Alchemy Emperor of the Divine Dao 1669-1682

ตอนที่ 1669

 

หลิงฮันเข้าสู่ดินแดนใต้พิภพผ่านสนามรบสองดินแดนที่อยู่ใกล้ที่สุด หลังจากคำนวณพิกัดดวงเวแล้ว หลิงฮันก็มุ่งหน้าไปยังดาวไห่คงด้วยคลื่นแห่งเต๋าสีทอง


ระหว่างการเดินทางเขาพบเจอจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์กำลังทะลวงผ่านระดับโดยบังเอิญ หลิงฮันพุ่งทะยานเข้สแทรกแซงทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของอีกฝ่ายอย่างไม่รีรอ


จอมยุทธที่กำลังทะลวงผ่านคือราชารุ่นเยาว์ หลังจากบ่มเพาะพลังได้เพียงแค่ราวๆล้านปีเขาก็สามารถบรรลุสู่ระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางได้ซึ่งนับว่าน่าอัศจรรย์ไม่น้อย ทันที่เขาพบเห็นร่างของหลิงฮันพุ่งเข้ามา ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความหวาดกลัว


เกิดอะไรขึ้น?


ข้ากำลังรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์อยู่ดีๆ เจ้ามีเหตุผลอะไรต้องเข้ามาแทรกแซง? ต้องการสังหารข้า? หากไม่ใช่เหตุผลนี้แล้ว ใครจะยอมเสี่ยงชีวิตแทรกแซงทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของคนอื่น? แต่ประเด็นหลักคือข้าไม่เคยรู้จักเจ้ามาก่อนเสียหน่อย!


“ผะ ผู้อาวุโส!” เมื่อเขาเห็นหลิงฮันพุ่งทะยานเข้ามาด้วยคลื่นแห่งเต๋าสีทองเขาก็รับรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือจ้าวอสูร ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นจ้าวอสูรระดับดำหรือจ้าวอสูรสวรรค์ เพียงแต่หนึ่งนิ้วก็สามารถบดขยี้เขาได้อย่างง่ายดาย


หลิงฮันเผยรอยยิ้มและปล่อยหมัดเข้าใส่ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์


ครืนน!


ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ตอบโต้ มันสร้างเมฆสายฟ้าก้อนใหม่ขึ้นเหนือศีรษะของหลิงฮัน


เป็นอย่างที่คิด สวรรค์และปฐพีของดินแดนทั้งสองนั้นแบ่งแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง


รุ่นเยาว์ระดับวารีนิรันดร์ตกตะลึงจนแทบจะเผลอกัดลิ้นตัวเอง ผู้อาวุโสคนนี้บ้าไปแล้วรึไงถึงได้เป็นฝ่ายยั่วยุทัณฑ์ฟ้าสวรรค์ก่อน?


ต่อให้ท่านจะเป็นจ้าวอสูร พลังของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นตามระดับพลัง!


แต่ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ต้องสั่นสะท้านไม่หยุด รูขุมขนตามร่างกายทุกแห่งเปิดออกด้วยความหวาดกลัว


นี่เขากำลังเห็นอะไรอยู่?


สายฟ้าแต่ละคลื่นแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์อัสนี ออร่าที่เหล่ายักษ์อัสนีปลดปล่อยออกมาทรงพลังจนแทบจะทำให้ร่างของเขาทรุดไร้เรี่ยวแรง ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือจำนวนของพวกมันไม่ได้มีแค่หนึ่งหรือสองตัวแต่เป็นล้านแถมยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุดด้วย


ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เช่นนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์สามารถผ่านได้จริงๆ?


หลิงฮันคำรามพร้อมกับพุ่งทะยานขึ้นสู่เมฆสายฟ้า ‘ตูม ตูม ตูม’ ระหว่างทางยักษ์อัสนีมากมายถูกร่างของเขาชนจนแหลกสลาย


แย่แล้ว!


รุ่นเยาว์ระดับวารีนิรันดร์ร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด เขามัวแต่ตกตะลึงจนลืมต้านทานทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของตัวเองไปเสียสนิทและได้รับบาดเจ็บสาหัส


หลิงฮันไร้เทียมอย่างแท้จริง ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันสมบูรณ์ไม่ว่าเขาจะอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือดินแดนใต้พิภพ พลังต่อสู้ของเขาก็ไม่ลดลงแม้แต่น้อย เขาสามารถพุ่งทะยานร่างเข้าสู่ส่วนลึกของเมฆสายฟ้าและเก็บเกี่ยวหยดสายฟ้าสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย


ทันทีที่หยดสายฟ้าสวรรค์ถูกเก็บไป เมฆสายฟ้าก็สลายตัวทันที หลิงฮันยืนนิ่งกลางห้วงอวกาศและมองไปยังรุ่นเยาว์ระดับวารีนิรันดร์ที่ได้รับบาดเจ็บ เขาตัดสินใจยื่นมือช่วยเหลือโดยการพุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของเมฆสายฟ้าของอีกฝ่าย


ผ่านไปครู่หนึ่ง ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ก็สลายไปอีกครั้ง


“ขะ ขอขอบคุณผู้อาวุโส!” รุ่นเยาว์ระดับวารีนิรันดร์กล่าวขอบคุณหลิงฮันด้วยความหวาดกลัว ความจริงหากไม่ใช่เพราะหลิงฮันแทรกแซง เขาก็คงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ด้วยพรสวรรค์ของเขาการผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไร


หลิงฮันยิ้มให้กับอีกฝ่ายก่อนจะปลดปล่อยคลื่นแห่งเต๋าสวรรค์ลอยจากไป


จากบริเวณนี้ไปถึงดาวไห่คงจำเป็นต้องใช้เวลาราวๆครึ่งปี ระหว่างทางหลิงฮันพบเจอคนที่กำลังรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์สองคน ด้วยการแทรกแซงของเขาทำให้เก็บเกี่ยวหยดสายฟ้าสวรรค์เพิ่มมาได้อีกสี่ครั้ง


ครึ่งปีต่อมา ดาวไห่คงก็ปรากฏขึ้นที่ตรงหน้า


‘พรึบ’Anchorจ้าวอสูรขวงล่วนเคลื่อนที่ด้วยคลื่นแห่งเต๋าปรากฏตัวออกมาด้วยท่าทางพร้อมรบ แต่ทันที่เห็นว่าจ้าวอสูรที่มาหาคือหลิงฮัน ปากของเขาก็อ้าค้างด้วยความตกตะลึง


จ้าวอสูร!


ไม่ใช่แค่จ้าวอสูรทั่วไป แต่เป็นจ้าวอสูรปฐพี!


น่าอัศจรรย์เกินไป เมื่อตอนที่หลิงฮันจากไปสิบปีก่อน เขายังเป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์อยู่เลย


หลิงฮันหัวเราะและอธิบายเหตุผลที่เขามาให้จ้าวอสูรขวงล่วนฟัง เขามุ่งหน้าไปยังเขตดวงดาวเมฆาเยือกแข็งต่อเพื่อแจ้งให้จ้าวอสูรป้าเจี้ยนทราบด้วย เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่นานนักเพราะกลัวว่าจะต้องพบเจอกับจูเซวียน


สุดท้ายเขาได้มุ่งหน้าไปหาโอวหยางไท่ซานเพื่อให้อีกฝ่ายเตรียมตัวรวบรวมคน


เขาจะรอให้เตรียมเป็นเวลาสองปีและให้ทุกคนรวมตัวกันที่ดาวไห่คง


จ้าวอสูรป้าเจี้ยน จ้าวอสูรขวงล่วนและโอวหยางไท่ซานนำคนที่ต้องการไปด้วยเข้าไปอยู่ในอุปกรณ์มิติและออกเดินทางพร้อมกับหลิงฮันไปยังเขตแดนลี้ลับต้าเหอ


การเดินทางครั้งนี้ใช้เวลาอีกสามปี


ที่ระหว่างนี้ หลิงฮันได้หยดสายฟ้าสวรรค์เพิ่มมาอีกยี่สิบหยด แต่นี่ก็คือขีดจำกัดแล้ว หลังจากนั้นสวรรค์และปฐพีของดินแดนใต้พิภพก็เป็นเหมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เมื่อใดที่หลิงฮันแทรกแซงทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ เมฆสายฟ้าจะหายไปทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้รับหยดสายฟ้าสวรรค์เพิ่ม


เหตุการณ์นี้ทำให้มุมปากของจ้าวอสูรทั้งสามกระตุกไม่หยุด ดวงตาของพวกเขาแทบจะหลุดออกจากเบ้า


“ข้าจะให้เวลาอีกราวๆหนึ่งเดือนก่อนจะเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน!” เมื่อมาถึงหลิงฮันได้เรียกทุกคนมารวมกันและประกาศเวลาที่จะเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน


เหล่าคนของดินแดนต้องห้ามตื่นเต้นจนตัวสั่น ในที่สุดพวกเขาก็จะได้กลับสู่บ้านเกิดแท้จริงเสียที


สุนัขตัวดำ จักรพรรดิเพลิงอัสนี เจ้ากระต่ายและโสมเฒ่ากลับมายังเขตแดนลี้ลับ ในขณะเดียวกัน อัจฉริยะอย่างซื่อเฉินเฟิง เทียนเซี่ยตี้เอ้อและราชารุ่นเยาว์คนอื่นเต็มไปด้วยจิตวิญญาณสู้รบอันโหมกระหน่ำ พวกเขาเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ละคนต่างมั่นใจว่าต่อให้ไปอยู่ในดินแดนแห่งเซียน พวกเขาก็ยังคงเป็นอัจฉริยะที่ยืนโดดเด่นอยู่เหนือกระแสน้ำ


หลิงฮันมอบผลกายาเชื่อมสวรรค์ให้จักรพรรดินี เขาเชื่อในศักยะภาพของตัวเองว่าเขาจะสามารถเติบโตได้ในดินแดนแห่งเซียนโดนไม่ต้องพึ่งพาสมุนไพรนิรันดร์ในการยกระดับพลังบ่มเพาะ


หนึ่งเดือนต่อมา และแล้วก็ถึงเวลาเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน


จอมยุทธมากมายเข้าไปอยู่ในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ เหล่าได้มอบอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นให้หลิงฮันและเข้าสู่อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ของหลิงฮัน


แม้ทั้งหลิงฮันและจักรพรรดินีจะสามารถเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ทั้งคู่ แต่หากพวกเขาเปิดเส้นทางพร้อมกันพวกเขาอาจจะถูกส่งไปยังสถานที่ที่แตกต่าง เพราะเหตุนั้นแล้วจักรพรรดินีจึงมอบหน้าที่นี้ให้แก่หลิงฮัน ส่วนนางก็เข้าไปอยู่ในหอคอยทมิฬ


ตอนนี้เหลือเพียงหลิงฮันคนที่เดียวยังยืนอยู่ด้านนอก


เขาทะยานร่างขึ้นสู่ห้วงอวกาศอันมืดมิดและหนาวเหน็บก่อนจะสูดหายใจลึก หลังจากเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนแล้วเขาจะได้พบเจอทั้งบิดามารดา บุตรของเขาและพวกฮูหนิว ความรู้สึกโหยหานี้สั่นสะท้านอยู่ในจิตใจของเขาอย่างไม่อาจควบคุมได้


“ข้ามาแล้ว!”


ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มและฉีกกระชากเปิดช่องว่างมิติ


เมื่ออำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนถูกปลดปล่อยออกมาและกระทบเข้าหากัน ชั้นมิติก็ค่อยๆแตกออกทีละชั้นจนปรากฏเป็นหลุมมิติอวกาศอันมืดมิด หลิงฮันยังไม่ก้าวเดินเข้าไป เส้นทางเชื่อมต่อไปยังดินแดนแห่งเซียนยังไม่ถูกเปิดออกอย่างสมบูรณ์ หากเข้าก้าวเท้าเข้าหลุมมิติไปตอนนี้ ร่างของเขาจะถูกส่งไปยังช่องว่างอวกาศอันไร้ขอบเขต


เขาลงมือต่อ หมัดนับพันและปราณดาบจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกไปทำให้หลุมมิติค่อยๆขยายใหญ่และลึกยิ่งขึ้น แสงสลัวเริ่มเล็ดลอดออกมาจนทำให้มองเห็นโลกที่อยู่อีกฝั่ง


ดินแดนแห่งเซียนค่อยๆปรากฏเด่นชัดขึ้นเบื้องหน้าหลิงฮัน

 

 

 


ตอนที่ 1670

 

หลิงฮันก้าวเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล


เมื่อขยับมาถึงกลางมิติที่เหมือนมีกระจกขวางกั้นอยู่ เขาก็ปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายออกไป


เพล๊ง!


เสียงกระจกแตกดังกึกก้องไปทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพ กระจกนี้คือกำแพงขวางกั้นระหว่างโลกบรรพกาลและดินแดนแห่งเซียน การจะทำลายมันจำเป็นต้องมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่สมบูรณ์


ในที่สุดประตูสู่ดินแดนแห่งเซียนก็เปิดออกอย่างสมบูรณ์


‘ครืนน’ ออร่าอันไร้สิ้นสุดพรุ่งพรูไหลทะลักออกมา เบื้องหลังหลิงฮันมิติอวกาศค่อยๆฟื้นฟูสภาพกลับสู่ปกติด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ สวรรค์และปฐพีมีสัญชาตญาณในการรักษาตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้พลังวิญญาณอันทรงพลังของดินแดนแห่งเซียนเล็ดลอดเข้ามายังโลกบรรพกาล


ร่างของหลิงฮันพุ่งทะยานดิ่งเคลื่อนที่ไปด้านหน้าเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนในขณะที่ห้วงมิติด้านหลังๆค่อยๆฟื้นสภาพไล่ตามมาติดๆ


‘พรึบ’ ทันทีที่ร่างของเขาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ ช่องว่างมิติเบื้องหลังเขาก็ถูกปิดตายอย่างรวดเร็ว


หลิงฮันยืนอยู่กลางท้องฟ้าที่เบื้องล่างเต็มไปด้วยพื้นที่ป่าไม้อันกว้างสุดลูกหูลูกตา ต้นไม้ทุกๆมีความสูงอย่างน้อยพันฟุต ใบและผลของมันมีขนาดใหญ่กว่าบ้านทั้งหลัง


พลังวิญญาณของที่นี่หนานานกว่าในเขตแดนลี้ลับต้าเหอหลายเท่า เพียงแค่กวาดสายตามองผ่านๆหลิงฮันก็พบเจอสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่มีระดับสิบขั้นไปอย่างน้อยสิบเจ็ดต้น


รัศมีของสัมผัสสวรรค์ที่ปลดปล่อยออกไปได้ถูกลดลงหลายเท่า ความสูงที่สามารถลอยบนฟ้าเองก็มีจำกัดเช่นกัน


ดินแดนแห่งเซียนแต่งต่างจากโลกบรรพกาลอย่างชัดเจน


ดินแดนแห่งเซียนมีขนาดใหญ่เป็นอย่างมาก เมืองหนึ่งเมืองใหญ่เทียบเท่าได้กับดาวหนึ่งดวง ทั่วทั้งดินแดนถูกมหาสมุทรแบ่งออกเป็นสองทวีปคือดินแห่งเซียนฝั่งตะวันออกและดินแห่งเซียนฝั่งตะวันตก


ตามมหาสมุทรมีพวกเกาะต่างๆกระจัดกระจายอยู่เช่นกัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเกาะไหนก็ล้วนแต่มีขนาดใหญ่เทียบได้กับเขตดวงดาวในโลกบรรพกาล


ตามที่จักรพรรดิเพลิงอัสนีเล่า มหาสมุทรเป็นพื้นที่ที่อันตรายมาก เนื่องจากสามารถพบเจอสัตว์อสูรได้ทั้งระดับโลกียนิพพานจนถึงระดับขอบเขตตำหนักอมตะ


โดนปกติแล้วจะมีเพียงขุมอำนาจขนาดใหญ่เท่านั้นที่จะเปิดเส้นทางข้ามมหาสมุทรได้และเก็บเงินค่าเรือข้ามสมุทร


ทำไมไม่บินข้ามมหาสมุทรไปเลย? ความคิดเช่นนั้นไม่นับว่าฉลาด ด้วยระดับการเหาะเหินที่ถูกจำกัดของดินแดนแห่งเซียน หากพบเจอสัตว์อสูรที่ทรงพลัง พวกมันสามารถกลืนกินจอมยุทธที่ลอยอยู่บนฟ้าด้วยการเขมือบเพียงครั้งเดียวซึ่งอันตรายเป็นอย่างยิ่ง


ตอนนี้หลิงฮันไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องข้ามมหาสมุทร เขาไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตำหนักมัจฉาวายุภักษ์อยู่ที่ไหน


อันดับแรกสุดคงต้องเดินด้วยเท้า!


หลิงฮันนำจักรพรรดิเพลิงอัสนี สุนัขตัวดำและจักรพรรดินีออกมาจากอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์และหอคอยทมิฬ จักรพรรดิเพลิงอัสนีนั้นแต่เดิมเคยเป็นตัวตนที่ทรงพลังระดับขอบเขตตำหนักอมตะ ส่วนสุนัขตัวดำเองก็มีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับดินแดนแห่งเซียน


“ในที่สุดก็ได้กลับมา!” จักรพรรดิเพลิงอัสนีกล่าวด้วยท่าทางระลึกความหลัง ด้วยร่างกายของเด็กหนุ่มอายุราวๆยี่สิบปีช่างดูไม่เหมาะสมเอาเสียเลย


“ที่นี่คือที่ไหน?” หลิงฮันเอ่ยถาม


“ดินแดนแห่งเซียนมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าที่นี่คือที่ไหน?” จักรพรรดิเพลิงอัสนีกรอกตา “อย่าว่าแต่ข้าเลย ต่อให้เป็นราชานิรันดร์ก็ใช่ว่าจะเคยเหยียบย่ำทุกซอกทุกมุมของดินแดนแห่งเซียน มีเขตหวงห้ามมากมายที่แม้แต่ราชานิรันดร์ก็ไม่กล้าเข้าใกล้”


“ก่อนอื่นต้องหาเมืองให้พบ หากมัวแต่เอ้อระเหยอยู่ในป่าและพบเจอสัตว์อสูรระดับรินัรด์ พวกเราจะไม่มีทางหลบหนีความตายไปได้”


“และห้ามเหาะเหินบนท้องฟ้าเนื่องจากจะกลายเป็นเป้าหมายได้ง่าย”


หลิงฮันและจักรพรรดินีพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของจักรพรรดิเพลิงอัสนี ในป่ามหึมาเช่นนี้ ร่างของพวกเขาทั้งสี่มีขนาดเล็กยิ่งกว่าใบไม้เสียอีก


แต่ก็ใช่ว่าสัตว์อสูรของดินแดนแห่งเซียนจะทรงพลังไปทั้งหมด หลิงฮันพบเจอสัตว์อสูรรูปร่างมดทั่วไปที่มีขนาดใหญ่และมีพลังระดับห้วงจิตวิญญาณ


จากที่จักรพรรดิเพลิงอัสนีเล่า ผู้คนส่วนใหญ่ของดินแดนแห่งเซียนจะเกิดมาพร้อมกับพลังบ่มเพาะระดับทลายมิติ ยิ่งบิดามารดาทรงพลัง ระดับพลังเริ่มต้นของบุตรก็จะสูงขึ้นตาม มีคำกล่าวว่าบุตรที่เกิดจากบิดามารดาระดับราชานิรันดร์ทั้งคู่นั้นจะมีพลังระดับโลกียนิพพานตั้งแต่เกิด


ในดินแดนแห่งเซียน ระดับของขุมอำนาจจะยึดตามจำนวนของเมือง ขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์สามารถปกครองเมืองได้นับล้านเมืองซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาทรงพลังเป็นอย่างมาก


ไม่ว่าจะเป็นเมืองหนึ่งดาวที่เล็กขนาดไหน ก็จำเป็นต้องมีจอมยุทธระดับโลกียนิพพานคอยปกครองไม่เช่นนั้นจะไม่อาจเรียกว่าเป็นเมืองได้และเป็นได้เพียงจุดพักระหว่างทาง


พวกหลิงฮันทั้งสี่เดินทางในป่าโดยไม่รู้ทิศรู้ทาง เป้าหมายของพวกเขาคือมุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว


ในดินแดนแห่งเซียนกลางวันและกลางคืนไม่มีความแตกต่างใดๆ แม้จะมีดวงดาวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแต่พวกมันก็ไม่ใช่ดวงดาวที่แท้จริงแต่เป็นอุกกาบาตขนาดใหญ่


ตามความรู้สึกแล้ว ดินแดนแห่งเซียนนั้น นอกจากที่มีขนาดใหญ่กว่าและระดับวรยุทธที่สูงกว่าแล้ว มันก็ไม่ได้ต่างจากโลกใบเล็กเท่าไหร่นัก


เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงต้องใช้เวลาเล็กน้อยกว่าจะคำนวณเวลาได้


ราวๆสิบวันต่อมา ในที่สุดพวกเขาก็เดินหลุดพ้นจากป่าขนาดใหญ่และพบแม่น้ำมหึมาด้านหน้า มันเป็นแม่น้ำที่กว้างหลายพันไมล์และมีสายน้ำที่ไหลยาวอย่างไร้สิ้นสุด


“หืม มีเรือด้วย!” ด้านหลังพวกเขา เรือมหึมาที่มีความยาวหมื่นฟุตและกว้างพันฟุตได้แล่นผ่านเข้ามา ความเร็วของเรือเองก็น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมากและแล่นผ่านพวกหลิงฮันไปในพริบตา


ในดินแดนแห่งเซียน ขีดจำกัดของความเร็วได้ถูกยกระดับขึ้นจากโลกบรรพกาล แม้แต่เรือก็ยังสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ยิ่งกว่าความเร็วสูงสุดของหลิงฮัน


“ทีนี้ก็ง่ายแล้ว หากเดินทางไปตามแม่น้ำพวกเราจะพบเจอเมืองระหว่างทางแน่นอน” จักรพรรดิเพลิงอัสนีกล่าว


พวกเขาไม่สามารถไล่ตามเรือทัน แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าหากเดินเลียบแม่น้ำไปพวกเขาจะพบเจอเมืองอย่างแน่นอน แต่ที่น่าคิดหนักก็คือไม่รู้ว่าต้องเดินย้อนหรือเดินขึ้นหน้าถึงจะพบเจอเมืองได้ไวกว่ากัน


พวกเขาครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจมุ่งไปด้านหน้า


ผ่านไปอีกราวๆหนึ่งเดือน ในที่สุดพวกเขาก็พบเห็นเมืองขนาดมหึมาปรากฏที่เบื้องหน้า ขนาดของเมืองใหญ่จนไม่สามารถมองเห็นขอบเมือง แม่น้ำได้ไหลผ่านไปยังฝั่งซ้ายของเมืองและที่บริเวณนั้นมีเรือจำอย่างน้อยหลักร้อยลำจอดเทียบท่าอยู่

 

 

 


ตอนที่ 1671

 

บริเวณนั้นคือทางน้ำซึ่งไม่อาจเข้าเมืองผ่านเส้นทางนั้นได้


จักรพรรดินีสวมผ้าปิดหน้า นางงดงามเกินไป ในดินแดนแห่งเซียนนี้ด้วยพลังที่ยังอ่อนแอของพวกเขา หากนายน้อยเจ้าสำราญของตระกูลใดเกิดต้องการตัวนางคงเป็นปัญหาใหญ่


แน่นอนว่าหอคอยทมิฬก็ไม่อาจใช้อย่างเปิดเผยได้เช่นกัน ในดินแดนแห่งเซียน บางอาจทีตัวตนระดับโลกียนิพพานหรือระดับแบ่งแยกวิญญาณอาจจะมองเห็นความลึกลับของหอคอยทมิฬ


หลังจากเดินวนรอบนอกของเมืองราวๆครึ่งวัน ในที่สุดพวกเขาก็พบประตูเข้าเมืองอันใหญ่มหึมา


ประตูเมืองมหึมาในตอนนี้ปิดอยู่ ที่มุมหนึ่งของประตูมหึมามีประตูขนาดเล็กอยู่อีกบานซึ่งมียามรักษาการคอยคุ้มกันอยู่


แม้จะเรียกว่าประตูขนาดเล็ก แต่มันก็มีกว้างถึงร้อยฟุตและสูงราวๆพันฟุต


จักรพรรดิเพลิงอัสนีหยุดเดินและกล่าว “หากจะเข้าเมืองจำเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทางเสียก่อน โดยปกติแล้วจะจ่ายเป็นศิลาดวงดาวที่ขุดมาจากหินอุกาบาตซึ่งมีอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพีบรรจุอยู่ภายใน หรือไม่งั้นก็ต้องจ่ายด้วยสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ”


 


หลิงฮันและจักรพรรดินีหันมองหน้ากันด้วยความรู้สึกหนักอึ้งภายในหน้าอก การต้องจ่ายเพียงแค่ค่าเข้าเมืองด้วยสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำนั้นเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเกินไป!


“อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์คือสิ่งสามัญสำหรับที่นี่ เจ้าไม่สามารถใช้มันซ่อนใครเอาไว้ได้ หากผ่านเข้าเมืองไปทั้งแบบนี้จะถือว่าเจ้าจงใจการฝ่าฝืนกฎของเมือง” จักรพรรดิเพลิงอัสนีกล่าว


หลิงฮันพยักหน้า “งั้นก็ต้องนำทุกคนออกมาก่อน”


พวกเขาล่าถอยออกห่างจากเมืองราวๆหมื่นไมล์ ด้วยการที่พวกเขาอยู่ใกล้เมืองจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะพบเจอกับสัตว์อสูร


ราชาเซียนชิงอวี่ โอวหยางไท่ซาน เซียนซิงฉาและคนอื่นๆถูกนำตัวออกมา หลังจากได้รับฟังเรื่องราวต่างๆจากหลิงฮันแล้วเหล่าเซียนต่างพยักหน้า


ตราบใดที่มีเวลาเพียงพอ เซียนเหล่านี้ย่อมมีโอกาสที่จะบรรลุกลายเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน การที่พวกเขาสามารถบรรลุเป็นเซียนได้ในโลกบรรพกาลได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีพรสวรรค์อันโดดเด่น


พวกเขาจะอาศัยอยู่แถวนี้ไปก่อน สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำสามารถพบเจอได้จากพื้นที่โดยรอบ เพราะงั้นพวกเขาค่อยๆส่งคนเข้าไปในเมืองก็ได้


จักรพรรดิเพลิงอัสนีได้ย้ำเตือนพวกเขาด้วยว่า หากถูกใครถามก็ให้ตอบไปว่าทุกคนอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งเซียนมาตั้งแต่เกิดและไม่เกี่ยวข้องอะไรกับโลกบรรพกาล ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจถูกไล่ล่าสังหารทีละคน


สิ่งแรกที่ทุกคนจำเป็นต้องทำคือผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองให้สมบูรณ์ หากทำไม่สำเร็จก็ห้ามเข้าเมืองเด็ดขาด


เมื่อหน้าที่ของตัวเองสิ้นสุดแล้ว พวกหลิงฮันทั้งสี่ก็เดินย้อนกลับไปที่เมือง


“หยุด!” เมื่อมาถึงประตูเมือง พวกเขาก็ถูกทหารยามสั่งให้หยุด


ทั้งสองคนคือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์!


ทหารยามนั้นรวมๆแล้วมีอยู่สิบหกคน พวกเขาทุกคนเป็นจอมยุทธระดับเดียวกันทั้งหมด


จักรพรรดิเพลิงอัสนีส่งคำพูดผ่านสัมผัสสวรรค์หาหลิงฮัน “ที่แห่งนี้ควรเป็นเพียงเมืองหนึ่งดาวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นทหารยามคงไม่ใช่แค่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ไม่กี่คน”


เขากล่าวเสริมอีกว่าหากเป็นเมืองห้าดาวของตัวตนระดับราชานิรันดร์ แม้ทหารยามจะเป็นเพียงจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งแต่ก็ยังมีนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานอยู่คุมสถานการณ์ข้างๆอีกคนหรือสองคน


“ค่าผ่านทาง” ทหารยามยื่นมือออกมา


หลิงฮันอดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดและส่งสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำสี่ต้นให้แก่ทหารยาม


“เข้าไปได้” ทหารยามโบกมือ


ในขณะที่กำลังจะเดินผ่านประตูเมือง คลื่นแสงบางอย่างก็กวาดผ่านร่างของพวกเขาเพื่อตรวจสอบอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่รึไม่ ไม่เช่นนั้นในกรณีที่ขุมอำนาจที่เป็นศัตรูแอบลักลอบพากองทัพเข้ามาผ่านอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำคงกลายเป็นปัญหาใหญ่


หลังจากทั้งสี่เข้าสู่เมือง จักรพรรดิเพลิงอัสนีก็ตบตูดขอตัวจากไปทนัที “เจ้าหนู คงถึงเวลาแยกทางกันแล้ว เพื่อการแก้แค้น ข้าจำเป็นต้องเก็บตัวบ่มเพาะเพื่อกลับสู่ระดับพลังในชีวิตก่อนให้เร็วที่สุด”


กล่าวเสร็จเขาก็จากไป


“นายท่านหมาเองก็อยากเร่ร่อนไปมาอย่างอิสระ แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจดจำกลิ่นของเจ้าได้แล้ว ต่อให้เจ้าตายและถูกฝังข้าก็ยังหาเจ้าพบ” สุนัขตัวดำกล่าวด้วยคำพูดกวนประสาท


“ไสหัวไป!” หลิงฮันถีบฝ่าเท้า สุนัขตัวดำรีบสะบัดตูดเผ่นหนีทันที


ตอนนี้เหลือเพียงแค่เขากับจักรพรรดินีและคนจำนวนหนึ่งในหอคอยทมิฬ


แม้ที่นี่จะเป็นเมืองแต่ก็มีขนาดใหญ่เทียบได้กับดวงดาวทั้งดวง เพราะงั้นภายในเมืองจึงไม่ได้มีแค่สิ่งก่อสร้างสำหรับอาศัยแต่ยังมีพื้นที่ที่เป็นแม่น้ำ ทะเลทรายหรืออาณาเขตน้ำแข็ง


ตามถนนมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนเดินผ่านไปมา ซึ่งไม่มีใครเลยที่สนใจหลิงฮันหรือจักรพรรดินี


เขาและจักรพรรดินีเดิมเข้าสู่ฝูงชนและฟังบทสนทนาจากคนรอบข้าง พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์ในดินแดนแห่งเซียนมาก่อน เพราะงั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือหาข้อมูลอะไรสักอย่าง


จากบทสนทนารวมๆที่หลิงฮันกับจักรพรรดินีได้ยิน ดูเหมือนว่าเรื่องที่น่าสนใจที่สุดจะเป็นเรื่องที่กองกำลังธุลีจันรทรากำลังรับสมัครคน


หลิงฮันเผยสีหน้าปั้นยาก


กองกำลังธุลีจันรทรา? ที่นี่คือเมืองธุลีจันรทราที่ตระกูลติงของติงจื่อเฉินและติงเหยาหลงตั้งอยู่? อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น!


เพียงแต่ว่าขุมอำนาจระดับโลกียนิพพานของเมืองธุลีจันรทรานั้นมีถึงสามตระกูล ซึ่งตระกูลติงก็เป็นหนึ่งในนั้น


นอกจากนั้น แม้เบื้องหน้าเมืองธุลีจันรทราจะดูเหมือนอยู่ในการปกครองของตระกูลทั้งสาม แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่


ทำไมน่ะรึ?


ในดินแดนแห่งเซียน ขุมอำนาจที่อ่อนแอจำเป็นต้องมีผู้หนุนหลัง ขุมอำนาจระดับโลกียนิพพานจำเป็นต้องขอยืมพลังของขุมอำนาจระดับแบ่งแยกวิญญาณ ขุมอำนาจระดับแบ่งแยกวิญญาณจำเป็นต้องขอยืมพลังของขุมอำนาจระดับขอบเขตตำหนักอมตะและสูงขึ้นไปตามลำดับ


Anchor


เมืองธุลีจันรทราคือเมืองหนึ่งดาวที่มีอำนาจรั้งท้ายสุดของดินแดนแห่งเซียน ขุมอำนาจเบื้องหลังพวกเขาคือนิกายจันทราหม่นแสงที่เป็นขุมอำนาจระดับแบ่งแยกวิญญาณ


ส่วนขุมอำนาจเบื้องหลังนิกายจันทราหม่นแสงอีกทีก็คือตระกูลฟู่


เพราะงั้นหากพูดกับตามตรงแล้วเมืองธุลีจันรทรานั้นอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลฟู่ เพียงแต่ว่าเมืองที่ตระกูลฟู่เป็นผู้ปกครองนั้นมีอยู่นับพัน พวกเขาจึงไม่คิดจะจัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆด้วยตนเองและมองหน้าที่การดูแลให้แก่ตระกูลทั้งสาม


เพราะงั้นหากเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทราได้สำเร็จและมีผลงานที่โดดเด่น ก็จะมีโอกาสได้เข้าสู่เมืองสามดาวและได้รับการฝึกฝนจากตระกูลฟู่


ในดินแดนแห่งเซียน หลังจากบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแล้วอายุขัยจะกลายเป็นไร้ขีดจำกัด ทั้งๆที่เป็นเช่นนั้นแล้วเหตุใดจอมยุทธที่บรรลุระดับแบ่งแยกวิญญาณหรือระดับขอบเขตตำหนักอมตะจึงมีเพียงหยิบมือ?


เหตุผลแรกเป็นเพราะการจะครอบครองทักษะบ่มเพาะระดับนิรันดร์นั้นเป็นเรื่องยากลำบาก เหตุผลที่สองคือปัญหาในเรื่องทรัพยากรบ่มเพาะ สองอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ปัญหาได้ด้วยการมีอายุขัยไร้ขีดจำกัด


ด้วยเหตุนี้แล้ววิธีการยกระดับพลังที่รวดเร็วที่สุดคือเข้าร่วมกับนิกายหรือตระกูลที่ทรงพลังให้ได้


ตอนนี้คือโอกาสดี กองกำลังธุลีจันรทราจะเปิดรับคนหนึ่งครั้งในทุกๆร้อยปี หากพลาดโอกาสนี้พวกเขาก็ต้องเสียเวลารอไปอีกหนึ่งร้อยปี


หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดินีซึ่งจักรพรรดินีเองก็พยักหน้าตอบ พวกเขาจำเป็นต้องหาทางผสานตัวตนให้กลมกลืนกับดินแดนแห่งเซียน การเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทราถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้

 

 

 


ตอนที่ 1672

 

หลิงฮันและจักรพรรดินีมุ่งหน้าไปยังฝั่งตะวันตกของธุลีจันรทรา ด้วยการที่เมืองมีขนาดใหญ่เทียบเท่าดวงดาว ระหว่างทางพวกเขาจึงต้องข้ามผ่านภูเขาและสายน้ำใหญ่ กว่าจะมาถึงจุดหมายก็เป็นอีกหนึ่งวันให้หลัง


บริเวณแห่งนี้คือเขตภูเขา พวกเขามาถึงตีนภูเขาแห่งหนึ่งที่ถูกสร้างเป็นพื้นที่เปิดกว้างและสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีรูปแบบอาคมป้องกันติดตั้งเอาไว้


ที่นี่มีคนมารวมกันอยู่มากมาย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าพวกเขามาเพื่อเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทรา


จอมยุทธที่ปรากฏให้เห็นไม่ได้มีแค่เผ่ามนุษย์อย่างเดียว จอมยุทธกว่าครึ่งเป็นเผ่าครึ่งอสูร และด้วยการที่ประชากรเผ่ามนุษย์มีมากที่สุดในทุกเผ่า แม้เผ่ามนุษย์บางคนจะดูเหมือนเผ่ามนุษย์บริสุทธิ์แต่แท้จริงแล้วพวกเขาก็มีสายเลือดของสัตว์อสูรไหลเวียนอยู่ในร่างกาย


ทุกคนต่อแถวเหยียดยาวเพื่อลงทะเบียนสมัครเข้าร่วมกองทัพ หลิงฮันกับจักรพรรดินีที่เพิ่งมาถึงได้เดินไปต่อหลังสุด ในโลกบรรพกาลพวกเขาอาจจะสามารถกำราบคู่ต่อสู้ทุกคนได้อย่างไม่ยากเย็น แต่สำหรับที่นี่ ระดับสร้างสรรพสิ่งนั้นไม่เพียงพอ


ในขณะที่กำลังต่อแถว ทั้งสองก็รับฟังบทสนทนาของคนอื่นๆเพื่อเพิ่มความเข้าใจที่มีต่อดินแดนแห่งเซียน เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่ทุกคนล้วนเอาแต่พูดถึงการรับสมัครเข้ากองทัพ


ครั้งนี้กองกำลังธุลีจันรทราจะรับสมัครคนหนึ่งพันคน หนึ่งพันคนที่ว่าจะถูกแบ่งออกเป็นสิบกลุ่ม กลุ่มละร้อยคน และหลังจากนี้อีกเก้าสิบปีในทุกๆปีแต่ละกลุ่มจะต้องมีคนถูกกำจัดออกไปปีละคน สุดท้ายแล้วในแต่ละกลุ่มจะเหลือคนอยู่เพียงสิบคน ซึ่งเมื่อรวมสิบกลุ่มแล้วก็จะเป็นร้อยคน ทั้งร้อยคนนี้จะกลายเป็นสมาชิกของกองกำลังธุลีจันรทราอย่างเป็นทางการ


ดินแดนแห่งเซียนเป็นโลกที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ แม้เมืองธุลีจันรทราจะเป็นเมืองที่มีผู้หนุนหลังแต่ก็ไม่ใช่เมืองร้างและจำเป็นจะต้องติดต่อค้าขายกับเมืองต่างๆ ด้วยเหตุนี้ปัญหาที่ต้องพบเจอจึงเป็นโจรภูเขาที่พบเจอระหว่างการเดินทางไปแต่ละเมือง ซึ่งภารกิจของกองกำลังธุลีจันรทราคือสังหารโจรภูเขาเหล่านี้


อันที่จริงด้วยการที่ว่ากลุ่มโจรภูเขานั้นเป็นขุมอำนาจที่มีระดับต่ำกว่าโลกียนิพพาน เหล่านิรันดร์ของเมืองธุลีจันรทราจึงไม่คิดจะเสียเวลาตามหาและจัดการกลุ่มโจรภูเขาด้วยตัวเองและมอบให้เป็นหน้าที่ของกองกำลังธุลีจันรทรา


นอกจากนั้น หลังจากเข้าร่วมกับกองกำลังธุลีจันรทราแล้ว นอกจากจะได้ทรัพยากรบ่มเพาะตามที่กำหนดแล้ว หากขยันทำผลงานให้กองทัพก็ยังมีจะได้รับทักษะระดับนิรันดร์ด้วย และที่ดึงดูดใจทุกคนมากที่สุดเลยคือ หากทำผลงานได้ดีจะมีโอกาสไต่เต้าและได้เข้าร่วมกับตระกูลฟู่


ความเร็วการลงทะเบียนเป็นไปอย่างเชื่องช้า หลายชั่วโมงผ่านไปแถวก็เพิ่งลดไปครึ่งเดียว เนื่องจากพวกหลิงฮันมาช้าตอนนี้พวกเขาก็ยังคงรั้งอยู่ท้ายแถวโดยที่ไม่มีใครมาต่อหลังแม้แต่คนเดียว


แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็ลอยมาแต่ไกลและพุ่งไปยังเจ้าหน้าที่รับสมัครตรงๆ


เห็นได้ชัดว่ารุ่นเยาว์ผู้นั้นลัดแถว แต่เจ้าหน้าที่รับสมัครกลับไปขับไล่เขาและต้อนรับอย่างสุภาพ


เหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนโกรธเป็นอย่างมากและโอดครวญอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม


“มันหมายความว่าอย่างไร?”


“ใช้แล้ว พวกเราต่อแถวกันอยู่แท้ๆ ทำไมเขาถึงได้ลัดแถวไปได้?”


“ไม่ยุติธรรม!”


แต่ทว่า ทันใดนั้นก็เสียงใครบางคนเค้นเสียงเย็นชาและกล่าว “เจ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาเป็นใคร?”


“ใครกัน?”


ชายที่เอ่ยเสียงเย็นชาส่ายหัวราวกับพบเห็นคนโง่ “เขาคนนั้นคือยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งตระกูลติง ติงเซี่ยวเฉิน! หากเขาต้องการทำตามอำเภอใจในนิกายจันทราหม่นแสง จะมีใครทำอะไรเขาได้?”


เมื่อได้ยินเช่นนี้ความรู้สึกไม่สบอารมณ์ของบางคนก็หายไป แต่ก็ยังมีบางคนที่บ่นพึมพำ “กองกำลังแห่งนี้ไม่ใช่ของตระกูลติงเสียหน่อย แต่เป็นของตระกูลฟู่! ยิ่งกว่านั้นนอกจากตระกูลติงแล้วที่นี่ก็ยังมีตระกูลใหญ่อยู่อีกสองตระกูล”


“ติงเซี่ยวเฉินมีพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธที่น่าอัศจรรย์ มีคำกล่าวว่าในระดับวารีนิรันดร์เขาควบแน่นดวงดาวได้เกินกว่าหกล้านดวง ตอนนี้เมื่อบรรลุเป็นราชาเซียนแล้วในระดับพลังเดียวกันจึงไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้”


“แต่ก็น่าแปลก มีเหตุผลอันใดที่ติงเซี่ยวเฉินจำเป็นต้องเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทรา? คนเช่นเขามีรึจะขาดแคลนทรัพยากรบ่มเพาะ?”


“เหอๆ บางทีเขาอาจแค่อยากโอ้อวดตัวเองเท่านั้น”


“ผิดแล้ว ผิดแล้ว!” ใครบางคนส่ายนิ้วอย่างอวดรู้ เมื่อเห็นว่าคนรอบข้างหันมามองที่ตนเองเขาก็หัวเราะและกล่าวต่อ “วันนี้จะมีใครบางคนมาที่นี่ ติงเซี่ยวเฉินมาเพื่อคนคนนั้น”


“ใครกัน?” คนรอบข้างเอ่ยถาม


“เดี๋ยวพวกเจ้าก็รู้” เขาแสร้งทำเป็นลึกลับ


ในระหว่างนั้นเอง เสียงเอะอะก็ดังขึ้นจากในกลุ่มคนที่อยู่แถวหน้า


“เกิดอะไรขึ้น?” เหล่าคนที่อยู่หลังแถวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาไม่กล้าปลดปล่อยสัมผัสสวรรค์ไปตรวจสอบเนื่องจากที่นี่มีปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานอยู่


“ติงเซี่ยวเฉินมีศักยะภาพสามดาว!” ผ่านไปไม่นานใครบางคนที่อยู่หน้าแถวก็เอ่ยปากเล่า


“ว่าไงนะ!” ทุกคนตกตะลึง


ในดินแดนแห่งเซียนมีวิธีการวัดพรสวรรค์อยู่อีกรูปแบบหนึ่ง นอกจากพรสวรรค์ในการต่อสู้ข้ามระดับแล้ว ยังมีพรสวรรค์อีกอย่างหนึ่งคือศักยภาพในการเติบโต


ศักยภาพหนึ่งดาวคือคุ้มค่าที่จะฝึกฝน สองดาวคืออัจฉริยะ และสามดาวคืออัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ!


สมกับเป็นราชารุ่นเยาว์ของตระกูลติง น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!


“เหล่าจอมยุทธที่ได้รับการฝึกฝนจากสามตระกูลใหญ่เป็นเช่นนี้ทุกคน?” ใครบางคนเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือ


“ก่อนหน้านี้มีอัจฉริยะจากสามตระกูลหลายคนปรากฏตัวก็จริง แต่อย่างมากก็มีศักยะภาพเพียงสองดาวครึ่ง”


“โดยส่วนมากแล้วทุกคนจะมีศักยภาพแค่หนึ่งดาว”


หลายคนส่ายหัว ความแตกต่างนี้กว้างใหญ่จนพวกเขาทำได้เพียงแหงนมอง


‘พรึบ’ ทันใดนั้นเอง ร่างอีกร่างหนึ่งก็ลอยใกล้เข้ามา นางสวมชุดสีแดงส่องประกาย ผิวของนางขาวกระจ่างใสดั่งหิมะ ผมสลวยสีดำดั่งหยกและมีใบหน้าที่งดงาม


“นางคือเม่าซูอวี่! บุตรสาวคนเดียวของปรมาจารย์เม่าไต้ ผู้ซึ่งเป็นแม่ทัพสูงสุดของกองกำลังธุลีจันรทรา!”


“ว่าไงนะ แม่ทัพสูงสุดเม่าไต้? ไม่ใช่ว่าคนผู้นั้นคือนิรันดร์สามนิพพานหรอกรึ!”


“เข้าใจแล้ว ที่แท้ติงเซี่ยวเฉินก็มาที่นี่เพราะเม่าซูอวี่”


“ปรมาจารย์เม่าเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเพียงคนเดียวที่ไม่เป็นคนของสามตระกูลใหญ่ของเมืองธุลีจันรทรา แถมยังเป็นระดับโลกียนิพพานสามนิพพาน ด้วยพรสวรรค์ของเขาการจะบรรลุขั้นสมบูรณ์อย่างสี่นิพพานย่อมไม่ใช่ปัญหา เมื่อถึงตอนนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะได้เข้าร่วมตระกูลฟู่และมีอนาคตที่รุ่งโรจน์”


“เพราะงั้นแล้วตระกูลใหญ่ทั้งสามจึงต้องการสร้างสายสัมพันธ์อันดีต่อปรมาจารย์เม่าเอาไว้ ในเมืองธุลีจันรทราแห่งนี้ นิรันดร์ระดับสามนืพพานเป็นตัวตนทรงพลังที่หากจะสู้ทั้งสามตระกูลก็ต้องทุ่มสุดตัว”


“หากต้องการสร้างสายสัมพันธ์ด้วย ไม่ใช่ว่าการแต่งงานคือวิธีที่ง่ายและรัดกุมที่สุดหรอกรึ?”


“โอ้ ถ้าหากข้ามีโอกาสได้แต่งงานกับนางก็คงดี!”


ในระหว่างที่ฝูงชนพูดคุยกับอย่างเอิกเกริก สตรีชุดแดงไม่ได้ใช้สถานะของตนเองลัดแถวเหมือนกับติงเซี่ยวเฉิน นางเคลื่อนที่ไปต่อหลังหลังหลิงฮันซึ่งเป็นท้ายสุดของแถว

 

 

 


ตอนที่ 1673

 

ติงเซี่ยวเฉินรีบเดินมาจากหน้าแถวด้วยสีหน้าหยิ่งยโสราวกับในที่นี้ไม่มีใครเลยที่อยู่ในสายตาของเขา


แต่เมื่อเดินมาถึงเม่าซูอวี่ ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็ยรอยยิ้มอันเป็นมิตรทันทีและกล่าว “ซูอวี่ ทำไมเจ้าต้องต่อแถวให้เสียเวลาด้วย? มากับข้า ข้าจะพาเจ้าไปด้านหน้าเอง”


“ติงเซี่ยวเฉิน ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกชื่อข้าห้วนๆอย่างสนิทสนม?” เม่าซูอวี่เผยท่าทางไม่สบอารมณ์ “เรียกข้าแม่นางเม่า หรือไม่ก็เม่าซูอวี่!”


ติงเซี่ยวเฉินชะงัก สีหน้าของเขาเผยถึงความรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยก่อนจะกวาดสายตามองไปยังหลิงฮันและจักรพรรดินีและคำรามอย่างโมโหเพื่อระบายความอับอาย “พวกเจ้ามองอะไร?”


หลิงฮันไม่คิดจะยอมถูกสบประมาท แต่ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากตอบโต้เม่าซูอวี่ก็ยื่นมือมาขวางเขาและกล่าว “เจ้าจะไปพาลหาเรื่องคนอื่นเพื่ออะไร?”


แววตาของติงเซี่ยวเฉินมืดมน เขาจดจ้องไปยังหลิงฮันด้วยแววตาเข่นฆ่าก่อนจะเค้นเสียงเดินจากไป


“ระวังหมอนั่นไว้ให้ดี เข้าต้องวางแผนทำอะไรเจ้าแน่” เม่าซูอวี่กล่าวกับหลิงฮัน “แต่ไม่ต้องกังวล หากมีข้าอยู่หมอนั่นคงไม่กล้าทำอะไร เมื่อการทดสอบเริ่มขึ้น เจ้าอยู่ข้างๆข้าเอาไว้แล้วจะปลอดภัย”


นางกล่าวอย่างมั่นใจ


หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ขอบคุณเจ้ามาก”


เขาตัดสินใจว่าหากได้เผชิญหน้ากับติงเซี่ยวเฉิน เขาจะสั่งสอนให้อีกฝ่ายรู้เองว่าสวรรค์และปฐพีนั้นต่างชั้นกันเพียงใด


แถวค่อยๆขยับไปด้านหน้าอย่างช้าๆ อัจฉริยะที่ปรากฏให้เห็นมีอยู่ไม่กี่คนเนื่องจากเมื่อเทียบกับขนาดของดินแดนแห่งเซียน เมืองนี้เป็นเพียงเมืองเล็กๆ


ในที่สุดแถวก็ขยับจนมาถึงพวกหลิงฮัน นอกจากพวกเขาสามคนสุดท้ายแล้วก็ไม่เหลือใครอื่นอีก


ในสามคนจักรพรรดินีเป็นคนแรกที่เดินขึ้นหน้า


การคัดเลือกคนสมัครเป็นเพียงขั้นตอนแรกของการทดสอบ คุณสมบัติของผู้ทดสอบคือต้องบรรลุระดับวารีนิรันดร์เป็นอย่างน้อย


การทดสอบแรกนั้นง่ายมาก จะมีหินก้อนหนึ่งที่ประทับรูปแบบอาคมเอาไว้ เมื่อโจมตีหินก้อนนั้นด้วยพลังทั้งหมดมันก็จะแสดงผลศักยะภาพของผู้ทดสอบออกมาโดยวัดจากพลังต่อสู้  ประสิทธิภาพของปราณก่อเกิดและทักษะบ่มเพาะ


กล่าวได้ว่าการทดสอบนี้ค่อนข้างแม่นยำพอสมควร


จักรพรรดินียกฝ่ามือขึ้นและผลักเบาๆเข้าใส่หินทดสอบ ‘ตูม’ หินทดสอบปลดปล่อยแสงสีขาวกระจ่างออกมาก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเส้นแสงสองเส้นก็ลอยออกมาจากฝั่งซ้ายขวาของหินทดสอบ


เส้นหนึ่งเป็นสีแดงและอีกเส้นหนึ่งเป็นสีม่วง เส้นสีแดงมีความสูงเพียงครึ่งหนึ่งของเส้นสีม่วงเท่านั้น


“ระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูง ศักยภาพสองดาวครึ่ง!” เจ้าหน้าที่ทดสอบมองจักรพรรดินีด้วยสีหน้าตกตะลึง ในการทดสอบนี้ ศักยภาพของนางเป็นรองเพียงแค่ติงเซี่ยวเฉิน!


แม้อัจฉริยะระดับนี้ไม่ได้มีแค่จักรพรรดินีคนเดียว แต่นางจะต้องแข็งแกร่งติดสิบอันดับแรกแน่นอน


เส้นแสงสีแดงแสดงถึงระดับพลังบ่มเพาะ ส่วนเส้นแสงสีม่วงแสดงถึงศักยภาพของผู้ทดสอบ หากความสูงของเส้นแสงสีม่วงสูงกว่าเส้นสีแดงแสดงว่าผู้ทดสอบมีพลังต่อสู้ที่สูงกว่าระดับพลังบ่มเพาะ ยิ่งเส้นสีม่วงสูงกว่าเส้นสีแดงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีศักยภาพสูงเท่านั้น


ผู้ทดสอบส่วนใหญ่นั้นจะมีเส้นแสงสีแดงและม่วงที่สูงเท่ากัน ซึ่งคนเหล่านี้จะถูกคัดออกจากการสมัครเข้ากองกำลังทันที


‘แสดงศักยภาพแค่สองดาวก็พอ’ นี่คือสิ่งที่หลิงฮันกับจักรพรรดินีตกลงกันเอาไว้ เนื่องจากพวกเขาไม่อยากเป็นที่สนใจมากเกินไปและยังรู้เรื่องของดินแดนแห่งเซียนกับเมืองธุลีจันรทราเพียงน้อยนิด แต่ดูเหมือนว่าจักรพรรดินีจะพลั้งมือโจมตีแรงเกินไปเล็กน้อยทำให้เผลอแสดงศักยภาพออกมาเป็นสองดาวครึ่ง


“ผ่าน หมายเลขของเจ้าคือ 5572!” เจ้าหน้าที่ทดสอบมอบแผ่นป้ายให้นาง เนื่องจากการทดสอบนี้ยังไม่ใช่การทดสอบหลักพวกเขาจึงคร้านเกินกว่าจะบันทึกชื่อของผู้เข้าทดสอบ


จักรพรรดินีรับแผ่นป้ายมาและขยับถอยหลังเล็กน้อยเพื่อรอหลิงฮัน


หลิงฮันยิ้มให้กับเม่าซูอวี่และกล่าว “เชิญแม่นางเม่าก่อน” ในฐานะสุภาพบุรุษ เขาสมควรยอมให้ตัวเองเป็นคนสุดท้าย


เม่าซูอวี่ไม่ปฏิเสธและก้าวเดินขึ้นหน้า หลังจากโคจรพลังชั่วครู่นางก็ปล่อยการโจมตีที่รุนแรงเข้าใส่ก้อนหินทดสอบ คลื่นแสงสีขาวถูกปลดปล่อยออกมาและหายไปอย่างรวดเร็วก่อนที่เส้นแสงสีแดงและม่วงจะพุ่งออกมาอีกครั้ง


“ระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุด ศักยภาพสามดาว!” เจ้าหน้าที่ทดสอบอุทาน ในที่สุดก็มีสุดยอดอัจฉริยะเทียบเท่าติงเซี่ยวเฉินปรากฏตัว ยิ่งกว่านั้นนางก็ยังเป็นสตรีที่งดงามมากอีกด้วย


แต่ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หนึ่งเป็นอัจฉริยะจากตระกูลติง ส่วนอีกคนเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของแม่ทัพสูงสุด ทั้งสองย่อมเกิดมาด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นกว่าคนอื่น


“แม่นางเม่า หมายเลขของท่านคือ 5573” เจ้าหน้าที่ทดสอบลุกขึ้นยืนอย่างสุภาพและมอบแผ่นป้ายให้เม่าซูอวี่


เมื่อรับแผ่นป้ายมาแล้วในขณะที่กำลังจะเดินจากไปจู่ๆเม่าซูอวี่ก็หยุดชะงัก นางขยับถอยหลังสองก้าวและหันไปมองหลิงฮัน


เนื่องจากหลิงฮันยอมให้นางทำการทดสอบก่อน อย่างน้อยนางก็ต้องการไว้หน้าอีกฝ่ายบ้างโดยการดูการทดสอบของเขาให้จบ ยิ่งกว่านั้นนางจะยังกล่าวไปก่อนหน้านี้ด้วยแล้วว่าหากพวกหลิงฮันอยู่ใกล้นาง นางจะรับประกันความปลอดภัยจากติงเซี่ยวเฉินให้


ในระยะที่ห่างออกไป ติงเซี่ยวเฉินกอดอกและแสยะยิ้ม


หลิงฮันที่แต่เดิมคิดจะไม่ทำตัวโดดเด่นเมื่อเห็นท่าทีของติงเซี่ยวเฉินก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เขาหันมองติงเซี่ยวเฉินพร้อมกับชี้นิ้วไปยังหินทดสอบ


‘พรึบ’ ปราณดาบพุ่งทะยานออกไป หินทดสอบปลดปล่อยคลื่นแสงสีขาวออกมาก่อนที่เส้นแสงสีแดงและม่วงจะปรากฏให้เห็น


“ระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูง ศักยภาพสามดาวครึ่ง!” เจ้าหน้าที่ทดสอบมองไปยังก้อนหินทดสอบด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเป็นบ้า


หินทดสอบพังรึเปล่า?


สามดาวครึ่ง? บ้าไปแล้ว…


“ว่าไงนะ!” ติงเซี่ยวเฉินไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้ เขารีบทะยานร่างเข้ามาใกล้และจดจ้องไปยังหินทดสอบ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว


หมอนี่เหนือกว่าเขา!


การที่มีศักยภาพถึงสามดาวครึ่งหมายความว่าอย่างไร?


อัจฉริยะเช่นนี้มีคุณสมบัติจะบรรลุเป็นAnchorระดับโลกียนิพพานสี่นิพพาน!


แต่พูดก็พูดแล้ว จอมยุทธระดับนิรันดร์นั้นทั้งๆที่มีอายุขัยที่ไม่จำกัดแท้ๆ ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาหลานพันล้านปีของดินแดนแห่งเซียนก็สมควรจะมีนิรันดร์อยู่มากมาย แต่เหตุใดความจริงกลับมีจำนวนอยู่น้อยนิด นั่นเพราะสวรรค์และปฐพีของที่นี่มีสิ่งที่เรียกว่าบาปเคราะห์แห่งสวรรค์ ในทุกๆหนึ่งร้อยล้านปีหากนิรันดร์ไม่แข็งแกร่งพอที่จะผ่านพ้นบาปเคราะห์แห่งสวรรค์ไปได้ ต่อให้เป็นราชานิรันดร์ก็โอกาสสิ้นชีพ


หลังจากบรรลุระดับโลกียนิพพาน แม้จะมีอายุขัยไร้สิ้นสุดแต่นิรันดร์ส่วนใหญ่ก็ตกตายด้วยบาปเคราะห์แห่งสวรรค์


มีคำกล่าวว่าราชาสวรรค์เก้าระดับนั้น การจะทะลวงผ่านแต่ละระดับเป็นเรื่องยากลำบากราวกับก้าวเท้าไต่เต้าขึ้นสวรรค์

 

 

 


ตอนที่ 1674

 

ตามหลักทั่วไปแล้ว ศักยภาพหนึ่งดาวคือพรสวรรค์ที่จะสามารถกลายเป็นนิรันดร์หนึ่งนิพพาน สองดาวคือสามารถกลายเป็นนิรันดร์สองนิพพาน และสามดาวคือนิรันดร์สามนิพพาน


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น


แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือการจะบรรลุระดับโลกียนิพพานสี่นิพพานได้นั้น จะเป็นต้องมีศักยภาพสามดาวครึ่งเป็นอย่างน้อย


Anchor


ติงเซี่ยวเฉินมองไปยังหลิงฮันด้วยสายตาอิจฉา ศักยภาพสามดาวครึ่งเป็นพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก! อย่างน้อยอีกฝ่ายจะสามารถบรรลุเป็นนิรันดร์สามนิพพานได้อย่างไร้ข้อกังขา


แม้ศักยภาพจะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่หากไม่ใช่ด้วยทักษะบ่มเพาะที่ทรงพลังหรือสมุนไพรล้ำค่าศักยภาพก็ไม่อาจแปรเปลี่ยน


ที่ติงเซี่ยวเฉินไม่รู้คือหลิงฮันกับจักรพรรดินีเพียงแค่แสร้งทำเท่านั้น ศักยภาพที่แท้จริงของทั้งสองสูงล้ำยิ่งกว่าสามดาวครึ่งไปอีกมาก หากรู้เรื่องนี้ติงเซี่ยวเฉินจะทำหน้าอย่างไร?


“ผ่าน หมายเลขของเจ้าคือ 5574” เจ้าหน้าที่ทดสอบลุกขึ้นยืนอีกครั้งและมอบแผ่นป้ายให้หลิงฮัน


บางทีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า รุ่นเยาว์ผู้นี้อาจจะสร้างตำนานครั้งใหม่ได้เหมือนกับเม่าไต้


“เจ้าชื่ออะไร มาจากไหน?” เม่าซูอวี่จ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาส่องประกาย


หลิงฮันยิ้มและตอบกลับ “ข้าคือหลิงฮัน ข้าเก็บตัวอาศัยอยู่ในป่าเขามาตลอด เมื่อไม่นานนี้ฝูงสัตว์อสูรได้บุกทำลายหมู่บ้านของพวกข้า พวกข้าเลยหลบหนีมายังเมืองธุลีจันรทราแห่งนี้”


นี่คำโกหกนี้เป็นสิ่งที่เขาตกลงกับจักรพรรดินี จักรพรรดิเพลิงอัสนีและสุนัขตัวเอาว่าจะกล่าวให้ตรงกัน


“หลิงฮันงั้นรึ?” ติงเซี่ยวเฉินด้าวเดินเข้ามาใกล้และกวาดสายตามอง “ข้าจะมอบโอกาสให้เจ้าได้เป็นผู้ติดตามของข้า อย่าได้คิดว่านี่คือคำสบประมาท ความจริงแล้วมีอีจฉริยะไม่รู้กี่คนที่อยากเป็นผู้ติดตามของข้าแต่ก็ไม่มีโอกาสเช่นเจ้า”


แน่นอนว่าเขาไม่ได้คิดจะมอบโอกาสอะไรให้หลิงฮันทั้งนั้น เขาแต่อยากเก็บอัจฉริยะเช่นนี้เอาไว้ข้างกายและคอยหาโอกาสสังหาร


สุดยอดอัจฉริยะของเมืองธุลีจันรทรามีแค่เขาคนเดียวก็เกินพอ


“ไม่สนใจ” หลิงฮันปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด


ใบหน้าของติงเซี่ยวเฉินเปลี่ยนเป็นมืดมนและกล่าว “เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ!”


“เหอๆ” หลิงฮันคร้านจะสนใจและหัวเราะแห้ง


“อย่ามายุ่งกับเขา!” เม่าซูอวี่เค้นเสียง “ติงเซี่ยวเฉิน ข้าขอเตือนว่าอย่าได้คิดจะก่อปัญหาใดๆ ข้าจะแนะนำคนผู้นี้ให้แก่ท่านพ่อเพื่อดูว่าเขาสนใจรับศิษย์หรือไม่ หากเจ้าวางแผนชั่วร้ายใดๆ ต่อให้เจ้าเป็นคนของตระกูลติงท่านพ่อของข้าก็ไม่มีทางไว้ชีวิตเจ้า!”


ติงเซี่ยวเฉินเผยสีหน้าเกรี้ยวกราด เขาจดจ้องหลิงฮันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มมุมปาก


ต่อให้มีศักยภาพสามดาวครึ่งแล้วจะอย่างไร? เขามีพลังบ่มเพาะสูงกว่าอีกฝ่ายหนึ่งขั้นย่อยซึ่งไม่ใช่ความต่างที่ศักยภาพครึ่งดาวจะทดแทนได้


การทดสอบครั้งต่อไปที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการปะทะอันรุนแรง ถ้าตอนนั้นเขาแอบสังหารอีกฝ่ายไปใครจะว่าอะไรได้?


เขาไม่กล่าวอะไรต่อ แต่สายตาอันเต็มไปด้วยจิตสังหารนั้นยากจะปิดบัง


หลิงฮันไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง เขาสัญญาไว้กับหูหยู่ก็จริงว่าจะช่วยทำลายตระกูลติง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ชอบสังหารใครสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่ดี แม้ตระกูลติงจะชั่วร้ายแต่ก็สมควรมีคนบางส่วนที่จิตใจดี


แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว ไม่ว่าตระกูลติงจะมีคนดีอยู่ด้วยหรือไม่เขาก็จะลบตระกูลนี้ให้หายไป


“คนที่ได้แผ่นป้ายขอให้เคลื่อนที่ไม่ยังการทดสอบต่อไป” เจ้าหน้าที่ทดสอบวัยกลางคนปรากฏตัว เขาคือจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งสูงสุด ในโลกบรรพกาลเขาอาจจะจัดว่าเป็นปรมาจารย์ไร้เทียมทาน แต่ที่นี่เขาเป็นได้แค่เจ้าหน้าที่ทดสอบทั่วไปเท่านั้น


ผู้ผ่านทดสอบรอบแรกกว่าห้าพันคนก้าวเดินไปยังตีนเขาด้านหน้า


เจ้าหน้าที่ทดสอบวัยกลางคนก้าวเท้าตามมาและกล่าว “จากนี้ไปอีกร้อยปีข้าจะรับหน้าที่เป็นผู้แนะแนวให้แก่พวกเจ้า! ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะเป็นใครมาจากไหน หากอยู่ที่นี่พวกเจ้าก็เป็นเพียงทหารธรรมดาคนหนึ่ง พวกเจ้าเข้าใจรึไม่?”


“เข้าใจ!” ผู้ทดสอบกว่าห้าพันคนตะโกน


“ชื่อของข้าคือถูคัง พวกเจ้าสามารถเรียกข้าว่าผู้แนะแนวถู” เจ้าหน้าที่ทดสอบผู้นั้นกล่าวต่อ “ข้าจะขอประกาศกฎของการทดสอบคัดคนให้ฟัง เบื้องหน้านี้มีภูเขาอยู่เก้าลูกและมีฝูงของหมาป่าเงาโลหิตอยู่มากมาย พลังของพวกมันมีตั้งแต่ระดับวารีนิรันดร์ไปจนถึงระดับสร้างสรรพสิ่ง หน้าที่ของพวกเจ้าคือนำหางของหมาป่าเงาโลหิตกลับมาให้ได้”


เขาหยุดเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “มีเพียงผู้ทดสอบหนึ่งพันคนแรกที่นำหางของหมาป่าเงาโลหิตกลับมาได้เท่านั้นถึงจะผ่านการทดสอบนี้ สำหรับคนอื่นๆที่ช้าไม่ว่าจะมีเหตุผลอันใดก็จะถือว่าไม่ผ่านการทดทอบทันที!”


“ในระหว่างการทดสอบ ทุกคนต้องรับผิดชอบชีวิตของตนเอง! หากใครหวาดกลัวความตายก็ขอให้ไสหัวไป”


ความจริงผู้ทดสอบบางส่วนรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่รู้และเกิดความรู้สึกลังเล


ผู้เข้าทดสอบสามร้อยกว่าคนขอถอนตัว แต่ถึงอย่างนั้นจำนวนของผู้ทดสอบที่เหลือก็ยังมีมากกว่าห้าพันคนอยู่ดี


“ถ้างั้นก็เริ่มการทดสอบได้!” ถูคังดีดนิ้วส่งสัญญาณ


‘พรึบ’ ผู้ทดสอบทั้งห้าพันกว่าคนพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว การทดสอบครั้งนี้ไม่ใช่แค่ต้องแข็งแกร่งอย่างเดียวแต่ต้องพึ่งพาดวงด้วย ยกตัวอย่างเช่น ผู้ทดสอบระดับวารีนิรันดร์นั้นไม่มีทางสังหารหมาป่าเงาโลหิตระดับสร้างสรรพสิ่งได้แน่ๆ แต่หากพวกเขาโชคดีก็จะได้พบกับหมาป่าเงาโลหิตระดับวารีนิรันดร์เหมือนกันและมีโอกาสที่จะผ่านการทดสอบหนึ่งพันคนแรก


“ตามข้ามา” เม่าซูอวี่รักษาคำพูดที่ว่าจะคุ้มครองทั้งสองคน นางกวักมือเรียกหลิงฮันกับจักรพรดินี


หลิงฮันและจักรพรรดินีไม่คิดอะไรมากและยอมตามนางไป  พวกเขาทั้งสามคนทะยานร่างพุ่งเข้าสู่ภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้


ในโลกบรรพกาล หากไม่ใช่เซียนที่ฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติ ความเร็วของเซียนทุกระดับนั้นแทบจะทัดเทียมกัน


แต่ในดินแดนแห่งเซียนนั้น ด้วยอำนาจของสวรรค์และปฐพีที่สมบูรณ์ ทำให้ความเร็วของจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งแต่ละระดับมีความแตกต่างกัน


ราชาเซียนย่อมรวดเร็วกว่าเซียนระดับสูง เซียนระดับสูงย่อมรวดเร็วกว่าเซียนระดับกลาง แต่ก็แน่นอนว่าหลักการนี้ใช้ไม่ได้กับอัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาดอย่างหลิงฮันกับจักรพรรดินี


เม่าซูอวี่ไม่รู้เรื่องนี้ นางจงใจลดความเร็วของนางลงเพราะกลัวว่าหลิงฮันกับจักรพรรดินีจะไล่ตามไม่ทัน เพียงแต่ว่าด้วยความเร็วเท่านี้ก็เพียงพอแล้วเนื่องจากมีผู้ทดสอบระดับราชาเซียนอยู่เพียงราวๆสามร้อยคนเท่านั้น


ติงเซี่ยวเฉินไล่ตามทั้งสามมาจากด้านหลังด้วยสายตาที่ราวกับเหยี่ยวจดจ้องเหยื่อ หากเม่าซูอวี่ประมาทแม้แต่นิดเดียวเขาจะลงมือสังหารหลิงฮันให้ตายในพริบตา


หากเม่าซูอวี่ไม่อยู่ที่นี่ หลิงฮันเองก็ยินดีที่จะล่อติงเซี่ยวเฉินไปยังสถานที่ลับตาคนเพื่อจัดการอีกฝ่ายเช่นกัน


เขาหันไปชูนิ้วกลางให้กับติงเซี่ยวเฉินและขยับปากเป็นคำด่าหยาบคาย


เจ้าตัวบัดซบ!


ใบหน้าของติงเซี่ยวเฉินกลายเป็นมืดมน เขาขอสาบานเลยว่าหากหลิงฮันตกมาอยู่ในเงื้อมมือของเขาเมื่อไหร่ เขาจะทำทุกวิถีทางให้อีกฝ่ายตกตายอย่างไม่มีทางหนีรอด!

 

 

 


ตอนที่ 1675

 

ผู้ทดสอบกว่าห้าพันคนทะยานร่างเข้าสู่ภูเขาพงไพรในขณะที่สายตาจดจ้องไปยังผู้ทดสอบคนอื่นๆนอกจากตนเองอยู่เป็นระยะ เห็นได้ชัดว่าหากมีโอกาส พวกเขาก็ติดจะแย่งชิงหางของหมาป่าเงาโลหิตจากผู้อื่น


พวกหลิงฮันสามคนยังคงตามหลังคนอื่นๆ ส่วนติงเซี่ยวเฉินนั้นผ่านไปครู่ๆหนึ่งก็จู่ๆร่างของเขาก็พุ่งทะยานหายไป


อีกฝ่ายไม่ได้ยอมแพ้ แต่ตั้งจะแอบลอบหาโอกาสลอบโจมตีจากเงามืด


หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “พวกเราเคลื่อนที่ให้ไวกว่านี้ดีไหม?”


เม่าซูอวี่ประหลาดใจ ในความคิดของนางนี่คือความเร็วสูงสุดที่จอมยุทธระดับสร้างสรรพขั้นสูงจะเคลื่อนที่ได้แล้ว


แต่ถึงอย่างนั้นหลิงฮันกลับขอให้เคลื่อนที่เร็วกว่านี้?


นี่เจ้าคิดจะโอ้อวด?


เม่าซูอวี่ไม่ใช่คุณหนูที่บอบบางที่จะถามจุกจิก ด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของนาง นางไม่พูดพล่ามอะไรสักคำและเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น


หลังจากเคลื่อนที่ไปได้สักพักนางก็หันกลับมามองหลิงฮันและจักรพรรดินี นางตกตะลึงจนเผลชะงัก หลิงฮันกับจักรพรรดินียังคงไล่ตามนางมาติดๆในระยะห่างสามฟุตเท่าเดิม!


เม่าซูอวี่ตกตะลึง แม้นางจะรู้ว่าทั้งสองคนเป็นอัจฉริยะที่มีศักยภาพโดดเด่น คนหนึ่งสามดาวครึ่งอีกคนสองดาวครึ่ง แต่ความต่างของระดับพลังหนึ่งขั้นย่อยก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทดแทนด้วยศักยภาพอยู่ดี


พวกเจ้าเป็นสัตว์ประหลาด?


เขาค่อยๆเร่งระดับความเร็วให้สูงขึ้น แต่นางก็ต้องตกละลึงยิ่งไปกว่าเดิมเนื่องจากว่าหลิงฮันจักรพรรดินียังคงไล่ตามนางมาติดๆและรักษาระยะห่างสามฟุตเอาไว้ได้


ขีดกำจัดของพวกเจ้าคือความเร็วระดับไหน?


ในที่สุดเม่าซูอวี่ก็ระเบิดความเร็วสูงสุดออกมา พริบตาเดียวร่างของนางก็ทะยานกลายเป็นสายลมกรรโชก


เพียงแต่นางก็ยังไม่สามารถสลัดหลิงฮันกับจักรพรรดิได้อยู่ดี นางพอเดาได้ว่าทั้งสองยังไม่ได้เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดเนื่องจากทั้งสองยังคงรักษาระยะห่างสามฟุตได้อยู่


ที่จริงเม่าซูอวี่เองก็ยังเร่งระดับความเร็วได้อีก แต่การจะทำเช่นนั้นจำเป็นต้องโคจรทักษะซึ่งไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้นานนัก


ติงเซี่ยวเฉินที่ตามอยู่ด้านหลังไล่ตามมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ระยะของเขากับพวกหลิงฮันก็เริ่มห่างขึ้นเรื่อยๆจนสุดท้ายเขาก็สูญเสียร่องรอยของทั้งสามคนไปอย่างสิ้นเชิง


ด้วยภูมิประเทศอันคดเคี้ยวและเต็มไปด้วยป่าไม้ พวกเขาจึงต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็มในการเดินทางมายังภูเขาลูกที่เก้า


นี่คือถิ่นอาศัยของหมาป่าเงาโลหิต


“ระวังตัวด้วย หมาป่าเงาโลหิตเป็นสัตว์อสูรที่อยู่รวมกับเป็นฝูง กล่าวง่ายๆคือฝูงของพวกมันกลุ่มหนึ่งจะมีราชาหมาป่าเงาโลหิตอยู่หนึ่งตัว องครักษ์หมาป่าเงาโลหิตสี่ถึงสิบตัวและหมาป่าเงาโลหิตทั่วไปนับร้อย”


“ราชาหมาป่าเงาโลหิตและองครักษ์หมาป่าเงาโลหิตคือสัตว์อสูรระดับสร้างสรรพขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด ราชาหมาป่าเงาโลหิตจะมีพลังต่อสู้ที่เหนือกว่าระดับสร้างสรรพขั้นสูงสุดทั่วไป มันคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในระดับสร้างสรรพสิ่งเลยก็ว่าได้” เม่าซูอวี่อธิบายให้กับพวกหลิงฮัน


หลิงฮันและจักรพรรดินีพยักหน้า แม้พวกเขาจะไม่เห็นหมาป่าที่ว่าอยู่ในสายตาแต่ฟังไว้ก็ไม่เสียหาย


“ขอแค่ได้หางของหมาป่าเงาโลหิตมาก็ถือว่าผ่านการทดสอบ พวกเราไม่จำเป็นต้องบุกไปในรังของพวกมัน แค่จัดการตัวที่แยกออกจากฝูงมาตัวเดียวก็พอ” เม่าซูอวี่กล่าวต่อ


“อืม” หลิงฮันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม


แต่กลุ่มพวกเขานับว่าโชคร้ายมาก แม้จะสามารถหารังของหมาป่าเงาโลหิตพบอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนของพวกมันกลับรวมกลุ่มกันอยู่เกินกว่าร้อยตัว หมาป่าเงาโลหิตที่มีระดับพลังอยู่ที่สร้างสรรพสิ่งมีมากถึงสามสิบตัว ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคงเป็นราชาหมาป่าเงาโลหิต หลิงฮันมั่นใจว่าต่อให้เป็นราชาเซียนชิงอวี่หรือโอวหยางไท่ซานก็ไม่ใช่คูต่อสู้ของมัน


“พวกเราต้องเฝ้ารอโอกาส ต้องมีหมาป่าเงาโลหิตสักตัวที่แยกออกไปตัวเดียวแน่” เม่าซูอวี่กล่าว นางไม่กล้าเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าเงาโลหิตตรงๆ


หลิงฮันกวาดสายตามองก่อนที่ดวงตาของเขาจะส่องประกาย “ภรรยาข้า เจ้าดูนั่น!” เขาชี้ไปยังรังของหมาป่าเงาโลหิต


รังของหมาป่าเงาโลหิตนั้นเรียบง่าย พวกมันใช้โขดหินสร้างเป็นที่กำบังลมและฝนเท่านั้น ที่โขดหินที่สูงที่สุดมีราชาหมาป่าเงาโลหิตนอนอยู่ ขนของมันเป็นสีแดงยิ่งกว่าตัวไหนๆทำให้ดูน่ายำเกรงเป็นอย่างมาก


ด้านหลังของมันมีองครักษ์หมาป่าเงาโลหิตแปดตัวนั่งอยู่ ในขณะที่หมาป่าเงาโลหิตตัวอื่นๆอยู่ในโขดหินที่ต่ำกว่า


ภายในส่วนลึกที่สุดของรังโขดหิน พืชต้นหนึ่งกำลังส่องประกายอย่างเด่นชัดและแพร่กระจายกลิ่นหอมไปทั่วทิศทาง


“สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ!” ตาของจักรพรรดินีเป็นประกาย


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “มันสมควรเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำระดับสูง เห็ดดวงจิตปราชญ์”


“พวกเจ้าอย่าได้ผลีผลาม!” เม่าซูอวี่รีบกล่าวเตือน “แม้สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำต้นนั้นจะน่าดึงดูด แต่หากถูกหมาป่าเงาโลหิตเหล่านั้นไล่ล่า พวกเราคงต้องหนีเผ่นหนีอย่างเดียว”


การหนีเอาตัวรอดนั้นใช่ว่าจะยากลำบาก แต่หากถูกไล่ล่าจะผ่านการทดสอบได้อย่างไร?


ทันทีที่นางกล่าวจบ ร่างของจักรพรรดินีก็ก้าวเดินหน้าไปยังรังของฝูงหมาป่าเงาโลหิต


เม่าซูอวี่ตกตะลึงและคิดจะรั้งจักรพรรดินีเอาไว้แต่ก็ถูกหลิงฮันห้าม


“ไม่ต้องกังวล ให้นางไป” หลิงฮันกล่าว


เม่าซูอวี่จ้องหลิงฮันเขม็งทันที ท่าทีเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร? สตรีผู้นั้นเป็นภรรยาของเจ้าแท้ๆแต่เจ้ากลับปล่อยให้นางเผชิญภัยอันตรายเพียงเพราะต้องการการสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ!


ภายในจิตใจของนางปะทุได้ด้วยเพลิงพิโรธ หลังจากนี้นางจะขอแยกกลุ่มกับหลิงฮันแน่นอน แค่คิดว่าต้องอยู่ข้างกายบุรุษเช่นนี้ก็แทบจะทำให้นางอาเจียนออกมา


แต่ทว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถัดมาได้ทำให้ดวงตาของนางเปิดกว้างด้วยความตะลึง


หมาป่าเงาโลหิตไม่ทำการโจมตีใดๆต่อจักรพรรดินีที่กำลังเดินเข้าไปใกล้ ตรงกันข้าม พวกมันแต่ละตัวก้มหัวลงราวกับหวาดกลัวจักรพรรดินี


อะไรกัน!


เม่าซูอวี่ขยี้ตาด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ


ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้?


นางจ้องมองจักรพรรดินีที่ค่อยๆเก็บสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำขึ้นมาและตัดหางของหมาป่าเงาโลหิตสามตัว แม้หมาป่าเงาโลหิตทั้งสามจะร้องโอดครวญอยู่ครู่หนึ่ง พวกมันก็ไม่ตอบโต้ใดๆ


หลิงฮันเข้าใจสถานการณ์ดี ทั้งเขาและจักรพรรดินีต่างทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่งด้วยดวงดาวสิบล้านดวง พลังต่อสู่ของพวกเขาทรงพลังจนสามารถบดขยี้ศัตรูระดับสร้างสรรพสิ่งได้ทั้งหมดทั้งมวล เหล่าจอมยุทธด้วยกันอาจจะรับรู้ไม่ได้ แต่หมาป่าเงาโลหิตสามารถสัมผัสได้จากสัญชาตญาณนักล่า


พวกมันเป็นนักล่าแต่ก็หวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง จักรพรรดินีคือราชาในหมู่ราชา ต่อหน้านางแม้แต่ราชาหมาป่าเงาโลหิตก็ยังเชื่องราวกับสุนัข

 

 

 


ตอนที่ 1676 สงครามแย่งผู้นำ

 

คำว่า ‘อัจฉริยะ’ และ ‘ราชา’ นั้นมักถูกใช้ให้เห็นอยู่ตลอด สำหรับจอมยุทธที่มีความเก่งกาจมากกว่าจอมยุทธตัวไป พวกเขาจะถูกเรียกว่า ‘อัจฉริยะ’ หากมีพรสวรรค์ยิ่งกว่านั้นขึ้นไปอีกก็จะถูกเรียกว่า ‘สุดยอดอัจฉริยะ’ หรือ ‘อัจฉริยะแนวหน้า’


แต่ในดินแดนแห่งเซียน การจะถูกเรียกว่าราชาในระดับนิรันดร์อย่างAnchorระดับโลกียนิพพานหรือระดับขอบเขตตำหนักอมตะนั้นยังไม่ค่อยกระจ่างเท่าไหร่ แต่สำหรับระดับพลังที่ต่ำกว่านิรันดร์ มีเพียงอัจฉริยะที่บรรลุขีดจำกัดแท้จริงของระดับวารีนิรันดร์ได้เท่านั้นถึงจะถูกเรียกว่าราชา


จำนวนของราชาเช่นนี้มีอยู่น้อยนิด ต่อให้เป็นนิกายใหญ่ยักษ์ก็ยังบ่มเพาะทายาทเช่นนั้นได้เพียงหยิบมือ


จักรพรรดินีเดินกลับมาหาหลิงฮันและยื่นสมุนไพรให้แก่เขา


สมุนไพรต้นนี้สามารถนำไปปลูกในหอคอยทมิฬและนำมาใช้ได้ตลอดเวลา ยิ่งตอนนี้หอคอยทมิฬเปิดถึงชั้นที่หกแล้ว ไม่เพียงแต่ความเร็วในการเติบโตของพืชจะเพิ่มขึ้นแต่ประสิทธิภาพของพวกมันยังสูงขึ้นอีกด้วย


จักรพรรดินียื่นหางหมาป่าเงาโลหิตให้แก่หลิงฮันกับเม่าซูอวี่


ทั้งสมุนไพรหรือหางหมาป่าเงาโลหิตก็ได้มาแล้ว ถึงเวลาที่พวกเขาจะออกไปจากที่นี่


เม่าซูอวี่รับหางหมาป่าเงาโลหิตมาด้วยสีหน้าเหม่อลอย นางยังคงเรียกสติกลับมาไม่ได้ สิ่งที่อยู่ในหัวของนางมีแต่คำว่า ‘เป็นไปได้อย่างไร!’


“จะอย่างไรก็เถอะ นี่เวลาก็ยังผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ มาหาสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำเพิ่มกันดีกว่า” หลิงฮันดวงตาเป็นประกาย


จักรพรรดินีพยักหน้า หากหลิงฮันต้องการไม่ว่าเรื่องอะไรนางก็ไม่ปฏิเสธ


เม่าซูอวี่ที่กำลังมึนงงเดิมตามทั้งสองไปอย่างไร้สติ


หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาก็เก็บเกี่ยวสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำมาได้หกต้น เมื่อเม่าซูอวี่ได้สติกลับมานางก็เร่งให้พวกเขารีบกลับเพราะกลัวว่าจะไม่ทันพนึ่งพันสิทธิ์


หลิงฮันยังรู้สึกไม่พอใจกับสมุนไพรหกต้นและคิดในใจว่าในอนาคตจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง


พวกเขาเดินทางกลับ ระหว่างทางแม้จะพบการลอบโจมตีของสัตว์อสูรหลายประเภทแต่เม่าซูอวี่ก็สามารถจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย


หนึ่งวันต่อมาพวกเขากลับมาถึงจุดรวมพล จากจำนวนของผู้ทดสอบที่กลับมาแล้วพวกเขาน่าจะอยู่ที่ลำดับราวๆหกถึงเจ็ดร้อย


ยังถือว่าผ่าน


ครึ่งวันต่อมาในที่สุดจำนวนคนก็ครบถึงหนึ่งพันคนและการทดสอบคัดเลือกก็ถึงคราวสิ้นสุด ถูคังเดินนำผู้ทดสอบหนึ่งพันคนไปยังค่ายพักกองกำลังที่ตีนเขา นี่คือสถานที่ที่พวกเขาจะอาศัยอยู่ไปอีกร้อยปี


ก่อนจะเข้าสู่ค่ายพัก ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงออร่าอันผันผวนที่ทรงพลังยิ่งกว่าของระดับสร้างสรรพสิ่ง


ระดับโลกียนิพพาน!


ในช่วงระยะเวลาร้อยปีนี้ รองแม่ทัพจะมาคอยเฝ้าดูแลสถานการณ์ชั่วคราว ซึ่งรองแม่ทัพของกองกำลังธุลีจันรทรานั้นมีอยู่ด้วยกันเพียงแค่หกคนเท่านั้น พวกเขามาอยู่ที่นี่เพื่อคอยควบคุมไม่ให้ผู้ทดสอบระดับสร้างสรรพสิ่งเหิมเกริม


และแน่นอนว่าถูคังไม่ใช่ผู้แนะแนวเพียงคนเดียวของที่นี่ ผู้แนะแนวมีอยู่ด้วยกันถึงสิบคน พวกเขาจะคอยทำหน้าที่ชี้นำวิธีการต่อสู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม เนื่องจากทหารกองกำลังนั้นไม่เหมือนจอมยุทธที่ต่อสู้อย่างสันโดษคนเดียว


ผู้แนะแนวทั้งสิบคนปรากฏตัวพร้อมกัน ในขณะที่มีรองแม่ทัพคนหนึ่งนั่งอยู่บนแท่นที่สูงขึ้นไปราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์และปฐพี


นิรันดร์ระดับระดับโลกียนิพพาน!


“พวกเราจะทำการเลือกหัวหน้ากลุ่มทั้งสิบกลุ่มจากผลลัพธ์ของการทดสอบคัดเลือกที่ผ่านมา ทั้งสิบคนคือหมายเลข 1700 534 895…” ถูคังกล่าวจบพร้อมกับโค้งคำนับนิรันดร์เบื้องบนเพื่อเป็นสัญญาณว่าจะดำเนินการทดสอบขั้นต่อไป


เมื่อนิรันดร์ผู้นั้นลืมตาขึ้น ทุกคนก็สั่นสะท้านรู้สึกราวกับจักรวาลกำลังจะล่มสลาย


“นั่นมันปรมาจารย์ติงหู่ นิรันดร์ระดับหนึ่งนิพพาน!”


“รองแม่ทัพของกองกำลังพยัคฆ์ขาว!”


ใครหลายคนกระซิบพูดคุยกัน เพียงเวลาไม่นานคนที่ไม่รู้จักตัวตนของรองแม่ทัพตรงหน้าก็เข้าใจว่าคนผู้นั้นเป็นใคร


กองกำลังธุลีจันรทรานั้นมีแม่ทัพสูงสุดคือแม่ทัพเม่าไต้ นิรันดร์ระดับสามนิพพาน ภายใต้อำนาจของแม่ทัพสูงสุดได้มีเหล่ารองแม่ทัพที่ปกครองสามกองกำลังย่อย ซึ่งก็คือกองกำลังมังกรคราม กองกำลังพยัคฆ์ขาวและกองกำลังหงส์เพลิง


ทำไมถึงเป็นสามกองกำลังย่อย ไม่ใช่สอง สี่หรือห้า? นั่นเพราะว่าในเมืองธุลีจันรทรามีขุมอำนาจตระกูลใหญ่อยู่เพียงสามตระกูล


ตระกูลต้วนควบคุมกองกำลังย่อยมังกรคราม ตระกูลติงควบคุมกองกำลังย่อยพยัคฆ์ขาวและตระกูลล้งควบคุมกองกำลังย่อยหงส์เพลิง


แต่ละกองกำลังย่อยมีรองแม่ทัพอยู่กองกำลังละสองคน


ผู้เข้าทดสอบส่ายหัว การที่ติงหู่อยู่ที่นี่ ติงเซี่ยวเฉินจะได้ตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่ว่าด้วยพลังของติงเซี่ยวเฉินเขาย่อมสามารถแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้ามาได้อยู่แล้ว เพราะงั้นทุกคนจึงไม่คัดค้านอะไร


“กฎของการทดสอบจะเป็นดังนี้… ตอนนี้ผู้นำกลุ่มทั้งสิบได้ถูกเลือกแล้ว ทั้งสิบคนนี้จำเป็นต้องรับการท้าประลองจากผู้ทดสอบคนอื่น หากชนะก็จะสามารถปกป้องตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มเอาไว้ได้ แต่หากแพ้ผู้ชนะจะกลายมาเป็นผู้นำกลุ่มแทน ระยะเวลาทดสอบคือสามวัน”


“นอกจากนั้น ในการประลองแค่ละครั้ง หากตัดสินผู้ชนะไม่ได้ภายในครึ่งชั่วโมง ผู้ที่ครองตำแหน่งผู้นำกลุ่มอยู่จะเป็นผู้ชนะ”


“หลังจากการประลองเสร็จสิ้นแต่ละครั้ง ผู้ชนะจะมีเวลาได้พักครึ่งชั่วโมง”


“และผู้นำกลุ่มคนใดไม่ถูกท้าประลองภายในครึ่งชั่วโมง จะถือว่าคนผู้นั้นได้รับตำแหน่งไปโดยปริยาย”


“ถ้าเช่นนั้น… เริ่มได้!”


ติงเซี่ยวเฉินและคนอื่นๆอีกเก้าคนเคลื่อนที่ไปยังลานประลองบริเวณกึ่งกลางค่ายกองกำลัง ดินแดนแห่งเซียนมีโครงสร้างที่แข็งแรงแถมยังมีนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานคอยควบคุมสถานการณ์อยู่ด้วย เพราะงั้นจึงไม่จำเป็นว่าจะมีการปะทะที่รุนแรงจนทำให้ค่ายกองกำลังพังทลายเกิดขึ้น


ผู้ท้าชิงค่อยๆปรากฏตัว หากต้องการจะคว้าตำแหน่งผู้นำกลุ่มเอาไว้จำเป็นต้องหาว่าในในสิบคนที่ครองตำแหน่งอยู่ใครคือคนที่อ่อนแอที่สุด เพราะงั้นจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน


หลังจากการท้าประลองระลอกแรก ผู้ครองตำแหน่งหกในสิบคนก็ถูกเปลี่ยน


หลิงฮันมองไปยังชายชราบนลานประลองและกล่าวกับจักรพรรดินี “พลังต่อสู้ของหมอนั่นไม่เลวเลย ดูเหมือนว่าสายเลือดของเขาจะต่างกับคนทั่วไป”


ในขณะที่ต่อสู้ ทั่วร่างของชายชราจะถูกห่อหุ้มไปด้วยชั้นเกล็ดหนาสีดำ ด้วยความสามารถนี้ทำให้อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวการโจมตีของศัตรูและสามารถปลดปล่อยการโจมตีได้เต็มพลัง


เขาใช้วิธีนี้เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ภายในสิบกระบวนท่า


“แล้วก็คนคนนั้น” จักรพรรดิมองไปยังสตรีผู้หนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 1677 ปะทะติงเซี่ยวเฉิน

 

อีกฝ่ายเป็นสตรีสวมชุดคลุมกระโปรงยาวสีดำ แม้รูปลักษณ์ของนางจะอยู่ในช่วงอายุยี่สิบปี แต่ทั้งการพูดและกิริยาการเคลื่อนไหวของนางนั้นดูราวกับเป็นหญิงชราอายุมาก


พลังต่อสู้ของนางไม่ได้อ่อนแอ นางสามารถควบคุมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ความมืดที่กรัดกร่อนทุกสรรพสิ่งได้อย่างน่าสะพรึง


หลิงฮันเองก็กฝึกฝนทักษะรัตติกาลเงาทมิฬที่มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ความมืดเช่นกัน แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ความมืดของเขาเป็นรูปแบบสนับสนุนซึ่งแตกต่างจากรูปกัดกร่อนของนางอย่างสิ้นเชิง


“แล้วก็เด็กหนุ่มคนนั้น” หลิงฮันหันหน้า


เด็กหนุ่มที่ว่าคือจอมยุทธที่มีอายุราวๆสิบหกสิบเจ็ดปี ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มเอียงอายไร้เดียงสา แต่หากใครตัดสินเด็กหนุ่มผู้นี้ว่าไร้พิษภัยเกรงว่าคนผู้นั้นคงนับว่าดวงซวยเป็นอย่างยิ่ง


เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นผู้เชี่ยวชาญทักษะดาบที่รวดเร็วและเฉียบคม ในการประลองเมื่อครู่เขาใช้สิบดาบสะบั้นอาวุธคู่ต่อสู้และใช้ดาบที่สิบเอ็ดแทงทะลวงเข้าใส่หน้าอก หากไม่ใช้เพราะตอนนั้นติงหู่เค้นเสียงปลดปล่อยอำนาจออกมาก่อน คู่ต่อสู้ของเขาคงกลายเป็นร่างไร้ชีวิตแล้ว


โหดเหี้ยมไร้ความปรานี


นี่คือคำเรียกที่หลิงฮันตั้งให้เด็กหนุ่ม อีกฝ่ายสมควรไปเป็นนักฆ่ามากกว่าทหารกองกำลัง


แน่นอนว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ดึงดูดความสนใจของติงหู่เช่นกัน สายตาของเขาจดจ้องมายังเด็กหนุ่มหลายต่อหลายครั้ง


อัจฉริยะเช่นนี้สมควรรับเข้าตระกูลติงเป็นอย่างยิ่ง หากฝึกฝนให้ดีอาจจะกลายเป็นAnchorเพชรฆาตทีสามารถสังหารนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานก็เป็นได้


ในโลกแห่งความเป็นจริงพลังไม่ใช่สิ่งที่วัดความแข็งแกร่ง ปรมาจารย์ที่ทรงพลังก็ใช่ว่าจะตายด้วยเงื้อมมือของจอมยุทธที่อ่อนแอกว่าไม่ได้


นักฆ่าที่ยอดเยี่ยมย่อมสามารถหาโอกาสสังหารปรมาจารย์ในช่วงวินาทีเป็นตาย


ในสายตาของติงหู่ เด็กหนุ่มผู้นี้คือสมบัติ


จักรพรรดินีกล่าวว่านางจะไม่ร่วมประลองแย่งชิงตำแหน่งผู้นำและต้องการเข้าร่วมกลุ่มเดียวกับหลิงฮัน


เม่าซูอวี่เองก็เข้าร่วมการประลองเช่นกัน นางคือตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดและมีศักยภาพสามดาว ด้วยพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งของนางทำให้นางชิงตำแหน่งผู้นำมาได้อย่างง่ายดาย


“งั้นข้าขอตัวสักครู่” หลิงฮันปล่อยมือของจักรพรรดินีอย่างไม่ยินยอม


“อืม” จักรพรรดินีพยักหน้าด้วยแววตาทรงเสน่ห์


หลิงฮันกระโดดเข้าสู่ลานประลองและเผชิญหน้ากับบุรุษผู้ครองตำแหน่งหัวหน้าผู้หนึ่ง


Anchor


นั่นคือติงเซี่ยวเฉิน


“หือ?”


“หืม?”


“โอ้?”


เมื่อเห็นหลิงฮันต้องการท้าประลองติงเซี่ยวเฉิน ใครหลายคนก็อุทานด้วยความประหลาดใจ


ก่อนหน้านี้ที่ติงเซี่ยวเฉินโค่นผู้ท้าชิงได้สำเร็จ เวลาได้ผ่านมาแล้วเกือบครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีใครเลยที่ขึ้นไปท้าประลองเขา ทุกคนต่างคาดคิดว่าเขาจะเป็นคนแรกที่ถูกตัดสินให้เป็นหัวหน้ากลุ่มก่อนเวลาสามวัน


แต่ตอนนี้เมื่อถูกหลิงฮันท้าประลอง ติงเซี่ยวเฉินก็ต้องรอไปอีกอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง


ติงเซี่ยวเฉินเองก็ตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะเผยสีหน้ามืดมน ก่อนหน้านี้เป็นเพราะไม่มีโอกาสเขาจึงไม่ลงมือทำอะไรกับหลิงฮัน แต่ไม่คาดคิดว่าหลิงฮันจะเป็นฝ่ายเดินเข้าสู่ประตู่นรกเสียเอง


หากเปลี่ยนรองแม่ทัพที่รับหน้าที่ดูแลการประลองเป็นคนอื่น ติงเซี่ยวเฉินก็คงไม่กล้าลงมือสังหารใคร แต่ใครใช้ให้ผู้ดูแลการประลองเป็นติงหู่กัน?


เจ้าไม่มีทางรอดพ้นความตายไปได้!


ติงเซี่ยวเฉินแสยะยิ้ม “ข้าอยากจะบอกตรงๆเลยว่าเจ้าช่างโง่เง่ายิ่งนัก!”


“ปากเจ้าเหม็นชะมัด นี่ก่อนออกมาเจ้าแปรงฟันบ้างรึเปล่า?” หลิงฮันกล่าวเยาะเย้ยอย่างไม่รู้สึกหวั่นเกรง


“ยิ่งเจ้าอวดดีตอนนี้ก็จะยิ่งเจ็บหนักในภายหลัง!” ติงเซี่ยวเฉินกัดฟันเบาๆ ต่อหน้าคนที่จะตายอยู่แล้ว เขาไม่จำเป็นต้องรูสึกโมโหใดๆ


“เหอะๆ” หลิงฮันหัวเราะด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม


ดูเหมือนว่าจิตใจของติงเซี่ยวเฉินจะถูกฝึกมาอย่างหนักแน่นทีเดียว หลังจากยินเสียงหัวเราะอันเหยียดหยาม แม้ใบหน้าของเขาจะเผยร่องรอยของความรู้สึกเกรี้ยวกราดแต่ก็ยังสูดหายใจลึกระงับอารมณ์เอาไว้ได้ เขาบอกกับตัวเองว่าไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจกับคนตายตรงหน้าและรีบจัดการก็พอ


“รนหาที่ดีนัก!” เขาปล่อยฝ่ามือออกไป ‘ตูม’ ปราณก่อเกิดถูกควบแน่นเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ นิ้วมือทั้งห้าปรากฏดวงตะวันทมิฬอันลึกล้ำ


‘ฮึ่ม’ หลิงฮันเค้นเสียงในลำคอพร้อมกับคำรามออกมา ดวงตะวันทั้งห้าบนนิ้วมือดับสลายหายไป พลังของเสียงคำรามยังไม่สิ้นฤทธิ์แค่นั้น พริบตาต่อมาแม้แต่ฝ่ามือปราณก่อเกิดก็แหลกสลายไปตามๆกัน


อะไรกัน!


ทุกคนตกตะลึงและจ้องมองหลิงฮันไม่วางตา


รุ่นเยาว์ผู้นี้ใช่จอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงจริงๆ? การจะสลายการโจมตีเมื่อครู่ได้ ต่อให้ไม่ได้มีพลังต่อระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด ก็ต้องเป็นขั้นสูงสุดชั้นปลายเป็นอย่างน้อย


อัจฉริยะศักยภาพสามดาวครึ่งทรงพลังขนาดนี้เชียว?


ติงหู่ประหลาดใจและเปิดตาจดจ้องไปที่หลิงฮัน


ความเป็นจริงด้วยพลังบ่มเพาะระดับเขา ต่อให้จะลืมตาหรือหลับตาก็ไม่ต่างกัน เพียงแต่ด้วยความรู้สึกตกตะลึงทำให้เขาเผลอลืมตาโดยไม่รู้ตัว


ติงเซี่ยวเฉินเองก็ตาค้างมองไปยังหลิงฮันเช่นกัน เขาทำใจเชื่อไม่ได้ว่าการโจมตีของตัวเองจะถูกทำลายง่ายดายเพียงนั้น


นี่คือศักยภาพสามดาวครึ่ง? ศักยภาพเช่นนั้นสามารถทำให้อีกฝ่ายสู้ข้ามระดับได้ถึงหนึ่งขั้นย่อยและเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย?


บ้าชัดๆ เรื่องแบบนั้นมันเกินกว่าจะเป็นความจริงไปแล้ว


เขาสูดหายใจลึกและกล่าวกับตนเองว่าพลังเพียงเท่านี้ไม่อาจทำอะไรเขาได้ เขายังไม่ทันใช้ทักษะยุทธเลยด้วยซ้ำ ตราบใดที่เขาปลดปล่อยกระบวนท่าด้วยทักษะ การจะกำราบจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงย่อมง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ


“นับว่าเจ้าแข็งแกร่งไม่เลว แต่ต่อหน้าข้าอย่าว่าแต่เจ้าที่ยังมีพลังเพียงระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูง ต่อให้เจ้ามีพลังระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้!”


ตูม!


พริบตาที่ติงเซี่ยวเฉินกล่าวจบก็ถูกฝ่ามือตบใส่อย่างรุนแรงทันที


แน่นอนว่าคนตบไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิงฮัน


นี่คือสิ่งที่ติงเซี่ยวเฉินตั้งใจจะทำอยู่ก่อนแล้ว เขารอคอยจังหวะให้ติงเซี่ยวเฉินพล่ามเสร็จและปล่อยฝ่ามือเข้าใส่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง


“อ้ากกก” ติงเซี่ยวเฉินคำรามอย่างโหดเหี้ยม ผมของเขาสยายชี้ฟ้าด้วยความเกรี้ยวกราด ดาวตาที่เปิดกว้างราวกับมีไฟฟ้าสถิตถูกปลดปล่อยออกมา ถูกตบหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร?


“ตาย!” ติงเซี่ยวเฉินตะโกนลั่น ทั่วร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงเวลาและพุ่งทะยานเข้าหาหลิงฮัน เขาต้องการสังหารตัวบัดซบตรงหน้าให้ตายๆไปซะ!

 

 

 


ตอนที่ 1678 ช่างอ่อนแอ

 

หลิงฮันดีดนิ้ว ‘พรึบ’ ปราณดาบถูกปลดปล่อยเข้าใส่ร่างของติงเซี่ยวเฉิน แต่ก็ถูกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์กลืนกินไปอย่างง่ายดายและไม่ส่งผลใดๆ


ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมตระกูลติงถึงวางแผนแย่งชิงทักษะลับของตระกูลหู อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงเวลาที่ปกคลุมร่างของติงเซี่ยวเฉินอยู่ในตอนนี้แทบจะทำให้เขาสามารถเมินเฉยการโจมตีทั้งหมดที่พุ่งเข้าใส่ได้อย่างสมบูรณ์


เพียงแต่ว่าหลิงฮันนั้นฝึกฝนทักษะนิรันดร์มากมาย แม้แต่Anchorกาลเวลาแปรผันพันปีเขาก็ฝึกฝนสำเร็จอย่างเชี่ยวชาญ ยิ่งได้รับทักษะที่สมบูรณ์จากหูหยู่อีก กล่าวได้ว่าทักษะที่พึ่งพาอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงเวลาของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลติงแม้แต่น้อย


ที่จะแตกต่างก็คือพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้เขาอ่อนหัดเกิดไปทำให้ไม่สามารถปลดปล่อยอำนาจแท้จริงของทักษะได้


“ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าจะทำอะไรได้เมื่ออยู่ต่อต้านทักษะประจำตระกูลติงของข้า?” ความมั่นใจของติงเซี่ยวเฉินหวนคืนกลับมา ถึงแม้การสังหารหลิงฮันจะไม่ทำให้ความอัปยศเมื่อครู่หายไป แต่หากปล่อยให้หลิงฮันมีชีวิตอยู่เขาก็จะไม่สามารถมองหน้าใครติดเลยในชีวิตนี้


หลิงฮันยิ้มและดีดนิ้วอีกครั้ง ‘พรึบ’ คลื่นดาบถูกปลดปล่อยออกไปและเฉือนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของติงเซี่ยวเฉินขาดกระจุย เพียงแต่ว่าอำนาจของคลื่นดาบก็อ่อนพลังลงเช่นกัน หลังจากทำลายอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงเวลาแล้วมันก็สลายไป


สิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวให้กับติงเซี่ยวเฉินจนต้องรีบหยุดร่างชะงัก ใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยความตกตะลึงอย่างถึงขีดสุด


หมอนี่ทำลายอำนาแห่งกฎเกณฑ์ห้วงเวลาของเขาได้!


แม้เขาจะยังไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่หากหลิงฮันโจมตีอย่างต่อเนื่องป่านนี้เขาคงตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ไปแล้ว


เป็นไปได้อย่างไรกัน!


ในขณะที่โคจรกาลเวลาแปรผันพันปี การโจมตีที่พุ่งเข้าใส่เขาสมควรถูกเร่งเวลาจนสลายไปไม่ใช่รึไง! อย่างที่รู้ว่าตัวเขาในตอนนี้มีพลังบ่มเพาะระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด หากจะทำลายอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาได้ก็ต้องมีพลังAnchorระดับโลกียนิพพานเท่านั้น


ถ้างั้นแล้วหลิงฮันทำได้อย่างไร?


ไม่เพียงแต่ติงเซี่ยวเฉินที่ตกตะลึง แม้แต่ติงหู่เองก็เผยสีหน้าเหลือเชื่อ เขามีความรู้สึกว่าหลิงฮันอาจจะยังไม่ได้เอาจริงเลยด้วยซ้ำ


สามารถโค่นราชารุ่นเยาว์ของตระกูลติงได้ทั้งๆที่ไม่ได้เอาจริง? ยิ่งกว่านั้นคือยังมีพลังบ่มเพาะอยู่แค่ในระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงอีกด้วย?


นี่มันสัตว์ประหลาดแบบใดกัน!


ติงหู่เกิดความรู้สึกลังเล ตามความเป็นจริงตระกูลติงสมควรจะรับอัจฉริยะศักยภาพสามดาวครึ่งผู้นี้เข้าตระกูลให้ได้ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วรุ่นเยาว์ผู้นี้ดูเหมือนจะมีความบาดหมางไม่ลงรอยกับติงเซี่ยวเฉินและอาจจะลามไปถึงตระกูลติงด้วยก็เป็นได้


ในอนาคตอันใกล้จึงมีความเป็นไปได้สูงมากที่หลิงฮันจะตกไปอยู่ในมือของลตระกูลล้งและตระกูลต้วน


เมื่อคิดเช่นนั้นภายในจิตใจของติงหู่ก็เกิดความรู้สึกต้องการสังหาร


ติงเซี่ยวเฉินชะงักแน่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเริ่มตั้งสติได้ เขานำมีดมรกตเล่มหนึ่งออกมา ใบมีดมีสีเขียวเข้มราวกับต้นไม้ ทันทีที่มันถูกนำออกมา ใบมีดปลดปล่อยออร่าอันชั่วร้ายพร้อมกับแปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่น่าอัศจรรย์คือกิ่งก้านของต้นไม้ขนาดใหญ่นี้พลิ้วไหวไปมาราวกับเป็นแส้


“ต้นไม้โลหิตมรกตกินคน!” ผู้คนที่อยู่รอบข้างอุทานพร้อมกับใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด


Anchor


ต้นไม้โลหิตมรกตกินคนคืออสูรพฤกษาประเภทหนึ่ง มันมักจะจับมนุษย์และสัตว์อสูรกินเป็นอาหาร มันมักจะจับรัดเหยื่อด้วยกิ่งก้านที่เต็มไปด้วยหนามพิษ หากถูกพิษของมันเหยื่อจะกลายเป็นอัมพาตในพริบตา


ใบมีดเล่มนี้ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นจากล้ำต้นซึ่งเป็นร่างหลักของต้นไม้โลหิตมรกตกินคนพร้อมกับผนึกวิญญาณของมันเอาไว้ จึงสามารถใช้ความสามารถของมันได้


มีดเล่มนี้เป็นอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวมาก


การประลองไม่ได้ห้ามการใช้อาวุธเนื่องจากกองกำลังธุลีจันรทราต้องการทหารแกร่งที่สามารถสังหารศัตรูได้อย่างไม่สนวิธีการ ไม่ใช่จอมยุทธที่ชื่นชอบการต่อสู้แบบยุติธรรม


ติงเซี่ยวเฉินถือมีดมรกตในมือด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก่อนหน้านี้เขาไม่พบเจอคู่ต่อสู้ที่คู่ควรจึงไม่คิดจะนำอาวุธออกมาใช้ แต่ไม่คาดคิดว่าหลิงฮันจะไล่ต้อนเขาจนต้องนำอาวุธออกมาใช้ในที่สุด


ออร่าอันชั่วร้ายของวิญญาณต้นไม้โลหิตมรกตกินคนแพร่จะจายไปทั่วทิศทาง เนื่องจากการนำวิญญาณมาผนึกในอาวุธนั้นต้องผ่านวิธีการอันน่าโหดเหี้ยม วิญญาณของต้นไม้โลหิตมรกตกินคนจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกเกรี้ยวกราดและปลดปล่อยจิตสังหารอันท่วมท้นออกมา


ด้วยการที่ติงเซี่ยวเฉินเป็นผู้ควบคุมใบมีดเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากออร่าชั่วร้าย แต่สำหรับคนอื่นนั้นล้วนได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ต้นไม้โลหิตมรกตกินคนนั้นนอกจะสามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์พฤกษาที่ติดตัวมาแต่กำเนิดได้แล้ว มันยังสามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์พิษได้อีกด้วย เพราะงั้นออร่าชั่วร้ายของมันจึงมีอำนาจเป็นพิษอันรุนแรงที่สามารถหลอมละลายได้แม้กระทั่งดวงวิญญาณ


“เมื่อข้านำมีดหลอมวิญญาณออกมาแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรอดกลับไปได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิต!” ติงเซี่ยวเฉินชี้นำปราณก่อเกิดเร่งอำนาจของใบมีดให้ปลดปล่อยอำนาจรวดเร็วยิ่งขึ้น


หลิงฮันส่ายหัว “ตอนแรกข้าต้องการดูเสียหน่อยว่าเจ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่สุดท้ายเจ้ากลับพึ่งอำนาจของอุปกรณ์เสียได้ ข้าเบื่อจะดูการแสดงของเจ้าแล้ว” หลิงฮันพุ่งทะยานร่างเข้าหาติงเซี่ยวเฉิน


แสงอัสนีถูกโคจร ความเร็วของเขายกระดับขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ แม้หลิงฮันจะไม่โคจรทักษะด้วยพลังเต็มที่แต่ความเร็วในตอนนี้ก็เกินกว่าที่ติงเซี่ยวเฉินจะมองทัน เหมือนกับครั้งก่อนที่อีกฝ่ายถูกเขาตบหน้า คราวนี้ติงเซี่ยวเฉินตอบโต้ไม่ทันแม้แต่จะควบคุมแส้ให้โจมตี


เมื่อเห็นหมัดของหลิงฮันที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าใส่พริบตา ติงเซี่ยวเฉินก็ตกตะลึง แต่จะควบคุมให้มีดในมือให้โจมตีหลิงฮันก็สายไปเสียแล้ว เขาควบแน่นพลังทั้งหมดเพื่อล่าถอย


แต่ความเร็วของเขาจะเทียบกับหลิงฮันได้?


ตูม!


ใบหน้าของติงเซี่ยวเฉินถูกซัดเข้าใส่อย่างรุนแรง ร่างของเขาขยับถอยหลังอย่างโซซัดโซเซ และยังไม่ทันที่จะทรงตัวได้ หมัดที่สองของหลิงฮันถูกปล่อยออกไป ‘ปัง ปัง ปัง’ เพียงชั่วพริบตา ติงเซี่ยวเฉินก็ถูกหมัดกระแทกเข้าใส่หลายสิบหมัด


“ช่างอ่อนแอ!” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแสในขณะที่มองร่างของติงเซี่ยวเฉินกระแทกลงสู่พื้นอย่างหนักหน่วง


ทุกคนรอบด้านกลายเป็นแน่นิ่งไร้คำพูด แม้แต่การประลองคู่อื่นก็หยุดชะงักกลางคัน


ติงเซี่ยวเฉินน่ะรึอ่อนแอ?


ตั้งแต่ต้นจนจบ หลิงฮันเพียงแค่ดีดนิ้วกลับปล่อยหมัดเท่านั้นและยังไม่ได้ใช้ทักษะใดๆเลย ตรงกันข้าม ติงเซี่ยวเฉินนั้นทั้งใช้ทักษะนิรันดร์และอาวุธแต่ก็ยังไม่สามารถรับมือหลิงฮันได้


นี่คือความแตกต่างของศักยภาพสามดาวกับสามดาวครึ่ง?


พวกเขาไม่มีทางเชื่อ


บางทีหากทั้งสองคนมีระดับพลังเท่ากัน ความต่างเช่นนี้อาจจะเป็นไปได้ แต่ความเป็นจริง ทางด้านติงเซี่ยวเฉินมีพลังบ่มเพาะสูงกว่าถึงหนึ่งขั้นย่อย ไม่มีทางเลยที่ผลลัพธ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้


ติงเซี่ยวเฉินฝืนคลานลุกขึ้นยืน ‘ปัง’ แต่ยังไม่ทันได้ลุกเขาก็ถูกหมัดของหลิงฮันซัดเข้าใส่จนล้มลงอีกครั้ง


ในการประลอง ตราบใดที่ไม่มีฝ่ายใดร่วงจากลานประลองหรือยอมแพ้ การต่อสู้ก็จะดำเนินต่อไป


ติงเซี่ยวเฉินไม่คิดที่จะยอมรับความพ่ายแพ้และถูกหลิงฮันซัดหน้าอย่างต่อเนื่อง หากมาถึงขนาดนี้แล้วเขายอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าคนอื่นเขาคงไม่อาจสู้หน้าใครได้อีกต่อไป

 

 

 


ตอนที่ 1679 หน้าด้านไร้ความละอาย

 

แต่การดื้อรั้นอย่างไร้ประโยชน์จะช่วยอะไรได้?


ปัง! ปัง! ปัง!


ติงเซี่ยวเฉินถูกซัดหน้าอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของเขาปูดบวมเหมือนหัวหมู หลิงฮันควบคุมแรงของหมัดให้มากเกินไปเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหมดสติ


ติงเซี่ยวเฉินกัดฟัน แม้เขาจะถึงขีดจำกัดแล้วแต่ก็ไม่ยินยอมที่จะยอมแพ้


ตอนแรกหลิงฮันตั้งใจว่าจะสนุกให้มากกว่านี้ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเหลือเวลาการประลองไม่มาก เขาก็เตะร่างของติงเซี่ยวเฉินลอยกระเด็นออกจากลานประลอง


“ฮึ่ม!” ติงหู่เค้นเสียงไม่สบอารมณ์พร้อมกับถลึงตาใส่หลิงฮัน


ร่างของหลิงฮันสั่นสะท้านพร้อมกับเดินกระโผลกกระเผลกถอยหลังด้วยสีหน้าซีดเผือด


การเค้นเสียงของติงหู่เมื่อครู่ได้แฝงเจตจำนงยุทธเอาไว้ ด้วยพลังระดับโลกียนิพพาน หากเป็นที่โลกบรรพกาล เพียงแค่นึกคิดเขาก็สามารถบดขยี้ได้แม้แต่ดวงดาวขนาดใหญ่


โชคดีที่แม้จะเป็นติงหู่ก็ไม่กล้าสังหารคนต่อหน้าสาธารณะทำให้เมื่อครู่เขาจำกัดพลังเอาไว้ และด้วยกายหยาบอันทรงพลังของหลิงฮัน พลังอำนาจของติงหู่เมื่อครู่จึงทำให้เขาบาดเจ็บแค่เพียงเล็กน้อย


ใบหน้าของติงหู่กลายเป็นบูดบึ้ง เขาตั้งใจจะทำให้หลิงฮันได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นตามที่คิด กายหยาบของรุ่นเยาว์ผู้นี้น่าอัศจรรย์เกินไปจึงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ด้วยสถานะของเขา ติงหู่จึงไม่อาจยอมเสียหน้าได้ เขาเค้นเสียงปลดปล่อยอำนาจที่มองไม่เห็นออกไปอีกครั้ง


ฉึบ!


หน้าอกของหลิงฮันปริแตกพร้อมกับมีโลหิตไหลออกมา ต่อให้เป็นกายหยาบกึ่งนิรันดร์ครึ่งดาวก็ไม่อาจต้านทานไหว


ระดับโลกียนิพพานทรงพลังเกินไป


ร่างของหลิงฮันโซเซ เขารู้ว่าผู้ที่ลงมือกับเขาไม่มีทางเป็นใครอื่นนอกจากติงหู่ ในที่นี้มีเพียงการโจมตีของตัวตนระดับโลกียนิพพานเท่านนั้นถึงจะสามารถคุกคามเขาได้ ติงหู่โหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายได้ผสานเจตจำนงยุทธเข้ากับการโจมตีเมื่อครู่และคิดจะให้เขารู้สึกทรมานไปนับร้อยปี


นี่คงเป็นการตักเตือนว่าหากลงมือกับคนของตระกูลติงจะต้องพบเจอกับบทลงโทษ!


แน่นอนว่าหากหลิงฮับพบเจอกับนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานผู้อื่น เขาสามารถขอให้นิรันดร์ผู้นั้นลบเจตจำยงยุทธของติงหู่ให้ได้ แต่ปัญหาคือจะมีสักกี่คนเชียวที่จะยอมบาดหมางกับตระกูลติงเพื่อช่วยเหลือเขา?


จอมยุทธแต่ละคนมีเจตจำยงยุทธที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง เมืองธุลีจันรทรามีนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานเพียงไม่กี่สามสิบคน พวกเขาจะจดจำเจตจำนงยุทธของแต่ละคนไม่ได้ได้อย่างไร


หลิงฮันทรงตัวมั่นคงและจดจ้องไปยังติงหู่ ดวงตาของเขาร้อนระอุไปด้วยเพลิงแห่งการสู้รบ


ตระกูลติง พวกเจ้ากล้ารังแกก็เพียงกับแค่คนที่อ่อนแอกว่า!


ช่างน่าอับอายยิ่งนักที่นิรันดร์ระดับโลกียนิพพานลงมือกับรุ่นเยาว์ถึงสองครั้ง


ในขณะเดียวกัน แววตาของจักรพรรดินีได้เต็มไปด้วยจิตสังหารอันรุนแรง เพียงแต่นางก็ไม่กล้าผลีผลามลงมือโดยไม่ยั้งคิด


ตอนนี้ต้องทนไปก่อน!


ทั่วทั้งพื้นที่รอบลานประลองกลายเป็นนิ่งเงียบ ไม่ว่าใครก็รู้ว่าเมื่อครู่เป็นการลงมือของติงหู่ เพียงแต่ใครจะกล้าล่วงเกินปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพาน?


เม่าซูอวี่กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่ก็ยั้งเอาไว้ บิดาของนางสั่งเอาไว้ว่าอย่าได้เอาตัวเองไปสร้างความบาดหมางกับสามตระกูลใหญ่


ติงหู่กล่าวอย่างไม่แยแส “การต่อสู้นี้ เนื่องจากหมายเลข3590ออกจากลานประลอง หมายเลข5574จึงเป็นผู้ชนะไปโดยปริยาย แต่ถึงอย่างนั้นหมายเลข5574ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของหมายเลข3590 การประลองนี้กล่าวได้ว่าหมายเลข5574ได้รับชัยชนะไปอย่างหวุดหวิด”


3590คือหมายเลขของติงเซี่ยวเฉินและ5574คือหมายเลขของหลิงฮัน จากคำพูดของติงหู่เมื่อครู่ ติงเซี่ยวเฉินนั้นได้ปะทะกับหลิงฮันอย่างดุเดือด ถึงแม้เขาจะพ่ายแพ้เพราะออกจากลานประลองแต่ก็สามารถทำให้หลิงฮันได้รับเจ็บสาหัสได้


นี่เจ้ากลัวตระกูลเสียหน้าขนาดนั้นเลย?


เห็นๆกันอยู่ว่าติงเซี่ยวเฉินถูกทุบตีอย่างน่าอนาถ ส่วนหลิงฮันก็ได้รับบาดเจ็บเพราะเจ้า นี่เจ้าต้องหน้าด้านขนาดไหนถึงได้แต่งเรื่องให้ติงเซี่ยวเฉินดูดีได่เช่นนี้?


เมื่อติงหู่กล่าวจบ ผู้ทดสอบนับพันก็พูดคุยกันด้วยเสียงเอะอะ


“ฮึ่ม!” ติงหู่กวาดสายตามองอย่างไม่พอใจ


ทุกคนกลายเป็นเงียบกริบอีกครั้ง


ติงหู่พยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าว “ดำเนินการประลองต่อได้!”


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ทุกคนก็ใบหน้าเปลี่ยนสี คำพูดของติงหู่หมายความว่าไม่จำเป็นต้องให้หลิงฮันพักและสามารถประลองต่อได้เลย ด้วยบาดแผลที่สาหัสของหลิงฮันตอนนี้ บางทีแม้แต่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ก็อาจจะเอาชนะเขาได้


ช่างโหดเหี้ยม!


ติงเซี่ยวเฉินจะพ่ายแพ้ไปแล้วและอาจจะถึงขั้นบาดเจ็บจนไม่สามารถสู้แย่งชิงตำแหน่งผู้นำกลุ่มได้ ติงหู่จึงไม่คิดจะให้หลิงฮันได้รับตำแหน่งผู้นำกลุ่มเช่นกัน


หลังจากที่สถานกาณ์นิ่งเงียบ การท้าประลองก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่สีหน้าของติงหู่ก็ต้องกลายเป็นมืดมนเนื่องจากทั้งๆหลิงฮันยืนบาดเจ็บสาหัสอยู่แบบนั้นกลับไม่มีใครท้าประลองหลิงฮันเลย


คนพวกนี้!


เขากวาดสายตามอง ผู้ทดสอบทุกคนไม่กล้าสบสายตาและรีบก้มหัวทันที


ทุกคนล้วนแต่มีความรู้สึกต่อต้านความไร้ซึ่งยุติธรรม ซึ่งการกระทำของติงหู่ในวันนี้ได้ไปกระตุ้นความรู้สึกที่ว่าของทุกคน


ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคิดจะก้าวท้าวออกไปท้าประลองหลิงฮัน ต่อให้เอาชนะหลิงฮันได้ในตอนนี้พวกเขาก็จะถูกดูหมิ่นในภายหลัง


ร่างของหลิงฮันยืนตรงอย่างเด็ดเดี่ยว


อาการบาดเจ็บของหลิงฮันนั้นไม่ได้สาหัสอย่างที่ติงหู่คิด เขาได้ทำการโคจรหยดวารีนิรันดร์เพื่อฟื้นฟูบาดแผลแล้ว เพียงแต่ว่าเจตจำนงยุทธของติงหู่นั้นเขาไม่สามารถขจัดได้ด้วยตัวเอง เขาจำเป็นต้องเข้าสู่หอคอยทมิฬเพื่อใช้พลังของหอคอยทมิฬลบล้างมัน


ตอนนี้สามารถใช้พลังต่อสู้ได้เพียงเจ็ดในสิบส่วน


แต่พลังเท่านี้ก็พอแล้วสำหรับการกำราบจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งทุกคนนอกจากจักรพรรดินี


ผ่านไปไม่นานเวลาก็ครบครึ่งชั่วโมง ตามกฎของการทดสอบแล้วในเมื่อติงกู่กล่าวว่าให้เริ่มท้าประลองหลิงฮันได้ทันที มาถึงตอนนี้หลิงฮันก็สมควรได้รับตำแหน่งผู้นำกลุ่มเป็นที่เรียบร้อย


แต่ทว่าติงหู่ได้ทำการข่มขู่ถูคังด้วยสายตา สิ่งที่เขาต้องการสื่อก็คือให้เริ่มนับเวลาครึ่งชั่วโมงของหลิงฮันต่อจากนี้


คนผู้นี้ช่างไร้ยางอายจะถึงแก่นแท้สันดาน หลิงฮันคร้านจะสนใจอีกฝ่ายอีกต่อไป


รอให้เขามีพลังมากพอก่อนเขาจะลบตระกูลติงให้หายไปอย่างแน่นอน ถึงตอนนี้คอยดูว่าพวกคนตระกูลติงเหล่านี้จะทำหน้าอย่างไร

 

 

 


ตอนที่ 1680 ล่อใจด้วยรางวัล

 

ใบหน้าของติงหู่บูดบึ้งน่าเกลียด


ในฐานะนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน เป็นเวลานานมาแล้วที่ไม่มีใครทำให้เขาอารมณ์เสีย แต่ตอนมดปลวกระดับสร้างสรรพสิ่งตัวจ้อยกลับทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมากจนอยากจะสังหาร


เขาเปิดปากกล่าว “ใครที่ได้ตำแหน่งผู้นำกลุ่มในการทดสอบครั้งนี้ ข้าจะมอบศิลาดวงดาวให้สิบก้อนเป็นรางวัล”


ศิลาดวงดาวคือสิ่งที่มีเพียงแค่ในดินแดนแห่งเซียน มันถูกหลอมมาจากอุกกาบาตที่อยู่เหนือเก้าชั้นฟ้าขึ้นไป


มีคำกล่าวว่าแม้แต่ราชานิรันดร์ก็อาจจะไม่สามารถขึ้นไปเหนือชั้นฟ้าได้ เพราะงั้นศิลาดวงดาวจึงสามารถหาได้จากอุกกาบาตที่ตกลงมาเท่านั้น มันคือสมบัติที่ช่วยเพิ่มระดับความเข้าใจในพลังให้แก่จอมยุทธได้อย่างยอดเยี่ยม


หากเข้าร่วมกองกำลังธุลีจันรทรา ทหารชั่วคราวแต่ละคนในกองกำลังจะได้รับค่าตอบแทนเป็นศิลาดวงดาวหนึ่งก้อนต่อปี ในขณะที่หัวหน้ากลุ่มจะได้รับสองก้อนต่อปี   ศิลาดวงดาวที่ติงหู่เสนอมาจึงเป็นรางวัลที่ล่อตาล่อใจเป็นอย่างมาก


แต่เจตนาของติงหู่คืออะไรนั้นทุกคนย่อมรู้ดี เขาคิดจะใช้เงินซื้อคนให้ทำการท้าประลองหลิงฮัน


สำหรับติงหู่ การจะแจกจ่ายศิลาดวงดาวร้อยก้อนนั้นเป็นเรื่องเล็ก จำนวนศิลาดวงดาวเท่านี้คือทรัพยากรเพียงเดือนเดียวของตัวตนระดับนิรันดร์


เมื่อมีศิลาดวงดาวสิบก้อนมาล่อเป็นรางวัล ใครลองคนก็คิดจะท้าประลองทันที


ไม่ว่าอย่างไรกองกำลังชั่วคราวเช่นพวกเขาก็ต้องถูกคัดออกหนึ่งคนทุกๆปีอยู่แล้ว หากถูกคัดออกตั้งแต่ปีแรกพวกเขาก็ไม่ได้ทรัพยากรอะไรเลยสิ ด้วยเหตุนี้รางวัลศิลาดวงดาวสิบก้อนจึงล้ำค่าต่อพวกเขาเป็นอย่างมาก


‘ตุบ’ ร่างของใครบางคนทะยานขึ้นลานประลองไปยืนด้านหน้าหลิงฮัน


ร่างนั้นเป็นบุรุษที่รูปลักษณ์ค่อนข้างอัปลักษณ์ เขาผสานมือคารวะหลิงฮันและกล่าว “น้องชาย ข้าไม่อยากทำให้บาดเจ็บไปมากกว่านี้ เจ้าช่วยยอมแพ้ได้หรือไม่?”


แววตาของหลิงฮันส่องประกายโหดเหี้ยม เขาจำเป็นต้องสุภาพกับคนที่คิดฉวยโอกาสลงมือกับเขาในตอนที่บาดเจ็บสาหัส?


“ไสหัวไป!” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส


“ไม่ใยดีความหวังดีของข้า?” ชายผู้นั้นแสยะยิ้มก่อนจะทะยานร่างโจมตีเข้าใส่หลิงฮัน ในความคิดของเขา ด้วยบาดแผลสาหัสของหลิงฮันในตอนนี้ เพียงแต่โจมตีเบาๆหลิงฮันก็พ่ายแพ้แล้ว


เพราะงั้นเขาจึงต้องระวังให้ดีเพื่อไม่ให้เผลอสังหารหลิงฮัน


หลิงฮันคว้ามือไปยังคอของอีกฝ่ายและทุ่มลงพื้น ‘ปัง’ ร่างของชายผู้นั้นกระแทกเข้ากับพื้นอย่างรุนแรง หลิงฮันใช้เท้าเหยียบศีรษะของอีกฝ่ายโดยไม่รอให้มีโอกาสลุกขึ้นยืน


“ยกเท้าออกไป!” ชายผู้นั้นโอดครวญด้วยความอับอายและพยายามใช้มือดันพื้นลุกขึ้นยืน


หลิงฮันไม่สนใจ เขามองไปยังติงหู่ที่นั่งอยู่บนลานสูงก่อนจะกดเท้าลงเล็กน้อย ‘ตูม’ ศีรษะของชายที่นอนอยู่บนพื้นกระแทกเข้าใส่ลานประลองที่อันทนทาน


อย่างที่รู้ว่าภูมิประเทศของดินแดนแห่งเซียนนั้นแข็งทนทานมากและไม่สามารถทำลายได้ด้วยพลังระดับสร้างสรรพสิ่ง เมื่อถูกหลิงฮันกระทืบศีรษะกระแทกพื้นชายผู้นี้ก็สลบเมือดทันที


หลิงฮันเหยียบย่ำศีรษะของชายผู้นี้เอาไว้ใต้เท้าในขณะที่ดวงตาจดจ้องอยู่ที่ติงหู่ราวกับกำลังแสดงเจตนายั่วยุว่า ไม่ว่าเจ้าจะใช้ลูกไม้แบบไหนข้าก็พร้อมจะเล่นด้วย


ติงหู่มือสั่น เขายังโมโหไปมากกว่านี้เขาคงไม่อาจควบคุมความคิดที่จะสังหารของตัวเองได้อีกต่อไป แต่หากลงมือสังหารผู้เข้าทดสอบ เขาก็จะตกเป็นเป้าหมายของตระกูลต้วนและตระกูลล้ง เป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งสองตระกูลจะไม่เรียกร้องให้เขารับผิดชอบ


ในหมู่สามตระกูลใหญ่ไม่มีความเป็นมิตรไมตรีต่อกัน โดยเฉพาะกับตระกูลติงที่เคยมีประวัติเคยสังหารหมู่ตระกูลหูมาก่อน ไม่มีทางที่ทั้งสองตระกูลจะไม่ระมัดระวังตัวต่อพวกเขา


เมื่อเคยมีประวัติมาแล้วครั้งหนึ่งก็มีโอกาสที่ประวัติจะซ้ำรอย!


ติงหู่เค้นเสียงในใจและปิดตาลง เขาไม่สนใจการยั่วยุจากหลิงฮันอีกต่อไป ที่จริงเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้หงุดหงิดขนาดนี้ หากไม่ใช่เพราะเขารู้สึกไม่สบอารมณ์หลิงฮันตั้งแต่แรกเห็น เขาจะทำให้อัจฉริยะศักยภาพสามดาวครึ่งตั้งตนเป็นศัตรูกับตระกูลติงทำไม?


บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังที่มีต่อตระกูลติงจากสายตาของหลิงฮัน


ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้ทดสอบโลภมากอีกคนก็ท้าประลองหลิงฮัน ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิม ผู้ท้าประลองถูกเขาเหยียบย่ำกระแทกใส่พื้นหิน


ด้วยอำนาจทีน่ายำเกรงเช่นนี้จึงไม่มีใครท้าประลองเขาอีก


สามวันผ่านไปในที่สุด หัวหน้ากลุ่มทั้งสิบถูกติดสินและถึงเวลาจัดแจงสมาชิกของกลุ่มทั้งสิบกลุ่ม


ผู้ทดสอบทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะติดตามผู้นำคนไหน ผู้นำเองก็มีสิทธิ์เลือกเช่นกันว่าจะรับเข้ากลุ่มหรือไม่ เมื่อทุกคนเลือกกลุ่มเสร็จสิ้นแล้ว ใครที่ยังไม่ได้กลุ่มก็จะถูกสุ่มรวมไปอยู่กลุ่มที่ยังมีสมาชิกไม่ครบร้อยคนโดยไม่สนว่าเจ้าตัวจะต้องการหรือไม่


หลิงฮันยืนโดยที่เลือดยังไหลออกมาจากหน้าอกไม่หยุด เจตจำนงยุทธ์ของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานกำลังไหลอาละวาดอยู่ในกล้ามเนื้อและโลหิตของเขา ด้วยระดับพลังที่ห่างชั้นทำให้คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ไม่สามารถขจัดมันออกไปได้


เขายืนอย่างหมาป่าเดียวใดที่มีบาดแผลและโลหิต


แน่นอนว่าจักรพรรดินีย่อมไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมกลุ่มของเขา แต่นอกจากนางแล้ว คนอื่นๆไม่มีใครเลยที่เข้ามาใกล้เขา


ใครจะกล้าล่วงเกินติงหู่?


หากใครยินดีที่จะติดตามหลิงฮันก็หมายความว่าคนผู้นั้นไม่ไว้หน้าติงหู่ไม่ใช่รึไง?


ไม่มีใครกล้าหักหน้านิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน!


เทียบกับผู้นำคนอื่นๆแล้ว ทางด้านของหลิงฮันเงียบสงบเป็นอย่างมาก หลิงฮันยิ้มเจื่อน เขาแค่อยากสร้างตัวตนในดินแดนแห่งเซียนถึงได้เข้าร่วมกับกองกำลังธุลีจันรทรา ไม่คาดคิดว่าผลลัพธ์จะกลายมาเป็นเช่นนี้


ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องจัดการภารกิจลบล้างตระกูลติงให้ลุล่วงโดยไวที่สุด


เมื่อผู้นำอีกเก้ากลุ่มรับสมาชิกครบ ผู้ทดสอบอีกเก้าสิบแปดคนที่เหลือก็ถูกบังคับให้มาอยู่ภายใต้คำสั่งของหลิงฮัน


หลังจากผ่านมาถึงจุดนี้แล้ว ผู้ทดสอบไม่ได้ถูกเรียนด้วยหมายเลขอีกต่อไป ทุกคนทำการลงทะเบียนกองทัพด้วยชื่อและสถานะของตนเอง


หลิงฮันได้รับรู้ในตอนนี้เองว่าเด็กหนุ่มที่ใช้ดาบและโหดเหี้ยมราวกับนักฆ่ามีชื่อว่าเว่ยโปว สตรีที่ใช้ความมืดกัดกร่อนมีชื่อว่าฉินเฮิ่น และชายชราที่ปกคลุมร่างของตนเองด้วยเกล็ดทมิฬมีชื่อว่าหลัวซินหยาง


ด้วยการที่หลิงฮันต้องรับสมาชิกจากผู้ทดสอบที่เหลืออยู่ พลังของสมาชิกของเขาจึงจัดอยู่ในกลุ่มที่อ่อนแอที่สุด ทุกคนในกลุ่มต่างถอนหายใจ ดูเหมือนว่ากว่าจะถึงร้อยปีข้างหน้า พวกเขาคงถูกกลุ่มอื่นรังแกเป็นแน่

 

 

 


ตอนที่ 1681 ได้รับภารกิจ

 

การแบ่งแยกพันคนให้เป็นสิบกลุ่มนั้นมีจุดประสงค์อยู่อีกอย่างหนึ่ง


ในทุกๆปีกองกำลังจะได้รับทรัพยากรเป็นศิลาดวงดาว ตามกฎของกองกำลังสำรองแล้ว ทุกกลุ่มจะต้องทำการประลองกันและทรัพยากรในปีหน้าของกลุ่มที่เป็นอันดับสุดท้ายจะตกเป็นของกลุ่มอันดับหนึ่ง


กลุ่มของหลิงฮันที่มีสมาชิกอ่อนแอที่สุดจะไปเทียบกับกลุ่มอื่นได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่ากลุ่มของเขาถูกตัดสินใจให้อันดับสุดท้ายตั้งแต่ยังไม่ประลองเลยหรอกรึ?


ด้วยเหตุนี้ สมาชิกแต่ละคนจึงไม่เหลือกำลังใจให้อยู่ต่อ บางคนถึงขนาดตั้งใจว่าจะขอถอนตัวและรอมาสมัครเข้าร่วมกองกำลังใหม่ในอีกหนึ่งร้อยปีหน้า


หลิงฮันไม่กล่าวอะไร ความเป็นจริงด้วยพลังต่อสู้ของเขา เขาสามารถเอาชนะกลุ่มที่มีจอมยุทธนับร้อยได้ด้วยตัวคนเดียวด้วยซ้ำ ที่ยิ่งกว่านั้นคือตัวเขาเป็นถึงจักรพรรดิปรุงยาและที่นี่ก็ไม่ได้ขลาดแคลนสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ เขาสามารถหลอมเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงได้เป็นจำนวนมาก


ตราบใดที่ยอมติดตามเขา หลิงฮันก็ไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขา


ติงหู่จ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาเย็นชา เขาจะใช้วิธีการต่างๆทำให้หลิงฮันหายไปให้เร็วที่สุด


ผู้เข้าทดสอบแต่ละคนเข้าสู่ค่ายพักที่มีห้องแยกกัน ความจริงพวกเขาไม่มีอะไรให้ทำมากนัก สิ่งที่พวกเขาต้องฝึกฝนมีเพียงรูปแบบโจมตีผสานร่วมกันหรือไม่ก็มีภารกิจออกไปล่าโจรภูเขาบ้างในบางครั้ง


หลังจากหลิงฮันและจักรพรรดินีเข้าสู่ห้องพัก ทั้งสองก็หลบไปในหอคอยทมิฬทันที


หลิงฮันใช้พลังของหอคอยทมิฬขจัดเจตจำนงยุทธของติงหู่ เมื่อเจตจำนงยุทธหายไปร่างกายของเขาก็ฟื้นตัวในพริบตา


จักรพรรดินีกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าจะเก็บตัวบ่มเพาะพลังและทะลวงผ่านAnchorระดับโลกียนิพพานภายในสามปี! อีกสามปีตระกูลติงจะไม่เหลือแม้แต่ไก่กา!”


“ไม่ต้องรีบ” หลิงฮันโอบกอดและหอมผมดำสลวยของนาง “หากจะบ่มเพาะก็ถึงแค่ระดับสร้างสรรพสิ่งสูงสุดก็พอ หากจะทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานพวกเราต้องไปยังสถานที่ที่พิเศษ”


ทำไมราชาเซียนถึงเป็นระดับพลังสูงสุดในโลกบรรพกาล?


ไม่ใช่เพราะพรสวรรค์หรือทักษะของจอมยุทธไม่เพียงพอ แต่การจะบรรลุระดับโลกียนิพพานจำเป็นต้องอยู่ในตำแหน่งพิเศษของดินแดนแห่งเซียนที่สามารถสัมผัสถึงอำนาจของสวรรค์และปฐพีได้เพื่อตัดขาดเจตจำนงแห่งสวรรค์


หากไม่อยู่ในสถานที่พิเศษ ต่อให้เป็นราชาเซียนที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ต้องติดอยู่ในระดับราชาเซียนตลอดกาล


ความเกรี้ยวกราดของจักรพรรดินียังคงไม่ทุเลาลง “งั้นข้าจะรีบบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดให้ไวที่สุด” นางมั่นใจเป็นอย่างมาก ตราบใดที่บรรลุราชาเซียนสูงสุด นางจะสามารถทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานได้อย่างไม่มีปัญหา


หลิงฮันส่ายหัว “การทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพานไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ระดับโลกียนิพพานคือระดับพลังที่จอมยุทธจะตัดขาดความรู้สึกทางโลกเพื่อผสานตนเองเข้ากับวิถีแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่ กล่าวคือยิ่งตัดความรู้สึกทางโลกได้มากก็จะยิ่งผสานกับสวรรค์และปฐพีได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”


นี่คือสิ่งที่จักรพรรดิเพลิงอัสนีบอกกับเขาเพียงคนเดียว ในระดับโลกียนิพพานจอมยุทธจำเป็นจะต้องตัดความรู้สึกทางโลกสี่ครั้ง แต่อย่าเพิ่งพูดถึงสี่ครั้งเลย เพียงแค่ตัดความรู้สึกครั้งเดียวปรมาจารย์ที่ทรงพลังส่วนใหญ่ก็สูญเสียตัวตนของตัวเองไปแล้ว เนื่องจากพวกเขาได้สูญเสียความรู้สึกที่มีต่อสิ่งสำคัญของตนเองไป


โดยส่วนใหญ่ ความรู้สึกที่พวกเขาถูกตัดออกไปจะเป็นความรู้สึกที่มีต่อครอบครัว คนรักหรือมิตรสหาย


จักรพรรดินีชะงักนิ่งเงียบ สำหรับนางสิ่งสำคัญที่สุดคือหลิงฮัน หากนางต้องตัดขาดความรู้สึกรักใคร่ที่มีต่อหลิงฮันนางขอตายดีกว่า แต่หากไม่ยอมตัดความรู้สึกทางโลก นางก็จะไม่สามารถบรรลุระดับโลกียนิพพาน


คิดว่าการจะมีอายุขัยเป็นนิรันดร์จะทำได้ง่ายๆโดยไม่ต้องสูญเสียสิ่งใดเป็นค่าแลกเปลี่ยนเลย?


จักรพรรดินีครุ่นคิดและกล่าว “หากข้าต้องตัดความรู้สึกของตนเอง ข้าขอไม่กลายเป็นนิรันดร์และอยู่กับเจ้าด้วยอายุขัยที่เหลือที่กว่า”


การละความรู้สึกทางโลกไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นความรัก ความรู้สึกที่จะสูญเสียไปคืออะไรก็ได้ที่เจ้าของความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยมากที่สุดซึ่งสำหรับคนส่วนใหญ่ก็คือความรักที่มีต่อคนสำคัญ


“เพราะงั้นหากต้องการทะลวงผ่านระดับโลกียนิพพา พวกเราจึงต้องวางแผนให้ดีเสียก่อน” หลิงฮันโอบกอดเอวจักรพรรดินี ไม่เพียงแค่นาง แต่ทุกคนในหอคอยทมิฬจะต้องเตรียมการให้ดีก่อน ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะสูญเสียความรู้สึกที่มีต่อญาติพี่น้องหรือคนรักไปอย่างเลี่ยงไม่ได้


เมื่อเขาเดินมายังต้นสังสารวัฏก็พบเห็นทุกคนกำลังบ่มเพาะพลังกันอย่างหนัก หอคอยทมิฬสามารถดูดซับพลังวิญญาณของดินแดนแห่งเซียนเข้ามาได้ และด้วยความช่วยเหลือของต้นสังสารวัฏ อีกไม่นานทุกคนคงสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์สำเร็จและออกไปโลกภายนอกได้


หลังจากพูดคุยถึงสถานการณ์ในโลกภายนอกให้ทุกคนได้รับรู้ หลิงฮันกับจักรพรรดินีก็กลับออกจากหอคอยทมิฬ


ค่ำคืนผ่านพ้นไป วันรุ่งขึ้นก็ได้เริ่มการฝึกฝนกองกำลัง


กลุ่มสิบกลุ่มจะมีผู้ฝึกสอนสิบคน ผู้ฝึกสอนของกลุ่มหลิงฮันมีชื่อว่าอู่จิง เขาเป็นชายวัยกลางคนร่างอ้วนท้วมที่มีพลังบ่มเพาะระดับราชาเซียนสูงสุด


“เจ้าพวกหนอนแมลงขยะ การที่ข้าต้องมาฝึกสอนพวกเจ้านับว่าเป็นความอัปยศอย่างมากจริงๆ!” อู่จิงสบถหยาบคาย


“ข้าอุตส่าห์ยอมลดตัวมาฝึกสอนพวกเจ้าเพื่อมาดูพวกเจ้าแสดงป่าหี่เหมือนลิงเช่นนี้?”


“ไร้ค่า!”


“ไร้สมอง!”


“หมูยังฉลาดยิ่งกว่าพวกเจ้าร้อยเท่า!”


ใบหน้าของเขาเผยถึงความไม่สบอารมณ์ ไม่ว่ากลุ่มของหลิงฮันจะแสดงผลฝึกฝนออกมาได้ดีหรือไม่ดีเขาก็สบถด่าไว้ก่อน


กลุ่มของหลิงฮันคือกลุ่มที่มีสมาชิกอ่อนแอที่สุด หากถูกสบถด่าดูถูกไปมากๆ เดี๋ยวพวกเขาก็ทนไม่ไหวและขอถอนตัวไปเอง


และอีกสามวันต่อมา อู่จิงก็ได้ประกาศกับกลุ่มหลิงฮันว่าพวกเขาได้รับภารกิจให้ไปปราบกองโจรและต้องออกเดินทางทันที


อะไรกัน ได้รับภารกิจรวดเร็วขนาดนี้เลย?


ทุกคนมองหน้ากัน ไม่ว่าใครก็คิดว่าเรื่องนี้มันเร็วเกินไป


พวกเขาเพิ่งจะเรียนรู้รูปแบบโจมตีผสานได้เพียงแค่รูปแบบเดียวและไม่เข้าใจกลยุทธ์อื่นๆแม้แต่นิดเดียว จะให้พวกเข้าน่ะรึไปจัดการกองโจร?


นี่มันภารกิจฆ่าตัวตายชัดๆ!


บางทีภารกิจนี้อาจจะสำเร็จ แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นคงก็ไม่น้อย เป็นไปได้ว่าสมาชิกกว่าครึ่งของกลุ่มอาจไม่ได้กลับมา


พวกเขาไม่ใช่คนโง่และเดาได้ว่านี่ต้องเป็นแผนการของติงหู่เป็นแน่ เป้าหมายของอีกฝ่ายคือหลิงฮันแต่มีพวกเขาติดร่างแหไปด้วย


“หลิงฮัน เจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่ม เจ้าต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วง!” อู่จิงมอบแผ่นหยกให้แก่เขา “ข้อมูลของกลุ่มโจรภูเขาอยู่ในนี้แล้ว พวกมันเป็นกลุ่มโจรหางแถวที่มีราชาเซียนสูงสุดแค่สิบคนเท่านั้น”


“เพราะงั้นความสูญเสียของกลุ่มจึงห้ามมีมากกว่าสิบคน หากเกินกว่านี้… เมื่อเจ้ากลับมาจะต้องได้รับโทษจากทางกองกำลัง!”

 

 

 


ตอนที่ 1682 จัดการอย่างง่ายดาย

 

หลิงฮันไม่เชื่อสิ่งที่อู่จิ่งกล่าว


บางทีอีกฝ่ายอาจจะได้รับรายงานมาแบบนั้นและไม่รู้ว่าพลังที่แท้จริงของกลุ่มโจรภูเขา แต่หลิงฮันมั่นใจว่าในเมื่อนี่เป็นแผนการที่ติงหู่คิดจะใช้กำจัดเขา มันจะเป็นภารกิจง่ายๆทั่วไปได้อย่างไร?


กลุ่มโจรภูเขากลุ่มนี้จะต้องทรงพลังมากเป็นแน่ ต่อให้พวกมันจะไม่สามารถทำอะไรเขาได้แต่กลุ่มของเขาก็ต้องเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่และเขาจะได้ถูกลงโทษเมื่อกลับมา


หลิงฮันส่ายหัว ติงหู่เป็นถึงนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน อีกฝ่ายจำเป็นต้องทำเรื่องยุ่งยากเช่นนี้เพียงเพื่อกำจัดเขา?


ความจริงที่ติงหู่ต้องใช้วิธีการเช่นนี้เป็นเพราะอำนาจของสามตระกูลกำลังค้ำจุนกันอยู่ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยากแบบนี้และลงมือสังหารหลิงฮันตรงๆไปแล้ว


กลุ่มของหลิงฮันร้อยคนออกเดินทาง แม้กระทั่งผู้ฝึกสอนก็ยังไม่ติดตามพวกเขามาซึ่งแน่ชัดแล้วว่าภารกิจนี้คือหลุมที่ตั้งใจขุดเอาไว้เพื่อให้พวกเขาร่วงลงไป


หลิงฮันมั่นใจว่าจะทำภารกิจนี้สำเร็จ


ติงหู่คิดผิดไปสองเรื่อง หนึ่งคือบาดแผลของหลิงฮันถูกรักษาหายดีแล้วและสามารถใช้พลังต่อสู้ได้เต็มที่ สองคือจักรพรรดินีเองก็มีพลังต่อสู้ที่ทรงพลังไม่ด้อยไปกว่าเขา หากพวกเขาสองคนร่วมมือกันย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับขุมอำนาจระดับสร้างสรรพสิ่งใดๆ


นอกเสียจากว่าศัตรูจะเป็นทายาทของตระกูลหรือนิกายระดับสูงที่ในระดับวารีนิรันดร์ควบแน่นดวงดาราได้ถึงขีดจำกัดแท้จริงสิบล้านดวง


แต่ต่อให้ศัตรูจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาสองคนก็สามารถให้คนหนึ่งเป็นฝ่ายป้องกันและให้อีกคนกระหน่ำโจมตีได้


เพียงแต่ว่าแม้หลิงฮันกับจักรพรรดินีจะมั่นใจขนาดไหน แต่สมาชิกคนอื่นๆไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย!


ยอมเป็นทหารหนีทัพดีกว่ายอมตาย อย่างมากก็แค่ไม่กลับมาเมืองธุลีจันรทราอีกต่อไป


ทันทีที่ออกจากเมือง ใครบางคนก็รีบเผ่นหนีทันที


หลิงฮันจับตัวสมาชิกที่คิดหลบหนีทั้งสิบสามคนเอาไว้


“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่มีความมั่นใจว่าจะทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ แต่ข้าจะขอกล่าวไว้ตรงนี้เลยว่าตราบใดที่ข้ายังอยู่ ทุกอย่างจะไม่มีปัญหา ครั้งนี้ข้าจะยอมปล่อยผ่าน แต่หากใครยังคิดหนีอีกข้าจะจับลงโทษตามกฎของกองกำลัง” หลิงฮันกล่าวน้ำเสียงขึงขัง


ทุกคนกัดปาก เจ้าก็พูดง่ายไป หากต้องปะทะกับกลุ่มโจรภูเขาจริงๆเจ้าจะคุ้มกันความปลอดภัยให้พวกข้าได้อย่างไร?


แต่ไม่ว่าอย่างไรด้วยพลังของหลิงฮันอย่างน้อยในตอนนี้ก็ไม่มีใครกล้าหนีทัพ รอให้การปะทะเริ่มขึ้นก่อน บางทีพวกเขาอาจจะใช้โอกาสตอนนั้นหลบหนี


ทุกคนออกจากประตูเมืองและมุ่งหน้าไปยังภูเขาวายุคลั่งซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางจากเมืองราวๆเจ็ดวัน เส้นทางของภูเขาวายุคลั่งคือเส้นทางคมนาคมที่สำคัญเพราะเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองธุลีจันรทราและเมืองหยาดพิรุณแห่งความหวัง


ในช่วงนี้มีกลุ่มโจรที่ตั้งรากฐานอยู่บนภูเขาวายุคลั่งและออกปล้นนักเดินทางอยู่บ่อยครั้ง


ในความเป็นจริงๆ ในทุกๆปีจะมีกลุ่มโจรปรากฏอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เหล่าขบวนพ่อค้าต่างคุ้นชินกับเรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อย กลุ่มโจรส่วนใหญ่นั้นมักจะไม่ลงมือสังหารเหยื่อและปล้นชิงทรัพย์เพียงอย่างเดียว


แต่กลุ่มโจรภูเขาที่เป็นภารกิจของพวกเขานั้นแตกต่างออกไป พวกมันโหดเหี้ยมไร้ความปรานี เมื่อใดก็ตามที่พบเจอขบวนพ่อค้าพวกมันจะสังหารเหยื่อทิ้งทั้งหมดไม่ให้ใครเหลือรอด ยิ่งกว่านั้นพวกเขาก็ยังมีไหวพริบหลักแหลมไม่น้อย หากขบวนพ่อค้าใดที่ทหารคุ้มกันที่แข็งแกร่ง พวกมันจะเลือกหลีกหลีกไม่ยุ่งเกี่ยว


ระหว่างเดินทางหลิงฮันวางแผนให้กลุ่มของพวกเขาร้อยคนแสร้งทำตัวเป็นขบวนพ่อค้าเพื่อล่อโจรภูเขา


เพื่อความมั่นใจว่ากลุ่มโจรจะต้องลงมือโจมตีพวกเขา หลิงฮันได้ให้เหล่าราชาเซียนสูงสุดหลบซ่อนอยู่ในรถม้า เพียงแต่คิดว่าเรื่องหลบซ่อนนั้นคงไม่จำเป็นเท่าไหร่เนื่องจากกลุ่มของพวกเขามีจอมยุทธที่แข็งแกร่งอยู่ไม่มาก ราชาเซียนของสูงสุดของกลุ่มพวกเขามีอยู่แค่หกคนเท่านั้นเอง


แม้แผนจะดูเรียบง่ายแต่ก็ได้ผล หลังจากมาถึงภูเขาวายุคลั่งได้ไม่นานหลิงฮันพบว่ามีใครบางคนกำลังไล่ตามหลังพวกเขาอยู่ หลิงฮันออกคำสั่งให้กลุ่มของพวกเขาเคลื่อนที่ให้ไวเคลื่อนเพื่อที่จะได้ดูเหมือนต้องการหลบหนี


ราวๆสองชั่วโมงต่อมา กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งก็โผล่พรวดออกมาขวางทางพวกเขาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง


“พวกเราปล้นชิงเพียงของมีค่า อย่าได้คิดขัดขืนและมอบทรัพสมบัติมาแต่โดยดีแล้วพวกเราจะยอมจากไป!” โจรคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเขาแค่พูดส่งๆไป หลังจากปล้นชิงเสร็จแล้วเขาจะลงดาบกับทุกคนทันที


จักรพรรดินีก้าวเดินออกมา ด้วยนิสัยหยิ่งทะนงของนางทำให้ไม่เหมาะที่จะคุ้มครองใคร นางรับหน้าที่เป็นคนลงมือโจมตีในขณะที่หลิงฮันเป็นคนคุ้มกันสมาชิกกลุ่มคนอื่นๆ


สายลมของภูเขาพัดกระโปรงของจักรพรรดินีพลิ้วไหว เมื่อชุดถูกพัดแนบเนื้อ รูปร่างอันสมบูรณ์แบบของนางจึงเผยให้เห็น


“ช่างเย้ายวนยิ่งนัก เจ้าจงนำผ้าปิดหน้าออกเดี๋ยวนี้” โจรภูเขาคนหนึ่งกล่าวแซว


“เฒ่าเก้า เจ้าไม่คิดรึว่าบางทีใบหน้าของนางอาจจะอัปลักษณ์มากก็เป็นได้?”


“ด้วยรูปร่างขนาดนี้ ต่อให้อัปลักษณ์ข้าก็ไม่สน! ตอนหลับนอนหากปิดไฟจะเห็นรึว่าหน้าตาเป็นอย่างไร?”


“ฮ่าๆๆๆ!”


เหล่าโจรภูเขาหัวเราะและจดจ้องสายตาไปยังจักรพรรดินีดิ หลังจากการปล้นชิงทุกครั้งหากมีสตรีอยู่ด้วยพวกพวกมันย่อมไม่ลืมที่จะเล่นสนุกกับพวกนาง


‘พรึบ’ ร่างของจักรพรรดินีพุ่งทะยานลงมือโจมตี สิ่งที่อยู่ในหัวของนางนั้นไม่มีอะไรซับซ้อน หากไม่พอใจก็แค่สังหารให้เรียบ!


หัวของใครบางคนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างของจักรพรรดินีปรากฏอยู่ด้านข้างโจรไร้หัวที่ถูกเรียกว่าเฒ่าเก้า


เหล่าโจรภูเขาตกตะลึง ทั้งรวดเร็วและทรงพลังจนน่ากลัว!


“สาวน้อย ช่างกล้านักที่สังหารคนของพวกข้า!” คนที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าโจรก้าวออกมาและจ้องมองจักรพรรดินี “ในตอนแรกเจ้าอาจจะถูกไว้ชีวิต แต่ตอนนี้เจ้าได้ขุดหลุมฝังตัวเองแล้ว!”


เขาสะบัดมือและตะโกน “สังหารทุกคนอย่างให้เหลือรอด!”


เหล่าโจรภูเขาคำรามเสียงดังพร้อมกับพุ่งทะยาน พวกมันแบ่งกลุ่มกันเป็นกลุ่มละห้าคนหลายกลุ่มเพื่อคอยช่วยกันโจมตีและคุ้มกัน


ร่างของจักรพรรดินีสั่นไหวก่อนที่ร่างแยกทั้งเก้าจะก้าวเดินออกมา จักรพรรดินีทั้งสิบคนลงมืออย่างพริ้วไหวราวกับผีเสื้อที่กำลังโบยบิน เพียงแต่ท่วงท่าที่สวยงามของนางได้ทำให้เกิดการนองเลือด โจรภูเขาทีละคนค่อยๆกลายเป็นศพและร่วงลงสู่พื้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถต้านทานการโจมตีของจักรพรรดินีได้เกินสองกระบวนท่า


เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า สมาชิกในกลุ่มของหลิงฮันก็โลหิตเดือดพล่าน


กลับกลายเป็นว่ากลุ่มโจรภูเขาอ่อนแอเพียงนี้?


ไม่ใช่… โจรภูเขาไม่ได้อ่อนแอแต่จักรพรรดินีแข็งแกร่งเกินไป! พระเจ้า ตอนแรกคิดว่ามีแค่หลิงฮันที่แข็งแกร่งขนาดนี้ บางทีหากทั้งสองช่วยกันโจมตีและคุ้มกัน พวกเขาอาจจะรอดพ้นความตายก็เป็นได้


“จัดการ!” จิตวิญญาณสู้รบของทุกคนเดือดพล่านและร่วมมือกันโจมตีโจรภูเขา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)