Alchemy Emperor of the Divine Dao 1599-1615
ตอนที่ 1599
หานฉีมีท่าทางบูดบึ้ง
เขานำธงสงครามออกมาเพื่อหวังจะกู้สถานการณ์ให้กลับกลายเป็นได้เปรียบ แต่ไม่คาดคิดว่าหลิงฮันจะเป็นฝ่ายที่น่ายำเกรงยิ่งกว่า ดาบในมือของอีกฝ่ายทำให้เขาเสียเปรียบยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“ช่างน่ารังเกียจนัก!” เขาพึมพำก่อนจะหันหลังและหลบหนี
ในเมื่อไม่ทางเอาชนะได้เขาจะฝืนสู้ต่อทำไม?
เพียงแต่ว่ารอบด้านของห้วงอวกาศบริเวณนี้นั้นถูกปกคลุมไปด้วยมิติปั่นป่วน การจะกลับออกไปจำเป็นต้องใช้เวลาพอๆกับตอนที่ผ่านเข้ามา
หลิงฮันไม่ขยับตัวไล่ตามแต่เลือกสะบั้นดาบจู่โจมออกไปแทน คลื่นดาบเพลิงอันทรงพลังตัดผ่านชั้นมิติปั่นป่วนและปรากฏที่ด้านหน้าหานฉี
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้หานฉีหวาดกลัวตัวสั่น… นี่มันอะไรกัน!
หลิงฮันเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน เขาแค่คิดว่าดาบอสูรนิรันดร์กับเพลิงเก้าสวรรค์นั้นทั้งสองต่างก็เป็นสิ่งที่จะมีอำนาจระดับราชานิรันดร์ในอนาคต เพราะงั้นมิติปั่นป่วนของบุปผาห้วงมิติก็ไม่น่าจะมีผลต่อการโจมตีของสองสิ่งนี้เลยลองจู่โจมออกไป
ตูม!
หานฉีถูกบังคับให้หยุดเคลื่อนที่และนำธงสงครามกวัดแกว่งตอบโต้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือคลื่นดาบเพลิงได้ทิ้งรอยไหม้เอาไว้บนธงสงคราม
หานฉีรู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก ในดินแดนแห่งเซียน อุปกรณ์ระดับยี่สิบคืออุปกรณ์ที่ทรงพลังที่สุดซึ่งเป็นรองเพียงแต่อุปกรณ์นิรันดร์ อุปกรณ์นิรันดร์นั้นล้ำค่าเป็นอย่างมากโดยที่แม้แต่ผู้นำตระกูลหานของเขาก็ยังไม่มีอยู่ในครอบครอง หรือต่อให้เป็นราชานิรันดร์บางคนก็ยังไม่มี
ในดินแดนแห่งเซียนนั้นจะมีวิธียกระดับของอุปกรณ์ระดับยี่สิบให้สูงขึ้นอีกโดยการผสมผสานรวมเข้ากับวัสดุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นอื่นๆ ในดินแดนแห่งเซียนอุปกรณ์ระดับยี่สิบที่เกิดจากการผสมผสานนี้จะเรียกว่าอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์ โดยอุปกรณ์กึ่งนิรันดร์จะถูกแบ่งออกเป็นหนึ่งดาวจนถึงห้าดาว
ระดับของธงสงครามของเขาแม้จะยังเป็นเพียงครึ่งดาว แต่มันก็เป็นอุปกรณ์เซียนที่เขาขัดเกลาขึ้นมาด้วยตัวเองและได้ขอร้องให้ผู้อาวุโสของตระกูลสลักสัญลักษณ์บนแผ่นธงให้เพื่อที่ธงสงครามแท่งนี้จะได้สามารถใช้ร่วมกับทักษะระดับนิรันดร์ได้
ในอนาคตเขาตั้งใจจะนำวัสดุศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากมาผสมผสานให้กับธงสงครามแท่งนี้เพื่อให้มันยกระดับพลังไปพร้อมๆกับเขา แต่ทว่าเพียงแค่เขามาถึงโลกบรรพกาลไม่กี่วัน ธงเก้าเหมันต์เยือกแข็งก็ได้รับความเสียหายเสียแล้วทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก
หลิงฮันแสยะยิ้ม หานฉีไม่อาจหลบหนีความตายไปไหนได้แล้วเนื่องจากอีกฝ่ายติดอยู่ในมิติปั่นป่วน
“เจ้ารนหาที่ตายเอง!”
หลิงฮันสะบั้นดาบออกไปอย่างต่อเนื่อง ‘ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ’ ปราณดาบเฉือนทะลวงผ่านชั้นมิติและพุ่งเข้าใส่หานฉี เขาคิดจะจำกัดหานฉีโดยไว ไม่เช่นนั้นหากวาสนาศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬหมดลงเมื่อไหร่ คงกลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องหลบหนีเข้าไปในหอคอยทมิฬ
หานฉีคำรามและกวัดแกว่งธงสงครามต่อต้าน ในการปะทะแต่ละครั้งธงของเขาจะได้รับความเสียหายและถูกเผาไหม้ หลังจากรับปราณดาบไปหลายครั้งธงของเขาก็เริ่มมีสภาพพุพัง
“อย่าได้หยิ่งผยองเกินไป!” หานฉีตะโกนลั่น “ตระกูลหานของข้าเป็นผู้ปกครองเมืองเก้าสันติที่เป็นเมืองขนาดใหญ่ระดับสามดาว ตระกูลของข้าไม่ใช่ขุมอำนาจที่ตระกูลติงของเจ้าจะล่วงเกินได้!”
“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญบุกมา!” หลิงฮันไม่คิดอะไรมาก เขาเคยสัญญากับหูหยู่เอาไว้ว่าจะช่วยจัดการกับตระกูลติงให้ เพราะงั้นแม้ตัวจะยังไม่เข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนเขาก็ไม่รังเกียจที่จะสร้างปัญหาให้ตระกูลติงเสียแต่เนิ่นๆ
“แล้วเจ้าจะเสียใจ!” หานฉีกัดฟัน คนของตระกูลเมืองหนึ่งดาวกล้าดีอย่างไรมาล่วงเกินเขา รอให้เรื่องนี้รู้ถึงหูตระกูลหานก่อนแล้วหลิงฮันจะต้องร้องไห้โอดครวญ
“ข้าจะเสียใจหรือไม่ก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ข้าจะลงมือสังหารเจ้า!” หลิงฮันกล่าวโหดเหี้ยม ใครก็ตามที่คิดชั่วร้ายกับภรรยาของเขา เขาไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด
ปราณดาบจำนวนมากถูกปลดปล่อยออกไปจนเกิดแสงสว่างทั่วทั้งห้วงอวกาศ
หานฉีไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ธงสงครามของเขาถูกผ่าออกเป็นสองส่วนพร้อมกับร่างกายได้ถูกปราณดาบโหมกระหน่ำเข้าใส่ไม่หยุด ต่อให้โคจรทักษะหมอกเหมันต์เยือกแข็งก็ไร้ประโยชน์
พลังทำลายล้างของดาบอสูรนิรันดร์และเพลิงเก้าสวรรค์น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก กายหยาบของหานฉีถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว
‘พรึบ!’
แต่ทันทีที่กายหยาบของหานฉีถูกทำลายและดวงวิญญาณลอยออกมาจากร่าง จู่ๆแสงสลัวลึกลับก็เปล่งประกายและปกคลุมดวงวิญญาณของเขาเอาไว้เพื่อคุ้มกันดวงวิญญาณของเขาจากคลื่นดาบเพลิง
แสงสลัวลึกลับที่ปรากฏนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก มันฉีกกระชากห้วงมิติและพาดวงวิญญาณของหานฉีหลบหนีไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ราวกับหานฉีไม่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน
หลิงฮันชะงักเล็กน้อย แสงสลัวเมื่อครู่คงไม่ใช่พลังของตัวหานฉีเองเนื่องจากมันแข็งแกร่งเกินกว่าจะเป็นอำนาจของจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่ง
“นั่นคงเป็นพลังบางอย่างที่ตระกูลหานประทับเอาไว้เพื่อคุ้มกันเขา ทันทีที่กายหยาบถูกทำลายและดวงวิญญาณกำลังจะได้รับความเสียหาย พลังนั่นจะถูกกระตุ้นให้พาดวงวิญญาณของเขากลับไปยังดินแดนแห่งเซียน”
“เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตระกูลหานที่รู้เพียงแค่ว่าข้าเป็นคนของตระกูลติงจะต้องบุกไปสร้างปัญหาให้กับตระกูลติงแน่นอน”
“ห้วงมิติบริเวณนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ควรอยู่นานนัก รีบเก็บเกี่ยวบุปผาห้วงมิติแล้วไปจากที่นี่ดีกว่า”
มือของหลิงฮันปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งเต๋าเพื่อต้านทานมิติปั่นป่วน เขาคว้ามือไปยังบุปผาห้วงมิติและนำมันเข้าไปในหอคอยทมิฬ
ทันทีที่บุปผาห้วงมิติถูกเก็บไป ห้วงมิติโดยรอบก็กลับคืนสู่สภาพปกติทันทีโดยไม่มีมิติปั่นป่วนหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยก่อนจะปลดปล่อยคลื่นเต๋าสวรรค์สีทองและหายไปจากบริเวณแห่งนี้ ในเมื่อตอนนี้พลังบ่มเพาะของเขายังเป็นระดับสร้างสรรพสิ่งสูงสุดอยู่เขาก็ต้องใช้ประโยชน์จากมันให้ถึงที่สุด
จ้าวอสูรทุกคนจ้องมองหลิงฮันจากไปพร้อมกับถอนหายใจโล่งอก
พวกเขาเป็นกังวลเหมือนกันว่าหลิงฮันจะสังหารพวกเขาหรือไม่ แต่เมื่อสัมผัสถึงออร่าของหลิงฮันไม่ได้แล้วพวกเขาก็โล่งอกและปลดปล่อยคลื่นเต๋าสวรรค์สีทองลอยออกจากที่นี่
……
ดวงวิญญาณของหานฉีที่ถูกแสงสลัวปกคลุมเอาไว้ล่องลอยผ่านกำแพงกั้นดินแดนเข้ามายังดินแดนแห่งเซียน หลายวันต่อมาดวงวิญญาณของเขาได้ลอยผ่านภูเขานับพันทะเลสาปนับหมื่นมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง
เมืองนี้มีขนาดใหญ่โตจนน่าอัศจรรย์ เพียงแค่เมืองเมืองเดียวก็มีขนาดใหญ่กว่าดวงดาวทั้งดวงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว
“ฮึ่ม!”
ตัวตนอันทรงพลังผู้หนึ่งเค้นเสียงไม่พอใจ เขาขยับมือนำดวงวิญญาณของหานฉีมาไว้ตรงหน้าและกล่าว “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันแท้ๆ แต่เจ้ากลับถูกจัดการจนอำนาจคุ้มกันในร่างต้องพาตัวเจ้ากลับมา?”
“ขอตอบผู้อาวุโสแปด ข้าถูกคนของดินแดนแห่งเซียนเหมือนกันทำร้ายจนบาดเจ็บ… ข้าเดาว่าคนคนนั้นจะต้องได้ครอบครองมรดกสืบทอดของราชานิรันดร์เป็นแน่!” หานฉีกล่าว
“ว่าไงนะ!” ผู้อาวุโสแปดที่ทรงพลังลุกขึ้นยืน “อีกฝ่ายมาจากขุมอำนาจใด?”
“ตระกูลติงของเมืองธุลีจันรทรา” หานฉีรีบกล่าว
“เมืองธุลีจันรทรา?” ผู้อาวุโสแปดชะงักเล็กน้อยก่อนจะมีท่าทางเกรี้ยวกราด “เจ้าพ่ายแพ้แม้แต่กับรุ่นเยาว์ของขุมอำนาจเมืองหนึ่งดาว?”
หานฉีแสดงออกถึงความคับข้องใจ “ขอตอบผู้อาวุโสแปด เป็นเพราะรุ่นเยาว์ผู้นั้นได้รับมรดกสืบทอดของราชานิรันดร์ข้าถึงพ่ายแพ้!”
ผู้อาวุโสแปดสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะไปยังเมืองธุลีจันรทราและให้พวกเขาคายข้อมูลของรุ่นเยาว์ที่ว่าออกมาให้ได้ แต่ก็น่าแปลก… ขุมอำนาจอ่อนแออย่างระดับโลกียนิพพานสามารถส่งคนออกไปยังโลกบรรพกาลได้อย่างไร?”
คิ้วของผู้อาวุโสแปดขมวดเข้าหากันด้วยความมึนงง
ตอนที่ 1600
หลิงฮันเคลื่อนที่ด้วยคลื่นแสงแห่งเต๋าสีทอง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเดินทางด้วยวิธีนี้จึงทำให้เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างมาก
เพียงแต่ครึ่งวันต่อมาอำนาจบนร่างกายของเขาก็สลายหายไปและจำเป็นต้องนำอุปกรณ์บินแหวกเมฆาออกมาใช้เดินทางต่อ แต่ข้อดีของอุปกรณ์บินแหวกเมฆาคือเขาไม่จำเป็นต้องเคลื่อนที่ด้วยตัวเอง แค่ระบุพิกัดที่จะมุ่งหน้าไปก็เพียงพอ
หลิงฮันเข้าสู่หอคอยทมิฬและเรียกจักรพรรดินีกับสตรีนกอมตะมาพูดคุยเรื่องบุปผาห้วงมิติ แน่นอนว่าเมื่อมีสิ่งดีๆเขาก็ต้องแบ่งปันให้กับภรรยาทั้งสอง
เพียงแต่สตรีนกอมตะกลับส่ายหัวปฏิเสธ นางกล่าว “ตอนนี้เป้าหมายของข้าคือบ่มเพาะพลังให้ได้มากที่สุด การฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติจะทำให้ข้าเสียเวลาส่วนนี้ไปมาก”
จักรพรรดินีส่ายหัวเช่นกัน “ข้ายังทำความเข้าใจทักษะบ่มเพาะในสายเลือดได้ไม่ดีพอ ตอนนี้ข้าไม่อยากเสียสมาธิไปกับอย่างอื่นเช่นกัน บุปผาห้วงมิติต้นนี้เจ้านำไปใช้เองดีกว่า”
“พวกเจ้าจะเกรงใจข้าทำไม?” หลิงฮันยิ้ม
จักรพรรดินียิ้มตอบ “อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติที่บุปผาห้วงมิติสามารถถ่ายทอดออกมาได้นั้นมีจำกัด หากพวกเราสามคนแบ่งกันคงไม่มีใครเลยที่ฝึกฝนสำเร็จ ให้เจ้าฝึกคนคนเดียวนั่นล่ะดีแล้ว เป้าหมายของน้องสาวนกอมตะตอนนี้คือทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่งให้เร็วที่สุด ส่วนข้าเองก็ต้องขัดเกลาเพื่อบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ เพราะเหตุนั้นจึงต้องเป็นเจ้าที่ต้องขัดเกลาพลังต่อสู้ให้ทรงพลังที่สุดในระดับเดียวกัน”
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “เอาแบบนั้นก็ได้ อย่างไรในอนาคตพวกเราก็คงพบเจอบุปผาห้วงมิติอีกหรือไม่ก็ต้องพบเจอบุปผาอื่นๆอยู่แล้ว เพราะงั้นบุปผาห้วงมิติต้นนี้ข้าจะขอรับไปก่อน”
“เหอะ เหอะ” หอคอยน้อยปรากฏตัวตรงเวลาราวกับตั้งใจและแสยะยิ้มเหยียดหยาม
หลิงฮันไม่สนใจหอคอยปากเสีย เขาเดินไปนั่งใต้ต้นสังสารวัฏและเด็ดใบของบุปผาห้วงมิติใส่เข้าปาก
ทันทีที่เขาเริ่มเคี้ยว ตราประทับแห่งเต๋าก็ปะทุออกมาจากใบของบุปผาห้วงมิติและปลดปล่อยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ออกมา หลิงฮันปิดปากไว้แน่นเพื่อไม่ให้อำนาจของบุปผาห้วงมิติหลั่งไหลออกไป
เขากลืนอำนาจทั้งหมดของมันลงท้อง ‘ครืนนน’ คลื่นพลังอำนาจแห่งเต๋าอันทรงพลังไหลผ่านไปทั่วร่างกายของเขา อำนาจแห่งเต๋าไหลมารวมกันที่ห้วงจิตวิญญาณและควบแน่นรวมตัวกันเป็นโลกขนาดเล็กเท่าฟองสบู่
มันเป็นโลกที่อัดแน่นไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์
โลกที่ถูกสร้างขึ้นมานี้ยังไม่สมบูรณ์ แต่ยิ่งหลิงฮันกินใบของบุปผาห้วงมิติเพิ่มเข้าไปโลกก็เริ่มมีความอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เขาตระหนักรับรู้ได้ว่าอำนาจแห่งเต๋าจากบุปผาห้วงมิตินั้นมีระยะเวลาที่จำกัด หากเขาฝึกฝนให้สำเร็จได้ไม่ทันเวลา โลกแห่งอำนาจกฎเกณฑ์ห้วงมิติก็จะสลายไปจากห้วงจิตวิญญาณของเขา
มิตินั้นมีขอบเขตรูปแบบใช้งานที่กว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดห้วงมิติเพื่อเคลื่อนย้ายไปยังอีกสถานที่หนึ่ง การสร้างช่องมิติเพื่อส่งการโจมตีกลับไปหาคู่ต่อสู้ หรือการดูดกลืนบางสิ่งบางอย่างให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
อำนาจแห่งกฎเกณฑ์มิติที่หลิงฮันต้องการคือความสามารถในการเคลื่อนย้ายวัตถุ ด้วยความสามารถนี้จะทำให้เขาควบคุมทิศทางการโจมตีของศัตรูได้ หากไม่ใช่ความสามารถนี้ขอเป็นความสามารถในการเคลื่อนที่ข้ามมิติก็ดีเหมือนกัน
แต่โชคกลับไม่เข้าข้างเขาเลย อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติที่อยู่ในบุปผาห้วงมิติต้นนี้คือความสามารถในการสร้างห้วงมิติอันเป็นเอกเทศ แถมยังคงสภาพได้เพียงระยะเวลาสั้นๆอีกด้วย
ความสามารถในการสร้างมิติของตัวเองขึ้นมานั้นนอกจากเอาไว้เก็บของแล้วจะยังมีประโยชน์อื่นอยู่อีกรึ? ยิ่งกว่านั้นห้วงมิติที่คงสภาพได้เพียงไม่กี่ลมหายใจจะใช้เก็บของอะไรได้?
หลิงฮันยิ้มอย่างขมขื่น… ความสามารถที่เขาได้รับช่างอ่อนแอ!
แต่จู่ๆหลิงฮันก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ห้วงมิติที่สร้างขึ้นมาจะสามารถนำสิ่งมีชีวิตใส่เข้าไปได้หรือไม่?
หากทำได้จะถือว่าความสามารถนี้มีประโยชน์ไม่น้อย
ในขณะที่ศัตรูจู่โจมมา เขาสามารถเข้าไปหลบซ่อนในมิติของตนเองเพื่อหลีกการโจมตีได้
แต่อย่างแรกเลยคือเขาต้องฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ให้สำเร็จก่อนถึงจะสามารถทดสอบได้ว่ามิติเอกเทศจะสามารถนำสิ่งมีชีวิตใส่เข้าไปได้หรือไม่
ณ ตอนนี้หนึ่งวันใต้ต้นสังสารวัฏเท่ากับสิบปี อำนาจของบุปผาห้วงมิติสามารถคงสภาพอยู่ได้สามวัน กล่าวคือเขามีเวลาฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณ์สามสิบปี
หลิงฮันนั่งขัดสมาธิแน่นิ่ง ร่างของเขาปลดปล่อยออร่าลึกลับออกมาอย่างเรือนราง เขามุ่งเน้นสมาธิทั้งหมดไปกับการฝึกฝนทำความเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติ
สามวันผ่านพ้นไป แต่สำหรับหลิงฮันเขาทำการฝึกฝนไปแล้วถึงสามสิบปี
ดวงตาของเขาเปิดออกพร้อมกับเผยรอยยิ้ม เขาฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์สำเร็จเรียบร้อย น่าเสียดายที่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ภายในบุปผาห้วงมิติมีจำกัด
“ลองทดสอบดู!” หลิงฮันออกจากหอคอยทมิฬและนำหมูป่าตัวหนึ่งออกมา มือขวาของเขาคว้าไปยังอากาศที่ว่างเปล่า พริบตานั้นหมูป่าก็หายไปอย่างน่าแปลกประหลาด
หมูป่าถูกส่งไปยังห้วงมิติของเขาชั่วคราว
ผ่านไปหนึ่งลมหายใจ ร่างของหมูป่าก็ปรากฏตัวอีกครั้งและคำรามโอดครวญด้วยความหวาดกลัว เมื่อครู่การที่จู่ๆมันก็ถูกส่งไปยังมิติแปลกประหลาดทำให้มันรู้สึกขนลุกเป็นอย่างมาก
“ดูเหมือนมิติจะสามารถใส่สิ่งมีชีวิตเข้าไปได้” หลิงฮันพยักหน้า “ลองดูอีกครั้ง”
เขาโยนร่างของหมูป่าเข้าไปในมิติเอกเทศอีกครั้งและปล่อยหมัดไปยังตำแหน่งที่หมูป่าหายไป เมื่อผ่านไปหนึ่งลมหายใจหมูป่าก็กลับมาปรากฏตัวโดยไร้บาดแผลใดๆและยังคงโอดครวญด้วยความหวาดกลัว
“สามารถใช้หลบการโจมตีได้จริงๆ!” หลิงฮันกล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้น
“แต่จะได้ถึงขนาดไหน?” เขาอยากจะใช้หมูป่าทดสอบต่อ แต่พอเห็นสีหน้าอันน่าอนาถของมันหลิงฮันก็เผยรอยยิ้มและโยนมันกลับเข้าไปในหอคอยทมิฬ “เห็นแก่ที่เจ้าให้ความร่วมมือ ข้าจะไม่นำเจ้าไปทำเป็นอาหาร”
หลิงฮันเปลี่ยนมาทดสอบโดยใช้ชามแทน เขานำชามเข้าไปในมิติเอกเทศและใช้ดาบอสูรนิรันดร์จู่โจม
‘ตูม’ ห้วงมิติถูกฉีกขาดและชามถูกบดขยี้ไม่เหลือ
“ดูเหมือนว่าหากเป็นการโจมตีที่ทรงพลังมากหรือเป็นการโจมตีด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ระดับสูงกว่า มิติเอกเทศจะไม่ปลอดภัย” หลิงฮันเปลี่ยนมาทดสอบด้วยตัวเอง ร่างของเขาหายไปหนึ่งลมหายใจก่อนจะกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง
“เมื่อถูกศัตรูโจมตีใส่ข้าสามารถหลบไปอยู่ในห้วงมิติของตัวเองได้ แม้มิติจะคงอยู่เพียงหนึ่งลมหายใจแต่นั่นก็เพียงพอที่จะให้ข้าตั้งหลักและหลบการโจมตีได้ทัน”
“ข้าขอเรียกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ห้วงมิติประเภทนี้ว่ามิติรูปแบบเอกเทศ”
“ประโยชน์ของมันสมควรมีมากกว่านี้ ข้าค่อยๆศึกษาไปทีละน้อยแล้วกัน”
“เหนือสิ่งอื่นใดพลังบ่มเพาะในตอนนี้ของข้ายังอ่อนแอมากนัก เอาไว้เมื่อพลังบ่มเพาะของข้ายกระดับสูงขึ้นเมื่อไหร่ข้าค่อยฝึกฝนเพื่อเต็มเต็มอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ไม่สมบูรณ์ไปอย่างช้าๆ”
หลิงฮันไม่กลับเข้าไปในหอคอยทมิฬเนื่องจากดาวไห่คงปรากฏอยู่ในสายตาแล้ว
ตอนที่ 1601
อุปกรณ์บินแหวกเมฆาแล่นลงจอด หลิงฮันเดินมุ่งหน้าเข้าเมืองอสูรแห่งความยุ่งเหยิง
เขามาถึงปราสาทอย่างรวดเร็วโดยที่Anchorจ้าวอสูรขวงล่วนเป็นคนออกมาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง หลิงฮันเปิดเผยการมีอยู่ของดินแดนแห่งเซียนให้อีกฝ่ายรับรู้ ซึ่งแน่นอนว่าจ้าวอสูรขวงล่วนตกตะลึงเป็นอย่างมาก สิ่งที่หลิงฮันเล่าทำให้ความเชื่อหลายล้านปีของเขาพังทลาย
เพียงแต่จ้าวอสูรก็ยังเป็นจ้าวอสูร อีกฝ่ายยอมรับความเป็นจริงได้อย่างรวดเร็ว
หลิงฮันสัญญากับจ้าวอสูรขวงล่วนว่าวันใดที่เขาสามารถเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนได้เขาจะพาอีกฝ่ายไปที่ดินแดนแห่งเซียนด้วย เขาทิ้งบันทึกคัดลอกทักษะบ่มเพาะระดับจ้าวอสูรดำ จ้าวอสูรปฐพีและจ้าวอสูรสวรรค์เอาไว้ให้มากมาย อันที่จริงเพียงแค่หนึ่งหรือสองทักษะก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จ้าวอสูรขวงล่วนดวงตาถลนออกจากเบ้า
“หลิงฮัน พี่สาวทั้งสองอยู่ไหน?” ในขณะที่หลิงฮันเดินออกมาจากปราสาทของจ้าวอสูรขวงล่วนเขาก็พบกับอูเจวี๋ยที่เข้ามาทักทาย
หลิงฮันเตะก้นอีกฝ่ายและกล่าว “พวกนางเป็นภรรยาข้า เจ้าอย่าได้คิดเพ้อฝันถึงพวกนางอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าเป็นขันที!”
ม่อหลีตามมากล่าวอำลาเขาเช่นกันซึ่งหลิงฮันก็ได้เล่าให้นางฟังว่าขีดจำกัดของระดับวารีนิรันดร์คือดวงดาวสิบล้านดวง ม่อหลีที่รับรู้เรื่องนี้ก็เผลอตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ถือว่าหาได้ยากนักที่สีหน้าของนางจะมีการเปลี่ยนแปลง
หลิงฮันบอกเคล็ดวิธีฝึกฝนต่างๆของดินแดนต้องห้ามที่โอวหยางไท่ซานแนะนำกับเขาให้แก่นาง กับสหายเขาไม่เคยหวงความรู้อยู่แล้วโดยเฉพาะศาสตร์วรยุทธ
เขาออกเดินทางอีกครั้งไปยังเขตดวงดาวเมฆาเยือกแข็งเพื่อพบกับจ้าวอสูรป้าเจี้ยน
บุญคุณที่จ้าวอสูรขวงล่วนกับจ้าวอสูรป้าเจี้ยนออกหน้าปกป้องเขาอย่างกล้าหาญนั้นเขาไม่เคยลืม
หลิงฮันสัญญาเช่นกันว่าจะพาจ้าวอสูรป้าเจี้ยนไปยังดินแดนแห่งเซียนด้วยและทิ้งสมบัติต่างๆเอาแทนคำขอบคุณ
“หลิงฮัน เจ้าต้องอย่าลืมกลับมาพบข้าอีก” เมื่อเขาเดินออกจากที่พักจ้าวอสูรป้าเจี้ยน จูเซวียนก็เอ่ยทักเขาด้วยเสียงหวาน
หลิงฮันไม่รู้สึกอะไรกับนางเพราะงั้นเขาจึงกล่าวออกไปตรงๆ “แม่นางจู ข้ามีภรรยาอยู่หลายคนแล้ว ข้าว่าเจ้าน่าจะ…”
“ไม่ต้องพูดต่อ!” นางไม่รอให้เขากล่าวจบก็ยกมือขึ้นมาปิดหูและวิ่งหนีไป
หลิงฮันถอนหายใจและหวังว่าเรื่องนี้จะไม่เป็นอุปสรรคในการบ่มเพาะพลังของนาง
อุปกรณ์บินแหวกเมฆาทะยานขึ้นสู่อวกาศอีกครั้งและมุ่งหน้าไปยังสนามรบสองดินแดน
อันที่จริงนอกจากสนามรบสองดินแดนแล้ว ดินแดนใต้พิภพมีเส้นทางสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกมากมาย เพียงแต่ว่าหลิงฮันไม่คุ้นชินกับเส้นทางอื่นๆ
อุปกรณ์บินแหวกเมฆาลอยไปตามอวกาศโดยไม่หยุดพัก ส่วนหลิงฮันก็เข้าไปอยู่ในหอคอยทมิฬเพื่อบ่มเพาะพลัง
สองปีต่อมาในที่สุดเขาก็มาถึงสนามรบสองดินแดน สองปีที่ผ่านมาพวกเขาทุกคนมีการพัฒนาขึ้นมาก สตรีนกอมตะไม่เพียงทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์แต่ยังบรรลุขั้นกลางแล้วอีกด้วย ส่วนจักรพรรดินีนั้นพลังบ่มเพาะในตอนนี้ของนางคือระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์สูงสุดและกำลังพยายามขัดเกลาเพื่อบรรลุเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์
ในทางกลับกัน หลิงฮันคือคนที่มีพัฒนาการน้อยที่สุด เขาพึงจะบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นสูงสุดและจำเป็นต้องขัดเกลารากฐานให้มั่นคงก่อนถึงจะทะลวงผ่านขั้นสูงสุดได้
“หลังจากกลับสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตระกูลฮูคงตรวจจับบ่วงอาฆาตที่ข้าสังหารฮูเฟิงพบและต้องเกิดการปะทะอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่ข้าได้เหลือวาสนาศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้ายไว้สำหรับตระกูลฮูแล้วเช่นกัน!” หลิงฮันพึมพำกับตัวเอง
พวกเขาทุกคนออกจากอุปกรณ์บินแหวกเมฆาและเดินผ่านสนามรบสองดินแดนด้วยตัวเอง
ตอนนี้ทั้งสามคือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ ซึ่งในสนามรบสองดินแดนแห่งนี้กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นตัวตนไร้เทียมทานที่สุด หลังจากเข้าสู่อาณาเขตของดินแดนศักดิ์สิทธิ์สภาพแวดล้อมของสวรรค์และปฐพีก็เปลี่ยนไป
สตรีนกอมตะที่ไม่สามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองได้พลังต่อสู้ลดลงหวบทันที
พวกเขาเยี่ยมเยือนธิดาซื่อเยว่อีกครั้งและร่วมแสดงความยินดีที่ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ธิดาซื่อเยว่สามารถทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ได้สำเร็จ แต่แน่นอนว่าฝ่ายที่ตกตะลึงอย่างมากคือธิดาซื่อเยว่ นางไม่คาดคิดว่าพัฒนาการของทั้งสามคนจะรวดเร็วเพียงนี้
หลิงฮันทิ้งทรัพยากรบ่มเพาะไว้เช่นเคย หลังจากอำลาธิดาซื่อเยว่เรียบร้อยสตรีนกอมตะก็เอ่ย “พวกเราจะกลับไปดาวเหอหนิงหรือดาวดาวมู่ถู?”
“ดาวมู่ถู” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความลังเล เขายังมีเรื่องที่ต้องทำที่นั่นอยู่อีก อย่างเช่นเขาต้องการให้หลงเซียงเยว่พาไปพบกับอาสาวของนางเพื่อขอเขามังกร
ภรรยาของเขาทั้งสองย่อมไม่คัดค้าน พวกเขาใช้อุปกรณ์บินแหวกเมฆาเดินทางอีกครั้งโดยมุ่งหน้าไปดาวมู่ถู
การเดินทางคราวนี้ใช้เวลาไม่มาก ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนพวกเขาก็มาถึงดาวมู่ถู อุปกรณ์บินแหวกเมฆาแล่นลงจอดอย่างเงียบเฉียบโดยไม่รบกวนใคร
พวกหลิงฮันทั้งสามคนมุ่งหน้ามายังสำนักย่อยที่แปดด้วยท่าทีสบายใจราวกับไม่เคยมีเหตุการณ์บาดหมางกับตระกูลฮูเกิดขึ้น
“ละ ละ หลิงฮัน!” ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวหน้าทางเข้าสำนัก เหล่าคนที่พบเห็นพวกเขาก็แสดงท่าทีตกตะลึง มีศิษย์คนหนึ่งเกรี้ยวกราดจนทนไม่ไหวและปล่อยหมัดเข้าใส่หลิงฮัน “ตัวบัดซบ เจ้ายังกล้ากลับมาอีก!”
จักรพรรดินีก้าวขึ้นหน้าและผลักฝ่ามือออกไป ‘ตูม’ ร่างของศิษย์ที่ปล่อยหมัดใส่หลิงฮันถูกส่งลอยกระเด็น ต่อหน้าจักรพรรดินีในตอนนี้ไม่ว่าไช่เหมี่ยว เริ่นเฟยอวิ๋น หรือศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดคนอื่นๆก็ไม่สามารถนับเป็นอันใด
หลิงฮันยิ้มและห้ามปรามไม่ให้จักรพรรดินีลงมือต่อ “มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะกลับมาไม่ได้?”
“สำนักละอองดาราย่ำแย่เพราะเจ้า” ศิษย์คนนั้นฝืนลุกขึ้นยืนและคำรามใส่หลิงฮัน
หลิงฮันจิตใจสั่นสะท้าน ในตอนนั้นที่เขาสร้างปัญหาดูเหมือนตระกูลฮูจะไม่ปล่อยสำนักละอองดาราไปง่ายๆ เขาพยักหน้าและกล่าว “เกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ข้าจากไป?”
หลังจากถามอย่างละเอียดถี่ถ้วนเขาก็ได้คำตอบว่าตระกูลฮูนั้นไม่ได้ลงมือสังหารใครในสำนักละอองดารา แต่พวกเขาเลือกที่จะขูดรีดทรัพยากรของสำนักไปแทน
ในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เหล่าศิษย์ของสำนักพบเจอกับความลำบากเป็นอย่างมากเนื่องจากทรัพยากรที่แจกจ่ายนั้นมีไม่เพียงพอ ซึ่งต้นเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ก็คือหลิงฮัน
หลิงฮันลูบคางและตัดสินใจว่าเขาจะเอาคืนตระกูลฮูโดยการแย่งชิงทรัพยากรกลับคืนมาเป็นสิบเป็นร้อยเท่า
“หลิงฮัน!” ศิษย์อีกคนพุ่งทะยานเข้ามาพร้อมกับจิตสังหาร
ไช่เหมี่ยว!
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ศิษย์พี่ไช่ ไม่ได้พบกันเสียนาน! แม้ศิษย์พี่จะพยายามกดดันข้าต่างๆนาๆอย่างน้อยข้าก็ยังคิดว่าท่านเป็นหนึ่งในราชาแห่งยุค แต่ในตอนที่ท่านยอมเป็นสุนัขรับใช้ให้ภรรยาเซียนจูงหางนั้น ข้าได้เปลี่ยนความคิดทันทีและรู้สึกขยะแขยงท่านเป็นอย่างมาก!”
“ไม่ต้องพล่ามไร้สาระ!” ไช่เหมี่ยวชี้นิ้วใส่หลิงฮัน “คนที่หวาดกลัวความตายจนหนีหากจุกตูดและทิ้งความรับผิดชอบให้สำนักเช่นเจ้ายังมีหน้ากลับมาอีกรึ! วันนี้… ข้าจะเป็นคนลงโทษเจ้าเอง!”
ตอนที่ 1602
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ถ้าเจ้าจะพูดถึงการลงโทษ ข้าก็ยังไม่ได้ลงโทษเจ้าเหมือนกันที่ครั้งก่อนร่วมมือกับสตรีอัปลักษณ์สร้างปัญญาหาให้ข้า”
“ฮึ่ม แล้วเจ้ามีคุณสมบัติอะไรที่ถึงได้ขัดขืนภรรยาเซียน?” ไช่เหมี่ยวกล่าวเย็นชาและจ้องมองหลิงฮันด้วยสายตาอิจฉา
เมื่อตอนที่เข้าเพิ่งเข้าร่วมสำนักละอองดารา เขาถูกบังคับให้คลานผ่านช่องลอดสุนัขอย่างไม่อาจขัดขืน ความอัปยศตอนนั้นฝังลึกลงไปในจิตใจของเขา แถมเรื่องที่ทำให้เขาอิจฉายิ่งขึ้นไปอีกก็คือการที่อีกฝ่ายมีสตรีงามล่มเมืองอยู่ข้างกาย
เขาด้อยกว่าหลิงฮันตรงไหน? ทำไมตอนนั้นถึงไม่มีใครยืนมือช่วยเขาจากวัฒนธรรมลอดช่องสุนัขบ้าง? ทำไมเขาถึงไม่มีสตรีงามล่มเมืองอย่างจักรพรรดินีอยู่เคียงข้างบาง?
ด้วยเหตุผลนี้ทำให้เขาตามรังควานหลิงฮันไม่ปล่อย
ในขณะที่ทั้งสองต่อล้อต่อเถียงกัน ศิษย์คนอื่นๆก็สังเกตเห็นพวกเขาเริ่มมุงดู
“หลิงฮัน!”
“เป็นหลิงฮัน!”
“เขากลับมาแล้วจริงๆ!”
“ศิษย์พี่หลิง!”
“ศิษย์พี่หลิง!”
“ศิษย์พี่หลิง!”
ทุกคนตะโกนลั่น ถึงแม้ศิษย์บางคนจะไม่ชอบหลิงฮันเพราะเขาเป็นตัวการที่ทำให้พวกเขาไม่มีทรัพยากรบ่มเพาะในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่ศิษย์ส่วนใหญ่ก็ยังนับถือหลิงฮันที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อเกียรติของสำนัก นอกจากเขาจะรับสามกระบวนท่าของฮูอิงมู่ได้แล้ว เขายังทำให้อีกฝ่ายกล่าวขอโทษต่อหน้าสาธารณะชนและสังหารอีกฝ่ายได้อีก
สำหรับศิษย์ส่วนใหญ่หลิงฮันคือตำนาน
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าวทักทายกับเหล่าศิษย์
“หลิงฮัน!” ไช่เหมี่ยวคำรามเนื่องจากไม่สบอารมณ์ที่ถูกเมิน
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ลืมเจ้าหรอก!” หลิงฮันหันกลับไปมองไช่เหมี่ยวด้วยแววตาเย็นชา เขารับรู้มานานแล้วว่าไช่เหมี่ยวนั้นจงใจเพ่งเล็งมาที่เขาเพราะความไม่พอใจส่วนตัว ไม่เหมือนกับศิษย์คนอื่นที่เคยขัดแย้งกับเขาเพราะวัฒนธรรมของสำนัก
ในมืออีกฝ่ายคิดร้ายเขาก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้า
“มาสู้กับข้า!” ไช่เหมี่ยวคำราม สำนักละอองดาราไม่มีกฎว่าห้ามต่อสู้กัน หากใครกลัวก็แค่หลบอยู่ในที่พักเพื่อความปลอดภัยก็พอ
“ไช่เหมี่ยว เจ้ายังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า?” เริ่นเฟยอวิ๋นก้าวเดินเข้ามา “ในตอนที่เซียนบุกรุกเหยียบย่ำสำนักของเราเจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ไหน? ทำไมข้าถึงไม่เห็นเจ้าออกหน้าทำอะไรเลย? หลิงฮันนั้นตรงกันข้ามกันเจ้า เขาลุกขึ้นต่อต้านเพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของสำนัก! ทั้งๆที่เป็นแบบนั้นเจ้ายังคิดจะสร้างปัญหาให้เขาอีก”
เริ่นเฟยอวิ๋นกล่าวเหยียดหยาม “ทำไมตอนที่หลิงฮันยังมีพลังจากการเผาผลาญหยดโลหิตราชาเซียนอยู่เจ้าถึงไม่ขอท้าประลองเขาล่ะ?”
“ใช่แล้ว ถ้าเจ้ายังยืนกรานว่าจะสู้ให้ได้ พวกข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เอง!” ศิษย์คนอื่นๆตะโกนออกมาเพื่อแสดงจุดยืนว่าพวกเขาสนับสนุนอยู่ฝ่ายหลิงฮัน
ไช่เหมี่ยวมีสีหน้าบูดบึ้งและกล่าว “พวกเจ้าลืมไปแล้วรึว่าเป็นเพราะเขาสำนักของเราถึงได้ติดร่างแหไปด้วย! ทว่าเขากลับสะบัดตูดหนีหายไปโดยทิ้งพวกเราเอาไว้ พวกเจ้าอย่าได้ลืมว่าใครเป็นต้นเหตุทำให้ทรัพยากรบ่มเพาะของพวกเราหดหาย”
“ไช่เหมี่ยว พอเสียที!” เริ่นเฟยอวิ๋นกล่าวเย็นชาและทนไม่ไหวเกือบจะเผลอลงมือ
‘พรึบ’ ทันใดนั้นเองจู่ๆร่างของจักรพรรดินีก็พุ่งทะยานเข้าหาไช่เหมี่ยวอย่างรวดเร็ว
กล้ากล่าวหาสามีของนางรึ?
นางสะบัดแขนผลักฝ่ามือเข้าใส่ไช่เหมี่ยว
“ฮึ่ม!” ไช่เหมี่ยวไม่คาดคิดว่าจักรพรรดินีจะกล้าลงมือ ในอดีตนางสามารถต่อสู้ได้ทัดเทียมเขาก็จริง แต่ก็เป็นเพราะนางใช้แผ่นหินประหลาดบางอย่างช่วยดูดซับพลังโจมตี หากไม่ใช่เพราะแผ่นหินนั่นแล้วเพียงแค่พลังต่อสู้ของนางคงไม่อาจต้านทานเขาได้
แต่ว่าตอนนี้นางไม่ได้ถือแผ่นหินไว้ในมือแท้ๆ แต่กลับกล้าเป็นฝ่ายลงมือจู่โจมเขา?
ไช่เหมี่ยวแสยะยิ้มและมีความคิดว่าหากจะคว้าหัวใจของสตรีเย็นชาเช่นนางได้ เขาคงต้องกำราบนางให้ราบคาบเสียก่อน
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ข้าไม่อยากทำร้…”
ตูม!
ยังไม่ทันทีจะกล่าวจบ ร่างของไช่เหมี่ยวก็ถูกฝ่ามือของจักรพรรดินีกระแทกเข้าใส่ ร่างของเขาลอยกระเด็นขึ้นฟ้าและกระอักโลหิตออกมา
จักรพรรดินีดึงฝ่ามือกลับและยืนนิ่งด้วยสีหน้าดูถูก
ทันทีที่ก้นของไช่เหมี่ยวกระแทกถึงพื้นเขาก็รีบคลานลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าอับอายและเกรี้ยวกราด เขามองไปยังจักรพรรดินีที่ตอนนี้กำลังจ้องเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม “ที่แท้เจ้าก็บรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดแล้ว!”
น่าอัศจรรย์มาก จักรพรรดินีนั้นเพิ่งเข้าร่วมสำนักละอองดาราเมื่อไม่นานนี้เองแต่กลับบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดแล้ว
แต่จะอย่างไรไช่เหมี่ยวก็ไม่หวั่นเกรง เมื่อครู่เขาแค่ประมาทจักรพรรดินีเท่านั้น
“เจ้าเป็นฝ่ายยั่วยุข้าเอง!” ไช่เหมี่ยวกล่าว ‘ครืนน’ รูปแบบอาคมสังหารภายในร่างกายของเขาถูกกระตุ้นใช้งาน แสงของตราประทับส่องสว่างทะลุผิวหนังของเขาออกมาอย่างน่าเกรงขราม
ตูม!
จักรพรรดินีพลักฝ่ามือเข้าใส่หน้าไช่เหมี่ยวจนร่างลอยกระเด็นอีกครั้ง
นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน!
ทุกคนตกตะลึง แม้พวกเขาจะได้ยินไช่เหมี่ยวกล่าวว่าจักรพรรดินีบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดแล้วแต่ก็ไม่มีใครคิดว่าจักรพรรดินีจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของไช่เหมี่ยวได้เนื่องจากไช่เหมี่ยวเป็นถึงหนึ่งในสามศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักย่อยที่แปด
พวกเขาเชื่อว่าตราบใดที่ไช่เหมี่ยวใช้อำนาจของรูปแบบอาคมสังหารเขาจะสามารถกำราบจักรพรรดินีได้อย่างไม่ยากเย็น
แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขารู้สึกราวกับถูกตบหน้า
ทั้งๆที่กระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมสังหารแล้วยังถูกซัดกระเด็นได้อย่างไร!
เริ่นเฟยอวิ๋น “…”
ศิษย์ทุกคน “…”
“เป็นปไม่ได้!” ไช่เหมี่ยวยกมือขึ้นมาถูใบหน้าด้วยสภาพที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย เขาจ้องมองไปยังจักรพรรดินีด้วยสีหน้าที่ไม่อาจยอมรับความจริง
จักรพรรดินีไม่แยแส นางปล่อยฝ่ามือใส่ใบหน้าของไช่เหมี่ยวอย่างต่อเนื่องโดยที่ไช่เหมี่ยวไม่สามารถตอบโต้ได้แม้แต่น้อย
ตอนนี้พลังบ่มเพาะของเขาเทียบเท่ากับไช่เหมี่ยวก็จริง แต่นางนั้นมีแก่นกำเนิดนิรันดร์และฝึกฝนทักษะระดับนิรันดร์มากมาย อีกอย่างคือไช่เหมี่ยวที่ยังไม่บรรลุขั้นสมบูรณ์ของระดับวารีนิรันดร์ไม่สมควรมีฉายาว่า ‘แข็งแกร่งที่สุด’ ด้วยซ้ำ
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
ศิษย์ทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออก ทุกคนมีความเชื่อว่าเหล่าศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเช่นไช่เหมี่ยวนั้น ในการต่อสู้ระดับเดียวกันแล้วพวกเขาไม่สมควรแพ้ใคร แต่ตอนนี้ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดกลับกลายเป็นว่ามีพลังต่อสู้อ่อนแอราวกับคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธ
เรื่องเช่นนี้มันทำใจเชื่อได้ยากเกินไป!
ตอนที่ 1603
จักรพรรดินียกมือขึ้นเพื่อปล่อยฝ่ามือต่อ
Anchor
ไช่เหมี่ยวรีบหันหลังเผ่นหนี แต่ทันทีที่เขาขยับตัวกลับพบว่าตัวเขาถูกส่งไปยังห้วงมิติปิดตายที่ไม่มีทั้งท้องฟ้าหรือผืนดิน ทว่าเพียงหนึ่งลมหายใจเขาก็กลับมายังโลกธรรมดาเหมือนเดิมและมีหลิงฮันปรากฏตัวยืนอยู่ตรงหน้า
ความมั่นใจของเขากลับมาทันใด จักรพรรดินีกลายเป็นตัวตนทรงพลังที่เขาไม่สามารถต่อกรได้แล้ว แต่หลิงฮันนั้นยังเป็นแค่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง ไม่มีทางอยู่แล้วที่อีกฝ่ายจะต่อกรกับศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นเขาได้
ไช่เหมี่ยวพุ่งเข้าใส่หลิงฮันอย่างไม่ลังเล เขาตั้งใจจะกำราบหลิงฮันเพื่อกู้หน้าจากการที่พ่ายแพ้จักรพรรดินี
หลิงฮันคิดหนักเป็นอย่างมาก เขาฝึกฝนทักษะทรงพลังเยอะเกินไปทำให้ไม่รู้ว่าจะใช้ทักษะใดจัดการไช่เหมี่ยวดี
รูปแบบอาคมสังหาร? เพลิงเก้าสวรรค์? ดาบฟ้าคำราม? กาลเวลาแปรผันพันปี? รัตติกาลเงาทมิฬ? ร่างเงามังกรทะยาน?
‘เห้อ’ หลิงฮันถอนหายใจเบาๆและเอื้อมมือออกไปด้านหน้า พริบตานั้นความมืดมิดอันเป็นอนันต์ก็ปกคลุมพื้นที่รอบด้านไช่เหมี่ยว บริเวณที่ถูกความมืดครอบงำนั้นมีระยะเพียงสามฟุตเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นไช่เหมี่ยวก็ไม่สามารถหนีออกมาได้
ศิษย์ทุกคนตกตะลึง ราวกับว่าหลิงฮันยังคงมีพลังของเซียนหลงเหลืออยู่ เพียงแค่ขยับมือเล็กน้อยเขาก็สามารถกักขังไช่เหมี่ยวอยู่ในความมืดได้!
เวลาผ่านไปไม่กี่ปีแท้ๆ แต่ดูเหมือนความห่างชั้นของพวกเขากับหลิงฮันจะเพิ่มขึ้นเกิดพรรณนา
จอมยุทธบางคนนั้นเกิดมาเพื่ออยู่เหนือผู้อื่นอย่างแท้จริง คนประเภทนี้สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้นับครั้งไม่ถ้วนจนผู้อื่นทำได้เพียงก้มหัว
“ศิษย์พี่หลิง!” ทุกคนส่งเสียงโห่ร้อง โลกของวรยุทธนั้นผู้แข็งแกร่งย่อมเป็นที่เคารพและตอนนี้ความแข็งแกร่งของหลิงฮันก็สามารถชนะใจของทุกคน
หลิงฮันยิ้มและพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าสำนักย่อยที่แปดไปพร้อมกับภรรยาทั้งสอง ศิษย์คนอื่นๆเดินตามเขามาเช่นกันและเอ่ยถามหลิงฮันไม่หยุดว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เขาพบเจออะไรมาบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาส่วนใหญ่อยากจะรู้ว่าเหตุใดหลิงฮันถึงได้แข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้
หลิงฮันไม่ปิดบัง เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่ถูกฮูเฟิงไล่ต้อนจนต้องหลบหนีไปยังดินแดนใต้พิภพ แต่เขาสามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่นั่นได้สำเร็จและได้เป็นมิตรสหายกับจ้าวอสูรระดับเหลืองสองคน ทุกคนตกตะลึงเป็นอย่างมาก หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาล่ะก็พวกเขาคงไม่สามารถฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพได้และถูกจอมยุทธของที่นั่นสังหารไปแล้ว
แน่นอนว่าเรื่องสำคัญอย่างดินแดนแห่งเซียนหรือหอคอยทมิฬนั้นหลิงฮันไม่เล่าออกไป เขาต้องปรึกษาเรื่องต่างๆกับเซียนซิงฉาก่อนว่าจะประกาศออกไปดีรึไม่
“เจ้ากลับมาแล้ว” เซียนหมิงซินปรากฎตัวก่อนจะมองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้าตะลึง
รูปแบบอาคมสังหารยี่สิบเจ็บรูปแบบ! แถมยังเป็นรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศอันแข็งแกร่งที่สุดรองจากรูปแบบอาคมเซียน!
เด็กหนุ่มคนนี้คือสัตว์ประหลาด!
“คารวะเซียน!” หลิงฮันให้เกียรติคนที่เป็นมิตรสหาย
“มากับข้า!” เซียนหมิงซินพาหลิงฮันไปพบกับเซียนซิงฉา
หลิงฮันกล้ากลับมาได้อย่างไร เขาไม่กลัวถูกตระกูลฮูสังหารรึ?
หลิงฮันบอกเซียนทั้งสองไปเพียงว่าเขามีความสามารถที่จะทำให้พลังบ่มเพาะยกระดับเป็นราชาเซียนช่วงสั้นๆ เพราะงั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของตระกูลฮู นอกจากนั้นหลิงฮันก็เปิดเผยถึงการมีอยู่ของดินแดนแห่งเซียนให้เซียนทั้งสองรับรู้ด้วย ในตอนที่เขาเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ เขาไม่รังเกียจที่จะพามิตรสหายบางคนไปกับเขาด้วย
เซียนทั้งสองตกตะลึง พวกเขาเป็นตัวตนสูงสุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หากไปยังดินแดนแห่งเซียนพวกเขาคงไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นปรมาจารย์
เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหดหู่ไม่น้อย แต่ก็ทำใจยอมรับความเป็นจริงได้อย่างรวดเร็ว การที่สามารถบ่มเพาะพลังจนบรรลุระดับสูงสุดของโลกบรรพกาลได้เป็นข้อพิสูจน์ถึงพรสวรรค์ของพวกเขาแล้ว เพราะงั้นต่อให้ไปยังดินแดนแห่งเซียนพวกเขาก็ไม่มีทางที่จะอ่อนแอไปกว่าจอมยุทธบางส่วน
เมื่อกลับมาที่สำนักย่อยที่แปด หลิงฮันได้ขอคำชี้แนะหลักการต่างๆเกี่ยวกับรูปแบบอาคมจากเซียนหมิงซินเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากหากพูดถึงความสามารถในด้านรูปแบบอาคมแล้วเซียนหมิงซินนั้นเหนือกว่าเซียนซิงฉา
เซียนหมิงซินรู้สึกชื่นชอบหลิงฮันเป็นอย่างมาก เขาอยากจะรับหลิงฮันเป็นศิษย์สืบทอดเดี๋ยวนี้เลยแต่ศักยะภาพของหลิงฮันสูงล้ำเกินไปจนน่าอัศจรรย์จนตัวเขาไม่มีคุณสมบัติพอจะรับอีกฝ่ายมาเป็นศิษย์
ยิ่งกว่านั้นปัญหาที่หลิงฮันเอ่ยถามกับเขานั้นได้ทำให้เขารู้แจ้งบางอย่างเช่นกัน ด้วยหลักการที่หลิงฮันถามเขานี้หากนำไปประยุกต์บางทีเขาอาจจะสามารถบรรลุเป็นเซียนระดับกลางได้ในไม่กี่พันปี
เขารู้สึกชื่นชอบหลิงฮันยิ่งขึ้นไปอีกและเศร้าโศกเป็นอย่างมากที่เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ศิษย์ของเขา
ฝ่ายที่ได้ประโยชน์กว่าคือหลิงฮัน ในด้านความพื้นฐานของรูปแบบอาคม ความเข้าใจของเซียนหมิงซินมีมากกว่าเขาหลายเท่า คำอธิบายของอีกฝ่ายทำให้เขาตระหนักรับรู้อะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หากบรรลุเป็นเซียนเมื่อไหร่เขาจะสามารถฝึกฝนรูปแบบอาคมเซียนให้สำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านพ้นไปหลายเดือน
……
ณ ดินแดนต้องห้ามแปดศิลา ตระกูลฮู
ในตอนนี้หลิงฮันก้าวเท้าเข้าสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฮูลั่วก็ลืมตาขึ้น ใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดและเจ็บปวด “เฟิงเอ๋อร์ตายแล้ว!”
“เจ้าหนูบัดซบนั่น!”
“จะเป็นไปได้อย่างไร! จากการคำนวณของข้าเขาสมควรไม่มีหยดโลหิตราชาเซียนอยู่กับตัวแล้วแถมข้าก็ยังมอบหยดโลหิตของตัวเองให้เฟิงเอ๋อร์ไปด้วย เขาจะตายด้วยเงื้อมมือของเจ้าหนูนั่นได้อย่างไร?”
“แต่บ่วงอาฆาตไม่มีทางผิดพลาด!”
“โอวหยางไท่ซาน… ต้องเป็นจิ้งจอกเฒ่านั่นแน่ๆ!”
ฮูลั่วทุบโต๊ะ คลื่นพลังอันทรงอำนาจส่งผลให้ที่พักที่เขาอยู่พังทลายในพริบตา เหล่าคนรับใช้ยังไม่มีโอกาศได้แม้แต่ร้องโอดครวญก็กลายเป็นเศษซากไปพร้อมกับที่พัก
เขาพยายามควบคุมอารมณ์ได้ในที่สุด ไม่เช่นนั้นสิ่งที่จะพังทลายเพราะความโกรธของเขาคงไม่ใช่แค่ที่พักแต่เป็นทั่วทั้งดินแดนต้องห้ามแปดศิลา
“ท่านประมุข!”
“ท่านประมุข!”
“ท่านประมุข!”
เซียนหกคนปรากฏตัว พวกเขาต้องมองไปยังฮูลั่วด้วยความยำเกรง ถึงแม้ตระกูลฮูจะมีราชาเซียนอยู่สองคนแต่ก็มีเพียงฮูลั่วคนเดียวที่บรรลุเป็นราชาเซียนสูงสุด
.
ประมุขผู้นี้คือเสาค้ำจุนตระกูลฮู การที่ได้เห็นอีกฝ่ายโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ทำให้พวกเขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก
“บ่วงอาฆาต!”
“ของฮูเฟิง!”
พวกเขาเข้าใจสาเหตุที่ฮูลั่วโกรธในทันที แม้แต่ใบหน้าของพวกเขาก็ยังเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง ฮูเฟิงนั้นเป็นรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ พวกเขาเชื่อว่าต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียนฮูเฟิงก็ยังถือว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะ ไม่มีใครคาดคิดจริงๆว่าเขาจะถูกสังหาร!
“โอวหยางไท่ซานเป็นคนโน้มน้าวให้พวกเราล้มเลิกความบาดหมางที่มีต่อเจ้าหนูบัดซบนั่นและตอนนี้เฟิงเอ๋อร์ก็ได้ตกตายด้วยเงื้อมมือของเจ้าหนูบัดซบที่ว่า ข้าเชื่อว่าคนที่ต้อนเฟิงเอ๋อร์ให้จนมุมต้องเป็นโอวหยางไท่ซานไม่ผิดแน่และปล่อยโอกาสให้เจ้าหนูนั่นเป็นคนลงมือสังหาร” ฮูลั่วกล่าวด้วยจิตสังหารอันท่วมท้น
ตอนที่ 1604
“ฮึ่ม จะปล่อยให้เจ้าหนูบัดซบนั่นมีชีวิตอยู่ไม่ได้!”
“ในเมื่อบ่วงอาฆาตปรากฏขึ้นมาแสดงว่าเขากลับมาดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
“ช่างกล้าหาญนัก สังหารคนของตระกูลฮูไปแล้วยังกล้าโผล่หน้ากลับมาอีก”
“จะประมาทไม่ได้ เจ้าหนูนั่นอุตส่าห์หลบหนีไปถึงดินแดนใต้พิภพ การที่เขากล้ากลับมานั้นมีอะไรไม่ชอบมาพากล!”
ไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็ต้องถูกสังหาร เขากับดินแดนต้องห้ามแปดศิลาไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ตอนนี้มีเซียนของตระกูลฮูถูกเขาสังหารไปถึงสองคนแล้ว
เพียงแต่ว่าการที่หลิงฮันกล้ากลับมาเช่นนี้ พวกเขาย่อมรู้ว่ามันเป็นกับดัก
ฮูลั่วลังเล เขาไม่ได้ต้องการสังหารหลิงฮันเพราะอยากแก้แค้นเพียงอย่างเดียว แต่อีกฝ่ายยังครอบครองสมบัติของราชันวารีสวรรค์ที่เป็นถึงทักษะบ่มเพาะระดับราชานิรันดร์ด้วย!
“ต่อให้เป็นกับดัก พวกเราก็ต้องรีบก่อนที่ดินแดนต้องห้ามอื่นๆจะรู้ตัว!” ฮูลั่วรีบกล่าว “ข้าจะเป็นคนลงมือไล่ล่าเจ้าหนูนั่นด้วยตัวเอง อาวุโสสองเจ้าคอยคุ้มกันตระกูลอยู่ที่นี่ ส่วนคนอื่นๆตามข้ามา”
ด้วยการไล่ล่าของเซียนถึงห้าคน เขาไม่เชื่อว่าหลิงฮันจะพลิกสวรรค์หลบหนีไปไหนได้!
ต่อให้โอวหยางไท่ซานคอยช่วยเหลือหลิงฮันอยู่ พลังอำนาจของอีกฝ่ายก็ต้องถูกจำกัดเอาไว้ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“เพื่อสมบัติของราชันวารีสวรรค์ ต่อให้เป็นกับดักพวกเราก็ต้องเสี่ยง!” ฮูลั่วกล่าวหนักแน่น
“อืม!” เซียนคนอื่นๆพยักหน้า หากได้ครอบครองทักษะบ่มเพาะราชานิรันดร์ อำนาจของตระกูลฮูจะทะยานสูงขึ้นพรวดพราด ในอนาคตต่อให้ไปอยู่ในดินแดนแห่งเซียนแล้วก็ยังมีโอกาสที่พวกเขาจะได้เป็นราชานิรันดร์ระดับแนวหน้า
คุ้มค่าที่จะเสี่ยง!
ฮูลั่วและเซียนอีกห้าคนเคลื่อนที่ด้วยคลื่นอำนาจแห่งเต๋าสีทองไปยังดาวมู่ถู พวกเขานำพารุ่นเยาว์จำนวนหนึ่งไปด้วยโดยให้อยู่ในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ ด้วยระยะทางที่ห่างไกลทำให้ต่อให้เป็นพวกเขาก็ต้องใช้เวลาสามเดือนเต็มกว่าจะมาถึงดาวมู่ถู
ด้วยแรงกดดันจากเซียนถึงหกคนโดยที่สองในหกนั้นเป็นถึงราชาเซียน ส่งผลให้จิตวิญญาณของทุกชีวิตในดาวมู่ถูสั่นสะท้านราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“คารวะราชาเซียน!” เซียนซิงฉาและเซียนอีกเก้าคนปรากฏตัวแสดงความเคารพต่อฮูลั่ว
ฮูลั่วปลดปล่อยสัมผัสสวรรค์ออกเป็นวงกว้างเพื่อตรวจสอบแต่ก็ไม่พบอะไรทีแปลกไปแม้แต่น้อย ดวงดาวดวงนี้ยังคงเป็นเหมือนเดิม ปรมาจารย์ที่ทรงพลังที่สุดที่เขาสัมผัสได้คือเซียนซิงฉา
น่าแปลก…
เขาไม่เชื่อว่าหลิงฮันจะกล้ากลับมาโดยที่ไม่มีจอมยุทธที่แข็งแกร่งคอยช่วยเหลือ
หรือว่าโอวหยางไท่ซานและขุมอำนาจที่หลิงฮันพามาด้วยจะหลบอยู่ในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์?
ฮูลั่วไม่มีทางคาดเดาได้ว่าที่หลิงฮันกล้ากลับมานั้นเป็นเพราะมีวาสนาศักดิ์สิทธิ์จากหอคอยทมิฬ
‘หรือนี่จะเป็นแผนการของดินแดนต้องห้ามอื่นๆที่จงใจล่อข้าออกมาแล้วฉวยโอกาสบุกรุกดินแดนต้องห้ามแปดศิลา’ ฮูลั่วคิด
ไม่ใช่ว่าทุกขุมอำนาจที่เรียกว่า ‘ดินแดนต้องห้าม’ จะเป็นมิตรต่อกันทั้งหมด แต่ละขุมอำนาจมีความบาดหมางและความเกลียดชังต่อกัน ซึ่งดินแดนต้องห้ามแปดศิลาเองก็ไม่รู้ว่าได้ล่วงเกินดินแดนต้องห้ามไปมากมายเพียงใด
ฮูลั่วพยายามอดกลั้นความโกรธและจิตสังหารเอาไว้ก่อนจะกล่าว “ข้านำคนของตระกูลมาในวันนี้เพื่อประลองแลกเปลี่ยนศาสตร์วรยุทธกับศิษย์ของเจ้า”
ใบหน้าของเซียนซิงฉาแสดงออกถึงความมึนงง นี่เจ้ากินยาผิดขวดรึอย่างไร?
ไม่ว่าใครก็มองออกว่าสีหน้าของเจ้านั้นกำลังแสดงออกว่าอยากฆ่าสังหาร แต่ถึงอย่างนั้นเจ้ากลับบอกว่ามาเพื่อประลองแลกเปลี่ยนศาสตร์วรยุทธ?
แต่หากราชาเซียนกล่าวแบบนั้นใครจะปฏิเสธได้?
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าไปเตรียมการให้พร้อม” เซียนซิงฉากล่าวกับเซียนทั้งเก้าเพื่อให้พวกเขาไปคัดเลือกศิษย์เมล็ดพันธุ์จากสำนักย่อยของแต่ละคนมา
เซียนซิงฉาพาคนอื่นไปยังลานประลองโบราณเพื่อนั่งชมการต่อสู้ ซึ่งแน่นอนว่าราชาเซียนทั้งสองได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด โดยที่เซียนซิงฉานั้นนั่งอยู่กับเซียนอีกสี่คนของตระกูลฮู
ผ่านไปไม่นานเซียนหมิงซินและเซียนคนอื่นก็มาถึงพร้อมกับศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละสำนักย่อย ศิษย์คนอื่นๆไม่มีใครเลยที่มาเพื่อดูการประลอง ทางสำนักย่อยที่แปดนำศิษย์มาเพียงสามคนคือเริ่นเฟยอวิ๋น ฉีเทียนและอวี๋ซู่ซู่เท่านั้นโดยที่ไม่ได้พาไช่เหมี่ยวมาด้วย
ฮูลั่วไม่แม้แต่เปิดตาชำเลืองมองเนื่องจากสัมผัสสวรรค์ของเขาปกคลุมไปทั่วทั้งดาวมู่ถูแห่งนี้แล้ว เขากล่าว “หลิงฮันอยู่ที่ไหน?”
เซียนซิงฉามองไปยังเซียนหมิงซินและเอ่ยถาม “หมิงซิน แล้วหลิงฮันล่ะ?”
“ท่านอาจารย์ หลิงฮันออกเดินทางไปฝึกตนและยังไม่กลับมาเลย” เซียนหมิงซินกล่าวโกหก
ฮูลั่วเค้นเสียง บ่วงอาฆาตที่เขาจับได้นั้นหายไปจากดาวดวงนี้และยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ นั่นหมายความได้อย่างเดียว… หลิงฮันกำลังหลบอยู่ในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์
คิดจะหลอกเขารึ?
“ช้าก่อนผู้อาวุโส!” ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ลอยมาจากท้องฟ้า ที่หลังของเขาปรากฏครีบเหมือนปลาและมีพังผิดเชื่อมนิ้วทั้งห้าเอาไว้ ร่างนั้นลอยลงมาและคุกเข่า “ข้ามีนามว่าไช่เหมี่ยว รุ่นเยาว์ผู้นี้มีเรื่องอยากแจ้งให้ทราบ!”
“โอหัง!” เหล่าเซียนตระกูลฮูถลึงตาโหดเหี้ยม
เซียนหมิงซินมีสีหน้าเย็นชา เขารีบเอื้อมมือออกไปไปคว้าร่างไช่เหมี่ยว
ปัง!
ในขณะที่เขาเอื้อมมือออกไป จู่ๆคลื่นอำนาจอันทรงพลังก็สะท้อนพลังของเขากลับมา ใบหน้าเซียนหมิงซินกลายเป็นซีดเผือดราวกับกระดาษและกระอักโลหิตออกมา
ฮูลั่วดึงนิ้วกลับและกล่าว “ให้เขาพูด”
เซียนซิงฉากำหมัดแน่น ด้วยการที่เขารักศิษย์ทั้งเก้าเหมือนครอบครัวทำให้เขาทนไม่ไหวอยากจะลงมือจู่โจมใส่ฮูลั่วเดี๋ยวนี้ แต่หากเขาผลีผลามทำเช่นนั้นทุกคนที่นี่คงต้องสิ้นชีพ!
เขาสูดหายใจลึกเพื่อพยายามระงับอารมณ์
“พูดมา” ฮูลั่วกล่าวกับไช่เหมี่ยวและเผยรอยยิ้มออกมา
ไช่เหมี่ยวรู้สึกฮึกเหิมและไม่แม้แต่หันไปมองเซียนหมิงซิน ความอัปยศที่เขาได้รับจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เขาไม่มีหน้าจะอยู่ในสำนักละอองดาราอีกต่อไปและคิดจะลาออกจากสำนัก แต่ก่อนหน้านั้นเขาต้องกำจัดหลิงฮันให้ได้เสียก่อน ซึ่งบังเอิญเหลือเกินที่ตระกูลฮูปรากฏตัวพอดี
“ผู้อาวุโส หลิงฮันกลับมาสำนักแล้วเมื่อสามเดือนก่อนและตอนนี้กำลังเก็บตัวอยู่ในที่พัก” ไช่เหมี่ยวกล่าว
แน่นอนว่าฮูลั่วคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้แล้วถึงได้วางแผนบุกมาที่นี่ ตอนนี้เมื่อได้รับคำยืนยันจากปากของไช่เหมี่ยวเขาจึงหันไปกล่าวกับเซียนซิงฉาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าหลอกข้า?”
ประโยคที่ฮูลั่วกล่าวออกมานั้นแฝงไว้ด้วยจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว
ตอนที่ 1605
เซียนซิงฉาจิตใจสั่นสะท้าน ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าให้หลิงฮันปรากฏตัวออกมา หลิงฮันเคยบอกพวกเขาแล้วว่าหากตระกูลฮูปรากฏตัว หลิงฮันก็มีไพ่ลับที่สามารถช่วยยกระดับพลังบ่มเพาะให้เป็นราชาเซียนได้
เขากวาดสายตามองไปยังไช่เหมี่ยวด้วยความไม่สบอารมณ์ หากไม่ใช่เพราะศิษย์คนนี้เรื่องก็อาจจะผ่านพ้นไปด้วยดีแล้ว
ที่เซียนซิงฉาคิดเช่นนี้ก็เพราะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของบ่วงอาฆาต
“หืม?”
ฮูลั่วชะงักเล็กน้อย จู่ๆเขาก็สัมผัสได้ว่าบ่วงอาฆาตมีการเคลื่อนไหว แววตาอันแก่ชราของเขาหรี่ลงก่อนจะพบเห็นร่างเงาที่เหาะเหินมาจากระยะไกล ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นแดงฉานทันทีเนื่องจากเงาที่กำลังลอยมาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากศัตรูคู่แค้นของตระกูลฮู
นับว่าน่าตลกไม่น้อยที่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สามารถเป็นศัตรูคู่แค้นของดินแดนต้องห้ามได้ แต่ความจริงก็คือความจริง เซียนของตระกูลฮูตกตายด้วยเงื้อมมือหลิงฮันไปแล้วสองคน
เซียนถึงสองคน!
ต่อให้เป็นดินแดนต้องห้ามตัวตนระดับเซียนก็ไม่ได้มีเยอะ ในตระกูลฮูมีเซียนอยู่เพียงสิบคนเท่านั้น และกว่าที่แต่ละคนจะบรรลุเป็นเซียนได้ไม่รู้ว่าพวกเขาทุ่มเททรัพยากรอย่างสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำไปมากมายเพียงใด
เหนือสิ่งอื่นใดคือฮูเฟิงนั้นเป็นความหวังในอนาคตของตระกูลฮู
“ข้าคงไม่ได้มาช้าหรอกนะ?” หลิงฮันยิ้ม เขากวาดสายตามองตระกูลฮูที่อยู่บนแท่นผู้ชมลานประลองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ฮูลั่วพยายามระงับอารมณ์เอาไว้และกล่าว “ในเมื่อมากันครบแล้วก็เริ่มการประลองได้ จริงสิ ข้ารู้สึกถูกชะตารุ่นเยาว์เมื่อครู่ไม่น้อย ให้เขาเข้าร่วมกับตระกูลฮูของพวกเราด้วยแล้วกัน”
“ขอรับท่านประมุข!” เซียนทุกคนของตระกูลฮูยิ้มและพยักหน้า
ไช่เหมี่ยวที่ได้ยินก็กัดฟันและโค้งคำนับฮูลั่ว “ขอขอบคุณผู้อาวุโส!” ตอนนี้เขาอยู่ในสถานะอันเป็นปฏิปักษ์กับสำนักละอองดาราอย่างสิ้นเชิงและไม่สามารถหันหลังกลับได้แล้ว
ศิษย์ทุกคนจ้องมองไปยังไช่เหมี่ยว พวกเขาทุกคนไม่มีความรู้สึกเป็นมิตรต่อตระกูลฮูแม้แต่น้อย เพราะงั้นการกระทำของไช่เหมี่ยวจึงทำให้ศิษย์ทุกคนเกรี้ยวกราดมากจนอยากลงมือสังหารเขา
ไช่เหมี่ยวแสร้งทำเป็นไม่เห็น ในเมื่อเขามาถึงจุดนี้แล้วก็ไม่อาจถอยหลังกลับได้
ฮูลั่วยิ้มและสะบัดมือเข้าหาไช่เหมี่ยว “รับไป!” ทันใดนั้นคลื่นแสงลึกลับก็ทะลวงผ่านเข้าสู่ร่างของไช่เหมี่ยว “เจ้าเป็นคนแรกที่จะประลอง”
ไช่เหมี่ยวตกตะลึงก่อนจะรู้สึกตื่นเต้น
เขาพบว่าพลังในร่างกายของเขามีอำนาจอันทรงพลังไหลผ่าน ไช่เหมี่ยวรู้สึกว่าตัวเขาในตอนนี้เพียงแค่หมัดเดียวก็สามารถบดขยี้สวรรค์และปฐพีได้
เหล่าคนของตระกูลฮูแสยะยิ้ม สิ่งที่ไช่เหมี่ยวได้รับไปเมื่อครู่คืออำนาจที่สามารถกระตุ้นศักยะภาพของจอมยุทธคนหนึ่งให้ปลดปล่อยพลังแฝงออกมาได้อย่างเต็มที่ทำให้พลังต่อสู้ทะยานสูงขึ้นในระยะสั้นๆ แต่หลังจากหมดสิ้นพลังแล้วจอมยุทธผู้นั้นจะกลายเป็นเพียงขยะไร้ค่า
เป็นแค่มดปลวกคิดจริงๆรึว่าจะได้เข้าร่วมกับตระกูลฮูจริงๆ?
ไช่เหมี่ยวไม่รับรู้ผลที่จะตามมาจากการที่ตนเองมีพลังต่อสู้ทะยานสูงขึ้นแม้แต่น้อย เขาคุกเข่าและกล่าว “ขอบคุณผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง ข้าน้อยจะไม่ทำให้ผู้อาวุโสผิดหวัง!”
เขาทะยานก้าวออกมาและตะโกนลั่น “ใครจะเป็นคู่ประลองให้ข้า!”
ศิษย์ทุกคนไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง พวกเขาไม่เคยพบเจอใครที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน!
“ข้าเอง!” ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งก้าวออกมา เขาเป็นสุดยอดราชาของสำนักย่อยที่สาม มีชื่อว่าฉือเติง
“ฮ่าๆๆๆ!” ไช่เหมี่ยวไม่พูดกล่าวและปล่อยหมัดออกไปทันที ‘ตูม ตูม ตูม’ ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ฉือเติงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อยและถูกซัดลอยกระเด็นออกจากลานประลองอย่างรวดเร็ว
“ช่างอ่อนหัดนัก!” ไช่เหมี่ยวถุยน้ำลาย “คนต่อไป!” เขากวัดมือท้าทายด้วยท่าทางอวดดี
“ข้า!”
“ข้าเอง!”
“ให้ข้าจัดการ!”
ไม่คาดคิดว่าศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดถึงสี่คนจะก้าวไปยังลานประลองพร้อมกัน เริ่นเฟยอวิ๋นก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ให้ข้าจัดการเอง พวกเจ้าถอยไป”
“ไม่ ให้ข้าเอง!”
ทั้งสี่คนแย่งกันท้าประลองไช่เหมี่ยว
“ฮ่าๆ พวกเจ้ามาพร้อมกับนั่นแหละ!” ไช่เหมี่ยวแสยะยิ้ม เขาสัมผัสได้ว่าพลังภายในร่างของเขานั้นยังคงแผ่ขยายขึ้นเรื่อยๆ แม้จำนวนของดวงดาวในวิถีโคจรดาราจักรจะไม่เพิ่มขึ้น แต่อำนาจของดาวแต่ละดวงกลับทรงพลังขึ้นหลายสิบเท่า
เขาพุ่งทะยานปลดปล่อยการโจมตีใส่ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสี่คนพร้อมกัน
‘ตูม ตูม ตูม’ พลังต่อสู้ของเขาน่าสะพรึงกลัวเกินไป ต่อให้ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสี่จะร่วมมือกันก็ยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“ฮ่าๆๆ ข้าคือราชาที่แท้จริงแห่งยุคสมัย!” ไช่เหมี่ยวหัวเราะลั่น แม้ตอนนี้ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสี่จะยังไม่พ่ายแพ้ แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าพลังในร่างยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นานศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสี่จะถูกเขาบดขยี้อย่างแน่นอน
ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ หลังจากผ่านไปอีกสิบกว่ากระบวนท่าศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสี่ก็ถูกไช่เหมี่ยวกำราบอย่างราบคาบ พวกเขาแต่ละคนกระอักโลหิตออกมาและกระดูกในร่างแตกหักไปกว่าครึ่ง
“คนต่อไป!” ไช่เหมี่ยวกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโสยิ่งกว่าเดิม
เห็นท่าทางอวดดีของอีกฝ่าย ศิษย์ทุกคนก็อดที่จะเกรี้ยวกราดไม่ได้ เพียงแต่ว่าขนาดศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสี่คนร่วมมือกันก็ยังเอาชนะเอาไว้ได้ ความแข็งแกร่งของไช่เหมี่ยวในตอนนี้อาจจะต้องให้ศิษย์ที่แข็งแกร่งถึงสิบคนในการกำราบ
แต่การประลองจะมีความหมายอะไรหากต้องให้จอมยุทธถึงสิบคนร่วมมือกันเพื่อเอาชนะ?
“ไม่มีใครเสนอตัวแล้ว?” ไช่เหมี่ยวกวาดสายตามองด้วยความเหยียดหยาม
ทุกคนเกรี้ยวกราดจนเผลอกำมือแน่น เพียงแต่ว่าไช่เหมี่ยวในตอนนี้แข็งแกร่งเกินไป พวกเขาทำได้เพียงจ้องมองท่าทีอวดดีของเขาโดยที่ไม่สามารถอะไรได้
ช่างน่ารังเกียจนัก!
‘พรึบ’ แต่ทันใดนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏตัว ความงดงามของนางนั้นเจิดจรัสจนทำให้แสงของดวงตะวันเลือนลาง
Anchor
จักรพรรดินีหล่วนซิง!
“โอ้?” พริบตาที่เห็นจักรพรรดินี ฮูลั่วและเซียนคนอื่นก็จิตใจสั่นไหวทันที พวกเขาเกิดความรู้สึกอยากจะครอบครองสตรีตรงหน้า
ในด้านของการควบคุมอารมณ์พวกเขาถือว่าด้อยกว่าเซียนซิงฉาและเซียนทั้งเก้า
นั่นเพราะพวกเซียนซิงฉานั้นมีความมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่และชี้แนะศาสตร์แห่งวรยุทธ พวกเขาให้ความสำคัญกับพรสวรรค์ของจักรพรรดินีเป็นหลัก แต่พวกฮูลั่วนั้นไม่ใช่ พวกเขาไม่มีสายสัมพันธ์ของศิษย์กับอาจารย์ และถึงแม้จะมีอายุมานานจนแก่เฒ่าแล้วพวกเขาก็ยังมีความต้องการหลงเหลืออยู่
ตอนที่ 1606
“และแล้วเจ้าก็ปรากฏตัว!” ไช่เหมี่ยวกล่าวด้วยเสียงโหดเหี้ยม
เขาเคยคิดว่าต้องการจะครอบครองจักรพรรดินีด้วยกำลัง ซึ่งตอนนี้เขาก็มีแล้ว!
“จงศิโรราบต่อข้า!” ไช่เหมี่ยวลงมือ ความมืดมิดได้กัดกินหัวใจของเขาไปแล้ว ภาพที่เขาต้องการเห็นคือภาพที่จักรพรรดินีคุกเข่าแทบเท้าตนเอง
จักรพรรดินีคร้านเกินกว่าจะกล่าวอะไร นางปล่อยฝ่ามือเข้าใส่ไช่เหมี่ยวอย่างรวดเร็ว
ตูม!
คราวนี้ไช่เหมี่ยวไม่ถูกซัดจนร่างกระเก็น เขาสามารถปล่อยหมัดต้านฝ่ามือจักรพรรดินีเอาไว้ได้
“ฮ่าๆ ข้าไม่ใช่ตัวข้าคนก่อนแล้ว!” พลังที่ได้รับมาช่างยอดเยี่ยมนัก ไช่เหมี่ยวหัวเราะและเอื้อมมือออกไปหวังจะคว้าข้อมือของจักรพรรดินี
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ไม่เพียงแค่เหล่าศิษย์เท่านั้นที่เกรี้ยวกราดแต่เหล่าเซียนของตระกูลฮูก็เช่นกัน ‘มดปลวกไร้ค่า กล้าดีอย่างไรคิดแตะต้องสตรีที่พวกเขาหมายปอง?’
แน่นอนว่าจักรพรรดินีไม่ยอมให้อีกฝ่ายทำสำเร็จ นิ้วมือทั้งห้าของนางสะบัดพริ้วไหวปลดปล่อยปราณดาบออกไป
ตูม ตูม ตูม ทั้งสองเข้าปะทะกันในระยะปะชิดอย่างต่อเนื่อง พลังของทั้งสองฝ่ายเรียกว่าแทบจะเท่าเทียมกันทำให้ไม่มีใครเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“ข้ายังแข็งแกร่งได้อีก!” ไช่เหมี่ยวคำราม เขาสูดหายใจลึกและระเบิดพลังออกมาจากร่างกาย อำนาจของดวงดาวแต่ละดวงถูกรีดเค้นจนถึงขีดจำกัด
“ข้าคือราชาไร้เทียมทาน!” ไช่เหมี่ยวปล่อยหมัดเข้าใส่จักรพรรดินีพร้อมกับกระตุ้นอำนาจของรูปแบบอาคมสังหาร
“พลังของเขาเกือบจะเท่ากับจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่มีดวงดาวสองล้านดวง” หลิงฮันมองและกล่าวในใจ ในดินแดนต้องห้ามอัจฉริยะที่ขัดเกลาพลังจนถึงระดับนี้ได้มีอยู่น้อยนิด แต่คนเหล่านั้นบ่มเพาะพลังด้วยตัวเองไม่เหมือนกับไช่เหมี่ยวในตอนนี้
หลิงฮันมองออกว่าอำนาจที่ทรงพลังขนาดนั้นต้องแลกมาด้วยพลังชีวิตอันมหาศาล หลังจากการประลองนี้ ต่อให้ไม่ตายไช่เหมี่ยวก็ต้องพิการ
และต่อให้ไช่เหมี่ยวจะมีพลังขนาดนั้น จักรพรรดินีก็ยังรับมือไหว
ใบหน้าของจักรพรรดินียังคงแสดงออกถึงความไม่แยแส นางปลดปล่อยทักษะนิรันดร์ ทักษะรัตติกาลเงาทมิฬออกไป ความมืดมิดอันเป็นอนันต์โอบล้อมร่างของไช่เหมี่ยวเอาไว้ ประสามสัมผัสที่หายไปทำให้เขาไม่สามารถระบุได้ว่าศัตรูอยู่ตรงไหน
“แค่นี้ยังไม่พอ!” ไช่เหมี่ยวคำรามและโหมกระหน่ำปล่อยหมัดราวกับพายุเพื่อปัดเป่าความมืดมิด
ด้วยพลังอันไร้เทียมทานในตอนนี้ ไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งเขาได้
จักรพรรดินีไม่หวั่นไหวและยกฝ่ามือขึ้นมา ‘ตูม ตูม ตูม ตูม’ ฝ่ามือของนางปลดปล่อยทักษะร่างเงามังกรทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงจนไช่เหมี่ยวไม่อาจหลบหลีกได้ทัน
ไช่เหมี่ยวถูกซัดอย่างต่อเนื่อง แต่เขาก็ต้องรู้สึกตกตะลึงเมื่อพบว่าพลังฟื้นฟูของตนเองในตอนนี้น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก แม้ฝ่ามือของจักรรพดินีจะสร้างบาดแผลสาหัสให้แก่เขา บาดแผลก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
หลังจากพบว่าร่างกายของตัวเองไม่มีบาดแผลใดๆเลยแม้แต่น้อย ไช่เหมี่ยวก็หัวเราะลั่น พลังของเขาในตอนนี้ทรงพลังเกินไป แม้จะเป็นตัวเขาเองก็ยากที่จะทำใจเชื่อได้ลง
สมกับเป็นอำนาจที่ได้รับจากราชาเซียน ช่างฝืนสวรรค์ยิ่ง!
“ถึงคราวของข้าบ้าง!” เขาปลดปล่อยการโจมตีตอบโต้
ทั้งสองแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันอย่างดุเดือด ไช่เหมี่ยวนั้นแม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างต่อเนื่องแต่ก็ฟื้นฟูตนเองได้แทบจะในพริบตา
จักรพรรดินีไม่แยแส ในที่สุดนางก็โคจรพลังของสายเลือดปลดปล่อยทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญ ร่างแยกของนางค่อยๆเดินออกมาจากร่างหลัก ผ่านไปไม่นานก็มีจักพรรดินีถึงสิบคนยืนเคียงข้างกัน
“ทักษะแยกร่าง?” ไช่เหมี่ยวไม่หวาดกลัว ร่างแยกจะทรงพลังเทียบเท่าร่างหลักได้อย่างไร อย่างมากร่างแยกก็ทำได้เพียงสร้างความสับสนเท่านั้นและมีพลังต่อสู้เพียงน้อยนิด
จักรพรรดินีลงมือ ‘ครืนนน’ ร่างทั้งสิบปลดปล่อยทักษะนิรันดร์ออกไปพร้อมกัน
ทักษะรัตติกาลเงาทมิฬ ทักษะร่างเงามังกรทะยาน กาลเวลาแปรผันพันปีและทักษะดาบฟ้าคำรามถูกโหมกระหน่ำเข้าใสไช่เหมี่ยว
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
ไช่เหมี่ยวถูกกระหน่ำโจมตีไม่ยั้ง แม้พลังฟื้นฟูของเขาจะอัศจรรย์แต่ก็ไม่สามารถรองรับการโหมกระหน่ำโจมตีจากจักพรรดินีสิบคนได้ เขากระอักโลหิต ร่างกายที่รับการโจมตีเริ่มบิดเบี้ยวผิดรูปจนกระดูกแตกหักและโผล่ออกมาภายนอก
“ข้าไร้เทียมทาน!” ไช่เหมี่ยวคำรามเสียงดังกึกก้อง เขายังอยากสู้ต่อ เพียงแต่ว่าจู่ๆพลังในร่างของเขาก็ลดฮวบลงอย่างรวดเร็วจนพริบตาเดียวก็ไม่มีพลังหลงเหลืออยู่ในร่างกาย
อย่าเพิ่งพูดถึงว่าไร้เทียมทานรึเปล่า ตอนนี้พลังของเขาลดลงไปกว่าพลังในตอนแรกเริ่มด้วยซ้ำ
ร่างกายของเขากลายเป็นแก่ชรา ผิวหนังเหี่ยวย่นและเส้นสมเป็นสีขาวโพลน ทั่วทั้งใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอย ไช่เหมี่ยวในตอนนี้มีสภาพเหมือนกับคนใกล้ตาย
‘ขะ….’ เขายังคงดื้อรั้นจะฝืนลุกขึ้นสู้ เพียงแต่แค่พลังจะลุกขึ้นยืนเขาก็ไม่มีเหลือ
จักรพรรดินีสะบัดแขนสั่งให้ร่างแยกทั้งเก้ากลับสู่ร่างหลัก นางไม่แม้จะเหลียวมองไช่เหมี่ยวและเดินกลับมายืนข้างหลิงฮัน
‘อั่ก! อั่ก!’ กลางลานประลอง ไช่เหมี่ยวยังคงกระอักโลหิตไม่หยุด พลังบ่มเพาะของเขาไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป และด้วยบาดแผลสาหัสตามร่างกายเกรงว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน
เขามองไปยังทิศทางของฮูลั่วโดยยังคาดฝันว่าฮูลั่วจะยื่นมือมาช่วยเขา แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดเพ้อฝัน คนของตระกูลฮูทุกคนต่างแสยะยิ้ม พวกเขาเห็นไช่เหมี่ยวเป็นเพียงสุนัขรับใช้เท่านั้น และเมื่อสุนัขกำลังใกล้ตายพวกเขาจำเป็นต้องแยแสด้วย?
Anchor
เซียนซิงฉาพยักหน้าให้กับเซียนหมิงซิน เซียนหมิงซินพยักหน้าตอบรับและไปนำร่างของไช่เหมี่ยวกลับมา เขาส่งผ่านพลังเซียนเข้าไปในร่างอีกฝ่ายเพื่อระงับอาการบาดเจ็บเอาไว้ชั่วคราว
“คนเช่นนี้จะให้ตายไปแบบสบายๆไม่ได้!” เซียนหมิงซินกล่าว
เหล่าศิษย์ที่คิดว่าเซียนหมิงซินต้องการช่วยเหลือไช่เหมี่ยว เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยทันที ใช่แล้ว คนที่ทรยศต่อสำนักจะปล่อยให้ตายไปง่ายๆได้อย่างไร?
ฮูลั่วไม่สนใจ เขาสะบัดมือและกล่าว “ประลองต่อได้”
คนของตระกูลฮูก้าวออกมา เขากวาดสายตามองเหล่าศิษย์ก่อนจะจดจ้องค้างอยู่ที่หลิงฮัน “ข้าคือฮูหยางเฉิน ข้าอยากขอคำชี้แนะจากน้องชายหลิง”
ถึงเวลาแล้วงั้นสิ!
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ในเมื่ออยากตายเร็วขนาดนั้น ทำไมข้าจะสนองให้ไม่ได้ล่ะ?”
ฮูหยางเฉินเกรี้ยวกราด เขาคือจอมยุทธที่บรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์และควบแน่นดวงดาวได้เกือบจะสามล้านดวง อีกฝ่ายที่เป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะจัดการข้าได้?
“งั้นก็มาสู้กัน!”
ตอนที่ 1607
ฮูหยางเฉินกวักนิ้วยุแหย่หลิงฮัน เขาได้รับหน้าที่ไล่ต้อนหลิงฮันให้จนมุมเพื่อที่ผู้ช่วยเหลือที่อยู่เบื้องหลังหลิงฮันจะได้ปรากฏตัวออกมา
เขาไม่ต้องกังวลว่าเซียนซิงฉาหรือเซียนอีกเก้าคนจะแทรกแซง เนื่องจากประมุขของเขาสามารถจัดการเซียนเหล่านั้นได้
หลิงฮันกระโดดลงมาจากแท่นผู้ชมและเผยรอยยิ้ม
“หลิงฮัน ข้าขอแนะนำให้เจ้ามอบสมบัติของราชันวารีสวรรค์มาแต่โดยดีแล้วศพของเจ้าจะครบสามสิบสอง” ฮูหยางเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส ในสายตาของเขาการต่อสู้ครั้งนี้ไม่คู่ควรให้เขาลงมือเองเลยด้วยซ้ำ
นั่นเพราะเขาคือจอมยุทธที่ขัดเกลาดวงดาวได้เกือบจะถึงสามล้านดวง!
หลิงฮันมองไปยังฮูหยางเฉินและกล่าว “ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอแนะนำเจ้าบ้าง เจ้าอยากให้ร่างของตนเองแหลกเป็นเศษซากหรือสลายเป็นขี้เถ้า?”
“ช่างปากดี!” ฮูหยางเฉินยิ้มเย็นชาและโคจรพลังในใจ ทันใดนั้นวงโคจรวิถีดาราจักรของเขาก็ปรากฏออกมา ดวงดาวนับไม่ถ้วนภายในวงโคจรวิถีดาราจักรระเบิดแสงสว่างเจิดจ้าไร้ที่สิ้นสุด
พรวด!
ศิษย์ทุกคนสำลัก ปากของพวกเขาแต่ละคนกระตุกไปมาราวกับทำใจเชื่อสิ่งที่สายตาตัวเองเห็นไม่ได้
ดวงดาวเกือบสามล้านดวง!
นั่นไม่ใช่พลังที่เทียบเท่าเซียนแล้วหรอกรึ?
แข็งแกร่งเกินไป…
หลิงฮันไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของฮูหยางเฉินได้แน่นอน
“ศิษย์พี่หลิง อีกฝ่ายมีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ส่วนท่านมีพลังอยู่ที่ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง การต่อสู้นี้ไม่มีความยุติธรรมแม้แต่น้อย”
“ใช่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องฝืนสู้ก็ได้”
ศิษย์หลายคนกล่าวกับหลิงฮัน หากยังฝืนสู้ต่อไปหลิงฮันอาจจะตายขึ้นมาจริงๆ
“เริ่มคิดอยากหนีแล้วรึ?” ฮูหยางเฉินแสยะยิ้มและปล่อยฝ่ามือออกไป อำนาจของวงโคจรวิถีดาราจักรระเบิดออกและควบแน่นกันเป็นเหยี่ยวครามขนาดมหึมาพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
แววตาของหลิงฮันส่องประกายเย็นชา ใต้ฝ่าเท้าของเขาระเบิดพลังออกมาเพื่อส่งร่างพุ่งทะยานเข้าหาฮูหยางเฉิน
ส่วนเหยี่ยวครามที่อยู่ตรงหน้านั้น หลิงฮันไม่มีความคิดที่จะหลบ
‘นี่หลิงฮันรนหาที่ตายรึ?’
ฮูหยางเฉินแสยะยิ้มในขณะที่ศิษย์คนอื่นรู้สึกหวาดผวา
“มิติเอกเทศ!” หลิงฮันกล่าวเบาๆ ‘พรึบ’ เมื่อเหยี่ยวคราวมาถึงด้านหน้าเขาจู่ๆมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยที่หลิงฮันไม่ได้ตอบโต้ใดๆแม้แต่น้อย ร่างของเขาพุ่งทะยานไปปรากฏด้านหน้าฮูหยางเฉินอย่างรวดเร็ว
เป็นไปได้อย่างไร!
ดวงตาฮูหยางเฉินเปิดกว้างด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ จู่ๆการโจมตีของเขาก็หายไปอย่างสมบูรณ์! หากหลิงฮันลงมือตอบโต้เขาก็ยังพอยอมรับได้และมีเวลาเตรียมตัวรับมือต่อได้ทัน
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนทำให้ตัวเขาอยู่ในสภาพไร้การป้องกันอย่างสิ้นเชิง
‘ตูม’ หมัดของหลิงฮันถูกปล่อยออกไป
“ฮึ่ม!” ฮูหยางเฉินไม่ตื่นตัว ถึงแม้เขาจะไม่ได้เตรียมพร้อมแต่พลังต่อสู้ของเขาก็เหนือกว่าหลิงฮันไม่รู้กี่เท่า ต่อให้ไม่ต้องควบแน่นพลังทั้งหมดและใช้ออกด้วยพลังเพียงหนึ่งในสิบเขาก็ยังสามารถบดขยี้หลิงฮันได้อยู่ดี
หากวัดเพียงแค่พลังต่อสู้อย่างเดียวแล้วล่ะก็ ตัวเขาสามารถเทียบเท่ากับได้กับเซียน!
หมัดของหลิงฮันพุ่งออกไปอย่างรุนแรง ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง รูปแบบอาคมสังหารทั้งยี่สิบเจ็ดก็ถูกกระตุ้นใช้งานส่งผลให้พลังต่อสู้ของหลิงฮันเพิ่มขึ้นราวกับไม่มีขีดจำกัด
เขาตั้งใจสังหารฮูหยางเฉินให้จบในพริบตาเพื่อที่ตระกูลฮูจะได้ไม่มีโอกาสแทรกแซงช่วยเหลือได้ทัน!
เหล่าเซียนมองออกอย่างรวดเร็วว่าภายในร่างกายของหลิงฮันมีรูปแบบอาคมสังหารจำนวนมากสลักเอาไว้ แต่นอกจากเซียนหมิงซินแล้วไม่มีใครเลยที่สามารถมองเห็นจำนวนของรูปแบบอาคมสังหารได้อย่างชัดเจนจากการมองเพียงแวบเดียว
หากรูปแบบอาคมสังหารถูกกระตุ้นใช้งานก่อนปล่อยหมัด เหล่าเซียนจะสามารถมองออกแน่นอนว่าพลังของมันนั้นน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน แต่หากรูปแบบอาคมสังหารถูกกระตุ้นหลังปล่อยหมัด ต่อให้เป็นเซียนของตระกูลฮูก็ไม่อาจแทรกแซงได้ทัน
ตูม!
ทันทีที่หมัดเข้าปะทะ ร่างของฮูหยางเฉินก็ระเบิดออกอย่างไม่อาจต้านทานและกลายเป็นฝนโลหิต
‘พรึบ’ ในเวลาเดียวกัน เหยี่ยวครามที่ฮูหยางเฉินปลดปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ก็ปรากฏกลับออกมาและสลายหายไป
เหล่าคนที่มองดูอยู่ตกตะลึงนิ่งเงียบไร้คำพูด
ใครจะไปคิดว่าปรมาจารย์ที่ควบแน่นดวงดาวได้เกือบสามล้านดวงจะตายด้วยเงื้อมมือของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง!
ฮูลั่วชะงักไปชั่วครู่ ความเกรี้ยวกราดของเขาปะทุออกมาจนส่งผลให้ชั้นอากาศสั่นสะเทือน เซียนซิงฉาที่อยู่ใกล้ๆร่างสั่นสะท้านและแทบจะทรุดตัวลงไปกับพื้น
ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเซียนซิงฉาหวาดกลัวหรือไม่ ที่เซียนซิงฉาตกอยู่ในสภาพนี้เป็นเพราะแรงกดดันจากระดับพลังที่เหนือกว่า
ฮูลั่ววางแผนต้อนหลิงฮันให้จนมุมเพื่อที่ขุมอำนาจเบื้องหลังหลิงฮันจะได้โผล่หัวออกมาและเขาจะตัดสินใจลงมืออย่างไรต่อไปก็ขึ้นอยู่กับสถานะการ เรื่องนี้อาจจะจบลงอย่างสันติหรือไม่ก็นองเลือด
แต่ที่ไม่คาดคิดคือ ขุมอำนาจเบื้องหลังหลิงฮันยังไม่ทันปรากฏตัวเลยแท้ๆ ทายาทที่โดดเด่นคนหนึ่งของตระกูลฮูกลับถูกสังหารเสียแล้ว
อารมณ์อันบูดบึ้งของเขาส่งผลให้ผมขาวโพลนสยายชี้ฟ้าและมีเปลวเพลิงปรากฏออกมารอบเส้นผม นี่แสดงให้เห็นว่าฮูลั่วในตอนนี้กำลังเกรี้ยวกราดขนาดไหน
“ตงผิง เจ้าไปจัดการเจ้าหนูนั่น!” ฮูลั่วกล่าวเสียงต่ำออกคำสั่งเซียนตระกูลฮูผู้หนึ่ง
“น้อมรับคำสั่งท่านประมุข!” เซียนผู้นั้นเอ่ยรับคำสั่ง เขาคือเซียนลำที่ห้าของตระกูลฮู ชื่อของเขาคือฮูตงผิงเป็นเซียนระดับกลาง
“ผู้อาวุโส!” เซียนซิงฉาลุกขึ้นและคิดจะห้าม แต่เมื่อถูกฮูลั่วจ้องมองด้วยแววตาโหดเหี้ยม เขาก็ต้องกลับมานั่งลงเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว
ต่อหน้าราชาเซียน ต่อให้เขาจะเป็นเซียนระดับสูงก็ไม่มีคุณสมบัติต่อต้าน
เซียนหมิงซินและเซียนคนอื่นๆขมวดคิ้ว หากเซียนระดับกลางลงมือเอง ต่อให้เป็นพวกเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ แล้วหลิงฮันจะต้านทานไหวได้อย่างไร?
“เจ้าหนู ใครอยู่เบื้องหลังเจ้ากันแน่เจ้าถึงได้กล้าเป็นศัตรูกับตระกูลฮูของข้า?” ฮูตงผิงเอ่ยถามอย่างเย็นชา
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อย “เจ้าหวาดกลัวรึ? เกรงว่าหากข้าบอกไปเจ้าจะกลัวหัวหดจนต้องคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอชีวิตที่ต่ำช้าราวกับสุนัขของเจ้าน่ะสิ”
“สุนัขน้องสาวเจ้าน่ะสิ! รับฝ่าเท้าของข้าไป!” ‘พรึบ’ เงาดำร่างหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามาและใช้เท้าถีบเข้าใส่หลิงฮัน
เป็นเจ้าสุนัขตัวดำ!
หลิงฮันสะบัดมือ ทันใดนั้นร่างของสุนัขตัวดำก็หายไป เขาขยับถอยหลังหลบมาจากจุดเดิม ‘พรึบ’ ร่างของสุนัขตัวดำปรากฏอีกครั้งโดยที่เท้าของมันสัมผัสโดนเพียงอากาศที่ว่างเปล่าและร่วงกระแทกพื้น
“ฮึ่ม เจ้าหนูตัวเหม็น นี่เจ้าไปเรียนรู้ทักษะแปลกประหลาดอันใดมา?” สุนัขตัวดำยกขาหลังขึ้นมาเกาคอ
“ถ้าเจ้าไม่แกว่งเท้าหาเสี้ยนก็ไม่ต้องถูกสวรรค์ลงโทษแบบนั้น” หลิงฮันยิ้ม
ฮูตงผิงที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้ารู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก นี่หลิงฮันกับสุนัขตนนั้นต้องดูถูกเขาขนาดไหนกันถึงขนาดกล้าพูดคุยกันโดยไม่เห็นหัวเขาที่ยืนอยู่ต่อหน้า?
“ตาย!” เขาปล่อยฝ่ามือขวาออกไปเพื่อกำราบหลิงฮันและสุนัขตัวดำ
ตอนที่ 1608
“เดี๋ยวก่อน ทำไมนายท่านหมาถึงโดนหมายหัวไปด้วย?” สุนัขตัวดำรีบเผ่นหนี
ความเร็วของมันน่าอัศจรรย์มาก ไม่คาดคิดว่ามันจะสามารถหลบหลีกออกจากระยะการโจมตีของเซียนได้ทัน
“หอคอยน้อย!”
หลิงฮันเค้นเสียงในใจ ‘ครืนนน’ พริบตานั้นพลังบ่มเพาะของเขาก็ทะยานสูงขึ้นเป็นระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุด
เขาผลักฝ่ามือออกไปตอบโต้การโจมตีของฮูตงผิง
“ชักไม่ดีแล้ว!” ฮูลั่วรีบลุกขึ้นและพุ่งทะยานจู่โจมเข้าใส่หลิงฮัน ณ เวลานี้เขาได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกไปอย่างไม่ลังเล รอบกายของเขามีประกายแสงสีทองจากอำนาจแห่งเต๋าถูกปลดปล่อยออกมา
ตูม!
น่าเสียดายที่เขาลงมือช้าเกินไป ฝ่ามือของหลิงฮันบดขยี้ร่างของฮูตงผิงกลายเป็นฝนโลหิตโดยแม้แต่เศษกระดูกก็ไม่หลงเหลือเอาไว้
“อ้ากก เจ้าตัวบัดซบ!” ฮูลั่วคำรามใส่ท้องฟ้า ผมอันขาวโพลนของเขาสยายออกด้วยความเกรี้ยวกราด จิตสังหารอันรุนแรงก่อให้เกิดเป็นคลื่นพลังสั่นสะเทือนไปทั่วพื้นที่
คนอื่นๆโดยรอยชะงักแน่นิ่ง
เซียนถูกสังหาร!
นี่หลิงฮันกลายเป็นนักล่าเซียนไปแล้วหรืออย่างไร?
พวกเขาไม่รู้เลยว่าในดินแดนใต้พิภพหลิงฮันโหดเหี้ยมมยิ่งกว่านี้เสียอีก ที่นั่นเขาสังหารจ้าวอสูรไปแล้วนับร้อย
“ฆ่าเลย! ฆ่ามันเลย!” สุนัขตัวดำสะบัดก้นและตะโกนจากระยะไกล กางเกงในโลหะของมันสะท้อนแสงดวงอาทิตย์สว่างเจิดจ้า
ใบหน้าของฮูลั่วกลายเป็นเหี้ยมโหด เขาชี้นิ้วไปยังทิศทางของสุนัขตัวดำและปลดปล่อยคลื่นแสงอันรวดเร็วออกไป
หลิงฮันรีบสะบัดมือ ทันใดนั้นร่างของสุนัขตัวดำก็หายไป หลังจากคลื่นแสงลอยผ่านพ้นไปหนึ่งลมหายใจร่างของสุนัขตัวดำถึงกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งในตำแหน่งเดิม
“เจ้าหนูบัดซบ เจ้ากล้าขัดขวางข้า?” ฮูลั่วคำรามและผลักฝ่ามือเข้าใส่หลิงฮัน
“เจ้าเป็นใคร ทำไมข้าถึงจะไม่กล้า?” หลิงฮันปล่อยการโจมตีเข้าปะทะกับฮูลั่ว ‘ตูม’ การปะทะกันของทั้งสองก่อให้เกิดคลื่นกระแทกอันรุนแรงจนมิติปริแตก
ฮึ่ม!
ทุกคนตกตะลึง ก่อนหน้านี้ที่หลิงฮันใช้อำนาจของโลหิตราชาเซียนก็น่าสะพรึงกลัวมากพอแล้ว แต่ตอนนี้เขาน่าสะพรึงยิ่งกว่า เป็นไปได้อย่างไรที่หลิงฮันจะสามารถโต้ตอบกับราชาเซียนตัวจริงได้อย่างซึ่งๆหน้า?
“เป็นไปไม่ได้!” ไช่เหมี่ยวโอดครวญ เขายังพอมีสติเหลืออยู่ทำให้เห็นว่าหลิงฮันในตอนนี้ทรงพลังขนาดไหน
“จะ เจ้าผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ!” ฮูลั่วสูดหายใจลึก เขาพยายามแสดงออกทางสีหน้าอย่างไม่แยแส แต่ความจริงเขารู้ตัวดีว่าตนเองอ่อนแอกว่าหลิงฮันในตอนนี้
เรื่องที่หลิงฮันสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองดินแดนเป็นหนึ่งได้นั้นไม่ใช่ความลับในพันธมิตรทลายสวรรค์ แต่ที่ฮูลั่วคาดไม่ถึงคืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของหลิงฮันจะยกระดับจากระดับวารีนิรันดร์มาเป็นระดับสร้างสรรพสิ่งตามพลังบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นด้วย
“ตกใจรึ?” หลิงฮันหัวเราะ เขาควบแน่นเพลิงเก้าสวรรค์ให้เป็นดาบและจู่โจมฮูลั่วต่อ
ไม่ใช่แค่ตกตะลึงแต่เรียกว่าหวาดกลัวเลยจะดีกว่า!
ฮูลั่วเข้าใจทันทีว่าทำไมหลิงฮันถึงกล้ากลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้เขาก็มีวิธีการลึกลับบางอย่างที่ทำให้ตนเองยกระดับพลังบ่มเพาะกลายเป็นระดับสร้างสรรพสิ่งสูงสุดได้แถมมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่สมบูรณ์ด้วย!
เดี๋ยวก่อน ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วไม่ใช่ว่าหลิงฮันจะสามารถเปิดเส้นทางเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้เลยหรอกรึ?
นั่นคือสิ่งที่ฮูลั่วคิด แต่ทว่าไม่ว่าหลิงฮันในตอนนี้จะทรงพลังแค่ไหนพลังบ่มเพาะในตอนนี้ก็ไม่ใช่พลังบ่มเพาะที่แท้จริงของเขาทำให้ไม่สามารถเปิดเส้นทางสู้ดินแดนแห่งเซียนได้
เซียนคนอื่นๆของตระกูลฮูก็เห็นถึงพลังของหลิงฮันแล้วเช่นกัน ราชาเซียนตระกูลฮูอีกคนพุ่งทะยานเข้ามาและร่วมมือกับฮูลั่วจัดการหลิงฮัน
“รนหาที่ตาย?” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม
“คนที่จะตายคือเจ้า!” ฮูลั่วกล่าว ในเมื่อเขาได้เห็นแล้วว่าหลิงฮันมีพลังที่แข็งแกร่งด้วยตัวเอง จึงไม่น่ามีขุมอำนาจใดคอยช่วยเหลือเขาอยู่
สิ่งที่พวกเขาต้องทำมีเพียงสังหารหลิงฮันและครอบครองมรดกของราชานิรันดร์แต่เพียงผู้เดียว
“ตาย!”
เขากับราชาเซียนอีกคนปลดปล่อยกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดเข้าใส่หลิงฮัน
หลิงฮันรับมือการโจมตีที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับกล่าว “บางทีพวกเจ้าอาจจะยังไม่รู้ ในดินแดนใต้พิภพข้าสังหารจ้าวอสูรไปแล้วกว่าร้อยชีวิตและมียี่สิบชีวิตเป็นอย่างน้อยที่มีพลังระดับจ้าวอสูรสวรรค์ กับแค่พวกเจ้าไม่กี่คนย่อมไม่คณามือข้า!”
‘ต้องเป็นเรื่องไร้สาระที่แต่งขึ้นมาแน่’ ฮูลั่วและราชาเซียนอีกคนคิดในใจ
“พวกเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจ แต่ภายในสามกระบวนท่าข้าจะส่งพวกเจ้าไปลงนรกให้ดู!” หลิงฮันกระตุ้นพลังของเพลิงเก้าสวรรค์ ถึงแม้เขาจะสามารถเอาชนะทั้งสองได้โดยไม่พึ่งพาสิ่งนี้แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารพวกเขาในสามกระบวนท่า
หลิงฮันปลดปล่อยอำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์ออกไป ต่อให้พวกฮูลั่วทั้งสองจะเป็นราชาเซียน แต่เพียงแค่สองกระบวนท่าพวกเขาก็ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่แล้ว เมื่อดาบเพลิงถูกสะบั้นออกไปครั้งที่สาม กายหยาบและดวงวิญญาณของพวกเขาก็ถูกเผาผลาญเป็นเถ้าธุลี
เซียนคนอื่นๆของตระกูลฮูตกตะลึงและหวาดกลัว พวกเขารีบปลดปล่อยคลื่นแห่งเต๋าสีทองเพื่อที่จะหลบหนี แต่หลิงฮันก็ได้ใช้ห้วงมิติเอกเทศกักขังพวกเขาเอาไว้หนึ่งลมหายใจ เมื่อร่างของพวกเขาปรากฏออกมาคลื่นดาบก็พุ่งทะลวงบดขยี้พวกเขาสิ้นชีพในพริบตา
เซียนหกคนถูกสังหารไม่เหลือซากแทบจะพร้อมๆกัน
ทุกคนที่มองดูอยู่ตกตะลึงจนร่างแข็งค้าง พวกเขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความจริง
หลิงฮัน… ไร้เทียมทานอย่างแท้จริง! ครั้งนี้เขาสังหารราชาเซียนไปถึงสองคน
“หลิงฮัน!”
“หลิงฮัน!”
“หลิงฮัน!”
เหล่าศิษย์ส่งเสียงโห่ร้องราวกับคลื่นยักษ์กระหน่ำ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้จะอยู่ในความทรงจำของพวกเขาตลอดการและถูกเล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น
หลิงฮันยิ้มให้กับทุกคนโดยไม่มีท่าทีหยิ่งยโส
นี่ไม่ใช่พลังของเขาเอง วาสนาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามครั้งถูกใช้จนหมดแล้ว หากพบเจอกับเซียนอีกครั้ง ต่อให้จะเป็นเพียงเซียนระดับต้นเขาก็ทำได้เพียงเข้าไปหลบซ่อนในหอคอยทมิฬ
เพียงแต่ว่าหลังจากการต่อสู้ในวันนี้ชื่อเสียงของเขาคงโด่งดังไปทั่วจักรวาล ดินแดนต้องห้ามต่างๆจะต้องเปลี่ยนท่าทีที่มีแต่เขาและคงไม่กล้าตั้งตนเป็นศัตรู
พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าหลิงฮันยังสามารถยกระดับพลังได้อีกกี่ครั้ง?
หลิงฮันเก็บอุปกรณ์มิติของตระกูลฮูมาตรวจสอบ ภายในเต็มไปด้วยทรัพยากรบ่มเพาะมากมายซึ่งเขาก็ได้มอบพวกมันให้กับสำนักละอองดาราเพื่อเป็นค่าชดเชยจากการกระทำของเขา หากทรัพยากรเท่านี้ยังไม่พอก็ต้องรอให้เขามีพลังมากพอในการกวาดล้างดินแดนต้องห้ามแปดศิลาให้สิ้นซากเสียก่อน
แม้ตระกูลฮูยังมีราชาเซียนอยู่อีกหนึ่งคน แต่ราชาเซียนคนนี้ก็ไม่ใช่ราชาเซียนสูงสุด การที่ตระกูลฮูสูญเสียเซียนจำนวนมากไปพร้อมกันเช่นนี้คงถึงคราวที่ตระกูลฮูจะต้องตกต่ำแล้ว
ตอนที่ 1609
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง แต่กว่าข่าวจะแพร่กระจายออกไปให้รู้กันทั่วก็คงต้องใช้เวลาเนื่องจากจักรวาลนั้นกว้างใหญ่เกินไป
การใช้ชีวิตของหลิงฮันไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม เขาเก็บตัวบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่องและชี้แนะจักรพรรดิพิรุณ สวีเหลิน ติงผิงและสหายคนอื่นๆเกี่ยวกับการผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองดินแดนโดยให้พวกเขาลองฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพจากภายในหอคอยทมิฬ
หลังจากฝึกฝนอยู่ใต้ต้นสังสารวัฏหนึ่งเดือน เซียนหวู่เซียง ติงผิง จิ่วเยา สวีเหลินและคนอื่นก็ต้องส่ายหัว พวกเขาผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนไม่สำเร็จ อย่างมากพวกเขาก็พอจะคงสภาพให้พวกเขาอยู่รวมกันได้ทำนั้นแต่ไม่สามารถผสานเป็นหนึ่งเดียวกันได้ และเมื่อออกจากหอคอยทมิฬอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพที่พวกเขาฝึกฝนมาจะถูกสวรรค์และปฐพีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ลบล้างหายไปทันที
มีเพียงจักรพรรดิพิรุณที่ฝืนดันทุรันฝึกฝนต่อ และสองเดือนต่อมาเขาก็สามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองได้สำเร็จ
ถึงแม้จะเป็นเพียงอำนาจกฎเกณฑ์ระดับต่ำสุดของระดับพลังบ่มเพาะ แต่ก็สร้างความตกตะลึงให้ทุกคนเป็นอย่างมาก
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมพี่สองคนของผู้นี้ จักรพรรดิพิรุณนั้นไม่มีหอคอยทมิฬหรือทักษะบ่มเพาะราชานิรันดร์ เขาพัฒนาทุกอย่างขึ้นมาด้วยตัวของเขาเองทีละก้าว
คนผู้นี้คืออัจฉริยะแห่งวิถีวรยุทธอย่างแท้จริง
ทุกคนได้รับเม็ดยามามากจากหลิงฮันทำให้พวกเขาทุกคนใกล้จะบรรลุระดับวารีนิรันดร์แล้ว
หลิงฮันพยักหน้า หากทุกคนทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์เมื่อไหร่เขาคงต้องพัฒนาเม็ดยาใหม่อีกครั้งเพื่อไม่ให้ประสิทธิภาพของเม็ดยารุนแรงเกินไป
ทุกวันนี้หากไม่คิดค้นเม็ดยาเขาก็จะไปเรียนรู้ศาสตร์รูปแบบอาคมกับเซียนหมิงซินหรือไม่ก็สะสมปราณก่อเกิดเพื่อทะลวงผ่านเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุด
สามเดือนต่อมา จักรพรรดินีควบแน่นสร้างดวงดาวในวิถีโคจรดาราจักรถึงหนึ่งล้านดวงได้สำเร็จ หรือก็คือนางก้าวสู่ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์อย่างเต็มตัวแล้ว!
เมื่อทะลวงผ่านขั้นพลังก็ต้องรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ เพียงแต่ว่าจักรพรรดินีมีร่างแยกทั้งเก้าที่สามารถช่วยกันแบ่งเบาความรุนแรงของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ได้ กล่าวคือความรุนแรงของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่นางได้รับนั้นจะอ่อนพลังลงถึงสิบส่วน
ถัดจากนางหลิงฮันก็สะสมปราณก่อเกิดพร้อมแล้วเช่นกัน เขาทำการทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดและรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
เขาสลายพลังป้องกันเพื่อใช้ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ขัดเกลากายหยาบ
‘ครืนน’ ในขณะเดียวกันนี้เองคลื่นแสงแห่งเต๋าก็ลอยลงมาจากท้องฟ้า อำนาจแห่งเซียนปกคลุมไปทั่วอากาศ
เซียนซิงฉาและเซียนคนอื่นๆปรากฏตัวพร้อมกัน อีกฝ่ายที่มาจะต้องเป็นตัวตนระดับเซียนไม่ผิดแน่
“ข้าคือชิงอวี่จากดินแดนต้องห้ามรุ้งพิสุทธิ์” เมื่อคลื่นแสงแห่งเต๋าสลายไปก็ปรากฏร่างของเซียนผู้หนึ่งกับรุ่นเยาว์อีกสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ทั้งสามคนเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่ไม่ว่าคนไหนก็มีกลิ่นอายดั่งมังกรในหมู่มนุษย์
“คารวะผู้อาวุโส!” เซียนซิงฉารีบทำการคำนับ อีกฝ่ายคือราชาเซียน!
ชิงอวี่พยักหน้าก่อนจะหันไปมองบนท้องฟ้า เมื่อเห็นหลิงฮันที่กำลังสลายพลังป้องกันกายหยาบของตัวเองเพื่อรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เขาก็แสดงท่าทางตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด
“รุ่นเยาว์ผู้นั้น… คือหลิงฮัน?” เขาเอ่ยถาม
“ผู้อาวุโสเดาไม่ผิด!” เซียนซิงฉากล่าวตอบอย่างสุภาพ เพียงแต่ภายในใจของเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสลดเล็กน้อย แต่เดิมแล้วในเขตดวงดาวนับร้อยนี้เขาเคยเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดแท้ๆ แต่พักนี้กลับมาราชาเซียนหลายคนปรากฏตัวจนเขาต้องลดตัวลงมาแสดงความเคารพต่ออีกฝ่าย
ชิงอวี่แน่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “เหล่าเซียนของดินแดนต้องห้ามแปดศิลาตกตายที่นี่?”
“ขอรับ” เซียนซิงฉากล่าวหนักแน่น ดูเหมือนในที่สุดข่าวการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็แพร่งพรายไปถึงหูดินแดนต้องห้ามอื่นๆ
“เล่าเหตุการณ์มาให้ละเอียดหน่อย” เซียนชิงอวี่กล่าว
เซียนซิงฉาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดจากมุมมองของเขาออกไปพร้อมกับดึงภาพจากความทรงจำของเขาในช่วงเวลานั้นให้อีกฝ่ายดู
ภาพที่ปรากฏคือราชาเซียนทั้งสองร่วมมือกันโจมตีหลิงฮัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกหลิงฮันสังหารภายในสามกระบวนท่า เซียนชิงอวี่ที่เห็นเช่นนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
ก่อนหน้านี้แม้เขาจะยืนยันการหายตัวไปขอราชาเซียนตระกูลฮูทั้งสองได้แล้ว แต่เขาก็ยังมีความสงสัยอยู่ว่าจะอาจจะเป็นฝีมือของดินแดนต้องห้ามอื่นที่ทรงพลังทำการลงมือเองแล้วใช้ชื่อของหลิงฮันก็เป็นได้
แต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่าการคาดเดาของเขานั้นผิดพลาด รุ่นเยาว์ผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง
รุ่นเยาว์ทั้งสามคนด้านหลังเซียนชิงอวี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาไม่คาดคิดว่าคนที่มีระดับพลังต่ำกว่าแม้กระทั่งพวกเขาจะสามารถสังหารเซียนได้ ที่สำคัญคือเซียนที่ถูกสังหารเป็นถึงราชาเซียนสองคน!
เซียนชิงอวี่สลัดสีหน้าตกตะลึงทิ้งและตัดสินใจได้แล้วว่าจะสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับหลิงฮัน เขาหยุดนิ่งไม่กล่าวอะไรและรอคอยให้หลิงฮันผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เสร็จก่อนค่อยเขาไปพูดคุย
เซียนซิงฉาไม่กล้าเปิดปากแสดงความคิดเห็นหรือไปจากที่นี่ เขาทำได้เพียงยืนนิ่งๆอยู่ข้างกายอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกสลดใจ เขาคาดเดาได้ว่าชิงอวี่เป็นเพียงราชาเซียนคนแรกที่จะมาที่นี่ และหลังจากนี้จะมีเซียนที่ทรงพลังคนอื่นปรากฏตัวเพิ่มขึ้นอีก
ครึ่งวันต่อมาหลิงฮันผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์สำเร็จและโคจรหยดวารีอมตะ ร่างของเขาฟื้นฟูสภาพอย่างสมบูรณ์ราวกับไม่เคยได้รับบาดแผลใดๆมาก่อน แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมทำให้พวกเซียนชิงอวี่และรุ่นเยาว์ทั้งสามตกตะลึง
“สหายน้อย!” เซียนชิงอวี่โบกมือให้กับหลิงฮันและเผยรอยยิ้ม
หลิงฮันเหินร่างลงมาและกล่าว “คารวะผู้อาวุโส!”
เซียนชิงอวี่แน่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “สหายน้อย เจ้าสร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง แม้แต่ราชาเซียนก็ยังถูกเจ้าสังหาร ต่อหน้าเจ้าข้าไม่กล้าตั้งตัวเป็นผู้อาวุโสหรอก หากเจ้าเกิดไม่พอใจแล้วลงมือสังหารข้าจะทำอย่างไร?” เขาจงใจพูดหยอกล้อ
“เรียกข้าว่าพี่ชายก็ได้” เซียนชิงอวี่กล่าวต่อ
สามรุ่นเยาว์ของดินแดนต้องห้ามรุ้งพิสุทธิ์ตกตะลึง ในมุมมองของพวกเขาประมุขนั้นเป็นคนที่จริงจังตลอดเวลา การที่ได้เห็นอีกฝ่ายพูดล้อเล่นเช่นนี้ทำให้ความเชื่อมั่นของพวกเขาพังทลายไม่เหลือ
แถมยังจะให้เรียกว่าพี่ชายงั้นรึ?
บ้าไปแล้ว!
หลิงฮันยิ้มตอบและกล่าว “งั้นข้าก็ไม่ขอปฏิเสธ”
หลิงฮันสนทนากับเซียนชิงอวี่อยู่เป็นเวลานาน หัวข้อหลักที่พวกเขาพูดคุยกันคือเรื่องรวมทั้งสองดินแดนให้กลับเป็นหนึ่งเดียว แม้ดินแดนต้องห้ามรุ้งพิสุทธิ์จะไม่ได้เข้าร่วมกับพันธมิตรทลายสวรรค์ แต่อำนาจของพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอและล่วงรู้ถึงวิธีการเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน
ก่อนหน้านั้นทั้งเรื่องรวมดินแดนทั้งสองและเรื่องเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนนั้นเป็นเพียงทฤษฎีเพ้อฝัน แต่หลังจากการปรากฏตัวของหลิงฮันและเหตุการณ์ที่เขาสังหารราชาเซียนได้ทำให้ดินแดนต้องห้ามรุ้งพิสุทธิ์เริ่มมีความหวังขึ้นมา
พวกเขาต้องลงเรือลำเดียวกับหลิงฮันหันให้ได้ ต่อให้ผสานดินแดนทั้งสองให้กลับเป็นหนึ่งเดียวได้ไม่สำเร็จพวกเขาก็ยังสามารถให้หลิงฮันพาเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้อยู่ดี
ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆนี้ ราชาเซียนชิงอวี่จึงเดินทางมาด้วยตัวเอง
ตอนที่ 1610
ท้ายที่สุดดินแดนต้องห้ามรุ้งพิสุทธิ์ก็ก่อตั้งพันธมิตรร่วมกับหลิงฮัน ข้อตกลงของพวกเขาคือหากฝ่ายใดมีปัญหาอีกฝ่ายต้องยื่นมือเข้าช่วย
นี่คือความจริงใจที่ราชาเซียนชิงอวี่แสดงให้หลิงฮันเห็น ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้ไม่มีข้อตกลงนี้ ราชาเซียนชิงอวี่ต้องกังวลด้วยรึว่าจะมีใครกล้าสร้างปัญหากับดินแดนต้องห้ามรุ้งพิสุทธิ์?
ยังไม่ทันที่คนของดินแดนต้องห้ามรุ้งพิสุทธิ์จะจากไป ดินแดนต้องห้ามอีกขุมอำนาจหนึ่งก็ปรากฏตัว อีกฝ่ายเป็นดินแดนต้องห้ามที่นำโดยราชาเซียนเช่นกันและนำรุ่นเยาว์มาด้วยอีกสี่คน พวกเขาไม่ได้มาด้วยเจตนาชั่วร้าย
หลังจากนั้นดินแดนต้องห้ามอื่นๆก็ปรากฏตัวตามๆกัน ดาวมู่ถูในตอนนี้มีตัวตนระดับเซียนมารวมตัวกันราวกับหมู่เมฆ
เซียนจากดินแดนต้องห้ามต่างๆมีท่าทีสุภาพต่อหลิงฮันเป็นอย่างมากหลักจากได้เห็นภาพจากความทรงจำที่ลิงฮันสังหารราชาเซียนตระกูลฮูทั้งสอง
บรรยากาศของดาวมู่ถูในตอนนี้เต็มไปด้วยความสมานฉันท์ เซียนทุกคนล้วนแต่ขอร่วมเป็นพันธมิตรกับหลิงฮัน มีดินแดนต้องห้ามบางขุมอำนาจถึงขนาดเสนอการแต่งงานให้กับหลิงฮันเลยด้วยซ้ำ
เหล่าดินแดนต้องห้ามมอบสมบัติมากมายเป็นของกำนัลแก่หลิงฮัน แม้สมบัติเหล่านั้นจะค่อนข้างล้ำแค่แต่ก็ไม่มีสมบัติระดับเซียนที่หลิงฮันต้องการเนื่องจากสมบัติระดับนั้นมันล้ำค่าเกินไป
หากไม่มอบให้ก็แค่ขอซื้อมาก็พอ!
ด้วยการที่ว่ามีเซียนจำนวนมากอยู่ที่นี่ หลิงฮันจึงเปิดงานแลกเปลี่ยนสมบัติง่ายๆขึ้น
ตอนนี้ชื่อเสียงของเขากำลังเป็นที่โจษจันดินแดนต้องห้ามทั้งหมดจึงเข้าร่วมแลกเปลี่ยนสมบัติด้วย เพียงแต่ใช่ว่าทุกดินแดนต้องห้ามจะมีประมุขเป็นตัวตนระดับราชาเซียน ดินแดนต้องห้ามมีทั้งขุมอำนาจที่ทรงพลังและอ่อนแอ พวกเขามีทั้งประมุขที่เป็นราชาเซียน เซียนระดับสูงหรือเซียนระดับกลาง
หลิงฮันนำใบของต้นสังสารวัฏออกมาและต้มเป็นน้ำชาแจกให้เซียนทุกคนได้ลองนิดหน่อย เพียงแค่ได้ชิมเซียนทุกคนก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
สิ่งนี้ทำให้พวกเขารู้แจ้งได้อย่างน่าอัศจรรย์!
สมบัติแสนล้ำค่า!
พวกเขาจะตกตะลึงก็ไม่แปลก ต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียนราชาเซียนก็ยังสามารถรู้แจ้งอำนาจแห่งกฎเกณฑ์สวรรค์และปฐพีผ่านใบของต้นสังสารวัฏ! แต่แน่นอนว่าต้นสังสารวัฏของหลิงฮันนั้นยังไม่มีอำนาจเทียบเท่าต้นสังสารวัฏที่แท้จริง ทำให้ใบของมันไม่มีผลใดๆต่อราชานิรันดร์ แต่ระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้กับระดับขอบเขตตำหนักอมตะอาจจะมีผลเล็กน้อย
ส่วนสำหรับระดับโลกียนิพพานกับระดับแบ่งแยกวิญญาณ ใบจากต้นสังสารวัฏของเขายังถือว่าเป็นที่ล้ำค่า!
เพราะงั้นแล้วมีรึที่จะไม่มีผลต่อเซียนเหล่านี้?
หลิงฮันใช้ใบของต้นสังสารวัฏแลกเปลี่ยนกับแร่โลหะเซียนเพื่อนำมายกระดับดาบอสูรนิรันดร์ แม้เขาจะสังหารจ้าวอสูรไปนับร้อยก่อนหน้านี้แต่แร่โลหะเซียนที่เก็บเกี่ยวมาได้ก็ยังไม่มากพอที่จะยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ให้ก้าวสู่ระดับใหม่
แม้เซียนบางคนจะเกิดความโลภจนอยากจะลงมือแย่งชิง แต่พวกเขาก็ได้เห็นภาพที่หลิงฮันลงมือสังหารราชาเซียนถึงสองคนไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นก็ยังมีข่าวที่เพิ่งมาถึงด้วยว่าในดินแดนใต้พิภพ หลิงฮันสังหารจ้าวอสูรไปแล้วหนึ่งร้อยกว่าคน และจำนวนยี่สิบกว่าคนในนั้นยังเป็นถึงจ้าวอสูรสวรรค์อีกด้วย
เมื่อรับรู้ข่าวนี้ เหล่าราชาเซียนก็ยิ่งอยากจะผูกมิตรกับหลิงฮันมากขึ้นไปอีก ในขณะที่เซียนระดับสูงและเซียนระดับกลางเปลี่ยนมามีท่าทีนอบน้อมต่อหลิงฮันอย่างถึงที่สุด
ไม่มีใครรู้ว่าหลิงฮันยังใช้พลังลึกลับที่ว่าได้อีกกี่ครั้ง ตราบใดที่ยังใช้ได้อีกเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะสังหารราชาเซียนทุกคนที่อยู่ที่นี่
ต่อให้เป็นในสายตาของดินแดนต้องห้ามเช่นพวกเขา ตัวตนของหลิงฮันก็เปรียบเสมือนกับเทพมาร ตอนนี้นอกจากดินแดนต้องห้ามที่ปลีกตัวไปอยู่อย่างสันโดษแล้ว ไม่ว่าขุมอำนาจไหนก็ต้องรับรู้ถึงชื่อเสียงอันโจษจันของหลิงฮัน
ไม่กี่เดือนถัดมาเหล่าประมุขของดินแดนต้องห้ามก็ขอตัวกลับ แต่รุ่นเยาว์ที่พวกเขาพามาด้วยยังอยู่ต่อและได้รับคำสั่งให้สร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับหลิงฮันเอาไว้ มีสตรีงดงามราวกับเทพธิดาหลายคนที่ยินยอมแม้แต่เสียบริสุทธิ์!
หลิงฮันไม่สนใจพวกนาง หลังจากทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดแล้ว สิ่งแรกที่เขาทำคือสลักรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศใหม่ จากเดิมที่เคยสลักได้ยี่สิบเจ็ดรูปแบบตอนนี้เขาสามารถสลักเพิ่มขึ้นได้เป็นเก้าสิบเก้ารูปแบบ จำนวนมากมายขนาดนี้ทำให้เซียนหมิงซินตกตะลึงไร้คำพูด
เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นรูปแบบอาคมสังหารทั้งเก้าสิบเก้าก็ยังไม่ทำให้เขาแข็งแกร่งพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเซียนระดับต้น การสู้ข้ามระดับไปยังระดับสร้างสรรพสิ่งนั้นเป็นเรื่องยากมากเนื่องจากเมื่อใดที่บรรลุเป็นเซียนแล้ว พลังต่อสู้ที่ปลดปล่อยออกมาจะแข็งแกร่งจนสามารถสั่นสะเทือนได้แม้กระทั่งสวรรค์และปฐพี
หลิงฮันบ่มเพาะพลังต่อเนื่องไม่หยุด ด้วยเม็ดยาที่เขาคิดค้นได้ทำให้พลังบ่มเพาะบ่มเพาะของเขาบรรลุเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดแล้ว
วันเวลาค่อยๆผ่านไป ดินแดนต้องห้ามแปดศิลาเงียบหายไปอย่างสิ้นเชิง การตายของราชาเซียนทั้งสองส่งผลให้พวกเขาหวาดกลัวจนไม่กล้าลงมือแก้แค้น
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามปี
จักรพรรดินีควบแน่นดวงดาวได้ 9,999,999ดวงซึ่งห่างจากขีดจำกัดแท้จริงของระดับวารีนิรันดร์เพียงหนึ่งดาว เพียงแต่เมื่อมาถึงจุดนี้ต่อให้เป็นจักรพรรดินีที่มีแก่นกำเนิดนิรันดร์ก็ยังพบกับคอขวด
นางไม่สามารถไปถึงก้าวสุดท้ายได้
นางเก็บตัวบ่มเพาะพลังใต้ต้นต้นสังสารวัฏและตัดสินใจว่าจะไปให้ถึงก้าวสุดท้ายนี้ให้ได้
หลังจากกลับมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว วาสนาที่สตรีนกอมตะได้รับจากนกอมตะสวรรค์ราชาเซียนสามตัวก็กลับมาเฉิดฉายอีกครั้ง แถมด้วยการสนับสนุนจากเม็ดยาและต้นสังสารวัฏทำให้พลังบ่มเพาะตอนนี้ของนางบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุงเป็นที่เรียบร้อยและกำลังจะทะลวงผ่านสู่ระดับเซียน
นางไม่คิดที่จะขัดเกลาพลังให้บรรลุขีดจำกัดของระดับวารีนิรันดร์
ทางด้านของพวกติงผิงและจิ่วเยานั้น พวกเขาบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นแล้ว มีเพียงจักรพรรดิพิรุณคนเดียวที่มีพัฒนาการโดดเด่นโดยการบรรลุเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง แถมยังผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองเป็นวารีนิรันดร์ขั้นสูงแล้วด้วยเช่นกัน
“ถือว่าข้าโชคดีไม่น้อย การแลกเปลี่ยนสมบัติก่อนหน้านี้แม้จะได้ปแร่โลหะเซียนมาไม่มากแต่ข้าก็ได้โลหิตสีชาดและแร่ม่วงศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว เมื่อรวมกับขนนกอมตะสวรรค์ที่ได้มาก่อนหน้านี้นานแล้วก็เหลือเพียงเขามังกรแท้จริงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
“อืม เอาไว้หลังจากข้าบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์แล้วค่อยไปหาหลงเซียงเยว่โดยไวเพื่อให้นางพาไปยังตระกูหลงแล้วกัน เมื่อได้เขามังกรแท้จริงมา ข้อตกลงที่ให้ไว้กับจักรพรรดิเพลิงอัสนีจะได้สิ้นสุดลงเสียที”
“เพียงแต่ว่าครั้งนี้ไม่มีฮูนำทางให้ เพื่อเป็นการรับประกันว่าจะไม่หลงทางในความมืดมิดเหมือนก่อนหน้านี้ข้าจึงต้องมีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์”
เขากินเม็ดยาสะสมพลังปราณทุกคนและขัดเกลาพลังบ่มเพาะใต้ต้นสังสารวัฏทุกวัน
สองเดือนต่อมา หลิงฮันปรากฏตัวออกมาจากหอคอยทมิฬและเหาะเหินขึ้นสู่ห้วงอวกาศ พริบตาหลังจากนั้นเอง เมฆสีดำก็ได้ก่อตัวขึ้นและมีเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องก่อนที่ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์จะผ่าลงมา
ตอนที่ 1611
หลังจากผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ พลังบ่มเพาะของหลิงฮันก็บรรลุเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาได้รับจากการบรรลุขั้นสมบูรณ์คือกายหยาบของเขายกระดับเป็นระดับเซียน!
เขาทำการสลักรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศทั้งหมดเก้าร้อยเก้าสิบเก้ารูปแบบลงบนกระดูก น่าเสียดายที่ถึงแม้กายหยาบของเขาในตอนนี้จะสามารถรองรับรูปแบบอาคมเซียนได้แล้ว แต่หากเขายังไม่บรรลุเป็นเซียนก็ไม่สามารถกระตุ้นใช้งานได้
เพียงแต่ว่าจำนวนที่มากขึ้นก็ย่อมทำให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นตาม การที่เขาสามารถสลักรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศได้ถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้ารูปแบบมันหมายความว่าอย่างไร?
ไม่ใช่ว่าพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นเทียบเท่าจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน แต่เป็นพลังที่แข็งแกร่งกว่านั้นสิบเท่าหรือร้อยเท่า
หลิงฮันรู้สึกสงสัยในพลังของตนเองจึงไปขอท้าประลองเซียนหมิงซิน
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก หลิงฮันเอาชนะเซียนหมิงซินได้!
คาดไม่ถึงว่าเมื่อกระตุ้นรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศทั้งหมดเก้าร้อยเก้าสิบเก้ารูปแบบพร้อมกันจะทำให้เกิดพลังอำนาจที่เหนือรูปแบบอาคมเซียน! หากหลิงฮันสามารถสลักรูปแบบอาคมเซียนได้พร้อมกันหลายอัน พลังต่อสู้ของเขาจะต้องน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านี้แน่
ณ จุดนี้กล่าวคือหลิงฮันสามารถตอบโต้เซียนได้ด้วยพลังของตัวเองแล้ว
แม้ในด้านของทักษะอย่าง มิติเอกเทศ ทักษะรัตติกาลเงาทมิฬ ทักษะร่างเงามังกรทะยานหรือทักษะระดับนิรันดร์อื่นๆจะใช้ไม่ได้ผลต่อเซียนเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังมีเพลิงเก้าสวรรค์ ดาบอสูรนิรันดร์และดาบไม้พุพังอยู่ สามสิ่งนี้ต่อให้เป็นราชาเซียนก็ยังหวาดกลัวที่จะรับการโจมตีซึ่งๆหน้า
หลิงฮันรู้สึกว่าตนเองพร้อมแล้วจึงไปตามหาหลงเซียงเยว่
“พาข้าไปหาอาสาวของเจ้าที” เขากล่าวออกไปตรงๆไม่อ้อมค้อม
ใบหน้าของหลงเซียงเยว่เปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง เจ้าหมอนี่ถูกห้อมล้อมโดยสตรีงามจากดินแดนต้องห้ามมากมายทุกวันยังไม่พอใจและคิดจะครอบครองอาสาวของนางอีกรึ? ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!
นางคิดเช่นนั้นในใจแต่ก็พยักหน้าตกลง “อืม!”
หลิงฮันคว้าร่างของนางขึ้นอุปกรณ์บินแหวกเมฆาและออกเดินทางขึ้นสู่ห้วงอวกาศ
“ทำไมเจ้าไปยกระดับพลังเป็นเซียนแล้วเคลื่อนที่ข้ามอวกาศไปเลยล่ะ?” หลงเซียงเยว่เอ่ยถามด้วยความสับสน
ฮึ่ม!
หลิงฮันเค้นเสียงในใจ ถ้าเป็นไปได้เขาเองก็อยากทำเช่นนั้นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาทำได้รึไง? ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้วาสนาศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬได้แล้ว หรือต่อให้ยังใช้ได้แล้วเขาใช้เพียงพอเร่งความเร็วในการเดินทาง เขาคงไม่ยกโทษให้ตัวเองที่ผลาญวาสนาศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเปลืองเช่นนั้นนา
หลงเซียงเยว่เห็นว่าหลิงฮันไม่ตอบจึงเริ่มคิดเองเออเอง ‘ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ในอุปกรณ์เหินด้วยกันต่อสอง… หรือที่ตั้งใจอยากจะใช้เวลาอยู่กันสองต่อสองกับข้า?’ เมื่อคิดได้เช่นนี้ดวงดาวของนางก็เริ่มเหม่อลอยเพ้อฝัน
‘หากเขาต้องการตัวข้า ข้าจะยินยอมรึไม่?’
‘หากยอมจะไม่ดูว่าข้าใจง่ายเกินไปหรอกรึ?’
‘แต่ถ้าไม่ยอมเขาจะหมดความสนใจในตัวข้ารึไม่?’
‘งั้นก็ขัดขืนพอเป็นพิธีจะดีกว่าไหม เพราะอย่างไรหากเขาต้องการข้าก็ไม่มีพลังพอจะต่อต้านอยู่แล้ว’
ยิ่งคิดใบหน้าของนางก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและหัวใจเต้นรัว
แต่น่าเสียดายที่เรื่องราวกลับไม่เป็นเหมือนที่นางคิด นางนั่งแน่นิ่งราวกับรูปปั้นหินโดยไม่กล่าวอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หลังจากเวลาผ่านพ้นไปสี่เดือน อุปกรณ์บินแหวกเมฆาก็เข้าสู่เขตดวงดาวแสงตะวันคงกระพันและมาถึงดาวหลัวไห่อย่างรวดเร็ว
ตระกูลหลงตั้งอยู่บนดาวหลัวไห่แห่งนี้
ในเขตดวงดาวแสงตะวันคงกระพัน ตระกูลหลงคือขุมอำนาจที่ทรงพลังที่สุดและมีประมุขเป็นเซียนระดับกลาง ส่วนอาสาวของหลงเซียงเยว่นั้นนางเพิ่งทะลวงผ่านเป็นเซียนระดับต้นเมื่อหมื่นปีที่แล้ว
อาสาวของหลงเซียงเยว่มีชื่อว่าหลงอวี่ซาน ด้วยความงดงามและพรสวรรค์อันสูงส่งทำให้ตัวนางเป็นที่หมายปอง แต่หลังจากที่กลายบรรลุเป็นเซียนสำเร็จก็ไม่มีใครเลยที่กล้าตามตื้อนาง
อุปกรณ์บินแหวกเมฆาร่อนลงจอด หลงเซียงเยว่รู้สึกสลดเป็นอย่างมาก หมอนี่หัวสมองกลวงหรืออย่างไร? ทั้งๆที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองเป็นเวลาหลายเดือนแท้ๆแต่กลับไม่ล่วงเกินข้าเลย หรือว่าเสน่ห์ของข้ามีไม่มากพอ? พวกเขาใช้เวลาสามวันเพื่อเดินทางมายังตระกูลหลง “คะ คุณหนูเก้า!” เมื่อเห็นหลงเซียงเยว่กลับตระกูลมาพร้อมกับชายแปลกหน้า คนของตระกูลที่เฝ้าประตูก็ชะงักและอุทานออกมา
หลงเซียงเยว่คือความภาคภูมิใจของตระกูลหลง ในอนาคตนางมีโอกาสที่จะกลายเป็นเซียนคนที่สามของตระกูล!
หลงเซียงเยว่พยักหน้าและพาหลิงฮันเดินผ่านประตู
“คุณหนูเก้าพาบุรุษกลับมาด้วย!”
“น่าทึ่งยิ่งนัก คุณหนูเก้าเป็นสตรีที่ยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีมาก ไม่เคยมีบุรุษคนไหนเอาชนะใจนางได้มาก่อน”
“ข้าเห็นด้วยว่าคุณหนูเก้ามองชายหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาหลงไหล!”
“หรือว่าชายหนุ่มคนนั้นจะกลายเป็นอาเขยของพวกเราในอนาคต?”
“แย่แล้ว เมื่อครู่พวกเรายังไม่ได้ทักทายเขาเลย”
คนคุ้มกันประตูกระซิบคุยกันด้วยเสียงเบาแต่ไม่อาจรอดพ้นหูของหลิงฮันและหลงเซียงเยว่
หลงเซียงเยว่รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก นางกล่าว “พวกนั้นชอบพูดเองเออเองไร้สาระ คอยดูว่าข้าจะจัดการพวกเขาอย่างไร!”
หลิงฮันยิ้มและปล่อยให้หลงเซียงเยว่หงุดหงุดอยู่เพียงคนเดียว
นางพาหลิงฮันตรงไปยังที่พักของหลงอวี่ซานอย่างไม่รอช้า เพียงแต่เมื่อทั้งสองมาถึงประตูทางเข้าที่พักกลับพบว่ามีหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีรุ่นเยาว์สองคนยืนขวางอยู่ กลิ่นอายของทั้งสองทรงพลังเป็นอย่างมาก ราวกับเป็นมังกรในหมู่มนุษย์
“หยุด!” เมื่อเห็นพวกหลิงฮันเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ก็เอื้อมมือออกมาขวางพวกเขา “พวกเจ้าเป็นใคร?”
หลงเซียงเยว่มีท่าทางไม่สบอารมณ์ นางไม่รู้จักรุ่นเยาว์ทั้งสองคนนี้และมั่นใจด้วยว่าทั้งสองไม่ใช่คนของตระกูลหลง ไม่เช่นนั้นมีรึที่นางจะจำอัจฉริยะตระกูลตัวเองที่สามารถบรรลุระดับวารีนิรันดร์ทั้งที่อายุยังเช่นทั้งสองไม่ได้?
“ข้าต่างหากที่ควรถามว่าพวกเจ้าเป็นใคร?” นางระเบิดออร่าออกมาเพื่อเตรียมพร้อมสู้รบ
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย “ข้าคือหยางจือเกอ ไม่ทราบว่าแม่นางมีชื่อว่าอะไร?”
“หลงเซียงเยว่!” นางหันไปมองรุ่นเยาว์สตรี
“จิ่งอี้” หญิงสาวกล่าว
“พวกเจ้ามีจุดประสงค์อะไรถึงมาขวางประตูที่พักของอาสาวข้า?” หลงเซียงเยว่ถามออกไปตรงๆ นิสัยของนางเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
ตอนที่ 1612
จิ่งอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม่นางหลง ตอนนี้ท่านหญิงอวี่ซานกำลังมีธุระอยู่กับนายนายของพวกข้า ทางที่ดีอย่าไปรบหวนพวกเขาจะดีกว่า”
“ใครคือนายน้อยของพวกเจ้า?” หลงเซียงเยว่ขมวดคิ้ว
“ดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆา ฉงปาตู้!” จิ่งอี้และหยางจือเกอกล่าวพร้อมกันด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเคารพราวกับกำลังอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้สูงส่ง
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้านทันที ดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆา?
ราชาไค่หยุน?
ในอดีต ราชันวารีสวรรค์ถูกราชาไค่หยุนทรยศหักหลังและถูกศัตรูห้อมล้อมโจมตี ไม่เช่นนั้นแล้วตัวเขาที่ฝึกฝนทักษะบ่มเพาะราชานิรันดร์ย่อมมีโอกาสสูงมากที่จะเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนได้สำเร็จ การทรยศของราชาไค่หยุนทำให้ราชันวารีสวรรค์เกรี้ยวกราดเป็นอย่างมากถึงขนาดทิ้งข้อความสุดท้ายก่อนตายเอาไว้ว่าผู้สืบทอดของเขาต้องสังหารราชาไค่หยุนให้ได้
หรือว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นราชาไค่หยุนได้ก่อตั้งดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆาขึ้นมา?
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน!” หลงเซียงเยว่เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “หลีกทางให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปพบอาสาวของข้า!”
“ต้องขออภัยต่อแม่นางหลงด้วย” จิ่งอี้กล่าวขอโทษด้วยรอยยิ้มและไม่มีท่าทีว่าจะเปิดทางให้
หลงเซียงเยว่เกรี้ยวกราด นี่คือตระกูลหลงของนาง อีกฝ่ายที่เป็นเพียงคนนอกกล้าดีอย่างไรมาห้ามนางไม่ให้ไปไหนมาไหน? ‘ฉึบ’ นางชัดดาบขึ้นมาถือ สีหน้าของนางแสดงออกอย่างแน่วแน่ว่าพร้อมที่จะลงมือ
แต่ในขณะที่นางกำลังจะกวัดแกว่งดาบ จู่ๆนางก็รู้สึกว่าไหล่ของนางหนักอึ้งจนไม่สามารถขยับแขนได้ เมื่อหันหลังกลับไปนางพบว่าหลิงฮันได้ใช้มือกดที่ไหล่ของนางเอาไว้
“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทั้งสองคนนั้น” หลิงฮันกล่าว ถึงแม้พัฒนาการของหลงเซียงเยว่จะไม่เชื่องช้า แต่พลังบ่มเพาะของนางในตอนนี้ก็ยังเป็นเพียงระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นเท่านั้น ในขระที่พวกจิ่งอี้และหยางจือเกอมีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์
‘เขาเป็นห่วงข้าด้วย!’
หลงเซียงเยว่จิตใจหวั่นไหว ความโกรธเมื่อครู่ของนางหายเป็นปลิดทิ้ง
หลิงฮันดึงมือกลับและกล่าวกับพวกจิ่งอี้ “เป็นแขกก็สมควรประพฤติตัวให้สมเป็นแขก อย่าได้ทำตัวโอหังในที่ของคนอื่น”
“เจ้าเป็นใคร?” ทั้งสองคนจ้องมองหลิงฮันด้วยท่าทางระมัดระวัง ด้วยพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมสัมผัสได้ว่าหลิงฮันนั้นทรงพลังมากจึงต้องระมัดระวังเอาไว้
“หลิงฮัน”
“หลิงฮัน?” ทั้งสองแสดงสีหน้าประหลาดใจ พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อของหลิงฮันมาก่อน แต่ในเมื่อแซ่ของอีกฝ่ายคือหลิงฮันนั่นหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนของตระกูลหลง
“เหอๆ เจ้าเองก็เป็นแขกเหมือนกันแล้วมีสิทธิอะไรมาว่าพวกข้าเช่นนั้น?” หยางจือเกอกล่าว
“ไม่มีหรอก แต่หากข้าผ่านไปพวกเจ้าก็ไม่มีสิทธิจะขวางทางข้าเช่นกัน” หลิงฮันชี้ไปยังประตูที่พัก
“นั่นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าแข็งแกร่งพอรึไม่” จิ่งอี้ปลดปล่อยจิตวิญญาณต่อสู้
หลิงฮันไม่กล่าวอะไรและก้าวเดินหน้าต่อ
ท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียด จิ่งอี้และหยางจือเกอขยับเดินขึ้นหน้าพร้อมกันและยกมือเตรียมโจมตี
แต่ยังไม่ทันทีที่พวกเขาจะได้ลงมือ จู่ๆหลิงฮันก็ใช้ฝ่ามือสองข้างตบเข้าที่ไหล่ของพวกเขา ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกราวกับว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าได้ถูกปิดผนึกอย่างสมบูรณ์ชั่วคราว
ทั้งสองเหงื่อไหลท่วม ในช่วงจังหวะนี้หากอีกฝ่ายทำการโจมตีดวงวิญญาณพวกเขาล่ะก็ พวกเขาคงมีชะตากรรมเดียวคือความตาย
หลิงฮันตบไหล่ทั้งสองคนอีกครั้งและกล่าว “หากฉลาดพวกเจ้าก็ควรหลบไป”
จิ่งอี้และหยางจือเกอที่ประสาทสัมผัสกลับคืนสู่สภาพปกติก็รีบกระโดดหลบไปด้านข้างทันที จิตใจของพวกเขาสั่นไหวด้วยความหวาดกลัว ทั้งๆที่พวกเขากับอีกฝ่ายมีพลังระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์เหมือนกันแท้ๆ เหตุใดความต่างถึงได้กว้างใหญ่ขนาดนี้? ราวกับว่าแม้แต่หนึ่งกระบวนท่าของหลิงฮันพวกเขาก็ไม่อาจรับมือไหว
“ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าไปรบกวนนายน้อย!” หยางจือเกอกัดฟันและนำอาวุธรูปร่างเหมือนขวานยาวออกมา รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์แต่ละอันบนตัวหอกค่อยๆเปล่งประกายและระเบิดอำนาจอันทรงพลัง
จิ่งอี้นำอาวุธออกมาเช่นกัน อาวุธของนางคือมีดคู่ อำนาจที่อาวุธของนางปลดปล่อยออกมาได้ด้อยไปกว่าของหยางจือเกอ
หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เห็นแก่ที่พวกเจ้าทำตามคำสั่งที่ได้รับความอย่างเคร่งครัด ข้าจะเบามือให้แล้วกัน”
จิ่งอี้และหยางจือเกอคำรามเสียงเบา ‘ครืนนน’ ทั้งสองลงมือโจมตี อาวุธของพวกเขาปลดปล่อยอำนาจศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างรุนแรงราวกับคลื่นมหาสมุทร
Anchor
หลงเซียงเยว่ใบหน้าเปลี่ยนสี แม้นางจะเป็นสตรีที่หยิ่งทะนงแต่นางก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถรับมือกับพลังโจมตีที่รุนแรงของทั้งสองได้
เพียงแต่นางไม่คิดว่าหลิงฮันจะแพ้ แม้แต่ราชาเซียนถึงสองคนก็ยังถูกเขาสังหารมาแล้ว กับแค่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ย่อมไม่คณามือ
หลิงฮันสะบัดมือปลดปล่อยมิติเอกเทศใส่การโจมตีของทั้งสอง เขาขยับร่างมาปรากฏต่อหน้าหยางจือเกออย่างง่ายดายและปล่อยหมัด ‘อ้ากก’ หยางจือเกอโอดครวญด้วยความเจ็บปวดโดยมีโลหิตไหลออกมาจากจมูก
หลิงฮันหันหน้าไปมองจิ่งอี้
จิ่งอี้เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว พลังต่างกันเกินไป ต่อให้นางเอาจริงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
“ฮึ่ม!” ทันใดนั้นเองเสียงคำรามอันทรงอำนาจก็ดังออกมาจากลานที่พัก ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับปรากฏร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังอยู่อยู่ในลานที่พัก กลิ่นอายของชายหนุ่มผู้นี้น่าเกรงขามจนผู้คนที่มองมาต้องยอมศิโรราบ
“นายน้อย!” จิ่งอี้และหยางจือเกอรีบคุกเข่าคารวะชายหนุ่ม
ชายหนุ่มผู้นั้นยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อบ่งบอกให้พวกจิ่งอี้ลุกขึ้นได้และมองมายังหลิงฮันกับหลงเซียงเยว่ เขาจ้องมองหลิงฮันอยู่เพียงชั่วครู่แต่กลับจดจ้องหลงเซียงเยว่อยู่นานพร้อมกับเผยรอยยิ้มแปลกประหลาด
“ท่านอา!” หลงเซียงเยว่อุทาน สตรีอีกคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากลานที่พัก รูปลักษณ์ของนางดูเหมือนหญิงสาวที่อายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น ผมสีดำของนางยาวสลวยราวกับน้ำตกและมีเขามังกรปรากฏไว้บนศีรษะสองเขา
ไม่ต้องกล่าวก็รู้ว่าสตรีผู้นี้คือหลงอวี่ซาน
“กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายคนของข้า!” ฉงปาตู้กล่าวเย็นชาและหันกลับมามองหลิงฮันในที่สุด
“ฮ่าๆๆ เจ้ารับไม่ได้รึไง?” หลิงฮันกล่าว
ฉงปาตู้ถลึงตา อีกฝ่ายไม่รู้รึไงว่าเขาคือเซียน!
เป็นเพียงมดปลวกระดับวารีนิรันดร์แต่กล้าต่อต้านเขา? ฉงปาตู้ไม่สบอารมณ์ เขายกฝ่ามือขึ้นอย่างรวดเร็วและเตรียมลงมือ
ครืนน!
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะทำการโจมตี หลงอวี่ซานก็ปลดปล่อยอำนาจมังกรออกมาห้ามปรามเขา
“ห้ามลงมือใดๆ!” หลงอวี่ซานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
ฉงปาตู้ใบหน้าเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบกลับมายิ้ม “เห็นแก่แม่นางอวี่ซาน ข้าจะยอมปล่อยหมอนั่นไปสักครั้ง” เขาสะบัดแขนเสื้อและเดินจากไป จิ่งอี้กับหยางจือเกอรีบเดินตามเขาไปเช่นกัน
“ท่านอา หมอนั่นเป็นใครกัน?” หลงเซียงเยว่วิ่งไปยืนข้างหลงอวี่ซานและคว้าจับมืออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
แววตาของหลงอวี่ซานแน่นิ่งก่อนจะกล่าว “เขาคือคู่หมั้นของข้า”
พรวด!
หลงเซียงเยว่สำลักและรีบส่ายหัว “ท่านอา เพียงแค่มองแวบแรกก็รู้แล้วว่าเจ้าหมอนั่นน่ารังเกียจเพียงใด หากท่านแต่งงานกับเขาท่านจะต้องเจ็บปวดในภายหลังแน่นอน!”
“เด็กโง่ เจ้าไม่เข้าใจสถานการณ์เอาเสียเลย” หลงอวี่ซานส่ายหัว ความจริงนางก็ไม่ได้อย่างแต่งงานเช่นกัน แต่ดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆาเป็นขุมอำนาจทรงพลังที่มีราชาเซียนเป็นประมุข เมื่อไม่กี่ปีก่อนดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆาได้มีการเสนองานแต่งงานขึ้นโดยส่งเซียนระดับสูงเป็นคนมาจัดการเรื่องด้วยตัวเอง แถมยังนำของกำนัลสำหรับงานแต่งที่ตระกูลหลงไม่อาจปฏิเสธได้มาพร้อมกันด้วย
สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ!
ถึงแม้ตอนนี้จะเห็นว่าตระกูลหลงเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลัง แต่ไม่มีใครเลยที่รับรู้ว่าประมุขตระกูลหลงนั้นมีบาดแผลแห่งเต๋าอยู่ภายในร่างกายมาตลอด บาดแผลนี้เกิดขึ้นจากการที่เขาฝืนทะลวงผ่านระดับพลังเมื่อนานมาแล้วและมีเพียงสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำเท่านั้นที่สามารถรักษาได้
ตอนที่ 1613
จะให้ตระกูลหลงปฏิเสธงานแต่งงานที่เซียนระดับสูงเป็นคนมาเสนอด้วยตัวเองได้อย่างไร ที่สำคัญคืออีกฝ่ายจะมอบสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำที่ตระกูลหลงต้องการเป็นอย่างมากให้อีกด้วย
ยิ่งกว่านั้นตระกูลหลงก็ไม่ได้เสียหายอะไรด้วย ฉงปาตู้คือเซียนรุ่นเยาว์ที่มีพรสวรรค์โดดเด่น ในอนาคตมีโอกาสสูงมากที่เขาจะบรรลุกลายเป็นเซียนระดับสูงหรือแม้กระทั่งราชาเซียน
“ว่าแต่ว่าทำไมเจ้าถึงกลับมากะทันหันเช่นนี้?” หลงอวี่ซานไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งงานอีกต่อไปจึงเปลี่ยนมาถามหลงเซียงเยว่
สีหน้าของหลงเซียงเยว่เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ นางจะกล่าวออกไปได้อย่างไรว่านางพาบุรุษมาสู่ขออาสาวของตนเอง
หลิงฮันผสานมือคำนับและกล่าว “ผู้อาวุโสอวี่ซาน ข้ามีชื่อว่าหลิงฮัน เหตุผลที่ข้ามาที่นี่เพราะอยากขอเขามังกรจากท่าน”
ใบหน้าอันงดงามของหลงอวี่ซานเปลี่ยนเป็นมืดมนทันที เจ้าเองก็มีความคิดอยากครอบครองข้า? ขนาดเซียนอย่างฉงปาตู้ก็ไม่สามารถเอาชนะใจนางได้ มีรึที่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์อย่างหลิงฮันจะมีคุณสมบัติเพียงพอ?
“ขอให้ผู้อาวุโสลองดูสิ่งนี้ก่อน” หลิงฮันนำชาที่ต้มจากใบต้นสังสารวัฏแก้วหนึ่งมอบให้หลงอวี่ซาน
ในตอนแกหลงอวี่ซานคิดจะปัดถ้วยชาทิ้ง แต่ทันทีที่ยกมือขึ้นนางก็ต้องหยุดชะงัก
กลิ่นหอมที่ลอยออกมาจากน้ำชาทำให้จิตใจของนางผ่อนคลายและรู้สึกราวกับจะรู้แจ้งถึงวิถีแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่
จิตใจของนางสั่นสะท้าน หรือน้ำชานี่จะมาจากสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ?
นางรับถ้วยชามาและรีบดื่มกิน พริบตานั้นเองทั่วร่างของนางก็ตราประทับแห่งเต๋าปะทุออกมา ผมดำยาวของนางสยายออกอย่างงดงาม
หลงอวี่ซานรีบนั่งขัดสมาธิอย่างรวดเร็ว หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งวันเต็มนางก็ลืมตาขึ้นและเผยสีหน้าตกตะลึง พลังบ่มเพาะของนางพัฒนาไปก้าวหนึ่งอย่างไม่คาดฝัน
ต้องรู้การว่าด้วยพลังบ่มเพาะระดับเซียนของนางการจะยกระดับพลังแม้น้อยนิดนั้นเป็นเรื่องยากลำบากมากและอาจจะต้องใช้เวลาเป็นล้านปีด้วยซ้ำ นี่แสดงให้เห็นว่าน้ำชาที่นางดื่มไปน่าอัศจรรย์เพียงใด
นางมองไปยังหลิงฮันด้วยทัศนิคติที่ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
“ใบชาสิบใบแลกกับเขามังกรเป็นอย่างไร?” หลิงฮันเสนอ
ใบหน้าของหลงอวี่ซานเปลี่ยนเป็นมืดมนอีกครั้ง จอมยุทธอ่อนแอระดับวารีนิรันดร์เช่นเจ้ามองข้าเป็นเพียงสิ่งของแลกเปลี่ยนรึ? จะให้นางมอบชีวิตของนางเพื่อแลกกับใบชาเพียงสิบใบ? ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าหลิงฮันจะมอบของกำนัลให้มากเพียงใดนางก็หมั้นหมายกับฉงปาตู้ไปแล้วจะให้นางแต่งงานกับหลิงฮันได้อย่างไร?
ต่อให้นางยินยอมแต่งงานกับหลิงฮันก็ตาม ดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆาก็เป็นถึงขุมอำนาจของราชาเซียน หากยกเลิกงานแต่งงานตระกูลหลงจะพบเจอกับโชคชะตาแบบใด?
“ฮึ่ม ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เซียงเยว่ ข้าสังหารเจ้าไปแล้ว!” นางสะบัดแขนเสื้อและกล่าว “ไสหัวไป”
หลิงฮันมึนงง หากเจ้าไม่พอใจข้อเสนอของข้าก็ต่อรองได้ไม่ใช่รึไง? เหตุใดถึงต้องมีท่าทางเกรี้ยวกราดขนาดนั้นด้วย ข้าไปล่วงเกินเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่หลงเซียงเยว่ก็ส่งสายตาขึงขังบอกเป็นนัยว่าให้เขาเงียบไว้ก่อน
“มานี่” หลงเซียงเยว่ลากหลิงฮันเดินออกมา “ตอนนี้อาสาวของข้าอารมณ์ไม่ดีอยู่ แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะค่อยๆทำให้นางเปลี่ยนใจให้ได้”
หลิงฮันเกาหัวและกล่าว “แต่จะว่าไปประมุขของเจ้าก็มีเขามังกรเหมือนกันไม่ใช่รึ ข้าจะไปขอแลกเปลี่ยนกับเขาได้รึไม่?”
หลงเซียงเยว่ชะงักก่อนจะตัวสั่นด้วยความหวาดผวา ประมุขของตระกูลหลงเป็นบุรุษ… และเจ้าเองก็เป็นบุรุษเหมือนกัน!
หลิงฮันสับสนยิ่งขึ้นไปอีก “นี่เจ้าเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า? ข้าแค่ต้องการเขามังกรเท่านั้นไม่ได้มีจุดประสงค์ใดอื่น”
“เอ่อ…” หลงเซียงเยว่อ้าปากค้าง “เจ้าไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นจริงๆ?”
“นี่เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปกันแน่?” หลิงฮันเอ่ยถาม
หลงเซียงเยว่โล่งอก แต่ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึกหดหู่ไม่น้อย หากหลิงฮันเพียงแค่ต้องการเขามังกรล่ะก็ที่เขาเคยขอเขามังกรของนางในอดีตก็หมายความว่าเขาไม่ได้ชอบนางน่ะสิ
หลงเซียงเยว่อธิบายออกไปว่าสำหรับเผ่ามังกรเช่นนางการมอบเขามังกรมีความหมายว่าอย่างไร หลิงฮันมีสีหน้าแน่นิ่งไร้คำพูด ถึงว่าทำไมตอนที่เขาเคยขอเขามังกรจากหลงเซียงเยว่ในอดีต นางถึงได้มีท่าทีเกรี้ยวกราดเช่นนั้นและเสนออาสาวของนางให้แทน
“จะ จะ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าแค่อยากช่วยเจ้าขอเขามังกรจากท่านอาก็เท่านั้นเอง! ไม่ได้มีจุดสงค์ใดอื่นทั้งนั้น!” หลงเซียงเยว่รีบอธิบายแก้ตัว ในเมื่อหลิงฮันไม่รู้ถึงความหมายของเขามังกรก็หมายความว่านางแอบขายอาสาวของตัวเองให้อีกฝ่ายโดยที่ไม่รู้ตัวน่ะสิ
หลิงฮันพยักหน้า ทางที่ดีอย่าได้รับรู้อะไรในเรื่องนี้มากจะดีกว่า
หลงเซียงเยว่พาหลิงฮันไปที่พักก่อนที่จะขอตัวไปคุยกับหลงอวี่ซานให้ชัดเจนว่าหลิงฮันเพียงแค่ต้องการเขามังกรเท่านั้นไม่ได้มีจุดประสงค์ใดอื่น
หลิงฮันนั่งพักอยู่ในห้องที่จัดเตรียมไว้ เขาตัดสินใจรอดูก่อนว่าหลงเซียงเยว่จะเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จหรือไม่ หากไม่สำเร็จต่อให้เขาต้องใช้วิธีการชั่วร้ายเขาก็ต้องนำเขามังกรมาให้ได้เพื่อที่ข้อตกลงกับจักรพรรดิเพลิงอัสนีจะได้เสร็จสิ้นและอีกฝ่ายจะได้มอบทักษะนิรันดร์ให้แก่เขาเสียที
Anchor
หรือจักรพรรดิเพลิงอัสนีจะเป็นผู้เสียหายจากมหาโศกนาฏกรรมของดินแดนแห่งเซียน?
ไม่น่าเป็นไปได้ มหาโศกนาฏกรรมในดินแดนแห่งเซียนเกิดขึ้นมานานมากแล้ว ต่อให้เป็นราชานิรันดร์แต่ถ้าเข้ามายังโลกบรรพกาลอายุขัยก็จะไม่ใช่นิรันดร์อีกต่อไปและคงไม่ต่างระดับสร้างสรรพสิ่งเท่าไหร่
ช่างมันเถอะ เอาไว้เจอกันอีกครั้งเขาค่อยถามเรื่องราวเกี่ยวกับดินแดนแห่งเซียนจากจักรพรรดินีอัสนีแล้วกัน
‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ ผ่านไปครู่หนึ่งประตูที่พักที่เขาอยู่ก็มีเสียงเคาะ หลิงฮันโคจรปราณก่อเกิดเพื่อเปิดประตูและพบร่างของชายหนุ่มหญิงสาวสองคนยืนอยู่ ทั้งสองคนคือหยางจือเกอและจิ่งอี้
“นายน้อยของข้าเรียกเจ้าไปพบ!” จิ่งอี้กล่าวอย่างเย็นชา
ในตอนแรกหลิงฮันแสดงออกด้วยท่าทางไม่แยแส หากอยากพบเขาทำไมถึงไม่มาพบด้วยตัวเองล่ะ? เพียงแต่ว่าพอคิดไปคิดมาเขาก็เปลี่ยนไป เขาอยากรู้ว่าAnchorดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆากับราชาไค่หยุนมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
เพราะเหตุนั้นแล้วเขาจึงพยักหน้าและกล่าว “นำทางไป”
จิ่งอี้และหยางจือเกอเดินนำทางหลิงฮันมายังลานที่พักอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เป็นอย่างมาก หลังจากหลิงฮันเดินผ่านประตูเข้าไป จิ่งอี้และหยางจือก็ปิดประตูและยืนคุ้มกันด้วยท่าทางจงรักภักดี
ฉงปาตู้กำลังนั่งจิบชาอย่างเพลิดเพลินอยู่ในศาลาของลานที่พัก
“หากเจ้าไม่อยากตายก็ไสหัวออกไปจากที่นี่และอย่าได้กลับมาอีก!” ฉงปาตู้ออกคำสั่งโดยไม่หันมองหลิงฮัน ในความคิดของเขาเมื่อตัวตนระดับเซียนเปิดปากพูด จอมยุทธทั่วไปย่อมไม่อาจขัดขืนและต้องเชื่อฟังแต่โดยดี
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาและเอ่ยถาม “ในดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆาของเจ้ามีคนที่เรียกว่าราชาไค่หยุนรึไม่?”
“บังอาจ กล้าดีอย่างไรถึงเรียกประมุขของข้าห้วนๆเช่นนั้น!” ฉงปาตู้เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันทีและชี้นิ้วใส่หลิงฮัน
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
หลิงฮันพยักหน้า ไม่มีคาดคิดว่าจะได้พบกับทายาทของราชาไค่หยุนในสถานการณ์เช่นนี้ เขายิ้มและกล่าว “เมื่อโอกาสมาถึงไว้ข้าจะไปเยี่ยมเยือนดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆา”
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?” ฉงปาตู้แสยะยิ้มเหยียดหยาม เจ้าคิดว่าตนเองสูงส่งขนาดไหนกัน มดปลวกระดับวารีนิรันดร์คิดรึว่าจะมีโอกาสได้ไปเหยียบดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆา?
“พูดดีๆด้วยแล้วยังไม่ไสหัวไปก็ตายซะ!” ฉงปาตู้เค้นเสียงเย็นชา ‘พรึบ’ นิ้วของเขาที่กำลังชี้ใส่ยังหลิงฮันอยู่ปลดปล่อยจุดแสงสีดำทมิฬออกมาโดยมีเป้าหมายคือหน้าผากหลิงฮัน未完待续
ตอนที่ 1614
หลิงฮันสะบัดนิ้วมือ คลื่นแสงดาบถูกปลดล่อยออกไปสลายการโจมตีของฉงปาตู้ในพริบตา
“หืม?” ฉงปาตู้เผยสีหน้าประหลาดใจ แม้เขาจะโจมตีออกไปแบบไม่ใช้พลังอะไรมาก แต่อำนาจของเซียนนั้นเป็นอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในโลก เป็นไปได้อย่างไรที่การโจมตีของเขาจะสังหารมดปลวกระดับวารีนิรันดร์ไม่ได้?
ที่น่าแปลกกว่านั้นหลิงฮันสามารถสลายการโจมตีของเขาได้จริงๆ
เหลือเชื่อ!
“น่าสนใจ!” แม้เขาจะตกตะลึงเป็นอย่างมาก แต่เซียนก็ยังเป็นเซียน ท่าทีของเขาไม่วิตกกังวลแต่อย่างใด
“เพื่อไม่ให้เป็นการเอาเปรียบ รับการโจมตีของข้าไปด้วย!” หลิงฮันใช้นิ้วแทนเล่มดาบปลดปล่อยการโจมตีใส่ฉงปาตู้
ฉงปาตู้ผลักฝ่ามือ ‘ตูม’ การโจมตีของทั้งสองเข้าปะทะกันอีกครั้ง
เพียงแต่หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้ลงมือใดๆต่อและทำเพียงจ้องมองกันและกัน
จากการแลกเปลี่ยนสองกระบวนท่า ฉงปาตู้ยืนยันได้แล้วว่าหลิงฮันมีพลังต่อสู้ในระดับเดียวกับเซียนซึ่งทำให้เขารู้สึกสับสนเป็นอย่างยิ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นฉงปาตู้ก็มั่นใจว่าไม่ว่าหลิงฮันจะเป็นสัตว์ประหลาดแบบใดก็ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ ทว่าหากต้องสู้กันจริงๆเขาก็คงไม่สามารถกำราบหลิงฮันได้ภายในสองหรือสามกระบวนท่าเช่นกันและการต่อสู้คงพวกเขาคงส่งผลให้ตระกูลหลงพังพินาศ
แม้เขาจะอวดดีแค่ไหนก็ไม่ได้บ้าบิ่นถึงขนาดกล้าสร้างปัญหาเช่นนั้นในตระกูลที่มีเซียนระดับกลางพำนักอยู่
“น่าสนใจเหลือเกิน!” ฉงปาตู้กล่าว “ข้าอยากรู้จริงๆว่าเจ้าที่เป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์เหตุใดถึงได้ทรงพลังเช่นนี้”
หลิงฮันกล่าว “Anchorดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆาอยู่ที่ไหน เอาไว้ข้ามีเวลาจะไปเยี่ยมเยือน”
“เจ้ากินสมบัติล้ำค่าเข้าไป?” ฉงปาตู้เอ่ยถาม
“ข้าไม่ค่อยถูกชะตากับเจ้าเท่าไหร่ งานแต่งของเจ้าข้าสร้างปัญหาให้เสียดีไหม” หลิงฮันกล่าว
ทั้งสองไม่มีใครเลยที่ตอบคำถามของอีกฝ่าย
“เจ้าจะต้องมีความลับบางอย่างอยู่แน่ ข้าจะต้องรู้ให้ได้” ฉงปาตู้กล่าว
หลิงฮันยิ้ม “หากไม่หวาดกลัวความตายก็ตามแต่ ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าข้าจะสังหารเจ้าอย่างไร”
“ฮ่าๆๆๆๆ” ฉงปาตู้หัวเราะลั่น “ข้าไม่เคยพบเห็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่อวดดีเช่นเจ้ามาก่อน แต่คราวนี้เห็นแก่ตระกูลหลงข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าอวดดีไปได้อีกสักพัก”
“เช่นกัน!” หลิงฮันหันหลังเดินจากไป ในเมื่อยืนยันได้แล้วว่าดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆาคือที่อยู่ของAnchorราชาไค่หยุน เขาก็รู้เสียทีว่าในอนาคตจะตามหาราชาไค่หยุนได้อย่างไร
ฉงปาตู้จ้องมองแผ่นหลังของหลิงฮันด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยจิตสังหาร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ลงมือ อย่างที่กล่าวไป เขาไม่มั่นใจว่าจะสังหารหลิงฮันได้โดยที่ทำลายตระกูลหลง
เมื่อหลิงฮันเดินออกจากลานที่พักก็พบเห็นจิ่งอี้และหยางจือเกอกำลังยืนอย่างหยิ่งผยอง ทั้งสองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในลานที่พัก แต่ในเมื่อนายน้อยของเขาลงมือเองแล้วหลิงฮันย่อมต้องเชื่อฟังแต่โดยดี
“ไสหัวไปแล้วอย่าได้คิดขัดขวางพวกข้าอีก!” หยางจือเกอกล่าวเยาะเย้ย การที่พ่ายแพ้หลิงฮันราบคาบก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกรังเกียจหลิงฮันเป็นอย่างมาก
ตูม!
หลิงฮันปล่อยหมัดใส่หน้าหยางจือเกอ ‘ปัง’ ร่างของหยางจือเกอกระแทกประตูทะลุลอยเข้าไปในห้องพักของฉงปาตู้ ร่างของเขากลิ้งหลายตลบอยู่กับพื้นก่อนจะหยุดเมื่อร่างชนกำเสาหินในห้อง
เขาอับอายเป็นอย่างมาก หลิงฮันยังกล้าขัดขืนอยู่อีกได้อย่างไร?
“เจ้าตายแน่!” หยางจือเกอลุกขึ้นยืนและคำราม กล้าลงมือกับเขาต่อหน้านายน้อยเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการหักหน้านายน้อย เมื่อสุนัขรับใช้ถูกรังแกมีรึที่เจ้านายจะปล่อยไปเฉยๆ?
แต่ผ่านไปครู่หนึ่งหยางจือเกอก็ต้องหันหน้าไปหาฉงปาตู้ เหตุใดนายน้อยถึงยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีก?
หลิงฮันยิ้มและเดินจากไป
“นายน้อย เขาอวดดีขนาดนั้นทำไ…”
เพี๊ยะ!
หยางจือเกอรีบใคร่ครวญต่อฉงปาตู้แต่ก็ถูกตบเข้าที่ใบหน้าก่อนที่จะได้กล่าวจบ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หยางจือเกอสับสนเป็นอย่างมาก
“ไสหัวไป!” ฉงปาตู้ตะโกนอย่างไม่แยแส
จิ่งอี้ตกตะลึง นางไม่เคยเห็นฉงปาตู้มีอารมณ์ฉุนเฉียวขนาดนี้มาก่อน รุ่นเยาว์ผู้นั้นต้องมีความสามารถแบบใดกันถึงทำให้ฉงปาตู้เป็นแบบนี้ได้
……
หลิงฮันกลับมาที่พักของตนเองและเริ่มใช้ความคิด ในเมื่อฉงปาตู้เป็นทายาทของราชาไค่หยุนงั้นเขาก็ต้องทำให้งานแต่งของอีกฝ่ายหยุ่งเหยิงปั่นป่วน
แต่คำถามคือจะทำอย่างไร?
ประมุขตระกูลหลงไม่ได้ไปยังดาวมู่ถู บางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ส่วนดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆาเองกูดูจะเป็นขุมอำนาจที่ไม่สุงสิงกับใครเสียเท่าไหร่ เป็นไปได้ว่าพวกเขาก็คงไม่รู้จักเขาเช่นกัน
“รอดูทางด้านของหลงเซียงเยว่ก่อนแล้วกัน” หลิงฮันตัดสินใจรอไปก่อน เพราะอย่างไรสิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้มีเพียงการใช้ชื่อเสียงในการข่มขู่คนอื่นเท่านั้น พลังต่อสู้จริงๆของเขาเทียบได้แค่กับเซียนระดับต้น
สองวันต่อมาหลงอวี่ซานได้มาหาเขา
“เจ้าสังหารราชาเซียนไปถึงสองจริงๆ?” นางเอ่ยถามด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ
หลิงฮันกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่ผิด ท่านสามารถไปถามใครที่ไหนก็ได้”
หลงอวี่ซานจ้องมองหลิงฮันโดยทำใจเชื่อไม่ลง แต่หลงเซียงเยว่ก็ไม่น่าจะหลอกลวงนางเช่นกัน… หลงเซียงเยว่ยกฝ่ามือขึ้นและลองผลักเข้าใส่หลิงฮัน
หลิงฮันกระตุ้นรูปแบบอาคมสังหารภายในร่าง พลังต่อสู้ของเขายกระดับขึ้นเทียบเท่าเซียนระดับต้นและปัดป้องการโจมตีของหลงอวี่ซานได้อย่างง่ายดาย
หลงอวี่ซานตกตะลึง หลิงฮันไม่ได้ใช้สมบัติใดๆเลยแต่กลับมาพลังต่อสู้ทัดเทียมนางได้ จากจุดนี้หากเขามีความสามารถอื่นซ่อนอยู่อีกการจะสังหารราชาเซียนได้ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน
นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “หากเจ้าทำบางสิ่งให้ข้า ข้าจะมอบเขามังกรให้เจ้าเป็นการตอบแทน”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “อยากให้ข้าทำอะไร?”
“ข้าต้องการให้เจ้าหาวิธีการยกเลิกงานแต่งงานของข้ากับตระกูลฉง” หลงอวี่ซานกล่าว
หลิงฮันมีท่าทีสนใจขึ้นมา เขาตั้งใจจะป่วนงานแต่งงานของฉงปาตู้อยู่แล้วและไม่คาดคิดว่าหลงอวี่ซานจะยื่นข้อเสนอนี้มาให้เขาพอดี หากเป็นเช่นนี้ก็เปรียบเหมือนกับว่าเขาจะได้รับเขามังกรมาแบบไม่ต้องทำอะไรเลย
เขากล่าว “จะแต่งงานหรือไม่คนที่ตัดสินใจคือตัวท่าน แค่ปฏิเสธไปเลยไม่ได้รึ?”
“ไม่อาจทำได้!” หลงอวี่ซานส่ายหัว “ตระกูลฉงคือขุมอำนาจของตัวตนระดับราชาเซียน หากข้าปฏิเสธงานแต่งไปตรงๆราชาเซียนจะต้องเกรี้ยวกราดเป็นแน่และจะนำพาให้ตระกูลหลงล่มสลาย ด้วยเหตุนั้นเรื่องนี้ข้าจึงต้องพึ่งพาเจ้า!”
ตอนที่ 1615
ต่อสู้
หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อท่านรู้ว่าข้ามีวิธียกระดับพลังให้เหนือกว่าราชาเซียนได้ ท่านไม่กลัวว่าข้าจะแย่งชิงเขามังกรเลยไม่ต้องรับข้อเสนอให้ยุ่งยากเลยรึ?”
“หากเจ้าเป็นคนประเภทนั้นทำไมไม่ทำตั้งนานแล้วล่ะ?” หลงอวี่ซานถาม
“ช่างมันเถอะ” หลิงฮันส่ายหัว “การจะยกระดับเป็นราชาเซียนข้าต้องรับผลตามมาอันมหาศาล ท่านคิดว่าเขามังกรแท้จริงมีค่าพอจะให้ข้าทำเช่นนั้นเพื่อช่วยท่านรึ?”
หลงอวี่ซานกัดฟัน “แล้วเจ้าต้องการอะไรอีก?”
หลิงฮันหัวเราะก่อนจะยักไหล่ “เอาเถอะ ข้ารับปากช่วยท่านแล้วกัน เพราะอย่างไรข้าก็ไม่ชอบขี้หน้าหมอนั่นอยู่แล้ว”
หลงอวี่ซานจ้องหลิงฮันเขม็ง นี่เจ้าเป็นพวกชอบหยอกล้อคนอื่น? แต่อย่างไรในเมื่อหลิงฮันยอมรับข้อเสนอของนางก็ดีแล้ว นางพยักหน้าและกล่าว “เจ้าไปหาผู้นำตระกูลหลงและแสร้งทำเป็นว่าเจ้าต้องการขอข้าแต่งงาน เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะใส่ฟืนลงกองเพลิงโดยการแพร่กระจายข่าวเรื่องนี้ออกไป เมื่อฉงปาตู้ทนการหักหน้าไม่ไหวเขาจะต้องขอท้าประลองสู้กับเจ้าเป็นแน่ และในตอนนั้นหากเจ้าทำให้ทุบตีเขาจนไม่อาจสู้หน้าใครได้เขาก็จะไม่กล้าปรากฏตัวที่ตระกูลหลงอีกโดยหลังจากนั้นข้าก็จะปฏิเสธคำขอแต่งงานของเจ้า”
เจ้าช่างคิดแผนมาเพรียบพร้อมจริงๆ
หลิงฮันเกาหัว ความจริงการต้องล่วงเกินขุมอำนาจอย่างเขตแดนต้องห้ามเพื่อแลกเปลี่ยนกับเขามังกรแท้จริงนั้น ฝ่ายเขาถือว่าเสียผลประโยชน์อย่างมาก แต่ใครใช้ให้ฉงปาตู้เป็นทายาทของราชาไค่หยุนกันล่ะ?
เขารังเกียจคนทรยศอย่างราชาไค่หยุน แถมท่าทีของฉงปาตู้ก็ทำให้เขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก
“เอาตามนั้นแล้วกัน” เขาพยักหน้า
“รับไป!” หลงอวี่ซานคว้ามือไปยังเขามังกรบนศีรษะก่อนจะออกแรงหักและโยนให้หลิงฮัน
หลิงฮันรับเขามังกรมาด้วยท่าทีประหลาดใจ “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะหนีหายไปรึ?”
“ข้าเชื่อใจเจ้า” หลงอวี่ซานกล่าวและหันหลังเดินจากไป
หลิงฮันบิดขี้เกียจ “ถ้างั้นก็คงต้องทำผลงานให้ดีเสียหน่อย”
เขาเดินออกจากลานที่พักและเอ่ยคำร้องขอว่าอยากเข้าพบผู้นำตระกูลหลง
ผู้นำของตระกูลหลง ณ ปัจจุบันไม่ใช่ประมุข เซียนระดับกลางนั้นไม่มีเวลาว่างเนื่องจากต้องเก็บตัวบ่มเพาะพลังทั้งวัน เรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการดูแลตระกูลนั้นประมุขได้มอบหมายให้เป็นหน้าของสมาชิกตระกูลระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดที่ทรงพลังผู้หนึ่ง ผู้นำตระกูลหลงปัจจุบันรู้ดีว่าตนเองคงไม่สามารถทะลวงผ่านเป็นเซียนได้ จึงทำหน้าที่ดูแลตระกูลอย่างไม่คิดมาก
ผ่านไปไม่นานบ่าวรับใช้กลับมาแจ้งว่าผู้นำตระกูลหลงยินดีให้ไปเข้าพบได้
“ฮ่าๆ สหายหลิงฮันยังอายุไม่ถึงพันปีแท้ๆแต่กลับบ่มเพาะพลังได้ถึงระดับนี้แล้ว ช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก” ผู้นำตระกูลหลงกล่าวต้อนรับหลิงฮันในห้องโถงขนาดใหญ่
เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์ราวๆห้าสิบปี กลิ่นอายของเขาองอาจและทรงพลังราวกับมีสัตว์ร้ายสิงสถิตอยู่ภายในร่าง
หลิงฮันหัวเราะ “ผู้นำหลงก็ชมข้าเกินไป เอาเป็นว่าข้าขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”
“เชิญเลย” ผู้นำตระกูลหลงมีท่าทีสุภาพเป็นอย่างมาก ถึงแม้เขาไม่คิดว่าหลิงฮันจะมีพลังต่อสู้แข็งแกร่งกว่าเขาแต่เขาก็ต้องไว้หน้าอีกฝ่ายเพราะพวกเขาเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดเหมือนกัน
ที่สำคัญคือหลิงฮันยังเยาว์วัยเป็นอย่างมาก ด้วยอายุเพียงเท่านี้ก็บรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดได้แล้ว การจะกลายเป็นเซียนในอนาคตก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หลิงฮันกล่าว “ข้ามาเพื่อมอบของกำนัลให้ท่าน”
“โอ้” ผู้นำตระกูลหลงเข้าใจจุดประสงค์ทันทีและเผยรอยยิ้ม การที่เซียงเยว่พาบุรุษกลับมาตระกูลนั้นไม่ใช่ว่าความหมายก็เห็นชัดๆกันอยู่แล้วหรอกรึ? ตระกูลหลงของพวกเขาคือขุมอำนาจที่ทรงพลังที่สุดในเขตดวงดาวระแวกนี้จึงไม่จำเป็นต้องบังคับให้เซียงเยว่แต่งเข้าขุมอำนาจไหน เพราะงั้นตราบใดที่เซียงเยว่ต้องการแต่งงานกับใครเขาก็ไม่ขัดข้อง
อีกอย่างคือหลิงฮันมีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นเซียนได้ในอนาคต การมีบุตรเขยเช่นนั้นไม่ได้ส่งผลเสียใดๆต่อตระกูลหลงแม้แต่น้อย
“นั่งลงก่อน มาค่อยๆพูดกันดีกว่า” ผู้นำตระกูลหลงกวักมือไปยังหลิงฮันอย่างเป็นกันเอง
หืม?
หลิงฮันประใจเล็กน้อยก่อนจะพอคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิดเรื่องอะไร เขากระแอมและกล่าว “ผู้นำหลง ข้าไม่ได้มาเพื่อขอหลงเซียงเยว่แต่งงาน”
“หือ?” ผู้นำตระกูลหลงชะงัก เจ้าไม่ได้หมายปองหลงเซียงเยว่? งั้นก็น่าแปลก นอกจากเซียงเยว่แล้วยังจะมีใครอื่นเหมาะสมกับอัจฉริยะเช่นหลิงฮันอีกรึ?
“แล้วเจ้าต้องการขอแต่งงานกับใคร”
“ธิดาหลงอวี่ซาน” ใบหน้าของหลิงฮันเผยรอยยิ้มเอียงอาย
ร่างของผู้นำตระกูลหลงกลายเป็นสั่นสะท้าน เขาจดจ้องมายังหลิงฮันโดยที่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ท่านผู้นำ?” หลิงฮันกล่าวเรียก
ผู้นำตระกูลหลงกลับมาตั้งสติได้และกล่าวตอบ “สหายน้อย หลงอวี่ซานได้หมั้นหมายกับผู้อื่นไปแล้ว”
หลิงฮันยิ้ม “ไม่ใช่ปัญหา ก็แค่หมั้นหมายเองยกเลิกเสียก็สิ้นเรื่อง”
ครั้งนี้ผู้นำตระกูลหลงแทบจะอยากเอาฝ่ามือตบเอามี่ใบหน้าหลิงฮันแรงๆ
ยกเลิก? ยกเลิกน้องสาวเจ้าสิ!
คู่หมั้นของหลงอวี่ซานคือคนของดินแดนต้องห้ามเปิดเมฆาที่มีราชาเซียนปกครองอยู่ เจ้าที่บอกว่าให้ยกเลิกไม่หวาดกลัวต่อความเกรี้ยวกราดของราชาเซียนเลยรึไง?
“ฮ่าๆ สหายน้อยช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก” ผู้นำตระกูลหลงฝืนยิ้ม
“ข้าไม่ได้ล้อเล่น” หลิงฮันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก!” ผู้นำตระกูลหลงปฏิเสธ เขาไม่ใช่คนที่มีคุณสมบัติพอจะยกเลิกงานหมั้นและล่วงเกินตัวตนระดับราชาเซียน
“ข้าจริงใจกับนางเป็นอย่างมาก โปรดทบทวนดูอีกครั้ง” หลิงฮันดื้อรั้น หน้าที่ของเขาในแผนการครั้งนี้คือต้องล่วงเกินคนอื่นอยู่แล้ว เพราะงั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางเป็นคนไร้ยางอาย
“สหายน้อย โปรดออกจากตระกูลหลงไปเดี๋ยวนี้!” ผู้นำตระกูลหลงกล่าวเย็นชา คำร้องขอของหลิงฮันไม่เพียงจะเป็นการฝืนบังคับตัวเขาแต่ยังจะทำให้ตระกูลหลงพบเจอหายนะอีกด้วย
“แน่นอน มอบหลงอวี่ซานให้ข้าแล้วข้าจะไปทันที” หลิงฮันแสดงบทคนไร้ยางอายต่อ
“เจ้า!” ผู้นำตระกูลหลงลุกขึ้นยืนพรวดและกล่าว “หนุ่มน้อย เจ้าคิดว่าที่นี่คือที่ใดถึงได้คิดสร้างปัญหาโดยไร้เหตุผล?”
หลิงฮันหัวเราะ “ท่านผู้นำสงบสติอารมณ์ลงก่อน!”
“ไสหัวไป!” ผู้นำตระกูลหลงทนไม่ไหวและคว้ามือเข้าใส่หลิงฮัน ฝ่ามือของเขาแปรเปลี่ยนกลายเป็นกรงเล็บมังกรสีชาดที่ปกคลุมไปด้วยเพลงมังกรอันทรงพลัง
‘พรึบ’ หลิงฮันเอื้อมมือออกไปคว้าจับกรงเล็บของอีกฝ่ายเอาไว้ “ผู้นำหลง มีอะไรก็คุยกันดีๆก่อนอย่าเพิ่งใช้กำลัง”
ผู้นำตระกูลหลงตกตะลึง ฝ่ามือกรงเล็บของเขาถูกหลิงฮันจับเอาไว้แน่นโดยไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิดเดียว นี่หมายความว่าพลังต่อสู้ระหว่างพวกเขาสองคนแตกต่างกันมหาศาล
เป็นไปได้อย่างไร!
เขาคือตัวตนระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดและมีโลหิตมังกรแท้จริงไหลเวียนอยู่ในร่างกาย ในระดับพลังเดียวกันเขาควรจะเป็นฝ่ายที่บดขยี้ศัตรูให้ราบคาบได้อย่างง่ายดายแท้ๆ เพียงแต่ต่อหน้าหลิงฮันแล้วเขาไม่มีพลังจะตอบโต้ได้เลยแม้แต่น้อย เรื่องเช่นนี้เขาไม่อาจทำใจยอมรับได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น