึไงว่าขอแค่ข้าป่าวประกาศว่าต้องการรับศิษย์ เหล่าผู้สืบทอดของขุมอำนาจที่ทรงพลังมากมายก็ล้วนแต่ยินยอมที่จะเดินทางมาต่อแถวเพื่อให้ข้าเลือกด้วยตัวเอง?
แต่นี่ขนาดข้ายื่นข้อเสนอให้เจ้าตรงๆ เจ้าก็ยังปฏิเสธถึงสองครั้ง
ตอนที่ 1752 เริ่มเรียนรู้หลอมเม็ดยา
เซี่ยงเหยี๋ยนแทบจะบ้าคลั่ง ในขณะที่ฟู่เก่าหยุนรู้สึกเศร้าสลด เขาจำได้เป็นอย่างดีว่า ตัวเขาเองนั้นเคยร้องขอให้อีกฝ่ายรับเป็นศิษย์มาแล้วมากมายกี่ครั้ง ซึ่งทุกครั้งเซี่ยวเหยี๋ยนก็ปฏิเสธอย่างไม่แยแส แต่ตอนนี้เหตุการณ์ตรงหน้ากลับกลายเป็นว่า เซี่ยงเหยี๋ยนกำลังพยายามขอให้หลิงฮันมาเป็นศิษย์ของตน และหลิงฮันได้ปฏิเสธอย่างไม่แยแส
สถานการณ์ที่กลับตาลปัตรเช่นนี้ทำให้เขาแทบจะร้องไห้ออกมา
“ข้าก็ยังไม่เห็นด้วยอยู่ดี ด้วยพรสวรรค์ในการเข้าถึงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้น หากไม่มาเป็นนักปรุงยาพรสวรรค์ของเจ้าจะกลายเป็นเสียเปล่า!” เซี่ยงเหยี๋ยนส่ายหัว เขาไม่ต้องการปล่อยให้อัจฉริยะเช่นนี้หลุดมือไป
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไปตระกูลฟู่อยู่แล้ว หากมีเวลาหลังจากบ่มเพาะพลัง ข้าจะไปขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสแล้วกัน”
ต่อหน้าปรมาจารย์นักปรุงยาที่สูงส่ง เจ้ายังกล้าต่อรองอีก?
แต่ถึงแม้หลิงฮันจะปฏิเสธ ฟู่เกาหยุนและฟู่เสี่ยวอวิ๋นก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากอยู่ดี เพราะเท่าที่เห็น ดูเหมือนว่าเซี่ยงเหยี๋ยนจะให้ความสำคัญกับหลิงฮันเป็นอย่างมาก หากตระกูลฟู่รับหลิงฮันเข้าร่วมตระกูล โอกาสที่เซี่ยงเหยี๋ยนจะถอนตัวออกจากตระกูลฟู่ก็มีอยู่เพียงน้อยนิด
เซี่ยงเหยี๋ยนยังคงโน้มน้าวอยู่หลายครั้ง ก่อนจะยอมแพ้ในที่สุด
สายตาของเซี่ยงเหยี๋ยนเบี่ยงไปมองหาเป่ยเสวียนหมิง ‘ตุบ ตับ ตุบ’ เขาคว้าร่างอีกฝ่ายเข้ามาหาและทุบตีระบายอารมณ์
ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้เจ้าหนูนี่พูดจากับเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าสบอารมณ์กัน?
เป่ยเสวียนหมิงแม้จะรู้สึกไม่ยินยอมแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้
อย่าเพิ่งพูดถึงตอนนี้ที่พลังของเขาอ่อนด้อยกว่าเซี่ยงเหยี๋ยนหลายเท่าเลย ต่อให้ในอนาคตเขามีพลังทัดเทียมหรือสูงกว่าอีกฝ่าย เขาก็ไม่กล้าต่อต้านอยู่ดี
อีกฝ่ายมีสถานะของปรมาจารย์นักปรุงยาสามดาวอันสูงส่ง!
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เป่ยเสวียนหมิงรู้สึกรันทดจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา นอกจากเขาจะท้าประลองหลิงฮันและพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพแล้ว เขายังทำให้ปรมาจารย์นักปรุงยาระดับสามดาวไม่พอใจจนทุบตีเขาอีก หากเรื่องนี้ถูกประมุขนิกายอาญาสิ้นแสงรู้เข้า เขาอาจจะถูกลงโทษก็เป็นได้
หลังจากเซี่ยงเหยี๋ยนระบายอารมณ์จนพอใจ เขาก็ขอตัวจากไปพร้อมกับอนุญาติให้หลิงฮันมาพบเขาได้ตลอดเวลาที่ต้องการ
“ยอดมาก น้องชายหลิง!” ฟู่เกาหยุนยกนิ้วโป้งให้หลิงฮัน เกรงว่าคนที่ไม่แสดงท่าทียำเกรงต่อนักปรุงยาระดับสามดาวคงมีเพียงแค่หลิงฮันแค่คนเดียวเท่านั้น
เป่ยเสวียนหมิงเค้นเสียงก่อนจะเดินจากไป เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เขาเสียหน้าเกินกว่าจะอยู่ที่นี่ต่อ
“ฮึ่ม!” ฟู่เกาหยุนมองตามแผ่นหลังเป่ยเสวียนหมิง “ข้ารังเกียจหมอนั่นมาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว น้องชายหลิง ข้าว่าคนที่เหมาะสมจะมาเป็นน้องเขยของข้า คงมีแต่เจ้านี่ล่ะ”
เป่ยเสวียนหมิงที่ได้ยินก็กระทืบเท้าอย่างรุนแรง และเหินร่างหายไปในพริบตา
“ท่านพี่!” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นเขินอาย
ฟู่เกาหยุนกล่าวต่อ “เจ้าลองคิดดูให้ดี น้องชายหลิงของข้าแม้จะไม่หล่อเหลาที่สุด แต่พรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของเขานั้นโดดเด่นเหนือใคร แถมยังเป็นที่ชื่นชอบของผู้เฒ่าเหยี๋ยนอีก เจ้าคิดว่าจะไปหาบุรุษที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ได้จากที่ไหนอีก?”
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “น่าเสียดายที่น้องชายของท่านมีภรรยาแล้ว” เขายื่นแขนออกไปโอบเอวจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะ
“ฮ่าๆๆ การที่บุรุษจะมีภรรยาสาม นางสนมสี่ไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลก” ฟู่เกาหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยอมแพ้
หลิงฮันทำหน้าครุ่นคิด หากนับรวมฮูหนิวและคนอื่นๆแล้ว จำนวนสตรีของเขาจะมีเกินภรรยาสาม นางสนมตามคำที่ฟู่เกาหยุนกล่าวรึเปล่า
“ไปดื่มกันดีกว่า” เขารีบเปลี่ยนบทสนทนา
“ดื่ม ดื่ม!” ฟู่เกาหยุนที่ได้ยินก็นึกขึ้นมาได้ว่าพวกเขากำลังจะไปกินดื่มกัน นอกจากนั้นเขาก็ยังมีอีกสิ่งที่ต้องทำคือการฝึกฝนทักษะการบรรเลงให้หลิงฮัน
หลิงฮันกับฟู่เกาหยุนกินดื่มและพูดคุยกันจนกระทั่งเช้าวันถัดมา ซึ่ง นอกจากทักษะการบรรเลงของหลิงฮันจะไม่ดีขึ้นแล้ว ยังเรียกได้ว่าย่ำแย่ลงไปกว่าเดิมอีก
การทดสอบในครั้งนี้ตระกูลฟู่รับอัจฉริยะจำนวนมากที่ตัดผ่านนิพพานได้อย่างสมบูรณ์เข้าตระกูล ในความเป็นจริง การทดสอบที่พวกเขาจัดขึ้นนั้น ไม่ได้มีความหมายในการเลือกรับคนขนาดนั้น แต่การทดสอบมีไว้เพื่อลดความหยิงทะนงตัวของเหล่าอัจฉริยะ
หลิงฮันไหว้วานฟู่เกาหยุนให้หาซื้อแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบจำนวนมากมาให้เขา เนื่องจากเขาต้องการยกระดับของดาบอสูรนิรันดร์ให้เป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์
ในดินแดนแห่งเซียนย่อมไม่ขาดแคลนแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบ
เพียงแต่หากต้องการพวกมันในจำนวนมาก ก็จำเป็นต้องจ่ายศิลาดวงดาวเป็นจำนวนมากเช่นกัน ถึงแม้ที่ผ่านๆมาหลิงฮันจะได้รับและปล้นชิงศิลาดวงดาวมาได้จำนวนหนึ่ง แต่ศิลาดวงดาวจำนวนเพียงแค่นั้นย่อมไม่เพียงพอสำหรับการยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ให้เป็นอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์
ด้วยเหตุนี้เอง หลิงฮันจึงมุ่งหน้าไปหาเซี่ยงเหยี๋ยนและขอให้อีกฝ่ายสอนวิธีหลอมเม็ดยาให้แก่เขา เพื่อที่เขาจะทำเงินให้ตัวเองได้
เซี่ยงเหยี๋ยนตั้งความหวังกับหลิงฮันเอาไว้มากอยู่แล้ว และด้วยการที่กลัวว่าหลิงฮันจะไม่กลับมาหาเขาอีก เขาจึงตอบคำถามทุกอย่างที่หลิงฮันถามโดยไม่หวงความรู้แม้แต่นิดเดียว
เมื่อหลิงฮันไถ่ถามเสร็จ เขาก็ขอตัวและเข้าสู่หอคอยทมิฬเพื่อทำความเข้าใจหลักพื้นฐานของการหลอมเม็ดยาระดับนิรันดร์ใต้ต้นสังสารวัฏทันที อีกหนึ่งเดือนต่อมา เขาทำการทดลองหลอมเม็ดยาด้วยความรู้พื้นฐานเป็นครั้งแรก ซึ่งเตาหลอมก็เกิดการระเบิดอย่างไม่น่าแปลกใจ
เซี่ยงเหยี๋ยนตกตะลึงกับผลลัพธ์ของหลิงฮันเป็นอย่างมาก
“เจ้าไม่ใช่มนุษย์!” ชายชราอุทาน “แม้ข้าจะประเมินศักยภาพของเจ้าเอาไว้สูงมาก แต่กว่าเจ้าจะเข้าใจหลักพื้นฐานพอที่จะเริ่มหลอมเม็ดยาได้ ก็สมควรใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งหมื่นปี แต่ความเป็นจริงเจ้ากลับใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น!”
หลิงฮันนั้นมีต้นสังสารวัฏ ระยะเวลาหนึ่งวันจะเทียบได้กับหนึ่งร้อยปี เพราะงั้นระยะเวลาหนึ่งเดือนที่หลิงฮันใช้ไปจึงเท่ากับสามพันปี ซึ่งเซี่ยงเหยี๋ยนไม่มีทางรับรู้เรื่องนี้
“คำนวณจากผลลัพธ์ของเจ้าแล้ว ในระยะเวลาสิบปีเป็นอย่างมาก เจ้าคงสามารถหลอมเม็ดยาเตาแรกได้สำเร็จ” เซี่ยงเหยี๋ยนรู้สึกอิจฉาพรสวรรค์ในศาสตร์ปรุงยาของหลิงฮันเป็นอย่างมาก
สิบปีสำหรับเตาหลอมเตาแรก?
หลิงฮันส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ
เพียงแต่ความเร็วเท่านี้ก็นับว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว สำหรับปรมาจารย์นักปรุงยาแทบจะทั้งหมด กว่าพวกเขาจะหลอมเม็ดยานิรันดร์เตาแรกสำเร็จนั้น หากเป็นอัจฉริยะก็ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งล้านปี หรือบางคนใช้เวลาเป็นร้อยล้านปีเลยก็มี
หลิงฮันเอ่ยขอให้ฟู่เกาหยุนสืบหาข้อมูลของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ให้แก่เขา ก่อนจะขอตัวจากไปพร้อมกับจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะ ในเมื่อตอนนี้เขาบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะสะสางหนี้แค้นกับตระกูลติงเสียที
ณ ตอนนี้มีเพียงติงเหยาหลง ติงซาน และติงซงเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถโค่นล้มเขาได้ แต่สำหรับสมาชิกตระกูลติงคนอื่นๆนั้น ไม่มีทางเลยที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้แก่เขา
ทางด้านของจางชงเองก็สามารถทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้สำเร็จเช่นกัน เพียงแต่ว่าเนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้ถูกรับตัวเข้าร่วมกับตระกูลฟู่ จางชงกับเม่าซูอวี่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับเมืองธุลีจันทรา ซึ่งหลิงฮันนั่งเรือโดยสารไปพร้อมกับทั้งสองคน
ในระยะเวลาหลายเดือนระหว่างเดินทาง หลิงฮันขัดเกลาพลังบ่มเพาะใต้ต้นสังสารวัฏทุกวัน จนในตอนนี้พลังบ่มเพาะของเขาบรรลุระดับหนึ่งนิพพานขั้นกลางแล้ว
ทางด้านของจักรพรรดินีเองก็ได้ทำการดูดซับหยดสายฟ้าสวรรค์จำนวนมาก จนรู้แจ้งทักษะอัสนะมาสองทักษะ นางต้องการฝึกฝนทักษะอัสนีทั้งสองให้เชี่ยวชาญเพื่อที่พลังบ่มเพาะของนางจะได้ทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อโดยสารจอดท่า หลิงฮันก้าวลงจากเรือด้วยความมั่นใจ
ตระกูลติง ถึงเวลาชำระหนี้แค้นล่วงหน้าแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น