Alchemy Emperor of the Divine Dao 1683-1703
ตอนที่ 1683 ไม่ให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว
จักรพรรดินีเป็นผู้ลงมือสังหารในขณะที่หลิงฮันเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์โดยรวม สัมผัสสวรรค์ของเขากวาดผ่านทั่วรัศมี หากสมาชิกกลุ่มคนใดตกอยู่ในอันตรายเขาจะปลดปล่อยดาบฟ้าคำรามอันรวดเร็วช่วยเหลือทันที ตราบใดที่ศัตรูไม่ใช่จอมยุทธระดับโลกียนิพพานเขาย่อมสามารถช่วยเหลือคนของเขาได้ทุกคน
หลังจากผ่านไปสักพัก เหล่าสมาชิกกลุ่มก็เริ่มมั่นใจว่าตนเองปลอดภัยแน่นอนความกล้าหาญของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นพรวดพราด แต่สำหรับกลุ่มโจรนั้นตรงกันข้าม พวกมันไม่สามารถสังหารใครได้สักคนและสูญเสียพรรคพวกไปมากมาย
“ล่าถอย!” หัวหน้ากลุ่มโจรตะโกนลั่นและรีบหันหลังหลบหนี
แต่ต่อหน้าจักรพรรดินีใครจะหนีพ้น?
ผ่านไปอีกครู่หนึ่งกลุ่มโจรภูเขาก็ถูกสังหารจนหมดเหลือเพียงสามคนที่เอาไว้สอบปากคำ
นี่คือชัยชนะอันสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครเลยในกลุ่มของหลิงฮันที่บาดเจ็บสาหัส
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าทุกคนรู้ว่าเหตุผลที่พวกเขาสามารถคว้าชัยชนะเอาไว้ได้อย่างง่ายดายเป็นเพราะหลิงฮันและจักรพรรดินี เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ทำให้ความมั่นใจของพวกเขากลับคืนมา
ตราบใดที่หัวหน้าและภรรยาของหัวหน้ายังอยู่ กลุ่มกองกำลังไหนจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้?
พลังคือทุกอย่างในโลกแห่งจอมยุทธ ชัยชนะในครั้งนี้ทำให้หลิงฮันเอาชนะใจของทุกคน
หลิงฮันสอบสวนโจรภูเขาทั้งสามและพบว่าจำนวนของพวกมันไม่ได้มีแค่นี้
หัวหน้าของกลุ่มโจรภูเขามีชื่อว่าเจียงอู๋ซาง พลังต่อสู้ของเจียงอู๋ซางผู้นี้แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ต่อให้รองหัวหน้าหลายคนร่วมมือกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา นอกจากนั้นแล้วจำนวนของโจรที่เหลือมีอยู่อีกราวๆสามร้อยคน
หลิงฮันตัดสินใจให้กลุ่มของเขารออยู่ที่นี่ในขณะที่เขากับจักพรรดินีจะเป็นคนบุกไปยังรังของกลุ่มโจรภูเขาและจัดการพวกมันที่เหลือเอง
เหล่าสมาชิกกลุ่มคัดค้านทันที ทุกคนต่างคิดว่าการจะบุกไปรังของโจรเป็นการกระทำที่อันตรายเกินไป พวกมันไม่ได้มีแค่หัวหน้าที่ทรงพลังเพียงคนเดียว แต่ยังมีรองหัวหน้าที่น่าสะพรึงกลัวอีกแปดคนและลูกสมุนระดับราชาเซียนสูงสุดอีกกว่าสามสิบ ความอันตรายของภารกิจนี้มากกว่าที่อู่จิงบอกมากนัก
“หัวหน้า พลังของกลุ่มโจรภูเขาทรงพลังเกินกว่าข้อมูลที่ได้รับมา พวกเราไม่จำเป็นต้องฝืนไปเผชิญหน้ากับพวกมัน หากนำเรื่องนี้กลับไปแจ้ง พวกเขาย่อมไม่ต้องรับบทลงโทษใดๆ”
“ถูกแล้วหัวหน้า ท่านลองคิดทบทวนอีกครั้งเถอะ”
สมาชิกกลุ่มพูดโน้มน้าว พวกเขารู้สึกเคารพหลิงฮันและภรรยาเนื่องจากทั้งสองเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่ง ไม่แน่ในอีกไม่กี่ร้อยปีข้างหน้า ทั้งสองอาจจะบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานก็เป็นได้ เมื่อถึงตอนนั้นความสัมพันธ์ในวันเวลาช่วงนี้จะกลายเป็นสิ่งที่ล้ำค่า
หลิงฮันยิ้มและส่ายหัว
เขามีความจำเป็นต้องไปยังรังของกลุ่มโจร
ทำไมน่ะรึ? เหตุผลนั้นง่ายมาก พวกโจรภูเขาปล้นขบวนพ่อค้ามามากมายเท่าใดแล้ว? หากบุกไปทำลายพวกมันในตอนนี้สมบัติทุกอย่างก็จะตกเป็นของเขา แล้วทำไมต้องรายงานกองทัพด้วย?
เขาและจักรพรรดินีออกเดินทาง โจรภูเขาสามคนบอกเส้นทางไปยังรังของพวกมันแล้ว พวกหลิงฮันจึงไม่ต้องหาทางเองและมุ่งหน้าไปตามที่โจรทั้งสามบอก
ด้วยพลังของทั้งสอง พวกเขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวกับดักหรือการลอบโจมตีของกลุ่มโจรระดับสร้างสรรพสิ่ง
เส้นทางตามภูเขาไม่ได้เดินยาก ผ่านไปเพียงครึ่งวันพวกเขาก็มาถึงฐานที่มั่นซึ่งเป็นรังของกลุ่มโจร
หากไม่ใช่เพราะข้อมูลที่ได้จากโจรภูเขาทั้งสาม พวกหลิงฮันก็แทบจะหาสถานที่แห่งนี้ไม่เจอเพราะมันถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด
ทางเข้าฐานของกลุ่มโจรถูกปิดเอาไว้ด้วยโขดหินสองก้อน เมื่อขยับโขดหิน แสงสว่างจากภายในก็ส่องสว่างออกมา
หุบเขาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลิงฮัน การมาของพวกเขาได้ดึงดูดสายตาของเหล่าโจรเฝ้าทางเข้าทันที
“อะไร ผู้บุกรุก!”
“บ้าไปแล้ว ในโลกนี้มีสตรีที่งดงามขนาดนั้นอยู่ได้อย่างไร?”
เนื่องจากข้างกายจักรพรรดินีมีหลิงฮันอยู่เพียงคนเดียว นางจึงนำผ้าคลุมหน้าออกและเผยใบหน้าอันงดงาม ซึ่งก็เป็นไปตามขาด เหล่าโจรภูเขาจดจ้องมาที่นางตาไม่กระพริบ
หลิงฮันยิ้มและดีดนิ้ว ปราณดาบนับสิบถูกปลดปล่อยออกมา พริบตาเดียวร่างของโจรภูเขาสิบเอ็ดคนก็ร่วงลงพื้นพร้อมโลหิตสาดกระจายไปทั่ว
โจรที่ทำหน้าที่เฝ้าทางเข้ามีอยู่สิบสองคน โจรคนสุดท้ายที่เหลือรอดกรีดร้องด้วยความกลัวและหันหลังเผ่นหนี ในขณะที่วิ่งหนีเสียงกรีดร้องของเขาได้ดังไปทั่วทั้งหุบเขา
หลิงฮันจงใจปล่อยให้โจรคนนี้รอดชีวิตเพื่อล่อโจรคนอื่นๆให้ออกมารวมกัน
เขาไม่คิดจะเมตตา โจรภูเขาที่เหมือนสัตว์เดรัจฉานกลุ่มนี้ทุกๆครั้งที่ออกปล้นพวกมันจะสังหารเหยื่อไม่เหลือรอด หากสตรีตกอยู่ในมือพวกมัน สตรีเหล่านั้นจะตกอยู่ในความทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตามความ
พริบตาเดียว เหล่าโจรภูเขามากมายก็ออกมาจากที่พักที่ทำด้วยหินและไม้ พวกมันทุกคนนำอาวุธออกมาถือในมือด้วยท่าทางโหดเหี้ยม
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามอะไรเยี่ยงนี้!” เมื่อเห็นจักรพรรดินี โจรภูเขาทุกคนก็ตาโต ความงดงามของจักรพรรดินีสามารถสยบทุกสิ่งได้ในเสี้ยววิ ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นศัตรูก็ต้องรู้สึกเคลิบเคลิ้ม
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “นางเป็นภรรยาข้า อย่าแม้แต่จะคิดชั่วร้าย แล้วก็ใครคนไหนคือเจียงอู๋ซาง เจ้าจงออกมารับความตายแต่โดยดี!”
“ฮ่าๆ มดปลวกเช่นเจ้าจำเป็นต้องให้หัวหน้าลงมือเอง?” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา เขาคือรองหัวหน้าของกลุ่มโจรภูเขาที่มีพลังเหนือกว่าจอมยุทธระดับราชาเซียนสูงสุดทั่วไป
ในดินแดนแห่งเซียนการจะบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งไม่ใช่เรื่องยาก นอกจากการบรรลุเป็นราชาเซียนสูงสุดแล้วพวกเขายังเหลือเวลาอีกหลายพันล้านปีในการขัดเกลาพลังต่อสู้ของตนเอง
ตราบใดที่มีอายุมาแล้วกว่าสองพันล้านปี ใครบ้างจะไม่กลายเป็นราชาเซียนที่ทรงพลัง?
ผู้บุกรุกตรงหน้านี้ต้องกล้าหาญขนาดไหน ถึงได้โผล่หัวกันมาแค่สองคนและพูดจาอวดดีเช่นนี้?
“ฮ่าๆๆ เจ้าหนู เจ้าคงตั้งใจนำภรรยาของเจ้ามามอบให้พวกข้าถึงที่เลยสินะ?” รองหัวหน้าโจรกล่าว หลังจากกล่าวจบโจรภูเขาคนอื่นๆก็หัวเราะลั่น
ฉัวะ!
จู่ๆโลหิตก็ไหลทะลักออกมาจากหน้าอกของรองหัวหน้าโจร โลหิตของเขากระเด็นใส่ปากและหน้าของโจรภูเขาหลายคนที่กำลังหัวเราะอยู่ เหล่าโจรภูเขาหยุดหัวเราะก่อนจะชะงักด้วยความหวาดกลัว เนื่องจากภาพต่อมาที่พวกเขาเห็นคือร่างของรองหัวหน้าโจรที่กำลังยิ้มอยู่ค่อยๆล้มลงกับพื้น
ตอนที่ 1684 เจียงอู๋ซาง
ราชาเซียนสูงสุดที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งถูกสังหารในพริบตา
หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจียงอู๋ซาง โผล่หัวออกมา!”
เหล่าโจรภูเขามองหน้ากัน รองหัวหน้าโจรที่เหลือกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ลงมือพร้อมกัน สังหารบุรุษและจับเป็นสตรี!”
แม้พวกเขาจะเกรี้ยวกราดขนาดไหนก็ไม่อาจทำใจสังหารสตรีงดงามอย่างจักรพรรดินีได้ลง
‘พรึบ’ โจรภูเขาอย่างน้อยร้อยคนพุ่งทะยานร่างปลดปล่อยการโจมตีใส่หลิงฮันพร้อมกัน
“ตาย!” จักรพรรดินีเค้นเสียงเย็นชา ร่างแยกทั้งเก้าของนางก้าวเดินออกมาและปลดปล่อยทักษะทรงพลังมากมาย เหล่าโจรภูเขาถูกสังหารโดยที่แม้แต่ดวงวิญญาณก็ไม่อาจหนีพ้นความตาย
หลิงฮันเองก็ลงไม่อย่างไม่ลังเล ‘ครืน’ ร่างของเขาระเบิดกลุ่มก้อนเปลวเพลิงออกมา เปลวเพลิงของเขาทรงพลังและบริสุทธิ์ราวกับว่ามันสามารถแผดเผาความมืดมิดทั้งมวลให้กลายเป็นเถ้าธุลี
เพลิงเก้าสวรรค์!
ด้วยระดับพลังของหลิงฮันที่สูงขึ้น อำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์ย่อมทรงพลังขึ้นตาม ยิ่งมันเป็นถึงหนึ่งในเก้าเพลิงบรรพบุรุษด้วยแล้ว มีรึที่พลังของมันจะไม่น่าสะพรึงกลัว?
‘ตูม’ เพลิงเก้าสวรรค์ลุกลามไปทั่วพื้นที่ เหล่าโจรภูเขาทำได้เพียงรอดโอดครวญอยู่ชั่วขณะก่อนที่ร่างจะสลายกลายเป็นเศษขี้เถ้า
“หนี! หนีเอาตัวรอด!”
ยังไม่ทันจะได้ลงมือ โจรภูเขาทุกคนก็หันหลังเผ่นหนี
บุรุษสตรีคู่นี้ไม่ต่างอะไรจากปีศาจร้าย พวกเขาไม่อาจต่อต้านไหว!
“ทำชั่วอะไรไว้ย่อมได้รับผลกรรมของตนเอง!” หลิงฮันสะบัดมือ เพลิงเก้าสวรรค์ขยายรัศมีกว้างกลายเป็นกรงขนาดใหญ่ปิดกั้นหุบเขาของกลุ่มโจรภูเขาเอาไว้
“ใช้ทุกอย่างที่มีจัดการทั้งสองคนนั้น!” เหล่าโจรภูเขาดวงตาแดงฉานและหันกลับมาตอบโต้อีกครั้ง
ครั้งนี้พวกเขาไม่สนใจแล้วว่าจักรพรรดินีจะงดงามเพียงใดและกระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
ต่อให้เป็นสตรีที่งดงามราวกับเทพธิดาเพียงใดก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตของตัวเอง
แต่ก็น่าเสียดาบ ด้วยความต่างของพลังที่มีมากเกินไป ต่อให้พวกเขาทุ่มสุดตัวแล้วจะทำอะไรได้?
หลิงฮันและจักรพรรดินีเข่นฆ่าสังหารอยู่ฝ่ายเดียวอย่างไร้ความเมตตา หลิงฮันรังเกียจโจรภูเขาเหล่านี้เป็นทุนเดิมในขณะที่จักรพรรดินั้นไม่แยแสใคร ในสายตาของนาง นอกจากหลิงฮันกับสหายของหลิงฮันแล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นๆในโลกนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากสุนัข
การสังหารหมู่กินเวลาไปครึ่งก้านธูป ในตอนนี้เองจู่ๆก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น ร่างของชายผู้หนึ่งก้าวเดินออกมาจากบ้านไม้ไผ่ เขาเป็นชายที่มีรูปลักษณ์อยู่ในช่วงอายุสามสิบปี ผิวของเขาขาวกระจ่างใสและมีใบหน้าหล่อเหลา
“เจียงอู๋ซาง?” หลิงฮันเอ่ยถาม
“ไม่ผิด” ชายสวมชุดฟ้าครามผู้นั้นพยักหน้า
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดว่าผู้นำของกลุ่มโจรภูเขาอันโหดเหี้ยมนี้จะเป็นคนเถื่อนร่างสูงยักษ์เสียอีก เขาไม่คิดมาก่อนว่าผู้นำกลุ่มโจรจะเป็นชายที่ดูเป็นมิตรเช่นคนตรงหน้า
“ดูจากพลังของพวกเจ้าสองคน วันนี้ข้าคงไม่อาจหนีพ้นความตายไปได้ เพียงแต่ก่อนที่จะลงมือ ข้าอยากให้พวกเจ้าฟังเรื่องของข้าเสียหน่อย” เจียงอู๋ซางโค้งตัวให้กับพวกหลิงฮัน
หลิงฮันรู้สึกสงสัยจึงกล่าวตอบไป “เชิญพูด”
เจียงอู๋ซางเรียบเรียงเรื่องราวครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ข้าไม่ใช่คนที่ฝักใฝ่ในศาสตร์วรยุทธมากเท่าไหร่ ข้าทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตของข้าไปกับการศึกษาประวัติศาสตร์และได้แต่งงานมีภรรยาที่งดงามกับบุตรที่น่ารัก ถึงแม้ข้ามักจะถูกผู้อื่นยกย่องว่ามีพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธแต่ข้าไม่ได้ชอบการต่อสู้เท่าไหร่”
“ทว่า…”
ฃ
เขาชะงักแน่นิ่งไปชั่วครู่ ดวงตาของเขาเผยให้เห็นถึงเพลิงแห่งความแค้น “วันหนึ่ง ข้าได้ออกไปศึกษาชิ้นส่วนของประวัติศาสตร์ที่สาปสูญกับพรรคพวก และวันนั้นเมื่อกลับถึงบ้านข้ากลับพบว่าภรรยากับบุตรของข้าเสียชีวิตไปแล้ว!”
“ในตอนนั้นข้าแทบจะกลายเป็นบ้า เมื่อสงบสติได้ข้าสืบพบว่าเป็นนายน้อยจอมเสเพลของตระกูลติงที่หลงไหลในความงามของภรรยาข้าและต้องการตัวนาง แต่เนื่องจากภรรยาของข้าไม่ยินยอมตระกูลติงผู้นั้นจึงสังหารนางทิ้ง และเพื่อระบายความโกรธแม้แต่บุตรเพียงสามปีของข้ามันก็ไม่ละเว้น”
“ข้าบุกไปล้างแค้นแล้วแต่ก็ไม่สามารถผ่านประตูของตระกูลติงไปได้ ข้าถูกทุบตีปางตายและถูกนำร่างออกมาทิ้งนอกเมือง”
“ในตอนแรกข้าคิดว่าชีวิตคงจบแล้ว แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ข้าตาย ข้ารอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์”
“ข้ารู้ว่าตระกูลติงนั้นแข็งแกร่งเกินว่าจะแก้แค้นได้สำเร็จข้าจึงผันตัวกลายมาเป็นโจรภูเขาและปล้นสังหารขบวนพ่อค้าที่ออกมาจากเมืองธุลีจันรทราเพื่อก่อความวุ่นวายให้แก่ตระกูลติง”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!
หลิงฮันถอนหายใจ ความทุกข์ทรมานที่เจียงอู๋ซางได้รับนั้นหนักหนาสาหัสเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ก็ไม่รู้ว่ามีมีสตรีอีกมากมายเพียงใดที่มีชะตากรรมเหมือนกับภรรยาของเจียงอู๋ซาง
เจียงอู๋ซางผู้นี้ถูกความเคียดแค้นกัดกินจิตใจแอย่างสมบูรณ์แล้ว
หลิงฮันแน่นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าว “เจ้าก็บรรลุระดับราชาเซียนสูงสุดแล้ว ทำไมถึงไม่ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน? อย่างน้อยเจ้าก็พอมีความหวังแก้แค้นสำเร็จขึ้นมาบ้าง”
เจียงอู๋ซางแหงนมองท้องฟ้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่ข้าไม่คิดจะลืมเลือนคือความรักที่มีต่อภรรยาและบุตร หากต้องตัดความรู้สึกนั้นทิ้งข้าขอยอมไม่ล้างแค้นดีกว่า”
การจะบรรลุระดับโลกียะนิพพานจำเป็นต้องตัดความรู้สึกทางโลกทิ้ง ซึ่งความรู้สึกที่จะสูญเสียไปคือความรู้สึกที่สำคัญที่สุด
เจียงอู๋ซางนั้นเพื่อที่จะไม่ลืมความรู้สึกที่มีต่อภรรยาและบุตร เขายอมแม้กระทั่งไม่พยายามทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานและล้มเลิกความหวังที่จะแก้แค้น
หลิงฮันถอนหายใจและกล่าว “เจียงอู๋ซาง ด้วยการกระทำอันโหดเหี้ยมที่ผ่านมาของเจ้าไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องสังหารเจ้า แต่ข้าขอสัญญาว่าวันหนึ่งข้าจะทำลายตระกูลติงให้สิ้นซากเพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่เจ้า”
เจียงอู๋ซางหัวเราะ “ไม่ว่าคำสัญญานั่นจะสำเร็จหรือไม่ข้าก็ขอขอบคุณล่วงหน้า! สำหรับข้าการเผชิญหน้ากับเจ้าคงเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายแล้ว”
เขาคำรามเสียงต่ำก่อนจะระเบิดพลังรุนแรงที่เพียงพอจะทำให้ราชาเซียนสูงสุดสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวออกมา
“เมื่อในระดับวารีนิรันดร์ ข้าควบแน่นดวงดาวได้ถึงหกล้านดวง หากไม่ใช่เพราะข้าไม่สนใจศาสตร์วรยุทธ การที่ข้าจะควบแน่นดวงดาวได้ถึงแปดล้านดวงหรือแม้แต่สิบล้านดวงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เจียงอู๋ซางกล่าว “เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าได้ประมาท ไม่งั้นคนที่เสียชีวิตอาจจะกลายเป็นเจ้าไม่ใช่ข้า!”
หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดินี “ข้าจัดการเอง”
ถึงแม้เจียงอู๋ซางจะก่อวีรกรรมชั่วร้ายมามาก แต่อีกฝ่ายก็เป็นบุรุษผู้หนึ่งที่คู่ควรให้เขาส่งไปยังโลกหน้าด้วยมือตัวเอง
จักรพรรดินีพยักหน้าและก้าวถอยออกมา
ตอนที่ 1685 ม้วนคัมภีร์ที่เปิดไม่ได้
“ลงมือ!” เจียงอู๋ซางคำราม ‘ครืน’ มือทั้งสองข้างของเขาปลดปล่อยคลื่นพลังเจิดจ้าไร้สิ้นสุดราวกับดวงตะวัน
ด้วยพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธที่มีมาแต่กำเนิด ต่อให้เขาไม่สนใจฝึกฝนก็ยังมีพลังต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัว ทุกๆการโจมตีรุนแรงจนทำให้สวรรค์และปฐพีเปลี่ยนสี หากเป็นที่โลกบรรพกาลเพียงแค่สมหายใจของเขาก็สามารถบดขยี้ดวงดาวทั้งดวงได้
แต่น่าเสียต่อหน้าหลิงฮัน พลังเท่านี้ยังไม่เพียงพอ
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่หลิงฮันมีพลังต่อสู้ไร้เทียมทานในระดับสร้างสรรพสิ่ง ต่อให้เขาไม่ทำการตอบโต้ใดๆ เจียงอู๋ซางจะสร้างความเสียหายให้กายหยาบของเขาได้?
เพียงแต่ว่าว่าหลิงฮันไม่คิดจะรีบลงมือ นี่คือการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเจียงอู๋ซางเขาจึงคิดจะให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา
เจียงอู๋ซางไม่สนใจว่าจะชนะหรือแพ้ เขาเพียงแสดงทักษะวรยุทธที่ฝึกฝนมาทั้งชีวิตออกมา ด้วยพลังของเขา การจะสังหารโจรภูเขาทั้งหมดในที่นี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย
หลิงฮันที่คลั่งไคล้วิถีวรยุทธเมื่อได้เห็นอีกฝ่ายต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายก็รู้สึกถูกกระตุ้น ‘พรึบ’ เพลิงเก้าสวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมา เขาโคจรกาลเวลาแปรผันพันปีเพื่อสลายการโจมตีที่พุ่งเข้าใส่ทั้งหมดและเคลื่อนที่ไปปรากฏด้านหน้าเจียงอู๋ซางด้วยแสงอัสนี
‘ปัง’ หมัดที่ปกคลุมด้วยเพลิงเก้าสวรรค์ทะลวงผ่านหัวใจของเจียงอู๋ซาง ด้วยอำนาจเผาผลาญของเพลิงเก้าสวรรค์ทำให้ไม่มีโลหิตแม้แต่หยดเดียวไหลออกมา
เจียงอู๋ซางกระอักโลหิต เขาจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาที่ค่อยๆเลือนรางและเผยรอยยิ้มผ่อนคลาย
เนื่องจากความมืดที่ต้องการแก้แค้นได้กัดกินจิตใจของเขาตลอดเวลาทำให้เขาไม่สามารถฆ่าตัวตายได้ เขาหวังอยู่ลึกๆว่าสักวันหนึ่งจะมีใครสักคนที่ทรงพลังมาช่วยปลิดชีวิตของตัวเอง
หากตายเขาก็จะได้ไปพบเจอภรรยาและบุตรอีกครั้งในภพหน้า หากชีวิตหลังความตายมีจริง พวกเขาคงสามารถใช้ชีวิตในแบบครอบครัวได้อีกครั้ง
เพลิงเก้าสวรรค์ปลดปล่อยอำนาจอันทรงพลังแผดเผาเจียงอู๋ซางกลายเป็นเศษขี้เถ้า
หลิงฮันยื่นเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับจักรพรรดินี “เก็บเกี่ยวผลประโยชน์แล้วกลับกันเถอะ”
“อืม!” จักรพรรดินีพยักหน้า เนื่องจากสิ่งเดียวที่อยู่ในสายตาของนางคือหลิงฮัน นางจึงไม่รู้สึกใดๆกับเรื่องราวและความตายของเจียงอู๋ซาง
สมบัติทั้งหมดของรังโจรถูกสองสามีภรรยาปล้นชิงไม่เหลือ สมบัติมีทั้งเม็ดยาจำนวนมาก สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำและอุปกรณ์เซียน หลิงฮันนำแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ที่พบเจอให้ดาบอสูรนิรันดร์กลืนกินทันที หลังจากดูดกลืนแร่โลหะทั้งหมดในที่สุดดาบอสูรนิรันดร์ก็ยกระดับ
อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเก้า!
ทรัพยากรที่มากมายของดินแดนแห่งเซียนคงสามารถทำให้ดาบอสูรนิรันดร์บรรลุระดับยี่สิบได้อย่างไม่ยากลำบาก แต่ตั้งแต่ระดับอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ไปยังอุปกรณ์นิรันดร์นั้นเป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงดาบอสูรนิรันดร์จะต้องกลืนกินอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมหาศาลแต่ยังต้องรับบททดสอบจากสวรรค์และปฐพีด้วย
อุปกรณ์นิรันดร์ก็เปรียบเหมือนราชานิรันดร์ จะบรรลุระดับนั้นง่ายๆได้อย่างไร?
“หลิงฮัน มาดูนี่หน่อย” จักรพรรดินีเอ่ยเรียก
ที่ที่พวกเขาอยู่คือบริเวณที่กลุ่มโจรภูเขาใช้กองรวมสมบัติเอาไว้โดยที่ไม่ใส่เก็บไว้ในอุปกรณ์มิติ
จักรพรรดินีถือคัมภีร์ที่ดำสนิทอยู่ในมือ ม้วนคัมภีร์ดูหนักและหนาแน่นเป็นอย่างมากเนื่องจากมันไม่ได้ถูกทำขึ้นจากกระดาษ แต่สมควรเป็นแร่โลหะที่นำมาบีบอัดหรือไม่ก็หนังของสัตว์อสูรที่ทรงพลัง
จากภายนอกม้วนคัมภีร์ได้ถูกมัดเอาไว้เป็นชั้นๆด้วยสายรัดที่ไม่ว่าทำอย่างไรก็ดึงสายรัดไม่ออก
สายรัดนี้ดูราวกับผสานเป็นหนึ่งเดียวกับม้วนคัมภีร์ ไม่ว่าจะออกแรงขนาดไหนก็แก้มัดไม่ได้
หลิงฮันและจักรพรรดินีมองหน้ากันด้วยแววตาตกตะลึง
“ม้วนคีมภีร์แผ่นนี้จะต้องถูกเขียนขึ้นโดยปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งเป็นแน่ หากระดับพลังไม่ถึงคงไม่มีคุณสมบัติที่จะเปิดมัน” หลิงฮันกล่าว แม้แต่เขาที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้Anchorระดับโลกียนิพพานก็ไม่สามารถเปิดม้วนคัมภีร์ได้
ทั้งสองพยายามช่วยกันแล้วก็แต่ก็ไม่สำเร็จ
“เก็บมันไว้ก่อนแล้วกัน” หลิงฮันคิดจะนำม้วนคัมภีร์เข้าไปไว้ในหอคอยทมิฬ แต่เขาก็ต้องประหลาดเมื่อพบว่าไม่อาจทำเช่นนั้นเนื่องจากสัมผัสสวรรค์ของเขาโอบล้อมม้วนคัมภีร์ไม่ได้
หากยกตัวอย่างให้สัมผัสสวรรค์ของเขาเป็นตาข่าย ม้วนคัมภีร์ก็เปรียบเสมือนวัตถุอันหนักอึ้ง เมื่อนำตาข่ายห่อหุ้มวัตถุหนัก ตาข่ายก็จะขาดทันทีเมื่อยกตาข่ายขึ้น
แผนการที่เขาคิดจะเปิดม้วนคัมภีร์ในหอคอยทมิฬล้มเหลวเสียได้
เพียงแต่ผลกอบโกยในครั้งนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยม พวกเขาได้สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำมานับร้อย หากไม่ใช่เพราะกลุ่มโจรภูเขากินไปบ้างแล้วจำนวนคงจะมีเยอะกว่านี้กหลายเท่า แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์เองก็มีมากมายเช่นกันแต่ได้ถูกดาบอสูรนิรันดร์กลืนกินไปหมดแล้ว
นอกจากนี้ก็ยังมีหินดวงดาวอีกหลายพันก้อนและผ้าไหมมากมายที่ถูกสานขึ้นจากหนังของสัตว์อสูรระดับสร้างสรรพสิ่ง ผ้าไหมเหล่านี้คือวัสดุเซียนที่สามารถนำมาสร้างเป็นชุดสวมใสที่ทนทาน
หลิงฮันพึงพอใจเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะเรื่องราวกับน่าสลดของเจียงอู๋ซางเขาคงจะรู้สึกดีกว่านี้ แต่จากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้เขาตัดสินใจหนักแน่นได้แล้วว่าตระกูลติงจำเป็นต้องถูกลบหายไป
ไม่ว่าจะเป็นในโลกบรรพกาลหรือดินแดนแห่งเซียน เรื่องราวที่หลิงฮันได้ยินเกี่ยวกับตระกูลติงนั้นไม่มีเรื่องดีเลยแม้แต่เรื่องเดียว
หลิงฮันและจักรพรรดินีเดินทางกลับ เมื่อกลุ่มของพวกเขารู้ว่ารังของโจรภูเขาถูกหลิงฮันและจักรพรรดิเก็บกวาดสิ้นซากแล้วทุกคนก็โห่ร้องดีใจ
แน่นอนว่าไม่มีใครกล่าวถึงสินสงคราม พวกเขาเดินทางกลับสู่ค่ายกองกำลัง และด้วยตราสัญลักษณ์ของกองกำลังธุลีจันรทราพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทางเข้าเมือง
หลิงฮันไปหาอู่จิงเพื่อรายงานภารกิจ เขากล่าวไปว่ากลุ่มโจรภูเขากลุ่มนี้นั้นอ่อนแอเกินไปทำให้ถูกพวกเขาจัดการได้อย่างง่ายดาย ในหมู่พวกเขามีเพียงเจ็ดคนที่บาดเจ็บเล็กน้อย โดยที่ไม่มีใครเลยที่บาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต
อู่จิงตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เขาไปตรวจสอบกลุ่มของหลิงฮันและซากศพของโจรภูเขาที่ถูกเก็บกลับมาเป็นหลักฐาน
เมื่อยืนยันได้แล้วเขาก็รายงานเรื่องนี้ให้ติงหู่รับรู้ทันที ซึ่งเวลาผ่านไปไม่นานเขาก็ได้รับคำสั่งว่าให้หลิงฮันส่งมอบสมบัติทั้งหมดที่พบคืนให้กองกำลังเนื่องจากพวกมันเป็นทรัพย์สินที่เมืองธุลีจันรทราสูญเสียไป
เมื่อได้รับรู้คำสั่งนี้ หลิงฮันก็โมโหจนแทบจะทุบโต๊ะ
ทำไมจอมยุทธหลายคนถึงต้องการเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทรา? หนึ่งในเหตุนั้นเป็นเพราะว่าสินสงครามที่ได้รับจากภารกิจจะตกเป็นของพวกเขา
แต่พอเป็นเขากลับต้องส่งมอบคืนให้?
บัดซบ!
ดวงตาของหลิงฮันส่องประกายโหดเหี้ยม ด้วยทรัพยากรของติงหู่และตระกูลติง พวกเขาคงไม่สนใจสมบัติเล็กน้อยจากรังของกลุ่มโจรเป็นแน่ เป็นติงหู่ที่จงใจสร้างปัญหาให้แก่เขา
ตัวเจ้าที่เป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานไม่รู้สึกละอายใจเลยรึที่เพ่งเล็งเอาเปรียบกับจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง?
แต่ทว่าเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคิดก็เกิดขึ้นในเวลาต่อมา ติงหู่ถูกย้ายออกจากตำแหน่งผู้ดูแล และถูกแทนที่โดยรองแม่ทัพตระกูลล้ง ล้งเกาเฟย
ตอนที่ 1686 แม่ทัพสูงสุดเม่าไต้
หลิงฮันมุ่งหน้าไปหาเม่าซูอวี่ทันที
คนที่จะมีอำนาจในการโยกย้ายรองแม่ทัพเช่นนี้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นในกองกำลัง
แม่ทัพสูงสุด
“ถูกแล้ว ข้าเป็นคนบอกบิดาของข้าเอง” เม่าซูอวี่พยักหน้า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้าแค่ไม่ชอบหน้าหมอนั่นเท่านั้น ฮึ่ม เป็นถึงตัวตนระดับโลกียนิพพานแต่กลับทำตัวไร้ยางอายรังแกคนอื่น”
นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
หลิงฮัยหัวเราะก่อนจจะกล่าว “แต่ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าอยู่ดี เจ้าช่วยข้าไว้มาก”
“จริงสิ บิดาของข้าบอกว่าหากเจ้ามีเวลาก็อยากให้เจ้าไปพบเขาหน่อย” เม่าซูอวี่กล่าว
หลิงฮันแน่นิ่ง ก่อนหน้านี้เนื่องจากเขาถูกติงหู่ทำร้าย ทำให้ไม่มีใครอยากจะใกล้ชิดกับเขา หากไม่ใช่เพราะมีกฎว่าทุกกลุ่มจะต้องมีสมาชิกหนึ่งร้อยคน กลุ่มของพวกเขาคงมีเพียงหลิงฮันกับจักรพรรดินีสองคน
นอกจากนั้นที่ติงหู่กล่าวว่าผู้ทดสอบที่ได้ตำแหน่งผู้นำจะได้รับศิลาดวงดาวสิบก้อนนั้น ผู้นำกลุ่มคนอื่นๆได้รับไปแล้วมีเพียงเขาที่ยังไม่ได้
จะให้เขาไปทวงติงหู่? แน่นอนว่าผลลัพธ์คงหนีไม่พ้นถูกอีกฝ่ายทำให้อัปยศ!
แม้หลิงฮันจะเผยพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งให้คนในกลุ่มรับรู้และได้รับความเคารพจากทุกคน แต่เมื่อกลับมายังค่ายกองกำลัง ทุกคนในกลุ่มก็แยกตัวไม่เข้าใกล้เข้าเลยแม้แต่คนเดียว
ใครจะกล้าสร้างความไม่พอใจให้กับตัวตนระดับนิรันดร์อย่างติงหู่?
หลิงฮันอาจจะมีอนาคตอันรุ่งโรจน์ แต่จากระดับสร้างสรรพสิ่งไปยังระดับโลกียนิพพานนั้น แม้จะเป็นอัจริยะขนาดไหนก็ต้องใช้เวลาขัดเกลาพลังหลายสิบล้านปี หลิงฮันจะมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนั้นหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้
แต่ตอนนี้เม่าไต้กลับบอกให้หลิงฮันเข้าพบ
การให้ไปพบไม่ต่างอะไรจากการประกาศให้ทุกคนรู้ว่า เม่าไต้รู้สึกสนใจในตัวหลิงฮัน!
ใคคือเม่าไต้?
ปรมาจารย์สามนิพพานผู้ทรงพลังที่มีโอกาสทะลวงผ่านโลกียนิพพานสี่นิพพาน
หากเม่าไต้สนับสนุนหลิงฮัน ติงหู่จะนับเป็นอันใด?
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “วันคืนไม่คอยท่า กาลเวลาไม่เคยคอยใคร ข้าจะไปพบผู้อาวุโสวันนี้เลย”
“อืม!” เม่าซูอวี่พยักหน้า “มากับข้า ท่านพ่อสนใจในตัวเจ้ามาก ขนาดข้าที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่งแล้ว ก็ไม่อาจเทียบกับเจ้าได้”
ทั้งสองออกจากค่ายกองกำลัง ความจริงระหว่างการทดสอบเข้ากองทัพ พวกเขาไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ แต่ด้วยสถานะของเม่าซูอวี่ ผู้ฝึกสอนหลายคนจึงไม่สามารถทำอะไรได้และยอมให้ทั้งสองออกไป
เรื่องที่ติงหู่ถูกย้ายกะทันหัน ไม่ว่าใครก็รู้ว่าต้องเป็นฝีมือของเม่าไต้
เม่าไต้เป็นถึงนิรันดร์ระดับสามนิพพานที่ทรงพลังและมีอนาคตจะบรรลุเป็นนิรันดร์สี่นิพพาน วันหนึ่งเขาจะกลายเป็นตัวตนที่ยืนอยู่ในสภานะจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองธุลีจันรทราเทียบประมุขของสามตระกูลใหญ่
เม่าไต้พำนักอยู่ในกองกำลังธุลีจันรทราหลัก ไม่ใช่กองกำลังสำรองเล็กๆเช่นพวกผู้ทดสอบ
ทั่วทั้งกองกำลังธุลีจันรทรามีคนอยู่เก้าพันคน ทุกๆสามพันคนแบ่งออกเป็นคนของกองกำลังย่อยพยัคฆ์ขาว กองกำลังย่อยมังกรคราม กองกำลังย่อยหงส์เพลิง
เม่าไต้นั้นมีศิษย์เพียงคนเดียวคือจางชง เขาคือจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งสูงสุดที่กำลังรอโอกาสทะลวงผ่านเป็นระดับโลกียะนิพพาน
คนที่นี่รู้จักนางเป็นอย่างดีอยู่แล้ว พวกเขาพยักหน้าให้แก่นางโดยไม่เอ่ยถามอะไรแม้แต่คำเดียว
เม่าซูอวี่พาหลิงฮันเข้ามาในลานที่พักแห่งหนึ่งในค่ายกองกำลัง แม้ภายนอกของลานที่พักจะดูเล็กกระทัดรัดแต่ภายในอาจจะกว้างใหญ่ราวกับสรวงสวรรค์ ด้านในเป็นไปได้ว่าจะมีทะเลสาปอันกว้างใหญ่และภูเขามากมายหลายลูก ที่พักแห่งนี้แท้จริงเป็นอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสร้างให้มีขนาดใหญ่และมีรูปร่างเหมือนที่พัก
“ศิษย์น้อง!” ร่างหนึ่งนั่งอยู่บริเวณประตูทางเข้า ทันทีที่เห็นเม่าซูอวี่เขาก็รีบลุกขึ้นมาทักทายและกวาดสายตามองหลิงฮันด้วยแววตาขึงขังราวกับบอกเป็นนัยๆว่า สตรีผู้นี้เป็นของเขาอย่าได้คิดแตะต้อง
คนผู้นี้คือจางชง ศิษย์เพียงคนเดียวของเม่าไต้
“ศิษย์พี่!” เม่าซูอวี่กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน นางนับถือศิษย์พี่ผู้นี้เป็นเหมือนพี่ชายเนื่องจากบิดาของนางมักใช้เวลาทั้งหมดไปกับการบ่มเพาะพลัง กล่าวได้ว่าจางชงผู้นี้ใช้เวลาร่วมกับนางเยอะกว่าเม่าไต้ผู้เป็นบิดาเสียอีก
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ยินดีที่ได้พบพี่ชายจาง”
สีหน้าของจางชงเผยให้เห็นถึงความรู้สึกไม่สบอารมณ์ เจ้าเป็นเพียงเซียนระดับสูง ส่วนข้าเป็นราชาเซียน ต่อให้เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้อาวุโสจาง แต่เหตุใดเจ้าไม่เรียกข้าว่านายท่านจาง?
“ท่านพ่อกำลังบ่มเพาะพลังอยู่?” เม่าซูอวี่เอ่ยถาม
“ท่านเพิ่งบ่มเพาะพลังเสร็จและกำลังจิบชาพักผ่อน” จางชงหันไปมองเม่าซูอวี่ ร่องรอยไม่สบอารมร์บนใบหน้าหายไปทันทีพร้อมกับแทนที่ด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“เจ้าโชคดีที่มาถูกจังหวะ เข้าไปได้เลย” เม่าซูอวี่กล่าวกับหลิงฮันก่อนจะหันไปคุยกับจางชง “ศิษย์พี่ ข้าพบปัญหาในระหว่างบ่มเพาะพลัง ท่านช่วยชี้แนะข้าหน่อย”
เมื่อได้คุยกับเม่าซูอวี่ความรู้สึกไม่พึงพอใจต่างๆของจางชงก็สลายหายไปทันที “ปัญหาอันใด?”
หลิงฮันยิ้ม เขามองออกว่าไม่เพียงแค่จางชงที่หลงรักเม่าซูอวี่ แต่ทางเม่าซูอวี่เองก็มีความรู้สึกดีๆให้กับศิษย์พี่ของนางเช่นกัน เพียงแต่ว่านางเป็นคนที่ไม่ประสีประสาในเรื่องนี้จึงยังไม่ตระหนักถึงความรู้สึกของตัวเอง
เมื่อเขาผ่านประตูลานที่พักเข้าไป สิ่งที่เห็นเบื้องหน้าเป็นอย่างแรกคือเส้นทางน้ำที่คดเคี้ยวสิบแปดสาย ในระยะที่ห่างออกไปเล็กน้อยมีทะเลสาบและเนินเขาสีเขียวปรากฏอยู่ ร่างของชายคนหนึ่งกำลังนั่งนั่งตกปลาอย่างสบายใจ หลิงฮันเดินเข้าไปยืนที่ด้านหลังของชายคนนั้นและผสานมือคารวะ “หลิงฮันคารวะผู้อาวุโส”
ชายผู้นี้คือเม่าไต้
แม่จะเห็นเพียงแผ่นหลัง แต่หลิงฮันรู้สึกราวกับกำลังยืนเผชิญหน้ากับขุนเขา ต่อหน้าปรมาจารย์สมนิพพานที่ทรงพลัง หลิงฮันทำได้เพียงแหงนมอง
เม่าไต้ไม่กล่าวตอบ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจู่ๆเขาก็ยกคันเบ็ดขึ้น อสรพิษวารีขนาดมหึมาถูกดึงขึ้นมาจากทะเลสาป หลิงฮันตกตะลึงทันทีที่เห็นว่าอสรพิษตัวนี้มีเขาและเท้า!
มันไม่ใช่อสรพิษแต่เป็นมังกร!
ในโลกบรรพกาล มังกรแท้จริงอาจจะเป็นสัตว์อสูรที่ทรงพลังที่สุด แต่ต่อหน้านิรันดร์ที่แข็งแกร่งแล้วมังกรแท้จริงไม่ต่างอะไรจากอสรพิษทั่วไป เม่าไต้ยกร่างของมันขึ้นมาและโยนกลับทะเลสาปไปอย่างไม่แยแส เขาเผยรอยยิ้มและกล่าว “เจ้างูน้อยเจ้าเล่ห์ เพราะรู้ว่าข้าไม่คิดจะทำร้ายมัน มันถึงได้กินเหยื่อจากเบ็ดของข้าไปแล้วมากมาย”
เม่าไต้หันหลังกลับมา พริบตานั้นหลิงฮันรู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าเขาไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเต๋าแห่งสวรรค์และปฐพี!
แต่ผ่านไปชั่วครู่ความรู้สึกนั้นก็หายไป เม่าไต้ยืนพาดมือไว้ด้านหลังในขณะที่ชุดสีฟ้าครามกระพือไปตามสายลม เขาไม่ใช่คนร่างสูงหรือเตี้ย บรรยากาศรอบตัวเขาทำให้ใครที่อยูใครรู้สึกอบอุ่น
“หนุ่มน้อย เจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ” เม่าไต้กล่าว
ตอนที่ 1687 อะไรคือตัดผ่านนิพพาน
‘เจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ’
นี่ไม่ใช่คำเชยชมจากคนทั่วไป แต่เป็นคำชมจากปรมาจารย์สามนิพพาน!
หลิงฮันกล่าวตอบกลับไปด้วยท่าทางนอบน้อม “ผู้อาวุโสชมข้าเกินไป”
เม่าไต้หัวเราะ “ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว การถ่อมตัวเกินไปก็ไม่ต่างจากการยกตนข่มท่าน”
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “รุ่นเยาว์ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง ในระดับพลังเดียวกัน รุ่นเยาว์ไม่เคยพบเจอใครที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ได้มาก่อน”
เม่าไต้ชะงักก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดังกว่าเดิม “ฮ่าๆๆ เป็นรุ่นเยาว์ที่น่าสนใจจริงๆ” เขาหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “รุ่นเยาว์ทั้งหมดที่ข้าเคยพบเจอ มีเพียงเจ้าคนเดียวที่กล้าพูดต่อหน้าข้าเช่นนี้”
“เป็นเพราะผู้อาวุโสดูเป็นมิตร รุ่นเยาว์ถึงได้กล้าพูดออกไปตรงๆ” หลิงฮันกล่าว
เม่าไต้พาดมือไว้ด้านหลังและกล่าว “เดินเล่นเป็นเพื่อนข้าสักครู่”
หลิงฮันก้าวเท้าตามอีกฝ่ายไป แน่นอนว่าเขาไม่ได้เดินแนบข้างเม่าไต้แต่เดินตามจากด้านหลังโดยเว้นระยะเล็กน้อย
“เจ้าทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่งด้วยดวงดาราสิบล้านดวง?” จู่ๆเม่าไต้ก็เอ่ยถาม
หลิงฮันลังเลเล็กน้อยแต่ก็กล่าวตอบ “ขอรับ” ท่าทางของเม่าไต้นั้นดูเป็นมิตรที่ไม่ประสงค์ร้ายใดๆ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งด้วยแล้ว ตอบตามจริงไปจะดีเสียกว่า
ร่างของเม่าไต้หยุดชะงักเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเดินตามปกติ เขากล่าว “ข้าไม่คาดคิดว่าจะได้พบเจออัจฉริยะที่ขัดเกลารากฐานพลังบ่มเพาะของระดับวารีนิรันดร์จนบรรลุขีดกำจัดสูงสุดตัวเป็นๆ หนุ่มน้อย ข้าขอเปลี่ยนคำชมเชอเมื่อครู่ เจ้าไม่ใช่แค่ไม่ธรรมดาแต่เจ้าเหนือมนุษย์มนาเป็นอย่างมาก!”
หลิงฮันหัวเราะ ในเมื่อเม่าไต้เอ่ยชมขนาดนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวอีกต่อไป เนื้อแท้แล้วเขาเป็นคนที่หยิ่งทะนงเป็นอย่างมาก ในระดับพลังเดียวกัน มีเพียงทายาทของขุมอำนาจระดับสูงอย่างเช่นหูหนิวเท่านั้นถึงจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เขาได้
“หนุ่มน้อย เจ้ารู้รึไม่ว่าโลกียะนิพพานคืออะไร?” เม่าไต้เปลี่ยนเรื่องคุย
โลกียะนิพพาน? ไม่ใช่ว่ามันคือการละความรู้สึกทางโลกเพื่อบรรลุเป็นนิรันดร์หรอกรึ?
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “คือการตัดขาดความรู้สึกที่สำคัญที่สุดของตนเอง”
เม่าไต้พยักหน้าและกล่าว “สวรรค์และปฐพีช่างไม่แยแสและไร้ความเมตตา หากต้องการชีวิตอันเป็นนิรันดร์เราต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนที่มีค่าที่สุดเป็นการแลกเปลี่ยน แต่เดิมความรู้สึกที่มีค่าที่สุดของข้าคือความรักที่มีต่อภรรยาและบุตรสาว เพียงแต่หลังจากที่ตัดผ่านนิพพานไปถึงสามครั้ง ตอนนี้ข้าแทบจะไม่รับรู้เลยว่าความรักที่เคยมีให้ภรรยาและบุตรสาวเป็นความรู้สึกอย่างไร”
ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก ทั้งๆที่ครั้งหนึ่งเคยรู้สึกรักใครสักคนเป็นอย่างมากแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับนึกความรู้สึกที่เคยมีไม่ออก
หลิงฮันเข้าใจแล้วว่าทำไมเจียงอู๋ซางถึงเลือกที่จะยอมทิ้งความหวังในการล้างแค้นแทนที่จะทะลวงผ่านระดับโลกียะนิพพาน นั่นเป็นเพราะหลังจากตัดนิพพานแล้ว อีกฝ่ายจะไม่ใช่ตัวเองอีกต่อไป
“การบรรลุระดับโลกียะนิพพานคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตที่ข้าไม่อาจกลับไปแก้ไขได้” เม่าไต้ถอนหายใจ เขามองไปยังหลิงฮันก่อนจะกล่าว “หนุ่มน้อย เจ้ามีบางอย่างที่สำคัญต่อตัวเจ้าเป็นอย่างมากหรือไม่? สิ่งสำคัญที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากลืมเลือน?”
“ข้ามี!” หลิงฮันพยักหน้าอย่างไม่ลังเล
จะต้องมีวิธีบรรลุระดับโลกียนิพพานวิธีอื่นอยู่อีกแน่ อย่างเช่นนี้วิธีที่จะตัดความรู้สึกที่เขาไม่ค่อยให้ความสำคัญออกไป
เม่าไต้มองไปยังหลิงฮันและกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย “คนส่วนใหญ่คิดว่าหากจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานมีเพียงต้องละทิ้งความรู้สึกทางโลกอย่างเดียว แต่พวกเขาไม่รู้ว่าไม่จำเสมอไปที่ต้องทำแบบนั้น”
แววตาของหลิงฮันส่องประกายตื่นเต้นขึ้นมาและรีบกล่าวทันที “ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ!” เขาด้มโค้งสุดตัว หากเขาสามารถบรรลุระดับโลกียนิพพานได้โดยไม่จำเป็นต้องตัดความรู้สึกทางโลก สำหรับเขาคำชี้แนะของเม่าไต้ในวันนี้จะล้ำค่ายิ่งกว่าทักษะระดับราชานิรันดร์เสียอีก
เท่าไต้หัวเราะก่อนจะกล่าว “การตัดความรู้สึกคือวิธีทั่วไป แต่วิธีสำหรับอัจฉริยะแท้จริงคือการตัดขาดสวรรค์และปฐพี!”
ตัดขาดสวรรค์และปฐพี!
หลิงฮันอ้าปากค้างเล็กน้อย การบรรลุระดับโลกียนิพพานคือการผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และปฐพี หากตัดขาดจากสวรรค์และปฐพีแล้วจะบรรลุระดับโลกียนิพพานได้อย่างไร
เม่าไต้อธิบาย “วิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพีคือวิธีที่ข้าพบเห็นมาจากโบราณสถาน ในอดีตมีอัจฉริยะไร้ที่เปรียบใช้วิธีนี้ในการบรรลุระดับโลกียะนิพพาน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสวรรค์และปฐพีใช้เพียงพลังของตนเอง ตัวข้าคือสวรรค์ ตัวข้าคือปฐพี สรรพสิ่งตัวข้าเป็นผู้กำหนดแต่เพียงผู้เดียว!”
เมื่อใดยินประโยคสุดท้าย หลิงฮันก็รู้สึกราวกับโลหิตในร่างเดือดพล่าน
“แต่การตัดนิพพานความรู้สึกทางโลกก็ยากราวกับไต่ขึ้นสวรรค์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การตัดขาดกับสวรรค์และปฐพีนั้นยากขึ้นไปอีกหลายเท่า” แววตาของเม่าไต่เปลี่ยนเป็นขึงขัง “โอกาสเสียชีวิตจากการพยายามตัดขาดกับสวรรค์และปฐพีเองก็มีมาก”
หลิงฮันเผยสีหน้าหนักแน่นและกล่าว “ขอขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ รุ่นเยาว์ตัดสินใจแล้วว่าจะลองวิธีนี้”
เม่าไต้พยักหน้าและกล่าวต่อ “เจ้าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงข้าจึงไม่ต้องการให้เจ้าให้ทำผิดพลาดเหมือนข้า ข้าหวังให้ข้าก้าวข้ามข้าและทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก! เจ้าที่ทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่งด้วยระดับวารีนิรันดร์สมบูรณ์แท้จริงนั้น ต่อให้บรรลุระดับโลกียนิพพานแล้วก็ยังสมควรไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน”
“แต่หากเจ้าทะลวงผ่านระดับโลกียะนิพพานด้วยวิธีตัดขาดสวรรค์และปฐพี เจ้าจะไม่เพียงไร้เทียมทานในระดับเดียวกัน แต่จะไร้เทียมทานข้ามระดับ!”
เรื่องเช่นนี้ยากจะจินตนาการถึง เพียงเพิ่งบรรลุเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพานแต่กลับแข็งแกร่งพอที่จะโค่นนิรันดร์สองนิพพาน!
ในดินแดนแห่งเซียนจะมีกี่คนที่ทำได้?
“เท่าที่ข้ารู้ ในบริเวณใกล้เคียงเมืองธุลีจันรทรา มีเขตแดนลี้ลับอยู่เจ็ดแห่งที่สามารถใช้ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้ ในหมู่เขตแดนลี้ลับทั้งเจ็ด หุบเหวสืบสานนิพพานคือสถานที่ที่ใกล้จะเปิดออกเร็วที่สุดและมีอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีหนาแน่นที่สุด จากการคำนวณของข้าที่นั่นมีพลังอำนาจรุนแรงพอที่จะช่วยเจ้าตัดขาดสวรรค์และปฐพีได้สำเร็จ”
“เพียงแต่เวลาที่หุบเหวสืบสานนิพพานจะเปิดนั้นคืออีกสองปีข้างหน้า เวลาแค่นี้คงไม่เพียงพอที่เจ้าจะบรรลุเป็นราชาเซียนสูงสุดได้ทัน”
“และเวลาที่หุบเหวสืบสานนิพพานจะเปิดในครั้งต่อไปคืออีกสิบล้านปี”
เม่าไต้ส่ายหัวเสียดาย หากต้องการตัดขาดสวรรค์และปฐพี สิ่งจำเป็นคืออำนาจของสวรรค์และปฐพีที่หนาแน่นซึ่งมีเพียงที่หุบเหวสืบสานนิพพานเท่านั้น
“แต่จะอย่างไรดินแดนแห่งเซียนก็กว้างใหญ่ไพศาล เอาไว้หลังจากบรรลุระดับสร้างสรรพสูงสุด เจ้าค่อยออกตามหาเขตแดนลี้ลับสำหรับบรรลุระดับโลกียนิพพานที่มีพลังหนาแน่นเทียบเท่าหุบเหวสืบสานนิพพานก็ได้”
หลิงฮันกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายอย่างสุภาพอีกครั้ง สำหรับหลิงฮันข้อมูลนี้มีประโยชน์และล้ำค่ามาก มันสามารถช่วยแก้ปัญหาที่เขาคิดไม่ตกได้พอดี
“ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว” เม่าไต่สะบัดมือก่อนจะกล่าวทิ้งท้าย “หากเจ้าพบเจอปัญหาใดก็มาหาข้าได้”
ประโยคทิ้งท้ายนี้แสดงให้เห็นว่าเม่าไต้ประเมินหลิงฮันเอาไว้สูงขนาดไหน
หลิงฮันโค้งคำนับ แม้อีกฝ่ายจะกล่าวเช่นนั้นแต่หลิงฮันก็ไม่คิดจะรบกวนเม่าไต้เมื่อพบเจอปัญหา
การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นนั้นสมควรทำตอนตกอยู่ในวิกฤติที่เข้าตาจนอย่างแท้จริงเท่านั้น
ตอนที่ 1688
หลิงฮันกลับมาเล่าให้จักรพรรดินีฟังซึ่งจักรพรรดิรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
ความรู้สึกล้ำค่าที่สุดของนางคือความรักที่มีให้หลิงฮันซึ่งนางไม่ยอมตัดความรู้สึกนี้ไปแน่นอน
การตัดขาดสวรรค์และปฐพีนั้นเป็นไปได้ว่าจะยากลำบากกว่าตัดความรู้สึกของตนเองหลายร้อยเท่า แต่หากทำสำเร็จไม่เพียงแค่นางจะรักษาความรู้สึกที่มีให้หลิงฮันเอาไว้ได้ แต่นางยังจะมีพลังต่อสู้ไร้เทียมทานในระดับโลกียนิพพานอีกด้วย
สถานการณ์ในกองกำลังนั้น เมื่อไม่มีติงหู่อยู่ ชีวิตของหลิงฮันก็สะดวกสบายขึ้น เพียงแต่สมาชิกคนอื่นๆก็ยังไม่สบายใจและรักษาระยะห่างกับเขาอยู่ดี เนื่องจากบางทีในอนาคตพวกเขาอาจจะได้เข้าร่วมกับกองกำลังพยัคฆ์ขาวที่เป็นกองกำลังของตระกูลติง
การฝึกฝนดำเนินต่อไป แต่ในห้าวันต่อมา จู่ๆพวกหลิงฮัน เม่าซูอวี่และคนอื่นๆก็ถูกเรียกตัวพร้อมกัน คนที่ถูกเรียกตัวนั้นนอกจากติงเซี่ยวเฉินแล้ว อีกเก้าคนล้วนแต่เป็นหัวหน้ากลุ่มทุกคน
ล้งเกาเฟยนั่งกวาดสายตามองทั้งสิบคนก่อนจะกล่าว “ที่เรียกพวกเจ้ามาในวันนี้เพราะข้าต้องการให้พวกเจ้าเข้าร่วมการประลองของกองกำลัง คู่ต่อสู้ของพวกเจ้าคือกองกำลังมังกรคราม กองกำลังพยัคฆ์ขาวและกองกำลังหงส์เพลิง”
“ถูคัง” ล้งเกาเฟยมองไปยังถูคัง “รายละเอียดที่เหลือเจ้าเป็นหน้าที่ของเจ้า”
“ขอรับ!” ถูคังกล่าวตอบรับอย่างสุภาพก่อนจะอธิบายรายละเอียดการประลอง
ที่แท้เรื่องก็คือเมืองระดับหนึ่งดาวทั้งสองร้อยสามสิบเจ็ดเมืองภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสงนั้น จะมีการประลองกันทุกๆหลายร้อยหรือพันปี แต่ละเมืองจะส่งตัวแทนสิบคนเดินทางไปเข้าร่วมการประลองยุทธที่จัดขึ้นในเมืองจันทราหม่นแสง ผู้เข้าร่วมประลองจะถูกจำกัดพลังบ่มเพาะเอาไว้ที่ระดับสร้างสรรพสิ่งเท่านั้น
นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทุกคนต้องการเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทรา หากทำผลงานในการประลองได้ดีและเข้าตาผู้อาวุโสของนิกายจันทราหม่นแสง พวกเขาก็มีโอกาสได้ย้ายไปอยู่ในเมืองสองดาว และในอนาคตก็ยังมีโอกาสยกระดับได้เข้าร่วมกับตระกูลฟู่ซึ่งเป็นขุมอำนาจในเมืองสามดาวอีกด้วย
แต่เดิมแล้วการคัดเลือกผู้เข้าร่วมการประลองยุทธจะคัดเลือกมาจากกองกำลังทั้งสามอย่างกองกำลังพยัคฆ์ขาว กองกำลังมังกรครามและกองกำลังหงส์เพลิง การคัดเลือกตัวแทนจะเริ่มจากให้สองกองกำลังสู้กันก่อน และกองกำลังที่ชนะจะได้ปะทะตัดสินกับกองกำลังที่สาม
แต่ครั้งนี้เพื่อความยุติธรรม เบื้องบนจึงตัดสินให้เพิ่มกองกำลังเข้าไปอีกหนึ่งให้เป็นการปะทะสองต่อสองก่อนจะไปตัดสินกองกำลังที่ชนะเลิศ แต่ไม่ว่าอย่างไรกองกำลังใดที่ได้สู้กับกองกำลังสำรองอย่างพวกหลิงฮันก็ถือว่าได้เปรียบกว่าอยู่ดี
กองกำลังทั่วไปจะพ่ายแพ้กองกำลังย่อยได้อย่างไร?
แต่หลิงฮันกลับไม่คิดเช่นนั้น บางทีในกองกำลังทั่วไปอาจจะมีอัจฉริยะอยู่บ้าง แต่คนเหล่านั้นจะเทียบกับเขาได้?
น่าเสียดายที่จักรพรรดินีไม่สามารถเข้าร่วมประลองได้ คนที่จะได้ไปประลองคัดเลือกตัวแทนมีเพียงผู้นำกลุ่มสิบคนเท่านั้น
แต่แล้วทำไมติงเซี่ยวเฉินถึงอยู่ที่นี่ได้?
ผู้นำกลุ่มของติงเซี่ยวเฉินบอกว่ารู้สึกอาการไม่ค่อยดี จึงได้ตำแหน่งเข้าร่วมประลองให้แก่เขา
รู้สึกอาการไม่ดีอะไรกัน เรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของตระกูลติงไม่ผิดแน่
หากสามารถเอาชนะการประลองในฐานะตัวแทนของเมืองธุลีจันรทราได้ แต่ละคนจะได้รับศิลาดวงดาวร้อยก้อนเป็นรางวัล ยิ่งถ้าได้ตำแหน่งที่สูงในการลองของนิกายจันทราหม่นแสง รางวัลที่ได้รับจะล้ำค่ายิ่งกว่านี้อีก
ตระกูลทั้งสามกล่าวไว้ว่าหากได้อันดับหนึ่งในการประลอง แต่ละคนจะได้รับแร่โลหะกึ่งนิรันดร์หนึ่งดาวเป็นรางวัล!
อย่าได้คิดว่าแร่โลหะกึ่งนิรันดร์หนึ่งดาวนั้นไม่มีค่า กว่าจะได้แร่โลหะกึ่งนิรันดร์หนึ่งดาวต้องผสานรวมแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบให้เป็นหนึ่งเดียวได้อย่างสมบูรณ์ และคนที่จะผสานได้ก็ต้องเป็นปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานที่แข็งแกร่ง
ที่สำคัญคือใช่ว่าจอมยุทธระดับโลกียนิพพานทุกคนจะทำได้ จอมยุทธระดับโลกียนิพพานผู้นั้นจะต้องมีฝีมือหลอมสร้างที่เชี่ยวชาญ ด้วยสาเหตุนี้แร่โลหะกึ่งนิรันดร์จึงล้ำค่าเป็นอย่างมาก
ดูตัวอย่างเช่นแม้แต่ติงเซี่ยวเฉินก็ยังรู้สึกโลภและต้องการของรางวัล
แต่คำถามคือพวกเขาจะเอาชนะกองกำลังทั่วไปเพื่อเป็นตัวแทนได้อย่างไร? กองกำลังทั่วไปนั้นฝึกฝนมาก่อนพวกหลายล้านปีและเข้าใจกลยุทธ์การต่อสู้เป็นกลุ่มเป็นอย่างดี อีกฝ่ายสามารถปลดปล่อยพลังได้เต็มที่แม้จะเป็นการร่วมโจมตีกันสิบคน แต่แล้วพวกเขาล่ะ?
พวกเขาเพิ่งเข้าร่วมกองกำลังได้ไม่กี่วันจะไปฝึกฝนกลยุทธ์อะไรได้? ยิ่งกว่านั้นจอมยุทธที่โดดเด่นในกองกำลังทั่วไป ใครบ้างจะไม่ไร้เทียมทานในระดับสร้างสรรพสิ่ง?
ระดับสร้างสรรพสิ่งนั้น เมื่อควบแน่นดวงดาวได้ถึงหมื่นล้านดวง สะสมปราณก่อเกิดเพียงพอและมีความเข้าใจในระดับพลังอย่างถ่องแท้จะสามารถทะลวงผ่านสู่ระดับโลกียนิพพานได้
แต่ก็แน่นอนว่าหลังจากควบแน่นดวงดาราครบหมื่นล้านดวงแล้วก็ยังควบแน่นดวงดาราเพิ่มขึ้นอีกได้ ก็เหมือนกับระดับวารีนิรันดร์ที่ทะลวงผ่านได้ตั้งแต่ดวงดาราหนึ่งล้านดวงแต่ก็ยังขัดเกลาไปจนถึงดวงดาราสิบล้านดวง เส้นทางที่ยากลำบากนี้มีเพียงอัจฉริยะที่จะสามารถก้าวเดิน
ด้วยเหตุนี้ กองกำลังสำรองเช่นพวกเขาจะเอาชนะกองกำลังที่ฝึกฝนกลยุทธ์และบ่มเพาะพลังมาก่อนแล้วหลายร้อยล้านปีได้อย่างไร?
ติงเซี่ยวเฉินและเม่าซูอวี่ส่ายหัว ทั้งสองไม่คิดว่าจะมีโอกาสชนะแม้แต่น้อย
หลังจากเตรียมเล็กๆน้อย พวกเขาทั้งสิบคนก็ออกเดินทางไปยังค่ายที่พักของกองกำลังหลัก
ถึงแม้กลุ่มของพวกเขาจะเหมือนเข้าร่วมการคัดเลือกพอเป็นพิธี แต่อีกสามกองกำลังไม่ใช่ ทั้งสามกองกำลังเลือกผู้เข้าร่วมประลองอย่างเคร่งครัดเนื่องจากกลุ่มที่จะได้ไปประลองที่นิกายจันทราหม่นแสงนั้นเปรียบเสมือนหน้าตาของเมืองธุลีจันรทรา
การคัดเลือกว่ากองกำลังใดจะถูกเลือกนั้นจะเริ่มขึ้นในอีกสามวัน ในระหว่างสามวันนี้พวกหลิงฮันทั้งสิบคนได้ปรึกษาวางแผนกันบ้างพอสมควรแม้จะมีความหวังอันริบหรี่ก็ตาม
แต่แค่ระยะเวลาสามวันจะช่วยลับคมอะไรได้?
ยิ่งหลิงฮันกับติงเซี่ยวเฉินมีความขัดแย้งกันอยู่แล้ว การจะใช้กลยุทธ์โจมตีผสานยิ่งไม่ต้องพูดถึง
สามวันต่อมา กลุ่มของพวกเขาเข้าร่วมการประลองคัดเลือกด้วยใบหน้ามืดมน
ทั้งสี่กลุ่มจากสี่กองกำลังจับฉลากตัดสินกลุ่มที่จะต้องสู้ด้วย ผลจับฉลากคือกองกำลังมังกรครามได้ปะทะกับกองกำลังหงส์เพลิง ในขณะที่กองกำลังพยัคฆ์ขาวได้ปะทะกับกองกำลังสำรอง
เมื่อเห็นผลลัพธ์จับฉลาก คนของตระกูลติงและกองกำลังพยัคฆ์ขาวก็หัวเราะชอบใจ ได้ปะทะกับกองกำลังสำรองย่อมหมายถึงพวกเขาเป็นผู้ชนะการประลองคัดเลือกนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หากกองกำลังมังกรครามหรือกองกำลังหงส์เพลิงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ยอมแพ้ ทั้งสองกองกำลังก็ต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือด ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้รับชัยชนะก็สมควรได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถต่อกรกับกองกำลังพยัคฆ์ขาวได้
การประลองคัดเลือกเช่นนี้ไม่อยู่ในสายตาของปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งแต่ก็ยังมีรองแม่ทัพสามคนมาควบคุมสถานการณ์ รองแม่ทัพจากตระกูลติงที่มาคือติงหู่ เขากวาดสายมามองมายังหลิงฮันด้วยจิตสังหารโหดเหี้ยม
เหตุใดนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเช่นเขา ถึงกำจัดจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งตัวจ้อยทิ้งไม่ได้เสียที?
ฮึ่ม หากเจ้าหนูนี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะมีหน้าไปพบใครได้อย่างไร?
“เริ่มการประลองได้”
ทั้งสี่กลุ่มขึ้นลานประลองพร้อมกัน แต่ละกลุ่มมีตัวแทนสิบคน กฎของการประลองนั้นง่ายมาก ทั้งสองฝ่ายต้องสู้กันจนในกลุ่มไม่เหลือใครที่สามารถสู้ต่อได้
“พวกข้าขอยอมแพ้” ติงเซี่ยวเฉินกล่าวขึ้นมาทันที ในเมื่อคู่ต่อสู้เป็นกองกำลังที่ถูกปกครองโดยตระกูลติง เขาก็ย่อมต้องการให้กองกำลังพยัคฆ์ขาวได้รับชัยชนะไปด้วยสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
ตอนที่ 1689
คำพูดของติงเซี่ยวเฉินทำให้สมาชิกกลุ่มรู้สึกรังเกียจเขาขึ้นมาทันที
นี่เจ้าเป็นคนแบบนี้?
เจ้าคนทรยศ!
ความจริงแล้วติงเซี่ยวเฉินถูกส่งมาเข้ากองกำลังสำรองก็เพื่อการนี้ เขามีหน้าที่สำคัญคือหากพบเจอคู่ต่อสู้ในการประลองคัดเลือกเป็นกองกำลังพยัคฆ์ขาว ติงเซี่ยวเฉินจะต้องโน้มน้าวกลุ่มของตนเองให้ยอมแพ้ให้ได้เพื่อที่กองกำลังพยัคฆ์ขาวจะได้ไม่ต้องเปลืองแรง
แต่ถ้าหากคู่ต่อสู้ไม่ใช่กองกำลังพยัคฆ์ขาวล่ะ?
หากเป็นแบบนั้นติงเซี่ยวเฉินก็ต้องปลุกกำลังใจของกลุ่มเพื่อสู้กับคู่ต่อสู้อย่างสุดความสามารถ ยิ่งทำให้คู่ต่อสู้บาดเจ็บได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่กองกำลังพยัคฆ์ขาวจะคว้าชัยชนะก็มีมากขึ้น
หลิงฮันมองไปยังติงเซี่ยวเฉินด้วยสายตาเหยียดหยาม “ถ้าเจ้าไม่อยากจะสู้ก็ไสหัวไป อย่าได้มาขัดขวางพวกข้า! หากเป็นในสนามรบจริง คนเช่นเจ้าข้าตัดหัวทิ้งไปแล้ว!”
ติงเซี่ยวเฉินสบตาหลิงฮันแต่ก็ไม่กล้าเถียงตอบโต้ หลังจากถูกหลิงฮันทำให้อัปยศไปเมื่อครั้งก่อนทำให้เขารู้ว่าหลิงฮันไม่ใช่มีพลังที่เหนือกว่าเขาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความกล้าที่จะทุบตีเขาอย่างไม่ไว้หน้าอีกด้วย
เขาเมินเฉยหลิงฮันและกล่าวกับสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆ “ข้าทำเช่นนี้เพื่อพวกเจ้า! การปะทะนั้นยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องแพ้อยู่แล้ว ทำไมพวกเราต้องเอาตัวเองเข้าไปเจ็บด้วย?
“และข้าเองก็พอมีศิลาดวงดาวอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าพวกเจ้าสนใจรึเปล่า?”
ประโยคท้ายคือการติดสินบนอย่างโจ่งแจ้ง
หลังจากได้ยินสิ่งที่ติงเซี่ยวเฉินกล่าว ผู้นำกลุ่มบางคนก็รู้สึกหวั่นไหวทันที แต่ก็มีบางคนที่ไม่หวั่นไหว อย่างเม่าซูอวี่นั้น นางแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดไม่สบอารมณ์ ในขณะที่เว่ยโปว ฉินเฮิ่นและหลัวซินหยางนั้นแสดงท่าทีไม่แยแส
“ไสหัวไป!” หลิงฮันเค้นเสียงคำรามราวกับฟ้าผ่า สีหน้าของติงเซี่ยวเฉินกลายเป็นซีดเผือดและมีโลหิตไหลออกมาจากรูทั้งเจ็ดบนใบหน้า
“พวกกองกำลังสำรองไร้ค่า พวกเจ้าจะยอมแพ้แต่โดยดีหรืออยากโดนพวกเราทุบตีจนต้องร้องไห้หามารดา?” กองกำลังพยัคฆ์ขาวล้อมพวกเขาเอาไว้ ทั้งสิบคนคือสมาชิกที่โดดเด่นที่สุดภายในกองกำลังพยัคฆ์ขาว แต่ละคนบรรลุเป็นราชาเซียนสูงสุดมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยล้านปี จำนวนดวงดาราของพวกเขามีมากมายจนยากจะจินตนาการถึง
หนึ่งในสมาชิกของกองกำลังพยัคฆ์ขาวมองมายังติงเซี่ยวเฉินและกล่าว “เซี่ยวเฉิน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ลุงยี่สิบเจ็ด ข้าไม่เป็นอะไรมาก!” ติงเซี่ยวเฉินเช็ดโลหิตบนใบหน้าก่อนจะกล่าว เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพียงแค่เสียงคำรามของหลิงฮันกลับทำให้เขาบาดเจ็บได้ ความแตกต่างระหว่างเขากับหลิงฮันมีมากขนาดไหนกันแน่?
คนที่ติงเซี่ยวเฉินเรียกว่าลุงยี่สิบเจ็ดนั้นเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลติงที่มีชื่อว่าติงสวิน เขาคือจอมยุทธระดับราชาเซียนสูงสุดที่ควบแน่นดวงดาวสำเร็จแล้วเกินกว่ายี่สิบล้านดวง
แม้พรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของเขาจะไม่สูงเท่าติงเซี่ยวเฉิน แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเกิดมาก่อนหลายร้อยล้านปีทำให้เขามีพลังต่อสู้ที่สูงกว่า
ติงเซี่ยวเฉินคืออัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่ทางตระกูลบ่มเพาะอย่างเอาใจใส่และมีโอกาสสูงมากที่ในอนาคตจะกลายเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานได้สำเร็จ เพราะงั้นไม่ว่าอย่างไรตระกูลติงก็ห้ามสูญเสียเขาไปเด็ดขาด
แต่ถึงอย่างนั้นรุ่นเยาว์ตรงหน้ากลับกล้าทำร้ายติงเซี่ยวเฉิน!
“รนหาที่ตาย!” ติงสวินเค้นเสียงเย็นชา ในเมื่อกองกำลังพยัคฆ์ขาวเป็นของตระกูลติง ต่อให้เขาจะไม่ได้มีพลังที่แข็งแกร่งที่สุดแต่เขาย่อมถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำกลุ่มการประลองครั้งนี้
กองกำลังพยัคฆ์ขาวทั้งสิบคนล้อมกลุ่มหลิงฮันเอาไว้และลงมือโจมตี ด้วยกลยุทธ์ผสานโจมตีที่ฝึกฝนมา พลังต่อสู้ของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสามเท่า
นับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก!
หลายคนในกลุ่มหลิงฮันยกธงขาวยอมแพ้ทันที แต่ติงเซี่ยวเฉินกลับไม่ทำเช่นนั้น เขาแสร้งทำเป็นว่าต่อสู้ตอบโต้ในขณะที่จริงๆแล้วไม่มีใครจากกองกำลังพยัคฆ์ขาวที่ลงมือโจมตีเขา
“ฮึ่ม!” หลัวซินหยางลงมือ เกล็ดสีดำปรากฏขึ้นตามร่างกายของเขาและทำหน้าที่เป็นเกราะคุ้มกัน ด้วยพลังป้องกันอันแข็งแกร่งเขาจึงเปรียบเสมือนเป็นโล่ของกลุ่ม
ฉินเฮิ่นปลดปล่อยอำนาจแห่งความมืด ทักษะของนางไม่แบ่งแยกศัตรูหรือมิตร แม้แต่คนที่อยู่ฝ่ายเดียวกันก็อาจจะได้รับบาดเจ็บได้
อู่จิงเคลื่อนที่ว่องไวราวกับสายฟ้า เพียงพริบตาเดียวเขาก็พุ่งทะยานไปไกลถึงเจ็ดฟึตและกวัดแกว่งดาบโจมตีอย่างรวดเร็ว
มีเพียงหลิงฮันคนเดียที่ยังคงยืนแน่นิ่งพาดมือเอาไว้ด้านหลัง
‘ฉึบ ฉึบ ฉึบ’ หอกแหลมหกแท่งทิ่งทะลวงเข้าใส่เขา หอกแต่ละเล่มถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบ ปลายหอกส่องประกายแหลมคมและปลดปล่อยออร่าอันเย็นยะเยือก
หลิงฮันปล่อยหมัดตอบโต้ ‘ปัง ปัง ปัง’ หมัดเปล่าของเขาปะทะเข้ากับปลายหอกที่พุ่งเข้ามาจนเกิดเป็นกระกายเหมือนโลหะเข้ากระทบกัน ทุกครั้งที่หมัดของเขาถูกปล่อยออกไป ปลายหอกจะบุบงอทันที หลังจากผ่านไปหกหมัด หอกแหลมทั้งหกก็ถูกเปลี่ยนเป็นแท่งเหล็กหกแท่ง
นี่มัน!
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เหล่าทหารของกองกำลังธุลีจันรทราทุกคนที่มองดูอยู่ก็ขนลุกไปทั่วร่างกาย
กายหยาบนั่นมันอะไรกัน!
ไม่ใช่แค่ต้านทานอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงได้ด้วยมือเปล่าอย่างเดียว แต่ยังทำให้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นบิดเบี้ยวผิดรูปร่างได้ด้วย!
สัตว์ประหลาด! สัตว์ประหลาดไม่ผิดแน่!
บนลานที่นั่งอันสูงลิบ ปรมาจารย์ระดับนิรันดร์ของตระกูลต้วนและตระกูลล้งลืมตามองหลิงฮันพร้อมกัน
ผู้ฝึกสอนกองกำลังสำรองทั้งสิบเป็นคนของสามตระกูลใหญ่ แน่นอนว่าพวกเยาย่อมได้รับการรายงานเรื่องที่ว่ามีอัจฉริยะศักยภาพสามดาวครึ่งปรากฏตัว
ทั้งสองตระกูลเตรียมแผนการเชิญชวนให้หลิงฮันเข้าร่วมกับพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งเรื่องที่ติงหู่ถูกโยกย้ายส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขา ไม่เช่นนั้นต่อให้เม่าไต้จะเป็นผู้ปกครองสูงสุดของกองกำลังธุลีจันรทรา หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาคำสั่งโยกย้ายก็ไม่สามารถเรียกใช้ได้รวดเร็วเช่นนั้น
แต่เมื่อได้เห็นพลังของหลิงฮันด้วยตาตัวเอง พวกเขาก็ได้เข้าใจทันทีว่าพวกเขาประเมินพรสวรรค์ของหลิงฮันต่ำเกินไป
ทั้งสองล้มเลิกแผนการที่คิดไว้ รุ่นเยาว์ผู้นี้คู่ควรแก่การทุ่มหมดหน้าตักเพื่อให้ได้มาอยู่ฝั่งเดียวกัน
เหอๆ ตระกูลติงช่างน่าขันยิ่งนัก ไม่เพียงแค่ไม่วางแผนรับราชารุ่นเยาว์เช่นนี้เข้าตระกูลแต่ยังตั้งตนเป็นศัตรูอีกด้วย ช่างโง่เขา! แต่ก็ดี ในเมื่อตระกูลติงทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นไป คู่แข่งที่จะแย่งตัวหลิงฮันจึงลดลง
แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ต้องระมัดระวังการกระทำของตระกูลติงเอาไว้ให้ดี ต่อให้เป็นอัจฉริยะเพียงใดจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งก็ยังอ่อนแอเกินไป หากตัวตนระดับโลกียนิพพานลงมือ วิธีจะจัดการจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งก็มีอยู่นับหมื่น
ในลานประลอง กองกำลังพยัคฆ์ขาวทั้งสิบคนกำลังหวาดกลัวในพลังที่น่าสะพรึงของหลิงฮัน นี่พวกเขาอยู่ในการประลองคัดเลือกจริงๆ? ในหมู่พวกเขามีคนส่วนหนึ่งที่เคยเป็นตัวแทนเมืองธุลีจันรทราไปเข้าร่วมการประลองยุทธในนิกายจันทราหม่นแสงมาก่อน พวกเขาจึงพอจะคาดเดาได้ว่าพลังต่อสู้ของหลิงฮันนั้นอาจจะจะเทียบเคียงกับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของนิกายจันทราหม่นแสง
แววตาของติงสวินส่องประกายโหดเหี้ยม เขามองไปยังติงเซี่ยวเฉินและพยักหน้าให้กัน
ตอนที่ 1690 แผนชั่วร้าย
ติงเซี่ยวเฉินมีอีกภารกิจ
ในกรณีที่โน้มน้ามกลุ่มไม่สำเร็จ เขาก็ต้องแอบลงมือสร้างความวุ่นวายจากภายใน
ข้าเป็นพรรคพวกของเจ้า พวกเจ้าจะระวังตัวกับข้ารึ?
ติงเซี่ยวเฉินจ้องมองแผ่นหลังของหลิงฮันด้วยสีหน้ามืดมน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลบล้างความอัปยศที่ได้รับจากชายผู้นี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นจิตใจของเขาจะถูกหนามตราตรึงและส่งผลต่อการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานของเขา
ตอนนี้ทุกคนกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด หลิงฮันจะไปคาดคิดได้อย่างไรว่าจะถูกพวกเดียวกันเองแทงข้างหลัง?
ยิ่งกว่านั้นการประลองนี้ก็เป็นการประลองแบบตะลุมบอน กลุ่มพวกเขาที่ไม่ได้ฝึกฝนกลยุทธ์ร่วมกันจะมีเหตุการณ์โจมตีเกิดขึ้นย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก หรือต่อให้เขาถูกลงโทษ แค่ตระกูลติงเข้ามาแทรกแซงปัญหาใหญ่ก็จะกลายเป็นปัญหาเล็กได้ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ติงเซี่ยวเฉินนำมีดพฤกษามรกตออกมา เงาวิญญาณของต้นไม้โลหิตมรกตกินคนปรากฏตัวและปลดปล่อยอำนาจอันน่าสะพรึง หลังจากรีดเค้นอำนาจของมีดจนถึงขีดจำกัด ติงเซี่ยวเฉินก็พุ่งทะยานหันคมมีดเข้าใส่คนของกองกำลังพยัคฆ์ขาว
สมาชิกกองกำลังพยัคฆ์ขาวผู้นั้นเข้าใจทันที เขารีบกระโดดหลบไปยังทิศทางของหลิงฮัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือใบมีดของติงเซี่ยวเฉินได้เบี่ยงหันไปยังแผ่นหลังของหลิงฮัน
เขารอให้คลื่นพลังของมีดใกล้จะถึงร่างของหลิงฮันถึงจะเพิ่งตะโกนออกมา “ระวัง!”
ระวังน้องสาวเจ้าสิ!
กองกำลังมังกรครามและกองกำลังหงส์เพลิงที่เห็นเหตุการณ์สบถพร้อมกัน การแสดงของเจ้าช่างปลอมยิ่งนัก เห็นๆกันอยู่ว่าเจ้าตั้งใจใช้มีดแท่งเข้าใส่หลิงฮันตั้งแต่แรก
ในระยะที่ใกล้แค่นี้ หลิงฮันจะหลบพ้นได้อย่างไร?
ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหลิงฮันปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ การกระทำของติงเซี่ยวเฉินเป็นไปตามที่เขาคาด หากอีกฝ่ายไม่มีแผนการชั่วร้ายล่ะก็ จะเข้าร่วมกองกำลังสำรองไปเพื่ออะไร?
แต่ด้วยพลังของหลิงฮันในต่อให้เขาไม่ระวังตัวอยู่ก่อนก็ไม่มีปัญหาอยู่ดี แม้ตอนนี้เขาจะรับมืออยู่กับคนของกองกำลังพยัคฆ์ขาวถึงเจ็ดคนพร้อมกัน แต่เขาก็ใช้พลังต่อสู้ออกมาเพียงไม่กี่ส่วน
‘พรึบ’ มีดแทงทะลวงเข้าใส่หลิงฮันอย่างรวดเร็ว และก่อนที่ใบมีดจะมาถึง ดวงวิญญาณของต้นไม้โลหิตมรกตกินคนก็ได้บุกรุกเข้ามาในร่างของเขาพร้อมกับทำการตรึงวิญญาณเอาไว้ หากดวงวิญญาณของหลิงฮันถูกควบคุม เขาย่อมไม่สามารถหลบหลีกใบมีดที่พุ่งเข้าใส่ได้
ด้วยอำนาจของอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงอย่างมีดมรกตพฤกษา ราชาเซียนคนไหนก็ไม่สามารถต้านทานได้
หากคิดจะตอบโต้ใบมีดด้วยหมัด หลิงฮันก็ต้องโคจรพลังคุ้มกันมือเอาไว้ก่อน แต่ในเมื่อดวงวิญญาณถูกควบคุมอยู่ เขาจะโคจรพลังได้อย่างไร?
ติงเซี่ยวเฉินยิ้มอย่างผู้ชนะ หากถูกใบมีดทิ่มแทงเข้าใส่ตรงๆ ต่อให้ไม่ตายหลิงฮันก็ต้องบาดเจ็บสาหัส
แต่ทันใดนั้นจู่ๆหลิงฮันก็หันหลังพรวด ‘ฉึบ’ มีดมรกตพฤกษาถูกมือของเขากำเอาไว้ ‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ เสียงแตกหักของกระดูกดังขึ้น แขนสองข้างของติงเซี่ยวเฉินที่จับมีดเอาไว้หักและโค้งงอเนื่องจากไม่สามารถต้านทานพลังจากมือของหลิงฮันได้
ใบหน้าของติงเซี่ยวเฉินซีดขาว ไม่เพียงแค่รู้สึกเจ็บปวดแต่เขายังตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ในความคิดของเขา เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น
ฉัวะ!
มือที่ถือมีดมรกตพฤกษาเอาไว้ย้อนกลับไปแทงเข้าที่หน้าอกของตัวเขาเองพร้อมกับโลหิตที่ทะลักออกมาราวกับน้ำพุ
แววตาของหลิงฮันส่องประกายเย็นชาแต่ก็ไม่ได้ลงมือต่อ เขาดึงหมัดกลับและกล่าว “มุ่งร้ายต่อใคร กรรมนั้นจะหวนกลับคืนสนองตัวเจ้าเอง”
‘ตุบ’ ก้นของติงเซี่ยวเฉินกระแทกลงพื้น เหงื่อของเขาไหลท่วมและมีสีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ หัวใจของเขาแหลกสลายเพราะถูกมีดมรกตพฤกษาทิ่มแทง แก่นโลหิตจำนวนมากไหลทะลักออกมา บาดแผลในครั้งนี้ส่งผลต่อระยะเวลาในการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานของเขาโดยตรง
แต่หากหลิงฮันไม่ยั้งมือและปล่อยหมัดต่อ ผลลัพธ์จะไม่จบลงที่เขาบาดเจ็บสาหัสแต่คงตายไปแล้ว
“กล้าดีอย่างไร!” ติงหู่ที่นั่งอยู่ลุกขึ้นยืนทันทีและคิดจะลงมือจู่โจมหลิงฮัน
“พี่ชายติงหู่ เหตุใดท่านถึงโมโหกัน?” นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานของตระกูลล้ง ล้งเฉิงเหรินกล่าวอย่างไม่แยแส เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมาเพื่อห้ามปรามไม่ให้ติงหู่ลงมือ
ต้วนเหวิน นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานของตระกูลต้วนเองก็กอดอดยืนขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “การได้รับบาดเจ็บเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สำหรับการประลอง อีกอย่างนั่นก็เป็นเพียงบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น”
บาดแผลเล็กน้อย? หัวใจถูกบดขยี้น่ะรึบาดแผลเล็กน้อย?
หัวใจของอวัยวะที่แก่นโลหิตถูกกักเก็บเอาไว้ เมื่อหัวใจถูกทำลายแก่นโลหิตก็จะไหลทะลักออกมาและส่งผลไปถึงพลังชีวิต
ใบหน้าของติงหู่มืดมนเป็นอย่างมาก แต่ตัวตนระดับโลกียนิพพานถึงสองคนก็ยื่นมาเข้ามาแทรกแซงแล้ว เขาจึงทำได้เพียงระงับความโกรธเอาไว้
“หากเจ้าบาดเจ็บก็ถอยกลับไปพัก!” หลิงฮันเตะฝ่าเท้าออกไป ‘ปัง’ ร่างที่ถูกเตะของติงเซี่ยวเฉินกลิ้งเป็นสิบตลบราวกับเป็นลูกบอล
ติงเซี่ยวเฉินผู้น่าสมเพศได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ด้วยความรู้สึกโมโหและอับอาย ส่งผลให้เขากระอักโลหิตออกมาพร้อมกับหมดสติไปทันที
หลิงฮันมองไปยังสมาชิกกองกำลังพยัคฆ์ขาวทั้งสิบคนที่ยืนแน่นิ่งอยู่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่สู้ต่อรึ จะเกรงใจไปทำไม?”
เกรงใจน้องสาวเจ้าสิ! ใครเกรงใจเจ้ากัน? พวกข้ากำลังหวาดกลัวอยู่ดูไม่ออกรึไง?
ในขณะที่สมาชิกกองกำลังพยัคฆ์ขาวกำลังแน่นิ่งอยู่นั้นเอง เม่าซูอวี่ เว่ยโปวและคนอื่นๆก็ฉวยโอกาสลงมือจัดการสมาชิกกองกำลังพยัคฆ์ขาวไปได้สามคน อีกเจ็ดคนที่เหลือเองก็หมดความกล้าที่จะสู้ต่อ ตราบใดที่หลิงฮันยังยืนอยู่ในลานประลอง ใครจะไปชนะได้?
กองกำลังพยัคฆ์ขาวยอมรับความพ่ายแพ้
การประลองนี้ฝ่ายที่สมควรชนะกลับพ่ายแพ้ และฝ่ายที่สมควรพ่ายแพ้กลับกลายเป็นฝ่ายชนะ
กลุ่มจากกองกำลังสำรองเอาชนะกลุ่มจากกองกำลังทั่วไปได้จริงๆ!
สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังหลิงฮัน เป็นรุ่นเยาว์ผู้นี้ที่สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมา
ใบหน้าของติงหู่บูดบึ้งและกำหมัดแน่น ไม่ว่าใครก็สามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัดว่าบนหน้าผากของเขาปรากฏเส้นเลือดปูดบวม นิ้วเท้าของเขาเกร็งแน่นจนเกิดเสียงเสียดสีของกระดูก
ณ เวลานี้ ความรู้สึกต้องการสังหารหลิงฮันที่เขามีเดือดพล่านจนถึงขีดสุด
“พวกเราชนะ!” เม่าซูอวี่โห่ร้องดีใจ ในกลุ่มพวกเขานางคือคนที่แสดงความรู้สึกออกมามากที่สุด ไม่เหมือนกับพวกเว่ยโปวและคนอื่นที่มีนิสัยสงบนิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรด้วยชัยชนะที่ราวกับปาฏิหาริย์ครั้งนี้ พวกเว่ยโปวเองก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา
เหล่าสมาชิกกลุ่มที่ยอมแพ้ไปก่อนหน้านี้มีท่าทางอับอายแต่ก็ไม่อาจปกปิดความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ได้ ตราบใดที่มีหลิงฮัน การประลองคัดเลือกตัวแทนเมืองธุลีจันรทราย่อมไม่มีปัญหาใดๆ
ตอนที่ 1691 ปะทะกองกำลังมังกรคราม
ตราบใดที่ได้เป็นตัวแทนของเมืองธุลีจันรทราก็จะได้รับศิลาดวงดาวหนึ่งร้อยก้อนเป็นรางวัล และหากได้อันดับที่ดีในการประลองยุทธ์ ก็จะได้รับแร่โลหะกึ่งนิรันดร์!
มีหวัง พวกเขายังพอมีหวัง
การประลองระหว่างพวกเขากับกองกำลังพยัคฆ์ขาวจบลงอย่างรวดเร็วในณะที่กองกำลังมังกรครามกับกองกำลังหงส์เพลิงกำลังปะทะกันอย่างดุเดือด ด้วยการที่ตัวแทนของทั้งสองกลุ่มกำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ พวกเขาจึงไม่สังเกตถึงเหตุการณ์เหลือเชื่อที่เกิดขึ้น
แม้จะพอรับรู้ว่าการประลองของอีกคู่จบลงอย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไงกัน?
กองกำลังสำรองจะรับมือกองกำลังพยัคฆ์ขาวได้อย่างไร?
หลิงฮันและสมาชิกคนลงจากลานประลองมานั่งพักและผู้ชนะของคู่กองกำลังมังกรครามกับกองกำลังหงส์เพลิง
การต่อสู้ของทั้งสองกลุ่มดุเดือดเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากต่างฝ่ายต่างแข็งแกร่งทัดเทียมกัน เม่าซูอวี่และคนอื่นๆอุทานออกมาหลายต่อหลายรอบ มีเพียงหลิงฮันที่รู้สึกเบื่อหน่าย หากคู่ต่อสู้ไม่ได้มีพลังเทียบเท่าเขา แม้จะเป็นการปะทะอันดุเดือดของราชาเซียนก็ไม่อาจทำให้เขาสนใจ
หลังจากปะทะกันนานถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนการปะทะก็มาถึงจุดสิ้นสุด ผู้ชนะคือกองกำลังมังกรคราม
ตัวแปรที่ทำให้กองกำลังมังกรครามเหนือกว่าคือพวกเขามีหัวหน้ากลุ่มที่ทรงพลังอย่างต้วนจวิน อัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งตระกูลต้วน
เขาไม่เหมือนกับติงเซี่ยวเฉินที่เข้าร่วมกองกำลังเพราะอยากใกล้ชิดเม่าซูอวี่และมีแผนการชั่วร้าย ต้วนจวินเกิดมาด้วยนิสัยบ้าคลั่งการต่อสู้และวรยุทธ เขาเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทราเพียงสามแสนปีแต่กลับยกระดับจากทหารมือใหม่มาเป็นหัวหน้าของกองกำลังมังกรครามได้
ต้วนจวินเป็นที่รู้จักในฉายาทหารอันดับหนึ่งแห่งกองกำลังมังกรครามและมีโอกาสทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานสำเร็จสูงมาก
พลังต่อสู้ของเขาสูงกว่าคนอื่นก็จริง แต่เนื่องจากการประลองนี้ต้องร่วมมือกันเป็นกลุ่ม พลังของเขาเพียงคนเดียวจึงไม่ทำให้ได้เปรียบมากนัก แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็เอาชนะการปะทะอันดุเดือดได้
เมื่อกลุ่มกองกำลังมังกรครามรู้ว่าคู่ต่อสู้ต่อไปของพวกเขาคือกองกำลังสำรอง ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นปั้นยาก
เป็นไปได้อย่างไร?
หลังจากได้รับรู้สถานการณ์ของการประลองโดยละเอียดแล้ว พวกเขาก็ระมัดระวังตัวต่อหลิงฮันทันที
น่าสะพรึงกลัวนักที่ผลลัพธ์กลายเป็นกลับตาลปัตรเพียงเพราะคนคนเดียว
หลังจากพักผ่อนเล็กๆน้อยๆ การประลองคัดเลือกรอบสุดท้ายก็เริ่มต้น
“ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น จัดการคนที่ชื่อหลิงฮันก่อนก็พอ” ต้วนจวินตะโกน “แม้ว่าพวกเราจะเหน็ดเหนื่อย แม้ว่าพลังต่อสู้ของพวกเราจะไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ ขอแค่พวกเรากัดฟันสู้สุดท้ายชัยชนะจะตกเป็นของพวกเรา”
“กองกำลังมังกรครามไร้เทียมทาน!” สมาชิกกลุ่มอีกเก้าคนคำรามเสียงดังตาม
ต้วนจวินเดินนำกลุ่มขึ้นสู่ลานประลอง
เม่าซูอวี่และคนอื่นๆเองก็เดินตามหลิงฮัน ส่วนติงเซี่ยวเฉินนั้นเนื่องจากได้รับบาดเจ็บเกินกว่าจะเข้าร่วมการประลองได้ กลุ่มของพวกเขาจึงเหลือเพียงเก้าคน
“ลุย!” เมื่อต้วนจวินเข้าสู่สนามรบ เขาได้กลายเป็นทหารผู้บ้าคลั่งทันที ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉาน ร่างของเขาพุ่งทะยานกวัดแกว่งขวานยักษ์เข้าจู่โจมหลิงฮัน
ที่ด้านหลัง สมาชิกกลุ่มอีกเก้าคนอัดพลังของตนเองเข้าสู่ร่างของต้วนจวินซึ่งดูๆแล้วก็คล้ายคลึงกับอำนาแห่งจักรภพ เพียงแต่ว่าในดินแดงแห่งเซียนนั้นไม่มีอำนาจแห่งจักรภพ เนื่องจากหลังจากบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแล้ว พวกเขายังจะสามารถพึ่งพาอำนาจของจอมยุทธทั่วไปได้อีก?
ต้วนจวินที่ได้รับพลังจากสมาชิกกลุ่มทรงพลังเป็นอย่างมาก ทั่วร่างของเขาปกคลุมไปด้วยแสงสว่างสีทองราวกับเทพจ้าวสงคราม
หลิงฮันง้างนิ้วออกมาและชี้ไปยังขวานยักษ์
ภาพเบื้องหน้าราวกับเคลื่อนที่ช้าลง ผู้คนสามารถมองเห็นภาพที่ขวานยักษ์สะบั้นลงมาและนิ้วมือถูกยื่นออกไปได้อย่างชัดเจน เมื่อขวานยักษ์และนิ้วปะทะเข้าหากัน ภาพที่ดูเหมือนจะช้าลงก็กลับไปเป็นดังเดิม
นิ้วมือของหลิงฮันสามารถต้านทานขวานยักษ์ได้!
ต้วนจวินสูดลมหายใจก่อนที่จะคำรามและรีดเค้นพลังจนถึงขีดสุด ขวานยักษ์สั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาดวงหนึ่งที่ประดับเอาไว้บนขวานยักษ์เปิดออกและจดจ้องไปยังหลิงฮัน
ฃ
ดวงตาของขวานยักษ์ราวกับเป็นดวงตาของเทพแห่งความตาย มันทำให้จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้านและไม่สามารถขยับตัวได้!
ต้วนจวินปล่อยขวานและกวัดแกว่งหมัดเข้าใส่ใบหน้าของหลิงฮัน เขาตั้งใจจะใช้โอกาสที่หลิงฮันได้รับผลกระทบจากขวานยักษ์นี้จัดการอีกฝ่าย และเพื่อที่จะเปิดดวงตาให้กับขวานยักษ์ สมาชิกกลุ่มของเขาอีกเก้าคนถูกดูดพลังจนหมดสิ้นและทรุดตัวลงกับพื้น
เม่าซูอวี่และคนอื่นๆคำรามพร้อมกับพุ่งทะยานโจมตีใส่ต้วนจวิน ตราบใดที่สามารถขัดขวางต้วนจวินได้ กลุ่มของพวกเขาก็จะชนะ แต่ในทางกลับกัน หากปล่อยให้ต้วนจวินลงมือกับหลิงฮันได้สำเร็จ ต่อให้พวกเขาจะยังเหลือกันอยู่ถึงแปดคนก็คงไม่สามารถชนะต้วนจวิน
อย่างไรก็ตาม แม้ต้วนจวินจะมีเป้าหมายหลักคือหลิงฮัน แต่อำนาจดวงตาของขวานยักษ์เมื่อครู่กลับส่งผลมาถึงพวกเขาทุกคนด้วย ทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างเชื่องช้า
ต้วนจวินไม่มีความลังเลใดๆ หมัดของเขาพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
หืม!
ทันใดนั้นจู่ๆขนทั่วร่างของต้วนจวินก็ตั้งชี้ฟ้า เนื่องจากหลิงฮันได้แสยะยิ้มมองมายังเขาทั้งๆที่ดวงวิญญาณสมควรถูกตรึงเอาไว้ชั่วคราว
แต่จะให้เขาหยุดตอนนี้ได้อย่างไร? โอกาสชนะมีเพียงตอนนี้เท่านั้น
เขากัดฟันปล่อยหมัดออกไปไม่ยั้ง
หลิงฮันทำการตอบโต้ ถึงแม้เขาจะได้รับผลกระทบจากดวงตาของขวานยักษ์เมื่อครู่แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น ดวงวิญญาณของเขาฟื้นสภาพกลับมาแทบจะในพริบตาเดียว เขายื่นมือออกไปและใช้สองนิ้วหนีบข้อมือของต้วนจวินเอาไว้ทำให้หมัดของอีกฝ่ายไม่สามารถเข้ามาถึงตัว
ผู้คนที่มองดูอยู่แน่นิ่งไร้คำพูด การโจมตีที่ทุ่มเทไปขนาดนั้นถูกหลิงฮันรับมือได้อย่างง่ายดาย?
แท้จริงแล้วหมอนี่แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่?
ในตอนนั้นเอง การโจมตีของพวกเม่าซูอวี่ก็มาถึงร่างต้วนจวินในที่สุด ‘ตูม ตูม ตูม’ ตูมถูกกระหน่ำโจมตีจนร่างลอยกระเด็น
แต่ทว่า พลังของต้วนจวินนับว่าน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง หลังจากรับการโจมตีของทั้งแปดคนไปแล้ว เขาก็ยังลุกกลับมายืนได้เหมือนเดิม มุมปากของเขามีโลหิตไหลออกมาราวกับได้รับบาดเจ็บพอสมควร
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมต้วนจวินถึงถูกกล่าวว่าเป็นทหารอันดับหนึ่งของกองกำลังมังกรคราม นอกจากเขาแล้วในกองกำลังคงไม่มีใครที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แต่แน่นอนว่าหลิงฮันไม่ถูกนับรวมด้วย พลังของหลิงฮันนั้นห่างไกลออกไปจากระดับของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
“ฮ่าๆๆ ยอดเยี่ยม!” ต้วนจวินหัวเราะพร้อมกับกระอักโลหิต เขาไม่รู้สึกอัปยศใดๆแม้จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ “เจ้าชื่ออะไร?” เขาเอ่ยถามหลิงฮัน
“หลิงฮัน”
“หลิงฮัน” ต้วนจวินพึมพำ ก่อนจะกล่าวเสียงดัง “ดี ข้าจะจดจำเจ้าไว้ เอาไว้ว่างๆพวกเราค่อยไปดื่มและไล่จับสตรีด้วยกัน!”
ตอนที่ 1692 วางแผน
คำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้เสแสร้ง
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ดื่มน่ะไม่มีปัญหา แต่สตรีคงไม่จำเป็น”
“ฮ่าๆ ดื่มกันแค่สองบุรุษจะไปสนุกอะไร?” ต้วนจวินฮึดฮัด “หรือเจ้าจะไม่เคยมีสตรีเคยเข้าหาจึงรู้สึกเขินอาย? ไม่ต้องกังวล พี่ชายคนนี้รับประกันว่าเจ้าจะต้องชอบแน่”
ต้วนเหวินที่ดูอยู่จากแท่นสูงทนไม่ไหวและกระแอมออกมาเบาๆ หากเจ้าแพ้ก็ทำตัวให้เหมือนคนแพ้หน่อย เจ้าจะไปชวนคนอื่นดื่มกินเที่ยวสตรีทำไม?
แต่ไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่คู่ควรแก่การรับเข้าตระกูลเป็นอย่างมาก เพราะงั้นการที่ต้วนจวินสร้างมิตรภาพกับหลิงฮันจึงถือว่าเป็นเรื่องดี
การประลองมาถึงจุดสิ้นสุด ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่ากลุ่มที่คว้าชัยชนะและมีสิทธิได้ไปเข้าร่วมการประลองยุทธในเมืองจันทราหม่นแสงจะเป็นกลุ่มจากกองกำลังสำรอง
แต่เดิมจุดประสงค์ที่ให้กองกำลังสำรองเข้าร่วมการประลองคัดเลือก เป็นเพราะต้องการให้ครบสี่กลุ่มเพื่อความยุติธรรมเท่านั้น
ทางด้านสามตระกูลใหญ่เรื่องพูดคุยกันถึงเรื่องของหลิงฮัน ตระกูลล้งและตระกูลต้วนต้องการให้หลิงฮันเข้าร่วมกับพวกตน ในขณะที่ตระกูลติงปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดว่าจะจัดการหลิงฮันหรือซื้อตัวหลิงฮันให้เข้าร่วมกับพวกเขาดี
ท้ายที่สุดเสียงข้างมากก็เอนไปทางฝั่งจัดการหลิงฮัน ด้วยเหตุผลที่ว่าตระกูลติงและหลิงฮันนั้นมีความบาดหมางกันอย่างรุนแรง ต่อให้พวกเขาจะสนใจในตัวหลิงฮันขนาดไหนก็คงไม่อาจแย่งชิงมาจากตระกูลต้วนหรือตระกูลล้งได้ เพราะงั้นแทนที่จะปล่อยเมล็ดพันธุ์เช่นนี้ไว้สู้จัดการทิ้งไปเลยดีกว่า
อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วคือเม่าไต้ การปรากฏตัวของเม่าไต้ได้ส่งผลต่อความสมดุลของสามตระกูลใหญ่ ไม่ว่าเขาจะเข้าร่วมกับตระกูลไหนอำนาจของตระกูลนั้นก็จะโดดเด่นเหนือกว่าอีกสองตระกูล
และไม่ต้องสงสัยเลยว่าตราบใดที่หลิงฮันเติบโตยิ่งกว่านี้ เขาจะก่อให้เกิดคลื่นลูกใหม่ที่รุนแรงยิ่งกว่า!
แค่คิดถึงวันนั้นในอนาคตภายภาคหน้า ตระกูลติงก็ไม่อาจนิ่งเฉย
“อย่างลืมว่าเม่าไต้มีบุตรสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานอยู่คนหนึ่ง” ติงหู่คือคนที่สนับสนุนให้จัดการหลิงฮันมากที่สุด “เมื่อไม่กี่วันก่อน เม่าไต้ได้สั่งย้ายข้าออกจากหน้าที่ดูแลกองกำลังสำรองและเรียกเจ้าหนูนั่นเข้าพบ”
“หืม ที่เจ้าอยากบอกคือเม่าไต้ถูกใจเจ้าหนูนั่นและคิดจะตบแต่งบุตรสาวให้เขา?” สมาชิกตระกูลติงคนอื่นตะลึง
เหล่าผู้อาวุโสตระกูลมองหน้ากันด้วยสีหน้าจริงจัง
“เม่าไต้คืออัจฉริยะที่มีศักยภาพสามดาวครึ่ง ด้วยระยะเวลาไม่ถึงร้อยล้านปีเขาคงสามารถบรรลุระดับโลกียนิพพานสี่นิพพานได้สำเร็จ!”
“เจ้าหนูนั่นเองก็มีศักยภาพสามดาวครึ่งเช่นกัน แต่จากความรู้สึกของข้า ในตอนทดสอบเจ้าหนูนั่นคงยังไม่ได้เอาจริง ศักยภาพแท้จริงของเขาเหนือกว่าที่เผยให้เราเห็น”
“หากหลิงฮันแต่งงานกับบุตรสาวของเม่าไต้จริง ในอนาคตตระกูลเม่าจะมีนิรันดร์สี่นิพพานอยู่ถึงสองคนและระบบอำนาจของเมืองธุลีจันรทราจะต้องถูกเขียนขึ้นใหม่”
แม้จะเป็นตระกูลใหญ่อย่างตระกูลติงก็มีนิรันดร์สี่นิพพานอยู่เพียงคนเดียวซึ่งก็คือติงเหยาหลง แม้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของตระกูลติงจะมีนิรันดร์สี่นิพพานเกิดขึ้นมาไม่น้อย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทะลวงผ่านระดับแบ่งแยกวิญญาณได้และสิ้นชีพด้วยบาปเคราะห์แห่งสวรรค์
ในดินแดนแห่งเซียน เวลาคือสิ่งที่ล้ำค่ามาก ต่อให้จะกลายเป็นนิรันดร์และมีอายุขัยไร้ขีดจำกัด แต่หากไม่สามารถยกระดับพลังบ่มเพาะให้สูงขึ้นได้ ท้ายที่สุดก็จะถูกสวรรค์และปฐพีคร่าชีวิตไป
“เม่าไต้มีศิษย์อยู่คนหนึ่ง ศิษย์คนนั้นดูมีความสนใจในตัวบุตรสาวของเท่าไต้เป็นอย่างมาก” จู่ๆติงเหยาหลงก็เอ่ยขึ้นมา
“ท่านประมุข หรือท่านต้องการทำให้ศิษย์ของเม่าไต้และบุตรสาวของเขาแต่งงานกัน?” ติงหู่กล่าวถามอย่างสุภาพ หากใช้วิธีนี้ก็จะสามารถขัดขวางความสัมพันธ์ของหลิงฮันกับเม่าไต้ได้
ติงเหยาหลงยิ้มเจ้าเล่ห์และกล่าว “ไม่ใช่ เราจะทำให้หลิงฮันกับบุตรสาวของเม่าไต้มีความรู้สึกดีๆต่อกัน”
โอ้!
เหล่าผู้อาวุโสมองหน้ากันด้วยสีหน้ามึนงง นี่ประมุขไม่กลัวว่าหลิงฮันกับเม่าไต้กลายเป็นตระกูลเดียวกันหรือย่างไร
‘แปะ แปะ แปะ’ ใครบางคนปรบมือและหัวเราะ “เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยม ท่านประมุขปราดเปรื่องยิ่งนัก!”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆมองไปยังชายที่ปรบมือ นี่เจ้าอยากประจบจนต้องแสดงออกอย่างหน้าด้านๆเช่นนั้นเลย?
ชายผู้นั้นอธิบาย “ปัจจัยหลักของแผนการคือศิษย์ของเม่าไต้ที่หลงรักบุตรสาวของเม่าไต้ หากพวกเราทำให้หลิงฮันใกล้ชิดกับบุตรสาวเม่าไต้ได้ พวกเจ้าคิดว่าจางชงจะทำอย่างไร?”
“เขาต้องสังหารเจ้าหนูนั่นแน่นอน!” ใครบางคนเอ่ยตอบ มีข่าวลือว่าจางชงนั้นจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานเมื่อหุบเหวสืบสานนิพพานเปิดออก
“ฮ่าๆๆ!” เหล่าผู้อาวุโสหัวเราะ พวกเขาไม่สนว่าเม่าซูอวี่ที่เป็นเหยื่อของแผนการนี้จะรู้สึกอย่างไร ในสายตาของพวกเขาเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายแล้ว ต่อให้ต้องเสียสละคนของตนเองก็ไม่ใช่ปัญหา ยิ่งเม่าซูอวี่เป็นคนนอกด้วยแล้ว พวกเขายิ่งไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ
“เพื่อรับประกันว่าแผนการจะสำเร็จ รอให้จางชงบรรลุระดับโลกียนิพพานสำเร็จก่อนค่อยเริ่มแผน”
……
ด้วยคำขอร้องอย่างหนักแน่นของหลิงฮัน จักรพรรดินีจึงได้รับอนุญาติให้ติดสอยห้อยตามเขาไปยังเมืองจันทราหม่นแสงด้วย
จะไม่ให้พานางไปด้วยได้อย่างไร? ตอนนี้หลิงฮันกับตระกูลติงมีปัญหาไม่ลงรอยกัน หากเขาออกจากเมืองไปเพียงคนเดียวแล้วตระกูลติงมีแผนชั่วร้ายกับจักรพรรดินีล่ะ? ต่อหน้านิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน ไม่ว่าจักรพรรดินีจะเป็นอัจฉริยะแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานไหว
หลิงฮันไม่ต้องการให้เกิดเรื่องที่ทำให้เขาต้องรู้สึกเสียใจไปชั่วชีวิต ต่อให้จักรพรรดินีต้องกลายเป็นทหารหนีทัพ เขาก็จะพานางเข้าสู่หอคอยทมิฬไปเมืองจันทราหม่นแสงกับเขา
ต้วนจวินพาหลิงฮันไปกินดื่มตามขาด อีกฝ่ายเรียกสตรีงดงามจากตระกูลเล็กๆในเมืองมาด้วยหลายสิบคน
หลิงฮันปฏิเสธเหล่าสตรีไปตรงๆ ความจริงแม้เขาจะเป็นบุรุษที่บ้าตัณหา แต่หลังจากได้ลิ้มรสเสน่ห์ของจักรพรรดิมาแล้ว เขาจะยังมีความรู้สึกใดๆต่อสตรีคนอื่น?
ต้วนขวินเองก็เป็นคนดีเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายมีนิสัยตรงไปตรงมาและตะกละเหมือนกับหลิงฮัน เพราะงั้นทั้งคู่จึงคุยกันถูกคอและกินดื่มกันสนุกสนาน
หลังจากเตรียมการเป็นเวลาสิบวัน สมาชิกทั้งสิบคนของกองกำลังสำรองก็ออกเดินทางสู่เมืองจันทราหม่นแสงภายใต้การนำของล้งเกาเฟย
พวกเขาเดินทางโดยเรือลำมหึมาเนื่องจากการเดินทางด้วยขานั้นกินเวลานานเกินไป ที่นี่คือดินแดนแห่งเซียน ความเร็วของจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งยังไม่เพียงพอ
เรือที่พวกเขานั่งมีขนาดใหญ่โตด้วยความยาวหมื่นฟุตและกว้างหลายพันฟุต เพียงแต่เมื่อล่องลอยอยู่ในแม่น้ำที่กว้างใหญ่ราวกับมหาสมุทร ความใหญ่โตของเรือจึงไม่ได้ดูแล้วน่าตกตะลึงอะไร
คลื่นยักษ์ที่ซัดกระหน่ำซัดใส่ตัวเรือส่งผลให้เรือสั่นไหว ใบหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงอำนาจของคลื่นน้ำเนื่องจากว่ามันมีอำนาจเพียงพอที่จะคุกคามกายหยาบของเขา!
ตอนที่ 1693 เมืองจันทราหม่นแสง
คลื่นน้ำกระทบเข้ากับเรือเป็นระยะส่งผลให้เรือสั่นโคลงเคลงไปมา แม้แต่เม่าซูอวี่และพวกเว่ยโปวที่เป็นจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดก็ยังรู้สึกเวียนหัวอยากจะอาเจียนออกมา
หลิงฮันกับจักรพรรดินีไม่เป็นอะไร พวกเขาปิดประตูห้องและเข้าไปหลบซ่อนในหอคอยทมิฬ คลื่นน้ำจึงไม่ส่งผลใดๆต่อพวกเขา
อีกคนที่ไม่สุงสิงกับใครเลยคือติงเซี่ยวเฉิน
ไม่เพียงแต่เขาจะพ่ายแพ้หลิงฮันติดต่อกัน แต่ยังได้รับความอัปยศต่อหน้าผู้คนบนลานประลองอีกด้วย จะให้เขามีหน้าไปพบใครได้อย่างไร? เพียงแต่ติงเซี่ยวเฉินก็ถือว่าหน้าหนาไม่น้อยที่ยังกล้าเสนอหน้าตามมาด้วยแบบนี้
สำหรับเขาแล้ว การได้ไปเมืองจันทราหม่นแสงซึ่งเป็นเมืองสองดาวคือวาสนาครั้งใหญ่!
หากโชคดีมีปรมาจารย์ระดับแบ่งแยกวิญญาณถูกใจเขาขึ้นมาแล้วเสนอให้เข้าร่วมตระกูลด้วยหรือรับเป็นศิษย์ล่ะ? ไม่ใช่ว่านั่นจะเป็นวาสนาอันใหญ่โตเลยหรอกรึ? ด้วยพรสวรรค์ของเขา บางทีวความสำเร็จสูงสุดในชีวิตอาจจะเป็นระดับโลกียนิพพานสามนิพพาน แต่หากได้รับการสนับสนุนจากปรมาจารย์ระดับนั้นก็มีโอกาสสูงมากที่จะบรรลุเป็นนิรันดร์สี่นิพพาน
ความต่างระหว่างหนึ่งนิพพานนั้น สามารถทำให้เขาต้านทานบาปเคราะห์แห่งสวรรค์ได้หลายครั้งและมีอายุขัยเพิ่มขึ้นหมื่นล้านปี
เพราะงั้นต่อให้ติงเซี่ยวเฉินจะถูกสมาชิกกลุ่มมองด้วยสายตาเหยียดหยาม แต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือ
เรือแล่นผ่านแม่น้ำมหึมาด้วยความเร็วที่เทียบได้กับความเร็วสูงสุดของหลิงฮัน หากยังคงเคลื่อนที่เร็วต่อไปเช่นนี้ไม่หยุดพักคงถึงเมืองจันทราหม่นแสงในหนึ่งเดือน แต่เรือลำนี้ไม่ได้ถูกทำมาเพื่อรับส่งพวกหลิงฮันเพียงกลุ่มเดียวแต่ยังต้องทำหน้าที่ขนส่งสินค้าอีกด้วย
หลังจากมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง สินค้ามากมายก็ถูกขนออกจากตัวเรือและมุ่งหน้าต่อไปยังเมืองถัดไป
เพราะต้องลำเลียงสินค้าระหว่างทาง ระยะเวลาที่จะถึงในหนึ่งเดือนจึงขยายเป็นสองเดือน
หลิงฮันเก็บตัวฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ใต้ต้นสังสารวัฏ
ในดินแดนแห่งเซียนมีพลังวิญญาณที่หนาแน่น อย่างน้อยก็ก่อนจะบรรลุเป็นนิรันดร์ จอมยุทธทุกคนย่อมสามารถบ่มเพาะพลังและฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์
ยิ่งมีต้นสังสารวัฏด้วยแล้ว หลิงฮันจึงไม่ต่างอะไรจากเสือติดปีก หลังจากบ่มเพาะพลังไม่กี่วันในดินแดนแห่งเซียนพลังของเขาก็บรรลุเป็นเซียนระดับสูงขั้นสูงสุด เหลือแค่สะสมพลังปราณอีกเล็กน้อยและขัดเกลารากฐานพลังบ่มเพาะให้ดี เขาจะก็สามารถทะลวงผ่านเป็นราชาเซียน
เมื่อถึงตอนนั้นเขาเชื่อว่าต่อให้คู่ต่อสู้จะเป็นทายาทของขุมอำนาจยักษ์ใหญ่เขาก็สามารถกำราบอีกฝ่ายได้ในระดับพลังเดียวกัน
เขายังคงดูดซับหยดสายฟ้าสวรรค์อย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของตนเอง
แน่นอนว่าเขาเหลือส่วนแบ่งไว้ให้จักรพรรดินีและคนอื่นๆด้วย แต่เพราะปัญหาเรื่องกายหยาบที่ไม่แข็งแกร่งพอ คนอื่นๆนอกจากเขาจึงดูดซับหยดสายฟ้าสวรรค์ได้หลังจากทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานแล้วเท่านั้น
ยิ่งความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของเขาเพิ่มสูงขึ้น พลังทำลายของทักษะอัสนีบาตชำระล้างโลกาก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม ส่วนทักษะแสงอัสนีนั้นไม่มีการพัฒนาใดๆ แต่กลับกันเขาดันได้ทักษะอื่นเพิ่มขึ้นมาแทน หลิงฮันเรียกมันว่าก้อนแสงอัสนีทำลายล้าง
ทักษะนี้ทำให้เขาสามารถสร้างก้อนสายฟ้าขึ้นมาได้ ทันทีที่ก้อนสายฟ้าระเบิดออกมันจะก่อให้เกิดคลื่นพลังทำลายที่น่าสะพรึงกลัวและบดขยี้ทุกสิ่งที่อยู่รอยข้างตัวเขาโดยสนว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู
เพียงแต่หากต้องการใช้ทักษะนี้จำเป็นต้องรวบรวมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีให้ถึงจุดนึงเสียก่อน ยิ่งรวบรวมเป็นเวลานานอำนาจของทักษะก็จะยิ่งทรงพลัง แต่แน่นอนว่าทักษะเองก็มีขีดจำกัดของมัน เมื่ออำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีถูกรวบรวมจนถึงขีดจำกัด ก้อนอัสนีจะระเบิดออกทันที
ในแง่ของความเร็วในการบ่มเพาะพลังนั้น จักรพรรดินีนำเขาไปก้าวหนึ่ง บางทีนางอาจจะทะลวงผ่านเป็นราชาเซียนได้ก่อนเขา
สองเดือนต่อมา และแล้วเรือก็แล่นมาถึงเมืองจันทราหม่นแสงอย่างปลอดภัย
หลิงฮันยืนอยู่ที่หัวเรือจ้องมองเมืองขนาดใหญ่ค่อยๆปรากฏเบื้องหน้า ซึ่งเขาก็ต้องตกตะลึงเป็นอย่างมากเนื่องจากพบว่าเมืองขนาดใหญ่นั้นกำลังลอยอยู่กลางอากาศ!
เมืองจันทราหม่นแสงลอยอยู่กลางอากาศในขณะเบื้องล่างมีเมืองอีกเมืองหนึ่งตั้งอยู่ เมืองเบื้องล่างมีขนาดใหญ่เทียบเท่าได้กับเมืองธุลีจันรทรา แต่เมื่อเทียบกับเมืองจันทราหม่นแสงที่ลอยอยู่ก็นับว่ายังห่างชั้น เมืองเบื้องล่างนี้คือเมืองย่อยของเมืองจันทราหม่นแสง โดยปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นขบวนพ่อค้าหรือนักเดินทางต่างก็ต้องเข้าสู่เมืองย่อยก่อนเป็นอันดับแรก มีเพียงหลังจากได้รับอนุญาติเป็นพิเศษแล้วเท่านั้นถึงจะไปยังเมืองหลักได้
เมืองรองไม่มีกฎอะไรมากมาย แค่มีเงินก็สามารถพักอาศัย กินดื่ม หรือทำอะไรได้แทบทุกอย่าง แน่นอนว่าเงินตราที่ใช้กันนั้นไม่ใช่เหรียญทองแต่เป็นศิลาดวงดาว
สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำคือหาโรงเตี๊ยมเพื่อเป็นที่พัก ต่อให้พวกเขามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการประลองก็ต้องทำเรื่องรายงานขออนุญาติเข้าเมืองหลักอยู่ดี
และไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ออกไปเดินเตร็ดเตร่ก็ไม่เสียหาย
แม้จะเป็นเพียงเมืองย่อย แต่อาหารและสิ่งต่างๆก็ยอดเยี่ยมกว่าเมืองธุลีจันรทรา ยกตัวอย่างเช่น ตราบใดที่มีเงินมากพอ แม้กระทั่งเนื้อของสัตว์อสูรนิรันดร์ก็สามารถหาซื้อกินได้!
หลิงฮันอยากจะลองชิมรสชาติของเนื้อสัตว์อสูรนิรันดร์เช่นกัน แต่หลังจากรับรู้ถึงราคาของมัน เขาก็ล้มเลิกความคิดทันที
เนื้อสัตว์อสูรนิรันดร์หนึ่งจานมีมูลค่าถึงสองหมื่นศิลาดวงดาว แถมในจานยังมีเนื้อบางๆอยู่เพียงเจ็ดถึงแปดชิ้นเท่านั้น การกินเนื้อของสัตว์อสูรนิรันดร์สามารถช่วยสะสมปราณก่อเกิดได้อย่างมหาศาลหรืออาจจะได้รับเศษเสี้ยวแห่งเต๋าที่ช่วยให้เข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์กระจ่างแท้ยิ่งขึ้น แต่ด้วยราคาที่สูงขนาดนี้ คนที่ซื้อได้จะมีกี่คนกัน?
ต่อให้นิรันดร์เพียงคนเดียวของกลุ่มพวกเขาอย่างล้งเกาเฟยก็มีรายได้เพียงหนึ่งร้อยศิลาดวงดาวต่อปีเท่านั้น หากจะซื้อเนื้อสัตว์อสูรนิรันดร์ได้ เขาต้องเก็บออมถึงสองร้อยปี
ลืมมันไปแล้วกัน เอาไว้เมื่อมีเงินค่อยกลับมาใหม่
“โอ้ แม่นางผู้นั้นช่างทรงเสน่ห์ยิ่งนัก!” เมื่อหลิงฮันและจักรพรรดิกำลังจะเดินออกจากร้ายเนื้อสัตว์อสูร เสียงที่มากด้วยตัณหาก็ดังมาจากด้านหลังพวกเขา เจ้าของเสียงที่ว่าคือชายหนุ่มที่รูปลักษณ์อยู่ในช่วงอายุยี่สิบปี
“ถอดผ้าคลุมหน้าออก หากความงามของเจ้าทำให้ข้าพึงพอใจ ข้าจะซื้อเนื้อสัตว์อสูรนิรันดร์ให้เจ้า”
จักรพรรดินีชำเลืองมองไปที่อีกฝ่ายและสะบัดนิ้วเพื่อบ่งบอกว่าไสหัวไป ข้าคร้านจะพูดคคุยกับคนเช่นเจ้า
ชายหนุ่มดวงตาเป็นประกายเมื่อเห็นมืออันเรียวงามของจักรพรรดินี เขาทนไม่ไหวและเอื้อมมือออกมาหวังคว้าจับมือของนาง “แม่นาง ขอข้าสัมผัสมือของเจ้าหน่อย จะบอกให้ว่าวิชาทำนายดวงจากการสัมผัสมือของข้าน่ะแม่นไม่เป็นสองรองใคร”
คิ้วของจักรพรรดินีขมวดเข้าหากันและผลักฝ่ามือออกไป ชายผู้นั้นลอยกระเด็นกลิ้งเป็นลูกบอล ร่างของเขากระแทกอัดเข้าใส่กำแพงและสลบเหมือดไปทันที
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไปที่อื่นกันเถอะ”
พวกเขาไม่เก็บเหตุการณ์นี้มาคิดว่าเนื่องจากคิดว่าชายหนุ่มผู้นั้นไม่มีทางเป็นทายาทของตระกูลที่ทรงอำนาจในเมืองจันทราหม่นแสง เพราะไม่งั้นแล้วเขาคงไม่มาอยู่ในเมืองย่อยเบื้องล่างนี้ ที่เป็นไปได้มากที่สุดคืออีกฝ่ายก็เป็นรุ่นเยาว์ที่ติดตามผู้อาวุโสมาเข้าร่วมการประลองเช่นเดียวกันกับพวกเขา
ตอนที่ 1694 สองพี่น้องเอาแต่ใจ
หลิงฮันกับจักรพรรดินีเดินตะลอนไปทั่วเมืองรองทำให้ได้รู้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเมือง
ความจริงการจะเข้าเมืองสองดาวหรือมากกว่านี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ปัญหาไม่ได้มีเพียงค่าผ่านทางแต่ยังต้องมีเหตุผลที่สมควรอีกด้วย อย่างเช่นว่าเป็นประชากรของเมืองนี้แต่แรก หรือได้รับคำเชิญให้มาที่เมือง
แม้แต่พ่อค้าก็ไม่สามารถเข้าสู่เมืองจันทราหม่นแสงหลักได้ พวกเขาทำได้เพียงลำเลียงสินค้ามายังเมืองรอง
มีคำกล่าวว่าพลังวิญญาณสำหรับบ่มเพาะของของเมืองจันทราหม่นแสงนั้นหนาแน่นกว่าเมืองธุลีจันรทราถึงสิบเท่า!
ยิ่งกว่านั้นเมืองจันทราหม่นแสงยังมีรูปแบบอาคมขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่สะสมพลังวิญญาณให้ไม่กระจัดกระจายหายไปไหน หากอาศัยอยู่ในเมืองเป็นเวลานานต่อให้เป็นคนปกติก็สามารถมีอายุขัยได้มากถึงห้าร้อยถึงหกร้อยปี หากเป็นจอมยุทธอย่างระดับสร้างสรรพสิ่ง อายุขัยของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นห้าพันถึงหกพันปี
ไม่ใช่ว่าวรยุทธก็คือการแข่งขันกับอายุขัยหรอกรึ?
นี่คือเหตุผลที่ทำให้เมืองสองดาวเป็นที่หมายปองของทุกคนไม่เว้นแม้แต่ทายาทตระกูลใหญ่เมืองหนึ่งดาวอย่างติงเซี่ยวเฉิน
ขนาดนี่ยังเป็นเพียงเมืองหนึ่งดาวเท่านั้น หากเป็นเมืองสามดาว สี่ดาวหรือเมืองห้าดาวล่ะ?
หลิงฮันและจักรพรรดินีมุ่งหน้ากลับโรงเตี๊ยม พวกเขาเดินไปได้เพียงครึ่งทางก็ถูกสตรีดุดันผู้หนึ่งขวางเอาไว้
“เจ้าทำร้ายน้องชายข้า?” สตรีผู้นั้นกล่าวอย่างโหดเหี้ยม นางเป็นสตรีที่มีรูปลักษณ์งดงามอันดับต้นๆ เพียงแต่เมื่อเทียบกับจักรพรรดินีแล้วไม่สามารถนับเป็นอันใดได้
“พี่สาว เป็นพวกเขาที่ทำร้ายข้า!” ข้างกายนางมีชายหนุ่มสวมชุดฟ้าเข้มยืนอยู่ เขาชี้นิ้วมายังหลิงฮันและจักรพรรดินีด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด เขาคือคนที่คิดจะหยอกล้อจักพรรดินี แต่ถูกจักรพรรดินีผลักฝ่ามือใส่อย่างแรง
สตรีผู้นั้นเค้นเสียงและกล่าว “พวกเจ้าทั้งสองจงหักแขนของตนเองและคุกเข่าต่อหน้าน้องชายข้า แล้วข้าจะยอมไว้ชีวิต”
“พี่สาว ข้าอยากได้สตรีผู้นั้น!” ชายหนุ่มชี้นิ้วไปยังจักรพรรดินี แม้เขาจะยังไม่เคยเห็นใบหน้าของจักรพรรดินี แต่แค่ท่วงท่าการขยับตัวของนางก็ทำให้ใจของเขาเต้นแรงเกินจะหักห้ามใจ
ใบหน้าของสตรีผู้นั้นเผยถึงท่าทางอ่อนโยน นางพยักหน้าและกล่าว “ได้แน่นอน ตามที่เป่าเอ๋อร์ต้องการ!” นางหันกลับมามองพวกหลิงฮันและขมวดคิ้ว “พวกเจ้ารออะไรอยู่ ทำไมไม่รีบทำตามคำสั่งของข้า?”
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “สมองของเจ้าผิดปกติรึเปล่า? อย่าบอกว่าเจ้ารู้อยู่แล้วว่าสมองตัวเองไม่ปกติแต่ก็ยังออกมาเดินเพ่นพ่านไปทั่ว?”
“ปากดีนัก!” สตรีผู้นั้นคำรามและปล่อยฝ่ามือเข้าใส่หลิงฮัน “ต่อหน้าข้า หลิวมู่อวี่ เจ้าคิดว่าตนเองมีสิทธิ์ทำตัวหยิ่งยโส?”
หลิงฮันปัดป้องการโจมตีของหลิวมู่อวี่ได้อย่างง่ายดายและกล่าว “เจ้าไม่ถามถึงเหตุผลใดๆก็พรวดพราดโจมตีพวกข้าแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังสั่งให้หักแขนตัวเองพร้อมกับคุกเข่าขอโทษอีก?”
เขาเผยรอยยิ้ม “นึกออกแล้ว ข้าจะนำตัวเจ้าไปส่งมอบให้กับชายโสดในฐานะภรรยา นอกจากจะดัดนิสัยเอาของเจ้าได้แล้ว ยังช่วยแก้ไขปัญหาชายโสดที่หาภรรยาไม่ได้ได้อีกด้วย”
“โอหัง!” หลิวมู่อวี่ปล่อยฝ่ามือออกไปอีกครั้ง คราวนี้ด้วยความรู้สึกโกรธทำให้การโจมตีที่ปล่อยออกไปทรงพลังยิ่งขึ้น พลังจากฝ่ามือของนางแปรเปลี่ยนเป็นใบมีดรูปจันทร์เสี้ยว ตราประทับแห่งเต๋าส่องประกายตระหง่านสูงเสียดฟ้าอย่างน่ายำเกรง
สตรีผู้นี้อย่างบ้าบิ่นยิ่งนัก โครงสร้างของดินแดนแห่งเซียนนั้นแข็งแรงทนทานก็จริง แต่การโจมตีสุดพลังของจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งก็ยังสามารถสร้างความเสียหายได้อยู่ดี สตรีผู้นี้ไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้แต่น้อย นางคิดแต่จะลงมือตามใจต้องการ
ใบหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นเย็นชาและโคจรแสงอัสนี ร่างของเขาปรากฏที่ด้านหน้าของหลิวมู่อวี่ในพริบตา ‘เพี๊ยะ’ เขาตบเข้าที่ใบหน้าของนางและรู้สึกว่าการตบเพียงครั้งเดียวไม่ช่วยให้ความรู้สึกไม่สบอารมณ์เจือจางลง ‘เพี๊ยะ’ หลังมือของหลิงฮันสะบัดเข้าใส่ใบหน้าของนางอีกครั้ง
หลังจากถูกตบไปสองครั้ง แก้มอันงดงามของหลิวมู่อวี่ก็กลายเป็นสีแดง ผมของนางกระเซอะกระเซิงไม่เป็นทรง แววตาของนางจดจ้องมายังหลิงฮันอย่างเกรี้ยวกราด พริบตานั้นมือของนางก็ปรากฏประกายแสงพร้อมกับกำดาบเอาไว้ในมือ
มันคือดาบที่ปกคลุมไปด้วยตราประทับแห่งเต๋าอันทรงพลัง
แม้แต่หลิงฮันก็ยังตกตะลึงเล็กน้อย ดาบในมือของอีกฝ่ายไม่ใช่สมบัติระดับราชาเซียนทั่วไป พลังของมันเหนือยิ่งไปกว่านั้นแต่ก็ยังไม่ถึงระดับโลกียนิพพาน
ดาบเล่มนี้สมควรถูกสร้างจากแร่โลหะกึ่งนิรันดร์ครึ่งดาว
“มอบชีวิตของเจ้ามา!” หลิวมู่อวี่สะบั้นดาบเข้าใส่หลิงฮัน ปราณดาบปลดปล่อยอำนาจแห่งเต๋าออกมาอย่างน่าสะพรึง
หลิงฮันไม่กล้าประมาทและปล่อยหมัดตอบโต้ดาบที่พุ่งเข้ามา กายหยาบของเขาเองก็บรรลุระดับแร่โลหะกึ่งนิรันดร์ครึ่งดาวเช่นกัน จึงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวที่จะใช้ร่างกายเข้าปะทะตรงๆ
ตูม! ตูม! ตูม!
อำนาจของหมัดและปราณดาบกระทบเข้าใส่กันอย่างรุนแรง การแลกเปลี่ยนกระบวนท่าแต่ละครั้งก่อให้เกิดแสงปะทะที่ส่องสว่างราวกับสวรรค์และปฐพีกำลังจะพังทลาย
หลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่าไปได้สักพัก หลิงฮันก็รับรู้ว่าหากอำนาจของดาบนี้ถูกรีดเค้นจนถึงขีดสุด บางทีมันอาจจะมีพลังพอที่จะตอบโต้การโจมตีของเขาได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ แต่อาวุธก็คืออาวุธ ในระดับเดียวกันพลังของมันจะเทียบเท่าพลังจากร่างของจอมยุทธโดยตรงได้อย่างไร?
หลิงฮันพุ่งทะยานยึดดาบจากมือหลิวมู่อวี่มาได้อย่างง่ายดาย หลังจากเก็บดาบเขาก็ได้ทำการผนึกพลังบ่มเพาะของอีกฝ่ายและยกแบกขึ้นมาด้วยหนึ่งมือ
ชายหนุ่มที่เหมือนจะเป็นน้องชายต้องการวิ่งหนีแต่หลิงฮันก็จับร่างของเขาเอาไว้ทันและแบกร่างด้วยมือนึง
หลิวมู่อวี่นั้นแม้จะถูกจับนางก็ยังดิ้นไปมาอย่างไม่ยินยอม เมื่อเห็นว่าน้องชายของตนเองถูกจับมาด้วยใบหน้าของนางก็เปลี่ยนสีและคำรามออกมา “ปล่อยน้อยชายของข้า! หากเจ้าแตะต้องเขาแม้แต่ปลายเส้นผม ข้าขอสาบานว่าจะสังหารเจ้า!”
หลิงฮันออกแรงบีบที่มือ ‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ กระดูกในร่างของหลิวมู่อวี่อย่างน้อยหนึ่งในสามส่วนส่งเสียงแตกร้าว เมื่อเขาหันไปมองชายหนุ่มอีกครั้งก็พบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายซีดขาวราวกับกระดาษและหวาดกลัวจนบริเวณเป้าเปียกแฉะ
“อย่าฆ่าข้า! ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย!” ชายหนุ่มโอดครวญ
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใช่คนล่าหมูจึงไม่รู้วิธีสังหารหมู ที่ข้าต้องการคือจะทำให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าสตรีที่เคยถูกเจ้ารังแกมาก่อนนั้น พวกนางรู้สึกอย่างไร“
หลังจากเดินไปได้สักพัก เขาก็พบกับซ่องโสเภณีที่มีไว้สำหรับบุรุษรสนิยมแปลก ภายในซ่องเต็มไปด้วยพนักงานชายกล้ามโตเป็นมัดๆ
ทางด้านของหลิวมู่อวี่ก็เหมือนกับที่เขาพูดก่อนหน้านี้ เขาส่งนางไปให้กับชายโสดที่ต้องการมีภรรยา
ตอนที่ 1695 เดิมพัน
หลังจากจัดการเรื่องของพี่น้องหลิวเสร็จสิ้นแล้ว หลิงฮันก็มุ่งหน้ากลับโรงเตี๊ยมพร้อมกับจักรพรรดิด้วยใบหน้าที่เบิกบาน
ก่อนที่กลุ่มของพวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่เมืองหลัก จักรพรรดินีก็รู้สึกว่าตนเองกำลังจะทะลวงผ่านระดับ นางไม่จำเป็นต้องออกไปนอกเมืองเนื่องจากเมืองรองแห่งนี้ไม่ได้เล็กไปกว่าเมืองธุลีจันรทรา นางสามารถหาป่าเขาที่ไร้ผู้คนได้ไม่ยาก
ยิ่งกว่านั้นในดินแดนแห่งเซียน ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของระดับสร้างสรรพสิ่งเองก็ไม่ได้รุนแรงนัก
ผ่านไปไม่นานจักรพรรดินีก็ผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เสร็จสิ้น นางนำหน้าบรรลุเป็นราชาเซียนไปก่อนหนึ่งก้าว ภายในหอคอยทมิฬ มิตรสหายหลายคนของหลิงฮันก็ต้องการทะลวงผ่านระดับเช่นกัน ในโลกบรรพกาล สหายบางคนของเขานับได้ว่าเป็นอัจฉริยะ ยิ่งมาอยู่ในดินแดนแห่งเซียนด้วยแล้ว ศักยภาพของพวกเขาจึงถูกดึงออกมามากยิ่งขึ้น
อย่างน้อยก่อนถึงระดับโลกียนิพพานพวกเขาคงไม่พบเจอความยากลำบากใดๆในการบ่มเพาะพลัง แต่ไม่ว่าอย่างไรการจะบรรลุขีดจำกัดสูงสุดของระดับวารีนิรันดร์ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี ณ เวลานี้มีเพียงแค่หลิงฮัน จักรพรรดินีและจักรพรรดิพิรุณสามคนเท่านั้นที่ทำได้
แต่ข่าวดีก็คือ เนื่องจากว่าดินแดนแห่งเซียนไม่มีการแบ่งแยกสองดินแดน ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเหล่าสหายในหอคอยทมิฬจึงยกระดับสูงขึ้นมาก
เพียงแต่ว่าต่อให้คนอื่นๆจะยกระดับความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้ก็ไม่อาจมีพลังต่อสู้ที่เทียบเท่าหลิงฮัน จักรพรรดินีและจักรพรรดิพิรุณ ราวกับพระเจ้านั้นรับรู้ว่าพวกหลิงฮันสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนได้ตั้งแต่โลกบรรพกาลจึงช่วยให้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าใครๆ
เหล่าสหายที่ฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนแห่งเซียนสำเร็จถูกนำตัวออกมาจากหอคอยทมิฬ ที่นี่มีพื้นที่รกร้างและป่าเขาอยู่มากมาย ซึ่งพวกเขาสามารถใช้เป็นที่พักอาศัยอันสันโดษได้
พวกเขาจะเริ่มตั้งตัวขึ้นใหม่จากที่นี่และสร้างจักรวรรดิต้าหลิงฮันขึ้นอีกครั้ง
ไม่สิ ในเมื่อดินแดนแห่งเซียนไม่มีจักรวรรดิ ขุมอำนาจที่สร้างขึ้นจึงสมควรเรียกว่านิกายต้าหลิง
หลิงฮันไม่สนใจก่อตั้งขุมอำนาจใดๆอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาจึงยกหน้าที่นี้ให้กับคนอื่นๆทำตามใจต้องการ ตอนนี้สหายแทบทั้งหมดออกจากหอคอยทมิฬไปเป็นที่เรียบร้อย ที่ยังอยู่กับเหลือเพียงแค่สตรีนกอมตะคนเดียวเท่านั้น
จักรพรรดิพิรุณคือคนเดียวที่แยกตัวไปอย่างสันโดษ เขามีจุดประสงค์คือต้องการออกเดินทางฝึกตนและท้าประลองไปทั่วดินแดนแห่งเซียน
หลิงฮันบอกจักรพรรดิพิรุณถึงวิธีทั้งสองสำหรับทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน
อีกฝ่ายเป็นชายผู้คลั่งไคล้วิถีวรยุทธเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะงั้นจึงไม่สนใจว่าจะต้องตัดขาดความรู้สึกทางโลกหรือไม่ แต่ในเมื่อมีวิธีทะลวงผ่านที่สามารถทำให้แข็งแกร่งกว่าจอมยุทธระดับโลกียนิพพานทั่วไป เขาจะเลือกเป็นจอมยุทธระดับโลกียนิพพานทั่วไปได้อย่างไร?
หลิงฮันกลับมายังโรงเตี๊ยมอีกครั้งและพบว่าสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆกำลังรอเขาและจักรพรรดินีอยู่ สิทธิเข้าสู่เมืองหลักได้รับการอนุมัติแล้ว
“ไปกันได้แล้ว”
พวกเขามุ่งหน้ามายังบริเวณกึ่งกลางของเมืองรอง ที่นี่มีรูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายติดตั้งเอาไว้และสามารถส่งคนจากเบื้องล่างขึ้นไปยังเมืองธุลีจันรทราบนท้องฟ้าได้โดยตรง
ล้งเกาเฟยแสดงเหรียญตราเข้าเมืองและจ่ายหนึ่งร้อยยี่สิบศิลาดวงดาว ค่าเข้าเมืองหลักคือสิบศิลาดวงดาวต่อคน เจ้าหน้าที่ควบคุมให้พวกเขาเข้ามาด้านในรูปแบบอาคมแต่ยังไม่กระตุ้นใช้งาน
กลุ่มของหลิงฮันสิบสองคนรอคอยอยู่นาน หลังจากคนมารวมกันมากพอสมควรแล้วในที่สุดรูปแบบอาคมก็ถูกกระตุ้นทำงาน
ดูเหมือนว่าเพื่อที่จะประหยัดพลังงานของรูปแบบอาคมเคลื่อนย้าย รูปแบบอาคมจึงจะไม่ทำงานจนกว่าคนจะเต็ม
ต่อหน้ากฎที่ถูกตั้งเอาไว้แบบนี้ ต่อให้นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานอย่างล้งเกาเฟยก็ไม่กล้าแสดงท่าทางไม่พอใจ ในเมืองสองดาวเช่นนี้ต่อให้จำนวนของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานจะไม่ได้มากมายเหมือนปลาคาร์ฟที่แหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำ แต่จำนวนของนิรันดร์ระดับนี้ก็มีอยู่นับพัน
หากเขาทำตัวหยิ่งยโสคงถูกกำราบในเวลาไม่กี่นาที เหนือสิ่งอื่นใดคือเมืองจันทราหม่นแสงมีตัวตนระดับแบ่งแยกวิญญาณพำนักอยู่
‘ครืนน’ รูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายส่องประกายแสงเจิดจ้า ผู้คนภายในรูปแบบอาคมรู้สึกราวกับกล้ามเนื้อของตนเองกำลังฉีกขาดก่อนจะถูกส่งมายังอีกสถานที่หนึ่ง
และแล้วพวกเขาก็มาถึงเมืองจันทราหม่นแสงที่แท้จริง
“พลังวิญญาณหนาแน่นมาก!” เม่าซูอวี่และคนอื่นๆตกตะลึงเนื่องจากไม่เคยมาเมืองจันทราหม่นแสงมาก่อน
ล้งเกาเฟยเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน เพียงแต่ในฐานะผู้อาวุโสเขาจำเป็นต้องทำหน้าตาให้นิ่งเข้าไว้และกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ก่อนอื่นต้องไปยังที่ทำการเสียก่อน”
นิกายจันทราหม่นแสงสร้างที่ทำการขึ้นเพื่อเอาไว้ให้เหล่าเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองจัดการธุระต่างๆได้สะดวก
ที่ทำการตั้งอยู่ในสถานที่ที่ค่อนข้างปลีกวิเวก พวกเขาใช้เวลาเจ็ดวันเดินทางจากรูปแบบอาคมเคลื่อนย้ายไปยังที่ทำการ ณ เวลานี้ตัวแทนส่วนใหญ่จากเมืองต่างๆได้มาถึงแล้ว เมื่อล้งเกาเฟยพาพวกหลิงฮันมาถึงก็มีทั้งคนที่กล่าวทักทายหรือจ้องมองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
ความสัมพันธ์ของเมืองที่อยู่ภายใต้นิกายจันทราหม่นแสงนั้นค่อนข้างซับซ้อน บางเมืองก็มีความบาดหมางต่อกัน บางเมืองก็เป็นมิตรกัน
หลังจากสะสางธุระเรื่องเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ล้งเกาเฟยก็ได้บอกให้สมาชิกทุกคนแยกย้ายไปพักผ่อนและอย่าได้สร้างปัญหาใดๆ
ที่นี่คือเมืองหลักของเมืองจันทราหม่นแสง ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่มีพื้นเพเป็นขุมอำนาจระดับโลกียสามนิพพานขึ้นไปหรือไม่ก็อาจจะเป็นถึงระดับแบ่งแยกวิญญาณ อย่าว่าแต่พวกหลิงฮันที่ยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งเลย ต่อให้เป็นล้งเกาเฟยก็อาจจะไม่ได้รับการไว้หน้า
สองวันต่อมา ในที่สุดตัวแทนจากเมืองตั้งสองร้อยกว่าเมืองก็มากันครบ
ล้งเกาเฟยนำข้อมูลบางอย่างกลับมาให้พวกเขา
ข้อมูลที่ว่าคืออัตราเดิมพันชัยชนะการประลองของตัวแทนแต่ละเมือง
ใช่แล้ว ทุกๆครั้งที่การประลองถูกจัดขึ้น ขุมอำนาจทั้งหมดจะสามารถเดิมพันล่วงหน้ากันได้ว่าตัวแทนจากเมืองใดจะเป็นผู้ชนะการประลอง
ยิ่งเดิมพันก่อนอัตราเดิมพันจะยิ่งสูง เหตุผลก็ง่ายๆอย่างที่รู้กัน เมื่อการประลองดำเนินไปเรื่อยๆจำนวนของกลุ่มตัวแทนจะน้อยลง อัตราเดิมพันก็ต้องถูกปรับ
มองอีกแง่หนึ่งแล้ว อัตราเดิมพันถือได้ว่าเป็นอันดับพลังของกลุ่มตัวแทนจากแต่ละเมือง
“อันดับของพวกเราอยู่ที่ 224” เม่าซูอวี่จ้องมองข้อมูลที่รับมาด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ ขุมอำนาจทั้งหลายดูถูกพวกเขาเป็นอย่างมากทำให้อัตราเดิมพันอยู่ที่ยี่สิบสองต่อหนึ่ง
เมืองหนึ่งดาวที่อยู่ใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสงมีอยู่ทั้งหมด237เมือง เมืองจันทราหม่นแสงของพวกเขานั้นรั้งท้ายเป็นอันดับที่สิบสี่
หลิงฮันส่ายหัว ทำไมเมืองของพวกเขาถึงไม่อยู่อันดับสุดท้ายกัน? หากเป็นเช่นนั้นอัตราเดิมพันก็จะสูงกว่านี้และเขาจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น
ตอนที่ 1696 ทดสอบเพื่อเข้าสู่เกาะเมฆา...
การเดิมพันสามารถทำได้ที่ที่ทำการ หลิงฮันและจักรพรรดินีเดิมพันผู้ชนะคือเมืองธุลีจันรทราของตนเอง
Anchor
เม่าซูอวี่และคนอื่นๆเองก็มั่นใจในตัวหลิงฮันเป็นอย่างมาก พวกเขาลงเดิมพันไปที่เมืองธุลีจันรทราของตนเอง การเดิมพันฝ่ายตนเองนั้นเป็นเรื่องปกที่พบให้กันบ่อย ตัวแทนทุกกลุ่มสามารถเดิมพันเมืองตนเองได้หากมั่นใจว่าจะชนะ
Anchor
ล้งเกาเฟยเองก็ลงเดิมพันเช่นกัน เขาที่เป็นตัวตนระดับโลกียนิพพาน เงินเดิมพันย่อมมหาศาลถึงหนึ่งแสนศิลาดวงดาว
บางทีเงินจำนวนนี้อาจจะไม่ใช่เงินของเขาเพียงคนเดียว แต่เป็นเงินส่วนกลางจากทั้งสามตระกูลที่นำมาใช้สำหรับเดิมพันและจะกลับไปแบ่งอย่างเท่าเทียมในภายหลัง
“เจ้ามีโอกาสสูงมากที่จะชนะการประลองในครั้งนี้ก็จริงแต่อย่าได้ประมาท ข้ารู้ข่าวมาว่ากลุ่มอื่นๆเองก็มีอัจฉริยะที่ทรงพลังอยู่เช่นกัน” ล้งเกาเฟยกล่าว
จากกฎของการประลอง ตัวแทนแปดอันดับแรกจากการประลองครั้งที่แล้วจะได้รับสิทธิ์เข้าไปประลองรอบสุดท้ายโดยปริยาย ส่วนตัวแทนจากเมืองอื่นๆที่เหลือจำเป็นต้องแย่งชิงอีกยี่สิบสี่ตำแหน่งเพื่อเข้าสู่การประลองรอบสุดท้าย
เมืองที่ได้อันดับหนึ่งจากการประลองครั้งที่แล้วคือเมืองสองมหาภพ ในกลุ่มตัวแทนของเมืองนี้มีสุดยอดอัจฉริยะผู้หนึ่งชื่อว่า หยวนซิ่งผิง จากการประลองครั้งที่แล้วเป็นอัจฉริยะผู้นี้เองที่นำพาชัยชนะมาสู่เมืองสองมหาภพ
ณ ตอนนี้หยวนซิ่งผิงยังไม่ทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานก็จริงแต่ก็ใกล้แล้ว เขามีโอกาสถึงเก้าในสิบส่วนที่จะทะลวงผ่านระดับสำเร็จ เพราะงั้นการประลองครั้งนี้อาจจะเป็นการประลองครั้งสุดท้ายของเขาในระดับสร้างสรรพสิ่ง
หยวนซิ่งผิงคือคนที่ถูกคิดว่าจะเป็นผู้ชนะการประลองยุทธในครั้งนี้ มีข่าวลือว่าปรมาจารย์จากนิกายจันทราหม่นแสงผู้หนึ่งถูกชะตากับเขา เมื่อใดที่หยวนซิ่งผิงบรรลุระดับโลกียนิพพานแล้ว ปรมาจารย์ผู้นั้นจะรับเขาเป็นศิษย์
นอกจากเมืองสองมหาภพแล้วยังมีตัวแทนที่ทรงพลังติดต่อกันมานานอย่างเมืองตะวันขาวอยู่อีก ตัวแทนจากเมืองตะวันขาวติดสี่อันดับแรกตลอด แม้ตัวแทนของพวกเขาจะไม่มีสุดยอดอัจฉริยะอย่างหยวนซิ่งผิง แต่พลังของตัวแทนทุกคนก็เหนือกว่าจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งทั่วไปและมีกลยุทธ์โจมตีผสานที่ทรงพลัง ไม่แน่ว่าครั้งนี้พวกเขาอาจจะเอาชนะเมืองสองมหาภพได้ก็เป็นได้
ตัวแทนแปดอันดับแรกไม่อาจประมาทได้ แต่ในการประลองครั้งนี้นอกจากทั้งแปดก็ยังมีกลุ่มที่น่าจับตามองอยู่อีกอย่างเมืองเพลิงฟ้าคราม พวกเขามีตัวแทนทรงพลังคนหนึ่งชื่อ ตันอวี่จิง
นางเป็นที่รู้จักกันในฉายาหยวนซิ่งผิงคนที่สอง
ด้วยพลังต่อสู้ที่ทรงพลังของนางจึงมีคำกล่าวว่านางเพียงคนเดียวสามารถต่อกรกับศัตรูได้นับร้อย เพียงแต่การประลองยุทธที่จัดขึ้นเป็นการประลองแบบกลุ่มสิบคน เพราะงั้นหากสมาชิกกลุ่มนางอ่อนแอก็อาจจะเป็นตัวถ่วงได้
การประลองจะเริ่มในอีกสิบวันข้างหน้าโดยจับคู่ประลองด้วยวิธีจับฉลาก และเพื่อความยุติธรรม ผู้ประลองจะไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ที่จับฉลากได้จะเป็นตัวแทนจากเมืองใด
“หลิงฮัน!”
เม่าซูอวี่และพวกเว่ยโปวมาหาเขา หลังจากเหตุการณ์ทรยศของติงเซี่ยวเฉิน กลุ่มสิบคนของพวกเขาก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย หลิงฮัน เม่าซูอวี่ เว่ยโปว ฉินเฮิ่นและหลัวซินหยางรวมกลุ่มกันห้าคน ในขณะเดียวกัน ติงเซี่ยวเฉินและอีกสี่คนที่เคยกล่าวยอมแพ้ตอนประลองคัดเลือกก็ได้จับกลุ่มอยู่ด้วยกันเช่นกัน
“ว่าอย่างไร?” หลิงฮันและจักรพรรดินีกำลังจิบชากันอย่างสบายอารมณ์ แน่นอนว่าน้ำชาที่พวกเขาดื่มย่อมถูกต้มมาจากใบของต้นสังสารวัฏ กลิ่นหอมของน้ำชาลอยฟุ้งพร้อมกับควบแน่นตราประทับแห่งเต๋าลอยออกมา
ด้วยประสิทธิภาพของต้นสังสารวัฏที่ยกระดับขึ้นแล้ว ชาที่ต้มจากใบของต้นสังสารวัฏจึงล่อตาล่อใจแม้กระทั่งนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน
หลิงฮันยื่นมือออกไปสะบัดตราประทับแห่งเต๋าให้กระจายหายไปจากน้ำชาเนื่องจากไม่ต้องการเปิดเผยความลับของต้นสังสารวัฏแก่ใคร
พวกเม่าซูอวี่ไม่รู้สึกสงสัยการกระทำของเขาและกล่าว “มาด้วยกันสิ ข้างนอกกำลังมีการทดสอบบางอย่าง ตราบใดที่ผ่านเกณฑ์การทดสอบได้พวกเราจะมีสิทธิ์ได้ไปเยือนเกาะเมฆาเซียน”
เกาะเมฆาเซียน?
“เกาะเมฆาเซียนคือหินอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบอยู่ข้างเมืองจันทราหม่นแสงและเป็นที่พักอาศัยของทายาทแห่งนิกายจันทราหม่นแสง!” เม่าซูอวี่ดวงตาเป็นประกาย “ทายาทที่ว่าคืออัจฉริยะที่ไร้เทียมทานแห่งยุค มีข่าวลือว่าเขาสามารถควบแน่นดวงดาราได้ถึงสิบล้านดวงในระดับวารีนิรันดร์ตามตำนาน!”
ดวงดาราสิบล้านดวง!
หลิงฮันรู้สึกสนใจ นอกจากเขา จักรพรรดินีและจักรพรรดิรุณ คงมีเพียงทายาทของขุมอำนาจใหญ่เพียงหยิบมือที่จะบรรลุขีดจำกัดสูงสุดของระดับวารีนิรันดร์ได้ แต่ในความคิดของเขา นิกายจันทราหม่นแสงนั้นยังไม่ได้ขุมอำนาจที่ทรงพลังพอจะเรียกว่าขุมอำนาจใหญ่ หากจะเป็นขุมอำนาจใหญ่ต้องมีอำนาจระดับขอบเขตตำหนักอมตะเป็นอย่างน้อย
เพราะงั้นจึงเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ไม่น้อยที่ขุมอำนาจสองดาวสามารถบ่มเพาะอัจฉริยะเช่นนี้ขึ้นมาได้
“ทายาทผู้นั้นมีชื่อว่าจ่างซุนเหลียง จากคำบอกเล่าอายุของเขายังไม่เกินหนึ่งแสนปีเสียด้วยซ้ำแต่กลับสามารถทำความเข้าใจรากฐานพลังบ่มเพาะของระดับสร้างสรรพสิ่งได้อย่างท่องแท้ เมื่อใดที่เขาสะสมปราณก่อเกิดเพียงพอก็จะสามารถทะลวงผ่านเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานได้” เม่าซูอวี่กล่าว นับว่านางศึกษาเรื่องของทายาทผู้นี้มาดีไม่น้อย
ไม่รู้ว่าหากจางชงอยู่ตรงนี้ด้วยเขาจะรู้สึกหึงหวงจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวหรือไม่
หลัวซินหยางพยักหน้าและกล่าว “หุบเหวสืบสานนิพพานคือสถานที่ภายใต้การปกครองของนิกายจันทราหม่นแสงที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพาน หากทะลวงผ่านระดับโลกียะนิพพานในที่แห่งนั้น พลังต่อสู้ในระดับเดียวกันจะแข็งแกร่งกว่านิรันดร์ทั่วไป”
“น่าเสียดายที่พวกเรายังต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะพร้อมทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้ หากพลาดโอกาสเปิดเขตแดนลี้ลับในครั้งนี้พวกเราต้องรอไปอีกหนึ่งสิบล้านปี” ฉินเฮิ่นส่ายหัว
หลิงฮันรู้สึกสนใจในตัวทายาทผู้นี้ เขากล่าว “จำเป็นต้องทดสอบอะไร?”
“มากับพวกข้าสิ การทดสอบนั้นง่ายมาก” พวกเขาดึงแขนลากตัวหลิงฮัน ส่วนทางด้านจักรพรรดินีนั้นไม่มีใครกล้าทำอะไรเนื่องจากหวาดกลัวแรงกดดันที่สัมผัสได้จากนาง
จักรพรรดิเดินตามไป เมื่อทุกคนออกมาด้านนอกก็พบเห็นเสาที่ตั้งอยู่ตรงประตูของที่ทำการ บริเวณบนเสามีรูปรากฏอยู่หลายรู ในขณะนี้เองได้มีใครบางคนกำลังกระหน่ำปล่อยการโจมตีเข้าใส่เสา ‘ตูม’ รูที่อยู่บนเสาส่องแสงออกมาทีละรู
“สี่สิบสามแต้ม พอจะแข็งแกร่งอยู่บ้างแต่ยังไม่มีคุณสมพอจะเข้าสู่เกาะเมฆาเซียน” ที่มุมด้านข้างเสามีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งไขว้ขากำลังกล่าวประเมินคะแนนอยู่ ผมสีแดงของชายหนุ่มผู้นี้ทำให้เขาดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก
คนที่ลงมือโจมตีเสาเมื่อครู่ไม่อาจยอมรับผลประเมินได้ เขากล่าว “ข้าดูมานานสักพักแล้ว คนก่อนๆหน้าข้าทำคะแนนได้เพียงสามสิบกว่าเท่านั้น เจ้ายังจะบอกว่าสี่สิบคะแนนของข้าไม่มีคุณสมบัติพอ?”
“ไม่พอก็คือไม่พอ!” ชายหนุ่มผมแดงส่ายหัว “เจ้าที่ยังเทียบไม่ได้แม้แต่กับข้า คิดว่าได้รับความสนใจจากทายาท?”
ชายหนุ่มผมแดงปล่อยหมัดเข้าใส่เสาโดยที่ไม่ลุกขึ้นยืน ‘ตูม’ พริบตานั้นรูที่อยู่เสาก็ปลดปล่อยแสงออกมาถึงห้าสิบกว่ารู
เป็นความต่างที่เห็นได้ชัดนัก อย่างที่เห็นว่าชายหนุ่มผมแดงนั้นโจมตีออกไปลวกๆแถมกำลังนั่งอยู่ หากเขาลุกขึ้นและลงมืออย่างจริงจังล่ะก็ เกรงว่ารูบนเสาอาจจะส่องแสงถึงหกสิบหรือเจ็ดสิบรู
ตอนที่ 1697 สถิติที่ไม่อาจเอื้อมถึง
ทุกคนรอบข้างสูดหายใจลึก ขนาดหนึ่งในผู้ติดตามของจ่างซุนเหลียงยังแข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วตัวของจ่างซุนเหลียงเองล่ะจะทรงพลังขนาดไหน?
ชายหนุ่มผมแดงกวาดสายตามองฝูงชนพร้อมกับแสยะยิ้ม “เพียงหนึ่งการโจมตีของนายท่านจ่างซุนเหลียงสามารถทำให้รูบนเสาส่องประกายได้ถึงเก้าสิบเก้าแต้ม”
พรวด… เก้าสิบเก้า!
ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตะลึง
คนที่อยู่ที่นี่แทบจะทุกคนได้ลองทดสอบด้วยตัวเองแล้ว พวกเขาส่วนใหญ่ทำให้รูส่องประกายได้เพียงสามสิบกว่าแต้ม มีเพียงจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่ทำให้รูส่องได้เกินหกสิบแต้ม
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าพลังของทายาทแห่งนิกายจันทราหม่นแสงนั้นทรงพลังขนาดไหน
“ถ้าเช่นนั้น ต้องทำให้รูบนเสาส่องแสงได้จำนวนเท่าไหร่ถึงจะมีคุณสมบัติเข้าสู่เกาะเมฆาเซียน” จู่ๆใครบางคนในหมู่ฝูงชนก็เอ่ยถาม เขาเป็นรุ่นเยาว์ที่ดูธรรมดาสามัญเป็นอย่างมากและมีส่วนสูงที่เตี้ยกว่าคนทั่วไป
หลังจากที่เขาเอ่ยถาม ผู้คนที่อยู่รอบข้างตัวเขาก็ก้าวขาออกห่างทันที
ชายหนุ่มผมแดงมองไปยังชายร่างเตี้ยก่อนจะหรี่ตาเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงออร่าอันเย็นยะเยือกจากอีกฝ่าย
ออร่าที่สัมผัสได้จากรุ่นเยาว์ร่างเตี้ยตรงหน้าราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์อสูรดุร้าย!
ชายหนุ่มผมแดงหวาดผวาและพอคาดเดาได้ว่ารุ่นเยาว์ร่างเตี้ยผู้นี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก
หลิงฮันพยักหน้าในใจ พลังของรุ่นเยาว์ร่างเตี้ยผู้นี้เหนือกว่าชายหนุ่มผมแดงมากพอสมควร
“เจ็ดสิบแต้มถึงจะมีสิทธิ์เหยียบย่ำเกาะเมฆาเซียน” ชายหนุ่มผมแดงปาดเหงื่อที่หน้าผากก่อนจะจ้องมองไปยังรุ่นเยาว์ร่างเตี้ยอีกครั้งด้วยแววตายำเกรง
รุ่นเยาว์ร่างเตี้ยพยักดหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ให้ข้าลองดู” เขาก้าวเดินออกมายืนหน้าแท่งเสา หลังจากแน่นิ่งอยู่ครู่หนึ่งเขาก็หันหน้ามาเอ่ยถาม “ข้าสามารถทดสอบได้กี่ครั้ง?”
“สามครั้ง” ชายหนุ่มผมแดงปาดเช็ดเหงื่ออีกรอบ สายตาที่จ้องมองมาของอีกฝ่ายนั้นทำให้เขารู้สึกราวกับกำลังถูกสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวจดจ้องอยู่
รุ่นเยาว์ร่างเตี้ยหัวเราะ เขากำหมัดขวาและโจมตีเข้าใส่แท่งเสาอย่างลวกๆ ‘ตูม’ แสงจากรูเจ็ดสิบเอ็ดรูส่องประกายแสงเจิดจ้า
เจ็ดสิบเอ็ดแต้ม!
ทุกคนตกตะลึง มีคนที่พลังต่อสู้แข็งแกร่งจนสามารถทำให้รูส่องประกายแสงได้เกินเจ็ดสิบรูอยู่จริงๆ!
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” ต่อหน้าจอมยุทธที่ทรงพลังเช่นนี้ ท่าทีของชายหนุ่มผมแดงได้เปลี่ยนเป็นสุภาพและไม่เหลือร่องรอยความหยิ่งยโสเหมือนก่อนหน้านี้
“เปียนเจ๋อจากเมืองอัสนีบาตคำราม” รุ่นเยาว์ร่างเตี้ยกล่าวโดยไม่หันมองใคร สายตาของเขาจดจ้องไปยังแท่งเสาด้วยสีหน้าจริงจัง แม้การโจมตีเมื่อครู่จะแสดงให้เห็นว่าเขามีคุณสมบัติพอจะเข้าสู่เกาะ
เขาทำให้แท่งเสาส่องประกายได้เจ็ดสิบเอ็ดแต้ม แต่จ่างซุนเหลียงทำได้ถึงเก้าสิบเก้าแต้ม เหตุใดความต่างชั้นถึงได้มากขนาดนี้?
“ข้าจะลองอีกครั้ง” เปียนเจ๋อกล่าวและโคจรพลัง
โฮกกก!
เสียงคำรามดังก้องกังวานออกมาจากภายในร่างกายของเขา เสียงคำรามนี้คล้ายคลึงกับเป็นเสียงคำรามของมังกรหรือไม่ก็พยัคฆ์ หลังจากเสียงคำรามถูกปลดปล่อยออกมา ร่างของผู้คนรอบข้างก็ชะงักแข็งข้างไร้เรี่ยวแรง น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันได้ลงมือโจมตีเลยแท้ๆแต่แค่เสียงคำรามก็ทำให้คนอื่นหมดสภาพไม่อาจต่อสู้ได้
คลื่นพลังอันน่าสะพรึงไหลทะลักออกมาจากร่างกายของเขา นอกจากหลิงฮัน จักรพรรดินี และจอมยุทธที่ทรงพลังอีกสิบกว่าคนแล้ว คนอื่นๆนอกจากนี้รีบขยับถอยหลังทันที คลื่นพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมารุนแรงจนแม้แต่ราชาเซียนทั่วไปก็ไม่อาจต้านทานไหว
คราวนี้หมัดของเปียนเจ๋อถูกปกคลุมไปด้วยประกายสายฟ้า ตราประทับแห่งเต๋าบนอำนาจสายฟ้าสั่นระรัวพร้อมกับแปรสภาพกลายเป็นมังกรอัสนี
ตูม!
การโจมตีปะทะเข้ากับแท่งเสา อำนาจสายฟ้าแพร่กระจายไปทั่วทิศ
เมื่ออำนาจสายฟ้าสลายไป แสงของรูบนแท่งเสาก็ค่อยๆส่องสว่างทีละรู
เจ็ดสิบเก้าแต้ม!
ไม่น่าเชื่อ!
การโจมตีทีรุนแรงขนาดนั้นกลับเพิ่มจากเจ็ดสิบเอ็ดแต้มมาเพียงแค่แปดแต้มเท่านั้น แถมยังไม่อาจขึ้นไปถึงแปดสิบแต้มได้?
ถ้าเช่นนั้นแล้ว จ่างซุนเหลียงที่ทำให้แสงของแท่งเสาส่องสว่างได้ถึงเก้าสิบเก้าแต้มจะต้องแข็งแกร่งขนาดไหน?
สถิติเก้าสิบเก้าแต้มที่เขาทำเอาไว้เป็นคะแนนที่ไม่มีใครเอื้อมถึง!
เปียนเจ๋อยอมรับความพ่ายแพ้และจ้องมองไปยังแท่งเสาด้วยแววตาเหม่อลอย เขาคิดว่าตนเองคือผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของราชาเซียนแล้วและคนอื่นทำได้เพียงแหงนมองขึ้นมายังเขา เปียนเจ๋อไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าภูเขาจะยังมีฟ้าที่เขาไม่อาจข้ามผ่านได้อยู่อีก
โดยปกติแล้ว หากมีพลังบ่มเพาะเท่ากัน ความต่างของพลังก็ไม่สมควรมากมายขนาดนี้!
เพียงแต่เปียนเจ๋อก็ใช่ว่าจะอ่อนแอ คะแนนเจ็ดสิบเก้าแต้มของเขาคือคะแนนที่สูงที่สุดในตอนนี้และเป็นเพียงคนเดียวที่มีคุณสมบัติพอจะได้เหยียบย่ำเข้าไปยังเกาะเมฆาเซียน
“ฮ่าๆ ให้ข้าผู้นี้ลองบ้าง” รุ่นเยาว์ชุดขาวผู้หนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทางอวดดียิ่งกว่าเปียนเจ๋อ แต่ทว่าผลลัพธ์ที่เขาทำได้กลับไม่ดีเท่าเปียนเจ๋อ การโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเขาทำให้รูบนแท่งเสาส่องแสงได้เพียงสิบเจ็ดสี่แต้ม
แม้จะห่างกันเพียงห้าแต้ม แต่ความแตกต่างของพลังนั้นมากมายมหาศาล
จะอย่างไรก็ตามแต่ ด้วยแต้มที่มากถึงเจ็ดสิบสี่แต้ม รุ่นเยาว์ชุดขาวผู้นี้ก็ยังถือว่าแข็งแกร่งอยู่ดีและคาดว่าจะเฉิดฉายโดดเด่นไม่น้อยหน้าใครในการประลองสิบวันข้างหน้า
เหล่าอัจฉริยะค่อยๆปรากฏตัวและทำการทดสอบ มีบ้างเล็กน้อยที่จอมยุทธทรงพลังบางคนสามารถทำคะแนนได้ถึงเจ็ดสิบกว่าแต้ม แต่ไม่มีใครเลยที่ทำคะแนนถึงแปดสิบแต้ม
Anchor
เม่าซูอวี่และพวกเว่ยโปวเองก็ลองทดสอบเช่นกัน แต่ถึงแม้พวกเขาจะนำสมบัติที่ทรงพลังออกมาใช้โจมตีด้วยแล้ว คนที่ได้คะแนนสูงสุดก็ยังทำได้แค่หกสิบสองแต้มซึ่งก็คือเม่าซูอวี่
บางทีคงต้องรอขัดเกลาพลังไปอีกสักสิบล้านปีและควบแน่นดวงดาราให้มีจำนวนเกินสองหรือสามหมื่นล้านดวงเสียก่อน นางถึงจะทำคะแนนได้เกินกว่าเจ็ดสิบแต้ม
พวกเม่าซูอวี่เซ้าซี้ให้หลิงฮันทำการทดสอบ แต่ในทันใดนั้นเองจู่ๆก็เกิดเสียงเอะอะขึ้นท่ามกลางฝูงชน
“ดูนั่น หยวนซิ่งผิงมาที่นี่!” เมื่อเสียงอุทานของใครบางคนเอ่ยดังขึ้นมา เหล่าฝูงชนที่แออัดกันอยู่ก็แยกตัวเปิดทางให้คนผู้หนึ่งเดินผ่าน
หยวนซิ่งผิง ชายผู้ถูกยอมรับว่าเป็นจอมยุทธที่ทรงพลังที่สุดในการประลองครั้งนี้!
ตอนที่ 1698 จักรพรรดินีลงมือทดสอบ
หยวนซิ่งผิงสวมชุดดำลวดลายสีทอง หากสังเกตให้ดีจะพบว่าลวดลายบนชุดนั้นส่องประกายแสงอยู่เป็นระยะ
ชุดที่เขาสวมใส่ชื่อเกราะสมบัติที่ไม่รู้ว่ามีคุณสมบัติช่วยเพิ่มพลังโจมตีหรือพลังป้องกัน
เขาเป็นชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาและมีผมที่ดำสลวย เพียงแค่ถูกสายตาของเขาจดจ้องก็อาจจะทำให้ผู้คนหัวใจสั่นไหวได้
หยวนซิ่งผิงก้าวเดินอย่างเชื่องช้า แม้จะมีสายตานับพันจ้องมองมาเขาก็ยังมีท่าทีสงบนิ่ง
เขาก้าวเดินมาถึงหน้าแท่งเสาและหยุดฝีเท้าในที่สุด
ต่อหน้าราชารุ่นเยาว์ที่กำลังเฉิดฉาย แม้แต่ชายหนุ่มผมแดงก็ยังมีท่าทียำเกรงและเป็นฝ่ายกล่าวทักทายอย่างสุภาพ “ยินดีที่ได้พบพี่ชายหยวน”
หยวนซิ่งผิงพยักหน้าตอบ ที่จริงตัวเขาไม่เห็นชายหนุ่มผมแดงอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นตัวแทนของจ่างซุนเหลียงเขาจึงต้องยอมไว้หน้า สายตาของหยวนซิ่งผิงกวาดมองไปที่แท่งเสาก่อนจะปล่อยหมัดออกไป
‘ตูม’ แท่งเสาสั่นสะท้านพร้อมกับแสงที่ส่องสว่างออกมาเกินแปดสิบรู
แปดสิบสองแต้ม!
“สมกับเป็นหยวนซิ่งผิง ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!”
“ในที่สุดก็มีคนทำคะแนนได้เกินแปดสิบแต้ม”
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมหยวนซิ่งผิงถึงนำพาเมืองสองมหาภพคว้าชัยชนะได้ ที่แท้เขาก็ทรงพลังถึงเพียงนี้”
ใครหลายคนเอ่ยชม ถึงแม้ทุกคนจะเป็นคู่แข่งกันในการประลองที่จะเริ่มขึ้น แต่ในโลกแห่งวรยุทธนั้นผู้ที่แข็งแกร่งย่อมเป็นใหญ่ หยวนซิ่งผิงคู่ควรแล้วที่จะได้รับการชมเชยจากพวกเขา
หยวนซิ่งผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้โจมตีต่อ
การที่เขาลังเลทำให้ผู้เริ่มคิดไปต่างๆนาๆว่าหยวนซิ่งผิงนั้นจงใจเก็บซ่อนพลังเพื่อให้ดูลึกลับ
หลังจากหยวนซิ่งผิงก็มีอัจฉริยะอีกหลายคนที่ลองทดสอบดู แต่พวกเขาทุกคนต่างทำคะแนนได้เพียงเจ็ดสิบกว่าๆเท่านั้น ณ เวลานี้มีเพียงหยวนซิ่งผิงคนเดียวที่ทำให้แสงของแท่งเสาส่องประกายได้เกินแปดสิบแต้ม
“หลิงฮัน เจ้ารีบไปทดสอบเร็ว!” พวกเม่าซูอวี่เซ้าซี้หลิงฮัน แต่ก็ช่างบังเอิญอีกแล้วที่จู่ๆฝูงชนก็เกิดเสียงเอะอะขึ้นมาอีกครั้ง
ตันอวี่จิงเองก็มาที่นี่ด้วย!
ในระยะหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ นางเป็นอัจฉริยะอีกคนที่กำลังเฉิดฉาย ไม่รู้ว่าจอมยุทธระดับราชาเซียนที่ทรงพลังพ่ายแพ้ต่อนางไปมากมายเพียงใดแล้ว ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าในการประลองครั้งนี้ นางเป็นเพียงคนเดียวที่จะต่อสู้กับหยวนซิ่งผิงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
ตันอวี่จิงสวมชุดคลุม ผมสีดำยาวของนางพลิ้วไหวราวกับน้ำตกที่งดงาม มีบุรุษมากมายหลายคนตกหลุมรักนางเพียงแรกพบ
“ธิดาตัน” ชายหนุ่มสมแดงเป็นฝ่ายทักทายอีกครั้ง ในหมู่จอมยุทธที่ปรากฏตัวในตอนนี้ มีเพียงนางกับหยวนซิ่งผิงแค่สองคนเท่านั้นที่อยู่ในสายตาของเขา เนื่องจากจ่างซุนเหลียงเป็นคนกล่าวเองว่า “ทั้งสองคนนี้น่าสนใจ”
ในเมื่อเจ้านายของเขากล่าวเช่นนั้น เขาย่อมไม่กล้าดูแคลนทั้งสอง
ตันอวี่จิงเองก็ไว้หน้าอีกฝ่ายโดยการพยักหน้าตอบเล็กน้อย สายตาของนางจดจ้องไปยังแท่งเสาและปล่อยการโจมตีออกไป
‘ตูม’ รูบนแท่งเสาส่องประกายแสงทันทีที่การโจมตีเข้าปะทะ
แปดสิบสี่แต้ม!
แม้นี่จะยังไม่ใช่การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของนาง แต่ก็ไม่อาจตัดสินได้ว่านางนั้นเหนือกว่าหยวนซิ่งผิง
“หลิงฮัน เจ้ารีบทดสอบเร็วๆเข้า!” พวกเม่าซูอวี่โน้มน้าวหลิงฮันเป็นครั้งที่สามและภาวนาขอให้อย่ามีเหตุการณ์ใดเข้ามาแทรกอีก
ครั้งนี้ไม่มีเหตุการณ์ใดแทรกเข้ามาก็จริง แต่ที่คาดไม่ถึงคือจักรพรรดินีเป็นฝ่ายก้าวเดินออกไปแทน ก่อนหน้านี้นางอยู่ในอ้อมกอดหลิงฮันจึงไม่มีใครสังเกต แต่นางเมื่อก้าวเท้าเดินออกมา เลือนร่างอันผอมบางทรงเสน่ห์ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที
เพียงแค่จักรพรรดินีก้าวเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มผมแดงก็เผลอลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสุภาพโดยไม่รู้ตัว แม้จะได้สติกลับคืนมาแล้วเขาก็ยังยืนแน่นิ่งอยู่เช่นนั้นราวกับสตรีที่อยู่ตรงหน้ามีสถานะทัดเทียมกับทายาทอย่างจ่างซุนเหลียง
แน่นอนว่าจักรพรรดินีย่อมไม่แยแสอีกฝ่าย นางยื่นมืออันเรียวบางออกมาและผลักเข้าใส่แท่งเสาเบาๆ
‘ตูม’ เมื่อถูกฝ่ามือกระแทกเข้าใส่ แท่งเสาก็สั่นไหวเล็กน้อยพร้อมกับส่องประกายแสงออกมาจากรู
เก้าสิบสองแต้ม!
ผู้คนโดยรอบกลายเป็นแน่นิ่งไร้คำพูดทันที พวกเขาทุกคนค่อยๆหันหน้ามองหากันด้วยอาการหายใจติดขัด
เพียงแค่ผลักฝ่ามือเบาๆก็ทำให้แท่งเสาส่องประกายแสงได้ถึงเก้าสิบสองแต้ม!
เมื่อครู่เป็นเพียงแค่การผลักฝ่ามือธรรมดาไม่ผิดแน่ เพราะหากใช้พลังเต็มที่ล่ะก็ ตราประทับแห่งเต๋าของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์คงปรากฏให้เห็นแล้ว
แต่แค่โจมตีลวกๆยังทำให้แท่งเสาส่องประกายได้ถึงเก้าสิบสองรู หากนางเอาจริงล่ะจะเป็นอย่างไร?
เก้าสิบเก้า… หรืออาจจะหนึ่งร้อย?
พระเจ้า สตรีผู้นี้คือราชาแห่งยุคที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจ่างซุนเหลียงแน่นอน!
จักรพรรดินีไม่ได้ลงมือต่อ นางเพียงแค่อยากรู้พลังของตนเองเท่านั้น
หลิงฮันยิ้ม หลังจากจักรพรรดินีทะลวงผ่านเป็นราชาเซียน พลังต่อสู้ของนางก็ได้ยกระดับขึ้นอีกขั้น ไม่เช่นนั้นต่อให้นางเอาจริงก็อาจจะทำให้แท่งเสาส่องแสงได้เพียงราวๆเก้าสิบแต้ม แต่ด้วยระดับพลังในตอนนี้ เกรงว่าเก้าสิบเก้าแต้มก็ยังไม่ได้ขีดจำกัดของนาง
“ข้าขอเอ่ยถามชื่อของแม่นางได้หรือไม่?” ชายหนุ่มผมแดงมีท่าทีสุภาพยิ่งกว่าเดิม
“หล่วนซิง” จักรพรรดินีกล่าวอย่างไม่แยแสพร้อมกับเดินเข้าหาหลิงฮัน
ชายหนุ่มผมแดงยังอยากรู้ข้อมูลของจักรพรรดินีมากกว่านี้ แต่ในขณะที่เขาก้าวเท้าและพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง จักรพรรดิก็ถลึงตาหันมองเขาทำให้ต้องล่าถอยกลับมาอย่างช่วยไม่ได้
หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าขอถามได้รึไม่ว่า เกาะเมฆาเซียนสามารถพาคนใกล้ตัวไปด้วยได้รึเปล่า?”
ชายหนุ่มผมแดงแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาพยักหน้าและกล่าว “แน่นอน แต่ว่าสามารถพาไปได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”
หลิงฮันยิ้มให้กับจักรพรรดินีและกล่าว “ภรรยาข้า ครั้งนี้ข้าคงต้องขอพึ่งพาบุญบารของเจ้าแล้ว”
จักรพรรดินียิ้มตอบ น่าเสียดายที่คนอื่นๆไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ของนาง
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ผู้คนโดยรอยก็อยากจะทุบตีหลิงฮันขึ้นมาทันที
บุรุษที่กินข้าวนิ่มเช่นเจ้าช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!
หลิงฮันโอบกอดเอวของจักรพรรดินีโดยไม่สนใจสายตาผู้คน
“ช้าก่อนแม่นาง!” หยวนซิ่งผิง เดินพรวดเข้ามาและกล่าว “ข้าเพิ่งได้รับทักษะนิรันดร์ทักษะหนึ่งมาไม่นานนี้ คาดว่ามันอาจเป็นทักษะของนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณ ไม่ทราบว่าแม่นางสนใจจะมาศึกษาทักษะนี้ด้วยกันกับข้ารึไม่?”
พรวด ทักษะนิรันดร์ระดับแบ่งแยกวิญญาณ!
ทุกคนตกตะลึงและถอนหายใจอิจฉา หยวนซิ่งผิง ช่างโชคดียิ่งนักที่ได้ทักษะระดับนั้นมาครอบครอง แต่การที่เขาเสนอมันออกมาโดยยอมให้ใครก็ไม่รู้มาศึกษาด้วยกันนั้น แสดงให้เห็นว่าตัวเขานั้นหลงรักจักรพรรดินีเพียงแค่แรกเห็น
ขนาดยังไม่เปิดเผยใบหน้าก็ยังทำให้อัจฉริยะขนาดหยวนซิ่งผิง หวั่นไหวได้?
ไม่มีใครแปลกใจในเรื่องนี้เท่าไหร่ หากพวกเขามีทักษะนิรันดร์ที่สุดยอดเช่นนั้นพวกเขาก็ยินดีจะแบ่งปันให้กับจักรพรรดินีเช่นกัน
หากจะได้ใกล้ชิดกับจักรพรรดินี ไม่ว่าต้องใช้อะไรแลกก็ถือว่าคุ้มค่า
* 吃软饭กินข้าวนิ่ม = ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน *
ตอนที่ 1699 สู่เกาะเมฆาเซียน
จักรพรรดินีชำเลืองมองหยวนซิ่งผิงอย่างเย็นชาก่อนจะเมินเฉยและเดินผ่านไป
“แม่นาง!” หยวนซิ่งผิง ไม่ยอมรับและพยายามรั้งจักรพรรดินี
ปัง!
จักรพรรดินีผลักฝ่ามืออย่างไม่ไว้หน้า ร่างของหยวนซิ่งผิง ลอยกระเด็นและกระอักโลหิต
ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง
ใครคือหยวนซิ่งผิง?
เขาคือผู้นำพาเมืองสองมหาภพให้ได้รับชัยชนะในการประลองยุทธครั้งที่แล้ว มีคำกล่าวว่าต่อให้จะมีเขาเป็นตัวแทนเพียงคนเดียวก็ยังสามารถคว้าชัยชนะได้อยู่ดี
แต่ทว่า ต่อหน้าจักรพรรดินีเขาไม่อาจรับมือกับนางได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว?
เหลือเชื่อ!
“หล่วนซิง?”
“นางมาจากเมืองใดกัน?”
“เมืองธุลีจันรทรา?”
“ฮึ่ม การประลองคราวนี้เมืองธุลีจันรทราจะต้องเป็นผู้ชนะเป็นแน่!”
การประลองคราวที่แล้วหยวนซิ่งผิง สามารถนำพาเมืองสองมหาภพคว้าชัยชนะได้ด้วยตัวคนเดียว แต่จักรพรรดินีนั้นดูเหมือนจะทรงพลังยิ่งกว่าหยวนซิ่งผิง อยู่พอสมควร เพราะงั้นในการประลองครั้งนี้ใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้? ใครบางคนที่ฉลาดหน่อยได้เกิดความคิดที่จะเปลี่ยนไปลงเดิมพันผู้ชนะเป็นเมืองธุลีจันรทราเมืองแทน
พวกเม่าซูอวี่เองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน พวกเขารู้ว่าจักรพรรดินีนั้นมีพลังต่อสู้ที่ทรงพลัง แต่ด้วยศักยภาพสองดาวครึ่ง ใครจะไปคาดคิดว่านางจะแข็งแกร่งเพียงนี้?
สามารถทัดเทียมได้กับทายาทของนิกายจันทราหม่นแสง!
หลิงฮันหัวเราะ เขาโอบกอดเอวของจักรพรรดินีพร้อมกับเดินกลับ
เมื่อข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแพร่งพรายออกไป แทบจะทุกคนก็รุดหน้าไปเดิมพันผู้ชนะเป็นธุลีจันรทราทันที ส่งผลให้อัตราเดิมพันของเมืองธุลีจันรทราลดลงมาเหลือหนึ่งร้อยต่อหนึ่งร้อยหนึ่ง
แทบจะทุกคนคิดว่าเมืองธุลีจันรทราจะเป็นผู้ชนะการประลองครั้งนี้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกสักพัก อัตราเดิมพันของเมืองกับกลับขึ้นมาสูงอีกครั้ง แม้จะไม่ใช่อัตราหนึ่งต่อยี่สิบสองเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังสูงถึงหนึ่งต่อสี่
ทุกคนไม่ได้โง่
พวกเขาไปสืบหาข้อมูลและพบว่าจักรพรรดินีไม่ใช่หนึ่งในสิบตัวแทนที่ลงประลอง เพราะงั้นอัตราเดิมพันจึงกลับมาสูงอีกครั้ง
แต่ว่าก็ว่าเถอะ เหตุใดเมืองเล็กๆอย่างเมืองธุลีจันรทราถึงได้มีสุดยอดอัจฉริยะเทียบเท่าจ่างซุนเหลียงปรากฏตัวกัน? ยิ่งกว่านั้นคือเด็กหนุ่มที่ชื่อหลิงฮันใช้วิธีการชั่วร้ายแบบใดกันถึงได้ทำให้สตรีผู้นี้หลงรักได้?
ในความคิดของทุกคน หลิงฮันนั้นไม่ได้คู่ควรกับจักรพรรดินีเลยแม้แต่น้อย เขาต้องใช้วิธีน่ารังเกียจบางอย่างเพื่อครอบครองนางแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้ว สุดยอดอัจฉริยะที่แข็งแกร่งเทียบเท่าทายาทขุมอำนาจใหญ่จะสนใจบุรุษในเมืองเล็กๆหนึ่งดาวได้อย่างไร
เสน่ห์ของจักรพรรดินีรุนแรงจนทำให้หลิงฮันมีชื่อเสียงโด่งดังทันที แน่นอนว่าชื่อเสียงที่ว่าไม่ใช่ชื่อเสียงที่ดีนัก
“มีแต่พวกที่มองคนแค่ตื้นเขิน” หลิงฮันหัวเราะแห้ง ไม่คาดคิดว่าเวลายังไม่ทันจะผ่านไปเท่าไหร่ เขาก็ได้กลายถูกผู้คนจำนวนมากรังเกียจเสียแล้ว
ล้งเกาเฟยเองก็ตกตะลึงเป็นอย่างมากหลังจากที่ได้รับรู้ความแข็งแกร่งของจักรพรรดินี เพียงแต่รายชื่อของตัวแทนที่เข้าร่วมการประลองได้ถูกรายงานไปแล้ว จะให้เปลี่ยนตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งๆที่แข็งแกร่งขนาดนี้แท้ๆ เหตุใดจักรพรรดินีถึงไม่เคยเปิดเผยมาก่อน?
สำหรับเรื่องนี้ จักรพรรดิให้คำตอบเพียงประโยคเดียวคือ “น่ารำคาญ”
แต่เสน่ห์ของนางนั้นแม้แต่ตัวตนระดับนิรันดร์ก็ยังได้รับผลกระทบ ล้งเกาเฟยไม่รู้เกรี้ยวกราดแม้จะได้ยินคำตอบที่ไม่แยแสของนาง ในทางกลับกัน ล้งเกาเฟยเกิดความคิดในใจว่าอัจฉริยะเช่นนี้จะต้องนำเข้าตระกูลให้ได้ เมื่อใดที่กลับไปถึงเมืองธุลีจันรทรา เขาจะหาวิธีการให้รุ่นเยาว์ของตระกูลล้งสร้างความสัมพันธ์กับนาง
ด้วยพลังต่อสู้ของนางที่เทียบเท่าได้กับอัจฉริยะอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ของนิกายจันทราหม่นแสง หลิงฮันจะนับเป็นอันใด? ต่อให้ทั้งสองแต่งงานกันแล้วก็ยังสามารถเลิกรากันได้
หนึ่งวันต่อมา รถม้าที่หรูหราคันหนึ่งก็มาจอดหน้าที่พักของหลิงฮันและจักพรรดินี
คนที่ควบคุมรถม้าอยู่คือชายชราร่างผอมที่มีพลังบ่มเพะระดับราชาเซียน เขาเอ่ยเชิญหลิงฮันและจักรพรรดินีขึ้นรถม้าด้วยท่าทางสุภาพ แน่นอนว่าความสุภาพที่แสดงออกมานั้น เขาตั้งใจแสดงออกไปยังจักรพรรดินีแต่เพียงผู้เดียว
พวกเม่าซูอวี่รู้สึกเม่าซูอวี่เป็นอย่างมากแต่ก็ทำได้เพียงมองรถม้าเคลื่อนที่จากไป และถึงแม้ล้งเกาเฟยจะไม่ปรากฏตัวออกมาเขาก็ได้ใช้สัมผัสสวรรค์เฝ้ามองอยู่ ซึ่งสัมผัสสวรรค์ของเขาเกิดการผันผวนเล็กน้อย
ความจริงแล้ว เหล่าตัวตนที่อาศัยอยู่บนเกาะที่ลอยอยู่รอบด้านเมืองหลักนั้น พวกเขาล้วนแต่เป็นตัวตนระดับสูงของนิกายจันทราหม่นแสง ซึ่งแม้แต่นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเช่นล้งเกาเฟยก็ไม่มีคุณสมบัติไปเหยียบย่ำ เพราะงั้นเมื่อเห็นรุ่นเยาว์สองคนตรงหน้าได้รับโอกาสที่เขาไม่เคยได้ จิตใจของล้งเกาเฟยจึงรู้สึกเจ็บปวดเป็นเรื่องธรรมดา
รถม้าค่อยๆลอยขึ้นกลางอากาศและมุ่งหน้าสู่เกาะเมฆาเซียน ด้วยการที่ชายชราเป็นคนขับมากประสบการณ์ ผ่านไปเพียงชั่วครู่รถม้าก็ลงจอดบนเกาะลอยฟ้าอย่างรวดเร็ว เมื่อหลิงฮันกับจักรพรรดินีลงจากรถม้า ชายชราก็ควบคุมรถม้าออกจากเกาะไปอีกครั้ง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายยังต้องไปรับคนอื่นมาอีก
หลิงฮันและจักรพรรดินีกวาดสายตามองเกาะ ตอนนี้พวกเขาอยู่บริเวณกึ่งกลางของทางเดินหลัก ที่เบื้องหน้าในระยะที่ไม่ห่างออกไปไกลมากนักมีปราสาทงดงามตั้งอยู่ รอบด้านปราสาทมีหินต่างขนาดถูกวางเรียงกระจัดกระจายอยู่และโอบล้อมไปด้วยสวนดอกไม้งดงาม
แต่ยังไม่ทันทีพวกเขาจะก้าวเดิน รถม้าอีกคันหนึ่งก็ลอยมาจากทิศทางของเมืองหลักและมุ่งหน้ามายังเกาะเมฆาเซียน
รถม้าที่กำลังจะแล่นลงจอดมีร่องรอยผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วนทำให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเก่าแก่ สิ่งมีชีวิตที่กำลังลากรถม้าคือมังกรเงินสามหัว มันเป็นสัตว์อสูรระดับราชาเซียนที่ทรงพลัง เมื่อใดที่เกล็ดสีเงินบนตัวของมันเปลี่ยนเป็นสีทอง พลังของมันจะยกระดับกลายเป็นสัตว์อสูรนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน
รถม้าคันนี้ไม่มีคนคอยควบคุม เพราะงั้นจึงคาดเดาได้ว่ามังกรเงินสามหัวตนนี้มีสติปัญญา เมื่อมันสังเกตเห็นหลิงฮันและจักรพรดินี สายตาของมันก็เผยถึงความรู้สึกเย็นชาและเหยียดหยาม ร่างของมันทะยานมายังทิศทางของพวกเขาสองคนหวังจะพุ่งชน
จักรพรรดินีเกรี้ยวกราดและถลึงตาโหดเหี้ยม
มังกรเงินสามหัวชะงักด้วยความหวาดกลัว ร่างของมันเปลี่ยนทิศและพุ่งกระแทกเข้าใส่โขดหินขนาดใหญ่
ภายใต้แรงกระแทกที่รุนแรง โขดหินถูกบดขยี้เป็นก้อนกรวด หัวของมังกรเงินสามหัวเกิดอาการมึนงงและเดินกระโผลกกระเผลก
ประตูของรถม้าถูกเปิดออกทันที ร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งปรากฏตัวด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดจู่ๆรถม้าถึงได้เปลี่ยนทิศและหยุดกระแทกชนเข้ากับอะไรบางอย่าง?
สายตาของรุ่นเยาว์ผู้นั้นกวาดมองมายังหลิงฮันและจักรพรรดินี “ช่างโอหังนัก พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำให้สัตว์ลากรถม้าของนายน้อยผู้นี้หวาดกลัว? หรือพวกเจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตแล้ว?”
ตอนที่ 1700 ศัตรูคู่อาฆาตมักพบเจอกันอ...
สัตว์อสูรลากรถของเจ้าเป็นฝ่ายคิดจะพุ่งกระแทกใส่พวกข้าก่อน เจ้ายังไม่ทันจะไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ก็กล่าวหาพวกข้าอย่างไร้เหตุผลแล้ว?
ใบหน้าของจักรพรรดินีมืดมนทันที นางจ้องมองรุ่นเยาว์ตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา อำนาจแห่งจักรพรรดิผู้อยู่เหนือสรรพสิ่งของนางส่งผลให้บรรยากาศเริ่มหนักแน่นและทำให้ผู้คนหายใจติดขัด
รุ่นเยาว์ผู้นั้นชะงักและเผลอก้าวถอยหลัง เมื่อตั้งสติได้เขาก็กลายเป็นเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม
“พี่ชายถงหลิน มีเรื่องอะไรรึ?” เสียงของสตรีดังออกมาจากรถม้า ร่างของสตรีงดงามผู้หนึ่งเดินออกมา หลิงฮันที่เห็นสตรีตรงหน้าก็อดคิดไม่ได้ว่าโลกข้างแคบยิ่งนัก
สตรีที่ปรากฏตัวคือหลิวมู่อวี่!
“เป็นเจ้า!” หลิวมู่อวี่ชำเลืองมองไปยังหลิงฮันกับจักรพรดรินีก่อนจะอุทานด้วยความโกรธ
เมื่อไม่กี่วันก่อนเป็นสองคนนี้ที่ทำให้นางพบเจอกับฝันร้าย!
นางถูกผลึกพลังบ่มเพาะและตกไปอย่าในมือของชายโสด โชคดีที่การข่มขู่ของนางได้ผลอีกฝ่ายถึงไม่กล้าลงมือทำอะไรกับนาง และหลังจากคลายผนึกพลังบ่มเพาะนางได้รีบมุ่งหน้าไปช่วยเหลือน้องชายท่านที
เพียงแต่ว่าน้องชายของนางนั้นเป็นพวกขี้ขลาด เมื่อถูกนำตัวเขาไปยังสถานที่แห่งนั้น เขาก็หวาดกลัวจนร้องออกมาเพียงคำว่า ‘ไม่’ ‘ไม่’ ‘ไม่’ ซึ่งจะไปช่วยอะไรได้?
ผลสุดท้ายประตูหลังของเขาก็ถูกระเบิดกระจุย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นฝันร้ายที่ติดค้างอยู่ในจิตใจของเขา เมื่อใดที่น้องชายชองนางพบเจอบุรุษเขาจะกรีดร้องออกมาทันที ความโกรธเกรี้ยวที่หลิวมู่อวี่มีต่อหลิงฮันจึงเกินกว่าระดับที่จะพรรณนา
ทำไมน้องชายของนางถึงสำคัญกับนางขนาดนั้น?
นั้นเพราะแท้จริงแล้วนั่นไม่ใช่น้องชายแต่เป็นบุตรของนาง! สำหรับหลิวมู่อวี่ที่เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของตระกูลหลิวนั้น หากมีใครล่วงรู้ว่ามีบุตรแล้วขุมอำนาจใหญ่จะยังต้องการตัวนาง?
นางเป็นคนฉลาดหลักแหลม หลังจากมาถึงเมืองจันทราหม่นแสงได้ไม่กี่วันนางก็หาทางตีสนิทชิดเชื้อกับรุ่นเยาว์ตระกูลถงได้สำเร็จ
ตระกูลตงคือตระกูลระดับโลกียนิพพานสี่ดาว ถึงแม้จะไม่ใช่ขุมอำนาจอันดับต้นๆของเมืองจันทราหม่นแสง แต่เป้าหมายของหลิวมู่อวี่ก็ไม่ใช่ตระกูลถงอยู่แล้ว นางตั้งใจจะใช้หลิวมู่อวี่เป็นสะพายไต่เต้าไปตีสนิทกับตระกูลอื่นที่อยู่สูงกว่า
ซึ่งนางก็สามารถติดสอยห้อยตามมายังเกาะเมฆาเซียนได้
“เจ้ารู้จักพวกเขา?” ถงหลินเอ่ยถามหลิวมู่อวี่ด้วยสีหน้ามืดมน
ใบหน้าของหลิวมู่อวี่แปรเปลี่ยนเป็นมืดมนเช่นกัน “พวกเขาคือคนที่เคยทำร้ายเป่าเอ๋อร์”
“พวกเขามาจากที่ใด?” ถงหลินเอ่ยถามหลิวมู่อวี่ ในฐานะนายน้อยของตระกูลหนึ่งในเมืองจันทราหม่นแสง เขาย่อมรู้ว่ามีคนบางจำพวกที่ไม่ควรไปล่วงเกิน
“ข้าพบพวกเขาในเมืองรอง” หลิวมู่อวี่ไม่ได้บิดเบือนสถานะของหลิงฮันเพราะนางเชื่อว่าแค่นี้ก็เพียงพออยู่แล้ว
และก็เป็นตามที่นางคาด ท่าทางหยิ่งยโสกลับมาปรากฏบนใบหน้าของถงหลินทันที ยิ่งกว่านั้นความเกรี้ยวกราดของเขาก็ยังมากขึ้นกว่าเดิม
หากอาศัยปรากฏตัวในเมืองรอง ทั้งสองคนก็คงกำลังรอให้ได้รับการอนุญาตเข้าเมืองหลัก ซึ่งหากทั้งสองมาจากขุมอำนาจที่ทรงพลัง พวกเขาจะจำเป็นต้องรอให้ได้รับการอนุญาตเข้าเมือง?
เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้มาจากขุมอำนาจทั่วไป บางทีพวกเขาอาจจะมาจากเมืองหนึ่งดาวที่กำลังจะเข้าร่วมการประลองยุทธที่กำลังจะถูกจัดขึ้นเร็วๆนี้
ถึงแม้ตระกูลถงเองก็เป็นขุมอำนาจระดับโลกียนิพพาน แต่การที่พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองสองดาวย่อมมีสถานะที่อยู่เหนือกว่า
เพราะงั้นแล้วจะไม่ให้ถงหลินเกรี้ยวกราดได้อย่างไร? เพียงแค่พวกบ้านนอกจากเมืองเล็กๆบังอาจมาขวางทางรถม้าของเขา หากเรื่องนี้ถูกแพร่งพรายเขาจะมีหน้าไปพบใคร?
“คุกเข่าลง!” เขากล่าวอย่างเย็นชา “จงตบหน้าของตัวเองจนกว่าข้าจะสั่งให้หยุด!”
“พวกเราไปกันดีกว่า อย่าไปสนใจคนบ้าเลย” หลิงฮันกอดเอวจักรพรรดินีและก้าวเดินโดยเมินเฉยชายไร้สมองตรงหน้า
ถงหลินรีบพุ่งมาขวางหลิงฮันทันที เขากล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าไม่รู้ว่านายน้อยผู้นี้เป็นใคร?”
“ข้ารู้” หลิงฮันพยักหน้า “ข้าก็เพิ่งพูดไปไม่ใช่รึว่าเจ้าคือคนบ้า”
น้องสาวเจ้าสิบ้า!
ถงหลินพยายามระงับความโกรธและกล่าว “นายน้อยผู้นี้คือถงหลิน ประมุขตระกูลข้าเป็นถึงผู้อาวุโสสี่ดาวของนิกายจันทราหม่นแสง”
ผู้อาวุโสของนิกายจันทราหม่นแสงถูกแบ่งสถานะตามพลังบ่มเพาะ อย่างเช่น ระดับโลกียนิพพานหนึ่งนิพพานจะมีสถานะเป็นผู้อาวุโสหนึ่งดาว สองนิพพานเป็นผู้อาวุโสสองดาวตามลำดับ หลังจากระดับแบ่งแยกวิญญาณ ระดับตัดวิญญาณหยางจะมีสถานะเป็นผู้อาวุโสห้าดาว ตัดวิญญาณหยินมีสถานะเป็นผู้อาวุโสหกดาว ตัดวิญญาณปฐพีมีสถานะเป็นผู้อาวุโสเจ็ดดาว และตัดวิญญาณสวรรค์มีสถานะเป็นผู้อาวุโสแปดดาว
ในความเป็นจริง ผู้อาวุโสแปดดาวนั้นมีสถานะเทียบได้กับประมุขนิกาย แม้แต่ในนิกายจันทราหม่นแสงผู้อาวุโสแปดดาวก็มีเพียงสามคนเท่านั้น
ถงหลินรู้สึกภาคภูมิใจอย่างมาก แม้ประมุขตระกูลตงจะเป็นเพียงนิรันดร์สี่นิพพาน แต่เมื่อเทียบกับนิรันดร์สี่นิพพานของเมืองเล็กหนึ่งดาวแล้ว ประมุขของพวกเขาถือว่ามีสถานะสูงกว่าหนึ่งขั้น
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “แล้วยังไง?”
แล้วยังไง?
ถงหลินชะงักเล็กน้อย ทั้งๆที่บอกผู้หนุนหลังอันทรงพลังให้ฟังแล้วอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกหวาดกลัวอีก?
“ชายหลิน!” หลิวมู่อวี่เดินเข้ามาใกล้และแสร้งทำใบหน้าหวั่นเกรง “อย่าไปยั่วยุพวกเขาเลย ทั้งสองคนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ข้ากลัว!”
นางตั้งใจยืมมือคนอื่นสังหารศัตรู นางคิดว่าแม้จะเป็นถงหลินก็คงไม่สามารถเอาชนะหลิงฮันได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ถงหลินคือผู้สืบทอดที่ประมุขตระกูลถงรักใคร่มากที่สุด หากประมุขตระกูลถงรู้ว่าถงหลินถูกทุบตี มีรึที่เขาจะนิ่งเฉย?
หลิงฮันกวาดสายตามองหลิวมู่อวี่ ดูเหมือนว่าบทเรียนที่เขามอบให้นางจะเบาเกินไป นางไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดใดๆเลยแม้แต่น้อย
ถงหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม “ข้าจะให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย ยอมก้มหัวศิโรราบต่อข้าเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ทำตามล่ะก็… ฮึ่ม!”
“คนบ้าก็ยังคงเป็นคนบ้า!” หลิงฮันลงมือ ‘ปัง ตูม ตุบ’ ถงหลินและหลิวมู่อวี่ถูกทุบตีจนสติเรือนราง หลิงฮันโยนร่างของทั้งสองไปยังพุ่มไม้หนาข้างๆ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้ตัดสินใจถอดเสื้อผ้าของทั้งสองคนออกเพื่อให้ดูเหมือนว่ากำลังมีอะไรกัน
“ภรรยาข้า ขึ้นรถม้ากันเถอะ” หลิงฮันยื่นมือไปทางจักรพรรดินี
จักรพรรดินีตอบรับด้วยความยินดีและก้าวขึ้นรถม้า หลิงฮันขึ้นขี่มังกรเงินสามหัวและควบคุมให้มันมุ่งหน้าสู่ปราสาท
ตอนที่ 1701 กลางแจ้ง
แน่นอนว่ามังกรเงินสามหัวนั้นไม่ยินยอมและต่อต้าน แต่แค่หลิงฮันปลดปล่อยออร่าอันทรงพลังออกมาเล็กน้อย มันก็กลายเป็นหวาดผวาและยอมเป็นสัตว์ลากรถม้าให้อย่างว่าง่าย
เส้นทางไปยังปราสาทไม่ได้มีอยู่เส้นทางเดียวแต่มีถึงห้า ในขณะที่หลิงฮันกำลังควบคุมรถม้าไปยังปราสาท เขาพบเห็นรถม้ามากมายหยุดจอดอยู่หน้าปราสาท
ผู้คนมากมายไม่เข้าไปยังปราสาทแต่เลือกที่จะหยุดยืนราวกับกำลังรอคอยใครบางคน
“พี่ชายถงหลินมาแล้ว!” เมื่อเห็นรถม้ากำลังเคลื่อนที่เข้ามา คนสามคนก็ออกมาทักทาย บางทีทั้งสามคนนี้อาจจะเป็นสหายหรือไม่ก็ลิ่วล้อของถงหลิน
แต่เมื่อเห็นหลิงฮันกำลังควบคุมรถม้าอยู่ ใบหน้าของทั้งสามคนก็เผยถึงความประหลาดใจ
เมื่อใดกันที่มังกรเงินสามหัวจำเป็นต้องมีคนคอยบังคับ? ยิ่งกว่านั้นคนบังคับยังเป็นเพียงเซียนระดับกลางด้วย
ท่ามกลางสายตาของทั้งสาม หลิงฮันทำการจอดรถม้าและบอกให้จักรพรรดินีออกมา
ตอนนี้ชื่อเสียงของจักรพรรดินีกำลังเป็นที่รู้จัก เพราะงั้นเขาจึงต้องการปูทางให้ภรรยาของตนเฉิดฉายยิ่งขึ้นไปอีก
จักรพรรดินีก้าวเดินออกมา เรือนร่างผอมบางของนางถูกห่อหุ้มไว้ด้วยชุดกระโปรงยาวสีทองที่ทักทอมาจากวัสดุเซียนระดับสูง วัสดุเซียนที่ว่าก็ไม่ได้มาจากที่อื่นใดแต่ได้มาจากรังของกลุ่มโจรภูเขา
ด้วยกลิ่นอายอันสูงส่งและชุดที่งดงาม ส่งผลให้นางกลายเป็นจุดสนใจทันที ยิ่งการที่นางสวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้าเอาไว้ ก็ได้ทำให้เสน่ห์ของนางดูลึกลับยิ่งขึ้นไปอีก
“โอ้!”
“พี่ชายถงหลินช่างโชคดียิ่งนักที่ได้ครอบครองสตรีงดงามเช่นนี้!”
“เจ้ายังไม่ทันเห็นใบหน้าของนางเลยแท้ๆ แล้วรู้ได้อย่างไรว่านางงดงาม?”
“ไร้สาระ ด้วยเสน่ห์ดึงดูดและเรือนร่างเช่นนั้น หากใบหน้าของนางไม่งดงามล่ะก็ ข้าขอตัดหัวตัวเองเอามาให้พวกเจ้าเตะเล่นเป็นลูกบอลเลย!”
ทั้งสามคนชะงักก่อนจะซุบซิบคุยกัน
คนอื่นๆรอบข้างเองก็ไม่ต่างกัน เสน่ห์ของจักรพรรดินีมีมากเกินไป เพียงพริบตาเดียวนางก็กลายเป็นเป้าสายตาของทุกคน
“นั่นมันแม่นางหล่วนซิง!”
“ว่าไงนะ สุดยอดอัจฉริยะที่ทดสอบแท่งเสาได้ถึงเก้าสิบสองแต้มเมื่อวานน่ะรึ?”
“ข้าเคยได้ยินชื่อของนางเหมือนกัน ไม่คาดคิดมาก่อนว่านอกจากพรสวรรค์แล้ว ความงดงามของนางก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน”
“นางจะต้องเป็นทายาทของขุมอำนาจที่ทรงพลังสักแห่งแน่ๆ ไม่เช่นนั้นสตรีที่ทั้งงดงามและแข็งแกร่งเช่นนางจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“แต่ก็น่าแปลก รถม้าคันนั้นเป็นของตระกูลถงไม่ใช่รึ ด้วยอำนาจของตระกูลถง ไม่น่าจะดึงดูความสนใจของนางได้”
ทุกคนมึนงง ในหมู่คนที่อยู่ที่นี่มีเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาติให้มาเกาะเมฆาเซียนผ่านการทดสอบแท่งเสา ในขณะที่คนอื่นๆเป็นรุ่นเยาว์จากขุมอำนาจต่างๆของเมืองจันทราหม่นแสงที่จ่างซุนเหลียงเป็นคนชวนมา
ทุกคนรู้สึกแปลกประหลาด ถึงแม้พรสวรรค์ในวรยุทธของถงหลินจะไม่ถือว่าแย่ แต่ก็ไม่อาจเทียบเคียงได้แม้แต่เศษเล็บของจักรพรรดินี เพราะงั้นจึงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่ถงหลินจะตีสนิทใกล้ชิดกับจักรพรรดินีได้
หลิงฮันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ นิสัยขี้เล่นของเขาถูกจุดประกายขึ้นมาทันที
เขากระแอมเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “ข้าจะอธิบายให้ทุกคนฟังเอง… ในขณะกำลังเดินทางมายังปราสาท พวกข้าพบเจอกับถงหลินระหว่างทาง เพียงแต่ว่าถงหลินในตอนนั้นไม่สามารถหักห้ามเพลิงราคะของตนเองได้ จึงได้พาสตรีที่ติดตามมาด้วยเดินเข้าพุ่มหญ้าไปและมอบรถม้าให้พวกข้ายืมใช้ ทุกคนไม่ต้องกังวล อีกไม่นานเขาก็คงตามมาเอง”
หักห้ามเพลิงราคะของตัวเองไม่ได้และพาสตรีคู่ขาเข้าพุ่มหญ้า? ทุกคนที่ได้ยินเผยใบหน้าประหลาดใจ
“แต่ต่อให้จะอารมณ์พลุกพล่านขนาดไหน ก็ทำในรถม้าได้ไม่ใช่รึไง?” ใครบางคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสัย รถม้าของพวกเขานั้นมีรูปแบบอาคมคุ้มกันถูกติดตั้งเอาไว้ แม้แต่การโจมตีที่ทรงพลังรูปแบบอาคมของรถม้าก็สามารถป้องกันได้ เพราะงั้นเรื่องเสียงครางหรือเสียงกระแทกย่อมไม่ต้องพูดถึง
“หรือบางทีถงหลินจะมีรสนิยมชอบทำกลางแจ้ง?”
“แบบนั้นจะได้ความรู้สึกตื่นเต้นเพราะเป็นไปได้ว่าจะถูกพบเจอตลอดเวลา ไม่เลว ไว้วันหลังข้าจะลองดูบ้าง”
เรื่องที่หลิงฮันเล่าถูกแพร่งพรายเข้าหูทุกคนอย่างรวดเร็ว
และในตอนนั้นเอง รถม้าอีกคันก็เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวเดินลงมาพร้อมกับสตรีงดงาม สีหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนก่อนจะกล่าวอย่างเร่งรีบ “พวกเจ้าต้องคาดไม่ถึงแน่ว่าข้าพบเจออะไรระหว่างทาง!”
ชายหนุ่มผู้นั้นหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อดึงดูดความสนใจของฝูงชนก่อนจะกล่าวต่อ “มีคู่รักคู่หนึ่งกำลังพลอดรักกลางพุ่มหญ้า! ลองเดาดูสิว่าฝ่ายชายคือใคร?”
อะไรกัน เป็นเรื่องจริงหรือนี่!
“ถงหลิน!” ฝูงชนกล่าวแทบจะพร้อมกัน
ชายหนุ่มผู้นั้นชะงัก บ้าจริง… นี่พวกเจ้าก็เห็นด้วยรึ!
ก่อนหน้านี้ทุกคนยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อได้ฟังชายหนุ่มผู้นี้ซึ่งเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์กับตาแล้ว ต่อให้ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ
บ้าไปแล้ว หากจ่างซุนเหลียงรู้เรื่องนี้เข้า อีกฝ่ายคงเกรี้ยวกราดมาเป็นแน่
คิดว่าเจ้าของเกาะอย่างจ่างซุนเหลียงจะรู้สึกถูกเหยียดหยามขนาดไหนที่มีคนมาทำรักกันกลางแจ้งในที่ของเขา? ทุกคนตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์กับตงหลินทันทีเพราะกลัวจะติดร่างแหไปด้วย
“ไปกันเถอะ ถึงเวลาแล้ว” ทุกคนล้มเลิกความคิดที่จะเรียกตงหลินว่าสหาย แม้แต่สามคนที่ดูเหมือนจะสนิทสนมกับตงหลินก็หันหน้าเดินเข้าปราสาทโดยทำเป็นไม่รู้จักถงหลิน
ปราสาทมีขนาดใหญ่โตเป็นอย่างมาก พวกเขาใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะเดินจากประตูทางเข้ามาถึงห้องโถงที่มีโต๊ะถูกจัดวางเอาไว้
โต๊ะมีขนาดใหญ่พอให้คนสองคนนั่งใกล้ชิดกันเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่ถึงได้พาคู่มาเป็นสตรี
โต๊ะแต่ละตัวมีชื่อของทุกคนที่ได้รับเชิญเขียนเอาไว้เนื่องจากไม่อยากให้มีการแย่งที่กันเกิดขึ้น
หลิงฮันและจักรพรรดินีพบเจอโต๊ะของตัวเองโดยที่บนโต๊ะมีเพียงชื่อของจักรพรรดินีตั้งเอาไว้ หลิงฮันไม่คิดมาก เขานั่งไขว้ขาลงข้างโต๊ะและชวนจักรพรรดินีคุยเรื่อยเปื่อย
ด้วยการที่โต๊ะค่อนข้างเตี้ยจึงไม่จำเป็นต้องมีเก้าอี้ บนพื้นข้างโต๊ะมีเบาะรองนั่งวางเตรียมเอาไว้ให้
“หืม?” หลิงฮันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตรงเบาะที่เขานั่งนั้นมีพลังงานความร้อนบางอย่างไหลเวียนอยู่ซึ่งมีประสิทธิภาพช่วยในการยกระดับปราณก่อเกิด แต่เนื่องจากพลังบ่มเพาะของเขาตอนนี้บรรลุเป็นเซียนระดับสูงขั้นสูงสุดแล้ว ความร้อนจากเบาะจึงไม่มีผลอะไรต่อตัวเขา
สมกับเป็นทายาทของขุมอำนาจสองดาว ทุกอย่างที่ใช้ต้อนรับผู้อื่นล้วนแต่เป็นสมบัติระดับสูง
“นี่พวกเจ้า ลองเดาสิว่าข้าเห็นอะไรระหว่างทาง!” ทันทีที่ชายผู้หนึ่งเข้ามายังห้องโถง เขาก็ตะโกนเรียกร้องความสนใจด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ถงหลินกำลังพลอดรักกลางแจ้ง!” ใครหลายคนกล่าวตอบอย่างพร้อมเพรียง
หืม?
ชายที่เพิ่งเข้าห้องโถงมาแสดงท่าทีสับสน เขาคิดว่าเหตุการณ์ที่เขาเห็นจะกลายเป็นข่าวใหญ่เสียอีก
ตอนที่ 1702 ถงหลินอยู่ที่ไหน
เหล่าคนที่เพิ่งเข้ามายังห้องโถงต่างพูดคุยกันถึงเหตุการณ์น่าอัศจรรย์ที่ตนเองพบเห็น
ถงหลินช่างบ้าระห่ำยิ่งนักที่กล้าพลอดรักกับสตรีกลางแจ้งในอาณาเขตของจ่างซุนเหลียง!
ชะตากรรมของถงหลินถูกตัดสินแล้วว่าจบไม่สวย ทุกคนเลิกให้ความสนใจต่อเขาและเริ่มพูดคุยกับสหายที่แต่ละคนต่างไม่ได้พบเจอมานานหรือไม่ก็สานสัมพันธ์กับมิตรสหายใหม่ เมืองจันทราหม่นแสงนั้นมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่ไพศาล ในเวลาปกติพวกเขาทุกคนจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้พบหน้ากัน
จักรพรรดินีได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างมาล้อมรอบนางเพื่อสร้างความประทับใจหรือไม่ก็สอบถามข้อมูลว่ามาจากขุมอำนาจใด
จักรพรรดินีไม่แยแสจนหลิงฮันต้องทำหน้าที่เป็นคนพูดคุยกับคนอื่นๆให้แทน แน่นอนว่าเขาย่อมไม่พูดจาล่วงเกินใดๆเพราะคนเหล่านี้อาจจะมีประโยชน์ในอนาคต ยิ่งกว่านั้นคือหากไม่ถูกคุกคามก่อนเขาย่อมไม่ไปคุกคามใคร
หลังจากผ่านไปราวๆครึ่งชั่วโมง ในที่สุดจ่างซุนเหลียงก็มาถึง
“จ่างซุนเหลียงมาถึงแล้ว!” เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยกล่าว ทันใดทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบสงบ
รุ่นเยาว์สวมมงกุฎสีม่วงผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาจากทางประตู เขาเป็นชายหนุ่มที่มีดวงตาปราดเปรื่องราวกับดวงตะวัน
ด้านหลังของเขาคือชายหนุ่มผมแดงที่ก้มโค้งเดินตามมาด้วยสีหน้าเลื่อมใสราวกับจ่างซุนเหลียงที่อยู่ด้านหน้าไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นพระเจ้า
“คารวะทายาท!” ทุกคนคุกเข่าลงหรือไม่ก็ลุกขึ้นยืนผสานมือคารวะ
บุคคลตรงหน้าพวกเขาคือราชาไร้เทียมทานที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดในขุมอำนาจสองดาว ต่อให้เป็นอัจฉริยะจากขุมอำนาจสามดาวก็ใช่ว่าจะเทียบชั้นจ่างซุนเหลียงได้
แน่นอนว่าหลิงฮันกับจักรพรรดินีไม่คุกเข่าหรือทำการคารวะใดๆ ต่อหน้าจอมยุทธระดับเดียวกันพวกเขาจำเป็นต้องลดศักดิ์ศรีของตัวเองด้วย?
เรื่องนี้ทำให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกกระอักกระอ่วน หากจ่างซุนเหลียงโมโหขึ้นมาจะทำอย่างไร?
“ทุกคนทำตัวตามสบาย!” จ่างซุนเหลียงกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ เขายื่นมือขึ้นมาเผื่อบ่งบอกให้ทุกคนนั่งลงและกวาดสายตามองหลิงฮันกับจักรพรรดินี มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าว “ธิดาหล่วนซิง!”
จักรพรรดินีไม่แม้แต่ชำเลืองมองอีกฝ่าย นางพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการทักทาย
จ่างซุนเหลียงไม่คิดมาก เขายิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าว “เอาล่ะ ข้าได้เตรียมสุราเล็กๆน้อยๆเอาไว้แล้ว เชิญทุกคนดื่มได้ตามอัธยาศัย”
เขากวาดสายตามองฝูงชนก่อนจะขมวดคิ้ว ที่นั่งในห้องโถงที่ตระเตรียมถูกนั่งแทบจะหมดทุกที่แล้วเหลือไว้เพียงที่เดียว
ที่ของถงหลิน…
ทั้งๆที่เขามาถึงแล้วแต่ถงหลินกลับยังไม่ปรากฏตัว นี่อีกฝ่ายคิดว่าตนเองเหนือชั้นไปกว่าเขารึไง?
จ่างซุนเหลียงเผยสีหน้าไม่พอใจและกล่าว “ถงหลินอยู่ที่ไหน?”
พรวด!
ใครบางคนที่กำลังดื่มสุราเข้าปากเผลอสำลักออกมา
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
จ่างซุนเหลียงจ้องมองไปยังชายหนุ่มผมแดงด้านข้าง ชายหนุ่มผมแดงเข้าใจทันทีและพยักหน้าอย่างเคารพ เขาก้าวเดินออกไปไถ่ถามข้อมูลก่อนที่ใบหน้าจะแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง
ถงหลินกำลังพลอดรักกับสตรีอยู่ที่พุ่มหญ้ากลางแจ้ง!
นี่เจ้าต้องไม่ได้พบเห็นสตรีมากี่ร้อยปีกัน ถึงได้หิวกระหายเช่นนี้?
ชายหนุ่มผมแดงรีบกลับไปกระซิบข้างหูจ่างซุนเหลียง
สีหน้าของจ่างซุนเหลียงแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดจนแทบจะทุบโต๊ะ
เจ้าตัวบัดซบถงหลินกล้าพลอดรักกับสตรีในสวนของเขา? ไม่ใช่ว่านี่เปรียบเสมือนกาารหักหน้าเขาอย่างโจ่งแจ้งรึไง? บังอาจนัก!
เพียงแต่ว่าจ่างซุนเหลียงกลับยังไม่ลงมือใดๆ เขาพยายามระงับอารมณ์และเอ่ยทักทายทุกคนในห้องโถง
เขาคือทายาทที่จะได้รับสืบทอดตำแหน่งประมุขในอนาคต แน่นอนว่าเขาต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้ เขาเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยเพื่อทำให้ผู้คนลืมเรื่องของถงหลินอย่างรวดเร็ว
จ่างซุนเหลียงรู้สึกสนใจจักรพรรดินีเป็นอย่างมาก เพราะอย่างไรนางก็เป็นเพียงราชารุ่นเยาว์คนเดียวที่มีพรสวรรค์ทัดเทียมกับเขา ยิ่งกว่านั้นสถานะของนางยังดูลึกลับเป็นอย่างมาก เป็นไปได้ว่านางจะมาจากขุมอำนาจที่ทรงพลังสักแห่ง!
“แม่นางหล่วนซิง หลังจากนี้ข้าอยากจะชวนแม่นางไปศึกษาวรยุทธด้วยกัน ไม่ทราบว่าแม่นางคิดอย่างไร?” จ่างซุนเหลียงกล่าวรุกจักรพรรดินีตรงๆไม่อ้อมค้อม
จักรพรรดินีคร้านจะแยแส บางทีหากจ่างซุนเหลียงกล่าวว่าต้องการประลองกับนาง นางอาจจะรู้สึกสนใจ
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ภรรยาข้าไม่ค่อยชอบยุ่งเกี่ยวกับคนแปลกหน้า หากพี่ชายจ่างซุนต้องการ ข้าสามารถไปแทนนางได้”
เจ้าน่ะรึจะมาแทน?
จ่างซุนเหลียงเผยท่าทางไม่สบอารมณ์ คำที่หลิงฮันพูดว่า ‘ภรรยาของข้า’ ทำให้เขารู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที
เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้พร้อมกับหันหน้าไปกล่าวกับชายหนุ่มผมแดงด้วยสัมผัสสวรรค์ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็หันไปกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม “ไหนๆพวกเราก็รวมตัวกันแล้ว มาจัดงานประลองเล็กๆกันเสียหน่อยเป็นอย่างไร?”
“ตามที่ทายาทต้องการ” ทุกคนรีบพยักหน้า แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่กล้าปฏิเสธ
“หลิงฮัน ข้าขอท้าประลองเจ้า!” ชายหนุ่มผมแดงรีบลุกขึ้นยืนและตะโกนใส่หลิงฮัน
หลิงฮันประหลาดใจ เขาพยายามทำตัวไม่โดดเด่นและมาที่นี่เพียงเพื่อดูเหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ของเมืองจันทราหม่นแสงแท้ๆ แต่จู่ๆกลับมีคนมาท้าประลองเขาเสียได้?
ฮึ่ม… เพราะวันก่อนเขาไม่ตอบโต้อะไร จึงคิดว่าจะรังแกเขาได้ง่ายๆงั้นรึ?
“ตกลง” หลิงฮันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ชื่อหลง ระวังตัวด้วย อย่าได้ลงมือจนมีคนตาย” จ่างซุนเหลียงกล่าวกับชายหนุ่มผมแดง
ชายหนุ่มผมแดงเข้าใจสิ่งที่จ่างซุนเหลียงต้องการจะสื่อ ตราบใดที่ไม่สังหารอีกฝ่ายเขาก็สามารถลงมือโจมตีได้ไม่ยั้งตามใจชอบ เขาพยักหน้าและกล่าวตอบ “ขอรับ”
ชายหนุ่มผมแดงทะยานร่างออกจากห้องโถงและกล่าว “หลิงฮัน ออกมาสู้กัน!”
หลิงฮันเคี้ยวอาหารในปากให้เสร็จก่อนจะจิบสุราเล็กน้อยและกล่าวกับจักรพรรดินี “ภรรยาข้า เดี๋ยวข้ากลับมา”
จักรพรรดินีพยักหน้าและเป็นฝ่ายแหงนหน้าจูบหลิงฮัน
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกริษยาจนแทบจะบ้าคลั่ง จักรพรรดินีที่ตอนแรกพวกเขาต่างคิดว่านางมีนิสัยเย็นชาและหยิ่งยโสกลับแสดงท่าทีอ่อนโยนกับหลิงฮัน!
ไอ้คนบัดซบแสนโชคดี… ไปตายซะ!
ตอนที่ 1703 ช่างโชคร้าย
ใบหน้าของจ่างซุนเหลียงเปลี่ยนเป็นมืดมน เขากำหมัดแน่นและเกิดความรู้สึกอยากจะฉีกกระชากหลิงฮันให้ตาย
หลิงฮันลุกขึ้นจากเบาะและค่อยๆเดินออกจากห้องโถงอย่างไม่เร่งรีบ
ณ เวลานี้เหล่าฝูงชนล้วนแต่ตื่นเต้นและทนรอดูหลิงฮันถูกทุบตีไม่ไหว
จักรพรรดินีกระทืบเท้าเบาๆ ออร่าอันทรงพลังของนางถูกปลดปล่อยออกมาทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
แต่ก็มีข้อยกเว้น
จ่างซุนเหลียงก้าวเดินไปยืนเคียงค้างจักรพรรดินีอย่างรวดเร็วและทันใดนั้นเองใบหน้าของเขาก็ต้องเผยถึงความรู้สึกตะลึง ‘บางครั้งแม้จะยังไม่ได้ปะทะกัน แต่ก็สามารถรับรู้ได้ว่าใครคือผู้ที่แข็งแกร่งกว่า’
ออร่าของจักรพรรดินีนั้นทรงพลังจนแม้แต่เขาก็คิดว่าตนเองไม่อาจเอาชนะนางได้
ทว่าเรื่องนี้กลับไม่ทำให้เขารู้สึกอิจฉา แต่ทำให้เขารู้สึกหลงใหลนางยิ่งขึ้นไปอีก
นี่คือสตรีที่เขาเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน นางคือคนที่มีคุณสมบัติพอจะเป็นคู่ชีวิตของเขา
หลิงฮันและชายหนุ่มผมแดงยื่นห่างกันสิบก้าว เกาะลอยฟ้าแห่งนี้มีโครงสร้างที่แข็งแรงและสามารถต้านทานพลังทำลายของจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งได้ เพราะงั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเหาะเหินไปสู้กันบนฟ้า
ทุกคนมั่นใจในตัวชายหนุ่มผมแดงเป็นอย่างมาก ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ติดตามของจ่างซุนเหลียง แต่การที่สามารถเป็นผู้ติดตามของจ่างซุนเหลียงได้ก็แสดงให้เห็นว่าเขาทรงพลังขนาดไหน
หากเป็นอัจฉริยะทั่วไปมาคุกเข่าขอร้องเป็นผู้ติดตาม จ่างซุนเหลียงคงไม่แม้แต่เหลียวมอง
“สามกระบวนท่า!” ชายหนุ่มผมแดงกล่าวอย่างหยิ่งผยอง ด้วยพลังต่อสู้ที่แท้จริงของเขา หากเขาเอาจริงในการทดสอบโจมตีแท่งเสา แต้มที่เขาได้ย่อมมากถึงเจ็ดสิบเอ็ดแต้มซึ่งไม่น้อยหน้าเหล่าราชารุ่นเยาว์ที่มารวมกันที่นี่วันนี้
หยวนซิ่งผิง ตันอวี่จิง เปียนเจ๋อและคนอีกจำนวนหนึ่งจ้องมองไปยังหลิงฮัน พวกเขาคือจอมยุทธที่มีพื้นเพมาจากเมืองหนึ่งดาวเช่นเดียวกันกับหลิงฮัน เพราะงั้นพวกเขาจึงไม่ต้องการให้หลิงฮันพ่ายแพ้ แต่หลิงฮันนั้นได้รับสิทธิ์มาบนเกาะแห่งนี้เพราะวาสนาจากจักรพรรดินี จึงไม่มีใครเลยที่เชื่อมั่นในพลังของหลิงฮัน
พวกได้แต่หวังว่าหลิงฮันจะต้านทานสามกระบวนท่าได้ หากหลิงฮันพ่ายแพ้ในหนึ่งกระบวนท่าล่ะก็ พวกเขาคงรู้สึกอับอายไปด้วย
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ในเมื่อเจ้ากล่าวว่าสามกระบวนท่า ก็สามกระบวนท่า”
คนที่เขาใจคำพูดของหลิงฮันมีเพียงจักรพรรดินี หลิงฮันตั้งใจจะจัดการคู่ต่อสู้ด้วยสามกระบวนท่า
“กระบวนท่าแรก!” ชายหนุ่มผมแดงยกมือทั้งสองขึ้นและชี้ออกมาด้านหน้า ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ เปลวเพลิงขนาดเล็กถูกปลดปล่อยออกมาและควบแน่นกลายเป็นคันศรเพลิงพิโรธพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
เขาคือคนที่เกิดมาพร้อมกับมีสายเลือดมังกรไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ด้วยเหตุนี้แล้วอำนาจของเปลวเพลิงที่เขาปลดปล่อยออกมาจึงทรงพลังเป็นอย่างมาก
หลิงฮันยิ้มและอ้าปากเป่าลมเข้าใส่คันศรเพลิงพิโรธ ‘ฝุบ’ คันศรเปลวเพลิงถูกเป่าดับในพริบตา เขากล่าว “วันนี้ไม่ใช่วันเกิดข้าเสียหน่อย อย่าให้ข้าต้องเสียเวลาเป่าเทียนสิ”
“หืม?”
ทุกคนประหลาดใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าหลิงฮันจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้สามารถสลายการโจมตีของชายหนุ่มผมแดงด้วยการเป่าลมเพียงครั้งเดียว
ชายหนุ่มผมแดงเองก็ชะงักเล็กน้อย แต่เขาเองก็ยังไม่ได้เอาจริงเช่นกัน กระบวนท่าแรกเป็นเพียงการทดสอบเท่านั้น เขากล่าว “รับกระบวนท่าที่สอง”
‘ครืนน’ ออร่าอันทรงพลังพรั่งพรูออกมาจากร่างของเขาพร้อมกับกระดูกสันหลังได้ยกนูนสูงขึ้นมาราวกับกลายเป็นมังกร
“กรงเล็บมังกรสวรรค์พิโรธ!” เขาง้างมือทั้งสองข้างและควบแน่นพลัง ทันใดนั้นเกล็ดมังกรก็ค่อยๆปรากฏออกมาและปกคลุมไปทั่วมือของเขา ตอนนี้มือทั้งสองข้างของชายหนุ่มผมแดงแปรเปลี่ยนกลายเป็นกงเล็บมังกรที่มีความยาวถึงห้าฟุต เขาไม่พูดพล่ามและพุ่งทะยานหวังกำราบหลิงฮัน
หลิงฮันยิ้ม เขาโคจรทักษะรัตติกาลเงาทมิฬสร้างความมืดมิดขึ้นมาปกคลุมไปทั่วร่างของชายหนุ่มผมแดง
ท่ามกลางความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์ ไม่มีใครสามารถมองเห็นร่างของชายหนุ่มผมแดง แม้แต่จ่างซุนเหลียงเองก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาเผยสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างมากและอดคิดไม่ได้ว่า หากเขากับหลิงฮันปะทะกันและตนเองถูกขังอยู่ภายในความมืดมิดนั่นเขาจะหลบหนีออกมาได้อย่างไร?
พรึบ!
แต่เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ ชายหนุ่มผมแดงก็สามารถหลุดพ้นออกมาจากความมืดมิดได้ จ่างซุนเหลียงที่เห็นเช่นนั้นก็คิดว่าตนเองคงคิดมากไป เพราะขนาดชื่อหลงยังสลายความมืดมิดได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงตัวเขาเองเลย
แต่มุมปากที่กำลังจะยิ้มของจ่างซุนเหลียงก็ต้องหุบลงเนื่องจากว่าการโจมตีของชายหนุ่มผมแดงก็สลายไปพร้อมกับความมืดมิดเช่นกัน
กระบวนท่าที่สองของชายหนุ่มผมแดงไร้ประโยชน์เป็นอย่างมาก เขาไม่สามารถสัมผัสโดนแม้แต่ชุดของหลิงฮัน
ทุกคนตกตะลึง หากหลิงฮันสลายการโจมตีของชายหนุ่มผมแดงด้วยพลังทั้งหมด พวกเขาก็ยังพอยอมรับได้
แต่นี่เพียงแต่เป่าลมกับปลดปล่อยความมืดออกมา เขาก็สามารถสลายการโจมตีของชายหนุ่มผมแดงได้ถึงสองกระบวนท่า
เหลือเชื่อ!
หรือรุ่นเยาว์ผู้นี้เองก็เป็นสุดยอดอัจฉริยะ?
“กระบวนท่าทีสาม!” ชายหนุ่มผมแดงรู้สึกกดดัน นี่ผ่านไปถึงสองกระบวนท่าแล้วเขาก็ยังไม่อาจรับรู้ถึงก้นบึ้งพลังของหลิงฮัน
กระบวนท่าที่สามต้องเผด็จศึกให้ได้
เขาเริ่มทำการสะสมปราณก่อเกิดจำนวนมหาศาล ทั่วร่างของเขาปลดปล่อยออร่ามังกรออกและถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหนาของมังกร
หมัดมังกรตระหง่าน!
นี่คือทักษะที่ทรงพลังที่สุดของชายหนุ่มผมแดง สามารถกล่าวได้ว่าในขณะที่ใช้ทักษะนี้ พลังต่อสู้ของเขาถูกยกระดับขึ้นมาเทียบเคียงกับจอมยุทธที่โจมตีเสาหินได้แปดสิบแต้ม
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถคงสภาพทักษะเอาไว้ได้นาน อย่างมากก็แค่สามลมหายใจ
“รับมือ!” เขาคำรามและพุ่งทะยานเข้าหาหลิงฮัน
หลิงฮันไม่หลบหลีก เมื่อร่างของชายหนุ่มผมแดงปรากฏขึ้นที่ตรงหน้า เขาก็ทำการเอื้อมมือออกไปคว้าคอของอีกฝ่าย เพียงแค่เขาออกแรงบีบเล็กน้อย กระดูกในร่างของชายหนุ่มผมแดงก็แตกหักอย่างน้อยครึ่งร่าง ยังไม่ทันที่เขาจะได้ลงมือแขนและขาก็ห้อยลงกับคนตายและหมดสภาพไม่อาจสู้ต่อได้
“ครบสามกระบวนท่าแล้ว” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะโยนร่างของชายหนุ่มผมแดงไปที่ด้านหน้าจ่างซุนเหลียง
คนอื่นๆคาดเดาได้ว่าหลิงฮันไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงสามกระบวนท่าก็ได้
ด้วยพลังเช่นนี้ เขาสามารถโค่นชายหนุ่มผมแดงภายในหนึ่งกระบวนท่า
หยวนซิ่งผิงและตันอวี่จิงเผยสีหน้าหวาดระแวง แม้ทั้งสองจะมั่นใจว่าตนเองสามารถเอาชนะชายหนุ่มผมแดงได้ แต่คงไม่ง่ายเหมือนอย่างหลิงฮัน
นี่คือศัตรูที่แข็งแกร่ง!
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคิดว่าหลิงฮันไม่แข็งแกร่งพอและจะทำให้พวกเขาเสียหน้า แต่ตอนนี้พวกเขาได้เปลี่ยนความคิดเป็นหลิงฮันแข็งแกร่งเกินไปและสามารถเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาในการประลองยุทธ
แววตาของจ่างซุนเหลียงส่องประกายเกรี้ยวกราด การที่หลิงฮันโยนร่างของใครสักคนมายังเบื้องหน้าเขานั้นมีความหมายว่าอย่างไร?
ต้องการสื่อว่านี่คือจุดจบของคนที่ท้าทายเจ้า?
“ทายาทจ่างซุนเหลียง ท่านต้องทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ข้า!” ทันใดนั้นเอง ร่างของชายผู้หนึ่งก็วิ่งพรวดผ่านฝูงชนเข้ามาด้วยสีหน้ามืดมน
ร่างนั้นคือถงหลิน
จ่างซุนเหลียงที่กำลังเกรี้ยวกราดอยู่ เมื่อเห็นถงหลินปรากฏตัวเขาก็ไม่อาจระงับอารมณ์ไหวและทำการผลักฝ่ามือเข้าใส่อีกฝ่ายทันที
‘ตูม’ ร่างของถงหลินกลายเป็นฝนโลหิตในพริบตา แม้แต่ดวงวิญญาณก็แหลกสลายไม่เหลือซาก
ช่างเป็นชายที่โชคร้ายนัก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น