Alchemy Emperor of the Divine Dao 1648-1668

ตอนที่ 1648 เห็ดซากศพ

 

แม้ออร่าที่เสี่ยวกู่ปลดปล่อยออกมาจากคลุมเครือเป็นอย่างมากแต่เซียนทั้งสามอย่างพวกสตรีนกอมตะย่อมสามารถสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายคือตัวตนระดับเซียนอย่างแน่นอน!


แต่เซียนคนไหนที่จะบ้าทำท่าทางไร้เดียงสาเช่นนั้น?


หลิงฮันหัวเราะก่อนจะกล่าว “เขามีนิสัยแปลกประหลาดอยู่บ้างเล็กน้อย”


ใช่แล้ว แปลกประหลาดมาก พวกนางไม่เคยพบเห็นเซียนเช่นนี้มาก่อน


“เขา.. มี.. นิ…” เสี่ยวกู่พูดเลียนแบบอีกครั้งด้วยใบหน้าไร้เดียงสา


 


หลงเซียงเยว่กลั้นหัวเราะไม่ไหว เซียนแต่ละคนมีนิสัยไม่เหมือนกันก็จริงแต่นางก็ไม่เคยพบเจอเซียนคนใดที่มีนิสัยเหมือนกับเสี่ยวกู่มาก่อน นี่เจ้ายังคิดว่าตนเองเป็นเซียนจริงๆรึเปล่า?


“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสี่ยวกู่หัวเราะตาม เสี่ยวกู่ในตอนนี้เปรียบเสมือนฟองน้ำที่พร้อมจะดูดซับทุกอย่างที่พบเจอ


“เอาล่ะ ไปภูเขาลูกอื่นกันดีกว่า”


ในขณะเดินทางหลิงฮันได้เล่าสิ่งที่เขาพบเจอบนยอดเขาให้ทุกคนฟังซึ่งทั้งสี่ต่างแสดงทีตกตะลึงออกมา ในขณะเดียวกัน เสี่ยวกู่เองก็เรียนรู้พูดเลียนแบบคำพูดของทุกคนอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย


แต่เมื่อมาถึงวันที่สี่ ในที่สุดเสี่ยวกู่ก็หยุดเลิกพูดเลียนแบบทุกคำพูดและเลือกเลียนแบบเฉพาะบางคำ คำไหนที่เคยได้ยินมาแล้วมันจะไม่พูดซ้ำอีก แต่หากเป็นคำไหนที่ไม่เคยได้ยินมันจะพูดซ้ำไปมาด้วยท่าทางตื่นเต้น


หลิงฮันไม่ได้บอกใครถึงเรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วเสี่ยวกู่นั้นเป็นแท่งกระดูก แม้เสี่ยวกู่จะมีพลังในระดับเซียนแต่ในสายตาของเขาอีกฝ่ายไม่ต่างอะไรไปจากเด็กน้อย เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าแท้จริงแล้วเสี่ยวกู่คืออะไรเพราะเกรงว่าท่าทีปฏิบัติของทุกคนจะเปลี่ยนไป


กลุ่มของหลิงฮันเดินผ่านเส้นทางที่คาดว่ามีคนเคยผ่านไปก่อนแล้วพวกเขาจึงไม่พบเจอสมุนไพรใดๆเลยระหว่างทาง แต่ในทางตรงข้าม พวกเขาพบเจอเสื้อผ้าที่ถูกฉีกขาดบางส่วนซึ่งสมควรเป็นของจอมยุทธที่เคยผ่านมาที่นี่ก่อนและถูกสัตว์อสูรโจมตี


หนึ่งเดือนกว่าๆผ่านไป เส้นทางที่พวกเขาเดินสำรวจไม่พบเจอภูเขาอีกต่อไป สภาพแวดล้อมโดยรอบมีเพียงที่ราบว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตที่มีสายน้ำขนาดใหญ่ไหลผ่าน


แม่น้ำมีขนาดใหญ่มากจริงๆ มันกว้างราวๆพันไมล์และไม่รู้ว่ายืดยาวไปไกลขนาดไหน


ในแม่น้ำมีสิ่งมีชีวิตอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปลายักษ์ที่มีเขายาว จระเข้ที่มีหกขาและมีปีกเหมือนนก เต่าที่เมื่อลอยขึ้นเหนือผิวน้ำแล้วมีขนาดใหญ่ราวกับภูเขาลูกย่อมๆ


สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทรงพลังเป็นอย่างมากแต่ไม่มีตัวใดเลยที่ออกมาจากแม่น้ำเพื่อโจมตีพวกเขา พวกมันแต่ละตัวใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข


กลุ่มหลิงฮันหกคนไม่ลงไปในแม่น้ำเพื่อท้าทายสัตว์อสูรที่ทรงพลังเหล่านี้ แม้น้ำสายนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก น้ำในแม่น้ำมีอักขระอาคมไหลผ่านไปมา เกรงว่าหากลงไปร่างกายพวกเขาอาจจะได้รับบาดเจ็บ


พวกเขาเดินเลียบแม่น้ำขึ้นไป ทุกคนมีความคิดเดียวกันคืออยากรู้สึกสุดปลายสายแม่น้ำมีอะไรอยู่กันแน่ บางทีพวกจักรพรรดินีก็อาจจะอยู่ที่สุดสายแม่น้ำแห่งนี้


สิบวันต่อมา สภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไป จากที่ราบอันว่างเปล่าเริ่มมีพืชนานาชนิดปรากฏให้เห็น เหล่าสัตว์อสูรเองก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน พวกมันมีทั้งตัวที่อ่อนแอและทรงพลัง แต่ไม่ว่าพวกมันจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ สิ่งที่พวกมันเหมือนกันคือไร้สติปัญญาและมีเพียงสัญชาตญาณอันโหดเหี้ยมของสัตว์ป่า


สมุนไพรเริ่มมีให้พบเห็นมากขึ้นเพียงแต่ระดับของพวกมันก็ไม่ได้สูงเท่าไหร่ ไม่มีต้นใดเลยที่เป็นสมุนไพรเซียน


เสี่ยวกู่ไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรมาก่อน เมื่อเห็นสัตว์อสูรตัวใดตัวหนึ่งเขาจะรีบวิ่งเขาไปกอดรัดทันที บางครั้งที่เขาอุ้มกระทิงหรือสัตว์อสูรที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเองหลายสิบเท่านั้น เกิดเป็นภาพที่ดูแล้วตลกเป็นอย่างมาก


สามวันต่อมา ที่ด้านหน้าพวกเขาได้มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่สภาพแวดล้อมอบอวลไปด้วยความมืดมิดปรากฏให้เห็น แม้ระยะของพื้นที่มืดมิดนั่นจะยังอยู่อีกห่างไกล แต่แค่กลิ่นที่ลอยมาก็ส่งผลให้คนที่สูดดมเข้าไปรู้สึกมึนงง


บริเวณกึ่งกลางของพื้นที่มืดมิดนั้นมีก้อนอะไรบางที่เน่าเปื่อยวางอยู่ หากไม่มองให้ดีก็คงไม่สังเกตุเห็น ก้อนเน่าเปื่อยที่วางอยู่นั้นเป็นต้นเหตุให้เกิดกลิ่นเหม็นอันรุนแรง


“นั่นมัน… เห็ดซากศพ” หลังจากจ้องมองอยู่สักพักจู่ๆหลิงฮันก็อุทานออกมา


สิ่งที่ดูเหมือนเนื้อเน่าเปื่อยนั่นแท้จริงแล้วคือสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำที่เรียกว่าเห็ดซากศพ มีคำกล่าวว่าเห็ดชนิดนี้จะเกิดขึ้นมาจากศพที่ตายแล้วของราชาเซียน


เห็ดที่เกิดขึ้นจากซากศพของราชาเซียนนั้น พิษของมันรุนแรงเกินพรรณนา ต่อให้เป็นราชาเซียนหากกินเข้าไปตรงๆก็มีโอกาสสูงมากที่จะตกตาย


เพียงแต่ว่าตราบใดที่พิษของเห็ดซากศพถูกชำระล้างออกไป มันจะกลายเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำที่ล้ำค่าอันดับต้นๆทันที


สมุนไพรตั้งแต่ระดับสิบเจ็ดถึงยี่สิบจะถูกเรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ โดยที่สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำที่หลิงฮันเคยมีก็ล้วนแต่เป็นสมุนไพรระดับสิบเจ็ด เพียงแต่เห็ดซากศพที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นสมุนไพรที่แม้แต่ราชาเซียนก็ยังได้รับผลประโยชน์มหาศาล ภายในสมุนไพรอัดแน่นไปด้วยเจตนงยุทธตลอดอายุขัยของราชาเซียน เพียงแต่ว่าจะเก็บเกี่ยวและใช้ประโยชน์จากเห็ดซากศพได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย


มันคือสมุนไพรที่แฝงไว้ด้วยพิษอันรุนแรง!


ด้วยพิษของมัน เกรงว่าหากเข้าไปใกล้ต่อให้เป็นราชาเซียนก็ต้องถูกพิษซึมเข้าสู่ร่างกายและไม่อาจขจัดออกได้ง่ายๆ


ว่าแต่ไหนล่ะซากศพที่ตายแล้วของราชาเซียน?


เห็ดซากศพจะงอกขึ้นมาโดยตรงจากซากศพของราชาเซียนและดูดกลืนแก่นพลังเพื่อเจริญเติบโต เพราะงั้นแล้วหากมีเห็ดซากศพก็ต้องมีศพของราชาเซียนถูกทิ้งเอาไว้ใกล้ๆด้วย


พวกหลิงฮันทั้งห้าคนจ้องมองกันด้วยความมึนงงในขณะที่เสี่ยวกู่นั้นไม่สนใจอะไร มันสนใจแต่เพียงสิ่งแปลกใหม่เท่านั้น ส่วนซากศพน่ะรึ? มันเห็นเคยมานานแล้วไม่รู้กี่แสน กี่ล้านปี


“จะเก็บเกี่ยวสมุนไพรนั่นได้อย่างไร?” พวกเขาเลิกคิดว่าเห็ดซากศพเจริญเติบโตขึ้นมาได้อย่างไรโดยไม่มีซากศพข้างๆ ต่อให้มันจะตกลงมาจากฟ้าหรืออะไรก็ช่าง สิ่งสำคัญคือจะเก็บมันมาได้อย่างไร


เซียนหวู่เซียงยกหนึ่งมือขึ้นมา เขาควบแน่นปราณก่อเกิดเป็นมือขนาดใหญ่และเอื้อมเข้าไปยังเห็ดซากศพ เพียงแต่ว่ามือขนาดใหญ่ก็ได้ถูกอากาศอันมืดมิดโดยรอบกัดกร่อนและสลายตัวไปก่อนจะถึงเห็ดซากศพ


เขายกมือขวาขึ้นมาดู เขาพบว่าบริเวณฝ่ามือกลายเป็นสีดำสนิท ภายในฝ่ามือสีดำมีอักขระบางอย่างส่องสว่างออกมาพร้อมกับปลดปล่อยออร่าอันดำทมิฬ ออร่าสีดำค่อยๆแพร่จะจายออกเป็นวงกว้างลามไปยังข้อมือ


เซียนหวู่เซียงพยายามใช้พลังของตนเองเพื่อสลายออร่าสีดำแต่ก็ทำไม่ได้ เขาตัดสินใจเด็ดขาดโดยการใช้มืออีกมือหนึ่งตัดแขนขวาตั้งแต่ช่วงข้อศอกลงมาทิ้ง


‘ฉัวะ’ โลหิตสาดกระจายพร้อมกับมือขวาที่หลุดร่วง แต่ยังไม่ทันที่มือจะได้ร่วงถึงพื้นมันก็สลายกลายเป็นเศษขี้เถ้าเสียก่อน


พิษของเห็ดซากศพนั้นรุนแรงจนเห็นผลทันตา!

 

 

 


ตอนที่ 1649 เก็บเกี่ยวสมุนไพรราชาเซียน

 

พิษของเห็ดซากศพช่างรุนแรง!


เซียนหวู่เซียงเป็นเซียนระดับต้นก็จริง แต่ฝ่ามือปราณก่อเกิดเมื่อครู่ยังไม่ทันสัมผัสโดนเห็ดซากศพเลยด้วยซ้ำ พิษของเห็ดซากศพกลับลุกลามเข้ามาที่ร่างของเขาได้


หากสัมผัสโดนตรงๆล่ะจะเป็นอย่างไร?


ไม่แน่ว่าร่างกายอาจจะเน่าสลายในพริบตาเลยก็เป็นได้


เห็ดซากศพเป็นสมุนไพรที่มีพิษรุนแรงเทียบเท่าอำนาจของราชาเซียน หากเซียนระดับต้นต้องการเก็บเกี่ยวมันคงเป็นเพียงความคิดเพ้อฝัน


เซียนหวู่เซียงรีบนำเม็ดยาออกมากินเพื่อฟื้นฟูบาดแผลที่ตัดแขนออกไปทันที


“ไม่มีทางเก็บเกี่ยวมันได้!” เขาส่ายหัว เพียงแค่ออร่าที่ปลดปล่อยออกมาจากเห็ดซากศพก็ทำให้เซียนระดับต้นอย่างเขาต้องตัดแขนตนเองเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ หากสัมผัสโดนตัวเห็ดจริงๆเกรงว่าชีวิตของเขาจะต้องดับสูญแน่นอน


สตรีนกอมตะและAnchorหลงอวี่ซานเองก็ส่ายหัวด้วยความหมดหวัง


แต่ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว หากเห็ดซากศพเก็บเกี่ยวได้ง่ายจริงๆมันจะยังเหลือมาถึงตอนนี้? ก่อนหน้าพวกเขามีเซียนเข้ามาที่นี่ก่อนแล้วมากมาย แม้แต่เหล่าราชาเซียนที่ทรงพลังจากดินแดนแดนต้องห้ามต่างๆก็อาจจะมาด้วยเช่นกัน


หากขนาดราชาเซียนยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ก็คงไม่ต้องเอ่ยถึงพวกเขา


หลิงฮันครุ่นคิด หากเขาใช้แสงอัสนีเคลื่อนที่ไปเก็บเห็ดซากศพล่ะจะเป็นอย่างไร ด้วยความเร็วของแสงอัสนีระยะเวลาที่สัมผัสกับตัวเห็ดนั้นจะเกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียว ซึ่งหลังจากนั้นหากโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ทันทีพลังป้องกันของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างไร้เทียมทาน


แต่ประเด็นคือความสามารถในการป้องกันกับความสามารถในการต้านทานพิษนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


“หอคอยน้อย ข้าจะป้องกันตัวเองจากพิษที่รุนแรงเช่นนั้นได้รึเปล่า?” เขาเอ่ยถามหอคอยน้อย ถึงแม้สมุนไพรระดับราชาเซียนจะล้ำค่า แต่มันจะเทียบกับชีวิตของเขาได้อย่างไร?


หอคอยน้อยเค้นเสียงดูถูก “เด็กน้อยผู้โง่เขลา พิษเองก็เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพี คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์คือทักษะที่สามารถต้านทานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้ทุกประเภท กับแค่ต้านทานพิษนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากแม้แต่น้อ…” ยังไม่ทันที่หอคอยน้อยจะได้กล่าวจบ ร่างของหลิงฮันก็พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว


‘พรึบ’ ร่างของหลิงฮันแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นสายฟ้า ยังไม่ทันที่สตรีนกอมตะและคนอื่นๆจะกล่าวเตือนใดๆหลิงฮันก็พุ่งไปถึงตำแหน่งกึ่งกลางของอาณาเขตพิษแล้ว เขาเอื้อมมือออกไปคว้าเห็ดซากศพและเก็บเข้าสู่หอคอยทมิฬพร้อมกับทะยานร่างต่อไปยังอีกฝากของอาณาเขตพิษ


ภายใต้การโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ทั่วร่างของเขาได้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างสีทอง อักขระแห่งเต๋าอันลึกลับปรากฏวนไปมาและส่องสว่างไปทั่วสวรรค์และปฐพี


เขาหันหลังเดินกลับมาผ่านทางอาณาเขตพิษโดยที่ร่างกายไม่ได้รับผลกระทบใดๆ


“จะ เจ้า เจ้า เจ้า!” หลงอวี่ซานชี้นิ้วไปยังหลิงฮัน เสียงของนางสั่นเครือเนื่องจากคาดไม่ถึงว่าหลิงฮันจะสามารถเก็บเกี่ยวเห็ดซากศพได้ง่ายดายเพียงนี้


หลิงฮันยิ้ม “ไปกันต่อเถอะ บางทีที่อื่นอาจจะมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำเช่นนี้อยู่อีก”


เรื่องหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกกับทุกคนอื่น หลังจากที่เก็บเห็ดซากศพขึ้นมาแล้ว ด้านล่างเห็ดซากศพนั้นเขาพบเจอก้อนเนื้อขนาดเล็กว่างอยู่ซึ่งเป็นเศษเนื้อของสิ่งมีชีวิตไม่ผิดแน่ เพียงแต่ว่าขนาดของมันนั้นเล็กมาก เล็กเสียยิ่งกว่าเล็บมือเสียอีก


ก้อนเนื้อขนาดเล็กที่ว่าคือต้นตอที่ทำให้เกิดเห็ดซากศพ


ต้องรู้ก่อนว่าไม่ใช่เสมอไปที่ซากศพของราชาเซียนทุกคนจะทำให้เกิดเห็ดซากศพได้ มีเพียงซากศพของราชาเซียนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะทำให้เห็ดซากศพเกิดขึ้นมาและเจริญเติบโต


ยิ่งกว่านั้นซากศพของราชาเซียนหนึ่งคนจะมีพลังเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงเห็ดซากศพเพียงแค่ต้นเดียว เมื่อหลังงานถูกดูดกลืนไปจนหมดซาพศพก็จะแห้งเหือดจนเหลือแต่โครงกระดูกและไม่สามารถให้กำเนิดเห็ดซากศพต้นที่สองได้


แต่สิ่งที่เขาเห็นล่ะ?


ก้อนเนื้อขนาดเล็กยิ่งกว่าเล็บนิ้วมือสามารถให้กำเนิดเห็ดซากศพได้ แถมหลิงฮันยังสัมผัสได้อีกว่าพลังภายในก้อนเนื้อนั้นยังคงเหลืออยู่มหาศาลและสามารถหล่อเลี้ยงเห็ดซากศพได้อีกมากมาย


นั่นต้องไม่ใช่ก้อนเนื้อของราชาเซียน!


“เศษเนื้อของนิรันดร์!” หลิงฮันกล่าวในใจ มีเพียงเนื้อและโลหิตของจอมยุทธระดับนิรันดร์เท่านั้นที่จะทรงพลังพอให้กำเนิดเห็ดซากศพได้ในสภาพของเศษเนื้อ เพียงแต่ว่าระยะเวลาในการเจริญเติบโตของสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำคือร้อยล้านปี หลิงฮันไม่สามารถรอจนถึงตอนที่เห็ดซากศพต้นที่สองเติบโตได้


“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” สตรีนกอมตะรีบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง


“ไม่มีปัญหา” หลิงฮันส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม


ในขณะเดียวกันเสี่ยวกู่เอียงคอมองด้วยความสงสัย สิ่งที่หลิงฮันทำเมื่อครู่มันสนุกขนาดนั้นเชียว? มันไม่พูดพล่ามอะไรและเดินตรงไปยังอาณาเขตพิษทันที


แม้เห็ดซากศพจะถูกเก็บเกี่ยวไปแล้ว แต่สภาพแวดล้อมความเป็นพิษก็ไม่ได้หายไปเร็วขนาดนั้น ออร่าสีดำทมิฬพัวพันโอบล้อมทั่วร่างของเสี่ยวกู่ทันที


“เสี่ยวกู่!” หลงเซียงเยว่และสตรีนกอมตะอุทานออกมา ด้วยรูปลักษร์ของมันที่เหมือนกับหลิงฮันไม่มีผิดเพี้ยนจึงทำให้สตรีทั้งสองรู้สึกเป็นกังวลไปโดยปริยาย


เสี่ยวกู่เดินวนไปมาอย่างสบายใจราวกับบริเวณที่มันยืนอยู่ไม่ใช่อาณาเขตพิษแต่เป็นสวนหลังบ้านอันคุ้นเคย


นี่มัน!


ไม่ใช่แค่พวกสตรีนกอมตะแต่หลิงฮันก็ตจกตะลึงเช่นกัน เขารู้ดีกว่าใครว่าพลังของเสี่ยวกู่นั้นทรงพลัง แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะทรงพลังขนาดนี้


“หืม?” หลิงฮันชะงักก่อนจะหันไปมองทางซ้าย


‘พรึบ’ เงาสามร่างปรากฏตัว พวกเขาทั้งสามคือรุ่นเยาว์ร่างสูงใหญ่ที่แต่งตัวแปลกประหลาด ที่แปลกประหลาดไม่ใช่ชุดของพวกเขาแต่เป็นมงกุฎบนหัวที่ถูกถักทอจากขนนกที่ตั้งตรงและยาวราวๆสามฟุต


หลิงฮันมองไปยังทั้งสามคนก่อนจะเผยสีหน้าประหลาดใจ ออร่าที่สัมผัสได้จากทั้งสามคนนั้นเห็นได้ชัดว่าอ่อนแอกว่าเขามาก แต่เขากลับไม่สามารถมองเห็นระดับพลังบ่มเพาะของทั้งสาม!


ด้วยชุดที่เปิดสัดส่วนทำให้มองเห็นลวดลายตามร่างกายของพวกเขาได้อย่างชัดเจน ลวดลายเหล่านั้นดูคล้ายคลึงกับอักขระอสูรของดินแดนใต้พิภพเล็กน้อย แต่หากมองให้ดีจะพบว่าไม่ใช่


แรกเริ่มนั้นหลิงฮันเคยคิดว่าออร่าของจอมยุทธในดินแดนใต้พิภพนั้นจะเป็นออร่าที่ชั่วร้ายเนื่องพวกเขาบ่มเพาะพลังจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์แห่งการทำลายล้าง แต่หลังจากที่เขาได้ฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพ เขาก็ค้นพบว่าแท้จริงแล้วแก่นแท้ของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งดินแดนใต้พิภพและดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้แตกต่างกันเลย


แต่ทว่า ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้จากลวดลายสีดำบนร่างกายของชายสามคนนี้ เป็นความรู้สึกที่แตกต่างไปจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนอย่างสิ้นเชิง


“มอบสมุนไพรล้ำค่ามา!” รุ่นเยาว์ผู้หนึ้งเอ่ยปาก คนที่เขาพูดด้วยคือเสี่ยวกู่ที่เดินอยู่ในอาณาเขตพิษ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าที่นี่มีเห็ดซากศพ และเมื่อตอนนี้ไม่เห็นเห็ดซากศพอยู่ที่เดิมแล้ว คนที่เก็บไปจะเป็นใครอื่นนอกจากเสี่ยวกู่ที่กำลังเดินอยู่ในอาณาเขตพิษของเห็ดซากศพ?


ภาษาที่เขาใช้กล่าวออกมานั้นแปลกประหลาดจนไม่อาจเข้าได้ แต่ด้วยสัมผัสสวรรค์ที่เขาปลดปล่อยออกมาพร้อมๆทำให้ข้ามผ่านเรื่องกำแพงภาษาไปได้


“มอบ.. สมุนไพร.. ล้ำค่า.. มา…!” เสี่ยวกู่พูดเลียนแบบ มันรู้สึกสนใจคำพูดใหม่ๆและผู้คนที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนเป็นอย่างมาก


รุ่นเยาว์ทั้งสามคนเกรี้ยวกราดทันที


เจ้ากล้าล้อเลียนโดยการพูดตามข้า?


“คนนอกเช่นพวกเจ้า หากไม่โดนสั่งสอนเสียหน่อยคงไม่รู้จักเข็ดหลาบสินะ?” รุ่นเยาว์ที่เอ่ยปากก่อนหน้านี้คว้ามือเข้าใส่เสี่ยวกู่ ลวดลายสีดำตามร่างกายของเขาส่องแสงสลัวพร้อมกับที่ฝ่ามือได้มีเส้นใยสีดำปรากฏออกมา เส้นใยสีดำพัวพันกันกลายเป็นตาข่าย


หลิงฮันเผยสีหน้าตกตะลึงทันที

 

 

 


ตอนที่ 1650 ตระกูลหย่วน

 

หลิงฮันมองไม่ออกว่าพลังบ่มเพาะของรุ่นเยาว์ทั้งสามคือระดับใด แต่ด้วยการโจมตีของอีกฝ่ายทำให้เขาสามารถคาดเดาพลังต่อสู้ได้


ออร่าของอีกฝ่ายไม่ใช่ระดับดาราหรือระดับสร้างสรรพสิ่ง หากจะให้พูดคือใกล้เคียงระดับระดับวารีนิรันดร์ที่สุด


ดูเหมือนว่ารุ่นเยาว์ทั้งสามนี้จะฝึกฝนศาสตร์วรยุทธด้วยรูปแบบบ่มเพาะที่แต่งต่างออกไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง!


การสร้างทักษะบ่มเพาะนั้นหากเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้าก็สามารถทำได้ แต่สำหรับการสร้างรูปแบบบ่มเพาะขึ้นมาใหม่นั้นต้องเริ่มคิดค้นใหม่ตั้งแต่ศูนย์


แน่นอนว่าหลิงฮันไม่คิดว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้จะมีความสามารถขนาดนั้น ในทางกลับเป็นคงเป็นเหล่าบรรพบุรุษของพวกเขาที่คิดค้นรูปแบบการบ่มเพาะขนานใหม่ขึ้นมา โดยรุ่นเยาว์เหล่านี้ก็แค่ฝึกฝนตามกันมาจากรุ่นสู่รู่น


เขตแดนลี้ลับแห่งนี้ไม่รู้ว่าถูกสร้างขึ้นมานานแล้วไหนแล้วถึงได้เกิดการคิดค้นรูปแบบบ่มเพาะพลังรูปแบบใหม่ขึ้นมาได้!


จากที่พวกเขาพูดว่า ‘คนนอก’ ทำให้ทราบได้ว่ารุ่นเยาว์ทั้งสามคนนี้คือคนของที่นี่ ยิ่งกว่านั้นคือจากการที่รุ่นเยาว์เช่นทั้งสามคนบ่มเพาะพลังจนบรรลุความแข็งแกร่งเทียบเท่าระดับวารีนิรันดร์ได้ ก็แสดงว่ารูปแบบบ่มเพาะพลังคนที่นี่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก ผู้อาวุโสของพวกเขาจะเป็นแข็งแกร่งเทียบเท่าเซียนอย่างแน่นอน


การคิดค้นรูปแบบบ่มเพาะพลังขึ้นมาใหม่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมก็จริง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ตัดสินกันด้วยพลังอยู่ดี


จอมยุทธที่มีพลังต่อสู้เทียบเท่าระดับวารีนิรันดร์จะต่อกรกับเซียนได้อย่างไร? เหนือสิ่งอื่นใดหลิงฮันยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเสี่ยวกู่มีความแข็งแกร่งระดับไหน ที่รู้ๆคือเสี่ยวกู่แข็งแกร่งมากจนถึงขนาดที่เขาไม่อยากเป็นศัตรูด้วย


ตูม!


การโจมตีของรุ่นเยาว์ผู้นั้นปะทะเข้ากับร่างของเสี่ยวกู่อย่างจัง ที่โจมตีโดนไม่ใช่ว่ารุ่นเยาว์ผู้นั้นแข็งแกร่งแต่เป็นฝ่ายเสี่ยวกู่เองที่ไม่หลบหรือตอบโต้


วิธีการคิดของเสี่ยวกู่นั่นแตกต่างจากคนทั่วไป


ใบหน้าของมันเผยถึงความรู้สึกใจและกล่าว “ยี่ ยา ย่า?” ความหมายก็คือ ‘เจ้าโจมตีข้าทำไม?’ แถมการโจมตีของรุ่นเยาว์ผู้นั้นก็สร้างความเสียหายใดๆให้เสี่ยวกู่ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว


รุ่นเยาว์ผู้นั้นชะงัก เขาไม่คาดคิดว่าพลังของเสี่ยวกู่จะแข็งแกร่งจนถึงขนาดที่การโจมตีของเขาจะไร้ผลอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนกและกล่าวด้วยน้ำเสียงอวดดี “อย่าบังคับให้ข้าเรียกผู้อาวุโสมาที่นี่ ไม่เช่นนั้นจุดจบของพวกเขาจะมีเพียงความตาย!”


“ส่งสมุนไพรล้ำค่ามา!”


เพียงแต่ว่ารุ่นเยาว์อีกสองคนได้จดจ้องสายตาให้ความสนใจมายังเหล่าสตรีงามอย่างพวกสตรีนกอมตะ


ชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นพกลุ่มกวาดสายตามองด้วยท่าทางตื่นเต้น สตรีทั้งสามคนนี้มีความงดงามที่ยากจะหาใครเปรียบ!


“นอกจากสมุนไพรแล้ว สตรีทั้งสามคนนั้นก็ต้องกลับตระกูลไปกับพวกเราด้วย!” เขากล่าวเสริม


หลิงฮันแสยะยิ้มและคิดในใจ สมองของทั้งสามคนได้รับความเสียหายหรืออย่างไร? จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ตั้วจ้อยสามคนกล้าคิดจะครอบครองสตรีงามที่เป็นถึงเซียน? เขากล่าวออกไป “พาพวกข้าไปยังตระกูลของพวกเจ้า”


“เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร?” รุ่นเยาว์ที่ดูเหมือนผู้นำกลุ่มจ้องมองหลิงฮันอย่างเหยียดหยาม


หลิงฮันสะบัดฝ่ามือ คลื่นพลังที่พัดออกไปส่งผลให้รุ่นเยาว์ทั้งสามคุกเข่าลงกับพื้นทันที เหงื่อของพวกเขาไหลท่วมและรู้สึกราวกับหัวใจบีบรัดจนแทบระเบิด


“นำทางไป” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส “หากยังพล่ามไร้สาระต่ออีกข้าจะสังหารพวกเจ้าไปทีละคน เพราะอย่างไรแค่หน้าที่นำทาง มีคนเดียวก็เพียงพอ”


ทั้งสามคนตัวสั่นสะท้าน พวกเขาสัมผัสถึงจิตสังหารจากน้ำเสียงของหลิงฮันได้อย่างชัดเจน ทั้งสามพยักหน้ารัวและเดินนำทางไป ฉากหน้าอาจจะเห็นเป็นเช่นนั้นแต่ในใจของพวกเขากำลังแสยะยิ้ม ตอนนี้ยอมให้เจ้าได้ใจไปก่อน เมื่อใดที่ถึงตระกูลและผู้อาวุโสปรากฏตัวตอนนั้นจะเป็นเวลาตายของเจ้า!


หลิงฮันจ้องมองไปยังทั้งสามคนอย่างไม่แยแส ด้วยพลังของเขาตอนนี้ต่อให้พบเจอราชาเซียนสูงสุดก็ไม่หวาดกลัว ทั่วทั้งโลกบรรพกาลไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถสังหารเขาได้


ตลอดทางหลิงฮันไต่ถามทั้งสามคนเกี่ยวกับสถานการณ์ของที่นี่ ด้วยแรงกดดันจากเขา ทั้งสามคนจำใจยอมปริปากของมาอย่างช่วยไม่ได้


พวกเขาเรียกตนเองว่าตระกูลหย่วน พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่จากรุ่นสู่รุ่นมานานแล้วอย่างน้อยแสนล้านปี ซึ่งนานจนแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ที่สลักประวัติความเป็นมาเอาไว้เสื่อมโทรมจนไม่อาจตรวจสอบได้


กลุ่มคนเช่นตระกูลหย่วนอย่างพวกเขาพบเจอได้มากมายโดยแต่ละตระกูลจะแยกย้ายกันอาศัยอยู่ตามริมขอบแม่น้ำ ยิ่งอยู่ใกล้ต้นแม่น้ำมากเท่าไหร่ พลังของตระกูลเหล่านั้นก็จะยิ่งทรงพลังขึ้น ตระกูลหย่วนคือตระกูลที่อ่อนแอที่สุด


แน่นอนว่าถึงแม้จะกล่าวว่าอ่อนแอที่สุดก็ใช่ว่าพวกเขาจะอ่อนแอจริงๆ พลังของประมุขตระกูลหย่วนคือราชาเซียนสูงสุดโดยที่เหล่าผู้อาวุโสมีพลังระดับราชาเซียนทั่วไป แต่ละตระกูลจะมีปรมาจารย์ระดับราชาเซียนอย่างน้อยห้าคน สำหรับตระกูลที่อยู่ต้นแม่น้ำนั้นรุ่นเยาว์ทั้งสามก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพวกเขามีราชาเซียนอยู่กี่คน ที่พวกเขารู้คือมีตระกูลใกล้เคียงที่เป็นขุมพลังราชาเซียนห้าคนเหมือนกันคือตระกูงเฉิง


ทำไมพวกเขาถึงต้องอาศัยอยู่ริมแม่น้ำ?


ไม่ใช่เพื่อมีชีวิตรอดแต่เพื่อบ่มเพาะพลัง!


การดื่มน้ำจากแม่น้ำจะทำให้ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของพวกเขาทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ระยะเวลาหนึ่งแสนปีพวกเขาก็สามารถบรรลุสู่ระดับเซียนได้ซึ่งนับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก!


ในโลกภายนอกทุกคนต้องพยายามบ่มเพาะพลังอย่างหนักเพื่อเป็นเซียน และบางทีหลังจากบ่มเพาะพลังไปหลายล้านปีก็มีโอกาสที่จะตกตายกลางทางด้วย  แต่สำหรับคนที่นี่เพียงแค่ดื่มน้ำจากแม่น้ำและบ่มเพาะพลังก็สามารถบรรลุเป็นเซียนได้อย่างง่ายดาย


แถมความพิเศษนี้ก็ทำได้เฉพาะพวกเขาด้วย


มีคนนอกจำนวนลองหนึ่งดื่มน้ำจากแม่น้ำเข้าไปเช่นกันและผลลัพธ์ก็คือพวกเขาตายในทันที


ไม่เกี่ยวว่าพลังบ่มเพาะของคนที่ดื่มน้ำจะสูงหรือต่ำ เพราะว่าคนในเขตแดนลี้แห่งนี้สามารถดื่มน้ำจากแม่น้ำได้อย่างง่ายดายตั้งแต่เกิด สาเหตุที่ทำให้พวกเขาดื่มน้ำได้สมควรเป็นรูปแบบบ่มเพาะพลังที่พิเศษ


และยิ่งขึ้นไปยังต้นแม่น้ำแก่นพลังที่อยู่ในสายน้ำก็จะยิ่งหนาแน่นขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีการปะทะกันระหว่างตระกูลแต่ละตระกูลอยู่บ่อยครั้ง ทุกคนต้องการจะขึ้นไปอาศัยอยู่ในต้นน้ำที่สูงกว่าเดิมเพื่อที่ตระกูลของตนจะได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น


และแล้วพวกเขาก็มาถึงตระกูลหย่วน


พวกเขาเป็นตระกูลเก่าแก่ขนาดใหญ่ที่ไม่ได้สร้างเมืองเพื่อพักอาศัย แต่อาศัยอยู่ในบ้านพักที่สร้างด้วยต้นไม้อย่างง่าย


ตระกูลพวกเขามีประชากรอยู่มากมายราวๆหลักล้าน นอกจากคนพื้นที่เช่นพวกเขาที่แต่งตัวประหลาดคล้ายกันแล้วก็มีคนจำนวนหนึ่งที่มองแวบแรกก็รับรู้ได้ว่าเป็น ‘คนนอก’ ปะปนเดินอยู่ด้วย


ทันทีที่มาถึง รุ่นเยาว์ทั้งสามก็ร้องโอดครวญเสียงดังทันที พริบตาหลังจากนั้นจอมยุทธพื้นเมืองที่อยู่รอบข้างก็ล้อมกลุ่มของพวกเขาเอาไว้พร้อมกับแสดงท่าทางไม่เป็นมิตร


ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากฝูงชน ออร่าของเขาทรงพลังเป็นอย่างมาก ซึ่งหลิงฮันคาดเดาได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้สมควรมีพลังบ่มเพาะเทียบเท่ากับเซียน แต่เป็นเพียงเซียนระดับต้นเท่านั้น


ภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้เซียนระดับต้นไม่ใช่ตัวตนที่สูงส่งอันใด


เปรียบแล้วที่นี่ก็เหมือนกับดินแดนแห่งเซียนขนาดย่อม หากเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้เมื่อไหร่พวกเขาคงได้พบเห็นจอมยุทธระดับเซียนเดินเพ่นพ่านสวนกันไปมาจำนวนมาก


ความภาคภูมิใจในฐานะที่เป็นเซียนอันสูงส่งของเซียนหวู่เซียงและหลงอวี่ซานพังทลายลงทันใด


“ปล่อยพวกเขา!” ชายวัยกลางคนกล่าวเย็นชา


“ปล่อย.. พวก.. เขา…!” เสี่ยวที่เห็นผู้คนใหม่ๆมากมายก็เริ่มเลียนแบบคำพูดด้วยท่าทางตื่นเต้นอีกครั้ง


ชายวัยกลางคนจ้องมองไปยังเสี่ยวกู่ สีหน้าของเขาปรากฏร่องรอยของความไม่สบอารมณ์แต่ก็พยายามไม่ใส่ใจและกล่าวต่อ “เข้ามาในอาณาเขตของตระกูลหย่วนแล้วพวกเจ้ายังกล้าทำตัวอวดดีอีก?”


เสี่ยวกู่ “เข้า.. มา.. ตระกูล.. หย่วน…”


บัดซบ!


“รนหาที่ตาย!” ชายวัยกลางคนระเบิดโทสะและปล่อยฝ่ามือเข้าใส่เสี่ยวกู่

 

 

 


ตอนที่ 1651 รูปแบบพลังบ่มเพาะที่แตกต่าง

 

เสี่ยวกู่ไม่หนีหรือหลบ ฝ่ามือที่ตกกระทบร่างของมันก่อให้เกิดเสียงดังสนั่น ใบหน้าของมันเผยถึงความประหลาดใจและกล่าว “ยี่ ยา ย่า?” มันอยากจะสื่อว่าทำไมผู้คนที่นี่ชอบทักทายด้วยวิธีการแบบนี้จัง?


ชายวัยกลางคนตกตะลึง ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด แต่ก็รับไม่ได้ที่อีกฝ่ายสามารถรับฝ่ามือของเขาได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น


เขาขยับล่าถอยหลายก้าวเพื่อเว้นระยะห่างกับเสี่ยวกู่และโคจรทักษะ ทันใดนั้นเองลวดลายสีดำก็ปรากฏตามร่างกายของเขา จากที่นับดูลวดลายนั้นมีทั้งหกเก้าเส้น แปดเส้นเป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกในขณะที่เส้นที่เก้าค่อนข้างเลือนราง


ลวดลายเหล่านี้คือสิ่งที่ใช้แสดงระดับพลังบ่มเพาะของพวกเขา ลวดลายเก้าเส้นคือระดับพลังที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งเทียบเท่าได้กับระดับสร้างสรรพสิ่ง ส่วนความเข้มของสีลวดลายมีไว้สำหรับระบุขั้นพลังย่อย


หลิงฮันเรียนรู้เรื่องนี้จากรุ่นเยาว์ทั้งสามซึ่งไม่ใช่ความลับใดๆ แต่หากเค้นถามถึงวิธีบ่มเพาะของพวกเขาล่ะก็ พวกเขายอมสู้ตัวตายดีกว่าที่จะต้องยอมปริปากพูด


เสี่ยวกู่ไม่แยแส มันหันหน้าไปมองชายวัยกลางคนก่อนจะเผยสีหน้าไม่พึงพอใจ “ยี่ ยา ย่า!”


มันปลดปล่อยจิตสังหารออกมา


หลิงฮันประหลาดใจ ในมุมมองของเขา เสี่ยวกู่มีสติปัญญาเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการเรียนรู้สิ่งต่างๆ เพราะงั้นการที่อีกฝ่ายปลดปล่อยจิตสังหารออกมาทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก


เสี่ยวกู่นั้นอย่างน้อยก็ถือว่าเป็นคนของโลกนี้ เหตุใดมันถึงได้แสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อชายวัยกลางคนขนาดนั้น?


“ยี่ ยา ย่า!” เสี่ยวกู่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ภายในดวงตาของมันปลดปล่อยคลื่นแสงมรกตพุ่งเข้าใส่ชายชรา พริบตาเดียวร่างของชายชราก็แหลกกระจายเป็นเศษเนื้อ


แค่เซียนระดับต้นจะนับเป็นอันใดได้ต่อหน้าเสี่ยวกู่?


ผู้คนรอบข้างชะงักก่อนจะกระวนกระวายวิ่งหนีไป


“ยี่ ยา ย่า?” เสียงกู่เกาหัวด้วยท่าทางสับสน เหตุใดเมื่อครู่มันถึงได้เกรี้ยวกราดขึ้นมากัน?


“เจ้าสร้างปัญหาแล้ว!” มีจอมยุทธจำนวนหนึ่งเป็นคนนอกเช่นกัน พวกเขาแต่ละคนเผยท่าทีไม่พึงพอใจต่อพวกหลิงฮันทั้งหก


“พลังวิญญาณของที่นี่หนาแน่นเป็นอย่างมาก พวกเจ้าคงไม่รู้ว่ากว่าพวกเราจะทำข้อตกลงให้พวกเขายอมให้เราบ่มเพาะพลังที่นี่ได้นั้นพวกเราลำบากขนาดไหน การที่เจ้าสังหารคนที่นี่ไม่ใช่ว่าพวกเราจะติดร่างแหไปด้วยหรอกรึ?”


หลิงฮันขมวดคิ้วและกล่าว “พวกเจ้ามีวิธีการจัดการในแบบของพวกเจ้า พวกข้าก็มีในแบบของพวกข้า เห็นแก่ว่าพวกเจ้าเป็นจอมยุทธจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันข้าจะไม่ถือสาในคำพูดเมื่อครู่ แต่หากยังพล่ามเรื่องไร้สาระอยู่อีกก็เตรียมใจรับผลที่ตามมาให้ดี”


จอมยุทธเหล่านั้นไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไรพวกหลิงฮันก็เป็นถึงตัวตนระดับเซียนซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่พวกเขาจะสามารถยั่วยุได้


พวกเขาทำได้เพียงพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนี้พวกเจ้าจะอวดเบ่งก็ตามแต่ เดี๋ยวอีกไม่นานพวกเจ้าก็จะกลายเป็นซากศพที่พูดไม่ได้แล้ว! แต่จะว่าไปก็ช่างน่าเสียดายนักที่สตรีงดงามทั้งสามนั่นจะต้องตาย


แววตาของหลิงฮันส่องประกายด้วยจิตสังหารและชี้นิ้วออกไป ‘โพล๊ะ โพล๊ะ โพล๊ะ โพล๊ะ’ พริบตาเดียวจอมยุทธจำนวนหนึ่งก็หัวระเบิดตาย


ร่างของทุกคนสั่นสะท้านด้วยความกลัวทันที พวกเขาเกือบลืมไปแล้วว่าเซียนนั้นคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาบังอาจไปดูหมิ่นเซียนได้อย่างไร?


‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ทันใดนั้นเองเงาของคนจำนวนหนึ่งก็ลอยออกมาจากส่วนลึกของตระกูลหย่วน ออร่าของพวกเขาแต่ละคนทรงพลังราวกับจะทำให้ท้องฟ้าปริแตก


คนเหล่านี้เป็นตัวตนระดับราชาเซียนไม่ผิดแน่ แต่ด้วยรูปแบบพลังบ่มเพาะที่แตกต่างกัน หลิงฮันจึงไม่สามารถรับรู้ขั้นพลังที่แน่ชัดของพวกเขาได้


“สังหารพวกมันให้หมด!” ชายชราผู้หนึ่งกล่าว มงกุฎขนนกบนหัวของเขามีความยาวถึงสามฟุต


มงกฎนั้นเป็นสิ่งบ่งชี้ถึงสถานะของแต่ละคน ยิ่งขนนกบนมงกุฎยาวเท่าไหร่ผู้ที่สวมใส่ก็จะมีสถานะสูงขึ้นตาม


“น้อมรับคำสั่งผู้อาวุโสสี่!” จอมยุทธสี่คนที่ยืนอยู่ข้างชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ พวกเขาทะยานร่างแยกกันล้อมพวกหลิงฮันหกคนเอาไว้


Anchor


หลงอวี่ซานรีบนำหลงเซียงเยว่เข้าไปในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ หากมีการปะทะระหว่างตัวตนระดับเซียนเกิดขึ้น เพียงแค่ลูกหลงเล็กๆน้อยๆก็สามารถสังหารหลงเซียงเยว่ได้


‘พรึบ’ ทั้งสี่คนโคจรทักษะ ลวดลายสีดำปรากฏขึ้นบนร่างกายของพวกเขา ทุกคนที่ลวดลายอยู่เก้าเส้นซึ่งเส้นที่เก้ามีสีที่เข้มกว่าชายวันกลางคนก่อนหน้านี้


หรือก็คือเปรียบแล้วทั้งสี่คนสมควรเป็นเซียนระดับสูง


เสี่ยวกู่ปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอีกครั้ง ใบหน้าของมันแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดและคำราม “ยี่ ยา ย่า!” ดวงตาของเขาส่องประกาย ‘พรึบ พรึบ พรึบ พรึบ’ คลื่นแสงมรกตพุ่งทะยานกวาดผ่านร่างของเซียนระดับสูงทั้งสี่


เพียงแต่ว่าคราวนี้จอมยุทธทั้งสี่คนไม่ตาย ร่างของพวกเขาเพียงแค่ถูกคลื่นแสงมรกตผ่าออกเป็นสองท่อนและคงยากที่จะต่อคืนเข้าด้วยกัน


ผู้อาวุโสสี่เผยสีหน้าหวาดผวา พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายทรงพลังจนเขาเริ่มรู้สึกกลัว แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งจู่ๆเขาก็อุทานออกมา “คลื่นแสงมรกต! คลื่นแสงมรกต! จะ… เจ้าคือผู้นำพาภัยพิบัติตามตำนาน!” เขาชี้นิ้วมายังเสี่ยวกู่ด้วยท่าทางหวาดกลัว


“คลื่น.. แสง.. มรกต.. จะ.. เจ้า…” เสี่ยวกู่เริ่มพูดเลียนแบบอีกครั้ง


ผู้อาวุโสสี่อุทานอย่างหวาดกลัวอยู่ได้สักพักร่างอีกสี่ร่างก็ปรากฏตัวออกมา สามคนสวมมงกุฎที่มีความยาวเทียบเท่าเขาในขณะที่อีกคนสวมมงกุฎที่มีความยาวถึงสี่ฟุต!


คนผู้นั้นคือประมุขตระกูลหย่วน


“เฒ่าสี่ แค่คนนอกที่อ่อนแอราวกับสุนัขเจ้าก็ไม่สามารถจัดการได้?” ผู้อาวุโสสามหัวเราะเยาะเย้ย เขามักจะมีความขัดแย้งกับผู้อาวุโสสี่มาโดยตลอด เพราะงั้นหากมีโอกาสเขาย่อมไม่พลาดที่จะทับถมอีกฝ่าย


แต่ทว่าใบหน้าของผู้อาวุโสสี่กลับแสดงออกถึงความตึงเครียด เขาชี้นิ้วไปยังเสี่ยวกู่อีกครั้งและกล่าว “คนผู้นั้นสามารถปลดปล่อยคลื่นแสงมรกตได้! มันคือแสงมรกตแห่งการทำลายล้างตามที่ตำนานเล่าขาน!”


ว่าไงนะ!


ทั้งสี่คนตกตะลึง บรรพบุรุษของพวกเขามีเรื่องเล่าที่สืบทอดต่อกันมาคือวันหนึ่ง ตัวตนที่ใช้คลื่นแสงมรกตจะปรากฏตัวและบดขยี้สรรพสิ่งจนสิ้นซาก


เสี่ยวกู่ยังคงพยายามพูดเลียนแบบอย่างจริงจัง “เฒ่า.. สี่….. คน.. ผู้.. นั้น…..”


“ฆ่า!” ทั้งห้าบนเผยสีหน้าจริงจังพร้อมกับชูมือขึ้นบนท้องฟ้า ‘ครืนนน’ พลังจากคนของตระกูลหย่วนจำนวนนับไม่ถ้วนไหลผ่านเข้ามาสู่ร่างกายของพวกเขาทั้งห้าด้วยวิธีลึกลับ


ดูๆแล้วไปวิธีการเช่นนี้ก็คล้ายคลึงกับอำนาจแห่งจักรภพ


ลวดลายสีดำบ่นร่างของทั้งห้าคนปรากฏออกมา ลวดลายทั้งเก้าเส้นล้วนแต่มีสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก


“ฆ่า!” เสี่ยวกู่เลียนแบบคำพูด ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเปล่าแต่ทันทีที่เห็นลวดลายสีดำบนร่างกายของคนเหล่านี้ จิตสังหารอันรุนแรงก็ระเบิดออกมาจากร่างของเสี่ยวกู่

 

 

 


ตอนที่ 1652 ผู้นำพาภัยพิบัติ

 

หลิงฮันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเสี่ยวกู่จะนำภัยพิบัติมาสู่โลกแห่งนี้หรือไม่ แต่ที่เขามั่นใจคือเสี่ยวกู่กับคนเหล่านี้เป็นเหมือนนำกับไฟที่ไม่มีทางเข้ากันได้


ให้กล่าวชัดๆคือเสี่ยวกู่เป็นปฏิปักษ์ต่อรูปแบบการบ่มเพาะพลังของคนเหล่านี้


เสี่ยวกู่เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน ดวงตาของมันประกายสีเขียวในขณะที่มือทั้งสองข้างพัวพันไปด้วยคลื่นแสงมรกตที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้าง หากสัมผัสโดนเข้าแม้แต่ราชาเซียนก็คงศพไม่สวย


เพียงแต่ว่าราชาเซียนทั้งห้าคนได้ชี้นำพลังของคนในตระกูลเข้ามาสู่ร่างของตนเอง ซึ่งเปรียบแล้วก็เหมือนกับอำนาจแห่งจักรภพ ทำให้พลังต่อสู้ของพวกเขาทะยานสูงขึ้นมหาศาล


“ฆ่า!” พวกเขาลงมือต้านทานการโจมตีของเสี่ยวกู่


สำหรับพวกหลิงฮันสี่คน ราชาเซียนเหล่านี้ไม่แยแสแม้แต่น้อยเพราะเห็นได้ชัดว่าแต่ละคนอ่อนแอกว่าพวกเขาขนาดไหน ตราบใดที่สังหารเสี่ยวกู่ได้ก็ไม่สายที่จะเก็บกวาดคนที่เหลือภายหลัง


เสี่ยวกู่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พลังต่อสู้ของมันทรงพลังกว่าราชาเซียนสูงสุดหลายเท่า กล่าวได้ว่ามันคือราชาในหมู่ราชาเซียน แต่ศัตรูที่มันต้องปะทะด้วยนั้นคือราชาเซียนถึงห้าคนที่มีอำนาจแห่งจักรภพคอยสนับสนุน!


ทั้งห้าคนเองก็ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประมุขตระกูลหย่วน โดยปกติเขาก็เป็นราชาเซียนที่ทรงพลังมากอยู่แล้ว เมื่อมีอำนาจแห่งจักรภพมาสนับสนุนก็ดูเหมือนว่าพลังต่อสู้ของเขาจะทะลุเกินกว่าขีดของราชาเซียนไปแล้ว


เสี่ยวกู่เข้าปะทะกับทั้งห้าอย่างไม่หวั่นเกรง


เพียงแต่ว่าด้วยการร่วมมือกันของราชาเซียนสูงสุดที่แข็งแกร่งเกินขีดจำกัดถึงห้าคน ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ยังต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


“พวกเจ้าถอยออกไปให้ห่าง” หลิงฮันกล่าวกับสตรีนกอมตะและคนอื่นๆก่อนจะคำรามและเข้าร่วมการต่อสู้


เขาตั้งใจจะช่วยเหลือเสี่ยวกู่


“อย่าได้คิดว่าตนเองมีคุณสมบัติพอ!” ผู้อาวุโสสี่แสยะยิ้มพร้อมกับปล่อยฝ่ามือเข้าใส่หลิงฮัน


Anchor


แสงอัสนี!


ความเร็วของหลิงฮันบรรลุขีดสูงสุดของโลกบรรพกาลทันที หมัดที่ปกคลุมไปด้วยเพลิงเก้าสวรรค์ของเขาถูกซัดเข้าใส่ศีรษะของผู้อาวุโสสี่


ความเร็วเช่นนี้ หากไม่เตรียมป้องกันไว้ก่อนไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปะทะโดนเป้าหมาย!


แต่ราชาเซียนสูงสุดก็ยังคงเป็นราชาเซียนสูงสุด ผู้อาวุโสสี่ระเบิดออร่าออกมาและฝืนเอียงหลังหลบการโจมตี พร้อมกันนั้นเขาได้ใช้เข่าจู่โจมเข้าใส่บริเวณหน้าอกของหลิงฮัน


ด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ การจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่ว่องไวขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก


หลิงฮันเค้นเสียง เขาดึงหมัดของตนเองกลับมาปะทะกับหัวเข่าของผู้อาวุโสสี่


ตูม!


ทันทีที่หมัดปะทะเข้ากับเข่า เสียงร้องโอดครวญของผู้อาวุโสสี่ก็ดังลั่นไปทั่วท้องฟ้า ขาของเขาถูกแผดเผาอย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความน่าสะพรึงกลัวของเพลิงเก้าสวรรค์ เพลิงที่แผดเผาหัวเข่าได้แพร่กระจายลามไปยังส่วนอีก หากปล่อยไว้ร่างทั้งร่างของผู้อาวุโสสี่จะต้องถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านแน่นอน


ผู้อาวุโสสี่ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและใช้มือตัดขาของตัวเอง แม้วิธีนี้จะเจ็บปวดแต่ก็สามารถช่วยรักษาชีวิตของเขาไว้ได้


“เฒ่าสี่!” ราชาเซียนอีกสี่คนอุทาน


“ข้าไม่เป็นอะไร!” เฒ่าสี่กล่าวด้วยสีหน้าซีดเผือด แม้จะกล่าวไปเช่นนั้นแต่บาดแผลของเขาสาหัสเป็นอย่างมากเนื่องจากต้องสูญเสียแก่นโลหิตจำนวนมากไปพร้อมกับท่อนขาที่ถูกตัด ต่อให้เป็นราชาเซียนเช่นเขาก็ยังต้องได้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นฟูแก่นโลหิตกลับมาได้


เขาฝืนเผาผลาญแก่นโลหิตอีกจำนวนหนึ่งเพื่อสร้างขาขึ้นมาใหม่ ไม่เช่นนั้นด้วยการต่อสู้ระดับนี้การสูญเสียขาไปจะทำให้เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


“ระวังความเร็วและเพลิงของเขาให้ดี!” ผู้อาวุโสสี่กล่าวเตือน


ราชาเซียนอีกสี่คนพยักหน้า พวกเร็วเมื่อครู่นั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แม้จะเป็นพวกเขาก็มองไม่ทัน พวกเขารีบโคจรปราณก่อเกิดจำนวนมหาศาลมาคุ้มกันร่างกายทันที


“อย่าได้คิดว่าเขาเป็นเพียงจอมยุทธเก้าลวดลายทั่วไป!” ราชาเซียนทั้งห้ากล่าวเตือนซึ่งกัน


เสี่ยวกู่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น จิตสังหารของมันในตอนนี้ท่วมท้นเกินพรรณนาราวกับนักฆ่ามากฝีมือ เป้าหมายของมันมีเพียงอย่างเดียวคือสังหารศัตรูทั้งห้า


การปะทะดำเนินต่อไป ด้วยการที่ทั้งห้าคนเตรียมการป้องกันไว้ก่อนแล้วความเร็วของหลิงฮันจึงไม่ได้ผลเหมือนคราวก่อน เพียงแต่ว่าเขาก็ยังสร้างภัยคุกคามให้ราชาเซียนทั้งห้าได้อยู่ดี เมื่อใดที่พวกเขาเปิดช่องว่างแม้แต่นิดเดียวการโจมตีของหลิงฮันจะคร่าชีวิตของพวกเขาทันที


หลิงฮันปลดปล่อยพลังต่อสู้ทั้งหมดออกมา รูปแบบอาคมสังหารถูกกระตุ้นใช้งานเพื่อรับมือกับราชาเซียนทั้งห้าซึ่งๆหน้า และด้วยทักษะกายาแสงตะวันทองคำไร้เทียมทานทำให้เขาสามารถใช้แขนทั้งหกปลดปล่อยทักษะนิรันดร์ได้พร้อมกัน


ดาบอสูรนิรันดร์และดาบไม้ผุพังถูกนำออกมา คลื่นดาบถูกสะบั้นออกอย่างน่าสะพรึงราวกับมังกรเพชรฆาต


“ไม่คาดคิดว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!” ในระยะที่ห่างไกลออกไปAnchorหลงอวี่ซานเผยสีหน้าตกตะลึง นางรู้ดีว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์โดดเด็ดอย่างน่าอัศจรรย์ แต่นางไม่คาดคิดว่ารุ่นเยาว์ที่ก่อนหน้านี้เคยมีพลังบ่มเพาะเหนือกว่าจะก้าวข้ามนางจนบรรลุเป็นเซียนระดับกลางได้และมีพลังต่อสู้สูงส่งจนนางทำได้เพียงแหงนมอง


ความรู้สึกของนางเริ่มสั่นคลอน คำแนะนำไร้สาระที่หลงเซียงเยว่เคยกล่าวเอาไว้ จู่ๆก็ผุดขึ้นมาในหัวของนางพร้อมกับใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง


สตรีนกอมตะเผยสีหน้าภูมิใจ นี่คือบุรุษของนาง!


เมื่อเห็นสีหน้าเขินอายบนใบหน้าของหลงเซียงเยว่นางก็รับรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีหลิงฮันอยู่ในจิตใจ สตรีนกอมตะเริ่มหวาดระแวง สตรีผู้ใดที่เข้าร่วมตระกูลหลิงไปแล้วก็ถือว่าแล้วกันไป แต่นางไม่มีทางยอมให้มีสตรีคนใหม่เข้าร่วมด้วยเด็ดขาด!


หลิงฮันกับเสี่ยวกู่ร่วมมือกันต่อต้านราชาเซียนสูงสุดทั้งห้า


สำหรับหลิงฮันการต่อสู้นี้ค่อนข้างไร้เหตุผลเล็กน้อย ความจริงเขาจะเลี่ยงไม่สู้ด้วยก็ได้ แต่ในเมื่อเขายื่นมือเข้ามาแล้วเขาก็ย่อมสลักความลังเลทิ้งไปและพยายามสุดความสามารถเพื่อกำราบศัตรูที่ทรงพลังทั้งห้า


สำหรับคนเหล่านี้และเสี่ยวกู่ก็เหมือนน้ำกับไฟ มีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด


รูปแบบการต่อสู้ของเสี่ยวกู่นั้นแทบจะพึ่งพาสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว แต่ยิ่งต่อสู้มากเท่าไหร่รูปแบบการต่อสู้ของมันก็ยิ่งแหลมคมมากขึ้นและเริ่มใช้ความคิดในการโจมตี


การพัฒนานี้ทำให้พลังต่อสู้ของเสี่ยวกู่เพิ่มมาหนึ่งส่วนเป็นอย่างมาก แต่ในการต่อสู้ระดับนี้ พลังต่อสู้ที่เพิ่มมาหนึ่งเสี้ยวหรือสองเสี้ยวนั้นมีความหมายมากขนาดไหน?


พวกหลิงฮันขึ้นมาเป็นฝ่ายได้เปรียบในที่สุด


“ไม่ได้การแล้ว เป็นไปตามตำนานจริงๆ ผู้ปลดปล่อยแสงมรกตจะนำพาความพินาศมาสู่ทุกสรรพสิ่ง! พวกเราต้องรีบไปขอความช่วยเหลือจากตระกูลเฉิงอย่างเร่งด่วน!” ประมุขตระกูลหย่วนกล่าวกับผู้อาวุโสทั้งสี่ผ่านสัมผัสสวรรค์


“แต่ตระกูลเฉิงเป็นศัตรูคู่แค้นของพวกเราที่สู้กันมานาน ต่างฝ่ายต่างสูญเสียคนในตระกูลไปจำนวนมาก” ผู้อาวุโสสองลังเล


“เมื่อต้องเผชิญกับความเป็นความตายของโลกนี้ ความบาดหมางแค่นั้นจะนับเป็นอันใด!” ประมุขตระกูลหย่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ไม่ใช่แค่ตระกูลเฉิงเท่านั้น ทั้งตระกูลเอวี๋ยน ตระกูลจินและหลู่ ทุกตระกูลจะต้องร่วมมือกันเพื่อต่อต้านภัยพิบัติครั้งนี้!”

 

 

 


ตอนที่ 1653 คาดเดา

 

เมื่อความเห็นของทั้งห้าคนเห็นพ้องต้องกัน พวกเขาก็เตรียมตัวล่าถอย หากยังฝืนสู้ต่อไปพวกเขาทุกคนคงหนีไม่พ้นความตาย


“คิดหนี?” หลิงฮันคาดการณ์เนื่องนี้ไว้แล้ว เขาโคจรเพลิงเก้าสวรรค์สยายออกเป็นกรงเพลิงขนาดใหญ่


“ไม่ดีแล้ว!” ทั้งห้าคนหวาดผวา


หลังจากการปะทะที่ยาวนานพวกเขาย่อมรับรู้ได้ว่าเพลิงเก้าสวรรค์น่าสะพรึงกลัวเพียงใด ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะกล้าสัมผัสกับเพลิงที่ทรงพลังขนาดนี้


“สังหารเจ้าหนูนั่นก่อน!” ทั้งห้าคนหันมองหลิงฮันพร้อมกันและตั้งหลิงฮันเป็นเป้าหมาย


ตอนนี้เมื่ออยู่ในสถานการณ์เป็นตาย แน่นอนว่าพวกเขาย่อมใช้พลังทั้งหมดออกมาเพื่อจัดการหลิงฮัน ก่อนหน้านี้แม้พวกเขาจะไม่ได้ออมมือแต่การโจมตีส่วนใหญ่ก็เพ่งเล็งไปยังเสี่ยวกู่ สำหรับหลิงฮันนั้นพวกเขาเป็นฝ่ายทำการป้องกันเป็นหลัก


หลิงฮันตกอยู่ภายในแรงกดดันอันหนักอึ้งทันทีที่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของราชาเซียนสูงสุดถึงห้าคน แถมหนึ่งในห้ายังมีพลังต่อสู้ที่เหนือขีดจำกัดของราชาเซียนสูงสุดไปแล้วอีกด้วย ทุกๆการโจมตีของพวกเขารุนแรงราวกับถูกคลื่นยักษ์ถาโถม


แต่หลิงฮันก็ไม่มีหนทางอื่นให้เลือก เขาฝืนลงมือตอบโต้ทั้งห้าคนอย่างเต็มกลืน


เสี่ยวกู่คำราม ในความคิดของมันหลิงฮันคือมนุษย์คนแรกที่ได้พบเจอและใจดีกับมันเป็นอย่างมาก แม้ทั้งห้าคนจะเป็นศัตรูตามสัญชาตญาณของมันอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นทั้งห้าคนหันไปลงมือกันหลิงฮัน ความเกรี้ยวกราดของมันก็ทะยานสูงขึ้นไปอีก


ภายใต้อารมณ์อันโกรธเกรี้ยว ทั่วร่างของมันระเบิดคลื่นแสงออกมาพร้อมกับอาวุธที่ปรากฏมาอยู่ในกำมือ


อาวุธที่ว่าคือแท่งกระดูก!


แท่งกระดูกคือร่างแท้จริงของเสี่ยวกู่ แม้แท่งกระดูกจะมีขนาดไม่ยาวนักแต่คลื่นแสงสีมรกตที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากตัวกระดูก ได้ควบแน่นกลายเป็นดาบที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัว


กระดูกนั่นไม่มีทางเป็นของราชาเซียน อย่างน้อยมันต้องเป็นกระดูกของตัวตนระดับระดับโลกียนิพพานขึ้นไป!


ตามหลักแล้ว อาวุธระดับโลกียนิพพานนั้นหากผู้ใช้มีพลังบ่มเพาะไม่ถึงระดับโลกียนิพพานมันก็ไม่ต่างอะไรจากอาวุธระดับราชาเซียน แต่เสี่ยวกู่นั่นต่างออกไป กระดูกนั่นคือร่างกายของมันเองในขณะที่ร่างกายเป็นเพียงหุ่นเชิด


แต่ทว่า ตอนนี้สิ่งที่ราชาเซียนสูงสุดทั้งห้าหวาดกลัวไม่ใช่คลื่นแสงมรกต ไม่ว่าคลื่นแสงมรกตจะทรงพลังขนาดไหนแต่หากผู้ใช้ไม่แข็งแกร่งพอพวกเขาก็ยังหลบหลีกการโจมตีได้ ที่พวกเขากำลังหวาดกลัวคือหลิงฮันที่ค่อยๆบีบรัดกรงเพลิงเข้ามาอย่างรวดเร็วต่างหาก


“บัดซบ!” ทั้งห้าสบถ หากกรงเปลวเพลิงบีบรัดเข้าหากันจนสนิทร่างของพวกเขาจะต้องถูกแผดเผาไม่เหลือซากแน่นอน แถมยิ่งกรงเพลิงบีบรัดพื้นที่ที่พวกเขาจะหลบหลีกการโจมตีของเสี่ยวกู่ได้ก็ยิ่งมีน้อยลง


“มหาสมุทรโลหิต!” ประมุขตระกูลหย่วนคำราม ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แหลกสลายกลายเป็นฝนโลหิตจำนวนมาก แน่นอนว่าเขายังไม่ตาย โลหิตทุกหยดลอดผ่านช่องว่างของกรงเพลิงออกมาและรวมตัวกันใหม่กลับมาเป็นร่างของประมุขตระกูลหย่วนดังเดิม


ผู้อาวุโสทั้งสี่ก็ทำเหมือนกัน ร่างของพวกเขากลายเป็นฝนโลหิตและหนีพ้นความตายได้หวุดหวิด


แต่ถึงแม้พวกเขาจะหนีออกมาได้ ใบหน้าของพวกเขาก็กลายเป็นซีดเผือด แม้กระทั่งลวดลายสีดำบนร่างของพวกเขาก็หม่นสีลง ดูเหมือนว่าทักษะเมื่อครู่จะทำให้พวกเขาจ่ายค่าตอบแทบไปมหาศาลมากจริงๆ


“เป็นไปได้อย่างไร!”


“เหล่าผู้อาวุโสถูกต้อนจนต้องใช้มหาสมุทรโลหิต!”


“มันคือทักษะสำหรับหนีเอาตัวรอดที่หากไม่จนตรอกจริงๆย่อมไม่มีทางถูกใช้ออกมา!”


“ไม่น่าเชื่อว่าคนนอกเหล่านั้นจะทรงพลังถึงขนาดไล่ต้อนเหล่าผู้อาวุโสให้อยู่ในสภาพเช่นนั้นได้!”


เหล่าสมาชิกตระกูลหย่วนที่มองดูอยู่จากเบื้องล่างอุทาน พวกเขาเคยพบเจอคนนอกมาแล้วมากมายในช่วงไม่กี่ปีนี้ ซึ่งการกำราบคนเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องยากอันใด แต่คราวนี้เหตุใดคนนอกสองคนนี้ถึงได้ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อขนาดนี้


“หนี!” ประมุขตระกูลหย่วนตะโกนเสียงดัง พวกเขาไม่สามารถเอาชนะศัตรูทั้งสองได้และจำเป็นต้องไปขอความช่วยเหลือ


หลิงฮันโคจรแสงอัสนีเพื่อหยุดยั้งทั้งห้าที่พยายามหลบหนี


เขาพบว่าจอมยุทธของโลกนี้นั้นสามารถบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วและมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่สิ่งที่พวกเขาขาดไปคือทักษะยุทธอันหลากหลาย ราวกับว่าพวกเขาฝึกฝนทักษะบ่มเพาะเพื่อยกระดับพลังเพียงอย่างเดียวแต่แทบจะไม่ได้ฝึกฝนทักษะยุทธใดๆเลย


ยกตัวอย่างเช่นหลิงฮัน ทักษะยุทธที่เขาฝึกฝนมีมากมายเพียงใด? ไม่ว่าจะเป็นทักษะรัตติกาลเงาทมิฬ ทักษะร่างเงามังกรทะยาน กาลเวลาแปรผันพันปีหรือทักษะอื่นๆล้วนแต่เป็นทักษะยุทธที่ทรงพลัง แต่ว่าจอมยุทธทางฝั่งตระกูลหย่วนกลับไม่มีทักษะเช่นนี้ ทักษะเดียวที่พวกเขามีคือทักษะเอาตัวรอดอย่างทักษะมหาสมุทรโลหิต


หากพวกเขาฝึกฝนทักษะยุทธระดับนิรันดร์ พลังต่อสู้คงจะทรงพลังยิ่งกว่านี้


บางทีอาจจะเป็นเพราะรูปแบบบ่มเพาะพลังที่แตกต่างกันพวกเขาจึงไม่สามารถฝึกฝนทักษะยุทธได้หลากลหาย


แต่ทั้งๆที่ไม่มีทักษะยุทธใดๆ การที่ทั้งห้าคนก็ยังทรงพลังได้ขนาดนี้หมายความว่าอย่างไร?


รูปแบบบ่มเพาะพลังของพวกเขาน่าสะพรึงกลัวจนแข็งแกร่งได้โดยไม่พึ่งพาทักษะยุทธ!


หรือคนในโลกนี้เป็นเผ่าพันธุ์ที่แยกย่อยมาจากขุมอำนาจใดขุมอำนาจหนึ่งของดินแดนแห่งเซียน?


ไม่สิ เขาไม่เคยได้ยินว่าดินแดนแห่งเซียนมีการบ่มเพาะพลังในรูปแบบนี้มาก่อน ไม่เช่นนั้นแล้วในดินแดนแห่งเซียนคงไม่เรียกจอมยุทธที่มีระดับพลังสูงกว่าสร้างสรรพสิ่งว่าระดับโลกียนิพพาน แต่ควรจะเป็นจอมยุทธสิบลวดลายหรืออะไรทำนองนั้นแทน


ยิ่งกว่านั้นถึงแม้จะยังไม่แน่ใจในวันเวลาที่เกิดมหาโศกนาฏกรรมขึ้นที่ดินแดนแห่งเซียน แต่จากที่ได้ยินมาเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นไม่เกินแสนล้านล้านปีก่อนแน่นอน กล่าวให้เข้าใจง่ายๆคือ โลกภายในโบราณสถานแห่งนี้ถูกซ่อนอยู่ในช่องว่างมิติของโลกบรรพกาลก่อนที่จะเกิดมหาโศกนาฏกรรมขึ้น


เดี๋ยวก่อน… หรือว่าเป็นเพราะต้องการทำให้รูปแบบบ่มเพาะพลังนี้หายสาปสูญไป ถึงได้ปิดผนึกโลกใบนี้เอาไว้ในโบราณสถาน?


แต่การที่จะสร้างรูปแบบพลังบ่มเพาะที่แตกต่างขึ้นมาได้ ผู้คิดค้นจะต้องเป็นตัวตนที่ทรงพลังอย่างมากและไม่น่าจะถูกกักขังเอาไว้ที่นี่ได้ง่าย


หลิงฮันยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน บางทีคำตอบที่เขาอยากรู้อาจจะอยู่ในส่วนลึกของโลกใบนี้ หรือบางทีอาจจะต้องรอให้เข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ก่อน ถึงจะตามหาร่องรอยได้จากบันทึกโบราณต่างๆ


เขาครุ่นคิดเรื่องต่างๆเหล่านี้ในใจโดยที่มือก็ไม่ได้หยุดชะงัก หลังจากทะยานร่างมาขวางทั้งห้าคนเอาไว้ได้หลิงฮันก็โคจรเพลิงเก้าสวรรค์กักขังทั้งห้าเอาไว้อีกครั้ง ต่อให้ใช้สมาสมุทรโลหิตเหมือนครั้งก่อนก็ไม่มีประโยชน์ อย่างมากก็แค่ยื้อเวลาตายออกไปเท่านั้น


ทั้งห้าคนคำรามโหดเหี้ยมโดยไม่ร้องขอความเมตตาใดๆ พวกเขาก็เหมือนกับเสี่ยวกู่ที่ราวกับว่ามีสัญชาตญาณความเป็นปฏิปักษ์ต่อกันมาตั้งแต่เกิด ในหัวของพวกเขามีผุดคำพูดขึ้นมาเพียงคำเดียวคือ ‘ปะทะ!’


เพียงแต่ว่าด้วยการร่วมมือของหลิงฮันและเสี่ยวกู่ สุดท้ายทั้งห้าก็สิ้นชีพไม่อาจหนีพ้นความตายไปได้


หลังจากการตายของพวกเขา สวรรค์และปฐพีไม่ตอบสนองใดๆเหมือนกับตอนที่เซียนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ตกตาย


เพราะที่นี่คือเขตแดนลี้ลับ? หรือว่ารูปแบบการบ่มเพาะพลังของพวกเขาจะไม่อยู่ในการรับรู้ของสวรรค์และปฐพี เพราะงั้นเมื่อสิ้นชีพต่อให้จะมีพลังแข็งแกร่งเหมือนเซียนเพียงใด สวรรค์ก็ไม่คิดจะเหลียวแล?


หลิงฮันรู้สึกสงสัยมาก

 

 

 


ตอนที่ 1654 เซียนระดับกลางสูงสุด

 

หลังจากเสร็จสิ้นการต่อสู้เสี่ยวกู่ก็กลับมาไร้เดียงสาอีกครั้ง ใบหน้ามันของแสดงออกถึงความสับสนและดูไม่เหมือนกับหนึ่งในตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในโลกแห่งนี้แม้แต่น้อย


หลิงฮันไม่ลงมือเข่นฆ่าสมาชิกคนอื่นๆเพียงเพราะพวกเขาบ่มเพาะพลังในรูปแบบที่ต่างกัน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะยึดครองทรัพย์สมบัติของตระกูลหย่วน


แม้สิ่งที่ยึดมาได้จะไม่มีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำอยู่เลยแต่ก็มีสมุนไพรในระดับวารีนิรันดร์และแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์อยู่มากมาย


ทั่วทั้งตระกูลหย่วนตกอยู่ในความอลหม่าน พวกเขาหวาดกลัวว่าหลิงฮันจะสังหารพวกเขาทั้งหมดทุกคน แต่เมื่อได้ยินว่าหลิงฮันไม่คิดจะทำเช่นนั้นพวกเขาถึงค่อยรู้สึกโล่งอก


เขาได้รับทักษะบ่มเพาะของตระกูลหย่วนมา หลังจากตรวจสอบดีแล้วก็เป็นอย่างที่คิด พวกเขามีรูปแบบบ่มเพาะพลังที่แตกต่างออกไป


แม้เขตแดนลี้ลับแห่งนี้จะมีพลังวิญญาณที่หนาแน่นแต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใดต่อจอมยุทธในโลกนี้ เนื่องจากแหล่งพลังงานที่พวกเขาใช้บ่มเพาะพลังนั้นมาจากแม่น้ำมหึมา


ดูเหมือนว่าหากอยากรู้เรื่องราวมากกว่านี้คงต้องมุ่งหน้าไปยังต้นสายของแม่น้ำ


ในโลกเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ไม่มีศาสตร์ปรุงยา หลิงฮันทดสอบดูแล้ว เม็ดยาที่ถูกหลอมขึ้นมานั้นไม่เพียงจะไม่ส่งผลดีต่อจอมยุทธที่นี่ แต่ยังทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย


หลิงฮันลองถามเรื่องราวต่างๆกับเสี่ยวกู่ดูแล้วสุดท้ายก็ไม่รับคำตอบใดๆนอกจาก ‘ยี่ ยา ย่า’


เขาเข้าสู่หอคอยทมิฬเพื่อทำการชำระล้างอำนาจกัดกร่อนของเห็ดซากศพให้เหลือแต่เพียงอำนาจส่วนที่เป็นประโยชน์ เขาต้องการจะแบ่งเห็ดซากศพแก่สตรีนกอมตะแต่นางก็ปฏิเสธและยืนกรานว่าจะให้เขากินคนเดียว


“เมื่อใดที่เจ้าบรรลุเป็นเซียนระดับสูง เจ้าก็จะสามารถพาข้าเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ซึ่งที่นั่นคงมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำอยู่มากมาย ข้าไม่รีบ” นางกล่าวเช่นนั้น


หลิงฮันพยักหน้า ที่นางว่ามาก็มีเหตุผล ตราบใดที่เขา จักรพรรดินีหรือจักรพรรดิพิรุณคนใดคนหนึ่งบรรลุเป็นเซียนระดับสูงได้ พวกเขาก็จะสามารถเปิดเส้นสู่ดินแดนแห่งเซียนได้พร้อมกับนำพาคนจำนวนหนึ่งเข้าอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์และผ่านไปยังดินแดนแห่งเซียนด้วยกัน


แน่นอนว่ายิ่งเขาบรรลุเป็นเซียนระดับสูงก่อนก็ยิ่งดี ด้วยศักยภาพของเขา เมื่อทะลวงผ่านเป็นเซียนระดับสูงแล้ว เขาคงเข้าสู่ส่วนลึกของเมฆสายฟ้าได้อีกครั้งและสามารถเก็บเกี่ยวหยดสายฟ้าสวรรค์


เขากินเห็ดซากศพเข้าไป รสชาติของมันห่วยแตกเกินจะพรรณนา ต่อให้ส่วนที่เป็นพิษจะถูกชำระล้างออกไปแล้วแต่กลิ่นเน่าเหม็นของมันก็ยังอยู่


หลิงฮันไม่แม้แต่เคี้ยว เขากลืนมันลงท้องและรีบดูดซับพลังจากสมุนไพรทันที


ผ่านไปครู่หนึ่ง ก้อนพลังอันมหาศาลก็เดือดพล่านอยู่ในร่างกายของเขา หลิงฮันรีบชี้นำก้อนพลังของสมุนไพรให้แปรเปลี่ยนเป็นดาวดวงในวิถีวงโคจรดาราจักร


ในขณะเดียวกัน อำนาจแห่งกฎเกณฑ์จำนวนมากก็ได้ไหลผ่านเข้าสู่ห้วงจิตวิญญาณของเขา เพียงแต่ว่าเขาไม่สามารถทำความเข้าใจพวกมันได้แม้แต่น้อยและต้องยอมมองข้ามพวกมันไปอย่างน่าเสียดาย


เห็ดซากศพต้นนี้ไม่ได้เกิดมาจากซากศพของราชาเซียนแต่เป็นตัวตนที่ทรงพลังกว่านั้น ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเจ้าของศพสูงส่งเกินไปจนหลิงฮันไม่สามารถทำความเข้าใจได้


แต่ก็ช่างมัน สำหรับหลิงฮันในตอนนี้สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือสะสมพลังปราณให้ได้มากที่สุด


พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลจากสมุนไพรถูกดูดซับและนำไปควบแน่นเป็นดวงดาวด้วยความเร็วอันน่าสะพรึง


หกสิบล้าน… เจ็ดสิบล้าน… แปดสิบล้านดวง!


ความจริงประสิทธิภาพในการสะสมพลังปราณของสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้ดีเลิศอะไรมาก แต่ด้วยการที่เห็ดซากศพเป็นสมุนไพรระดับราชาเซียนและหลิงฮันยังเป็นเพียงเซียนระดับกลาง เมื่อรวมกับกายหยาบของเขาที่สามารถทนทานต่อความรุนแรงของฤทธิ์สมุนไพรได้ ความเร็วในการพัฒนาของเขาจึงเป็นไปอย่างก้าวกระโดด


ท้ายที่สุดแล้วจำนวนของดวงดาวก็มาหยุดอยู่ที่ 99,999,999 ดวง เขาอยู่ห่างจากเซียนระดับกลางสูงสุดอีกเพียงดวงดาวดวงเดียว แต่ทว่าการควบแน่นดวงดาวดวงสุดท้ายนี้ทำได้ยากยิ่งกว่าดวงก่อนๆ หลิงฮันเก็บตัวต่ออีกสิบห้าวันกว่าจะควบแน่นดวงดาวดวงสุดท้ายได้สำเร็จ


ตอนนี้เขาพร้อมจะทะลวงผ่านเป็นเซียนระดับสูงแล้ว!


หลิงฮันถอนหายใจ หากไม่ใช่เพราะตอนนี้พวกเขาอยู่ในเขตแดนลี้ลับคงจะถึงเวลาที่ทุกคนต้องไปเตรียมตัวเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องตามหาพวกจักรพรรดินีให้เจอ แต่พูดก็พูด หากไม่พบเจอเขตแดนลี้ลับแห่งนี้เขาก็คงไม่สามารถบรรลุเซียนระดับกลางสูงสุดได้ไวเช่นนี้


หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬ หากจะทะลวงผ่านเป็นเซียนระดับสูงเขาจำเป็นต้องขัดเกลาความเข้าใจในระดับพลังให้เพียงพอเสียก่อน ต่อให้มีการช่วยเหลือจากต้นสังสารวัฏก็ต้องใช้เวลาเป็นปี ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมัวเก็บตัวนานขนาดนั้น


หลังจากบรรลุเป็นเซียนระดับกลางสูงสุด พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้จึงเทียบเท่าได้กับราชาเซียนสูงสุด ต่อให้ไม่กระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมตัวเขาก็นับว่าไร้เทียมทานแล้ว


“สิ่งสำคัญที่คือของศาสตร์วรยุทธคือพลังที่แท้จริงของตัวเอง!” หลิงฮันกล่าวในใจ รูปแบบอาคมสังหารสามารถใช้ช่วยเพิ่มพลังให้แก่เขาได้ก็จริงแต่ก็ไม่ควรพึ่งพามันมากเกินไป เปรียบแล้วก็ไม่ต่างจากการที่เขาหลบหนีเข้าไปซ่อนตัวในหอคอยทมิฬเมื่อพบเจออันตราย


หลังจากออกมาจากหอคอยทมิฬ กลุ่มของพวกเขาห้าคนก็ออกจากตระกูลหย่วนและเดินเลียบไปตามแม่น้ำ เป้าหมายของพวกเขาคือต้นสายของแม่น้ำมหึมาสายนี้


ตระกูลหย่วนอาศัยอยู่ในตำแหน่งล่างสุดของแม่น้ำยังมีตัวตนระดับราชาเซียนถึงห้าคน ยิ่งมีการสนับสนุนจากอำนาจแห่งจักรภพ พลังต่อสู้ของทั้งห้าจึงบรรลุเป็นราชาเซียนสูงสุดโดยที่คนหนึ่งได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของราชาเซียนสูงสุดไปแล้วด้วยซ้ำ หากเป็นตระกูลที่อาศัยอยู่ช่วงกลางหรือช่วงบนของแม่น้ำล่ะ จำนวนของราชาเซียนจะมีมากขนาดไหน?


หลิงฮันไต่ถามแล้ว แต่ตระหย่วนนั้นไม่แข็งแกร่งพอที่จะไปยังช่วงกลางของแม่น้ำ ทำให้พวกเขารู้เพียงแค่ว่าตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในแม่น้ำช่วงล่างมีจอมยุทธที่แข็งแกร่งเทียบเท่าราชาเซียนอยู่ถึงสิบคน


เพราะงั้นหากเป็นตระกูลในแม่น้ำช่วงบน บางทีพวกเขาอาจจะมีราชาเซียนอยู่นับร้อย!


อย่างน้อยในตอนนี้หลิงฮันก็ยังไม่อยากสร้างปัญหาเท่าไหร่ สิ่งที่แรกเขาต้องทำคือตามหาจักรพรรดินีให้เจอ


ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้กล่าวย้ำกับเสี่ยวกู่อยู่หลายต่อหลายครั้งว่าห้ามลงมือตามสัญชาตญาณและเปิดโปงสถานะผู้นำพาภัยพิบัติของตัวเองเด็ดขาด


เมื่อเป็นคำขอความหลิงฮันเสี่ยวกู่จึงยอมรับฟัง มันพยักหน้าและกล่าว ‘ยี่ ยา ย่า’ ราวกับต้องการสื่อว่ามันจะพยายามควบคุมตัวเอง


ระหว่างทางพวกเขาไม่คิดจะสร้างปัญหาใดๆ หากบังเอิญพบเจอจอมยุทธของโลกนี้พวกเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงการปะทะคงเป็นวิธีแก้ปัญหาที่รวดเร็วที่สุด ตราบใดที่ไม่พบเจอศัตรูระดับราชาเซียน ด้วยพลังของหลิงฮันในตอนนี้ย่อมสะสางได้อย่างง่ายดาย


แต่หนทางของพวกเขาก็ยิ่งลำบากขึ้นเรื่อยๆ


สายน้ำเส้นนี้เป็นหัวใจของเหล่าจอมยุทธในโลกนี้ หลังจากผ่านช่วงล่างของแม่น้ำมาถึงช่วงกลางได้ ที่ริมแม่น้ำก็มีเหล่าจอมยุทธที่ทรงพลังคอยเฝ้าอยู่ หากต้องการเดินเลียบแม่น้ำต่อไป พวกหลิงฮันจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธทรงพลังเหล่านี้เสียก่อน


จะอ้อมไปทางอื่นหรือบุกผ่านไปซึ่งๆหน้าดี?


หลิงฮันครุ่นคิด

 

 

 


ตอนที่ 1655 ตระกูลช่วงบนของแม่น้ำ

 

หลิงฮันตัดสินใจเลือกอ้อมไปทางอื่น เพราะไม่อยากเสียเวลาเจรจาต่อรอง


แต่ผ่านไปไม่นานเขาก็พบว่าการอ้อมเส้นทางนั้นไม่อาจทำได้


หลังจากมาถึงช่วงกลางของแม่น้ำ พื้นที่รอบด้านของแม่น้ำนั้นได้ถูกประกบไว้ด้วยภูเขาสูงและที่ตั้งของตระกูลต่างๆ หากต้องการอ้อมพวกเขาก็ต้องไปยังภูเขาสูงที่เต็มไปด้วยแรงกดดันอันหนักหน่วงจนแทบจะก้าวเดินไม่ออก แถมบนภูเขายังเป็นที่ซ่อนตัวของสัตว์อสูรระดับราชาเซียนสูงสุดด้วย


ดูเหมือนตระกูลช่วงกลางไม่คิดจะให้ตระกูลที่ต่ำกว่าผ่านแม่น้ำช่วงกลางไปได้เลย


คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบุกผ่านไปตรงๆ


หลิงฮันกำชับเสี่ยวกู่ว่าห้ามพูดเลียนแบบ ต่อหน้าจอมยุทธที่แข็งแกร่งเทียบเท่าราชาเซียนสูงสุดการพูดเลียนแบบก็เปรียบเสมือนกับการดูถูกเหยียดหยาม


ตระกูลแรกที่พวกเขาพบเจอคือตระกูลเยวี่ย


พวกหลิงฮันเดินมาถึงรูปแบบอาคมคุ้มกันที่ถูกติดตั้งเอาไว้ด้านหน้าอาณาเขตตระกูลเยวี่ย


“พวกเจ้าตามหลังข้าไว้” หลิงฮันกล่าว พลังของรูปแบบอาคมนี้มีพลังเทียบเท่าได้กับราชาเซียนระดับต้นซึ่งพวกสตรีนกอมตะและคนอื่นๆไม่มีทางต้านทานได้แน่นอน โชคดีที่เสี่ยวกู่ไม่มีท่าทีคิดจะโจมตีใดๆ ไม่เช่นนั้นก่อนที่พวกเขาจะได้เจรจา พวกเขาคงถูกทั้งตระกูลเยวี่ยล้อมโจมตีและต้องปะทะสถานเดียว


Anchor


หลงเซียงเยว่เข้าไปอยู่ในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ กลุ่มของพวกเขามีหลิงฮันเดินนำหน้าและมีเสี่ยวกู่เดินอยู่หลังสุด พลังของมันแข็งแกร่งเพียงพอที่จะคุ้มครองคนอื่นๆได้หากมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น


หลิงฮันเอื้อมมือออกไปเปิดช่องว่างระหว่างรูปแบบอาคมและเดินเข้าไปอย่างสงบนิ่ง


ตอนนี้พลังต่อสู้ของหลิงฮันเทียบเท่าได้กับราชาเซียนสูงสุด ต่อให้รูปแบบอาคมถูกสร้างขึ้นจากศาสตร์วรยุทธที่แตกต่าง เขาก็ไม่จำเป็นต้องหาจุดอ่อนใดๆของมันและสามารถใช้พลังบดขยี้ได้โดยตรง


ภายใต้อำนาจอันทรงพลังที่หลิงฮันปลดปล่อยออกมา พลังของรูปแบบอาคมถูกผลักให้อยู่ห่างจากตัวพวกเขาราวๆสองถึงสามฟุต โดยที่ไม่สามารถเข้าถึงตัวพวกเขาได้แม้แต่น้อย


“ฮึ่ม ใครกล้าบุกรุกตระกูลเยวี่ยของข้า?” เสียงอันเย็นชาดังกึกก้องทะลุเข้าสู่ห้วงจิตวิญญาณของทุกคน


หลิงฮันยิ้มและกล่าวอย่างเป็นมิตร “สหาย พวกข้าเพียงต้องการขอผ่านทางไปเท่านั้น ได้โปรดให้ความร่วมมือด้วย”


“คนนอก?” เสียงอันเย็นชาหยุดชะงัก หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่เสียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าอนุญาติให้พวกเจ้าเดินเลียบแม่น้ำได้อย่างเดียว หากล้ำเส้นเข้ามายังตระกูลเยวี่ยแม้แต่ก้าวเดียวอย่าได้หาว่าข้าไม่สุภาพ!”


ความหมายของเขาก็คือยอมให้ผ่านไปได้


หลิงฮันพยักหน้า ที่อีกฝ่ายยอมนั้นไม่ใช่ว่าเป็นคนพูดจาว่าง่าย แต่เพราะพลังที่เขาแสดงออกมานั้นแข็งแกร่งมากพอจนอีกฝ่ายไม่ต้องการมีปัญหาด้วย หากลองเปลี่ยนผู้เจรจาเป็นสตรีนกอมตะหรือคนอื่นๆ เกรงว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะแยแสแม้แต่นิดเดียว


พวกหลิงฮันเดินหน้าต่อ ในระหว่างนั้นอำนาจของรูปแบบอาคมก็อ่อนแอลง ดูเหมือนว่าคนของตระกูลเยวี่ยผู้นั้นได้ทำการควบคุมรูปแบบอาคมเพื่อปล่อยให้พวกเขาผ่าไปแต่โดยดี


“ขอบคุณสหายมาก” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม


อีกฝ่ายเงียบไม่ตอบใดๆกลับมา


หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป พวกเขาก็เดินผ่านออกมาจากรูปแบบอาคม ทิวทัศเบื้องหน้าปรากฏเป็นที่ราบอันกว้างใหญ่ ที่ราบนี้คืออาณาเขตของตระกูลเยวี่ย เนื่องจากรูปแบบอาคมเมื่อครู่มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ตระกูลจากแม่น้ำช่วงล่างขึ้นมาได้เท่านั้น ที่ราบแห่งนี้จึงไม่มีรูปแบบอาคมใดๆคอยคุ้มกัน


หากออกจากอาณาเขตของตระกูลเยวี่ยและมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ ก็จะพบเห็นรูปแบบอาคมที่ถูกติดตั้งเอาไว้เหมือนกัน ซึ่งมีไว้ป้องกันไม่ให้ตระกูลเยวี่ยขึ้นไปยังช่วงแม่น้ำที่สูงขึ้น


“เสี่ยวกู่ เจ้าทำได้ดีมาก” หลิงฮันหยุดเดินและกล่าวชมเสี่ยวกู่


“ฮึ่ม ใครกล้าบุกรุกตระกูลเยวี่ยของข้า?”


“สหาย พวกข้าเพียงต้องการ…”


ทันทีที่หลิงฮันเปิดปากชม มันก็ทนไม่ไหวและเลียนแบบบทสนทนาระหว่างหลิงฮันกับคนของตระกูลเยวี่ยทันที หลิงฮันและคนอื่นๆระเบิดเสียงหัวเราะ ดูเหมือนว่าเสี่ยวกู่จะอัดอั้นเป็นอย่างมากที่ถูกสั่งให้ปิดปากห้ามพูดเลียนแบบ


หลังจากพูดเลียนแบบเสร็จ เสี่ยวกู่ก็จ้องมองพวกหลิงฮันด้วยสีหน้ามึนงง พวกเจ้าหัวเราะอะไร? มันเอียงหัวสับสนก่อนจะหัวเราะออกมาด้วย “ยี่ ยา ย่า!”


หนึ่งวันผ่านไป รูปแบบอาคมคุ้มกันอาณาเขตก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


พวกเขาเดินผ่านรูปแบบอาคมเข้าไป อาณาเขตนี้เป็นของตระกูลถง โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องการให้เกิดการปะทะจึงยินให้ผ่านไปโดยหลังจากที่หลิงฮันกล่าวเจรจาด้วยน้ำเสียงสุภาพ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใจกว้างเหมือนกับตระกูลเยวี่ยที่ลดพลังอำนาจของรูปแบบอาคมให้


หลังจากนั้นพวกเขาก็โชคดีมากที่หากเจรจาด้วยดีๆ ตระกูลต่างๆก็ยอมให้พวกเขาผ่านไปได้ แต่เมื่อมาถึงช่วงบนของแม่น้ำ แค่ตระกูลแรกก็พบเจอปัญหาทันที


“ไสหัวไป!” เมื่อพวกเขาเข้าไปยังรูปแบบอาคม เสียงอันเย็นชาก็ขับไล่พวกเขาอย่างไร้เยื้อใย


หลิงฮันขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าด้วยทัศนคติอันหยิ่งยโสของตระกูลช่วงบน การเจรจาคงทำได้ยากเสียแล้ว!


“สหาย พวกข้าแค่ขอผ่านทางเท่านั้น!” เขากล่าว


“ข้าบอกให้ไสหัวไปไม่ได้ยินรึไง?” เสียงของคนผู้หนึ่งกล่าวอย่างอวดดี


“เหอๆ ขออภัยด้วย แต่ข้าคงไม่ไสหัวไปไหน!” หลิงฮันก้าวเดินต่อไปด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์


“บังอาจ!” คนผู้นั้นเค้นเสียง ‘ครืนน’ ทันใดนั้นเองรูปแบบอาคมก็ระเบิดพลังอำนาจออกมา สัตว์อสูรร่างดำปรากฏตัวและจู่โจมพวกหลิงฮัน สัตว์อสูรตนนี้มีรูปร่างเหมือนกันราชสีห์ขนาดมหึมา แต่บนหัวของมันปรากฏเขาคู่หนึ่งและมีหางถึงเก้าหาง


เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นได้กระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมเพื่อโจมตีพวกเขา


หลิงฮันชี้นิ้ว ‘ครืน’ ปราณดาบที่ส่องประกายแสงเจิดจ้าไปถึงเก้าชั้นฟ้าถูกปล่อยออกไป ร่างของสัตว์อสูรราชสีห์ถูกผ่าออกเป็นสองส่วนทันที แต่เนื่องจากมันเป็นสัตว์อสูรที่เกิดจากรูปแบบอาคมมันจึงไม่มีวันตาย ในทางกลับกันยิ่งดูดซับพลังของรูปแบบอาคมมากขึ้นเท่าไหร่ พลังของมันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม


“ฮ่าๆ ยิ่งเจ้าต่อต้านก็ยิ่งทำให้รูปแบบอาคมปลดปล่อยพลังที่มากยิ่งขึ้น ช่างรนหาที่ตาย!” คนผู้นั้นแสยะยิ้ม “พวกคนนอกแสนน่ารังเกียจ พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย!”


ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายจะมีความแค้นเคืองต่อคนนอกเป็นอย่างมาก บางทีเขาอาจจะเคยได้รับความอัปยศบางอย่างจากคนนอกมาก่อนเลยพาลเกลียดพวกหลิงฮันไปด้วย


หลิงฮันปลดปล่อยสัมผัสสวรรค์กวาดผ่านทั่วทั้งรูปแบบอาคม


ที่นี่ไม่ใช่เขาวงกลเพราะงั้นเขาจึงสามารถระบุตำแหน่งของผู้ควบคุมรูปแบบอาคมได้อย่างง่ายดาย อีกฝ่ายเป็นชายร่างกำยำที่ร่างท่อนบนเปลือยเปล่าและสวมมงกุฎขนนก เนื่องจากเขาใช้พลังของตนเองควบคุมรูปแบบอาคมอยู่ ลวดลายสีดำบนร่างของเขาจึงปรากฏให้เห็น


ลวดลายที่เก้ายังไม่เป็นสีดำสนิท คาดเดาได้ว่าพลังบ่มเพาะของอีกฝ่ายคงอยู่ที่ราวๆเซียนระดับสูงขั้นกลาง


“ฮึ่ม กล้าแม้กระทั่งปลดปล่อยสัมผัสสวรรค์ในที่แห่งนี้? เจ้าคิดว่าความตายยังเข้าหาเจ้าไม่เร็วพองั้นรึ?” ชายคนนั้นสัมผัสได้ถึงการจ้องมองจากหลิงฮัน เขากำหมัดและปล่อยกำปั้นเข้าใส่สัมผัสสวรรค์ของหลิงฮัน


‘พรึบ’ หลิงฮันสลายสัมผัสสวรรค์ทันทีและกล่าว “ข้ากำลังจะไปหาเจ้า!”

 

 

 


ตอนที่ 1656 ทำลายรูปแบบอาคม

 

หลิงฮันพุ่งทะยานไปยังตำแหน่งของชายร่างกำยำ


ด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ของเขาทำให้สตรีนกอมตะและคนอื่นไล่ตามไม่ทัน สิ่งที่พวกนางเห็นมีเพียงหนึ่งหมัดของหลิงฮันที่สามารถบดขยี้สัตว์อสูรได้ในหมัดเดียว


ผลที่ตามมาคือจำนวนของสัตว์อสูรค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่ถูกสังหาร


สัตว์อสูรแต่ละตัวที่ถูกสร้างขึ้นโดยรูปแบบอาคมมีพลังเทียบเท่าราชาเซียนขั้นต้น หากแค่ไม่กี่ตัวย่อมไม่เป็นปัญหา แต่หลังจากที่จำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นนับร้อย พลังต่อสู้โดยรวมก็เพิ่มขึ้นจนเทียบได้กับราชาเซียนสูงสุด ซึ่งแม้จะเป็นหลิงฮันก็ต้องพบกับความลำบากเล็กน้อย


แม้จะมาถึงจุดนี้แล้ว จำนวนของสัตว์อสูรก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


ชายร่างกำยำที่ทำหน้าที่ควบคุมรูปแบบอาคมแสยะยิ้ม เจ้ามีสมองรึเปล่าถึงได้พุ่งมาหาข้าตรงๆ? ยังไม่ทันจะเคลื่อนที่ได้ถึงหนึ่งในสามของระยะทาง เจ้าก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยสัตว์อสูรจำนวนมากแล้ว


แต่พลังของหลิงฮันก็เหนือเกินกว่าการคาดการณ์ของชายร่างกำยำไปมากทีเดียว หลิงฮันสามารถเคลื่อนที่มาได้ราวๆสี่ในห้าของระยะทางแต่ก็ถูกสัตว์อสูรจำนวนมหาศาลราวกับมหาสมุทรห้อมล้อมเอาไว้


“ฮ่าๆๆ ข้าไม่เคยพบเจอคนที่โง่เขลาเช่นเจ้ามาก่อน!” ชายร่างกำยำแสยะยิ้ม


หลิงฮันไม่สนใจ เขายังคงปล่อยหมัดออกไปอย่างต่อเนื่อง ศีรษะของสัตว์อสูรระเบิดกระจุยทีละตัวแต่ก็ยังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ


การกระทำของเขาทำให้สตรีนกอมตะและคนอื่นๆสับสนเป็นอย่างมาก


หลิงฮันสามารถใช้แสงอัสนีเคลื่อนที่ไปหาเป้าหมายได้ในพริบตาแท้ๆ ตอนนี้จำนวนของสัตว์อสูรได้เพิ่มขึ้นเกินกว่าหนึ่งแสนตัวแล้ว แม้พวกมันทุกตัวจะไม่สามารถโจมตีพร้อมกันได้ แต่เพียงแค่การโจมตีพร้อมกันของพวกมันนับพันก็สามารถทำให้จอมยุทธราชาเซียนสูงสุดเหงื่อตกแล้ว


ทำไมหลิงฮันถึงยังทำเช่นนี้? สตรีนกอมตะและคนอื่นๆสงสัย


หลิงฮันหยุดมือและกล่าว “รูปแบบอาคมนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีขีดจำกัด หากพลังของมันถูกใช้จนเกินขีดจำกัดเมื่อใด รูปแบบอาคมจะพังทลายลงทันที”


ทันทีที่เขากล่าวอธิบายเสร็จ เสียงแตกร้าวก็ดังก้องไปทั่วพร้อมกับรูปแบบอาคมได้พังทลายทันที ร่างของสัตว์อสูรค่อยๆระเบิดออกทีละตัว


แม้หลิงฮันจะไม่เข้าใจรูปแบบอาคมของศาสตร์รูปแบบอาคมในโลกนี้ แต่เขาก็คือว่าเป็นปรมาจารย์รูปแบบอาคม สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าจะรูปแบบอาคมไหนๆก็ต้องมีคือขีดจำกัด


หากรูปแบบอาคมปลดปล่อยอำนาจเกินขีดจำกัด ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่มันจะต้องพังทลายไปเอง


‘ครืนน’ รูปแบบอาคมพลังทลาย ในระยะที่ไกลออกไปเล็กน้อยปรากฏชายร่างกำยำที่ท่อนบนเปลือยเปล่ายืนอยู่


ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความรู้สึกเหลือเชื่อ แม้จะได้ยินคำอธิบายของหลิงฮันเมื่อครู่แล้วเขาก็ยังอดตะลึงไม่ได้อยู่ดี


เจ้ามันสัตว์ประหลาด!


พูดน่ะมันง่าย แต่หากจะทำให้รูปแบบอาคมใช้พลังเกินขีดจำกัดได้ ก็ต้องต้านทานพลังที่ถึงขีดจำกัดของรูปแบบอาคมเสียก่อน เรื่องแบบนั้นแม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายของตระกูลเขาก็เท่าไม่ได้ หากจะมีใครสักคนที่ทำได้ก็คงมีเพียงประมุขเท่านั้น!


นั่นก็หมายความว่าจอมยุทธรุ่นเยาว์ที่เป็นคนนอกผู้นี้มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งทัดเทียมกับประมุข!


น่าสะพรึงกลัวนัก…


หลิงฮันเคลื่อนที่ไปหาชายร่างกำยำและกล่าว “บางทีเจ้าอาจจะถูกสุนัขกัดมา? เพราะงั้นเจ้าถึงได้รังเกลียดคนนอกขนาดนั้น?”


ที่หลิงฮันคาดเดาคือเจ้าสุนัขตัวดำจะต้องเข้ามาที่นี่พร้อมกับคนอื่นๆแน่นอน ซึ่งด้วยนิสัยของสุนัขตัวดำก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรหากชายร่างกำยำผู้นี้จะถูกมันกัด


เมื่อคำพูดของหลิงฮันถูกกล่าวออกไป ใบหน้าของชายร่างกำยำก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำและโกรธเกรี้ยวทันที


เป็นแบบนั้นจริงๆ!


หลิงฮันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


“ห้ามขำ!” ชายร่างกำยำคำรามและปล่อยการโจมตีใส่หลิงฮัน


แต่ว่าด้วยพลังที่เทียบเท่าเพียงเซียนระดับสูงของเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฮันได้อย่างไร?


หลิงฮันปล่อยฝ่ามือออกไปลวกๆ ‘พลัก’ ชายร่างกำยำถูกกำราบลงไปนอนแผ่ที่พื้นทันที


“ปล่อยข้าไปถ้ายังไม่อยากตาย!” ชายร่างกำยำเกรี้ยวกราด ที่นี่คืออาณาเขตของตระกูลจ้าว ใครกันจะหวาดกลัวต่อศัตรูทั้งๆที่อยู่ในอาณาเขตของตัวเอง? ตระกูลของเขามีปรมาจารย์ระดับเก้าลวดลายสูงสุดอยู่ถึงยี่สิบเจ็ดคนซึ่งทั้งยี่สิบเจ็ดคนนี้ไม่ว่าคนไหนก็ล้วนแต่แข็งแกร่งเทียบเท่ารุ่นเยาว์ผู้นี้


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ยังกล้าอวดดีอยู่อีก ดูเหมือนว่าเจ้าควต้องได้รับความอัปยศที่มากกว่าเดิมเสียแล้ว!”


“เจ้ากล้า?” ชายร่างกำยำคำราม การที่รูปแบบอาคมถูกทำลายต้องดึงดูดปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งของตระกูลให้มาดูสถานการณ์แน่นอน เพราะงั้นเหตุใดเขาต้องเกรงกลัว?


หลิงฮันยิ้มไปยังสตรีนกอมตะและAnchorหลงอวี่ซาน “พวกเจ้าหันหน้าไปก่อน”


สตรีนกอมตะทำตามคำพูดหลิงฮันทันทีในขณะที่หลงอวี่ซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมกัน?”


ปัง!


หลิงฮันชี้นิ้วออกไป คลื่นพลังได้ทำให้เสื้อผ้าช่วงล่างของชายร่างกำยำขาดกระจุย หลงอวี่ซานรีบหันหน้าหนีทันที ใบหน้าอันงดงามของนางแดงก่ำและอยากจะหยิกหลิงฮันแรงๆเสียเหลือเกิน


“จะ เจ้าจะทำอะไร?” ชายร่างกำยำใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว จอมยุทธเก้าลวดลายเช่นเขาต้องมาถูกฉีกเสื้อผ้าและเผยของลับช่วงล่างเช่นนี้ หากใครรู้เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?


“ช่างเล็กยิ่งนัก” หลิงฮันแสดงความเห็น


“ช่างเล็กยิ่งนัก” เสี่ยวกู่พูดเลียนแบบ


ชายร่างกำยำโมโหจนแทบจะเป็นลม เจ้าไม่อาจสร้างความอัปยศให้ข้าเช่นนี้!


นี่มันน่าอนาถยิ่งกว่าเมื่อตอนพบเจอสุนัขไร้ยางอายนั่นเสียอีก!


หลิงฮันยิ้ม “จะยอมตอบขำถามข้าดีๆรึเปล่า? เหอๆ หากยังคิดขัดขืน ข้าจะไม่เพียงแค่จะกล่าวแสดงความเห็น แต่ข้าจะนำร่างของเจ้าไปแขวนให้ทุกคนในตระกูลได้เป็นสักขีพยานถึงความเล็กในอาวุธลับของเจ้า!”


“ไม่!” ชายร่างกำยำสั่นสะท้านด้วยความกลัว หากถูกทำเช่นนั้นเขาจะมองหน้าใครติด?


“หากไม่อยากโดนแบบนั้นก็ตอบคำถามข้ามาแต่โดยดี” หลิงฮันกล่าว “เจ้าพบเจอคนนอกที่ผ่านมาทางนี้แล้วกี่คน?”


“เพียงแค่กลุ่มเดียว” เขาไม่เหลือความคิดที่จะต่อต้านและรีบตอบอย่างไว


“พวกเขาเป็นใคร?” หลิงฮันถามอีกครั้ง


“ข้าไม่รู้ พวกเขามีอย่างน้อยก็หนึ่งรอยคน”


“ช่วยเจาะจงลงมาหน่อย”


หลังจากไต่ถามชายร่างกำยำอย่างถี่ถ้วน หลิงฮันก็ได้รับรู้ว่าพวกจักรพรรดินีได้ผ่านมาที่นี่เมื่อสีปี่ก่อน แน่นอนว่าเหล่าราชาเซียนจากดินแดนต้องห้ามต่างๆก็มาด้วยพร้อมกับจอมยุทธที่อ่อนแอกว่านั้นอีกจำนวนหนึ่ง พวกเขาทุกคนรวมๆแล้วเป็นจำนวนคนราวๆหนึ่งร้อยคน


สุนัขตัวดำก็เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาเหมือนกับพวกหลิงฮันที่เดินผ่านมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่นแต่ก็ถูกขวางทางเอาไว้ที่นี่ สุนัขตัวดำมีปัญหากับชายร่างกำยำและแอบลอบกัดก้นของอีกฝ่ายจนแยกออกเป็นสามแฉก


ต่อมาหลังจากเจรจากันได้ จักรพรรดินีและคนอื่นๆก็ได้รับอนุญาติให้ผ่านไป ด้วยเหตุนี้ชายร่างกำยำจึงเกลียดคนนอกเป็นอย่างมาก เมื่อพบพวกหลิงฮันเขาตั้งใจจะสร้างความลำบากให้แต่สุดท้ายกลับต้องมาได้รับความอัปยศที่สุดในชีวิตเสียเอง


“จอมยุทธจากภายนอก เจ้าทำเกินไป!” ทันใดนั้นเองปรมาจารย์ของตระกูลจ้าวก็มาถึง เขามองมายังพวกหลิงฮันด้วยแววตาเย็นชาและมืดมน

 

 

 


ตอนที่ 1657 ค่าไถ่ตัว

 

ปรมาจารย์ตระกูลจ้าวปรากฏตัวทั้งหมดหกคน เท่าที่สัมผัสได้พวกเขาไม่ใช่ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด บางทีตระกูลจ้าวอาจจะคิดว่าเพียงแค่คนเหล่านี้ก็คงเพียงพอในการกำราบหลิงฮัน


หลิงฮันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยก่อนจะชำเลืองมองและกล่าว “อย่าได้ยั่วยุข้า ไม่เช่นนั้นคนที่ลงมานอนแผ่จะไม่ใช่แค่คนเดียว”


“ช่างอวดดี!” ทั้งหกคนคำรามอย่างเกรี้ยวกราดพร้อมกัน


แม้พวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเทียบเท่าผู้อาวุโสของตระกูล แต่พวกเขาก็แข็งแกร่งกว่าชายร่างกำยำเมื่อครู่ไม่รู้กี่เท่า


“จัดการเขาเลย!”


ทั้งหกคนลงมือจู่โจมเข้าใส่หลิงฮัน


หลิงฮันคว้าจับข้อเท้าของชายร่างกำยำและใช้ร่างของอีกฝ่ายแทนอาวุธฟาดฟันตอบโต้ทั้งหกคน


‘ฟึบ’ ร่างของชายร่างกำยำกวัดแกว่งไปมา


ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวและรีบโคจรพลังทั่วร่างกาย ไม่เช่นนั้นหากถูกทั้งหกคนโจมตีใส่ล่ะก็ ร่างของเขาคงถูกบดขยี้เป็นฝนโลหิต


ทั้งหกคนหยุดมือทันทีเนื่องจากไม่ต้องการทำร้ายคนตระกูลเดียวกัน


“ต้องเป็นจอมยุทธที่ไร้ศักดิ์ศรีขนาดไหนถึงได้ใช้คนอื่นเป็นตัวประกัน?” พวกเขากล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว


“ข้าจะทำอะไรก็เรื่องของข้า!” หลิงฮันคำราม เขาพุ่งทะยานเข้าใส่จอมยุทธทั้งหกพร้อมกับโคจรปราณดาบด้วย‘ดาบมนุษย์’ ปราณดาบมากมายถูกปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องจากภายในร่างของชายร่างกำยำ


ต่อให้โคจรพลังคุ้มกันร่างกายเอาไว้ขนาดไหนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะต้านทานปราณดาบของหลิงฮัน ผิวหนังของชายร่างกำยำปริแตกจนเห็นกล้ามเนื้อและมีโลหิตไหลออกมา


หลิงฮันกวัดแกว่งชายร่างกำยำเข้าใส่จอมยุทธทั้งหกคนและกำราบพวกเขาได้ภายในพริบตา


และด้วยความเร็วของเขาแล้วย่อมไม่มีใครสามารถหลบหนีไปได้


เสี่ยวกู่ที่ยืนดูอยู่จ้องมองอย่างไม่ลดละ ตัวมันในตอนนี้เป็นเหมือนฟองน้ำที่กำลังดูดซับเรียนรู้ทุกอย่างที่เห็น หลิงฮันคือคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดของมันที่สุด เพราะงั้นมันจึงพยายามเลียนแบบทุกอย่างให้เหมือนหลิงฮัน


หลังจากจัดการทั้งหกคนเสร็จสิ้น หลิงฮันก็ยืนนำมือทั้งสองข้างพาดไว้ด้านหลัง ในเมื่อความบาดหมาง


ผ่านไปครู่หนึ่งปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งของตระกูลจ้าวปรากฏตัวเพิ่มขึ้น ครั้งนี้จำนวนของพวกเขามีมากถึงร้อยคน


หลิงฮันเผลอถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ปรมาจารย์ในโลกแห่งนี้มีมากมายจริงๆ


ทั้งร้อยคนที่ปรากฏตัว ทุกคนล้วนแต่เป็นจอมยุทธเก้าลวดลาย ยิ่งกว่านั้นยังมีราวๆสิบกว่าคนที่ลวดลายเส้นที่เก้ามีสีดำเข้มราวกับหมึก พวกเขาคือตัวตนที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชาเซียนสูงสุด


เมื่อเห็นศัตรูตามสัญชาตญาณปรากฏตัวมากมายขนาดนี้ ดวงตาของเสี่ยวกู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกต โชคดีที่มันนึกถึงคำเตือนของหลิงฮันขึ้นมาได้ก่อนจึงรีบก้มหัวลงและไม่โจมตีคนเหล่านั้น


สติปัญญาของมันเริ่มสูงขึ้นและเหมือนมนุษย์ขึ้นเรื่อยๆ


“จงปล่อยคนเหล่านั้น!” ชายชราที่สวมมงกุฎขนนกยาวห้าฟุตกล่าว ในหมู่ปรมาจารย์ที่ปรากฏตัวขนนกของเขามีขนาดยาวที่สุด มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะเป็นประมุขของตระกูลจ้าว ใบหน้าของเขาในตอนนี้แสดงออกถึงความเย็นชา ดวงตาส่องประกายเกรี้ยวกราดราวกับสายฟ้าฟาด


หลิงฮันส่ายหหัวและกล่าว “เฒ่าชรา ข้าไม่ชอบน้ำเสียงการพูดของเจ้าเลย หากต้องการขอร้องอะไรก็ช่วยใช้น้ำเสียงแบบอื่นด้วย”


“รนหาที่ตาย!” ชายชราที่เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งลงมืออย่างไม่รีรอ ‘ตูม’ ฝ่ามือขนาดใหญ่ถูกผลักออกไป


หลิงฮันปล่อยหมัดตอบโต้ซึ่งๆหน้า


ปัง!


หลังจากแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเสร็จ สีหน้าของผู้อาวุโสคนนั้นก็แสดงออกถึงความตกตะลึง


แม้อีกฝ่ายจะบ่มเพาะพลังในรูปแบบบ่มเพาะที่แตกต่างออกไป แต่เขาที่เคยประมือกับจอมยุทธภายนอกมาก่อนย่อมรู้ดีว่าออร่าของหลิงฮันนั้นอ่อนแอกว่าเขา


แต่เขาก็ต้องตกตะลึงเนื่องจากว่า พลังที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นเมื่อครู่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย


“ฮึ่ม!” ประมุขตระกูลจ้าวเปิดปากแทรก เขาสะบัดมือออกไปสั่งให้ผู้อาวุโสชายชราหยุดมือและกล่าว “จอมยุทธจากภายนอก หากเจ้าต้องการยืมใช้เส้นทางก็ตามสะดวก! รีบปล่อยคนของพวกข้าและมอบของกำนัลแทนคำขอโทษมาโดยเร็ว”


“ท่านประมุข!” เหล่าผู้อาวุโสอุทานคัดค้าน หากปล่อยอีกฝ่ายไปเช่นนั้นตระกูลจ้าวก็เสียหน้าไม่ใช่รึไง?


ประมุขตระกูลจ้าวส่ายหัวและกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ต้องมองสถานการณ์โดยรวมในตอนนี้เป็นหลัก”


พวกเขากำลังเตรียมตัวทำสงครามกับตระกูลหลางที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่ปี ด้วยเหตุนี้หากหลีกเลี่ยงได้พวกเขาก็อยากหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น เพราะจากที่เห็นแล้ว พลังของหลิงฮันเองก็ไม่ใช่สิ่งที่จะประมาทได้เลย


เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลไม่พอใจแต่ก็ไม่คัดค้าน พวกเขาแอบคิดในใจว่าเมื่อตอนที่หลิงฮันกลับมา พวกเขาจะแสดงให้เห็นเองว่าพลังของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใด


หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “พวกเจ้าคงเข้าใจอะไรผิด ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อขอผ่านทาง! ทั้งเจ็ดคนของตระกูลเจ้าในตอนนี้คือตัวประกัน พวกเจ้าจ้องจ่ายค่าไถ่ที่ทำให้ข้าพึงพอใจให้ได้ข้าถึงจะยอมปล่อยตัวพวกเขา”


เจ้ากล้าข่มขู่พวกข้า?


จอมยุทธทุกคนของตระกูลจ้าวเกรี้ยวกราด แม้กระทั่งประมุขตระกูลจ้าวเองก็มีสีหน้ามืดมนและปลดปล่อยจิตสังหารออกมา


เขาไม่ได้หวาดกลัวหลิงฮันแต่แค่ไม่ต้องการให้มีการสูญเสียโดยเปล่าประโยชน์ก่อนที่จะเริ่มสงครามกับตระกูลหลาง


“จัดการเขาซะ!” ประมุขตระกูลจ้าวกล่าวโหดเหี้ยมโดยไม่อดทนอีกต่อไป


“เฒ่าหก ลงมือพร้อมกันกับข้า!” ชายชราผู้หนึ่งก้าวออกมา เขาคือผู้อาวุโสเจ็ดของตระกูลจ้าวและเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกับผู้อาวุโสหก การโจมตีผสานของพวกเขากล่าวได้ว่าเข้าขากันที่สุด


“อืม!” ผู้อาวุโสหกก้าวออกมา ทั้งสองคนยืนเคียงข้างกันและจดจ้องหลิงฮันด้วยสายตาโหดเหี้ยม


หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเขาโคจรทักษะกายาแสงตะวันทองคำไร้เทียมทาน แขนทั้งหกข้างของเขาคว้าจับไปที่ร่างของตัวประกันหกคนบนพื้นและใช้พวกเขาเป็นอาวุธ “เข้ามา!”


นี่มัน!


เจ้าต้องเป็นคนไร้เกียรติขนาดไหนถึงได้ใช้ตัวประกันเป็นอาวุธเช่นนี้!


ผู้อาวุโสหกและเจ็ดไม่กล้าลงมือผลีผลาม ร่างของพวกเขาหยุดชะงักและทำได้เพียงมองไปยังหลิงฮัน พวกเขาไม่เคยพบเห็นใครที่ไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อน!


หลิงฮันกล่าว “หากไม่มีค่าไถ่ตัวมาต่อรองก็อย่าได้กล่าวโทษว่าข้าไม่เมตตา!”


ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธตระกูลจ้าวกลายเป็นมืดมน แต่ให้พวกเขาจะสามารถฝึกฝนสร้างจอมยุทธที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย แต่จอมยุทธที่สามารถบรรลุระดับเก้าลวดลายได้นั้นมีเพียงอัจฉริยะไม่กี่คนที่ไม่อาจหาใครมาทดแทนได้ เหล่าตระกูลที่อยู่ในช่วงแม่น้ำที่ต่ำกว่าต่างจ้องหาโอกาสอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่พลังของตระกูลจ้าวอ่อนแอลง ตระกูลเหล่านั้นจะบุกจู่โจมเพื่อหวังมาแทนที่ตระกูลของพวกเขาทันที


“สมุนไพรระดับสูงร้อยต้น!” ประมุขตระกูลจ้าวกล่าวและสะบัดมือนำสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากออกมา


แต่ทว่าหลิงฮันกลับแสยะยิ้มและกล่าวตอบ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นขอทานรึไง ถึงได้ต่อรองกับข้าด้วยสมุนไพรระดับนั้น? สมุนไพรที่เจ้านำออกมาต้นที่ล้ำค่าที่สุดเป็นเพียงสมุนไพรระดับสิบหกเท่านั้น”


เขาลงมืออย่างไร้เมตตา แขนของตัวประกันถูกกระชากหลุดออกมาและโยนเข้าหาเหล่าจอมยุทธตระกูลจ้าว

 

 

 


ตอนที่ 1658 แลกเปลี่ยน

 

สำหรับจอมยุทธที่แข็งแกร่ง แค่แขนขาดนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากหลิงฮันกล้าที่จะฉีกแขนล่ะก็ทำไมเขาจะไม่กล้าฉีกศีรษะของจากลำคอ!


“เจ้าต้องการอะไร?” ประมุขตระกูลจ้าวเอ่ยถามอย่างเย็นชา ฟังจากน้ำเสียงจะรู้ได้ว่าตอนนี้เขากำลังโกรธอย่างแท้จริง


เมื่อใดที่ได้ตัวประกันกลับมา เขาจะลงมือสังหารหลิงฮันทันที!


เรื่องสงครามกับตระกูลหลางนั้นเอาไว้ว่ากัน ไม่ว่าอย่างไรคนของตระกูลจ้าวก็ไม่อาจถูกทำให้อัปยศ


สมาชิกตระกูลจ้าวคนอื่นๆก็คิดตรงกัน


หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำสิบต้น!”


“เป็นไปไม่ได้!” ประมุขตระกูลจ้าวส่ายหัวอย่างรวดเร็ว บ้ารึเปล่า เจ้าคิดว่าสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำเป็นผักกาดรึไง? ต่อให้พลังวิญญาณของที่นี่จะหนาแน่นจนสามารถปลูกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำจำนวนขนาดนั้นได้ แต่มันก็ล้ำค่าเกินที่จะมอบให้คนอื่น


หลิงฮันกล่าว “เจ็ดต้น ค่าไถ่ตัวคือหนึ่งต้นต่อหนึ่งคน หรือเจ้าจะบอกว่าตัวตนระดับเซียนมีค่าน้อยกว่าสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ?”


ขุมอำนาจที่แข็งแกร่งอย่างตระกูลจ้าวย่อมรู้ถึงความสำคัญของจอมยุทธระดับเก้าลวดลายดี


“หนึ่งต้น!” ประมุขตระกูลจ้าวกล่าวอย่างเด็ดขาด ในตระกูลจ้าวมีสมุนไพรศักดิ์ศิทธิ์ลึกล้ำเพียงแค่สามต้นเท่านั้น


หลิงฮันมองดูสีหน้าของอีกฝ่ายและรับรู้ว่านี่คือจำนวนสูงสุดที่อีกฝ่ายขะยอมให้ได้แล้ว


เขาหัวเราะและกล่าว “สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำหนึ่งต้นถือว่าน้อยเกินไป ต้องเพิ่มวัสดุเซียนอีกหกชิ้น!”


มารดาเจ้าสิ!


จอมยุทธของตระกูลจ้าวเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม ช่างโลภมากยิ่งนัก เจ้าคิดว่าสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำกับวัสดุเซียนเป็นสิ่งที่พบได้ตามข้างทางรึไง?


ประมุขตระกูลจ้าวลังเลเล็กน้อยแต่ก็หยักหน้าตกลง “อืม!”


ที่เขาปฏิเสธจะทำให้สมุนไพรจำนวนมากกับหลิงฮันเป็นเพราะเขากลัวสมุนไพรจะถูกหลิงฮันกิน หากเป็นเช่นนั้นต่อให้สังหารหลิงฮันแล้วผ่าท้อง ก็ไม่อาจนำสมุนไพรคืนมาได้ แต่วัสดุเซียนนั้นต่างออกเพราะมันกินไม่ได้?


ถึงจะมอบให้ไปก็นำกลับมาได้อยู่ดี


เหล่าผู้อาวุโสคนอื่นๆก็คิดเช่นนั้นจึงไม่ได้แย้งอะไร


“มาแลกเปลี่ยน” ประมุขตระกูลจ้าวนำสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำและวัสดุเซียนหกชิ้นออกมาพร้อมกับใช้พลังควบคุมพวกมันให้ลอยไปหาหลิงฮัน


หลิงฮันปล่อยตัวประกันทั้งเจ็ดและโยนร่างพวกเขาให้กับประมุขตระกูลจ้าว


หลิงฮันรีบคว้าสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำและวัสเซียนเข้าไปยังหอคอยทมิฬ ด้วยประสิทธิภาพของสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ ระยะเวลาที่เขาจะทะลวงผ่านเป็นเซียนระดับสูงได้จะลดลงหลายเท่าตั้ว


ตราบใดที่เขาบรรลุเป็นเซียนระดับสูง ในโลกบรรพกาลใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้?


“ลงมือ!”


ประมุขตระกูลจ้าวเป็นคนแรกที่โจมตีหลิงฮัน ลวดลายสีดำปรากฏขึ้นทั่วร่างของเขา


“ยี่ ยา ย่า!” เสี่ยวกู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราด มันอดกลั้นมานานมากพอแล้ว เมื่อออร่าของศัตรูตามสัญชาตญาณของมันถูกปลดปล่อยออกมา ความอดทนของมันก็ถึงขีดจำกัดทันที


‘พรึบ’ คลื่นแสงมรกตถูกปลดปล่อยเข้าใส่ประมุขตระกูลจ้าว


“คลื่นแสงมรกต!”


“ผู้นำพาภัยพิบัติ!”


ทันทีที่จอมยุทธตระกูลจ้าวเห็น พวกเขาก็อุทานออกมาทันที พวกเขาคิดมาตลอดว่าผู้นำพาภัยพิบัตินั้นเป็นเพียงตำนานไร้สาระจากอดีตกาล แต่ทว่าตอนนี้ตำนานที่ว่าได้เกิดขึ้นจริงตรงหน้าพวกเขาแล้ว


“ฆ่า!” พวกเขาระเบิดจิตสังหารออกมา ตำนานที่เล่าสืบทอดต่อกันมาคือผู้ใช้คลื่นแสงมรกตสีเขียวนั้นจะนำความล่มสลายมาสู่ตระกูลทั้งหมด


“พวกเจ้าถอยไป!” หลิงฮันกล่าวกับพวกสตรีนกอมตะ หากทั้งสามถูกตระกูลจ้าวจับตัวไปคงลำบากแน่


“อืม!” ทั้งสามคนคือเซียน ตราบใดที่เตรียมพร้อมหลบหนีเอาไว้ก่อน นอกจากหลิงฮันที่มีคลื่นแสงอัสนีแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจับเซียนเช่นพวกเขาได้


หลิงฮันและเสี่ยวกู่ร่วมมือกันเข้าปะทะกับเหล่าจอมยุทธตระกูลจ้าว


ครั้งนี้จำนวนจอมยุทธของตระกูลจ้าวมีมากกว่าตระกูลหย่วน พวกเขามีราชาซียนสูงสุดมากกว่ายี่สิบคน


เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับครั้งที่ปะทะกับตระกูลหย่วนแล้ว หลิงฮันเองก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้สามารถเทียบได้กับราชาเซียนสูงสุด และด้วยการสนับสนุนจากรูปแบบอาคมสังหาร พลังของเขาจึงแข็งแกร่งยิ่งกว่าราชาเซียนสูงสุดทั่วไป


เสียวกู่นำกระดูกผลึกใสที่เป็นร่างจริงของมันออกมากวัดแกว่งโจมตี แต่ถึงแม้จะมีหลิงฮันช่วยสู้ด้วยทั้งสองก็ยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ


จำนวนของศัตรูมีมากเกินไป สถานการณ์ค่อยๆย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ


หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกระโดดล่าถอยและโคจรแสงอัสนีไปหาพวกสตรีนกอมตะ “อย่าต่อต้าน”


คำพูดนี้เขาพูดกับหลงอวี่ซาน


‘พรึบ’ สตรีนกอมตะและเซียนหวู่เซียงหายเข้าไปในหอคอยทมิฬทันทีในขณะที่หลงอวี่ซานยังอยู่ที่เดิมเนื่องจากนางเผลอต่อต้านสัมผัสสวรรค์ของหลิงฮันไปตามสัญชาตญาณ


หลิงฮันไม่พูดพล่ามเสียเวลา เขาลงมือทำให้นางหมดสติก่อนจะนำร่างของหลงเซียงเยว่ออกมาจากอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ และยังไม่ทันที่หลงเซียงเยว่จะได้เปิดปากพูดอะไรเขาก็ทำให้นางหมดสติไปอีกคนก่อนจะนำร่างของทั้งสองคนเข้าไปในหอคอยทมิฬ


หลิงฮันพุ่งทะยานกลับไปที่เดิมและกล่าว “เสี่ยวกู่ อย่าได้ต่อต้าน!”


เขาตั้งใจจะนำเสี่ยวกู่เข้าหอคอยทมิฬไปด้วยแต่กลับไม่อาจทำได้ สัมผัสสวรรค์ใช้กับอีกฝ่ายไม่ได้ผล ราวกับว่าร่างของเสี่ยวกู่นั้นมีหนามแหลมคมอันทรงพลังที่มองไม่เห็นปกคลุมอยู่


เสี่ยวกู่จ้องมองหลิงฮันด้วยสีหน้ามึนงง ‘อย่าได้ต่อต้าน’ หมายความว่าอะไร มันไม่เข้าใจแม้แต่น้อย


หลิงฮันขมวดคิ้วและกล่าว “เผ่น!”


เสี่ยวกู่คำใจคำพูดนี้ แม้สติปัญญาของมันจะเติบโตยังไม่เต็มที่แต่มันก็ไม่ได้โง่ มันเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างพลังดี หากเอาชนะไม่ได้ก็ค่อยกลับมาทวงคืนชัยชนะใหม่ในภายหลัง


หลิงฮันคว้าร่างของเสี่ยวกู่และโคจรแสงอัสนีพุ่งทะลวงผ่านวงล้อมของเซียนนับร้อย ต่อหน้าความเร็วอันไร้ผู้ใดเทียบ การจะปิดล้อมเขาเอาไว้ด้วยจำนวนคนนั้นไม่มีความหมาย


“ฮึ่ม” เสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของเหล่าจอมยุทธตระกูลจ้าวดังตามหลังพวกเขามา


หลิงฮันแสยะยิ้มในใจ ครั้งนี้เขาอาจะเป็นฝ่ายหลบหนี แต่เมื่อใดที่เขาดูดซับพลังของสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำต้นนี้ได้ ระดับพลังบ่มเพาะของเขาจะทะลวงผ่านเป็นเซียนระดับสูงได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นคอยดูว่าเขาจะกลับมาเอาคืนพวกบัดซบเหล่านี้อย่างไร!

 

 

 


ตอนที่ 1659 สู่เซียนระดับสูง

 

หลังจากสลักตระกูลจ้าวที่ไล่ตามได้พ้นแล้ว หลิงฮันก็ให้เสี่ยวกู่รออยู่ด้านนอกในขณะที่ตัวเขาเข้าสู่หอคอยทมิฬ


“หลิงฮัน!” สตรีนกอมตะและเซียนหวู่เซียงเอ่ยทัก


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ข้าขอเก็บตัวระยะหนึ่ง”


เขามายังต้นสังสารวัฏและนำสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำออกมากินอย่างไม่ลังเล


สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำนั้นเกิดมาพร้อมกับอำนาจแห่งเต๋าสวรรค์และปฐพีที่อัดแน่นอยู่ภายใน ประสิทธิภาพสูงสุดของมันคือช่วยให้จอมยุทธรู้แจ้งถึงวิถีแห่งเต๋า! แน่นอนว่าในด้านของการสะสมพลังปราณมันก็ช่วยได้มาก แต่นั่นไม่ใช่ผลประโยชน์หลักของมัน


ตอนนี้ระดับพลังบ่มเพาะของหลิงฮันคือเซียนระดับกลางสูงสุด และหลายวันที่ผ่านมาในเขตแดนลี้ลับที่สภาพแวดล้อมมีพลังวิญญาณหนาแน่น ทำให้พลังปราณของเขาถูกสะสมเพียงพอเป็นที่เรียบร้อย


เมื่อความเข้าใจในวิถีแห่งเต๋าของระดับพลังถึงจุดสมบูรณ์เมื่อไหร่ เขาจะสามารถทะลวงผ่านได้ทันที!


ภายใต้ต้นสังสารวัฏ หลิงฮันดูดซับสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำและยกระดับความเข้าใจในวิถีแห่งเต๋าอย่างต่อเนื่อง


รากฐานพลังบ่มเพาะของเขาค่อยๆมั่นคงขึ้น สิบวันผ่านไปหลิงฮันก็ปรากฏตัวออกจากหอคอยทมิฬ


‘ครืนน’ เมฆสีดำก่อตัวรวมกัน อำนาจสายฟ้าที่พัวพันอยู่รอบก้อนเมฆทรงพลังจนไม่ว่าใครก็ตามที่จ้องมองย่อมรู้สึกหวาดผวา


ตอนหลิงฮันทะลวงผ่านเซียนระดับต้น ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่เขาได้รับคือทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่ทรงพลังเทียบเท่าเซียนระดับสูง เมื่อตอนทะลวงผ่านเซียนระดับกลางทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่เขาได้รับเองก็ทรงพลังเทียบเท่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของราชาเซียน แล้วตอนนี้ล่ะ?


สวรรค์และปฐพีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจจำกัด ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์จึงไม่สามารถมีพลังเกินกว่าระดับราชาเซียนสูงสุดไปได้ เพราะงั้นสิ่งที่มันยกระดับขึ้นมาจึงไม่ใช่พลังทำลายแต่เป็นจำนวน ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ คลื่นสายฟ้าถูกผ่าลงมาพร้อมกันสิบคลื่นก่อนจะแปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นยักษ์อัสนีสิบตน


ร่างของยักษ์อัสนีแต่ละตัวถูกปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งเต๋า มันกระหน่ำโจมตีหลิงฮันอย่างไร้ปรานีด้วยอาวุธมากมายอย่างหอกอัสนีหรือดาบอัสนี


หลิงฮันไม่หวั่นเกรง เขาชี้นำอำนาจสายฟ้าจากการโจมตีของพวกมันเข้าสู่ร่างกายเพื่อขัดเกลากายหยาบ


เขารู้สึกว่าหากเขายังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่อ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่กายหยาบของเขาจะถูกขัดเกลา เนื่องจากอำนาจของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ระดับราชาเซียนจะไม่เพียงพออีกต่อไป


ต้องรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่ทรงพลังกว่านี้


“ยี่ ยา ย่า!” เสี่ยวกู่นั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งอย่างว่าง่ายตามที่หลิงฮันบอก แต่ทันทีที่มันเห็นทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์มันก็แสดงรีบรุดหน้าเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางตื่นเต้นทันที


ตราบใดที่มันไม่ได้ยืนมือแทรกแซง ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ก็จะไม่ทำอะไรมัน


“เสี่ยวกู่ อยู่ห่างๆเอาไว้” หลิงฮันกล่าวในขณะที่ชี้นำอำนาจสายฟ้าเข้าสู่ร่างกาย กระดูกภายในร่างของเขาในตอนนี้กำลังยกระดับขึ้นเป็นเทียบเท่าแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบ เมื่อใดที่บรรลุระดับยี่สิบได้ กายหยาบของเขาจะไร้เทียมทานที่สุดในโลกบรรพกาล ต่อให้ถูกห้อมล้อมด้วยราชาเซียนมากเพียงใดเขาก็ไม่หวาดกลัว


หากต้องการจะทำให้เขาบาดเจ็บ มีเพียงต้องใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์หล่อหลอมร่างของเขาทีละน้อยเท่านั้น


“ยี่ ยา ย่า” เสี่ยวกู่กล่าวและขยับออกมาจากรัศมีของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์


กระดูกของหลิงฮันใกล้จะบรรลุระดับยี่สิบเข้าไปทุกที หลังจากขัดเกลาต่อไปได้อีกสักพักในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลง


ระดับยี่สิบ!


เพียงแต่หลิงฮันยังไม่หยุดเท่านี้ เขายังคงดูดซับพลังของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ต่อเพื่อขัดเกลากายหยาบให้ทนทานยิ่งขึ้นและหวังให้บรรลุถึงระดับกึ่งนิรันดร์


แร่โลหะกึ่งนิรันดร์นั้นเกิดจากการผสมรวมแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบซ้อนทับกันหลายชั้นเพื่อให้คุณภาพของมันยกระดับขึ้นสู่ระดับใหม่ การซ้อนทับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบสองชั้นจะทำให้เกิดเป็นแร่โลหะกึ่งนิรันดร์หนึ่งดาว ซึ่งหากอ้างอิงตามหลักที่ว่าการจะได้แร่โลหะกึ่งนิรันดร์ระดับสิบมา จำเป็นต้องผสมซ้อนทับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบถึงสิบเอ็ดชิ้นให้เป็นหนึ่งเดียวกัน


การจะผสมแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สำคัญคือแร่โลหะชนิดเดียวกันไม่สามารถนำมาซ้อนทับกันได้


เมื่อเวลาผ่านไปสามชั่วโมง หลิงฮันก็เลิกทำการขัดเกลากายหยาบเนื่องจากถึงขีดจำกัดที่จะขัดเกลาได้แล้ว ภายใต้สวรรค์และปฐพีของโลกบรรพกาล กายของเขาสามารถบรรลุได้เพียงแค่ระดับกึ่งนิรันดร์ครึ่งดาวเท่านั้น ไม่อาจขัดเกลาให้ถึงระดับหนึ่งดาวได้


แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว!


เขาทะยานร่างขึ้นสู่เมฆสายฟ้าเพื่อเก็บเกี่ยวหยดสายฟ้าสวรรค์


สวรรค์และปฐพีเกรี้ยวกราดทันที ยักษ์อัสนีราชาเซียนสูงสุดปรากฏจำนวนมากปรากฏตัวออกมาและกระหน่ำโจมตีหลิงฮัน


แต่ต่อหน้าหลิงฮันในตอนนี้ ราชาเซียนจะนับเป็นอันใดได้?


‘ตูม ตูม ตูม’ ร่างของเขาพุ่งทะลวงกระแทกใส่ร่างของเหล่ายักษ์อัสนีแหลกออกเป็นเศษซาก แม้พวกมันจะสามารถฟื้นสภาพกลับมาเหมือนเดิมได้หลิงฮันก็ไม่สนใจ หากไม่สามารถทำลายพลังป้องกันของเขาได้ ต่อให้จำนวนจะเพิ่มขึ้นเป็นพันล้านตัวก็ไร้ประโยชน์


เขาเคลื่อนที่มาถึงจุดศูนย์กลางของเมฆสายฟ้า แท่นบูชาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของเขาอีกครั้ง เขาก้าวไปเก็บหยดสายฟ้าสวรรค์มาอย่างไม่พูดพร่ำทําเพลง พริบตาหลังจากนั้นเมฆสายฟ้าก็สลายหายไปทั้งๆที่เวลายังผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน


เขาร่อนลงพื้นและปล่อยสตรีนกอมตะ เซียนหวู่เซียงและสองสาวตระกูลหลงออกมาจากหอคอยทมิฬ สองสาวตระกูลหลงที่ยังหมดสติอยู่เมื่อถูกกระตุ้นด้วยเศษเสี้ยวพลังปราณของหลิงฮัน พวกนางก็ลุกขึ้นตื่นพร้อมกัน


“หลิงฮัน เจ้าทำอะไรกับข้า?” หลงอวี่ซานโอดครวญ นางไม่รู้ว่านางหมดสติไปนานเพียงใดทำให้นางเป็นกังวลว่าในระหว่างนั้นหลิงฮันจะทำอะไรกับนางบ้าง


ในทางกลับกัน หลงเซียงเยว่นั้นส่องประกาย นางคาดหวังเป็นอย่างมากที่จะถูกกระทําชําเรา


หลิงฮันหัวเราะเบาๆก่อนจะกล่าว “ไปกันได้แล้ว พวกเราจะกลับไปเอาคืน!”


“หลิงฮัน ข้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ!” หลงอวี่ซานที่เห็นหลิงฮันไม่ตอบคำถามของนาง ก็ตะโกนใส่อารมณ์


แววตาของหลิงฮันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ‘พรึบ’ แรงกดดันอันรุนแรงถูกปลดปล่อยออกมาส่งผลให้หลงอวี่ซานขาอ่อนและทรุดตัวลงกับพื้น “ข้าให้เกียรติเจ้ามาตลอด แต่เจ้ากลับแสดงท่าทีเช่นนั้นต่อข้า? หากเป็นแบบนี้พวกเราคงต้องแยกทางกัน”


“หลิงฮัน อย่าได้ถือโทษอาสาวของข้าเลย นางแค่ปากไม่ตรงกับใจเท่านั้น” หลงเซียงเยว่รีบกล่าว


หลงอวี่ซานกัดฟันแน่น ด้วยนิสัยรักในศักดิ์ศรีของนาง นางย่อมไม่ก้มหัวให้ใคร


หลิงฮันส่ายหัว ถึงแม้อีกฝ่ายจะเคยมอบเขามังกรให้เขา แต่เขาก็สะสางงานแต่งงานให้นางแล้ว เขาไม่ได้ติดค้างอะไรกับนางทั้งนั้น


หากนางจะเป็นคุณหนูเจ้าอารมณ์ก็ควรไปทำนิสัยนี้กับคนอื่นไม่ใช่กับเขา


หลิงฮันหันหลังเดินจากไป เซียนหวู่เซียงและสตรีนกอมตะเองก็ไม่ได้สนใจหลงอวี่ซานและเดินไปกับหลิงฮัน มีเพียงเสี่ยวกู่เท่านั้นที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ “ยี่ ยา ย่า” มันกล่าวก่อนจะวิ่งตามหลิงฮันไป

 

 

 


ตอนที่ 1660 ถึงตาข้ารึยัง?

 

หลิงฮันเดินกลับไปได้ไม่นานก็พบเจอกลุ่มของจอมยุทธตระกูลจ้าว


หลังจากได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของ ‘ผู้นำพาภัยพิบัติ’ ตระกูลจ้าวก็ล้มเลิกแผนการทำสงครามกับตระกูลหลาง ในทางกลับกัน พวกเขาไปเจรจากับตระกูลหลางเพื่อที่สองตระกูลจะได้ร่วมมือกันค้นหาเสี่ยวกู่


ส่วนหลิงฮันนั้น หากพวกเขาพบเจอก็จะสังหารร่วมไปด้วย


ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใดในเขตแดนลี้ลับนี้ ต่างก็มีคำสอนสืบต่อกันมาคือต้องใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อสังหารผู้นำพาหายนะ


กลุ่มคนหาตระกูลจ้าวกลุ่มนี้มีทั้งหมดสิบคน หนึ่งในนั้นมีปรมาจารย์ระดับเก้าลวดลายอยู่ด้วย ทันทีที่พบเจอหลิงฮันพวกเขาก็เผยสีหน้าประหลาดใจทันที พวกไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายจะเดินเผ่นผ่านไปมาอย่างสบายใจเช่นนี้…


หลังจากตั้งสติได้ ปรมาจารย์เก้าลวดลายก็แหงนหน้าตะโกนเสียงดังเพื่อส่งสัญญาณ


หลิงฮันไม่ได้ห้ามปรามอีกฝ่าย แบบนั้นแหละดี มารวมกันให้หมดจะได้จัดการทีเดียว


ผ่านไปครู่หนึ่งปรมาจารย์เก้าลวดลายหลายคนก็ปรากฏตัว จอมยุทธเจ็ดหรือแปดลวดลายเองก็มาเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมต่อสู้ พวกเขามาที่นี่เพื่อช่วยค้นหาหลิงฮันเท่านั้น


“ฉลาดไม่เลว รู้ว่าหนีไปไหนไม่รอดจึงกลับมาน้อมรับความตาย!” ผู้อาวูดสตระกูลจ้าวกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน


หลิงฮันกวาดสายตามองและยิ้ม “คนยังมาไม่ครบเลย พวกเรารออีกหน่อยดีกว่าไหม!”


“ไม่จำเป็น!” ปรมาจารย์ผู้หนึ่งลงมือ เขาควบแน่นพลังเป็นคชสารทมิฬยักษ์พุ่งทะยานใส่หลิงฮัน


เขาคือปรมาจารย์เก้าลวดลายจากตระกูลหลางที่ไม่เคยปะทะกับหลิงฮันมาก่อน ในความคิดของเขา รุ่นเยาว์ตรงหน้าเป็นเพียงหนอนแมลงที่เขาสามารถสังหารได้เพียงพลิกฝ่ามือ


ร่างของหลิงฮันขยับหลบการโจมตีและกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าคือคนที่ให้โอกาสผู้อื่นเสมอ สำหรับใครที่ไม่ต้องการเป็นศัตรูกับข้าก็ขอให้ก้าวถอยออกไป ไม่เช่นนั้นเมื่อใดที่ข้าเริ่มลงมือ ใครก็ตามที่อยู่ตรงหน้า ข้าจะถือว่าเป็นศัตรูทั้งหมด”


คนของตระกูลจ้าวและตระกูลหลางแสยะยิ้ม


“งั้นข้าก็จะให้โอกาสเจ้าเช่นกัน จงคุกเข่าและก้มหัวร้อยทีแล้วข้าจะยอมไว้ชีวิตอันไร้ค่าของเจ้า” ปรมาจารย์ตระกูลหลางกล่าวอย่างเย็นชา


หลิงฮันถอนหายใจก่อนจะดีดนิ้ว ‘พรึบ’ คลื่นดาบถูกปลดปล่อยออกไปด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ ก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกตัว คลื่นดาบก็ทะลวงผ่านร่างของปรมาจารย์ตระกูลกลางเรียบร้อยแล้ว


ปรมาจารย์ตระกูลกลางมีสีหน้าเหม่อลอย ดวงตาของเขาหม่นสีอย่างรวดเร็ว ‘ตุบ’ ร่างของเขาหงายล้มลงกับพื้นพร้อมกับโลหิตสาดกระจายออกจากร่าง… เขาตายแล้ว


อะไรกัน!


พริบตานั้นทุกคนที่อยู่โดยรอบก็กลายเป็นแน่นิ่ง ใครจะไปคาดคิดว่าปรมาจารย์เก้าลวดลายจะถูกสังหารง่ายดายขนาดนั้น!


ไหนใครบอกว่าผู้ใช้คลื่นแสงมรกตจะเป็นผู้นำพาหายนะกัน ทั้งๆที่เห็นๆกันอยู่ว่ารุ่นเยาว์ตรงหน้าพวกเขาน่าสะพรึงกลัวกว่า?


พวกเขาก้าวถอยหลังทันที ใครบางคนที่ขี้ขลาดเผลอร้องโอดครวญออกมาและเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว


แววตาของหลิงฮันส่องประกายโหดเหี้ยม เขาได้ให้โอกาสคนเหล่านี้ไปแล้ว หากคิดจะสังหารก็ต้องเตรียมใจถูกสังหารกลับด้วย


เขาดีดนิ้วต่อเนื่อง คลื่นดาบจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกไป จอมยุทธของตระกูลจ้าวและตระกูลหลางถูกสังหารทิ้งไปทีละคน


“ร่วมมือกัน!” ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งคนหนึ่งตะโกนเรียกสติ แต่กว่าทุกคนจะกลับมารวมกลุ่มกันได้จำนวนคนกว่าครึ่งก็ถูกสังหารไปแล้ว


“เป็นไปได้อย่างไร!” เหล่าผู้อาวุโสตระกูลจ้าวอุทาน “เมื่อสิบวันก่อนเขายังถูกพวกเราไล่ล่าอยู่เลยแท้ๆ เหตุใดตอนนี้เขาถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้?”


คนของตระกูลหลางอยากร้องไห้ ที่จริงพวกเขาไม่เกี่ยวข้องใดๆกับเรื่องนี้เลยแท้ๆ พวกเขาไม่น่าแส่หาเรื่องใส่ตัวเลย


เหล่าจอมยุทธเก้าลวดลายเกือบยี่สิบคนร่วมมือกันจนในที่สุดก็สามารถต้านทานคลื่นดาบของหลิงฮันได้


ปรมาจารย์คนอื่นๆค่อยๆปรากฏตัว เมื่อประมุขตระกูลจ้าวและประมุขตระกูลหลางมาถึง ปรมาจารย์ทุกคนก็รู้สึกโล่งอก


“เจ้าตัวบัดซบ!” เมื่อประมุขตระกูลจ้าวเห็นซากศพที่นอนเกลื่อนกลาดใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวทันใด จอมยุทธที่ตายอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเป็นจอมยุทธระดับแนวหน้าของตระกูลจ้าว ในอนาคตภายภาคหน้าไม่ใช่แค่ตระกูลหลาง แต่ตระกูลกลางแม่น้ำช่วงกลางก็สามารถรุกล้ำมาแทนที่ตระกูลของเขาได้


เขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและชี้นำพลังของสมาชิกตระกูลทั้งหมดเข้าสู่ร่างกาย พลังต่อสู้ของเขายกระดับขึ้นมหาศาล ลวดลายสีดำราวกับน้ำหมึดบนร่างขยับลอยออกมาพร้อมกับแปรเปลี่ยนเป็นโซ่ทมิฬ


“ตาย!” ผู้นำตระกูลจ้าวคำราม โซ่ทมิฬถูกกวัดแกว่งทะลวงเข้าใส่ร่างหลิงฮัน


หลิงฮันไม่แม้แต่คิดหลบและปล่อยให้โซ่เข้าปะทะกับร่างตนเอง


‘เพล๊ง เพล๊ง เพล๊ง เพล๊ง’ ประกายไฟสะท้อนออกมาเมื่อโซ่สัมผัสถูกร่างของเขา โดยที่ร่างของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆแม้แต่น้อย


อะไรกัน!


เหล่าปรมาจารย์ของทั้งสองตระกูลที่เพิ่งรู้สึกโล่งใจกลับมารู้สึกสิ้นหวังอีกครั้ง ขนาดการโจมตีที่รุนแรงขนาดนั้นก็ยังไม่สามารถทำลายพลังป้องกันของหลิงฮัน พวกเขาสิ้นหวังแล้ว


ประมุขตระกูลจ้าวกัดฟัน โซ่ถูกควบคุมในเคลื่อนไหวพัวพันหลิงฮันราวกับอสรพิษ พริบตาเดียวร่างของหลิงฮันก็ถูกรัดเอาไว้โดยมีเพียงศีรษะที่โผล่ออกมา


“รีบลงมือ ข้าผนึกการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้แล้ว!” ประมุขตระกูลจ้าวตะโกนลั่น


“ตาย!” ประมุขตระกูลหลางและเหล่าจอมยุทธของทั้งสองตระกูลกระหน่ำโจมตีเข้าใส่หลิงฮันพร้อมกัน ในความคิดของพวกเขาตอนนี้ หลิงฮันเป็นภัยพิบัติยิ่งกว่าเสี่ยวกู่เสียอีก


“ยี่ ยา ย่า!” เสี่ยวกู่คำรามด้วยความโกรธและลงมือโจมตีเช่นกัน


ทางด้านของเซียนหวู่เวียงและสตรีนกอมตะนั้นทั้งสองไม่เคลื่อนไหวใดๆ หากทั้งสองร่วมเข้าปะทะด้วยก็คงไม่ต่างอะไรจากการแส่หาความตาย อีกอย่างพวกเขาก็เชื่อในตัวหลิงฮันด้วย ในเมื่อหลิงฮันเลือกที่จะทำเช่นนี้แสดงว่าเขามั่นใจว่าจะชนะ


จอมยุทธเก้าลวดลายเกือบสี่สิบคนกระหน่ำปลดปล่อยกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดของแต่ละคนเข้าใส่หลิงฮัน


หลิงฮันเผยรอยยิ้ม ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ระดับราชาเซียนที่เขาได้รับก่อนหน้านี้ทรงพลังกว่าการโจมตีของจอมยุทธเหล่านี้ไม่รู้กี่เท่าซึ่งกายหยาบของเขาก็สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย


‘ตูม ตูม ตูม ตูม’ การโจมตีอันทรงพลังนับไม่ถ้วนถูกกระหน่ำโจมตีออกไปพร้อมกันจนพื้นแผ่นดินสั่นสะเทือน หากไม่ใช่ว่าเขตแดนลี้ลับนี้คือส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งเซียนมันคงไม่อาจทนต่อพลังทำลายล้างที่เกิดขึ้นได้


การกระหน่ำโจมตีใช้เวลาไปอย่างน้อยสิบลมหายใจกว่าจะสิ้นสุด เมื่อการโจมตีครั้งสุดท้ายถูกปล่อยออกไปฝุ่นควันก็เริ่มสลายกระจายตัว


ภาพที่ทุกคนเห็นต่อมาแทบจะทำให้จอมยุทธทุกคนรู้สึกสิ้นหวัง


หลิงฮันยังคงถูกโซ่ทมิฬรัดเอาไว้อยู่โดยที่ไม่บาดเจ็บอะไรแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะว่าโซ่ที่รัดร่างของเขาเอาไว้ได้รับความเสียหายจนแทบไม่เหลือซาก ใครจะเชื่อว่าหลิงฮันเพิ่งรับการโจมตีจากจอมยุทธเก้าลวดลายถึงสี่สิบกว่าคนเข้าไป?


“ถึงตาข้ารึยัง?” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม เพียงแค่ขยับร่างเล็กน้อยโซ่ที่รัดเขาเอาไว้ก็ขาดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

 

 

 


ตอนที่ 1661 ตระกูลของต้าเหอ

 

ปรมาจารย์ของทั้งสองตระกูลนิ่งอึ้งไร้คำพูด ความรู้สึกหนักอึ้งภายในร่างกายแทบจะส่งผลให้พวกเขาหมดสติ


นี่เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่า?


ถูกจอมยุทธเก้าลวดลายกระหน่ำโจมตีไปขนาดนั้นแต่กลับไม่เป็นอะไรเลย!


บรรพบุรุษเล่าว่าผู้ใช้คลื่นแสงมรกตจะนำพาภัยพิบัติมาสู่ทุกชีวิตไม่ใช่รึ? บางทีพวกเขาอาจจะคาดการณ์ผิด สิ่งที่นำพาภัยพิบัติมาไม่ใช่ผู้ใช้คลื่นแสงมรกตและเป็นพรรคพวกของเขา!


หลิงฮันก้าวเดินขึ้นหน้าและปลดปล่อยจิตสังหาร


เขาไม่ชอบสังหารใครมั่วซั่ว แต่หากถูกผู้อื่นล่วงเกินเขาก็ไม่คิดจะใจอ่อนเช่นกัน


“จอมยุทธจากภายนอก เจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับทุกตระกูลในดินแดนแห่งนี้?” ประมุขตระกูลหลางกล่าวเย็นชา แม้ใบหน้าของเขาจะดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ไม่ว่าใครก็สัมผัสได้ว่าเสียงของเขากำลังสั่นเครือด้วยความกลัว


ศัตรูตรงหน้ามีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับที่ไม่อาจจิตนาการได้ พวกเขาไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย


หลิงฮันยิ้มพร้อมกับกล่าว “ผิดแล้ว! ไม่ใช่ว่าเป็นพวกเจ้ารึที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้า? ข้าไม่รังเกียจแม้แต่น้อยที่จะลบล้างพวกเจ้าให้หายไปด้วยหนึ่งมือ!”


ช่างโอหัง!


“พวกเราเหล่าตระกูลในดินแดนต้าเหอ*ตั้งรากฐานอยู่ที่นี่มานานไม่รู้กี่พันล้านปี เจ้าคิดว่าแค่เจ้าคนเดียวจะทำอะไรได้?” ประมุขตระกูลจ้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามหนักแน่น


ศัตรูของหลิงฮันไม่ใช่แค่ตระกูลจ้าวกับตระกูลหลาง แต่เป็นทุกตระกูลที่อยู่ในดินแดนต้าเหอ ด้วยรากฐานที่มีมาอย่างยาวนานของทุกตระกูล พวกเขาย่อมไม่สมควรพ่ายแพ้


เหล่าตระกูลในดินแดนต้าเหอก็มีศักดิ์ศรีของตัวเอง ตามหลักคำสอนของบรรพบุรุษ พวกเขาไม่คิดจะยอมแพ้เพียงเพราะศัตรูแข็งแกร่งเกินไป


“เฒ่าเก้า เฒ่าสิบเอ็ด เฒ่าสิบเจ็ด เมื่อการปะทะเริ่มขึ้นอีกครั้งพวกเจ้ารีบไปจับกุมตัวคนนอกอีกสองคนเพื่อนำมาข่มขู่ศัตรูผู้นี้” ประมุขตระกูบจ้าวใช้สัมผัสสวรรค์ออกคำสั่ง


แววตาของเขาเหลือบมองไปยังสตรีนกอมตะและเซียนหวู่เซียงครู่หนึ่ง หากสามารถใช้สองคนนั้นข่มขู่หลิงฮันได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็แค่สังหารทั้งสองทิ้งซะ


“อืม” ทั้งสามคนพยักหน้า


ประมุขตระกูลหลางเองก็ออกคำสั่งแบบเดียวกัน นี่คือวิธีการเดียวที่จะทำให้พวกเขามองเห็นความหวัง


“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ดูหมิ่นคนของดินแดนต้าเหอ!” เมื่อคำรามเสร็จสิ้น ประมุขตระกูลหลางก็นำจอมยุทธของตระกูลหลางทุกคนบุกโจมตีหลิงฮัน


ทางฝั่งตระกูลจ้าวก็ไม่ชักช้าและร่วมมือช่วยโจมตี


พวกเขารู้ดีอยู่แล้วว่าการโจมตีของพวกเขาไม่สามารถทำอะไรหลิงฮันได้ จุดประสงค์ของพวกเขาคือใช้ประโยชน์จากการปะทะเบี่ยงเบนความสนใจของหลิงฮันเพื่อลอบจับกุมสตรีนกอมตะและเซียนหวู่เซียง


หลิงฮันดีดนิ้วอย่างไม่แยแส ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ทุกครั้งที่คลื่นดาบถูกปลดปล่อยออกไป จะมีศัตรูตกตายไปทีละคน


“อ้ากก” ปรมาจารย์ของทั้งสองตระกูลคำรามอย่างเกรี้ยวกราด พวกเขาใช้เวลาไม่รู้กี่ปีในการรวบรวมจอมยุทธระดับเก้าลวดลาย แต่ตอนนี้จอมยุทธเหล่านั้นกลับกำลังถูกสังหารอย่างง่ายดายราวกับผักปลา


แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพื่อสร้างโอกาสลอบจับกุมพวกเขาจำเป็นต้องเอาชีวิตเข้าแลก


ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็เผยรอยยิ้ม กลุ่มที่รับหน้าที่ลอบจับกุมหลบผ่านไปด้านหลังของหลิงฮันได้สำเร็จ ถึงแม้จำนวนจากหกคนจะถูกสังหารเหลือสี่คนแต่ก็ถือว่าแผนการลุล่วง!


“จัดการ!” จอมยุทธทั้งสี่คนพุ่งทะยานเข้าหาสตรีนกอมตะและเซียนหวู่เซียง พวกเขาลงมือจากสี่ทิศทางเพื่อป้องกันการหลบหนีของทั้งสอง


หลิงฮันโคจรแสงอัสนี ‘พรึบ’ ร่างของเขาปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าจอมยุทธลอบกัดในพริบตาก่อนจะยกมือชี้นิ้ว ‘โผล๊ะ’ ศีรษะของจอมยุทธผู้นั้นระเบิดออกจนกลายเป็นร่างไร้หัวทันที หลิงฮันหันไปยังจอมยุทธลอบกัดอีกคนและทำเช่นเดิม ศีรษะของจอมยุทธคนที่สองระเบิดออกตามๆกันไป


เมื่อสังหารเสร็จสิ้นไปแล้วสามคน หลิงฮันก็ได้คว้าจับคอจอมยุทธลอบกัดคนที่สี่และยกร่างของอีกฝ่ายขึ้นมา


ภาพที่เหล่าจอมยุทธของทั้งสองตระกูลที่คิดว่าเห็นความหวังแล้วได้เห็นจริงๆก็คือ ร่างสิ้นชีพของพรรคพวกสามคนที่นอนนิ่งอยู่กับพื้นและอีกคนที่ถูกหลิงฮันคว้าร่างเอาไว้


“นี่น่ะรึศักดิ์ศรีของต้าเหอ? ไม่กล้าปะทะกับข้าซึ่งๆหน้าจนต้องใช้วิธีลอบกัด?” หลิงฮันแสยะยิ้ม เขาโยนร่างของจอมยุทธในมือเข้าใส่ตระกูลทั้งสองและกล่าว “ขอคืนให้พวกเจ้า!”


ปรมาจารย์ผู้หนึ่งกำลังจะเอื้อมมือไปคว้าร่างที่ถูกโยนมา แต่ประมุขตระกูลหลางได้รีบอุทาน “รีบหลบออกมา!”


สายไปแล้ว!


บอลพลังลอยออกมาจากภายในร่างของจอมยุทธที่ถูกโยนและระเบิดออกกลายเป็นคลื่นดาบนับไม่ถ้วน การโจมตีครั้งนี้ได้ส่งเป็นวงกว้าง ปรมาจารย์มากมายของทั้งสองตระกูลตกตายโดยมีเพียงประมุขของทั้งสองตระกูลและปรมาจารย์อีกสามสี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิต ร่างของพวกเขาเปียกชุ่มไปด้วยโลหิตและได้รับบาดเจ็บสาหัส


“จะ เจ้ามันปีศาจ!” ประมุขตระกูลจ้าวชี้นิ้วไปยังหลิงฮันด้วยความความเคียดแค้น


“ข้าไม่ใช่ปีศาจ สิ่งที่ข้าทำคือการป้องกันตัว ใครใช้ให้พวกเจ้าล้ำเส้นก่อน?” หลิงฮันยกมือขึ้นอีกครั้งและสะบัดมือปล่อยคลื่นดาบ ‘ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ’ จอมยุทธที่เหลือรอดถูกสังหารทิ้งในพริบตา


“ยี่ ยา ย่า!” เสี่ยวกู่กล่าวอย่างไม่พอใจ ทำไมไม่เหลือให้มันจัดการบ้าง?


หลิงฮันยิ้มและจ้องมองไปยังเสี่ยวกู่ ขนาดตอนนี้เขาบรรลุเป็นเซียนระดับสูงและมีพลังไร้เทียมทานที่สุดในโลกบรรพกาลแล้วเขาก็ยังมองเบื้องลึกของพลังในตัวเสี่ยวกู่ไม่ออก


พลังแท้จริงของเสี่ยวกู่ไม่ใช่พลังที่แสดงให้เห็นอยู่ตอนนี้ พลังที่แท้จริงของมันสูงยิ่งไปกว่านี้มากแต่ถูกผนึกเอาไว้และไม่สามารถใช้ได้ตามใจนึก


“ไปกอบโกบสินสงครามกัน!”


กลุ่มหลิงฮันทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปยังตระกูลจ้าวและตระกูลหลางเพื่อเก็บเกี่ยวสมบัติทั้งหมดของพวกเขาที่สะสมมานานหลายพันล้านปี


หลิงฮันรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่เนื่องจากสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำที่พบมีแค่ห้าต้นเท่านั้น


“เจ้าได้โลภมากเกินไป ดูอย่างดินแดนต้องห้ามก็มีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำแค่สามถึงสามต้นเช่นกัน” สตรีนกอมตะกล่าวด้วยรอยยิ้ม


หลิงฮันพยักหน้า เขาเอื้อมมือไปโอบกอดเอวของสตรีนกอมตะและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เฟิงเอ๋อ ไหนๆการต่อสู้ก็สิ้นสุดแล้ว พวกเรามาพลอดรักและทำเด็กกันดีไหม?”


“ฮึ่ม!” สตรีนกอมตะเค้นเสียงตำหนิ แม้นางจะแต่งงานกับหลิงฮันมานานแล้วนางก็ยังเขินอายอยู่ดี


หลิงฮันแค่หยอกล้อนางเล่นเท่านั้น เขายังหาสตรีนกอมตะและคนอื่นๆไม่เจอ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีอารมณ์ไปทำเรื่องอื่น


พวกเขาออกเดินทางต่อผ่านเส้นทางตระกูลหลาง


…….


“เอาล่ะ พวกเรากลับกันเถอะ” ในระยะที่ห่างออกไป หลงอวี่ซานกระซิบพูดกับหลงเซียงเยว่


หลงเซียงเยว่จ้องมองแผ่นหลังของหลิงฮัน บางทีความรู้สึกของนางอาจจะต้องปล่อยค้างคาอยู่ใจไว้ตลอดกาล


*ต้าเหอ = แม่น้ำมหึมา

 

 

 


ตอนที่ 1662 ผลกายาเชื่อมสวรรค์

 

ด้วยพลังของหลิงฮันในตอนนี้ เขาสามาถบดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า


ด้วยการที่เขาไม่ชื่นชอบสังหาร เมื่อมาถึงตระกูลต่อไปเขาจึงยังคงกล่าวเจรจาขอผ่านทางเช่นเดิม หากอีกฝ่ายปฏิบัติกับเขาอย่างเป็นมิตรก็ดีไป แต่หากอีกฝ่ายล้ำเส้นเขาก็จะไม่ไว้หน้าเช่นกัน


เมื่อข่าวที่เขาลบล้างสองตระกูลที่แข็งแกร่งให้หายไปถูกแพร่งพรายตระกูลทุกตระกูลก็กลายเป็นหวาดกลัว เพราะงั้นไม่ว่าเขาผ่านไปยังตระกูลใดพวกเขาจึงต้อนรับด้วยท่าทางเคารพอย่างถึงที่สุด


หลิงฮันไม่ใสใจอะไรมาก พวกเขาเดินผ่านตระกูลเถี้ยนซึ่งเป็นตระกูลสุดท้ายและเข้าใกล้ต้นตอของแม่น้ำมหึมาเข้าไปทุกที


เพียงแต่ยิ่งเดินเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกหมดหวัง


แม่น้ำในช่วงบนสุดนั้นอัดแน่นไปด้วยแก่นพลังอันน่าสะพรึงกลัว เพียงแต่คลื่นกระเพื่อมจากแม่น้ำเพียงหยดเดียวก็สามารถบดขยี้จอมยุทธระดับเก้าลวดลายให้แหลกเป็นเศษซากได้


เพราะงั้นตระกูลที่ทรงพลังที่สุดจึงไม่กล้าขึ้นไปตั้งถิ่นฐานไกลกว่านี้


เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่งในที่สุดหลิงฮันก็พบเจอมิตรสหาย


ที่นี่มีรุ่นเยาว์จากสำนักละอองดาราอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาไม่ใช่ราชาทั่วไปแต่เป็นราชาระดับสามที่มีอยู่เพียงน้อยนิด เห็นได้ชัดว่าจำนวนคนที่เหล่าเซียนสามารถคุ้มกันได้นั้นมีจำกัด พวกเขาจึงพาแต่เพียงศิษย์มีศักยะภาพมากที่สุดเข้ามาด้วย


หลิงฮันพบเห็นหงหม่า เทียนเซี่ยตี้เอ้อ ซื่อเฉินเฟิงและอัจฉริยะรุ่นเยาว์คนอื่นๆจากดินแดนต้องห้าม รวมๆกันแล้วจำนวนของพวกเขามีราวๆหกสิบกว่าคน


“ศิษย์พี่หลิง!”


เมื่อคนเหล่านั้นเห็นหลิงฮัน พวกเขาก็รีบกล่าวทักทายทันที พวกเขายังไม่รู้เรื่องที่หลิงฮันบรรลุเป็นเซียนระดับสูงแล้วและมีพลังต่อสู้ที่สามารถบดขยี้เซียนทุกคนในโลกบรรพกาล ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่กล้ากล่าวทักทายอย่างเป็นกันเองเช่นนี้


หลิงฮันพยักหน้า “แล้วคนอื่นๆล่ะ?”


“พวกเขาอยู่ในอาณาเขตสังหารเบื้องหน้า” ใครบางคนกล่าว


หลิงฮันไต่ถามอย่างละเอียดและได้รู้ว่าจากข้อมูลที่ตระกูลเถี้ยนบอกมา แม่น้ำในช่วงระดับนี้นั้นอัดแน่นไปด้วยพลังอันรุนแรงจนทำให้พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยอำนาจสังหาร และในอาณาเขตที่เต็มไปด้วยอำนาจสังหารนั้นได้มีสมุนไพรนิรันดร์งอกเงยออกมา!


สมุนไพรนิรันดร์!


ผลกายาเชื่อมสวรรค์!


สมุนไพรชนิดนี้แม้แต่ในดินแดนแห่งเซียนก็สมควรเป็นสมุนไพรที่ล้ำค่าหาสิ่งใดเปรียบ การได้ดูดซับสมุนไพรนี้จะทำให้ร่างกายเชื่อมต่อกับสวรรค์และปฐพี ซึ่งในตำนานเรียกว่ากายหยาบแห่งเต๋า


ผลลัพธ์ประจากกายหยาบทีว่าคืออะไร?


เมื่อกายหยาบเชื่อมต่อกับสวรรค์แล้ว ร่างกายก็จะเปรียบเสมือนว่าเป็นหนึ่งเดียวกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์มาแต่กำเนิด ร่างกายเช่นนี้จะทำให้ผู้บ่มเพาะพลังไม่มีคอขวดใดๆ หากแค่สะสมพลังปราณได้เพียงพอก็จะสามารถทะลวงผ่านระดับพลังได้อย่างง่ายดาย


แต่นอนว่าเรื่องนั้นก็ขึ้นอยู่กับอายุของผลกายาเชื่อมสวรรค์เช่นกัน บางผลสามารถช่วยผ่านคอขวดได้ถึงแค่ระดับระดับโลกียนิพพาน บางผลก็สามารถช่วยได้ถึงระดับแบ่งแยกวิญญาณ บางผลก็อาจจะช่วยได้ถึงระดับขอบเขตตำหนักอมตะ


ตามตำนานกล่าวไว้ว่าผลกายาเชื่อมสวรรค์ที่เติบโตมีอายุมากที่สุดสามารถช่วยให้จอมยุทธบรรลุได้ถึงระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ ไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนว่ามีผลกายาเชื่อมสวรรค์ที่สามารถช่วยให้บรรลุได้ถึงระดับราชาเซียน


แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว จอมยุทธระดับนิรันดร์นั้นไม่มีอายุขัย ตราบใดที่ไม่มีกำแพงระดับระดับพลังเป็นคอขวด แค่สะสมพลังปราณจะใช้เวลานานเท่าไหร่เชียว?


จักรพรรดินีและเซียนคนอื่นๆกำลังคิดหาวิธีเข้าไปยังอาณาเขตสังหารและเก็บเกี่ยวสมุนไพร เพียงแต่ว่าขนาดตระกูลเถี้ยนที่อาศัยอยู่บริเวณนี้มานานแล้วหลายยุคสมัยก็ยังไม่อาจเข้าไปเก็บเกี่ยวได้จนยอมแพ้ไปแล้ว หากพวกจักรพรรดินีเก็บเกี่ยวสมุนไพรได้สำเร็จจริงๆตระกูลเถี้ยนจะต้องมาแย่งชิงไปแน่นอน


ตอนนี้ตระกูลเถี้ยนยอมให้พวกจักรพรรดินีอยู่ที่นี่ได้ชั่วคราว เพราะอย่างไรด้วยรูปแบบพลังบ่มเพาะที่ต่างกัน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกแย่งทรัพยากรบ่มเพาะไป


หลิงฮันครุ่นคิดและตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตสังหาร หลังจากแยกจากกันหลายปีเขาคิดถึงภรรยาของเขาจะตายอยู่แล้ว


เขา สตรีนกอมตะและเซียงหวู่เซียงออกเดินทางต่อโดยมีซื่อเฉินเฟิงเป็นคนนำทาง


ระหว่างทาง ซื่อเฉินเฟิงมีท่าทีราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความรู้สึกหนักอึ้งราวกับท้องผูก


หลิงฮันทนไม่ไหวจึงกล่าวออกไป “เจ้ามีเรื่องอะไรอยากจะพูด?”


“ศิษย์พี่หลิง ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกท่าน แต่ท่านต้องอดทนให้ได้!” ซื่อเฉินเฟิงกล่าว


“อืม” หลิงฮันพยักหน้า ด้วยพลังของเขาในตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องเก็บเรื่องใดมาคิดมากทั้งนั้น หากเขารู้สึกไม่พอใจก็แค่ใช้พลังสะสางเรื่องที่ว่าให้จบๆไป


ซื่อเฉินเฟิงพยักหน้าและกล่าว “ในตอนที่พวกเราเข้ามาในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ พวกเราพบเจอรุ่นเยาว์ที่ทรงพลังมากคนหนึ่ง อีกฝ่ายมีระดับพลังอยู่ที่ราชาเซียนสูงสุดซึ่งแม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็ยังต้องอ่อนน้อมต่อเขา”


เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ราชาเซียนรุ่นเยาว์ผู้นั้น ดูเหมือนจะสนใจพี่สาวหล่วนซิง”


หลิงฮันกลั้นหัวเราะไม่ไหว ซื่อเฉินเฟิงกลัวว่าเขาจะหึงหวงจนหาเรื่องปะทะกับราชาเซียนรุ่นเยาว์?


ไม่มีใครสามารถต้านทานเสน่ห์ของจักรพรรดินีได้ เรื่องนี้หลิงฮันมีประสบการณ์กับตัวเอง เพียงแต่เขาเชื่อใจจักรพรรดินีเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครจะหว่านล้อมนางอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์


การหลงใหลในเสน่ห์นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากไม่รู้จักยับยั้งตนเองเขาก็คงไม่ปรานีเช่นกัน


“เข้าใจแล้ว” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่คิดอะไรมาก


ทางด้านเสี่ยวกู่นั้นเมื่อใดเห็นคนใหม่ๆมันก็เกิดความรู้สึกกระตุ้นอยากจะพูดเลียนแบบมาก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดที่หลิงฮันบอกว่าการเลียนแบบคำพูดเป็นสิ่งไม่ดีขึ้นมา มันก็พยายามระงับตัวเองเอาไว้ซึ่งทำให้มันรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก


ครึ่งวันผ่านไปพวกเขาก็เดินทางมาถึงจุดที่ใกล้กับอาณาเขตสังหาร ยังไม่ทันที่จะได้เข้าไปเพียงแค่สายลมที่พัดออกมากระทบใบหน้าพวกเขาก็ทำให้รู้สึกราวกับถูกใบมีดเชือดเฉือน


ซื่อเฉินเฟิงหยุดเท้าและกล่าว “ศิษย์พี่หลิง ตรงนี้คือขีดจำกัดของข้าแล้ว ข้าไม่อาจนำทางไปได้ไกลกว่านี้”


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ไม่ใช่ปัญหา” เขาชี้นำพลังปราณสร้างเป็นโล่คุ้มกันร่างให้กับซื่อเฉินเฟิง ในการเดินทางที่ผ่านๆมาเขาไม่ได้ใช้ปราณก่อเกิดกับตัวเองแม้แต่น้อยและต้านทานแรงกดดันด้วยกายหยาบเพียงอย่างเดียว


ซื่อเฉินเฟิงตกตะลึงและจ้องหลิงฮันตาค้าง แม้แต่ราชาเซียนมากมายก็ไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ แค่สร้างโล่พลังปราณให้แก่ตนเองพวกเขาก็เต็มกลืนแล้ว


“ไปกันต่อ!” หลิงฮันไม่เพียงคุ้มกันให้ซื่อเฉินเฟิงแต่ยังคุ้มกันสตรีนกอมตะและเซียนหวู่เซียงด้วย สำหรับเสี่ยวกู่นั้นเขาไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร


ทั้งสี่คนเดินนำโดยมีเสี่ยวกู่เดินตามและหันหน้ามองไปรอบด้าน ดวงตาของมันส่องประกายแสงมรกตเป็นครั้งคราวราวกับว่าที่นี่มีอะไรบางอย่างกระตุ้นมัน


หลังจากเดินไปได้อีกครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็พบเห็นคนมากกว่าสามสิบคนอยู่เบื้องหน้า


จักรพรรดินี!


หลิงฮันรู้ว่าเป็นนางเพียงแค่ชำเลืองมอง จักรพรรดินีนั้นเจิดจรัสยิ่งกว่าใคร นางราวกับเป็นดวงจันทร์ที่สุกสกาวท่ามกลางดวงดาว หรือเป็นดวงตะวันที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดมิด


ด้านข้างนางห่างออกไปสามฟุตมีรุ่นเยาว์คนหนึ่งยืนอยู่ ในขณะที่เซียนซิงฉาและเซียนคนอื่นๆอยู่ห่างออกจากรุ่นเยาว์ผู้นั้นไปอีกสามฟุต เพราะงั้นแม้ทั้งสองจะไม่อยู่ชิดแต่ก็ดูราวกับยืนเป็นคู่


จักพรรดินีนั้นราวกับว่านางมีญาณวิเศษ จู่ๆนางก็หันหลังมา ใบหน้าอันงดงามเผยรอยยิ้มที่แสนดีใจและโผเข้าอ้อมแขนของหลิงฮันทันที


พร้อมกันนั้นสีของรุ่นเยาว์ที่ยืนอยู่ข้างนางก็เปลี่ยนเป็นมืดมน

 

 

 


ตอนที่ 1663 ผู้มาเยือนจากดินแดนแห่งเซ...

 

หลิงฮันเองก็ดึงเอวจักรพรรดินีมาอยู่ในอ้อมแขน การห่างกันเป็นเวลาแปดปีช่างยาวนานนัก!


ท่าทางเย็นชาของจักรพรรดินีไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความอ่อนโยนจนทำให้จิตใจของทุกคนหลอมละลาย


เสี่ยวกู่ที่ยืนดูอยู่ด้านข้างทนไม่ไหวและก้าวเดินเข้ามา มันอ้าแขนราวกับอยากจะจะโอบกอดเลียนแบบหลิงฮัน


“หยุดเลย นี่คือภรรยาข้า อย่าได้คิดเลียนแบบ!” หลิงฮันรีบห้ามปราม


“ยี่ ยา ย่า” เสี่ยวกู่กล่าวด้วยท่าทางเศร้าเสียใจเล็กน้อย


“เขาเป็นใคร?” จักรพรดินีเอ่ยถาม เหตุใดรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายถึงได้เหมือนหลิงฮันราวกับฝาแฝด?


“เอาไว้ข้าจะอธิบายทีหลัง” หลิงฮันเปลี่ยนจากโอบกอดมาเป็นจับมือจักรพรรดินีและเดินไปหาพวกเซียนซิงฉาพร้อมกับกล่าว “พวกท่านพบเจออะไรรึยัง?”


เหล่าเซียนจากสำนักละอองดาราอย่างเซียนซิงฉา เซียนหมิงซิงและเซียนคนอื่นๆส่ายหัวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “สมุนไพรนิรันดร์อยู่ตรงหน้าแท้ๆแต่กลับไม่สามารถครอบครองได้ ช่างน่าสลดนัก”


“โฮ่ง ฮันน้อย เหตุใดพบเจอข้าแล้วถึงได้ไม่คารวะทักทายกัน?” สุนัขตัวดำก้าวเดินเข้ามา แต่พริบตาที่มันเห็นเสี่ยวกู่ ขนทั่วร่างของมันก็ตั้งชี้ฟ้าทันที


“สัตว์ประหลาด!” มันกระโดดถอยหลังและแยกเขี้ยว


“สัตว์ประหลาด!” เสี่ยวกู่รู้สึกสนใจจึงเลียนแบบคำพูด


“เจ้านั่นล่ะสัตว์ประหลาด!” สุนัขตัวดำเกรี้ยวกราด


“เจ้านั่นล่ะสัตว์ประหลาด!” เสี่ยวกู่เลียนแบบด้วยท่าทางสนุกสนาน


“อย่าเลียนแบบข้า!”


“อย่าเลียนแบบข้า!”


“เจ้ามันโง่ที่พูดเองไม่ได้!”


“เจ้ามันโง่ที่พูดเองไม่ได้!”


“……”


ไม่ว่าสุนัขตัวดำจะกล่าวอะไร เสี่ยวกู่ก็จะเลียนแบบคำนั้นกลับไป แม้ว่าสุนัขตัวดำจะเปลี่ยนความเร็วและโทนเสียงในการพูดแล้วเสี่ยวกู่ก็ยังเลียนแบบกลับไปได้อย่างแม่นยำ


ผ่านไปครู่หนึ่งสุนัขตัวดำก็ลงไปนอนแผ่อยู่กับพื้น หูของหันถูกพับปิดลงมาโดยไม่ต้องการฟังอะไรอีกแล้วทั้งนั้น


หลิงฮันหัวเราะ หายากนักที่จะได้เห็นสุนัขตัวดำพ่ายแพ้ในการทะเลาะวิวาท


“ยี่ ยา ย่า!” เสี่ยวกู่เองก็หัวเราะเช่นกัน


“เจ้าคือหลิงฮัน?” ราชาเซียนรุ่นเยาว์ก้าวเดินเข้ามา เขาเป็นชายหนุ่มที่เยาว์วัยเป็นอย่างมาก จากที่ดูอายุของเขาสมควรอยู่ที่ไม่กี่พันปีเท่านั้นแต่กลับบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดแล้ว!


หลิงฮันชำเลืองมองพร้อมกับประหลาดใจเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ว่าออร่าของราชาเซียนรุ่นเยาว์ผู้นี้แตกต่างไปจากราชาเซียนคนอื่นๆ


อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่สมบูรณ์! เหมือนกับหานฉีก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายมาจากดินแดนแห่งเซียน


ไม่น่าแปลกใจที่อีกฝ่ายสามารถบรรลุเป็นราชาเซียนสูงสุดได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ ด้วยทรัพยากรบ่มเพาะในดินแดนแห่งเซียน ความเร็วในการบ่มเพาะจะไม่เป็นไปอย่างรวดเร็วได้อย่างไร? แต่เมื่อเทียบกับฮูหนิวแล้วอีกฝ่ายไม่อาจนับเป็นอันใด ฮูหนิวนั้นเพียงห้าปีก็บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งแล้ว


“ข้าคือหลิงฮัน เจ้ามีชื่อว่าอะไร?” หลิงฮันจ้องมองอีกฝ่าย


“ผางเฉิน” ราชาเซียนรุ่นเยาว์ผู้นั้นกล่าวด้วยท่าทางสูงส่ง


แน่นอนว่าเขาที่เป็นจอมยุทธจากดินแดนแห่งเซียนนั้น ชีวิตของทุกคนในที่นี้มีค่าไม่เท่านิ้วมือหนึ่งนิ้วของเขาเลยด้วยว้ำ หากไม่ใช่เพราะที่นี่มีสมุนไพรนิรันดร์และสตรีงดงามอย่างจักรพรรดินี เขามันเสียเวลาอยู่ที่นี่ทำไมตั้งห้าปี?


หลิงฮันอุทาน ‘โอ้’ ออกมาก่อนจะเลิกสนใจอีกฝ่าย


นี่เจ้า!


ผางเฉินเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที ท่าทางเช่นนั้นมันอะไร? เจ้าเป็นเพียงเซียนระดับสูงแท้ๆ ต่อหน้าข้ากล้าดีอย่างไรถึงทำตัวไม่แยแสเช่นนั้น?


หืม!


จู่ๆจิตใจของผางเฉินก็สั่นสะท้าน มีเซียนระดับสูงที่อายุน้อยขนาดนี้อยู่ได้อย่างไร!


เขาไม่สามารถระบุอายุที่แน่นอนของหลิงฮันได้ แต่จากพลังชีวิตอันร้อนระอุที่ไหลเวียนในร่างของหลิงฮันทำให้เขาพอคาดเดาได้ว่าพลังชีวิตของหลิงฮันนั้นยังไม่เกินพันปี!


ในโลกบรรพกาลที่สัตว์ประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วย?


เขารีบหันไปมองจักรพรรดินี สตรีงดงามหาใครเปรียบที่มีพลังบ่มเพาะอยู่ที่เซียนระดับกลางผู้นี้เองก็มีพลังต่อสู้ทัดเทียมกับราชาเซียนสูงสุด! นี่เกิดอะไรขึ้นกับโลกบรรพกาลกันแน่?


“สหายหลิง!” เหล่าราชาเซียนมากมายจากดินแดนต้องห้ามคำนับต้อนรับหลิงฮัน เมื่อพบว่าพลังบ่มเพาะของหลิงฮันก้าวสู่เซียนระดับสูงแล้ว พวกเขาก็ทั้งตกตะลึงและดีใจ


ที่ดีใจก็เพราะพวกเขาจะได้เข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนแล้ว และที่ตกตะลึงก็เป็นเพราะเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ปีหลิงฮันกลับทะลวงผ่านมาสู่ระดับพลังนี้ได้ซึ่งคิดแล้วก็เหมือนกับเรื่องเพ้อฝัน


หลิงฮันพยักหน้า เขากล่าวทักทายราชาเซียนทุกคนด้วยรอยยิ้มก่อนจะมองไปด้านหน้าและกล่าว “พวกเจ้าเก็บเกี่ยวสมุนไพรนิรันดร์ไม่ได้?”


“ไม่มีทางทำได้!” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก้าวเดินเข้ามาและกล่าวพูดด้วยสำเนียงที่เหมือนกับคนเฒ่าชรา


“เจ้าเป็นใคร?” หลิงฮันมองไปยังอีกฝ่าย


“ฮึ่ม ข้าคือจักรพรรดิเพลิงอัสนี!” รุ่นเยาว์ผู้นั้นคำรามอย่างไม่สบอารมณ์


หลิงฮันหัวเราะ “ไม่ได้เจอกันไม่กี่ปี เจ้าโตขึ้นเยอะเลย!”


“เหอะ ในยุคที่ข้าผู้นี้เหยียบย่ำไปทั่วโลกล้า เจ้ายังเป็นเพียงเด็กน้อยที่ไม่รู้จักวิธีดื่มนมด้วยซ้ำ” จักรพรรดิเพลิงอัสนีเค้นเสียงกล่าว


“ว่าแต่ ทำไม่ถึงไม่อาจเก็บเกี่ยวได้?” หลิงฮันกลับมาคุยเรื่องเดิม


“อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของอาณาเขตแถวนี้ทรงพลังเกินกว่าจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งจะต้านทานไหว” จักรพรรดิเพลิงอัสนีเองก็กลับมากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ตอนนี้อาจจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ทรงพลังขนาดนี้ย่อมสามารถเกิดการปะทุของพลังอำนาจได้ตลอดเวลา จากการคาดการณ์ของข้า แม้แต่ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะก็ไม่อาจต้านทานแรงระเบิดที่ว่าได้!”


หลิงฮันตกตะลึง ระดับขอบเขตตำหนักอมตะคือระดับพลังที่ทรงพลังเป็นอันดับสามในดินแดนแห่งเซียน เหนือจากระดับนี้มีเพียงระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้และระดับราชานิรันดร์ หากแม้แต่ตัวตนระดับระดับขอบเขตตำหนักอมตะก็ไม่อาจต้านทานแรงระเบิดของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในอาณาเขตนี้ได้ เช่นนั้นต้นตอของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์นี้ก็ต้องเป็นระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้เป็นอย่างน้อย


ในขณะเดียวกัน ใบหน้าของผางเฉินได้แปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง


เขาคือตัวตนอันสูงส่งที่มาจากดินแดนแห่งเซียนแท้ๆ เหตุใดทุกคนถึงได้ไปให้ความสนใจแต่หลิงฮันกัน แม้กระทั่งสตรีที่เขาชื่นชอบก็ด้วย


ฮึ่ม หากคนเหล่านี้ต้องการเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน คนที่พวกเขาสมควรประจบก็ต้องเป็นข้าคนนี้!


ผางเฉินเริ่มครุ่นคิด เขาจะบอกไปดีหรือไม่ว่าเขาไม่เพียงสามารถเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ แต่ยังเป็นทายาทของขุมอำนาจที่ทรงพลังในดินแดนแห่งเซียนอีกด้วย


เพียงแต่ต่อให้จะเป็นเขาก็ไม่กล้านำพาใครเข้าดินแดนแห่งเซียนไปด้วย ที่ดินแดนแห่งเซียนมีกฎเหล็กอยู่ หากเรื่องที่เขาพาใครเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนไปโดยไม่ได้รับอนุญาตถูกพบเจอ ตระกูลของเขาจะถูกขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ลบหายไปทันที!


เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขุมอำนาจระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ได้ส่งรุ่นเยาว์มาหาประสบการณ์ในโลกบรรพกาล รุ่นเยาว์ผู้นั้นพลาดทำสตรีคนหนึ่งตั้งครรภ์โดยไม่ตั้งใจ เขาใจโหดเหี้ยมทิ้งสตรีเอาไว้และพาเพียงแค่บุตรของตนเองกลับดินแดนแห่งเซียนไปด้วย ซึ่งหลังจากนั้นเป็นอย่างไร?


เรื่องที่ว่าบุตรของเขาเกิดในโลกบรรพกาลถูกแพร่งพราย ผลที่ตามมาคือตระกูลของเขาถูกลบหายไปเพียงชั่วข้ามคืน


ทั้งๆที่เป็นถึงขุมอำนาจระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้!


พวกจอมยุทธล้าหลังเหล่านี้ไม่รู้เสียแล้วว่าการแอบเข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนถือเป็นการฝ่าฝืนกฎอย่างร้ายแรง!

 

 

 


ตอนที่ 1664 ต้นกำเนิดแม่น้ำมหึมา

 

“ผลกายาเชื่อมสวรรค์!” จักรพรรดิเพลิงอัสนีกัดปาก “หากอายุของมันอยู่ในระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้ล่ะก็ มันจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่าสำหรับข้าอย่างมาก!”


หลิงฮันจดจ้องไปเบื้องหน้า ในอาณาเขตพื้นที่อันมืดทมิฬ ราวๆระยะที่ห่างออกไปสิบไมล์ได้มีพืชต้นหนึ่งเติบโตงอกขึ้นมา ทั่วทั้งต้นของมันปลดปล่อยแสงสว่างแห่งหยินหยางอันสว่างไสว


ผลกายาเชื่อมสวรรค์คือสมุนไพรที่สะสมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพีเอาไว้ ตามหลักแล้วมันสมควรเป็นสมุนไพรที่ล้ำค่ากว่าสมุนไพรชนิดใดๆ แต่แน่นอนว่าหากโชคร้ายก็อาจจะพบผลกายาเชื่อมสวรรค์ที่มีอายุไม่มากและสามารถช่วยยกระดับพลังถึงแค่ระดับโลกียนิพพาน


“ยี่ ยา ย่า!” เสี่ยวกู่เองก็มองไปยังพื้นที่มืดทมิฬ เพียงแต่เป้าหมายของมันไม่ใช่ผลกายาเชื่อมสวรรค์แต่เป็นระยะที่ห่างไกลออกไปอีก


อันที่จริง หลังจากระยะร้อยไมล์ไปแล้ว วิสัยทัศน์ของราชาเซียนทุกคนจะกลายเป็นเลือนลางและมองเห็นเพียงออร่าอันมืดมิดเท่านั้น


เมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวกู่ที่เปลี่ยนไป หลิงฮันก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ ดวงตาของมันส่องประกายมรกตและแสดงออกถึงความโกรธ


มันคำราม “ยี่ ยา ย่า” และพุ่งเข้าไป


หลิงฮันอยากห้ามแต่ก็ทำไม่ได้ หลังจากที่เขาเคลื่อนที่เข้าใกล้อาณาเขตสังหารพยายามห้ามเสี่ยวกู่ เขาก็สัมผัสได้ว่าออร่าสีดำทมิฬภายในนั้นเป็นภัยคุกคามต่อเขา


ร่างของเสี่ยวกู่พุ่งทะยานเข้าไปในอาณาเขตสังหารและเคลื่อนที่เข้าสู่ส่วนลึก


หลิงฮันค่อยๆก้าวถอยหลังกลับมา กายหยาบของเขาไม่อาจรับมือกับอาณาเขตสังหารตรงหน้าได้ แม้แต่ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะก็ยังอาจถูกสังหารด้วยอำนาจของอาณาเขตนี้ กายหยาบที่แค่เทียบได้กับแร่โลหะกึ่งนิรันดร์ครึ่งดาวของเขาจะทำอะไรได้?


อะไรกัน!


เหล่าราชาเซียนอุทานด้วยความตะลึงเนื่องจากเห็นร่างของเสี่ยวกู่ที่พุ่งเข้าไปลึกเกินกว่าหกถึงเจ็ดไมล์!


หากเป็นหมอนี่อาจจะเก็บเกี่ยวสมุนไพรนิรันดร์ได้ก็เป็นได้!


ทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง หากสมุนไพรถูกเก็บเกี่ยวพวกเขาก็ยังมีโอกาสที่จะแอบช่วงชิง


“ไม่!” แต่หลังจากนั้นไม่นานเหล่าราชาเซียนก็ร้องโอดครวญ


กายหยาบของเสี่ยวกู่เริ่มแหลกสลายเนื่องจากทนพลังทำลายของอาณาเขตสังหารไม่ไหว


หลิงฮันไม่กังวลอะไร กายหยาบของเสี่ยวกู่เป็นเพียงสิ่งที่สร้างขึ้นมา ร่างแท้จริงของมันคือกระดูกเพียงแท่งเดียว ตราบใดที่ร่างแท้จริงไม่ได้รับความเสียหาย เสี่ยวกู่ก็สามารถสร้างกายหยาบขึ้นมาใหม่


กล้ามเนื้อและอวัยวะต่างๆของเสี่ยวกู่ร่วงหล่นลงพื้นจนเหลือแต่กระดูก ถึงอย่างนั้นมันก็ยังวิ่งไปต่อได้


และแล้วเสี่ยวกู่ก็มาถึงระยะของสมุนไพร แต่ที่ไม่คาดคิดคือมันไม่หยุดแม้แต่เหลียวมองและยังคงวิ่งต่อไป


บ้าไปแล้ว!


ทุกคนกลายเป็นไร้คำพูด เจ้ายอมบาดเข็บสาหัวขนาดนั้นแต่กลับไม่เก็บสมุนไพรนิรันดร์ขึ้นมา? นี่เจ้าตาบอดหรืออย่างไร?


เสี่ยวกู่วิ่งไม่หยุด โครงกระดูกของมันค่อยๆร่วงลงกับพื้นที่ละท่อนจนสุดท้ายเหลืออยู่เพียงท่อนเดียวที่เป็นร่างแท้จริงของมัน ท่อนกระดูกใสราวกับหยกที่ส่องประกายเขียวมรกตเคลื่อนที่ต่อไปยังส่วนลึกอาณาเขตสังหาร


หลังจากระยะเกินกว่าร้อยไมล์ก็ไม่มีใครสามารถมองเห็นเสี่ยวกู่อีกต่อไป


ทุกคนหันมองหน้ากันด้วยสีหน้ามึนงง


หลิงฮันครุ่นคิด เสี่ยวกู่กับจอมยุทธในโลกแห่งนี้นั้นเป็นปฏิปักษ์กันราวกับน้ำและไฟ ซึ่งเหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะรูปแบบพลังบ่มเพาะของจอมยุทธเหล่านั้นมีต้นกำเนิดพลังมาจากแม่น้ำมหึมา


หากจะพูดให้ชัดเจนคือเสี่ยวกู่เป็นปฏิปักษ์กับบางสิ่งที่เป็นต้นกำเนิดของสายน้ำมหึมา


ซึ่งตอนนี้เสี่ยวกู่ก็กำลังไปที่นั่น!


ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากนี้เกิดอะไรขึ้น ทุกคนทำได้เพียงรอคอย


หลังจากผ่านไปสามวัน แสงสีเขียวมรกตก็ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคนจากระยะไกล เสี่ยวกู่ปรากฏตัวโดยมีแสงมรกตปกคลุมร่างเอาไว้ แน่นอนว่าสภาพของมันในตอนนี้ยังมีเพียงกระดูกท่อนเดียวเหมือนเดิม


มันวิ่งมาหาหลิงฮันก่อนจะหยุดนิ่งสร้างกายหยาบกลับมาเหมือนเดิม “ยี่ ยา ย่า” มันกล่าวด้วยเสียงอ่อนแรงพร้อมกับหมดสติ


เสี่ยวกู่ไปถึงต้นตอของแม่น้ำมหึมาได้? หากเป็นแบบนั้นจริง ที่นั่นมันพบกับอะไรกันแน่ถึงได้ตกอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าเช่นนี้?


ทุกคนรู้สึกสงสัย แน่ในเมื่อเสี่ยวกู่หมดสติไปแล้วจึงไม่มีใครเอ่ยถามอะไร


หลิงฮันพูดคุยกับหอคอยน้อย “เจ้ารู้รึเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?”


หอคอยน้อยแน่นิ่งไปชั่วครู่และกล่าว “รูปแบบบ่มเพาะพลังที่แตกต่างเช่นนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน รูปแบบพลังบ่มเพาะที่แตกต่างย่อมสอดคล้องกับสวรรค์และปฐพีที่แตกต่าง ช่างแปลกประหลาดนัก”


“เจ้าสามารถใช้อำนาจของหอคอยทมิฬพาเข้าไปยังอาณาเขตสังหารนั่นได้หรือไม่?” หลิงฮันถาม


“หากเจ้าคิดว่าตัวเองอายุยืนมากพอแล้วจะลองดูก็ได้” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่แยแสเหมือนเคย


หลิงฮันไม่เก็บมาคิดมากและถามต่อ “เจ้ามองพลังลึกลับของเสี่ยวกู่ออกรึเปล่า?”


หอคอยน้อยแน่นิ่งอีกครั้งก่อนจะกล่าว “หากให้คาดเดามันจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับราชานิรันดร์ไม่ผิดแน่ แต่จะเกี่ยวข้องอย่างไรนั้นข้าเองก็ไม่แน่ใจ เพราะอย่างไรพลังของข้าก็ยังฟื้นฟูกลับมาไม่สมบูรณ์”


เกี่ยวข้องกับราชานิรันดร์!


หลิงฮันชะงักก่อนจะพยักหน้า จักรพรรดิเพลิงอัสนีกล่าวเอาไว้ว่าอำนาจของออร่าทมิฬในอาณาเขตสังหารนั้นสามารถสังหารได้แม้แต่ตัวตนระดับขอบเขตตำหนักอมตะ ซึ่งก็เป็นไปได้สูงมากว่าออร่าทมิฬนั้นจะเป็นอำนาจระดับราชานิรันดร์ และการที่เสี่ยวกู่เข้าไปภายในอาณาเขตสังหารได้ย่อมหมายความว่ามันก็ต้องมีอำนาจระดับราชานิรันดร์เช่นกัน


สามวันต่อมา ในที่สุดเสี่ยวกู่ก็ฟื้น


“ยี่ ยา ย่า!” มันกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงราวกับว่าลืมเรื่องราวก่อนหน้านั้นไปเสียสนิท


“เสี่ยวกู่ เจ้าพบเห็นอะไรภายในนั้น?” หลิงฮันเอ่ยถาม


เสี่ยวกู่พูดได้แต่ ‘ยี่ ย่า ย่า’ วนไปมาซึ่งผ่านไปนานพอสมควรก็ไม่ได้เรื่องอะไร


“ข้าอยากจะกัดเจ้าหมอนั่นจริงๆ!” สุนัขตัวดำพึมพำ แม้จะพูดแบบนั้นแต่จริงๆแล้วมันก็ไม่กล้า เพราะมันเห็นแล้วว่าเสี่ยวกู่น่าสะพรึงกลัวขนาดไหน


หลิงฮันครุ่นคิดชั่วครู่ “เสี่ยวกู่ เจ้าทำแบบนี้ได้รึไม่?” เขาดึงความทรงพลังบางส่วนของตนเองออกมาและแสดงออกเป็นภาพ


“ยี่ ยา ย่า!” เสี่ยวกู่รีบพยักหน้า มันขยับนิ้วตามหลิงฮันและดึงความทรงจำของมันออกมาเป็นภาพ


“ไปอีกนิด”


“ข้ามอีกหน่อย”


ผ่านไปไม่นานภาพความทรงจำในช่วงที่เสี่ยวกู่ผ่านเข้าไปในออร่าทมิฬก็ปรากฏให้เห็น หลิงฮันไม่กล่าวอะไรต่อและตั้งสมาธิจดจ้องไปยังภาพความทรงจำ


คนอื่นๆเองก็เช่นกัน พวกเขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากว่าภายในออร่าทมิฬมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่? ต้นกำเนิดของแม่น้ำมหึมาคืออะไร? เหตุใดพลังจากแม่น้ำถึงสามารถหล่อเลี้ยงให้เกิดจอมยุทธที่ทรงพลังได้มากมายแถมยังมีรูปแบบบ่มเพาะพลังที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย


ภาพที่ปรากฏให้เห็นคือเสี่ยวกู่กำลังวิ่งเข้าไปในออร่าทมิฬ ร่างของมันเหลือเพียงกระดูกแท่งเดียวซึ่งได้ปลดปล่อยแสงมรกตออกมาต้านทานอำนาจกัดกร่อนของออร่าทมิฬ


เพียงแต่ว่ายิ่งเข้าไปลึกการเคลื่อนไหวของเสี่ยวกู่ก็เริ่มช้าลง ดูเหมือนว่าออร่าทมิฬจะสร้างแรงกดดันให้มันอย่างหนักหน่วงจริงๆ


ในจังหวะที่เสี่ยวกู่ไม่สามารถขยับตัวได้อีกต่อไปมันก็มาจุดสิ้นสุดของแม่น้ำพอดี เบื้องหน้าของมันปรากฏร่างขนาดมหึมา


ร่างนั้นคือ… ซากศพ!

 

 

 


ตอนที่ 1665 ส่งสมุนไพรนิรันดร์มา!

 

มันศพของยักษ์ที่มีรูปลักษณ์ใกล้เคียงมนุษย์มาก แต่ดวงตาสองข้างของมันนั้นค่อนข้างกว้างเล็กน้อยจนแทบจะชิดติดเข้าหากัน


ผิวหนังของเขาเป็นสีทองประกายราวกับโลหะและมีอักขระสีดำประทับอยู่บนร่าง ไม่ว่าจะเป็นอักขระใดบนร่างของเขาก็ราวกับมีพลังอำนาจที่สามารถบดขยี้ชั้นสวรรค์และสรรพสิ่ง


รอบกายของเขามีออร่าทมิฬอันไร้ที่สิ้นสุดถูกปลดปล่อยออกไป นอกจากนั้นโลหิตที่ไหลออกจากศพของเขาก็ได้กลายเป็นต้นกำเนิดพลังของแม่น้ำมหึมาแห่งนี้


หรือก็คือศาสตร์วรยุทธในดินแดนแห่งนี้มีรากฐานมาจากศพตนนี้!


น่าอัศจรรย์นัก แค่ดื่มน้ำจากแม่น้ำที่มีเจตจำนงยุทธอันน้อยนิดของยักษ์ตนนี้กลับสามารถถือกำเนิดเป็นรูปแบบบ่มเพาะพลังแบบใหม่ได้


ยิ่งกว่านั้นเขตแดนลี้ลับแห่งนี้คงอยู่มานานเท่าไหร่แล้ว?


จากประวัติศาสตร์ที่สืบทอดกันมา ระยะเวลาได้ผ่านมาแล้วถึงแสนล้านปี!


ใช่แล้ว เวลาผ่านผ่านมาอย่างน้อยก็แสนล้านปี แต่โลหิตของยักษ์ตนนี้ก็ยังไหลออกมาไม่หยุด


ภาพความทรงจำถัดมาคือภาพของเสี่ยวกู่ที่ล่าถอยวิ่งกลับออกไปโดยไม่ได้ทำอะไร


เหล่าราชาเซียนกลายเป็นไร้คำพูด แม้แต่ผางเฉินก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเรื่องอัศจรรย์ขนาดนี้จะเกิดขึ้นที่นี่


ต้องรีบกลับไปแจ้งตระกูลโดยเร็ว บางทียักษ์ตนนั้นอาจจะเป็นราชานิรันดร์ที่ร่วงหล่น


ทักษะบ่มเพาะระดับราชานิรันดร์!


แววตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง หากได้ครอบครองทักษะบ่มเพาะระดับราชานิรันดร์ พลังของตระกูลผางจะทะยานขึ้นสูงเสียดฟ้ากลายเป็นขุมอำนาจสามดาว สี่ดาวหรืออาจจะห้าดาวและมีเชื้อสายภายในตระกูลที่กลายเป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ในที่สุด


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “เสี่ยวกู่ เจ้าไปหยิบสมุนไพรนั่นกลับมาได้รึเปล่า?” เขาชี้ไปยังผลกายาเชื่อมสวรรค์


“ยี่ ยา ย่า!” เสี่ยวกู่ไม่รอช้า มันรีบวิ่งไปขุดผลกายาเชื่อมสวรรค์ขึ้นมาและนำกลับมามอบให้หลิงฮัน


ทุกคนที่มองอยู่แทบจะทุกคนอยากอุทานออกมาว่า “เจ้าโง่”


เจ้าไม่รู้รึไงว่านั่นคือสมุนไพรนิรันดร์!


สมุนไพรนิรันดร์!


เจ้ามอบให้คนอื่นง่ายๆเช่นนั้นเลย? นี่เจ้าต้องโง่ถึงขนาดไหนถึงได้ไม่รู้ความล้ำค่าของสมุนไพรต้นนั้น?


“ส่งสมุนไพรนิรันดร์มา!” จู่ๆผางเฉินก็คำรามและจดจ้องมายังหลิงฮัน


เขาต้องการออกจากเขตแดนลี้ลับเพื่อไปรายงานเรื่องนี้ให้ประมุขตระกูลทราบ แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องชิงสมุนไพรนิรันดร์มาให้ได้เสียก่อน


หากรอจนถึงตอนที่ประมุขตระกูลมาถึงโลกบรรพกาล ต่อให้ผลกายาเชื่อมสวรรค์จะยังไม่ถูกหลิงฮันกินเข้าไป แต่มันก็ย่อมตกไปอยู่ในมือของประมุขตระกูลไม่ได้ตกมาอยู่ในมือของเขา


แต่ตราบใดที่เขาแย่งชิงผลกายาเชื่อมสวรรค์มาได้ก่อนและสังหารทุกคนทิ้งซะ ใครจะรู้ว่าเขาเป็นคนเอาไป?


“ใช่แล้ว ส่งมาซะ มันเป็นของนายท่านหมาผู้นี้!” สุนัขตัวดำไม่ลืมที่จะเข้าร่วมสนุกด้วย


“ถ้าจะมอบให้ใคร คนนั้นก็ต้องเป็นข้า” จักรพรรดิเพลิงอัสนีไม่ยอมน้อยหน้า


การแทรกแซงของทั้งสองคนทำให้คำพูดของผางเฉินดูราวกับเป็นเรื่องตลก


ผางเฉินเค้นเสียงไม่สบอารมณ์และยกฝ่ามือผลักเข้าใส่สุนัขตัวดำกับจักรพรรดิเพลิงอัสนี “หุบปาก!”


สุนัขตัวดำกับจักรพรรดิเพลิงอัสนีรีบหลบทันที ทั้งสองเพิ่งจะบรรลุเป็นเซียนระดับกลาง ซึ่งยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะปะทะกับราชาเซียนสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผางเฉินที่มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันสมบูรณ์ที่ทรงพลังราชาเซียนทั่วไป


“ส่งมา!” ผางเฉินคำรามอีกครั้งและโจมตีใส่หลิงฮัน


“อย่าได้ล้ำเส้นเกินไป!” ราชาเซียนชิงอวี่และปรมาจารย์คนอื่นๆลงมือ พวกเขายืนอยู่ข้างเดียวกับหลิงฮันย่อมต้องช่วยเหลือหลิงฮัน


“ฝูงแมลงตัวจ้อยคิดจะต่อต้านข้า?” ผางเฉินแสยะยิ้ม ‘ปัง ปัง ปัง’ เขากระหน่ำปล่อยหมัดออกไปจนราชาเซียนชิงอวี่และคนอื่นๆต้องล่าถอยอย่างช่วยไม่ได้


ไม่ใช่ว่าผางเฉินเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น แต่ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขานั้นสมบูรณ์จึงไม่แปลกที่เขาจะมีพลังต่อสู้ที่ทรงพลังกว่า


ราชาเซียนชิงอวี่และคนอื่นๆตกตะลึง แม้ผางเฉินจะเคยลงมือมาก่อนหน้านี้แล้วก็จริง แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เอาจริง กลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วเขาทรงพลังถึงเพียงนี้


ผางเฉินก้าวเดินขึ้นหน้าก่อนจะพบกับจักรพรรดินีที่ยืนขวางอยู่และจดจ้องมาที่เขาด้วยท่าทางเหยียดหยามราวกับต้องการสื่อว่า ‘ไสหัวไป’


เขาเค้นเสียงไม่แยแส จริงอยู่ที่จักรพรรดินีงดงามมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจพานางกลับไปยังดินแดนแห่งเซียนด้วยกันได้ อย่างมากเขาก็สามารถเล่นสนุกกับนางได้แค่ที่นี่เท่านั้น


เมื่อคิดได้เช่นนี้ผางเฉินก็หมดความอดทนที่จะตามตื้อจักรพรรดินีทันที โดยเฉพาะหลังจากการปรากฏตัวของหลิงฮัน เขาก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าต่อให้หว่านล้อมนางอย่างไรก็ไม่มีทางสำเร็จ


“หล่วนซิง เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า หลบไป!” ผางเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“รนหาที่ตาย!” จักรพรรดินีลงมือ ร่างแยกทั้งเก้าของนางปรากฏออกมาและโคจรทักษะนิรันดร์โจมตีพร้อมกัน ทักษะแยกร่างของนางน่าสะพรึงยิ่งกว่าทักษะกายาแสงตะวันทองคำไร้เทียมทานเสียอีก หลิงฮันสามารถเพิ่มแขนขึ้นมาได้สี่แขน แต่จักรพรรดินีสามารถแยกร่างที่เหมือนร่างจริงได้ถึงเก้าร่าง


แต่ทักษะของนางเป็นถึงทักษะระดับราชานิรันดร์ หากไม่ทรงพลังระดับนี้ก็กระไรอยู่


‘ตูมม’ ทักษะระดับนิรันดร์มากมายโหมกระหน่ำเข้าใส่ผางเฉินราวกับคลื่นยักษ์


ผางเฉินตกตะลึงกับพลังต่อสู้ของจักรพรรดินีเป็นอย่างมาก แต่ด้วยการที่เขาเป็นถึงราชาเซียนสูงสุด ย่อมไม่มีทางหวาดกลัวเซียนระดับกลาง


ที่เขาตกตะลึงคือ ขนาดตัวเขาได้เปรียบในระดับพลังที่สูงกว่าถึงสองขั้นใหญ่ กลับมีพลังต่อสู้เหนือกว่าจักรพรรดินีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นคือหนึ่ง จักรพรรดินีบ่มเพาะทักษะระดับราชานิรันดร์ทำให้พลังต่อสู้ของนางเหนือกว่าจอมยุทธระดับเดียวกัน สองคือเพราะนางบรรลุระดับวารีนิรันดร์ด้วยจำนวนดวงดาวสิบล้านดวง สิ่งนี้ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้พลังต่อสู้ของนางเหนือกว่าจอมยุทธระดับเดียวกัน


“ข้ายอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่ง แต่เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ค่อสู้ของข้า!” ผางเฉินกล่าวเย็นชา แม้จะเล็กน้อย แต่ระดับพลังที่ต่างกันถึงสองขั้นย่อยก็ยังทำให้เขาเป็นฝ่ายเหนือกว่าอยู่ดี


จักรพรรดินีคร้านจะพูดตอบโต้ แม้พลังต่อของนางจะด้อยกว่า แต่อย่าลืมว่าร่างทั้งสิบของนางสามารถแบ่งเบาความเสียหายที่ถูกโจมตีได้ เปรียบแล้วก็เหมือนนางมีพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดาว


นางจะชนะการต่อสู้ได้รึเปล่ายังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือนางไม่แพ้เด็ดขาด


“ภรรยาข้า ให้ข้าลงมือเอง” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

 

 


ตอนที่ 1666 ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้น...

 

จักรพรรดินีหยุดมือทันที นางหันไปยิ้มให้กับหลิงฮันด้วยสีหน้าที่ราวกับบุปผานับพันกำลังเบ่งบาน


หลิงฮันทนไม่ไหวและรีบก้าวไปโอบกอดดึงเอวของจักรพรรดินีเข้ามาจูบ


ใบหน้าของผางเฉินเปลี่ยนเป็นมืดมน “พอรึยัง?”


หลิงฮันไม่แยแส เขายังคงจูบอย่างดูดดื่มกับภรรยาต่อไป


“ฮึ่ม!” ผางเฉินคำรามและทะยานร่างเข้าโจมตีหลิงฮัน


หลิงฮันไม่แม้แต่เงยหน้ามอง ‘พรึบ’ เขาสะบัดนิ้วลวกๆปลดปล่อยปราณดาบที่รุนแรงราวกับจะสะบั้นท้องฟ้าจนขาด


สีหน้าของผางเฉินเปลี่ยนไปทันทีและรีบใช้พลังทั้งหมดคุ้มกันตนเอง ร่างของเขาปลดปล่อยแสงสลัวสีทองสร้างเป็นโล่เบื้องหน้า บนโล่ทองคำมีคำว่า ‘ผาง’ สลักเอาไว้


‘ตูม’ เมื่อปราณดาบปะทะเข้าใส่โล่สีทอง โล่ก็ถูกผ่านออกเป็นสองท่อนทันที ปราณดาบยังไม่เสื่อมอำนาจและพุ่งทะยานเข้าใส่หน้าอกของผางเฉิน โลหิตสาดกระจายพร้อมกับร่างของผางเฉินที่ถูกทำให้ล่าถอยสิบเจ็ดฟุต


‘อั่ก’ ผางเฉินกระอักโลหิตด้วยใบหน้าซีดเผือด


เขาจ้องมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าราวกับเห็นผี


ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี เซียนระดับสูงสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ได้อย่างไร?


อย่าบอกนะ!


จิตใจของเขาสั่นสะท้าน หรือว่ารุ่นเยาว์ตรงหน้าเขาจะบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งด้วยจำนวนดวงดาวสิบล้านดวง? หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้แล้ว ด้วยความแตกต่างของระดับพลังหนึ่งขั้น เขาก็ไม่สมควรพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถเช่นนี้!


ไม่สิ… สตรีผู้นั้นก็ด้วย!


เขาหันไปมองจักรพรรดินี สตรีงดงามหาใครเปรียบผู้นี้ก็สมควรทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่งด้วยดวงดาวสิบล้านดวงเช่นกัน เพราะงั้นนางถึงได้แข็งแกร่งพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้


เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกราชาเซียนชิงอวี่ก็แทบจะคุกเข่า


เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ เมื่อใดที่หลิงฮันบรรลุเป็นเซียนระดับสูง ในโลกบรรพกาลจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกต่อไป


ผางเฉินกัดฟัน ความยั่วยวนของสมุนไพรนิรันดร์นั้นมีมากจนเขาไม่ยินยอมที่จะปล่อยมือไปง่ายๆ เขารีบนำจี้หยกออกมาและกล่าวอย่างโหดเหี้ยม “หากไม่อยากตายก็จงมอบสมุนไพรนิรันดร์มา ไม่เช่นนั้น ตราบใดที่ข้าทำลายจี้หยกเส้นนี้ทุกคนในเขตแดนลี้ลับจะตายกันทั้งหมด!”


เขากล่าวของเขาไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย จี้หยกเส้นนี้คือสมบัติที่เขาได้รับมาจากผู้อาวุโสของตระกูล เมื่อจี้หยกถูกทำลาย คลื่นพลังทำลายอันน่าสะพรึงที่รุนแรงเกือบเท่ากับการโจมตีของตัวตนAnchorระดับโลกียนิพพานจะปะทุออกมา ไม่ว่าหลิงฮันจะเป็นราชาเซียนที่ทรงพลังขนาดไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังทำลายกึ่งระดับโลกียนิพพาน เขาก็มีโชคชะตายก็แหลกสลายกลายเป็นฝุ่น


“โอ้ มันคืออะไรรึ?” หลิงฮันเอ่ยถามด้วยท่าทางสนใจ


ผางเฉินแทบจะบ้าคลั่ง นี่ใช่เวลาสนใจว่าสิ่งนี้คืออะไรรึไง? เขากล่าวด้วยน้ำเสียงกึกก้อง “อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ นี่คืออาวุธต้องห้ามที่จะบดขยี้ทุกสรรพสิ่งภายใต้ระดับโลกียนิพพาน!”


“เจ้าจะพูดอะไรก็พูดได้ แต่ข้าจำเป็นต้องเชื่อ?” หลิงฮันส่ายหัว


ฮึ่ม!


ปากของผางเฉินกระตุก ความจริงเขาไม่ได้อยากใช้อาวุธลับชิ้นนี้เลยเนื่องจากเมื่อใดที่พลังของมันระเบิดออกมา ไม่เพียงแค่หลิงฮันที่จะตาย แต่จักรพรรดินีเองก็เช่นกัน เขารู้สึกไม่เต็มใจเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะหาสตรีที่งดงามขนาดนี้ได้อีกรึไม่


“หลิงฮัน!” ราชาเซียนชิงอวี่และคนอื่นๆตะโกนเรียกสติ ฟังจากน้ำเสียงแล้วผางเฉินไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน


“ถ้าเจ้ากล้าก็เชิญเลย” หลิงฮันยังคงกระตุ้นยุแหย่ผางเฉิน


ท้ายที่สุดผางเฉินก็ทนไม่ไหว หากเขาจำกัดหลิงฮันไม่ได้เขาก็ไม่มีทางได้ตัวจักรพรรดินี ในเมื่อเขาไม่อาจได้ครอบครองนาง คนอื่นก็ไม่มีทางได้ครอบครองเช่นกัน! ‘เพล๊ง’ เขาทำลายจี้หยกในมือทันที


‘มิติเอกเทศ’ หลิงฮันผลักฝ่ามือออกไป ทันใดนั้นร่างของผางเฉินก็หายไปในพริบตา


แต่นั่นก็แค่ชั่วครู่ ‘ตูมมม’ คลื่นพลังระเบิดออกกลางอากาศที่ว่างเปล่าแพร่กระจายไปทั่วทิศทาง เพียงแต่ว่าพลังของคลื่นระเบิดนั้นเหลืออยู่ไว้แค่ในระดับที่ราชาเซียนต้านทานไหว


เหตุผลที่เป็นเช่นนี้นั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ผางเฉินและจี้หยกถูกส่งไปยังมิติเอกเทศพร้อมกัน โดยที่คลื่นพลังทำลายส่วนใหญ่ได้ระเบิดไปในมิติเอกเทศแล้ว เมื่อมิติเอกเทศสลายตัวพลังทำลายที่ยังหลงเหลือจากจี้หยกจึงลดลงไปมาก


ในทางกลับกัน ผางเฉินนั้นแต่เดิมได้เป็นแกนกลางของคลื่นระเบิด ซึ่งหากในสถานการณ์ปกติเขาไม่สมควรได้รับผลกระทบจากพลังของจี้หยกไปด้วย เพียงแต่ว่าเมื่อถูกส่งตัวไปอยู่ในมิติเอกเทศ คลื่นพลังของจี้หยกก็ได้เกิดการหดตัวและสะท้อนกลับ ผลลัพธ์จึงกลายเป็นว่าเขาได้พบกับความพินาศไปด้วย


ตอนนี้เขาได้ตายไปแล้ว โดยที่กระดูกสักท่อนก็ไม่เหลือ


ดั่งคำที่ว่าผลกรรมคืนสนอง!


ราชาเซียนชิงอวี่และคนอื่นกลายเป็นไร้คำพูด จบง่ายๆแบบนี้น่ะรึ?


หลงฮันเผยรอยยิ้มและกล่าว “เรื่องทุกอย่างจบแล้ว ทุกคนเตรียมตัวกลับกันได้”


เซียนทุกคนพยักหน้าด้วยสีหน้าอ้างว้างราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง ผ่านไปครู่หนึ่งทุกคนถึงจะเรียกสติกลับมาได้ ในเมื่อหลิงฮันบรรลุเป็นเซียนระดับสูง… งั้นก็เข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้แล้ว!


พวกเขารีบกล่าวทันทีว่าจะรีบกลับไปยังดินแดนต้องห้ามเพื่อเตรียมตัวเพื่อนำสมาชิกตระกูลคนอื่นๆมาหาหลิงฮันให้ไวที่สุด


หลิงฮันตอบทุกคนไปว่าไม่จำเป็นต้องรีบ เขาต้องการอยู่ในโลกบรรพกาลต่ออีกอย่างน้อยสิบปี


ทำไมน่ะรึ? เขาต้องการรวบรวมหยดสายฟ้าสวรรค์จำนวนมากก่อนที่จะจากไป


ในตอนที่พวกเขาเดินทางกลับ ตระกูลเถี้ยนได้รับรู้ว่าสมุนไพรนิรันดร์ได้ถูกเก็บเกี่ยวไปแล้วแต่ก็ไม่มีใครกล้ากล่าวอะไรออกมา ด้วยชื่อเสียงของหลิงฮันในตอนนี้ ใครจะกล้าช่วงชิงสิ่งของในกระเป๋าหลิงฮัน?


สองวันต่อมา เหล่าคนนอกทุกคนก็กลับออกจากตระกูลเถี้ยนมายังตระกูลหย่วนที่จุดเริ่มต้น ตราบใดที่ไม่ใช่จอมยุทธระดับราชาเซียนสูงสุด พวกเขาสามารถบ่มเพาะพลังที่นี่ต่อได้ ด้วยพลังวิญญาณอันหนาแน่นของที่นี่ความเร็วในการสะสมพลังปราณจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว


ราชาเซียนทุกคนออกมาจากเขตแดนลี้ลับ พวกเขาต้องรีบไปเตรียมตัวเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน


หลิงฮันเองก็ออกมาเช่นกัน เขาต้องการกลับไปยังจักรวรรดิต้าหลิงเพื่อคัดเลือกคนที่จะเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนไปพร้อมกัน


การเดินทางกลับครั้งนี้มีเพียงจักรพรรดินีที่มากับเขาด้วย จักรพรรดินีนั้นบรรลุเซียนระดับกลางสูงสุดแล้ว นางไม่จำเป็นต้องสะสมพลังปราณ สิ่งที่นางต้องทำคือการขัดเกลาวิถีแห่งเต๋าของระดับพลังบ่มเพาะด้วยต้นสังสารวัฏ


จักรพรรดินีเก็บตัวอยู่ในหอคอยทมิฬในขณะที่หลิงฮันปลดปล่อยคลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองมุ่งหน้าสู่จักรวรรดิต้าหลิง


นี่คือครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้อยู่ในจักรวรรดิต้าหลิง กว่าจะได้มาอีกครั้ง ก็คงเป็นตอนที่เขากลับออกมาจากดินแดนแห่งเซียน

 

 

 


ตอนที่ 1667 เลี้ยงฉลอง

 

ด้วยความเร็วของหลิงฮันในตอนนี้ ดาวเหอหนิงไม่นับว่าอยู่ไกลมากนัก หลังบรรลุเป็นเซียนระดับสูง ขีดจำกัดของแสงอัสนีก็ยกระดับสูงขึ้น แม้ความเร็วของทักษะจะยังเท่าเดิมแต่ระยะเวลาในการคงสภาพของทักษะนั้นเพิ่มมากขึ้น


แต่เดิมที่คาดการณ์ว่าจะถึงดาวเหอหนิงในหนึ่งปี เขาย่นระยะเวลาลงมาได้เหลือเก้าเดือน


เมื่อกลับมาถึงจักรวรรดิต้าหลิง หลิงฮันไม่ได้แสดงตัวให้เป็นเรื่องเอิกเกริก เพียงแต่เมื่อพี่ชายของเขาอย่างเฟิงโปหยุนและคนอื่นๆรู้ว่าเขาบรรลุเป็นเซียนแล้ว พวกเขาก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมากและจัดงานเลี้ยงฉลองให้แก่พวกเขา หลังจากข่าวเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ปรมาจารย์จากดวงดาวใกล้เคียงก็รีบมาหาทันที เหตุผลแรกที่มาคือพวกเขาอยากจะยืนยันให้แน่ใจด้วยตัวเอง สองคือใครบ้างจะกล้าไม่มา


หากไม่มาร่วมแสดงความยินดีด้วยไม่เท่ากับว่าพวกเขาไม่ไว้หน้าเซียนรึไง?


งานเลี้ยงจำเป็นต้องมีการเตรียมการ หลิงฮันจึงใช้เวลาช่วงนี้เตรียมตัวย้ายถิ่นฐาน


แน่นอนว่าหลิงฮันไม่ได้เชื่อใจทุกคน นอกจากสหายสนิทแล้วเขาไม่สามารถยอมให้คนอื่นๆล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของหอคอยทมิฬได้ เพราะเหตุนี้หลิงฮันถึงต้องเริ่มสร้างอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถึงเวลาเขาก็แค่นำคนอื่นๆเข้าสู่อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ซึ่งเขาไม่ได้คิดจะพาคนเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนไปกับเขามากเท่าไหร่


ห้าวันต่อมา เหล่าปรมาจารย์ของจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะก็มาถึงเป็นกลุ่มแรก ทั้งผู้อาวุโสซ้ายขวาและแม่ทัพคนอื่นๆนั้น ในอาณาเขตดวงดาวแห่งนี้พวกเขาคือตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด แต่วันนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮัน พวกเขาไม่สามารถทำได้แม้แหงนหน้ามอง


เซียน… คือตัวตนที่ไม่ต่างอะไรจากมังกรที่ทะยานผ่านเก้าชั้นสวรรค์!


การกลับมาของหลิงฮันคราวนี้ยิ่งทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายรู้สึกเสียใจยิ่งขึ้นไปอีก ในตอนแรกเขาเป็นคนกล่าวเตือนหลิงฮันเองว่าอย่าได้ใกล้ชิดบุตรสาวของตนเกินไป หากเขารู้ก่อนว่าหลิงฮันจะกลายเซียนล่ะก็มีรึที่เขาจะทำเรื่องเช่นนั้น?


ไม่เช่นนั้นตอนนี้เขาคงได้เป็นพ่อตาของเซียนไปแล้ว


เพียงแต่สิ่งที่เขาไม่รู้สึกความสัมพันธ์ระหว่างหลิงฮันกับหลี่เหว่ยเหว่ยนั้นคือมิตรสหายอันบริสุทธิ์ที่ไม่มีความรักใดๆเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเองที่เข้าใจผิด หลี่เหว่ยเหว่ยยังคงปฏิบัติกับหลิงฮันอย่างเคย เมื่อมาถึงนางได้ตะโกนออกมา “หลิงฮัน! หลิงฮัน!”


“เจ้า!” ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายใบหน้าเปลี่ยนสี เขารีบคว้าร่างบุตรสาวตนเองเอาไว้ทันที “อีกฝ่ายคือเซียน เจ้าต้องคารวะอย่างนอบน้อม!”


หลี่เหว่ยเหว่ยบุ้ยปาก นางรู้สึกว่าหลิงฮันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเสียหน่อยทำไมนางต้องคารวะเขาด้วย? แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของบิดา ดูจากสีหน้าของบิดานางในตอนนี้ หากนางยังเรียกหลิงฮันแบบเดิมอีกครั้ง บิดาของนางคงหมดสติเป็นแน่


ในขณะที่นางกำลังจะโค้งตัวคารวะ หลิงฮันก็ได้เดินเข้ามาหานางและยื่นมือออกมาเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าไม่จำเป็น


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เจ้าจะสุภาพกับข้าไปเพื่ออะไร?”


“ใช่แล้ว!” หลี่เหว่ยเหว่ยที่ไม่ได้ต้องการคารวะอยู่แล้วก็รีบคว้าโอกาสไว้ทันที


หลิงฮันหัวเราะ กับมิตรสหายแล้วเขาย่อมไม่คิดอะไรมาก


จื่อหยุนเอ๋อเองก็มาเช่นกัน นางทักหลิงฮันด้วยรอยยิ้ม ในหมู่สามสตรีงามแห่งเมืองจักพรรดิ มีเพียงนางกับหลี่เหว่ยเหว่ยที่ยังไม่แต่งงาน ยิ่งด้วยการที่ทั้งสองสนิทสนมกับหลิงฮันด้วยแล้ว ขุมอำนาจมากมายจึงมีความคิดอยากให้พวกนางแต่งเข้าตระกูลเป็นอย่างมาก


หากแต่งงานกับทั้งสองได้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของหลิงฮันไปด้วยหรอกรึ?


แน่นอนว่าพวกเขาทำได้เพียงแค่คิดและไม่มีใครกล้ายุ่งกับพวกนางจริงๆ เพราะกลัวว่าหลิงฮันกับสตรีทั้งสองจะมีสายสัมพันธ์บางอย่างที่พวกเขาไม่รู้ หากทั้งสองเป็นคนรักของหลิงฮัน ขุมอำนาจของพวกเขาคงจบสิ้น


ครึ่งเดือนต่อมา เหล่าปรมาจารย์จากดาวดวงอื่นก็มาถึง และอีกครึ่งเดือนงานเลี้ยงฉลองก็เริ่มขึ้น


หลิงฮันนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุดโดยมีผู้คนนับแสนแหงนมอง ข้างกายเขามีพี่ชายทั้งสองอย่างเฟิงโปหยุนและมู่หลงชิงนั่งขนาบ ลุงฝั่งมารดาของเขาอย่างเย่วเซิงฉางและญาติพี่น้องอย่างเย่วไค่หยู่ก็นั่งอยู่ข้างๆเช่นกัน


ทั้งสองคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในตอนแรกหลิงฮันเป็นราชาของทวีปฮงเทียนที่เปิดสวรรค์นำพาทุกคนขึ้นสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลิงฮันจะกลายเป็นตัวตนไร้เทียมทานที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ แถมตอนนี้ก็กำลังจะย้ายเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน!


ดินแดนแห่งเซียน… ดินแดนที่สามารถมีอายุขัยอันเป็นนิรันดร์!


“หลิงฮัน!” จักรพรรดินีเอ่ยคำพูดผ่านสัมผัสสวรรค์หาหลิงฮันจากภายในหอคอยทมิฬ


หลิงฮันนำของจักรพรรดินีออกมา


“น้องสะใภ้!” เฟิงโปหยุนและมู่หลงชิงกล่าวทักทาย พวกเขารู้ว่าจักรพรรดินีเก็บตัวอยู่ในหอคอยทมิฬ เย่วไค่หยู่เองก็กล่าวทักทายโดยที่ไม่กล้าเหลือบมอง น้องสะใภ้ของเขาคนนี้งดงามเกินไป


จักรพรรดินีพยักหน้า หากไม่ใช่เพราะทั้งสามคนเป็นพี่ชายของหลิงฮัน ด้วยนิสัยหยิ่งยโส นางคงไม่มีกล่าวตอบ


“จะทะลวงผ่าน?” หลิงฮันถาม


“อืม” จักรพรรดินีพยักหน้า “เดี๋ยวข้ากลับมา” นางก้าวเท้าพุ่งทะยานขึ้นสู่ห้วงอวกาศ ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของนางเองก็น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ในการทะลวงผ่านเซียนระดับสูงของนางรุนแรงยิ่งกว่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของราชาเซียนคนอื่นๆเสียอีก หากไม่รีบออกจากที่นี่โดยเร็ว ดาวเหอหนิงคงไม่หลงเหลืออีกต่อไป


“องค์จักรพรรดินี!” ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและคนอื่นๆรีบคุกเข้าอย่างรวดเร็ว เทียบกับหลิงฮันแล้วพวกเขาหวาดกลัวจักรพรรดินีมากกว่าเนื่องจากพวกเขาอยู่ภายใต้อำนาจของจักรพรรดินีมามากกว่าล้านปี


‘ครืนนน’ พริบตานั้นเองเมฆสายฟ้าขนาดใหญ่ก็ก่อตัวรวมกัน ต่อให้ทุกคนจะไม่ได้อยู่ใกล้ก็ยังมองเห็นได้ชัดเจน


ยักษ์อัสนีร่างสูงราวกับหอคอยค่อยๆปรากฏและรุมโจมตีจักรพรรดิกลางห้วงอวกาศ อำนาจของคลื่นอัสนีนับไม่ถ้วนราวกับมหาสมุทรสายฟ้าได้ทำให้ใบหน้าของทุกคนกลายเป็นซีดเผือด แม้จะยืนอยู่ห่างไกลขนาดนี้พวกเขายังสัมผัสถึงความน่าสะพรึงกลัวของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้


“องค์จักรพรรดินีเองก็บรรลุเป็นเซียนแล้ว!” พวกผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายอุทานด้วยความตะลึง แต่ในมุมมองของพวกเขาที่เป็นคนของจักรพรรดินี ยิ่งจักรพรรดินีแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี


“จักรพรรดินีจงเจริญ!” เหล่าคนของจักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะหมอบกราบ


ในขณะเดียวกัน เหล่าคนของจักรวรรดิต้าหลิงฮันต่างยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ไม่ว่าจักรพรรดินีจะแข็งแกร่งขนาดนั้น นางก็เป็นสตรีของราชาของพวกเขา!


หลิงฮันทะยานร่างตามขึ้นไปยังห้วงอวกาศ เขาต้องการแทรกแซงทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของจักรพรรดินีเพื่อเก็บเกี่ยวหยดสายฟ้าสวรรค์ แม้จักรพรรดินีจะสามารถต้านทานทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ระดับนี้ได้ แต่นางก็ไม่สามารถขึ้นไปยังส่วนลึกของเมฆสายฟ้าเพื่อเก็บเกี่ยวหยดสายฟ้าสวรรค์


นั่นเป็นเพราะกายหยาบของจักรพรรดินีไม่แข็งแกร่งเหมือนกับเขา จึงไม่สามารถต้านทานการโจมตีของราชาเซียนนับล้านล้านได้ แต่หากเป็นตอนนี้ที่นางบรรลุเป็นราชาเซียน บางทีนางอาจจะทำได้ก็เป็นได้


แค่น่าจะเท่านั้น


หลิงฮันผลักฝ่ามือเข้าใส่ยักษ์อัสนี ‘ตูม’ ด้วยพลังทำลายจากฝ่ามือของเขา ร่างยักษ์อัสนีได้แหลกสลายทันที พริบตานั้นสวรรค์และปฐพีก็เกรี้ยวกราด เมฆสายฟ้าก้อนใหม่เริ่มก่อตัวเกิดเป็นทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์อีกอัน


เหล่าคนที่อยู่บนดาวเหอหนิงชะงักและกลายเป็นไร้คำพูด


ในโลกนี้มีคนที่เป็นฝ่ายยั่วยุทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เองด้วย?


‘ครืนน!’


หลิงฮันพุ่งทะยานร่างเข้าสู่ส่วนลึกของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ทันทีเพื่อที่จะสะสางให้จบโดยเร็ว

 

 

 


ตอนที่ 1668 สะสางหนี้แค้นเก่า

 

ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์จะหยุดยั้งหลิงฮันได้อย่างไร?


ต่อให้หลิงฮันยื่นมือช่วยจักรพรรดินีข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ ซึ่งตามหลักแล้วอำนาจของมันจะเพิ่มขึ้นสิบเท่า แต่ด้วยอำนาจของมันในตอนนี้ที่ถึงขีดจำกัดของสวรรค์และปฐพีของโลกบรรพกาลแล้ว อำนาจของมันจึงไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป


ครืนน ครืนน ครืนน สวรรค์และปฐพีเกรี้ยวกราด ทว่าสิ่งเดียวที่มันทำได้กลับมีเพียงเพิ่มจำนวนของยักษ์อัสนี


หลิงฮันเมินเฉยไม่แยแส ‘ตูม ตูม ตูม’ ร่างของเขาพุ่งทะลวงเข้าใส่ยักษ์อัสนีจนร่างแหลกกระจุย แม้พวกมันจะสามารถฟื้นสภาพกลับมาเหมือนเดิม ก็ไม่อาจหยุดยั้งหลิงฮันได้อยู่ดี


เขามาถึงส่วนลึกของเมฆสายฟ้าอย่างรวดเร็วและเก็บเกี่ยวหยดสายฟ้าสวรรค์ได้อย่างง่ายดาย


ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ค่อยๆสลายหายไป


เหล่าผู้คนบนดาวเหอหนิงกลายเป็นนิ่งอึ้งไร้คำพูดอีกครั้ง


เกิดอะไรขึ้นกันแน่?


หรือความจริงแล้วทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์จะชอบข่มเหงคนอ่อนแอและหวาดกลัวคนที่แข็งแกร่ง? เพราะงั้นมันถึงปรากฏมาได้เพียงชั่วครู่จึงสลายไป?


หลิงฮันจ้องมองไปยังจักรพรรดินีที่กำลังใช้ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ขัดเกลาพลังต่อสู้ของตนเอง และในขณะที่ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของนางกำลังจะหายไปเขาก็รีบพุ่งร่างของตนเองเข้าไปยังเมฆสายฟ้าของนางเพื่อเก็บเกี่ยวหยดสายฟ้าสวรรค์อีกครั้ง


ทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยรอยยิ้มและจับมือกันกลับดาวเหอหนิง


ทุกคนบนดาวก้มหัวคารวะอย่างไม่รีรอ ความรู้สึกของทุกคนนั้นมีทั้งความตกตะลึงและตื่นเต้น


การมีเซียนถึงสองคนหมายความว่าอย่างไร?


ไม่ใช่แค่ดาวเหอหนิงดวงนี้ แต่ทั่วทั้งเขตดวงดาวหรือแม้แต่เขตดวงดาวใกล้เคียง ทั้งสองก็คือตัวตนที่ทรงพลังที่สุด!


ที่พวกเขาไม่รู้คือหลิงฮันและจักพรรดินีนั้นมีพลังต่อสู้ที่สามารถบดขยี้ราชาเซียนทุกคนได้อย่างง่ายดาย ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะรู้สึกตื่นเต้นจนหมดสติเป็นแน่


“ยินดีกับน้องสะใภ้ด้วย!” เฟิงโปหยุนและสหายคนอื่นๆก้าวเข้ามาแสดงความยินดี


แม้หลี่เหว่ยเหว่ยและจื่อหยุนเอ๋อสนิทชิดเชื้อกับหลิงฮัน แต่ต่อหน้าจักรพรรดินีพวกนางกลับมีท่าทางราวกับเป็นลูกแกะเห็นเสือ พวกนางไม่กล้าแม้จะขยับขาก้าวเดิน


ยังไม่ทันทีงานเลี้ยงจะสิ้นสุด หลิงฮันกับจักรพรรดินีก็ขอตัวแยกออกมา การแยกจากกันถึงสองปีทำให้ทั้งสองคิดถึงกันเป้นอย่างมาก


หนึ่งเดือนผ่านไปในที่สุดการเตรียมพร้อมกับเสร็จสิ้น


หลิงฮันนำคนที่สนิทสนมอย่างพวกเฟิงโปหยุนเข้าสู่หอคอยทมิฬในขณะที่นำคนอื่นๆเข้าสู่อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปพร้อมกับออกเดินทาง


Anchor


จักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะและจักรวรรดิต้าหลิงฮัน เขาไปมอบหน้าที่การดูแลให้กับพวกผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย หลิงฮันใช้เวลาส่วนหนึ่งติดตั้งรูปแบบอาคมคุ้มกันระดับเซียนเอาไว้แล้ว ตราบใดที่มีรูปแบบอาคมนี้อยู่ แม้แต่เซียนระดับสูงก็ไม่อาจทำอะไรได้


และก็ใช่ว่าหลิงฮันจะไม่กล้ามาเลยเสียเมื่อไหร่ ด้วยอายุขัยอันยาวนานของจอมยุทธในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เขาจากไปดินแดนแห่งเซียนหนึ่งหมื่นปีและกลับมา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สมควรเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่


อีกเก้าเดือนต่อมา หลิงฮันเดินทางกลับมาถึงดาวมู่ถูและตรงไปยังเขตแดนลี้ลับที่มีรูปแบบบ่มเพาะพลังที่แตกต่าง ตอนนี้สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าเขตแดนลี้ลับต้าเหอตามที่จอมยุทธของที่นี่ใช้เรียกกัน


หลิงฮันนำคนจากภายในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ออกมา หากบ่มเพาะพลังที่นี่ ความเร็วในการบ่มเพาะจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว


เพียงแต่เมื่อกลับเข้ามายังเขตแดนลี้ลับต้าเหอ หลิงฮันก็รู้สึกว่าหากเทียบกับเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ พลังวิญญาณของที่นี่ได้เบาบางลงกว่าเดิมมาก แม้ว่าเทียบโลกภายนอกมันก็ยังถือว่าเป็นพลังวิญญาณที่หนาแน่นก็ตาม


เหตุผลที่เป็นเช่นนี้คงเพราะแต่เดิมเขตแดนลี้ลับแห่งนี้เป็นโลกที่ถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เมื่อมันกลายเป็นเขตแดนลี้ลับเปิดกว้างแล้วพลังวิญญาณจึงรั่วไหลออกไป หากยังเป็นแบบนี้สักวันหนึ่งเขตแดนลี้ลับแห่งนี้คงกลายเป็นเพียงเขตแดนลี้ลับทั่วไป ซากศพของยักษ์มหึมาก็เช่นกัน วันหนึ่งพลังของมันคงจะเสื่อมสลายอย่างสมบูรณ์และเหล่าตระกูลภายในเขตแดนที่พึ่งพาพลังของมันก็จะค่อยๆหายไปตามกาลเวลา


หลิงฮันรู้สึกเสียใจเล็กน้อยในขณะที่คนอื่นๆที่เขาพามาล้วนแต่ตกตะลึง พลังวิญญาณของสถานที่แห่งนี้ช่างหนาแน่นเหนือจินตนาการ


สตรีนกอมตะและสหายคนอื่นๆของเขาก็ยังอยู่ที่นี่เพื่อบ่มเพาะรวบรวมปราณก่อเกิด หลังจากที่หลิงฮันมาถึง จอมยุทธหลายก็เดินมากล่าวกับเขาว่าพวกเขากำลังจะทะลวงผ่าน


หลิงฮันสามารถกำราบทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ให้คนอื่นได้เรื่องจากสวรรค์และปฐพีไม่มีอำนาจพอจะคุกคามเขา


จอมยุทธที่ต้องการทะลวงผ่านมีทั้งหมดสิบเอ็ดคน แต่หลังจากแทรกแซงทัณฑ์สายสวรรค์ไปแล้วสิบคนหลิงฮันได้พบว่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ไม่ลงมืออะไรกับเขาแล้ว!


แม้แต่เมฆสายฟ้าก็ไม่ปรากฏให้เห็น ราวกับฟ้าสวรรค์และปฐพีรู้ตัวแล้วว่าไม่อาจทำอะไรกับเขาได้จึงคร้านที่จะสนใจ


หลิงฮันพุ่งทะยานเข้าหาเมฆสายฟ้าของจอมยุทธคนที่สิบเอ็ด แต่เขาก็ต้องสลดเนื่องจากเมื่อเห็นว่าหลิงฮันเข้ามาใกล้ เมฆสายฟ้าก็สหายตัวไปในทันที


ทะ… ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เลือกที่จะเผ่นหนี!


จักรพรรดินีและทุกคนตกตะลึงก่อนจะหัวเราะ หลิงฮันเป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง แม้แต่ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ก็ยังไม่อยากยุ่งกับเขา


หลิงฮันลองอีกหลายครั้งแต่ก็ไร้ผล ตอนนี้หากเขาแทรกแซงทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของใคร ไม่เพียงแค่เขาจะไม่ติดร่างแหโดนทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ไปด้วย แต่ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ของคนอื่นก็ยังสลายหายไป


เหตุการณ์นี้สร้างเสียงหัวเราะให้ผู้คนเป็นอย่างมากและทำให้ทุกคนตระหนักเป็นอย่างดีว่าหลิงฮันในตอนนี้ทรงพลังถึงขนาดที่ว่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ก็ยังเลือกที่จะหลีกเลี่ยงเขา


หลิงยอมแพ้และเปลี่ยนแผน เอาไว้ตอนไปยังดินแดนใต้พิภพเขาค่อยลองดูอีกครั้ง เพราะอย่างไรสวรรค์และปฐพีของดินแดนทั้งสองก็แบ่งแยกออกจากกัน


หลิงฮันออกเดินทางอีกครั้ง เขายังมีหนี้แค้นที่ต้องสะสางกับเหล่าดินแดนต้องห้ามที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาอยู่อีกมากมาย


ด้วยความโลภที่มีต่อทักษะระดับราชานิรันดร์ ราชาเซียนจำนวนหนึ่งได้รวมหัวกันรุกจัดการเขา ตอนนี้ราชาไค่หยุนถูกสังหารไปแล้วหนึ่งคน คนอื่นๆคิดรึว่าจะหลบหนีไปไหนได้?


ขุมอำนาจแรกที่เขาตั้งใจไปคิดบัญชีแค้นคือดินแดนต้องห้ามแปดศิลา


ที่ดินแดนต้องห้ามแปดศิลายังมีราชาเซียนอยู่อีกคนแต่ไม่ใช่ราชาเซียนสูงสุด แม้แต่ราชาเซียนสูงสุดก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮัน แค่ราชาเซียนทั่วไปจะนับเป็นอันใด? หลิงฮันสลายขุมอำนาจดินแดนต้องห้ามแปดศิลาโดยไม่สังหารใคร


ใครอนาคตพวกเขาจะฟื้นฟูขุมอำนาจกลับมาได้หรือไม่ก็อยู่ที่ความสามารถของพวกเขาเอง แต่ตอนนี้ได้ถือว่าความบาดหมางระหว่างพวกเขากับหลิงฮันถูกสะสางแล้ว


และแน่นอนว่าหลิงฮันไม่ลืมที่จะปล้นชิง สมบัติที่เขาได้มาคือวัสดุเซียนสามชิ้น อุปกรณ์เซียนสิบสองชิ้นและสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำสองต้น


ไม่ว่าเป็นวัสดุเซียนหรืออุปกรณ์เซียนหลิงฮันได้นำไปให้ดาบอสูรนิรันดร์กลืนกินทั้งหมด ระดับของดาบอสูรนิรันดร์ในตอนนี้คืออุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเจ็ด หลิงฮันคาดการณ์เอาไว้ว่าหลังจากปล้นชิงสมบัติของดินแดนต้องห้ามทั้งหมดที่เป็นศัตรูมา ดาบอสูรนิรันดร์คงจะบรรลุสู่ระดับสิบแปด


หากต้องการยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ยิ่งขึ้นไปอีกคงต้องเป็นหลังจากที่เข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนแล้ว ด้วยทรัพยากรของที่นั่นคงไม่ใช่เรื่องยากลำบากเกินไป


หลิงฮันเดินหน้าสะสางบัญชีแค้นกับดินแดนต้องห้ามทีละแห่งและเก็บเกี่ยวสมบัติได้มากมาย หลังจากทำลายดินแดนต้องห้ามแห่งที่สิบสามเสร็จสิ้น ในที่สุดดาบอสูรนิรันดร์ก็บรรลุเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบแปด!


หากต้องการให้ดาบอสูรนิรันดร์บรรลุเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเก้า จำนวนของแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบแปดที่จำเป็นต้องใช้คงเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างน้อยร้อยเท่า


เกรงว่าหากอยู่ในโลกบรรพกาล เขาคงต้องใช้เวลานับหมื่นปีกว่าจะหาครบ


หลังจากสะสางหนี้แค้นเก่าเสร็จสิ้นแล้ว หลิงฮันก็มุ่งหน้าเข้าสู่ดินแดนใต้พิภพ เขาต้องการพาจ้าวอสูรป้าเจี้ยนAnchorจ้าวอสูรขวงล่วน โอวหยางไท่ซานและสหายคนอื่นๆเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนไปด้วยกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)