Alchemy Emperor of the Divine Dao 1571-1584

ตอนที่ 1571

 

หลิงฮันมองไปยังถังหยุนโดยเมินเฉยถังเฟิง เขาโคจรพลังปลดปล่อยแสงศักดิ์ศักดิ์สิทธิ์อันสว่างไหวออกมาจากภายในร่างกาย


เป็นจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ผิดแน่!


ถังเฟิงตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก


เหลือเชื่อเกินไป… ไม่มีทางเด็ดขาดที่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่อ่อนแอจะสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้!


“แล้วจะอย่างไร!” เพียงแต่ว่าเขาก็ตั้งสติกลับมามีท่าทีอวดดีอีกครั้ง ไม่ว่าอย่างไรเรื่องที่คนของตระกูลถังถูกสังหารก็ไม่อาจปล่อยไปเฉยๆได้


แววตาของเขาส่องประกายเย็นชาและลงมืออีกครั้ง


“ช้าก่อน!” ถังหยุนกล่าวขัดกระทันหัน


แม้ถังเฟิงจะหยิ่งยโสขนาดไหนแต่ต่อหน้าถังหยุนเขาก็ไม่สามารถขัดขืนได้ เขาหยุดมือและกลับมามีท่าทางสุภาพ ทว่าภายในใจถังเฟิงยังคงรู้สึกสับสนในงง หรือว่าผู้อาวุโสสามจะรู้จักดินแดนต้องห้ามแปดศิลาถึงได้เกิดความลังเล?


ถังหยุนจ้องมองหลิงฮันพร้อมกับคิดบางอย่างอยู่ในใจ


เหล่าจอมยุทธที่ถูกขับไล่ออกมาจากดินแดนแห่งเซียนต่างรู้ดีว่ามีเพียงการผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวได้เท่านั้นถึงจะสามารถเปิดเส้นทางกลับไปยังดินแดนแห่งเซียนได้ โดยความเป็นจริงคือแม้กาลเวลาจะผ่านมาหลายร้อยล้านปีแล้วก็ยังไม่มีใครสามารถทำได้


อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองเปรียบเสมือนน้ำกับไฟที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกัน


แต่จะปรับตัวให้เข้ากับฝั่งใดฝั่งหนึ่งก็อยากลำบากแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงผสานให้เป็นหนึ่งเดียวเลย


เพราะงั้นการจะกลับสู่ดินแดนแห่งเซียนจึงเป็นเพียงความฝัน ทว่าตอนนี้เขาเริ่มมองเห็นแสงแห่งความหวังแล้ว


บ่มเพาะรุ่นเยาว์ผู้นี้ให้ดีและให้เขาทำหน้าที่เปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียน หลังจากผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแล้วค่อยสังหารเขาทีหลังก็ไม่สาย


“อย่าหวังว่าจะใช้ชื่อของดินแดนต้องห้ามกดดันตระกูลถังได้” ถังหยุนยิ้ม คนเช่นเขาไม่มีทางถูกคำพูดของรุ่นเยาว์ระดับวารีนิรันดร์ทำให้ไขว้เขว “ต่อให้เป็นราชาเซียน แต่หากเข้ามาที่ดินแดนใต้พิภพแห่งนี้พลังของพวกเขาย่อมไม่สามารถเทียบได้แม้กระทั่งจ้าวอสูรระดับเหลือง!”


“ผู้อาวุโส หากข้าสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้ มีรึที่เหล่าผู้อาวุโสของข้าจะทำไม่ได้!” หลิงฮันแต่งเรื่องต่อ เพราะอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าเขาพูดจริงหรือไม่


ถังหยุนหัวเราะ “หากผู้อาวุโสในดินแดนต้องห้ามแปดศิลาของเจ้าผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้จริงๆ ไม่ใช่ว่าเจ้าคงกลับไปที่ดินแดนแห่งเซียนแล้วหรอกรึ?”


ลืมเรื่องนั้นไปเลย!


หลิงฮันกัดฟัน “อำนาจของดินแดนต้องห้ามแปดศิลาไม่ใช่สิ่งที่ดินแดนต้องห้ามอย่างตระกูลถังจะต่อต้านไหว! หากไม่เชื่อขอเชิญให้ผู้อาวุโสโจมตีหนึ่งกระบวนท่า ข้าจะแสดงให้เห็นถึงพลังของดินแดนต้องห้ามแปดศิลาเอง!”


ทุกคนที่ได้ยินคำพูดของเขาต่างมีสีหน้ากระอักกระอ่วน


เด็กหนุ่มคนนี้ช่างปากกล้ายิ่งนัก เขากล้าพูดออกมาได้อย่างไรว่าจะรับหนึ่งกระบวนท่าของจ้าวอสูรระดับปฐพี!


“ย่อมได้!” ถังหยุนกล่าว เขายกฝ่ามือขึ้นและพลักเข้าใส่หลิงฮัน


แม้จะเป็นการโจมตีลวกๆแต่ฝ่ามือของเขาก็ปกคลุมไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของจ้าวอสูร ดวงดาราหลายพันล้านดวงส่องประกายและปลดปล่อยอำนาจที่จ้าวอสูรระดับเหลืองไม่อาจเทียบเคียง


หลิงฮันโคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ผิวหนังของเขาปลดปล่อยแสงสลัวสีทองออกมา ความลึกลับของแสงสีทองนี้ต่อให้เป็นจ้าวอสูรสวรรค์ก็ไม่สามารถมองเห็น


ตูม!


ฝ่ามือที่ของถังหยุนถูกต้านเอาไว้ได้อย่างไม่คาดฝัน!


พรวด!


ทันทีที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นถังเฟิงหรือจ้าวอสูรคนใดก็สำลักออกมา


ป้องกันได้… รุ่นเยาว์ระดับวารีนิรันดร์สามารถป้องกันการโจมตีของจ้าวอสูรปฐพีได้!


ถังหยุนดึงฝ่ามือกลับด้วยสีหน้าตกตะลึง เขาคิดเอาไว้เพียงแค่ว่าการที่หลิงฮันสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของระดับวารีนิรันดร์ได้จะสามารถเป็นเมล็ดพันธุ์ที่นำพาพวกเขาเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้


แต่นั่นเป็นศักยภาพในอนาคตของหลิงฮันไม่ใช่พลังในตอนนี้


น่ากลัว… รุ่นเยาว์ผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดหรืออย่างไร


หลิงฮันรู้สึกร่างกายปั่นป่วน การโจมตีของจ้าวอสูรปฐพีเมื่อครู่ทำให้กระดูกในร่างของเขาแตกหักหลายส่วน โชคดีที่คัมภีร์สวรรค์สามารถฟื้นฟูความเสียให้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ปราณก่อเกิดของเขาก็ถูกเผาผลาญไปมหาศาลเช่นกัน


แววตาของถังหยุนส่องประกาย เขาเชื่อว่าต้องเป็นเพราะทักษะบ่มเพาะของหลิงฮันแน่นอนที่ทำให้อีกฝ่ายสามารถต้านทานการโจมตีของเขาได้ หากตระกูลถังได้ทักษะนั่นมาครองล่ะก็…


และเรื่องที่หลิงฮันสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวได้ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับทักษะบ่มเพาะที่ว่าเช่นกัน


แต่หากเป็นเช่นนั้นเรื่องที่อีกฝ่ายบอกว่าผู้อาวุโสแต่ละคนดินแดนต้องห้ามแปดศิลาสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้เช่นกันก็อาจจะเป็นความจริง


หากผู้อาวุโสเหล่านั้นเป็นราชาเซียนที่พลังต่อสู้ไม่ลดลงเมื่อเข้าสู่ดินแดนใต้พิภพจริงๆ ตระกูลถังจะต้านทานไหวได้อย่างไร?


ถังหยุนครุ่นคิดและรีบตัดสินใจอย่างรวดเร็ว


“รุ่นเยาว์ กลับไปตระกูลถังกับข้าในฐานะแขก เมื่อผู้อาวุโสของเจ้ามาค่อยให้เขาพาตัวกลับไป” เขาปล่อยฝ่ามือออกไปอีกครั้ง ‘ครืนน’ อำนาจที่น่าสะพรึงกลัวเกินจะพรรณนาปกคลุมไปทั้งอวกาศ


คราวนี้หลิงฮันจะต้านทานอย่างไร?


สุดยอดการป้องกันของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ก็ถูกใช้ไปแล้ว หอคอยทมิฬก็เข้าไปไม่ได้


เมื่อฝ่ามือกระแทกเข้าใส่ จู่ๆร่างของหลิงฮันก็ปลดปล่อยแสงสว่างเจิดจ้าที่ราวกับจะส่องสว่างไปทั่วทั้งห้วงจักรวาลออกมา


“หืม!” ถังหยุนหยุดชะงักและรีบดึงฝ่ามือกลับ แสงสว่างที่ถูกปลดปล่อยออกมานี้แม้แต่เขาก็ยังไม่แตะต้อง


แสงที่ถูกปลดปล่อยออกมาคือแสงแห่งเต๋า ก่อนหน้านี้ที่หลิงฮันรู้แจ้งถึงการผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวได้ สวรรค์ก็ตระรับรู้ถึงตัวตนของเขาและส่งคลื่นแสงแห่งเต๋าลงมา ตอนนี้จู่ๆแสงที่ว่าก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งและช่วยสลายการโจมตีของถังหยุน


จ้าวอสูรขวงล่วนและจ้าวอสูรคนอื่นชะงักตกตะลึง หากเปลี่ยนหลิงฮันเป็นพวกเขา ป่านนี้พวกเขาคงเผ่นหนีหางจุกตูดไปแล้ว แต่ทว่าจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์อย่างหลิงฮันกลับสามารถป้องกันการโจมตีของจ้าวอสูรปฐพีได้ถึงสองครั้ง


ถังเฟิงกลายเป็นไร้คำพูดอย่างสิ้นเชิง รุ่นเยาว์ผู้นี้ช่างฝืนสวรรค์ยิ่งนัก


ถังหยุนยังคงมีท่าทางนิ่งเฉยและเผยรอยยิ้ม “รุ่นเยาว์ ทีนี้เจ้าจะยังมีอะไรเหลืออีกไหม?” ฝ่ามือขนาดใหญ่ของเขาคว้าเข้าใส่หลิงฮันเป็นครั้งที่สาม


‘ครืนนน’ มือขนาดใหญ่ค่อยๆเคลื่อนที่เข้าไปใกล้ ในดินแดนใต้พิภพแห่งนี้จ้าวอสูรเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของเจตจำนงแห่งสวรรค์และปฐพี


คราวนี้หลิงฮันจะป้องกันอย่างไร?

 

 

 


ตอนที่ 1572

 

หลิงฮันหมดหนทาง เขาได้ใช้ไพ่ลับที่สามารถใช้ได้ไปหมดแล้ว


ต่อให้ทักษะบ่มเพาะของเขาจะเป็นทักษะระดับนิรันดร์แต่ก็ถูกจำกัดเอาไว้ด้วยระดับพลังแถมตอนนี้หอคอยทมิฬก็ยังเข้าไม่ได้ด้วย


โชคดีที่อีกฝ่ายต้องการเพียงแค่จับกุมตัวเขาเอาไว้เท่านั้น เขาสามารถถ่วงเวลาต่อไปได้จนหอคอยน้อยตื่นเขาก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใคร


‘ครืนน’ มือขนาดมหึมาของถังหยุนปกคลุมไปทั่วบริเวณ


“เหอๆ เฒ่าสามตระกูลถัง เจ้าไม่คิดว่าตัวเองไร้ยางอายเลยรึที่ลดตัวลงมาลงมือกับรุ่นเยาว์ระดับวารีนิรันดร์เช่นนี้ ยิ่งกว่านั้นยังถูกป้องกันการโจมตีถึงสองครั้ง เจ้าทำให้ของชื่อของผู้นำตระกูลถังอับอายขายขี้หน้าไม่เหลือชิ้นดี!”


เสียงหนึ่งที่แฝงไว้ด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นมา ความเร็วของเสียงนี้รวดเร็วยิ่งกว่าฝ่ามือของถังหยุนและดังก้องเข้าไปในหูของทุกคน


ตูม!


ฝ่ามือที่พลักเข้ามาของถังหยุนไม่อาจปะทะเข้าใส่ตัวหลิงฮันโดยถูกหยุดเอาไว้ในระยะสิบฟุต


ด้านข้างหลิงฮันไม่รู้ว่ามีร่างของคนสองคนปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่


ร่างหนึ่งคือชายชราหลังค่อมที่ทั้งผมและหนวดล้วนแต่เป็นสีขาวโพลน ชายชราผู้นี้แก่เฒ่าจนดูราวกับว่าสามารถสิ้นลมหายใจไปได้ทุกเมื่อ อีกร่างหนึ่งคือชายหนุ่มสูงกำยำที่สวมชุดหนังสัตว์ราวกับคนเถื่อน


สายตาของทุกคนมองผ่านชายหนุ่มร่างกำยำและจดจ้องไปที่ชายชราผมขาว


ในแวบแรกชายชราผู้นี้อาจจะไม่ได้ดูแปลกอะไร แต่ยิ่งมองไปที่อีกฝ่ายเท่าไหร่จิตวิญญาณของทุกคนก็ราวกับถูกดูดลงสู่หลุมอันไร้ก้นบึ้งที่ไม่สามารถหนีออกมาได้


ทุกคนเหงื่อไหลท่วม ชายชราผู้นี้เป็นใครกัน?


ถังหยุนที่มีท่าทีสงบนิ่งมาตลอดในที่สุดก็เริ่มหวั่นไหว เขากล่าว “ทะ… ท่านคือคนของดินแดนต้องห้ามแปดศิลา? ดูเหมือนผู้อาวุโสจะรู้จักผู้นำของข้า?”


หลิงฮันตกตะลึงเมื่อมองไปยังชายหนุ่มร่างกำยำ อีกฝ่ายไม่ใช่ใครคือแต่เป็นโก้วลี่!


โก้วลี่หันมองและยิ้ม “ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึว่าพวกเราจะได้พบกันใหม่”


จ้าวอสูรคนอื่นๆมีสีหน้านิ่งอึ้ง


ผู้อาวุโส!


ถังหยุนกล่าวเรียกชายชราผู้นั้นว่าผู้อาวุโส! ถังหยุนที่เป็นถึงจ้าวอสูรปฐพี หากเขาต้องเรียกใครอื่นว่าผู้อาวุโสล่ะก็หมายความว่าอย่างไร?


คำตอบมีเพียงอย่างเดียว จ้าวอสูรสวรรค์!


จ้าวอสูรสวรรค์เฒ่ายิ้มและกล่าว “เวลาช่างผ่านไปเร็วนัก ในตอนแรกเจ้ายังเป็นเพียงเด็กน้อยที่รู้จักเพียงการวิ่งเล่นเท่านั้น แต่ตอนนี้เจ้ากลับกลายเป็นคนใหญ่คนโตแล้ว”


ใบหน้าของถังหยุนแดงก่ำ โดยปกติแล้วด้วยการที่มีชีวิตอยู่มานานอารมณ์ของเขาย่อมไม่หวั่นไหวดั่งภูเขาที่มั่นคง แต่การถูกกล่าวด้วยคำพูดหยอกล้อเช่นนั้นต่อหน้าจ้าวอสูรคนอื่นๆทำให้เขารู้สึกอับอายอย่างไม่อาจทนไหว


“ผู้อาวุโสกล่าวราวกับว่ารู้จักตระกูลถังของข้า!” ถังหยุนพยายามทำจิตใจให้หนักแน่น


จ้าวอสูรสวรรค์เฒ่าครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “หลายร้อยล้านปีก่อนข้าเคยไปพบกับผู้นำตระกูลเจ้าเพื่อข้อตกลงที่ยิ่งใหญ่บางอย่าง แต่น่าเสียดายที่ผู้นำของเจ้าใจเสาะเกินไป เหอๆๆ”


เจ้าหักหน้าข้าอีกแล้ว!


แต่ถึงอย่างนั้นถังหยุนก็ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียง จ้าวอสูรสวรรค์คือตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนใต้พิภพ ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นเหนือเกินกว่าจะจินตนาการ ถังหยุนแน่นิ่งไปก่อนจะกล่าว “ผู้อาวุโส เด็กหนุ่มผู้นั้นสังหารรุ่นเยาว์ของตระกูลข้า ในเมื่อท่านกับตระกูลถังของข้าดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ต่อกันและมีต้นกำเนิดจากดินแดนแห่งนั้นเหมือนกัน ข้าขอให้ท่านยอมให้ข้าพาเด็กหนุ่มนั่นกลับตระกูลถัง หากท่านยินยอมข้าคิดว่าผู้นำของข้าจะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณท่านเช่นกัน”


“โห่ คิดจะใช้ชื่อของเฒ่าถังมากดดันข้า?” ชยาชราเค้นเสียง หมอกสีดำลอยออกมาจากจมูกของเขาและแปรเปลี่ยนรูปร่างเป็นเหมือนหอกทั้งเล่มทะยานขึ้นสู่อวกาศเบื้องบน ทันใดนั้นคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวราวกับสวรรค์และปฐพีจะล่มสลายก็ระเบิดออกมา


จิตวิญญาณของทุกคนที่มีระดับพลังต่ำกว่าสร้างสรรพสิ่งสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว ยกเว้นหลิงฮันที่ผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองได้สำเร็จ ความหลักแล้วเขาคือตัวแทนของสวรรค์และปฐพี ‘สถานะะ’ของเขาไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าระดับสร้างสรรพสิ่ง


“ข้าไม่กล้า!” ถังหยุนรีบกล่าว


จ้าวอสูรสวรรค์เฒ่าโบกมือ “เห็นแก่ที่เจ้ามีความสัมพันธ์กับเฒ่าถัง ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือสาเอาความเจ้า รีบๆไสหัวไป!”


“ผู้อาวุโส…” ถังหยุนไม่ยินยอม หลิงฮันไม่เพียงสังหารรุ่นเยาว์อัจฉริยะของตระกูลถังแต่ยังมีทักษะบ่มเพาะที่ลึกลับด้วย เขาจะยอมปล่อยไปง่ายๆได้อย่างไร?


“ข้าไม่ได้ถามความเห็นของเจ้า!” ชายชราเค้นเสียงและผลักฝ่ามือออกไปอย่างโหดเหี้ยม ‘ตูม’ ร่างของถังหยุนรอยกระเด็นกลายเป็นจุดเล็กจนในที่สุดก็หายไปจากห้วงอวกาศบริเวณนี้


เขาหันไปมองถังเฟิงและรุ่นเยาว์ตระกูลถัง “พวกเจ้าก็อยากให้ข้าเป็นคนส่งออกไปด้วย?”


“ไม่จำเป็น! ข้าไม่รบกวนผู้อาวุโสขนาดนั้น!” ถังเฟิงรีบส่ายหัว


“ถ้างั้นแล้วยังไม่ไสหัวไปอีก!” จ้าวอสูรสวรรค์ชราเค้นเสียง


“ปะ ไปแล้ว ผู้น้อยจะไปเดี๋ยวไป!” ถังเฟิงกล่าว เขารีบคว้ารุ่นเยาว์ตระกูลถังทั้งสี่คนและปลดปล่อยคลื่นแห่งเต๋าสีทองลอยจากไป


“เหตุการณ์ในวันนี้กับตระกูลถัง ข้าจะไม่มีวันลืม!” หลิงฮันกล่าวเสียงดัง


ถังเฟิงที่ได้ยินก็ใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดมนทันทีและแทบจะหันหลังกลับไปโจมตีใส่หลิงฮัน แต่เมื่อนึกถึงความน่าสะพรึงกลัวของจ้าวอสูรสวรรค์ร่างของเขาก็มีเหงื่อไหลออกมาและรีบเผ่นให้ไวที่สุด


จ้าวอสูรสวรรค์เฒ่าปรบมือและกล่าว “การแสดงจบแล้ว พวกเจ้าทุกคนแยกย้ายกลับไปได้”


แม้ชายชราจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงจ้าวอสูรสวรรค์ ใครจะกล้าไม่เชื่อฟังเขา? จ้าวอสูรทั้งสิบเจ็ดคนรีบคว้ารุ่นเยาว์ของตนเองและเผ่นอย่างรวดเร็ว


“หนุ่มน้อย มาหาชายชราสิ” จ้าวอสูรสวรรค์เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรและกวัดมือไปหาหลิงฮัน


โก้วลี่หัวเราะ “ไม่ต้องอายไป เจ้าไม่ใช่สาวน้อยเสียหน่อย!”


หลิงฮันเหล่ตามองโก้วลี่ ก่อนจะผสานมือไว้ที่หน้าอกและคารวะชายชรา “ขอขอบคุณผู้อาวุโสที่ลงมือช่วยเหลือ”


“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” จ้าวอสูรสวรรค์เฒ่าหัวเราะ


“หนุ่มน้อย บางทีเจ้าคงรู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนแห่งเซียนแล้ว” จ้าวอสูรสวรรค์ชราจ้องมองหลิงฮัน เขาทำการปกปิดออร่าของตนเองจนดูเหมือนเป็นเพียงชายชราทั่วไป


“ข้ารู้” หลิงฮันพยักหน้า


จ้าวอสูรชราพยักหน้าตอบและกล่าว “ถ้างั้นก็ช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะ”


หลิงฮันไม่เอ่ยขัดจังหวะและตั้งใจฟัง


“ชื่อของข้าคือโอวหยางไท่ซาน” จ้าวอสูรสวรรค์เฒ่าแนะนำตัวเอง “และข้ามีอีกสถานะหนึ่งคือผู้อาวุโสเก้าของพันธมิตรทลายสวรรค์”


พันธมิตรทลายสวรรค์!

 

 

 


ตอนที่ 1573

 

โอวหยางไท่ซานยิ้ม “หนุ่มน้อย เจ้ารู้วิธีการเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน?”


“ผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ให้เป็นหนึ่งและเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียน” หลิงฮันกล่าวตอบ


โอวหยางไท่ซานพยักหน้าและกล่าว “พูดน่ะง่ายแต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ทำสำเร็จเนื่องจากการผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้”


หลิงฮันนิ่งเงียบ อีกฝ่ายก็รู้ไม่ใช่รึว่าเขาทำสำเร็จแล้ว? แต่ก็พูดก็พูด พลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ยังไม่บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่ง อำนาจแห่งกฎเกณฑ์จึงยังง่ายต่อการทำความเข้าใจ แต่หลังจากทะลวงผ่านเป็นเซียนแล้วเขาจะยังทำได้อยู่รึเปล่า?


“แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น ข้าถึงได้มาที่นี่เพื่อพบเจ้าด้วยตัวเอง” โอวหยางไท่ซานกล่าวต่อ


อันที่จริงไม่ใช่แค่เขาคนเดียว จักรพรรดินีเองก็สามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองได้เช่นกัน แต่สำหรับสตรีนกอมตะ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของนางถูกแทนที่ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพโดยที่ไม่สามารถจดจำอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้


หรือเป็นเพราะจักรพรรดินีมีแก่นกำเนิดนิรันดร์?


“หนุ่มน้อย ข้าจะบอกความลับอะไรบางอย่างให้” โอวหยางไท่ซานเปิดประเด็น “ในอดีตที่ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าใดแล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับดินแดนใต้พิภพเคยเป็นหนึ่งเดียวกัน”


ว่าไงนะ!


หลิงฮันดวงตาเปิดกว้างราวกับจะถลนออกมา


ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับดินแดนใต้พิภพเคยเป็นหนึ่งเดียวกัน?


แต่จะว่าไป หอคอยน้อยก็เคยบอกเหมือนกันว่าดินแดนแห่งเซียนไม่ใช่ดินแดนที่อยู่สูงไปกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ความพิเศษที่แตกต่างออกไปก็คือดินแดนแห่งเซียนนั้นมีอำนาจกฎเกณฑ์ที่สมบูรณ์ไม่แบ่งแยก


หรือแท้จริงแล้วดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะถูกแบ่งจากหนึ่งสวนเป็นสามส่วน โดยดินแดนที่คงสภาพดั้งเดิมเอาไว้คือดินแดนแห่งเซียน ในขณะที่อีกสองส่วนที่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ถูกแบ่งแยกคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพ


“ดินแดนอันเป็นหนึ่งเดียวนั่นถูกเรียกว่าโลกบรรพกาล” โอวหยางไท่ซานกล่าวต่อ “ในยุคสมัยของโลกบรรพกาล ดินแดนแห่งเซียนคือสถานที่พิเศษที่มีเพียงหลังจากบรรลุเป็นเซียนระดับสูงหรือจ้าวอสูรปฐพีแล้วเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้”


“แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด วันหนึ่งดินแดนแห่งเซียนได้เกิดมหาโศกนาฏกรรมจนโลกบรรพกาลเกิดการเปลี่ยนแปลงและแบ่งแยกดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพออกมา”


“เจ้าอาจจะรู้ว่าเป็นเพราะมหาโศกนาฏกรรมของดินแดนแห่งเซียน ขุมอำนาจจำนวนหนึ่งได้หลบหนีหรือถูกขับไล่ออกมาและสูญเสียชีวิตอันเป็นนิรันดร์”


“ปัจจุบันนี้เมื่อโลกบรรพกาลแยกออกเป็นสองดินแดนและมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ตรงกันข้าม จอมยุทธทุกคนจึงหมดสิทธิ์เข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน”


“มีเพียงวิธีการเดียวเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้!”


แววตาของโอวหยางไท่ซานเปลี่ยนเป็นเร่าร้อน “ต้องผสานดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพให้เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อสร้างโลกบรรพกาลขึ้นมาอีกครั้ง!”


ชะ… ช่างเป็นความทะเยอทะยานที่สูงส่งนัก!


หลิงฮันตกตะลึง ที่แท้ความหมายของชื่อพันธมิตรทลายสวรรค์ก็คือสิ่งนี้นี่เอง พวกเขาไม่ได้ต้องการต่อต้านสวรรค์และปฐพี แต่พวกเขาต้องการทำลายกำแพงระหว่างสวรรค์และปฐพีของดินแดนทั้งสองเพื่อผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว


แต่เรื่องเช่นนั้นจะทำสำเร็จได้จริงรึ?


โอวหยางไท่ซานราวกับรู้ว่าหลิงฮันกำลังสงสัยอะไร “สวรรค์และปฐพีของสองดินแดนเคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาก่อนแน่นอนว่าต้องผสานกลับคืนได้”


“การจะให้ดินแดนทั้งสองผสานรวมเข้าด้วยกันเองนั้นอาจจะต้องใช้เวลาหลายพันล้านถึงล้านล้านปี” โอวหยางไท่ซานกล่าว “พวกเราทำได้เพียงแค่รอคอย หากเร่งเวลาให้เร็วเกินไปก็มีแต่จะทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง ทว่าเมื่อเจ้าปรากฏตัวทุกอย่างเลยเปลี่ยนไป”


“เจ้าสามารถใช้ตัวเองเป็นแกนกลางสำหรับผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียว เมื่อทำเช่นนี้ความเร็วที่ดินแดนทั้งสองจะกลับมารวมกันก็จะรวดเร็วขึ้นหลายล้านเท่า”


โอวหยางไท่ซานจ้องมองหลิงฮันด้วยแววตาคาดหวัง “ข้าต้องการเชิญชวนเจ้าเข้าร่วมกับพันธมิตรทลายสวรรค์ ขอเพียงแค่เจ้าพยักหน้าตอบตกลงเจ้าจะกลายเป็นผู้อาวุโสคนที่สิบเจ็ดของพันธมิตรทันที ข้าขอรับประกันเลยว่าทรัพยากรทุกอย่างจะใช้เพื่อฝึกฝนเจ้า”


Anchor


‘ฮึ่ม’ โก้วลี่สูดหายใจลึก ผู้อาวุโสสิบเจ็ด! ช่างเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่อะไรป่านนั้น!


ผู้อาวุโสทั้งสิบหกคนของพันธมิตรทลายสวรรค์ในตอนนี้คือใครบ้าง?


พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นจ้าวอสูรสวรรค์หรือไม่ก็ราชาเซียนทั้งนั้น ไม่ว่าผู้อาวุโสคนไหนก็ล้วนแต่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด


ยิ่งว่านั้นเลขลำดับของผู้อาวุโสก็ไม่ใช่ระดับความยิ่งใหญ่ กล่าวคือหากหลิงฮันกลายเป็นผู้อาวุโสสิบเจ็ด อำนาจของเขาก็จะไม่ต่ำชั้นกว่าผู้อาวุโสหนึ่ง ผู้อาวุโสสองหรือผู้อาวุโสเก้า


ต่อให้เป็นจอมยุทธที่เพิ่งทะลวงผ่านบรรลุเป็นจ้าวอสูรหรือราชาเซียนก็ไม่มีคุณสมบัติได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อาวุโส ทว่าตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นกลับจะถูกแต่งตั้งให้กับจอมยุทธที่อ่อนแออย่างระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลาง


แต่จะกล่าวโทษใครก็ไม่ได้ ใครใช้ให้หลิงฮันผิดมนุษย์มนากว่าคนอื่นล่ะ?


นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอื่นที่สามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองได้สำเร็จ!


หลิงฮันครุ่นคิดและกล่าว “ขอเอ่ยถามผู้อาวุโส ในพันธมิตรมีใครบ้างที่เข้าร่วม?”


ฟังจากที่อีกฝ่ายพูดแล้ว พันธมิตรที่ว่าจะต้องเป็นการรวมกลุ่มกันของขุมอำนาจที่ทรงพลังจากทั้งสองดินแดนไม่ผิดแน่ หากดินแดนต้องห้ามแปดศิลาก็อยู่ในพันธมิตรด้วยเรื่องก็คงไม่ง่ายอย่างที่คิด


โอวหยางไท่ซานกล่าวชื่อผู้อาวุโสและชื่อของดินแดนต้องห้ามออกมาทีละชื่อ การที่จะรับรู้ถึงดินแดนแห่งเซียนได้พวกเขาล้วนแต่เป็นทายาทของจอมยุทธที่หลบหนีหรือไม่ก็ถูกขับไล่ออกมา หนึ่งในนั้นมีจอมยุทธที่แซ่ฮูอยู่ด้วย เขาคือผู้นำของดินแดนต้องห้ามแปดศิลา


ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ดินแดนต้องห้ามแปดศิลาที่เป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังจะร่วมอยู่ในพันธมิตรด้วย แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีชื่อของตระกูลถังแห่งดินแดนต้องห้ามตงชาง


“เฒ่าถังนั้นขี้ขลาด เขาหวาดกลัวว่าหากทำการแทรกแซงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนจะถูกสวรรค์และปฐพีลงโทษจนสิ้นชีพ” โอวหยางไท่ซานกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามอย่างมาก


ในมุมมองของเขาเป้าหมายสูงส่งเพียงหนึ่งเดียวคือการกลับสู่ดินแดนแห่งเซียน หากไม่ใช่ดินแดนแห่งเซียนที่จะสามารถมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ได้ล่ะก็ พวกเขาก็ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ หากไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตายล่ะก็พวกเขายอมสู้จนตัวตายเสียจะดีกว่า


แต่ใช่ว่าดินแดนต้องห้ามทั้งหมดจะเห็นพ้องกับเขา ผสานดินแดนทั้งสองให้กลับเป็นหนึ่งเดียวรึ? เรื่องเพ้อฝันเช่นนั้นไม่มีทางทำได้เด็ดขาด สู้พวกเขาหาทางเข้าดินแดนแห่งเซียนด้วยวิธีอื่นจะดีกว่า


แต่จะอย่างไร จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครเลยสักคนที่ค้นหาวิธีอื่นได้ ไม่มีแม้คนเดียวที่สามารถเข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนได้สำเร็จ


หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัว “รุ่นเยาว์มีความบาดหมางกับดินแดนต้องห้ามแปดศิลา”


ใบหน้าของโอวหยางไท่ซานเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งทันใด


นี่เจ้าเป็นตัวสร้างปัญหาระดับไหนกัน?

 

 

 


ตอนที่ 1574

 

โก้วลี่เองก็กลายเป็นไร้คำพูด จะบอกกว่าการที่สามารถล่วงเกินดินแดนต้องห้ามทั้งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพนั้นถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งเลยก็ได้


Anchor


โอวหยางไท่ซานมีสีหน้าลังเลไม่มั่นใจ ดินแดนต้องห้ามแปดศิลาคือหนึ่งในขุมอำนาจที่ทรงพลังที่สุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะผู้นำของดินแดนต้องห้ามแปดศิลา พลังของอีกฝ่ายสามารถติดสิบอันดับแรกของจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอน


ตัวตนที่ทรงพลังเช่นนั้นโอวหยางไท่ซานไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าจะเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาละทิ้งความบาดหมาดกับหลิงฮันได้สำเร็จ


“เจ้าช่วยเล่าความบางหมางระหว่างพวกเขากับเจ้าให้ละเอียดหน่อย” โอวหยางไท่ซานกล่าว


หลิงฮันไม่ปิดบังและเล่าเรื่องทั้งหมดระหว่างเขากับดินแดนต้องห้ามแปดศิลาออกไป โอวหยางไท่ซานที่ฟังเรื่องราวแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย


“ข้าจะไปคุยกับสหายเก่าจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้เอง เชื่อว่าเฒ่าฮูจะต้องเข้าใจและมองผลประโยชน์โดยรวม” โอวหยางไท่ซานกล่าว เขามั่นใจว่าผู้นำตระกูลฮูนั้นย่อมปรารถนาที่จะกลับสู่ดินแดนแห่งเซียนยิ่งว่าสิ่งอื่นใด


หากเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ทุกคนก็จะมีโอกาสมีชีวิตอันเป็นนิรันดร์ หากสามารถมีชีวิตโดยไร้อายุขัยได้ความบาดหมางย่อมเป็นเพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆ


“เจ้าหนุ่ม เอาไว้ข้าจะมาพบเจ้าอีกครั้งหลังจากกลับไปสะสางทุกอย่างแล้ว” โอวหยางไท่ซานปลดปล่อยคลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองออกมาและจากไปพร้อมกับโก้วลี่


จะไปก็ไปเช่นนั้นเลย แล้วข้าล่ะ?


หลิงฮันกลายเป็นแน่นิ่ง ตอนนี้ทุกคนกลับไปกันหมดแล้วซึ่งเขาก็ยังใช้หอคอยทมิฬไม่ได้ด้วย หากนำอุปกรณ์บินแหวกเมฆาออกมาไม่ได้เขาจะไปไหนได้? เขาไม่ได้กังวลเรื่องความหิวกระหายแต่ความเร็วของเขานั้นในการเดินทางข้ามอวกาศนั้นเชื่องช้าเกินไป หากจะไปดาวดวงหนึ่งก็ไม่รู้จะต้องใช้เวลานานขนาดไหน


ช่างมันแล้วกัน รอให้คอยน้อยตื่นก่อนก็ได้…


หลิงฮันนั่งลงกลางอวกาศ ในสามปีที่ผ่านมานี้เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับรูปแบบอาคม ประสบการณ์ที่สั่งสมมามีประโยชน์อย่างมากสำหรับการฝึกฝนรูปแบบอาคมเซียนในอนาคตของเขา


ยิ่งระดับพลังสูงขึ้นก็ยิ่งสู้ข้ามระดับได้ยากลำบาก โดยเฉพาะระดับสร้างสรรพสิ่ง ความต่างชั้นของเซียนระดับสูงกับเซียนระดับกลาง หรือเซียนระดับกลางกับเซียนระดับต้นนั้นกว้างใหญ่จนไม่สามารถเทียบชั้น


เหตุผลหลักที่เป็นแบบนั้นคือจอมยุทธทุกคนที่จะบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งได้ล้วนแต่ต้องเป็นราชาในหมู่ราชา ดังนั้นต่อให้ราชาระดับหนึ่ง ราชาระดับสองหรือสามจะมีพลังต่อสู้ที่แตกต่างกัน แต่ในระดับสร้างสรรพสิ่งหากไม่ใช่เซียนระดับเดียวกันก็ยากที่ราชาระดับสูงกว่าจะได้เปรียบ


เพราะงั้นหากเขาอยากจะสู้ข้ามระดับได้ในระดับสร้างสรรค์พสิ่งนอกจากคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ที่ทำให้เขามีกายหยาบไร้เทียมทานแล้ว เขาก็ต้องมีรูปแบบอาคมสังหารที่ทรงพลังเพื่อใช้โยชน์ของกายหยาบให้ถึงขีดสุด


หลิงฮันนั่งนิ่งเป็นเวลาสิบวันสิบคืน ไม่ใช่ว่าเขาอยากลืมตาตื่นแต่หอคอยน้อยฟื้นกลับมาแล้ว


“เจ้าหนู ได้ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายมารึเปล่า?” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงราวกับยังไม่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี


“รับไป” หลิงฮันไม่หยอกล้อเหมือนปกติ ดูเหมือนว่าคราวนี้หอคอยน้อยจะสูญเสียพลังไปเยอะอย่างแท้จริง


“ดีมาก” หอคอยน้อยเก็บศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายไปโดยเมินเฉยหลิงฮัน


หลิงฮันเข้าคอหอยทมิฬไปพบจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะเพื่อแบ่งผลเก็บเกี่ยวจากหุบเขามหาสมุทรมังกรและเล่าเรื่องของพันธมิตรทลายสวรรค์ให้พวกนางฟัง


สตรีนกอมตะนั้นดูเหมือนไม่ว่านางจะใช้เวลาใต้ต้นสังสารวัฏนานขนาดไหน นางก็ไม่สามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองให้เป็นหนึ่งได้


“คิดว่าพันธมิตรทลายสวรรค์ ไม่สิ… คิดว่าดินแดนต้องห้ามทั้งหมดสมควรรู้ว่าจะกลับสู่ดินแดนแห่งเซียนได้อย่างไรแต่ก็ไม่มีใครที่ทำสำเร็จมาก่อน” หลิงฮันกล่าว “ที่ข้ากับเจ้าสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้เกรงว่าคงเป็นเพราะมีบางอย่างที่พิเศษ”


บางทีก่อนหน้านี้ที่กู่ต้าวอี้มั่นใจว่าตนเองจะสามารถกลับสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ก็เป็นเพราะเขาสร้างแก่นกำเนิดนิรันดร์ขึ้นมาได้ในชีวิตที่สิบ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะรอคอยมานานตั้งเก้าชาติภพทำไม?


“เจ้าตกลงว่าจะเข้าร่วมกับพวกเขา?” จักรพรรดินีถาม


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ข้าไม่คิดมากอยู่แล้ว ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับโอกาสในการไต่เต้าสู่จุดสูงสุดของวรยุทธ ข้าไม่คิดจะกีดกันพวกเขา”


จักรพรรดินียิ้มหวาน นางไม่สนใจว่าคนในโลกนี้จะเป็นอย่างไร แต่เมื่อหลิงฮันตอบตกลงนางก็จะช่วยเหลือสุดความสามารถ


สตรีนกอมตะหดหู่เป็นอย่างมาก แม้นางจะได้รับสืบทอดวาสนามาจากนกอมตะสวรรค์ทั้งสสามแต่ความแตกต่างระหว่างนางกับหลิงฮันก็ยังกว้างใหญ่อยู่ดี


“ภรยยาข้า มาให้ข้าจูบนี่มา” หลิงฮันว่าสภาพโศกเศร้าของนางจึงกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม


“จะไปไหนก็ไป!” สตรีนกอมตะถลึงตามอง


จักรพรรดินีที่จ้องมองดูใช้นิ้วจิ้มไปยังลืมฝีปากของเขาเบาๆราวกับพยายามปลอบใจเขา


สตรีนกอมตะที่เห็นแบบนั้นก็ครุ่นคิดก่อนจะขยับตัวเขาไปจูบ เสน่ห์ของจักรพรรดินีนั้นมีมากเกินไป หากนางยังดื้อรั้นไร้เหตุผลก็อาจจะถูกหลิงฮันเมินเฉยเข้าสักวัน


หลิงฮันหัวเราะ เขาโอบจักรพรรดินีกับสตรีนกอมตะคนละฝั่งก่อนจะจูบพวกนางทั้งสองและนำผลสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำออกมาทำซุป


ด้วยประสิทธิภาพความเข้มข้นรุนแรงของสมุนไพร หากไม่ทำเป็นซุปเสียก่อนแล้วกินเข้าไปโดยตรงคงร่างระเบิดตาย แต่ในหอคอยทมิฬนี้หลิงฮันสามารถใช้อำนาจของหอคอยทมิฬควบคุมไม่ให้สมุนไพรสูญเสียประสิทธิภาพได้


ทั้งสองแบ่งซุปไปกินตามความเหมาะสม สตรีนกอมตะไม่สามารถกินได้เยอะ นางซดน้ำซุปเพียงไม่กี่หยดก็ต้องรีบไปยังต้นสังสารวัฏโดยหลิงฮันกับจักรพรรดินีเป็นคนจัดการกินซุปที่เหลือ ร่างของทั้งสามคนปกคลุมไปด้วยแสงสว่างแห่งเต๋า


ต้องรีบดูดซับโดยไว้


สามวันต่อมา พลังบ่มเพาะของหลิงฮันกับจักรพรรดินียกระดับขึ้นหลายส่วน แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขายังมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับวารีนิรันดร์ หากเป็นระดับสร้างสรรพสิ่งการจะยกระดับพลังเพียงเสี้ยวเดียวก็อาจต้องดูดซับสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำถึงสิบต้น


“หน้าที่หลักของสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำไม่ใช่เพื่อเพิ่มพลังบ่มเพาะแต่เพื่อให้จอมยุทธรู้แจ้งถึงอำนาจแห่งเต๋าที่ยิ่งใหญ่หรือใช้รักษาบาดแผลแห่งเต๋า” จักรพรรดินียิ้ม “ในระดับสร้างสรรพสิ่งหากต้องการยกระดับพลังคงต้องพุ่งความมุมานะของตนเองเป็นส่วนใหญ่ หากจะยกระดับพลังด้วยสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำก็ดูจะสิ้นเปลืองเกินไป”


“ต่อให้สิ้นเปลืองก็ต้องยอม ข้าอยากเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนให้เร็วที่สุด” หลิงฮันกล่าว ทั้งครอบครอบ ภรรยาและบุตรของเขาล้วนแต่อยู่ในดินแดนแห่งเซียน หลังจากที่ไม่ได้พบหน้าพวกเขาเป็นเวลาร้อยปีทำให้เขารู้สึกคิดถึงทุกคนอย่างมาก


“อืม ไว้หลังจากนี้พวกเราค่อยหาพวกมัน” จักรพรรดินีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายไม่คัดค้าน

 

 

 


ตอนที่ 1575

 

พวกหลิงฮันสามคนนั่งอุปกรณ์บินแหวกเมฆาไปยังดาวไห่คง ทันทีที่อูเจวี๋ยเห็นพวกเขาก็โผเข้ากอดสตรีนกอมตะอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าสุดท้ายเขาก็ถูกหลิงฮันทุบตี


“เจ้าคนบัดซบ เจ้าทำกับข้าเกินไป!” ใบหน้าของอูเจวี๋ยบูดบึ้ง


“ฮึ่ม เจ้าคิดจะกอดภรรยาข้าของแล้วมาหาว่าข้าทำเกินไปรึ?” หลิงฮันยิ้ม


“ข้าแค่คิดถึงพี่สาวเท่านั้น!” อูเจวี๋ยกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด


“หากเจ้ากำลังจะตายก็อาจจะได้กอดก็ได้” หลิงฮันส่ายหัว


อูเจวี๋ยอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันทีใดสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นจักรพรรดินีเข้าพอดี ดวงตาของเขาเปิดกว้างแทบจะถลนออกมาและอ้าปากกว้างด้วยสีหน้าตะลึง เขารีบวิ่งไปหาจักรพรรดินีทันทีทันใด “พี่สาว ข้าชื่ออูเจวี๋ย ท่านล่ะชื่ออะไร?”


ด้วยนิสัยยิ่งทะนงของจักรพรรดินีแน่นอนว่านางไม่แม้แต่เหลียวมองอูเจวี๋ย


“เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด นางเป็นภรรยาข้า!” หลิงฮันคว้าข้อมือจักรพรรนีเอาไว้ในขณะที่นางเองก็ยิ้มหวานตอบกลับ


“ว่าไงนะ!” อูเจวี๋ยโอดครวญ เพียงพี่สาวสตรีนกอมตะคนเดียวก็เป็นสตรีงดงามที่ทำให้เขาแทบจะบ้าคลั่งแล้ว นี่หลิงฮันยังมีภรรยาที่งดงามล่มเมืองคนอื่นอยู่อีก? สตรีที่งดงามเช่นพวกนางถูกหลิงฮันหลอกล่อด้วยแผนการแบบใดกัน


ม่อหลีเดินเข้ามาและตบหัวอูเจวี๋ยเบาๆก่อนจะกล่าวกับหลิงฮัน “ในตอนที่สู้กับข้า เจ้าไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างไม่สบอารมณ์ ในฐานะจอมยุทธระดับราชานางรังเกียจการถูกออมมือที่สุด


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ทักษะลับเฉพาะตัวของข้ามีไว้สำหรับใช้กับศัตรูที่สู้เป็นตาย เพียงแค่การประลองไม่มีความจำเป็นต้องใช้”


ม่อหลีรู้สึกผ่อนคลายลงมาบ้างและพยักหน้า “เมื่อข้าแข็งแกร่งกว่านี้ข้าจะตามหาเจ้าอีกครั้ง”


การปรากฏตัวของถังโม่ทำให้นางรู้ว่าตัวนางยังห่างไกลจากขีดจำกัดของระดับวารีนิรันดร์ ก่อนที่นางจะทะลวงผ่านเป็นจ้าวอสูรยังมีช่องว่างเหลือให้พัฒนาตนเองได้อีก


“อืม” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่คิดมาก


ม่อหลีจากไปพร้อมกับอูเจวี๋ย เวลาผ่านไปหลายวัน จู่ๆหลิงฮันก็รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกใครบางคนจ้องมองอยู่ แต่ไม่ว่าเขาจะค้นหาอย่างไรก็ไม่พบต้นตอของคนที่ต้องมองเสียทีทำให้เขากระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย


เพียงแต่ว่าดาวดวงนี้มีจ้าวอสูรดูแลอยู่คงมีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถมาก่อความวุ่นวายขึ้นที่นี่ได้ หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจปล่อยผ่านไป ณ ตอนนี้เขามีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ


…คิดค้นเม็ดยาชนิดใหม่


เม็ดยาที่มีอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถเติมเต็มความพอใจของเขาได้ ถึงแม้เม็ดยาที่มีจะช่วยเพิ่มปราณก่อเกิดได้ตามเป้าจุดประสงค์ของมันแต่สะสมได้ช้าเกินไป ในขณะเดียวกันสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำเองก็มีน้อยแสนน้อยและหน้าที่หลักของมันก็คือการช่วยให้จอมยุทธเข้าใจถึงหลักของเต๋าอันยิ่งใหญ่ไม่ใช่เพื่อเพิ่มปราณก่อเกิด


แต่ทว่าหากเอาแต่สะสมปราณก่อเกิดอย่างเอาเป็นเอาตายโดยเมินเฉยไม่ทำความเข้าใจหลักของระดับพลังบ่มเพาะก็จะกลายเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ถือดาบไร้พ่ายไว้ในมือ ไม่เพียงแค่เด็กน้อยจะไม่สามารถควบคุมดาบได้แต่จะถูกดาบทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บอีกด้วย


แต่หลิงฮันไม่ใช่แบบนั้น เขามีความสามารถในการทำความเข้าใจที่สูงและมีความช่วยเหลือจากต้นสังสารวัฏ สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือสะสมพลังปราณเพื่อทะลวงระดับพลังเพียงอย่างเดียว


เป็นเพราะความพิเศษนี้ทำให้นอกจากสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำแล้ว เม็ดยาอื่นๆจึงไม่ค่อยมีผลกับเขาเท่าไหร่ ในยุคบรรพกาลนั้นช่างเกลียดคร้านนั้นที่ไม่คิดค้นเม็ดยาที่มีประสิทธิภาพรุนแรงออกมา แต่ถึงพวกเขาจะคิดค้นเม็ดยาเหล่านั้นก็คงเปรียบเสมือนพิษร้ายต่อร่างกายมนุษย์ทั่วไป


บางทีดินแดนแห่งเซียนอาจจะเม็ดยาเช่นนั้นอยู่แต่เพราะการแบ่งแย่งของโลกบรรพกาล เม็ดยาชนิดนั้นถึงสูญหายไปตามกาลเวลา


หลิงฮันจำเป็นต้องคิดค้นเม็ดยาเช่นนั้นขึ้นมา


เขาเคยศึกษาสมุนไพรทุกคนชนเชี่ยวชาญมาแล้ว หากมีเวลามากพอไม่ว่าใครก็สามารถคิดค้นเม็ดยาชนิดใหม่ขึ้นมาได้ เพราะงั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเขาที่เป็นจักรพรรดิปรุงยาและมีสมบัติฝืนสวรรค์อย่างต้นสังสารวัฏเลย


หลิงฮันเก็บตัวเพื่อคิดค้นเม็ดยาชนิดใหม่จากศูนย์


นี่ถือเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง แต่สำหรับจักรพรรดิปรุงยาเช่นเขาที่จดจำสมุนไพรได้ทุกชนิดย่อมไม่ใช่ปัญหาที่ยากลำบากเกินไป


วันเวลาผ่านไปหนึ่งปีอย่างรวดเร็ว หลิงฮันยังคงคิดค้นเม็ดยาชนิดใหม่อยู่ในหอคอยทมิฬ มีบ้างบางโอกาสที่เขาจะออกมาแลกเปลี่ยนหลักวรยุทธกับจักรพรรดินีและม่อหลี


เม็ดยาในความคิดของเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถใช้ได้จริง มีอีกหลายส่วนที่ต้องลงรายละเอียดลึกมากกว่านี้


เพียงแต่เม็ดยาชนิดนี้เขาคิดขึ้นมาเพื่อตนเองกับจักรพรรดินีเท่านั้นเนื่องจากพวกเขาทั้งสองมีร่างกายพิเศษที่สามารถเมินเฉยต่อประสิทธิภาพอันรุนแรงของเม็ดยาได้


ทุกครั้งนี้หลิงฮันออกมาด้านนอกเขาจะรู้สึกได้เสมอว่ากำลังถูกใครบางคนจ้องมองอยู่ ยิ่งเขาออกห่างจากปราสาทของจ้าวอสูรขวงล่วนเท่าไหร่ความรู้สึกนั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ดูเหมือนว่าคนที่จ้องมองเขาอยู่จะกำลังหาโอกาสลงมือ แต่เพราะไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ถึงอดทนมาตลอด


หรือจะเป็นฮูเฟิง?


แม้ชื่อของฮูเฟิงจะผุดขึ้นมาในหัวของหลิงฮันแต่เขาก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว อย่างแรกคือตอนนี้เขาอยู่ในดินแดนใต้พิภพ ฮูเฟิงไม่สมควรตามร่องรอยเจอว่าเขาอยู่ที่ไหน อย่างที่สองคือหากฮูเฟิงมาที่นี่เขาย่อมไม่สามารถปกปิดตนเองได้เนื่องจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะทำให้รับรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คนของที่นี่


หรือว่าตระกูลถังงั้นรึ?


Anchor


โอวหยางไท่ซานเดินทางไปเกลี้ยกล่อมดินแดนต้องห้ามให้เขาก็จริง แต่บางทีพวกเขาอาจจะตอบตกลงเพียงฉากหน้าและแอบส่งมือสังหารมาแทน ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ลงมือเองจะตรวจสอบได้อย่างไร?


หลิงฮันแสยะยิ้มในใจ หากมีใครกล้าโผล่หน้ามาสร้างปัญหาให้เขาล่ะก็ ต่อให้เป็นตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งเขาก็สามารถใช้วาสนาศักดิ์สิทธิ์ของหอคอยทมิฬสังหารกลับได้ในทันที


ฮึ่ม คิดว่าเขาเป็นคนที่รังแกได้ง่ายๆ?


ผ่านไปอีกไม่กี่วันคลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองก็ลอยลงมาจากห้วงอากาศ โอวหยางไท่ซานมาถึงและบอกับหลิงฮันว่าเรื่องที่สุดถูกสะสางเรียบร้อยแล้ว ขอเพียงแค่หลิงฮันพยักหน้าเขาก็สามารถเข้าร่วมกับพันธมิตรทลายสวรรค์ได้ทันที


เพียงแต่ว่าเนื่องจากพลังบ่มเพาะของหลิงฮันยังต่ำเกินไป เหล่าผู้อาวุโสของพันธมิตรจึงปฏิเสธที่จะให้สถานะผู้อาวุโสสิบเจ็ดแก่เขา


“เหล่าผู้อาวุโสทุกคนแนะนำให้เข้าไปฝึกฝนหุบเขาวารีครามก่อน เมื่อใดที่เจ้าบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งเจ้าจะถูกแต่งตั้งเป็นผู้อาวุโสทันที” โอวหยางไท่ซานกล่าว


หลิงฮันไม่ประหลาดใจอะไร เขาที่เป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์หากปรมาจารย์เหล่านั้นยอมให้เขาเป็นผู้อาวุโสเหมือนกันนี่สิแปลก เขาเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส หุบเขาวารีครามคือสถานที่แบบไหน?”


“ฮ่าๆ มันคือเขตแดนลี้ลับที่ดินแดนต้องห้ามทั้งหลายร่วมมือกันสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ฝึกฝนจอมยุทธรุ่นเยาว์ให้บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่ง” โอวหยางไท่ซานกล่าว


สามารถฝึกฝนให้บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งได้ด้วย?

 

 

 


ตอนที่ 1576

 

โอวหยางไท่ซานเล่าให้หลิงฮันฟังเกี่ยวกับหุบเขาวารีคราม


มันคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการบ่มเพาะที่ถูกสร้างขึ้นโดยดินแดนต้องห้ามทั้งแปดของดินแดนใต้ ไม่เพียงที่แห่งนั้นจะมีทรัพยากรบ่มเพาะที่น่าอัศจรรย์แต่ยังมีจ้าวอสูรคอยให้คำชี้แนะหรือผู้ฝึกฝนสามารถบ่มเพาะได้แม้แต่ทักษะระดับนิรันดร์


ทักษะที่ว่าไม่ใช่สิ่งที่จะส่งมอบให้กันได้ง่ายๆแต่เป็นเพราะความหวังที่จะได้กลับสู่ดินแดนแห่งเซียนเหล่าขุมอำนาจของดินแดนต้องห้ามถึงได้ยอมอะลุ่มอล่วย


ในขณะเดียวกัน บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็มีสถานที่สำหรับบ่มเพาะพลังแบบนี้เช่นกัน มันถูกเรียกว่า “ตำหนักสันติอนันต์”


ที่หุบเขาวารีครามไม่ได้มีแต่อัจฉริยะจากดินแดนต้องห้ามทั้งแปดเท่านั้นแต่บางโอกาสพวกเขาก็นำพาเมล็ดพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมมาฝึกฝนด้วย


ยิ่งกว่านั้นคือในหุบเขาวารีครามมีอัจฉริยะที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย!


จุดประสงค์ของพันธมิตรทลายสวรรค์ไม่ใช่ฝึกฝนให้บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งแต่ต้องการฝึกฝนให้อัจฉริยะเหล่านั้นผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ให้เป็นหนึ่งได้ ดังนั้นที่หุบเขาวารีครามจึงมีอัจฉริยะบางส่วนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาฝึกฝนพยายามผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดน ในขณะเดียวกัน ทางตำหนักสันติอนันต์ก็มีอัจฉริยะของดินแดนใต้พิภพไปฝึกฝนเช่นกัน


น่าเสียดายนักที่จนถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครเลยที่ทำสำเร็จ


หลิงฮันตัดสินใจมุ่งหน้าไปที่หุบเขาวารีคราม


ตอนนี้หอคอยทมิฬกลับมาใช้งานได้อีกครั้งแล้ว ความมั่นใจของหลิงฮันจึงกลับมาและไม่รู้สึกหวาดกลัวใครแม้จะไปที่หุบเขาวารีคราม


หลิงฮันถามด้วยว่าเป็นไปได้รึไม่ที่จะพาม่อหลีไปยังหุบเขาวารีครามด้วย แต่โอวหยางไท่ซานก็ส่ายหัวและบอกว่านางมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ


ขนาดม่อหลียังไม่มีคุณสมบัติ?


หลิงฮันตกตะลึงเป็นอย่างมาก ที่หุบเขาวารีครามต้องเต็มไปด้วยอัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาดขนาดไหนกัน


คลื่นแสงแห่งเต๋าถูกปลดปล่อยออกมาและโอวหยางไท่ซานได้พาตัวหลิงฮันจากไป


เมื่อทั้งสองคนไปจากดาวไห่คง ร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวออกมา แววตาของเขาส่องประกายด้วยความอาฆาต


ร่างนั้นคือฮูเฟิง!


เพียงแต่ว่าฮูเฟิงในตอนนี้ไม่ได้มีกลิ่นอายเหมือนตอนที่เพิ่งเข้ามายังดินแดนใต้พิภพ แต่ตัวเขาได้ผสานเข้ากับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว


เขาไม่ใช่เซียนอีกต่อไปแต่เป็นจ้าวอสูร!


“หลิงฮัน ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดข้าก็จะตามไปสังหารเจ้าให้ได้! ทักษะระดับราชานิรันดร์และอุปกรณ์นิรันดร์บนตัวเจ้าต้องเป็นของข้า!” ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยแสงแห่งเต๋าสีทองก่อนที่ร่างจะลอยหายไป


เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว หากหลิงฮันทะลวงผ่านขั้นพลังย่อยอีกครั้งเดียว ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์จะลบล้างบ่วงอาฆาตที่ติดอยู่กับหลิงฮันอย่างสมบูรณ์ แม้ตัวเขาในตอนนี้จะฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพจนเทียบเท่าระดับสร้างสรรพสิ่งได้แล้วแต่ความเข้าใจที่จะประยุกต์ใช้ออกไปนั้นยังเป็นศูนย์


เขาต้องการเวลาอีกพักหนึ่งเพื่อฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพให้เชี่ยวชาญกว่านี้ ตอนนี้มีแค่พลังต่อสู้ของเขาส่วนน้อยเท่านั้นที่เทียบเท่ากับระดับสร้างสรรพสิ่งซึ่งยังหากไกลจากความแข็งแกร่งตอนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์


หุบเขาวารีครามตั้งอยู่ไกลมาก ขนาดจ้าวอสูรก็ยังต้องใช้เวลาเกือบสามเดือนกว่าจะมาถึง


หุบเขาวารีครามได้ตั้งอยู่บนดวงดาวแต่อยู่กลางห้วงอวกาศ หากทางเข้าของมันไม่ได้เปิดอยู่แม้จะเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ก็ไม่สามารถหาพบ และเพื่อความปลอดภัยหากจะเปิดทางเข้าได้ก็ต้องใช้พลังของจ้าวอสูรสวรรค์


โอวหยางไท่ซานทำการเปิดเขตแดนลี้ลับและเข้าไปพร้อมกับหลิงฮัน


เขตแดนลี้ลับแห่งนี้คือหุบเขาอย่างแท้จริงและมีแม่น้ำที่ยาวเหยียดไหลผ่านกลางหุบเขา เมื่อมองจากมุมสูงจะพบว่าทุกอย่างในเขตแดนลี้ลับนี้ล้วนเป็นสีครามเนื่องจากพืชชนิดพิเศษที่ใช้ปลูก


“ผู้อาวุโสเก้า!” ทันทีที่พวกเขาเข้ามา คนสองคนก็ลอยมาต้อนรับ รอบกายพวกเขาอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่ทรงพลัง


ทั้งสองคือจ้าวอสูร แม้จะไม่แข็งแกร่งเท่าโอวหยางไท่ซานแต่ก็ยังถือว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังมาก


โอวหยางไท่ซานพยักหน้าและกล่าว “นี่คือหลิงฮัน พวกเจ้าพาเขาไปจัดการเรื่องต่างๆด้วย”


“ขอรับ!” จ้าวอสูรทั้งสองพยักหน้าก้มหัวอย่างเคารพ ต่อหน้าจ้าวอสูรสวรรค์ จ้าวอสูรระดับอื่นล้วนแต่เปรียบดั่งมดปลวกและไม่อาจแสดงท่าทางหยาบคายใดๆ


โอวหยางไท่ซานหันหลังจากไป เขามีสถานะเป็นถึงผู้อาวุโสเก้าและยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนใต้พิภพ จะให้เขาเสียเวลาไปกับเรื่องเล็กๆน้อยๆได้อย่างไร? แค่ให้จ้าวอสูรสองคนมารับหน้าที่นี้ก็นับว่าทำเกินกว่าเหตุแล้ว


“ข้าคือเย่ซิ้งจาง”


“เจิ้งจิ่ง”


จ้าวอสูรทั้งสองแนะนำตัว “พวกเราคือผู้ฝึกสอนของที่นี่ หากเจ้าไม่เข้าใจส่วนใดของการฝึกฝนก็เอ่ยถามพวกเราได้”


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “คารวะผู้อาวุโสเย่ ผู้อาวุโสเจิ้ง”


จ้าวอสูรทั้งสองพยักหน้าเล็กน้อยและรู้สึกพึงพอใจกับท่าทีของหลิงฮัน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมได้ได้ยินมาเหมือนกันว่า ‘จอมยุทธน้อย’ คนนี้จะกลายเป็นผู้อาวุโสสิบเจ็ด


แม้ตอนนี้สถานะที่ว่าจะยังไม่ถูกแต่งตั้งแต่การที่หลิงฮันมีท่าทีถ่อมตัวเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขามองหลิงฮันในแง่ที่ดี


“ไปกันได้แล้ว พวกเราจะจัดการเรื่องที่พักให้เจ้าเป็นสิ่งแรก”


ที่พักของทุกคนนั้นตั้งอยู่บนหน้าผาของหุบเขา ที่นั่นมีที่พักหินเรียงรายกันอยู่หลายห้อง เพียงแต่ว่าสถานที่แห่งนี้นั้นสมแล้วที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการบ่มเพาะพลัง พลังวิญญาณอันหนาแน่นไร้ที่สิ้นสุดและตราประทับแห่งเต๋าได้ล่องลอยออกมาสายน้ำขนาดใหญ่ที่ไหลผ่านหุบเขา


ไม่ใช่แค่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์เท่านั้น ต่อให้เป็นระดับสร้างสรรพสิ่งก็ได้รับผลประโยชน์จากการบ่มเพาะพลังภายในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้


จ้าวอสูรทั้งสองจัดเตรียมที่พักให้เขาและจากไป ทั้งสองได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าจอมยุทธของที่นี่สามารถพาภรรยาของตนเองมาฝึกฝนด้วยได้แต่ห้ามรบกวนคนอื่น


หลิงฮันให้สตรีนกอมตะและจักรพรรดินีออกมา พวกตกตะลึงกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การบ่มเพาะพลังของที่นี่มาก แต่หากเทียบกับหอคอยทมิฬแล้วยังถือว่าห่างชั้น


ที่นี่มีต้นสังสารวัฏรึเปล่า? ต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียนต้นสังสารวัฏก็ยังเป็นสมบัติล้ำค่า


หอคอยน้อยบอกข่าวดีกับหลิงฮันเช่นกัน หลังจากดูดซับศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายแล้วหอคอยทมิฬก็ซ่อมแซมตัวเองได้พอสมควรทำให้ต้นสังสารวัฏเกิดการพัฒนา


จากระยะเวลาหนึ่งวันเท่ากับหนึ่งปีได้เปลี่ยนเป็นหนึ่งวันเท่ากับสิบปี!


แน่นอนว่าหลิงฮันต้องตื่นเต้นมาก แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่ใช่ระดับของต้นสังสารวัฏที่แท้จริง แต่ตราบใดที่หอคอยทมิฬสามารถซ่อมแซมตัวเองจนกลับมามีสภาพสมบูรณ์ วันหนึ่งต้นสังสารวัฏคงสามารถสำแดงอำนาจได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ


สตรีนกอมตะอยากฝึกฝนในหอคอยทมิฬมากกว่า ส่วนจักรพรรดินีนั้นนางปล่อยให้ร่างแยกทั้งเก้าบ่มเพาะพลังต่อไปในขณะที่ร่างหลักของนางจะไปเดินเตร็ดเตร่ตามสายน้ำกับหลิงฮัน


“เจ้าคือหลิงฮัน?” เพียงแค่พวกเขาออกมาที่พักหิน คนห้าคนก็ปรากฏตัวขวางทางพวกเขาเอาไว้ พวกเขาไม่ว่าคนไหนต่างก็เปรียบดั่งมังกรและนกอมตะในหมู่มนุษย์

 

 

 


ตอนที่ 1577

 

หลิงฮันมองไปยังทั้งห้าคนและยิ้ม “ไม่ผิด ข้าคือหลิงฮัน พวกเจ้ามีธุระอะไรกับข้า?”


“เหอๆ ไม่มีอะไรมาก พวกข้าแค่อยากเห็นจอมยุทธที่มีพลังเพียงระดับวารีนิรันดร์แต่กลับจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสก็เท่านั้น!” รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งหัวเราะด้วยความเหยียดหยาม


เขาสวมเกราะที่ทำจากเกล็ดหนามสีดำทมิฬอันน่าเกรงขาม


อีกฝ่ายเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ไม่ผิดแน่ แต่ออร่าที่สัมผัสได้จากตัวเขานั้นทรงพลังกว่าระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดเสียอีก เกรงว่าเพียงแค่การโจมตีเดียวของเขาก็สามารถกำราบจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดทั่วไปได้อย่างราบคาบ


พลังของเขาสูงกว่าพวกม่อหลี จูป้าและหยุนเหอหลายเท่า หากเทียบแล้วคืออยู่ในระดับเดียวกันกับถังโม่


หรือก็คือระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ จำนวนของดวงดาวได้ถูกขัดเกลาเกินกว่าสองล้านดวง


หลิงฮันพยักหน้าในใจ สมกับเป็นอัจฉริยะของดินแดนต้องห้าม เป็นอย่างที่โอวหยางไท่ซานกล่าวก่อนหน้านี้ ม่อหลีไม่มีคุณสมบัติจะอยู่ที่นี่จริงๆ


“ก็ดีแล้วที่ยังไม่ได้เป็น ไม่เช่นนั้นมันจะน่าขันกว่านี้เสียอีก!” รุ่นเยาว์อีกคนหัวเราะ ออร่าของเขาไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ารุ่นเยาว์สวมเกราะหนามคนแรก ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเหยียดหยามต่อหลิงฮันอย่างถึงที่สุด


“ไสหัวไปจากที่นี่!” รุ่นเยาว์คนที่สามไม่ได้หัวเราะแต่ใบหน้าก็แสดงออกถึงความเหยียดหยาม “เจ้าไม่สมควรมาอยู่สถานที่แห่งนี้กับพวกข้า มีเจ้าอยู่ด้วยก็มีแต่จะทำให้เกียรติของพวกเรามัวหมอง!”


รุ่นเยาว์อีกสองคนไม่กล่าวอะไร พวกเขากอดอกด้วยท่าทีสบายและมีสีหน้าราวกับกำลังรอดูการแสดงสนุกๆ


“พวกฝูงแมลงไร้ค่า!” จักรพรรดิเกรี้ยวกราด นางคำรามใส่ทั้งห้าคนด้วยใบหน้าเย็นชา คนเหล่านี้บังอาจมาเหยียดหยามหลิงฮันของนาง!


โอ้?


ทั้งห้าคนจ้องมองไปยังจักรพรรดินีและเผยสีหน้าตกตะลึงพร้อมกัน ต่อพวกเขาเป็นจะอัจฉริยะแห่งยุคก็ไม่อาจต้านทานเสน่ห์ของจักรพรรดินี


ภายใต้ดวงตะวันมีสตรีที่งดงามขนาดนี้อยู่ได้อย่างไร ไม่เพียงแค่งดงามแต่เสน่ห์โดยรวมก็ยังสูงส่งราวกับไม่ว่านางพูดอะไรทุกคนก็ต้องยอมทำตาม


เพียงแต่ราชาก็ยังเป็นราชา ทั้งห้าคนดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วและไม่กล้าเหลียวมองจักรพรรดินีอีกแม้แต่นิดเดียวเพราะกลับว่าจะหลงเสน่ห์ของนางจนโงหัวไม่ขึ้น


“พวกเราก็ไม่ได้คิดจะสร้างความลำบากให้แก่เจ้าเท่าไหร่ ขอแค่รับสามกระบวนท่าของข้าได้พวกเราจะยอมให้เจ้าอยู่ที่นี่” รุ่นเยาว์ชุดเกราะดำคนแรกกล่าว


หลิงฮันมีสีหน้าเย็นชา เขาปลงไว้นานแล้วว่าเมื่อใดที่เขาย้ายไปที่ใหม่ๆเขาจะต้องมีคนโผล่มารังแกอยู่ตลอด เพียงแต่พอได้ยินคำพูดของรุ่นเยาว์เหล่านี้เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี


“พวกบัดซบ!” จักรพรรดิก้าวขึ้นหน้าและโจมตีใส่ทั้งห้าคน


‘ตูม’ พลังต่อสู้ของนางทรงพลังอย่างมาก ด้วยการผสานของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสอง ต่อให้นางตอนนี้จะมีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางชั้นสูงสุดก็สามารถสู้กับระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดได้สบาย


แต่น่าเสียดายที่ทั้งห้าคนเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ที่ขัดเกลาจำนวนของดวงดาวจนบรรลุเกินกว่าสองล้านดวง พวกเขาเป็นปรมาจารย์ในหมู่ปรมาจารย์


ต่อให้เป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งจักรพรรดินีก็ไม่มีโอกาสชนะได้ โชคยังดีที่ทั้งห้าคนมีคนอ่อนโยนต่อสตรีงามและไม่ตอบโต้ใดๆ ไม่เช่นนั้นแล้วจักรพรรดินีคงถูกกำราบในหนึ่งกระบวนท่า


“ภรรยาข้า ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา!” หลิงฮันยิ้ม


จักรพรรดินีหยุดมือ นางจ้องมองทั้งห้าคนอย่างเหยียดหยามก่อนจะล่าถอยกลับมายืนข้าวกายหลิงฮันด้วยท่าทางอ่อนหวาน


รุ่นเยาว์ทั้งห้าคนดวงตาแดงฉาน พวกเขาเทียบกับหลิงฮันไม่ได้รึไง? ทำไมธิดางามผู้นั้นถึงมองพวกเขาด้วยสายตาเหยียดยหยาม?


หลิงฮันกวาดสายตามองทั้งห้าคน “ใช่ว่าข้าไม่อยากสั่งสอนพวกเจ้า แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลา หลังจากที่สามปีข้าจะเตะตูดพวกเจ้าเรียงคนให้ดู!”


ฮึ่ม! ทั้งห้าคนเกรี้ยวกราด ช่างอวดดีนัก


“คิดจะลงมือ?” หลิงฮันแสยะยิ้ม “อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าที่นี่มีกฎ ข้าเป็นคนใหม่ของที่นี่หากพวกเจ้าเอาบังคับให้ข้าต่อสู้ด้วยระดับพลังที่ต่างกันพวกเจ้าจะต้องถูกลงโทษ”


ทั้งห้าคนหน้ากระตุก ที่พวกเขารีบมาไวๆเพราะอยากรังแกหลิงฮันในตอนที่เขายังไม่รู้กฎของที่นี่


ทั้งห้าคนมองหน้ากันก่อนจะค่อยๆเปิดทางให้หลิงฮัน


พวกเขาจ้องมองร่างของหลิงฮันที่ค่อนๆเดินห่างออกไปด้วยใบหน้าเกรี้ยวกราด


“จะปล่อยเขาไปแบบนี้จริงๆ? แบบนี้พวกเราจะเอาหน้าไปไว้ไหน!”


“ไม่ต้องรีบร้อน อีกสองปีต่อจากที่จะถึงเวลาของการประลองสิบปี พวกเราจะไปขอให้ผู้อาวุโสจัดกลุ่มประลองของพวกเราให้อยู่กลุ่มเดียวกับเจ้าหมอนั่น หากทำเช่นนั้นในหมู่พวกเราต้องมีสักคนที่ได้ปะทะกับหมอนั่น”


“ฮ่าๆ หากถึงตอนนั้นต้องทุบตีให้เขาร้องไห้หนีไปเลย”


“เป็นแค่คนนอกระดับวารีนิรันดร์ที่อ่อนแอแต่คิดจะแบ่งทรัพยากรของขุมอำนาจพวกเรา ช่างหวังสูงนัก!”


ทั้งห้าคนแสยะยิ้ม


……


หุบเขาวารีครามนั้นกว้างใหญ่และมีสายน้ำสายใหญ่ไหลผ่านราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด หลิงฮันและจักรพรรดินีใช้เวลาเดินเล่นเกือบๆสิบวันกว่าจะถึงจุดที่ไม่มีทางให้ไปต่อ สายน้ำสีครามที่อยู่สุดทางนั้นดูเหมือนจะไหลผ่านเข้าไปในช่องว่างมิติ


นั่นคือหลักฐานว่าที่นี่คือโลกจำลองหรือเขตแดนลี้ลับไม่ใช่โลกของจริง


“กลับกันเถอะ”


ทั้งสองเดินทางกลับไปยังห้องที่พักหิน ผ่านไปไม่นานก็มีใครบางคนนำแหวนมิติที่มีทรัพยากรบ่มเพาะสำหรับหนึ่งปีมาส่งให้เขา


ทรัพยากรเหล่านี้ล้ำค่าอย่างแท้จริง ภายในแหวนมิติมีเม็ดยาระดับสูงอยู่มากมายจนเพียงพอที่จะทำให้จอมยุทธระดับต่ำกว่าสร้างสรรพสิ่งบ้าคลั่ง


หลิงฮันไม่สนใจอะไรมาก เขามอบเม็ดยาทั้งหมดให้กับสตรีนกอมตะก่อนจะคิดค้นเม็ดยาต่อ เม็ดยาใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว หากเขาหลอมมันขึ้นมาได้พลังบ่มเพาะของเขากับจักรพรรดินีจะทะยานสูงขึ้นอย่างพรวดพราด


วันเวลาค่อยผ่านไป หนึ่งปีต่อมาหอคอยน้อยยกระดับต้นสังสารวัฏเสร็จสิ้นทำให้ระยะเวลาใต้ต้นสังสารวัฏหนึ่งวันเท่ากับสิบปี!


สิ่งนี้สำคัญกับหลิงฮันมาก


เขาศึกษาเม็ดยาใต้ต้นสังสารวัฏเพียงสามวันก็ทำสำเร็จ


หลิงฮันเริ่มทดลองหลอมเม็ดยาทันที เนื่องจากความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับสมุนไพรและตอนนี้อยู่ภายในหอคอยทมิฬหลิงฮันจึงสามารถหลอมเม็ดสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก แต่ประสิทธิภาพของเม็ดยายังไม่อยู่ในระดับที่เขาพึงพอใจ


“มีหลายส่วนต่างจากที่ข้าคิดไว้ ข้าทำผิดตรงไหนกัน?” หลิงฮันเข้าสู่สภาวะรู้แจ้งและคิดค้นวิธีพัฒนาเม็ดยาภายใต้ต้นสังสารวัฏ

 

 

 


ตอนที่ 1578

 

หลิงฮันพัฒนาเม็ดยาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด การจะพัฒนาเม็ดยาชนิดใหม่ให้สมบูรณ์ได้นั้นจำเป็นต้องมีการดัดแปลงหลายส่วน


หลังจากผ่านไปหกเดือนหลิงฮันได้เผยรอยยิ้ม


เขาพบจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่จะทำให้ประสิทธิภาพของเม็ดยาเพิ่มขึ้นแล้ว


เมื่อทดลองหลอมสำเร็จเขาก็แบ่งเม็ดยากับจักรพรรดินี


“พรึบ!” หลังจากกินเม็ดยาได้ไม่นาน ร่างของทั้งสองก็ถูกเปลวเพลิงแผดเผา เม็ดยาออกฤทธิ์แรงเกินไปจนก่อให้เปลวเพลิงปะทุ


โชคดีที่ร่างกายของทั้งสองเหนือกว่าจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ไปไกลหลายขุม ไม่ต้องกล่าวถึงหลิงฮัน กายหยาบของเขาเพียงอย่างเดียวแทบจะสามารถทัดเทียมกับระดับสร้างสรรค์พสิ่ง ในขณะที่จักรพรรดินีเองก็มีแก่นกำเนิดนิรันดร์ที่สามารถกระจายความเสียหายไปยังร่างแยกทั้งเก้าได้ แน่นอนว่าฤทธิ์ของเม็ดยาเองก็เช่นกัน


แต่ถึงพวกเขาจะต้านทานไหว จมูก ปาก หูและตาของพวกเขาก็ยังมีโลหิตไหลซึมออกมา


แม้ทั้งสองคนจะทรมานแต่ผลลัพธ์ของเม็ดยาก็ได้ผล


จักรพรรดินีขัดเกลาและเข้าใจหลักของระดับพลังอย่างถ่องแท้มาสักพักแล้ว ตอนนี้เมื่อปราณก่อเกิดถูกสะสมในร่างจนครบนางจึงทะลวงผ่านขั้นพลังทันที เมฆสีดำของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ก่อตัว นางรีบไปยังสุดสายน้ำของหุบเขาวารีครามซึ่งเป็นสถานที่สำหรับให้จอมยุทธรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์


หลิงฮันขาดพลังปราณอีกเล็กน้อยจึงกินเม็ดยาเข้าไปอีกเม็ด


“ฮึ่ม!” เขาโอดครวญเบาๆ กายหยาบของเขาไร้เทียมทานก็จริงแต่มีเพียงส่วนกระดูกเท่านั้นที่ทนทานเกือบเท่าวัสดุเซียนในขณะที่กล้ามเนื้อของเขายังไม่ใช่ระดับนั้น ฤทธิ์ของเม็ดยาทำให้เส้นเลือดของเขาฉีกขาดและอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บสาหัส


หลิงฮันสูดลมหายใจและกัดฟันยกระดับพลังบ่มเพาะเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางชั้นสูงสุด


เขาทำการขัดเกลาหลักแห่งเต๋าใต้ต้นสังสารวัฏ หลังจากเวลาผ่านไปอีกสิบวันหลิงฮันก็ลุกขึ้นและออกจากหอคอยทมิฬเพื่อรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์และทะลวงผ่านขั้นเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง


จักรพรรดินีผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เสร็จก่อนแล้ว นางนั่งอยู่กลางห้องพักหิน ด้วยออร่าอันทรงพลังทำให้นางดูราวกับเป็นราชานีผู้ไร้พ่าย


“รอข้าที่นี่” หลิงฮันกล่าวทิ้งท้ายและพุ่งออกมาจากที่พัก


เขาเคลื่อนที่ไปได้เพียงหนึ่งพันไมล์ ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ระลอกแลกก็ผ่าลงมา


ตำแหน่งของเขายังอยู่ห่างไกลจากสุดเส้นทางของหุบเขาวารีคราม แต่ยังไงก็ไม่มีใครอาศัยอยู่รอบๆหุบเขาอยู่แล้วเขาก็จึงสามารถรับสายฟ้าสวรรค์ต่อได้อย่างไร้กังวล


เขาสลายพลังป้องกันเพื่อขัดเกลากายหยาบด้วยสายฟ้าสวรรค์


ผ่านไปครึ่งวันเมื่อขัดเกลากายหยาบเสร็จหลิงฮันก็ทำการโคจรหยดวารีอมตะ กายหยาบของเขายังไม่บรรลุระดับเซียนตามคาด แต่ถึงอย่างนั้นกระดูกของเขาก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมากและสามารถสลักรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศเพิ่มได้อีก


จริงอยู่ที่พลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้จะยังห่างไกลจากระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ แต่ด้วยกายหยาบที่ไร้เทียมทานหากสลักรูปแบบอาคมสังหารจำนวนมากลงไปย่อมสามารถบดขยี้จอมยุทธระดับต่ำกว่าเซียนได้ทุกคน


เขากลับไปที่ห้องหินและลงมือแก้ไขสลักรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศใหม่


ภายใต้รูปแบบอาคมเซียน รูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศคือรูปแบบอาคมสังหารที่ทรงพลังที่สุด


ก่อนหน้านี้เขาสลักได้สิบเอ็ดรูปแบบ แต่ตอนนี้… จำนวนของรูปแบบอาคมที่สลักได้เพิ่มมาเป็นยี่สิบเจ็ด!


นับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก หลิงฮันโคจรพลังไปที่ปลายนิ้วและควบแน่นพลังปราณเป็นคลื่นแสงแท่งยาวราวกับดาบ


“หากใช้คลื่นดาบนี้จู่โจม แม้แต่ถังโม่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งได้!” หลิงฮันเคยสู้กับถังโม่มาก่อน แม้เขาจะใช้ดาบอสูรนิรันดร์ในการสังหารถังโม่แต่เขาก็ประจักษ์ถึงพลังของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี


หากหลิงฮันมีโอกาสได้สู้กับถังโม่อีกครั้งและใช้รูปแบบอาคมสังหารทั้งยี่สิบเจ็ดนี้ เขามั่นใจว่าฝ่ายที่จะตกตายต้องเป็นถังโม่


ถือว่าเขาโชคดีที่มีกายหยาบไร้เทียมทานจนยากที่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์จะสร้างความเสียหายต่อเขาได้ หากเขาสลายพลังของกายหยาบลงเขาย่อมเลือกที่จะไม่สู้กับถังโม่ซึ่งๆน่าแน่นอน เพราะอย่างไรพลังบ่มเพาะของเขาก็คือระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงเท่านั้นไม่อาจนำไปเทียบกับระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ได้


“อย่างน้อยหากไม่ใช่คู่ต่อสู้ระดับสัตว์ประหลาดที่ขัดเกลาพลังจนควบแน่นดวงดาวได้เกินกว่าสามล้านดวงข้าก็ไม่ต้องหวาดกลัวใคร” หลิงฮันพึมพำ


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แค่อัจฉริยะที่ควบแน่นสร้างดวงดาวได้ถึงสองล้านห้าแสนก็คือว่าเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว คงไม่อาจยอมรับได้หากมีใครที่ควบแน่นดวงดาวได้เกินกว่าสามล้านดวง


“ในหุบเขาวารีครามจะมีตัวตนระดับนั้นอยู่รึเปล่า?” หลิงฮันสงสัยเล็กน้อย


เรื่องที่เขาอยากรู้คงได้คำตอบในไม่ช้า นั่นเพราะเขาได้รับการแจ้งเตือนว่าในอีกสามเดือนจะมีการประลองระหว่างเหล่าศิษย์ของหุบเขาวารีคราม ทุกคนต้องเข้าร่วมโดยไม่สามารถปฎิเสธได้แม้ตะมีเหตุผลอะไรก็ตาม


“ยังเหลือเวลาอีกสามเดือน ไม่รู้ว่าข้าจะพัฒนาไปได้แค่ไหน” หลิงฮันพึมพำ


เขาและจักรพรรดินีกินเม็ดยาอย่างต่อเนื่อง หากวัดตามความสามารถในการต้านทานฤทธิ์ของเม็ดยาแล้วจักรพรรดินีนับว่าเหนือกว่าเขา ฤทธิ์ของเม็ดยาแพร่กระจายไปยังร่างแยกทั้งเก้าของนางจนแทบจะไม่หลงเหลือความรุนแรงใดๆ


ระยะเวลาสามเดือนเพียงพอจะทำให้นางบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นกลาง ส่วนหลิงฮันอาจต้องใช้เวลานับปี


แต่ก็ดีแล้ว ยิ่งจักรพรรดินีเข้าใกล้ระดับสร้างสรรพสิ่งได้เร็วก็ยิ่งดี! หลิงฮันเผลอยกมือขึ้นมาลูบเข้าหากัน แค่คิดถึงตอนนั้นเขาก็เลือดกำดาวไหลแล้ว


เขาทำการศึกษาทักษะนิรันดร์ที่มีอยู่ในตอนนี้


ทักษะที่อยู่ในมือเขาไม่ได้มีแค่หนึ่ง


ก่อนหน้านี้เขาได้รับทักษะนิรันดร์มาจากตระกูลหูสองทักษะ  หนึ่งคือทักษะแผ่ไพศาลที่ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของปราณก่อเกิด หากการบวนท่าทีมีพลังทำลายเท่ากันถูกปล่อยออกมา กระบวนท่าทีมีการควบแน่นของปราณก่อเกิดที่หนักหน่วงกว่าย่อมทรงพลังกว่า


อีกทักษะคือทักษะรัตติกาลเงาทมิฬ หลังจากปลดปล่อยทักษะแล้วผู้ใช้จะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมอันมืดมิดได้ในระยะหนึ่งและคู่ต่อสู้ที่อยู่ในระยะของทักษะจะสูญเสียสัมผัสทั้งห้า


เปรียบแล้วก็เหมือนกับตอนที่พบเจอจักรพรรดิเพลิงอัสนี แต่พลังของจักรพรรดิเพลิงอัสนีนั้นสมควรแข็งแกร่งกว่าทักษะนี้มากเนื่องจากอีกฝ่ายน่าจะเป็นตัวตนระดับโลกียนิพพานหรือสูงกว่านั้น


ส่วนทักษะที่สามที่เขามีคือทักษะร่างเงามังกรทะยาน มันคือทักษะระดับนิรันดร์ที่ได้รับมาจากAnchorหุบเขามหาสมุทรมังกร


ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้แค่ครองทักษะระดับนิรันดร์เพียงหนึ่งทักษะก็เพียงพอที่จะทำให้หัวเราะลั่นแล้ว แต่นี่เขามีถึงสาม


“จะฝึกฝนทักษะไหนก่อนดี!” หลิงฮันจงใจกล่าวออกมา


หลิงฮันนั่งฝึกฝนทักษะนิรันดร์ใต้ต้นสังสารวัฏ ระยะเวลาสิบปีเท่ากับหนึ่งวัน สามเดือนก็เกือบจะเป็นเวลาพันปี เวลาขนาดนั้นเขาจะไม่สามารถฝึกฝนทักษะให้สำเร็จได้สักเล็กน้อยเลยรึ?


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามเดือนต่อมาหลิงฮันลืมตาขึ้นและเผยรอยยิ้ม เขามาอยู่หุบเขาวารีครามก็สองปีแล้ว การที่ไม่ได้สู้กับอัจฉริยะคนไหนของที่นี่เลยทำให้เขารู้สึกคันไม้คันมืออย่างมาก

 

 

 


ตอนที่ 1579

 

พลังบ่มเพาะของหลิงฮันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่สามารถเทียบกับจักรพรรดินีได้ นางบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นกลางเรียบร้อยและกำลังบ่มเพาะพลังต่อไปยังชั้นปลาย


ทางด้านของสตรีนกอมตะที่มีทรัพยากรบ่มเพาะมากมายและต้นสังสารวัฏก็มีพัฒนาการที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน นางทะลวงผ่านระดับดาราขั้นสูงสุดและกลายเป็นจอมยุทธสาวผู้บ้าคลั่งการบ่มเพาะพลังที่ยิ่งกว่าหลิงฮันไปแล้ว


ที่นางกลายเป็นแบบนี้ก็เพราะได้รับแรงกระตุ้น ใครใช้ให้หลิงฮันกับจักรพรรดินีบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วเกินไปกัน นอกจากนั้นหลิงฮันก็ยังมีสตรีอื่นอยู่ในดินแดนแห่งเซียนอีก บางทีพวกนางอาจจะบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งแล้วก็ได้ นางไม่อาจย่อมปล่อยให้ตนเองถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลัง


หลิงฮันไม่ว่าอะไรนาง เขากับจักรพรรดินีออกมาจากห้องพักหินและมุ่งหน้าไปยังลานเวทีเหนือหุบเขา


ฝูงชนมารวมตัวกันเพราะวันนี้เป็นวันสำคัญ


จำนวนของคนที่อยู่ที่นี่มีราวๆร้อยกว่าคน ไม่ว่าคนไหนก็ล้วนแต่เป็นสุดยอดอัจฉริยะที่มีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ขึ้นไป


เพียงแต่ระดับวารีนิรันดร์ไม่ใช่จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในที่นี้เนื่องจากมีจ้าวอสูรรุ่นเยาว์อยู่อีกถึงสี่คน สามเป็นบุรุษหนึ่งเป็นสตรี ทั้งสี่คนล้วนแต่ปลดปล่อยออร่าอันทรงพลังออกมา


หลิงฮันพยักหน้า ในเมื่อดินแดนต้องห้ามแปดศิลาสามารถฝึกฝนสร้างอัจฉริยะอย่างฮูเฟิงได้ทำไมดินแดนต้องห้ามอื่นจะทำไม่ได้?


หืม?


หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย ในหมู่จ้าวอสูรสี่คน สามคนไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่น้อยในขณะที่เขาจ้องไปยังพวกเขา แต่กลับมีจ้าวอสูรอยู่คนหนึ่งที่จ้องกลับมาหาเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร


แปลก เขาไม่เคยพบเจออีกฝ่ายมาเกินเลยเสียหน่อย!


“ฮึ่ม หลิงฮัน วันนี้คือวันที่เจ้าจะพบเจอกับความอัปยศ!” รุ่นเยาว์สวมเกราะดำก้าวเดินออกมา เขาคือหนึ่งในห้าคนที่ก่อนหน้านี้เคยไปขวางทางหลิงฮันตรงหน้าที่พัก


ชุดเกราะนั่นสมควรเป็นสมบัติล้ำค่าเขาถึงได้สวมเอาไว้ตลอดเวลาแบบนั้น


หลิงฮันชำเลืองมอง สองปีที่ผ่านมีรุ่นเยาว์ผู้นี้มีการพัฒนาบ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่


“เกราะนั่นเจ้าได้ถอดมาล้างบ้างรึเปล่า?” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม


รุ่นเยาว์สวมเกราะดำใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดมนทันที


“ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ว่าอย่างไรหมอนั่นก็มีจุดจบไม่สวยอยู่แล้ว!” คนข้างๆรุ่นเยาว์สวมชุดเกราะกล่าว ถึงแม้เขาจะสังเกตเห็นว่าหลิงฮันยกระดับพลังขึ้นมาเป็นขั้นกลางแต่ก็ไม่ใส่ใจอะไร


หลิงฮันเลิกสนใจและมองไปยังจ้าวอสูรคนเดิม ชายคนนั้นมีผิวคล้ำและไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเท่าไหร่ หากอยู่ท่ามกลางฝูงชนคงไม่มีใครสังเกตเห็นเขา


“คนคนนั้นคือใครกัน?” รุ่นเยาว์คนอื่นๆก็พูดคุยถึงจ้าวอสูรคนนั้นเช่นกัน คนนั้นดูไม่คุ้นหน้าว่าเป็นจ้าวอสูรของดินแดนต้องห้ามทั้งสิบหกเลย ดูเหมือนเขาจะเป้นเมล็ดพันธุ์ที่ถูกนำตัวมาที่นี่เมื่อหนึ่งปีก่อน


“กู่เฟิง ชื่อของคนคนนั้นคือกู่เฟิง”


“ไม่เคยได้ยินมาก่อน”


“จ้าวอสูรที่เยาว์วัยเช่นนั้น พรสวรรค์ของเขาฝืนสวรรค์เทียบได้กับโอวหยางเหอ เหลิงเซี่ยวเหรินและโก้วไหเลย”


“สามผู้แข็งแกร่งได้เปลี่ยนเป็นสี่ผู้แข็งแกร่งแล้ว”


หลายคนพูดคุยเอ่ยถึงจ้าวอสูรผู้นั้น แต่นอกจากชื่อแล้วก็ไม่มีใครรู้ข้อมูลอื่นของเขาเลย


‘พรึบ’ คลื่นแสงแห่งเต๋าปรากฏพร้อมกับจ้าวอสูรคนหนึ่ง จ้าวอสูรผู้นี้คือจ้าวอสูรระดับดำ หากไม่ใช่จ้าวอสูรระดับนี้คงไม่สามารถจัดการเหล่ารุ่นเยาว์ที่บรรลุเป็นจ้าวอสูรระดับเหลืองแล้วได้


“เริ่มจับฉลากและทำการประลองได้” จ้าวอสูรระดับดำกล่าว ชื่อของเขาคือหลิวก่านหนึ่งในผู้ดูแลเขตแดนลี้ลับแห่งนี้


กฎของการประลองเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว ทุกคนเดินออกมาจับฉลากของตนเองโดยมีเพียงจ้าวอสูรรุ่นเยาว์ทั้งสี่เท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น หากให้พวกเขาประลองกับคนอื่นด้วยคงไม่ยุติธรรมเท่าไหร่


“หลิงฮัน” หลิวก่านเอ่ย เมื่อเห็นว่าหลิงฮันหยุดนิ่งแล้วเขาก็กล่าวต่อ “เจ้าไม่จำเป็นต้องประลอง ไปนั่งดูอยู่ข้างๆก็พอ”


ว่าไงนะ!


รุ่นเยาว์คนอื่นๆตกตะลึง โดยเฉพาะกลุ่มของรุ่นเยาว์ชุดเกราะดำ พวกเขาขอผู้อาวุโสของตระกูลว่าให้แอบช่วยให้พวกเขามีโอกาสจับฉลากเจอกับหลิงฮันให้มากที่สุด ไม่คาดคิดว่าจู่ๆหลิวก่านจะมาประกาศว่าหลิงฮันไม่ต้องเข้าร่วมการประลอง!


“ทำไมเขาถึงไม่ต้องเข้าร่วมการประลอง?” ใครบางคนเอ่ยถาม แม้จะอยู่ต่อหน้าจ้าวอสูรระดับดำเขาก็ไม่เกรงกลัว ด้วยพรสวรรค์ของเขาในอนาคตย่อมกลายเป็นจ้าวอสูรได้อย่างแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะมีโอกาสบรรลุเป็นจ้าวอสูรระดับปฐพีหรือสวรรค์เลยก็เป็นเป็นได้


หลิวก่านจ้องมองและกล่าวตอบอย่างไม่แยแส “ข้าบอกว่าไม่ต้องก็คือไม่ต้อง หรือพวกเจ้าขัดข้อง?”


จุดประสงค์ที่พาหลิงฮันมาที่นี่คือเพิ่มระดับพลังบ่มเพาะ ตราบใดที่หลิงฮันบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งได้สำเร็จเขาก็จะกลายเป็นแกนกลางให้กับดินแดนทั้งสอง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วไม่เพียงแค่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองจะผสานรวมกันแต่ยังเป็นการเร่งความเร็วให้ดินแดนทั้งสองกลับเป็นหนึ่งเดียวกันเร็วขึ้นด้วย


เพราะงั้นแล้วพลังต่อสู้ของหลิงฮันจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญและไม่ต้องประลองให้เสียเวลา


“พวกเราไม่ยอมรับ!” ใครบางคนต่อต้าน ด้วยพรสวรรค์อันสูงล้ำทำให้ตั้งแต่เด็กพวกเขาเป็นที่สนใจของตระกูลมาโดยตลอดจนทำให้มีนิสัยหยิ่งทะนง แต่ตอนนี้กลับมีใครก็ไม่รู้ได้รับสิทธิพิเศษเหนือพวกเขา จะให้พวกเขายอมรับได้อย่างไร?


“เหอะ หากไม่พอใจอะไรก็ไปพูดกับผู้นำตระกูลของพวกเจ้าเอาเอง คนที่ตัดสินเรื่องนี้คือผู้นำเหล่านั้น!” ต่อต้านสะบัดมือปลดปล่อยอำนาจกำราบความไม่พอใจของทุกคน


หลิงฮันเองก็ตกตะลึงเล็กน้อย เขาตั้งใจจะใช้โอกาสนี้สั่งสอนรุ่นเยาว์สวมชุดเกราะกับคนอื่นๆอยู่พอดี… แต่ทว่าเขากลับโดนห้ามไม่ให้ร่วมประลอง?


เพียงแต่ว่าในเมื่อจ้าวอสูรระดับดำกล่าวเช่นนั้นเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยักหน้ายอมรับ


ถ้างั้นก็ดูก่อนเฉยๆแล้วกัน อย่างน้อยก็จะได้เห็นว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์แห่งยุคสมัยของดินแดนต้องห้ามจะแข็งแกร่งขนาดไหน


การลองที่ดุเดือดเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลิงฮันที่เห็นการประลองของหลายๆคู่ก็พยักหน้าในใจ มีรุ่นเยาว์อย่างน้อยสิบเจ็ดคนที่แข็งแกร่งพอๆกับถังโม่และก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่แข็งแกร่งกว่า บางทีบวกเขาอาจจะขัดเกลาควบแน่นสร้างดวงดาวได้ถึงสามล้านดวงหรืออาจจะมากกว่านั้น


การประลองกินเวลาเกือบห้าวันก็สิ้นสุดลง นอกจากจ้าวอสูรรุ่นเยาว์ทั้งสี่แล้ว คนที่แข็งแกร่งที่สุดสามอันดับแรกคือจางถิง เย่เฉวียนและหลิวตัง ส่วนรุ่นเยาว์สวมชุดเกราะดำมีชื่อว่าเจิ้งมั่ว เขาแข็งแกร่งเป็นอันดับที่สิบและมีพลังต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าถังโม่


“หลิงฮัน เจ้ากล้าสู้กับข้ารึไม่ ข้าจะลดพลังบ่มเพาะของตนเองให้เท่ากับเจ้า!” เจิ้งมั่วจู่ๆก็ก้าวออกมาและชี้นิ้วใส่หลิงฮัน


ถูกท้าประลองหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้เจ้าจะกล้าปฏิเสธหรือไม่? หากพลังบ่มเพาะเท่ากันแล้วเจ้าไม่รับคำท้าล่ะก็หลังจากนี้เจ้าคิดว่าจะมีหน้าไปพบใครได้?

 

 

 


ตอนที่ 1580

 

“ไม่กล้ารับคำท้า?” เจิ้งมั่วยั่วยุและจงใจเปิดเผยวิถีดาราจักรของตัวเองออกมา หากมองดูจะพบว่าภายในนั้นมีดวงดาวส่องประกายออยู่หนึ่งหมื่นดวงเท่านั้น


ดวงดาวหนึ่งหมื่นดวงคือหลักฐานว่าพลังบ่มเพาะของเขาตอนนี้อยู่ในระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง


การประลองนี้ไม่ถือว่ายุติธรรมเสียทีเดียว ต่อให้เจิ้งมั่วลดพลังบ่มเพาะตัวเองลงมาแต่ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาก็ยังอยู่ในระดับของวารีนิรันดร์ขั้นสูงอยู่ดี


อัจฉริยะรุ่นเยาว์คนอื่นแสยะยิ้ม ในระดับพลังเท่ากันหากไม่รับคำท้าจะยังเรียกตนเองว่าราชาได้อีก?


หลิวก่านเผยสีหน้าไม่พอใจ เขากล่าวไปแล้วไม่ใช่รึว่าหลิงฮันไม่จำเป็นต้องร่วมประลอง การที่เจิ้งมั่วยังรั้นท้าสู้กับหลิงฮันอยู่เท่ากับกำลังท้าทายอำนาจของเขา


เพียงแต่ว่าการประลองอย่างเป็นทางการได้จบไปแล้ว การปะทะนอกรอบนั้นต่อให้เป็นเขาก็ไม่มีสิทธิ์ห้าม ขึ้นอยู่กับผู้ถูกท้าประลองว่าจะรับคำท้าหรือไม่


หลิงฮันยิ้ม เขาคิดหาวิธีทุบตีหมอนี่อยู่พอดี ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเปิดประตูเชิญชวนเขาเองแบบนี้! เขาตีมือจักรพรรดินีเบาๆเพื่อบอกว่าไม่ต้องกังวลพร้อมกับยืนขึ้น


“ถ้าเจ้าอยากสู้ก็มาสู้กัน”


เจิ้งมั่วยิ้มร่าและจงใจกล่าว “ฮ่าๆ ข้าต่อให้เจ้าก่อนสิบกระบวนท่า!”


“อืม!” หลิงฮันไม่สนใจ เขาก้าวขึ้นหน้าและปล่อยหมัดเข้าใส่เจิ้งมั่ว


ในเมื่อเจิ้งมั่วกล่าวเองว่าจะให้หลิงฮันลงมือก่อนสิบกระบวนท่าเขาย่อมไม่ผิดคำพูดต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้ มือทั้งสองของเขาไคว้หากันเป็นรูปกากบาทกลางหน้าอกเพื่อรอรับหมัดของหลิงฮัน


ตูม!


หมัดของหลิงฮันระเบิดพลังใส่เจิ้งมั่ว


คลื่นปะทะของหมัดทะยานขึ้นสูงเสียดฟ้าก่อนจะค่อยๆสลายไป เจิ้งมั่วยังคงยืนอย่างองอาจอยู่ที่เดิม ตัวของเฉิงโม่นั้นขัดเกลาพลังบ่มเพาะจนบรรลุขั้นสมบูรณ์ทั้งระดับวารีนิรันดร์ ระดับสุริยันจันทราและระดับดารา เพราะงั้นต่อให้เป็นการต่อสู้ในระดับเดียวกันพลังต่อสู้ของเขาจึงไม่ด้อยไปกว่าหลิงฮัน แต่หากเพิ่มอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เข้าไปด้วยแล้วพลังของเขาย่อมเหนือกว่ามาก


เจิ้งมั่วกัดฟันเบาๆ หมัดเมื่อครู่ส่งผลให้กระดูกทั่วร่างของเขาสั่นสะเทือนจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา


ฮึ่ม! เหตุใดกายหยาบของหมอนี่ถึงได้น่ากลัวเพียงนี้ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่หากต้องต่อสู้ระยะประชิด คลื่นปะทะที่เกิดการการปะทะของหมัดมันรุนแรงเกินไป


หลิงฮันปล่อยหมัดต่อไม่รีรอ


เจิ้งมั่วไม่อยากสู้กับหลิงฮันซึ่งๆหน้าต่อแล้ว แต่ในเมื่อเขาบอกว่าจะยอมให้หลิงฮันโจมตีก่อนสิบกระบวนท่าก็หมายถึงเขาทำได้เพียงต้านหรือหลบหลีกเท่านั้น แต่คนเช่นเขารึจะหลบ? หากใช้วิธีขี้ขลาดเช่นนั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?


เจิ้งมั่วทำได้เพียงกัดฟันและปล่อยหมัดต้านหลิงฮัน


‘ตูม’ หมัดของทั้งสองเข้าปะทะกัน คลื่นพลังทำลายอันรุนแรงปะทุออกมาจนมิติแตกร้าว


เจิ้งมั่วไม่ล่าถอยและทำสีหน้าเรียบง่าย แต่มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ว่าคลื่นปะทะจากการแลกหมัดเมื่อครู่ทำให้กระดูกทั่วร่างของเขาสั่นสะเทือนจนแทบจะแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย


“ช่างอ่อนหัดนัก ขนาดการต่อสู้ระดับเดียวกันที่มีโอกาสโจมตีก่อนสิบกระบวนท่ายังไม่อาจชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบ!” คนที่ดูอยู่รอบข้างหัวเราะขบขัน


พวกเขาไม่เคยรู้จักหลิงฮันมาก่อน แต่พวกเขาได้ยินข่าวลือว่าหลิงฮันจะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อาวุโสสิบเจ็ด แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องทำให้พวกเขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก ทำไมคนนอกที่อ่อนแอกว่าพวกเขาถึงได้ข้ามหน้าข้ามตาพวกเขากัน?


การประลองนี้พิสูจน์แล้วว่าหลิงฮันเป็นเพียงพวกพวกไร้ค่า!


“ฮึ่ม ข้าไม่รู้หรอกนะว่าหมอนั่นมาจากไหน แต่ช่างเพ้อฝันนักที่คิดจะข้ามหน้าข้ามตาพวกเรา!”


“การประลองนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาอ่อนหัดไร้ค่าขนาดไหน!”


“ฮ่าๆๆ ให้เจิ้งมั่วจัดการเขาให้สิ้นซากไปเลย!”


หลิงฮันเก็บคำพูดของคนเหล่านั้นมาใส่ใจและปล่อยหมัดครั้งนี้สามออกไปอย่างเรียบง่าย


ตูม! ตูม! ตูม!


หลิงฮันปล่อยหมัดออกไปแล้วเจ็ดหมัดซึ่งเจิ้งมั่วก็ไม่แสดงท่าทีเจ็บปวดใดๆ เขายืนนิ่งราวกับเป็นขุนเขา


จากมุมมองของคนนอกแน่นอนว่าต้องเห็นว่าเจิ้งมั่วเป็นคนคุมสถานการณ์อยู่ ขอแต่รับสามหมัดสุดท้ายและตอบโต้หลิงฮันก็จะพ่ายแพ้ทันที


แต่ว่าในใจของเจิ้งมั่วนั้นกำลังร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวก กระดูกส่วนแขนของเขาไม่อาจทนไหวอีกต่อไปแล้ว กระดูกแต่ละท่อนล้วนแต่ปรากฏรอยแตกร้าวเหมือนกับใยแมงมุม หากไม่ใช่เพราะเขามีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งและใช้ปราณก่อเกิดเชื่อมกระดูกเอาไว้ได้ กระดูกแขนของเขาตกแหลกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว


ด้วยสภาพแบบนี้เขาจะทนต่อได้อีกกี่หมัดกัน?


หลิงฮันยิ้มและกล่าวปลอบ “ทนไว้ อีกแค่สามหมัดเท่านั้น”


บัดซบ!


เจิ้งมั่วกัดฟันและกล่าว “หลังจากสามกระบวนท่าสุดท้ายข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าจะต้องเจ็บปวดขนาดไหนที่ท้าทายข้า!”


“อะไรกัน เจ้าเป็นคนท้าประลองข้าเองแท้ๆ” หลิงฮันแสร้งทำเป็นตกใจ และกวัดแกว่งปล่อยหมัดขวาออกไปอย่างไม่ลังเล


ตูม! ตูม!


ผ่านไปสองหมัดเจิ้งมั่วก็ทนไม่ไหวและเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา การต่อสู้ด้วยด้วยกายหยาบเช่นนี้เป็นสิ่งที่จอมยุทธส่วนใหญ่เลือกที่จะหลีกเลี่ยงนอกเสียจากว่าจะเป็นคนที่มีกายหยาบพิเศษ


“หมัดสุดท้าย!” หลิงฮันพุ่งอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าและปล่อยหมัดขวาออกไปราวกับมังกรทะยาน


ตูมมม!


เจิ้งมั่วกัดฟัน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทนมาได้ถึงขนาดนี้แล้ว แถมความหยิ่งทะนงของเขาก็ไม่มีทางยินยอมให้เขาหลบหลีกล่าถอยด้วย


และแน่นอนว่าในสภาพที่พวกเขาทั้งสองมีระดับพลังเท่ากันเจิ้งมั่วย่อมไม่โจมตีตอบโต้ ‘ติ๋ง ติ๋งๆ ติ๋งๆ’ ที่ปลายนิ้วของเขามีโลหิตไหลหยดลงมา


“อะไรกัน!”


เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าทุกคนต่างอุทานออกมาด้วยใบหน้าตกตะลึง เกิดผลลัพธ์เช่นนี้ได้อย่างไร?


ทำไมจู่ๆเจิ้งมั่วถึงบาดเจ็บ?


“ดูให้ดี!” ใครบางคนชี้ไปที่แขนของเจิ้งมั่ว


ฮึ่ม!


ทุกคนสูดหายใจลึก สิ่งที่พวกเขาเห็นคือแขนเจิ้งมั่วมีอาการปูดปวดจนใหญ่กว่าต้นขา และยังเห็นอย่างชัดเจนอีกว่าแขนของเขานั้นบิดเบี้ยวผิดรูปร่างและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิต


สภาพเช่นนี้รู้ได้ไม่ยากว่าเกิดจากกระดูกแตกหักจนทิ่มแทงผิวหนัง


พวกเขาเข้าใจทันที หมัดแต่ละหมัดของหลิงฮันรุนแรงจนกระดูกของเจิ้งมั่วแตกร้าวไม่อาจรับไหว และเป็นเพราะความรุนแรงของหมัดที่สิบทำให้แขนของเขาบิดเบี้ยวผิดรูปพร้อมกับกระดูกแขนที่แตกร้าวอยู่แล้วได้แหลกออกเป็นชิ้นๆ


สายตาทุกคู่เปิดกว้างด้วยความตกตะลึงและมองมายังหลิงฮัน แม้แต่จ้าวอสูรรุ่นเยาว์ทั้งสามอย่างเหลิงเซี่ยวเหริน โอวหยางเหอและโก้วไหก็เช่นกัน ในด้านตรงกันข้าม มีเพียงกู่เฟิงคนเดียวเท่านั้นที่หรี่ตาลงโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

 


ตอนที่ 1581

 

หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ยังจะสู้ต่อรึไม่?”


“แน่นอน!” เจิ้งมั่วกัดฟัน แขนขวาที่หักแม้จะส่งผลต่อพลังต่อสู้ของเขา แต่หากเว้นระห่างได้และไม่สู้ระยะประชิดมีรึที่เขาจะแพ้หลิงฮัน?


“เข้ามา!” หลิงฮันกวักนิ้ว


“ฮึ่ม!” เจิ้งมั่วยกมือซ้ายขึ้น ‘พรึบ’ มือของเขาถูกห่อหุ้มไปด้วยคลื่นแสง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นขึงขังพร้อมกับผลักหมัดเข้าหาหลิงฮัน “เมฆาสวรรค์บดขยี้ภูผา!”


ครืน!


ฝ่ามือขนาดใหญ่ประทับลงมาจากท้องฟ้า อำนาจแห่งกฎเกณฑ์อันทรงพลังระเบิดอำนาจออกมาราวกับสวรรค์กำลังเกรี้ยวกราดจึงได้ลงทัณฑ์โลกนี้ด้วยหัตถ์แห่งทวยเทพ


หลิงฮันพยักหน้าในใจ พลังของอีกฝ่ายไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาแต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์นั้นทรงพลังกว่า เมื่อใช้ทักษะยุทธ์เสริมเข้ามาด้วยพลังต่อสู้ของอีกฝ่ายจึงทะยานสูงขึ้นไปอยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัว


แต่คิดว่าตัวเองก็ไม่มีทักษะยุทธที่ทรงพลังรึ?


หลิงฮันยกนิ้วมือปลดปล่อยคลื่นดาบนับไม่ถ้วนเข้าปะทะกับฝ่ามือขนาดใหญ่


Anchor


ทักษะดาบฟ้าคำราม!


เมื่อผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองให้เป็นหนึ่งได้ อำนาจของทักษะดาบฟ้าคำรามก็ทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก


‘ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ’ ปราณดาบมากมายพุ่งทะยานขึ้นสู่เก้าชั้นฟ้า!


อำนาจของทักษะดาบฟ้าคำรามในตอนนี้ทรงพลังมากจริงๆ พื้นฐานของทักษะนี้มาจากทักษะบัญญัติดาบไว ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์และAnchorกาลเวลาแปรผันพันปี รวมถึงมันเป็นทักษะที่หลิงฮันคิดค้นขึ้นเองเขาจึงสามารถปลดปล่อยอำนาจของมันได้ถึงขีดสุด


ฝ่ามือขนาดใหญ่ของเจิ้งมั่วพังทลายในพริบตา อำนาจของฝ่ามือสลายหายไปจนแม้แต่ชุดคลุมของหลิงฮันก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ


แข็งแกร่ง!


เหล่าราชารุ่นเยาว์ขมวดคิ้ว ไม่ว่าพวกเขาจะไม่พอใจหลิงฮันขนาดไหนแต่ก็ต้องยอมรับในพลังของหลิงฮัน


ในการต่อสู้ระดับเดียวกันที่จริงเจิ้งมั่วสมควรเป็นฝ่ายได้เปรียบด้วยซ้ำเนื่องจากเขามีความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่สูงกว่า แต่ความจริงกลับไม่เป็นแบบนั้น ก่อนหน้าแขนของเขาแตกหักไปแล้ว แถมตอนนี้การโจมตีของก็ยังถูกสลายด้วยพลังที่ทัดเทียมกันอีก


ใบหน้าของเจิ้งมั่วก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง ในการต่อสู้ระดับเดียวกันเขาควรกำราบคู่ต่อสู้ได้อย่างราบคาบแท้ๆ


เขาไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ในฐานะสุดยอดราชาและอัจฉริยะไร้ที่เปรียบเขาไม่อาจยอมให้แพ้ใครอื่นในระดับพลังที่เท่ากัน ดวงตาของเขาส่องประกาย ทันใดนั้นรอบกายของเขาก็มีควันล่องลอยออกมาราวกับหมู่เมฆ


‘ครืน’ ออร่าของเขาทรงพลังขึ้นในพริบตา


วิถีโคจรดาราจักรของเขายังมีเพียงดวงดาวหมื่นดวงที่ส่องประกายเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นพลังต่อสู้ของเขากลับเพิ่มสูงขึ้น


“ทักษะระดับนิรันดร์ของตระกูงเจิ้ง… ทักษะเมฆหมอกแปรผัน!”


“ทักษะนั้นไม่เพียงทำให้พลังต่อสู้ทะยานสูงขึ้นแต่ร่างกายยังไม่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีต่างๆด้วย”


“ไม่คาดคิดว่าเขาจะถูกต้อนให้ใช้ทักษะนี้ออกมาเร็วขนาดนี้”


เจิ้งมั่วคำรามและลงมือจู่โจม มือทั้งสองของเขาสั่นไหวพร้อมกับปลดปล่อยคลื่นแสงออกมาและแปรเปลี่ยนเป็นหอกสองเล่มโจมตีเข้าใส่หลิงฮัน หอกทั้งสองถูกปกคลุมไว้ด้วยรูปแบบอาคมอสูรที่ส่องประกายเจิดจ้า


การโจมตีนี้ทรงพลังกว่ามาฝ่ามือก่อนหน้านี้มาก


หลิงฮันพยักหน้าในใจ เขาไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย มาดูกันมาใครจะมีทักษะระดับนิรันดร์มากกว่ากัน


‘พรึบ’ ความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของหลิงฮันและโอบล้อมไปทั่วพื้นที่


ทักษะรัตติกาลเงาทมิฬ ทักษะนิรันดร์ที่เขาใช้เวลาบ่มเพาะเกือบจะสามพันปี


ภายในความมืดมิดอันเป็นอนันต์ ทุกสรรพสิ่งได้หายไปอย่างไรร่องรอย


ไม่สามารถมองเห็น ไม่สามารถได้ยิน ไม่สามารถสัมผัส ราวกับว่าโลกใบนี้ไม่หลงเหลืออะไรอยู่เลย


“อะไรกัน เหตุใดข้าถึงมองผ่านความมืดนั่นเข้าไปไม่ได้?” ใครบางคนอุทาน เขาคือจอมยุทธที่บ่มเพาะพลังบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ แม้จะเพิ่มขัดเกลาดวงดาวได้เพียงหนึ่งล้านดวงแต่เขาก็แข็งแกร่งกว่าหลิงฮันมา เหตุใดกันเขาถึงไม่สามารถมองทะลุความมืดมิดนั่นได้?


จอมยุทธรุ่นเยาว์ทุกคนหันไปมอง จางถิง เย่เฉวียนและหลิวตังเนื่องจากทั้งสามเป็นอัจฉริยะที่ขัดเกลาดวงดาวได้เกินสามล้านดวง เพียงแต่ว่าสิ่งที่ทั้งสามคนตอบกลับพวกเขามาคือการส่ายหัว


เหลือเชื่อ แม้แต่ทั้งสามก็มองผ่านเข้าไปไม่ได้!


ทุกคนเปลี่ยนไปจ้องมองจ้าวอสูรรุ่นเยาว์ทั้งสามอย่างโอวหยางเหอ เหลิงเซี่ยวเหรินและโก้วไห ส่วนกู่เฟิงนั้นพวกเขาไม่คุ้นเคยจึงไม่คิดจะถาม


โอวหยางเหอคือคนที่เป็นมิตรมากที่สุด เขากล่าว “ความมืดนั่นสมควรเป็นทักษะระดับนิรันดร์ที่ผลึกประสาทมสัมผัสรับรู้ทั้งห้า หากอยู่ในระดับพลังเดียวจะได้รับผลกระทบจากทักษะอย่างเลี่ยงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าจะมากหรือน้อย มีเพียงจอมยุทธที่ระดับพลังสูงกว่าเขาหนึ่งระดับใหญ่เท่านั้นถึงจะไม่ได้รับผลกระทบ”


กล่าวคือมีเพียงจ้าวอสูรเท่านั้นที่จะได้ไม่รับผลกระทบจากทักษะของหลิงฮัน แต่หากหลิงฮันบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่ง ต่อให้เป็นจ้าวอสูรสวรรค์ก็ต้องได้รับผลกระทบแต่ผลลัพธ์คงจะไม่มากเท่าไหร่


คนนอกแบบหลิงฮันมีทักษะระดับนิรันดร์ด้วย?


ร่างของเจิ้งมั่วหยุดชะงักแน่นิ่ง ท่ามกลางความมืดมิดร่างของเขาพบว่าการมอง การได้ยินและการรับรู้อื่นๆของเขาถูกบีบจนเหลือเพียงระยะที่แคบมาก เนื่องจากเจิ้งมั่วเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ การจะผลึกประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาอย่างสมบูรณ์คงเป็นไปไม่ได้


เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาไม่รู้ว่าแต่ว่าหลิงฮันอยู่ที่ไหน แล้วเขาจะเอาชนะได้อย่างไร?


หลิงฮันยิ้มและกวัดแกว่งมือขวาเข้าใส่เจิ้งมั่ว


Anchor


ร่างเงามังกรทะยาน… ทักษะระดับนิรันดร์!


‘ครืนน’ มือขวาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกงเล็บมังกรทองคำและกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วจนทิ้งเงาเอาไว้ตามชื่อทักษะ ความเร็วของทักษะนี้มากจนจอมยุทธระดับเดียวกันสามารถมองเห็นแต่ภาพติดตา


สีหน้าของเจิ้งมั่วหยุดแน่นิ่งเปลี่ยนไป ท่ามกลางความมืดมิดนี้ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขาถูกลดลงกว่าปกติมากแถมหลิงฮันยังจู่โจมด้วยทักษะที่รวดเร็วอีก


“และก็นี่!” หลิงฮันหัวเราะ ในขณะที่มือขวาของเขาปลดปล่อยทักษะร่างเงามังกรทะยานอยู่ มือซ้ายของเขาก็โคจรใช้ทักษะดาบฟ้าคำรามพร้อมกัน


อย่างที่รู้ว่าทักษะดาบฟ้าคำรามคือการผสานรวมกับกาลเวลาแปรผันพันปี นั่นหมายความว่าตอนนี้หลิงฮันใช้ทักษะนิรันดร์ออกมาถึงสี่ทักษะ


ในดินแดนใต้พิภพนี้จะมีใครอื่นรึไม่ที่สามารถใช้ฝึกฝนและใช้งานทักษะระดับนิรันดร์ได้สี่ทักษะพร้อมกัน?


มีเพียงแค่หลิงฮันคนเดียว!


แต่หากเป็นในอนาคตบางทีจักรพรรดินีอาจจะน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเขาเนื่องจากนางมีร่างแยกทั้งเก้า ตามหลักแล้วสมควรเป็นไปได้ที่นางจะปลดปล่อยทักษะนิรันดร์พร้อมกับจากร่างทั้งสิบ


เจิ้งมั่วพยายามตอบโต้แต่ก็ทำได้เพียงลาถอยและมีรอยแผลแห่งเต๋าปรากฏตามร่างกาย หากไม่ใช่เพราะเกราะดำทมิฬที่สวมใส่อยู่ไร้เทียมทานบาดแผลที่เขาได้รับคงไม่ใช่เพียงเท่านี้


“อ้ากกก!” เขาคำรามลั่นและระเบิดพลังปัดเป่าความมืดมิดรอบข้างจนหายไปไม่เหลือ


ในขณะเดียวกันดวงดาราเกินกว่าสองล้านดวงได้ส่องประกายขึ้นในวิถีดาราจักร สุดท้ายเขาก็คืนคำพูดโดยการปลดปล่อยพลังของดวงดาราทั้งหมดออกมา

 

 

 


ตอนที่ 1582

 

ทุกคนแน่นิ่งไร้คำพูด


เมื่อความมืดมิดสลายหายไปสิ่งที่พวกเขาเห็นคือร่างกายอันเต็มไปด้วยบาดแผลของเจิ้งมั่ว สามารถคาดเดาได้เลยว่าภายในความมืดเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นบ้าง


ใบหน้าของเจิ้งมั่วบูดบึ้ง เขามีท่าทีลังเลเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะปล่อยฝ่ามือเข้าใส่หลิงฮัน


ในเมื่อถูกต้อนจนมุมจนต้องระเบิดพลังทั้งหมดออกมาเขาก็ไม่มีอะไรจะให้เสียแล้ว เขาจะบดขยี้หลิงฮันให้ได้


“ฮึ่ม!” แววตาของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นเย็นชา หากเจิ้งมั่วรักษาสัญญาที่จะคงพลังบ่มเพาะให้เท่ากันได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะแพ้เขาก็คงมีความประทับใจต่ออีกฝ่ายบ้าง แต่อีกฝ่ายกลับผิดสัญญาและคิดจะใช้ความได้เปรียบของระดับพลังรังแกเขา?


เจ้าทำตัวของเจ้าเอง!


‘ครืนนน’ รูปแบบอาคมสังหารทั้งสิบสองในร่างของเขาถูกกระตุ้นพร้อมกัน ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวถูกปลดปล่อยออกมาทั่วร่าง เขายกมือขวาขึ้นและควบแน่นคลื่นแสงกระบี่ไว้ที่ปลายนิ้ว ใครก็ตามที่เห็นย่อมรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง


เจิ้งมั่วที่ทำการจู่โจมแล้วรีบฝืนมือราวกับเห็นผี


เขามองไปยังคลื่นแสงที่มือของหลิงฮันด้วยใบหน้าที่กระตุกไม่หยุด ‘นั่นมันอะไร!”


“คลื่นแสงสังหารไร้เทียมทานที่สามารถเฉือดเฉือนได้แม้กระทั่งสวรรค์และปฐพี” หลิงฮันกล่าว


เจิ้งมั่วไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าหลิงฮันกำลังหยอกล้อเขาอยู่ “ช่างโอ้อวดนัก ต่อหน้าพลังอำนาจของข้า เจ้ามีชะตะกรรมเดียวคือถูกบดขยี้”


หลิงฮันหัวเราะ “งั้นทำไมเจ้าไม่ลงมือล่ะ?”


แม้ปากของเจิ้งมั่วจะกล่าวเหยียดหยามแต่ใจจริงแล้วเขาไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย เขารู้สึกราวกับสัมผัสได้ถึงสัตว์ป่าอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถบดขยี้ทุกสรรพสิ่งได้จากภายในร่างกายหลิงฮัน


เจิ้งมั่วทำสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ได้เปรียบได้เรื่องของพลังบ่มเพาะอยู่ดี!


เขาปล่อยหมัดโจมตีหลิงฮันด้วยคลื่นกระแทกจากสายลม ด้วยพลังของเขาต่อให้ไม่ต้องใช้ทักษะยุทธก็ทรงพลังกว่าหลิงฮันหลายเท่า


หลิงฮันลงมือ ร่างของเขาปลดปล่อยคลื่นแสงที่สามารถสลายคลื่นปะทะของหมัดเจิ้งมั่วได้อย่างง่ายใด เขาไม่รีรอและทำการโจมตีเข้าใส่เจิ้งมั่ว


อะไรกัน!


เจิ้งมั่วรู้สึกหวาดกลัวจนขนทั่วล่างตั้งชี้ฟ้า เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ในร่างของหลิงฮัน แต่ตอนนี้เขาได้คืนพลังบ่มเพาะกลับมายังจุดสูงสุดแล้วจะให้เขาทำเรื่องขายหน้าอย่างการหลบหลีกได้อย่างไร?


เขากัดฟันและปล่อยหมัดซ้ายเพื่อตอบโต้กับหลิงฮัน


‘ปัง’ คลื่นพลังของหมัดถูกปลดปล่อยออกไป เขายังไม่ลืมบาดแผลเก่าจึงไม่เข้าปะทะกับหลิงฮันตรงๆ


หลิงฮันพุ่งทะยานเข้าปะทะตรงๆ รูปแบบอาคมสังหารระเบิดพลังออกจนคลื่นหมัดของเจิ้งมั่วไม่อาจป้องกันได้ อีกฝ่ายถูกบังคับให้ต้องปะทะกับเขาซึ่งๆหน้า


ตูม! ตูม! ตูม!


เจิ้งมั่วไม่มีทางเลือกนอกจากต้องแลกหมัดกับหลิงฮันก่อนจะหลุดพ้นล่าถอยออกมาได้ เมื่อยกมือของตัวเองขึ้นมาดูเขาก็พบว่ามือซ้ายของตนเองถูกปกคลุมไปด้วยบาดโลหิต รูปแบบอาคมสังหารน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ต่อให้เจิ้งมั่วจะใช้ปราณก่อเกิดคลุมหมัดเอาไว้ก็ไร้ประโยชน์


ทุกคนตกตะลึง ก่อนหน้านี้แขนขวาของเจิ้งมั่วก็แตกหัก คราวนี้ถึงแม้มือซ้ายจะยังไม่ถึงกระดูกหักแต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก กล่าวได้ว่าเขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้การปะทะอีกครั้ง


พวกเขาเห็นชัดเจนว่าหลิงฮันไม่ได้ใช้สมบัติใดๆ!


พลังของคนนอกผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก!


แม้แต่ราชารุ่นเยาว์ที่ขัดเกลาดวงดาวได้สองล้านดวงก็ไม่อาจเทียบเคียง เกรงว่าคงมีแค่ราชาที่ขัดเกลาดวงดาวเกินสามล้านดวงเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติพอจะกำราบหลิงฮัน หรือก็คือมีเพียงจางถิง เย่เฉวียน หลิวตังและจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเอาได้


แต่ปัญหาคือพลังบ่มเพาะของหลิงฮันยังอยู่แค่ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงเท่านั้น หากเขาบรรลุขั้นสมบูรณ์เมื่อไหร่บางทีเขาอาจจะต่อกรได้แม้แต่จ้าวอสูร?


หลิงฮันรู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายมาก เขาไม่เคยไปล่วงเกินใครก่อนแท้ๆเหตุใดถึงมักตกเป็นเป้าหมายตลอด?


ตูม ตูม ตูม ตูม เขากระหน่ำปล่อยหมัดออกไปราวกับห่าฝน


เจิ้งมั่วไม่ยินยอมรับความพ่ายแพ้ หากเขาเป็นฝ่ายยอมแพ้ให้กับจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงเขาจะยังมีหน้าไปพบใครได้อีก?


ผลลัพธ์คือการปะทะยิ่งทำให้เขาได้รับบาดเจ็บมากขึ้นและสาหัสกว่าเดิม


สุดท้ายเขาก็ถูกต้อนให้ต้องกระตุ้นใช้งานเกราะดำทมิฬ โล่พลังที่ถูกสร้างขึ้นสามารถป้องกันการโจมตีของหลิงฮันเอาไว้ได้ เกราะชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์อสูร หนึ่งในสมบัติของตระกูลเจิ้ง เนื่องจากพรสวรรค์อันโดดเด่นเขาจึงได้รับมอบสมบัติชิ้นนี้มาเพื่อใช้คุ้มกันชีวิต


เขาอยู่ห่างจากระดับสร้างสรรพสิ่งอีกเพียงก้าวเดียวจึงสามารถกระตุ้นพลังของเกราะได้เกือบเต็มสิบส่วน อย่างน้อยพลังทำลายที่ต่ำกว่าของจ้าวอสูรก็ไม่สามารถทำลายการป้องกันของเกราะได้


ในที่สุดทั้งสองก็ปะทะกันได้อย่างสูสีเนื่องจากพลังป้องกันของหลิงฮันเองก็ไร้เทียมทานในระดับวารีนิรันดร์ ไม่มีใครสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้


แต่ทุกคนต่างรู้กันว่าเจิ้งมั่วนั้นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ทั้งๆที่ปลดปล่อยพลังต่อสู้ทั้งหมดกับใช้อุปกรณ์อสูรแล้วยังทำได้เพียงเสมอ


“หยุดแค่นั้น!” หลิวก่านทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เขาทำการแยกหลิงฮันกับเจิ้งมั่วออกจากกัน


“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม พวกเจ้าทุกคนออกไปจากที่นี่ซะ!” หลิวก่านกวาดสายตามองอย่างเหี้ยมโหดจนจอมยุทธหลายคนใบหน้าซีดเผือดและรีบแยกย้ายอย่างรวดเร็ว


การต่อสู้ของหลิงฮันนั้นองอาจจนทำให้ทุกคนจดจำเขาได้เป็นอย่างดี แต่คนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในครั้งนี้กลับเป็นจ้าวอสูรหน้าใหม่อย่างกู่เฟิง


จ้าวอสูรรุ่นเยาว์ผู้นี้มีโอกาสที่ในอนาคตจะบรรลุเป็นจ้าวอสูรสวรรค์


แน่นอนว่าจักรพรรดิก็ตกเป็นที่สนใจของทุกคนเช่นกัน เหล่าบุรุษหลงไหลนางในขณะที่เหล่าสตรีอิจฉานางจนแทบบ้าคลั่ง


หลิงฮันและจักรพรรดินีกลับห้องพักหิน การได้ดูการประลองที่ผ่านมาทำให้หลิงฮันตระหักได้ว่าตนเองยังไม่ไร้เทียมทานที่สุดในระดับวารีนิรันดร์


หากไม่ใช่เพราะเขาบ่มเพาะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์จนมีกายหยาบไร้เทียมทานที่สามารถสลักรูปแบบอาคมสังหารจำนวนมากลงไปได้เขาคงทำได้เพียงยอมก้มหัวกับราชารุ่นเยาว์เหล่านั้น


ทั้งสองทำการบ่มเพาะพลังต่อ หลิงฮันได้สอนทักษะกาลเวลาแปรผันพันปี ทักษะแผ่ไพศาลและทักษะรัตติกาลเงาทมิฬให้แก่จักรพรรดินี เขาเชื่อว่าเมื่อนางบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ พลังต่อสู้ของนางจะต้องกำราบราชารุ่นเยาว์เหล่านั้นได้อย่างราบคาบ


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งปีผ่านไปจักรพรรดินีได้บรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นสูงสุดและทะลวงผ่านเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุด ส่วนหลิงฮันนั้นพัฒนาไปได้ไม่มากนัก พลังบ่มเพาะของเขาตอนนี้คือระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นกลางเท่านั้น


ณ ตอนนี้เอง ที่พันธมิตรทลายสวรรค์ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น


ดินแดนต้องห้ามใหม่ได้เข้าร่วมพันธมิตรด้วย


ดินแดนต้องห้ามแสงอรุณบูรพา… ตระกูลถัง!

 

 

 


ตอนที่ 1583

 

ตระกูลถังเข้าร่วมพันธมิตรทลายสวรรค์?


ไม่ใช่ว่าผู้นำของตระกูลถังเป็นพวกขี้คลาดที่หวาดกลัวผลกระทบของการแทรกแซงสวรรค์และปฐพีหรอกรึ? เหตุใดๆจู่ๆเขาถึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมกับพันธมิตรทลายสวรรค์?


หลังจากได้ยินข่าวนี้มุมปากของหลิงฮันก็แสยะยิ้มทันที


เป้าหมายของตระกูลถังคือเขาไม่ผิดแน่


ตระกูลถังที่รู้ว่าเขาครอบครองทักษะบ่มเพาะระดับราชานิรันดร์มีรึจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ? แต่เมื่อเขามาอยู่ที่หุบเขาวารีครามแห่งนี้ตระกูลถังย่อมไม่กล้าลงมือกับเขา เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะเข้าร่วมกับพันธมิตรทลายสวรรค์และส่งคนมาแทน


“ช่างรนหาที่นัก ข้ายังไม่ทันได้ไปหา พวกเจ้าก็เลือกที่จะเข้ามาเอง!” หลิงฮันแสยะยิ้ม เขามีวาสนาศักดิ์สิทธิ์จากหอคอยทมิฬสามครั้งและเขาไม่รังเกียจเลยที่จะใช้กับตระกูลถัง


การเข้าร่วมของตระกูลถังไม่ได้ก่อให้เกิดเสียงเอะอะเท่าไหร่ พวกเขาส่งจ้าวอสูรระดับดำมาทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนพร้อมกับรุ่นเยาว์ของตระกูลอีกสามคนที่ไม่ได้มีพรสวรรค์โดดเด่นเท่าไหร่ ทั้งสามไม่อาจเทียบถังโม่ได้


ราชารุ่นเยาว์ภายในหุบเขาวารีครามต่างพูดคุยกันว่าทำไมถึงได้มีดินแดนต้องห้ามใหม่มาเข้าร่วมกับพวกเขา


“ที่ให้ขุมอำนาจอื่นเข้าร่วมกับพวกเราเพิ่มอาจจะเพื่ออยู่เหนือพันธมิตรดินแดนต้องห้ามของดินแดนศักดิ์สิทธิ์” ใครบางคนกล่าวราวกับรู้ความจริง “ปกติแล้วพันธมิตรดินแดนต้องห้ามของทั้งดินแดนใต้พิภพและดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นจะมีขุมอำนาจอยู่ฝั่งละแปดขุมอำนาจ แต่ผู้นำของพวกเขาต้องการอยู่เหนืออีกฝ่ายจึงได้อนุญาติให้ดินแดนต้องห้ามใหม่เข้าร่วมด้วย”


“ยิ่งกว่านั้นหากมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นแล้วพันธมิตรฝ่ายดินแดนใต้พิภพของพวกเรามีความเห็นเท่ากันสี่ต่อสี่ การตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่างคงทำได้ยาก”


“ตอนนี้เมื่อจำนวนของพันมิตรกลายเป็นห้าต่อสี่แล้ว ย่อมมีฝ่ายหนึ่งมีสิทธิ์มีเสียงมากกว่า”


“ตอนนี้บางทีทั้งสองฝ่ายอาจจะกำลังมีการขัดแย้งกันอยู่”


“แต่ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นการตัดสินใจของเหล่าผู้นำ พวกเราทำได้แค่มองดูอยู่เฉยๆ”


หลังจากเหตุการณ์การเข้าร่วมของตระกูลถัง โอวหยางไท่ซานก็แอบมาหาหลิงฮัน อีกฝ่ายบอกให้เขาอย่าทำตัวโดดเด่นและตั้งใจบ่มเพาะพลังเข้าไว้ ทางที่ดีที่สุดเลยคือห้ามออกไปจากหุบเขาวารีครามจะปลอดภัยที่สุด


ดูเหมือนว่าโอวหยางไท่จะมองจุดประสงค์ของตระกูงถังออกเช่นกันแต่ก็ไม่มีอำนาจพอจะขับไล่อีกฝ่ายออกไปจากพันธมิตร


หลิงฮันครุ่นคิด… เห็นแก่การช่วยเหลือต่างๆจากโอวหยางไท่ซานเขาจึงไม่รังเกียจที่จะช่วยทำสิ่งที่อีกฝ่ายร้องขอ หากทำการผสานดินแดนทั้งสองเข้าด้วยกันได้ตัวเขาย่อมได้ประโยชน์ไปด้วย


แต่หากมีใครในพันธมิตรทลายสวรรค์เพ่งเล็งหมายหัวเขา เขาก็จะไม่เกรงใจเช่นกัน


“ข้าต้องรีบบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งให้เร็วที่สุด ต่อให้จะไม่สามารถต่อกรกับราชาเซียนแต่ก็ข้าก็ยังมีความสามารถพอสำหรับหลบหนี ข้าจะเอาแต่พึ่งพาหอคอยทมิฬตลอดไม่ได้” หลิงฮันกล่าวหนักแน่น


แต่ว่าแม้ต้นไม้จะอยากหยุดนิ่งเสียเท่าไหร่สายลมก็ไม่เป็นใจ


เขานั่งอยู่ในห้องพักหินเพื่อรอคอยทรัพยากรบ่มเพาะของปีนี้ ถึงแม้ทรัพยากรเหล่านั้นจะไม่จำเป็นสำหรับเขาแต่สำหรับสตรีนกอมตะมันคือสมบัติอย่างแท้จริงเนื่องจากนางบรรลุระดับวารีนิรันดร์แล้ว


เพียงแต่หลังจากที่เขารอไปได้หนึ่งวันกลับไม่มีใครนำทรัพยากรมาส่งเลย


หลิงฮันไม่คิดมาก บางทีกำหนดการอาจคลาดเคลื่อนได้ แต่หลังจากนั้นแม้เวลาจะผ่านไปสองวัน สามวันก็ยังไม่มีใครเอาทรัพยากรมาให้เขา หลิงฮันรู้สึกว่าเริ่มมีบางอย่างผิดปกติ เมื่อเขาออกไปไต่ถามถึงสาเหตุก็ต้องโมโหขึ้นมาทันที


ทรัพยากรบ่มเพาะของเขาถูกจ้าวอสูรระดับดำของตระกูลถังยึดไป


การกระทำที่โจ่งแจ้งเช่นนั้นผู้อาวุโสคนอื่นๆปล่อยไปได้อย่างไร?


หลิงฮันนึกถึงข่าวลือก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ทันที พันธมิตรทลายสวรรค์นั้นมีเสียงแบ่งเป็นสองเสียง หนึ่งคือฝ่ายที่ต้องการเปิดรับเมล็ดพันธุ์จากภายนอก สองคือฝ่ายที่ไม่ต้องการเปิดรับใคร ก่อนหน้านี้ฝ่ายที่ต้องการเปิดรับนั้นมีอำนาจมากกว่า แต่ตอนนี้ดูจากการที่ทรัพยากรบ่มเพาะของเขาถูกคนของของตระกูลถังยึดเอาไว้แล้ว หรือว่าฝ่ายที่ไม่เปิดรับจะกำลังกลายเป็นฝ่ายมีอำนาจมากกว่าไปเสียแล้ว?


หรือไม่ก็ทั้งสองฝ่ายกำลังตอบโต้กันอยู่ แต่ไม่ว่าผลสรุปจะออกมาแบบใดพันธมิตรทลายสวรรค์ก็ต้องเกิดการเปลี่ยน!


หลิงฮันไม่เข้าใจเล็กน้อย เขาคือจอมยุทธเพียง ‘คนเดียว’ ที่สามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองได้ ต่อให้พันมิตรฝ่ายที่ไม่ต้องการเปิดรับคนนอกจะดื้อรั้นยังไงก็น่าจะเห็นความสำคัญของการเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนมากกว่า


“ใช่แล้ว มีคนส่วนหนึ่งต้องการทักษะบ่มเพาะของข้า พวกนั้นคิดว่าที่ข้าผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ได้สำเร็จเป็นเพราะทักษะบ่มเพาะไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ของข้า”


“พวกนั้นคิดว่าแค่ได้ทักษะบ่มเพาะของข้าไปพวกเขาก็จะสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์กันเองได้”


“ตอนนี้การโต้แย้งภายในพันมิตรคงยังไม่ได้บทสรุปข้าถึงยังอยู่ที่นี่ได้”


“แต่ถึงอย่างนั้น… ข้าก็คงอยู่ที่นี่ได้อีกไม่นาน”


หลิงฮันไม่ได้ออกไปตามหาจ้าวอสูรระดับดำของตระกูลถังที่ยึดทรัพยากรบ่มเพาะของเขา เพราะอย่างไรทรัพยากรเหล่านั้นก็ไม่จำเป็นสำหรับเขาอยู่แล้ว ส่วนสตรีนกอมตะในตอนนี้ก็ไม่ได้ต้องการทรัพยากรเหล่านั้นมากเท่าไหร่


เพียงแต่แม้เขาจะไม่เคลื่อนไหวแต่ทางตระกูลถังก็ยังทำการยั่วยุต่อไม่หยุด พวกเขานำโลหิตสุนัขมาเทราดไว้หน้าประตูห้องพักของหลิงฮันและตะโกนด่าด้วยคำพูดดูถูก


“โชคดีที่เจ้าดำน้อยไม่อยู่ ไม่เช่นนั้นก้นของพวกเจ้าคงแยกออกเป็นสามแฉกแล้ว” หลิงฮันพึมพำและไม่ลงมือตอบโต้ใดๆ เขาต้องการดูท่าทีของพันธมิตรทลายสวรรค์ก่อน


หากมีใครออกมาแสดงจุดยืนเพื่อเขา เขาก็จะอยู่ที่นี่ต่อและช่วยผสานดินแดนทั้งสองให้ในอนาคต


แต่หลิงฮันก็ต้องผิดหวัง ขนาดมีรุ่นเยาว์ตระกูลถังหลายคนลงมือยั่วยุเขาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้กลับไม่มีใครออกหน้าเพื่อเขาเลย


“หลิงฮัน กล้าออกมาสู้รึไม่!”


“ข้าจะใช้เพียงนิ้วเดียวเท่านั้น”


“เป็นแค่มดปลวกแต่บังอาจมาเข้าร่วมกับพันธมิตรทลายสวรรค์!”


สมาชิกตระกูลถังทั้งสามนำโลหิตสุนัขมาราดหน้าประตูห้องหลิงฮันทุกวัน แน่นอนว่าราชารุ่นเยาว์คนอื่นๆย่อมสังเกตเห็นแต่พวกเขาก็เลือกที่จะดูอยู่ห่างๆ พวกเขาไม่ใช่คนโง่ การที่ทางผู้ฝึกสอนไม่ลงมือใดๆก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่าพวกเขาไม่ต้องการช่วยเหลือหลิงฮัน


ผ่านมาหลายวันสามรุ่นเยาว์ตระกูลถังก็ยังมายืนยั่วยุอยู่ด้านนอก คำพวกของพวกเขาค่อยๆหยาบคายขึ้นเรื่อยๆ


‘พรึบ’ เงาของใครบางคนปรากฏตัวจากห้องพัก ‘ปัง ปัง ปัง’ เสียงจู่โจมที่รุนแรงดังขึ้นพร้อมกับร่างของรุ่นเยาว์ตระกูลถังทั้งสามถูกซัดหน้าลอยกระเด็น


หลิงฮันยืนพาดมือไว้ด้านหลังและปลดปล่อยจิตสังหารอันรุนแรงออกมา

 

 

 


ตอนที่ 1584

 

รุ่นเยาว์ตระกูลถังทั้งสามตกตะลึงและนำมือกุมไว้ที่ใบหน้าด้วยความเจ็บปวด


หลิงฮันปรากฏตัวแล้วจริงๆ แถมยังลงมือกับพวกเขาด้วย


ที่จริงเรื่องที่หลิงฮันจะปรากฏตัวนั้นพวกเขาไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่ ตราบใดที่คนเราไม่ใช่รูปปั้นหินหากถูกยั่วยุขนาดนั้นแล้วย่อมไม่มีใครทนไหว แต่ที่พวกเขาตกตะลึงและยอมรับไม่ได้การโจมตีของหลิงฮันทรงพลังจนพวกเขาไม่อาจตอบโต้ทัน


แค่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงทำไมถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?


“จะ เจ้ากล้าทำร้ายพวกข้า?” หนึ่งในสามรุ่นเยาว์ตระกูลถังตั้งสติได้และคำรามใส่หลิงฮัน ชื่อของเขาคือถังปิงเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด


เขายอมรับไม่ได้ ตัวเขาเป็นถึงราชาระดับสามและมีพลังบ่มเพาะสูงกว่าหลิงฮัน เหตุใดถึงไม่สามารถตอบโต้การโจมตีของอีกฝ่าย?


“ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าเป็นฝ่ายยั่วยุข้าเอง?” หลิงฮันแสยะยิ้ม


“พวกเราไม่ได้ฝ่าฝืนกฎของที่นี่เสียหน่อย” ถังปิงกล่าว พวกเขาแค่นำโลหิตสุนัขมาราดทิ้งเท่านั้น หุบเขาวารีครามไม่มีกฎที่ลงโทษการกระทำเช่นนี้ของพวกเขา


ที่จริงเหล่าคนที่จะมาอยู่ในหุบเขาวารีครามได้ล้วนแต่ต้องเป็นราชาในหมู่ราชา เพราะงั้นพวกผู้อาวุโสคงไม่มีใครคิดหรอกว่าจะมีราชาที่ทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้


แต่การกระทำของหลิงฮันนั้นต่างออกไป ที่นี่มีกฎว่าห้ามปะทะกับคนอื่นโดยที่อีกฝ่ายไม่ยินยอม


จุดประสงค์ที่รุ่นเยาว์ตระกูลสามยั่วยุหลิงฮันก็เพื่อต้องการให้หลิงฮันฝ่าฝืนกฎและขุมอำนาจฝ่ายที่ไม่เปิดรับคนนอกจะจับกุมหลิงฮันทันทีโดยไม่สนใจความเห็นของฝ่ายเปิดรับ


เมื่อตกมาอยู่ในกำมือพวกเขาแล้ว แล้วหลิงฮันจะสามารถเก็บกุมความลับใดๆได้?


สำหรับจอมยุทธที่บ่มเพาะอำนาจแห่งเต๋าจนบรรลุระดับสูง การตรวจสอบวิญญาณนั้นทำได้ง่ายราวพลิกฝ่ามือ


เพียงแต่ความลับของหลิงฮันนั้นจะไม่ตกไปอยู่ในมือของตระกูลถังเพียงฝ่ายเดียวแต่ต้องแบ่งกับดินแดนต้องห้ามอื่นๆที่อยู่ฝ่ายไม่เปิดรับคนนอกด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไรตระกูลถังก็จะได้ทั้งแก้แค้นและได้ทักษะบ่มเพาะระดับราชานิรันดร์ ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะต้องรู้สึกไม่พอใจ


“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดกฎก็ไม่อาจถูกฝ่าฝืน เจ้าจะต้องถูกลงโทษเพราะการกระทำอันชั่วร้ายของเจ้า!” ถังปิงกล่าวด้วยความสะใจ ที่เจ้าบังอาจซัดหน้าข้า เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต!


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ข้าฝ่าฝืนกฎไปเพียงเล็กน้อย แต่อีกเดี๋ยวเจ้าก็จะได้เห็นข้าฝ่าฝืนกฎอย่าแท้จริงแล้ว จริงสิ เจ้ามีอะไรจะสั่งเสียรึไม่?”


“ฮ่าๆๆ เจ้ากล้าสังหารข้า?” ถังปิงหัวเราะด้วยใบหน้าเหยียดหยาม ข้างกายเขามีคนของตระกูลถังอยู่ด้วยถึงสองคน แถมคราวนี้เขาก็ตั้งตัวเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว ไม่มีทางที่จะถูกซัดลอยกระเด็นแบบเมื่อครู่


“นั่นคือคำสั่งเสียสุดท้าย?” หลิงฮันส่ายหัวด้วยสีหน้าเวทนา


รอบข้างพวกเขามีราชารุ่นเยาว์คนอื่นๆกำลังมองดูอยู่แต่ไม่มีใครสักคนที่เอ่ยกล่าวอะไรออกมา ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือความบาดหมางของผู้อาวุโสในพันธมิตร แม้พวกเขาจะเป็นอัจฉริยะก็ไม่กล้าแทรกแซง


ที่หลิงฮันทำร้ายคนอื่นนั้นบทลงโทษไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไร หากขุมอำนาจฝั่งเปิดรับคนนอกอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบ เพียงแค่หลิงฮันกล่าวขอโทษสักสองประโยคเรื่องก็จะจบลงอย่างง่ายดาย แต่หากขุมอำนาจฝ่ายปิดรับคนนอกกำลังได้เปรียบ แม้แต่บทลงโทษเบาๆก็กลายเป็นบทลงโทษแสนสาหัสได้


“หลิงฮัน เจ้ามันช่างอวดดี!” ถังปิงกล่าวเย็นชาและหัวเราะลั่น “เจ้าเป็นเพียงแค่คนนอกเท่านั้น ต่อให้ผู้อาวุโสส่วนหนึ่งจะเห็นดีเห็นชอบเจ้าแต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะทำทุกอย่างได้ตามใจโดยไม่สนกฎ!”


“คนอย่างเจ้าสมควรได้รับบทลงโทษสถานหนัก!”


หลิงฮันเลิกพล่ามไร้สาระ เขานำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาและฟาดฟันออกไป


ฉัวะ!


หัวมนุษย์ลอยกระเด็นขึ้นฟ้า น้ำพุโลหิตสาดออกมาจากร่างไร้หัวและล้มลงสู่พื้น หัวที่ลอยอยู่บนฟ้ามีสีหน้าตกตะลึง ยังไม่ทันที่ถังปิงจะได้ถอดวิญญาณออกจากร่างเพื่อหลบหนีดวงวิญญาณของเขาก็ถูกดาบอสูรนิรันดร์ทำลายไม่เหลือซาก


ถังปิงตายแล้ว…


ร่างของทุกคนที่ดูอยู่ชะงักแน่นิ่งและพูดอะไรไม่ออก


บ้าไปแล้ว หมอนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ เขากล้าสังหารคนในหุบเขาวารีคราม


ความผิดก่อนหน้านี้ที่หลิงฮันฝ่าฝืนกฎโดยการทำร้ายคนอื่นนั้น ขอแค่มีผู้อาวุโสสักคนออกหน้า เขาก็สมควรโดนลงโทษเพียงแค่ให้กล่าวขอโทษสองสามครั้งเนื่องจากไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ตอนนี้สถานการณ์ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเพราะว่ามีคนเสียชีวิต!


“จะ จะ เจ้า…” รุ่นเยาว์ตระกูลถังสองคนที่เหลือชี้นิ้วใส่หลิงฮันและพูดอะไรไม่ออก


“พวกไร้สมอง คิดว่าแค่แผนการอ่อนหัดของพวกเจ้าจะได้ผล?” หลิงฮันส่ายหัว “หากข้าไม่สังหารพวกเจ้าบทลงโทษของข้าก็จะเบาเกินไป พวกเจ้าคิดจริงๆหรือว่าแค่ข้าซัดหน้าพวกเจ้าเบื้องบนจะลงมือกับข้า?”


ร่างของรุ่นเยาว์ตระกูลถังทั้งสองสั่นสะท้าน ที่หลิงฮันพูดก็มีเหตุผล! ไม่เช่นนั้นเวลาก็ผ่านมาพอสมควรแล้ว เหตุใดผู้ฝฝึกสอนถึงยังไม่ลงมืออีก?


แต่ทั้งๆที่รู้เช่นนั้นอยู่แล้วหลิงฮันยังลงมือสังหาร? นี่เขาบ้าไปแล้วรึไง?


หลิงฮันยิ้ม “ข้าไม่ได้บ้า แค่กำจัดขยะไร้ประโยชน์สามชิ้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร! หลายวันที่พวกเจ้ามาก่อปัญหา ข้าได้มอบโอกาสให้พวกเจ้าล่าถอยแล้ว แต่ในเมื่อพวกเจ้ายังยืนกรานที่จะตายข้าก็ไม่รังเกียจที่จะส่งพวกเจ้าไปยังเส้นทางที่พวกเจ้าเลือก!”


เขากวัดแกว่งดาบและกระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมสังหารทั้งยี่สิบเจ็ดในร่างกาย


‘ฉัวะ ฉัวะ’ ศีรษะของคนสองคนลอยขึ้นท้องฟ้า ร่างไร้หัวมีโลหิตสาดออกมาจากคอราวกับน้ำพุ


ทุกคนรอบข้างชะงักแข็งค้าง รุ่นเยาว์ตระกูลถังทั้งสามคนนี้แม้เทียบกับพวกเขาแล้วจะจัดอยู่ในลำดับล่างๆ แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็เป็นคนของดินแดนต้องห้ามและเป็นอัจฉริยะ พวกเขาไม่ใช่กลุ่มคนที่จะถูกสังหารราวกับหมูหมาไร้ค่า


ความกล้าหาญเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แต่หากเลือดร้อนเกินไปจะเป็นการนำภัยพิบัติมาใส่ตัวแทน


“ฮึ่ม!” เสียงคำรามอันเย็นชาดังขึ้นพร้อมอำนาจอันทรงพลัง ทันใดนั้นคลื่นแสงแห่งเต๋าก็พวยพุ่งเข้ามา คนที่ปรากฏตัวไม่ใช่แค่จ้าวอสูรระดับเหลืองอย่างเดียวแต่จ้าวอสูรระดับดำก็มาเช่นกัน


“หลิงฮัน เจ้าช่างหาญกล้านัก!” คนที่คำรามคือเย่ซิ้งจาง เป็นเขากับเจิ้งจิ่งที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆให้หลิงฮันในตอนนี้ที่เพิ่งมาถึงที่นี่


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “สำหรับจอมยุทธแล้ว ความตายเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง”


“เจ้ามันตัวสร้างปัญหาจริงๆ!” เจิ้งจิ่งเองก็มาด้วย เขากล่าวด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ตัวเขานั้นเป็นคนของฝ่ายเปิดรับคนนอก เพียงแต่จ้าวอสูรระดับดำเช่นเขาย่อมไม่มีสิทธิ์ที่จะแทรกแซงความผิดในระดับที่ถึงกับสังหารคนอื่นตาย


ขอแค่ไม่สังหารใคร ต่อหลิงฮันจะฝ่าฝืนกฎอย่างไรเขาก็สามารถช่วยเหลือได้ แต่ตอนนี้น่ะรึ… ฮึ่ม!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)