Alchemy Emperor of the Divine Dao 1634-1647

ตอนที่ 1634 สองทักษะใหม่

 

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน อำนาจของสายฟ้าก็สลายไป ระยะเวลาออกฤทธิ์ของคล้ายคลึงกับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์


ร่างของหลิงฮันเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต นอกจากเขาที่บ่มเพาะทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์คงไม่มีใครอื่นในโลกนี้แล้วที่สามารถดื่มหยดสายฟ้าสวรรค์เข้าร่างกายโดยตรงได้


เต๋าแห่งอัสนีปรากฏขึ้นในห้วงจิตวิญญาณของหลิงฮัน เพียงแต่ว่าอำนาจของมันยังไม่สมบูรณ์ เต๋าแห่งอัสนีแตกแยกออกเป็นเศษเสี้ยวนับชิ้นไม่ถ้วน บางชิ้นมีขนาดใหญ่ บางชิ้นขนาดเล็กจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า


ไม่น่าแปลกใจที่แห่งอัสนีจะไม่สมบูรณ์ หยดสายฟ้าสวรรค์ที่เขาได้รับมาคือจากเมฆสายฟ้าของโลกบรรพกาล แน่นอนว่าอำนาจของมันย่อมีจำกัด


ความจริง สำหรับหลิงฮันในตอนนี้แค่นี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว


เวลามีจำกัดก่อนที่เต๋าแห่งอัสนีจะหายไป หลิงฮันเลือกทำความเข้าใจ ‘เศษเต๋าแห่งอัสนี’ ชิ้นที่ใหญ่ที่สุด


อำนาจแห่งกฎเกณฑ์เป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ยากที่สุด ยิ่งฝึกฝนจากเต๋าที่ไม่สมบูรณ์ด้วยแล้วยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะงั้นเขาจึงเลือกที่จะทำความเข้าใจจากเศษเต๋าแห่งสายฟ้าชิ้นใหญ่ที่สุด


หนึ่งวันของโลกภายนอกผ่านพ้นไปในขณะที่ใต้ต้นสังสารวัฏ หลิงฮันใช้เวลาไปถึงร้อยปีเต็ม!


เขาลืมตาขึ้นโดยที่ไม่ลุกขึ้นยืนและนำหยดสายฟ้าสวรรค์ออกมาจิบต่อ ควสามเจ็บปวดทรมานถาโถมเข้ามาอีกครั้งแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ทนไหว


อีกหนึ่งวันต่อมา หลิงฮันก็จิบเต๋าแห่งอัสนีต่ออีกหยด


เขาแบ่งหยดสายฟ้าสวรรค์ที่ได้มาออกเป็นร้อยหยด หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งปีเขาก็ดื่มหยดสายฟ้าสวรรค์จนหมด ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนีของเขาเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก


“อัสนีบาตชำระล้างโลกา”


“แสงอัสนี”


หลิงฮันได้รับทักษะทั้งสองนี้มาจากการฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อัสนี ทั้งสองทั้งสองกล่าวได้ว่าเป็นทักษะระดับนิรันดร์เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่ายิ่งระดับพลังของเขาสูงขึ้น ทักษะทั้งสองนี้จะสามารถขัดเกลาให้ทรงพลังขึ้นตามระดับพลังได้


อัสนีบาตชำระล้างโลกาเป็นทักษะที่เหมือนกับอำนาจสายฟ้าที่เขาเคยฝึกฝนจากการมองดูทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ อำนาจสายฟ้าที่เขาฝึกฝนเองเป็นเพียงการเลียนแบบ แต่ว่าทักษะนี้คือพลังที่ได้รับมาจากทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์โดยตรง


เขาสามารถใช้ทักษะนี้โจมตีโดยตรง หรือสามารถนำไปผสานรวมกับทักษะดาบฟ้าคำรามเหมือนเดิมโดยแทนที่อำนาจสายฟ้าเก่า


ส่วนทักษะแสงอัสนีนั้นคือทักษะที่จะทำให้เขาเคลื่อนที่ได้รวดเร็วดุจทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์!


นี่หมายความว่าอย่างไร?


ความเร็วของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์คือความเร็วที่ไม่มีใครสามารถหลบหลีกได้และทำได้เพียงต้านทาน ด้วยทักษะนี้เขาจะสามารถไล่ตามหรือหลบหลีกการโจมตีของศัตรูได้อย่างง่ายดาย


“ความเร็วจากทักษะน่าจะไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้นาน” หลิงฮันพึมพำ “แต่ระยะเวลาสั้นๆก็เพียงพอที่จะใช้ไล่ตามเป้าหมายหรือหลบหนีออกมาจากวงล้อมศัตรูได้”


“อันที่จริงทักษะที่คล้ายคลึงกับทักษะอัสนีบาตเก้าทิวาไม่น้อย เพียงแต่อำนาจของมันนั้นทรงพลังยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่าตัว”


“อืม ได้เวลาไปสนามรบสองดินแดนเสียที!”


“หากราชาไค่หยุนปรากฏตัว ข้าจะสังหารเขาซะ! แต่ตั้งแต่ที่ข้าสังหารฉงปาตู้ไปข้าก็รับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์มาแล้วสองครั้ง บางทีบ่วงอาฆาตอาจจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว”


บ่วงอาฆาตที่ติดอยู่กับเขาอาจหายไป แต่ไม่ใช่กับจักรพรรดินี นางเพิ่งรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เพียงครั้งเดียวหลังจากสังหารฉงเยี่ย


“เหอๆ ราชาไค่หยุน เจ้าจะกล้าปรากฏตัวรึไม่?”


หลิงฮันออกจากหอคอยทมิฬและเคลื่อนที่ด้วยคลื่นเต๋าสีทองไปยังพิกัดดาวหยุนติง


ไม่นานเขาก็มาถึงจุดหมายและได้รับข่าวดี จักรพรรดิพิรุณกำลังจะทะลวงผ่านระดับเซียน!


จักรพรรดิพิรุณออกมายืนกลางห้วงอวกาศเพื่อรับทัณสายฟ้าสวรรค์


เขาก็เหมือนกับหลิงฮันและจักรพรรดินีที่ผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองได้สำเร็จ แม้จะทะลวงผ่านเป็นเซียนระดับต้นแต่ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่ได้รับรุนแรงเทียบเท่าของเซียนระดับสูง จักรพรรดิพิรุณนั้นไม่ได้ฝึกฝนทักษะบ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ทักษะบ่มเพาะเก้าสวรรค์ดับสูญหรือทักษะนิรันดร์ใดๆ ทัณฑ์สวรรค์ที่รุนแรงเทียบเท่าเซียนระดับสูงนี้ก็จำได้เขาบาดเจ็บปางตาย


แต่ด้วยแรงใจที่ไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพใกล้ตายเพียงใดพลังชีวิตของเขาก็ไม่ดับสูญและผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้สำเร็จในครึ่งวันต่อมา


นอกจากพวกเขาทั้งสามคนแล้ว หลิงฮันก็ตั้งความหวังเอาไว้กับศิษย์ทั้งสองอย่างติงผิงและจิ่วเยาเช่นกัน เพียงแต่ดูเหมือนพรสวรรค์ของทั้งสองจะยังไม่เพียงพอ พวกเขาขัดเกลาดวงดาวได้ราวๆห้าล้านดวงก็พบคอขวดที่ยากจะข้ามผ่าน


หลิงฮัน จักรพรรดินีและจักรพรรดิพิรุณเข้าสู่สนามรบสองดินแดนพร้อมกัน การผสานดินแดนทั้งสองให้กลับเป็นหนึ่งเดียวนั้นไม่เคยมีใครทำมาก่อนพวกเขาจึงต้องคลำทางหาวิธีด้วยตัวเอง


หลังจากปรึกษากันและทดลองอยู่หลายวิธี พวกเขาก็ค่อยๆเริ่มสัมผัสได้ว่าดินแดนทั้งสองกำลังส่งเสียงเรียกพวกเขาราวกับกำลังปรารถต้องการให้พวกเขาทำอะไรบางอย่าง


ทั้งสามคนใช้ร่างของตนเองเป็นแก่นกลางเพื่อสร้างสะพานเชื่อมต่อทั้งสองดินแดน พริบตานั้นเอง ณ สนามรบสองดินแดนก็ได้มีหอคอยแสงสามแท่งปรากฏออกมาเชื่อมต่อดินแดนทั้งสองเข้าด้วยกัน ตอนนี้ฝั่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพสามารถมองเห็นกันและกันได้อย่างชัดเจน สวรรค์และปฐพีสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่


พวกหลิงฮันทั้งสามคนมองหน้ากันด้วยสีหน้าตกตะลึง ในขณะพวกเขาใช้ร่างของตนเองเป็นสะพานเชื่อต่อสองดินแดน อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนได้ไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้รากฐานพลังบ่มเพาะและพลังปราณในร่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกๆหนึ่งลมหายใจดวงดาวหนึ่งดวงจะถูกควบแน่นขึ้นในวงวิถีโคจรดาราจักร


ต่อให้หลังจากผสานดินแดนทั้งสองสำเร็จจะไม่ได้รับวาสนาใดๆ แค่ผลประโยชน์ในตอนนี้ก็ถือว่ามหาศาลแล้ว!


‘ฉึบ’ แต่ในตอนนั้น ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวจากการฉีกชั้นมิติ อำนาจอันไร้สิ้นสุดที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างนั้นทรงพลังเกินพรรณนา


ใบหน้าของพวกหลิงฮันแข็งข้าง ร่างที่ปรากฏตัวนี้ทรงพลังเกินไปจนทำให้พวกเขารู้สึกราวกับตนเองเป็นเพียงหนอนแมลง หลิงฮันรีบคว้าร่างของจักรพรรดินีกับจักรพรรดิพิรุณและโคจรทักษะแสงอัสนีอย่างรีรอ พริบตาเดียวทั้งสามคนก็มาถึงพิกัดห้วงอวกาศอันไกลโพ้น


เพียงแต่ว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้หายใจ หลิงฮันก็พบเห็นร่างนั้นไล่ตามเขามาด้วยความเร็วที่ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ดูจากท่าทางที่ผ่อนคลายของอีกฝ่ายแล้วเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนกับหลิงฮันที่สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่านี้ได้เพียงในช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น


“ไม่ต้องเป็นกังวล ข้ามาที่นี่เพราะได้รับคำสั่งจากประมุกหญิงน้อย” ร่างนั้นกล่าวก่อนที่ออร่าปั่นป่วนบนร่างจะสลายหายไปเผยให้เห็นโฉมหน้าแท้จริง


นางคือสตรีที่ดูมีรูปลักษณ์อยู่ในช่วงอายุสามสิบปี ใบหน้าของนางไม่นับว่างดงามอันใดหรืออาจจะห่างไกลจากความงามของสตรีทั่วไปด้วยซ้ำ กล่าวคือนางค่อนข้างอัปลักษณ์เล็กน้อย


หลิงฮันชะงักและเผลอกล่าวออกไปโดยไม่รู้ตัว “ฮูหนิวส่งเจ้ามา?”


“ประมุกหญิงน้อยมีนามว่า เทียนหยิน!” สตรีผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง เมื่อกล่าวชื่อของฮูหนิวใบหน้าของนางแสดงออกถึงความเคารพราวกับตัวตนอันยิ่งใหญ่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้า


สีหน้าของหลิงฮันแสดงออกถึงความรู้สึกแปลกประหลาดและเชื่อว่าสตรีผู้นี้ถูกฮูหนิวส่งมาแน่นอน เหตุผลที่เชื่อนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนเลย… เพราะสตรีผู้นี้อัปลักษณ์!


เด็กสาวที่ขี้หวงเช่นนางไม่มีทางส่งสตรีงดงามมาหาเขาแน่!

 

 

 


ตอนที่ 1635 ดินแดนแห่งเซียนไม่ยอมรับก...

 

แม้หลิงฮันจะค่อนข้างเชื่อถือสถานะของอีกฝ่ายแต่เขาก็ไม่กล้าประมาทแม้อแต่น้อย


ตราบใดที่นางแสดงท่าทีคุกคามแม้แต่นิดเดียวเขาจะพาจักรพรรดินีและจักรพรรดิพิรุณเข้าสู่หอคอยทมิฬทันที


“ฮูหนิวสั่งให้เจ้ามา? ด้วยเรื่องอันใด?” หลิงฮันเอ่ยถาม


“เจ้าต้องหยุดการกระทำของเจ้าเมื่อครู่” สตรีผู้นั้นกล่าวขึงขัง


“หมายถึงผสานสองดินแดน?” หลิงฮันประหลาดใจ “ทำไมกัน?”


“ข้าก็ไม่รู้ถึงเหตุผล แต่ที่ประมุขหญิงน้อยบอกข้ามาคือ หากดินแดนทั้งสองผสานรวมกันจะเป็นการดึงดูดความสนใจของเหล่าตัวตนที่ทรงพลังจำนวนมากที่แม้แต่ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็ไม่อาจปกป้องเจ้าได้” สตรีผู้นั้นกล่าว แววตาของนางแสดงออกถึงความไม่พอใจ


จากน้ำเสียงที่ประมุขหญิงน้อยออกคำสั่งกับนาง ดูเหมือนไม่ว่าบุรุษผู้จะสร้างปัญหาอะไร ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็จะต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเขา


ประมุขหญิงน้อยเป็นตัวตนที่สูงส่งขนาดไหน? เหตุใดนางถึงต้องนำชีวิตตนเองมาเสี่ยงกับบุรุษชั้นต่ำเช่นนี้ด้วย?


เพราะงั้นถึงไม่แปลกที่นางจะไม่ชอบหลิงฮัน


หลิงฮันไม่สนใจท่าทางของสตรีผู้นี้และขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุใดการผสานดินแดนทั้งสองถึงเป็นการดึงดูดความสนใจของตนที่ทรงพลังในดินแดนแห่งเซียน?


จากข้อมูลที่มีเขาก็ยังไม่รู้ว่าทำไมโลกบรรพกาลถึงถูกแยกออกเป็นสองดินแดน เป็นโลกบรรพกาลแยกออกจากกันถึงได้เกิดมหาโศกนาฏกรรมขึ้นในดินแดนแห่งเซียน หรือเพราะเกิดมหาโศกนาฏกรรมขึ้นในดินแดนแห่งเซียน โลกบรรพกาลถึงแยกออกจากกันกันแน่


แต่เหตุใดตัวตนที่ทรงพลังของดินแดนแห่งเซียนถึงต้องขัดขวางการผสานโลกบรรพให้กลับเป็นหนึ่งเดียวด้วย?


ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์คือขุมอำนาจระดับราชานิรันดร์ ขนาดฮูหนิวยังต้องส่งใครบางคนมาแจ้งเรื่องนี้แก่เขานั้นหมายความอะไร? ความแข็งแกร่งของตัวตนทรงพลังที่พูดถึงจะต้องบรรลุระดับราชานิรันดร์เช่นกัน ซึ่งแม้จะเป็นตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็ไม่อาจกำราบได้


ก่อนมหาโศกนาฏกรรมนั้น เป็นไปได้ว่าจะเกิดสงครามครามระหว่างราชานิรันดร์ขึ้นก่อน


ในหมู่ราชานิรันดร์นั้น คงมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกโลกบรรพกาลกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ผลลัพธ์จากการที่ความเห็นไม่ตรงกันคือสงครามที่นำไปสู่มหาโศกนาฏกรรมในดินแดนแห่งเซียน


โดยสุดท้ายแล้วฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็คือเหล่าราชานิรันดร์ที่ไม่เห็นด้วยกับการแบ่งแยกโลกบรรพกาล


แม้นี่จะเป็นเพียงการคาดเดาของหลิงฮันแต่เขามีความรู้สึกว่ามีความเป็นได้สูงมากที่ความจริงจะเป็นเช่นนี้จริงๆ


ทำไมพวกเขาถึงต้องสนใจโลกบรรพกาลขนาดนั้นทั้งๆที่สวรรค์และปฐพีของที่นี่แม้แต่จะบรรลุเป็นระดับโลกียนิพพานก็ไม่อาจทำได้


หลิงฮันรู้สึกว่ายิ่งเขารู้สึกเข้าถึงความจริง ก็มีเรื่องลึกลับผุดขึ้นมาให้สงสัยเพิ่มขึ้นไปอีก


“ประมุขหญิงน้อยสั่งให้ข้าแอบคุ้มครองเจ้าจากในเงามืดอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าปรากฏตัวออกมาเพื่อหยุดยั้งเจ้า หากเจ้ายังยืนกรานที่จะผสานดินแดนทั้งสองต่อ ครั้งหน้าอาจจะไม่ใช่ข้าที่มาหาเจ้าเป็นคนแรก” สตรีผู้นั้นกล่าวต่อ แม้นางจะไม่ชอบหลิงฮันแต่จะให้ขัดคำสั่งของประมุขหญิงน้อยก็ไม่ได้


“การผสานดินแดนทั้งสองมีแต่จะเป็นการนำความตายมาสู่ตัวเจ้าเอง!” สตรีผู้นั้นกล่าว มีสิ่งหนึ่งที่นางไม่บอกออกไปคือหากมีตัวตนระดับราชานิรันดร์ลงมือกับหลิงฮันจริง ฮูหนิวคงนำกองกำลังของตำหนักมัจฉาวายุภักษ์บุกโจมตี


เมื่อทำเช่นนั้นตำหนักมัจฉาวายุภักษ์ก็จะกลายเป็นปฏิปักษ์ต่อขุมอำนาจที่ทรงพลังมากมายในดินแดนแห่งเซียน ต่อให้ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์จะเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งเพียงใดก็เป็นเป็นได้ว่าจะล่มสลายในชั่วข้ามคืน


เพียงแต่ว่าประมุขหญิงน้อยไม่ให้นางกล่าวเรื่องนี้ออกไป


หลิงฮันพยักหน้า เขาสามารถเดาได้ว่าหากมีตัวตนจากดินแดนแห่งเซียนลงมือกับเขา ฮูหนิวจะต้องทำการหยุดยั้งตัวตนที่ว่าเอาไว้แน่ จากสิ่งที่เขารู้ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์นั้นมีศัตรูที่ทรงพลังอยู่แล้ว เพราะงั้นเขาจึงไม่อาจนำฮูหนิวมายุ่งเกี่ยวกับปัญหาของตัวเขาเอง


“เข้าใจแล้ว” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ถึงแม้การผสานดินแดนทั้งสองจะทำให้เขาได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่จากสวรรค์และปฐพี แต่เขาก็ไม่อยากทำให้ฮูหนิวลำบากเพื่อเขา


สตรีผู้นั้นมองหลิงฮันด้วยสายตาขึงขังก่อนจะยื่นมือออกมาด้านหน้าและเปิดช่องว่างมิติ พริบตาที่นางเดินเข้าช่องว่างมิติไปร่างของนางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


สตรีผู้นี้ต้องเป็นมีพลังบ่มเพาะระดับโลกียนิพพานเป็นอย่างน้อย แต่จะระดับไหนนั้นหลิงฮันไม่สามารถคาดเดาได้


พวกหลิงฮันสามคนมองหน้ากัน พวกเขาไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าการผสานรวมสองดินแดนจะเป็นเรื่องที่อันตรายขนาดนี้


“ดินแดนแห่งเซียนไม่ยอมให้มีการผสานรวมโลกบรรพกาล!”


“ข้าก็เคยสงสัยมาก่อนว่าขุมอำนาจของดินแดนแห่งเซียนสามารถส่งจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งออกมาที่นี่ได้ แต่ทำไมถึงไม่เคยมีใครผสานดินแดนทั้งสองมาก่อน ข้าเคยคิดว่าที่พวกเขาไม่ทำเป็นเพราะเหยียดหยามโลกบรรพกาล แต่แท้จริงแล้วอาจจะเป็นเพราะนั่นคือคำสั่งของราชานิรันดร์ที่ห้ามไม่ให้พวกเขาทำ”


“ตัวตนที่ทรงพลังกำลังหวาดกลัวอะไรในโลกบรรพกาลอยู่รึเปล่า?”


ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คงไม่ได้คำตอบ หลิงฮันพยักหน้าก่อนจะกล่าว “ไม่ว่าจะอย่างไร การผสานรวมสองดินแดนก็คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”


“กลับไปยังดาวมู่ภูกันก่อน หวังว่าราชาเซียนเหล่านั้นจะยังไม่หนีหายไปไหน ข้าจะได้คิดบัญชีแค้น!”


ทั้งสามคนเคลื่อนที่ด้วยคลื่นแสงแห่งเต๋ามุ่งหน้าสู่ดาวมู่ถู แม้หลิงฮันจะสามารถใช้แสงอัสนีเร่งความเร็วได้ แต่ทักษะนี้ก็เหมาะที่จะใช้ในการต่อสู้เท่านั้นเนื่องจากทักษะไม่อาจคงสภาพเอาไว้ได้นาน


พวกเขาถึงดาวมู่ถูในอีกสิบวันต่อมา


เมื่อมาถึงเหล่าเซียนมากมายก็ปรากฏตัวต้อนรับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นพวกเซียนซิงฉาหรือราชาเซียนพวกเขาต่างไม่ได้รับข่าวสารใดๆเกี่ยวกับหลิงฮันมาสักพักแล้ว


“สหายหลิง ไม่กี่ปีนี้เจ้าไปอยู่ไหนมา?” ราชาเซียนแต่ละคนเอ่ยถาม


หลิงฮันกวาดสายตามองก่อนจะแสยะยิ้ม ใครบางคนในนี้ช่างแสดงละครได้เยี่ยมนัก เพิ่งจะจะลอบสังหารเมื่อไม่นานมานี้แท้ๆแต่กลับเสแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เหอๆ คิดว่าจะหลอกเขาได้ง่ายๆ?


“สองดินแดนไม่อาจรวมเป็นหนึ่งได้” เขากล่าวออกไปเช่นนั้นโดยไม่อธิบายอะไร “ตอนนี้เหลืออยู่เพียงวิธีเดียวคือหลังจากข้าบรรลุเป็นเซียนระดับสูงข้าจะเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนของตนเองและพาคนจำนวนหนึ่งไปกับข้าด้วย”


เหล่าราชาเซียนตกอยู่ในความอลหม่าน ดินแดนทั้งสองไม่สามารถผสานกันได้?


แม้พวกเขาจะผิดหวังแต่ก็ไม่ได้มากอะไร พวกเขาก็ยังสามารถเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนผ่านหลิงฮันได้อยู่ดี เพราะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้คิดอยากจะช่วยเหลือจอมยุทธคนอื่นในโลกบรรพกาลอยู่แล้ว แค่คนของพวกเขาสามารถเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ก็เพียงพอ


หลงฮันมองไปยังเหล่าราชาเซียนและกล่าว “เพียงแต่ว่า ตัวข้าก็ไม่ได้มีหน้าที่อะไรที่ต้องพาพวกเจ้าไปด้วย หากใครต้องการเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนก็ต้องซื้อบัตรผ่าน หากข้าพึงพอใจข้าจะพาพวกเจ้าไปด้วย”


เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา ราชาเซียนหลายคนก็กลายเป็นเกรี้ยวกราดทันที


พวกเขาเป็นตัวตนระดับใด?


ที่พวกเขายอมพูดกับหลิงฮันราวกับเป็นมิตรสหายนั้นถือว่าพวกเขาไว้หน้าหลิงฮันขนาดไหนแล้ว? นี่ยังจะให้พวกเขาซื้อบัตรผ่านอีก?


แค่ยอมให้หน่อยก็กล้าทำตัวเหิมเกริมขนาดนี้เลย!

 

 

 


ตอนที่ 1636 พลิกหน้า

 

“หลิงฮัน เจ้าทำเกินไปแล้ว!” ราชาเซียนไท่กู่ตะโกน


“เกินไปน้องสาวเจ้าสิ!” เสียงตำหนิดังขึ้นพร้อมกับร่างของสุนัขตัวดำได้ปรากฏตัว มันยืนบิดก้นที่สวมใส่กางเกงในเหล็กสะท้อนแสงอย่างไม่รู้สึกอับอาย


มันก้าวเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะชี้นิ้วใส่ราชาเซียนทุกคน “พวกเจ้าไม่ได้ยินรึไง? น้องชายของนายท่านหมาบอกให้พวกเจ้ามอบของแลกเปลี่ยนมาแล้วจะพาเข้าดินแดนแห่งเซียนไปด้วย!”


เหล่าเซียนเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิม ราชาเซียนไท่กู่คือคนที่อารมณ์ร้ายที่สุด เขาผลักฝ่ามือใส่สุนัขตัวดำทันที


“ช่วยข้าด้วย!” สุนัขตัวดำรีบวิ่งไปหลบหลังหลิงฮัน


ผมของราชาเซียนไท่กู่สหายชี้ฟ้าด้วยความโกรธก่อนคว้ามือไปยังสุนัขตัวเขา


ปัง!


หลิงฮันตอบโต้ การโจมตีด้วยฝ่ามือของราชาเซียนไท่กู่ถูกสลายหายไป


“สหายหลิง เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ราชาเซียนไท่กู่มีสีหน้ามืดมน เขาที่ไม่พอใจกับคำพูดเมื่อครู่ของหลิงฮันแล้วยิ่งเกรี้ยวกราดขึ้นไปอีก


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “สุนัขเฒ่าทั้งสิบหกที่ลอบโจมตีข้า เจ้าคือหนึ่งในนั้น!”


“โฮ่ง อย่ามาดูถูกสุนัข!” สุนัขตัวดำหันหน้าพยายามงับก้นหลิงฮัน


‘ปัง’ จักรพรรดินีผลักฝ่ามือส่งร่างของสุนัขตัวดำรอยกระเด็น


ใบหน้าของราชาเซียนไท่กู่เปลี่ยนสีก่อนจะกล่าว “สหายน้อย เจ้าพูดเรื่องอะไร?”


หลิงฮันชำเลืองมองไปยังราชาเซียนทุกคนและกล่าว “อันที่จริงข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมากเท่าไหร่หากต้องพาพวกเจ้าเข้าดินแดนแห่งเซียนไปด้วย แต่ว่า… เหอๆ มีพวกเจ้าบางคนที่คิดชั่วร้ายหวังช่วงชิงวาสนาไปจากข้า”


“ราชาเซียนคนใดที่ลอบโจมตีข้าจงสารภาพมา ไม่เช่นนั้น… อย่าหาว่าข้าเลือดเย็น ดินแดนต้องห้ามจะต้องละเลงไปด้วยโลหิต!”


นี่คือคำขู่แบบโจ่งแจ้ง!


เหล่าราชาเซียนมองหน้ากัน บางคนเข้าใจทันทีว่าทำไมหลิงฮันถึงไม่ปรากฏตัวเลยในไม่กี่ปีมานี้ ในขณะที่บางคนใบหน้าเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ การที่พวกเขาไม่สามารถสังหารหลิงฮันในหนึ่งกระบวนท่า ได้นำภัยพิบัติกลับมาหาตนเองแล้ว


เพียงแต่ว่าไม่มีใครสารภาพออกมาทั้งนั้น ในตอนที่พวกเขาลอบโจมตีพวกเขาได้ทำการเปลี่ยนรูปลักษณ์เตรียมไว้แล้วเพราะงั้นหลิงฮันไม่มีทางจดจำพวกเขาได้แน่นอน


ราชาเซียนไท่กู่แสยะยิ้ม “รุ่นเยาว์ เจ้าไม่เหลือไพ่ลับที่จะใช้สังหารราชาเซียนแล้ว คิดดีแล้วรึที่กล้าทำตัวโอหังเช่นนั้น?” เขาไม่ปกปิดอีกต่อไป เขาย่อมรู้ว่าหลิงฮันจดจำกลิ่นอายของเขาได้


“ฮันน้อย สังหารมันเลยอย่าได้ไว้หน้า!” สุนัขตัวดำกระโดดกลับมา


“สุนัขชั้นต่ำ วันนี้ข้าจะสังหารเจ้า!” ราชาเซียนไท่กู่มองไปยังสุนัขตัวดำด้วยจิตสังหารรุนแรง


“ข้าจะสังหารสุนัขชั้นต่ำนั่นก่อน แล้วจะรีดเค้นความลับของเจ้าออกมาทีหลัง!”


“ช้าก่อน!” ราชาเซียนชิงอวี่ยื่นมือเข้ามาแทรก “เป็นความจริงที่หลิงฮันไม่มีหน้าที่ที่จะต้องมารับผิดชอบพาพวกเราเข้าดินแดนแห่งเซียนไปด้วย การไปที่นั่นเปรียบเสมือนการได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ไม่ว่าเขาเรียกร้องอะไรก็คุ้มค่าที่จะยอมจ่าย”


“พี่ชายหลิงฮัน ท่านจะโกรธไปทำไม? จริงสิ พวกเราไม่ได้สู้กันนานแล้วนะ ทำไมไม่ลองมาประลองกันหน่อยล่ะ?” ราชาเซียนอีกคนก้าวเดินเข้ามาเพื่อหยุดรั้งชิงอวี่ไม่ให้ยื่นมือเข้าไปแทรกแซง


‘พรึบ’ วิถีวงโคจรดาราของราชาเซียนไท่กู่ถูกปลดปล่อยออกมาเพื่อเตรียมพร้อมปะทะด้วยพลังทั้งหมด คลื่นแสงแห่งเต๋าโอบล้อมไปทั่วร่างของเขาราวกับเป็นจุดศูนย์การแห่งสวรรค์และปฐพี


เขาปลดปล่อยฝ่ามือออกไปโดยมีเป้าหมายคือทั้งหลิงฮันและสุนัขตัวดำ


แม้ว่าเขาจะพูดเหมือนต้องการโจมตีสุนัขตัวดำก่อน แต่ความจริงแล้วต่อให้หลิงฮันจะตายเขาก็ไม่สนใจ แม้หลิงฮันจะตายไปแล้วเขาก็ยังสามารถคนความทรงจำจากดวงวิญญาณได้อยู่ดี


ร่างของหลิงฮันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยแสงอัสนี ร่างของเขาปรากฏที่ด้านหน้าราชาเซียนไท่กู่ในพริบตาและปล่อยหมัดที่ปกคลุมไว้ด้วยเพลิงเก้าสวรรค์ออกไป


ตูม!


พลังป้องกันของราชาเซียนไท่กู่กลายเป็นไร้ประโยชน์ หมัดของหลิงฮันไม่เพียงปะทะใส่หน้าเขาอย่างเต็มแรง แต่อำนาจของเพลิงนิรันดร์ยังเผาผลาญดวงวิญญาณของเขาสลายไปในพริบตา


ราชาเซียนที่ไม่รู้ว่าอุตส่าห์บ่มเพาะพลังมากี่ร้อยล้านปีสิ้นชีพลงอย่างน่าอนาถด้วยหมัดเดียว


หลิงฮันดึงหมัดกลับ ภายใต้อำนาจการเผาผลาญของเพลิงนิรันดร์ทำให้หมัดของเขาไม่โลหิตติดอยู่แม้แต่หยดเดียว


อะไรกัน!


ราชาเซียนถูกสังหารด้วยหมัดเดียวโดยไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่น้อย!


ราชาเซียนทุกคนตกตะลึงอย่างมาก ความรู้สึกเย็นยะเยือกผุดขึ้นในร่างกายของพวกเขา พลังและออร่าของหลิงฮันนั้นสงบนิ่งเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใช้ทักทั้งหมดออกไปแต่เหตุใดถึงสามารถสังหารราชาเซียนได้ในหมัดเดียวกัน?


“สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือความเร็วที่เหนือยิ่งกว่าราชาเซียนนั่น! ความเร็วที่ราบกับสายฟ้าสวรรค์เช่นนั้น ไท่กู่จึงไม่มีโอกาสได้ป้องกันตัวและถูกสังหารในหนึ่งหมัด”


“ทั้งความเร็วและพลังทำลายของเพลิงนั่น ต่อให้ระดับพลังสูงกว่าแล้วจะอย่างไร? ใครจะสามารถป้องกันได้กัน?”


“การจะต่อกรกับเขาพวกเราต้องป้องกันตัวเอาไว้ตลอดเวลาห้ามเผลอแม้แต่วินาทีเดียว”


ราชาเซียนกระซิบคุยกัน นอกจากราชาเซียนสูงสุดที่มีอยู่เล็กน้อยแล้ว ราชาเซียนคนอื่นๆหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ตราบใดที่ประมาทพวกเขาจะถูกสังหารในพริบตา ราชาเซียนไท่กู่เป็นตัวอย่างให้พวกเขาเห็นแล้ว ยังไม่ทันที่เขาจะได้ปลดปล่อยพลังออกมาก็ถูกหลิงฮันสังหารเสียก่อน


หลิงฮันเก็บอุปกรณ์มิติและอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ของราชาเซียนไท่กู่ เนื่องจากอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถนำเข้าหอคอยทมิได้เขาจึงเก็บมันเอาไว้ในกระเป๋าของตัวเอง


เขามองไปยังราชาเซียนคนอื่นๆและกล่าว “นี่คือโอกาสสุดท้าย ใครที่เคยลอบโจมตีข้าจงไสหัวออกมา ไม่เช่นนั้นหลังจากที่สังหารพวกเจ้าแล้วข้าจะตามไปทำลายดินแดนต้องห้ามของพวกเจ้าด้วย”


“ช่างอวดดีนัก!” ราชาเซียนจำนวนหนึ่งก้าวเดินออกมา แม้ความเร็วของหลิงฮันจะน่าอัศจรรย์และจะมีเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัว แต่ไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็เป็นเพียงเซียนระดับต้นเท่านั้น เดี๋ยวก่อน… เซียนระดับกลาง!


พวกเขาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าหลิงฮันบรรลุเป็นเซียนระดับกลางแล้ว!


เหลือเชื่อนัก เมื่อสิบปีก่อนเขาเพิ่งจะทะลวงผ่านเป็นเซียนระดับต้นแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเซียนระดับกลางได้แล้ว ความเร็วในการบ่มเพาะพลังขนาดนี้น่าสะพรึงกลัวจนไม่อาจยอมรับได้


ต่อให้กินสมุนไพรนิรันดร์เข้าไปก็ไม่น่าจะเร็วเช่นนี้


“ว่าอย่างไร?” หลิงฮันกล่าวเสียงเบา “จากสิบคนตายไปหนึ่ง ก็เหลือสุนัขไร้ยางอายอีกสิบห้า”


“โฮ่ง!” สุนัขตัวดำเห่าใส่หลิงฮันอย่างไม่สบอารมณ์ก


เมื่อสิ้นเสียงของหลิงฮัน ราชาเซียนสิบกว่าคนก็ก้าวเดินออกมา เมื่อรวมกับราชาเซียนที่ก้าวออกมาก่อนหน้านี้ก็เป็นสิบห้าคนพอดี


**ผมตรวจต้นฉบับอีกครั้งแล้ว ตอนก่อนที่เขียนว่ามีราชาเซียน18คนลอบโจมตี ต้นฉบับน่าจะเขียนผิดครับ**

 

 

 


ตอนที่ 1637 เริ่มการปะทะ

 

ราชาเซียนทั้งสิบห้าดวงตาเย็นชาเป็นอย่างมาก


ในความคิดของพวกเขา ตราบใดที่หลิงฮันไม่มีไพ่ลับใช้สังหารราชาเซียนเหลือแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องหวาดกลัว


พลังที่หลิงฮันแสดงให้เห็นนั้นทรงพลังก็จริง แต่นั่นก็แค่พึ่งพาความเร็วกับอำนาจของเปลวเพลิงเท่านั้นซึ่งยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาหวั่นเกรง


“ราชาเซียนสิบห้าคนรุมรังแกรุ่นเยาว์แค่คนเดียว? พวกเจ้ายังมีศักดิ์ศรีเหลืออยู่อีกรึเปล่า?” ราชาเซียนชิงอวี่ก้าวเดินออกมายืนเคียงบ่าหลิงฮัน


“ข้าก็คิดเช่นนั้น” ราชาเซียนอีกคนก้าวออกมาสนับสนุนหลิงฮันเช่นกัน


จนสุดท้ายแล้วราชาเซียนทั้งหมดเก้าคนก็เลือกที่จะอยู่ฝ่ายหลิงฮันในขณะที่อีกเจ็ดคนไม่เลือกช่วยเหลือฝ่ายใด


“สหายทั้งหลาย ทำไมต้องมัวเสียเวลาไปกับเจ้าหนูนั่นด้วย?” ราชาเซียนฝ่ายศัตรูคนหนึ่งกล่าว “ในร่างของเจ้าหนูนั่นต้องมีความลับอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่แน่ หากพวกเราได้มันมาครอบครอง ด้วยพรสวรรค์ของพวกเราอย่างมากไม่เกินล้านปีพวกเราย่อมสามารถใช้มันได้อย่างเชี่ยวชาญ”


“อายุขัยที่ยังเหลืออยู่ของพวกเรา การจะมีชีวิตอยู่อีกสักร้อยล้านปีไม่ใช่ปัญหาอะไรอยู่แล้ว ทำไมไม่ใช้โอกาสนี้เข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนด้วยตัวเองเล่า?”


“อย่าได้บอกว่าพวกเจ้าไม่ได้คิดเหมือนกันว่าเจ้าหนูนี่ต้องได้ทักษะบ่มเพาะของราชานิรันดร์ที่ล่วงหล่นมาครอบครอง ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไรน! สหายเอ๋ย พวกเจ้าจะมองข้ามวาสนาล้ำค่าที่อยู่ตรงหน้าไปจริงๆรึ?”


ราชาเซียนชิงอวี่เค้นเสียงและกล่าว “พวกเจ้าที่บ่มเพาะพลังจนบรรลุถึงราชาเซียนแล้ว กล้าพูดเรื่องน่าสมเพชเช่นนั้นออกมาอย่างไม่อายปากได้อย่างไร”


“ฮึ่ม ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง จะมัวพล่ามไร้สาระทำไม?” ราชาเซียนผู้หนึ่งค่อนข้างฉุนเฉียว “ฝ่ายเรามีกำลังเยอะกว่า ให้ราชาเซียนฝ่ายเราเก้าคนปะทะกับราชาเซียนเก้าคนของอีกฝ่าย ส่วนคนที่เหลือร่วมมือกันสังหารเจ้าหนูนั่น”


“ก็ดี!” เหล่าราชาเซียนฝ่ายศัตรูพยักหน้าทีละคน เก้าคนในหมู่พวกเขาแยกตัวออกมาและเข้าปะทะกับพวกราชาเซียนชิงอวี่ ในขณะที่อีกหกคนที่เหลือมีเป้าหมายคือหลิงฮัน


ราชาไค่หยุนก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาทำหน้าที่เป็นผู้นำและบุกโจมตีด้วยอำนาจแห่งห้วงเวลา


หลิงฮันทะยานร่าง แต่เพียงแค่ก้าวเท้าก้าวแรกเขากลับพบว่าตัวเองนั้นราวกับเหยียบเข้าสู่แอ่งโคลน ความเร็วของเขาลดลงกว่าเดิมหลายเท่า แม้จะยังเร็วกว่าราชาเซียนคนอื่นๆแต่ก็ไม่ถือว่าได้เปรียบเท่าไหร่


“เหอๆ คิดว่าวิธีการเดิมจะใช้ได้ผล?” ราชาไค่หยุนแสยะยิ้ม เป็นเขาที่ใช้อำนาจแห่งห้วงเวลาทำให้กาลไหลของเวลารอบตัวหลิงฮันช้าลง ซึ่งความเร็วในการเคลื่อนที่ก็จะช้าตามไปด้วย


เขาเหงื่อไหลเล็กน้อย พลังต่อสู้ของหลิงฮันนั้นทรงพลังเทียบเท่ากับราชาเซียนขั้นต้น ต่อให้เขาเป็นราชาเซียนสูงสุดก็ตาม การจะยับยั้งความเร็วของหลิงฮันก็ยังเป็นเรื่องยากและไม่อาจรั้งไว้ได้นาน


“ฆ่า!” ราชาเซียนทุกคนเข้าปะทะห้ำหั่นกัน นอกจากราชาเซียนฝ่ายละเก้าคนที่พัวพันกันอยู่แล้ว ราชาเซียนที่เหลือได้ลงมือโจมตีใส่หลิงฮันพร้อมกันในขณะที่ความเร็วของหลิงฮันถูกยับยั้งเอาไว้


หลิงฮันแสยะยิ้ม ‘พรึบ’ รูปแบบอาคมสังหารถูกกระตุ้นใช้งาน ‘ครืนนน’ คลื่นแสงอันทรงพลังส่องสว่างออกมาจากภายในร่างกายของเขา อำนาจแห่งห้วงเวลาที่พันธนาการความเร็วของเขาอยู่ถูกฉีกกระชากแหลกออกเป็นเสี่ยงๆ ต่อหน้าความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้น ต่อให้เป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์แบบใดก็ไร้ความหมาย


ต่อหน้ารูปแบบอาคมสังหารที่ทรงพลังของหลิงฮัน อำนาจแห่งห้วงเวลาของราชาไค่หยุนไม่นับเป็นอันใดได้


“บัดซบ!” ราชาไค่หยุนสบถ ความจริงแล้วพลังต่อสู้ของเขานั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหลิงฮัน แต่เนื่องจากต้องคอยพยายามยับยั้งความเร็วของหลิงฮันเขาจึงไม่สามารถใช้พลังต่อสู้ได้เต็มที่ แต่ถึงจะให้เขาไปสู้กับหลิงฮันซึ่งๆหน้าเขาก็ไม่กล้าเสี่ยงเช่นกัน


หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แล้วเขาตายละ?


หากไม่ใช่เพราะนิสัยขี้ขลาดทำไมหลายปีที่ผ่านมานี้เขาถึงเก็บตัวอยู่แต่ในดินแดนต้องห้าม? ทำไมเขาต้องไปก่อตั้งดินแดนต้องห้ามในสถานที่ห่างไกลผู้คน?


หลิงฮันหลุดพ้นจากอำนาจห้วงเวลา เขาโคจรทักษะกายาแสงตะวันทองคำไร้เทียมทานทันที ร่างของเขามีแขนงอกออกมาสี่ข้างและปลดปล่อยทักษะนิรันดร์เข้าใส่ราชาไค่หยุนพร้อมกัน เป้าหมายแรกที่เขาต้องการสังหารคือจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้


เหตุผลแรกคือเขาอยากทำสัญญาที่ให้ไว้กับราชันวารีสวรรค์ลุล่วง เหตุผลที่สองคือราชาไค่หยุนเป็นภัยคุกคามต่อเขา อำนาจห้วงเวลาคือหนึ่งในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ทรงพลังที่สุด มันสามารถยับยั้งความเร็วของเขาเอาไว้ได้!


“อย่าได้ฝัน!” ราชาเซียนอีกห้าคนมีนิ่งเฉย พวกเขาปลดปล่อยทักษะยุทธเฉพาะตัวเข้าปะทะหลิงฮัน


หลิงฮันคำรามและทะยานร่างขึ้นท้องฟ้าเพื่อเปลี่ยนสถานที่ต่อสู้ ไม่เช่นนั้นหากเกิดการปะทะขึ้นที่นี่ ดาวมู่ถูจะพังทลายสิ้นซากแน่นอน


“ตาย!” ราชาเซียนทั้งหกไล่ตาม พวกเขากระหน่ำปลดปลอยการโจมตีจนเกิดคลื่นแสงไปทั่วพื้นที่ ราชาเซียนคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ การโจมตีแต่ละครั้งของพวกเขาสั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์และปฐพี


หลิงฮันหันหลังตอบโต้ราชาเซียนทั้งหก


ทักษะนิรันดร์มากมายที่ถูกใช้ออกมาพร้อมกับทำให้ราชาเซียนทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก เป็นไปได้อย่างไรที่คนคนเดียวจะสามารถใช้ทักษะนิรันดร์ได้มากมายพร้อมกัน! ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดคือทักษะดาบฟ้าคำรามที่ผสานเอาไว้ด้วยทักษะนิรันดร์มากมาย อำนาจของมันราวกับจะสะบั้นสวรรค์ขาดออกจากกัน!


พลังต่อสู้ของหลิงฮันนั้นเทียบเท่าได้กับราชาเซียนขั้นต้นเท่านั้น แต่เมื่อใช้งานรูปแบบอาคมสังหารเมื่อไหร่ พลังต่อสู้ของเขาจะยกระดับขึ้นจนเทียบเท่าได้กับราชาเซียนสูงสุด


เหล่าราชาเซียนตกตะลึงจนพูดไม่ออก นี่คือพลังต่อสู้แท้จริงของหลิงฮันที่ไม่ได้ใช้อำนาจนอกกายใดๆทั้งสิ้นและสามารถต่อสู้ได้โดยไม่มีเวลากำหนด หากจอมยุทธที่มีพลังระดับราชาเซียนต้องสู้กันจริงๆ การต่อสู้อาจยืดเยื้อนานถึงร้อยปี และในระยะเวลาร้อยปีนี้ต่อให้หลิงฮันเอาชนะพวกเขาไม่ได้ แต่เขาจะหลบหนีไม่ได้เลยเชียวรึ?


สุดท้ายแล้วความรุ่งโรจน์ของหลิงฮันก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ ตอนนี้เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ หากมีเวลาอีกไม่กี่ปีโลกบรรพกาลจะไม่มีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้เขาได้


“ฆ่า!” ราชาเซียนทั้งหกคำรามโหดเหี้ยม นี่คือโอกาสสุดท้าย หากไม่สังหารหลิงฮันในตอนนี้ในอนาคตคงไม่มีหวังอีกแล้ว


การปะทะอันดุเดือดปะทุขึ้นกลางห้วงอวกาศ


ต่างฝ่ายต่างต้องการที่จะเข่นฆ่ากัน หลิงฮันอยากสังหารเซียนที่หมายปองชีวิตของเขาเหล่านี้ เหล่าราชาเซียนก็อยากสังหารหลิงฮันเพื่อวาสนาอันยิ่งใหญ่


ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร ทักษะนิรันดร์มากมายระเบิดพลังออกมาจนทำให้เกิดแสงสว่างไปทั่วจักรวาล แม้จะเป็นเขตดวงดาวที่อยู่ห่างออกไปก็ยังมองเห็นคลื่นปะทะได้อย่างชัดเจน


ร่างของหลิงฮันปกคลุมไปด้วยโลหิต เขากำลังเผชิญหน้าศัตรูหกคนที่เป็นถึงราชาเซียน ถึงแม้จะมีเพียงสองคนที่บรรลุราชาเซียนสูงสุด แต่เมื่อทั้งหกคนร่วมมือกันโจมตี ต่อให้เป็นกายหยาบที่เทียบได้กับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบของเขาก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่


แต่ทางด้านของราชาเซียนทั้งหกก็ไม่ได้มีสภาพที่ไปกว่ากัน ราชาเซียนขั้นต้นสองคนมือและเท้าถูกตัดขาด ราชาเซียนขั้นกลางถูกหมัดกระใส่จนหน้าอกเป็นรู ราชาเซียนขั้นปลายถูกดาบไม้ผุพังทิ่มแทงใส่ช่วงล่างของร่างกายจนต้องสละช่วงล่างทิ้ง ไม่เช่นนั้นร่างกายของเขาจะถูกบดขยี้ทุกส่วนไม่เว้นแม้แต่ดวงวิญญาณ

 

 

 


ตอนที่ 1638 ไล่ล่าราชาไค่หยุน

 

ด้วยการที่การปะทะเป็นการรุมหกต่อหนึ่ง แถมสองในหกยังเป็นราชาเซียนสูงสุด ผลสุดท้ายพวกเขาก็สามารถควบคุมสถานการณ์ให้มาเป็นฝ่ายได้เปรียบได้ ในการปะทะวันที่สิบ หลิงฮันบาดเจ็บหนักจนยากที่จะสู้ต่อไหว


“ฆ่า!” ราชาเซียนทั้งหกคำรามโหดเหี้ยม พวกเขาใช้เวลาสิบวันในที่สุดก็ทำให้หลิงฮันตกอยู่ในสภาพปางตาย หากเจ้าหนูนี่หลบหนีไปได้ล่ะก็ พวกเขาคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว


“ขอโทษที แต่พวกเจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว!” หลิงฮันกล่าวอย่างเย็นชาพร้อมกับเผาผลาญหยดวารีนิรันดร์ บาดแผลทั้งหมดบนร่างกายถูกฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ในพริบตา


นี่มัน!


เซียนทั้งหกแทบจะบ้าคลั่ง พวกเขาพยายามอย่างหนักกว่าจะทำให้หลิงฮันปางตายได้ แต่พริบตาเดียวความพยายามของพวกเขากลับกลายเป็นศูนย์เปล่าอย่างสิ้นเชิง


“เขาต้องฟื้นฟูบาดด้วยทักษะลับบางแน่นอน ความสามารถเช่นนี้หากไม่คงสภาพได้ชั่วคราวก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่มหาศาล ไม่มีทางที่เขาจะใช้ทักษะเดิมได้อีกครั้ง”


“ใช้แล้ว ในเมื่อพวกเขาทำให้เขาปางตายได้ครั้งหนึ่ง พวกเราก็ต้องทำได้อีกครั้ง”


“พยายามกว่านี้!”


ราชาเซียนทั้งหกกระหน่ำรุมโจมตีอีกครั้ง หลิงฮันและราชาเซียนทั้งหกแลกเปลี่ยนกันสร้างบาดแผล หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดผ่านไปอีกสิบวัน เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตายอีกครั้ง เพียงแต่สภาพของราชาเซียนทั้งหกก็ย่ำแย่เป็นอย่างมาก ความเร็วของหลิงฮันได้สร้างความลำบากให้แก่พวกเขา


“ตาย!” ราชาเซียนทั้งหกคำรามอย่างเย็นชา ครั้งนี้หลิงฮันไม่มีทางรอดแน่


หลิงฮันโคจรเผาผลาญหยดวารีนิรันดร์อีกครั้ง บาดแผลของเขาฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน ระยะเวลาสิบวันเพียงพอที่จะทำให้หยดวารีนิรันดร์กลับมามีประสิทธิภาพสมบูรณ์ แต่ปัญหาก็คือตอนนี้เขาเหลือหยดวารีนิรันดร์อีกแค่สิบหยดเท่านั้น


ราชาเซียนทั้งหกหวาดผวา เป็นไปได้อย่างไร! พลังฟื้นฟืนอย่างสมบูรณ์เช่นนี้สมควรใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นไม่ใช่รึ นี่เจ้าเป็นอมตมรึไงกัน?


พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงอีกต่อไป บางทีหลิงฮันอาจจะไม่สามารถฟื้นฟูบาดแผลครั้งต่อไปได้แล้ว แต่ปัญหาคือพวกเขาแต่ละคนได้รับบาดเจ็บสาหัสหนทุกคน ก่อนหลิงฮันจะตายอาจจะเป็นพวกเขาที่ตายก่อน


พวกเขาต้องการวาสนาในตัวหลิงฮันก็จริง แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะเอาชีวิตตัวเองไปแลก


“ล่าถอย!”


ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกล่าว แต่ราชาเซียนทั้งหกรีบหันหลังหนีแทบจะพร้อมกัน


ทางด้านหลิงฮันนั้นไม่ต้องคิดให้เสียเวลา เขาจดจ้องราชาไค่หยุนและไล่ตามไปทันที


ต่อให้เขาจะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วกว่าใครได้ด้วยแสงอัสนี แต่การสังหารราชาเซียนทั้งหกก็ยังเป็นงานที่ยากอยู่ดี เพราะงั้นหากต้องเลือกสังหารใครสักคนย่อมต้องเป็นราชาไค่หยุน


“บัดซบ!” ราชาไค่หยุนสบถ หลิงฮันเลือกไล่ตามเขาแทนที่จะเป็นคนอื่นอย่างไม่ลังเล นี่คิดว่าเขาจะยอมตายง่ายๆรึ?


ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังเป็นถึงราชาเซียนสูงสุด!


ราชาไค่หยุนหันกลับมาโจมตีหลิงฮันด้วยทักษะอันทรงพลังเพื่อถ่วงเวลาก่อนจะเผ่นหนีเช่นเดิม


หลิงฮันโคจรแสงอัสนี ร่างของเขาปรากฏอยู่ข้างราชาไค่หยุนในพริบตา


“ฮึ่ม!” ราชาไค่หยุนโคจรอำนาจห้วงเวลา ‘ครืนน’ การไหลของเวลารอบกายเขาเริ่มปั่นป่วนแสดงภาพของอดีต ปัจจุบัน อนาคต หากเซียนระดับสูงสัมผัสโดนห้วงเวลารอบกายเขาร่างของเซียนระดับสูงผู้นั้นจะแหลกเป็นเศษซากทันที


หลิงฮันพุ่งทะยานเข้าไปอย่างไม่หวั่นเกรง ผิวหนังของเขาถูกอำนาจห้วงเวลาฉีกกระชากจนเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ หากไม่ใช่เพราะกายหยาบอันไร้เทียมทานเกรงว่าร่างของเขาคงแหลกไม่เหลือ


เขาโคจรอัสนีบาตชำระล้างโลกาเข้าต่อต้านอำนาจห้วงเวลา


ตามหลักแล้วอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห่วงเวลานั้นคือหนึ่งในอำนาจที่ทรงพลังที่สุด แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงเวลาของราชาไค่หยุนนั้นได้รับสืบทอดมาจากสายเลือดซึ่งถูกจำกัดพลังเอาไว้ด้วยพลังบ่มเพาะและความบริสุทธิ์ของสายเลือด


ตอนนี้ระดับพลังของราชาไค่หยุนคือราชาเซียนสูงสุด อำนาจห้วงของเขาจึงทรงพลังที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ แต่อัสนีบาตชำระล้างโลกาก็เป็นทักษะที่ได้รับมาจากหยดสายฟ้าสวรรค์ที่เป็นอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในโลกบรรพกาลเช่นกัน เพราะงั้นอำนาจของมันจึงไม่ได้ด้อยไปกว่าอำนาจห้วงเวลาของราชาไค่หยุน


ร่างของหลิงฮันพุ่งทะยานด้วยอัสนีบาตรชำระล้างโลกา อำนาจห้วงเวลาถูกบดขยี้ออกเป็นเสี่ยงๆ


ทักษะรัตติกาลเงาทมิฬ!


หลิงฮันใช้ทักษะนิรันดร์ต่อเนื่อง ความมืดมิดอันเป็นอนันต์ถูกปลดปล่อยออกมาล้อมร่างของราชาไค่หยุน


“เหอ ทักษะอ่อนหัดเช่นนั้นคิดว่าจะกักขังข้าผู้นี้ได้?” ราชาไค่หยุนแสยะยิ้ม เขาปล่อยฝ่ามือปราณก่อเกิดมหึมาใส่ความมืดมิด แต่ทันใดนั้นเขาก็พบว่าความมืดมิดรอบกายเขานั้นหนาแน่นเป็นอย่างมาก แม้จะปัดเป่าส่วนหนึ่งให้หายไปได้ ความมืดมิดคลื่นใหม่ก็จะเข้ามาเติมเต็มส่วนที่หายไป


“ดาบนิรันดร์เก้าชีพจร!” เขาคำรามพร้อมกับนำดาบออกมาปลดปล่อยทักษะ ทันทีที่ทักษะดาบถูกสะบั้นออกไป ความมืดมิดก็ถูกตัดแยกออกจากกันทันที


นี่คือเศษเสี้ยวทักษะนิรันดร์ระดับราชานิรันดร์ที่เขาแย่งชิงมาจากราชันวารีสวรรค์ เขาไม่กล้าใช้ทักษะนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นเพราะกลัวว่าจะตกเป็นเป้าหมายของดินแดนต้องห้ามทั้งหลาย แต่ตอนนี้รอบข้างไม่มีใครอยู่ แถมตัวเขาก็กำลังพบเจอความหายนะครั้งใหญ่ที่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิต แน่นอนว่าเขาต้องใช้ทุกสิ่งที่มีออกมาเพื่อให้ตนเองรอด


หลิงฮันนำดาบไม้ผุพังออกมาเข้าปะทะกับอุปกรณ์ดาบเซียนของราชาไค่หยุน ที่ไม่ใช่ดาบอสูรนิรันดร์เป็นเพราะมันยังเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเจ็ดเท่านั้น เขาไม่อยากสร้างความเสียหายให้แก่มัน ‘ฉัวะ’ ดาบไม่ผุพังสะบั้นออกด้วยทักษะดาบฟ้าคำราม ทักษะนี้มีผสานเอาไว้ด้วยอัสนีบาตรชำระล้างโลกาและกาลเวลาแปรผันพันปี


ราชาไค่หยุนอยากจะจับตัวหลิงฮันมาดูดซับพลังเสียแต่ตอนนี้ อีกฝ่ายนั้นมีเศษเสี้ยวอำนาจแห่งห้วงเวลาอยู่ ซึ่งจะช่วยยกระดับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห่วงเวลาในสายเลือดของเขาได้มากทีเดียว แต่ปัญหาคือแม้แต่ราชาเซียนถึงหกคนร่วมมือกันก็ยังเอาชนะหลิงฮันไม่ได้ แค่เขาใช้ทักษะราชานิรันดร์มีรึที่จะสังหารหลิงฮันได้สำเร็จ?


ทักษะระดับราชานิรันดร์ทรงพลังมากก็จริง แต่เขาได้รับมันมาเพียงเศษเสี้ยวและพลังของทักษะก็ถูกกำจัดด้วยพลังบ่มเพาะ


ทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด หากเป็นการปะทะตัวต่อตัวกับราชาเซียน หลิงฮันย่อมไม่เสียเปรียบ เขาคำรามดังลั่นพร้อมกับปลดปล่อยพลังต่อสู้ทั้งหมดออกมา


ราชาไค่หยุนก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน เขาต่อสู้กับหลิงฮันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ พลังต่อสู้ของทั้งสองคนกล่าวได้ว่าแทบจะใกล้เคียงกัน


หลิงฮันแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับราชาไค่หยุนอย่างไม่หวั่นเกรง ข้อได้เปรียบที่เขาเหนือกว่าใครๆคือพลังป้องกันอันไร้เทียมทานและหยดวารีนิรันดร์ที่สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้ในพริบตา นอกจากนี้ทักษะกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านก็ยังสามารถทำให้เขาฟื้นคืนจากความตายมาได้หนึ่งครั้ง


เขาคิดจะทำให้ราชาไค่หยุนเผาผลาญพลังของตนเองและร่วงหล่นสู่ความตายอย่างช้าๆ


ในเมื่อพลังต่อสู้เท่ากันก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ราชาเซียนสูงสุดคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หากพวกเขาถูกสังหารอย่างง่ายดายนี่สิถึงจะเป็นเรื่องแปลก

 

 

 


ตอนที่ 1639 อยากมีชีวิตจนน่าตะลึง

 

ราชาไค่หยุนสู้ไปได้ครู่หนึ่งก็หันหลังเผ่นหนี


หลิงฮันไล่ตามอย่างไม่ลดละ เขาต้องสังหารราชาไค่หยุนให้ได้ในครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยขี้ขลาดของอีกฝ่าย ราชาไค่หยุนจะต้องหลบซ่อนตัวจนยากที่จะหาพบแน่นอน


เขาไม่ได้มีเวลาอยู่ในโลกบรรพกาลนานขนาดนั้นเพื่อไล่ล่าจิ้งจอกเฒ่าผู้นี้


ต้องฆ่าให้ได้!


“เจ้าหนู อย่าได้ล้ำเส้นเกินไป!” ราชาไค่หยุนคำราม หลิงฮันที่เป็นเพียงเซียนระดับกลางกล้าดีอย่างไรมาไล่ล่าราชาเซียนสูงสุดเช่นเขา ต่อให้หลิงฮันมีพลังต่อสู้ที่เทียบได้กับราชาเซียนสูงสุดก็ตาม แต่หากใครได้ยืนเรื่องนี้เขาก็มีแต่จะกลายเป็นตัวตลกของผู้คน


แต่แน่นอนว่าต่อให้ต้องกลายเป็นตัวตลกอะไรเขาก็ไม่สนทั้งนั้น สิ่งเดียวที่เขาเป็นกังวลในตอนนี้คือชีวิตของตัวเอง ตราบใดที่เขาหลบหนีพ้นเขาจะหายตัวไปโดยไม่ปรากฏตัวให้หลิงฮันหาเจออีกเลย


หลิงฮันไม่คิดจะกล่าวตอบโต้อะไร ราชาไค่หยุนมีโชคชะตะจะต้องสิ้นชีพอยู่แล้วเหตุใดเขาต้องพล่ามให้เสียเวลาด้วย? ทางด้านของจักรพรรดินีกับจักรพรรดิพิรุณเขาก็ไม่เป็นกังวลเช่นกัน ทั้งสองบรรลุเป็นเซียนเรียบร้อยและมีพลังต่อสู้พอจะป้องกันตนเองได้แล้ว


ราชาไค่หยุนหลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ต่อหน้าความเร็วของหลิงฮันมีรึที่เขาจะหนีพ้น?


โดยปกติแล้วหากขึ้นชื่อว่าเซียน ไม่ว่าจะเป็นเซียนระดับต้น เซียนระดับสูงหรือราชาเซียนล้วนแต่มีความเร็วเท่ากัน หากเซียนคนหนึ่งคิดหลบหนีเซียนอีกคนก็ไม่อาจห้ามรั้งได้ เพียงแต่ว่าราชาไค่หยุนนั้นโชคร้ายที่มาพบกับหลิงฮันที่สามารถเคลื่อนเหนือใครด้วยอำนาจสายฟ้าและแสงอัสนี


ราชาไค่หยุนใช้อำนาจห้วงเวลากีดกันหลิงฮันอย่างไม่หยุดยั้งซึ่งได้ผลเป็นอย่างมาก เขาสามารถรั้งความเร็วของหลิงฮันเอาไว้ได้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าเมื่อระยะห่างระหว่างพวกเขาห่างกันเล็กน้อย อำนาจห้วงเวลาจะก็จะใช้การไม่ได้ผลและหลิงฮันก็ไล่ตามเขากลับมาทันเหมือนเดิม


ราชาไค่หยุนไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ตนเองต้องมาหลบหนีเหมือนหมาขี้แพ้เช่นนี้ จุดหมายของเขาคือดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆา ถึงแม้ที่นั่นจะไม่มีราชาเซียนคนอื่นคอยช่วยเหลือ แต่ที่นั่นก็มีรูปแบบอาคมอันทรงพลังที่เขาใช้เวลาหลายร้อยล้านปีสร้างขึ้นมาติดตั้งอยู่


คนที่หวาดกลัวความตายเช่นเขาแน่นอนว่าต้องเตรียมแหล่งกบดานที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ เขามั่นใจว่ารูปแบบอาคมที่เขาสร้างขึ้นนั้นต่อให้ราชาเซียนสิบคนร่วมมือกันก็ไม่สามารถต้านทานได้ เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วเขายังจำเป็นต้องหวาดกลัวหลิงฮันอยู่อีก?


ปัง! ปัง! ปัง! ตลอดการหลบหนีราชาไค่หยุนไม่อาจเลี่ยงการปะทะได้


สามปีผ่านไปอย่างรวดเร็วตั้งแต่ตอนที่ต่างฝ่ายต่างไล่ตามและไล่ล่า


แขนและขาอย่างละข้างของราชาไค่หยุนถูกตัดขาด บนหน้าอกปรากฏรูขนาดใหญ่และหูข้างหนึ่งหายไปเช่นกัน เพียงแต่ว่าต่อให้ขากับแขนจะขาดหายไป เขาก็ควบแน่นปราณก่อเกิดสร้างขาแขนเทียมขึ้นมาทดแทนได้ทำให้ความเร็วและพลังต่อสู้ไม่ได้ลดลงไป


ในทางตรงกันข้าม หลิงฮันนั้นด้วยการที่มีหยดวารีนิรันดร์เขาจึงไม่มีร่องรอยบาดแผลใดๆบนร่างกายเลยแม้แต่นิดเดียว


ใช้เวลาตั้งสามปีกว่าจะไล่ต้อนราชาไค่หยุนมาถึงขนาดนี้ได้ เขาไม่มีทางยอมหยุดไล่ตามแน่


ราชาไค่หยุนในตอนนี้เปรียบดั่งตะเกียงที่น้ำมันระเหยหายไปเกือบหมด เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยที่ไม่มีเวลาให้ฟื้นฟูพักตัว ยิ่งต้องปะทะต่อเนื่องไม่หยุดก็ยิ่งทำให้บาดแผลสาหัสขึ้น หากไม่ใช่เพราะเขาเป็นราชาเซียนสูงสุด บาดแผลสาหัสตามร่างกายคงทำให้เขาสิ้นชีพไปนานแล้ว


ใบหน้าของหลิงฮันยังคงขึงขังไม่แปรเปลี่ยน แขนทั้งสี่ข้างงอกออกมาด้วยทักษะกายาแสงตะวันทองคำไร้เทียมทาน ทักษะระดับนิรันดร์มากมายถูกกระหน่ำปลดปล่อยออกมาไม่ยั้ง


ราชาไค่หยุนคำราม ตอบโต้และเผ่นหนี ระยะทางกว่าจะไปถึงดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆายังต้องเดินทางอีกราวๆหนึ่งปี ต่อให้หลิงฮันไม่โจมตีปลิดชีพและคอยกดดันเขาอย่างเดียว เกรงว่าอีกไม่ถึงหนึ่งปีเขาก็มีโอกาสที่จะตกตาย


ต้องหาทางฟื้นฟูบาดแผลก่อนจะตาย แต่หากจะฟื้นฟูได้ก็ต้องสังหารหลิงฮันเสียก่อนหรือไม่ก็สลัดหลิงฮันให้หลุด ซึ่งไม่ว่าวิธีไหนก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาทำได้ทั้งนั้น


หากเป็นราชาเซียนคนอื่น เมื่อพบเจอศัตรูเช่นหลิงฮันบางทีพวกเขาอาจจะเลือกสู้สุดชีวิตดีกว่าหลบหนี แต่ราชาไค่หยุนนั้นต่างออกไป ความหวงแหนชีวิตของเขานั้นมีมากเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการ


ราชาไค่หยุนแบกร่างที่บาดเจ็บหลบหนีอย่างไม่ลดละ เขาต้องการมีชีวิตอยู่!


สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ราชาไคหยุนโจมตีและหลบหนี หลิงฮันโจมตีและไล่ล่า กว่าจะรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปแล้วอีกครึ่งปี


มาถึงจุดนี้แม้แต่หลิงฮันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชมเชยในความปรารถนาอยากมีชีวิตอันแรงกล้าของราชาไค่หยุน


เพียงแต่ว่าความรู้สึกต้องการฆ่าของหลิงฮันก็ไม่ได้สั่นคลอน


ราชาไค่หยุนต้องตาย!


เขาคำรามพร้อมกับสะบั้นดาบไม่ผุพัง คลื่นแสงอันทรงพลังปะทุออกมาจนราชาไค่หยุนต้องหยุดหันกลับมาตอบโต้อีกครั้ง


“เจ้าหนูบัดซบ อย่าให้คิดจะว่าสังหารข้าได้!” ราชาไค่หยุนขยับร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลและตอบโต้หลิงฮัน ‘ปัง’ การโจมตีตอบโต้ครั้งนี้ทำให้บาดแผลของเขาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีกจนกระอักโลหิตออกมา


เขาไม่ได้อยากเข้าปะทะกับหลิงฮันแต่ก็ไม่มีทางเลือก หากเขาไม่ตอบโต้ชีวิตของเขาก็จะสูญสิ้นทันที


ต้องรีบกลับไปดินแดนต้องห้าม!


ความมุ่งมั่นนี้คือทุกสิ่งที่ทำให้เขายังประคองชีวิตอยู่ได้


หลิงฮันไล่ตามและโจมตีสังหารราชาไค่หยุนมานานแล้วถึงสามปีครึ่ง เหตุการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดกับตัวเองมาก่อน


การไล่ล่าสังหารดำเนินต่อไปอีกหกเดือน พวกเขาเข้าใกล้ดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆาเข้าไปทุกที โดยที่ตอนนี้ร่างของราชาไค่หยุนไม่ได้มีสภาพเหมือนเดิมอีกต่อไป


โลหิตในร่างของเขาถูกเผาผลาญไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว ร่างกายของเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับกระดูกที่มีหนังหุ้ม ปราณก่อเกิดที่มีก็ถูกผลาญแทบจะหมดแล้ว ที่ใบหน้าของเขานั้นไร้ดวงตาอีกต่อไป สิ่งที่ปรากฏอยู่มีเพียงรูสีดำสองรูที่ส่องแสงสลัวราวกับวิญญาณคนตาย


ในที่สุดก็มาถึง!


ราคาไค่หยุนฉีกมิติ ดินแดนต้องห้ามไค่หยุนที่ซ่อนอยู่ปรากฏออกมากลางห้วงอวกาศ เกรงว่าต่อให้เป็นราชาเซียนก็ไม่อาจตามหาที่นี่พบ ร่างที่ไร้รูปทรงดูไม่ได้ของเขารีบพุ่งเข้าไปทันที ทางด้านหลิงฮันเองก็ไล่ตามไปอย่างไม่ลังเลและกระหน่ำโจมตีต่อ


“เจ้าหนูบัดซบ มอบชีวิตของเจ้ามา!” ราชาไค่หยุนระเบิดเสียงหัวเราะ มือของเขาขยับเป็นท่วงท่า ‘ครืนน’ คลื่นแสงอันเย็นยะเยือกลอยออกมาจากด้านในดินแดนต้องห้าม ‘พรึบ’ คลื่นแสงสลายไปปรากฏเป็นหอกยาวสามง่ามอยู่ในมือซ้ายราชาไค่หยุน กลิ่นอายของตราประทับที่สลักอยู่บนหอกยาวสามง่ามนี้ดูทรงพลังเป็นอย่างมาก


ในขณะเดียวกัน รูปแบบอาคมที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งดินแดนต้องห้ามถูกกระตุ้นใช้งาน ออร่าอันไร้สิ้นสุดถูกปลดปล่อยออกมาจากรูปแบบอาคมและควบแน่นกลายเป็นมังกรทองแดงโบราณมหึมา


ราชาไค่หยุนยืนอยู่บนศีรษะของมังกรทองแดงและจดจ้องมาที่หลิงฮัน ตอนนี้อาวุธทรงพลังได้มาอยู่ในมือเขาและรูปแบบอาคมโบราณได้ถูกกระตุ้นใช้งานแล้ว ความมั่นใจของเขาหวนกับคืนมาและไม่หวาดกลัวที่จะสู้กับหลิงฮันอีกต่อไป


“ท่านประมุข!” ภายในดินแดนต้องห้าม ทุกคนอุทานออกมา


มนุษย์กระดูกนั่นใช้ประมุขของพวกเขาจริงๆ?


เหลือเชื่อ ราชาไค่หยุนคือตัวตนระดับเซียนสูงสุดแถมยังมีสายเลือดเผ่ามังกร ตราบใดที่ไม่ตกอยู่ในสภาพปางตายจริงโลหิตในร่างก็สมควรที่จะคงสภาพสมบูรณ์เอาไว้ได้ตลอดเวลา ไม่มีทางเลยที่เขาจะอยู่ในสภาพไร้โลหิตเช่นนี้


นะ นะ นี่เขากำลังพบเจอกับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวขนาดไหนกัน!

 

 

 


ตอนที่ 1640 ปลิดชีพราชาไค่หยุน

 

ราชาไค่หยุนกวัดแกว่งหอกสามง่ามและกำลังจะลงมือโจมตี แต่ทันใดนั้นจู่ๆมือของเขาก็หยุดชะงักและสั่นสะท้านจนแทบจะจับหอกสามง่ามเอาไว้ไม่อยู่


พลังชีวิตของเขากำลังแห้งเหือดและใกล้ตาย!


ที่จริงด้วยบาดแผลสาหัสขนาดนี้เขาไม่สมควรกลับมาถึงดินแดนต้องห้ามได้ด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะความมุ่งมั่นที่อยากมีชีวิตอยู่ทำให้เขาลากสังขารมาถึงจุดนี้ได้


แต่ต่อให้ความมุ่งมั่นจะแรงกล้าแต่ไหนบาดแผลก็ไม่ได้หายไป ในทางกลับกัน เมื่อพลังชีวิตถูกเผาผลาญจนหมดสิ้นแล้วเขาจะมีชีวิตต่อไปได้?


ร่างกายอันเหี่ยวแห่งเหลือแต่กระดูกและดวงวิญญาณที่ใกล้จะสูญสิ้นนั้น เปรียบเสมือนไฟของแท่งเทียนที่เมื่อถูกลมพัดก็พร้อมจะดับมอดตลอดเวลา


เขากำลังจะตาย!


ราชาไค่หยุนตกตะลึง หากเขาร่างกายของเขาไม่ได้เหลือแต่กระดูกใบหน้าของเขาคงแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาแล้ว


ไม่! ไม่! ไม่! ไม่!


สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดคือความตาย ความปรานารถอยากมีชีวิตของเขารุนแรงกว่าใครทุกคน ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่สามารถหลบหนีกลับมาได้ทั้งๆที่ตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเช่นนี้และยอมทิ้งชีวิตไปแล้ว


ใบหน้าที่ไร้ดวงตาของเขากวาดมองไปยังทุกคนในดินแดนต้องห้าม


“ท่านประมุขจัดการเลย”


“ท่านประมุขสังหารหมอนั่นให้ตาย!”


“ท่านประมุขผู้ไร้เทียมทาน!”


สมาชิกตระกูลฉงทุกคนโห่ร้องให้กำลังใจราชาไค่หยุน ในความคิดของทุกคนที่นี่ ประมุขของพวกเขาคือสัญลักษณ์อันไร้พ่าย ยิ่งเมื่อมีรูปแบบอาคมและอุปกรณ์เซียนในมือด้วยแล้ว เขาไม่มีทางแพ้ให้แก่ใคร


ฟืบบบบ!


ราชาไค่หยุนสูดลมหายใจอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นพายุ


พายุที่ปรากฏขึ้นก่อให้เกิดแรงดูดอันทรงพลัง ทันใดนั้นเอง เหล่าสมาชิกตระกูลก็ร้องโอดครวญออกมาอย่างทรมาน พวกเขารู้สึกราวกับว่ากล้ามเนื้อและโลหิตกำลังถูกดึงออกจากร่าง!


ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้


แรงดูดของพายุนั้นรุนแรงเกินกว่าที่สมาชิกตระกูลฉงจะต้านทานไหว กล้ามเนื้อและโลหิตของพวกเขาถูกฉีกแยกออกมาจากร่างจนเหลือแต่กระดูกในพริบตา กล้ามเนื้อและโลหิตของพวกเขาทั้งหมดลอยเข้าสู่พายุและก่อตัวกลายเป็นมังกรทองแดง


บางคนที่ยังไม่บรรลุระดับพระเจ้า ดวงวิญญาณได้หลุดออกจากร่างทันที โครงกระดูกที่ไม่มีอะไรยึดติดร่วงลงกับพื้นและสิ้นชีพในพริบตา


เหล่าสมาชิกที่บรรลุระดับพลังพระเจ้าแล้วยังสามารถคงสภาพดวงวิญญาณให้ติดอยู่กับโครงกระดูกได้ ตราบใดที่ปราณก่อเกิดไม่หมดพวกเขาก็สามารถฟื้นฟูสร้างกล้ามเนื้อและโลหิตกลับมาได้ เพียงแต่พวกเขาทุกคนก็ต้องพบกับความสิ้นหวัง คลื่นพายุที่นึกว่าสิ้นฤทธิ์ได้เริ่มทำการดูดดวงวิญญาณของพวกเขาไปด้วย


พวกเขาไม่อาจทำอะไรได้ ดวงวิญญาณของสมาชิกตระกูลทุกคนถูกดูดเข้าไปในพายุทันที แม้แต่ตัวตนระดับเซียนก็ไม่มีข้อยกเว้น ต่อหน้าแรงดูดระดับราชาเซียนสูงสุดที่ถือครองอุปกรณ์เซียนระดับสูงและควบคุมรูปแบบอามคมอยู่ การขัดขืนของพวกเขากลายเป็นสูญเปล่าอย่างสิ้นเชิง


“ทำไมกัน!”


“ท่านประมุข ทำไมกัน?”


เหล่าสมาชิกที่ถูกดูดวิญญาณร้องโอดครวญด้วยความไม่ยินยอม เหตุใดประมุขถึงได้ทำเรื่องเช่นนี้กับพวกเขา


ราชาไค่หยุนไม่แยแส ท่ามกลางท้องฟ้า กล้ามเนื้อ โลหิตและดวงวิญญาณก่อตัวกันเป็นมังกรทองแดงมหึมา สมาชิกตระกูลฉงทุกคนมีสายเลือดของมังกรห้วงเวลา เพราะงั้นเมื่อแก่นโลหิตและดวงวิญญาณของพวกเขาผสานรวมเข้าด้วยกันถึงได้เกิดเป็นภาพเช่นนี้


ราชาไค่หยุนอ้าปากและสูดลมหายใจ พร้อมกันนั้นมังกรทองแดงมหึมาก็ลอยเข้าหาเขาและหล่อเลี้ยงถ่ายเทพลังทั้งหมดให้แก่เขา


กล้ามเนื้อและโลหิตฟื้นสภาพขึ้นมาจากร่างที่มีแต่โครงกระดูก แต่ถึงอย่างนั้นสภาพของราชาไค่หยุนก็ยังไม่กลับสู่สภาพสมบูรณ์ ร่างกายของเขาแค่กลับมาดูเหมือนมนุษย์กว่าก่อนเท่านั้น


นั่นก็ช่วยไม่ได้ ระดับพลังบ่มเพาะของเขาสูงเกินไป กล้ามเนื้อและโลหิตของสมาชิกตระกูลทุกคนจึงทำให้เขาฟื้นฟูบาดแผลเล็กน้อยและหนีพ้นความตายมาได้เท่านั้น


“ตาย!” เขาคำรามและกวัดแกว่งหอกยาวสามง่ามใส่หลิงฮัน รูปแบบอาคมมังกรทองแดงที่อยู่ใต้เท้าระเบิดอำนาจห้วงเวลาออกมาพร้อมกัน


เขารังเกียจหลิงฮันเป็นอย่างมาก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะหลิงฮัน หากเขาไม่ถูกไล่ต้อนจนปางตายมีรึที่เขาจะดูดกลืนแก่นโลหิตและดวงวิญญาณของสมาชิกตระกูลตนเอง?


แต่เขาก็ไม่รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปเท่าไหร่ ตราบใดที่เขามีชีวิตอยู่ตระกูลย่อมสามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ตลอด แต่ในทางกลับกัน หากเขาตายตระกูลฉงก็ถึงคราวจบสิ้น


“เจ้ามันต่ำทรามยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน!” ใบหน้าของหลิงฮันเผยถึงความเย็นชา นิสัยเฉกเช่นราชาไค่หยุนไม่อาจนับว่าเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป


แม้เขาจะเป็นศัตรูกับราชาไค่หยุนแต่เขาก็ไม่เคยคิดที่จะสังหารทุกชีวิตบนดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆา อย่างมากเขาก็แค่จะทำลายที่นี่ทิ้งและสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไป แต่ทว่าราชาไค่หยุนนั้นเพื่อที่ตนเองจะได้มีชีวิตอยู่เขาถึงขนาดดูดกลืนชีวิตของเหล่าทายาทตนเองได้อย่างไม่ลังเล


“ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า!” ราชาไค่หยุนคำรามและกระหน่ำโจมตี


ตอนนี้เขามีอุปกรณ์เซียนะระดับสูงอยู่ในมือและมีรูปแบบอาคมคอยสนับสนุน พลังต่อสู้ของเขาสมควรทรงพลังยิ่งกว่าเดิม แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าอย่างไรสภาพร่างกายของเขาในตอนนี้ก็อ่อนแอเกิน การดูดกลืนชีวิตของสมาชิกตระกูลทั้งหมด เพียงพอที่จะทำให้เขาหนีพ้นความตายมาได้เท่านั้นซึ่งห่างกับกับสภาพสมบูรณ์เป็นอย่างมาก


หลิงฮันไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว


เขากระหน่ำปลดปล่อยทักษะนิรันดร์ออกไปไม่ยั้ง ราชาไค่หยุนพยายามสุดความสามารถเพื่อต่อต้าน เพียงแต่ด้วยร่างกายเช่นนี้ราชาไค่หยุนจะรั้งการปะทะเอาไว้ได้นาน? ผ่านไปหนึ่งพันกว่ากระบวนท่า สภาพของเขาก็กลับไปปางตายอีกครั้ง


ครั้งนี้ไม่มีใครให้เขาดูดกลืนอีกต่อไป


“อยากรู้เหลือเกินว่าเมื่อไปพบหน้าสมาชิกตระกูลในนรกเจ้าจะทำหน้าอย่างไร!” หลิงฮันกวัดแกว่งดาบคู่ เล่มหนึ่งสะบั้นคอราชาไค่หยุนในขณะที่อีกเล่มแท่งทะลวงเข้าที่หน้าอก


ราชาไค่หยุนยังเหลือพลังพอจะต่อต้าน?


‘ฉัวะ’ ศีรษะของเขากระเด็นลอยขึ้นฟ้า หน้าอกถูกแทงทะลุแผ่นหลัง


ราชาไค่หยุนไม่ยินยอม เขาสลัดดวงวิญญาณออกจากร่างเพื่อดิ้นรนเฮือกสุดท้าย หลิงฮันไม่ลังเลที่จะใช้ดาบอสูรนิรันดร์ผ่าดวงวิญญาณของอีกฝ่ายออกเป็นสองส่วน


ดวงวิญญาณทั้งสองส่วนของราชาไค่หยุนยังคงพยายามเชื่อมต่อกลับเข้าหากันแต่ก็ทำไม่สำเร็จ


“ทำไมต้องเป็นข้า?” เขาคำรามออกมาอย่างไม่ยินยอม ก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่แค่คนเดียวที่รุมต่อสู้กับหลิงฮัน แต่เหตุใดหลิงฮันถึงได้เพ่งเล็งไล่ล่าสังหารเขาแค่คนเดียวตั้งสี่ปี?


“ก็แค่กรรมตามทันเจ้าเท่านั้น” หลิงฮันกล่าวเย็นชา “ข้าได้รับมรดกสืบทอดของราชันวารีสวรรค์และสัญญาเอาไว้ว่าจะส่งเจ้าลงสู่นรก”


ว่าไงนะ!


ดวงวิญญาณของราชาไค่หยุนสั่นสะท้านก่อนจะเลิกดิ้นรน… ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!


เขาหัวเราะอย่างอเนจอนาถ จากผลกรรมที่เขาทรยศราชันวารีสวรรค์ในตอนนั้น ในที่สุดร้อยปีต่อมาเขาก็ถูกลงทัณฑ์


“ฮ่าๆๆๆ!” ดวงวิญญาณราชาไค่หยุนหัวเราะลั่นก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็วจนเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า


หนึ่งในราชาเซียนแห่งยุคสมัย ร่วงหล่นไปอีกหนึ่ง!


ทันทีที่ราชาไค่หยุนตาย หอกสามง่ามก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า รูปแบบอาคมที่สูญสิ้นผู้ควบคุมก็หยุดทำงาน


หลิงฮันสลายทักษะทั้งหมดก่อนจะชำเลืองมองโดยรอบและถอนหายใจ


เบื้องท้องฟ้าที่เขายืนอยู่ ทุกพื้นที่กองพะเนินไปด้วยซากศพ กลิ่นโลหิตลอยฟุ้งไปทั่วจนรู้สึกได้ถึงความเศร้าโศกที่รุนแรง

 

 

 


ตอนที่ 1641 ตามรอย

 

หากราชาไค่หยุนไม่ได้ทรยศราชันวารีสวรรค์ตั้งแต่แรก ป่านนี้เขาคงได้เข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนและอาจจะบรรลุเป็นนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานไปแล้ว


แต่ตอนนี้ล่ะ?


นอกจากเขาจะไม่ได้รับทักษะบ่มเพาะราชานิรันดร์แล้ว เขายังไม่สามารถมีอายุขัยอันเป็นนิรันดร์ได้อีก


หลิงฮันส่ายหัว เขาตรวจสอบดินแดนต้องห้ามและพบเจอแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์กับสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำจำนวนหนึ่ง แน่นอนว่าเขายึดพวกมันเป็นของตนเองอย่างไม่ลังเลก่อนจะนั่งลงเพื่อพักหายใจ การไล่ล่าเป็นเวลาสี่ปีทำให้ร่างกายของเขาเหนื่อยล้าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


ต่อให้จะเป็นเซียน หากต่อสู้ติดต่อกันเป็นเวลากว่าสี่ปีก็จำเป็นต้องพักผ่อนฟื้นสภาพร่างกาย


หืม?


หลิงฮันพบว่าแม้ร่างกายของเขาจะฟื้นฟูกลับสู่สภาพสมบูรณ์แล้วแต่ปราณก่อเกิดกลับเอ่อล้นไหลเข้ามาในร่างของเขาไม่หยุด ดวงดาวในวงโคจรวิถีดาราจักรเองก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วที่น่าสะพรึง


หลิงฮันรู้สึกดีใจมาก ไม่คาดคิดว่าการต่อสู้อันดุเดือดที่ยาวนานถึงสี่ปีจะทำให้พลังของเขาพัฒนาอย่างก้าวกระโดด


ครึ่งปีต่อมาในที่สุดการพัฒนาของเขาก็หยุดลง จำนวนดวงดาวในวงโคจรวิถีดาราจักรในตอนนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นห้าสิบล้านดวง!


ห้าสิบล้าน!


จำนวนดวงดาวของเซียนระดับกลางขั้นสูงสุดคือหนึ่งร้อยล้านดวง นั่นแสดงว่าเขาบ่มเพาะพลังมาได้ครึ่งทางและบรรลุเป็นเซียนระดับกลางขั้นกลางเรียบร้อยแล้ว แค่เขาควบแน่นดวงดาวได้อีกหนึ่งดวงพลังบ่มเพาะของเขาก็จะยกระดับเป็นเซียนระดับกลางขั้นปลาย


ยอดเยี่ยม!


ทีนี้เขาควรจะไล่ล่าตามหาราชาเซียนคนอื่นๆดีรึเปล่า?


หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัว หากไม่ใช่เพราะราชาไค่หยุนเป็นเป้าหมายของเขา เขาคงไม่ตามไล่ล่าสังหารอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ สำหรับราชาเซียนที่เป็นศัตรูคนอื่นๆ เขาค่อยสะสางเมื่อบรรลุเป็นเซียนระดับสูงก็ไม่สาย


เขาลุกขึ้นยืนและมุ่งหน้ากลับดาวมู่ถู แม้สหายส่วนใหญ่จะอยู่ในหอคอยทมิฬแล้ว แต่จักรพรรดินีและจักรพรรดิพิรุณก็ยังอยู่ที่ดาวดวงนั้น


การเดินทางกลับต้องใช้เวลาราวๆสี่ปี ในระหว่างทางหลิงฮันไม่ลืมที่จะกินเม็ดยาเพื่อบ่มเพาะพลัง


เพียงแต่ว่าเม็ดยาที่เขากินนั้นไม่ใช่เม็ดยาระดับเซียน ประสิทธิภาพของมันจึงมีจำกัด


เขาเคลื่อนที่ผ่านห้วงอากาศอย่างโดดเดี่ยวเป็นเวลาสี่เดือนและกลับมาถึงดาวมู่ถูในที่สุด


แปดปีผ่านไปหลังจากสงครามของเหล่าเซียน ราชาเซียนที่เป็นศัตรูทุกคนออกจากดาวมู่ถูไปแล้วเนื่องจากหวาดกลัวการแก้แค้นของหลิงฮัน ตราบใดที่หลิงฮันก้าวเข้าสู่เซียนระดับสูงได้ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อีกต่อไป


เกรงว่าดินแดนต้องห้ามเหล่านั้นคงจะย้ายแหล่งกบดานหนีไปแล้ว


หลิงฮันไม่เร่งรีบไปตามหาพวกเขาเพื่อแก้แค้น การต่อสู้กับราชาไค่หยุนทำให้เขารู้ตัวว่าด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้การสังหารราชาเซียนสักคนเป็นเรื่องที่ยากเย็นขนาดไหน เขายังต้องบ่มเพาะเพราะและขัดเกลาพลังต่อสู้ของตนเองให้สูงขึ้นเสียก่อน เมื่อถึงเวลาเขาจะสามารถกำราบราชาเซียนเหล่านั้นได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือ


เขาประหลาดใจเล็กน้อยทันทีที่กลับมาถึงดาวมู่ถู เหตุใดถึงไม่มีใครปรากฏตัวต้อนรับเขาเลย?


หลังจากใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบทั่วดวงดาว เขาได้พบว่า ณ เวลานี้บนดวงดาวไม่มีตัวตนระดับเซียนอยู่เลยแม้แต่คนเดียว


เหล่าราชาเซียนฝ่ายศัตรูเอาชนะราชาเซียนฝ่ายสนับสนุนเขาได้ จักพรรดินีกับพวกเซียนซิงฉาจึงต้องหลบหนี?


หลิงฮันเรียกศิษย์คนหนึ่งมาไต่ถาม ที่แท้ไม่กี่ปีก่อนได้มีโบราณสถานปรากฏขึ้นมานั่นเอง จักรพรรดินีและพวกเซียนหวู่เซียงรู้สึกสนใจจึงได้ออกเดินจากไปสำรวจและยังไม่กลับมา


โบราณสถานที่ว่านี้ไม่เคยปรากฏให้เห็นมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีใครเลยที่มีข้อมูลเกี่ยวกับมัน


หลิงฮันให้ทุกคนในหอคอยทมิฬออกมา ถึงแม้การบ่มเพาะพลังใต้ต้นสังสารวัฏจะได้ประสิทธิภาพที่สุด แต่พวกเขาก็ไม่ควรเอาแต่บ่มเพาะพลังที่นั่นตลอดเวลา


เขาตัดสินใจไปดูโบราณสถานที่ว่า จักพรรรดินีและคนอื่นๆไปที่นั่นตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้วแต่ก็ยังไม่กลับมา บางทีอาจจะมีอันตราบอะไรเกิดขึ้นกับพวกนางก็เป็นได้ซึ่งเขาย่อมไม่อาจนิ่งเฉย


เขา สตรีนกอมตะและเซียนหวู่เซียงออกเดินทาง คนอื่นๆที่ยังไม่บรรลุระดับเซียนไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น


โบราณสถานอยู่ไม่ไกลจากดาวมู่ถู มันอยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งเขตดวงดาวเท่านั้น หากเดินทางด้วยเรือเหาะเหินดาราอาจต้องใช้เวลาราวๆหนึ่งถึงสองเดือน แต่หากเป็นเซียนเพียงแค่ครึ่งวันก็ถึง


ทั้งสามคนมาถึงพิกัดดวงดาวอันเป็นจุดหมายอย่างรวดเร็ว พวกเขาพบเห็นภูเขาที่ปรากฏออกมาจากห้วงอวกาศอันว่างเปล่ากำลังลอยไปมา เพียงแต่ว่าทั่วทั้งภูเขานั้นได้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกลึกลับ ซึ่งส่งผลให้ภูเขาดูเลือนรางราวกับไม่ได้อยู่ในโลกนี้


เนื่องจากโบราณสถานเช่นนี้คือโลกจำลองจึงไม่สามารถผ่านเข้าไปตรงๆได้แต่ต้องเข้าผ่านทางเข้าพิเศษ


ไม่จำเป็นต้องมองหาทางเข้าให้เสียเวลาเนื่องจากคนที่มาที่นี่ไม่ได้มีแค่พวกเขาสามคน ที่บริเวณด้านหน้ามีเรือเหาะเหินดาราจำนวนมากจอดอยู่ราวกับเป็นป้อมปราการดวงดาว


ทั้งสามคนปกปิดออร่าของตนเอง เนื่องจากออร่าของเซียนอาจจะทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นี่เข่าอ่อนยืนไม่ไหว หลิงฮันไม่ชอบให้คนอื่นคุกเข่าต่อหน้าตนเอง


“โอ้ ช่างเป็นสตรีที่งดงามนัก” ใครบางคนผิวปากแซวสตรีนกอมตะ


การปรากฏของโบราณสถานได้ดึงดูดขุมอำนาจมากมาย ไม่เพียงแค่ขุมอำนาจระดับเซียนแต่ขุมอำนาจระดับวารีนิรันดร์ก็เช่นกัน


ชายหนุ่มที่เอ่ยแซวสตรีนกอมตะคือจอมยุทธระดับสุริยันจันทราที่มีพรสวรรค์ไม่ธรรมดา


สตรีนกอมตะหันหน้าชำเลืองมอง ‘ปัง’ คลื่นพลังอันรุนแรงจากสายตาของนางกระแทกใส่ร่างของชายหนุ่มลอยกระเด็นพร้อมกับกระอักโลหิตติดต่อกันสิบครั้ง ใบหน้าของอีกฝ่ายกลายเป็นซีดเผือด ทั่วร่างเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ


เขาไม่กล้าปากดีอีกต่อไป เมื่อทรงตัวได้ก็รีบหันหลังเผ่นหนีอย่างรวดเร็ว


หลิงฮันไม่เก็บเรื่องของอีกฝ่ายมาใส่ใจ สายตาของเขาจดจ้องไปยังโบราณสถานเบื้องหน้า ภายในโบราณสถานนี้มีพื้นที่กว้างขวางจนแม้แต่เซียนก็ไม่สามารถกลับออกมาได้แม้เวลาจะผ่านไปห้าปี? หรือเหล่าเซียนเกิดสงครามแย่งชิงสมบัติกันและยังหาผู้ชนะไม่ได้?


“ไปกัน!” สตรีนกอมตะดึงร่างหลิงฮัน


หลิงฮันพยักหน้า ทั้งภรรยาและพี่ชายของเขาอยู่ด้านใน หากไม่เข้าไปดูให้รู้แน่เขาคงไม่อาจทำใจให้สงบ


“หืม นั่นศิษย์พี่หลิงไม่ใช่รึ!” น้ำเสียงอันตกตะลึงดังขึ้น ร่างของหลงเซียงเยว่ทะยานเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม


หลิงฮันยิ้มและเอ่ยตอบ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”


“ข้าออกจากตระกูลมาผ่อนคลายกับอาสาวของข้า แต่พอได้ยินว่ามีโบราณสถานปรากฏออกมา พวกเขาเลยลองมาดูเสียหน่อย” นางกล่าวพร้อมกับรีบหันหลังโบกมือไปยังตำแหน่งที่หลงอวี่ซานยืนอยู่


ดูเหมือนว่าหลงอวี่ซานจะไม่ต้องการพบหน้าหลิงฮัน แต่เพราะถูกหลงเซียงเยว่เรียก นางจึงต้องจำใจเดินเข้ามา


“หืม!” ทันทีที่นางเห็นหลิงฮัน สีหน้าของนางก็เผยถึงความตกตะลึงขั้นสุด  “เจ้าบรรลุระดับเซียนแล้ว!” นางอุทานเสียงเบา เกรงว่านอกจากนางแล้วคงไม่มีใครอื่นได้ยิน


เหลือเชื่อ เมื่อราวๆสิบปีก่อนหลิงฮันยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์อยู่เลยแท้ๆ แต่ทว่าตอนนี้กลับบรรลุเป็นเซียนแล้ว?

 

 

 


ตอนที่ 1642 เซียน!

 

แม้ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์จะอยู่ห่างจากระดับสร้างสรรพสิ่งเพียงก้าวเดียว แต่ในฐานะจอมยุทธที่ทะลวงผ่านมาก่อน หลงอวี่ซานย่อมรู้ว่ามันเป็นก้าวเดียวที่ยากลำบากขนาดไหน


แม้จะเป็นตัวนางที่มีพรสวรรค์อันล้ำเลิศและสายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่ามังกรก็ยังต้องใช้เวลาสองล้านปีในการทะลวงผ่านจากระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดเป็นระดับสร้างสรรพสิ่ง


แต่หลิงฮันกลับใช้เวลาสิบกว่าปีเท่านั้น!


นางไม่สามารถมองเห็นระดับพลังหรืออายุของหลิงฮันได้อีกต่อ ที่นางรู้มีเพียงแค่อีกฝ่ายยังเยาว์วัยเป็นอย่างมากเนื่องจากโลหิตภายในร่างยังคงเดือดพล่านราวกับเพิ่งออกมาจากตำหลอม


แต่บางทีการที่ไม่รู้ก็อาจจะเป็นเรื่องดีเหมือนกัน หากนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับอีกฝ่ายแล้วมีแต่จะทำให้หมดกำลังใจเสียเปล่าๆ ต่อหน้าหลิงฮัน ใครบางที่กล้าโอ้อวดว่าตนเองเป็นอัจฉริยะ?


ดวงตาที่เหม่อลอยของนางบังเอิญไปตกลงที่ร่างของสตรีนกอมตะและเซียนหวู่เซียง ใบหน้าของนางเผยถึงความตกตะลึงออกมาอีกครั้ง


เซียนอีกสองคน!


สตรีนกอมตะนั้นเป็นเซียนที่ดูเยาว์วัยมากอีกคน แต่ในทางกลับกัน ทางด้านของเซียนหวู่เซียงนั้นถึงแม้โลหิตของเขาจะเดือดพล่านดูเยาว์วัยแต่ดวงวิญญาณนั้นเต็มไปด้วยความผันผวนแห่งวัฏจักร นางคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นร่างเกิดใหม่อายุของร่างกายและดวงวิญญาณจึงไม่เท่ากัน


“สหายทั้งสาม!” หลงอวี่ซานไม่กล้าทำตัวสูงส่งและโค้งตัวให้กับทั้งสามคนเล็กน้อย


แม้นางจะเคยเห็นเหตุการณ์ที่หลิงฮันสังหารเซียนมาก่อน แต่ในความคิดของนางตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็ยังเป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่ไม่ได้มีสถานะสูงส่งเทียบเท่าเซียนจริงๆ


เซียนหวู่เซียงและสตรีนกอมตะโค้งตัวตอบรับพอเป็นพิธี ในเมื่อท่าทางของหลิงฮันดูเหมือนจะให้เกียรติอีกฝ่าย พวกเขาเองก็ต้องให้เกียรติไปตามๆกัน


หลงเซียงเยว่ชะงัก เหตุใดอาสาวของนางถึงได้เรียกทั้งสามคนว่าสหาย?


หรือว่า!


นางไม่อยากจะเชื่อความคิดของตนเองจึงได้เผลออุทานออกไป “หลิงฮัน เจ้าทะลวงผ่านเป็นเซียนแล้ว?”


พรวด!


คนอื่นๆรอบด้านที่ได้ยินคำอุทานของนางระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


ดูเหมือนสตรีผู้นี้จะไม่รู้จักโลกอันกว้างใหญ่เสียเลย นางต้องมาจากเขตดวงดาวที่อยู่ห่างไกลสุดขอบจักรวาลเป็นแน่ถึงได้คิดว่าชายหนุ่มที่อายุน้อยเช่นนั้นเป็นเซียน!


ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีตัวตนระดับเซียนอยู่กี่คนกันเชียว? ยิ่งกว่านั้นเซียนคนไหนบ้างที่จะไม่มีผมและคิ้วที่ขาวโพลน? หากไม่ใช่จอมยุทธที่บ่มเพาะพลังจนใกล้สิ้นอายุขัยแล้วจะบรรลุเป็นเซียนได้อย่างไร?


“อืม” หลิงฮันพยักหน้าตอบหลงเซียงเยว่ ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ทั่วทั้งโลกบรรพกาลเขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใคร


“ยอดเลย!” หลงเซียงเยว่ปรบมือ นางรู้สึกภาคภูมิใจที่บุรุษที่นางมีใจให้เป็นคนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้


“แม่นาง อย่าได้โดนหลอก!” ใครบางคนกล่าวกับนาง “มีพวกหลอกลวงมากมายมักอ้างว่าตนเองเป็นปรมาจารย์หรือไม่ก็ทายาทของขุมอำนาจทรงพลัง แท้จริงแล้วคนประเภทนี้เป็นเพียงแค่จอมยุทธทั่วไปที่มุ่งหวังจะหลอกเอาสมบัติหรือไม่ก็หวังอยากทำเรื่องกามอารมณ์”


หลงเซียงเยว่เกรี้ยวกราดทันที จะบอกว่าหลิงฮันหวังจะหลอกฟันนางงั้นรึ? ฮึ่ม ที่จริงนางก็ต้องการเช่นนั้นเหมือนกันแต่หลิงฮันไม่ได้ต้องการนางแม้แต่น้อย


แต่นางก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล อีกฝ่ายต้องการเตือนนางด้วยความหวังดีเพราะงั้นนางจึงไม่ตอบโต้อะไรและเมินเฉยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน


“หลิงฮัน เจ้าสุดยอดจริงๆ!” นางหันกลับมามองหลิงฮันด้วยแววตาเป็นประกาย


“ช่างเป็นสตรีที่โง่เขลารัก!” คนที่เอ่ยเตือนนางก่อนหน้านี้ส่ายหัว เหตุใดสตรีงดงามผู้นี้ถึงได้ถูกหลอกง่ายนัก


“โอ้ ถ้าเช่นนั้นข้าขอคำชี้แนะจากเซียนหน่อยจะได้รึไม่!” รุ่นเยาว์คนถึงเดินกร่างเข้ามาด้วยใบหน้าหยิ่งยโส เขากวาดสายตามองสตรีนกอมตะ หลงเซียงเยว่และหลงอวี่ซาน


จากสายตาของเขาก็สามารถรับรู้ได้แล้วว่ากำลังคิดชั่วร้ายอะไรอยู่


“นั่นมันนายน้อยเจ็ดของตระกูลหยาง?”


“ไม่ผิดแน่ เขาคือหยางหมิงที่กล่าวกันว่าเป็นอัจฉริยะที่สามารถบรรลุระดับดาราขั้นสูงสุดได้เมื่อสามพันปีก่อน เขาเคยมีโอกาสจะได้เข้าร่วมสำนักละอองดาราแต่ว่าเพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันครั้งใหญ่ขึ้นที่ตระกูลหยางเขาจึงพลาดโอกาสนั้นไป ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยพรสวรรค์ของหยางหมิงเขาจะผ่านการคัดเลือกและกลายเป็นศิษย์ของสำนักละอองดาราได้อย่างแน่นอน”


“ว่าไงนะ หากพูดถึงสำนักละอองดาราแล้ว ไม่ใช่ว่าใครที่จะเข้าร่วมเป็นศิษย์ได้ล้วนแต่ต้องเป็นอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติกลายเป็นเซียนหรอกรึ?”


“ถูกแล้ว ศิษย์ทุกคนของสำนักละอองดารา ไม่ว่าใครต่างก็มีศักยะภาพพอจะบรรลุเป็นเซียน”


ในเขตดวงดาวนับร้อยโดยรอบมีเพียงอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าร่วมเป็นศิษย์ของสำนักละอองดารา ศิษย์เหล่านั้นต่อให้บรรลุเป็นเซียนไม่สำเร็จแต่ก็ต้องกลายเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ได้อย่างไร้ข้อกังขา


“หยางหมิง!” สตรีจำนวนหนึ่งกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง


หยางหมิงยืนนิ่งแหงนหน้าชี้ฟ้าอย่างองอาจ


หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้เขาไม่สนใจที่จะต่อสู้กับจอมยุทธรุ่นเยาว์อีกต่อไป เขาหันไปกล่าวกับหลงอวี่ซาน“จะไปด้วยกันไหม?”


“แน่นอน!” หลงเซียงเยว่รีบตอบตกลงอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าหลงอวี่ซานจะปฏิเสธ


หลงอวี่ซานถอนหายใจ นางรู้ว่าหลานสาวของนางกำลังมีความรัก แต่ทางด้านหลิงฮันนั้นดูเหมือนจะไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย


นางคงต้องหาโอกาสพูดคุยเรื่องนี้กับหลงเซียงเยว่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป


“ไปกันเถอะ”


พวกเขาเตรียมจะก้าวเดินเข้าสู่โบราณสถาน


“เจ้า!” หยางหมิงเกรี้ยวกราดและพุ่งทะยานขึ้นหน้าหวังจะคว้าไหล่หลิงฮัน “ในเมื่อเจ้าเป็นเซียน งั้นก็มาประลองแลกเปลี่ยนกัน”


ครืนนน!


หลิงฮันปลดปล่อยเศษเสี้ยวออร่าเซียนออกมา ‘ตุบ’ ร่างของหยางหมิงทรุดลงกับพื้นทันที เหงื่อของเขาไหลท่วมหน้าปากโดยรู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังอยู่ต่อหน้าประตูแห่งความตาย


“ซะ… ซะ…. เซียน!” เขากล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ ออร่าของอีกฝ่ายคือเซียนไม่ผิดแน่เนื่องจากตัวเขาที่บรรลุระดับดาราขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดแล้วนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ออร่าของตัวตนระดับวารีนิรันดร์จะสร้างความหวาดกลัวให้เขาได้เพียงนี้


พรวด!


ทุกคนที่อยู่รอบข้างสำลักออกมา ดวงตาของพวกเขาเปิดกว้างจนแทบถลน


เซียน?


เป็นไปได้อย่างไรที่เซียนจะเยาว์วัยเช่นนี้!


หยางหมิงรีบคุกเข่าคารวะหลิงฮัน เมื่อครู่ที่เขาคิดชั่วร้ายกับเหล่าสตรีของเซียนนั้น แค่ยังไม่ถูกสังหารก็นับว่าอีกฝ่ายใจกว้างมากแล้ว!


“คารวะเซียน!” เขาทิ้งร่างของตนเองลงกับพื้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพอย่างถึงที่สุด


หลิงฮันไม่คิดจะลดตัวเองลงไปเสวนากับอีกฝ่ายและสะบัดมือด้วยอย่างไม่แยแส


หยางหมิงไม่กล้าลึกขึ้นยืน เขารู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าจะมีเซียนที่ใจกว้างขนาดนี้อยู่ด้วย


“หยุด!” ในขณะที่พวกหลิงฮันกำลังจะก้าวเดินอีกครั้ง จู่ๆน้ำเสียงอันมืดมนก็ดังขึ้นมา รุ่นเยาว์ที่ถูกสตรีนกอมตะขับไล่ไปก่อนหน้านี้ปรากฏตัวกลับมาอีกครั้งพร้อมกับมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างกาย ชายวัยกลางคนมีท่าทีหยิ่งโยเป็นอย่างมากและปลดปล่อยออร่าระดับดาราออกมาอย่างไม่เกรงกลัว


“กล้าดีอย่างไรมาลงมือกับคนของตระกูลถงของข้า พวกเจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตแล้วสินะ?” ชายวัยกลางคนคำราม

 

 

 


ตอนที่ 1643 ส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งเซียน

 

ฟังจากเสียงอวดดีของชายวัยกลางคนแล้ว ผู้คนรอบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าแปลกประหลาด ทั้งสองคนกำลังจะทำเรื่องน่าอับอายเข้าแล้ว


ทุกคนรู้จักสองคนที่ปรากฏตัว ชายวัยกลางคนมีชื่อว่าถงอี้ ส่วนรุ่นเยาว์มีชื่อว่าถงเหวินจง ตระกูลถงของพวกเขาคือขุมอำนาจระดับวารีนิรันดร์ ประมุขตระกูลถงคือปรมาจารย์ที่บรรลุเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดเมื่อหนึ่งร้อยล้านปีก่อน


แต่หลิงฮันคือใคร?


เซียน!


ต่อหน้าเซียน ต่อให้เป็นปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดก็ไม่นับเป็นอันใดได้


พวกเจ้ากล้าตะโกนใส่เซียนเช่นนั้น หากไมใช่การแส่หาความตายแล้วจะเป็นอะไร?


“พี่ชายถงอี้ ท่านทำท่าทางเสียมารยาทกับผู้อาวุโสแบบนั้นได้อย่างไร? รีบขอโทษเดี๋ยวนี้!” ใครบางคนรีบกล่าวเตือนซึ่งดูเหมือนเขาจะเป็นสหายกับชายวัยกลางคนถงอี้


ถงอี้มองไปยังคนที่กล่าวเตือนก่อนจะเค้นเสียงในใจ นี่เจ้าใช่สหายของข้าจริงรึเปล่า? อีกฝ่ายก็แค่โชคดีบรรลุระดับดาราในทั้งๆที่อายุน้อยเท่านั้น เหตุใดถึงต้องยกย่องอีกฝ่ายว่าเป็นผู้อาวุโสด้วย?


“จะเป็นผู้อาวุโสหรืออะไรก็ช่าง ในเมื่อทำร้ายคนตระกูลถงของข้าต่อให้เป็นราชาสวรรค์ที่สูงส่งก็ต้องคุกเข่าขออภัย!” เขากล่าวอย่างหยิ่งผยอง


“โอหัง!” หยางหมิงลุกขึ้นและถลึงตาใส่ถงอี้


“หืม น้องชายหยาง!” ถงอี้ชะงัก เขาอาจจะไม่ค่อยรู้จักคนอื่นมากนัก แต่เขาย่อมรู้จักหยางหมิงที่เป็นผู้นำรุ่นเยาว์แห่งยุค ชื่อเสียงของอีกฝ่ายโด่งดั่งไปถึงเขตดวงดาวรอบข้าง


อัจฉริยะผู้นี้มีโชคชะตาที่จะกลายเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่แข็งแกร่งเขาจึงต้องมีท่าทางสุภาพ ตอนนี้เขาอาจจะเรียกอีกฝ่ายว่าน้องชายหยาง แต่ต้องมีสักวันแน่ที่เขาจะเรียกอีกฝ่ายว่าปรมาจารย์หยาง


“ยังไม่รีบขออภัยผู้อาวุโสอีก!” หยางหมิงคำรามเสียงเย็นชา ต่อให้เขายังต้องคุกเข่าเพื่อขอโทษอีกฝ่าย แล้วเจ้าล่ะเป็นใครยิ่งใหญ่มาจากไหน


ถงอี้ชะงัก ขนาดหยางหมิงก็ยังกล่าวเช่นนั้น? รุ่นเยาว์ตรงหน้านี้มีขุมอำนาจที่ทรงพลังอยู่เบื้องหลัง? ระ ระ หรือว่าอีกฝ่ายจะเป็นทายาทของเซียน! ต้องใช่แน่ ไม่เช่นนั้นแล้วทายาทของขุมอำนาจระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดเช่นหยางหมิงคงไม่มีท่าทางเช่นนี้


ใบหน้าของถงอี้แปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือกด้วยความหวาดกลัว


หลิงฮันยิ้ม เขาพยักหน้าให้กับหลงอวี่ซานและหลงเซียงเยว่ก่อนจะจับมือสตรีนกอมตะเดินผ่านทางเข้าโบราณสถานไปพร้อมกัน


ถงอี้จ้องมองหลิงฮันจากด้านหลังโดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ เมื่อกลุ่มหลิงฮันทั้งห้าคนจากไปเขาก็รีบเอ่ยถามหยางหมิงทันที “น้องชายหยาง รุ่นเยาว์ผู้นั้นมีเบื้องหลังแบบใดกัน?”


“รุ่นเยาว์ผู้นั้น?” หยางหมิงเค้นเสียงกล่าวเย็นชา “คนผู้นั้นคือเซียน!”


พรวด!


ถงอี้สำลักและหายใจติดขัดทันที เขากล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “น้องชายหยาง เจ้าไม่ได้ขู่ข้าใช่หรือไม่ เป็นไปได้อย่างไรที่เซียนจะเยาว์วัยขนาดนั้น?”


“ฮึ่ม ใช้เวลาคิดให้ดีแล้วกันว่าจะขอโทษผู้อาวุโสคนนั้นอย่างไร ไม่เช่นนั้นคนที่ซวยจะไม่ใช่แค่เจ้าแต่ตระกูลถงของเจ้าจะถูกลบหายไปอย่างสมบูรณ์!” หยางหมิงกล่าว คำพูดของเขาไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด ความโกรธของเซียนนั้นแม้แต่สวรรค์และปฐพีก็ยังต้องเปลี่ยนสี


เขาสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป


ในขณะเดียวกัน สหายของถงอี้เองก็ส่ายหัวและจากไป คำกล่าวเตือนก่อนหน้านี้ของเขาคือการช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถแล้ว


“ผู้อาวุโสเจ็ด จะทำอย่างไรกันดี?” ถงเหวินจงเอ่ยถามถงอี้ด้วยใบหน้าเศร้าโศก


“ทำอย่างไรงั้นรึ? ข้าจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าควรทำอย่างไร!” ถงอี้ตบใบหน้าของถงเหวินจงด้วยความโกรธ “เจ้าตัวบัดซบ หากเจ้าอยากตายก็ตายไปคนเดียว ทำไมต้องลากคนอื่นไปเกี่ยวด้วย?”


ถงเหวินจงอยากจะร้องไห้ เขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ดูอายุน้อยขนาดนั้นจะเป็นเซียน


……


หลิงฮันลืมเหตุการณ์ไร้สาระที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ในขณะที่เดินเข้าประตูทางเข้ามาได้สักพักและมาถึงจุดหนึ่งจู่ๆเขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายก็เกิดการชะงัก


พริบตาต่อเขาร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นในโลกที่แตกต่าง


สิ่งแรกที่สัมผัสได้จากที่นี่เลยคือพลังวิญญาณที่เข้มข้นกว่าปกติหลายร้อยเท่า หากบ่มเพาะพลังที่นี่ การสะสมปราณก่อเกิดคงเป็นไปอย่างรวดเร็วเกินบรรยาย ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมเหล่าเซียนถึงไม่กลับออกมาจากที่นี่


“ช่างเป็นพลังวิญญาณที่หนาแน่นอะไรอย่างนี้” เซียนหวู่เซียงตะลึง “ข้าที่เคยเดินทางไปดวงดาวต่างๆมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่เคยพบเจอสถานที่ใดที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้มากก่อน”


สตรีนกอมตะพยักหน้าและกล่าว “หากที่นี่ไม่ปิดเสียก่อน พวกเราสามารถบ่มเพาะพลังจนบรรลุเป็นเซียนระดับสูงแล้วค่อยกลับออกไปก็ไม่เสียหาย”


หลิงฮันกวาดสายตามองรอบด้านที่มีแต่ภูเขาสูงเสียดฟ้า แม้แต่สายตาของเซียนก็ไม่อาจมองไม่เห็นยอดเขา


“ภูเขาเหล่านี้ไม่ได้แค่สูงอย่างเดียวแต่ยังมีพลังงานลึกลับบางอย่างคอยขัดขวางสัมผัสสวรรค์ของพวกเรา” เซียนหวู่เซียงกล่าว


ทั้งห้าคนเหินร่างขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อมองสำรวจภาพรวมจากมุมมองด้านบน เพียงแต่ว่าเพื่อพวกเขาลอยขึ้นสูงถึงจุดจุดหนึ่ง พวกเขากลับพบว่าพลังงานลึกลับอันทรงพลังได้เหนี่ยวรั้งพวกเขาเอาไว้ทำให้ไม่สามารถขึ้นไปสูงกว่าเดิมได้


ต่อให้พวกเขาจะเป็นเซียน ความสูงที่สามารถลอยได้ก็คือราวๆพันลี้เท่านั้น หลิงฮันที่แข็งแกร่งกว่าใครสามารถฝืนลอยขึ้นไปได้ถึงสามพันลี้ แต่เมื่อเทียบกับความสูงเสียดฟ้าของภูเขาแล้ว ความสูงเพียงสามพันลี้ไม่สามารถนับเป็นอันใด


ยิ่งทางด้านของหลงเซียงเยว่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางไม่สามารถลอยขึ้นสูงกว่าระยะความสูงร้อยลี้


หลังจากทั้งห้าร่อนลงสู่พื้น หลิงฮันและคนอื่นๆก็หันมองหน้ากันด้วย


“โบราณสถานนี้คือส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งเซียนที่หลุดรอดออกมาไม่ผิดแน่!”


นอกจากดินแดนแห่งเซียนแล้ว สถานที่ใดในโลกบรรพดาลจะมีพลังวิญญาณที่หนาแน่นเช่นนี้? นอกจากดินแดนแห่งเซียนแล้ว อำนาจใดจะสามารถเหนี่ยวรั้งเซียนไม่ให้เหาะเหินได้?


“บางที่ที่นี่อาจจะมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำอยู่จำนวนมาก แม้แต่สมุนไพรนิรันดร์อาจจะมีโอกาสได้พบเห็น!” ดวงตาของหลิงฮันส่องประกาย ในดินแดนแห่งเซียนสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำไม่สมควรเป็นสมบัติที่ล้ำค่ามากนัก


“อะไรคือดินแดนแห่งเวียน?” หลงอวี่ซานเอ่ยถาม


หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะตอบ “เหนือดินแดนของพวกเรายังมีดินแดนที่สูงกว่า อืม… แต่จะกล่าวแบบนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว ดินแดนแห่งเซียนนั้นแท้จริงเคยเป็นส่วนหนึ่งของโลกบรรพกาล”


เขาสรุปข้อมูลที่มีและเล่าอธิบายถึงที่มาของดินแดนแห่งเซียนให้สตรีตระกูลหลงทั้งสองฟัง


หลงอวี่ซานและหลงเซียงเยว่ชะงักร่างแข็งค้าง ในตอนแรกพวกนางก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้ แต่มีรึที่หลิงฮันจะแต่งเรื่องหลอกพวกนาง?


เหนือสิ่งอื่นใด พลังวิญญาณของที่นี่ก็หนาแน่นเกินกว่าจะหาเหตุผลอื่นมาอธิบายได้


ทันใดนั้นเองจู่ๆร่างของหลงเซียงเยว่ก็ทรุดตัวราวกับไร้เรี่ยวแรง หลงอวี่ซานรีบประคองนางเอาไว้และกล่าว “เกิดอะไรขึ้น?” หรือเป็นเพราะนางจะตกตะลึงเรื่องดินแดนแห่งเซียนมากเกินไปจนเข่าอ่อน?


“พลังวิญญาณของที่นี่รุนแรงเกินไปจนร่างกายของข้าปรับสภาพไม่ไหว” หลงเซียงเยว่กล่าว

 

 

 


ตอนที่ 1644 สิ่งมีชีวิตภายในเขตแดนลี้ลับ

 

พลังวิญญาณของที่นี่หนาแน่นจนจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ต้านทานไม่ไหว!


ช่างน่าทึ่งนัก


พวกเขาทุกคนเลือกที่จะเดินหน้าต่อ สภาพแวดล้อมภายในนี้ดูเงียบสงัดเป็นอย่างมาก พื้นที่โดยรอบปกคลุมไปด้วยป่าหนาทึบที่ไม่มีร่องรอยของสัตว์หรือแมลงเลยแม้แต่ตัวเดียว ราวกับว่าโลกภายในโบราณสถานแห่งนี้มีเพียงป่าไม้ธรรมชาติ


พวกเขาไม่รู้ว่าจะมุ่งหน้าไปทางไหนดีจึงเลือกที่จะปีนขึ้นไปบนยอดเขา


ผ่านไปครึ่งวันพวกเขาก็ยังปีนขึ้นไปไม่ถึงยอด ยิ่งพวกเขาขึ้นไปสูงเท่าไหร่แรงกดดันที่ได้รับก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนรู้สึกทรมาน โดยเฉพาะหลงเซียงเยว่ เหงื่อของนางหยดไหลเป็นทางไม่หยุด


แต่ถึงอย่างนั้นนางกลับใจแข็งไม่ยอมแพ้ นางกัดฟันเดินต่อโดยที่ไม่ปริปากขอพักเลยสักคำ


หลงอวี่ซานที่เห็นเช่นนั้นก็ทนดูไม่ไหวและจับนางเข้าไปในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ หากไม่ทำเช่นนี้แม้นางจะสามารถประคองตัวเองไหว แต่ก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงคนอื่นเสียเปล่าๆ


หลิงฮันไม่กล่าวอะไร ในขณะที่กำลังเดินอยู่จู่ๆจิตใจของเขาก็สั่นไหว เขารีบหันกลับไปผลักฝ่ามือเข้าใส่หลงอวี่ซาน


“หมายความว่าอย่างไร?” แม้หลงอวี่ซานจะไม่ได้ระวังตัวเอาไว้ แต่ประสาทสัมผัสของเซียนก็สามารถทำให้สัญชาตญาณของนางปัดป้องการโจมตีของหลิงฮันได้ทัน ร่างของนางถูกคลื่นแทกส่งลอยลอยไปด้านหลังสามร้อยเมตร


นี่เป็นเพราะหลิงฮันไม่ได้เอาจริง ไม่เช่นนั้นแค่พลังต่อสู้ของเซียนระดับกลางทั่วไปก็สามารถสังหารหลงอวี่ซานได้ในหนึ่งกระบวนท่าแล้ว


หลิงฮันไม่กล่าวอธิบายเพราะมันไม่จำเป็น


‘ตูม!’


เงาสีดำปรากฏออกมาและทำการโจมตี เป้าหมายของมันคือตำแหน่งเดิมที่หลงอวี่ซานเคยยืนอยู่


“ฮึ่ม!” เซียนหวู่เซียนสะบัดมือนำดาบออกมาสะบั้นเข้าใส่เงาสีดำ


ดาบนั่นคืออุปกรณ์เซียนที่หลิงฮันมอบให้เขา สมบัติระดับเซียนจำนวนมากที่เขาได้มาจากห้องสมบัติของราชันวารีสวรรค์แทบจะทุกชิ้นนั้นเขามอบให้สหายของเขาไปแทบทั้งหมด


‘พรึบ’ ดาบเซียนส่องประกายด้วยอักขระรูปแบบอาคม อำนาจที่สัมผัสได้ทรงพลังเป็นอย่างมาก


แต่ทว่าเงาสีเดานั้นมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่รวดเร็วมาก ‘ฉึบ’ มันใช้กรงเล็บของมันต้านทานคลื่นดาบได้อย่างทันท่วงที


‘ปัง’ คลื่นปะทะดังก้องกังวาน เงาสีดำสั่นสะท้านล่าถอยหลังในขณะที่ร่างของเซียนหวู่เซียงเองก็โซเซเล็กน้อยและก้าวถอยหลังยี่สิบกว่าก้าว หลิงฮันตกตะลึง โครงสร้างของสวรรค์และปฐพีภายในนี้ทนทานเป็นอย่างมาก ภายใต้อำนาจของคลื่นปะทะเมื่อครู่ แม้พืชบางต้นจะถูกบดขยี้ไม่เหลือซากแต่ภูเขากลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆแม้แต่น้อย


หลงอวี่ซานเขาใจแล้วว่าเมื่อครู่นางเข้าใจหลิงฮันผิดและจดจ้องไปยังเงาสีดำ


เงาสีดำนั้นแท้จริงแล้วคือเสือดำทมิฬที่มีลำตัวยาวราวๆหนึ่งฟุตและสูงครึ่งฟุตเท่านั้น ที่สะดุดตาคือหางของมันที่ยาวถึงสามฟุต ปลายหางของมันปรากฏเป็นหัวอสรพิษที่กำลังขยับไปมา


หลงอวี่ซานเค้นเสียงเย็นชา นางกระตุ้นสายเลือดเผ่ามังกรและลงมือโจมตีเสือดาวแปลกประหลาดทันที หมัดของนางแปรเปลี่ยนเป็นหัวมังกรแท้จริงและปลดปล่อยลมหายใจมังกร


มังกรแท้จริงนั้นภายใต้เจ็ดย่านฟ้ามันคือสัตว์อสูรที่ทรงพลังที่สุดในโลก


เพียงแต่ว่าเสือดาวประหลาดตนนี้ราวกับว่ามันไม่หวาดกลัวอำนาจมังกรเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันท่าทางของมันเหมือนกับถูกยั่วยุด้วยซ้ำ มันอ้าปากแยกเขี้ยวหน้าสองเขี้ยวที่ยาวและมีอักขระรูปแบบอาคมสลักเอาไว้ราวกับอุปกรณ์เซียน!


ร่างของมันพุ่งทะยานจู่โจมหลงอวี่ซานด้วยความเร็วที่รวดเร็วเกินพรรณนา


‘พรึบ!’


มันยกอุ้งเท้าหน้าขึ้น กรงเล็บของมันเองก็มีอักขระรูปแบบอาคมส่องประกายอยู่เช่นกัน กรงเล็บอันแหลมคมของมันถูกกวัดแกว่งต้านทานลมหายใจมังกรของหลงอวี่ซานพร้อมกับอ้าปากเพื่อหวังกัดเข้าที่ข้อมือของนาง


ด้วยเขี้ยวที่แหลมคมราวกับอุปกรณ์เซียน เกรงว่าหากแขนของหลงอวี่ซานถูกกัด แขนของนางจะต้องขาดแน่นอน


ร่างของหลิงฮันเคลื่อนที่ด้วยแสงอัสนี ความเร็วของเขาเหนือกว่าเสือดาวทมิฬและยื่นแขนออกไปป้องกันหลงอวี่ซานได้ทัน


ฟันของเสือดาวทมิฬกัดเข้าที่ข้อมือหลิงฮัน


หลงอวี่ซานอุทานด้วยความตะลึง พริบตาเดียวเมื่อครู่จู่ๆความรู้สึกบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในจิตใจของนาง


ก่อนหน้านี้นางเพิ่งตำหนิด่าอีกฝ่ายไปแท้ๆ แต่ทว่าหลิงฮันกลับไม่เก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจแถมยังยอมสูญเสียแขนของตัวเองแทนนางอีก!


จิตใจของนางรู้สึกหวั่นไหวอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความตะลึง ฟันของเสือดาวที่กัดลงมานั้นไม่สามารถทำให้ข้อมือของหลิงฮันหลุดออกจากแขนได้ ในทางกลับกันเป็นเสือดาวทมิฬเองที่ค่อยๆอ้าปากดึงฟันกลับไปพร้อมกับมีโลหิตไหลออกมาจากปาก เกรงว่าหากไม่ใช่เพราะฟันของมันทนทานเทียบเท่าอุปกรณ์เซียน ฟันหน้าอันแหลมคมทั้งสองของมันคงจะแตกหักไปแล้ว


นี่เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่า?


หลงอวี่ซานมองไปยังหลิงฮันด้วยแววตาตะลึง นางรู้ว่าในโลกนี้มีจอมยุทธบางคนที่มีกายหยาบพิเศษ แต่เมื่อเทียบกับหลิงฮันที่สามารถใช้ร่างกายตนเองต้านทานอุปกรณ์เซียนได้แล้ว เกรงว่ากายหยาบพิเศษที่นางเคยเห็นมาจะไม่อาจเทียบได้เลยแม้แต่น้อย


เสือดาวทมิฬปากชาและไม่อาจรู้สึกได้ถึงฟันคู่หน้าของตัวเอง มันรีบกระโดดล่าถอยไปด้านหลังและโค้งตัวเล็กน้อย ดวงตาของมันจดจ้องมายังหลิงฮันราวกับเตรียมพร้อมกับจะจู่โจมตลอดเวลา


“น่าแปลก” หลิงฮันกล่าว “เสือดาวตัวนี้เป็นสัตว์อสูรระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นต้นไม่ผิดแน่แต่มันกลับไม่มีสติปัญญาใดๆและคิดแต่จะเข่นฆ่าสังหารศัตรู”


อัศจรรย์นัก


พูดตามหลักแล้วเมื่อใดที่สัตว์อสูรบรรลุระดับภูผาวารี ไม่เพียงแค่พวกมันจะมีสติปัญญานึกคิดแต่พวกมันยังสามารถแปลงกายให้อยู่ในรูปร่างมนุษย์ได้ด้วย แต่ว่าทั้งๆที่เสือดาวตัวนี้มีพลังบ่มเพาะอยู่ในระดับแนวหน้าของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วมันกลับมีเพียงสัญชาตญาณฆ่าฟัน?


“แปลกอย่างที่ว่า!” เซียนหวู่เซียงพยักหน้า “พลังต่อสู้ของมันเองก็ทรงพลังมากเช่นกัน กล่าวได้ว่ามันคือราชาในหมู่เซียนระดับต้น!”


เซียงหวู่เซียงกับหลงอวี่ซานเคยปะทะกับเสือดาวทมิฬมาแล้ว แม้จะเป็นเพียงกระบวนท่าเดียวก็เพียงพอให้พวกเขาคาดเดาพลังต่อสู้ของมันได้


แต่เซียนระดับต้นจะอยู่ในสายตาของหลิงฮัน?


ฝ่ามือของเขาถูกผลักออกไป ‘ครืนน’ ภายในฝ่ามือของเขาปรากฏดวงตะวัน จันทรา และดวงดาวราวกับกำลังสร้างโลกใบใหม่


เสือดาวประหลาดขนลุกซู่ไปทั่วร่างด้วยความหวาดกลัว มันรีบหันหลังเผ่นหนีอย่างรวดเร็ว


โชคร้ายที่ต่อหน้าหลิงฮัน ความเร็วของเซียนนั้นไม่เพียงพอ


ตูม!


เสือดาวทมิฬถูกกำราบลงไปนอนกองกับพื้นทันที มันคำรามโอดครวญใส่หลิงฮันอย่างโหดเหี้ยมราวกับจะกลืนกินหลิงฮันทั้งเป็น นิสัยของมันเต็มไปด้วยสัญชาตญาณดิบของสัตว์ป่า

 

 

 


ตอนที่ 1645 กล่าวเตือน

 

“น่าสนใจ” หลิงฮันกล่าวพร้อมกับปลดปล่อยสัมผัสสวรรค์นำร่างของเสือดาวทมิฬเข้าสู่หอคอยทมิฬ


AnchorAnchor


หลงอวี่ซานตกตะลึง หลิงฮันกล้านำสัตว์อสูรระดับเซียนเข้าไปยังอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร? นี่เขาไม่กลัวว่าเสือดาวนั่นจะทำลายอุปกรณ์มิติของเขารึไง?


อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่อุปกรณ์เซียน นอกจากการที่สามารถนำสิ่งมีชีวิตใส่เข้าไปได้แล้วมันก็ไม่ได้ทนทานไปกว่าอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป


“ทำไมเสือดาวตัวนั้นถึงไม่มีสติปัญญา?” สตรีนกอมตะสงสัยเป็นอย่างมาก


หลิงฮันครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าว “มนุษย์เช่นพวกเราเป็นที่รู้จักกันไปฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาสูงสุด แต่หากพวกเราอยู่อาศัยและเติบโตในป่าที่ห่างไกลโลกตั้งแต่เกิด พวกเราก็อาจจะมีเพียงสัญชาตญาณเอาตัวรอดโดยไม่มีสติปัญญาเช่นกัน”


“แต่การที่มันบ่มเพาะพลังได้แถมยังบรรลุระดับพลังที่สูงขนาดนั้น เป็นไปได้อย่างไรมันจะไร้สติปัญญาอย่างสิ้นเชิง?” สตรีนกอมตะยอมรับเหตุผลเช่นนั้นไม่ได้


“บางทีสายเลือดของมันอาจจะทรงพลังมากพอที่แค่เติบโตก็สามารถบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่ง” หลิงฮันกล่าวแบบไม่คิดอะไร


สตรีนกอมตะและคนอื่นๆสูดหายใจลึกพร้อมกัน เพียงแค่เติบโตตามปกติก็กลายเป็นตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งได้แล้ว? หากพวกมันอยู่ร่วมกันเป็นฝูงใหญ่และมีจำนวนมาก ไม่ใช่ว่าพวกมันจะไร้เทียมทานที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เลยหรอกรึ?


หลิงฮันส่ายหัว “เป็นไปได้ว่าด้วยสภาพแวดล้อมพิเศษของที่นี่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่น เสือดาวตัวนั้นถึงได้บรรลุระดับพลังสูงเช่นนั้นได้ และแน่นอนว่าสายเลือดของมันก็ต้องสูงมากพอเช่นกัน บรรพบุรุษของมันอาจจะเป็นสัตว์อสูรระดับโลกียนิพพานหรือไม่ก็ระดับแบ่งแยกวิญญาณ”


สตรีนกอมตะยอมรับได้กับคำอธิบายนี้


“ดินแดนแห่งเซียนน่าสะพรึงขนาดนั้นเลย?” หลงอวี่ซานเอ่ยถาม


มังกรแท้จริงสมควรเป็นสัตว์อสูรที่อยู่เหนือเผ่าพันธุ์นับล้าน แต่เมื่อครู่ทั้งๆที่ระดับพลังเท่ากันอำนาจมังกรของนางกลับไม่อาจทำอะไรเสือดาวทมิฬได้ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้อ่อนแอกว่านางแต่อย่างใด


หลิงฮันและคนอื่นๆส่ายหัว พวกเขาไม่เคยเห็นดินแดนแห่งเซียนมาก่อน สิ่งที่พวกเขามีเพียงที่นั่นเต็มไปด้วยตัวตนที่ทรงพลังมากมาย ในดินแดนแห่งเซียนจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งไม่ต่างอะไรจากมดแมลงที่อ่อนแอ


เปรียบแล้วก็เหมือนกับจอมยุทธระดับทลายมิติที่มาจากโลกใบเล็ก


“ไม่รู้ว่าที่นี่จะมีสัตว์อสูรอย่างเสือดาวทมิฬตัวเมื่อครู่มากน้อยเพียงใด” สตรีนกอมตะกล่าว นางจ้องมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าเป็นกังวล


ถ้ามีสัตว์อสูรระดับราชาเซียนมากมายอยู่ที่นี่ ต่อให้เป็นจักรพรรดินีหรือจักรพรรดิพิรุณก็คงทำได้เพียงหลบหนี บางทีการที่ทั้งสองยังไม่กลับออกมาอาจจะเป็นไปว่าทั้งสองกำลังตามหาวาสนาที่อยู่ในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้หรือไม่ก็พบเจออันตรายที่ร้ายแรง


หลิงฮันพยักหน้า เขาอยากจะรีบตามหาตำแหน่งของจักรพรรดินีให้เร็วที่สุดเหมือนกัน เพียงแต่ว่าพลังลึกลับของสวรรค์และปฐพีภายในนี้ทำให้เขาไม่สามารถใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบได้


พวกเขาปีนขึ้นเขาต่อไปแต่ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ ราวกับว่าสัตว์อสูรตัวอื่นที่อยู่ระแวงนี้ได้ถูกเสือดาวทมิฬสังหารไปหมดแล้ว


โลกภายในโบราณสถานแห่งนี้มีกลางวันกลางคืนเช่นกัน เพียงแต่ว่าบนท้องฟ้าไม่ใช่แสงพระอาทิตย์หรือแสงจันทร์ สีของท้องฟ้าจะเปลี่ยนไปมาระหว่างสีทองและสีเงินซึ่งไม่อาจเดาได้ว่าสีไหนคือกลางวันหรือกลางคืน


บนท้องฟ้าไม่ปรากฏดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หรือดวงดาวแม้แต่ดวงเดียว


สิ่งที่เหลือเชื่อว่าคือทั้งๆที่พวกเขาทุกคนเป็นเซียนแท้ๆ แต่พลังจากเดินทางไปได้เพียงหนึ่งวันพวกเขากลับรู้สึกเหนื่อยหอบ! อย่างที่รู้กันว่าหลิงฮันเคยไล่ตามราชาไค่หยุนเป็นเวลาถึงสี่ปีเขาก็ยังไม่สะทกสะท้านอะไร


กล่าวได้เพียงว่าสถานที่แห่งนี้ลึกลับอัศจรรยเป็นอย่างยิ่ง


หลงอวี่ซานนำหลงเซียงเยว่ออกมาจากอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ หลิงฮันนำวัตถุดิบต่างๆออกมาจากออกมาจากหอคอยทมิฬ ซึ่งหน้าที่นำพวกมันเป็นทำอาหารเป็นหน้าที่อย่างสตรีทั้งสามอย่างสตรีนกอมตะ หลงเซียงเยว่และหลงอวี่ซาน


หลังจากทานอาหารเสร็จสิ้น พวกหลิงฮันก็เข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อพักผ่อนซึ่งพวกหลงอวี่ซานก็ไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไร เมื่อบรรลุเป็นเซียนแล้วการจะมีอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด


นางเองก็เข้าอุปกรณ์มิติไปกับหลงเซียงเยว่และเปิดหัวข้อสนทนาจริงจัง


“เซียงเยว่ บุรุษผู้นั้นไม่มีทางหันมาชอบเจ้า เลิกล้มความคิดเพ้อฝันได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะเป็นตัวเจ้าเองที่เจ็บปวด!” นางกล่าว


หลงเซียงเยว่กัดฟัน ผ่านไปครู่หนึ่งนางถึงจะกล่าวตอบ “ข้ารู้อยู้แล้ว เขามีสตรีที่งดงามมากอยู่ข้างกาย เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหันมาชอบคนอย่างข้า”


เมื่อได้ยินคำพูดของนางหลงอวี่ซานก็ไม่สบอารมณ์และกล่าวแย้ง “ต่อให้เขาไม่ชอบเจ้าก็ไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ ด้วยความงดงามและพรสวรรค์ของเจ้า บุรุษคนใดในโลกที่เจ้าจะไม่คู่ควร?”


หลงเซียงเยว่ส่ายหัว “ท่านคงยังไม่เคยเห็นจักรพรรดินี นางเป็นสตรีที่งดงามและมีเสน่ห์เหนือใคร หากข้าเป็นบุรุษข้าจะต้องหลงใหลในตัวนางแน่นอน ไม่มีทางเลยที่ข้าจะเทียบกับนางได้”


หลงอวี่ซานตะลึง สตรีงดงามเช่นพวกนางนั้นอาจจะยอมรับว่าตนเองนั้นด้อยกว่าใครในด้านวิถีวรยุทธ แต่ในด้านของรูปลักษณ์นั้นสตรีเช่นพวกนางย่อมมีความมั่นใจว่าไม่มีทางด้อยกว่าใคร


เพราะงั้นเมื่อเห็นว่าหลงเซียงเยว่ชื่นชมจักรพรรดินีขนาดนั้นนางจึงตกตะลึงเป็นธรรมดา อีกฝ่ายต้องเป็นสตรีที่งดงามขนาดไหนกันถึงได้ทำให้สตรีหัวรั้นอย่างหลงเซียงเยว่ยอมรับได้ว่าด้อยกว่า?


“ท่านอาสาว ทำไมพวกเราไม่แต่งงานกับหลิงฮันด้วยกันไปเลยล่ะ?” หลงเซียงเยว่กล่าวคำพูดที่น่าเหลือเชื่อออกมา


หลงอวี่ซาน “…”


“พวกเราเพียงคนเดียวอาจจะสู้ไม่ได้ แต่ถ้าร่วมมือกันใครบ้างจะไม่เลือกบุปผางามคู่อย่างพวกเราอาหลาน?” หลงเซียงเยว่กล่าวอย่างหนักแน่น “นี่คือวิธีเดียวที่เราจะสู้กับเสน่ห์ของจักรพรรดินีได้”


“ไร้สาระ!” หลงอวี่ซานตำหนิทันที


“ท่านอาสาว อย่าได้บอกข้าว่าท่านไม่ได้รึสึกอะไรกับเขา!” หลงเซียงเยว่ไม่ยอมแพ้


“เด็กโง่ อย่าได้พูดเรื่องนี้อีก!” หลงอวี่ซานกล่าวตำหนิ ช่างไร้สาระนัก แค่คิดว่าจะต้องมีบุรุษคนเดียวกับหลานสาวของตนเองก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาแล้ว


หลงเซียงเยว่ไม่กล่าวตอบ สีหน้าของนางยังคงแสดงออกถึงความดื้อรั้น นางคิดว่านี่เป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้หลิงฮันสนใจในตัวนาง


หนทางยังอีกยาวไกลไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ไม่ว่าอาสาวของนางจะมีนิสัยยึดหลักคุณธรรมขนาดไหน หากหว่านล้อมไปเรื่อยๆสักวันก็ต้องได้ผล!


หลงอวี่ซานไม่รู้ตัวว่าหลานสาวของนางขุดหลุมฝังนางเสียแล้ว ในหัวของนางมีเพียงความกังวลว่าหลานสาวของนางผู้นี้จะเจ็บปวดกับความรักที่ไม่สมหวังจนกลายเป็นบ้า


นางติดสินใจว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้หลงเซียงเยว่ถอนตัวออกจากหลิงฮันให้ได้


สตรีทั้งสองมองหน้ากันด้วยสีหน้าหนักแน่น

 

 

 


ตอนที่ 1646 ยักษ์ที่ยอดเขา

 

หลังการผ่านพักผ่อนหนึ่งคืนพลังของทุกคนก็ฟื้นฟูกลับมา พลังวิญญาณของที่นี่หนาแน่นถึงขนาดที่ว่าผ่านไปเพียงวันเดียวพลังบ่มเพาะของพวกเขาก็มีการพัฒนาขึ้นมาก


ออกเดินทางต่อ


หนึ่งวัน สองวัน สามวัน… เนื่องจากไม่มีสัตว์อสูรปรากฏตัวเหมือนกับเสือดาวทมิฬ การเดินทางของพวกเขาจึงไม่ล่าช้า เมื่อถึงวันที่สี่ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มมองเห็นปลายยอดของภูเขา


ทันทีที่เห็นยอดเขาทุกคนก็เผยสีหน้าตกตะตึงออกมาอย่างปิดไม่มิด


ยอดเขาสูงที่ปรากฏตรงหน้านั้นแท้จริงแล้วเป็นแค่ส่วนหนึ่งของภูเขาที่ถูกตัดครึ่ง


จากรัศมีความกว้างของยอดเขาที่เห็นแล้วทำให้สามารถคาดเดาได้ว่าแต่เดิมภูเขานี้เคยสูงยิ่งกว่านี้อีก


น่าอัศจรรย์นัก!


จากระยะนี้พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดันอันรุนแรงจากยอดเขา มันคือแรงกดดันที่ทรงพลังยิ่งกว่าออร่าของเซียน พวกแค่สัมผัสแรงกดดันเล็กน้อยก็ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับร่างกายจะระเบิดออก


แน่นอนว่าหลงเซียงเยว่ต้านทานแรงกดดันไม่ไหวและถูกนำไปอยู่ในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ของหลงอวี่ซานทันที หลังจากกลุ่มของพวกเขาเดินขึ้นไปอีกสักพัก แม้กระทั่งสตรีนกอมตะ เซียนหวู่เซียง หรือหลงอวี่ซานก็เริ่มทนต่อแรงกดดันไม่ไหวแล้วเช่นกัน ทั้งสามคนหยุดเดินหน้าและจ้องมองหลิงฮันที่เดินต่อไปได้แค่คนเดียว


หลิงฮันเดินต่อไปได้อีกพันไมล์ความเร็วของเขาก็เริ่มช้าลง เมื่อมาถึงจุดนี้แม้แต่เขาก็ไม่กล้าผลีผลาม


แรงกดดันของภูเขาลูกนี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก การก้าวเท้ารุนแรงจะทำให้เกิดคลื่นลมที่กลายเป็นคมดาบวายุอันทรงพลัง ซึ่งแม้จะเป็นกายหยาบของหลิงฮันก็ยังได้รับบาดเจ็บ


แต่ด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ บาดแผลตามร่างของเขาได้ถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็วและเดินหน้าขึ้นสู่ยอดเขาต่อ


ขอเสียของเขาคือความรู้สึกขี้สงสัยที่มีมากกว่าใคร เขาอยากจะขึ้นไปยังยอดเขาให้ได้เพื่อดูว่าที่นั่นมีอะไรอยู่กันแน่


หลังจากเดินหน้าต่อไปอีกพันกว่าไมล์ หลิงฮันก็พบว่าการก้าวเท้าไปเบื้องหน้านั้นทำได้ยากยิ่ง เพียงแค่ขยับเท้านิดเดียวก็ส่งผลให้เกิดคมดาบวายุอันทรงพลังที่แม้แต่กระดูกภายในร่างของเขาก็ยังได้รับความเสียหาย


คงต้องหยุดอยู่เพียงเท่านี้


หลิงฮันหยุดเท้า เขารวบรวมปราณก่อเกิดมาไว้ที่ดวงตาพร้อมกับโคจรเนตรแห่งสัจธรรมจ้องมองไปยังยอดเขา


ด้วยระดับพลังในปัจจุบัน เนตรแห่งสัจธรรมนั้นแทบจะไม่มีผลอีกต่อไป เพียงแต่มันก็ถือว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่ง แม้จะช่วยได้เล็กน้อยก็ยังที่กว่าทิ้งไว้เฉยๆโดยไม่ใช้ประโยชน์อะไรเลย


ภาพระยะไกลที่เคยเรือนรางเริ่มค่อยๆชัดขึ้นจนสามารถมองเห็นบางอย่าง


หลิงฮันขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาที่ฝืนมองทะลุผ่านแรงกดดันอันรุนแรงได้ส่งผลกระทบต่อเขาทันที ดวงตาของเขารู้สึกเจ็บปวดราวกับกำลังจะกลายเป็นคนตาบอด แต่แทนจะที่ยอมแพ้เขากลับรวบรวมพลังปราณไปยังดวงตาเพิ่มมาขึ้นไปอีก


“อั่ก!” ความเจ็บปวดถาโถมมายังดวงตาจนต้องรีบหันหน้าหนี ดวงตาของเขามีโลหิตและน้ำตาไหลนองออกมา


หลังจากฟื้นฟูดวงตาด้วยคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์สักพักหลิงฮันก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น


แต่ท้ายที่สุด แม้จะเพียงแวบเดียวเขาก็ได้เห็นสิ่งอยู่ด้านบนยอดเขา


สภาพแวดล้อมบนยอดเขาปรากฏแต่เพียงก้อนหินสีดำโดยที่ไม่มีต้นไม่หรือพืชใดๆแม้แต่ต้นเดียว แต่บริเวณกึ่งกลางของยอดเขานั้นกลับมีใครบางคนนั่งอยู่ ร่างนั้นสูงใหญ่ราวๆหมื่นฟุต ร่างกายเป็นสีเขียวมรกตราวกับต้นไม้


ร่างนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมาก!


ร่างส่วนบนของเขาเป็นมนุษย์ไม่ผิดแน่ แต่ที่หัวกลับปรากฏเขาขนาดใหญ่สองเขาโดยที่ตั้งแต่บริเวณหน้าอกลงมาร่างกายส่วนร่างของเขากลับมีขาสี่ขาซึ่งดูแล้วเหมือนกับกวางไม่ผิดเพี้ยน ไม่ว่าเขาจะเป็นมนุษย์หรือกวางก็ตาม อักขระสีครามที่อยู่บนร่างของเขาได้ปลดปล่อยออร่าแห่งพลังชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา


แต่ที่รู้แน่ชัดคือร่างนี้ได้ตายไปแล้ว!


ที่หน้าผากของร่างนั้นปรากฏรูขนาดหนาเท่านิ้วมือ


ต้องเป็นรูแผลนี้แน่นอนที่เป็นต้นเหตุให้กวางยักษ์มรกตตนนี้สิ้นชีพ


ตามร่างกายของกวางยักษ์มรกตมีโลหิตสีเขียวไหลออกมาซึ่งเป็นโลหิตของยักษ์ตนนี้เองที่เป็นพลังงานหล่อเลี้ยงภูเขาลูกนี้ บางทีป่าหนาทึบที่อยู่โดยรอบก็อาจจะเติบโตขึ้นเพราะโลหิตของเขาเช่นกัน


กวางยักษ์มรกตตนนี้สมควรบ่มเพาะอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ปฐพีพฤกษาเป็นแน่ เพราะงั้นหลังจากที่เขาตายไปแล้วพลังปราณที่รั่วไหลออกมาจากร่างถึงได้กลายเป็นแหล่งพลังงานหล่อเลี้ยงเขตแดนลี้ลับแห่งนี้จนเกิดเป็นมหาสมุทรป่าไม้ ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะกวางยักษ์มรกตตนนี้อีกเช่นกันที่ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยแรงกดดันรุนแรงจนแม้แต่เซียนก็ไม่อาจขึ้นไปถึงยอดเขา


หลิงฮันนึกถึงภาพที่เขาเห็นในแวบสุดท้าย ข้างกายของกวางยักษ์มรกตมีพืชขนาดเล็กต้นหนึ่งงอกขึ้นมา ลำต้นของพืชต้นนั้นสูงไม่เกินครึ่งฟุตและออกผลสีเขียวมรกต


เขาไม่รู้ว่าผลของพืชต้นนั้นเป็นสมุนไพรชนิดใด แต่ที่รู้แน่นอนคือการที่มันสามารถเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นได้มันจะเป็นต้องสมุนไพรที่ล้ำค่ามากไม่ผิดแน่! น่าเสียดายยิ่งนักที่ไม่สามารถเก็บเกี่ยวมันได้!


หลิงฮันโอดครวญในใจ ช่างน่าเจ็บปวดใจอะไรเยี่ยงนี้ สมุนไพรล้ำค่าอยู่ต่อหน้าแท้ๆแต่กลับทำอะไรไม่ได้ เขาถอนหายใจและหันหลังเดินลงจากภูเขา


เป้าหมายหลักในตอนนี้คือค้นหาจักรพรรดินีและคนอื่นๆ ส่วนสมุนไพรนั่นค่อยคิดทีหลังว่าจะเอามาอย่างไรดี


ในขณะที่หลิงฮันหันหลังและก้าวเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว ความรู้สึกอันแปลกประหลาดก็ผุดขึ้นมา แต่พอเขาหยุดก้าวเท้าความรู้สึกที่ว่ากลับหายไปทันที เมื่อเขาลองก้าวเดินต่ออีกครั้งเพียงชั่วครู่ความรู้สึกแปลกประหลาดก็หวนกลับมา


เขารีบเดินอย่างรวดเร็ว ยิ่งลงมาด้านล่างแรงกดดันและคลื่นดาบวายุก็ยิ่งรุนแรงน้อยลงจนกายหยาบของเขาต้านทานไหว


ทันทีที่โคจรแสงอัสนีความเร็วของเขาก็บรรลุขีดจำกัดความเร็วของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเทียบเคียงได้กับความเร็วของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์และความรู้สึกแปลกประหลาดก็หายไปอีกครั้ง


“มีอะไรบางอย่างกำลังไล่ตามข้า?” เขาหยุดเดินและครุ่นคิด หากไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้แล้วความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อครู่จะอธิบายเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร


เขาก้าวเดินลงภูเขาต่อ แต่ผ่านไปไม่นานความรู้สึกแปลกประหลาดก็กลับมา


หลิงฮันรีบหันหลังแต่ก็พบกับความว่างเปล่า ในขณะเดียวกันความรู้สึกแปลกประหลาดก็หายไป


แปลกมาก!


หลิงฮันหันหน้ากลับมาและก้าวเดินอย่างเชื่องช้า หลังจากเดินไปได้นานราวหนึ่งก้านธูปร่างของเขาก็โคจรแสงอัสนีพุ่งทะยานกลับไปด้านหลัง


ทันใดนั้นเองสีหน้าของหลิงฮันก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึง เขาพบเจอต้นตอที่ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดแล้ว


สิ่งที่แอบตามเขาไม่ใช่มนุษย์หรือสัตว์อสูร


มันคือ…กระดูกท่อนหนึ่ง!


กระดูกท่อนนี้มีความยาวราวๆหนึ่งฟุต ผิวกระดูกของมันขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะ กระดูกแท่งนี้ตั้งตรงราวกับยืนด้วยขาสองขา ทันทีที่มันเห็นร่างของหลิงฮันโผล่พรวดเข้ามา มันก็ทำท่าทางเหมือนกับรีบหันหลังเพื่อเตรียมเผ่นหนี

 

 

 


ตอนที่ 1647 กระดูก

 

แท่งกระดูกที่ขาวนวลราวกับหิมะคือตัวการที่ไล่ตามเขา?


หลิงฮันเหงื่อไหล เรื่องแบบนี้มันบ้าบอสิ้นดี


ที่น่าตกตะลึงกว่าก็คือกระดูกแท่งนี้มีสติปัญหานึกคิดราวกับมนุษย์ มันรู้จักวิธีหลบซ่อนตัวเป็นอย่างดี หากไม่ใช่เพราะเขาพุ่งทะยานร่างกลับมาด้านหลังด้วยความเร็วสูงอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาคงไม่อาจหากระดูกแท่งนี้เจอ


ร่างของหลิงฮันขยับยืนอยู่ห่างจากแท่งกระดูกราวๆสามฟุตโดยที่ไม่ได้ลงมือทำอะไร ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงแท่งกระดูกแต่เขาก็สามารถสัมผัสออร่าอันน่าสะพรึงกลัวจากมันได้ เพราะงั้นเขาจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม


แท่งกระดูกจดจ้องมาที่เขา ‘ร่าง’ของมันสั่นสะท้านและค่อยๆขุดหลุมกลบตัวเองราวกับทำเหมือนว่าไม่เคยถูกหลิงฮันพบเจอ


“เอิ่ม ข้าเห็นเจ้านะ!” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรเมื่อต้องมาพบเจอกับกระดูกแปลกประหลาดเช่นนี้


แท่งกระดูกกระโดดขึ้นมาจากหลุม ‘ร่าง’ของมันโค้งงอราวกับกำลังแสดงท่าทีตกตะลึงหวาดกลัว


หลิงฮันเหงื่อไหลไม่หยุด ใครช่วยบอกเขาทีได้รึไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกระดูกแท่งนี้กันแน่?


“เจ้าพูดได้รึไม่?” เขาเอ่ยถาม ขณะที่กล่าวออกไปก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกประหลาด


“เจ้า..พูด..ได้..รึ..ไม่..?” ไม่คาดคิดว่าแท่งกระดูกจะตอบกลับ เสียงที่มันพูดไม่ใช่เสียงจริงๆแต่เป็นเสียงจากสัมผัสสวรรค์


คำพูดของมันติดๆขัดๆราวกับเด็กเพิ่งหัดพูด


“ข้าชื่อหลิงฮัน เจ้าล่ะมีชื่อรึเปล่า?” หลิงฮันถามต่อ


“ข้า..ชื่อ..หลิง..ฮัน..” แท่งกระดูกเลียนแบบคำพูดหลิงฮันอีกครั้ง


หลิงฮันสับสน ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้กระดูกแท่งนี้จะมีสติปัญญานึกคิดแต่มันกลับไม่สามารถเอ่ยคำพูดด้วยตนเอง มันทำได้เพียงเลียนแบบคำที่เขาพูดออกไปเท่านั้น


เขาถอนหายใจและนั่งลงกับพื้น


แท่งกระดูกที่เห็นเช่นนั้นก็โค่งปลายกระดูกส่วนบนของมันเล็กน้อยราวกับกำลังถอนหายใจและพยายามจะนั่งลงเลียนแบบหลิงฮัน แต่ด้วยการที่มันไม่มีขามันจึงขุดดินนำแท่งกระดูกส่วนล่างของมันมุดลงไปที่พื้นทำให้ตัวมันดูสั้นลงราวกับกำลังนั่งอยู่


หลิงฮันพูดคุยกับมันเรื่อยเปื่อยเพื่อที่จะให้มันคุ้นเคยกับภาษามากยิ่งขึ้นและหวังว่าแท่งกระดูกนี้จะสามารถพูดสิ่งที่คิดเองออกมาได้


“ยี่ ยา ย่า! ยี่ ยา ย่า!” ผ่านไปครึ่งวันแท่งกระดูกก็ไม่ใช่แค่เลียนแบบคำพูดอีกต่อไป มันกล่าวคำพูดของตนเองออกมาได้ เพียงแต่ว่าสิ่งที่มันพูดนั้นเป็นคำพูดมั่วซั่วที่ไร้ความหมายใดๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็มีความสุขกับคำพูดของตนเองเป็นอย่างมาและกล่าว “ยี่ ยา ย่า!” ซ้ำไปมาไม่หยุด


“ตอนนี้เจ้าพูดได้แล้ว?” หลิงฮันถาม


“ที.. นี้.. เจ้า.. พูด.. ได้.. แล้ว.. ? ยี่ ยา ย่า!” แท่งกระดูกกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


เห้อ อย่าเสียเวลานัก


เพียงแต่ว่าตอนนี้ก็ดูเหมือนแท่งกระดูกจะไม่ใช่ภัยคุกคามแล้ว เพราะงั้นหลิงฮันจึงสามารถขยับเข้าไปใกล้เพื่อตรวจสอบมันอย่างใกล้ชิดได้


กระดูกแท่งนี้ไม่เพียงแค่ขาวบริสุทธิ์ แต่มันยังเรียบเนียนราวกับผลึกหยก มันดูเหมือนกับงานแกะสลักชั้นเลิศที่ทำเป็นรูปทรงแท่งกระดูก


บนพื้นผิวกระดูกปรากฏอักขระที่ลึกลับซับซ้อนเป็นอย่างมาก เพียงแค่จ้องมองก็ทำให้หลิงฮันเวียนหัวตาลาย อักขระนี้ซับซ้อนยิ่งกว่ารูปแบบอาคมนิรันดร์ที่เขามีอยู่เสียอีก


กระดูกแท่งนี้กับศพของนิรันดร์บนยอดเขามีความเกี่ยวข้องอันใดกันรึเปล่า?


ความรู้สึกแปลกประหลาดเหมือนกับถูกคนไล่ตามนั้นหลิงฮันเพิ่งจะสัมผัสได้ตอนลงเขา เพราะงั้นกระดูกแท่งนี้จึงสมควรปรากฏตัวออกมาหลังจากที่เขาใช้ดวงตาจดจ้องไปยังซากศพนิรันดร์ มันคงสัมผัสถึงสายตาของเขาได้ถึงไล่ตามมา


คนอื่นไม่มีใครสามารถขึ้นมาถึงความสูงระดับเขาได้ แท่งกระดูกจึงไม่ตื่นตัว


หรือกระดูกแท่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของซากศพนิรันดร์?


หลิงฮันฉุกคิด เหตุใดเขตแดนลี้ลับทุกแห่งที่เขาพบเจอถึงไม่มีอันไหนที่เป็นเขตแดนลี้ลับปกติเลย!


“เจ้ากินอาหารรึเปล่า?” หลิงฮันนำอาหารออกมาใส่ปากพร้อมกับแบ่งคำเล็กๆวางไว้ด้านหน้าแท่งกระดูก


แท่งกระดูกโค้งงอจ้องมองอาหาร มันอยากจะเรียนแบบการกินอาหารเหมือนหลิงฮันแต่ว่ามันไม่มีปาก มันร้องโอดครวญ “ยี่ ยา ย่า!” ด้วยความไม่สบอารมณ์ ซึ่งพริบตาหลังจากนั้นเองคลื่นแสงสีเขียวมรกตก็ปรากออกมาสัมผัสเข้ากับอาหาร


‘พรึบ’ อาหารที่วางเอาไว้หายไปจนเหลือเพียงความว่างเปล่า


“ยี่ ยา ย่า!” แท่งกระดูกกลับมาโห่ร้องด้วยความดีใจ


หลิงฮันตกตะลึง อำนาจของคลื่นแสงสีเขียวเมื่อครู่ทรงพลังเป็นอย่างมาก! มันทรงพลังถึงขนาดที่ว่าต่อให้เป็นเขาก็ต้องใช้พลังทั้งหมดในการต่อต้าน


แท่งกระดูกที่เหมือนกับเด็กน้อยแท่งนี้มีพลังอำนาจอันทรงพลังอยู่ในครอบครอง… หากมันคิดจะเหยียบย่ำโลกคงมีปรมาจารย์เพียงหยิบมือที่สามารถต่อต้านมันได้


มันเป็นแค่กระดูกแท่งหนึ่งแท้ๆ เหตุใดถึงได้มีพลังขนาดนั้น? และเหตุใดถึงได้มีสติปัญญาได้?


หลิงฮันลุกขึ้นยืนและเดินลงจากภูเขา แท่งกระดูกก็ตามเขามาเช่นกัน ยิ่งเลียนแบบเขาสติปัญญาของมันก็เริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนสามารถดึงดูดพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างได้อย่างไม่คาดคิดและสร้างกายหยาบขึ้นมาได้


ลำตัว แขนขาและหัวถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างที่ถูกสร้างขึ้นแม้ว่าโลหิตและกล้ามเนื้อจะเป็นของจริงแต่ก็ไร้วิญญาณ ทว่าด้วยออร่าลึกลับที่อยู่ในร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นทำให้คนทั่วไปไม่อาจมองออกได้


หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูดทันที กระดูกแท่งนี้ใช้เขาเป็นต้นแบบและสร้างร่างกายที่มีรูปลักษณ์เหมือนกับเขาออกมา! แต่ถึงแม้รูปร่างจะเหมือนกันแค่ไหนออร่าก็ไม่อาจเลียนแบบกันได้


แต่แท่งกระดูกไม่สนใจเรื่องแบบนั้น ด้วยสติปัญญาของเด็กน้อยมันจึงเพียงแต่อยากจะเหมือนหลิงฮันเท่านั้น


แต่หลิงฮันก็ต้องตกตะลึง ในแวบแรกที่มองอาจจะไม่มีอะไรมาก แต่ยิ่งมองสำรวจให้ดีเขาก็พบว่าสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกแต่กระดูกภายในร่างก็ยังถูกสร้างขึ้นมาครบทุกส่วนเช่นกัน ร่างกายนี้ได้กลายเป็นร่างของมนุษย์อย่างแท้จริง


การแปลงกายของกระดูกแท่งนี้สมบูรณ์แบบเกินจะบรรณยาย!


ภายใต้การแปลงกาย ออร่าที่เจ้ากระดูกปลดปล่อยออกมาก็อ่อนพลังลงจากเดิมมาก ออร่าของมันในตอนนี้เทียบเท่ากับราชาเซียนขั้นต้นเท่านั้น ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะชั้นกล้ามเนื้อและโลหิตที่ถูกสร้างขึ้นมาได้บดบังออร่าแท้จริงเอาไว้


แต่นี่ก็ดีแล้ว ไม่เช่นนั้นออร่าของมันคงทำให้ผู้คนที่พบเห็นหวาดกลัว


“ยี่ ยา ย่า!” เจ้ากระดูกเปิดปากพูด มันมีความสุขเป็นอย่างมากที่ในที่สุดมันมีร่างกายเป็นของตัวเองและพูดด้วยปากของตนเองได้แล้ว เพียงแต่ประโยคที่มันพูดได้ก็มีเพียงแค่ ‘ยี่ ยา ย่า’ เท่านั้น


หลิงฮันยิ้ม เขานำชุดออกมาจากหอคอยทมิฬและส่งให้


ทั้งสอง‘คน’เดินลงจากภูเขา ผ่านไปสักพักพวกเขาก็พบกับพวกสตรีนกอมตะที่รออยู่


“หืม!” เมื่อเห็นหลิงฮันเดินมาพร้อมกับคนที่รูปเหมือนกันอย่างกับแกะ ทุกคนก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา


เจ้าขึ้นไปสำรวจยอดเขาไม่ใช่รึไง เหตุใดถึงได้กลับลงมาพร้อมกับคนที่หน้าเหมือนเจ้าได้?


“นี่คือเสี่ยวกู่(เจ้ากระดูกน้อย)” หลิงฮันตั้งชื่อให้กระดูก


“นี่.. คือ.. เสี่ยว.. กู่…” แท่งกระดูกกล่าวเลียนแบบราวกับเด็กน้อย


พรวด! หลงเซียงเยว่หัวเราะออกมาและกล่าว “พี่ชายหลิง ทำไมเขาถึงได้เลียนแบบคำพูดของท่านกัน?”


“ศิษย์.. พี่.. หลิงฮัน.. ทำ.. ไม…” เจ้ากระดูกกล่าวเลียนแบบ


พวกสตรีนกอมตะเผยสีหน้าประหลาดใจ ตกลงหมอนี่เป็นใครกันแน่!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)