Alchemy Emperor of the Divine Dao 1725-1738

ตอนที่ 1725 มุ่งหน้าสู่หุบเหวสืบสานนิ...

 

การยินยอมแต่โดยดีของเม่าไต้ทำให้ติงซานรู้สึกสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ไม่ลังเลที่จะตรวจสอบ เขากล่าว “ขออภัยที่ล่วงเกิน” และขึ้นมายังรถม้า


ติงซานใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบทั่วรถม้าแต่ก็ไม่พบอะไร หลังจากตรวจสอบไปถึงสามครั้งเขาก็ต้องยอมกลับลงมาจากรถม้าและกล่าว “น้องชายเม่า ขอตรวจสอบตัวเจ้าด้วย”


เม่าไต้ยิ้มและยกแขนขึ้นเพื่อบ่งบอกให้อีกฝ่ายทำตามสบาย


อันที่จริงตัวเขาเองก็ตกใจเหมือนกัน ทั้งๆที่หลิงฮันขึ้นรถม้ามากับเขาแท้ๆแต่ติงซานกลับตรวจไม่พบ


หากเป็นเช่นนี้ต่อให้ไม่ยืมมือเขาหลิงฮันก็คงสามารถหลบหนีออกจากเมืองด้วยตัวเองได้ เพราะในทุกๆวันก็มีขบวนรถม้ามากมายเข้าออกเมืองอยู่แล้ว หลิงฮันสามารถหลบซ่อนตัวไปกับรถม้าคันใดก็ได้โดยที่ไม่มีใครรับรู้


เม่าไต้เผยรอยยิ้ม การที่หลิงฮันทำเช่นนี้หมายความว่าอีกฝ่ายต้องการกล่าวลาเขา เพราะไม่งั้นหากหลิงฮันหายตัวจากไปเงียบๆ เขาย่อมไม่มีทางรู้เลย


บนตัวเม่าไต้นั้นไม่ได้พกอุปกรณ์มิติอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียวติงซานจึงตรวจไม่พบเจออะไร เขามองไปยังเม่าไต้ด้วยสีหน้าประหลาดใจและครุ่นคิด ‘หรือเม่าไต้จะแค่อยากออกไปจากเมืองจริงๆ?’


“ข้าไปได้รึยัง?” เม่าไต้เอ่ยถามอย่างไม่แยแส


“เชิญน้องชายเม่า” ติงซานบอกทหารยามให้เปิดประตูเมือง


ติงซานยืนแน่นิ่งอยู่บนกำแพงโดยที่สายตาจดจ้องไปยังรถม้าที่ค่อยๆเคลื่อนที่ห่างออกไป หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็กระโดดไล่ตามรถม้าไป


ไม่ว่าจะคิดยังไงการที่จู่ๆเม่าไต้จะออกจากเมืองในเวลาเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่แปลกมากอยู่ดี ยิ่งอีกฝ่ายมีความสัมพันธ์อันดีกับหลิงฮันด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เขารู้สึกสงสัยมากขึ้นไปอีก


แม้เขาจะไล่ตามจากด้านหลังในระยะที่ห่างไกล แต่ด้วยการตรวจสอบของสัมผัสสวรรค์ หากหลิงฮันซ่อนตัวอยู่ในรถม้าจริงๆ เมื่อใดที่อีกฝ่ายปรากฏตัวเขาจะรับรู้ได้ในทันที


แต่ทว่าหลังจากที่ไล่ตามมากว่าสิบวันความอดทนของติงซานก็เริ่มจะหมดลงและเริ่มคิดว่าหากเม่าไต้เป็นเพียงเหยื่อล่อให้เขาออกจากเมืองล่ะ?


เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลังจากไล่ตามต่อไปได้อีกสามวัน เขาก็ยอมแพ้และหันหลังกลับเมือง


“เจ้าหนู ออกมาได้แล้ว” เม่าไต้กล่าว แน่นอนว่าเขารู้ว่าติงซานกำลังไล่ตามพวกเขาอยู่ แม้อีกฝ่ายจะปกปิดตัวตนได้ดีแต่ก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาของอัจฉริยะเช่นเขา


แต่ทว่าหลิงฮันกลับยังไม่ปรากฏตัวออกมาทันที เวลาผ่านไปอีกสักพักหนึ่งเขาถึงจะปรากฏตัวออกมา


ที่เขาปรากฏตัวช้าเป็นเรื่องสุดวิสัย เมื่อครู่หลิงฮันกำลังอยู่ในระหว่างทำรักกับจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะอยู่พอดี เม่าไต้ถึงต้องรอไปก่อน


หลิงฮันไม่ได้กล่าวถึงเหตุผลที่ปรากฏตัวช้าและกล่าว “ขอบคุณผู้อาวุโสมากที่ช่วยเหลือข้า”


“ต่อให้ไม่มีการช่วยเหลือจากข้า เจ้าก็หลบหนีปัญหาได้ไม่ยากอยู่ดี” เม่าไต้หัวเราะและกล่าวต่อ “อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ข้าจะพาจางชงศิษย์ของข้าไปยังหุบเหวสืบสานนิพพาน หากพวกเจ้าพบเจอกันก็ขอให้ช่วยเหลือกันบ้าง”


“ขอรับ!” หลิงฮันพยักหน้าตอบรับก่อนจะเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส การทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานจำเป็นต้องไปยังสถานที่พิเศษเพียงครั้งเดียวเท่านั้นรึเปล่า?”


เม่าไต้พยักหน้า “ตามหลักแล้ว เพื่อทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานเจ้าจำเป็นต้องไปยังสถานที่พิเศษเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากเจ้าบรรลุระดับหนึ่งนิพพานแล้ว อำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีจะประทับลงบนร่างกายของเจ้า จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปสถานที่พิเศษอีกครั้งเมื่อต้องการทะลวงผ่านระดับสองนิพพาน”


“เพียงแต่ว่าสำหรับบางคนที่มีพรสวรรค์ไม่เพียงพอ พวกเขาอาจจะต้องไปยังสถานที่พิเศษอีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจในอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีใหม่ถึงจะสามารถทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์สองนิพพานหรือสามนิพพานได้”


หลิงฮันพยักหน้าก่อนจะโค้งคำนับเม่าไต้อย่างเคารพ “ผู้อาวุโส คงถึงเวลาที่ข้าต้องขอตัว”


เม่าไต้สะบัดมือ “เชิญ” หลังจากกล่าวคำนี้ออกไปเขาก็แสดงท่าทีเสียดายเล็กน้อย “แต่เดิมข้าคิดจะเสนอให้เจ้าแต่งงานกับบุตรสาวข้าแท้ๆ แต่น่าเสียดายที่เจ้าก่อปัญหาเอาไว้มากเกินไป ข้าจึงไม่อาจฝากฝังนางไว้กับเจ้าได้”


หลิงฮันรีบหันหลังก้าวจากไปอย่างรวดเร็ว เขาไม่ต้องการปวดหัวกับเรื่องรักๆใคร่ๆเพิ่มอีกแล้ว สำหรับเขาแค่เหล่าภรรยาแสนงดงามที่มีอยู่ในตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว


เขาใช้เวลาอยู่หลายวันกว่าจะออกมาจากพื้นที่อาณาเขตของเมืองธุลีจันทราได้และนำจักรพรรดินีกับสตรีนกอมตะออกมาจากหอคอยทมิฬ


ทั้งสามคนออกเดินทางกว่าสิบวันจนมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง หลังจากผ่านเข้าเมืองแล้วก็ได้ทำการโดยสารเรือเพื่อประหยัดเวลา ไม่เช่นนั้นหากเดินทางด้วยเท้าตัวเองกว่าจะไปถึงหุบเหวสืบสานนิพพาน เวลาก็อาจจะกระชั้นชิดเกินไป


ทั้งหลิงฮันและจักรพรรดินีเก็บตัวขัดเกลาพลังบ่มเพาะ พวกเขาเหลือเวลาเพียงหนึ่งปีเท่านั้น หากบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดไม่ได้พวกเขาจำเป็นต้องรอไปอีกสิบล้านปี


เนื่องจากพวกเขาไม่ขาดแคลนศิลาดวงดาวอยู่แล้ว จึงกว้านซื้อสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำมาจำนวนมาก


จักรพรรดินีเป็นฝ่ายบรรลุขั้นสูงสุดก่อน ตอนนี้นางแค่ต้องรอให้ถึงเวลาทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานเท่านั้น ส่วนในด้านของหลิงฮัน หลังจากบ่มเพาะพลังบนเรือไปได้อีกราวๆหนึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็บรรลุขั้นสูงสุดของระดับสร้างสรรพสิ่ง


ดวงดาราสิบล้านดวง!


เขาไม่หยุดขัดเกลาพลังเพียงเท่านี้และควบแน่นจำนวนของดวงดาราต่อไป ยิ่งมีดวงดารามากเท่าไหร่พลังต่อสู้ของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ทำให้สามารถสำรองปราณก่อเกิดจำนวนมากเอาไว้ได้ในขณะที่ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน


สามเดือนต่อมา พวกหลิงฮันก็ทำการลงจากเรือ


ตอนนี้พวกเขามาถึงเมืองจันทราตระหง่านซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสงที่อยู่ห่างไกลมากที่สุดและอยู่ห่างจากหุบเหวสืบสานนิพพานเพียงสามหมื่นลี้


ตามหลักแล้วแม้หุบเหวสืบสานนิพพานจะเป็นเขตแดนลี้ลับภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสง แต่เนื่องจากอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีอันหนาแน่นเป็นพิเศษของเขตแดนลี้ลับ ทำให้แม้แต่ตระกูลเซียวจากเมืองร้อยมหาอำนาจ หรือแม้แต่ตระกูลฟู่ก็ยังมาที่นี่เพื่อทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน


กล่าวคือภายใต้อาณาเขตการปกครองของตระกูลฟู่ หุบเหวสืบสานนิพพานคือเขตแดนลี้ลัยที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการบรรลุสู่นิรันดร์


ณ เวลานี้ยังเหลือเวลาอีกราวๆหนึ่งปีก่อนที่หุบเหวสืบสานนิพพานจะเปิดออก เพราะเหตุนั้นในเมืองจันทราตระหง่านจึงมีราชาเซียนสูงสุดอยู่มากมาย พวกเขาทุกคนต่างรอคอยเวลาที่จะฝ่าฟันบททดสอบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต


หากฝ่าฟันสำเร็จพวกเขาก็จะถูกเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ในดินแดนแห่งเซียน พวกเขาจะมีอายุขัยไร้ขีดจำกัดและไม่แก่เฒ่า แต่หากฝ่าฟันไม่สำเร็จ ผู้คนกว่าเก้าในสิบส่วนล้วนแต่ต้องสิ้นชีพและเดินทางสู่ปรโลก


ถึงแม้ผู้คนที่มาเมืองนี้ส่วนใหญ่จะมาจากขุมอำนาจภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสง แต่ขุมอำนาจเหล่านั้นก็มีไม่น้อยที่เป็นปฏิปักษ์ไม่ลงรอยกัน ในเมืองจึงเกิดการปะทะขึ้นบ่อยครั้ง


พวกหลิงฮันทั้งสามคนทำตัวไม่โดดเด่นและบ่มเพาะพลังอยู่เงียบๆ


เมื่อเวลาผ่านพ้นไปอีกสิบเดือน ทั้งสามคนก็ได้ทำการออกจากเมืองและมุ่งหน้าไปยังหุบเหวสืบสานนิพพาน

 

 

 


ตอนที่ 1726 ยังมีราชาอยู่อีก

 

ย้อนเวลากลับไปเล็กน้อย บางแห่งในดินแดนแห่งเซียนอันเป็นที่ตั้งของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์


“ขอรายงานประมุขหญิงน้อย ตอนนี้หลิงฮันได้ข้ามผ่านมายังดินแดนแห่งเซียนแล้ว” สตรีอัปลักษณ์คุกเข่าต่อหน้าฮูหนิวด้วยสีหน้าเลื่อมใส


ประมุขหญิงน้อยของนางสามารถบรรลุระดับโลกียนิพพานได้ตั้งแต่เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพี ทำให้มีศักยภาพของราชาในหมู่ราชา ความสำเร็จเช่นนี้ต่อให้เป็นรัชทายาทของมหาขุมอำนาจอื่นๆก็มีเพียงหยิบมือ


ฮูหนิวเอนหลังพิงม้านั่งอย่างเกียจคร้าน ด้วยนิสัยขี้เบื่อหน่ายของนางทำให้การบ่มเพาะพลังเปรียบเสมือนฝันร้าย หากไม่ใช่เพราะนางถูกแม่มดเฒ่าบังคับให้บ่มเพาะพลังทุกวี่ทุกวัน นางคงออกไปตามหาหลิงฮันนานแล้ว


‘ตุบ’ ฮูหนิวกระโดดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและหัวเราะ “หลิงฮันของหนิวอยู่ไหน? เร็วเข้า รีบพาหนิวไปหาเขาเร็ว!”


สตรีอัปลักษณ์เผยสีหน้าไม่พอใจ ในความคิดของนาง ประมุขหญิงน้อยผู้นี้คือสตรีที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก ไม่มีบุรุษเพศคนใดเหมาะสมพอจะเป็นคู่ครองของนาง


แต่ในเมื่อประมุขหญิงน้อยเอ่ยถาม มีรึที่นางจะกล้าไม่ตอบ?


“ขอตอบประมุขหญิงน้อย ณ เวลานี้พวกเรายังไม่ทราบถึงตำแหน่งของเขา” สตรีอัปลักษณ์กล่าว “หลังจากเปิดเส้นทางผ่านมายังดินแดนแห่งเซียนแล้ว ตำแหน่งที่เขาถูกส่งไปจะเป็นการสุ่ม ด้วยขนาดอันกว้างใหญ่ของดินแดนแห่งเซียน คงเป็นเรื่องยากที่จะตรวจสอบ”


“หนิวไม่สน พวกเจ้าต้องออกตามหาเขาเดี๋ยวนี้ หนิวอยากเจอหลิงฮัน!” ฮูหนิวทำท่าทางฮึดฮัดเอาแต่ใจ


“เจ้าค่ะ ประมุขหญิงน้อย!”


หลังจากนั้นไม่นาน กองกำลังมังกรอินทรีสิบสองกลุ่มก็เหาะเหินทะยานออกจากตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ กองกำลังมังกรอินทรีแต่ละกลุ่มมีปรมาจารย์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะเป็นผู้สั่งการและมีองครักษ์ระดับแบ่งแยกวิญญาณอยู่อีกสิบคน


กองกำลังทั้งสิบสองกลุ่มมีหน้าที่เดียวกันคือตามหาบุรุษเพียงคนเดียวจากทั่วทั้งดินแดนแห่งเซียนอันกว้างใหญ่


……


พวกหลิงฮันทั้งสามคนมุ่งหน้าไปยังหุบเหวสืบสานนิพพาน เขตแดนลี้ลับแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากอำนาจของสวรรค์และปฐพี โดยปกติสภาพแวดล้อมของมันจะอันตรายจนไม่มีใครสามารถเข้าสู่ส่วนลึกภายในได้


มีเพียงหนึ่งครั้งในสิบล้านปีเท่านั้นที่เมื่อหุบเหวสืบสานนิพพานเปิดออก พลังงานจากสวรรค์และปฐพีที่อยู่ภายในเขตแดนจะลดลงมาอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ทำให้ผู้คนสามารถเข้าสู่ส่วนลึกของเขตแดน


“หากไม่มีเรื่องผิดพลาด ตระกูลติง ตระกูลหานหรือแม้แต่ตระกูลเซียวก็อาจจะมาที่นี่เพื่อไล่ล่าข้า” หลิงฮันลูบคางและบ่นพึมพำ “นี่ข้าน่าเกลียดชังขนาดนั้นเชียว?”


สตรีนกอมตะเผยรอยยิ้ม หลิงฮันนั้นมีความสามารถในการสร้างปัญหาอย่างแท้จริง ขนาดในตอนนี้เขาที่ยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับระดับสร้างสรรพสิ่งตัวจ้อยกลับสร้างความบาดหมางกับขุมอำนาจระดับสามดาวได้


“พวกเราอย่าทำตัวโดดเด่นก็แล้วกัน”


ทั้งสามคนสวมใส่ชุดคลุมไม่เปิดเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงและควบคุมออร่าเอาไว้ ต่อให้เป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน การจะรับรู้ถึงตัวตนของพวกเขาได้นั้น จำเป็นที่จะต้องเข้ามาอยู่ในระยะที่ใกล้ชิด


หากเป็นตัวตนระดับระดับแบ่งแยกวิญญาณหรือระดับขอบเขตตำหนักอมตะอาจจะสามารถรับรู้ตัวตนของพวกเขาจากระยะไกลได้ แต่ปรมาจารย์ระดับนั้นจะมาที่นี่รึ?


กว่าเขตแดนลี้ลับจะเปิดออกยังเหลือเวลาอีกเดือนสองเดือนแต่ผู้คนกลับมารวมตัวกันที่นี่ก่อนแล้วมากมาย


“เซียวเซิ่งมาที่นี่ด้วย!” ใครบางคนอุทานออกมาท่ามกลางฝูงชน


“เซียวเซิ่ง? ใครคือเซียวเซิ่ง?” มีหลายคนไม่รู้จัก


“อะไรกัน พวกเจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องที่เซียวเซิ่งเอาชนะจ่างซุนเหลียงได้เมื่อสองปีก่อนงั้นรึ?”


“จ่างซุนเหลียง? รัชทายาทแห่งนิกายจันทราหม่นแสงผู้นั้นน่ะรึ? เหลือเชื่อ!”


ในระยะเวลาเพียงสองปีเป็นไปไม่ได้ที่ข่าวเกี่ยวกับการปะทะกันระหว่างจ่างซุนเหลียงกับเซียวเซิ่นจะแพร่กระจายไปถึงหูทุกขุมอำนาจภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่


จ่างซุนเหลียงมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก เขาคือราชารุ่นเยาว์ที่ได้รับจากยอมรับจากตระกูลฟู่และไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ เพราะงั้นเมื่อได้ยินว่าจ่างซุนเหลียงผู้นั้นพ่ายแพ้ ทุกคนจึงตกตะลึงเป็นธรรมดา


“เซียวเซิ่นที่ว่าคือตระกูลเซียวจากเมืองร้อยมหาอำนาจ?”


“ถูกต้อง นับเป็นเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างมากที่ตระกูลเซียวสามารถฝึกฝนอัจฉริยะที่แข็งแกร่งกว่าจ่างซุนเหลียงขึ้นมาได้ บางทีในอนาคต เซียวเซิ่นผู้นั้นอาจจะมีโอกาสบรรลุเป็นตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะ”


“ฮ่าๆๆ บางทีเจ้าอาจจะยังไม่รู้ แต่ในช่วงยุคสมัยนี้มีอัจฉริยะมากมายถือกำเนิดขึ้นมา จ่างซุนเหลียงนั้นไม่ใช่ราชาแห่งยุคที่สุดเพียงคนเดียว!”


“เป็นความจริงรึ?”


“ซ่งจี๋จากเมืองอาณาเขตทางเหนืออันรกร้าง หม่าอิ่งแห่งเมืองค้ำจุนสวรรค์ ทั้งสองสามารถกล่าวได้ว่าเป็นราชาแห่งยุคเช่นกัน ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือตระกูลฟู่ พวกเขาสามารถให้กำเนิดอัจฉริยะที่ครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์!”


พริบตานั้นเอง ผู้คนโดยรอบก็สูดหายใจลึกด้วยความตะลึง


แม้แต่ในดินแดนแห่งเซียน คำว่า ‘แก่นกำเนิดนิรันดร์’ ก็ไม่สามารถใช้เอ่ยได้ตามอำเภอใจ แก่นกำเนิดนิรันดร์คือคำที่ใช้เรียกพลังที่แสนพิเศษและทรงพลังของกายหยาบ ซึ่งแม้แต่หนึ่งในล้านล้านคนก็ยากจะปรากฏให้เห็น


“อัจฉริยะที่ว่าคือใครกัน?”


“ฟู่เสี่ยวอวิ๋น ไม่เพียงนางจะครอบครองแก่นกำเนิดนิรันดร์อันไร้เทียมทาน แต่นางยังงดงามจนถึงขนาดทำให้ดวงวิญญาณของผู้คนหลุดลอยออกจากร่างได้!”


“นางก็มาเพื่อทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานในครั้งนี้ด้วย?”


“แน่นอนอยู่แล้ว หากพลาดโอกาสนี้นางก็ต้องรอคอยไปอีกสิบล้านปี สำหรับราชาแห่งยุคแล้ว ระยะเวลาสิบล้านปีเพียงพอที่จะทำให้สามารถทิ้งห่างคู่ต่อสู้ไปไกล”


หลิงฮันที่ฟังอยู่รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยเช่นกัน… แก่นกำเนิดนิรันดร์!


การจะมีแก่นกำเนิดนิรันดร์ได้นั้นมีอยู่สองวิธี วิธีการแรกคือหากบิดา มารดาหรือบรรพบุรุษเป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ ทายาทที่ถือกำเนิดจากสายเลือดของตัวตนระดับนั้นก็มีโอกาสที่จะได้รับสืบทอดแก่นกำเนิดนิรันดร์


วิธีการที่สองคือการฝึกฝน ทักษะบ่มเพาะระดับราชานิรันดร์บางทักษะนั้นหากฝึกฝนจะสามารถสร้างแก่นกำเนิดนิรันดร์ขึ้นมาได้ ยกตัวอย่างเช่นกู่ต้าวอี้ที่สร้างแก่นกำเนิดนิรันดร์สำเร็จในชีวิตที่สิบ


ไม่รู้ว่าฟู่เสี่ยวอวิ๋นกับจักรพรรดินีนั้น ฝ่ายไหนจะแข็งแกร่งกว่ากัน?


หลิงฮันกวาดสายตามองรอบด้านและมองเห็นเซียวเซิ่น ในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาบาดแผลของอีกฝ่ายได้ถูกรักษาจนหายดีแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลเซียวเองก็ทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาเซียวเซิ่นเหมือนกับที่นิกายจันทราหม่นแสงทำกับจ่างซุนเหลียง


เซียวเซิ่นนั้นแม้จะรู้สึกอัปยศที่พ่ายแพ้หลิงฮันอย่างหมดท่า แต่การที่เขาเอาชนะจ่างซุนเหลียงก็ยังทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจอยู่ดีและแสดงท่าทีเหยียดหยามทุกคน


เวลาผ่านไปอีกไม่กี่วัน ราชาแห่งยุคคนอื่นๆก็มาถึง


ซ่งจี๋ ราชาแห่งยุคหน้าใหม่ที่ถูกกล่าวขานว่ามีพลังต่อสู้น่าสะพรึงกลัวและไร้คู่ต่อสู้ในระดับพลังต่ำกว่าโลกียนิพพาน หม่าอิ่งสตรีงดงามจากเมืองค้ำจุนสวรรค์ที่ถูกกล่าวขานว่าไร้เทียมทานเช่นเดียวกันกับซ่งจี๋


มีข่าวลือหนาหูว่าซ่งจี๋กับหม่าอิ่งนั้นมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดต่อกัน ผู้อาวุโสของทั้งสองฝ่ายจึงตั้งใจจะให้ทั้งสองตบแต่งกัน หากเรื่องนี้เป็นความจริงล่ะก็ เกรงว่าทั้งสองตระกูลจะกลายเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังที่สุดภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ หรือแม้แต่ตระกูลฟู่ก็อาจจะสั่นคลอนได้ในอนาคต


ทางด้านของฟู่เสี่ยวอวิ๋นนั้น นางมาที่นี่โดยไร้ผู้ติดตามจากตระกูลฟู่และตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่ยอดบนสุดของภูเขา ใบหน้าอันงดงามของนางทำให้ผู้คนมากมายรู้สึกเร่าร้อนจนแทบจะบ้าคลั่ง แต่เนื่องจากบนขาของนางมีดาบยาวที่ปลดปล่อยกลิ่นอายอันโหดเหี้ยมพาดเอาไว้ คนอื่นๆจึงไม่กล้าเข้าใกล้


“จ่างซุนเหลียงมาแล้ว!” อีกสองวันต่อมา เหล่าฝูงชนก็ส่งเสียงเอะอะอีกครั้ง เมื่อเทียบกับตอนที่ซ่งจี๋ หม่าอิ่งและฟู่เสี่ยวอวิ๋นปรากฏตัวแล้ว ในครั้งนี้เหล่าฝูงชนส่งเสียงตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมมาก  ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่จ่างซุนเหลียงก็ยังเป็นราชาแห่งยุคเพียงหนึ่งเดียวที่ทุกคนยอมรับ

 

 

 


ตอนที่ 1727 เป่ยเสวียนหมิง

 

เหล่าฝูงชนส่งเสียงเอะอะ


จ่างซุนเหลียงคือราชาแห่งยุคที่ทุกคนยอมรับ ต่อให้เขาจะพ่ายแพ้ให้แก่ใครอื่นหรือมีใครสามารถต่อสู้ได้ทัดเทียมเขา ชื่อเสียงของจ่างซุนเหลียงก็ไม่ได้รับผลกระทบง่ายๆ


เซียวเซิ่นแสยะยิ้ม คนที่พ่ายแพ้ไปแล้วมีสิทธิ์อะไรมาทำตัวหยิ่งผยอง? เขากอดอกแน่นและทำสีหน้าเหยียดหยาม แต่ทว่าทั้งๆที่เขาพยายามทำตัวเองให้โดดเด่นแท้ๆกลับไม่มีใครเลยที่สนใจเขา


เซียวเซิ่นไม่สบอารมณ์และกล่าว “จ่างซุนเหลียง เจ้ากล้าสู้กับข้ารึไม่?”


จ่างซุนเหลียงกวาดสายตามองและกล่าว “หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพาน พวกเราจะมาสู้กันอีกครั้ง”


ตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเซียวเซิ่นได้หรือไม่ แต่ ณ เวลานี้หากปะทะกันขึ้นมาจริงๆมีโอกาสสูงมากที่พวกเขาทั้งสองฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปจนถึงวิถีแห่งเต๋า หากเป็นเช่นนั้นสุดท้ายพวกเขาทั้งสองคนก็จะไม่มีใครเลยที่สามารถบรรลุสู่ระดับโลกียนิพพานได้ จ่างซุนเหลียงไม่คิดจะนำตัวเองไปเสี่ยงเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ


เซียวเซิ่งเค้นเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ เขาตัดสินใจแล้วว่าหลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพานสำเร็จ เขาจะเหยียบย่ำจ่างซุนเหลียงให้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ ทีนี้ทุกคนก็จะได้รู้เสียทีว่าใครกันแน่ที่เป็นราชาที่แท้จริง


“ฮ่าๆๆ!” ซ่งจี๋ลุกขึ้นยืนและกล่าวเสียงดังลั่น “พี่ชายจ่างซุน หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพานแล้ว ข้าก็อยากขอคำชี้แนะจากท่านเช่นกัน! ก่อนถึงตอนนั้นข้าหวังว่าท่านจะไม่แพ้ให้กับใครอื่นเสียก่อน ข้าไม่อยากท้าประลองกับพวกขี้แพ้!”


หม่าอิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างซ่งจี๋ปลดปล่อยกลิ่นอายสู้รบออกมาเช่นกัน นางเองก็ต้องการพิชิตราชาแห่งยุคในปัจจุบันและขึ้นเป็นราชาคนใหม่


จ่างซุนเหลียงที่ยืนอยู่ในตำแหน่งราชาแห่งยุค แน่นอนว่าจิตใจของเขาย่อมหนักแน่นราวกับเหล็กกล้า คำยั่วยุจากผู้ท้าประลองไม่อาจทำให้เขาสูญเสียความสุขุมได้


ว่าแต่ว่าหลิงฮันอยู่ที่นี่รึไม่?


เขาหันหน้ากวาดสายตามองหาหลิงฮัน แต่แพราะพวกหลิงฮันทั้งสามคนปกปิดตัวตนและปิดบังออร่าเอาไว้ จ่างซุนเหลียงจึงหาพวกเขาไม่พบ


หลิงฮันไม่ต้องการพบเจอจ่างซุนเหลียงที่นี่ เนื่องจากขุมอำนาจที่เขาทำการล่วงเกินไปนั้นมีมากมาย เขาไม่ต้องการให้อีกฝ่ายติดร่างแหลำบากไปด้วย


ทางด้านของฟู่เสี่ยวอวิ๋นนั้น นางยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางนั้นมีนิสัยอ่อนโยนไม่ชอบท้าทายคนอื่น หรือนางมั่นใจว่าตนเองแข็งแกร่งเหนือใครจนไม่จำเป็นต้องท้าประลองเพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้แก่ตนเองเหมือนพวกเซียวเซิ่นกันแน่


ตระกูลติงเองก็มาที่นี่เช่นกัน จุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่นั้นไม่ได้เพื่อนำรุ่นเยาว์ของตระกูลมาทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแต่มาเพื่อตามหาหลิงฮัน เพียงแต่ว่าสถานที่แห่งนี้มีคนอยู่นับล้านแถมรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่ยังมีผู้อาวุโสของตระกูลติดตามมาด้วย ตระกูลติงจึงไม่มีอำนาจพอที่จะไปขอตรวจสอบรุ่นเยาว์แต่ละคน


ส่วนทางด้านของตระกูลหานนั้น พวกเขาไม่กล้ายื่นมือเข้ามาแทรกแซงถึงที่นี่เพราะเกรงว่าจะเป็นการล่วงเกินตระกูลฟู่


วันเวลาค่อยๆผ่านพ้นไปพร้อมกับระยะเวลาเปิดของหุบเหวสืบสานนิพพานที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทุกคนเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา สำหรับจอมยุทธทุกคนการก้าวสู่ระดับโลกียนิพพานเป็นเรื่องที่สำคัญมาก มีเพียงต้องข้ามผ่านขั้นตอนนี้เท่านั้นพวกเขาถึงจะสามารถเปิดหูเปิดตาในดินแดนแห่งเซียน


“หืม ทุกคนดูนั่น!” จู่ๆใครบางคนก็อุทานออกมาและชี้นิ้วไปยังท้องฟ้า


คนอื่นๆมองตามนิ้วของใครบางคนผู้นั้นและพบเห็นวานรร่างยักษ์ลอยอยู่บนท้องฟ้า ขนของวานรตนนี้เป็นสีทองอร่าม ความสูงของมันยิ่งใหญ่เกินกว่าหมื่นฟุต ขาของมันออกแรงเดินอย่างหนักหน่วงเนื่องจากกำลังลากเรือเหาะไม้ไผ่ลำหนึ่ง


เรือไม้ไผ่ที่ถูกลากอยู่ไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก ลำเรือมีความยาวเพียงราวๆสามเมตรกว่าเท่านั้น แต่ดูจากการที่วานรยักษ์เหนื่อยหอบทุกครั้งที่ก้าวเดิน เกรงว่าน้ำหนักของเรือไม้ไผ่ลำนี้คงจะหนักหนาเป็นอย่างมาก


ขุมอำนาจใดกำลังมากันแน่?


“ดูสัญลักษณ์นั่น!” ใครบางคนดวงตาเฉียบแหลม เขามองเห็นสัญลักษณ์รูปดวงจันทร์ถูกประทับอยู่บนเรือเหาะไม้ไผ่และอุทานออกมาทันที


“นิกายอาญาสิ้นแสง!” ใครหลายคนอุทานพร้อมกัน


นิกายอาญาสิ้นแสงคือขุมอำนาจสามดาวที่อยู่ห่างไกลจากอาณาเขตของตระกูลฟู่เล็กน้อย ในหมู่ขุมอำนาจระดับสามดาวนับร้อยระแวกใกล้เคียงนี้ นิกายอาญาสิ้นแสงมีความแข็งแกร่งอยู่ในสิบอันดับแรก ซึ่งทรงพลังเกินกว่าที่ตระกูลฟู่จะเทียบได้


ตามหลักแล้วนิกายอาญาสิ้นแสงไม่สมควรมาที่นี่เพราะภายใต้อาณาเขตการปกครองของนิกายอาญาสิ้นแสงเองก็มีเขตแดนลี้ลับพิเศษสำหรับทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานเหมือนกับหุบเหวสืบสานนิพพานอยู่เช่นกัน


หรือในแถวนี้จะมีสมบัติระดับนิรันดร์อันล้ำค่าปรากฏออกมา?


วานรยักษ์ชะลอการลากเรือไม้ไผ่ลงอย่างช้าๆ แม้มันจะเป็นสัตว์อสูรระดับนิรันดร์แต่สัญชาตญาณดิบอันโหดเหี้ยมก็ไม่ได้จางหายไป มันแสยะยิ้มมายังฝูงชนอย่างโหดเหี้ยมพร้อมกับคำรามเสียงดัง ในขณะเดียวกันนั้นเอง ร่างของบุรุษรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็ก้าวเดินออกมาจากเรือเหาะไม้ไผ่ เขาเป็นชายร่างผอมที่สวมชุดทักทออย่างประณีต


“นิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน!” เมื่อเห็นรุ่นเยาว์ที่ปรากฏตัวออกมา ใครหลายคนก็อุทานด้วยความตกตะลึง


ถึงแม้หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพานแล้วอายุจะไม่มีความหมายอีกต่อไป แต่การที่ใครคนหนึ่งสามารถบรรลุระดับโลกียนิพพานได้ทั้งๆที่ยังเยาว์วัยอยู่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อยู่ดี เนื่องจากมันแสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นมีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใด


รุ่นเยาว์ผู้นี้อย่างมากก็มีอายุเพียงหนึ่งแสนปีเท่านั้น!


เหลือเชื่อ! สามารถบรรลุระดับโลกียนิพพานได้ด้วยอายุไม่เกินหนึ่งแสนปีงั้นรึ? แม้แต่ในตระกูลฟู่ก็ไม่มีอัจฉริยะระดับนี้


“เสี่ยวอวิ๋น” สายตาของบุรุษผู้นั้นจดจ้องมายังฟู่เสี่ยวอวิ๋นและเผยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินว่าเจ้ากำลังจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานจึงได้เดินทางมาหาเจ้า จะอย่างไรข้าเองก็กำลังจะทะลวงผ่านสองนิพพานอยู่แล้ว พวกเรามาก้าวไปพร้อมกันเลยแล้วกัน”


สองนิพพาน!


แค่บรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยอายุเพียงแค่นั้นก็น่าอัศจรรย์มากพอแล้ว แต่นี่เขายังกำลังจะทะลวงผ่านสู่สองนิพพานอีกด้วย? พรสวรรค์เขาจะน่าสะพรึงกลัวเกินไปรึเปล่า?


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นพยักหน้าให้กับอีกฝ่ายและเผยรอยยิ้มที่ยากจะมีให้เห็น


ทั้งสองคนนี้มีสายสัมพันธ์อะไรบางอย่าง?


ใครบางคนที่รู้ข้อมูลเอ่ยปากเล่าทันที


รุ่นเยาว์ผู้นี้มีชื่อว่าเป่ยเสวียนหมิง เขาคือรัชทายาทแห่งนิกายอาญาสิ้นแสง ทางด้านของนิกายอาญาสิ้นแสงนั้นมีความคิดที่จะสร้างสายสัมพันธ์ทางการแต่งงานกับตระกูลฟู่ โดยคิดจะให้เป่ยเสวียนหมิงตบแต่งกับฟู่เสี่ยวอวิ๋น


ทำไมถึงต้องเป็นสองคนนี้?


เหตุผลก็เพราะทั้งสองคนได้รับการยอมรับจากตำหนักวิหารพลิกผันชะตาซึ่งเป็นขุมอำนาจระดับสี่ดาว ในหมู่ขุมอำนาจระดับสามดาวนับร้อยนั้น อัจฉริยะที่ได้รับโอกาสให้เข้าร่วมกับตำหนักวิหารพลิกผันชะตามีเพียงแค่พวกเขาสองคนเท่านั้น


เมื่อข้อมูลเรื่องนี่แพร่งพรายออกไป ทุกคนก็เกิดความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันที


เป่ยเสวียนหมิงแต่เดิมก็เป็นราชารุ่นเยาว์ที่ทรงพลังและเป็นรัชทายาทของนิกายอาญาสิ้นแสงอยู่แล้ว ถ้าหากเขาได้สตรีที่งดงามอย่างฟู่เสี่ยวอวิ๋นไปเป็นภรรยาอีกล่ะก็ จะยังมีบุรุษคนใดที่สมบูรณ์แบบไปกว่าเขาอีก?


“เห็นว่ามีคนจำนวนหนึ่งในที่นี้เรียกตัวเองว่าเป็นราชาแห่งยุค ไหนลองเสนอหน้ามาให้ข้าเห็นหน่อยเป็นไง?” เป่ยเสวียนหมิงกวาดสายตามองฝูงชนด้วยแววตาเย็นยะเยือกและใบหน้าเหยียดหยาม “ต่อหน้าเป่ยเสวียนหมิงผู้นี้ ใครยังกล้าเรียกตัวเองว่าราชา?”

 

 

 


ตอนที่ 1728 หุบเหวสืบสานนิพพานเปิดออก

 

บุรุษผู้นี้อวดดีเป็นอย่างมาก


แต่เขาก็มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น ด้วยพรสวรรค์ที่สามารถบรรลุระดับโลกียนิพพานได้ตั้งแต่เยาว์วัย ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะถูกรับให้เป็นศิษย์ของตำหนักวิหารพลิกผันชะตา


เหล่าราชาแห่งยุคอย่างจ่างซุนเหลียงและพวกเซียวเซิ่นทำได้เพียงเค้นเสียงเย็นชา ความต่างระหว่างพลังบ่มเพาะมีมากเกินไป รอให้พวกเขาบรรลุระดับโลกียนิพพานได้ก่อน แล้วจะได้รู้กันว่าใครกันแน่ที่เป็นราชาที่แท้จริง!


เป่ยเสวียนหมิงแสยะยิ้มมุมปากและกล่าว “อาจารย์ของข้ามอบหมายหน้าที่ให้ช่วยดูว่าที่นี่พอจะมีใครมีพรสวรรค์สูงพอจะเข้าร่วมตำหนักวิหารพลิกผันชะตาหรือไม่ เหอๆ แต่ในความคิดของข้า พวกเจ้าทุกคนในที่นี้ไม่ว่าใครก็เป็นเพียงขยะ!”


ฮึ่ม!


คิดว่าตัวเองมีพรสวรรค์สูงส่งแล้วจะสามารถดูถูกใครก็ได้?


ทางด้านของฟู่เสี่ยวอวิ๋นนั้นนางทำตัวเรียบง่ายไม่โดดเด่น มีเพียงในขณะที่นางพูดคุยกับเป่ยเสวียนหมิงเท่านั้น นางถึงจะเผยรอยยิ้มออกมา


“ช่างมีตาหามีแววไม่” สตรีนกอมตะเอ่ยถึงฟู่เสี่ยวอวิ๋น “บุรุษผู้นั้นไม่เหมาะสมกับนางแม้แต่น้อย”


หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “แม้จะอวดดีไปบ้าง แต่การจะบรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยอายุเท่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”


สตรีนกอมตะยังคงไม่สบอารมณ์ นางรู้สึกว่าเป่ยเสวียนหมิงผู้นั้นขัดหูขัดตานางเป็นอย่างมาก


‘ครืนน’ ทันใดนั้นเองจู่ๆพื้นดินในบริเวณนี้ก็เกิดการแยกตัวทำให้ปรากฏปากเหวที่มีรูปร่างเหมือนกับปาก


หุบเหวที่ปรากฏออกมานั้นลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ด้านในหุบเหวมีหมอกควันนับไม่ถ้วนล่องลอยไปมา แม้แต่นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานก็ไม่อาจมองเห็นว่ามีอะไรอยู่ด้านล่าง


ในที่สุดหุบเหวสืบสานนิพพานก็เปิดออกอย่างสมบูรณ์


“หืม?” หลิงฮันสัมผัสถึงพลังงานบางอย่างที่ไม่คุ้นเคยจากภายในหุบเหวได้อย่างเลือนราง


“ความรู้สึกนี้คือพลังของโลกียนิพพาน?” จักรพรรดิที่สัมผัสได้เช่นกันหันไปมองหลิงฮัน


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “น่าจะเป็นเช่นนั้น เพียงแต่พลังงานที่พวกเราสัมผัสได้จากบริเวณนี้เบาบางเป็นอย่างมาก หากต้องการจะรับรู้ถึงมันได้อย่างชัดเจนคงต้องไปให้ถึงส่วนลึกของหุบเหวเสียก่อน”


ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมถึงมีคำกล่าวว่าหากต้องการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานจำเป็นต้องเข้าสู่ส่วนลึกของหุบเหวสืบสานนิพพานให้ได้เสียก่อน มีเพียงส่วนลึกของหุบเหวเท่านั้นที่อำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีจะหนาแน่นพอให้จอมยุทธใช้ตัดนิพพาน


‘ตุบ ตุบ ตุบ’ เหล่าฝูงชนพุ่งทะยานเข้าสู่หุบเหวอย่างรีบร้อน คนที่เข้าสู่หุบเหวสืบสานนิพพานนั้นมีแค่จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งและโลกียนิพพาน ส่วนปรมาจารย์ระดับแบ่งแยกวิญญาณที่มาคุ้มครองรุ่นเยาว์ของตนเองนั้นทำได้เพียงยืนรออยู่ภายนอก


ทำไมน่ะรึ?


เขตแดนลี้ลับที่มีอำนาจของสวรรค์และปฐพีที่พิเศษอย่างหุบเหวสืบสานนิพพานนั้น หากปรมาจารย์ที่ทรงพลังกว่าระดับโลกียนิพานเข้าไปจะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษและมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก อย่าได้มองว่ามันเป็นเพียงสถานที่สำหรับทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแล้วใครจะเข้าไปก็ได้ ต่อให้ตัวตนระดับราชานิรันดร์หากคิดจะเข้าไปก็ยังต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก เพราะงั้นสำหรับจอมยุทธระดับแบ่งแยกวิญญาณยิ่งไม่ต้องพูดถึง


พวกจ่างซุนเหลียงและเซียวเซิ่นไม่รีบร้อนเข้าสู่หุบเหว พวกเขาคือราชาแห่งยุคที่มั่นใจในศักยภาพของตัวเอง


“เสี่ยวอวิ๋น ไปกันเถอะ” เป่ยเสวียนหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ นอกจากเขาจะบรรลุระดับโลกียนิพพานหนึ่งนิพพานขั้นสูงสุดแล้ว เขายังไร้เทียมทานในระดับเดียวกันอีกด้วย จึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใครในหุบเหวสืบสานนิพพาน สิ่งที่เขาต้องระวังคือสภาพแวดล้อมภายในหุบเหวเท่านั้น


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นพยักหน้าและเดินเคียงข้างเป่ยเสวียนหมิงเข้าสู่หุบเหว กลิ่นอายที่ทั้งสองปลดปล่อยออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่พริ้วทำให้ดูองอาจเป็นอย่างมาก


ซ่งจี๋และหม่าอิ่งเองก็เดินเคียงคู่ตามเข้าไปเช่นกัน จริงอยู่ที่ทั้งสองคือราชาแห่งยุค แต่เนื่องจากทั้งสองยังไม่บรรลุระดับโลกียนิพพาน กลิ่นอายที่สัมผัสได้จากพวกเขาจึงไม่น่าเกรงขามเหมือนคู่ของฟู่เสี่ยวอวิ๋นและเป่ยเสวียนหมิง


จ่างซุนเหลียงและเซียวเซิ่นเริ่มก้าวเดินเข้าสู่หุบเหว ทั้งสองคนเดินเคียงบ่ากันอย่างเป็นปฏิปักษ์ คนหนึ่งต้องการโค่นอีกฝ่ายลงจากบัลลังก์ อีกคนหนึ่งต้องการทวงคืนชัยชนะที่ตนเองประมาทจนพ่ายแพ้


“พวกเราก็ไปกันเถอะ”


หลิงฮันพบเห็นจางชงและเม่าซูอวี่เดินตามจ่างซุนเหลียงอยู่ด้านหลัง เมื่อนึกถึงคำพูดที่ให้ไว้กับเม่าไต่แล้ว หลิงฮันจึงตัดสินเดินตามหลังทั้งสองคน


สิ่งที่เหนือความคาดหมายของหลิงฮันคือการที่เม่าซูอวี่มาที่นี่ด้วย


พลังบ่มเพาะของนางยังขัดเกลาไม่มากพอที่จะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน ครั้งนี้นางคงมาเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเขตแดนลี้ลับเท่านั้น เพื่อที่เมื่อถึงเวลาจริงโอกาสทะลวงผ่านสำเร็จจะได้มีมากขึ้น


การจะลงสู่หุบเหวนั้นไม่มีเส้นทางอื่นนอกจากดิ่งร่างลงไปตรงๆ พวกหลิงฮันใช้เวลาดิ่งร่างนานกว่าครึ่งชั่วโมงกว่าเบื้องหน้าจะปรากฏให้เห็นพื้นดิน การจะร่อนลงพื้นเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่บริเวณพื้นดินมีแท่งหินแหลมคมอยู่มากมาย แท่งหินบางแท่งถูกชโลมไปด้วยโลหิตจนมีสีแดงฉานและมีซากศพนอนแน่นิ่งอยู่ด้านข้าง


ต่อให้โคจรปราณก่อเกิดเป็นโล่คุ้มกันเอาไว้ก็ไม่อาจคุ้มกันอำนาจทิ่มแทงจากแท่งหินแหลมคนเหล่านี้ได้ และเมื่อใดที่ถูกทิ่มแท่งจอมยุทธผู้นั้นจะสิ้นชีพทันที แท่งหินเหล่านี้ไม่ใช่ความลับที่แปลกใหม่อะไร ข้อมูลของแท่งหินที่อยู่ใต้หุบเหวเป็นที่รู้จักกันมานานหลายแสนหลายล้านปี เพียงแต่ก็ยังมีจอมยุทธบางคนที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไปและเสียชีวิตให้เห็นอยู่เป็นประจำ


พวกหลิงฮันสามคนเดินตามหลังจางชงโดยเว้นระยะห่างสิบไมล์ซึ่งเป็นขีดจำกัดของรัศมีสัมผัสสวรรค์ของหลิงฮัน


ด้วยการที่พลังอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีของหุบเหวสืบสานนิพพานนั้นรุนแรงเกินไป ทั้งการมองเห็นของขอบเขตรัศมีที่จะแผ่กระจายสัมผัสสวรรค์ออกไปได้จึงถูกจำกัดลงมา


จอมยุทธทุกคนต่างเร่งรีบที่จะเข้าไปให้ถึงส่วนลึกที่สุดของหุบเหว เขตแดนลี้ลับมีวันเปิดก็ต้องมีวันปิด ระยะเวลาที่หุบเหวสืบสานนิพพานจะเปิดออกในแต่ละครั้งคือสามเดือนเท่านั้น หากสิ้นสุดเวลาแล้วพวกเขายังไม่กลับออกไป ชะตากรรมของพวกเขาคงหนีไม่พ้นความตาย


นั่นเพราะว่าหากอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีของหุบเหวสืบสานนิพพานฟื้นสภาพกลับไปเป็นเหมือนเดิมเมื่อใด ต่อให้เป็นราชาเซียนก็ยังต้องขมวดคิ้ว


สภาพวาดล้อมภายในหุบเหวเองก็ไม่ได้มืดมิดจนมองไม่เห็น เนื่องจากตามเส้นทางที่พวกเขาเดินมีหินแปลกประหลาดคอยส่องแสงสลัวออก


“หินที่ส่องแสงเหล่านี้มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงอัดแน่นเอาไว้ สำหรับจอมยุทธที่ฝึกฝนทักษะธาตุเปลวเพลิงแล้วมันคือสมบัติที่ล้ำค่าอย่างแท้จริง” หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าวกับภรรยาทั้งสองคน


สตรีนกอมตะตื่นเต้นเป็นอย่างมาก นางคือผู้ที่ได้รับสืบทอดพลังมาจากสามนกอมตะราชาเซียนทำให้มีความเชี่ยวชาญในการใช้ทักษะเปลวเพลิง ด้วยเหตุนี้หินแปลกประหลาดที่ส่องแสงเหล่านี้จึงมีค่าสำหรับนางมาก


หลิงฮันพยายามหาวิธีนำก้อนหินมาครอบครอง แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่โตของก้อนหินและถูกฝังลึกอยู่ในดินแถมยังมีแท่งหินแหลมคมล้อมรอบอยู่อีก ต่อให้เป็นหลิงฮันที่มีกายหยาบไร้เทียมทานก็ไม่กล้าทำอะไรผลีผลามและต้องยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้


“หืม ดูเหมือนพวกเขาจะพบเจอปัญหานะ” หลิงฮันกล่าว เขาพบว่าจู่ๆจางชงกับเม่าซูอวี่ก็หยุดฝีเท้าโดยที่มีคนอีกสิบสามคนยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขา

 

 

 


ตอนที่ 1729 อันธพาลขวางทาง

 

หลิงฮันยังไม่ปรากฏตัวออกไปทันที ตราบใดที่พวกจางชงไม่ได้รับอันตราบถึงชีวิต เขาก็จะไม่ยื่นมือช่วยเหลือ


เหตุผลที่เขาทำแบบนี้ก็เพราะไม่ต้องการทำลายศักดิ์ศรีของทั้งสองคนและไม่ต้องการให้พวกเขาพึ่งพาเขามากเกินไป


เพียงแต่ว่าพวกจางชงนั้นถูกขวางทางอยู่ไม่นานก็สามารถเดินผ่านไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีการปะทะเกิดขึ้น


หลิงฮันรับรู้ได้จากสัมผัสสวรรค์ว่า พวกจางชงนั้นได้มอบศิลาดวงดาวให้กลุ่มคนที่ขวางทางคนละสิบก้อนเพื่อเป็นค่าผ่านทาง แม้เม่าซูอวี่จะเกรี้ยวกราดและไม่ยินยอมแค่ไหนแต่จางชงก็ยังยืนกรานที่จะจ่ายค่าผ่านทาง


ความแตกต่างของทั้งสองฝ่ายมีมากเกินไป แถมสถานที่แห่งนี้ยังอันตรายมากอีกด้วย หากเรื่องใดที่ใช้เงินแก้ปัญหาได้ก็ควรทำ


เหนือสิ่งอื่นใดคือระยะเวลาที่หุบเหวสืบสานนิพพานเปิดออกนั้นมีจำกัด ทุกคนล้วนแต่ไม่ต้องการเสียเวลาอันล้ำค่าไปกับการต่อสู้ไร้สาระ


พวกหลิงฮันสามคนเดินขึ้นหน้าไปอย่างไม่รีบร้อนและมาถึงกลุ่มขวางทางในที่สุด


“หยุด!” กลุ่มขวางทางทั้งสิบสามคนสั่งให้พวกเขาหยุดเดินตามคาด


หลิงฮันแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจและกล่าว “มีเรื่องอันใด?”


“พอดีช่วงนี้ถุงเงินของข้ามันช่างว่างเปล่าเหลือเกินเลยคิดอยากจะขอยืมศิลาดวงดาวจากพวกเจ้าเสียหน่อย หวังว่าพวกเจ้าคงจะไม่ขี้ตระหนี่หรอกนะ?” อันธพาลขวางทางคนหนึ่งเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย


พวกเขามีสายตาอันเฉียบแหลมของมหาโจร เรื่องที่ว่าใครคนไหนสามารถล่วงเกินได้หรือไม่นั้น พวกเขาสามารถแยกออกด้วยการจ้องมองเพียงแวบเดียว


“อืม อืม” หลิงฮันพยักหน้า “ภรรยาข้า พวกเราโชคดีจริงๆที่พบเจอคนดีระหว่างทาง เพราะรู้ว่าพวกเรายากจน คนเหล่านี้เลยจะมอบศิลาดวงดาวให้เรา!”


อันธพาลขวางทางทั้งสิบสามคนชะงักมึนงง น้องชาย…หูของเจ้ามีปัญหาอะไรรึเปล่า?


“เจ้าหนู เป็นพวกเจ้าที่ต้องมองศิลาดวงดาวให้ข้า!” อันธพาลขวางทางคนหนึ่งคำรามออกมา


“ใช่แล้ว พวกเจ้าจะมอบศิลาดวงดาวให้ข้า” หลิงฮันพยักหน้าและยื่นมือออกไป “ไหนล่ะศิลาดวงดาว?”


บัดซบ!


อันธพาลขวางทางตะโกนอย่างเหี้ยมโหด “ไม่ใช่ เจ้าต่างหาก! เป็นเจ้าที่ต้องมองศิลาดวงดาวให้พวกข้า!”


หลิงฮันยังคงพยักและกล่าว “รู้แล้วว่าพวกเจ้าจะมอบศิลาดวงดาวให้ข้า แล้วไหนล่ะ?”


จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะเผยสีหน้ากระอักกระอ่วน พวกนางรู้สึกว่าสามีของตนเริ่มที่จะไร้ยางอายขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต้นเหตุจะต้องเป็นเพราะติดนิสัยมาจากสุนัขตัวดำแน่นอน


หากสุนัขตัวดำรู้เรื่องนี้เข้ามันจะต้องไม่สบอารมณ์มากเป็นแน่ หลิงฮันนั้นมีนิสัยไร้ยางอายมาก่อนตั้งแต่แรกแล้ว นายท่านหมาไม่เกี่ยวด้วยเสียหน่อย


“เจ้าหนู นี่เจ้าคิดจะล้อเล่นกับพวกข้า?” อันธพาลขวางทางที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำในที่สุดก็เริ่มรู้ตัว หากรุ่นเยาว์ตรงหน้านี้หูเพี้ยนเพียงคนเดียวก็ยังพอเข้าใจได้ แต่นี่สตรีที่ยืนเคียงคู่อีกฝ่ายกลับไปพูดอะไรเลยแม้แต่น้อย


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “อย่างน้อยพวกเจ้าก็ไม่ได้โง่และรู้ตัวสักทีสินะ”


“ฮึ่ม!” อันธพาลขวางทางทั้งสิบสามคนเกรี้ยวกราดและถลึงตาอย่างโหดเหี้ยม


“เจ้าหนู หากต้องปะทะกับพวกข้า เจ้าคงรู้ผลลัพธ์ที่จะตามมาสินะ?” ผู้นำอันธพาลขวางทางกล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้าถูกแท่งหินแหลมคมในหุบเหวทิ่มแทง เจ้าจะตายทันที!”


“เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความตาย ข้าว่าเจ้ายอมจ่ายศิลาดวงดาวมาแต่โดยดีจะฉลาดกว่า เพราะอย่างไรราคาที่ต้องจ่ายก็ไม่ได้แพงเลย แค่หนึ่งร้อยก้อนต่อพวกข้าหนึ่งคนเท่านั้น”


โอ้ จำนวนเพิ่มขึ้นจากเดิมงั้นรึ?


“หนึ่งร้อยมันน้อยเกินไป อย่างน้อยต้องหนึ่งหมื่นก้อนต่อคน” หลิงฮันส่ายหัว


ฮึ่ม นี่เจ้ายังแสร้งทำเป็นหูเพี้ยนอีก?


หลิงฮันยื่นมือและกล่าว “หนึ่งคนหนึ่งหมื่นก้อน สิบสามคนก็สองแสนก้อน ข้าคิดถูกสินะภรรยาข้า?” เขาหันไปถามจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะ แน่นอนว่าพวกนางทั้งสองย่อมพยักหน้า


เหล่าอันธพาลขวางทางอารมณ์เดือดดาลอีกครั้ง นี่เจ้ายังล้อเล่นกับพวกข้าไม่เลิกอีก?


“ไม่ใช่สิบสามคนต้องเป็นหนึ่งแสนสามหมื่นก้อนหรอกรึ?” ใครบางคนในกลุ่มอันธพาลขวางทางกระซิบกระซาบ


“ไม่ต้องไปสนใจคำพูดของเขา จัดการแล้วปล้นชิงทุกอย่างมา” ผู้นำอันธพาลขวางทางกล่าวอย่างเกรี้ยวกราดและเป็นคนลงมือเป็นคนแรก เขาคว้ามือไปยังร่างของหลิงฮัน


คนอื่นๆเองก็คำรามและลงมือตามติดๆ


‘ตูม ตูม ตูม ตูม’ หลิงฮันปล่อยหมัดออกไปลวกๆ ผ่านไปพริบตาเดียวอันธพาลทั้งสิบสามคนก็ถูกซัดหมอบหมดสภาพ หากไม่ใช่เพราะหลิงฮันเมตตา อันธพาลเหล่านี้คงถูกแท่งหินแหลมคมทิ่มแทงใส่ร่างแล้ว


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “หนึ่งหมื่นก้อนต่อคน จะจ่ายรึไม่?”


“จ่าย! จ่ายแน่นอน!” เหล่าอันธพาลขวางทางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง


หลิงฮันพยักหน้าและสลายออร่าเพื่อให้เหล่าอันธพาลสามารถลุกขึ้นยืนได้ อันธพาลทั้งสิบสามคนยอมจ่ายศิลาดวงดาวโดยไม่ขัดขืน หนึ่งคนหนึ่งหมื่นก้อนคือจำนวนสูงสุดที่พวกเขาสามารถจ่ายได้พอดี


พวกเขาทุกคนอยากจะร้องไห้โอดครวญ ความมั่งคั่งที่เก็บเกี่ยวมาด้วยน้ำพักน้ำแรงทั้งหมดถูกใครก็ไม่รู้แย่งชิงไปเสียได้


หลิงฮันนับศิลาดวงดาวที่รับมาจากทั้งสิบสามคนก่อนจะกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ขาดหายไปไหนอีกเจ็ดหมื่นก้อน?”


ไม่ใช่ว่าสิบสามคนรวมกันก็เป็นหนึ่งแสนสามหมื่นก้อนหรอกรึ?


“นายท่าน หนึ่งคนหนึ่งหมื่นก้อน พวกเรามีกันสิบสามคนก็เป็นจำนวนหนึ่งแสนสามหมื่นก้อนพอดีไม่ใช่รึ?” ผู้นำอันธพาลขวางทางกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น


หลิงฮันทำหน้าเคร่งขึม “พวกเจ้าจะกล่าวหาว่าข้านับเลขผิด? หนึ่งคนหมื่นก้อน สิบสามคนก็เป็นสองแสนก้อน!”


ผู้นำอันธพาลขวางทางไม่กล้าทักท้วงและไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขานำศิลาดวงดาวทั้งหมดที่เหลืออยู่มารวมกันได้ห้าหมื่นก้อนและจ่ายส่วนต่างอีกสองหมื่นด้วยแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์กับวัสดุเซียน


ความตั้งใจของหลิงฮันคือต้องการปล้นชิงอันธพาลเหล่านี้ให้หมดตัว เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้วเขาก็ปัดตูดเดินจากไปโดยไม่สนใจทั้งสิบสามคนอีก


“หัวหน้า พวกเราจะรีดไถ่คนอื่นต่ออีกรึไม่?” หนึ่งในอันธพาลเอ่ยถาม


ผู้นำอันธพาลส่ายหัวพร้อมกับกล่าว “ลืมเรื่องนั้นไปได้เลย พวกเรากลับออกจากที่นี่และไปเป็นโจรภูเขาเพื่ออนาคตอันรุ่งโรจน์กันดีกว่า สถานที่แห่งนี้อันตรายเกินไปสำหรับพวกเรา”


“อืม!” อันธพาลขวางทางคนอื่นๆพยักหน้า


พวกหลิงฮันทั้งสามรีบก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็ไล่ตามพวกจางชงทันและเว้นระยะห่างสิบไมล์เช่นเดิม


หลังจากเดินมาได้สักพักในที่สุดสภาพแวดล้อมรอบข้างก็ไม่ปรากฏแท่งหินแหลมคมอีกต่อไปโดยเปลี่ยนไปเป็นโขดหินที่ขรุขระแทน แม้สภาพแวดล้อมเช่นนี้จะดูแล้วปลอดภัย แต่โขดหินบางก้อนอาจจะเป็นสัตว์อสูรที่ปลอมตัวอยู่ ในขณะที่ก้าวเดินจำเป็นต้องระมัดระวังการลอบโจมตีจากพวกมันให้ดี


พวกจางชงกับหลิงฮันโชคดีไม่น้อยที่ไม่พบเจอสัตว์อสูรใดๆระหว่างทาง หลังจากเดินทางติดต่อกันหนึ่งชั่วโมง ที่ด้านหน้าของพวกหลิงฮันก็ปรากฏกำแพงภูเขาขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยรูถ้ำราวกับรังผึ้ง


ถ้ำเหล่านี้คือเส้นทางที่จะนำไปสู่ส่วนลึกของหุบเหวสืบสานนิพพาน แต่รูถ้ำที่ต่างกันความอันตรายก็ย่อมแตกต่างกัน หากสุ่มเลือกแล้วได้เส้นทางที่อันตรายที่สุดก็คงต้องโทษดวงชะตาของตัวเองสถานเดียว

 

 

 


ตอนที่ 1730 สะสมประสบการณ์

 

“แย่แล้ว!”


หลิงฮันเร่งฝีเท้า แต่เมื่อขยับเข้ามาถึงกำแพงภูเขา จางชงและเม่าซูอวี่ก็หายไปแล้ว


ที่กำแพงภูเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยพลังงานของสวรรค์และปฐพี ทำให้หลิงฮันไม่สามารถใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบได้ เขารู้เพียงแค่ว่าพวกจางชงเข้าไปยังรูถ้ำแต่ไม่รู้ว่ารูไหน


หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “พวกเขาคงต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว”


จักรพรรดินีกล่าวอย่างไม่พอใจ “ในฐานะจอมยุทธพวกเขาจะเอาแต่พึ่งพาคนอื่นไม่ได้”


หลิงฮันพยักหน้า ถ้าหากทั้งสองคนกล้าเข้ามายังหุบเหวสืบสานนิพพานย่อมหมายถึงพวกเขาได้เตรียมพร้อมรับความตายเอาไว้แล้ว ยิ่งกว่านั้นใครกันจะกล้ามาที่นี่โดยที่ไม่เตรียมสมบัติสำหรับเอาตัวรอดเอาไว้?


“พวกเราก็เลือกถ้ำที่จะเข้าไปกันเถอะ”


พวกหลิงฮันสุ่มเลือกถ้ำและเดินตามกันเข้าไปทีละคน


ขนาดของถ้ำมีขนาดเพียงพอให้คนห้าคนเดินเรียงกันโดยไม่รู้สึกอึดอัด


หลังจากเดินอยู่ในถ้ำอันมืดมิดเป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมงในที่สุดก็มาถึงทางออก เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏโลกอันขาวโพลนที่เต็มไปด้วยหิมะและท้องฟ้าอันสว่างไสว


ที่พื้นผิวของหิมะนั้นไม่มีร่องรอยการเหยียบปรากฏให้เห็นอยู่เลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาสามคนผ่านรูถ้ำรูนี้มาเป็นกลุ่มแรก หรือคนก่อนหน้าไม่ทิ้งรอยเท้าเอาไว้กันแน่


ทั้งสามมุ่งหน้าเดินต่อไปจนมองไม่เห็นทางออกของถ้ำที่อยู่ด้านหลังอีกต่อไป สิ่งที่พวกเขามองเห็นมีเพียงพื้นที่หิมะอันขาวโพลนโดยไม่สามารถแยกออกได้ว่าทางไหนทิศเหนือ ใต้ ออกหรือตก


แต่ด้วยสัมผัสที่เฉียบคมของหลิงฮัน กลุ่มของพวกเขาได้ทำการมุ่งหน้าไปยังทิศทางตรงข้ามถ้ำตลอดเวลาแม้จะไม่รู้ว่าเป็นทิศอะไร


“หืม?”


หลิงฮันหยุดฝีเท้าและหันมองไปทางซ้าย


จักรพรรดินีเองก็เช่นกัน


พื้นผิวหิมะในระยะที่ไกลออกไปเล็กน้อยมีการเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่าง


ปัง!


เมื่อการเคลื่อนไหวของหิมะมาถึงตำแหน่งของพวกเขา ร่างของหมีขาวขนาดยักษ์ก็ได้ปรากฏตัวออกมาจากหิมะอันขาวโพลนและกวัดแกว่งกรงเล็บใส่พวกหลิงฮันทั้งสามคน ด้านหลังของหมีหิมะมีปีกสองข้างที่รูปร่างเหมือนปีกของค้างคาวงอกออกมา สีของปีกนั้นแดงฉานราวกับเปลวเพลิงที่กำลังลุงโชน


จักรพรรดินีเค้นเสียงเย็นชาและสะบัดนิ้วไปด้านหน้า ‘พรึบ’ ปราณดาบอันทรงพลังถูกปลดปล่อยทะยานสูงเสียดฟ้า


‘ฉัวะ’ ร่างของหมีขาวถูกปราณดาบโจมตีจนโลหิตสาดกระจาย มันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก่อนจะกระพือปีกลอยขึ้นฟ้าเพื่อถอยหลังตั้งหลัก โลหิตที่ยังคงไหลออกมาร่างจากร่างของมันส่งผลให้พื้นผิวหิมะถูกย้อมเป็นสีแดง


“โฮกก!” หลังจากที่หมีขาวร้องโอดครวญ เสียงคำรามอันทรงพลังอีกเสียงหนึ่งก็ดังกึกก้องมาจากระยะทางที่ห่างไกล


“ระดับโลกียนิพพาน!” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


เสียงคำรามอันดังกึกก้องเมื่อครู่คือเสียงของสัตว์อสูรระดับโลกียนิพพานไม่ผิดแน่ เนื่องจากคลื่นพลังที่สัมผัสได้จากเสียงนั้นทรงพลังกว่าระดับสร้างสรรพสิ่งหลายเท่า


ในระยะทางที่ห่างออกไป ร่างของหมีขาวขนาดมหึมาได้ปรากฏตัว ปีกเปลวเพลิงที่สยายออกจากแผ่นหลังของมันมีความยาวถึงร้อยไมล์และกำลังบินมาหาพวกเขาด้วยความเร็วสูง


หลิงฮันนำสตรีนกอมตะเข้าสู่หอคอยทมิฬและโคจรเพลิงเก้าสวรรค์พุ่งทะยานโจมตีใส่หมีขาวตัวเล็กอย่างไม่ลังเล เขาไม่คิดว่าการไว้ชีวิตหมีขาวตัวเล็กจะทำให้หมีขาวมหึมายอมปล่อยพวกเขาไปแต่โดยดี


หลังจากโจมตีออกไปเพียงสองกระบวนท่า หมีขาวตัวเล็กก็ส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างทรมานและสิ้นชีพ


หมีขาวมหึมาส่งเสียงร้องคำรามดังสนั่นราวกับอัสนีบาต มันกระหน่ำโจมตีเข้าใส่พวกหลิงฮันโดยไม่คิดจะให้ใครเหลือรอดแม้แต่คนเดียว


หลิงฮันปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำรามที่เคลือบเอาไว้ด้วยเพลิงเก้าสวรรค์ แต่ไม่ว่าพลังทำลายของทักษะจะรุนแรงเพียงใด หมีขาวมหึมาก็เป็นถึงตัวตนระดับโลกียนิพพาน ยิ่งมันมีร่างของสัตว์อสูรที่เกิดมาพร้อมกับกายหยาบที่แข็งแกร่งด้วยแล้ว คลื่นดาบจากทักษะของหลิงฮันจึงทำให้หมีขาวมหึมาสูญเสียเส้นขนตามร่างไปเพียงไม่กี่เส้น


‘ตูม’ ร่างของหลิงฮันถูกซัดลอยกระเด็น ความเจ็บปวดจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้ทำให้หลิงฮันถึงกับกัดฟัน


หมีขาวมหึมาตนนี้ไม่ได้มีพลังเพียงหนึ่งนิพพานแต่เป็นสองนิพพาน การโจมตีของมันรุนแรงถึงขนาดที่แทบจะทำให้กระดูกทุกส่วนภายในร่างของเขาแตกหัก


หลิงฮันทะยานร่างกลับมาหาจักรพรรดินีพร้อมกับพานางเข้าสู่หอคอยทมิฬ และด้วยการที่เขาไม่ต้องการให้ศพของหมีขาวตัวเล็กสูญเปล่าเขาจึงนำศพของมันเข้าสู่หอคอยทมิฬไปพร้อมกันด้วย


หมีขาวมหึมาเกรี้ยวกราด มนุษย์ผู้นี้สังหารบุตรของมันไม่พอ แต่ขนาดศพก็ยังไม่คิดจะเหลือไว้ให้มันด้วย?


หมีขาวมหึมากระหน่ำโจมตีอย่างเกรี้ยวกราด หลิงฮันเองก็ทำการตอบโต้ซึ่งๆหน้าอย่างดุเดือด อีกไม่นานเขาจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแล้ว การได้ต่อสู้กับศัตรูระดับนี้ย่อมทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล


ในดินแดนแห่งเซียนอันกว้างใหญ่นี้ สำหรับจอมยุทธที่อยู่ในขุมอำนาจต่ำกว่าระดับราชานิรันดร์ คงมีเพียงหลิงฮันคนเดียวที่สามารถต่อกับนิรันดร์สองนิพพานได้ด้วยพลังบ่มเพาะระดับสร้างสรรพสิ่ง


เพียงแต่ว่าสภาพของหลิงฮันก็ไม่ได้สู้ดีเท่าไหร่ กายหยาบของเขายังไม่ทรงพลังพอที่จะต้านทานการโจมตีของนิรันดร์สองนิพพาน ทุกครั้งที่รับการโจมตี กระดูกภายในร่างของเขาจะปรากฏรอบแตกร้าวมากมายจนแม้แต่คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ก็ฟื้นฟูไม่ทัน


หลิงฮันโคจรหยดวารีนิรันดร์เพื่อฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ในพริบตา แต่หลังจากสู้ต่ออีกไม่นานกระดูกของเขาก็กลับมาแตกหักเช่นเดิม


ครั้งนี้แทนที่เขาจะโคจรหยดวารีนิรันดร์เขาได้เลือกที่จะหลบเข้าสู่หอคอยทมิฬแทน


เขาต้องการย่อยประสบการณ์ที่ได้รับจากการปะทะกับหมีขาวมหึมา


ภายใต้ต้นสังสารวัฏ หลิงฮันซึมซับทุกรายละเอียดของการปะทะเมื่อครู่พร้อมกับฟื้นฟูร่างกายไปด้วย ถึงแม้เขาจะเคยปะทะกับติงหู่มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่พลังต่อสู้ของติงหู่นั้นอ่อนแอเกินไปที่จะสร้างความเจ็บปวดให้แก่เขา ในขณะที่ติงเหยาหลงเองก็แข็งแกร่งเกินไปที่จะใช้อีกฝ่ายช่วยขัดเกลา


“หากจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีตัดความรู้ ข้ามั่นใจเต็มสิบส่วนว่าจะทะลวงผ่านได้สำเร็จ แต่หากใช้วิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีข้าไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่” หลิงฮันคาดเดา


ทั้งสามคนออกจากหอคอยทมิฬ หมีขาวมหึมาที่เคยอยู่ได้จากไปแล้ว มันทิ้งหลุมขนาดใหญ่เอาไว้ด้วย เนื่องจากต้องการระบายอารมณ์ที่หาหลิงฮันไม่เจอ


ทั้งสามคนออกเดินทางต่อในทันที ระหว่างทางพวกเขาถูกสัตว์อสูรมากมายบุกโจมตี นอกจากหมีขาวแล้วที่นี่ยังมีอินทรีย์เหมันต์ หมาป่าเหมันต์และเสือดาวเหมันต์อยู่อีก พวกมันมีทั้งตัวที่มีพลังบ่มเพาะระดับสร้างสรรพสิ่งและโลกียนิพพาน


หากพบเจอกับสัตว์อสูรระดับสร้างสรรพสิ่ง พวกเขาจะสังหารพวกมันและนำร่างเก็บเข้าสู่หอคอยทมิฬเพื่อนำไปใช้เป็นยาเสริมบำรุง แต่หากเจอศัตรูระดับโลกียนิพพาน หลิงฮันกับจักรพรรดินีจะเข้าปะทะกับพวกมันเพื่อสะสมประสบการณ์


จักรพรรดิเองก็สามารถรับมือกับนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานได้เนื่องจากนางมีแก่นกำเนิดนิรันดร์และร่างแยกทั้งเก้าที่ช่วยแบ่งภาระจากการโจมตีของศัตรู แต่ด้วยการที่พลังป้องกันของนางเทียบไม่ได้กับหลิงฮัน นางจึงสามารถรับมือได้แค่การโจมตีของนิรันดร์หนึ่งนิพพานเท่านั้น


คู่สามีภรรยาเข้าปะทะกับสัตว์อสูรทุกตัวที่พบเห็นระหว่างทาง จนสตรีนกอมตะต้องรู้สึกอิจฉา พลังต่อสู้ของนางเมื่อเทียบกับทั้งสองแล้วนับว่าอ่อนแอกว่ามากนัก

 

 

 


ตอนที่ 1731 ปะทะโลกียนิพพาน

 

อีกไม่กี่วันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็หลุดพ้นออกจากอาณาเขตหิมะ


สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าพวกเขาหลังจากนั้นคือแม่น้ำอันผันผวน ด้วยอำนาจของคลื่นน้ำในแม่น้ำหากตกลงไปคงหนีไม่พ้นความตาย


หากต้องการมุ่งหน้าไปยังสถานที่สุดท้ายของหุบเหวสืบสานนิพพานเพื่อทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน พวกเขาจำเป็นต้องข้ามผ่านแม่น้ำแห่งนี้ไปจนถึงชายฝั่งให้ได้


ใครที่คิดจะเหาะเหินข้ามผ่านแม่น้ำไปโดยตรงเลยก็อย่าได้ฝัน เนื่องจากไอน้ำที่ระเหยออกจากแม่น้ำสายจะมีแฝงเอาไว้ด้วยอำนาจแห่งเต๋าอันทรงพลัง ต่อให้เป็นตัวตนระดับโลกียนิพพาน แบ่งแยกวิญญาณหรือขอบเขตตำหนักอมตะก็ถูกสังหารได้อย่างง่ายดาย


หากต้องการข้ามผ่านแม่น้ำสายนี้ ทุกคนจำเป็นต้องนำต้นไม้พิเศษที่เติบโตขึ้นในละแวกนี้มาสร้างเป็นเรือ


และอีกอย่างคือไม่ว่าก่อนหน้านี้ใครจะเลือกเดินผ่านรูถ้ำรูไหนของกำแพงภูเขา สุดท้ายเส้นทางของพวกเขาก็จะมาบรรจบกันที่แม่น้ำสายนี้


ต้นไม้พิเศษในบริเวณนี้ล้ำค่าเป็นอย่างมาก


ไม่เพียงแค่สามารถใช้สร้างเป็นเรือได้ แต่ผลของมันก็ยังเป็นสมบัติล้ำค่าอีกด้วย ผลของมันถูกเรียกว่าผลตัดผ่านนิพพาน


คุณสมบัติของผลตัดผ่านนิพพานนั้นก็ตามชื่อของมัน ผลชนิดนี้มีไว้สำหรับช่วยทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน


ผลตัดผ่านนิพพานไม่ได้ช่วยให้เข้าใจหลักการของการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานง่ายขึ้น แต่มันคือสมุนไพรที่ดูดซับอำนาจของสวรรค์และปฐพีในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้มากักเก็บเอาไว้ หากกินเข้าไปอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีที่สะสมเอาไว้ภายในสมุนไพรช่วยจะช่วยให้จอมยุทธทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น


แต่ก็แน่นอนว่าหากเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอยู่แล้ว พวกเขาย่อมรู้แจ้งถึงอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีได้ด้วยตัวเอง และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผลตัดผ่านนิพพาน


พวกหลิงฮันต้องการข้ามผ่านแม่น้ำจึงจำเป็นต้องหาต้นไม้มาสร้างเป็นเรือ


ซึ่งพวกเขาเองก็โชคดีไม่น้อยที่เวลาผ่านไปไม่นานก็พบเจอไม้พิเศษต้นหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ตระหง่านสูงชี้ฟ้า หลิงฮันนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาตัดลำต้นของต้นไม้เป็นหลายท่อนและใช้เชือกหนามัดเชื่อมพวกมันเข้าด้วยกันเพื่อสร้างเป็นเรือแพอย่างง่าย


แน่นอนว่างานใช้แรงงานเช่นนี้หลิงฮันย่อมทำคนเดียว แต่ยังไม่ทันที่จะทำส่วนสุดท้ายเสร็จ กลุ่มคนสี่คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา ทันทีที่ทั้งสี่คนมองเห็นเรือแพที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์ พวกเขาก็เผยสีหน้าดีใจออกมาทันที


“ทิ้งเรือแพไว้แล้วไสหัวไป” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งในกลุ่มกล่าวอย่างอวดดี


ในกลุ่มสี่คนมีสามคนที่เป็นจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งในขณะที่อีกคนเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน เนื่องจากพรสวรรค์ของนิรันดร์ผู้นี้ไม่ได้โดดเด่นอะไร เขาจึงมาที่นี่อีกครั้งเพื่อทะลวงผ่านนิพพานที่สอง


แต่ต่อให้เขาจะเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานที่อ่อนแอเพียงใด พลังของระดับโลกียนิพพานก็อยู่เหนือระดับสร้างสรรพสิ่งอย่างสมบูรณ์ เพราะเหตุนี้กลุ่มทั้งสี่จึงมีท่าทีอวดดีเป็นอย่างมาก


นิรันดร์หนึ่งนิพพานผู้นี้มีรูปลักษณ์อยู่ในช่วงอายุห้าสิบปี เขาเป็นชายที่ค่อนข้างชราและไว้หนวดสั้น มือทั้งสองข้างของเขาพาดเอาไว้ที่ด้านหลังและเผยสีหน้าเหยียดหยาม


ครั้งนี้เขาไม่ได้มาเพื่อทะลวงผ่านสองนิพพานเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีหน้าที่คุ้มกันรุ่นเยาว์ทั้งสามของตระกูลในการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานอีกด้วย หากรุ่นเยาว์ทั้งสามทะลวงผ่านสำเร็จทุกคนเลยก็คงดี เพราะอำนาจของตระกูลพวกเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล


แต่น่าเสียดายที่ระดับโลกียนิพพานไม่ใช่สิ่งที่จะบรรลุกันได้ง่ายๆ


หลิงฮันชำเลืองมองไปยังทั้งสี่คนและกล่าว “คิดจะปล้นชิงข้า?”


“พวกข้าไม่ได้ปล้นชิง แต่แค่พวกข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า สิ่งที่เจ้าต้องทำคือยอมเชื่อฟังแต่โดยดี ไม่เช่นนั้นล่ะก็…” รุ่นเยาว์คนเดิมกล่าวพร้อมทำสีหน้าโหดเหี้ยม


ที่นี่คือเขตแดนลี้ลับที่ตัดขาดจากโลกภายนอก หากไม่มีใครเป็นพยานรู้เห็นพวกเขาจะสังหารใครก็ได้ตามใจชอบ


หลิงฮันส่ายหัวและหันไปกล่าวกับภรรยาทั้งสอง “ดูเหมือนต้องมีการปะทะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว”


เขานำสตรีนกอมตะเข้าสู่หอคอยทมิฬก่อนจะกล่าวกับจักรพรรดินี “เจ้าอยากรับมือกับคนที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ?”


“แข็งแกร่ง!” จิตวิญญาณสู้รบของจักรพรรดินีลุกโชน


“อืม ถ้ารับมือไม่ไหวก็รีบบอกข้า” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม


จักรพรรดินีพุ่งทะยานร่างเป็นฝ่ายลงมือโจมตีนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ร่างแยกทั้งเก้าของนางปรากฏตัวออกมา รูปลักษณ์อันงดงามของร่างแยกส่งผลให้ศัตรูทั้งสี่คนอ้าปากค้าง


ในโลกนี้มีสตรีที่งดงามขนาดนี้อยู่ได้อย่างไร?


เพียงแต่เมื่อเห็นการโจมตีของจักรพรรดินีที่ถาโถมเข้ามา ชายชราระดับโลกียนิพพานก็ตกตะลึง พลังของสตรีผู้นี้เหนือกว่าระดับสร้างสรรพสิ่งหลายเท่า แม้จะยังเทียบไม่ได้กับระดับโลกียนิพพานที่หนึ่งนิพพาน แต่ก็เพียงพอที่จะสามารถกล่าวได้ว่าเป็นระดับหนึ่งนิพพานครึ่งก้าว


สุดยอดอัจฉริยะ!


“เหอๆๆ” ชายชราระดับโลกียนิพพานหัวเราะ ต่อให้จักรพรรดินีจะมีพลังต่อสู้ระดับโลกียนิพพานครึ่งก้าว แต่ต่อหน้าระดับโลกียนิพพานที่แท้จริงพลังของนางก็ยังถือว่าอ่อนแอ


ทว่าความจริงกลับไม่เป็นตามที่เขาคาดคิด พลังต่อสู้ของจักรพรรดินีแข็งแกร่งจนแม้แต่ตัวตนระดับหนึ่งนิพพานเช่นเขาก็ไม่อาจกำราบได้แม้จะแลกเปลี่ยนกระบวนท่าไปหลายกระบวนท่าแล้ว


และในระหว่างที่เขาไม่สามารถกำราบจักรพรรดินีได้นั่นเอง หลิงฮันก็ใช้โอกาสนั้นลงมือกับรุ่นเยาว์ระดับสร้างสรรพสิ่งอีกสามคน


“รนหาที่ตาย!” รุ่นเยาว์ทั้งสามเค้นเสียงเย็นชาและตอบโต้


หลิงฮันซัดหมัดออกไป ‘ปัง’ ร่างของรุ่นเยาว์คนหนึ่งระเบิดออกกลายเป็นฝนโลหิตในพริบตา แม้แต่เศษเนื้อก็ไม่หลงเหลือ


ในความคิดของหลิงฮัน กลุ่มคนสี่คนนี้น่ารังเกียจยิ่งกว่าอันธพาลขวางทางทั้งสิบสามคนนั้นอีก


“ไม่จริง!” รุ่นเยาว์อีกสองคนโอดครวญหวาดผวา พวกเขาเกรงกลัวว่าตนเองจะกลายเป็นเหมือนรุ่นเยาว์คนเมื่อครู่


ชายชราระดับโลกียนิพพานเองก็ตกตะลึง รุ่นเยาว์ทั้งสองคนที่พวกเขาพบเจอแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากทั้งสองเป็นราชาแห่งยุคล่ะก็ เหตุใดเขาถึงไม่ได้ได้ยินเรื่องราวของทั้งสองมาก่อนเลยแม้แต่น้อย?


“บังอาจ!” ชายชราระดับโลกียนิพพานผลักฝ่ามืออย่างรุนแรงเข้าใส่จักรพรรดินีจนลอยกระเด็น เขาหันหน้ามายังหลิงฮันและเพื่อโจมตี หากเขาไม่รีบหยุดยั้งอีกฝ่ายเอาไว้ รุ่นเยาว์ของตระกูลอีกสองคนต้องตายอย่างแน่นอน


หลิงฮันเมินเฉยชายระดับโลกียนิพพานและลงมือโจมตีรุ่นเยาว์อีกสองคนต่ออย่างไม่รีรอ


‘โผล๊ะ โผล๊ะ’ ยังไม่ทันที่ชายระดับโลกียนิพพานจะได้ลงมือ รุ่นเยาว์อีกคนก็ถูกหลิงฮันสังหารไม่เหลือแม้แต่เศษซาก


“อ้ากกก!” ชายชราะระดับโลกียนิพพานโมโหจนแทนบ้าคลั่ง ร่างของเขาพุ่งทะยานมาถึงพอดีและคว้าร่างของรุ่นเยาว์คนสุดท้ายเข้าสู่อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกับโจมตีเข้าใส่หลิงฮัน


“ข้าจะยอมให้เจ้าโจมตีหนึ่งร้อยกระบวนท่า หากทำให้ข้าบาดเจ็บได้เจ้าจะถือว่าเป็นผู้ชนะ” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม


‘ตูม ตูม ตูม’ ชายชราระดับโลกียนิพพานกระหน่ำโจมตีเข้าใส่หลิงฮันด้วยความโกรธ แต่ไม่ว่าเขาจะซัดร่างของหลิงฮันรุนแรงขนาดไหน บนร่างกายของอีกฝ่ายก็ไม่มีบาดแผลปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย


ร่างของชายชราระดับโลกียนิพพานชะงักแข็งค้าง รุ่นเยาว์ผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดแบบใดกันแน่!


ไม่ต้องเอ่ยถึงระดับสร้างสรรพสิ่งเลย ต่อให้เป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานเช่นเดียวกับเขา ก็ไม่มีทางที่หากรับการโจมตีของเขาเข้าไปเต็มๆแล้วร่างกายจะไม่ปรากฏแม้แต่รอยขีดข่วนเลยเช่นนี้

 

 

 


ตอนที่ 1732 วารีบรรพบุรุษ

 

หลิงฮันไม่ได้ยอมถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียว ‘ครืนน’ เพลิงเก้าสวรรค์ถูกโคจรและระเบิดออกมาแผดเผาเผาไปทั่วท้องฟ้า


ชายชราระดับโลกียนิพพานรู้สึกได้ว่าหากสัมผัสโดนเปลวเพลิงนี้เข้า ร่างของเขาจะต้องถูกเผาเป็นเถ้าถ่านแน่นอน เขารีบล่าถอยออกมาหนึ่งพันฟุตและใช้สายตาจดจ้องไปยังเปลวเพลิง


หลังจากตั้งสติให้ดีและตรวจสอบอย่างแน่ชัดเขาก็เกิดความรู้สึกสับสน ทั้งๆที่เปลวเพลิงตรงหน้านี้ไม่ได้ทรงพลังพอที่จะแผดเผาพลังป้องกันของเขาได้แท้ๆ แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามที่รุนแรง


แต่เมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว จิตใจของชายชราระดับโลกียนิพพานก็สั่นสะท้านทันที


เพลิงบรรพบุรุษ!


ตามตำนานที่เล่าขาน ในดินแดนแห่งเซียนมีเพลิงบรรพบุรุษอยู่ทั้งหมดเก้ารูปแบบ พลังของพวกมันสามารถเปรียบได้ว่าเป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงที่ทรงพลังที่สุด


หรือเปลวเพลิงตรงหน้าของเขาจะเป็นเพลิงบรรพบุรุษ? หากไม่ใช่ล่ะก็เพียงแค่จอมยุทธระดับโลกียนิพพานจะปลดปล่อยเปลวเพลิงที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวได้อย่างไร?


เจ้าหนูคนนี้นับว่าโชคดีอย่างแท้จริงที่สามารถผสานรวมกับเพลิงบรรพบุรุษได้!


ดวงตาของชายชราระดับโลกียนิพพานแดงฉานด้วยความริษยา สมบัติแห่งสวรรค์และปฐพีอันล้ำค่าที่แม้แต่ราชานิรันดร์ก็ไม่อาจมีอยู่ในครอบครองกลับตกอยู่ในมือของจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งตัวจ้อย


เขาจะต้องแย่งชิงวาสนาตรงหน้ามาให้ได้


“ฮ่าๆๆ มอบมันมาให้ข้า!” ชายชราระดับโลกียนิพพานคว้ามือไปยังหลิงฮัน มือปราณก่อเกิดของเขาพัวพันไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าซึ่งสามารถใช้ต้านทานอำนาจของเพลิงสวรรค์ได้


หลิงฮันถอนหายใจ นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานทุกคนที่มาที่นี่ล้วนแต่มีพลังแข็งแกร่งพอที่จะทะลวงผ่านเป็นสองนิพพาน เพราะงั้นต่อให้เขาจะเป็นราชาในหมู่ราชาของระดับสร้างสรรพสิ่งก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะอีกฝ่ายได้ ความแตกต่างของระดับพลังพระเจ้ากับระดับพลังนิรันดร์มีมากเกินไป


“ฮ่าๆๆ คราวนี้พอเท่านี้แล้วกัน เอาไว้เจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่ข้าจะตัดหัวสุนัขของเจ้าให้หลุดออกจากบ่า!” หลิงฮันโยนแพไม้ลงแม่น้ำและคว้าจับมือจักรพรรดินีหลบหนีทิ้งชายชราระดับโลกียนิพพานทิ้งไว้ด้านหลัง


ต่อให้อีกฝ่ายอยากจะไล่ตามมา แต่ด้วยอำนาจอันทรงพลังของสายน้ำในแม่น้ำแห่งนี้ บางทีอาจจะมีเพียงราชานิรันดร์ที่สามารถข้ามผ่านได้โดยไม่พึ่งพาเรือไม้พิเศษ


“ต้องบรรลุระดับโลกียนิพพานให้เร็วที่สุด” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


จักรพรรดินีพยักหน้าในใจ ถึงแม้นางกับหลิงฮันจะไร้เทียมทานในระดับสร้างสรรค์พสิ่ง แต่การที่ต้องหลบหนีทุกครั้งที่พบเจอกับตัวตนระดับโลกียนิพพานทำให้พวกนางไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก


การไหลของคลื่นน้ำรวดเร็วเป็นอย่างมากแต่ผิวน้ำกลับแน่นิ่งไม่มีกระเด็นแม้แต่หยดเดียว และหากสังเกตให้ดีจะพบเห็นตราประทันแห่งเต๋าล่องลอยอยู่ใต้ผืนน้ำ น่าเสียดายที่น้ำเหล่านี้ไม่อาจใช้ดื่มกินได้ ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่าเกินพรรณนาสำหรับจอมยุทธที่ฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารี


ภายใต้ผืนน้ำไม่มีสัตว์อสูรอยู่แม้แต่ตัวเดียว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากจะอยู่รอดในแม่น้ำนี้ได้ สัตว์อสูรที่ว่าจำเป็นต้องมีระดับพลังอยู่ที่ราชานิรันดร์


“ไปยังส่วนลึกที่สุดของต้นน้ำให้ได้” จู่ๆหอคอยน้อยก็เอ่ยกล่าว


หลังจากเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน หอคอยน้อยก็เงียบหายไปและไม่ตอบคำถามใดๆของหลิงฮันแม้แต่คำเดียว จากเหตุผลที่หอคอยน้อยอธิบายก็คือเพราะพลังวิญญาณของดินแดนแห่งเซียนนั้นหนาแน่นเป็นอย่างมาก มันจึงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการซ่อนแซมตัวเองและคร้านเกินกว่าจะแยแสหลิงฮัน


ไม่คาดคิดว่าจู่ๆมันจะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นพูดขึ้นมาเองเช่นนี้


หลิงฮันกล่าวผ่านห้วงจิตวิญญาณ “เจ้าไม่เป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนโดยไม่หวังอะไรแน่! ข้าว่าเจ้าคงต้นพบบางสิ่งที่นี่ซึ่งช่วยให้เจ้าซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้นสินะ?”


หอคอยน้อยเค้นเสียงกล่าว “ข้าคิดว่าในบริเวณต้นน้ำของที่นี่จะต้องมีวารีบรรพบุรุษแห่งสวรรค์และปฐพีอยู่ ตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะยกมันให้แก่เจ้า แต่ในเมื่อเจ้าบอกแบบนั้นเองข้าก็ยินดีจะรับไว้”


“เดี๋ยวก่อน อะไรคือวารีบรรพบุรุษ?” หลิงฮันถาม


“ในเมื่อสวรรค์และปฐพีมีเพลิงบรรพบุรุษทั้งเก้า ทำไมจะมีวารีบรรพบุรุษด้วยไม่ได้?” หอคอยน้อยกล่าวอย่างเหยียดหยาม


เพลิงบรรพบุรุษ… วารีบรรพบุรุษ… อำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีที่ทรงพลังที่สุด!


หลิงฮันสูดหายใจลึกและกล่าว “ข้าสามารถดูดซับวารีบรรพบุรุษมาเป็นพลังของข้าได้?”


“ตามหลักการแล้วก็ใช่” หอคอยน้อยกล่าว “แต่หากไม่มีการช่วยเหลือของข้า สำหรับตัวเจ้าในตอนนี้คงไม่มีทางเป็นไปได้”


หลิงฮันถอนหายใจ “เจ้าช่วยจริงจังหน่อยได้รึไม่?”


หอคอยน้อยเค้นเสียงไม่พอใจสองสามครั้งก่อนจะกล่าว “แม่น้ำสายนี้เป็นไปได้สูงมากที่จะเกิดมาจากวารีบรรพบุรุษ หากเจ้ามุ่งหน้าตามเส้นทางของแม่น้ำไปจนถึงต้นน้ำ ที่นั่นก็สมควรจะมีวารีบรรพบุรุษอยู่”


“แล้วข้าจะครอบครองมันได้อย่างไร?” หลิงฮันเอ่ยถาม “แม้แต่น้ำในแม่น้ำข้าก็ไม่สามารถสัมผัสได้”


หอคอยน้อยเค้นเสียงฮึดฮัดอีกครั้ง “ไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าที่ดูดซับเพลิงเก้าสวรรค์เป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายได้แล้ว แค่ห่อหุ้มร่างกายของตัวเองเอาไว้ด้วยเพลิงเก้าสวรรค์ เจ้าก็จะไม่รับผลกระทบอันใดนั้นจากวารีบรรพบุรุษ”


“มันจะได้ผลจริงๆ?” หลิงฮันสงสัย เพลิงเก้าสวรรค์ที่ยังมีพลังไม่ถึงระดับโลกียนิพพานจะต้านทานอำนาจของวารีบรรพบุรุษได้?


“โง่จริงๆ ข้าไม่ได้บอกให้เจ้าใช้เพลิงเก้าสวรรค์ต้านทานวารีบรรพบุรุษตรงๆ หากเพียงแค่ออร่าที่เล็ดรอดออกมาจากวารีบรรพบุรุษ เพลิงเก้าสวรรค์ยังไม่สามารถต้านทานได้ล่ะก็ มันจะถูกเรียกว่าเป็นเพลิงบรรพบุรุษได้อย่างไร?” หอคอยน้อยค้าน


“แต่ข้าจำเป็นต้องทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน หากมัวเสียเวลาล่ะก็…” หลิงฮันลังเล หากพลาดโอกาสทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานในครั้งนี้ เขาจำเป็นต้องรอไปอีกสิบล้านปีหรือไม่ก็ต้องหาสถานที่สำหรับทะลวงผ่านแห่งอื่น


บางทีเขาอาจจะเลือกทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานก่อนแล้วค่อยกลับมาเก็บเกี่ยววารีบรรพบุรุษในภายหลัง


“เห้อ ข้ามีเจ้านายที่โง่เช่นเจ้าได้อย่างไรกัน?” หอคอยน้อยถอนหายใจ “สถานที่แห่งนี้สมควรเกิดขึ้นมาได้เพราะอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีจากวารีบรรพบุรุษ หากเจ้าไปยังตำแหน่งที่ตั้งของวารีบรรพบุรุษได้เจ้าก็จะสามารถทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานด้วยอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีที่แข็งแกร่งที่สุดจากที่นั่น”


หลิงฮันรู้สึกโล่งอก หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาก็จะไม่เสียเวลารอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง


เพียงแค่เพลิงเก้าสวรรค์อย่างเดียวก็น่าสะพรึงกลัวมากพอแล้ว หากเขาได้ครอบครองวารีบรรพบุรุษที่เป็นอำนาจต้นกำเนิดของสวรรค์และปฐพีอีก พลังต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน?


เขาเล่าเรื่องนี้ให้จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะฟัง ซึ่งก็แน่นอนว่าทั้งสองตกลงที่จะมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกสุดของต้นแม่น้ำเพื่อให้หลิงฮันครอบครองวารีบรรพบุรุษ


ระหว่างทางที่ล่องลอยไปตามแม่น้ำพวกหลิงฮันพบเจอผู้คนมากมายหรือพบเห็นแม้แต่ซากแพไม้ที่พังทลายจากการต่อสู้ ด้วยอำนาจที่ทรงพลังของสายน้ำใครที่ตกลงไปย่อมเสียชีวิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


เรื่องบังเอิญที่สุดคือพวกเขาพบเจอจางชงและเม่าซูอวี่อย่างไม่คาดคิดจึงได้ทำการไล่ตามทั้งสองคนจากด้านหลัง


ซึ่งการตัดสินใจที่ไล่ตามทั้งสองคนไปของหลิงฮันก็ถูกต้อง พวกจางชงถูกใครบางคนโจมตีเกือบไม่รอดจนหลิงฮันยื่นมือเข้าไปช่วย


เม่าซูอวี่นั้นด้วยแววตาอันเฉียบแหลม นางมองออกทันทีว่าคนที่ยื่นมือมาช่วยพวกนางคือหลิงฮันที่ปกปิดตัวตนอยู่ ส่วนจางชงเองก็รู้สึกผิดและละอายใจเป็นอย่างมากที่ก่อนหน้านี้เคยแสดงท่าทีไม่เป็นมิตรกับหลิงฮันเอาไว้ แต่กลับถูกอีกฝ่ายช่วยชีวิต


หลิงฮันติดตามทั้งสองคนไปตลอดทางจนเมื่อเวลาผ่านไปสองวันพวกเขาก็มาถึงชายฝั่ง จากตรงนี้ไปจะสามารถเดินไปถึงสถานที่สำหรับทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้โดยไม่ต้องใช้เรือ มันคือสถานที่ที่อันตรายที่สุดในหุบเหวสืบสานนิพพานที่ถูกเรียกว่าถ้ำแห่งความตาย

 

 

 


ตอนที่ 1733 ทะลวงผ่านโลกียนิพพานกลางท...

 

“หืม เจ้าไม่มากับพวกข้ารึ?” เม่าซูอวี่ถามด้วยความรู้สึกสงสัย


ทุกคนที่มาถึงที่นี่ล้วนแต่ต้องไปถ้ำแห่งความตายกันทุกคน


หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “เจ้าไปก่อนเลย พวกเรามีที่อื่นที่ต้องไป”


ที่อื่น?


ไม่ใช่เจ้ามาเพื่อทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานหรอกรึ? ถ้าเช่นนั้นสถานที่ที่เจ้าต้องไปก็มีเพียงถ้ำแห่งความตายไม่ใช่รึไง เหตุใดถึงจะไปสถานที่อื่นอีก?


แต่ในเมื่อหลิงฮันไม่อธิบายอะไร แม้เม่าซูอวี่จะรู้สึกสงสัยนางก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไปและมุ่งหน้าไปยังถ้ำแห่งความตายกับจางชง ในขณะที่พวกหลิงฮันสามคนนั่งแพไม้ต่อไปยังส่วนลึกของต้นน้ำ


ในเมื่อเขาช่วยเหลือพวกจางชงให้มาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย หลิงฮันก็คิดว่าเขาทำสัญญาที่ให้ไว้กับเม่าไต้ได้ดีที่สุดแล้ว จะให้เขาคอยดูแล้วทั้งสองคนตลอดเวลาคงเป็นไปไม่ได้ หลังจากนี้ทั้งสองคงต้องพึ่งพาพลังของตัวเอง


ในขณะที่พวกหลิงฮันกำลังนั่งแพไม้เพื่อมุ่งหน้าต่อ พวกเขาก็พบเห็นฟู่เสี่ยวอวิ๋นกับเป่ยเสวียนหมิงที่เพิ่งมาถึง แต่ที่น่าประหลาดใจคือทั้งสองคนไม่ได้ขึ้นชายฝั่งแต่กลับมุ่งหน้าต่อมายังต้นน้ำราวกับมีเป้าหมายคือวารีบรรพบุรุษ


ทั้งพวกหลิงฮันและพวกฟู่เสี่ยวอวิ๋นเผยแววตาประหลาดใจ ฟู่เสี่ยวอวิ๋นนั้นแม้จะประหลาดใจแต่นางก็ยังมีท่าทีสงบนิ่ง เป่ยเสวียนหมิงนั้นตรงกันข้าม มุมปากของเขายิ้มเยาะเย้ยอย่างเหยียดหยามและกล่าว “ฝูงมดปลวกเช่นพวกเจ้าคิดว่าตนเองมีคุณสมบัติพอจะไปเส้นทางเดียวกันข้าผู้นี้?”


“โอ้ หรือเจ้าจะรู้ว่าที่ต้นแม่น้ำแห่งนี้มีอะไรอยู่?” หลิงฮันจงใจเอ่ยถาม


เป่ยเสวียนหมิงเค้นเสียงและกล่าว “ข้าผู้นี้จำเป็นต้องบอกเจ้าด้วย?”


“ถ้าไม่รู้ก็ไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นรู้ดี” หลิงฮันหัวเราะ


เป่ยเสวียนหมิงปลดปล่อยจิตสังหารออกมาทันที มดปลวกที่อ่อนแอกล้าเยาะเย้ยข้างั้นรึ? แต่ในขณะที่เขาคิดจะลงมือนั่นเอง ฟู่เสี่ยวอวิ๋นก็ยื่นมือมาห้ามปรามเอาไว้ เขาจึงต้องยั้งมืออย่างไม่สบอารมณ์


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นมองไปยังหลิงฮันและกล่าว “ข้าได้รับคำชี้แนะจากผู้อาวุโสของตระกูลว่าหากต้องการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีการพิเศษ ข้าจำเป็นต้องไปยังต้นแม่น้ำแห่งนี้ซึ่งมีอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีหนาแน่นที่สุด”


นางหยุดแน่นิ่งไปครู่หนึ่งราวกับต้องการเห็นปฏิกิริยาของหลิงฮันก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วพวกเจ้าล่ะทำไมถึงต้องการไปยังต้นแม่น้ำ?”


วิธีการพิเศษที่นางว่านั้นหมายถึง การทะลวงผ่านนิพพานด้วยการตัดขาดสวรรค์และปฐพี


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นคือผู้สืบทอดของขุมอำนาจสามดาว การที่นางจะรับรู้ถึงวิธีการตัดขาดสวรรค์และปฐพีย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก นับว่าเป็นความบังเอิญที่โชคดียิ่งนักที่หลิงฮันตั้งใจจะไปทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานที่ต้นแม่น้ำพอดี หากไปยังถ้ำแห่งความตายเขาคงทะลวงผ่านด้วยวิธีการตัดขาดสวรรค์และปฐพีไม่สำเร็จ


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ช่างบังเอิญนัก ข้าเองก็จะไปที่นั่นเพื่อบรรลุนิพพานด้วยวิธีพิเศษเช่นกัน”


“ฮ่าๆๆ คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติเพียงพอ?” เป่ยเสวียนหมิงหัวเราะ


ในหมู่ขุมอำนาจสามดาว วิธีการทะลวงผ่านนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีไม่ใช่ความลับอันใด ประเด็นสำคัญคือต่อให้รู้แล้วจะทำได้รึเปล่าต่างหาก ครั้งหนึ่งเป่ยเสวียนหมิงเองก็ต้องการทะลวงผ่านด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีเหมือนกัน แต่สุดท้ายเขาก็ทำไม่สำเร็จและเลือกที่จะตัดความรู้สึกทางโลกของตัวเอง


“ข้าจะมีคุณสมบัติหรือไม่นั้น ไม่ลองก็ไม่รู้” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ถ่อมตัวหรืออวดดี


เป่ยเสวียนหมิงไม่สบอารมณ์ยิ่งขึ้นไปอีก จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งกล้าพูดเช่นนี้กับเขาได้อย่างไร?


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นยิ้มและกล่าว “งั้นพวกเราไปด้วยกันเลยแล้วกัน”


นางรู้สึกสงสัยในตัวหลิงฮันเป็นอย่างมาก เนื่องจากนางมองพลังของหลิงฮันไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว ต้องรู้ก่อนว่าตัวนางนั้นฝึกฝนทักษะบ่มเพาะระดับนิรันดร์ที่ทรงพลังทำให้สามารถมองเห็นเบื้องลึกในพลังของผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าสำหรับบุรุษที่อยู่ตรงหน้านางผู้นี้ นางไม่สามารถมองเบื้องลึกของพลังออกเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งเหตุผลก็มีเพียงหนึ่งเดียวคือพลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่านางหลายเท่า


แต่นั่นจะเป็นไปได้รึ?


นางไม่เชื่อว่าในระดับสร้างสรรค์พสิ่งจะมีใครอื่นที่มีพลังเหนือกว่านางจนนางเทียบไม่ติด ที่มองไม่เห็นพลังเบื้องลึกของหลิงฮันจะต้องเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายฝึกฝนทักษะลับที่ปกปิดการรับรู้ของนางแน่นอน


หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา ถึงแม้ข้าจะไม่ชอบขี้หน้าใครบางคนแถวนี้ก็เถอะ”


เป่ยเสวียนหมิงโมโหจนแทบทนไม่ไหว เจ้าหนูนี่คิดว่าตนเองเทียบเท่าเขาที่เป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานหรืออย่างไร?


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นยิ้ม นางรู้สึกว่าหลิงฮันเป็นคนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก นางพยักหน้าและกล่าว “อืม ข้าหวังเจ้าจะทะลวงผ่านนิพพานด้วยวิธีการพิเศษได้สำเร็จ”


“เช่นกัน” หลิงฮันผสานมือให้แก่อีกฝ่าย ตอนนี้แม้แต่เขาเองก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าการที่นางถูกจับไปคู่กับเป่ยเสวียนหมิงช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ


เป่ยเสวียนหมิงมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าเย็นชา หากมีโอกาสล่ะก็เขาจะต้องสังหารหลิงฮันให้ได้


หลิงฮันแสยะยิ้ม ตราบใดที่เขาทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้สำเร็จ ต่อให้เป่ยเสวียนหมิงจะบรรลุเป็นนิรันดร์สองนิพพานแล้วเขาก็ไม่หวั่นเกรง


หลังจากเดินทางด้วยเรือแพสามวัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงส่วนลึกสุดของต้นน้ำ เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำ ที่บริเวณกึ่งกลางของทะเลสาบมีโขดหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ราวกับเป็นเกาะกลางทะเลสาบ


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นและเป่ยเสวียนหมิงควบคุมแพไม้ไปยังโขดหิน ทั้งสองก้าวเท้าขึ้นไปยืนและเก็บแพไม้เข้าสู่อุปกรณ์มิติ


พวกหลิงฮันทั้งสามคนก็ไปยังโขดหินกลางทะเลสาบเช่นกัน หลังจากเก็บแพไม้แล้ว หอคอยน้อยก็กล่าวกับหลิงฮันผ่านห้วงจิตวิญญาณว่าวารีบรรพบุรุษสมควรอยู่ใต้ทะเลสาบแห่งนี้


อยู่ใต้ทะเลสาบ?


หลิงฮันส่ายหัว หากเขาลงไปใต้ทะเลสาบเพียงคนเดียวเขาย่อมไม่อาจไว้วางใจได้ว่าพวกจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะที่อยู่ด้านบนจะปลอดภัย อีกอย่างหากภรรยาของเขาทั้งสองเข้าไปอยู่ในหอคอยทมิฬ จักรพรรดินีก็จะไม่สามารถทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้ อีกอย่างคือไม่มีใครรู้ว่าขั้นตอนการทะลวงผ่านต้องใช้เวลานานแค่ไหน เขาจึงคิดว่าจะทะลวงผ่านนิพพานก่อนแล้วค่อยลงไปตามหาวารีบรรพบุรุษ


เขากล่าวสิ่งที่คิดให้จักรพรรดินฟังก่อนจะนั่งลงที่โขดหินกลางทะเลสาบและเริ่มทำการทะลวงระดับ


ถึงแม้ทั้งสองจะบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดแล้ว แต่ระดับโลกียนิพพานนั้นเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นใหม่ ประสบการณ์ทะลวงระดับที่ผ่านๆมาไม่อาจนำมาใช้อ้างอิงได้


และด้วยการที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน ขั้นตอนการทะลวงผ่านจึงเป็นอะไรที่อันตรายมาก หากโชคร้ายพวกเขาอาจจะต้องทิ้งชีวิตไปเลยก็เป็นได้


พวกหลิงฮันและพวกฟู่เสี่ยวอวิ๋นทั้งห้าคนเริ่มทำการปรับตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับอำนาจของสวรรค์และปฐพี เนื่องจากเป่ยเสวียนหมิงมีพลังบ่มเพาะระดับหนึ่งนิพพานอยู่แล้ว ในกระบวนการนี้เขาจึงคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก ในด้านของสตรีนกอมตะ นางเองก็พยายามทำความคุ้นเคยกับอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีของโลกียนิพพานเพื่อที่วันหนึ่งนางก็จะทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์เช่นกัน

 

 

 


ตอนที่ 1734 ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน

 

ทั้งห้าคนนั่งแยกกันเป็นสองกลุ่มอยู่ที่โขดหินกลางทะเลสาบ


แน่นอนว่าเป่ยเสวียนหมิงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกหลิงฮันสามคนเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งแท้ๆ พวกเขามีสิทธิ์อะไรมานั่งเคียงข้างเขา? หากไม่ใช่เพราะฟู่เสี่ยวอวิ๋นยินยอมล่ะก็ เขาคงโยนร่างของทั้งสามคนลงแม่น้ำไปแล้ว


เขาพยายามสงบสติอารมณ์ ถึงแม้ด้วยพรสวรรค์ของเขาแล้วจะไม่จำเป็นต้องมาทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์สองนิพพานในเขตแดนลี้ลับ แต่อำนาจของสวรรค์และปฐพีอันไร้ขีดจำกัดของที่นี่ก็ช่วยให้ความยากลำบากในการทะลวงผ่านลดลงไปบ้าง


ระดับสองนิพพาน… ลุย!


เป่ยเสวียนหมิงคำรามในใจ ด้วยศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีแน่นอนว่าเขาต้องอยากมีระดับพลังบ่มเพาะที่นำหน้าสตรีของตน หากเขาไม่ทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์สองนิพพานในตอนนี้แล้วฟู่เสี่ยวอวิ๋นยกระดับพลังขึ้นมาเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานเท่ากับเขาล่ะก็ เขาจะรู้สึกอัปยศเป็นอย่างมาก


หลิงฮัน จักรพรรดินีและฟู่เสี่ยวอวิ๋นปรับตัวเข้าหาอำนาจของสวรรค์และปฐพีอย่างรอบคอบ เมื่อใดที่เริ่มคุ้นชินพวกเขาถึงจะลองทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน


หลิงฮันนั่งแน่นิ่งและทำความเข้าใจถึงวิธีที่จะตัดขาดกับสวรรค์และปฐพี หากให้พูดถึง ความหมายของตัดขาดสวรรค์และปฐพีล่ะก็ มันคือการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานโดยไม่ต้องพึ่งพาพลังจากภายนอกใช้เพียงพลังของตนเองในการทะลวงผ่าน ‘สวรรค์และปฐพีคือตัวข้าเอง อำนาจแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่คือตัวข้าเอง’


แต่ปัญหาที่พบคือจะตัดขาดกับอำนาจของสวรรค์และปฐพีอย่างไร?


ไม่มีตัวอย่างให้เขาทำตามและไม่มีใครสามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ว่าต้องทำอย่างไร การทะลวงผ่านด้วยวิธีปกติก็ไม่ต่างกัน นี่คือการทดสอบจากสวรรค์ที่ต้องพึ่งพาความสามารถของตัวเองเพียงอย่างเดียว เพราะไม่งั้นแล้วในดินแดนแห่งเซียน จำนวนของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานคงไม่มีน้อยนิดเพียงนี้


ตามหลักการแล้วตราบใดที่มีเวลามากพอจำนวนของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานก็สมควรมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้แต่ในเมืองสองดาวก็มีจอมยุทธระดับโลกียนิพพานเพียงหลักพัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวตนระดับนิรันดร์นั้นมีน้อยนิดเพียงใด


หลิงฮัน จักรพรรดินีและฟู่เสี่ยวอวิ๋นจำลองความเป็นไปได้ในรูปแบบต่างๆอยู่ในห้วงความคิด ถึงแม้จะเป็นพรสวรรค์ของราชาแห่งยุคเช่นพวกเขา การทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่ดี ยิ่งต้องการทะลวงผ่านด้วยวิธีการพิเศษยิ่งแล้วใหญ่


หนึ่งวัน สองวัน สามวัน… ห้าวันต่อมาจู่ๆฟู่เสี่ยวอวิ๋นก็กระอักโลหิต ดวงวิญญาณของนางมีอาการอ่อนแอลง นางเผยสีหน้าอันหวาดผวาออกมาอย่างปิดไม่มิด เมื่อครู่นางพยายามที่จะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแต่ล้มเหลวจนถึงจะต้องทิ้งชีวิต


โชคดีที่ก่อนจะเข้ามาที่นี่ ประมุขของตระกูลได้ประทับพลังเอาไว้ในร่างกายนาง มันคือพลังที่สามารถช่วยต้านทานความเสียหายอันรุนแรงที่เกิดขึ้นกับตัวนางได้หนึ่งครั้ง หากไม่ใช่เพราะพลังที่ว่า ต่อให้นางจะไม่ตายแต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส หากเป็นเช่นนั้นก็เลิกพูดเรื่องทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานไปได้เลย เพียงแค่รักษาตัวให้หายดีก็คงต้องใช้เวลาหลายแสนหรืออาจจะหลายล้านปี


นางตั้งสติให้กลับมาสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว ถึงแม้เมื่อครู่จะทะลวงผ่านระดับไม่สำเร็จ แต่นางก็มองเห็นความหวังที่อยู่ภายในความล้มเหลว นางเชื่อมั่นว่านางจะต้องตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้สำเร็จ


ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีศักยภาพอยู่ในระดับราชาแห่งยุค


และด้วยความสงสัย นางจึงได้ชำเลืองมองไปยังพวกหลิงฮันทั้งสามคน สำหรับสตรีนกอมตะนั้นนางไม่ได้ให้ความสนใจใดๆเนื่องจากอีกฝ่ายยังไม่พร้อมที่จะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน สายตาของนางจดจ้องไปยังหลิงฮันและจักรพรรดินี ทั้งสองคนนี้คือคนที่ทำให้นางเกิดความรู้สึกว่าลึกล้ำเกินจะหยั่งถึง


อัจฉริยะที่โดดเด่นอย่างทั้งสองคนปรากฏขึ้นมายังอาณาเขตที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ได้อย่างไร แถมทั้งสองยังรู้จักวิธีการทะลวงผ่านด้วยการตัดขาดสวรรค์และปฐพีอีกด้วย


อั่ก!


จักรพรรดินีกระอักโลหิต ‘โพล๊ะ’ พริบตาหลังจากนั้นร่างของนางระเบิดออก เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ฟู่เสี่ยวอวิ๋นตกตะลึงก็คือร่างกายที่แหลกสลายของอีกฝ่ายจู่ๆก็หายไปอย่างไรร่องรอยและจักรพรรดินีร่างใหม่ก็ปรากฏตัวแทนที่อย่างรวดเร็ว


อะไรกัน… ฟู่เสี่ยวอวิ๋นอ้าปากค้าง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!


เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานล้มเหลวและถูกอำนาจของสวรรค์และปฐพีย้อนกลับจนร่างระเบิดตาย แต่เหตุใดอีกฝ่ายถึงได้กลับมามีสภาพปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้?


หรือนางจะตาฝาด?


เป็นไปไม่ได้ จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งน่ะรึจะตาฝาด?


แน่นอนว่านางไม่มีทางรู้ว่าจักรพรรดินีนั้นมีร่างแย่งอยู่เก้าร่าง ร่างแยกแต่ละร่างมีร่างกายจริงๆซึ่งสามารถสละชีวิตแทนนางได้ เพราะอย่างไรขอเพียงแค่มีเวลาก็สามารถสร้างร่างแยกขึ้นมาใหม่ไม่ยาก


ความพยายามในการตัดขาดสวรรค์และปฐพีครั้งแรกของจักรพรรดินีล้มเหลว เพราะงั้นร่างแย่งของนางจึงเสียชีวิตแทนโดยที่ร่างจริงไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ


สัตว์ประหลาด!


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นตกตะลึง ต้องรู้ก่อนว่าเนื่องจากนางเป็นผู้สืบทอดที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดของตระกูลฟู่ ประมุขตระกูลจึงได้ยอมเสียสละใช้พลังชีวิตของตนเองประทับลงบนตัวนางเพื่อช่วยให้นางรอดพ้นความตายได้หนึ่งครั้ง และคำถามคือประมุขของตระกูลฟู่เป็นใคร?


เขาคือนิรันดร์ระดับขอบเขตตำหนักอมตะที่ทรงพลัง นอกจากนั้นในหมู่ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะด้วยกันแล้ว เขาคือคนที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุด!


หากสตรีตรงหน้านางผู้นี้สามารถรอดพ้นความตายได้เหมือนกัน หรือว่าอีกฝ่ายเองก็มาจากขุมอำนาจสามดาว?


ไม่ได้ ไม่ได้… ตอนนี้ต้องตั้งสมาธิไปกับการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานเพียงอย่างเดียว เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง


ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มเกาะกินจิตใจของฟู่เสี่ยวอวิ๋น ครั้งหน้านางจะไม่สามารถหนีพ้นความตายได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทะลวงระดับให้สำเร็จ!


อั่ก!


แต่ทันใดนั้นเอง นางก็พบเห็นจักรพรรดินีกระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง ร่างกายของอีกฝ่ายระเบิดออกเหมือนคราวก่อนและกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง


มุมปากของนางกระตุกและตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก


สตรีผู้นี้พยายามตัดขาดสวรรค์อีกครั้งและล้มเหลว แต่ประเด็นคืออีกฝ่ายยังมีพลังลึกลับที่ช่วยให้รอดพ้นความตายได้อีกรอบ


ถึงขนาดมีวิธีการบางอย่างที่ช่วยให้หนีรอดจากความได้ถึงสองครั้ง อีกฝ่ายมาจากขุมอำนาจใดกันแน่?


จิตใจของฟู่เสี่ยวอวิ๋นเริ่มปั่นป่วนอีกครั้ง ในอาณาเขตแห่งนี้ตระกูลฟู่สมควรเป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวและมีเพียงตระกูลฟู่เท่านั้นที่เป็นขุมอำนาจระดับขอบเขตตำหนักอมตะ เมื่อสตรีที่ไหนก็ไม่รู้ที่โดดเด่นกว่านางปรากฏตัว จึงไม่น่าแปลกใจหากนางจะรู้สึกสับสน


นางพยายามฝืนสงบสติอารมณ์ แต่ผ่านไปไม่นานจักรพรรดินีก็กระอักโลหิตเป็นครั้งที่สามและตายอีกรอบ


คราวนี้นางตกตะลึงอย่างแท้จริง หากมีใครมาบอกนางว่าจักรพรรดินีเป็นผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์นางก็คงยอมเชื่อโดยไม่คัดค้านแม้แต่น้อย


“อั่ก!”


เสียงกระอักโลหิตดังขึ้นอีกรอบ ทว่าครั้งนี้เจ้าของเสียงไม่ใช่จักรพรรดินีแต่เป็นหลิงฮัน


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกวาดสายตามอง หลิงฮันไม่เหมือนกับจักรพรรดินีที่มีพลังลึกลับช่วยให้รอดพ้นความตาย แต่ทว่านางกลับรู้สึกตกตะลึงยิ่งกว่าเมื่อได้พบว่าหลิงฮันนั้นทำเพียงนำมือขึ้นมาเช็ดโลหิตที่มุมปากแถมยังเผยรอยยิ้มออกมา


จะ… จะ… จะ… เจ้า!


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นอ้าปากค้าง นางรู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าไม่ใช่ความจริง


“เจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?” หลิงฮันที่รู้สึกตัวว่าฟู่เสี่ยวอวิ๋นกำลังจ้องมองเขาอยู่ได้เอ่ยถาม


แน่นอนว่าข้าไม่ได้เป็นอะไรอยู่แล้ว แต่ประเด็นมันอยู่ที่เจ้านั่นแหละทำไมถึงไม่เป็นอะไร!


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นรู้สึกราวกับตัวเองกำลังจะกลายเป็นบ้า

 

 

 


ตอนที่ 1735 ตัดสวรรค์และปฐพี

 

ฟู่เสี่ยวอวิ๋นแทบจะลุกขึ้นไปตบหัวหลิงฮัน


เจ้าไม่รู้รึไงว่าตัวเองแปลกประหลาดขนาดไหน?


เมื่อครู่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตัดขาดสวรรค์และปฐพีล้มเหลว แต่นอกจากกระอักโลหิตออกมาแล้วเขากลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย นี่เขายังเป็นมนุษย์อยู่จริงๆใช่รึเปล่า?


“ข้าไม่เป็นอะไร” นางกล่าวตอบ


“ก็ดีแล้ว” หลิงฮันพยักหน้าก่อนจะเลิกสนใจนางและตั้งสมาธิทะลวงผ่านระดับต่อไป


เป็นความจริงที่เมื่อครู่เขาตัดขาดสวรรค์และปฐพีล้มเหลว เพียงแต่ด้วยกายหยาบอันไร้เทียมทานของเขา ความเสียหายที่ได้รับจึงมีเพียงอาการบาดเจ็บเล็กน้อย


เพียงแต่ต่อให้เขาจะมีกายหยาบที่สามารถตัดขาดสวรรค์และปฐพีล้มเหลวได้หลายครั้ง แต่เขาจะมัวเสียเวลาไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่ล้มเหลวไปแล้วหนึ่งครั้ง เขาก็พอมองเห็นความเป็นไปได้ที่จะตัดขาดสวรรค์และปฐพีสำเร็จแล้ว


สถานการณ์โดยรอบกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง


ทุกคนตั้งสมาธิไปกับการทะลวงผ่านระดับโดยไม่วอกแวกสนใจใคร


ห้าวันต่อมา จู่ๆเสียงเป่ยเสวียนหมิงก็คำรามเสียงดังลั่น ออร่ามหาศาลพรั่งพรูออกมาจากร่างของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดพร้อมกับดวงตาที่ส่องประกายแสงศักดิ์สิทธิ์


ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มพึงพอใจ ทะลวงผ่านสองนิพพานได้อย่างสมบูรณ์แบบ!


กล่าวคือพลังต่อสู้ของเขายังคงไร้เทียมทานในระดับสองนิพพาน ต่อให้พบเจอคู่ต่อสู้ระดับสองนิพพานสูงสุดเขาก็ไม่หวั่นเกรงและมั่นใจว่าสามารถเอาชนะได้


แต่ก็แน่นอนว่าหากคู่ต่อสู่เป็นจอมยุทธที่บรรลุสองนิพพานได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นกัน ก็ต้องตัดสินกันด้วยความเชี่ยวชาญในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์และทักษะยุทธ์


‘ครืนน’ เมฆสีดำก่อตัวรวมกันบนท้องฟ้า แม้ที่นี่จะเป็นภายในเขตแดนลี้ลับ ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ก็ยังสามารถเข้าถึง


เป่ยเสวียนหมิงทะยานร่างรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ ตราบใดที่เขารอดจากบททดสอบของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้ เขาก็จะกลายเป็นนิรันดร์สองนิพพานที่แท้จริง


ด้วยอายุของเขา การที่สามารถบรรลุระดับโลกียนิพพานสองนิพพานได้นั้น ต่อให้เป็นในมหาขุมอำนาจก็ยังเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะ ที่น่าเสียดายที่สุดคือตัวเขาไม่สามารถบรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้


แต่เมื่อคิดๆดูให้ดีแล้ว ในโลกนี้จะมีกี่คนกันเชียวที่ตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้สำเร็จ?


คนที่ทำได้มีเพียงเหล่าผู้สืบทอดของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์!


ครึ่งวันต่อมาเป่ยเสวียนหมิงสามารถผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้สำเร็จ สายตาของเขาหันไปมองฟู่เสี่ยวอวิ๋นและพบว่าใบหน้าของนางนั้นกำลังแสดงออกถึงความเจ็บปวด กลิ่นอายแห่งเต๋าอันน่าสะพรึงกลัวกำลังก่อตัวขึ้นที่ด้านหลังของนาง


เป่ยเสวียนหมิงตกตะลึง เหตุการณ์เช่นนี้คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานล้มเหลวและกำลังจะถูกอำนาจของสวรรค์และปฐพีสะท้อนกลับ!


แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆฟู่เสี่ยวอวิ๋นก็ลืมตาขึ้น ‘ครืนน’ ดวงตาทั้งสองของนางส่องประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ พริบตาเดียวออร่าที่ทรงพลังยิ่งกว่าระดับสร้างสรรพสิ่งหลายล้านเท่าก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของนาง


ระดับโลกียนิพพาน!


เป่ยเสวียนหมิงรู้สึกสับสนก่อนจะเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อครู่ฟู่เสี่ยวอวิ๋นนั้นตัดขาดสวรรค์และปฐพีล้มเหลว เพียงแต่ว่าในช่วงวิกฤตเป็นตายนั่นเอง นางหาโอกาสตัดความรู้สึกทางโลกของตัวเองได้ทันเพื่อหลีกเลี่ยงความตายจากอำนาจสะท้อนกลับของสวรรค์และปฐพี


ฟู่เสี่ยวอวิ๋นเผยสีหน้าเศร้าโศกและร้องไห้ ความรู้สึกที่สวรรค์และปฐพีช่วงชิงไปจากนางคือความรักที่นางมีต่อบิดามารดา จากนี้เป็นต้นไปแม้บิดามารดาจะยังถือว่าเป็นครอบครัว แต่ก็คงยากที่พวกเขาจะมีอิทธิพลทำให้จิตใจของนางหวั่นไหว


หลังจากตัดความรู้สึกทิ้งไป ความรู้สึกเศร้าโศกของนางก็ค่อยๆหายไปราวกับว่าไม่เคยรู้สึกมาก่อน


ทัณฑ์สายฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้งและผ่าเข้าใส่ฟู่เสี่ยวอวิ๋น


เป่ยเสวียนหมิงทำได้เพียงรอคอยให้นางรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เสร็จสิ้น เขากวาดสายตามองพวกหลิงฮันทั้งสามคนและเผยจิตสังหาร หากเป็นตอนนี้ล่ะก็ฟู่เสี่ยวอวิ๋นคงไม่อาจห้ามปรามเขาได้


แต่ก็อย่าดีกว่า… เป่ยเสวียนหมิงส่ายหัว ถึงแม้ฟู่เสี่ยวอวิ๋นจะไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ห้ามปรามเขาได้แต่นางก็ย่อมต้องสังเกตเห็น เขาไม่ต้องการให้ฟู่เสี่ยวอวิ๋นเกิดความรู้สึกไม่พอใจต่อเพราะลงมือสังหารมดปลวกสามตัว


ผ่านไปอีกครึ่งวันฟู่เสี่ยวอวิ๋นก็รอดพ้นจากทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์


“เสี่ยวอวิ๋น เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เป่ยเสวียนหมิงรีบก้าวเข้ามาถามไถ่


“บรรลุระดับโลกียนิพพานได้สมบูรณ์แบบ” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย หลังจากละทิ้งความรู้สึกรักที่มีต่อบิดามารดาทิ้งไป ท่าทางของนางก็ดูเหมือนจะนิ่งเฉยยิ่งกว่าเดิม


“ขอแสดงความยินดีด้วย” เป่ยเสวียนหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่สนใจว่าความรู้สึกที่ฟู่เสี่ยวอวิ๋นตัดทิ้งไปจะเป็นความรู้สึกใด


สำหรับเขาฟู่เสี่ยวอวิ๋นในตอนนี้เหมาะสมที่จะเป็นคู่ครองของเขาเป็นอย่างมาก เพราะหากฟู่เสี่ยวอวิ๋นทะลวงผ่านนิพพานด้วยวิธีพิเศษสำเร็จ สถานะของนางจะอยู่เหนือยิ่งไปกว่าเขา


“ไปกันเถอะ” ฟู่เสี่ยวอวิ๋นจ้องมองหลิงฮันกับจักรพรรดินี นางไม่คิดว่าทั้งสองคนจะตัดขาดสวรรค์และปฐพีสำเร็จเช่นกันและสุดท้ายคงต้องฝืนละทิ้งความรู้สึกทางโลกเหมือนกับนาง


ทั้งสองนำแพไม้ออกมาและจากไป


“ถึงแม้ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่เจ้าก็ไม่อาจบรรลุระดับนิพพานได้สำเร็จอยู่ดี” เป่ยเสวียนหมิงจ้องมองหลิงฮัน ทั้งๆที่เวลาผ่านมาหลายวันแล้วแต่พวกหลิงฮันก็ไม่มีทีท่าว่าจะทะลวงผ่านระดับเลยแม้แต่น้อย เพราะงั้นต่อให้เขาไม่ลงมือเอง แต่พวกหลิงฮันก็คงจะฝืนตัดขาดสวรรค์และปฐพีจนตายไปเอง


เมื่อเห็นแพไม้ของทั้งสองคนค่อยๆห่างออกไป สตรีนกอมตะก็มีท่าทางโล่งอก นางเป็นกังวลตลอดเวลาว่าเป่ยเสวียนหมิงอาจจะลอบโจมตีกระทันหันโดยไม่ให้ตั้งตัว


“อืม ข้าจะจำคำพูดของเจ้าเอาไว้” จู่ๆหลิงฮันก็กล่าวออกมาและยิ้มมุมปาก


เขาไม่คิดจะไว้ใจใครง่ายๆอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่เป่ยเสวียนหมิง แต่ถึงแม้จะเป็นฟู่เสี่ยวอวิ๋นเขาก็ไม่เชื่อใจ เพราะงั้นถึงแม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังตั้งสมาธิทั้งหมดไปกับการทะลวงผ่านระดับ แต่ความเป็นจริงเขาแพร่กระจายสัมผัสสวรรค์เอาไว้ตลอดเวลาเผื่อในกรณีที่ว่าพวกเป่ยเสวียนหมิงแอบลอบโจมตีกระทันหัน เขาจะได้พาภรรยาทั้งสองหลบไปในหอคอยทมิฬได้ทัน


โชคดีที่ถึง ถึงแม้เป่ยเสวียนหมิงจะมีท่าทีว่าจะลงมืออยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไร


เมื่อทั้งสองคนจากไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่หลิงฮันจะตั้งสมาธิทั้งหมดไปกับการทะลวงผ่านนิพพานเสียที


การตัดขาดสวรรค์และปฐพีนั้นยากลำบากเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามายังเขตแดนลี้ลับเวลาก็ผ่านพ้นไปแล้วหกสิบสองวันใน ณ ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงแค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้นก่อนที่หุบเหวสืบสานนิพพานจะปิดตัว


ร่างของหลิงฮันและจักรพรรดินีระเบิดออร่าอันทรงพลังออกมาพร้อมกัน ออร่าของพวกเขาควบแน่นเปลี่ยนสภาพกลายเป็นปราณดาบมหึมา


ตัดขาดสวรรค์และปฐพี!


ฉัวะ! ปราณดาบของทั้งสองคนสะบั้นเข้าใส่อำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีที่มองไม่เห็น ‘ครืนนน’ ทันใดนั้นเองเสียงสั่นสะเทือนอันกึกก้องราวกับอัสนีบาตก็ดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้าราวกับสวรรค์และปฐพีกำลังพิโรธ


การตัดขาดสวรรค์และปฐพีคือการขัดขืนอาณัติแห่งสวรรค์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สวรรค์และปฐพีจะเกรี้ยวกราด


สตรีนกอมตะเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ นี่หมายความว่าหลิงฮันกับจักรพรรดินีใกล้จะทำสำเร็จแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 1736 บรรลุโลกียนิพพาน

 

หลิงฮันและจักรพรรดินีรีบเร่งควบแน่นออร่าสร้างปราณดาบเพื่อตัดขาดกับสวรรค์และปฐพีอย่างต่อเนื่อง


ครืนน!


เสียงคำรามของสวรรค์ดังกึกก้องเข้าสู่ห้วงจิตวิญญาณของเหล่าจอมยุทธในหุบเหวสืบสานนิพพาน ทุกคนล้วนต่างรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคนที่กำลังจะตัดผ่านนิพพานล้มเหลว จู่ๆพวกเขาก็รู้สึกว่าสามารถรู้แจ้งถึงอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีได้ง่ายขึ้น!


พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่และคิดกันไปเองว่าอาจจะเป็นวาสนาจากสวรรค์


เหตุผลที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นเพราะหลิงฮันและจักรพรรดินีกำลังจะตัดขาดสวรรค์และปฐพีสำเร็จ อำนาจของสวรรค์และปฐพีภายในเขตแดนลี้ลับจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้สามารถตัดผ่านนิพพานได้ง่ายขึ้น


หลิงฮันและจักรพรรดินีลืมตาพร้อมกัน ออร่าทรงพลังอันไร้ที่สุดสิ้นหลั่งไหลออกมาจากร่างของทั้งสองพร้อมกับพุ่งสูงขึ้นสู่ท้องฟ้า


‘ครืนน’ ออร่าของทั้งสองคนหนาแน่นจนดูเหมือนกับเป็นเสาแห่งแสงที่ค้ำจุนท้องฟ้า แม้แต่คนที่อยู่นอกหุบเหวสืบสานนิพพานก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” มีจอมยุทธมากมายอยู่ที่ด้านนอก ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นคนที่ออกมาจากหุบเหวสืบสานนิพพานกลางคัน มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานสำเร็จแล้วกลับออกมาแล้ว


การตัดขาดสวรรค์และปฐพีนั้นในหมู่ขุมอำนาจระดับสามดาวไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน เพราะงั้นจึงไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รู้ว่าหากบรรลุระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีพิเศษจะส่งผลให้อำนาจของสวรรค์และปฐพีเกิดการเปลี่ยนแปลง


ที่บริเวณเกาะโขดหินกึ่งกลางทะเลสาบ เมฆสีดำเริ่มก่อเกิดรวมกันกลายเป็นทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์


หลิงฮันและจักรพรรดินีแยกกันไปคนละฝั่งของมุมเกาะโขดหินเพื่อที่ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของพวกเขาจะได้ไม่พัวพันกัน


เหนือสิ่งอื่นได้คือทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของพวกเขา… น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก!


การตัดขาดสวรรค์และปฐพีเป็นสิ่งที่สวรรค์ไม่ยินยอม เนื่องจากจอมยุทธคนใดที่ตัดขาดกับสวรรค์และปฐพี จอมยุทธผู้นั้นจะไม่อยู่ภายใต้อาณัติของสวรรค์อีกต่อไป


สวรรค์ที่ต้องการจำกัดตัวตนที่ต่อต้านอย่างหลิงฮันและจักรพรรดินีจึงมอบทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่มีความรุนแรงเทียบได้กับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของนิรันดร์สองนิพพาน


แต่ก็น่าเสียดายที่ทั้งหลิงฮันและจักรพรรดินีนั้นบรรลุขีดจำกัดสูงสุดของระดับวารีนิรันดร์ หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพานแล้วพลังต่อสู้ของพวกเขาจึงไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน ยิ่งตอนนี้พวกเขาตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้สำเร็จด้วยแล้ว พลังต่อสู้ของพวกเขาจึงไร้เทียมทานแม้จะเป็นการต่อสู้ข้ามระดับ!


ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์สองนิพพาน? ไม่ใช่เรื่องใหญ่!


ทั้งสองคนรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์อย่างไม่หวั่นเกรง ในด้านของหลิงฮันนั้นเขาได้สลายพลังป้องกันของกายหยาบและชี้นำอำนาจของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เข้าสู่ร่างกายเพื่อขัดเกลา


ครึ่งวันผ่านไป ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของพวกเขาก็หายไปแทบจะพร้อมกัน


หลิงฮันและจักรพรรดินีหันหน้าเข้าหากันและมองเห็นแววตาอันหนักแน่นของแต่ละฝ่าย


“บรรลุนิพพานสมบูรณ์แบบ!” ทั้งสองคนกล่าว


ต่อให้เป็นการบรรลุนิพพานผ่านวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีก็ยังมีความแตกต่างกันไปตามพรสวรรค์ของแต่ละคนว่าจะตัดขาดได้มากเพียงใด ในกรณีของหลิงฮันและจักรพรรดินีนั้น ทั้งสองสามารถตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่เหลืออะไรผูกมัดแม้แต่นิดเดียว


แต่การตัดขาดกับสวรรค์และปฐพีอย่างสมบูรณ์ก็นำปัญหามาให้เช่นกัน ในอนาคตหากพวกเขาต้องการจะทำความเข้าใจในอำนาจแห่งเต๋าคงเป็นเรื่องที่ลำบากยากเข็ญ


โชคยังดีพวกเขามีต้นสังสารวัฏซึ่งช่วยให้รู้แจ้งได้ในระยะเวลาสั้นๆ


ยิ่งกว่านั้นหลังจากบรรลุระดับนิพพานแล้วพวกเขาก็มีอายุขัยไร้ขีดจำกัด


“ถึงเวลาเก็บเกี่ยววารีบรรพบุรุษแล้ว” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม เหตุผลที่เขายังไม่ลงไปใต้ทะเลสาบก็เพราะก่อนหน้านี้เขายังไม่บรรลุระดับโลกียนิพพาน อำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์มีความเกี่ยวเนื่องกับพลังบ่มเพาะของเขา ยิ่งเขาแข็งแกร่งพลังของเพลิงเก้าสวรรค์ก็จะยกระดับขึ้นตาม


จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะพยักหน้า พวกนางรู้ว่าหลิงฮันมีหอคอยทมิฬจึงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง


หลิงฮันโคจรเพลิงเก้าสวรรค์ ‘พรึบ’ เปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ปรากฏออกมาจากภายในร่างกายของเขา ตราประทับแห่งเต๋าภายในเปลวเพลิงที่ส่องประกายอยู่เป็นระยะปลดปล่อยอำนาจอันทรงพลังออกมา แม้จะเป็นตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณหากได้เห็นเปลวเพลิงนี้ก็ต้องรู้สึกหวาดผวา


หลิงฮันปกคลุมร่างของตนเองเอาไว้ด้วยเพลิงเก้าสวรรค์และกระโดดลงทะเลสาบ


เหตุผลที่เพลิงเก้าสวรรค์สามารถต้านท้านวารีบรรพบุรุษได้นั้นเป็นเพราะพวกมันมีระดับเทียบเท่ากัน


หนึ่งคือเพลิงบรรพบุรุษ อีกหนึ่งคือวารีบรรพบุรุษ ทั้งสองล้วนแต่เป็นอำนาจที่ทรงพลังที่สุดของดินแดนแห่งเซียน


หลิงฮันว่ายลงไปยังก้นทะเลสาบ แต่แท้จริงแล้วทะเลสาบแห่งนี้กลับลึกเป็นอย่างมาก หลังจากว่ายลงมากว่าสองวันแล้วเขาก็ยังไม่พบจุดสิ้นสุด ภาพที่เขาเห็นเมื่อมองลงไปมีเพียงความมืดมิดที่ราวกับไร้ก้นบึ้ง


หลิงฮันลองคำนวณเวลา เขามีเวลาให้ว่ายลงไปยังก้นทะเลสาบเพียงแปดวันเท่านั้น เพราะหากถึงแปดวันแล้วเขายังไม่กลับขึ้นมา ระยะเวลาจะเกินสามเดือนและทั้งเขากับพวกจักรพรรดินีจะไม่สามารถออกจากหุบเหวสืบสานนิพพานได้ทัน เมื่อใดที่อำนาจของสวรรค์และปฐพีภายในเขตแดนลี้ลับหวนกลับไปรุนแรงดังเดิมต่อให้เป็นราชานิรันดร์ก็ต้องขมวดคิ้ว หากกลับออกไปไม่ทันจริงๆพวกเขาจะต้องอาศัยอยู่ในหอคอยทมิฬไปอีกสิบล้านปี


หลิงฮันไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาด!


สามวัน… สี่วัน… ห้าวัน!


เมื่อมาถึงวันที่หก ในที่สุดหลิงฮันก็มาถึงก้นทะเลสาบ และด้วยการชี้แนะจากหอคอยทมิฬเขาได้ค้นพบถ้ำแห่งหนึ่ง หลังจากเข้าไปด้านในของถ้ำแล้วระดับของน้ำก็ค่อยๆลดลงจนเขาสามารถเดินได้ด้วยเท้า


เวลาผ่านไปอีกครึ่งวัน แอ่งน้ำขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของเขา แอ่งน้ำที่ว่ามีรูปทรงกลมเหมือนกับแมงกระพรุน ที่มุมหนึ่งของแอ่งน้ำมีร่างของใครผู้หนึ่งนอนอยู่ และที่น่าตกตะลึงคือ ออร่าที่เล็ดรอดออกมาจากร่างของร่างที่นอนอยู่ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสายน้ำไหลออกจากถ้ำไปยังทะเลสาบ


หลิงฮันเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด  แม่น้ำอันน่าสะพรึงกลัวที่แม้แต่ราชานิรันดร์ก็ต้องขมวดคิ้ว แท้จริงมีต้นกำเนิดมาจากออร่าของชายผู้นี้?


“อืม ดูเหมือนข้าจะคาดเดาผิด” หอคอยน้อยกล่าว “ร่างที่นอนอยู่คือร่างของราชินิรันดร์ ดูเหมือนว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อครอบครองวารีบรรพบุรุษแต่สุดท้ายก็ล้มเหลวเลยสิ้นชีพลงที่นี่ ออร่าของเขาได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นแม่น้ำที่แฝงเอาไว้ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันทรงพลัง มีเพียงราชานิรันดร์หรือจอมยุทธที่ครอบครองอำนาจต้นเกิดสวรรค์และปฐพีอย่างเพลิงบรรพบุรุษเท่านั้นถึงจะมาที่นี่ได้”


หลิงฮันพยักหน้า แต่ทันใดนั้นร่างของเขาก็หยุดชะงักและกล่าวอย่างฉุนเฉียว “ความจริงแล้วเจ้าก็ไม่ได้รู้ต้นกำเนิดของทะเลสาบตั้งแต่แรกแต่กลับบอกให้ข้าว่ายลงมา?”


เขาจำได้อย่างชัดเจน หอคอยน้อยกล่าวว่าเพลิงเก้าสวรรค์สามารถต้านทานอำนาจของวารีบรรพบุรุษได้ แต่ต้นกำเนิดที่แท้จริงของทะเลสาบและแม่น้ำนั้นไม่ใช่วารีบรรพบุรุษแต่เป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของราชานิรันดร์!

 

 

 


ตอนที่ 1737 ตัวตนระดับราชานิรันดร์

 

“ฮ่าๆๆ” หอคอยน้อยหัวเราะ


หลิงฮันนั้นแม้จะโมโหแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้


“ลองไปดูร่างของราชานิรันดร์ผู้นั้น” หอคอยน้อยกล่าวยุยง “หากจะให้พูดแล้ว ต่อให้ราชานิรันดร์ครอบครองวารีบรรพบุรุษไม่สำเร็จ เขาก็ไม่สมควรเสียชีวิตอยู่ที่นี่”


หลิงฮันก็รู้สึกสงสัยไม่แพ้กัน เขาค่อยๆเดินเข้าไปอย่างช้า เนื่องจากมีเพลิงเก้าสวรรค์ห่อหุ้มร่างเอาไว้เขาจึงสามารถต้านทานออร่าของราชานิรันดร์ได้


ร่างของราชานิรันดร์ผู้นี้คือบุรุษที่สวมใส่ชุดสีม่วงและผ้าคลุมสีทอง วัสดุที่ใช้ทักทอเสื้อผ้าของอีกฝ่ายสมควรเป็นวัสดุที่ล้ำค่ามาก เพียงแต่ภายใต้อำนาจกัดกร่อนของออร่าราชานิรันดร์เสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่เอาไว้จึงชำรุดไม่อาจใช้ประโยชน์อันใดได้อีก


รูปลักษณ์ของเขาแต่งต่างจากมนุษย์ทั่วไปเล็กน้อย บริเวณศีรษะของเขามีดวงตาที่สามประดับเอาไว้ในแนวตั้ง เพียงแต่ว่าดวงตาดวงนี้ได้ถูกพลังบางอย่างเจาะทะลวงเป็นรู บางทีเหตุผลที่เขาตายก็อาจจะเพราะสาเหตุนี้


หลิงฮันอดนึกคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นถึงราชานิรันดร์แท้ๆ แต่กลับยังมีศัตรูที่สามารถสังหารเขาได้โดยที่ไม่อาจหลบหนีพ้น


“มีอักขระสลักเอาไว้บนพื้นด้วย”


ที่ตำแหน่งมือขวาของศพราชานิรันดร์ อักขระบางอย่างถูกวาดเขียนเอาไว้ เมื่อหลิงฮันจดจ้องไปยังอักขระที่ว่า ความทรงจำจากอักขระก็ไหลเข้าสู่ห้วงจิตวิญญาณของเขาทันที


หลิงฮันตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพียงแค่อักขระไม่กี่ตัวอักษรกลับบันทึกความทรงจำไว้ได้มากมายเพียงนี้ ช่างน่าอัศจรรย์สมกับที่เป็นราชานิรันดร์


ในสมัยที่ยังมีชีวิต บุรุษผู้นี้ถูกเรียกว่าราชานิรันดร์ว่านโซ่ว (หมื่นอสูร)


ราชานิรันดร์ว่านโซ่วผู้นี้ฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารี ซึ่งเขาเป็นผู้คิดค้นทักษะระดับราชานิรันดร์ขึ้นมาด้วยตัวเอง ทักษะของเขาสามารถสร้างสัตว์อสูรขึ้นมาจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีได้ ซึ่งสัตว์อสูรแต่ละตัวที่ถูกสร้างขึ้นมาจะมีพลังต่อสู้แทบจะทัดเทียมกับเขา


ด้วยทักษะระดับราชานิรันดร์ทักษะนี้ เขาจึงไร้เทียมทานในหมู่ราชานิรันดร์ระดับสองด้วยกัน


แต่น่าเสียดายที่เขาดันไปพบเจอกับศัตรูทรงพลังที่ถูกเรียกว่าราชานิรันดร์อวี้ซวี (จักรพรรดิแห่งการดับสูญ) และถูกอีกฝ่ายจู่โจมจนดวงวิญญาณแหลกสลาย ทว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็นราชานิรันดร์ ต่อให้ร่างกายจะเหลือเพียงกายหยาบ เขาก็ยังหลบหนีมาถึงที่นี่ได้และหวังจะครอบครองวารีบรรพบุรุษเพื่อสร้างดวงวิญญาณขึ้นใหม่


ราชานิรันดร์ว่านโซ่วเป็นจอมยุทธที่ฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์วารีได้อย่างเชี่ยวชาญ เพราะงั้นตามหลักการแล้วจึงเป็นไปได้ที่จะสร้างดวงวิญญาณขึ้นใหม่ด้วยวารีบรรพบุรุษ


เพียงแต่ว่าท้ายที่สุดเขาก็ล้มเหลวและสิ้นชีพลงที่นี่


“เหล่าคนที่บรรลุระดับราชานิรันดร์ได้ล้วนแต่เป็นสุดยอดอัจฉริยะที่โดดเด่นแห่งทุกยุคสมัย” หลิงฮันถอนหายใจ “ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะไม่ยินยอมรับความตาย”


“ว่าแต่ว่า… ราชานิรันดร์ว่านโซ่วงั้นรึ?”


หลิงฮันนึกถึงเรื่องราวของเฉิงหู่ เหตุผลที่ทำไมประมุขตระกูลเฉินที่เป็นถึงราชานิรันดร์ต้องหลบหนีหายตัวไปก็เป็นเพราะอีกฝ่ายได้ทำสงครามกับราชานิรันดร์อวี้ซวี!


*ใครลืมกลับไปอ่านได้ในตอนที่ 1568ครับ*


หลิงฮันไม่เชื่อว่าในดินแดนแห่งเซียนจะมีตัวตนที่ถูกเรียกว่าราชานิรันดร์อวี้ซวีถึงสองคน


จะต้องเป็นคนคนเดียวกันไม่ผิดแน่!


“ราชานิรันดร์ผู้นี้ช่างบ้าบิ่นดีแท้ นี่เขาสังหารราชานิรันดร์ไปแล้วมากมายเท่าใดกัน?” หลิงฮันพึมพำคนเดียวและตรวจสอบความทรงจำจากอักขระต่อ ความทรงจำที่ราชานิรันดร์ว่านโซ่วทิ้งเอาไว้ในอักขระนั้นมีมากมาย แต่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นความทรงจำที่ขาดช่วงไม่สมบูรณ์


“ราชานิรันดร์อวี้ซวี… วิหารประทับภวังคจิต… มหาปราชญ์สวรรค์เฟิงฉิ่ง…”


หลิงฮันลูบคางครุ่นคิด ข้อมูลของราชานิรันดร์อวี้ซวีมีน้อยเกินไป แต่เท่าที่รู้อีกฝ่ายคงจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับวิหารประทับภวังคจิตเนื่องจากความทรงจำส่วนนี้ค่อนข้างเชื่อมต่อกัน


“หรือเขาจะมาจากขุมอำนาจที่เรียกว่าวิหารประทับภวังคจิต? ถ้างั้นมหาปราชญ์สวรรค์เฟิงฉิ่งคือใครกัน?”


“อย่าได้เอ่ยนามของคนผู้นั้น!” หอคอยน้อยอุทานออกมาอย่างลนลาน


“ทำไมกัน?” หลิงฮันสับสน


“อย่าได้เอ่ยถึงนามของมหาปราชญ์เป็นอันขาด ไม่ใช่เช่นนั้นการกระทำของเจ้าจะไปกระตุ้นการรับรู้ของสัมผัสสวรรค์ของเขา แม้ดินแดนแห่งเซียนจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ระยะสัมผัสสวรรค์ของเขาก็สามารถปกคลุมได้ทุกพื้นที่ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ไหน!” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงหวั่นเกรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


หลิงฮันเดาะลิ้นและกล่าว “ข้าก็แค่พูดฉายาเท่านั้น ข้าไม่รู้ชื่อจริงๆของเขาเสียหน่อย”


หอคอยน้อยยังคงกระวนกระวายอยู่ดีและเตือนย้ำไปย้ำมาว่าแม้แต่ฉายาก็ห้ามเอ่ยถึง


“อืม… เขาคือใครกันแน่? ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามีท่าทีหวั่นเกรงเช่นนี้มาก่อน” หลิงฮันเอ่ยถามด้วยความสงสัย


“ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ฝึกฝนตัวเองให้หนักแล้วลืมเรื่องนี้ไปซะจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเจ้าเอง” หอคอยน้อยกล่าวเตือน


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนขี้สงสัย ยิ่งเจ้าพูดแบบนั้นข้ายิ่งอยากรู้ขึ้นไปอีก”


“หลิงฮัน!” หอคอยน้อยขึ้นเสียง “อย่าได้ทำตัวเอาแต่ใจ ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ต่อให้สู้จนวิญญาณสูญสลายก็ไม่อาจช่วยเหลือเจ้าได้!”


ขนาดนั้นเชียวรึ?


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ก็ได้ ตอนนี้ข้าจะเลิกถามไปก่อน แต่อย่างน้อยเจ้าช่วยบอกข้าหน่อยว่าข้าต้องมีระดับเท่าใดถึงจะมีคุณสมบัติรับรู้เรื่องนี้”


หอคอยน้อยกล่าว “ราชานิรันดร์”


ต้องเป็นถึงระดับราชานิรันดร์เชียว?


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “อืม เอาไว้พูดกันอีกครั้งเมื่อข้าบรรลุเป็นราชานิรันดร์”


เขาบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแล้ว หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเพียงอย่างเดียวที่เขาจะได้เป็นราชานิรันดร์


“เอาล่ะ ทีนี้ข้าจะครอบครองวารีบรรพบุรุษได้อย่างไร?” หลิงฮันเอ่ยถาม


หอคอยน้อยกล่าว “วารีบรรพบุรุษตรงหน้าคือหนึ่งในเก้าวารีบรรพบุรุษที่ถูกเรียกว่าวารีพลังหยินเร้นลับที่มีพลังอันเย็นยะเยือก สิ่งที่เจ้าต้องทำคือใช้เพลิงเก้าสวรรค์ปกคลุมร่างกายเพื่อต้านทานความเย็นและโคจรคัมภีร์สวรรค์เพื่อแสดงพลังของเจ้าให้มันเห็น”


“ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ก็ขึ้นอยู่กับดวงของเจ้าแล้ว”


“หากวารีพลังหยินเร้นลับยอมรับเจ้า มันจะเป็นฝ่ายเข้ามาในร่างกายของเจ้าเองและกลายเป็นแก่นพลังให้แก่เจ้า แต่หากมันไม่ยอมรับเจ้า มันจะหลบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้และตามหาที่ซ่อนตัวแห่งใหม่”


หลิงฮันพยักหน้า เขาโคจรพลังเพลิงเก้าสวรรค์เต็มพลังและก้าวเข้าหาแอ่งน้ำเบื้องหน้า


ยิ่งเข้าใกล้หลิงฮันก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าอุณหภูมิรอบข้างลดลงอย่างรวดเร็ว เขาก้าวเดินอย่างเชื่องช้าจนในที่สุดก็มาถึงมุมหนึ่งของแอ่งน้ำ


แอ่งน้ำที่ดูเหมือนแมงกะพรุนตรงหน้านี้ราวกับมีชีวิต มันทำท่าทางเหมือนกับกำลังจะหลบหนี


หลิงฮันรีบโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้หากต้องการครอบครองพลังต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีมีเพียงต้องใช้วิธีประนีประนอมเท่านั้น


เมื่อคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ปลดปล่อยอำนาจออกมา ทั่วร่างของหลิงฮันก็ส่องสว่างไปด้วยคลื่นแสงสีทอง เพียงแต่ว่าอำนาจของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ในครั้งนี้แตกต่างกับที่ผ่านๆมา ด้านหลังของหลิงฮันปรากฏเงาของวิหคเพลิงอมตะ มังกรสวรรค์ เต่าทมิฬและมดยักษ์ทองคำ


สัตว์อสูรเหล่านี้คือสัตว์อสูรระดับราชานิรันดร์!


คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์คือทักษะที่ร่วมความสามารถของสัตว์อสูรระดับราชานิรันดร์เหล่านี้เอาไว้


วารีพลังหยินเร้นลับหยุดชะงักแน่นิ่งทันที แม้มันจะไม่มีดวงตาแต่หลิงฮันก็สัมผัสได้ว่ามันกำลังจ้องมองมายังเงาของเต่าทมิฬ


เต่าทมิฬคือสัตว์อสูรธาตุวารีที่ทรงพลัง


‘พรึบ’ วารีพลังหยินเร้นลับพุ่งเข้าใส่ฝ่ามือของหลิงฮันและผสานรวมเข้าไปยังภายในร่างกาย มันเคลื่อนที่ผ่านช่วงไหลมายังหัวใจและไปหยุดอยู่ที่ตันเถียน


ในระหว่างที่วารีพลังหยินเร้นลับเคลื่อนไหวอยู่ในร่างกาย ร่างของหลิงฮันได้ถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์

 

 

 


ตอนที่ 1738 ดูดซับวารีพลังหยินเร้นลับ

 

วารีพลังหยินเร้นลับคือวารีที่เย็นยะเยือกที่สุดในโลก


ถึงแม้มันจะยอมเข้าไปในร่างหลิงฮันเพราะถูกเงาของเต่าทมิฬดึงดูด แต่มันก็ไม่ได้ลดพลังของตัวเองลงเลยแม้แต่น้อย ร่างของหลิงฮันจึงถูกแช่แข็งอย่างสมบูรณ์


โชคดีที่หลิงฮันมีเพลิงเก้าสวรรค์อยู่ในร่างกายซึ่งสามารถคุ้มกันไม่ให้ดวงวิญญาณได้รับผลกระทบไปด้วยได้ หากไม่อย่างนั้น ต่อให้วารีพลังหยินเร้นลับจะไม่ได้คิดสังหารเขา แต่ดวงวิญญาณของเขาก็จะถูกกัดกร่อนทุกๆวินาที


ภายในตันเถียนของหลิงฮัน อำนาจต้นกำเนิดสวรรค์และปฐพีทั้งสองกำลังต่อต้านกัน แต่เดิมแล้วเพลิงเก้าสวรรค์เป็นเพียงอำนาจเดียวที่อยู่ภายในตันเถียน แต่ตอนนี้วารีพลังหยินเร้นลับกลับล้ำเส้นเข้ามาอยู่ในอาณาเขตของมัน จึงเป็นธรรมดาที่มันจะต่อต้าน


และเนื่องจากอำนาจทั้งสองคือแก่นกำเนิดพลังที่มีพลังทัดเทียมกับราชานิรันดร์ ในช่วงที่อำนาจทั้งสองคัดแย้งกันร่างกายของหลิงฮันจึงรู้สึกเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก


หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพาน กายหยาบของเขาได้ยกระดับขึ้นมาสู่ระดับใหม่ ซึ่งเทียบได้กับแร่โลหะกึ่งนิรันดร์สองดาว


แต่กายหยาบเพียงแค่นี้ต่อหน้าแก่นพลังต้นกำเนิดทั้งสองย่อมไม่อาจช่วยอะไรได้ เวลาผ่านไปเพียงชั่วพริบตาหลิงฮันก็รู้สึกราวกับร่างกายจะระเบิด เขารีบเข้าสู่หอคอยทมิฬทันทีเพื่อหวังจะใช้อำนาจของหอคอยทมิฬกำราบแก่นกำเนิดพลังทั้งสองนี้


‘ครืนน’ หอคอยทมิฬปลดปล่อยอำนาจเข้าใส่แก่นพลังต้นเนิดสวรรค์และปฐพีทั้งสอง


ในด้านของเพลิงเก้าสวรรค์นั้นมันยอมเชื่อฟังแต่โดยดีเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของหลิงฮันอยู่แล้ว แต่ในด้านของวารีพลังหยินเร้นลับนั้นมันทำการต่อต้านและไม่คิดจะยอมศิโรราบแต่โดยดี มันปลดปล่อยอำนาจเยือกแข็งอันทรงพลังแพร่กระจายไปทั่วตันเถียนของหลิงฮัน


หลิงฮันเริ่มโคจรพลังเพื่อดูดซับวารีพลังหยินเร้นลับ มีเพียงการทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้น วารีพลังหยินเร้นลับถึงจะไม่ขัดแย้งกับเพลิงเก้าสวรรค์


แต่ต่อให้จะมีพลังของหอคอยทมิฬคอยช่วยเหลือ การจะกำราบวารีพลังหยินเร้นลับก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่ดี ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก มีรึที่แก่นพลังต้นเนิดสวรรค์และปฐพีที่มีพลังเทียบเท่าราชานิรันดร์จะถูกสยบง่ายๆ?


หลิงฮันค่อยๆดูดซับวารีพลังหยินเร้นลับมาเป็นพลังของตัวเองอย่างช้าๆ ในระหว่างขั้นตอนนี้ชั้นน้ำแข็งก็ได้ทำการก่อตัวขึ้นและโอบล้อมไปทั่วร่างของเขา


หนึ่งวัน… สองวัน… สามวัน… และในวันที่ห้านั่นเองจู่ๆหลิงฮันก็ลืมตาขึ้น ‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ น้ำแข็งที่ห่อหุ้มร่างของหลิงฮันเอาไว้ปรากฏรอยร้าวและแตกออก ร่างของหลิงฮันสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนจะเดินออกมาจากกองน้ำแข็งที่แตกหัก


กองน้ำแข็งที่แตกหักหลอมละลายกลายเป็นแอ่งน้ำและถูกดูดเข้ามาภายในร่างของเขา


วารีพลังหยินเร้นลับกลายเป็นแก่นพลังของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากนี้เขาจะเป็นผู้ปกครองอำนาจวารีทั้งใต้หล้า!


แน่นอนว่านั่นก็ขึ้นอยู่กับระดับพลังบ่มเพาะของเขาเช่นกัน พลังของทั้งเพลิงเก้าสวรรค์และวารีพลังหยินเร้นลับจะพัฒนาขึ้นไปพร้อมๆกับเขา


นั่นหมายความว่าอย่างไร?


เมื่อหลิงฮันบรรลุเป็นราชานิรันดร์ ตัวเขาที่มีแก่นพลังต้นกำเนิดที่เทียบเท่าราชานิรันดร์ทั้งสองอยู่ในร่างกาย ย่อมมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งเกินพรรณนา!


“ผลประโยชน์ที่ได้รับในเขตแดนลี้ลับครั้งนี้ช่างมหาศาลจริงๆ” หลิงฮันยิ้ม นอกจากเขาจะบรรลุระดับโลกียนิพพานได้อย่างสมบูรณ์แล้ว เขายังได้รับทักษะระดับราชานิรันดร์จากความทรงจำของราชานิรันดร์ว่านโซ่วและวารีพลังหยินเร้นลับมาครอบครองอีกด้วย


ราชานิรันดร์ว่านโซ่วผู้นี้นั้นช่างมีความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก หลังจากบรรลุระดับราชานิรันดร์แล้ว เขาได้แบ่งแก่นกำเนิดพลังของตนเองที่ทรงพลังไม่แพ้แก่นพลังต้นเนิดสวรรค์และปฐพีอย่างเพลิงเก้าสวรรค์หรือวารีพลังหยินเร้นลับไปผสานเป็นพลังให้สัตว์อสูรที่เขาสร้างขึ้น ซึ่งได้ทำให้สัตว์อสูรเหล่านั้นทรงพลังอย่างน่าสะพรึง


แต่ปัญหาคือเมื่อแบ่งแก่นกำเนิดพลังของตนเองออกไป พลังต่อสู้บางส่วนของราชานิรันดร์ว่านโซ่วจึงลดลงไป วิธีการที่เขาจะทำให้พลังของตนเองกลับคืนมาหรือแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมมีเพียงต้องดูดซับอำนาจของแก่นพลังต้นเนิดสวรรค์และปฐพี


ซึ่งถึงแม้เขาจะหาวารีพลังหยินเร้นลับพบ แต่ด้วยเหตุผลบางประการได้ทำให้เขาไม่มีเวลามาเก็บครอบครองมัน จนกระทั่งเมื่อถึงตอนที่เขาถูกราชานิรันดร์อวี้ซวีสังหาร ร่างกายของเขาได้ใช้พลังเฮือกสุดท้ายมายังสถานที่ซ่อนของวารีพลังหยินเร้นลับแต่ก็ล้มเหลวในที่สุด


แต่ปัญหาที่ทำให้พลังต่อสู้ลดลงที่เกิดขึ้นกับราชานิรันดร์ว่านโซ่วนั้นไม่มีวันเกิดขึ้นกับหลิงฮันเพราะเขาครอบครองแก่นพลังต้นเนิดสวรรค์และปฐพีถึงสอง หลังจากฝึกฝนทักษะระดับราชานิรันดร์ทักษะนี้ พลังของทักษะที่เขาใช้ออกมาจะทรงพลังยิ่งกว่าของผู้คิดค้นทักษะอย่างราชานิรันดร์ว่านโซ่วเสียอีก


“หากในอนาคตข้าได้ครอบครองแก่นพลังต้นเนิดสวรรค์และปฐพีเพิ่มขึ้นอีก พลังต่อสู้ของข้าจะแข็งแกร่งขนาดไหน?”


หลิงฮันพึมพำกับตัวเอง


“หากเจ้ามีโอกาส ก่อนจะก้าวสู่ระดับราชานิรันดร์ก็พยายามครอบครองแก่นพลังต้นเนิดสวรรค์และปฐพีให้มากเข้าไว้” จู่ๆหอคอยน้อยก็เอ่ยแทรก


“มีเหตุผลอะไรที่ต้องทำเช่นนั้น?” หลิงฮันถาม


“ยิ่งเจ้าครอบครองแก่นพลังต้นเนิดสวรรค์และปฐพีมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะสามารถดูดซับพลังของสวรรค์ได้มากขึ้นหลังจากบรรลุระดับราชานิรันดร์ ซึ่งนั่นจะทำให้พลังต่อสู้ของเขายกระดับขึ้นอย่างก้าวกระโดด นอกจากนั้นโอกาสที่เจ้าจะทะลวงผ่านเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้าได้สำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ไม่งั้นหากพึ่งพาพลังของตัวเจ้าเองเพียงอย่างเดียวคงยากที่จะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ระดับเก้า” หอคอยน้อยกล่าว


ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น!


หลิงฮันพยักหน้า ก่อนจะคิดในใจว่าพวกเขาสมควรออกมาจากเขตแดนลี้ลับได้แล้ว เนื่องจากระยะเวลาสามเดือนใกล้จะสิ้นสุดเข้าไปทุกที


เขาว่ายน้ำขึ้นจากทะเลสาบ แม้จะเป็นตอนนี้เขาก็ยังจำเป็นต้องใช้เพลิงเก้าสวรรค์หรือวารีพลังหยินเร้นลับช่วยป้องกันการกัดกร่อนของออร่าราชานิรันดร์อยู่ เวลาผ่านผ่านพ้นไปอีกแปดวันร่างของเขาก็หลุดพ้นออกมาจากทะเลสาบ


“หลิงฮัน!” จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะอุทานด้วยความรู้สึกโล่งอก หลิงฮันหายตัวไปทั้งยี่สิบวัน ต่อให้พวกนางจะมั่นใจในตัวหลิงฮันมากขนาดไหนพวกนางก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วง พวกเรากลับออกจากที่นี่กันเถอะ”


“แล้ววารีบรรพบุรุษล่ะ?” จักรพรรดินีเอ่ยกล่าว


หลิงฮันสะบัดมือ ‘พรึบ’ ชั้นอากาศรอบกายของเขาถูกแช่แข็งในพริบตา กลิ่นอายของหลิงฮันในตอนนี้ราวกับว่าเป็นราชันแห่งห้วงเหมันต์


ทั้งจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า


หลิงฮันนำแพไม้ออกมาเพื่อเดินทางกลับ ระยะเวลาสามเดือนใกล้เข้ามาทุกทีเพราะงั้นอำนาจของแม่น้ำจึงรุนแรงขึ้นกว่าเดิม


โชคดีที่หลิงฮันในตอนนี้ครอบครองแก่นพลังต้นเนิดสวรรค์และปฐพีอยู่ถึงสอง ซึ่งเพียงพอที่จะใช้ต่อต้านอำนาจจากแม่น้ำและเร่งความเร็วของแพไม้ เพราะอย่างไรต้นกำเนิดของแม่น้ำแห่งนี้ก็เป็นเพียงออร่าที่เล็ดรอดมาจากศพราชานิรันดร์ที่สิ้นชีพไม่ใช่พลังที่ถูกปล่อยออกมาจากราชานิรันดร์โดยตรง


เวลาผ่านไปไม่กี่วันพวกเขาทั้งสามก็ออกมาจากหุบเหวสืบสานนิพพานได้สำเร็จ


ณ เวลานี้ผู้คนที่ออกมาจากเขตแดนลี้ลับได้กลับกันไปแทบจะหมดแล้ว


“หลิงฮัน!” เสียงคำรามอันโหดเหี้ยมดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายชราที่มีผิวซีดขาวราวกับคนใกล้ตายได้ปรากฏตัวและจดจ้องมายังพวกเขาทั้งสาม


ชายชราผู้นี้คือติงซิ๋ง นิรันดร์ระดับสองนิพพานของตระกูลติง!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)