Alchemy Emperor of the Divine Dao 1704-1717
ตอนที่ 1704 หนึ่งกระบวนท่า
หากถงหลินยังคงรู้สึกตัวหลังความตาย เขาจะต้องหดหู่มากเป็นแน่
ช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก! เหตุใดจ่างซุนเหลียงถึงสังหารเขา?
หลังจากได้สติคืนมาเขาก็พบว่าหลิงฮันกับชายหนุ่มผมแดงกำลังปะทะกันอยู่ เขาจึงรีบนำชุดสำรองออกมาจากอุปกรณ์มิติและรุดหน้ามาที่นี่ทันที
เขาเชื่อว่าจ่างซุนเหลียงจะต้องคืนความยุติธรรมให้แก่เขาแท้ๆ ไม่คาดคิดว่าสุดท้ายจ่างซุนเหลียงจะสังหารเขาในหนึ่งฝ่ามือโดยไม่เอ่ยกล่าวอะไรสักคำ
ฝนโลหิตจากร่างที่ถูกบดขยี้ของถงหลินเปรอะเปื้อนไปทั่วไปหน้าของหลิวมู่อวี่ นางตั้งสติกลับมาและพบว่าผู้ที่สังหารถงหลินคือจ่างซุนเหลียง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลิวมู่อวี่หวาดผวาจนใบหน้าซีดเผือดและขาสั่นระริก นางกลัวว่าจ่างซุนเหลียงจะลงมือสังหารนางด้วยอีกคน
“ทะ ทายาทโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!” นางรีบคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอชีวิต
จ่างซุนเหลียงเผยสีหน้าเหยียดหยาม อีกฝ่ายต้องเป็นสตรีบัดซบที่เป็นคนพลอดรักกับถงหลินในอาณาเขตของเขาเป็นแน่
“ไสหัวไป!” เขาคำราม
“จะ จะ เจ้าค่ะ!” หลิวมู่อวี่ไม่กล้ารีรอและรีบหันหลังเผ่นหนีไปทันที
จ่างซุนเหลียงสูดหายใจลึกและพยายามระงับอารมณ์ เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าเมื่อครู่เขาเผลอลงมือเกินควร ไม่ว่าอย่างไรตระกูลถงก็เป็นขุมอำนาจระดับสี่นิพพาน แต่ในเมื่อสังหารไปแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ด้วยนิสัยของเขาย่อมไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
เขามองไปยังหลิงฮันและเผยรอยยิ้มพร้อมกับปรบมือ “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
ทุกคนนิ่งเงียบไร้คำพูด เจ้าเพิ่งโมโหจนลงมือสังหารถงหลินไปแท้ๆ เหตุใดจู่ๆถึงได้ปรบมือชมเชยหลิงฮันกัน? ช่างเป็นการเอ่ยชมที่ปลอมยิ่งนัก… แต่ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นถึงทายาทของนิกายจันทราหม่นแสง ไม่มีใครกล้าติเตียนเขาอยู่แล้ว
“ใครอยากท้าประลองผู้ชนะรึไม่?” จ่างซุนเหลียงกล่าว
ไม่มีใครกล้าเสนอตัว จากพลังที่แสดงให้เห็นเมื่อครู่ ทุกคนย่อมรับรู้ว่าหลิงฮันนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหยวนซิ่งผิงและตันอวี่จิงแน่นอน ต่อให้เมืองจันทราหม่นแสงจะเป็นเมืองสองดาวและมีจำนวนอัจฉริยะมากกว่าเมืองหนึ่งดาว แต่อัจฉริยะระดับเดียวกับหยวนซิ่งผิงหรือตันอวี่จิงนั้นก็ยังมีเพียงหยิบมือ เหนือสิ่งอื่นใดคือต่อให้เป็นอัจฉริยะระดับนั้นจะเอาชนะหลิงฮันได้รึเปล่าก็ไม่รู้
ใบหน้าของจ่างซุนเหลียงเผยถึงความรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย ไม่มีใครคิดจะท้าประลองเลย?
ด้วยสถานะของตัวเขาย่อมไม่อาจลดตัวลงไปขอท้าประลองกับหลิงฮันด้วยตัวเอง
“ฮ่าๆ แม้ข้าจะไม่ได้มีพรสวรรค์สูงส่งอะไร แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ข้าขอคำชี้แนะจากเจ้าหน่อยแล้วกัน” ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเดินออกมาจากฝูงชน เขาโค้งให้กับจ่างซุนเหลียงเล็กน้อยก่อนจะหันมองหลิงฮัน
สีหน้าของจ่างซุนเหลียงเปลี่ยนมาดีขึ้น ชายหนุ่มผู้นี้คืออัจฉริยะของตระกูลเซี่ยง เซี่ยงเหวินคุน อีกฝ่ายเป็นหนึ่งในจอมยุทธที่เขายอมรับว่าทรงพลัง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ตกลง ข้าจะชี้แนะเจ้าเอง”
เซี่ยงเหวินคุนแสดงท่าทางไม่สบอารมณ์ ที่เขากล่าวว่า ‘ขอคำชี้แนะ’ นั้นเขาเพียงแค่พูดตามมารยาทเท่านั้น
ฮึ่ม พวกจอมยุทธหลังเขาจากเมืองหนึ่งดาวช่างไม่รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า!
คิดว่าตนเองไร้เทียมทานในเมืองหนึ่งดาวเล็กๆ แล้วจะเป็นปรมาจารย์อันดับหนึ่งของโลก?
“งั้นก็มาประลองกัน” เขาคร้านจะพล่ามไร้สาระและกวักนิ้วไปยังหลิงฮัน
หลิงฮันยิ้มและชูหนึ่งนิ้วพร้อมกับกล่าว “หนึ่งกระบวนท่า”
ทุกคนที่ได้ยินต่างสูดหายใจลึก เจ้าคิดจะเอาชนะเซี่ยงเหวินคุนในหนึ่งกระบวนท่า? ช่างอวดดีนัก!
เซี่ยงเหวินคุนเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก เขาระเบิดเสียงหัวเราะและกล่าว “หนึ่งกระบวนท่าก็หนึ่งกระบวนท่า!” สายตาของเขาจับจ้องไปยังหลิงฮันพร้อมกับโคจรปราณก่อเกิด ตราประทับแห่งดาบปรากฏขึ้นที่กลางหน้าผากเหนือคิ้วของเขา ออร่าที่พรั่งพรูออกมาส่งผลให้ทุกคนรอบข้างรู้สึกกดดันไปด้วย
เขาเตรียมพร้อมจะปลดปล่อยทักษะที่ทรงพลังที่สุด อำนาจจากสายเลือดโบราณของเขาเมื่อถูกกระตุ้นจะทำให้พลังต่อสู้ถูกยกระดับขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ต้องกำราบในหนึ่งกระบวนท่า!
หลิงฮันพาดมือไว้ด้านหลังและรอคอยให้อีกฝ่ายเตรียมพร้อมใช้กระบวนท่าที่ทรงพลัง เขาไม่คิดจะหลบหลีกหรือขัดขวางการรวบรวมพลังปราณของอีกฝ่าย
บ้าไปแล้ว!
ทุกคนอุทานในใจ คู่ต่อสู้เป็นถึงเซี่ยงเหวินคุนที่แข็งแกร่ง เมื่อเผชิญหน้ากับเขาต่อให้เป็นหยวนซิ่งผิงกับตันอวี่จิงก็ต้องระวังตัวให้ดี หากประมาทแม้แต่นิดเดียวทั้งสองคนย่อมพ่ายแพ้ในพริบตา
“ดาบเหมันต์เทวาเยือกแข็ง!” เซี่ยงเหวินคุนคำรามและยกมือไปสัมผัสกับตราประทับดาบบนหน้าผาก ‘พรึบ’ ปราณอันเย็นยะเยือกปรากฏออกมาจากตราประทับดาบและควบแน่นกลายเป็นดาบน้ำแข็ง ‘ฉึบ’ ดาบน้ำแข็งพุ่งทะยานเข้าใส่หลิงฮันอย่างไม่รีรอ พริบตานั้นเองๆจู่ๆอุณหภูมิรอบด้านก็ลดฮวบ
ทุกคนรู้สึกราวกับโลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกำลังจะถูกแช่แข็ง บางคนถึงขนาดพบว่าแขนและขาของตนเองถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งหนาแล้ว
น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เพียงแค่คลื่นพลังที่ปลดปล่อยออกมายังรุนแรงขนาดนี้ หากถูกดาบน้ำแข็งเล่มนั้นทะลวงเข้าใส่ตรงๆ จะยังมีใครรอดชีวิตได้?
หลิงฮันเผยรอยยิ้มและยื่นนิ้วออกมารับดาบน้ำแข็งด้วยท่าทางสบาย
ทุกคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง การรับดาบแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นด้วยมือเปล่านั้น ไม่ต่างอะไรจากแส่หาความตายใส่ตัว
‘ปัง’ ดาบน้ำแข็งแตกสลายเมื่อปะทะกับปลายนิ้ว ในขณะเดียวกันนั้นเอง ออร่าอันเย็นยะเยือกของดาบก็ได้ไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายและแช่แข็งร่างของหลิงฮัน
เซี่ยงเหวินคุนเผยสีหน้าภูมิใจ นี่คือบทสรุปของคนที่กล้าดูถูกและทำให้เขาโกรธ
‘ครืนน’ ร่างของหลิงฮันระเบิดเปลวเพลิงออกมาหลอมละลายน้ำแข็งในพริบตา นิ้วมือของเขาควบแน่นพลังกลายเป็นนิ้วปราณก่อเกิดขนาดเท่าภูเขาพุ่งเข้าใส่เซี่ยงเหวินคุน
เซี่ยงเหวินคุนชะงัก รัศมีของนิ้วมือปราณก่อเกิดนั้นกว้างเกินไปที่เขาจะหลบทันและจำเป็นต้องระเบิดพลังทั้งหมดออกมาเพื่อทำการตอบโต้
‘ปัง ปัง ปัง’ เซี่ยงเหวินคุนกระหน่ำปล่อยหมัดปะทะเข้ากับนิ้วมือปราณก่อเกิดแต่ก็ไม่ได้ผล นิ้วมือปราณก่อเกิดพุ่งทะยานเข้าใส่ร่างของเขาอย่างไม่อาจหยุดยั้ง ‘ตูม’ ร่างของเซี่ยงเหวินคุนถูกอัดร่วงไปนอนกับพื้น
หนึ่งกระบวนท่าตามที่กล่าวเอาไว้จริงๆ…
ขนาดเซี่ยงเหวินคุนที่มีเวลาสะสมพลังปราณเพื่อปลดปล่อยทักษะที่ทรงพลังที่สุดออกมายังถูกกำราบในหนึ่งกระบวนท่า ความต่างของพลังต้องมีมากมายขนาดไหนกัน? อย่างที่รู้กันว่าทางด้านหลิงฮันนั้นไม่ได้เตรียมตัวใดๆเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เขาทำมีเพียงยื่นนิ้วออกมาลวกๆ
ครั้งนี้แม้แต่จ่างซุนเหลียงก็จิตใจสั่นสะท้าน
เม่าไต้เคยปรากฏตัวที่เมืองจันทราหม่นแสงและเหยียบย่ำเหล่าอัจริยะรุ่นเยาว์แห่งยุคสมัยจนได้ฉายาว่าอัจฉริยะไร้ที่เปรียบ หากจะให้ข้ากล่าว ตัวของเจ้านั้นทรงพลังยิ่งกว่าเม่าไต้ในตอนอดีตเสียอีก”
คำเอ่ยชมนี้แสดงให้เห็นว่าจ่างซุนเหลียงประเมินหลิงฮันเอาไว้สูงขนาดไหน เม่าไต้นั้นในอดีตเป็นตัวตนที่ยืนอยู่เหนือราชาเซียนทุกคน ความทรงพลังของเขาเป็นตำนานเล่าขานกันมาถึงทุกวันนี้และขนาดตระกูลฟู่ก็ยังต้องการรับตัวเข้าตระกูล เพราะฉะนั้นอนาคตภายภาคหน้าของเม่าไต้จึงไม่มีทางหยุดอยู่ที่นิรันดร์ระดับสี่นิพพานแน่นอน
การที่จ่างซุนเหลียงกล่าวว่าหลิงฮันทรงพลังยิ่งกว่าเม่าไต้อดีตนั้นเป็นคำเอ่ยชมที่เกินจริงไปรึเปล่า?
“เจ้ามีคุณสมบัติพอให้ข้าลงมือ!” จ่างซุนเหลียงกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยอง เขาคือสุดยอดอัจฉริยะที่ยืนอยู่เหนือราชาเซียนทั้งปวง เมื่อใดที่หุบเหวสืบสานนิพพานเปิดออกและเขาบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน เขาก็ยังมั่นใจว่าตนเองจะยังคงไร้เทียมทามในระดับเดียวกัน
ตอนที่ 1705 จ่างซุนเหลียงลงมือ
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ข้าเป็นคนง่ายๆอยู่แล้ว หากเจ้าอยากสู้ข้าก็จะยอมเล่นด้วย”
ยอมเล่นด้วย?
ใครบ้างจะกล้าพูดคำนั้นกับจ่างซุนเหลียง?
ต่อให้พลังบ่มเพาะของเม่าไต้ถูกลดกลับไปยังระดับสร้างสรรพสิ่ง เขาก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ่างซุนเหลียง
ทายาทผู้นี้เป็นอัจฉริยะในรอบหมื่นแสนปีอย่างแท้จริง ไม่มีใครรู้ว่าในระดับพลังเดียวกันจ่างซุนเหลียงแข็งแกร่งขนาดไหน เนื่องจากไม่เคยมีใครสามารถทำให้เขาต้องเอาจริงมาก่อน
จ่างซุนเหลียงหัวเราะ ด้วยสถานะที่เหนือกว่าแน่นอนว่าเขาย่อมไม่เก็บคำพูดของหลิงฮันมาคิดมาก เขาพาดมือไว้ด้านหลังและก้าวเดินออกมาอย่างช้า “ข้าจะให้เจ้าโจมตีก่อนสามกระบวนท่า”
“ข้ายอมให้เจ้าก่อนสิบกระบวนท่า” หลิงฮันยิ้ม
ใบหน้าของจ่างซุนเหลียงชะงักแข็งค้างทันที เขาไม่เอ่ยพล่ามอะไรอีกต่อไปและชี้นิ้วไปยังทางหลิงฮัน ‘ครืน’ คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่ราวกับจะทำให้สวรรค์ร่วงหล่นถูกปลดปล่อยออกไป
หลิงฮันชี้นิ้วโจมตีตอบโต้จ่างซุนเหลียงเช่นกัน ‘ตูม’ คลื่นพลังของทั้งสองคนพัวพันปะทะกัน
เมื่อการปะทะของพลังสลายไปหลิงฮันก็ยังคงยืนแน่นิ่งไม่ลงมือต่อ เขาตั้งใจจะทำตามคำพูดที่กล่าวไว้เมื่อครู่คือ ยอมให้อีกฝ่ายโจมตีก่อนสิบกระบวนท่า
หลังจากการปะทะ เสียงรอบข้างก็นิ่งเงียบราวกับป่าช้า
หลิงฮันแสดงให้เห็นว่าตนเองแข็งแกร่งพอจะโค่นล้มชายหนุ่มผมแดงและเซี่ยงเหวินคุนได้อย่างง่ายดายแล้วก็จริง แต่ทุกคนก็ยังไม่คิดว่าหลิงฮันแข็งแกร่งพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของจ่างซุนเหลียง
จ่างซุนเหลียงคือราชาไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน!
ทว่าตอนนี้ทุกคนกลับต้องเปลี่ยนความคิด หลิงฮันสามารถตอบโต้การโจมตีของจ่างซุนเหลียงได้จริงๆ แม้จ่างซุนเหลียงจะโจมตีลวกๆแต่หลิงฮันก็ยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดเช่นกัน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีราชาไร้เทียมทานปรากฏตัวขึ้นในเมืองจันทราหม่นแสงเป็นคนที่สาม?
จ่างซุนเหลียงยิ้มและสะบัดนิ้ว ‘พรึบ’ ปราณกระบี่ถูกปลดปล่อยออกไป
หลิงฮันดีดนิ้วปลดปล่อยปราณดาบและสามารถตอบโต้กระบวนท่าที่สองของจ่างซุนเหลียงได้อย่างง่ายดาย
กระบวนท่าที่สาม สี่ ห้า… และกระบวนท่าที่สิบ
จ่างซุนเหลียงพาดมือเอาไว้ที่ด้านหลังอีกครั้งและกล่าว “สิบกระบวนท่าผ่านไปแล้ว เริ่มกันได้”
หลิงฮันไม่ยืนนิ่งอีกต่อไปและพุ่งทะยานร่างลงมือโจมตีอย่างรวดเร็ว เขายังไม่ใช้ทักษะแต่เลือกที่จะโจมตีด้วยหมัดเปล่า จ่างซุนเหลียงไม่หลบและตอบโต้โดยไม่เป็นฝ่ายโจมตีก่อน เขาเองก็จะยอมให้หลิงฮันก่อนสิบกระบวนท่าเช่นกัน
ด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำจุนเอาไว้ จ่างซุนเหลียงย่อมไม่ต้องการเอาเปรียบหลิงฮัน
หลังจากผ่านไปอีกสิบกระบวนท่า สีหน้าของทั้งสองฝ่ายก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง แม้พวกเขาจะยังไม่ได้โจมตีด้วยพลังทั้งหมดและยังไม่ได้ปะทะกันอย่างดุเดือด แต่ในฐานะจอมยุทธที่ทรงพลัง มีรึที่พวกเขาจะมองความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ผ่านกระบวนท่าที่ผ่านๆมาไม่ออก?
เป็นศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ!
นี่คือคำเรียกที่ต่างฝ่ายต่างตั้งให้กัน
“ดัชนีตัดวายุ!” จ่างซุนเหลียงชี้นิ้วใส่หลิงฮัน แม้ก่อนหน้าเขาจะโจมตีด้วยนิ้วมือเหมือนกัน แต่คราวนี้เขาได้ผสานทักษะเข้าไปด้วย คลื่นแสงอันเจิดจรัสพุ่งจู่โจมเข้าใส่หลิงฮัน
หลิงฮันไม่คิดประมาท แม้เขาจะมั่นใจว่ากายหยาบของเขาสามารถต้านทานการโจมตีของอีกฝ่ายได้ แต่เขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่นรับรู้ถึงความสามารถของกายหยาบของเขาโดยไม่จำเป็น
อัสนีบาตชำระล้างโลกาถูกโคจรมารวมไว้ที่ฝ่ามือ หลิงฮันใช้หมัดที่อัดแน่นไปด้วยอำนาจสายฟ้าตอบโต้จ่างซุนเหลียง
ตูม!
คลื่นแสงและอำนาจสายฟ้าปะทะเข้าหากันพร้อมกับสลายหายไปทั้งคู่ ทั้งหลิงฮันและจ่างซุนเหลียงไม่มีฝ่ายใดได้รับบาดเจ็บ
นอกจากจักรพรรดินีแล้ว นี่คือคู่ต่อสู้สุดแข็งแกร่งในระดับพลังเดียวกันที่หลิงฮันเคยพบเจอ จิตวิญญาณสู้รบของหลิงฮันลุกโชนและเป็นฝ่ายบุกโจมตี เขาใช้นิ้วแทนดาบปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำราม
การโจมตีที่รวดเร็วของทักษะดาบฟ้าคำรามทำให้จ่างซุนเหลียงตกตะลึง เพียงแต่เขาก็สมกับที่ถูกเรียกว่าราชารุ่นเยาว์ เขาสามารถปล่อยหมัดตอบโต้ได้ทันท่วงทีและป้องกันไม่ให้หลิงฮันเข้าประชิดตัว
ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่าเขาก็ปรับตัวทันและเป็นฝ่ายหันกลับมาบุกโจมตีแทน
“ถึงทีของข้า!” จ่างซุนเหลียงคำราม ลมหายใจของเขาถูกแปรเปลี่ยนเป็นมีดวายุนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
อำนาจของมีดวายุน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ที่พื้นผิวของพวกมันมีแสงแห่งเต๋าส่องประกายเจิดจ้าและอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายที่ไม่อาจจินตนาการ
ในขณะที่ใบมีดวายุกำลังจะเข้าถึงตัว หลิงฮันได้ใช้มิติเอกเทศหลบซ่อนตัว ร่างของเขาหายไปในพริบตาและกลับมาปรากฏอีกครั้ง ด้วยความเข้าใจในทักษะมิติเอกเทศของหลิงฮันในตอนนี้ มิติที่เขาสร้างขึ้นจึงมั่นคงเป็นอย่างมาก
เขาพุ่งทะยานไปปรากฏตัวด้านหน้าจ่างซุนเหลียงอีกครั้งและปล่อยหมัดจู่โจม
“โล่เหล็กกล้า!” จ่างซุนเหลียงเค้นเสียงพร้อมกับไขว้แขนที่ด้านหน้าเพื่อป้องกันหมัดของหลิงฮัน
หลิงฮันประหลาดใจที่หมัดของเขาไม่สามารถทำลายการป้องกันของจ่างซุนเหลียงได้ ดูเหมือนพลังป้องกันของอีกฝ่ายจะทรงพลังกว่าจอมยุทธทั่วไปเล็กน้อย
จ่างซุนเหลียงใช้โอกาสนี้ตอบโต้กลับ ดวงตาของเขาส่องประกายแสงสีทองปลดปล่อยคลื่นพลังใส่หลิงฮันตรงๆ
หลิงฮันโคจรแสงอัสนีหลบหนีการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว
ทุกคนที่มองดูอยู่สังเกตเห็นว่าลมหายใจของทั้งสองคนยังคงมั่นคง ในไม่เวลาเพียงชั่วครู่ที่ผ่านมาหลิงฮันและจ่างซุนเหลียงผลัดเปลี่ยนกันโจมตีป้องกันอย่างดุเดือด
แข็งแกร่ง… ทั้งสองคนแข็งแกร่งเกินไป
จ่างซุนเหลียงคืออัจฉริยะที่จะถูกส่งตัวไปยังตระกูลฟู่ การจะค้นหาคู่ต่อสู้ที่สามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อในระดับเดียวกันนั้นเป็นเรื่องยากลำบากมาก เพราะงั้นเขาจะทรงพลังขนาดนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่น่าตกตะลึงคือเหตุใดหลิงฮันถึงได้แข็งแกร่งขนาดนั้นด้วยเหมือนกัน?
ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!
“น่าสนุก!” จิตวิญญาณต่อสู้ของจ่างซุนเหลียงลุกโชนเช่นกัน เขาควบแน่นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์นับไม่นวนมารวบรวมไว้ที่ปลายนิ้วและโจมตี อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ผสานพัวพันกันนั้นมีมากมายจนไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ประเภทใดมาบ้าง
หลิงฮันเองก็ไม่น้อยหน้า เขาฝึกฝนทักษะระดับนิรันดร์หลายทักษะจนเชี่ยวชาญ หลิงฮันโคจรพลังปลดปล่อยทักษะกายาแสงตะวันทองคำไร้เทียมทาน แขนอีกสี่ข้างปรากฏออกมาจากแผ่นหลัง มือทั้งหกของเขาทำการโจมด้วยทักษะนิรันดร์มากมายพร้อมกันจึงทำให้พลังต่อสู้ยกระดับขึ้นมาอีกหลายสิบเท่า
จ่างซุนเหลียงไม่กล้าปะทะด้วยมือเปล่าอีกต่อไป เขาทะยานร่างขึ้นท้องฟ้าพร้อมกับระเบิดพลังจนผมสยายออก ที่บริเวณกลางคิ้วของเขาปรากฏมนุษย์ตัวเล็กขนาดเท่ากำปั้นเดินออกมา ในมือของมนุษย์ตัวเล็กมีดาบถูกถือเอาไว้และสะบั้นเข้าใส่หลิงฮันอย่างรวดเร็ว
แม้ดาบของมนุษย์ตัวเล็กจะเล็กตามขนาดตัว แต่มันก็ทำให้หลิงฮันเกิดความรู้สึกถึงภัยคุกคาม
“นั่นมันดาบสยบมารอสูร!” ใครบางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงและสีหน้าซีดเผือด
ตอนที่ 1706 ศัตรูเปลี่ยนเป็นมิตร
ดาบสยบมารอสูรไม่ใช่อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นทักษะยุทธ จากที่เล่าลือกันนั้น จ่างซุนเหลียงได้รับทักษะนี้มาจากซากโบราณสถาน
ผู้ที่สามารถฝึกฝนทักษะนี้ได้มีเพียงเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น เนื่องจากในขณะที่กำลังสำรวจซากโบราณสถานอยู่ ดวงวิญญาณของเขาได้ถูกผสานรวมเข้ากับวัตถุโบราณบางอย่าง ความลึกลับที่เกิดขึ้นนี้แม้แต่เหล่าตัวตนระดับสูงของนิกายจันทราหม่นแสงก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้
เมื่อทักษะนี้ถูกโคจรใช้งาน มนุษย์ตัวเล็กถือดาบจะปรากฏตัวออกมาจากบริเวณกลางหน้าผากของจ่างซุนเหลียง
มนุษย์ตัวเล็กที่ปรากฏออกมานั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก ตราบใดที่ถูกดาบของมันสะบั้นเข้าใส่ ดวงวิญญาณจะถูกส่งไปยังปรโลกทันที!
เพียงแค่ทักษะดาบสยบมารอสูรถูกใช้ออกมา ทุกคนรอบข้างก็กระอักกระอ่วนเล็กน้อย พวกเขารู้สึกราวกับว่าดวงวิญญาณของตนเองถูกมีดจ่อเอาไว้และสามารถถูกสังหารได้ตลอดเวลา แม้ทุกคนจะโคจรปราณก่อเกิดสร้างโล่คุ้มกันเอาไว้แล้วก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย พวกเขาอยากจะติดตั้งรูปแบบอาคมมันเสียตรงนี้เลย
จ่างซุนเหลียงลงมือโจมตีหลิงฮันในขณะที่มนุษย์ตัวเล็กเองก็สะบั้นดาบออกมาพร้อมๆกัน
หลิงฮันเอื้อมมือออกมาปลดปล่อยทักษะรัตติกาลเงาทมิฬ ความมืดมิดอันเป็นอนันต์สามารถกักขังจ่างซุนเหลียงเอาไว้ได้
‘พรึบ’ แต่กับมนุษย์ตัวเล็กกลับไม่มีผล มันพุ่งทะลุความมืดมิดออกมาและกวัดแกว่งดาบเข้าหาหลิงฮัน
หลิงฮันปล่อยหมัดตอบโต้แต่ก็ไม่ส่งผลใดๆต่อมนุษย์ตัวเล็กแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่ามนุษย์ตัวเล็กตรงหน้านี้จะเป็นเพียงร่างวิญญาณเท่านั้น มันจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการโจมตีทางกายภาพ
หลิงฮันเผยรอยยิ้ม หากจะวัดกันในด้านความแข็งแกร่งของดวงวิญญาณ เขาเองก็มั่นใจว่าไม่แพ้ใคร!
‘พรึบ’ ประกายสายฟ้าค่อยๆหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขา
หลิงฮันดูดซับหยดสายฟ้าสวรรค์เข้าไปมากมาย ซึ่งภายใต้ระดับนิรันดร์อำนาจจากหยดสายฟ้าสวรรค์ถือว่าเป็นพลังงานที่ทรงพลังที่สุด หยดสายฟ้าสวรรค์ที่เขาดูดซับเข้าสู่ร่างกายไม่เพียงช่วยทำให้รู้แจ้งถึงอำนาจกฎเกณฑ์อัสนีแต่ยังช่วยขัดเกลาดวงวิญญาณของตัวเขาด้วย
ตอนนี้ดวงวิญญาณของเขาเองก็ถือครองอำนาจแห่งทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
จงออกมา!
หลิงฮันคำรามในใจ พลังวิญญาณของเขาค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นมนุษย์ขนาดเล็กที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับเขาไม่ผิดเพี้ยน มนุษย์ดวงวิญญาณขนาดเล็กของเขากวัดแกว่งหมัดเข้าปะทะกับดาบของมนุษย์ตัวเล็กของจ่างซุนเหลียง
ตูม! ตูม! ตูม!
มนุษย์จิ๋วทั้งสองสามารถโจมตีโดนซึ่งกันและกันได้เนื่องจากพวกมันเป็นดวงวิญญาณเหมือนกัน การปะทะด้วยดวงวิญญาณถือเป็นการปะทะที่อันตรายกว่าการปะทะรูปแบบปรกติ ต่อให้มนุษย์จิ๋วทั้งสองจะไม่ใช้ดวงวิญญาณที่สมบูรณ์ของหลิงฮันและจ่างซุนเหลียง แต่หากมนุษย์จิ๋วทั้งสองได้รับบาดเจ็บ พวกเขาเองก็จะได้รับบาดเจ็บไปด้วยเช่นกัน
จ่างซุนเหลียงคำรามเสียงดังพร้อมกับทะลวงออกมาจากความมืดมิดได้สำเร็จ ราชารุ่นเยาว์ที่จะปรากฏตัวเพียงในรอบหมื่นแสนล้านปีเช่นเขาจะถูกกักขังง่ายๆได้อย่างไร?
หลิงฮันพุ่งทะยานเข้าปะทะกับจ่างซุนเหลียง
แม้พวกเขาจะปะทะกันเองแค่สองคน แต่การต่อสู้กลับดำเนินไปด้วยการห้ำหั่นของร่างสี่ร่าง
ผู้คนที่มองดูอยู่หวาดผวาจนขนลุก ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับลูกหลงจากการโจมตีของหลิงฮันกับจ่างซุนเหลียง หรือได้รับลูกหลงจากการโจมตีของมนุษย์ตัวเล็กทั้งสอง พวกเขาก็ไม่อาจหนีพ้นความตายไปได้และแม้แต่ดวงวิญญาณก็คงถูกบดขยี้ไม่มีเหลือ
ทุกคนล้วนแต่คิดเหมือนกันว่า หากลองเปลี่ยนให้พวกเขาลงไปประลองแทน พวกเขาคงถูกสังหารไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
หลิงฮันและจ่างซุนเหลียงต่างมีพลังต่อสู้ที่ไร้เทียมทานด้วยกันทั้งคู่
หลิงฮันนั้นสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองของโลกบรรพกาลได้ เพราะงั้นอย่างน้อยในระดับสร้างสรรพสิ่งตัวเขาย่อมไม่อ่อนกว่าใคร หลิงฮันได้เปรียบจ่างซุนเหลียงในเรื่องนี้ ทางด้านของจ่างซุนเหลียงนั้น เขาเองก็ได้ขัดเกลารากฐานของระดับสร้างสรรพสิ่งมาเป็นเวลานานและควบแน่นจำนวนของดวงดาราได้สำเร็จไม่รู้กว่ากี่ล้านดวงแล้ว ในเรื่องนี้เขาจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบหลิงฮัน
การปะทะของทั้งสองไม่กินเวลานานนักเนื่องจากคนอื่นๆจะได้รับลูกหลงไปด้วย
เวลาผ่านไปเพียงราวๆครึ่งชั่วโมงทั้งสองคนกระโดดถอยเว้นระยะห่างจากกัน
แม้การปะทะของตัวพวกเขาเองจะยังไม่สามารถตัดสินกันได้ แต่มนุษย์ดวงวิญญาณของพวกเขาได้รับบาดเจ็บ มนุษย์วิญญาณของหลิงฮันถูกดาบสะบั้นใส่ ในขณะที่มนุษย์วิญญาณของจ่างซุนเหลียงถูกหมัดกระหน่ำซัด
ใบหน้าของจ่างซุนเหลียงเปลี่ยนเป็นซีดขาวและกระอักโลหิตออกมา ท่าทางของเขาทรมานเป็นอย่างมาก
หลิงฮันร่างสั่นสะท้านเล็กน้อย ดวงวิญญาณของเขาถูกขัดเกลาด้วยด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์จึงสามารถต้านทานความเสียหายทางวิญญาณได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่เนื่องจากตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกเป็นมิตรกับจ่างซุนเหลียง เขาจึงตั้งใจจะไว้หน้าอีกฝ่ายและฝืนกระอักโลหิตออกมาและทำสีหน้ามืดมน
“เอาเป็นว่าการประลองนี้พวกเขาเสมอกันเป็นอย่างไร?” จ่างซุนเหลียงกล่าวกับหลิงฮัน ความจริงแม้เขาจะยังมีไพ่ลับเก็บซ่อนเอาไว้อยู่ แต่ไพ่ลับเช่นนั้นย่อมต้องเก็บไว้ใช้ในช่วงวิกฤตเป็นตาย ยิ่งกว่านั้นเขาเองก็รู้สึกถูกใจหลิงฮันขึ้นมาแล้วด้วย การประลองนี้จะแพ้หรือชนะย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “อืม!”
จ่างซุนเหลียงก้าวเดินเข้ามากอดไหล่หลิงฮันและกล่าว “ไปฉลองกันเถอะ!”
ทั้งสองคนหัวเราะและเดินกลับเข้าห้องโถง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนรอบข้างมึนงง เมื่อครู่พวกเจ้าเพิ่งสู้กันราวกับจะฆ่าแกงกันอยู่เลยแท้ๆ เหตุใดตอนนี้ถึงได้หันมากอดไหล่กันราวกับมิตรสหายเช่นนี้?
พวกเขาไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าราชาที่แท้จริงนั้นโดดเดี่ยวและหาคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันที่สมน้ำสมเนื้อได้ยากขนาดไหน ตอนนี้ในที่สุดทั้งสองคนก็ได้พบคนที่เทียบชั้นกับตนเองได้เสียที แล้วจะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้อย่างไร?
จักรพรรดินีเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ บุรุษผู้นี้คิดจะแย่งสามีของนาง?
นางรีบก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว จ่างซุนเหลียงที่รู้สึกตัวว่าจักรพรรดินีเดินเข้ามาก็หันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอโทษน้องสะใภ้ที่เมื่อครู่ข้าทำตัวเสียมารยาท ถ้าเจ้าไม่พอใจล่ะก็เชิญ…”
พรึบ!
จักรพรรดินีไม่รอให้จ่างซุนเหลียงพูดจบ นางคว้าร่างของอีกฝ่ายเหวี่ยงลอยกระเด็นทันทีและนำมือของหลิงฮันมาโอบเอวนางเอาไว้ราวกับจะบอกให้ทุกคนรับรู้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นของนาง
แต่การกระทำของนางก็ได้ทำให้ทุกคนตกตะลึงอ้าปากค้าง สตรีผู้นี้ทรงพลังขนาดไหนกัน?
แม้จ่างซุนเหลียงจะบาดเจ็บอยู่ก็ไม่สมควรถูกจับเหวี่ยงได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น
สตรีลึกลับผู้นี้คือจอมยุทธที่ทรงพลังที่สุดภายใต้ระดับโลกียนิพพานอย่างแท้จริง!
สำหรับเรื่องนี้หลิงฮันเองก็เห็นด้วย ด้วยพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ต่อให้พึ่งพากายหยาบอันไร้เทียมทาน อย่างมากเขาก็ทำได้แค่เสมอกับจักรพรรดินีเท่านั้น แต่เมื่อใดที่เขาบรรลุสู่ระดับราชาเซียน เขามั่นใจว่าต่อให้จักรพรรดินีกับจ่างซุนเหลียงร่วมมือกันเขาก็ยังสามารถเอาชนะทั้งสองคนได้
จ่างซุนเหลียงกัดฟันพยุงตัวลุกขึ้นยืนและยิ้มแห้งโดยไม่รู้สึกโมโหอะไร
ตอนที่ 1707 ประมุขตระกูลถงมาขออภัย
จ่างซุนเหลียงเป็นถึงทายาทของนิกายจันทราหม่นแสงและเป็นราชาไร้ผู้ใดเปรียบ การที่เขาจะมีนิสัยหยิ่งยโสย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ลึกๆแล้วตัวเขานั้นโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก ผู้คนรอบข้างมีแต่คนที่อ่อนแอกว่า จะให้เขาสร้างมิตรสหายจากไหน?
เพราะงั้นการที่หลิงฮันสามารถต่อสู้ได้ทัดเทียมกับเขาแถมยังมีจักรพรรดินีที่ทรงพลังกว่า ได้จุดประกายเพลิงสู้รบในใจของเขาขึ้นมาและยอมรับทั้งสองเป็นมิตรสหายอย่างง่ายดาย
หลังจากการปะทะของทั้งสองงานเลี้ยงก็ดำเนินต่อไป ทุกคนสับสนและใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะตั้งสติได้ หยวนซิ่งผิงและตันอวี่จิงมีสีหน้าบูดบึ้ง การประลองเมื่อครู่ได้แสดงให้เห็นถึงพลังของหลิงฮันแล้วว่าแข็งแกร่งขนาดไหน เมื่อเป็นเช่นนี้ในการประลองยุทธจะยังมีใครเอาชนะเอาได้อีก?
อย่าพูดถึงรุมสิบคนเลย ต่อให้สองร้อยคนร่วมมือกันจะเอาชนะได้รึเปล่าก็ไม่รู้
ทั้งสองทำได้เพียงหวังว่าจะไม่พบเจอกับหลิงฮันตั้งแต่รอบแรกๆ
หลังจากดื่มสุรากันเรียบร้อย จ่างซุนเหลียงและหลิงฮันก็เริ่มแลกเปลี่ยนความเข้าใจในศาสตร์แห่งวรยุทธ ตัวของหลิงฮันนั้นเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง เพราะไม่งั้นแล้วเขาจะสามารถฝึกฝนคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์และผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสองดินแดนในโลกบรรพกาลได้อย่างไร
ทั้งสองคนพูดคุยเกี่ยวกับศาสตร์วรยุทธเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยที่ผู้คนโดยรอบนั่งฟังอย่างตั้งใจ คำพูดที่ทั้งสองคนกล่าวออกมาคือประสบการณ์ของราชาแห่งยุค แม้ตอนนี้พวกเขาจะยังไม่เข้าใจแต่ก็สามารถจดจำไปศึกษาต่อในภายหลังได้ทีละเล็กน้อย
“น่าเสียดายนักที่น้องชายหลิงยังไม่บรรลุเป็นราชาเซียนจึงต้องพลาดโอกาสเข้าสู่หุบเหวสืบสานที่จะเปิดออกในไม่กี่ปีข้างหน้านี้” จ่างซุนเหลียงกล่าวด้วยความรู้สึกเสียดาย “พวกเราต้องเลือกสถานที่ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานให้ดี ต่างสถานที่จะส่งผลให้ความสำเร็จในอนาคตหลังจากระดับโลกียนิพพานแตกต่างกัน ในความคิดข้าเจ้าควรรอเวลาและอย่าเร่งรีบทะลวงผ่านจะดีกว่า”
นี่ถือว่าเป็นคำแนะนำที่ดี จ่างซุนเหลียงกล่าวเพราะเป็นห่วงหลิงฮัน
หลิงฮันยิ้ม เขามั่นใจว่าภายในเวลาหนึ่งปีครึ่ง ไม่เพียงแต่เขาจะบรรลุเป็นราชาเซียนได้แต่ยังสะสมพลังปราณได้เพียงพอที่จะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแล้วอีกด้วย
นั่นเพราะเขามีต้นสังสารวัฏ!
จักรพรรดินีเองก็ไม่กังวลแม้แต่น้อย นางมั่นใจในตัวหลิงฮันเป็นอย่างมาก
ชายหนุ่มผมแดงตื่นขึ้นมาพอดี หลังจากรักษาบาดแผลเบื้องต้นแล้วเขาก็สามารถกลับมาเดินได้อย่างอิสระแต่ยังไม่อาจต่อสู้ได้เนื่องจากกระดูกที่แตกหักในร่างถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเพียงชั่วคราวเท่านั้น
และทันใดนั้นเองจู่ๆชั้นบรรยากาศภายนอกห้องโถงก็เกิดการสั่นสะเทือน ชายหนุ่มผมแดงรีบวิ่งไปตรวจสอบอย่างรวดเร็ว ที่นี่คือเกาะเมฆาเซียน ใครกันที่กล้าบุกมาสร้างความวุ่นวาย?
ผ่านไปชั่วครู่เขาก็รีบกลับมากระซิบกล่าวกับจ่างซุนเหลียง “นายท่าน ประมุขตระกูลถงมาที่นี่ด้วยตนเองเพราะต้องการขออภัยต่อนายท่าน”
มากล่าวขออภัยเพราะคนของตระกูลตนเองถูกสังหาร?
ที่ประมุขตระกูงถงต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะจ่างซุนเหลียงคือทายาทที่จะกลายเป็นผู้นำนิกายจันทราหม่นแสงในอนาคต ยิ่งกว่านั้นถงหลินเองก็สมควรถูกสังหารแล้วที่กล้ามาพลอดรักกลางแจ้งบนเกาะเมฆาเซียน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความบาดหมางกับจ่างซุนเหลียง ประมุขตระกูลถงจึงจำเป็นต้องมากล่าวขออภัยด้วยตนเอง
จ่างซุนเหลียงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ให้เขาเข้ามา”
แม้เขาจะเป็นทายาทแต่ก็ยังจำเป็นต้องไว้หน้าอีกฝ่ายที่เป็นนิรันดร์ระดับสี่นิพพาน
ชายหนุ่มผมแดงรีบพยักหน้าและไปรายงานความประสงค์ของจ่างซุนเหลียง
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามาในห้องโถง แม้เขาจะระงับพลังของตนเองเอาไว้แต่ผู้คนรอบข้างก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนหายใจไม่ออกราวกับสวรรค์กำลังจะพังทลาย
ชายวันกลางคนผู้นี้คือประมุขตระกูลถง
หลังจากทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานจะได้รับอายุขัยอันไร้ขีดจำกัดและไม่แก่เฒ่า เพราะงั้นรูปลักษณ์ในตอนที่บรรลุระดับโลกียนิพพานเป็นแบบใดก็จะคงสภาพเอาไว้แบบนั้นตลอดไป
ประมุขตระกูลถงนั้นถือว่ามีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมากที่สามารถทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์ได้โดยที่อายุยังไม่เยอะ
จ่างซุนเหลียงลุกขึ้นยืนและผสานมือไปยังอีกฝ่าย “ยินดีที่ได้พบเฒ่าถง” อีกฝ่ายเป็นถึงนิรันดร์สี่นิพพาน แม้สถานะจะเทียบกับเขาไม่ได้แต่ก็มีพลังที่แข็งแกร่งพอจะได้รับการเคารพจากเขา
ประมุขตระกูลถงผสานมือเช่นกัน “คารวะรัชทายาท!”
ทั้งสองแสดงท่าทางสุภาพต่อกัน ประมุขตระกูลถงอธิบายเจตนาที่เขามาที่นี่ในวันนี้และตำหนิด่าถงหลิน เขากล่าวอีกด้วยว่าการกระทำของถงหลินนั้นสมควรแล้วที่จะถูกจ่างซุนเหลียงสังหาร และหลังจากกล่าวขอโทษหลายต่อหลายครั้ง ประมุขตระกูลถงก็ขอตัวและหันหลังจากไป
เพียงแต่ว่าก่อนที่เขาจะจากไปเขาได้นำตัวหลิวมู่อวี่ไปด้วย บางทีเขาอาจจะต้องการระบายความแค้นกับสตรีผู้นี้ซึ่งเป็นตัวการที่พลอดรักกับถงหลินกลางแจ้ง
สำหรับการตายของถงหลินนั้นหลิงฮันไม่รู้สึกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย และหลิวมู่อวี่เองก็คงจะเล่าเหตุการณ์แท้จริงที่เกิดขึ้นให้กับประมุขตระกูลถงฟังด้วยและอีกฝ่ายก็จะกลายเป็นศัตรูของเขาในอนาคต
ต่อให้คนที่สังหารถงหลินจะเป็นจ่างซุนเหลียง แต่ตระกูลถงจะกล้าทำอะไรจ่างซุนเหลียงรึ?
แน่นอนว่าสุดท้ายตระกูลถงก็ต้องมาแก้แค้นหลิงฮัน
หนึ่งวันต่อมางานเลี้ยงก็มาถึงเวลาสิ้นสุด จ่างซุนเหลียงสั่งให้ชายหนุ่มผมแดงนำรถม้าพาหลิงฮันกลับไปส่งด้วยตัวเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับหลิงฮันขนาดไหน
เมื่อทุกคนกลับออกมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างงานเลี้ยงก็ถูกแพร่กระจายไปถึงหูนิกายจันทราหม่นแสงและเหล่าขุมอำนาจระดับสี่นิพพานทันที แต่สำหรับเหล่าขุมอำนาจที่เป็นตัวแทนจากเมืองหนึ่งดาวที่อาศัยอยู่ในที่ทำการนั้น มีเพียงไม่กี่กลุ่มเท่านั้นที่รู้ว่าหลิงฮันแข็งแกร่งขนาดไหน
ทุกมหาขุมอำนาจในเมืองจันทราหม่นแสงรีบสืบหาที่มาของหลิงฮันกับจักรพรรดินี เป็นไปได้อย่างไรที่จู่ๆอัจฉริยะระดับนี้จะปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย?
ก่อนที่จะรู้ที่มาที่ไปอย่างชัดเจน เหล่ามหาขุมอำนาจเลือกที่จะยังไม่ยื่นข้อเสนอให้ทั้งสองคนเข้าร่วมกับตัวเอง หากกลายเป็นว่าทั้งสองคนคือทายาทจากนิกายที่ยิ่งใหญ่กว่า พวกเขาจะไม่กลายเป็นตัวตลกงั้นรึ?
เมื่อหลิงฮันและจักรพรรดินีกลับมาถึงที่พัก พวกเม่าซูอวี่ก็รีบวิ่งมาไถ่ถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะเมฆาเซียนทันที สำหรับพวกนางเกาะแห่งนั้นเปรียบเสมือนพื้นที่หวงห้ามที่ไม่อาจเข้าไปได้ ทำให้พวกนางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
หลิงฮันรู้สึกตลก พวกเม่าซูอวี่ถือว่าเป็นอัจฉริยะในสายตาของคนอื่นๆแท้ๆ แต่ตอนนี้พวกนางกลับทำตัวขี้สงสัยราวกับเด็กน้อย
อันที่จริงไม่ใช่แค่พวกเม่าซูอวี่เท่านั้น แม้แต่ล้งเกาเฟยเองก็รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก เขาเข้ามาเอ่ยถามอย่างละเอียดราวกับจะนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับไปเล่าให้คนอื่นๆโดยดูเหมือนว่าตนเองได้ไปที่นั่นมาแล้ว
ในวันรุ่งขึ้น จ่างซุนเหลียงได้มาหาหลิงฮันอย่างไม่คาดฝันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในศาสตร์วรยุทธ การปรากฏตัวของจ่างซุนเหลียงทำให้ล้งเกาเฟยรู้สึกตื่นเต้นเกินพรรณนา
อีกฝ่ายคือทายาทของนิกายจันทราหม่นแสงและจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจในอนาคต!
หากเมืองธุลีจันรทรา… ไม่สิ หากตระกูลล้งสามารถสร้างสายสัมพันธ์กับอีกฝ่ายได้ ตระกูลล้งจะต้องเติบโตขึ้นมากเป็นแน่
เขาที่เคยวางแผนว่าหลังจากกลับตระกูลจะให้รุ่นเยาว์ตระกูลล้งหาโอกาสใกล้ชิดกับจักรพรรดินีนั้นรีบเปลี่ยนความคิดทันที สถานะของหลิงฮันในตอนนี้ทะยานสูงขึ้นจนกลายเป็นตัวตนที่สำคัญเป็นอย่างมาก
“เจ้าไปสนทนากับรัชทายาทตามสบายโดยไม่ต้องสนใจเวลา เอาไว้การประลองจะเริ่มเมื่อไหร่เดี๋ยวข้าจะเป็นฝ่ายไปเตือนเอง” ล้งเกาเฟยกล่าวก่อนจะปิดประตูให้ทั้งสองคนได้คุยกัน
แต่ในขณะที่เฒ่าล้งกำลังยิ้มอย่างมีความสุขและเดินไปยังสวนของลานที่พักนั้นเอง จู่ๆประตูที่พักก็ถูกทำลายและมีชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัวเข้ามา
ตอนที่ 1708 แขกที่สำคัญคนไหน?
ล้งเกาเฟยใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดมน กล้าทำลายประตูที่พักของพวกเขางั้นรึ?
เจ้าไม่รู้รึไงว่ารัชทายาทอยู่ที่นี่? หากเจ้าบุกมาทำตัวเสียมารยาทกับรัชทายาท ใครจะรับผิดชอบ?
“ช่างกล้า!” เขาคำราม
ชายชราที่พังประตูเข้ามาหันมองล้งเกาเฟยและกล่าวอย่างโหดเหี้ยม “เรียกตัวบัดซบหลิงฮันออกมาเดี๋ยวนี้!”
ใบหน้าล้งเกาเฟยเผยชะงัก
ก่อนหน้านี้เขาอุตส่าห์ย้ำเตือนหลิงฮันให้ทำตัวไม่โดดเด่นและอย่าสร้างปัญหาแท้ๆ การที่อีกฝ่ายตีสนิทกับรัชทายาทได้นั้นเป็นเรื่องดี แต่ดูจากจิตสังหารของชายชราที่ปรากฏตัวผู้นี้แล้ว คงไม่ได้มาเมื่อชวนหลิงฮันดื่มชาแน่นอน
นอกจากนั้นผู้บุกรุกคนนี้เองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก!
ขมวดคิ้วและกล่าว “นิรันดร์สองนิพพาน?”
ชายชราเผยสีหน้าภาคภูมิใจ “ข้าคือถงจินหยุนแห่งตระกูลถง!”
ตระกูลถงได้รับรู้เรื่องราวแท้จริงจากปากของหลิวมู่อวี่แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก ถงหลินต้องมาตายอย่างไร้ความยุติธรรม แถมปรมาจารย์สี่นิพพานของตระกูลถงยังต้องก้มหัวขอโทษผู้อื่นทั้งๆที่ไม่ผิด
ต่อให้ผู้ที่ก้มหัวให้จะเป็นรัชทายาทอย่างจ่างซุนเหลียง พวกเขาก็ยังรู้สึกอัปยศอยู่ดี
เพราะเห็นแก่ความปลอดภัยของตระกูล ประมุขตระกูลถงถึงขนาดยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่าเหตุการณ์ทั้งหมดถูกใครบางคนวางแผนเอาไว้!
จอมยุทธตัวจ้อยจากเมืองหนึ่งดาวกล้าสังหารคนของตระกูลถง? เพื่อสะสางความแค้นถงจินหยุนถึงได้มาที่นี่ด้วยตัวเอง
เขาคือปรมาจารย์สองนิพพานที่แข็งแกร่งพอจะกดขี่ล้งเกาเฟยได้
“ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสถง!” ล้งเกาเฟยผสานมือคารวะ แม้อีกฝ่ายจะเป็นขุมอำนาจสี่นิพพานเหมือนกันแต่ยืนอยู่ในสถานะที่ต่างกัน
“ไม่ต้องพูดพล่ามเสียเวลา ให้หลิงฮันโผล่หน้ามาเดี๋ยวนี้!” ถงจินหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม วันนี้เขาจะสังหารหลิงฮันเพื่อประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่าตระกูลถงไม่ใช่ขุมอำนาจที่ใครจะล่วงเกินได้
ล้งเกาเฟยยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ “ตอนนี้หลิงฮันกำลังต้อนรับแขกคนสำคัญอยู่ เกรงว่าเขาคงไม่สะดวกออกมาพบผู้อาวุโส”
โอ้?
ดวงตาของถงจินหยุนส่องประกายเย็นชา
น่าขันยิ่งนัก จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งตัวจ้อยจะมีแขกที่สำคัญขนาดไหนมาพบกันเชียว? จะบอกว่าแขกคนนั้นยิ่งใหญ่ไปกว่าข้างั้นรึ?
“เจ้ากำลังดูถูกข้า?” ถงจินหยุนกล่าวพร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันที่หนักหน่วงราวกับขุนเขา
แรงกดดันจากสายตาของถงจินหยุนนั้นแม้จะสามารถทำให้จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งขาอ่อนไร้เรี่ยวแรงได้ แต่ไม่ใช่กับล้งเกาเฟยที่เป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพาน ต่อให้เขาจะต่อกรกับถงจินหยุนไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ไม่รู้สึกหวั่นเกรงต่อแรงกดดันของอีกฝ่าย
เขายิ้มและกล่าวตอบ “ข้าไม่กล้า! หลิงฮันกำลังต้อนรับแขกคนสำคัญอยู่จริง”
“ฮึ่ม งั้นก็ขอข้าดูหน่อยแล้วกันว่าแขกที่ว่าจะสำคัญขนาดไหน!” ถงจินหยุนไม่สบอารมณ์และเกิดความคิดที่จะจัดการแขกคนสำคัญที่ว่าไปพร้อมๆกันด้วยเลย
ไม่ว่าสำหรับพวกหลิงฮันแขกที่ว่าจะสำคัญแค่ไหน แต่สำหรับเขาแขกที่ว่าก็เป็นเพียงขยะ
เขาก้าวเดินเข้าที่พักไปอย่างเกรี้ยวกราด ล้งเกาเฟยไม่กล้าห้ามปรามและทำได้เพียงเดินตามไป
ปัง!
ถงจินหยุนไม่เอ่ยถามล้งเกาเฟยแม้แต่คำเดียวว่าห้องของหลิงฮันคือห้องไหนและทำการถีบเปิดประตูทีละห้อง
เว่ยโปวที่อยู่ในห้องแรกเผยสีหน้านิ่งเฉย
ห้องที่สอง ฉินเฮิ่นก็ยังเผยสีหน้านิ่งเฉย
ห้องที่สาม…
ทุกคนในที่พักล้วนได้ยินบทสนทนาทั้งหมดจากด้านนอก พวกเขาจึงเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เมื่อมาถึงห้องที่หก ติงเซี่ยวเฉินที่นั่งอยู่ก็เผยสีหน้ามืดมน เขาไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง ที่จริงตัวเขาเป็นศัตรูกับหลิงฮันเสียด้วยซ้ำ
เขาได้แต่ภาวนาในใจหวังให้หลิงฮันถูกถงจินหยุนผู้นี้ทุบตีจนตาย
ตอนนี้เหลือเพียงห้องสุดท้ายห้องเดียว ‘ปัง’ ประตูถูกถีบจนเปิดออกและปรากฏร่างสามร่างในห้อง สองเป็นบุรุษหนึ่งเป็นสตรี ทั้งสามกำลังหันหน้าเข้าหากันเพื่อจิบชาและพูดคุยอะไรบางอย่าง
ยังกล้าทำตัวสงบนิ่งอยู่อีก!
ถงจินหยุนเค้นเสียงกล่าวอย่างเย็นชา “แขกคนสำคัญงั้นรึ? หันหน้ามาให้ข้าเห็นหน่อยเป็นไง?”
จ่างซุนเหลียงค่อยๆหันหลังและจ้องมองถงจินหยุนด้วยสีหน้าไม่แยแส
“ระ รัชทายาท!” ถงจินหยุนอุทานออกมาทันที สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนหลายสีอย่างคาดไม่ถึงว่าสีหน้าของมนุษย์เราจะเปลี่ยนสีได้มากมายขนาดนี้
จ่างซุนเหลียงยิ้มและกล่าว “ข้าหันมาให้เจ้าเห็นแล้วนี่ไง จะทำอะไรต่อล่ะ?”
ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง แต่ด้วยสถานะของเขาในนิกายจันทราหม่นแสงทำให้ปรมาจารย์หลายคนไม่กล้าแตะต้องเขาแม้แต่ปลายนิ้ว
หากจ่างซุนเหลียงได้รับบาดเจ็บแล้วหนึ่งในผู้อาวุโสระดับแบ่งแยกวิญญาณลงมือล่ะก็ ตระกูลถงคงหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ในพริบตา ถงจินหยุนรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตนเองเป็นอย่างยิ่ง ใครจะไปคิดว่าแขกคนสำคัญจะเป็นจ่างซุนเหลียง?
เหตุใดจอมยุทธตัวจ้อยจากเมืองหนึ่งดาวถึงได้สร้างสายสัมพันธ์กับรัชทายาทของนิกายจันทราหม่นแสงได้?
เหนือสิ่งอื่นใดคือจ่างซุนเหลียงเป็นฝ่ายมาหาหลิงฮันด้วยตัวเองด้วย
“ข้าไม่รู้ว่ารัชทายาทอยู่ที่นี่ ห่างข้าล่วงเกินอันใดไป รัชทายาทโปรดให้อภัย!” ถงจินหยุนทำได้เพียงกล่าวขออภัย ในกรณีที่จ่างซุนเหลียงต้องการจะจัดการตระกูลถงจริงๆ ต่อให้ตระกูลถงจะเป็นคนของนิกายจันทราหม่นแสงเหมือนกันก็ไม่ได้ช่วยอะไร
จ่างซุนเหลียงกล่าว “หากข้าไม่อยู่ที่นี่ เจ้าคิดว่าตนเองสามารถทำลายประตูที่นี่ได้ตามใจชอบ? นิรันดร์ตระกูลถง เจ้าควรรู้ไว้ว่าที่แห่งนี้คือสถานที่ต้องห้ามที่ตระกูลถงของเจ้าไม่อาจย่างกราย!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันหนักแน่นของจ่างซุนเหลียง ถงจินหยุนก็หวาดกลัวจนต้องคุกเข่าลงด้วยสีหน้าซีดเผือด
หากจ่างซุนเหลียงต้องการเอาความจริงๆ เหตุการณ์ในวันนี้จะไม่ใช่ความบาดหมางระหว่างเขากับจ่างซุนเหลียง แต่จะเกี่ยวพันไปถึงตระกูลถงด้วย!
“รัชทายาทโปรดยกโทษให้ข้า!”
จ่างซุนเหลียงไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราดใดๆ เขายังคงสงบนิ่งและควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ดี “ในเมื่อเจ้าถีบทำลายประตูของที่นี่ เจ้าก็ต้องซ่อมพวกมันทั้งหมดเอง หวังว่าเจ้าจะไม่ขัดข้อง?”
“ไม่แน่นอน ชายชราผู้นี้ย่อมไม่ขัดข้องคำสั่งของรัชทายาท!” ถงจินหยุนรีบก้มหัว
หลิงฮันเดาะลิ้นทำเสียงในปาก หรือต่อจากนี้เขาจะนำชื่อของรัชทายาทไปใช้เพื่อทำให้ผู้อื่นหวาดกลัวดี?
“งั้นก็รีบไปทำ” จ่างซุนเหลียงสะบัดมือ
ถงจินหยุนรีบลุกขึ้นยืนและวิ่งไปซ่อมประตูอย่างเชื่อฟัง
เมื่อเห็นชายชราที่เป็นคนพังประตูกำลังซ่อมประตูด้วยท่าทางตระกุกตระกักทุกคนก็แน่นิ่งไร้คำพูดและแสร้งทำเป็นไม่เห็น
ล้งเกาเฟยรู้สึกสะใจ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าทำตัวกร่างไว้เยอะหรอกรึ?
หลังจากซ่อมประตูทั้งสิบบานเสร็จ ถงจินหยุนก็มากล่าวขออภัยจ่างซุนเหลียงอีกครั้งและรีบเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
จ่างซุนเหลียงยิ้มและกล่าว “น้องชายหลิง คงถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว จะอย่างไรก็ขอแสดงความยินดีกับชัยชนะในการประลองที่จะถึงด้วย”
แม้การประลองจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ผลลัพธ์ย่อมเป็นที่แน่นอนแล้ว
จ่างซุนเหลียงลุกขึ้นยืน แต่ทันใดนั้นเองเขาก็สำลักและกระอักโลหิตออกมา
ตอนที่ 1709 บรรลุเป็นราชาเซียนในที่สุด
หลิงฮันขมวดคิ้วและกล่าว “พี่ชายจ่างซุน บาดแผลของท่านยังไม่หายดีงั้นรึ?”
ก่อนหน้านี้ที่ทั้งสองคนใช้ดวงวิญญาณเข้าปะทะกันนั้น สำหรับหลิงฮันแล้ววิญญาณของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรก็จริง แต่จ่างซุนเหลียงไม่ได้ผิดมนุษย์มนาเหมือนกับเขา ดวงวิญญาณของอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บสาหัสและคงใช้เวลาพอสมควรกว่าจะฟื้นฟูได้
โชคดีที่สถานที่แห่งนี้คือดินแดนแห่งเซียนซึ่งมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำอยู่มากมายนับไม่ถ้วน ภายในเวลาไม่กี่เดือนอาการบาดเจ็บของดวงวิญญาณจ่างซุนเหลียงจะต้องถูกฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์อย่างแน่นอนและไม่ส่งผลต่อการเดินทางไปยังหุบเหวสืบสานนิพพาน
เพียงแต่ว่าในระยะเวลาไม่กี่เดือนต่อจากนี้ พลังต่อสู้ของจ่างซุนเหลียงคงไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มที่ แต่ด้วยการที่เขาเป็นราชาในหมู่ราชา แม้จะใช้พลังต่อสู้ได้เพียงครึ่งเดียวก็ย่อมสามารถกำราบจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งทั่วไปได้อย่างไม่ยากเย็นอยู่ดี
“ข้าล่ะอิจฉาความสามารถในการฟื้นฟูของเจ้าจริงๆ” จ่างซุนเหลียงส่ายหัว ทั้งดวงวิญญาณของหลิงฮันและเขาต่างได้รับบาดเจ็บกันทั้งคู่ แต่ทว่าท่าทางของหลิงฮันในตอนนี้กลับดูสบายดีราวกับไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
จ่างซุนเหลียงขอตัวและหันหลังจากไป หลังจากนั้นไม่นานความรู้สึกซับซ้อนก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิงฮัน
การที่ได้สนทนาแลกเปลี่ยนความเข้าใจในศาสตร์วรยุทธและประลองกับจ่างซุนเหลียงเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นทำให้เขาได้รับประสบการณ์มากมาย หลังจากย่อยและซึมซับประสบการณ์เหล่านั้นแล้ว ความเข้าในใจรากฐานพลังบ่มเพาะของเขาจึงบรรลุถึงจุดที่จะทะลวงผ่าน
หลิงฮันมุ่งหน้าไปยังเขตป่าเขาไร้ผู้คนเพื่อรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
เมฆสายฟ้าค่อยๆก่อตัวรวมกันอย่างหนาแน่น ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของดินแดนแห่งเซียนนั้นรุนแรงกว่าของโลกบรรพกาลเนื่องจากขีดจำกัดของระดับพลังในดินแดนแห่งนี้คือระดับนิรันดร์ หลิงฮันรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์อย่างไม่ประมาทและไม่ผลีผลามขึ้นไปยังส่วนลึกของเมฆสายฟ้า
เวลาผ่านว่าไปครึ่งวัน เขาผ่านพ้นทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์สำเร็จและขัดเกลากายหยาบสูงขึ้นไปอีกระดับ ณ เวลานี้ความแข็งแกร่งของกายหยาบของเขาเทียบเท่าแร่โลหะกึ่งนิรันดร์หนึ่งดาวเป็นที่เรียบร้อย
ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้แม้จะยังไม่อาจต่อกรกับตัวตนระดับโลกียนิพพานได้ แต่ตัวตนระดับนั้นก็ไม่สามารถสังหารเขาได้ง่ายๆเช่นกัน อีกฝ่ายจำเป็นต้องใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์หล่อหลอมกายหยาบของเขาอย่างช้าๆถึงจะสามารถโจมตีสังหารได้
ความเป็นจริงแล้วในระดับสร้างสรรพสิ่งไม่มีขีดจำกัดสูงสุดเหมือนระดับพลังที่ผ่านมา เหตุผลที่ทำไมราชาเซียนบางคนถึงควบแน่นดวงดาราเกินหมื่นล้านดวงก็เป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้ ในระดับสร้างสรรพสิ่งนั้น ไม่ว่าจะควบแน่นดวงดารามากเท่าใดก็ไม่ช่วยให้แข็งแกร่งขึ้นหลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพาน
“เป้าหมายต่อไปคือระดับโลกียนิพพาน” หลิงฮันสูดหายใจลึก ตราบใดที่ก้าวสู้ระดับโลกียนิพพานได้ เขาจะถือว่าเป็นปรมาจารย์คนหนึ่งของดินแดนแห่งเซียน ไม่มีเหมือนระดับสร้างสรรพสิ่งที่ต่อให้เขามีพรสวรรค์โดดเด่นแค่ไหนก็ยังไม่ถือว่าเป็นปรมาจารย์แท้จริง
ระดับโลกียนิพพานคือย่างก้าวที่จะทำให้มีอายุขัยเป็นไร้ขีดจำกัด เพียงเท่านี้ก็รับรู้ได้แล้วว่าการจะก้าวเท้าผ่านเข้าไปเป็นเรื่องที่ยากลำบากขนาดไหน
ในดินแดนแห่งเซียน จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งมีมากมายราวกับหมาแมวที่เดินเพ่นพ่านไปทั่ว แต่นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานล่ะมีจำนวนเท่าใด?
ตัวตนระดับโลกียนิพพานในเมืองหนึ่งดาวนั้นมีจำนวนหลักสิบ ในเมืองหนึ่งดาวมีจำนวนหลักพัน เมื่อเทียบกับประชากรของเมืองที่มีหลายพันล้านนับไม่ถ้วนแล้ว จำนวนเพียงเท่านี้ถือว่าน้อยมาก
“ตอนนี้ในระดับสร้างสรรพสิ่งใครจะเป็นคู่ต่อสู้ให้ข้าได้?” หลิงฮันลูบคาง “น่าเสียดายที่ด้วยขีดจำกัดของระดับพลังทำให้ข้าไม่สามารถเรียนรู้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของระดับนิรันดร์ได้ ไม่เช่นนั้นข้าจะสามารถสลักรูปแบบอาคมระดับนิรันดร์ลงบนร่างกาย และสามารถต่อสู้ได้ทัดเทียมกับปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพาน”
เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ หลิงฮันเลิกเพ้อฝันและสลักรูปแบบอาคมระดับราชาเซียนลงบนร่างกาย แต่ไม่ว่าเขาจะสลักรูปแบบอาคมมากมายขนาดไหน พลังต่อสู้กลับเพิ่มขึ้นมาเพียงหนึ่งในหมื่น!
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?” หลิงฮันชะงัก เขาสลักรูปแบบอาคมราชาเซียนไปทั้งหมดเก้าร้อยเก้าสิบเก้ารูปแบบ แต่พลังต่อสู้กลับเพิ่มขึ้นมาเพียงหนึ่งในหมื่น!
“หากฮูหนิวยังอยู่ในระดับสร้างสรรพสิ่งล่ะก็ ข้าอยากประลองกับนางดูจริงๆว่าพลังต่อสู้ของราชาเซียนจากนิกายมหาอำนาจจะทรงพลังเพียงใด”
ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์คือขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ฮูหนิวนั้นเป็นผู้สืบทอดสายเลือดโดยตรงของประมุขตำหนักรุ่นก่อน พลังต่อสู้ของนางในระดับสร้างสรรพสิ่งย่อมไร้เทียมทานมากเป็นแน่
“จะว่าไปข้าเองก็มาถึงดินแดนแห่งเซียนนานพอควรแล้ว แต่ยังไม่รู้เสียทีว่าตำหนักมัจฉาวายุภักษ์นั้นอยู่ในดินแห่งเซียนฝั่งตะวันออกหรือฝั่งตะวันตก”
ดินแดนแห่งเซียนกว้างใหญ่เกินไป ขนาดตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะอย่างจักรพรรดิเพลิงอัสนีก็ยังเคยเข้าไปยังอาณาเขตของขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์เพียงไม่กี่แห่ง เพราะงั้นการที่เมืองเล็กสองดาวเช่นนี้จะไม่มีข้อมูลของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
“บางทีหากเป็นตระกูลฟู่ อย่างน้อยก็อาจจะรู้ก็ได้ว่าตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ตั้งอยู่ทีใด” หลิงฮันพึมพำ
เมื่อกลับมาถึงที่พักเขาก็ขอให้จักรพรรดินีช่วยประมือกับเขาในหอคอยทมิฬ ผลลัพธ์ก็คือจักรพรรดินีถูกต้อนให้ใช้ทักษะและพลังทั้งหมดออกมาเพื่อป้องกันการโจมตีของเขา แต่ประเด็นคือหลิงฮันนั้นไม่ได้ใช้ทักษะใดๆโจมตีนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว!
ช่างเป็นพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งจนน่ากลัว…
สองวันต่อมา ในที่สุดการประลองยุทธก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
การประลองรอบแรกและรอบสองนั้นไม่มีตัวแทนจากเมืองใดเลยที่เป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้ ผลการประลองนั้นขึ้นอยู่กับว่าหลิงฮันต้องการให้ศัตรูยืนหยัดได้นานเพียงใด
หลังจากการประลองคัดเลือกช่วงแรกสิ้นสุดลง สามสิบสองกลุ่มที่เหลือก็จับฉลากเลือกคู่ต่อสู้อีกครั้งเพื่อเริ่มการประลองรอบสุดท้าย
คู่ต่อสู้แรกในการประลองรอบสุดท้ายของเมืองธุลีจันทราคือผู้ชนะเลิศในครั้งก่อน… เมืองสองมหาภพที่นำโดยหยวนซิ่งผิง
เหล่าผู้ชมต่างพูดคุยกันว่าม้ามืดอย่างเมืองธุลีจันรทราคงมาได้เพียงแค่นี้ ช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีจากการประลองครั้งก่อน พลังของหยวนซิ่งผิงในตอนนี้ย่อมแข็งแกร่งกว่าเดิมมากและคว้าชัยชนะได้อย่างง่ายดายไม่ผิดแน่
แต่ทว่าเหล่าผู้ชมก็ต้องตกตะลึงและส่งเสียงเอะอะ ทันทีที่ทั้งสองกลุ่มขึ้นสู่ลานประลอง หยวนซิ่งผิงก็เป็นฝ่ายประกาศขอยอมแพ้ทันที
“หลิงฮัน แม้ตอนนี้ความต่างชั้นระหว่างข้ากับเจ้าจะกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด แต่หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพานแล้ว ความต่างชั้นที่ว่าจะไม่มีอีกต่อไป”
“เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะขอท้าประลองกับเจ้าอีกครั้ง!” แม้หยวนซิ่งผิงจะยอมรับความพ่ายแพ้แต่ก็ไม่สูญเสียจิตวิญญาณสู้รบ ในทางกลับกัน จิตวิญญาณของเขาลุกโชนราวกับเปลวเพลิงเสียด้วยซ้ำ
หลิงฮันหัวเราะ คนแบบนี้ล่ะคือคู่ต่อสู้ที่เขาชื่นชอบและเคารพ เขาพยักหน้าและกล่าว “ข้าจะตั้งตารอ”
“เจ้าควรจะรีบดีกว่า ข้าไม่อยากรอหลายสิบล้านปีเพื่อท้าประลองเจ้า!” หยวนซิ่งผิงสะบัดมือก่อนจะนำกลุ่มของตนลงจากลานประลอง
ถ้าหลิงฮันพลาดโอกาสเข้าสู่หุบเหวสืบสานนิพพานที่จะเปิดขึ้นในรอบนี้เขาจำเป็นต้องรอไปอีกสิบล้านปี แม้ในช่วงเวลาสิบล้านปีจะมีสถานที่สำหรับทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานอื่นๆอยู่อีก แต่หยวนซิ่งผิงก็เชื่อว่าอัจฉริยะเช่นหลิงฮันจะต้องเลือกหุบเหวสืบสานนิพพานเป็นสถานที่ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแน่นอน แม้จะต้องรอถึงสิบล้านปีก็ตามที
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะนำมือขึ้นมาจับคางและครุ่นคิด เหตุใดทุกคนถึงได้คิดว่าเขาจะบ่มเพาะพลังไม่ทันหุบเหวสืบสานนิพพานที่จะเปิดขึ้นในรอบนี้กัน?
ตอนที่ 1710 การมาถึงของเมืองร้อยมหาอำนาจ
การที่หยวนซิ่งผิงยอมแพ้แบบนี้ ส่งผลให้ผู้ชมส่งเสียงเอะอะ
หรือนี่จะเป็นการล้มมวย?
เหล่าตัวตนระดับสูงของนิกายจันทราหม่นแสงไม่คิดเช่นนั้นเนื่องจากพวกเขารู้ว่าหลิงฮันและจ่างซุนเหลียงมีพลังต่อสู้ที่ทัดเทียมกัน
เมืองธุลีจันรทรานั้นไร้คู่ต่อสู้อย่างสมบูรณ์ ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเปียนเจ๋อและอัจฉริยะคนอื่นๆที่เข้าร่วมงานเลี้ยงบนเกาะเมฆาเซียนพบเจอหลิงฮัน พวกเขาจะรีบเป็นฝ่ายเอ่ยขอยอมแพ้ด้วยตนเองทันทีโดยที่ไม่แม้แต่จะลองสู้ก่อน
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้พวกเม่าซูอวี่รู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก พวกนางเข้ารอบมาถึงการประลองช่วงสุดท้ายแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ปะทะอย่างดุเดือดเลยสักครั้ง
เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดนัก
แม้จะสับสนแต่พวกนางก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน นั่นเพราะตราบใดที่เอาชนะการประลองรอบสุดท้ายได้ พวกนางก็จะได้เป็นผู้ชนะ!
ผู้ชนะ!
ครั้งสุดท้ายที่เมืองธุลีจันรทราเป็นผู้ชนะคือเมื่อปีที่เม่าไต้เป็นตัวแทน แต่เมื่อครั้งนั้นเม่าไต้ต้องพบเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากมายและพยายามอย่างสุดความสามารถกว่าจะคว้าชัยมาครอง ผิดกับครั้งนี้ที่คู่ต่อสู้ที่ทรงพลังเป็นฝ่ายขอยอมแพ้ทันทีทั้งๆที่ยังไม่ทันได้สู้
เหล่าผู้ชมที่เดิมพันเงินจำนวนมหาศาลไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เห็นชัดๆเลยว่าแต่ละกลุ่มกำลังล้มมวยอยู่
พวกเขาบุกไปประท้วง ณ ที่ทำการรับเดิมพันจนเหล่าตัวตนระดับสูงของนิกายจันทราหม่นแสงต้องออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกาะเมฆาเซียนเพื่อทำให้ทุกคนสงบสติอารมณ์
ที่แท้หลิงฮันก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้!
คู่ต่อสู้กลุ่มสุดท้ายของพวกหลิงฮันคือเมืองเพลิงฟ้าครามที่นำโดยตันอวี่จิง สตรีผู้นี้เองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เมื่อไม่มีหยวนซิ่งผิงคอยขวางทางกลุ่มของนางจึงฝ่าฟันเอาชนะมาได้จนถึงการประลองสุดท้ายและได้มาพบเจอกับศัตรูที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องรู้สึกสิ้นหวัง
เหล่าตัวตนระดับสูงหลายคนปรากฏตัวเมื่อการประลองมาถึงช่วงสิ้นสุด รัชทายาทอย่างจ่างซุนเหลียงเองก็ปรากฏตัวด้วยเช่นกัน บางทีเขาอาจจะมาเพื่อเป็นผู้มอบรางวัลชนะเลิศให้หลิงฮันด้วยตนเอง แม้รางวัลจะเป็นเพียงสมบัติเล็กๆน้อยๆอย่างศิลาดวงดาวไม่กี่ก้อน แต่คุณค่าที่แท้จริงของชัยชนะเลิศคือชื่อเสียงของผู้ชนะต่างหาก
สำหรับเหล่าขุมอำนาจภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสงนั้น เมืองจันทราหม่นแสงเปรียบได้ดั่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หากคว้าชัยชนะจากการประลองที่จัดขึ้นในเมืองแห่งนี้ได้ ชื่อเสียงของพวกเขาย่อมโด่งดั่งตระหง่านสูงเสียดฟ้า
ทางด้านตันอวี่จิงนั้นดื้อรั้นและเลือกที่จะไม่ยอมแพ้ นางทุ่มสุดตัวกับการประลองนัดสุดท้ายนี้
ภายใต้การชี้นำของนาง เหล่าตัวแทนจากเมืองเพลิงฟ้าครามกระหน่ำปลดปล่อยการโจมตีกันอย่างพร้อมเพรียง แต่ต่อหน้าหลิงฮัน พลังเพียงเท่านี้ไม่อาจนับเป็นอันใดได้ เขาสามารถปัดป้องการโจมตีของทั้งสิบคนได้อย่างง่ายดาย
การประลองนัดสุดท้ายครั้งนี้นับว่ามีความแตกต่างในด้านพลังมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจผลการประลองก็เป็นที่ประจักษ์ จ่างซุนเหลียงลุกขึ้นยืนและทำหน้าที่มอบรางวัลให้แก่กลุ่มตัวแทนที่ชนะ
“ฮึ่ม!” จู่ๆเงาของใครบางคนก็ปรากฏตัว ร่างของเงานั้นมีอำนาจแห่งเต๋าปกคลุมไปทั่วร่าง
“อาจารย์!” “ท่านประมุข!” เหล่าตัวตนระดับสูงของนิกายจันทราหม่นแสงอุทานออกมา นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานทุกคนต่างคุกเข่าน้อมคารวะ
ร่างที่ปรากฏตัวคือผู้ก่อตั้งนิกายจันทราหม่นแสง ปรมาจารย์ระดับตัดวิญญาณสวรรค์
ประมุขของนิกายจันทราหม่นแสงไม่แยแสผู้ใด เขาจดจ้องไปยังท้องฟ้าด้วยสีหน้ามืดมน
ทุกคนแหงนมองท้องฟ้าตามๆกัน เมื่อเวลาผ่านไปราวๆครึ่งก้านธูป เรือเหาะขนาดใหญ่ก็ได้ลอยเข้ามาใกล้จากทางท้องฟ้า ที่บริเวณหัวเรือมีสัญลักษณ์ธงเจ็ดดาวแขวนเอาไว้
“เมืองร้อยมหาอำนาจ!” ใครบางคนอุทานขึ้นมา
เมืองร้อยมหาอำนาจคือเมืองสองดาวที่อยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ ด้วยการที่เมืองร้อยมหาอำนาจกับเมืองจันทราหม่นแสงมีอำนาจทัดเทียมกัน ทั้งสองเมืองจึงตั้งตนเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
ผู้ที่ปกครองเมืองร้อยมหาอำนาจคือตระกูลเซียวแต่เพียงผู้เดียว ผิดกับเมืองจันทราหม่นแสงที่อยู่ภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสง
ที่เมืองร้อยมหาอำนาจขับเคลื่อนเรือเหาะมายังเมืองของพวกเขาเช่นนี้ หรือจะเป็นสัญญาณริเริ่มสงคราม?
‘ตุบ’ ชายชราที่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งเต๋ากระโดดลงมาจากเรือเหาะ ที่มือขวาของเขาจับพาร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งลงมาด้วย
ชายชรายิ้มและกล่าว “พี่ชายเถีย เหตุใดต้องทำหน้าโหดเหี้ยมเช่นนั้น?”
“จิ้งจอกเฒ่าตง เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฮ่าๆ พอดีตระกูลเซียวของข้าได้พบเจอเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดคนหนึ่งเข้า ในระดับพลังเดียวกันเมล็ดพันธุ์ที่ข้าพบเจอผู้นี้ไม่เคยมีใครเป็นคู่ต่อสู้ให้เขาได้มาก่อน ข้าเคยได้ยินมาว่ารัชทายาทของนิกายเจ้าเองก็ไม่ได้อ่อนแอ เพราะงั้นจึงได้มาที่นี่เพื่อขอคำชี้แนะเสียหน่อย” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชื่อของเขาคือเซียวตง หนึ่งในปรมาจารย์ที่ทรงพลังระดับตัดวิญญาณสวรรค์ของตระกูลเซียว
รุ่นเยาว์ที่ยืนอยู่ด้านข้างชายชราผสานมือคารวะและกล่าว “คารวะผู้อาวุโส ข้าน้อยมีชื่อว่าเซียวเซิ่ง”
ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงกวาดสายตามองรุ่นเยาว์ที่ชื่อเซียวเซิ่งและกล่าว “หนุ่มน้อย เจ้าต้องการท้าประลองจ่างซุนเหลียง?”
“แค่การประลองแลกเปลี่ยนทั่วไปเท่านั้น ผู้อาวุโสโปรดยินยอม” เซียวเซิ่งตอบอย่างสุภาพ แต่ใบหน้าของเขากลับเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มยั่วยุ
“โอ้?” ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงแสดงท่าทีเหยียดหยามเล็กน้อย เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายต้องการท้าประลองจ่างซุนเหลียงเพื่อหวังสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงหันไปมองจ่างซุนเหลียงพร้อมกับกล่าว “เหลียงเอ๋อร์ มาประลองกับรุ่นเยาว์ผู้นี้”
“ขอรับท่านประมุข” จ่างซุนเหลียงเอ่ยตอบอย่างสุภาพและก้าวเดินออกมา
เซียวเซิ่งเองก็ก้าวขึ้นหน้าเล็กน้อยเพื่อยืนเผชิญหน้ากับจ่างซุนเหลียง
“สถานการณ์ชักไม่ค่อยดีแล้ว” สีหน้าของหลิงฮันมืดมน แม้เขาจะรู้สึกไม่ชอบหน้าเซียวเซิ่งแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่อ่อนแอไปกว่าจ่างซุนเหลียงเลยก็ว่าได้
สัญชาตญาณบอกเขาแบบนั้น…
หากจ่างซุนเหลียงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ย่อมไม่มีปัญหา แต่ประเด็นคือตอนนี้ดวงวิญญาณของจ่างซุนเหลียงได้รับบาดเจ็บอยู่และไม่สามารถใช้พลังต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ การประลองนี้นับว่าอันตรายต่อตัวของจ่างซุนเหลียงมาก
แต่จักรพรรดินีนั้นตรงกันข้ามกันหลิงฮัน นางไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าจ่างซุนเหลียงจะพ่ายแพ้หรือถูกสังหาร
แต่ในเมื่อหลิงฮันรู้สึกเป็นห่วงจ่างซุนเหลียง นางจึงกวาดสายตามองไปยังเซียวเซิ่งครู่หนึ่งและกล่าว “ชายผู้นั้นไม่อ่อนแอไปกว่าจ่างซุนเหลียง ในสภาพร่างกายตอนนี้คงยากที่จ่างซุนเหลียงจะรับมือกับเขา”
หลิงฮันขมวดคิ้ว การประลองในครั้งนี้ไม่อาจหยุดกลางคันได้เนื่องจากมันไม่ใช่แค่การต่อสู้ระหว่างจ่างซุนเหลียงกับเซียวเซิ่งเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นตัวตัดสินชื่อเสียงของขุมอำนาจทั้งสองในอนาคตอีกด้วย
ที่อาจเป็นแบบนั้นก็เพราะทั้งสองคนคือผู้สืบทอดที่จะกลายเป็นผู้นำของขุมอำนาจฝั่งตนเองในอนาคต ฝ่ายใดที่แพ้ในการประลองย่อมทำให้ชื่อเสียงของขุมอำนาจฝั่งตนเองได้รับผลกระทบ
ตอนที่ 1711 ราชาอีกคน
การต่อสู้ที่รุนแรงใกล้ถึงคราวปะทุ
จ่างซุนเหลียงกล่าว “ข้าบ่มเพาะพลังมานานกว่าเจ้า เอาเป็นว่าข้าจะยอมให้เจ้าลงมือก่อนสามกระบวนท่า”
“ขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง” เซียวเซิ่งแสยะยิ้มเหยียดหยาม
เจ้าจะอวดดีได้ก็แค่ตอนนี้เท่านั้น รอถูกข้าเหยียบย่ำเมื่อไหร่ ตอนนั้นเจ้าจะร้องไห้ไม่ออก
เซียวเซิ่งไม่ผลีผลามลงมือ สายตาของเขาจดจ้องไปยังจ่างซุนเหลียงพร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอาย เซียวเซิ่งทรงพลังเป็นอย่างมาก ออร่าสีแดงค่อยๆพรั่งพรูออกมาอย่างท่วมท้นจนกลายเป็นคลื่นมหาสมุทร ท่ามกลางออร่ามีตราประทับแห่งเต๋าจำนวนมากพัวพันอยู่
สิ่งนี้ยังเรียกว่าออร่าได้อีก? มันคืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันทรงพลัง… มหาสมุทรเปลวเพลิง!
สีหน้าของจ่างซุนเหลียงแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง อีกฝ่ายทรงพลังมากเขาไม่อาจประมาทได้
ศัตรูผู้นี้ไม่อ่อนแอไปกว่าหลิงฮัน! เขารีบโคจรปราณก่อเกิดเต็มพลังเพื่อรับมือ
“วายุพินาศ!” เซียวเซิ่งชี้นิ้ว ‘พรึบ’ คลื่นลมอันทรงพลังถูกปลดปล่อยออกมาและถาโถมเข้าใส่จ่างซุนเหลียง
จ่างซุนเหลียงยกมือขึ้นมาและผลักออกด้านหน้า
ตูม!
จ่างซุนเหลียงสามารถป้องกันคลื่นวายุเอาไว้ได้แต่ก็ถูกทำให้ล่าถอยสามก้าว ที่บริเวณฝ่ามือปรากฏบาดแผลและมีโลหิตไหลออกมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นมืดมนทันที
เหล่าผู้ชมส่งเสียงเอะอะ
จ่างซุนเหลียงได้รับบาดเจ็บในกระบวนท่าแรก? เหลือเชื่อ!
พวกเขาคิดว่าเซียวเซิ่งเพียงแค่อยากเกาะชื่อเสียงของจ่างซุนเหลียงทำให้ตนเองโดดเด่นเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วอีกฝ่ายมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งพอจะโค่นล้มจ่างซุนเหลียงได้เลย
หากจ่างซุนเหลียงพ่ายแพ้ขึ้นมาจริงๆ ชื่อเสียงต่างๆที่สะสมมาก็จะตกเป็นของเซียวเซิ่งทันที
“เหตุใดพี่ชายจ่างซุนถึงได้อ่อนแอเช่นนี้!” เซียวเซิ่งแสร้งทำเป็นประหลาดใจก่อนจะส่ายหัว “น่าผิดหวังจริงๆ ข้าคิดว่าท่านจะแข็งแกร่งกว่านี้เสียอีก ถึงได้โจมตีเต็มแรงไปตั้งแต่กระบวนท่าแรกจนท่านได้รับบาดเจ็บ”
“กระบวนท่าต่อไป ข้าจะระวังก็แล้วกัน!” เขากล่าวต่อ
จ่างซุนเหลียงไม่แสดงท่าทีเกรี้ยวกราด สิ่งที่จะตัดสินการต่อสู้ระหว่างราชาในหมู่ราชานั้นไม่ใช่ฝีปากแต่เป็นพลัง
จ่างซุนเหลียงมั่นใจว่าพลังของตนเองไม่ได้อ่อนแอกว่าอีกฝ่าย ก่อนหน้านี้เขาก็ประมาทเกินไปหน่อยเพราะไม่คิดว่าการโจมตีของเซียวเซิ่งจะทรงพลังขนาดนี้ ยิ่งกว่านั้นหากไม่ใช่เพราะเขาเปิดปากสัญญาเองกว่าจะยอมให้อีกฝ่ายโจมตีก่อนสามกระบวนท่า เขาคงลงมือโจมตีสวนกระบวนท่าที่แล้วและทำให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บเหมือนกันไปแล้ว
จ่างซุนเหลียงขุดหลุมฝังตัวเองเพราะสัญญาที่จะให้เซียวเซิ่งโจมตีก่อนสามกระบวนท่าเลยแท้ๆ และด้วยศักดิ์ศรีของราชาแห่งยุคที่ค้ำจุนอยู่ เขาย่อมไม่มีทางผิดคำพูดตนเองเด็ดขาด
เซียวเซิ่งเริ่มโคจรพลังเพื่อเตรียมตัวโจมตีกระบวนท่าถัดไป เขาไม่รู้สึกอับอายที่เอาเปรียบจ่างซุนเหลียงเลยแม้แต่น้อย เพื่อชัยชนะแล้วใครกันจะไปสนวิธีการ?
หลังจากสะสมพลังปราณได้ครู่หนึ่ง เซียวเซิ่งก็ลงมือ เขาพุ่งทะยานร่างออกไปและโจมตีเข้าใส่จ่างซุนเหลียงด้วยหมัดที่ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง
อำนาจของหมัดที่ซัดออกไปส่งผลให้ท่องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยฝนเปลวเพลิง
ประมุขของนิกายจันทราหม่นแสงยื่นมือออกไปควบคุมรัศมีของฝนเปลวเพลิงเอาไว้เพื่อไม่ให้คนนอกได้รับผลกระทบ
จ่างซุนเหลียงคำรามและสร้างโล่คุ่มกันรอบกาย
เนื่องจากคำสัญญาที่กล่าวออกไปเขาจึงทำได้เพียงแค่ป้องกันหรือหลบหลีกเท่านั้น ด้วยการที่เขาไม่สามารถโจมตีตอบโต้กลับไปได้ ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบอย่างสิ้นเชิง
เซียวเซิ่งหัวเราะ เปลวเพลิงจากหมัดที่ซัดออกไปแปรสภาพกลายเป็นปากเปลวเพลิงขนาดมหึมากัดเข้าใส่ร่างจ่างซุนเหลียง
ปัง!
ร่างของจ่างซุนเหลียงถูกคลื่นทำอำนาจจากเปลวเพลิงทำให้ต้องล่าถอยอีกครั้ง โล่คุ้มกันรอบกายเขาปรากฏรอบร้าวและพังทลาย
เพียงแต่ป้องกันอย่างเดียวจะต้านทานการโจมตีของราชาในระดับเดียวกันได้อย่างไร?
วิธีการตอบโต้ที่ได้ผลที่สุดคือต้องใช้การโจมตีสลายการโจมตี
แม้จ่างซุนเหลียงจะสามารถรับสองกระบวนท่าเอาไว้ได้ แต่สถานการณ์ของเขาเองก็ไม่สู้ดีนัก ร่างของเขาสั่นสะท้านแทบจะกระอักโลหิตออกมา
เหลืออีกหนึ่งกระบวนท่า!
“พี่ชายจ่างซุน ท่านไม่เป็นอะไรนะ?” ใบหน้าของเซียวเซิ่งเป็นกังวลในขณะที่แววตาแสดงออกถึงความรู้สึกเยาะเย้ย
“เห้อ ก่อนหน้านี้ข้าอุตส่าห์คิดว่าจะได้พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อแท้ๆ แต่กลายเป็นว่าความจริงท่านกลับอ่อนแอถึงเพียงนี้” เขากล่าวดูหมิ่นจ่างซุนเหลียง
“ไม่ต้องพล่ามไร้สาระ!” จ่างซุนเหลียงกล่าวอย่างไม่แยแส เขาเปลี่ยนความเกรี้ยวกราดให้กลายเป็นจิตวิญญาณสู้รบ รอให้ถึงคราวที่เขาสามารถโจมตีสวนกลับได้ก่อน เขาจะทำให้อีกฝ่ายได้รับรู้เองว่าคนที่ดูถูกจ่างซุนเหลียงจะมีชะตากรรมเช่นใด!
เซียวเซิ่งแสยะยิ้มและกล่าว “งั้นก็เชิญรับกระบวนท่าที่สามจากข้า!” เขาโคจรพลังเตรียมปลดปล่อยกระบวนท่าที่ทรงพลังอีกครั้ง คราวนี้เปลวเพลิงที่พรั่งพรูออกมาจากร่างของเขาได้แปรสภาพกลายเป็นสัตว์อสูร
สองตัว สามตัว สี่ตัว ห้าตัว…เปลวเพลิงอันไร้ที่สิ้นสุดแปรสภาพกลายเป็นสัตว์อสูรนับไม่ถ้วน สัตว์อสูรเพลิงแต่ละตัวมีตราประทับแห่งเต๋าพัวพันอยู่ ราวกับว่าเพียงแค่สัมผัสโดนเล็กน้อย เป้าหมายก็จะถูกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงแผดเผา
“กองทัพหมื่นอสูร!” เซียวเซิ่งหัวเราะและชี้นิ้วไปยังจ่างซุนเหลียง “จัดการ!”
‘ครืนน’ ฝูงสัตว์อสูรเพลิงบุกทะลวงพุ่งเข้าหาจ่างซุนเหลียง เสียงฝีเท้าอันหนักหน่วงสนั่นปฐพีของพวกมันทำให้ดูราวกับสงครามระดับกองทัพกำลังจะเกิดขึ้น
จ่างซุนเหลียงเค้นเสียงและยกหมัดขึ้นมากระหน่ำเข้าใส่ฝูงสัตว์อสูรเปลวเพลิง
เขาไม่กล้าใช้มือเปล่าโจมตีสัตว์อสูรที่ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิง ‘พรึบ’ มือของเขาปกคลุมไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าสีทองจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทองคำ
“พี่ชายจ่างซุน ท่านไม่รู้รึว่าเปลวเพลิงเป็นธาตุที่กดขี่ทองคำ?” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม ร่างของเขาในตอนนี้ยืนอยู่ห่างจากจ่างซุนเหลียงพอสมควร ซึ่งไม่ได้ตามไปสมทบกับกองทัพอสูรเพลิง
เขาต้องการใช้ช่วงจังหวะนี้ฟื้นฟูปราณก่อเกิด ที่ต้องทำแบบนี้ก็เพราะทักษะที่อัญเชิญกองทัพอสูรเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนออกมานั้นได้เผาผลาญพลังงานของเขาไปอย่างมหาศาล กล่าวได้ว่าเขาใช้ประโยชน์จากคำสัญญา ‘ให้โจมตีก่อนสามกระบวนท่า’ ได้อย่างคุ้มค่า
จ่างซุนเหลียงขมวดคิ้ว เขาเองก็รู้ว่าธาตุเพลิงนั้นชนะทางธาตุทองคำ แต่ตราบใดที่พลังของผู้ใช้ธาตุทองคำเหนือกว่าพลังของผู้ใช้ธาตุเปลวเพลิงก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องข้อจำกัดอย่างหลักชนะธาตุแพ้ธาตุ
ตัวเขานั้นเป็นราชาแห่งยุคที่มีพลังต่อสู้เหนือทุกคนในระดับเดียวกัน ตามปกติแล้วเขาคงไม่สนใจเรื่องการแพ้ทางของธาตุ แต่การต่อสู้ครั้งนี้แตกต่างออกไป พลังต่อสู้ของเซียวเซิ่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขา ซึ่งทำให้เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างสมบูรณ์
ตอนที่ 1712 จ่างซุนเหลียงพ่ายแพ้และหล...
ในการประลองระหว่างราชา แม้จะเป็นปัจจัยที่เสียเปรียบเพียงเล็กน้อยอย่างการแพ้ทางธาตุก็สามารถนำไปสู่ความพ่ายแพ้ได้
ตูม!
กว่าสัตว์อสูรทั้งหมดจะถูกกำจัด ร่างของจ่างซุนเหลียงก็ถูกทำให้ล่าถอยไปสามสิบกว่าก้าว ตามเสื้อผ้าของเขาปรากฏร่องรอยไหม้เกรียมมากมาย แต่โดยรวมก็ถือว่ายังอยู่ในสภาพดีเนื่องจากเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่คือสมบัติที่มีความสามารถป้องกันที่ยอดเยี่ยม
แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังไม่ใช่สมบัติระดับกึ่งนิรันดร์อยู่ดี จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะต้านทานพลังโจมตีของราชาเซียนสูงสุดได้อย่างสมบูรณ์
แต่นี่ก็เป็นเพราะผู้ที่สวมใส่ชุดสมบัติเอาไว้คือจ่างซุนเหลียง หากเป็นจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งคนอื่น แม้จะสวมชุดสมบัติเอาไว้ก็คงหนีไม่พ้นกลายเป็นเถ้าถ่านจากการโจมตีเมื่อครู่
จ่างซุนเหลียงอ้าปากสูดลมหายใจลึก บริเวณมุมปากของเขามีโลหิตไหลออกมา นอกจากหลิงฮันแล้วคงไม่มีใครอื่นสามารถรับการโจมตีจากราชาระดับเดียวกันได้โดยไม่บาดเจ็บ
ดวงตาส่องประกายโหดเหี้ยม แม้แต่ตอนที่ปะทะกับหลิงฮันคราวก่อน เขาก็ยังไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดขนาดนี้
ไม่ใช่ว่าเซียวเซิ่งแข็งแกร่งกว่าหลิงฮัน แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายใช้ประโยชน์จากคำพูดของเขา โจมตีมาด้วยสามกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุด
เซียวเซิ่งปรบมือและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอยอมรับว่าพี่ชายจ่างซุนพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง ข้าคิดว่าท่านจะรับมือกับสามกระบวนท่าของข้าไม่ได้เสียด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ผู้คนรอบข้างก็รู้สึกโมโหขึ้นมา
หากไม่ใช่เพราะรัชทายาทยอมให้โจมตีก่อน เขาจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้อย่างไร?
แต่พวกเขาทุกคนเองก็ต้องยอมรับว่าเซียวเซิ่งเองก็ทรงพลังอย่างแท้จริง แม้จ่างซุนเหลียงจะไม่ยอมให้โจมตีก่อนสามกระบวนท่า อีกฝ่ายก็น่าจะต่อสู้ได้อย่างทัดเทียม
“แต่ว่านะพี่ชายจ่างซุน ท่านยืนอยู่ในต่ำแหน่งราชารุ่นเยาว์อันดับหนึ่งนานเกินไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องสละบัลลังก์เสียที!” เซียวเซิ่งหัวเราะและพุ่งทะยานเพื่อลงมือต่อ ปราณก่อเกิดของเขาถูกฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์แล้ว ผิดกับจ่างซุนเหลียงที่ได้รับบาดเจ็บ ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะกำราบจ่างซุนเหลียงให้ราบคาบ
การประลองระหว่างราชารุ่นเยาว์ทั้งสองนี้คือการต่อสู้เพื่อแย่งชิงชื่อเสียง ฝ่ายใดที่ชนะมีสถานะอยู่เหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
แน่นอนว่าจ่างซุนเหลียงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เขาเมินเฉยต่อบาดแผลที่ได้รับและประจันหน้ากับอีกฝ่ายซึ่งๆหน้า
สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้ทุกคนได้เห็นว่าจ่างซุนเหลียงแข็งแกร่งขนาดไหน แม้ร่างกายจะได้รับบาดเจ็บเขาก็ยังสามารถต่อกรกับเซียวเซิ่นได้อย่างสูสีและไม่มีท่าทีว่าจะเสียเปรียบแม้แต่น้อย
หลิงฮันที่จ้องมองอยู่ขมวดคิ้ว
ชักไม่ได้การแล้ว…
จ่างซุนเหลียงได้รับบาดเจ็บที่ดวงวิญญาณเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแถวยังต้องมารับสามกระบวนท่าที่ทรงพลังโดยไม่อาจตอบโต้อีก พลังต่อสู้ของเขาสมควรจะถดถอยต่ำลงมา แต่จากที่เห็นในตอนนี้พลังต่อสู้ของจ่างซุนเหลียงกลับไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย ซึ่งเป็นเพราะอะไรน่ะรึ?
เขาจะต้องใช้ทักษะลับอะไรบางอย่างระงับอาการบาดเจ็บของตนเองเอาไว้
หากจ่างซุนเหลียงเอาชนะเซียวเซิ่นไม่ได้โดยเร็ว ไม่เพียงแต่พลังต่อสู้ของเขาจะกลับมาถดถอยเหมือนเดิม แต่บาดแผลจะยิ่งสาหัสมากขึ้นเพราะฝืนใช้ทักษะลับอีกด้วย
ทักษะลับที่ฝืนสวรรค์ทักษะใดบ้างที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทน?
ขนาดหลิงฮันยังมองออกมีรึที่ตัวตนระดับสูงของนิกายจันทราหม่นแสงจะมองไม่ได้? พวกเขาเผยสีหน้าตรึงเครียด หากจ่างซุนเหลียงทุ่มเทพลังทั้งหมดแล้วเอาชนะเซียวเซิงก็ดีไป
แต่เท่าที่เห็นนั้นเซียวเซิ่นเองก็ทรงพลังไม่แพ้กัน ต่อให้ทั้งสองปะทะกันโดยอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ก็ยังยากที่จะตัดสินได้ว่าใครเหนือกว่า เพราะงั้นแล้วมีรึที่จ่างซุนเหลียงในสภาพตอนนี้จะเอาชนะอีกฝ่ายได้ในระยะเวลาอันสั้น?
ต่อให้จ่างซุนเหลียงจะใช้ทักษะที่ทรงพลังที่สุดแต่อีกฝ่ายก็คงมีทักษะที่ทรงพลังพอจะตอบโต้กลับมาได้เช่นกัน
สถานการณ์เริ่มไม่สู้ดีเสียแล้ว!
เซียวตงลูบหนวดเคราและแสยะยิ้ม ทั้งเขาและตระกูลเซียวรอเวลานี้มานานแสนนานแล้ว
ก่อนหน้านี้การที่นิกายจันทราหม่นแสงมีราชาแห่งยุคอย่างจ่างซุนเหลียงปรากฏตัวนั้นทำให้ขุมอำนาจสองดาวภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่แตกตื่นเป็นอย่างมาก
เมื่อใดก็ตามที่จ่างซุนเหลียงเติบโตขึ้นมา ด้วยศักยภาพราชาในหมู่ราชาของเขา แม้จะยังไม่ทะลวงผ่านระดับขอบเขตตำหนักอมตะ แต่ในระดับแบ่งแยกวิญญาณคงไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ ด้วยเหตุนี้เองตระกูลเซียวจึงตกอยู่ในสถานการณ์ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แต่สวรรค์ก็ยังเข้าข้างพวกเขาและส่งเซียวเซิ่นมาให้!
เซียวเซินบ่มเพาะพลังมาได้ไม่ถึงสองหมื่นปีก็เผยให้เห็นถึงศักยภาพอันโดดเด่นไร้ผู้ใดเทียบตระกูลเซียวจึงได้ทำการฝึกฝนเขาอย่างลับๆ จนกระทั่งได้เปิดเผยตัวในวันนี้เอง
ด้วยการที่เซียวเฉินไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงมาก่อน ต่อให้เขาพ่ายแพ้ในการประลองนี้ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่หากเอาชนะการประลองนี้ได้ล่ะก็ สถานะของเซียวเซิ่นจะขึ้นเป็นราชาแห่งยุคแทนจ่างซุนเหลียงไปโดนปริยาย
เซียวตงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในใจ
จ่างซุนเหลียงพยายามคงสภาพพลังต่อสู้เอาไว้อย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายจู่ๆเขาก็ต้องกระอักโลหิตออกมาเนื่องจากระยะเวลาของทักษะลับได้มาถึงขีดจำกัดแล้วและไม่สามารถระงับอาการบาดเจ็บเอาไว้ได้อีกต่อไป
ฉัวะ!
หมัดของเซียวเซิ่นปรากฏคมมีดเปลวเพลิงและทะลวงเข้าใส่ไหล่ของจ่างซุนเหลียง พลังทำลายล้างของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ภายในเปลวเพลิงส่งผลให้จ่างซุนเหลียงหมดสภาพและไม่สามารถสู้ต่อได้
“ฮ่าๆๆ นี่น่ะรึอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งยุค?” เซียวเซิ่นกล่าวเยาะเย้ยจ่างซุนเหลียงด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “ช่างน่าขันนัก เจ้ามันไม่ได้ต่างไปจากขยะไร้ค่าเลยแม้แต่น้อย!”
“ตั้งแต่วันนี้ไปข้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่ง ราชาแห่งยุคเพียงหนึ่งเดียว!”
เขาโยนร่างของจ่างซุนเหลียงออกจากลานประลองและยิ้มเย้ยหยัน
“จ่างซุนเหลียง ตั้งแต่นี้ไปจงอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะทุบตีเจ้าอีกครั้งจนต้องร้องไห้หามารดา”
เขากวาดสายตาดูถูกมองไปยังผู้ชมโดยรอบก่อนจะเผยสีหน้าหยิ่งยโสโอหัง “หรือพวกเจ้าคนใดยอมรับไม่ได้ก็ดาหน้ากันมาให้หมด ตราบใดที่มีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับสร้างสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะกี่คนข้าก็จะเป็นคู่ต่อสู้ให้!”
ทุกคนรู้สึกโมโหอย่างมาก แต่ต่อหน้าราชาที่แข็งแกร่งแม้พวกเขาจะมีจำนวนมากกว่าก็ไม่มีประโยชน์
หลิงฮันกระโดดขึ้นหน้าออกมา เขาพยุงร่างจ่างซุนเหลียงพร้อมกับกล่าว “พี่ชายจ่างซุนโปรดสบายใจ หลังจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
จ่างซุนเหลียงคว้าข้อมือหลิงฮันเอาไว้ เขากระอักโลหิตออกมาอีกครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าว “ระวังตัวด้วย พลังของชายผู้นั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าข้า!”
หลิงฮันยิ้มตอบกลับ “พี่ชายจ่างซุน ท่านไม่สังเกตเห็นรึว่าข้าทะลวงผ่านระดับแล้ว?”
จ่างซุนเหลียงชะงักแน่นิ่งทันที เนื่องจากพลังต่อสู้ของหลิงฮันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทำให้เขาเผลอมองข้ามพลังบ่มเพาะของหลิงฮันไปเสียสนิท
เขานึกขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วว่าในตอนที่หลิงฮันประลองกับเขาและเสมอกันนั้น หลิงฮันยังมีพลังบ่มเพาะเพียงแค่เซียนระดับสูงเท่านั้น หากตอนนี้อีกฝ่ายบรรลุเป็นราชาเซียนแล้วล่ะก็จะทรงพลังขึ้นขนาดไหน?
ที่แน่ๆคือต้องเป็นสัตว์ประหลาดที่เกินกว่าจะจินตนาการแน่นอน…
ตอนที่ 1713 เล่นโยนบอล
ทุกคนรู้สึกรันทดและเกรี้ยวกราด
แม้พวกเขาส่วนใหญ่จะไม่ใช่คนของนิกายจันทราหม่นแสงโดยตรง แต่ไม่ว่าจะเป็นเมืองธุลีจันรทราหรือเมืองสองมหาภพก็ล้วนแต่เป็นภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสง หากนิกายจันทราหม่นแสงถูกดูหมิ่นจะให้พวกเขาไม่รู้สึกรู้สาได้อย่างไร?
เหนือสิ่งอื่นใดคือการกระทำของเซียวเซิ่นนั้นน่ารังเกียจเกินไป
ชัยชนะของเขาไม่ได้น่าภูมิใจแม้แต่น้อย นอกจากจะใช้ประโยชน์จากคำสัญญาสามกระบวนท่าของจ่างซุนเหลียงแล้ว จ่างซุนเหลียงยังไม่สามารถต่อสู้ได้เต็มที่เพราะบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้วอีก
“ฮ่าๆๆ พี่ชายเถีย ดูเหมือนว่ารัชทายาทของท่านจะยังฝึกฝนมาไม่พอนะ!” เซียวตงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างไม่ไว้หน้า อันที่จริงเขาไม่คาดคิดด้วยซ้ำว่ากระบวนท่าสุดท้ายของเซียวเซิ่นจะทำให้จ่างซุนเหลียงบาดเจ็บสาหัสได้
บาดแผลที่จ่างซุนเหลียงได้รับในการประลองนี้จำเป็นต้องใช้เวลารักษาราวๆสองถึงสามปี ด้วยเหตุนี้อีกฝ่ายย่อมพลาดโอกาสที่จะเข้าสู่หุบเหวสืบสานนิพพานที่กำลังจะเปิดออกเร็วๆนี้แน่นอน
ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงมีสีหน้ามืดมน แต่เนื่องจากใบหน้าของเขามีตราประทับแห่งเต๋าปกคลุมเอาไว้คนอื่นๆจึงไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่บูดบึ้งของเขา
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่มีใครคิดสู้ พวกข้าก็ขอตัว” เซียวตงกวักมือไปยังเซียวเซิ่นเพื่อเป็นสัญญาณให้เตรียมตัวกลับ
“ช้าก่อน!”
แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆน้ำเสียงอันราบเรียบก็ดังขึ้น รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งเดินเข้าสู่ลานประลองอย่างเชื่องช้าโดยมีรอยยิ้มประดับไว้บนใบหน้า “ข้าขอท้าประลอง!”
เป็นหลิงฮัน!
เหล่าผู้คนที่อยู่บนชั้นที่นั่งคนดูเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมาทันใด พวกเขาได้รับรู้แล้วว่าหลิงฮันกับจ่างซุนเหลียงเคยปะทะกันมาก่อน ซึ่งอาการบาดเจ็บของจ่างซุนเหลียงในวันนี้ก็คงเป็นผลมาจากการประลองกับหลิงฮัน
เพียงแต่ว่าในเมื่อหลิงฮันกับจ่างซุนเหลียงเสมอกัน หากจ่างซุนเหลียงได้รับบาดเจ็บ หลิงฮันก็คงไม่ต่างกัน
การประลองนี้สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีเช่นเดิม
“เจ้าน่ะรึ?” เซียวเซิ่นกวาดสายตามองหลิงฮันก่อนจะเผยท่าทีเหยียดเหยาม “เจ้าเป็นใครและมีคุณสมบัติอันใดมาท้าประลองข้า?” เขาเพิ่งจะโค่นจ่างซุนเหลียงและกลายเป็นราชาแห่งยุคคนใหม่แท้ๆ ยังมีคนที่กล้าท้าประลองเขาอยู่ได้อย่างไร?
หลิงฮันไม่รู้สึกโมโหกับท่าทีของเซียวเซิ่น เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็กำลังจะทุบตีอีกฝ่ายให้เละเทะอยู่แล้ว เขายิ้มและกล่าว “ไม่ใช่เจ้าบอกเองรึว่าใครที่ไม่พอใจสามารถท้าประลองเจ้าได้ แถมยังไม่จำกัดจำนวนผู้ท้าประลองด้วย?”
“โอ้ นอกจากเจ้าแล้วยังมีคนอื่นที่ไม่พอใจอยู่อีก?” เซียวเซิ่นกล่าวเย็นชา
“ภรรยาข้า เจ้าพอใจรึไม่?” หลิงฮันเอ่ยถามจักรพรรดินี
“ไม่” จักรพรรดินีเอ่ยตอบ
ด้วยนิสัยที่ไม่แยแสใคร หากไม่ใช่เพราะหลิงฮันนางคงไม่ตอบเช่นนี้
“ก็อย่างที่เห็น พวกข้าสองคนไม่พึงพอใจ คงไม่ว่าอะไรนะหากพวกเราจะร่วมมือกันเผชิญหน้ากับเจ้า?” หลิงฮันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
เซียวเซิ่นไม่สบอารมณ์ เหตุใดคำพูกของอีกฝ่ายถึงน่าหงุดหงิดขนาดนี้ เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำก็สามารถทำให้เขารู้สึกเกรี้ยวกราดขึ้นมาได้ แต่เมื่อเขาชำเลืองมองไปยังจักรพรรดินี ความรู้สึกเกรี้ยวกราดก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ช่างมีเสน่ห์น่าดึงดูดยิ่งนัก!
เขาตัดสินใจทันทีว่าจะนำสตรีผู้นี้กลับเมืองร้อยมหาอำนาจไปพร้อมกันต่อให้ต้องลักพาตัวก็ตาม
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็ตอบกลับไปอย่างไม่คิด “ตกลง พวกเจ้าสองคนมาประลองกับข้า”
หลิงฮันหัวเราะและเดินอ้อมไปด้านหลังของเซียวเซิ่นอย่างช้าๆ เมื่อทำเช่นนี้เขากับจักรพรรดินีจะสามารถโจมตีเซียวเซิ่นไปรอบทิศทาง เขายิ้มพร้อมกับกล่าว “ภรรยาข้า มาใช้หมอนี่เล่นโยนบอลกันดีกว่า”
“อืม!” จักรพรรดินีพยักหน้า แม้โดยนิสัยของนางแล้วนางจะเลือกกำราบคู่ต่อสู้ให้จบอย่างรวดเร็วไม่เสียเวลา แต่ในเมื่อหลิงฮันอยากเล่นนางก็ยินดีจะตามน้ำด้วย
ใบหน้าของเซียวเซิ่นเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง ที่พวกเจ้าดูถูกข้าขนาดไหนกันถึงได้คิดจะใช้เขาเป็นลูกบอล?
“ปากดีขนาดนี้ ข้าจะฉีกกระชากไม่ให้เหลือ!” เซียวเซิ่นคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและพุ่งทะลวงเข้าหาหลิงฮันเพื่อหวังโจมตี
“ภรรยาข้า รับลูกบอล!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหา หลิงฮันก็ยกมือกำหมัดเตรียมปล่อยกำปั้น
‘ปัง’ ร่างของเซียวเซิ่นถูกซัดลอยกระเด็นอย่างไม่อาจต้านทาน
ด้วยพลังต่อสู้ของหลิงฮันในตอนนี้ ต่อให้จักรพรรดินีกับจ่างซุนเหลียงร่วมมือกันก็ไม่อาจเอาชนะเขาได้ เพราะงั้นกับแค่เซียวเซิ่นเพียงคนเดียวจะนับเป็นอันใด?
ประมุขนิกายจันทราหม่นแสง “…”
เซียวตง “…”
จ่างซุนเหลียงและเหล่าผู้ชม “…”
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? เหตุใดเซียวเซิ่นถึงถูกซัดลอยกระเด็นง่ายๆแบบนั้น!
ทุกคนมองเห็นอย่างชัดเจนว่าหมัดของหลิงฮันนั้นไม่ได้ใช้ออกด้วยทักษะยุทธทักษะใดเลย หมัดของเขาไม่มีแม้แต่ตราประทับเต๋าของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์
เพียงแค่หมัดเปล่าๆสามารถส่งร่างของเซียวเซิ่นลอยกระเด็นได้!
นี่จ่างซุนเหลียงเสมอกับหลิงฮันจริงๆรึเปล่า? หรือแท้จริงแล้วเซียวเซิ่นไม่ได้แข็งแกร่งแต่จ่างซุนเหลียงบาดเจ็บสาหัสมากเซียวเซิ่นถึงได้เอาชนะจ่างซุนเหลียงได้?
หากไม่เช่นนั้นก็ต้องเป็นเพราะว่าหลิงฮันไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดในตอนที่สู้กับจ่างซุนเหลียงก่อนหน้านี้!
‘ฟุบ’ ร่างของเซียวเซิ่นลอยผ่านอากาศพุ่งเข้าหาจักรพรรดินี
แม้เซียวเซิ่นจะรู้สึกมึนงงที่ถูกหมัดซัดเข้าใส่ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นราชา เมื่อพบเห็นว่าจักรพรรดินีเตรียมรอโจมตีเขาอยู่ เขาก็ได้ทำการปล่อยหมัดออกไปก่อนเพื่อชิงความได้เตรียม
จักรพรรดินียื่นมืองดงามที่ปกคลุมไปด้วยตราประทับแห่งเต๋านับไม่ถ้วนออกมาด้านหน้า อำนาจของฝ่ามือนี้เพียงแค่จ้องมองก็สัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัว
‘ปัง ปัง ปัง’ เซียวเซิ่นและจักรพรดินีแลกกระบวนท่ากันอย่างดุเดือด ซึ่งจากจุดนี้ทำให้เห็นว่าเซียวเซิ่นเองก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขาสามารถรับมือกับจักรพรรดินีได้ถึงสามสิบกระบวนท่าก่อนจะถูกซัดลอยกระเด็นกลับไปหาหลิงฮัน
เจ้าทำกับข้าเหมือนเป็นลูกบอลจริงๆด้วย!
เซียวเซิ่นเกรี้ยวกราดมาก คำรามอย่างโหดเหี้ยมในขณะที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศและปลดปล่อยคมมีดเปลวเพลิงออกมา ทักษะนี้คือทักษะยุทธที่ทรงพลังที่สุดของเขา หากถูกคมมีดเปลวเพลิงนี้โจมตีเข้าใส่ บาดแผลที่ได้รับจะส่งผลกระทับไปถึงวิธีแห่งเต๋าซึ่งน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
หลิงฮันยิ้มและยื่นมือออกไปคว้าจับใบมีดเพลิง
เซียวเซิ่นที่ตอนแรกคิดจะใช้คมมีดเพลิงโจมตีใส่หลิงฮันนั้นรู้สึกประหลาดใจที่หลิงฮันเป็นฝ่ายยื่นมือเข้ามารับการโจมตีด้วยตัวเอง ยิ่งเขาไม่ได้เบี่ยงวิถีของคมมีดเปลวเพลิงด้วยแล้ว มือของหลิงฮันจึงคว้าจับการโจมตีของเขาเข้าไปเต็มๆ
“ไม่ดีแล้ว!” ใบหน้าของจ่างซุนเหลียงเปลี่ยนสี ตัวเขาเองก็ถูกคมมีดเปลวเพลิงโจมตีเข้าใส่ในช่วงสุดท้ายเช่นกัน บาดแผลที่เกิดขึ้นส่งผลให้ภายในร่างกายของเขาถูกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวคุกคามไปทั่ว ซึ่งการจะชำระล้างให้อำนาจเปลวเพลิงที่ว่าหายไปจากร่างกายอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
ตอนที่ 1714 ข้าชื่อติงเซี่ยวเฉิน
ด้วยบาดแผลที่เกิดจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานหรือระดับแบ่งแยกวิญญาณก็ยังยากที่จะฟื้นฟูตนเองได้ หากผลีผลามฝืนขับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ออกมาก็มีแต่จะทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บยิ่งกว่าเดิม
หลิงฮันที่คว้ามือไปจับคมมีดเปลวพลิงนับว่าเป็นการแส่หาความตายอย่างแท้จริง
ต่อให้ตนเองจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สมควรดูถูกเซียวเซิ่นขนาดนั้น
แต่ทว่าภาพที่จ่างซุนเหลียงเห็นหลังจากหลิงฮันคว้าจับคมมีดเปลวเพลิงกลับไม่เป็นอย่างที่คิด อีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดและยกฝ่าเท้าถีบเข้าที่หน้าอกของเซียวเซิ่นอย่างรุนแรง ‘ปัง’ ร่างของเซียวเซิ่นถูกส่งลอยกระเด็นกลับไปหาจักรพรรดินีอีกครั้ง
นี่มันอะไรกัน! จ่างซุนเหลียงอ้าปากค้างไร้คำพูด
บริเวณฝ่ามือที่หลิงฮันใช้คว้าจับคมมีดเปลวเพลิงนั้นไม่มีร่องรอยบาดแผลปรากฏให้เห็นเลย แม้แต่รอยขีดข่วนก็ไม่มีแม้แต่รอยเดียว
เจ้ามันสัตว์ประหลาด!
“น่าแปลก การโจมตีของหลิงฮันนั้นไม่ซับซ้อนและสามารถมองออกอย่างชัดเจนแท้ๆ แต่เหตุใดเซียวเซิ่นถึงไม่สามารถป้องกันได้? เท่าที่เห็นเขาตอบโต้ไม่ทันเสียด้วยซ้ำ”
“นั่นสิ หากเปลี่ยนให้ข้าเป็นคนรับการโจมตีล่ะก็ อย่างน้อยข้าก็ไม่น่าจะถูกซัดอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่ตอบโต้เลยเช่นนั้น”
“บางทีเขาอาจจะหวาดกลัวหลิงฮันจนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็เป็นได้”
“อืม ต้องเป็นเช่นนั้นแน่!”
เหล่าผู้ชมรู้สึกมึนงงก่อนจะสรุปกันเอาเอง เพียงแต่ว่าเหล่าปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานนั้นกลับมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป
“เพราะเป็นการโจมตีที่หนักหน่วงและเรียบง่าย คนนอกจึงรู้สึกว่าการโจมตีของเขาเชื่องช้า”
เหล่าปรมาจารย์เผยสีหน้าตกตะลึง พลังต่อสู้ของหลิงฮันทำให้พวกเขารู้สึกขนลุก
แม้การโจมตีของหลิงฮันจะดูเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ซึ่งดูเหมือนใครก็สามารถปัดป้องได้ทัน แต่ในความเป็นจริงนั้นหากปฏิกิริยาตอบโต้ของเซียวเซิ่นไม่เร็วกว่านี้อีกสิบเท่าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะปัดป้องการโจมตีของหลิงฮันได้
นั่นเพราะแท้จริงแล้วการโจมตีของหลิงฮันรวดเร็วเป็นอย่างมาก เปรียบแล้วก็เหมือนกับอัสนีบาตที่แม้จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนแต่ก็ไม่สามารถจับต้องทัน
เหล่าปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานนั้น แม้พวกเขามีความเร็วที่เหนือกว่าหลิงฮัน แต่หากให้ลดระดับไปสู้ในระดับเดียวกัน พวกเขาก็คงทำได้เพียงถูกอีกฝ่ายทุบตีอย่างไม่อาจตอบโต้
ความแข็งแกร่งของรุ่นเยาว์ผู้นี้ช่างท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง!
‘ปัง ปัง ปัง ปัง’ หลังจากถูกซัดลอยกลับไปหาจักรพรรดินี เซียวเซิ่นก็ทำการแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับจักรพรรดินีสิบกว่ากระบวนท่าก่อนจะถูกซัดกลับไปหาหลิงฮันอีกครั้ง แต่เมื่ออยู่หน้าหลิงฮันแล้ว ไม่ว่าหลิงฮันจะปล่อยหมัดหรือฝ่ามือที่เรียบง่ายเพียงใด เขาก็จะถูกอีกฝ่ายซัดลอยกระเด็นด้วยหนึ่งกระบวนท่าตลอด
ความแตกต่างของพลังสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงเผยรอยยิ้ม แม้การประลองก่อนหน้านี้จะทำให้จ่างซุนเหลียงบาดเจ็บสาหัส แต่สภาพของเซียวเซิ่นในตอนนี้สาหัสและน่าอนาถยิ่งกว่ามาก การถูกโยนไปมาเหมือนลูกบอลเช่นนี้นอกจากบาดเจ็บแล้วยังอัปยศอย่างมากอีกด้วย
ใบหน้าของเซียวตงเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง แววตาเผยถึงความเกรี้ยวกราดราวกับเปลวเพลิงจะปะทุออกมา ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะกลับกลายมาเป็นแบบนี้…
เซียวเซิ่นถูกคนสองคนทุบตีอย่างไม่อาจตอบโต้ได้โดยสิ้นเชิง
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
เขาแทบจะหักห้ามใจไม่ให้ลงมือไม่ไหว นิกายจันทราหม่นแสงมีราชาแห่งยุคอยู่ถึงสามคน หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ ในอนาคตภายภาคหน้าขุมอำนาจสองดาวขุมอำนาจไหนจะเป็นคู่ต่อสู้ให้นิกายจันทราหม่นแสงได้?
“ฮ่าๆ เฒ่าตง เจ้าคิดจะทำอะไร?” ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงกล่าวด้วยรอยยิ้มเพื่อกล่าวเตือนไม่ให้เซียวตงทำอะไรสิ้นคิด
หากอีกฝ่ายคิดจะลงมือก็ต้องผ่านเขาไปก่อน
พวกเขาทั้งสองเคยประลองกันมาหลายครั้งแล้ว แน่นอนว่าประมุขนิกายจันทราหม่นแสงย่อมไม่หวาดกลัว
เซียวตงจ้องมองไปยังประมุขนิกายจันทราหม่นแสงก่อนจะระงับอารมณ์ของตนเองเอาไว้ และในเมื่อเซียงเซิ่นยังไม่กล่าวขอยอมแพ้ในการประลอง เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้และปล่อยให้การประลองดำเนินต่อไป
แต่ว่านี่คือการประลองจริงๆรึ?
กับจักรพรรดินีนั้นเซียวเซิ่นอาจจะสามารถตอบโต้ได้อยู่บ้าง แต่พอเผชิญหน้ากับหลิงฮันเมื่อไหร่เขาจะเป็นฝ่ายถูกทุบตีอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่อาจตอบโต้จนสะบักสะบอมไปทั่วร่าง
“ข้าไม่อยากเล่นแล้ว” จักรพรรดินีกล่าวกับหลิงฮัน
หลิงฮันพยักหน้า หากภรรยาของเขาไม่อยากเล่นต่อเขาก็ไม่คิดจะฝืนใจนาง
เขายื่นมือออกไปคว้าร่างเซียวเซิ่นเอาไว้ พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในอนาคตเจ้าควรเรียนรู้วิธีถ่อมตนเข้าไว้”
หลิงฮันโยนร่างของอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่แยแส ร่างของเซียวเซิ่นไถลเป็นรอยตามพื้นดินก่อนจะไปหยุดที่ด้านหน้าเซียวตง
นี่คือการยุแหย่อย่างโจ่งแจ้ง!
ความจริงหลิงฮันก็ไม่ได้ต้องการบาดหมางกับปรมาจารย์ในระดับแบ่งแยกวิญญาณ แต่ในเมื่อเขาทำให้เซียวเซิ่นอัปยศต่อหน้าสาธารณชนขนาดนี้ เขากับตระกูลเซียวคงไม่อาจหลีกเลี่ยงความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันได้อีกต่อไป และในเมื่อต้องเป็นศัตรูกันอยู่แล้วเหตุใดเขาต้องสุภาพกับเซียวตงด้วย?
“รุ่นเยาว์ เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” เซียวตงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่มานานหลายร้อยล้านปีเช่นเขา ย่อมควบคุมจิตสังหารและอารมณ์ได้เป็นเรื่องธรรมดา
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “แซ่ติง นามเซี่ยวเฉิน”
พรวด!
ติงเซี่ยวเฉินที่กำลังมองดูสถานการณ์อยู่สำลักออกมาทันที
เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้!
เขาอยากมีชื่อเสียงและเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งในหมู่รุ่นเยาว์แห่งยุคก็จริง แต่ไม่ใช่แบบนี้
หืม… เหตุใดความรู้สึกนี้มันถึงคุ้นๆกัน?
เมื่อไม่กี่ปีก่อน ตระกูลหานได้มาที่ตระกูลติงโดยอ้างว่าสมาชิกตระกูลติงของพวกเขาได้ไปล่วงเกินตระกูลหานที่โลกบรรพกาล สมาชิกตระกูลติงคนที่ว่าทำการสังหารคนของตระกูลหานจนเหลือเพียงดวงวิญญาณ
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือตระกูลติงนั้นไม่สามารถส่งจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งไปยังโลกบรรพกาลได้เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ความช่วยเหลือของตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณ
หรือเหตุการณ์นี้จะเกี่ยวข้องกับหลิงฮัน?
ไม่น่าเป็นไปได้… ติงเซี่ยวเฉินส่ายหัวทันที เขาคงคิดมากเกินไป
เขารีบตะโกนออกมาเสียงดัง “ทะ ท่านผู้อาวุโส! คนที่ชื่อติงเซี่ยวเฉินคือผู้เยาว์ ส่วนหมอนั่นมีชื่อว่าหลิงฮัน! ผู้อาวุโสอย่าได้ถูกหลอก!” เขาไม่ต้องการตกเป็นเป้าหมายของขุมอำนาจระดับแบ่งแยกวิญญาณ
เมื่อได้ยินเช่นนี้เหล่าผู้คนโดยรอยก็เผยสีหน้าเหยียดหยาม
ณ เวลานี้นิกายจันทราหม่นแสงกับตระกูลเซียวกำลังมีความบาดหมางกันอยู่ ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นเจ้ายอมลดศักดิ์ศรีของตนเองไปเรียกอีกฝ่ายว่าท่านผู้อาวุโสได้อย่างไร!
แต่สำหรับติงเซี่ยวเฉินเขาไม่คิดว่าตนเองทำผิดอะไร หรือจะให้เขาตะโกนเรียกอีกฝ่ายว่า ‘เฒ่าชรา’ รึยังไง?
ตอนที่ 1715 ชักชวนให้เข้าร่วม
“ฮึ่ม เจ้ากล้าเล่นลิ้นกับข้า?” เซียวตงจ้องหลิงฮันเขม็ง ‘พรึบ’ คลื่นดาบอันเย็นยะเยือกถูกปลดปล่อยออกมาจากดวงตาของเขาและพุ่งเข้าใส่หลิงฮันด้วยความเร็วสูง
ด้วยความต่างของพลังที่ห่างชั้นกันราวกับสวรรค์และปฐพี หลิงฮันจะต้านทานได้อย่างไร?
ประมุขนิกายจันทราหม่นแสงลงมือตอบโต้คลื่นดาบได้ทันท่วงทีเนื่องจากคาดการณ์เอาไว้แล้วว่าอาจเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เขายิ้มและกล่าว “จิ้งจอกเฒ่าตง ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะยอมลดศักดิ์ศรีของตนเองไปลงมือกับรุ่นเยาว์อย่างหน้าไม่อาย”
ใบหน้าของเซียวตงเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งก่อนจะหันไปมองประมุขนิกายจันทราหม่นแสงด้วยแววตาเย็นชา ไม่ว่าอย่างไรที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของอีกฝ่าย หากเขายังลงมือต่อนิกายจันทราหม่นแสงคงไม่ยอมนิ่งเฉยแน่
เขาไม่ต้องการให้เกิดสงครามระหว่างตระกูลเซียวกับนิกายจันทราหม่นแสงขึ้น จึงได้กล่าวออกไป “ฮึ่ม เช่นนั้นก็เอาไว้ให้พวกเขาไปตัดสินกันเองในหุบเหวสืบสานนิพพาน”
เมื่อบรรลุสู่ระดับโลกียนิพพาน ความแตกต่างที่เคยมีในระดับสร้างสรรพสิ่งจะลดลงมาหลายเท่า
เซียวตงใช้มือยกร่างของเซียวเซิ่นขึ้นมาก่อนจะเหินกลับขึ้นไปยังเรือเหาะบนท้องฟ้าและมุ่งหน้ากลับเมืองร้อยมหาอำนาจ
หลังจากทั้งสองกลับไป เหล่าผู้ชมโดยรอบก็โห่ร้องแสดงความยินดีให้กับหลิงฮันและจักรพรรดินี
พวกเขาเป็นฝ่ายชนะ!
“หลิงฮัน! หลิงฮัน!”
“หล่วนซิง! หล่วนซิง!”
หลิงฮันยิ้มและผสานมือแสดงความขอบคุณไปยังผู้คนโดยรอบในขณะที่จักรพรรดินียืนแน่นิ่งไม่แยแสใคร
“น้องชายหลิง เจ้าช่างทรงพลังยิ่งนัก” หลังจากรักษาบาดแผลเบื้องต้นแล้ว จ่างซุนเหลียงก็กลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ เพียงแต่บาดแผลภายในที่เกิดจากการการลุกลามของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เปลวเพลิงนั้นจำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควรในการรักษา คงอีกนานกว่าเขาจะฟื้นฟูพลังต่อสู้กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ได้
เพียงแต่ด้วยการที่เขาเป็นรัชทายาทของนิกายจันทราหม่นแสง เกรงว่าเหล่าตัวตนระดับสูงของนิกายคงใช้ทุกวิถีทางเพื่อทำการรักษาเขาแน่ๆ เพราะหากรักษาบาดแผลไม่ทัน จ่างซุนเหลียงจะต้องรอให้หุบเหวสืบสานนิพพานเปิดออกอีกครั้งในอีกถึงสิบล้านปีข้างหน้า
“ข้าจะขอท้าประลองกับเจ้าอีกครั้งหลังจากทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแล้ว” จ่างซุนเหลียงกล่าว
เมื่อได้เห็นเซียวเซิ่นถูกทุบตีเล่นราวกับเป็นลูกบอล จ่างซุนเหลียงย่อมไม่กล้าสู้กับหลิงฮันในระดับพลังตอนนี้อีกต่อไป เพราะไม่อยากลิ้มรสประสบการณ์แบบเซียวเซิ่น
หลิงฮันยิ้ม หากเขาทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานสำเร็จ วิธีที่เขาจะใช้ทะลวงผ่านย่อมเป็นการตัดลิขิตกับสวรรค์และปฐพี ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้พลังต่อสู้ของเขาทรงพลังกว่านิรันดร์ระดับโลกียนิพพานทั่วไป ด้วยเหตุนี้หากจ่างซุนเหลียงไม่ได้ทะลวงผ่านด้วยวิธีการเดียวกันล่ะก็ แม้จะเป็นในอนาคตภายภาคหน้า อีกฝ่ายก็ย่อมไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อยู่ดี
เมื่อการประลองยุทธมาถึงจุดสิ้นสุด หลิงฮันก็ทำการมุ่งหน้าไปรับรางวัลเดิมพัน เขากับจักรพรรดินีลงเดิมพันรวมกันไปราวๆหนึ่งพันศิลาดวงดาว ซึ่งผลตอบแทนที่พวกเขาได้รับกลับมาก็คือสองหมื่นกว่าศิลาดวงดาว เงินจำนวนนี้นับว่าเป็นความมั่งคั่งพอสมควร
เมื่อทั้งสองเดินทางกลับไปยังที่ทำการ พวกเขาก็พบว่ารอบๆที่พักของพวกเขานั้นคับคั่งไปด้วยผู้คนจำนวนมหาศาลราวกับมหาสมุทรมนุษย์
คนเหล่านี้กำลังรอพบเจอหลิงฮันและจักรพรรดินี
ความแข็งแกร่งที่ทั้งสองคนแสดงออกมาทำให้ขุมอำนาจมากมายต้องการตัวพวกเขาหรือไม่ก็มีคนจำนวนมากที่อยากเป็นมิตรสหายด้วย
หลิงฮันรู้สึกรำคาญจึงได้ขอให้จ่างซุนเหลียงช่วย ชายหนุ่มผมแดงถูกส่งตัวมารับทั้งสองไปอาศัยอยู่บนเกาะเมฆาเซียนชั่วคราว
หลังจากการประลองเวลาผ่านพ้นไปเพียงวันเดียวแต่บาดแผลของจ่างซุนเหลียงฟื้นฟูขึ้นมาก จากที่จ่างซุนเหลียงบอกมา ปรมาจารย์ระดับตัดวิญญาณสวรรค์ถึงสี่คนของนิกายได้ยอมเสียสละแก่นโลหิตของตนเองเพื่อช่วยรักษาบาดแผลให้เขา
ด้วยเหตุนี้ไม่เกินครึ่งปี บาดแผลของจ่างซุนเหลียงคงจะหายดี
จ่างซุนเหลียงเองก็เสนอให้หลิงฮันกับจักรพรรดินีเข้าร่วมกับนิกายจันทราหม่นแสงเช่นกัน ถึงแม้รัชทายาทจะมีได้แค่คนเดียว แต่ทั้งสองก็ยังสามารถรับตำแหน่งผู้อาวุโสระดับสูงอันทรงเกียรติได้
หลิงฮันบอกปัดปฏิเสธ เขาไม่คิดจะอาศัยอยู่ที่เมืองนี้นานนัก ตราบใดที่เขาได้ข้อมูลที่อยู่ของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ เขาจะมุ่งหน้าไปที่นั่นทันที ทั้งภรรยาและบุตรของเขากำลังรอคอยอยู่ จะให้เขามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
จ่างซุนเหลียงไม่เซ้าซี้ หลิงฮันและจักรพรรดิล้วนแต่เป็นสุดยอดอัจฉริยะกันทั้งคู่ บางทีความสำเร็จในอนาคตของทั้งสองคนอาจจะสูงเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการก็เป็นได้
หลิงฮันและจ่างซุนเหลียงตกลงกันว่าจะมาพบกันอีกครั้งในอีกหนึ่งปีครึ่ง เมื่อเสร็จสิ้นธุระที่นี่แล้วทั้งสองก็เดินทางกลับเมืองธุลีจันรทราไปพร้อมกับล้งเกาเฟย
การเดินทางกลับจำเป็นต้องใช้เวลาถึงสองเดือน และเมื่อพวกเขากลับมาถึง ข่าวที่หลิงฮันคว้าชัยชนะมาให้เมืองธุลีจันรทราได้ก็แพร่กระจายไปทั่ว
ทั่วทั้งเมืองตกอยู่ในความตื่นเต้น ในฐานะที่เป็นคนของเมืองธุลีจันรทรา สถานะของพวกเขาเมื่อเทียบกับเมืองหนึ่งดาวอื่นๆแล้วย่อมถูกยกระดับสูงขึ้น
ตระกูลต้วนและตระกูลล้งเริ่มวางแผนชักชวนให้หลิงฮันกับจักรพรรดินีเข้าร่วมกับตระกูลของตนเอง หากตระกูลใดได้ตัวทั้งสองคนมาล่ะก็ อำนาจของตระกูลนั้นจะยิ่งใหญ่เหนือไปกว่าอีกสองตระกูล หลิงฮันกับจักรพรรดินีนั้นแต่งงานกันแล้ว เพราะงั้นขอแค่หลิงฮันยอมตกลงเข้าร่วมกับพวกเขา จักรพรรดินีก็ย่อมติดสอยห้อยตามหลิงฮันมาด้วย
แน่นอนว่าวิธีการรับคนเข้าตระกูลที่ง่ายที่สุดคือผ่านการแต่งงาน แต่หลิงฮันที่ไม่สนใจสตรีอื่นเลยนั้นทำให้ตระกูลต้วนและตระกูลล้งรู้สึกปวดหัว ทั้งสองตระกูลส่งสตรีงามไปหาหลิงฮันมากมาย แต่ไม่มีใครเลยที่ผ่านประตูห้องหลิงฮันเข้าไปได้
หลิงฮันไม่มีอารมณ์มาสนใจเหล่าสตรีที่พยายามเข้ามาใกล้ชิด ตัวเขาในตอนนี้กำลังศึกษาข้อมูลของหุบเหวสืบสานนิพพาน ในอีกหนึ่งปีครึ่งที่เขาไปที่นั่น เขาจะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งนับไม่ถ้วน
การทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่พิเศษของดินแดนแห่งเซียน ซึ่งสถานที่ที่ว่าล้วนแต่เต็มไปด้วยภัยอันตรายที่คาดไม่ถึง หากไม่ศึกษาข้อมูลเพื่อรับรู้สถานการณ์เอาไว้ก่อนเขาอาจจะต้องนำชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น
ในสถานที่อย่างหุบเหวสืบสานนิพพานนั้น แม้แต่นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานก็ยังถูกสังหารได้ เพราะงั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงตัวเขาที่ยังไม่แม้แต่บรรลุเป็นนิรันดร์
ภัยอันตรายส่วนใหญ่ของสถานที่อย่างหุบเหวสืบสานนิพพานนั้นมาจากสภาพแวดล้อมและสัตว์อสูรที่อาศัยอยู่ด้านใน ยกตัวอย่างเช่นเขตแดนลี้ลับที่มีโพรงถ้ำดูดกลืนชีวิต หากถูกถ้ำที่ว่าดูดเข้าไป ไม่เคยมีใครเลยที่สามารถกลับออกมาโดยที่ยังมีชีวิต
ยิ่งเป็นสถานที่ที่มีอำนาจของสวรรค์และปฐพีหนาแน่นกว่าเขตแดนลี้ลับอื่นๆอย่างหุบเหวสืบสานนิพพานด้วยแล้วยิ่งอันตรายเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่หุบเหวสืบสานนิพพานเปิดออก ผู้คนครึ่งหนึ่งจะสิ้นชีพเพราะสภาพแวดล้อมภายในนั้น และผู้คนอีกเกือบครึ่งจะสิ้นชีพเพราะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานไม่สำเร็จ ผลสุดท้ายคือจำนวนคนที่กลับออกมาได้และทะลวงผ่านระดับสำเร็จจึงมีอยู่เพียงน้อยนิด
ในแต่ละครั้ง คนที่ทะลวงผ่านสำเร็จมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งร้อยคน
เมื่อเทียบกับจำนวนคนนับล้านที่เข้าไปแล้วถือว่าน้อยอย่างน่าอนาถใจ
และในช่วงเวลานี้เอง ตระกูลหานก็ได้มาเยือนอีกครั้ง
ตอนที่ 1716 สร้างปัญหาครั้งใหญ่
ตระกูลหาน ขุมอำนาจสามดาวที่ปกครองเมืองเก้าสันติ
ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ตระกูลหานได้ส่งรุ่นเยาว์อัจฉริยะผู้หนึ่งไปยังโลกบรรพกาลเพื่อหาประสบการณ์และตามหามรดกที่ถูกทิ้งไว้โดยราชานิรันดร์ที่ร่วงหล่น
รุ่นเยาว์ที่ว่าคือหานฉี
เพียงแต่ว่าหานฉีบังเอิญได้พบเจอกับหลิงฮันและต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงบุปผาห้วงมิติ ผลสุดท้ายคือหานฉีถูกหลิงฮันสังหารจนร่างแหลกสลาย หากไม่ใช่เพราะมีผู้อาวุโสระดับสูงของตระกูลคุ้มกันดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ก่อนแล้วล่ะก็ หานฉีคงจะสิ้นชีพอยู่ที่โลกบรรพกาลไปแล้ว
ในตอนนั้นหลิงฮันได้อ้างตนเองว่ามาจากตระกูลติงแห่งเมืองธุลีจันทรา
ผลที่ตามมาคือตระกูลหานไม่ได้แค่โกรธแค้นที่ตระกูลติงสังหารรุ่นเยาว์ของตน แต่ยังเกิดความสงสัยอีกด้วยว่าหลิงฮันอาจจะได้รับสมบัติสืบทอดของราชานิรันดร์มาครอบครอง ด้วยเหตุนี้ตัวตนที่ทรงพลังของตระกูลหานจึงเดินทางมายังตระกูลติง แต่ไม่ว่าจะสืบสวนอย่างไรพวกเขาก็ไม่พบว่าตระกูลติงนั้นสามารถส่งคนไปยังโลกบรรพกาลได้
หากต้องการส่งคนที่มีระดับพลังต่ำกว่านิรันดร์ไปยังโลกบรรพกาล จำเป็นต้องมีตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณคอยช่วยเหลือ ซึ่งในเมืองธุลีจันรทราจะไปหาจอมยุทธระดับนั้นมาจากไหน?
เมื่อเป็นแบบนั้นตระกูลหานจึงทำได้เพียงกลับไปมือเปล่า
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นิกายจันทราหม่นแสงไม่กล้าแทรกแซงอะไร เหตุผลก็ไม่ได้ซับซ้อน ขุมอำนาจสองดาวจะไปขัดขืนขุมอำนาจสามดาวได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลฟู่เองก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะทำอะไรกับเรื่องนี้เช่นกัน
ครั้งนี้ที่คนของตระกูลหานกลับมาอีกครั้งก็เป็นเพราะหานฉีต้องการยืนยันตัวคนร้ายที่สังหารเขาด้วยตัวเอง
เมื่อได้ยินข่าวนี้ หลิงฮันก็เริ่มครุ่นคิด หรือเขาจะใช้โอกาสนี้สั่งสอนตระกูลติงดี?
ความจริงหลิงฮันก็มีแผนที่จะออกจากเมืองธุลีจันรทราอยู่แล้ว เหตุผลแรกก็เพราะเวลาเปิดของหุบเหวสืบสานนิพพานใกล้เข้ามาทุกทีและการเดินทางอาจจะกินระยะเวลาถึงครึ่งปี กล่าวคือหลิงฮันมีเวลาว่างเหลือแค่หนึ่งปีเท่านั้น
และเหตุผลที่สองคือในหมู่เมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสงนั้น ชื่อเสียงของเขาโด่งดังเกินไป แม้จะมีขุมอำนาจมากมายต้องการให้เขาเข้าร่วมด้วย แต่ก็มีขุมอำนาจจำนวนไม่น้อยที่ต้องการกำจัดเขา
ใครจะไปอยากให้มีราชาแห่งยุคอยู่ในขุมอำนาจอื่นที่ไม่ใช่ของตนเอง?
ยิ่งกว่านั้นเขาก็ได้ล่วงเกินตระกูลเซียวที่เป็นขุมอำนาจสองดาวไปแล้ว!
หากตระกูลเซียวส่งตัวตนระดับระดับแบ่งแยกวิญญาณมาไล่ล่า มีรึที่หลิงฮันจะต้านทานไหว?
แน่นอนว่าหากหลิงฮันอยู่ในเมืองจันทราหม่นแสงตระกูลเซียวคงไม่กล้าลงมือ แต่ที่นี่คือเมืองหนึ่งดาวเท่านั้น ซึ่งไม่มีเหตุผลใดให้ตระกูลเซียวต้องกลัว
ไหนๆเขาก็ต้องจากเมืองนี้ไปอยู่แล้ว ทำไมไม่สร้างปัญหาให้กับตระกูลติงเสียก่อนล่ะ? หลิงฮันเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
ตอนนี้เขาไม่มีภาระผูกพันอีกต่อไปแล้ว พวกเฟิงโปหยุนและสหายคนอื่นๆของเขาอาศัยอยู่ในเมืองรองของเมืองจันทราหม่นแสง จักรพรรดิพิรุณเองก็ออกเดินทางฝึกตนเพื่อขัดเกลาศาสตร์วรยุทธของตนเอง ตอนนี้เขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรทั้งนั้น
หลิงฮันเริ่มลงมือวางแผน หลังจากเวลาผ่านไปราวๆหนึ่งวันเขาก็แพร่งพรายข่าวออกไปว่าตัวเขาต้องการเข้าร่วมกับตระกูลติง
เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงครั้งใหญ่ให้แก่สามตระกูล
หลิงฮันปฏิเสธตระกูลต้วนและตระกูลล้งที่ยื่นข้อเสนออันหอมหวานมากมาย แต่กลับต้องการเข้าร่วมกับตระกูลติงที่ไม่ได้ยื่นข้อเสนออะไรให้เลย?
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ตระกูลติงทำการเรียกรวมตัวเพื่อประชุมครั้งใหญ่ทันที
“ข้าคิดว่าพวกเราควรจะรับเจ้าหนูนั่นเข้าตระกูล พวกเจ้าก็ได้ยินแล้วไม่ใช่รึว่าเจ้าหนูนั่นมีความแข็งแกร่งที่เทียบเท่ากับรัชทายาท?” ผู้อาวุโสผู้หนึ่งเอ่ยกล่าว ชื่อของเขาคือติงซาน เขาคือหนึ่งในนิรันดร์สามนิพพานที่มีอยู่เพียงสองคนในตระกูลติง
“เหนือสิ่งอื่นใดคือเขากับรัชทายาทเป็นสหายกัน หากพวกเราใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ตระกูลติงจะกลายเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในเมืองธุลีจันทรา!”
ผู้อาวุโสระดับนิรันดร์สามนิพพานอีกคนมีชื่อว่าติงซง เขาส่ายหัวและกล่าว “เจ้าหนูนั่นมีนิสัยเจ้าเล่ห์ บางทีเขาอาจจะวางแผนชั่วร้ายอะไรไว้ก็ได้! ทั้งๆที่ตระกูลติงของพวกเราไม่ได้ยื่นเสนอผลประโยชน์ใดๆให้เลยแท้ๆ เหตุใดเขาถึงต้องการเข้าร่วมกับพวกเรา?”
นี่คือเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจมากที่สุด หากหลิงฮันต้องการจะเข้าร่วมกับขุมอำนาจใด ขุมอำนาจนั้นก็ไม่สมควรเป็นตระกูลติง
“พวกท่านคิดให้ดี พวกเราไม่อาจเชื่อคำพูดของเจ้าหนูนั่นได้!” ติงหู่กล่าว แม้เขากับหลิงฮันได้พบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายนัก
ตระกูลติงในตอนนี้แบ่งเป็นสองฝ่าย ครึ่งหนึ่งยินยอมให้หลิงฮันเข้าร่วมตระกูลด้วย เพราะไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นราชาแห่งยุคและมีสายสัมพันธ์กับรัชทายาท เพียงแต่อีกครึ่งหนึ่งก็ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าไม่ควรให้หลิงฮันเข้าร่วมตระกูลเพราะรู้สึกไม่ชอบมาพากล
ท้ายที่สุดทุกคนก็ทำได้เพียงมองไปยังติงเหยาหลงที่เป็นประมุขและเสาหลักของตระกูล
ติงเหยาหลงยกนิ้วขึ้นมาเคาะแขนอีกข้างและครุ่นคิดอยู่นานสักพักก่อนจะกล่าว “ให้หลิงฮันเข้าร่วมตระกูลมาก่อน ตราบใดที่มาอยู่ในตระกูลติงแล้ว ไม่ว่าเขาจะมีแผนการชั่วร้ายหรือไม่ ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่พวกเราจะควบคุมเขาเอาไว้!”
“ประมุขช่างเลื่อมใส!” ไม่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม แต่ในเมื่อติงเหยาหลงกล่าวเช่นนั้นทุกคนย่อมทำได้เพียงพยักหน้า
แต่เมื่อคิดอีกที หากหลิงฮันเข้าร่วมกับตระกูลติงล่ะก็ เขาก็เปรียบได้กับลูกไก่ในกำมือที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
ติงหู่เผยสีหน้ามืดมน เขาแทบจะรอบดขยี้หลิงฮันด้วยเงื้อมมือตัวเองไม่ไหวแล้ว ส่วนสตรีที่งดงามอย่างสมบูรณ์แบบผู้นั้น หลังจากสังหารหลิงฮันแล้วเขาก็จะนำมาเป็นของเล่นของตนเอง
ผ่านไปไม่นานข่าวที่ตระกูลติงยอมรับหลิงฮันเข้าตระกูลก็แพร่กระจายไปทั่ว และเพื่อเป็นการให้เกียรติ พวกเขารับปากแม้กระทั่งว่าจะมอบแซ่ติงให้แก่หลิงฮัน
สำหรับโลกวรยุทธ แซ่คือสิ่งสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะมันแสดงให้เห็นถึงรากเหง้าของคนผู้นั้น
หลังจากได้รับข่าวหลิงก็ฮันหัวเราะลั่น เขาส่งคนกลับไปบอกตระกูลติงว่าหากอีกฝ่ายยอมให้เขาเข้าร่วมตระกูล เขาก็พร้อมจะเปลี่ยนแซ่เป็นแซ่ติง
เขาไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากอยู่แล้ว นั่นก็เพราะทั้งเรื่องเข้าร่วมตระกูลติงหรือการเปลี่ยนชื่อแซ่จะไม่มีทางเกิดขึ้นทั้งนั้น
“ตระกูลติง พวกเจ้าทำแต่เรื่องชั่วร้ายมาตลอด คราวนี้ข้าจะสั่งสอนพวกเจ้าเอง” หลิงฮันพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด หากเป็นคนที่คุ้นเคยกับเขาจะรับรู้ได้ทันทีว่าเมื่อใดที่หลิงฮันยิ้มแบบนี้แสดงว่ากำลังคิดแผนการชั่วร้ายอยู่
ตอนที่ 1717 สองจอมเจ้าเล่ห์รวมหัวกัน
“โอ้ ฮันน้อย เหตุใดสีหน้าเจ้าถึงดูเหมือนกำลังจะทำเรื่องชั่วร้ายชัดเจนขนาดนั้น?” เสียงหนึ่งเอ่ยดังขึ้นมา
หลิงฮันไม่จำเป็นต้องหันกลับไปดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร น้ำเสียงที่หยาบช้าเช่นนี้มีอยู่เพียง ‘คน’ เดียว
สุนัขตัวดำ!
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “แล้วเจ้าล่ะ ไปเล่นมาจนเบื่อแล้วรึ?”
“เห้อ ผู้คนที่นี่ไม่ต้อนรับแขกเอาเสียเลย ไปเล่นด้วยแล้วไม่สนุกแม้แต่น้อย” สุนัขตัวดำถอนหายใจ มันใช้อุ้งเท้าท้าวคางด้วยสีหน้าเศร้าโศรก
หลิงฮันพอจินตนาการได้เลยว่าคนที่ตกเป็นเหยื่อกลั่นแกล้งของสุนัขไร้ยางอายตนนี้ต้องมีมากมายแน่นอน
“จะอย่างไรก็เถอะ เมื่อครู่ข้าเห็นนะว่าเจ้ายิ้มชั่วร้าย บอกนายท่านหมามาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าคิดแผนอะไรอยู่” สุนัขตัวดำดวงตาส่องประกาย การสร้างปัญหาให้แก่คนอื่นคือสิ่งที่มันชื่นชอบที่สุด
หลิงฮันหันหน้าไปหาสุนัขตัวดำและกล่าว “ข้ามีแผนกำลังจะทำเรื่องสนุกๆบางอย่างอยู่ ซึ่งหากเจ้าต้องการข้าก็มีหน้าที่ให้เจ้าทำด้วย ว่าไง? เจ้าสนใจหรือเปล่า?”
สุนัขตัวดำเผยสีหน้าหวาดระแวงทันที มันที่เป็นตัวสร้างปัญหาย่อมระวังตัวอยู่เสมอว่าจะถูกใครอื่นเอาคืนรึไม่ “เจ้าต้องการให้นายท่านหมาทำอะไร?”
“ข้าอยากให้เจ้าไปกัดใครบางคนและนำคนผู้นั้นมายังสถานที่หนึ่ง” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้มและอธิบายแผนการ
ยิ่งสุนัขตัวดำได้ฟัง ดวงตาของมันก็ค่อยๆเปิดกว้างและส่องประกายด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ให้เป็นหน้าที่ของนายท่านหมาผู้นี้เอง!” สุนัขตัวดำลุกขึ้นยืนสองขาและตบกางเกงในเหล็ก “เมื่อใดที่ข้าตบหน้าอกเช่นนี้ แผนการที่ได้รับหมายย่อมไม่มีวันผิดผลาด!”
ใบหน้าของหลิงฮันกระตุก หน้าอกของเจ้าอยู่บริเวณนั้นรึ?
“ฮ่าๆ ผิดตำแหน่งไปหน่อย” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิงฮันเผยท่าทีระแวง “ดำน้อย เจ้าคงไม่หักหลังข้าหรอกนะ?”
“เจ้ากับข้ามีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขนาดนั้นเจ้าเองก็รู้ดี มีรึที่ข้าจะหักหลังเจ้า?” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
แต่ด้วยนิสัยเจ้าเล่ห์ของมัน คำพูดของมันย่อมไม่มีใครอยากเชื่อถือแน่นอน
เพียงแต่ว่าหลิงฮันก็ยังคิดว่าแผนการนี้เหมาะจะเป็นหน้าที่ของสุนัขตัวดำมากที่สุดอยู่ ต่อให้อีกฝ่ายคิดจะหักหลังเขา แต่มันก็ต้องทำตามแผนการให้สำเร็จก่อนแน่นอน เพราะไม่เช่นนั้นการแสดงอันน่าตื่นตาก็จะไม่เกิดขึ้นให้มันเห็น
หนึ่งคนหนึ่งสุนัขพูดคุยกันถึงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของแผนการ ทั้งสองเป็นปรมาจารย์แห่งการสร้างปัญหา แผนการที่ช่วยกันคิดขึ้นมาย่อมไร้ช่องโหว่
“ฮันน้อย เจ้าช่างชั่วร้ายนัก นายท่านหมาขอแนะนำให้เจ้าระวังตัวเอาไว้มากๆ ไม่งั้นอาจจะตายไวได้” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
หลิงฮันหัวเราะ “หากจะพูดถึงนิสัยชั่วร้ายล่ะก็ ข้าไม่อาจเทียบกับเจ้าได้แม้แต่หนึ่งในพัน”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว” แทนที่จะรู้สึกอับอายสุนัขตัวดำกลับภาคภูมิใจราวกับถูกชม
สุนัขตัวดำขอตัวจากไปในขณะที่หลิงฮันเข้าสู่หอคอยทมิฬกับจักรพรรดินี
การไปยังตระกูลติงก็เปรียบเสมือนบุกเข้าไปเหยียบถ้ำเสือ หลิงฮันไม่อาจนำจักรพรรดินีไปเสี่ยงด้วยได้ เพราะงั้นเขาจึงตั้งใจจะให้ทั้งจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะซ่อนตัวอยู่ในหอคอยทมิฬ
สตรีนกอมตะนั้นไม่สนใจเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นด้านนอกและบ่มเพาะพลังทุกวี่ทุกวันไม่หยุดพัก ด้วยการที่นางเป็นผู้สืบทอดของนกอมตะสวรรค์สามตัวและที่นี่คือดินแดนแห่งเซียน พลังบ่มเพาะของนางจึงยกระดับขึ้นสู่ระดับสร้างสรรพสิ่งสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ว่าสำหรับนาง การจะทะลวงผ่านไปยังระดับโลกียนิพพานดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากเกินไป นั่นเพราะหลังจากระดับสร้างสรรพสิ่งไปแล้ว มรดกสืบทอดของสามนกอมตะสวรรค์จะไม่มีผล หากต้องการบรรลุเป็นนิรันดร์นางจำเป็นต้องพึ่งพาความสามารถและความพยายามของตนเองเพียงอย่างเดียว
แต่ขนาดอัจฉริยะที่โดดเด่นอย่างจ่างซุนเหลียงก็ยังต้องใช้เวลาสะสมพลังปราณเพื่อเตรียมตัวทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานหลายหมื่นปี ต่อให้สตรีนกอมตะจะมีต้นสังสารวัฏคอยช่วยเหลือ แต่ด้วยพรสวรรค์ที่บกพร่อง หากนางสามารถเตรียมพร้อมทะลวงผ่านระดับนิรันดร์ได้ในระยะเวลาหมื่นปีจริงๆ จะนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายกย่องมาก
นอกจากนั้นแล้วด้วยพรสวรรค์ของนาง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุนิพพานด้วยวิธีการตัดขาดสวรรค์และปฐพีเนื่องจากนางจะต้องสิ้นชีพแน่นอน แต่หากนางบรรลุนิพพานด้วยวิธีปกติทั่วไปก็มีโอกาสสูงมากที่ความรู้สึกที่นางจะต้องสูญเสียไปจะเป็นความรู้สึกที่มีต่อหลิงฮัน
หลิงฮันไม่ต้องการให้ภรรยาของตนเองกลายเป็นแบบนั้น เขาจึงต้องการคิดค้นเม็ดยาบางอย่างที่ไม่เพียงทำให้คนที่กินเข้าไปมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ แต่ยังสามารถทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้อีกด้วย
หากจะให้พูดกันตรงๆ ด้วยพรสวรรค์ของสตรีนกอมตะนั้น ต่อให้นางฝืนทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานด้วยวิธีการปกติก็ตาม ผลสุดท้ายนางก็คงทะลวงผ่านไม่สำเร็จและต้องทิ้งชีวิตไปในที่สุด
ขนาดในโลกบรรพกาลพรสวรรค์ของนางก็ยังถือว่าแค่ค่อนข้างดีและยังห่างไกลจากคำว่าสุดยอดอัจฉริยะ
หลังจากใช้เวลากับภรรยาทั้งสองอยู่นานพอสมควร หลิงฮันก็ออกมาจากหอคอยทมิฬ ทางด้านของตระกูลติงได้ประกาศออกมาว่าในอีกสามวันให้หลังพวกเขาจะเปิดวิหารบรรพบุรุษเพื่อเป็นการรับหลิงฮันเข้าตระกูลและแต่งตั้งแซ่ติงให้แก่หลิงฮัน
ดูจากการกระทำของพวกเขา ตระกูลติงได้ให้ความสำคัญกับหลิงฮันมากจริงๆถึงได้ยอมเปิดวิหารบรรพบุรุษเพื่อเขา แต่สำหรับเรื่องที่ว่าหลิงฮันจะมีแผนการอะไรอยู่รึไม่นั้น พวกเขาคงตัดสินใจจัดการในภายหลัง
“วิหารบรรพบุรุษ!” หลิงฮันยิ้มและส่ายหัว หลังจากที่เขาไปถึงที่นั่น วิหารบรรพบุรุษของตระกูลติงจะหายไปอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นแล้วอยากรู้จริงๆว่าตระกูลติงจะทำหน้าอย่างไร
หลังจากแต่งตัวเสร็จ หลิงฮันก็เดินออกจากค่ายกองกำลังไปยังที่ตั้งตระกูลติง
หลังจากกลับมาจากงานประลอง พวกหลิงฮันและตัวแทนคนอื่นๆต่างได้รับวันหยุดสามปี เพราะงั้นตอนนี้หลิงฮันจึงสามารถเดินออกไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ
ด้วยขนาดของเมืองธุลีจันทราที่กว้างใหญ่ เขาจึงใช้เวลาถึงสองวันกว่าจะถึงจุดหมาย
วันนี้ตระกูลติงคึกคักเป็นอย่างมากเนื่องจากหลิงฮันที่เป็นถึงราชาแห่งยุคจะมาเข้าร่วมกับพวกเขา แน่นอนว่ามีคนมากมายที่เดินทางมาเพื่อรับชมสถานการณ์ โดยเฉพาะตระกูลต้งกับตระกูลล้ง พวกเขายังคงทำใจเชื่อไม่ได้ว่าหลิงฮันจะเข้าร่วมกับตระกูลติงจริงๆ
มันช่างไร้เหตุผลสิ้นดี ไม่เพียงแค่ตระกูลติงจะไม่ได้ยื่นเสนอผลประโยชน์ใดๆให้หลิงฮัน แต่พวกเขายังเคยทำเรื่องชั่วร้ายกับหลิงฮันเอาไว้ด้วย หรือต่อให้ตระกูลติงจะยื่นข้อเสนอใดๆก็ตาม ตระกูลที่หลิงฮันสมควรเลือกก็น่าจะเป็นตระกูลต้วนหรือตระกูลล้งอยู่ดีไม่ใช่รึไงกัน
ไม่เพียงแค่ตระกูลติงเท่านั้นที่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกประหลาด ทุกคนล้วนแต่คิดเหมือนกันทั้งนั้น หากหลิงฮันจะเข้าร่วมกับขุมอำนาจใดจริงๆ เขาไปเข้าร่วมกับขุมอำนาจในเมืองจันทราหม่นแสงจะไม่ดีกว่ารึไง?
ยิ่งเข้าร่วมกับขุมอำนาจที่ทรงพลังกว่า ทรัพยากรณ์และผลประโยชน์ที่ได้รับก็ย่อมมากกว่า
“หลิงฮันมาแล้ว!” ใครบางคนเห็นหลิงฮันที่วันนี้สวมชุดสีเขียวมรกตเดินเข้ามาปรากฏตัวที่หน้าประตูตระกูลติง
เมื่อเข้าสู่ตระกูลติงแล้ว ไม่ว่าหลิงฮันจะมีแผนการอะไรอยู่ก็จะไม่สามารถหันหลังกลับได้อีกต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น