Alchemy Emperor of the Divine Dao 1557-1570

ตอนที่ 1557

 

หลิงฮันนั่งอยู่ในลานที่และกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง


เผื่อหลบหนีเซียนเขาถึงได้มายังดินแดนใต้พิภพแห่งนี้ และตอนนี้เมื่ออยู่ในดินแดนใต้พิภพเป็นที่เรียบร้อยเขาก็สมควรวางแผนว่าจะอะไรต่อไปดี


แน่นอนว่าเป้าหมายหลักคือการยกระดับพลังของตัวเอง


หากยังเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ต่อไปต่อให้เขาจะเป็นจักรพรรดิปรุงยาที่สามารถกินเม็ดยาเล่นได้ราวกับเป็นลูกอมก็ยังบ่มเพาะพลังไปได้อย่างเชื่องช้า หากบ่มเพาะพลังด้วยวิธีปกติจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีในการยกระดับพลังบ่มเพาะหนึ่งชั้นย่อย


วิธีการนี้มันช้าเกินไป กว่าจะบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งเขาต้องเสียเวลาไปถึงหนึ่งพันปี


หากต้องการเร่งความเร็วในการบ่มเพาะพลังยิ่งขึ้นไปอีกจำเป็นต้องมีสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ แต่สมุนไพรล้ำค่าเช่นนั้นมีให้พบเห็นได้เพียงน้อยนิด


“หากข้าบุกรุกดินแดนต้องห้าม ข้าเชื่อว่าดินแดนต้องห้ามแต่ละแห่งจะต้องมีสมุนไพรเช่นนั้นอยู่อย่างน้อยที่ละหนึ่งถึงสองต้น แต่ปัญหาคือดินแดนต้องห้ามมีราชาเซียนนั่งดูแลอยู่ หากข้ามีพลังแข็งแกร่งพอจะจัดการกับตัวตนระดับนั้นข้าจะต้องการสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำไปทำไม?”


หลิงฮันคิดไม่ตก “จะหาวิธีสร้างสถานการณ์ที่ทำให้เหล่าเซียนออกมาจากดินแดนต้องห้ามและฉวยโอกาสนั้นบุกเข้าไปได้รึเปล่านะ”


แต่สถานการณ์แบบไหนถึงจะทำเช่นนั้นได้?


“เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วกัน นอกจากเรื่องยกระดับพลังให้กับตัวข้าเองแล้ว ข้าต้องทำให้ดาบอสูรนิรันดร์พัฒนาขึ้นเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบแปด สิบเก้า ยี่สิบให้ได้ และหากมีวัสดุเซียนระดับสูงอยู่มากพอ มันจะกลายเป็นอุปกรณ์นิรันดร์ในที่สุด!”


ดวงตาของหลิงฮันส่องประกาย หากดาบอสูรนิรันดร์ยกระดับขึ้นไปถึงระดับนั้น เขาจะเป็นตัวตนไร้เทียมทานในดินแดนศักดิ์สิทธิ์และดินแดนใต้พิภพอย่างแท้จริง เพียงแค่ดาบเดียวเขาย่อมสามารถสังหารราชาเซียนได้


“แต่นั่นก็เป็นปัญหาอีก หากต้องการวัสดุเซียนจำนวนมากเป็นไปได้ว่าจะยากลำบากยิ่งกว่าการหาสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำเสียอีก”


หลิงฮันถอนหายใจ เส้นทางแห่งวิถีวรยุทธมักจะติดขัดและประสบปัญหาเสมอ


“หรือจะลองไปถามจ้าวอสูรขวงล่วนดูว่ามีวิธีการใดบ้างที่สามารถสะสมปราณก่อเกิดเข้าสู่ร่างหายได้อย่างบ้าคลั่ง ข้ามีต้นสังสารวัฏอยู่แล้ว การทำความเข้าในหลักการของระดับพลังบ่มเพาะนั้นไม่ใช่ปัญหา”


‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ ในขณะที่หลิงฮันกำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา


หลิงฮันเปิดประตูด้วยปราณก่อเกิดก่อนจะพบกับสตรีงดงามผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า แววตาของนางใสกระจ่างราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ริมฝีปากของนางอวบอิ่มมียั่วยวนเป็นอย่างมาก กลิ่นอายรอบตัวของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าดึงดูด


“พี่ชายฮัน!” สตรีผู้นั้นเดินพรวดเข้ามาและพุ่งเข้าสู่อ้อมกอดหลิงฮัน แต่ก่อนจะถึงตัวหลิงฮันนางก็พบว่าในที่พักนี้มีหลิงฮันอยู่เพียงแค่คนเดียวนางจึงหยุดชะงักและตะโกนเสียงดัง “พี่ชายฮัน! พี่ชายฮัน!” นางตะโกนถึงสองรอบราวกับจงใจอยากให้ใครได้ยิน


หลิงฮันจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะ “อูเจวี๋ยส่งเจ้ามา?”


สตรีผู้นั้นชะงักก่อนจะส่ายหัวและเผยรอยยิ้ม “พี่ชายฮันพูดเรื่องอะไร ข้าเพียงแค่ชอบท่านเลยอยากอยู่กับท่านก็แค่นั้นเอง!” นางเอ่ยตอบหลิงฮันก่อนจะตะโกน “พี่ชายฮัน! ชายฮัน!”


หลิงฮันส่ายหัว อูเจวี๋ยช่างเด็กน้อยเสียจริงที่คิดจะใช้แผนสาวงามเช่นนี้สร้างความแตกร้าวให้เขากับสตรีนกอมตะ


เขาไม่ห้ามปรามและอยากรู้ว่าอูเจวี๋ยจะมาไม้ไหนบ้าง


ผ่านไปสัพักเสียงเคาะประตูก็ดังอีกครั้ง หลิงฮันเปิดประตูด้วยปราณก่อเกิดและได้มีสตรีงดงามอีกคนเดินพรวดพราดเข้ามา


“พี่ชายฮัน…” นางตะโกนเสียงดัง สายตาของนางมองไปยังสตรีคนแรกที่ทำสีหน้าแปลกประหลาด พอนางลองมองไปรอบข้างก็ไม่พบกับเป้าหมายอีกคน นางไม่มีคนชมและมีเพียงนักแสดง พวกนางจะแสดงละครให้ใครดู?


หลิงฮันยิ้ม “เจ้าเองก็ชอบข้าเลยเสนอตัวเป็นหมอนข้างให้ข้าเช่นกัน?”


สตรีคนที่สองใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ แววตาของนางปรากฏร่องรอยของความอับอายก่อนจะพยักหน้า


หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “เช่นนั้นจะมัวรออะไรอยู่ ถอดเสื้อผ้าออกสิอย่าได้เสียเวลา!”


สตรีทั้งสองตัวกระตุก เจ้าช่างโรคจิตอะไรเช่นนี้ คิดจะทำเรื่องไร้ยางอายกลางลานที่พักนี้เลย?


“อายงั้นรึ? ดูเหมือนข้าต้องเป็นคนลงมือถอดให้เอง!” หลิงฮันลงมือ สตรีทั้งสองรีบวิ่งหนีอย่างรวดเร็วแต่มีรึที่จะหนีพ้นจากเงื้อมมือของหลิงฮัน


เมื่อเห็นว่าหลิงฮันค่อยก้าวเดินเข้ามาใกล้ด้วยแววตามากตัณหา สตรีทั้งสองก็หวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด


สตรีคนหนึ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป “พวกเราไม่รู้จักท่าน นายน้อยเป็นคนส่งพวกเรามา!”


หลิงฮันยิ้ม เขามองไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกับกล่าว “ยังไม่มาพาพวกนางกลับไปอีกรึ!”


อูเจวี๋ยกำลังแอบดูอยู่ในหอคอยสูงที่ห่างไกลออกไป เมื่อเห็นแววตาของหลิงฮันจ้องมองมาเขาก็รีบก้มหัวลงทันทีราวกับจะสื่อว่า ข้าไม่ได้มองเจ้าอยู่เสียหน่อย เจ้ามองมาที่ข้าทำไม


ม่อหลีส่ายหัว เมื่อไหร่นายน้อยของนางคนนี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียที? เติบโตที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงร่างกายแต่เป็นจิตใจและความคิด


นางกระโดดลงมาจากหอคอยสูงและปรากฏตัวที่ลานที่พักของหลิงฮัน


“น่าตลกอะไรอย่างนี้” นางกล่าวเบาๆ


หลิงฮันยิ้ม “ก็แค่ความคิดของเด็กน้อย”


แม้อูเจวี๋ยจะหลบอยู่ไกลออกไป แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงฮันเขาก็โมโหขึ้นมาทันที ข้าไม่ใช่เด็กเสียหน่อย!


ม่อหลีโบกมือให้กับสตรีทั้งสองและกล่าว “ไปได้แล้ว!”


ม่อหลีไม่แม้แต่มองไปที่พวกนางแต่จดจ้องไปยังหลิงฮัน “นายน้อยยังเด็กอยู่มากถึงได้ทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ เพื่อเป็นการชดเชยให้เจ้าข้าจะแนะนำอะไรบางอย่าง ในอีกหนึ่งเดือนหุบเขามหาสมุทรมังกรจะเปิดออก ข้าจะมอบสิทธิ์เข้าร่วมให้เจ้า”


หลิงฮันยิ้มและถาม “อะไรคือหุบเขามหาสมุทรมังกร?”


“ซากโบราณสถานแห่งหนึ่งที่มอบวาสนายิ่งใหญ่ให้กับจอมยุทธที่ระดับพลังต่ำกว่าสร้างสรรพสิ่ง” ม่อหลีกล่าว “โบราณสถานที่ว่าไม่ได้อยู่ในเขตดวงอรุณสาดส่อง มันถูกปกครองด้วยอำนาจของอสูรนับสิบ จำนวนของผู้ที่จะได้เข้าไปจึงมีจำกัด สิทธิ์เข้าร่วมของพวกเรามีเพียงสิบตำแหน่งเท่านั้น”


ในปราสาทอสูรแห่งความยุ่งเหยิงแห่งนี้ม่อหลีมีอำนาจมากเท่าใดกันแน่ ขนาดสิทธิ์ที่มีเพียงสิบตำแหน่งนางยังรับประกันให้หลิงฮันได้


“ตกลง อะไรที่แล้วมาก็แล้วไป จะว่าไป…” หลิงฮันแน่นิ่งไปครู่หนึ่ง “ผู้อาวุโสขวงล่วนสามารถสร้างอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่ใช่รึ จะสามารถนำคนเข้าไปในอุปกรณ์มิติแล้วเข้าไปยังโบราณสถานได้รึไม่?”


ม่อหลีมองหลิงฮันราวกับคนโง่ “ถ้าฝืนนำอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในโลกจำลองมีแต่จะทำให้อุปกรณ์มิติพังทลาย”


ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น


หลิงฮันพยักหน้า หอคอยทมิฬเป็นอุปกรณ์นิรันดร์ที่อาจจะอยู่ในระดับที่สูงที่สุดจึงไม่ถูกจำกัดด้วยโลกจำลอง ไม่เช่นนั้นเขตแดนลี้ลับจำนวนมากที่เข้าเคยเข้ามาก่อนหน้านี้คงทำให้หอคอยทมิฬพังไปแล้วนับร้อยครั้ง


“พวกเราจะออกเดินทางในอีกสามวัน” ม่อหลีกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะจากไป

 

 

 


ตอนที่ 1558

 

“เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริงๆม่อหลี!” อูเจวี๋ยรีบวิ่งไล่ตามม่อหลีไป “ในตอนนี้หมอนั่นไปหุบเขามหาสมุทรมังกร ข้าก็จะได้อยู่กับพี่สาวสองต่อสองและมีโอกาสหว่านล้อมให้นางเกลียดหมอนั่น”


ม่อหลีหันมองอูเจวี๋ยอย่าไม่แยแส “การเดินทางไปหุบเขามหาสมุทรมังกรครั้งนี้ท่านก็ต้องไปด้วย!”


“ว่าไงนะ?” อูเจวี๋ยตกตะลึงและส่ายหัว “ข้าไม่ไป! ข้ายังอ่อนหัดเกินไป ขออยู่บ่มเพาะพลังที่นี่ก็พอ”


“หุบเขามหาสมุทรมังกรจะเปิดเพียงหนึ่งครั้งในล้านปี หากรอคราวหน้าเจ้าก็กลายเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์แล้ว” ม่อหลีกล่าว “หุบเขามหาสมุทรมังกรนั้นยิ่งไปก่อนก็ยิ่งดีต่อตัวเจ้า”


“ไม่เอา! ข้าไม่อยากไป!” อูเจวี๋ยเอาแต่ใจ “อุตส่าห์หาวิธีไล่หมอนั่นไปได้แล้วแท้ๆ ข้าอยากอยู่ด้วยกันกับพี่สาวสองต่อสอง!”


“ข้าไม่ได้ถามความเห็นของท่าน ข้าแค่แจ้งให้ท่านรู้เท่านั้น” ม่อหลีกล่าวอย่างไร้อารมณ์โดยไม่ไว้หน้านายน้อยของนางแม้แต่น้อย


“ข้าจะไปคุยกับท่านพ่อ!” อูเจวี๋ยไม่พอใจ


“ฮะๆ” ม่อหลีหัวโดยไม่ยิ้ม


แต่นอนว่าอูเจวี๋ยคัดค้านไม่สำเร็จ สามวันต่อมาชื่อของเขาได้ปรากฏอยู่ในรายชื่อของตำแหน่งทั้งสิบ


สิบคนที่ว่ามีหลิงฮัน ม่อหลี อูเจวี๋ย ฉื้อหวงจี่่และศิษย์พรสวรรค์อีกหกคน อันที่จริงม่อหลีไม่ได้ผลประโยชน์หุบเขามหาสมุทรมังกรมากเท่าไหร่ นางมีหน้าที่เป็นคนคุ้มกันให้กับศิษย์น้องทั้งเจ็ดคนเท่านั้น


หลิงฮันถูกใครหลายคนไม่ชอบหน้าเนื่องจากว่าเขาเป็นแค่คนนอกแท้ๆแต่กลับแย่งชิงตำแหน่งเข้าร่วมหุบเขามหาสมุทรมังกรไปทั้งๆที่ศิษย์จำนวนมากพยายามอย่างหนักหลายปีเพื่อให้ได้มา


ต่อให้เป็นแค่หนึ่งศิษย์ แต่เขาก็ยังเป็นคนนอกอยู่ดี!


แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งที่จ้าวอสูรขวงล่วนตัดสินใจด้วยตัวเองจึงไม่มีใครกล้าตั้งคำถามใดๆ


การเดินทางในครั้งนี้จ้าวอสูรขวงล่วนเป็นคนนำทุกคนออกเดินทางด้วยเหตุผลที่ว่าหากใช้ยานเหาะดาราจะใช้เวลานานเกินไป


คลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองปรากฏออกมาโอบล้อมทั้งสิบคน จ้าวอสูรขวงล่วนสะบัดแขนเสื้อนำพาพวกเขาขึ้นสู่ห้วงอวกาศ


ครั้งนี้ระยะการเดินทางไกลมาก ผ่านไปสิบเจ็ดวันพวกเขาได้มาถึงดวงดาวอันรกร้างดวงหนึ่ง ดาวดวงนี้เป็นดาวที่ตายแล้วเนื่องจากสัมผัสไม่ได้ถึงพลังวิญญาณหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ


ณ เวลานี้มีจ้าวอสูรมากกว่าหนึ่งคนมาถึงที่ก่อนแล้ว พวกเขาแต่ละคนไม่ว่าใครก็ล้วนมีพลังที่แข็งแกร่งราวกับเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล


จ้าวอสูรขวงล่วนทักทายจ้าวอสูรคนอื่นๆโดยปล่อยให้เหล่ารุ่นเยาว์ทำความรู้จักกันเอง


“ม่อหลี พวกเราไม่ได้พบเจอกันนานเท่าไหร่แล้ว?” ชายคนหนึ่งก้าวเดินเข้ามา เขาเป็นรุ่นเยาว์ที่สมควรมีอายุไม่เกินสิบล้านปีแต่กลับมีพลังบ่มเพาะสูงถึงระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุด


ม่อหลีมองไปที่อีกฝ่ายอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะพยักหน้าทักทาย


“เจ้ากับข้าปะทะกันเจ็ดครั้ง เจ้าเป็นฝ่ายชนะสี่ส่วนข้าชนะสาม ข้าว่าเราควรมีการปะทะครั้งที่แปดกันได้แล้วเพื่อที่จะได้เสมอกันสี่ต่อส่อ!” ชายคนนั้นกล่าวด้วยใบหน้ามั่นใจ


การที่สามารถสู้กับม่อหลีได้ถึงเจ็ดครั้ง ชายคนนี้ถือว่าทรงพลังอย่างแท้จริง


“หมอนั่นมีชื่อว่าจูป้า แต่พวกเราเรียกเขาว่าเจ้าหมูป้า (คำว่าหมูอ่านออกเรียกคล้ายจู)” อูเจวี๋ยกล่าวอธิบาย “เห็นว่าหลังครั้งแรกที่หมอนั่นพ่ายแพ้ให้กับม่อหลีเขาก็ไล่ตามขอท้าประลองม่อหลีอยู่ตลอด แต่นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอื่นที่สามารถปะทะกับม่อหลีได้มากขนาดนั้น”


อูเจวี๋ยยืนยิ่งเฉย นางไม่เผยทั้งท่าทีอยากสู้หรือท่าทางปฏิเสธการต่อสู้


ผ่านไปอีกไม่กี่วันจ้าวอสูรคนอื่นๆก็มาถึง คลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองส่องประกายไปทั่วบริเวณเนื่องจากแต่ละคนได้พาศิษย์หรือไม่ก็คนของตนเองมาด้วย จ้าวอสูรป้าเจี้ยนเองก็มาเช่นกัน ข้างกายเขามีจูเซวียนยืนอยู่กับศิษย์อีกเก้าคน


เมื่อจูเซวียนเห็นหลิงฮันนางก็แสดงท่าทีประหลาดใจออกมาอย่าปิดไม่มิด แต่พอชำเลืองไปเป็นอูเจวี๋ยนางก็รีบหันหน้าหนี


เมื่อมาถึงหนึ่งวันก่อนที่หุบเขามหาสมุทรมังกรจะเปิด จ้าวอสูรทุกคนก็มาถึง มีคำกล่าวว่าหุบเขามหาสมุทรมังกรนั้นมีพลังลึกลับบางอย่างอยู่ภายใน ทุกครั้งที่มันเปิดออกจ้าวอสูรทุกคนจะทำได้เพียงนั่งมองอยู่ภายนอก


ในดินแดนใต้พิภพ จ้าวอสูรเองก็ถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับ สวรรค์ ปฐพี ทมิฬและเหลือง จ้าวอสูรสวรรค์เทียบกับได้ราชาเซียนในขณะที่จ้าวอสูรระดับเหลืองนั้นเทียบได้กับเซียนระดับต้น


จ้าวอสูรขวงล่วนและจ้าวอสูรคนอื่นๆในที่นี่คือจ้าวอสูรระดับเหลือง พวกเขาไม่สามารถเข้าไปยังหุบเขามหาสมุทรมังกรได้เนื่องจากจะไปกระตุ้นพลังลึกลับภายในหุบเขามหาสมุทรมังกร ในอดีตมีจ้าวอสูรเคยเข้าไปและตกตายทำให้ไม่มีจ้าวอสูรคนไหนกล้าเข้าไป


แต่หากเป็นจอมยุทธที่มีระดับพลังต่ำกว่าเจ้าอสูรนั่นสามารถเข้าไปได้โดยไม่กระตุ้นให้พลังลึกลับทำงานราวกับว่าพลังนั่นคร้านจะแยแสจอมยุทธที่อ่อนแอ


จ้าวอสูรที่อยู่ที่นี่มีทั้งหมดสิบเจ็ดคนและมีผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมอีกหนึ่งร้อยเจ็ดสิบคน บางคนเป็นจอมยุทธที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานอย่างม่อหลี บางคนเป็นจอมยุทธหน้าใหม่อย่างอูเจวี๋ยที่อายุเพียงร้อยกว่าปี เปรียบกับคนอื่นแล้วเขาก็คือเด็กน้อยนั่นเอง


หนึ่งวันสุดท้ายผ่านไป เมื่อดวงตะวันล่องลอยขึ้นสู่ขอบฟ้า เกิดเสียงดังสนั่นลั่นฟ้าพร้อมเขายอดเขาได้ปรากฏออกมาจากพื้นดินของดวงดาว ที่น่าตกตะลึงคือรอบภูเขานั่นถูกล้อมรอบไปด้วยสมาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ แม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่ร่วงลงสู่พื้นดิน


ภูเขานั้นไม่สูงมาก ยอดของมันสูงแค่ร้อยฟุตเท่านั้น มหาสมุทรเองก็ไม่กว้างใหญ่เท่าไหร่แต่หากก้าวเท้าเข้าไป อำนาจกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์และปฐพีที่พิเศษของมันจะทำให้ภูเขามีขนาดสูงเสียดและมหาสมุทรจะกว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด


มีคำกล่าวว่าแค่การก้าวผ่านมหาสมุทรเพียงอย่างเดียวก็ทำให้จอมยุทธกว่าเก้าในสิบส่วนยอมแพ้แล้ว ยิ่งกว่านั้นคนอื่นที่เหลืออยู่ก็ไม่มีใครเลยที่สามารถขึ้นไปถึงยอดเขาได้สำเร็จ


จากด้านนอกจะพบเห็นว่ามีตำหนักตั้งอยู่บนยอดภูเขา ทั่วทั้งตำหนักเป็นสีฟ้าใสโดยสามารถมองเห็นรูปปั้นมังกรแท้จริงได้อย่างเรือนราง ชื่อของหุบเขามหาสมุทรมังกรก็ถูกตั้งจากสิ่งนี้เอง


หุบเขามหาสมุทรมังกรคือเขตแดนลี้ลับที่ดูเหมือนจะเข้าไปจากทุกทิศทาง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น รอบภูเขาและมหาสมุทรที่กำแพงที่มองไม่เก็นขวางกั้นอยู่


การเข้าไปต้องเข้าผ่านทางเข้าหลักเท่านั้น


“รีบเข้าไป พวกเจ้าทุกคนมีเวลาเพียงแค่สามปีเท่านั้น” จ้าวอสูรคนหนึ่งกล่าว


ทุกคนกำลังจะก้าวเข้าสู่ทางเข้า แต่ทันใดนั้นเองคลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองก็พุ่งเข้ามา ‘พรึบ’ คนหกคนปรากฏตัวออกมาจากแสงแห่งเต๋า


หนึ่งเป็นชายชราที่มีรูปลักษณ์อยู่ในวันหกสิบถึงเจ็บสิบปีในขณะที่คนอื่นๆเป็นรุ่นเยาว์ทั้งหมด


เจ้าอสูรทั้งสิบเจ็ดชะงัก พวกเขาเป็นผู้ปกครองเขตดวงดาวระแวกนี้ แน่นอนว่าต้องรู้จักปรมาจารย์ทุกคนเป็นอย่างดี แต่สำหรับชายชราผู้นี้พวกเขาไม่คุ้นหน้าแม้แต่น้อย


แต่ที่แน่ใจคือ อีกฝ่ายเป็นจ้าวอสูรระดับเหลืองเหมือนพวกเขาไม่ผิดแน่


“ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ ระหว่างทางไม่คาดคิดว่าจะพบเจอกับซากโบราณสถานลึกลับ” จ้าวอสูรที่เพิ่งปรากฏตัวกล่าว “เรื่องบังอัญก็เปรียบเสมือนเจตจำนงของสวรรค์ พวกเจ้าจงเข้าไปแสวงหาวาสนาของพวกเจ้าซะ”


“ขอรับผู้อาวุโสหก!” รุ่นเยาว์ทั้งห้าพยักหน้าด้วยความเคารพ


“ช้าก่อน!” จ้าวอสูรขวงล่วนกล่าว “สหาย เจ้าไม่อาจทำตามอำเภอใจ!”

 

 

 


ตอนที่ 1559

 

จ้าวอสูรเฒ่ามองไปยังAnchorจ้าวอสูรขวงล่วนเป็นคนแรกก่อนจะกวาดสายตามองจ้าวอสูรคนอื่นๆ “พวกเจ้ามีปัญหาอะไร?”


จ้าวอสูรป้าเจี้ยนก้าวออกมาและกล่าว “ที่นี่ไม่ต้อนรับคนนอก!”


“ฮ่าๆๆ” จ้าวอสูรเฒ่าหัวเราะและกล่าว “หากเจ้ามีความสามารถพอที่จะไล่ข้าออกไปข้าก็จะไป แต่ถ้าไม่มีก็หุบปากไปซะ!”


จ้าวอสูรคนอื่นๆจ้องมองจ้าวอสูรเฒ่าด้วยแววตาเย็นยะเยือกทันที


เจ้าเป็นคนนอกแท้ๆ แต่กลับกล้าทำตัวอวดดีเช่นนี้?


“จะสู้ก็เข้ามา!” ชายชรากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ


รุ่นเยาว์ทั้งห้าคนข้างกายเขาเองก็มีท่าทีหยิ่งยโสราวกับไม่เห็นจ้าวอสูรคนอื่นๆอยู่ในสายตา


หลิงฮันอดรู้สึกไม่ได้ว่า เหมือนเขาจะเคยพบคนที่มีท่าทีอันหยิ่งยโสจนฝังลึกถึงกระดูกเช่นรุ่นเยาว์ทั้งห้ามาก่อน


Anchor


จ้าวอสูรป้าเจี้ยนไม่กล่าวอะไร เขายกมือขึ้นมาพร้อมกับปลดปล่อยคลื่นแสงแห่งดาบเข้าใส่ชายชรา คลื่นดาบนี้มีความยาวเพียงหนึ่งฟุตและดูธรรมดาเป็นอย่างมาก


แต่การโจมตีของจ้าวอสูรมีรึจะธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก?


ชายชรายิ้มเล็กน้อยและยื่นฝ่ามือออกไปต้านคลื่นแสงแห่งดาบ การโจมตีของจ้าวอสูรป้าเจี้ยนที่พุ่งเข้ามาถูกทำให้สลายหายไปโดยไม่หลงเหลือพลังใดๆแม้แต่นิดเดียว


เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น จ้าวอสูรทั้งหลายก็เผยสีหน้าตกตะลึง


แม้จ้าวอสูรป้าเจี้ยนจะยังไม่เอาจริง แต่เขาก็เป็นจ้าวอสูรระดับเหลืองที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง แค่การโจมตีทั่วไปของเขาก็ทรงพลังมากแล้ว การที่การโจมตีถูกสลายได้อย่างง่ายดายขนาดนั้นย่อมหมายความว่าชายชราผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งเกินจะหยั่งถึง


หากจะสู้เป็นตายกับปรมาจารย์เช่นนั้นพวกเขาทั้งสิบเจ็ดคนจำเป็นต้องลงมือพร้อมกัน และอาจจะมีหนึ่งถึงสองคนที่เสียชีวิต


แต่กว่าจะบรรลุเป็นจ้าวอสูรได้คิดว่าพวกเขาฝ่าฟันความลำบากมากมาเพียงใด เพราะงั้นใครกันจะอยากตาย?


ชายชราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามีคุณสมบัติพอจะคุมสถานการณ์ที่นี่


“เหอๆ แทนที่จ้าวอสูรเช่นพวกเราจะบาดหมางและสังหารกัน ทำไมไม่ให้รุ่นเยาว์มาแลกเปลี่ยนวรยุทธกันแทนล่ะ” จ้าวอสูรสตรีคนหนึ่งเอ่ยกล่าว นางเป็นหญิงชราทียืนโดยใช้มือข้างหนึ่งค้ำไม้เท้าสีแดงที่ดูเก่าแก่เอาไว้


ไม้เท้าในมือนางไม่ใช่ไม้เท้าธรรมดาแต่เป็นอุปกรณ์เซียนที่ทรงพลัง


จ้าวอสูรคนอื่นๆที่ได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย


ในหมู่ศิษย์หรือคนของพวกเขา มีบางคนที่เป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น อย่างเช่นโม่หลีและจูป้า หากให้เหล่ารุ่นเยาว์เป็นคนลงมือ ไม่เพียงแค่พวกเขาจะสามารถควบคุมสถานกาณ์ได้แต่อาจจะสามารถไล่พวกคนนอกเหล่านี้ให้กลับออกไปได้อีกด้วย


ชายชรามีท่าทีไม่แยแสและยิ้มเจ้าอย่างอวดดี เขาย่อมรู้ว่าเจ้าอสูรเหล่านี้คิดอะไร เขาหันหน้าและกล่าว “โม่เอ๋อร์ เจ้าไปให้คำชี้แนะคนเหล่านั้นเสียหน่อย”


“ขอรับผู้อาวุโสหก” รุ่นเยาว์คนหนึ่งก้าวเดินออกมา เขาเป็นชายหนุ่มหล่อเหลา ผิวสีขาวของเขาส่องกระกายแสงสลัวสีทองแวววาว เขามองไปยังรุ่นเยาว์มากมายและยิ้ม “ข้าถังโม่ ใครต้องการแลกเปลี่ยนวรยุทธกับข้า?”


จ้าวอสูรป้าเจี้ยนลังเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “โม่หลี จูป้า หยุนเหอ พวกเจ้าสามคนไปเป็นคู่ประลองให้พวกเขา”


“ฝ่ายเจ้าเองก็ส่งคนมาสามคนด้วย” จ้าวอสูรขวงล่วนกล่าวกับจ้าวอสูรชรา


ชายชรายิ้มและกล่าว “ไม่จำเป็น แค่หนึ่งคนก็เพียงพอ!”


จะให้คนเดียวปะทะสามคน?


อย่างที่รู้กันว่าม่อหลี จูป้าและหยุนเหอนั้นเป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับวารีนิรันดร์ ทั้งสามควบแน่นดวงดาราได้มากเกินกว่าหนึ่งล้านดวง หากไม่ใช่เพราะอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของระดับสร้างสรรพสิ่งเข้าใจยากเกินไป ป่านนี้ทั้งสามคงบรรลุเป็นจ้าวอสูรแล้ว


“ข้าขอเป็นคนแรก!” จูป้ากล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ แน่นอนว่าปรมาจารย์เช่นเขาย่อมไม่อยากร่วมมือกับคนอื่นเพื่อเอาชนะศัตรู


ถังโม่กล่าวอย่างไม่แยแส “รีบๆลงมือซะ” เขากล่าวราวคนตนเองเป็นพี่ใหญ่ที่กำลังให้คำชี้แนะศิษย์น้อง


จูป้าเกรี้ยวกราด เขาก้าวออกไปและปล่อยหมัดทันที


ที่นี่มีจ้าวอสูรอยู่มากมาย เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะลงมือหนักเกินไป


ถังโม่พลักฝ่ามือออกมาเบาๆ ‘ครืนน’ คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวราวกับจะบดขยี้ปฐพีให้สิ้นซากพุ่งถูกปลดปล่อยเข้าใส่จูป้า


ทันทีที่เห็นการจู่โจมที่พุ่งเข้ามา จูป้าก็ไม่กล้ารับมือและรีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว


แม้แต่จ้าวอสูรครอื่นๆก็ตกตะลึง เหตุใดรุ่นเยาว์ผู้นั้นถึงทรงพลังขนาดนั้น นี่เขาควบแน่นดวงดาวสำเร็จที่ดวงกันแน่?


ถึงแม้ตามทฤษฎีแล้วจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์จะสามารถควบแน่นดวงดาราได้อย่างไม่มีขีดจำกัด แต่นั่นก็เป็นแค่ทฤษฎี ความจริงนั้นหลังจากดวงดารามีจำนวนมากเกินกว่าหนึ่งล้านดวง หากยังไม่สามารถทะลวงผ่านระดับพลังใหม่ได้การควบแน่นดวงดาราก็จะทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ


ต่อให้จะควบแน่นดวงดาราได้มากเพียงใด จำนวนของดวงดาราก็ไม่สมควรเกินกว่าหนึ่งล้านหนึ่งแสนดวง


แต่หากเป็นเช่นนั้น ถังโม่ผู้นี้จะแข็งแกร่งขนาดนั้นได้อย่างไร?


ในตอนที่ถังโม่โจมตี เขาเพียงแค่ผลักฝ่ามือออกมาโดยไม่ใช้ทักษะยุทธใดๆเลย


รุ่นเยาว์คนอื่นๆใบหน้าเปลี่ยนสี ในความคิดของพวกเขาจูป้าคือตัวตนระดับวารีนิรันดร์ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เมื่อครู่เขากลับต้องหลบหลีกการโจมตีของคู่ต่อสู้ราวอย่างเอาเป็นเอาตาย


“พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย!” ถังโม่ผลักฝ่ามือออกไปอีกครั้งทำให้ม่อหลีและหยุนเหอต้องลงมือ


จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสามร่วมมือกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไร้ความหมาย ถังโม่ราวกับเป็นจักรพรรดิสวรรค์ที่สามารถบดขยี้ทุกสิ่งได้ด้วยฝ่ามือเดียว พวกม่อหลีทั้งสามคนทำได้เพียงหลบหลีกการโจมตีและล่าถอย


“พอเท่านั้น!” จ้าวอสูรขวงล่วนยื่นมือเข้าไปหยุดการประลองและเอ่ยกับชายชรา “สหายมีชื่อว่าอะไร?”


ชยาชรายิ้ม “ข้าผู้นี้คือถังเฟิง แห่งดินแดนต้องห้ามตงชาง”


“ขอกล่าวกับสหาย ศิษย์ของเจ้าสามารถเข้าไปด้านในได้ แต่เขตแดนลี้ลับนี้มีอำนาจลึกลับที่เหนือกว่าจ้าวอสูรระดับดำ หากพวกเราเข้าไปจะเป็นการกระตุ้นให้อำนาจลึกลับทำงาน เพราะงั้นพวกเราจึงต้องรอคอยอยู่ด้านนอก” จ้าวอสูรสตรีเฒ่ากล่าว


ถังเฟิงตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ถังโม่ ฝากเจ้าดูแลพี่น้องคนอื่นด้วย”


“ขอรับ” ถังโม่พยักหน้าอย่างสุภาพก่อนจะหันไปมองรุ่นเยาซ์อีกสี่คน และเคลื่อนที่เข้าสู่ทางเข้าเขตแดนเป็นกลุ่มแรก เมื่อผ่านเข้าไปร่างของพวกเขาก็หายไปด้วยความเร็วที่แม้แต่จ้าวอสูรก็ไม่อาจคว้าเอาไว้ทัน


รุ่นเยาว์คนอื่นๆมีสีหน้าบูดบึ้ง เขตแดนลี้ลับแห่งนี้เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสของพวกเขาค้นพบแท้ๆ แต่กลับต้องถูกคนอื่นแย่งชิงไป


แต่ว่าหากพวกเขาพบเจอทั้งห้าคนด้านใน พวกเขาคงทำได้เพียงหลีกเลี่ยงการปะทะเนื่องจากถังโม่แข็งแกร่งเกินไป


“ไปได้!”


หลิงฮันและคนอื่นๆเคลื่อนที่ผ่านทางเข้า ร่างของพวกเขาค่อยๆหายไปทีละคน เมื่อพวกเขาปรากฏตัวอีกครั้งด้านในเขตแดน พวกเขาก็พบกับสภาพแวดล้อมของมหาสมุทรอันไร้ที่สิ้นสุด


อันดับแรกคือพวกเขาต้องข้ามผ่านมหาสทุรนี้ไปให้ได้


หลิงฮันยืนนิ่งอยู่กลางอากาศโดยมีจอมยุทธมากมายเหาะเหินลอยผ่านหน้าเขาไป รุ่นเยาว์ทั้งห้าที่เข้ามาก่อนเองก็ไม่อยู่แล้ว


“ที่นี่มีบางสิ่งที่จำเป็นสำหรับข้า” จู่ๆหอคอยน้อยก็กล่าวขึ้นมา

 

 

 


ตอนที่ 1560

 

หลิงฮันกล่าว “อะไรที่เจ้าต้องการ?”


“ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวาย” หอคอยน้อยกล่าว


สิ่งนี้อีกแล้วรึ


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “หากมีโอกาสข้าจะเอามาให้”


“ไม่ใช่ว่าหากมีโอกาส แต่เจ้าต้องเอามาให้ได้!” หอคอยน้อยกล่าวเสียงแข็ง “ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายชิ้นนี้ก้อนใหญ่มาก แม้จะอยู่ห่างไกลข้าก็ยังสัมผัสได้ถึงอำนาจของมัน หากข้าได้ดูดซับพลังงานของมันย่อมเป็นผลดีต่อการซ่อมแซมหอคอยทมิฬ”


หลิงฮันครุ่นคิดครู่หนึ่งและกล่าว “มันใหญ่ขนาดไหน?”


“แค่ได้มันมาก้อนเดียวก็มีโอกาสที่จะเติมเต็มพลังได้มหาศาล” หอคอยน้อยกล่าว


ดวงตาของหลิงฮันส่องประกาย “พลังที่ว่าจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน?”


“สามารถบดขยี้ทุกชีวิตที่ระดับพลังต่ำกว่าราชานิรันดร์!”


ฮึ่ม!


หลิงฮันสูดหายใจตกตะลึง แม้เขาจะไม่รู้ว่าราชานิรันดร์จัดอยู่ในระดับพลังที่สูงขนาดไหนในดินแดนแห่งเซียน แต่การจะถูกเรียกว่า ‘ราชา’ ในดินแดนแห่งเซียนได้นั้นหากไม่ใช้ระดับพลังที่แข็งแกร่งมากจะกล้าตั้งชื่อระดับเช่นนี้?


“ตกลง ข้าจะนำมันมาให้เจ้าให้ได้!” เขาตัดสินใจพยายามสุดความสามารถ “แล้วมันอยู่ที่ไหน?”


“ด้านบนสุดของยอดเขาในมหาสมุทร”


หลิงฮันต้องจ้องมองไปบนท้องฟ้า จากภายนอกภูเขามีความสูงเพียงแค่ไม่กี่ร้อยฟุตเท่านั้น แต่ตอนนี้ภูเขาที่ว่ากลับมีความสูงทะลุท้องฟ้าราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด


“เจ้าโง่ รีบไปกันได้แล้ว!” อูเจวี๋ยกล่าวเร่ง


หลิงฮันหันมองและพบว่าม่อหลีกำลังจะนำพาสหายที่มาด้วยกันข้าวผ่านมหาสมุทร ไม่ใช่แค่พวกเขาแต่คนอื่นๆเองก็กำลังจะข้ามมหาสมุทรเช่นกัน กลุ่มคนสิบคนนำอุปกรณ์เหาะเหินออกมาอย่างเช่นเรือเหาะ ใบบัวเหินอากาศหรืออุปกรณ์ต่างๆที่สามารถบินได้บนท้องฟ้าไม่ใช่แล่นบนน้ำ


เขาเดินเข้าไปหาม่อหลี ทันใดนั้นเรือเหาะที่มีคนสิบคนนั่งอยู่ก็เหาะเหินขึ้นสู่อากาศด้วยความเร็วสูง สายลมที่พัดกระทบร่างของพวกเขานั้นรุนแรงรางและคมกริบราวกับกระบี่


แต่ยังดีที่หากทุกคนโคจรปราณก่อเกิดคุ้มร่างกายกันเป็นโล่เอาไว้ สายลมที่พัดเข้ามาก็ไม่ใช่ภัยคุกคามที่ร้ายแรงอะไร


หลิงฮันมีท่าทีไม่แยแสแต่สายลมที่ว่าแม้แต่น้อย กายหยาบของเขาไร้เทียมทาน สายลมที่คมราวกับกระบี่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้แม้แต่น้อย


อุปกรณ์บินมากมายเหาะผ่านชั้นอากาศ เหล่าศิษย์หรือคนของจ้าวอสูรทั้งสิบเจ็ดเคลื่อนที่เป็นแนวระนาบเดียวกันโดยไม่มีใครนำหน้า


ทุกอย่างดำเนินไปอย่างสงบสุข ถึงแม้มหาสมุทรจะมีขนาดกว้างใหญ่ไพศาลแต่หากเคลื่อนที่ไปแบบนี้เรื่อยๆ ในเวลาไม่กี่เดือนพวกเขากึงไปถึงจุดสิ้นสุดของมหาสมุทรได้


ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะมีน้ำมหาสมุทรสาดขึ้นมาใส่บ้างบางครั้งแต่สถานการณ์โดยรวมก็ยังถือว่าสงบนิ่งดี


“หืม?”


หลิงฮันเปิดตากว้างก่อนจะลุกขึ้นยืน เขามองเห็นเส้นสีขาวบางอย่างกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง


“เจ้าโง่ จะทำตัวเอะอะไปทำไม?” อูเจวี๋ยกล่าวและมองไปยังหลิงฮันอย่างไม่สบอารมณ์


“คลื่นกำลังมา!” ใบหน้าม่อหลีเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “เตรียมพร้อมรับแรงต้านด้วยกัน!”


นอกจากหลิงฮันกับอูเจวี๋ยแล้ว คนอื่นๆมีสีหน้าจริงจังทันที พวกเขารู้ดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น


หลิงฮันไม่กล้าประมาท ในเขตแดนลี้ลับนั้นหากเผลอตัวย่อมเปรียบเสมือนการแส่หาความตาย


เส้นสีขาวใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนหลิงันสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน มันคือคลื่นมหาสมุทรจริงๆ แต่ความรุนแรงของคลื่นนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ตัวคลื่นมีความสูงถึงหนึ่งพันฟุต มันถาโถมเข้ามาราวกับเป็นภูเขาขนาดมหึมา


“ควบคุมเรือเหาะให้ลอยสูงกว่าพันฟุตไม่ได้รึ?” หลิงฮันถาม เนื่องจากไม่ใช่แค่อุปกรณ์บินของพวกเขาเท่านั้น แต่อุปกรณ์บินของคนอื่นเองก็ไม่ลอยสูงขึ้นไปกว่านี้เช่นกัน


“ไม่ได้!” โม่หลีส่ายหัว “เหนือขึ้นไปพันฟุตสายลมที่พัดกระทบจะรุนแรงมาก อุปกรณ์บินที่ลอยอยู่จะถูกบดขยี้ทันที”


ครืนนน!


คลื่นยักษ์เคลื่อนที่เร็วมาก พริบตาเดียวก็สามารถได้ยินเสียงอันทรงพลังของมัน


“เตรียมพร้อม!” โม่หลีตะโกน ทุกคนบนเรือเหาะกระตุ้นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์จนถึงขีดจำกัด


‘ตูม’ คลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่เรือเหาะจนเกิดเสียงกระทบที่รุนแรง ‘พรึบ’ จอมยุทธสามคนถูกแรงดันพลักลอยออกจากเรือเหาะ หลิงฮันรีบคว้าฝืนดึงร่างของทั้งสามคนกลับมา


‘ตูม ตูม ตูม ตูม’ เรือเหาะไม่ได้มีกำแพงป้องกัน ทุกคนต่างถูกคลื่นอันรุนแรงกระหน่ำเข้าใส่ มีหลายคนที่โล่ปราณก่อเกิดสลายไปทันที ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือดและกระอักโลหิตออกมา


เพียงแต่ว่าถึงแม้คลื่นยักษ์จะรุนแรงมหาศาล แต่พริบตาเดียวมันก็เคลื่อนที่ผ่านไป


อูเจวี๋ยและคนอื่นๆทรุดตัวลงกับพื้นเรือ เด็กน้อยอูเจวี๋ยนั้นมีสภาพปกติไร้บาดแผลใดๆ หลิงฮันมองเห็นประแสงสีขาวบนหน้าอกของอีกฝ่าย สิ่งนั้นสมควรเป็นสมบัติที่ช่วยป้องกันพลังของคลื่นยักษ์


เพียงแต่คนอื่นๆไม่ได้โชคดีมีสมบัติเช่นนี้ มีหลายคนที่กระดูกแตกหัก พวกเขาร้องโอดครวญด้วยใบหน้าซีดขาว


“ไม่ดีแน่!” สีหน้าของม่อหลีเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของนางขมวดคิ้ว “คราวนี้พวกเราโชคร้ายมาก คลื่นมหาสมุทรที่พบเจอดันเป็นคลื่นที่รุนแรงที่สุด!”


“งั้นข้าขอตัวกลับไปก่อนแล้วกัน ส่วนพวกเจ้าเชิญตามสบาย!” อูเจวี๋ยกล่าวทันที เขายังไม่เลิกล้มความคิดที่จะโน้มน้าวสตรีนกอมตะให้หลิงฮันดูแย่ เพียงแต่เรื่องที่เขาไม่รู้เลยคือสตรีนกอมตะนั้นอยู่กับหลิงฮันตลอดเวลา


ม่อหลีเค้นเสียง “เมื่อเข้ามาในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้แล้วจะไม่สามารถกลับออกไปได้จนกว่าจะครบสามปี”


“ว่าไงนะ!” อูเจวี๋ยนั่งลงกับพื้นและอย่างจะร้องไห้ออกมาดังๆ


หลิงฮันส่ายหัว เขาไร้คำพูดกับเด็กน้อยคนนี้จริงๆ เขาหันไปถามม่อหลี “คลื่นยักษ์นั่นคืออะไร?”


“ในอดีต เจ้าอสูรที่เข้ามาที่นี่ได้คาดการณ์ไว้ว่าได้มีตัวตนที่ทรงอำนาจผู้หนึ่งตกตายอยู่ใต้มหาสมุทรแห่งนี้ เพราะงั้นมหาสมุทรถึงได้มีคลื่นยักษ์เกิดขึ้นมา เหตุผลที่คลื่นยักษ์มีพลังที่รุนแรงอาจเป็นเพราะมันมีเศษเสี้ยวอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ตัวตนทรงอำนาจผู้นั้นทิ้งเอาไว้” ม่อหลีกล่าว


“พวกเราที่เพิ่งข้ามผ่านมหาสมุทรมาได้ไม่นานนั้น พลังคลื่นยักษ์จึงสมควรเป็นคลื่นที่มีขนาดเล็กสุดก่อน จากประสบการณ์ที่ข้าเคยพบเจอ คลื่นยักษ์ที่มีความสูงเหมือนเมื่อครู่จะพบก็ต่อเมื่อข้ามผ่านมหาสมุทรไปครึ่งทางแล้วเท่านั้น ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าคลื่นยักษ์ที่พวกเราจะพบเจอในครั้งนี้เป็นคลื่นยักษ์ที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา…”


ฉื้อหวงจี่่และคนอื่นๆมีสีหน้ามืดมน การจะได้สิทธิ์เข้าร่วมหุบเขามหาสมุทรมังกรนั้นไม่ได้ได้รับมาง่ายๆ แต่ช่างโชคร้ายที่พวกเขาต้องพบเจอกับคลื่นยักษ์ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์


“เดินหน้าต่อก่อนคลื่นยักษ์ระลอกต่อไปจะมา!” ม่อหลีกล่าว “แม้คลื่นยักษ์จะรุนแรง แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์จะหล่อเลี้ยงสภาพแวดล้อมจนให้กำเนิดสมบัติล้ำค่า ครั้งที่แล้วที่ข้าเข้ามาข้าพบเห็นต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อนกำลังจะให้กำเนิดผล เท่าที่คาดการณ์ไว้คงเป็นครั้งนี้พอดีที่ผลของมันจะเติบโตสมบูรณ์เต็มที่”


ต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ให้กำเนิดผลง่ายๆ เมื่อใดที่มันให้กำเนิดผลหมายถึงพลังชีวิตของมันได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์จะถ่ายเทพลังชีวิตทั้งหมดของมันเข้าไปในผลที่สุกงอม


ต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์คือสมุนไพรล้ำค่าที่แม้แต่จ้าวอสูรหรือเซียนก็ต้องหวั่นไหว

 

 

 


ตอนที่ 1561

 

หลิงฮันดวงตาเปิดกว้างทันที สิ่งที่เขาขาดแคลนอยู่ในตอนนี้คือสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ


โม่หลีคุมเรือเหาะมุ่งหน้าต่อไปโดยที่คนอื่นๆรีบฟื้นฟูปราณก่อเกิด ในอีกไม่กี่ชั่วโมงจะมีคลื่นยักษ์ถาโถมเข้ามาอีกระลอก หากถึงตอนนั้นยังไม่ฟื้นฟูปราณก่อเกิดให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมคงได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่


กลุ่มอื่นๆนอกจากพวกเขาก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีผู้นำที่แข็งแกร่งอย่างม่อหลี จูป้าหรือหยุนเหอ พวกเราต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว


เมื่อเวลาผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วโมง คลื่นลูกที่สองก็ปรากฏขึ้นมาตามที่คาดไว้


ตูม!


แรงกระแทกที่รุนแรงของมันส่งผลให้จอมยุทธมากมายกระอักโลหิตและกระดูกในร่างแตกหัก ตัวเรือเหาะเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน หากยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปอย่าว่าแต่ข้ามผ่านครึ่งทางของมหาสมุทรเลย แต่หนึ่งในสามก็ยังไม่รู้ว่าจะผ่านไปได้รึเปล่า


“เกรงว่าท้ายที่สุดเรือคงถูกทำลายแน่ๆ แต่ก่อนหน้านั้นพวกเราต้องไปให้ได้ไกลที่สุด” ม่อหลีกล่าว


หากให้เดินทางเพียงคนเดียวสำหรับตัวนางแล้วย่อมไม่จำเป็นต้องใช้เรือเหาะเพราะจอมยุทธระดับพวกนางสามารถเหาะเหินกลางอากาศได้ แต่นางมีหน้าที่ต้องดูแลศิษย์น้องเหล่านี้ทำให้เรือเหาะเป็นตัวเลือกที่จำเป็น นางต้องช่วยพาศิษย์น้องเหล่านี้ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้


เพียงแต่ว่าแม้คลื่นยักษ์ในครั้งนี้จะรุนแรง แต่หลิงฮันเองก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์ที่ทรงพลังคนหนึ่ง หากเขาปลดปล่อยพลังต่อสู้เต็มที่ย่อมไม่อ่อนแอไปกว่าม่อหลี ด้วยการที่กลุ่มของพวกเขามีปรมาจารย์ถึงสองคนคอยช่วยเหลือจึงสามารถฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่น


สามารถเห็นได้ว่ากลุ่มของพวกหลิงฮันนั้นได้ขึ้นนำกลุ่มอื่นหลายสิบกลุ่มมาแล้ว


“หืม ข้างหน้านั่นมัน!” หลิงฮันมองที่พื้นผิวมหาสมุทรและควบแน่นมือปราณก่อเกิดขนาดใหญ่คว้าออกไป


“อย่า!” ม่อหลีตะโกนกล่าวเตือน


แต่ก็สายไปแล้ว มือของหลิงฮันผ่านจมลงไปยังน้ำทะเล เมื่อเขาดึงมือกลับมาภายในมือได้มีอะไรบางอย่างสีเงินติดมาด้วย


“เกาลัดวารีประกายเงิน!” ม่อหลีจ้องมองก่อนจะเผยสีหน้าตะลึง “มือของเจ้าไม่บาดเจ็บ!”


เกาลัดวารีประกายเงินเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบหกที่สามารถใช้หลอมเป็นเม็ดยาระดับสูงได้หลากหลายประเภท มันคือหนึ่งในสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำค่าที่สุดรองจากสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ


หลิงฮันเผยสีหน้าพึงพอใจ เขาเก็บเกาลัดวารีประกายเงินเข้าไปในหอคอยทมิฬและกล่าว “ทำไมมือของข้าต้องบาดเจ็บ?”


ศิษย์คนหนึ่งกล่าว “พี่ชายหลิง ท่านอย่าลืมว่ามหาสทุรแห่งนี้มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของตัวตนทรงอำนาจผสมผสานอยู่ หากสัมผัสโดนน้ำทะเลร่างกายจะถูกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์กัดกร่อน แม้แต่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างง่ายดาย หากไม่เช่นนั้นพวกเราคงเดินทางผ่านใต้มหาสมุทรไปแล้ว”


หากดำลงไปใต้มหาสมุทรได้ แม้จะเดินทางได้ช้าหน่อยก็แต่ไม่จำเป็นต้องปะทะกับคลื่นยักษ์


หลิงฮันพยักหน้า ดูเหมือนว่ากายหยาบของเขาจะทรงพลังจนถึงระดับที่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในที่นี้ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้


เรือเหาะเคลื่อนที่ต่อไปไม่หยุด สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์มากมายถูกพบเจอตลอดทางซึ่งส่วนใหญ่ก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋าหลิงฮัน มีบางชิ้นที่ไม่สามารถเก็บได้เพราะอยู่ห่างเกินไป


ระหว่างทางนี้พวกเขาไม่พบเห็นถังโม่ นั่นหมายถึงกลุ่มของทั้งห้าคนยังอยู่ด้านหน้าพวกเขา หากพวกเขาล่าช้าแม้แต่นิดเดียวต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์อาจจะตกไปอยู่ในมือทั้งห้า


สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำนั้นแม้แต่สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุดนับหมื่นก็ไม่อาจนำไปเทียบค่าได้


อันที่จริงหลิงฮันไม่ขาดแคลนสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงแม้แต่น้อยเนื่องจากเขาเก็บเกี่ยวพวกมันได้จำนวนมากจากถ้ำจ้าวสมุนไพร ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่สามารถหลอมเม็ดยาในระดับวารีนิรันดร์ให้แก่ตนเอง


ครึ่งวันผ่านไป พวกเขาผ่านคลื่นยักษ์ไปแล้วกว่ายี่สิบเจ็ดครั้งจนในที่สุดกำพบเห็นกลุ่มของถังโม่อยู่เบื้องหน้า


ทั้งห้าคนนั่งอยู่บนม้วนคัมภีร์ขนาดใหญ่ที่ถูกคลี่ออก ตัวคัมภีร์นั้นส่องประกายแสงสีทองและปรากฏอักขระของรูปแบบอาคมอสูรมากมาย


เมื่อพวกหลิงฮันเห็นทั้งห้าคน ทั้งห้าคนก็ย่อมเห็นพวกหลิงฮันเช่นกัน ในกลุ่มห้าคนมีบางคนแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมาทันทีที่เห็นพวกเขา


“ม่อหลี รีบไล่ตามพวกนั้นแล้วสังหารทิ้งให้หมดเลย!” อูเจวี๋ยเกรี้ยวกราด


ม่อหลีมีสีหน้าเคร่งเครียดและกล่าวอย่างเย็นชา “หยุดสร้างปัญหาได้แล้ว!”


ถังโม่ผู้นั้นแข็งแกร่งเกินไป นางถึงขนาดสงสัยว่าพลังของจอมยุทธที่เพิ่งทะลวงผ่านเป็นจ้าวอสูรก็ยังอ่อนด้อยกว่าพลังของอีกฝ่าย


อูเจวี๋ยบ่นพึมพำด้วยท่าทางบูดบึ้ง


ถังโม่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดชำเลืองมองกลับมาก่อนจะเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะรู้สึกตกตะลึงที่พวกหลิงฮันสามารถไล่ตามพวกเขาทัน


ต้องรู้ก่อนว่าม้วนคำภีร์ที่พวกเขานั่งอยู่นั้นเป็นคัมภีร์ของจ้าวอสูรสวรรค์ มันถูกสร้างด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนใต้พิภพ แต่ถึงจะมีคัมภีร์นี้พวกเขาก็ยังฝ่าฟันคลื่นยักษ์มาได้อย่างยากลำบากเนื่องจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของคลื่นยักษ์นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่คัมภีร์ของจ้าวอสูรสวรรค์จะสลายได้อย่างสมบูรณ์


แต่ถึงอย่างนั้นคัมภีร์ของจ้าวอสูรสวรรค์ก็สมควรทำให้พวกเขาขึ้นนำใครอื่นไปไกล เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะถูกไล่ตามทัน?


ถังโม่ยิ้มเย็นชาและจ้องมองด้วยแววตาโหดเหี้ยม


นั่นคือการขู่เตือนอย่างเห็นได้ชัดว่าอย่าได้ไล่ตามเข้ามาใกล้กว่านี้


ม่อหลีและคนอื่นๆที่เห็นการขู่เตือนต่างรู้สึกเกรี้ยวกราด


นี่คือเขตแดนลี้ลับที่อยู่ใต้การปกครองของจ้าวอสูรทั้งสิบเจ็ดของพวกเขาแท้ๆ เจ้าเป็นเพียงคนนอกแต่กลับทำท่าทางอวดดี!


ถังโม่หันหน้ากลับและมองไปด้านหน้า


เขาไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร ในสายตาของเขาคนเหล่านี้ก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น หากพวกเขารับไม่ได้และยังกล้าเข้ามาใกล้อีกเขาก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารให้สิ้น


“ช่างอวดดี!”Anchorฉื้อหวงจี่่และคนอื่นๆสบถ


หลิงฮันไม่กล่าวอะไร ตอนนี้เขากับพวกถังโม่ยังไม่มีความขัดแย้งกัน แต่เมื่อใดที่พบต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อนแล้วเกิดการต่อสู้แย่งชิงล่ะก็เขาก็ไม่มีทางยอมนิ่งเฉย


ดาบอสูรนิรันดร์พร้อมจะลงมือทุกเมื่อ


ครืนนน!


ทันใดนั้นเอง คลื่นยักษ์ระลอกที่ยี่สิบเจ็ดก็ถาโถมเข้ามาจากระยะไกล


ม้วนคัมภีร์ที่ทั้งห้าคนนั่งอยู่ส่องประกายแสงสีทองออกมาและเปิดช่องว่างระหว่างคลื่นยักษ์เพื่อให้ตนเองลอดผ่านไปได้ แต่คลื่นยักษ์ก็ใช่ว่าจะนิ่งเฉย มันปลดปล่อยอำนาจบางอย่างออกมาตอบโต้แสงสีทองของม้วนคัมภีร์


เมื่อถูกคลื่นยักษ์กระทบใส่ ใบหน้าของทั้งห้าคนก็กลายเป็นซีดเผือด แม้แต่ความเร็วของม้วนคำภีร์ก็ถูกทำให้ลดช้าลง


หลังจากนั้น กลุ่มของพวกหลิงฮันที่ตามมาก็รับแรงปะทะจากคลื่นยักษ์ต่อเช่นกัน


ตูมม!

 

 

 


ตอนที่ 1562

 

ด้านนอกเขตแดน ถังเฟิงกำลังลอยสำรวจรอบเขตแดนวนไปมา


“ไม่ธรรมดา! ไม่ใช่ธรรมดาเลย!” ดวงตาของเขาส่องประกายขึ้นเรื่อยๆ “นี่ไม่ใช่แค่เขตแดนลี้ลับของจ้าวอสูรระดับดำแน่ หรือต่อให้เป็นเขตแดนลี้ลับของจ้าวอสูรสวรรค์ข้าก็สมควรค้นพบร่องรอยสักหนึ่งถึงสองอย่างแต่นี่กลับไม่พบอะไรเลย”


“นี่ต้องเป็นเขตแดนลี้ลับมาหลุดมาจากดินแดนแห่งเซียนเป็นแน่ มหาโศกนาฏกรรมในอดีตได้ทำให้ขุมอำนาจที่ทรงพลังมากมายล่มสลาย การจะพบเห็นเขตแดนลี้ลับของดินแดนแห่งเซียนที่นี่ก็ใช้ว่าจะเป็นไปไม่ได้”


“เรื่องนี้แม้แต่ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้เช่นกัน… คงต้องให้ท่านผู้นำเป็นคนมาตรวจสอบด้วยตัวเอง”


ถังเฟิงเคลื่อนที่ไปยังบริเวณหนึ่ง เขานำก้อนหินบางอย่างออกมาและกล่าวคำพูดสองสามคำ คลื่นพลังงานบางอย่างที่แม้แต่จ้าวอสูรทั้งสิบเจ็ดคนก็ไม่สามารถสังเกตเห็นถูกส่งออกไปยังห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่หลายร้อยล้านไมล์


……


‘ตูม’ คลื่นถาโถมเข้าใส่อย่างรุนแรงจนเรือเหาะมีรอยแตกร้าว ดูเหมือนว่ามันจะไม่สามารถต้านทานคลื่นระลอกต่อไปได้แล้ว


ม่อหลีไม่ลังเลที่จะนำเรือเหาะลำที่สองออกมา เมื่อทุกคนย้ายเสร็จเรือเหาะลำเดิมก็ถูกทิ้งลงสู่มหาสมุทร


ระยะของพวกเขาอยู่ห่างจากพวกถังโม่ไม่มากนัก


ม่อหลีควบคุมเรือเหาะให้ไม่ใกล้ชิดพวกถังโม่เกินไป


ถังโม่เผยสีหน้าอวดดี เขาเห็นแล้วว่าพวกหลิงฮันประสบความยากลำบากขนาดไหนกับการต้านทานคลื่นยักษ์แถมยังไม่กล้าไล่ตามมาใกล้พวกเขาอีก


ก็แค่พวกดินแดนใต้พิภพอันต่ำต้อย


เมื่อมุ่งหน้าต่อไป ต้นไผ่สีเขียวที่ยืดยาวออกมาจากมหาสมุทรก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าพวกเขา


ต้นไผ่นั้นอยู่ห่างออกไปราวๆพันไมล์ แค่มองด้วยตาเปล่าก็เห็นแล้วว่ามันเป็นต้นไผ่ที่ทั้งสูงและดูหนาเป็นอย่างมาก


ในที่สุดก็พบ… ต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อน!


พวกถังโม่เองก็ต้องเห็นเหมือนกันแน่ เนื่องจากพวกเขาหักเหเส้นทางเล็กน้อยเพื่อเคลื่อนที่ไปยังทิศทางของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อน


ม่อหลีขมวดคิ้ว หากต้องสู้กับพวกถังโม่เพื่อแย่งชิงต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์พวกนางจะเอาชนะได้อย่างไร? ไม่ใช่แค่นางกับหลิงฮัน ต่อให้ศิษย์หรือทายาทของจ้าวอสูรทั้งสิบเจ็ดร่วมมือกันก็อาจจะไม่สามารถหยุดยั้งถังโม่ได้


พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ว่าจำนวนไม่สามารถทดแทนความต่างของพลังได้


แต่จะให้ย่อมแพ้ไปง่ายๆก็เป็นไปไม่ได้!


ไล่ตามต่อไป


ระยะพันไมล์นั้นสำรับอุปกร์เหินเวหาย่อมไม่ใช่ระยะทางที่ห่างไกล ผ่านไปเพียงครู่เดียวพวกเขาก็มาถึงด้านหน้าต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อน


ใหญ่โตอะไรเช่นนี้


แค่ส่วนที่ยื่นออกมาจากผิวมหาสมุทรก็มีความสูงถึงหลายพันฟุต ที่บริเวณยอดบนสุดของต้นไผ่จะพบเห็นผลบางอย่างสีฟ้าได้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ห่างไกลกลิ่นหอมของมันก็ยังลอยมาถึง


ต้นไผ่ตรงหน้าได้ตายไปแล้ว เพียงแต่ว่าพลังชีวิตทั้งหมดของมันได้ถ่ายเทไปยังผลสีที่อยู่ด้านบนสุด


สมบัติ!


ลำต้นของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์สามารถใช้สร้างเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนผลของมันเองก็เป็นสมุนไพรที่ล้ำค่าหาสิ่งใดเปรียบ


“จงลงมา!” ถังโม่ปล่อยหมัดเข้าใส่ลำต้นของต้นไผ่เพื่อหวังใช้คลื่นพลังทำให้ผลด้านบนร่วงลงมา เขาเองก็คงทดสอบแล้วเช่นกันว่าท้องฟ้าด้านบนนั้นมีแรงกดดันของสายลมรุนแรงที่แม้แต่ตัวเขาก็ไม่กล้าเหาะขึ้นไปโดยตรง


‘พรึบ’ ต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยอักขระออกมา ลำต้นของมันกลับไปแน่นิ่งไม่มีการสั่นไหวใดๆ


ล้อเล่นรึเปล่า ลำต้นของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เป็นถึงวัสดุเซียน มีรึที่จะถูกทำให้สั่นไหวง่ายๆ?


ถังโม่ขมวดคิ้ว ลอยขึ้นไปเอาด้วยตัวเองก็ไม่ได้ ทำให้ลำต้นสั่นไหวก็ไม่ได้ แล้วทีนี้เขาจะเก็บเกี่ยวผลนั่นได้อย่างไร? นอกจากนั้นเขาก็ยังอยากได้ลำต้นของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้านี้ไปหลอมเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน


หลิงฮันยืดตัวและกล่าว “พวกเจ้ารอข้าสักครู่”


ยังไม่ทันที่พวกม่อหลีจะตอบสนองร่างของหลิงฮันก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า


หมอนั่นคิดจะเหาะขึ้นไปเก็บเกี่ยวผลของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อนตรงๆเลย!


“แต่กายหยาบของเขาน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก บางทีอาจจะทำสำเร็จ” ใครบางคนกล่าว


“แต่กลุ่มของพวกถังโม่ก็อยู่ที่นี่ด้วย ต่อให้หลิงฮันเก็บเกี่ยวสำเร็จก็ต้องถูกพวกนั้นชิงไปอยู่ดีไม่ใช่รึไง?”


“หากได้มาแล้วพวกเราจะเผ่นหนีทันที ข้าไม่เชื่อว่าพวกนั้นจะไล่ตามพวกเราทัน”


“ใช่แล้ว พวกเราไล่ตามพวกนั้นได้ทันก็หมายความว่าพวกเราไวกว่า”


ทุกคนซุบซิบคุยกัน ณ ตอนนี้อูเจวี๋ยไม่เขม่นหลิงฮันอีกต่อไปและหันมาอยู่ข้างเดียวกันแทน


ม่อหลีมีสีหน้าจริงจัง นางเคยสู้กับถังโม่มาก่อนทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายทรงพลังขนาดไหน ถ้าหลิงฮันเก็บเกี่ยวผลของต้นไผ่สำเร็จจริงๆ ต่อให้ม้วนคัมภีร์จะไม่สามารถไล่ตามพวกเขาทันแต่หากเป็นถังโม่คนเดียวล่ะ?


อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องพึ่งพาคัมภีร์ก็มีพลังแข็งแกร่งพอจะทำให้จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ทุกคนตกอยู่ในความสิ้นหวัง


แต่ตอนนี้หลิงฮันได้เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้มีอย่างเดียวคือเมื่อหลิงฮันลงมาแล้วต้องรีบเผ่นหนีทันที


พวกถังโม่ห้าคนที่เห็นการกระทำอันโง่เขลาของหลิงฮันต่างกลั้นหัวเราะไม่ไหว


“โง่อะไรอย่างนี้ ขนาดพวกเรายังไม่กล้าขึ้นไปถึงความสูงพันฟุต แต่เจ้าหมอนั่นกลับเหาะขึ้นไปเก็บผลของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์ตรงๆแบบนั้น ข้างไร้สมองโดยแท้”


“ไม่ต้องไปสนใจเขา!”


“อืม แต่ต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์นี่แข็งทนทานมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสั่นต้นของมันเพื่อให้ผลร่วงลงมา พวกเราจะทำอย่างไรดี?”


ถังโม่กล่าว “เขตแดนลี้ลับแห่งนี้ล้ำค่าเกินว่าที่เหล่าจ้าวอสูรด้านนอกจะจินตนาการออก ข้าคิดว่าผู้อาวุโสหกคงรายงานกลับไปยังตระกูลแล้ว เมื่อถึงเวลาต่อให้ท่านผู้นำจะไม่มาที่นี่ด้วยตัวเองแต่ผู้อาวุโสห้าหรือผู้อาวุโสที่สูงกว่านั้นจะต้องเดินทางมาด้วยตัวเองแน่ ณ เวลานั้นสมบัติทั้งเขตแดนลี้ลับนี้ก็จะเป็นของพวกเราทั้งหมด!”


“ใช่แล้ว ทั้งหมดต้องตกเป็นของพวกเรา!” รุ่นเยาว์อีกสี่คนกล่าวอย่างภาคภูมิใจ


ทั้งห้าจ้องมองไปยังหลิงฮัน ถึงแม้พวกเขาจะคิดไว้แล้วว่าหลิงฮันไม่มีทางทำสำเร็จพวกเขาก็ยังไม่จากไปไหน เพราะอย่างไรความสูงแค่พันฟุตสำหรับจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ย่อมไม่ใช้เวลานานเท่าไหร่ เอาไว้ดูความล้มเหลวของหลิงฮันก่อนค่อยไปจากที่นี่ก็ได้


หลิงฮันเหาะเหินทะลวงชั้นอากาศด้วยความเร็วสูงจนค่อยๆสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน


สายลมบนฝากฟ้านั้นรุนแรงและคมกริบราวกับกระบี่


แต่พลังเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาบาดเจ็บ ความเร็วของเขาไม่ลดลงแม้แต่น้อย ร่างของเขาเหาะเหินอย่างรวดเร็วและทะลุผ่านความสูงหนึ่งพันฟุตได้ในที่สุด


“เหลือเชื่อ!”


เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าพวกฉื้อหวงจี่่ต่างตกตะลึง พวกเขารู้อยู่แล้วว่ากายหยาบของหลิงฮันนั้นแข็งแกร่งแต่ก็ยังอดไม่ได้อยู่ดีที่จะอุทานออกมา


ในด้านของพวกถังโม่ พวกเขามีสีหน้าชะงักแน่นิ่งจนพูดไม่ออก แต่ใบหน้าตกตะลึงของพวกเขาก็ค่อยๆปรากฏรอยยิ้มที่มุมปาก


‘หากหมอนั่นเก็บเกี่ยวผลของต้นไผ่ลงมาได้ก็เหมือนกับอีกฝ่ายนำของขวัญลงมาส่งมอบให้แก่พวกเขา!’

 

 

 


ตอนที่ 1563

 

เมื่อเหาะขึ้นมาถึงความสูงแปดพันฟุตหลิงฮันก็เริ่มรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน ไม่ใช่ว่ากายหยาบของเขาต้านไม่ไหว แต่เป็นเพราะแรงกดดันมันหนักหน่วงเกินไปจนเคลื่อนที่ได้ลำบาก


หลิงฮันฝืนเหาะไปได้แค่เก้าพันฟุตก็ไม่สามารถไปสูงได้มากกว่านี้


นี่คือขีดจำกัดของเขา


หลิงฮันไม่ยินยอมที่จะล่าถอย จากกลิ่นที่สัมผัสได้ผลของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์คงอยู่ห่างไปอีกพันฟุตเท่านั้น


จะเก็บเกี่ยวอย่างไรดี?


เขาหยุดฝืนขึ้นไปต่อและสะบัดฝ่ามือปลดปล่อยปราณดาบขึ้นไปที่ยอดต้นไผ่


เพียงแต่ว่าในขณะที่ปราณดาบกำลังทะยานขึ้นฟ้า ระหว่างทางคลื่นอากาศได้พัดกระหน่ำเข้าใส่ปราณดาบจนค่อยๆสลายไปราวกับถูกทักษะกาลเวลาแปรผันพันปี


ปราณดาบลอยขึ้นไปได้เพียงสามสิบฟุตก็สลายไปอย่างสมบูรณ์


ยังห่างอีกไกล


หลิงฮันโจมตีด้วยศรฆ่ามังกรทะลวงดาราธรรมดา แต่การโจมตีก็ขึ้นไปได้สูงเพียงเจ็ดสิบฟุต หากเขายิงศรฆ่ามังกรทะลวงดาราเต็มกำลังออกไปการโจมตีคงจะขึ้นไปได้สูงกว่านี้อีกสิบเท่า แต่นั่นก็ยังไม่ถึงระยะพันฟุตอยู่ดี


ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่?


หลิงฮันครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะนำดาบไม้พุพังออกมาและแทงเข้าใส่ลำต้นของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์


ตูม!


เมื่อปลายดาบไม้พุพังปะทะเข้ากับลำต้นไผ่ อักขระมากมายก็ถูกปลดปล่อยออกมาต้านทานดาบไม้พุพัง ต้องรู้ก่อนว่าถึงแม้ดาบไม้พุพังนี้จะไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่หากถูกโจมตีโดยตรงต่อให้เป็นเซียนหรือจ้าวอสูรก็ต้องบาดเจ็บ


สมกับที่ต้นไผ่เป็นวัสดุเซียน!


หลิงฮันคาดเอาไว้แล้วว่าผลลัพธ์คงเป็นเช่นนี้ เขาเพียงแค่อยากลองดูเท่านั้น


แต่ในขณะที่เขากำลังจะดึงดาบกลับมา จู่ๆรูปแบบอาคมอสูรก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากดาบไม้พุพัง


น่าแปลก… เขายังไม่ได้กระตุ้นใช้งานมันด้วยปราณก่อเกิดเลยแท้ๆ


ดาบไม้พุพังกำลังฟื้นฟูตัวมันเอง!


เขาล้มเลิกความคิดที่จะดึงดาบกลับมาและรอดูต่อไป


ดาบไม้พุพังถูกโอบล้อมไปด้วยรูปแบบอาคมอสูรพร้อมกับปลดปล่อยออร่าสีดำทมิฬอันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพออกมา หลิงฮันใดรับผลกระทบจากจิตสังหารของดาบจนดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำและเกิดความคิดอยากจะสังหารทุกชีวิตบนโลก


เขารีบควบคุมสติของตัวเองด้วยสัมผัสสวรรค์ทันที ดาบเล่มนี้โหดเหี้ยมเกินไปจนไม่อาจประมาทได้เลยแม้วินาทีเดียว


‘ฉึบ’ ดาบไม้พุพังสามารถเฉือนทะลุเข้าไปในลำต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์ได้!


หลิงฮันตกตะลึงก่อนจะรู้สึกตื่นเต้น เขารีบกำด้ามดาบและออกแรงทำลายลำต้นไผ่ เพียงแต่ว่าในตอนนี้เองเขาถึงได้รับรู้ว่าวัสดุเซียนนั้นทนทานเพียงใด แม้ดาบไม้พุพังจะทะลุเข้าไปในลำต้นไผ่แล้วแต่เขาก็ไม่สามารถขยับดาบได้แม้แต่นิดเดียว


หากดาบไม้พุพังไม่ปลดปล่อยรูปแบบอาคมอสูรออกมาทำลายต้นไผ่เอง เขาก็ไม่สามารถทำลายต้นไผ่ได้


หลิงฮันมองไปยังตำแหน่งที่ดาบไม้พุพังแทงทะลุเข้าไปในล้ำต้นไผ่และพบว่าที่บริเวณนั้นสีของต้นไผ่ได้เปลี่ยนจากสีเขียวสดเป็นสีเหลือง ผ่านไปอีกหนึ่งลมหายใจบริเวณที่เป็นสีเหลืองก็สลายกลายเป็นเศษขี้เถ้าลอยไปตามอากาศ


นี่มัน!


หลิงฮันตกตะลึง ดาบไม้พุพังเล่มนี้ดูเหมือนจะมีพลังในการดูดกลืนเช่นกัน เพียงแต่สิ่งที่มันดูดกลืนไม่ใช่แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อนที่เป็นธาตุไม้จากธาตุทั้งห้า


ต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อนสั่นไหวเล็กน้อย ใบตามลำต้นของมันค่อยๆร่วงหล่นลงมา


ความเร็วในการดูดกลืนของดาบไม้พุพังดูเหมือนจะค่อยๆรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ หลิงฮันมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตำแหน่งสีเหลืองของต้นไผ่ที่ถูกดาบไม้พุพังแทงทะลุค่อยๆแพร่กระจายเป็นวงกว้างไปทั่วทั้งต้นไผ่


หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ผลสีฟ้าก็ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า


เนื่องจากลำต้นของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อนไม่เหลืออำนาจไว้คอยค้ำจุนแล้ว ผลของมันจึงหลุดร่วงลงมา


หลิงฮันรับไปรับไว้อย่างรวดเร็วและใช้สัมผัสสวรรค์ส่งมันเข้าไปอยู่ในหอคอยทมิฬ


เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีใครแย่งชิงมันไปได้


‘ครืนนน’ ทั่วทั้งลำต้นของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อนพังทลายเนื่องจากแก่นพลังทั้งหมดของมันถูกดาบไม้พุพังดูดกลืนไปหมดสิ้น ดาบไม้พุพังเกิดการเปลี่ยนแปลง ตำแหน่งที่เสียหายของมันถูกซ่อมแซมใหม่โดยสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน


หลิงฮันประหลาดใจและเอ่ยถามหอคอยน้อย “ดาบเล่มนี้ก็เป็นอุปกรณ์นิรันดร์?”


“เหอะ!” หอคอยน้อยแสยะยิ้มราวกับกำลังเหยียดหยามนับหมื่นเท่า


“แค่พูดออกมาเจ้าจะตายรึไง?” หลิงฮันสบถ “ไม่งั้นเลิกคิดเรื่องศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายได้เลย”


หอคอยน้อยยอมแต่โดยดีและกล่าว “มันคือกฎของธรรมชาติ ทั้งต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อนและดาบไม้ของเจ้าต่างเป็นธาตุไม้ทั้งคู่จึงสามารถดูดกลืนกันและกันได้ แต่จะบอกว่ามันเป็นอุปกรณ์นิรันดร์น่ะรึ? ช่างน่าขัน!”


“เท่าที่ข้ารู้ วัสดุธาตุไม้ที่กลายเป็นอุปกรณ์นิรันดร์ได้นั้นมีเพียงสามชิ้น”


“สามชิ้นไหนรึ?” หลิงฮันสงสัยเป็นอย่างมาก


“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า “รีบๆไปตามหาศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายได้แล้ว!”


ฮึ่ม เจ้านี่มันเป็นสมบัติของเขาหรือเจ้านายของเขากันแน่!


หลิงฮันส่ายหัวและเหาะลงมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น เขาได้ผลของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์เก้าท่อนมาแล้วแถมดาบไม้พุพังก็พัฒนาขึ้นด้วย ถึงแม้ดาบเล่มนี้จะถูกหอคอยน้อยเหยียดหยาม แต่ก่อนจะเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนมันสมควรเป็นสมบัติที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง


“ส่งผลของต้นไผ่และดาบนั่นมา” ถังโม่ขวางทางเขาเอาไว้และกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสราวกับผู้อาวุโสกำลังออกคำสั่งรุ่นเยาว์


ทันใดนั้นเอง อุปกรณ์บินต่างๆก็เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ อุปกรณ์บินเหล่านั้นเป็นของจูป้า หยุนเหอและจอมยุทธคนอื่นๆที่เข้ามาในเขตแดนลี้ลับ ถึงแม้พวกเขาจะถูกทิ้งห่างไปไกลแต่หลิงฮันก็ใช้เวลาเก็บเกี่ยวผลของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์นานพอสมควรพวกเขาจึงไล่ตามมาทัน


อุปกรณ์บินทั้งหมดหยุดเคลื่อนที่ ในตอนแรกทุกคนไม่เข้าใจสถานการณ์แต่ฉื้อหวงจี่่ก็ได้อธิบายให้พวกเขาฟัง


ม่อหลี จูป้าและหยุนเหอก้าวออกมาพร้อมกับกล่าว “สิ่งที่เก็บเกี่ยวได้ในเขตแดนลี้ลับขึ้นอยู่กับความสามารถของคนคนนั้น หากเจ้าคิดจะแย่งชิงก็ต้องผ่านพวกข้าไปเสียก่อน!”


“พวกไร้ค่า คิดรึว่าข้าไม่กล้าสังหารพวกเจ้า?” ถังโม่กล่าวอย่างเย็นชา แม้เขารังเกียจที่จะให้มือตนเองเปื้อนเลือดของมดปลวก แต่สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำนั้นล้ำค่าเกินไป ต่อให้เป็นตระกูลของพวกเขาก็มีปลูกไว้เพียงสองต้นแถมยังเติบโตไม่เต็มที่อีกด้วย


หากเขาได้มันมาครอบครองย่อมเกิดผลประโยชน์มหาศาล


แต่หากอยู่ในมือของมดปลวกเหล่านี้น่ะรึ? มีแต่จะเสียของโดยเปล่าประโยชน์!


“พวกข้าไม่เชื่อ!” จูป้า หยุนเหอและคนอื่นๆส่ายหัว ด้านนอกมีจ้าวอสูรของพวกเขาอยู่ถึงสิบเจ็ดคน ถังโม่จะกล้าผลีผลามลงมือรึ?


ถังโม่เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม “พวกเจ้ารนหาที่ตายเอง!” เขาก้าวออกมาด้านหน้าถังโม่ จูป้าและคนอ่นๆ ทันใดนั้นวงโคจรดาราจักรก็ปรากฏออกมาจากร่างของเขา ภายในวงโคจรดาราจักรประกอบไปด้วยดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน


“บ้าไปแล้ว!” สายตาของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ไม่มีทางมองพลาดแน่นอน ร่างของทุกคนสั่นสะท้านหวาดกลัวทันทีที่เห็นจำนวนของดวงดาวในวงโคจรดาราจักร


จำนวนของดวงดาวมีมากกว่าสองล้านห้าแสนดวง!

 

 

 


ตอนที่ 1564

 

เหลือเชื่อ!


อย่างม่อหลี จูป้าและหยุนเหอเองก็เป็นจอมยุทธที่ข้ามผ่านขีดจำกัดของระดับวารีนิรันดร์ พวกเขาควบแน่นสร้างดวงดาราได้เกินกว่าหนึ่งล้านดวง แต่ตามหลักทฤษฎีแล้วหากจะสร้างดวงดาราให้เพิ่มขึ้นไปกว่านี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ยิ่งจำนวนของดวงดาวมากเท่าไหร่ความยากที่จะเพิ่มจำนวนก็จะยกระดับขึ้นไปอีกนับพันนับหมื่นเท่า


เพราะเหตุนั้นแล้วดวงดาวในวงโคจรดาราจักรหนึ่งล้านหนึ่งแสนดวงจึงถูกตั้งเอาไว้ว่าเป็นจุดสูงสุดของระดับวารีนิรันดร์ที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปมากกว่านี้


เพียงแต่ว่าตอนนี้จุดสูงสุดในความคิดของพวกเขาได้พังทลายลงแล้ว ถังโม่ได้สร้างปาฏิหาริย์ที่เหนือขีดจำกัดไปไกลหลายขุม


ดวงดาวที่มากกว่าสองล้านดวง… ไม่น่าแปลกใจที่ก่อนหน้านี้ขนาดพวกม่อหลีสามคนร่วมมือกันก็ยังไม่ชนะ พลังของถังโม่แข็งแกร่งจนถึงระดับที่สามารถบดขยี้พวกเขาได้อย่างง่ายดาย


‘ปัง! ปัง! ปัง!’


พวกจูป้าทั้งสามคนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของถังโม่ พวกเขาทั้งสามถูกซัดจนร่างลอยกระเด็นในพริบตาแสดงเห็นว่าทั้งสองฝ่ายมีพลังที่ต่างกันขนาดไหน


โชคดีที่ทั้งสามคนนั้นไม่ใช่จอมยุทธที่อ่อนแอ แม้จะถูกซัดจนลอยกระเด็นแต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่าไหร่


หลิงฮันก้าวออกมาเผชิญหน้ากับถังโม่


“ขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย” ถังโม่กล่าวโหดเหี้ยม “ส่งมอบผลต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์และดาบไม้นั่นมา!”


หลิงฮันจ้องมองไปที่อีกฝ่ายและกล่าว “ถ้าไม่อยากตายก็อย่ามายุ่งกับข้า!”


ถังโม่ชะงักก่อนจะหัวเราะ “เจ้าคิดว่าตนเองสามารถเก็บผลของต้นไผ่ได้แล้วจะมีพลังแข็งแกร่งไปกว่าข้า? ช่างน่าขัน เจ้าเป็นเพียงมดปลวกระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลาง ต่อหน้าข้าที่ขัดเกลาพลังจนบรรลุขั้นสมบูรณ์และควบแน่นดวงดาวได้มากกว่าสองล้านดวงเจ้าไม่นับเป็นอันใดได้!”


“เจ้าอยากตายจริง?” หลิงฮันกล่าวเตือนเป็นครั้งสุดท้าย


“คำนั้นข้าควรพูดกับเจ้ามากกว่า!” ถังโม่หล่าวเย็นชา เขาค่อยๆยกฝ่ามือขึ้นมาและผลักเข้าใส่หลิงฮันอย่างช้าๆ


เขาลงใจโจมอย่างเชื่องช้าเพื่อให้หลิงฮันรู้สึกหวาดกลัวก่อนตาย


ถ้าอีกฝ่ายคิดหนีล่ะ?


เรื่องแบบนั้นเป็นไปไม่ได้ ด้วยพลังอันเหนือชั้นของเขาหลิงฮันไม่มีทางหนีพ้นเด็ดขาด


“ไม่ดีแล้ว!”


“หมอนั่นต้องตายแน่!”


ทุกคนกระซิบกระซาบกันแต่ไม่มีใครเลยที่กล้าลงมือ ต่อหน้าถังโม่แล้วต่อให้พวกเขาทุกคนร่วมมือกันก็คงทำอะไรไม่ได้ ความแตกต่างของพลังมีมากเกินไป


ใบหน้าของอูเจวี๋ยบูดบึ้ง เขาอยากจัดการหลิงฮันแต่ไม่ใช่ด้วยวิธีแบบนี้


หลิงฮันไม่มีท่าทีร้อนรนและนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมา


“หืม?” ถังโม่ชะงัก อุปกรณ์อสูรอีกชิ้น!


เขารู้ว่าดาบไม้พุพังก่อนหน้านี้คืออุปกรณ์อสูรไม่ผิดแน่ แต่ไม่คาดคิดหลิงฮันจะครอบครองอุปกรณ์เช่นนี้ถึงสองชิ้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา แม้แต่ในตระกูลของเขาก็มีอุปกรณ์อสูรอยู่ไม่มาก ต่อให้เป็นอัจฉริยะเช่นเขาก็ต้องบรรลุเป็นจ้าวอสูรเสียก่อนถึงจะมีคุณสมบัติได้ครองครองพวกมัน


แต่ถึงอย่างนั้นมดปลวกตรงหน้ากับมีอุปกรณ์อยู่ถึงสองชิ้น?


ความรู้สึกอิจฉาของถังโม่เปลี่ยนเป็นความรู้สึกยินดีอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาสังหารหลิงฮันแล้วอุปกรณ์อสูรทั้งสองก็จะตกเป็นของเองเขา!


เขาผลักฝ่ามือออกไปด้วยความเร็วที่มากขึ้นกว่าเดิม เมื่อนึกถึงอุปกรณ์อสูรทั้งสอง ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถสงบสติได้


“เจ้ารนหาที่ตายเอง” หลิงฮันพึมพำและกระตุ้นดาบอสูรนิรันดร์


‘ครืนนน’ รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ส่องประกาย แสงสว่างอันไร้ที่สิ้นสุดถูกปลดปล่อยออกมา


“อะไรกัน!” ถังโม่ตกตะลึง เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากอำนาจของระดับสร้างสรรพสิ่ง


เป็นไปได้อย่างไร!


ความแตกต่างระหว่างระดับสร้างสรรพสิ่งกับระดับวารีนิรันดร์ขั้นราวกับสวรรค์และปฐพี ต่อให้จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่แข็งแกร่งเช่นเขาจะสามารถต่อกรกับจ้าวอสูรที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับได้ แต่หากให้สู้เป็นตายเขาคงไม่อาจเอาชนะได้


เพียงแต่ว่าต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถกระตุ้นอุปกรณ์อสูรให้ระเบิดพลังออกมาเต็มที่ เช่นนั้นแล้วมดปลวกตรงหน้านี้ทำได้อย่างไร?


แต่ตอนนี้ถังโม่ไม่มีเวลามาตกใจ เขารีบหันหลังและเผ่นหนีอย่างรวดเร็ว


จะให้สู้กับอำนาจของระดับสร้างสรรพสิ่งงั้นรึ? เขายังไม่มีคุณสมบัติพอ


พรวด!


เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าทุกคนก็สะลักออกมา โดยเฉพาะกลุ่มของถังโม่อีกสี่คนที่เหลือ ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นนิ่งอึ้งไร้คำพูด


อีกฝ่ายคือถังโม่เชียวนะ เขาคืออัจฉริยะแนวหน้าของดินแดนต้องห้าม เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่กล้าเผชิญหน้ากับหลิงฮัน!


“นั่นมัน… อุปกรณ์อสูร!” ใครบางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและเผลอกัดลิ้นตัวเอง “ดาบเล่มนั้นถูกกระตุ้นใช้งานปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมา!”


ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมถังโม่ถึงหลบหนี อุปกรณ์อสูรที่ถูกกระตุ้นใช้งานเต็มที่นั้นเปรียบเสมือนการโจมตีของจ้าวอสูร!


ฮึ่ม!


หลิงฮันกัดฟัน ปราณก่อเกิดรวมกับกำลังกายของเขากำลังถูกดาบอสูรนิรันดร์ดูดไปอย่างบ้าคลั่ง


‘พรึบ’ ดาบอสูรนิรันดร์ลอยออกไปด้วยจิตสำนึกของตัวมันเองและไล่ตามถังโม่ไปด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์


หนึ่งก้าวของจ้าวอสูรสามารถเคลื่อนที่ได้หนึ่งพันล้านไมล์ ดาบอสูรนิรันดร์เองก็ไม่ด้อยไปกว่านั้น มีรึที่ถังโม่จะหลบหนีพ้น?


เมื่อเห็นดาบพุ่งไล่ตามมา ถังโม่ก็หันหลังปลดปล่อยการโจมตีต่อต้าน


หากเข้าปะทะเขาก็ยังมีโอกาสรอด แต่หากเอาแต่หลบหนีเขาคงมีโชคชะตาเดียวคือความตาย


ถังโม่คำราม ดวงดาวทั้งหมดในวงโคจรดาราจักรปลดปล่อยอำนาจอันไร้ขีดจำกัดออกมาพร้อมกับปล่อยหมัดเข้าปะทะกับดาบอสูรนิรันดร์


‘ตูมมม’ ดาบอสูรนิรันดร์สั่นไหวเล็กน้อยและหยุดนิ่ง


ถังโม่ป้องกันได้สำเร็จ?


ทุกคนตกตะลึง ถังโม่ผู้นี้ช่างแข็งแกร่งฝืนสวรรค์อย่างแท้จริง แม้แต่อุปกรณ์อสูรเขาก็สามารถกำราบได้!


ถังโม่เองก็ประหลาดใจเช่นกัน เขาไม่นึกว่าตนเองจะสามารถทำสำเร็จ แต่ทว่าในวินาทีต่อมาจู่ๆใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสี ดาบอสูรนิรันดร์เริ่มขยับอีกครั้งและพุ่งทะยานเข้าใส่ลำคอของเขา


ดะ… ดาบนี่เพียงแค่หยอกล้อเขา!


ดาบเล่มนี้มันอะไรกัน ไม่เพียงแค่มีความนึกคิดเป็นของตนเองแต่ยังมีสติปัญญาสูงถึงขนาดรู้จักหยอกล้อคนอื่นด้วย


หลิงฮันนิ่งเงียบ ดาบอสูรนิรันดร์เป็นดาบที่เขาขัดเกลาบ่มเพาะขึ้นมาด้วยตัวเอง แน่นอนว่ามันต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆมาจากเขา


นี่เขาเป็นคนนิสัยเช่นนั้นรึ? หลิงฮันเอ่ยถามตัวเอง


ดาบอสูรนิรันดร์ค่อยขยับใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ถังโม่เหงื่อตก ความตายที่ค่อยๆใกล้เข้ามาทำให้เขารู้สึกเย็นยะเยือก


ไม่เกี่ยวว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะหรือไม่ ทุกคนต่างหวาดกลัวความตาย


“ไม่!” ถังโม่โอดครวญ เขาคืออัจฉริยะแห่งตระกูลถังที่อนาคตภายภาคหน้าจะได้เข้าไปเจิดจรัสในดินแดนแห่งเซียน เขาจะมาตายอยู่ที่นี่ด้วยมือของมดปลวกได้อย่างไร?


เขาดิ้นรนสุดความสามารถแม้กระทั่งเผาผลาญแก่นกำเนิดพลังชีวิตของตนเอง เพียงแต่ต่อหน้าดาบอสูรนิรันดร์ที่ถูกกระตุ้นพลังเต็มที่ถังโม่ย่อมไม่มีทางรอดไปได้


ฉัวะ!


ดาบอสูรนิรันดร์ค่อยลดระดับลงมาและเปลี่ยนเป็นแทงเข้าที่บริเวณหน้าอกของถังโม่ พลังทำลายล้างอันน่สะพรึงกลัวระเบิดออกมาและเริ่มทำลายพลังชีวิตของเขา


ถังโม่ก้มมองลงไปยังดาบอสูรนิรันดร์ที่หน้าอกด้วยสีหน้าไม่ยินยอม เขายื่นมือออกไปราวกับจะคว้าอะไรบางอย่างแต่ก็สิ้นแรงหมดลมหายใจไปเสียก่อน


นี่คือจุดจบของหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะแห่งยุคสมัย

 

 

 


ตอนที่ 1565

 

ทุกคนตกตะลึงอย่างมากเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า


อันที่จริงหลังจากที่ดาบอสูรนิรันดร์ปลดปล่อยอำนาจออกมาทุกคนก็คาดคิดไว้แล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ แต่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่ควบแน่นดวงดาวได้มากกว่าสองล้านดวงนั้นพบเจอได้น้อยกว่าจ้าวอสูรสักคนหนึ่งเสียอีก เพราะงั้นทุกคนจึงรับไม่ได้ที่เห็นอัจฉริยะระดับนั้นตกตายต่อหน้าต่อหน้า


“ไม่จริง!” ตระกูลถังอีกสี่คนโอดครวญ ถังโม่คือรุ่นเยาว์อัจฉริยะที่สุดของตระกูลถังรุ่นต่อไป ตระกูลได้ตั้งความหวังกับเขาเอาไว้มาก ไม่น่าเชื่อว่าคนระดับถังโม่จะมาตกตายที่เขตแดนลี้ลับเช่นนี้


“เจ้าไม่มีทางรอดพ้นไปได้!” ตระกูลถังคนอื่นๆชี้ไปที่หลิงฮัน “จงฆ่าตัวตายเป็นการไถ่โทษเดี๋ยวนี้!”


หลิงฮันเกาหัว คนเหล่านี้สมองมีปัญหารึเปล่า?


ถ้าเขาหวาดกลัวตระกูลถังมีรึที่เขาจะกล้าสังหารสังหาร?


“ลองพล่ามไร้สาระอีกครั้งข้าจะสังหารพวกเจ้าด้วย!” หลิงฮันจ้องมองไปยังทั้งสี่คนด้วยแววตาโหดเหี้ยม เขาไม่ใช่พวกคลั่งหารฆ่าฟันที่จะสังหารทั้งสี่คนเพียงเพราะพูดจายั่วยุเขา แต่หากพวกเขาเหล่านั้นยังไม่รู้ว่าควรประพฤตตัวอย่างไร ความปรานีของเขาก็มีจำกัด


ทั้งสี่คนปิดปากเงียบทันที พลังของพวกเขาอ่อนด้อยกว่าถังโม่มาก เพราะงั้นพวกเขาจะกล้าขัดขืนหลิงฮันได้อย่างไร?


“กระตุ้นพลังของม้วนคัมภีร์สังหารหมอนั่นเลย!” คนหนึ่งในสี่คนกระซิบเสียงเบา


“มหาสมุทรแห่งนี้มีอำนาจรุนแรงมาก หากไร้การป้องกันจากม้วนคัมภีร์พวกเราก็อาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับออกไป”


“…ยังไงตอนนี้ก็อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับหมอนั่นไปก่อน เพราะอย่างไรตราบใดที่พวกเขาออกจากเขตแดนลี้ลับไปได้ ผู้อาวุโสหกย่อมไม่มีวันไว้ชีวิตหมอนั่นแน่ ยิ่งกว่านั้นพี่ชายถังโม่ก็บอกด้วยว่าผู้อาวุโสหกน่าจะติดต่อไปยังตระกูลแล้ว ผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าจะต้องมาที่นี่แน่นอน!”


ณ ตอนนี้พวกเขาจะยอมเลิกราไปก่อนชั่วคราว


พวกจูป้าและคนอื่นๆตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้แค่ถังโม่เพียงคนเดียวก็สามารถทำให้พวกเขาหายใจไม่ทั่วท้องและทำได้เพียงยอมให้อีกสี่คนที่เหลือดูถูก แต่ตอนนี้เมื่อถังโม่ถูกสังหารไปแล้วทั้งสี่คนก็ไม่สามารถทำตามอำเภอใจได้อีกต่อไป!


พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลิงฮันถึงสามารถกระตุ้นอุปกรณ์อสูรให้ปลดปล่อยพลังได้เต็มที่ แต่ถึงจะไม่เข้าใจก็ช่างเพราะอย่างไรหลิงฮันก็ยืนอยู่ฝั่งพวกเขาอยู่แล้ว


ม่อหลีมองไปยังตระกูลถังทั้งสี่ด้วยแววตาโหดเหี้ยมแต่ก็ไม่ลงมือทำอะไร


ทั้งสี่มีม้วนคัมภีร์คอยคุ้มกันอยู่และต่อให้จะเป็นตายยังไงพวกเขาก็คงไม่ออกมาจากม้วนคัมภีร์แน่นอน


ด้วยการคุ้มกันของม้วนคัมภีร์จ้าวอสูร ไม่มีทางเลยที่จะสังหารทั้งสี่คนได้


เพียงแต่ว่าเมื่อม้วนคัมภีร์ถูกกระตุ้นให้ปลดปล่อยพลังคุ้มกันออกมา ระยะเวลาที่พลังจะคงสภาพไว้ได้ก็มีจำกัดซึ่งทุกคนไม่เชื่อว่าพลังของม้วนคัมภีร์จะคงสภาพเอาไว้ได้นานถึงสามปี


เอาไว้รอให้ถึงตอนนั้นค่อยสังหารทั้งสี่คนทีหลังและกล่าวว่าพวกถังโม่ทั้งห้าคนตกตายไปเองในเขตแดนลี้ลับแห่งนี้ก็ได้ไม่ใช่รึไง?


อันที่จริงหลิงฮันก็คิดจะสังหารอีกสี่ที่เหลือเพื่อปิดปากเช่นกัน แต่หากทั้งห้าคนตกตายพร้อมกันมีรึที่ชายชราถังเฟิงจะยอมฟังคำพูดของใคร อีกฝ่ายจะต้องบ้าคลั่งและจับจอมยุทธคนอื่นๆไปตรวจสอบวิญญาณโดยตรงเพื่อค้นความจริงแน่นอน


เพราะงั้นแล้วสุดท้ายเขาก็ต้องตกเป็นเป้าหมายของถังเฟิงอยู่ดี


แต่หากเขานำศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายไปให้หอคอยน้อยซ่อมแซมตัวเองได้เขาก็จะได้รับวาสนาศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถยกระดับพลังให้แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ราชานิรันดร์ กับแค่จ้าวอสูรระดับระดับเหลืองมีอะไรที่เขาต้องกลัว? แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะสิ้นเปลืองวาสนาที่ว่าไปกับถังเฟิงและคิดจะใช้มันไปกับการบุกถล่มดินแดนต้องห้ามแปดศิลา


“หอคอยน้อย วาสนาศักดิ์สิทธิ์ที่จะเจ้าให้ข้าสามารถใช้ได้กี่ครั้งและพลังที่ว่าอยู่ในระดับใด? บางทีอาจจะเป็นระดับโลกียนิพพาน?” เขาเคยถามหอคอยน้อยมาแล้วว่าระดับโลกียนิพพานนั้นสามารุบดขยี้ระดับสร้างสรรพสิ่งได้เพียงแค่นึกคิด


“สามครั้ง ระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุด” หอคอยน้อยรีบตอบ “ก่อนจะถามเรื่องนั้นเจ้ารีบไปเอาศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายมาให้ข้าเร็วๆ”


“สามครั้ง? ระดับสร้างสรรค์พสิ่งขั้นสูงสุด?” หลิงฮันต่อรอง “ไม่ถูกต้อง พลังต่ำกว่าราชานิรันดร์ที่เจ้าว่าคือแค่ระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุดเองน่ะรึ?”


“ก็ไม่ใช่แบบนั้น… แต่ข้าให้เท่านี้จะเอารึไม่?” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่แยแส


หลิงฮันถอนหายใจ “ตกลง เท่านี้ก็เท่านี้”


ก่อนจะเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน พลังของระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสมบูรณ์สมควรเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุด ดูเหมือนเขาจะต้องหาศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายมาให้กับหอคอยจอมขูดเลือดขูดเนื้อตนนี้เพิ่มเพื่อแลกกับวาสนาศักดิ์สิทธิ์ที่ที่ทรงพลังขึ้น


เห้อ… ก่อนหน้านี้ยังดีกว่าเสียอีก ในอดีตทุกๆครั้งที่ทะลวงผ่านระดับพลังเขาจะได้วาสนาศักดิ์สิทธิ์มาแบบไม่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนเลย


เหล่าจอมยุทธมุ่งหน้าเดินทางต่อ ถึงแม้หลิงฮันจะได้ผลของต้นไผ่ศักดิ์สิทธิ์มาครอบครองแต่ก็ไม่มีใครคิดจะปล้นชิง


ล้อเล่นรึเปล่า หลิงฮันไม่แค่มีอุปกรณ์อสูรแต่ยังสามารถกระตุ้นใช้งานได้เต็มพลังอีกด้วยใครกันจะกล้าปล้นชิงเขา


หลิงฮันนั่งลงบนเรือเหาะและนำเม็ดยาออกมากินเพื่อฟื้นฟูปราณก่อเกิด


บนเรือเหาะขนาดเล็ก สหายร่วมเรือจ้องมองไปที่หลิงฮันด้วยความยำเกรง การที่อีกฝ่ายสามารถกระตุ้นใช้งานอุปกรณ์อสูรได้นั้นสมควรค่าแก่การได้รับความเคารพจากพวกเขา


AnchorAnchor


ฉื้อหวงจี่่ส่ายหัว ความห่างระหว่างเขากับหลิงฮันเริ่มห่างไกลออกไปจนเขาทำได้เพียงแหงนมองอีกฝ่าย แม้จะไม่เต็มใจแค่ไหนเขาก็ต้องยอมรับความจริงในเรื่องนี้


เรือเหาะมุ่งหน้าต่อไปไม่หยุดพัก ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงคลื่นยักษ์ก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง


ครั้งนี้พวกเขาผ่านไปได้ยากลำบากกว่าครั้งก่อนๆเนื่องจากหลิงฮันยังอยู่ในสภาพฟื้นฟูพลังปราณ เมื่อคลื่นยักษ์พัดผ่านไปเรือเหาะของพวกเขาก็พังทลายทันที


ม่อหลีนำเรือเหาะลำใหม่ออกมา เรือเหาะจำนวนหนึ่งได้ถูกเตรียมเอาไว้เพื่อการเดินทางในเขตแดนลี้ลับครั้งนี้ “จือหยวน เหิงจุน ต้าเฉิง ฉิงยู่ เซี่ยวหลง กวงหมิง พวกเจ้านั่งเรือเหาะลำอื่นย้อนกลับไปเก็บเกี่ยวสมุนไพรในบริเวณรอบนอก”


“อืม!” ทั้งหกคนที่ถูกเอ่ยชื่อพยักหน้า พลังของพวกเขาอ่อนแอเกินไปและระยะทางต่อจากนี้เรือเหาะจะไม่สามารถต้านทานคลื่นยักษ์ได้ หากอยากไปต่อพวกเขาจำเป็นต้องพึ่งพาตัวเอง แต่หากทำแบบนั้นพวกเขาก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วงเสียเปล่าๆ


เพราะงั้นพวกเขาจึงสมควรแยกตัวออกไป จะอย่างไรสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ก็มีอยู่ทั่วทุกที่ พวกเขาไม่จำเป็นต้องนำชีวิตที่เสี่ยงเพื่อมุ่งหน้าต่อ


กลุ่มของพวกเขาสิบคนแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งกลุ่มล่าถอย ส่วนกลุ่มที่มุ่งหน้าต่อมีเพียงหลิงฮัน ม่อหลี ฉื้อหวงจี่่และอูเจวี๋ยสี่คน


เมื่อคลื่นยักษ์ระลอกต่อไปพัดมาหลิงฮันก็ฟื้นฟูปราณก่อเกิดแทบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว เรือเหาะถูกบดขยี้ในพริบตาและคลื่นยักษ์ได้ถาโถมเข้าใส่พวกเขาทั้งสี่คน


หลิงฮันไม่หวั่นเกรง กายหยาบของเขาต้านทานไหวอยู่แล้ว ม่อหลีเองก็สามารถป้องกันตนเองไหว ฉื้อหวงจี่่หืดขึ้นคอ ในขณะที่อูเจวี๋ยนั้นได้รับการคุ้มกันจากสร้อยคอทำให้ผ่านพ้นคลื่นยักษ์มาอย่างหวุดหวิด


นี่คือเหตุผลที่ทำไมม่อหลีถึงมุ่งหน้าตาเพียงสี่คน คนอื่นๆในกลุ่มของพวกเขาไม่มีทางรับการปะทะจากคลื่นยักษ์ต่อจากนี้ไหว หากคนอื่นๆฝืนดิ้นรนกระดูกในร่างของพวกเขาคงหนีไม่พ้นถูกบดขยี้แตกหัก


ม่อหลีนั้นดูเหมือนว่าจะมีเรือเหาะอยู่ไม่ถ้วน นางนำเรือเหาะลำใหม่ออกมาเพิ่มจะได้ไม่ต้องเผาผลาญปราณก่อเกิดไปกับการเร่งรีบเหาะเหิน ถึงแม้จะช่วยได้ไม่มากแต่ก็ดีกว่าเผาผลาญพลังปราณโดยใช่เหตุ


พวกเขาเดินทางเช่นนี้ไปเรื่อยๆ สามเดือนต่อมาภูเขาที่ปลายยอดทะลุท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าไม่ไกลพวกเขา

 

 

 


ตอนที่ 1566

 

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือภูเขามหาสมุทรมังกร


หลิงฮันแหงนมอง แม้จะด้วยสายตาของเขาก็ไม่สามารถมองเห็นว่ามีอะไรอยู่ด้านบนภูเขา ปลายเขาที่สูงทะลุชั้นฟ้านั้นฟ้ามองดูดีๆแล้วจะเหมือนกับว่าภูเขานี้คือมังกรที่กำลังเกรี้ยวกราด


ทั้งสี่คนลงจากเรือเหาะมายังตีนเขา จากประสบการณ์ของม่อหลีพวกเขาจะไม่สามารถขึ้นไปยอดเขาด้วยการเหาะเหินกลางอากาศได้เนื่องจากโดยรอบภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยผนึกอาคมเขตหวงห้ามที่น่าสะพรึงกลัว หากสัมผัสโดยจะตกตายในทันที


ภูเขาแห่งนี้มีเส้นทางอยู่เก้าสิบเก้าเส้นทางในการขึ้นไปยังยอดเขา หสกเส้นทางไหนมีคนเลือกเดินไปแล้วคนอื่นจะไม่สามารถเลือกเดินไปด้วยได้จนกว่าคนที่เดินไปก่อนจะเสียชีวิต ซึ่งไม่ว่าจะเส้นทางคนทุกคนก็มีสิทธิ์ตายได้เนื่องจากตามทางเดินจะมีผนึกเขตอาคมขวางอยู่


แต่ก็แน่นอน หากไม่สามารถปลดผนึกอาคมได้ก็ไม่จำเป็นต้องฝืน แค่รอให้เวลาผ่านไปสามปีทุกคนก็จะถูกเตะออกจากเขตแดนลี้ลับ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดการ


ม่อหลีกล่าวเตือนกับทั้งสามคนว่าอย่าได้บุ่มบ่ามผลีผลาม หากไม่สามารถไปต่อได้ก็ให้ยอมแพ้อย่าให้นำชีวิตไปเสี่ยง


ตามทางนั้นจะมีวาสนาหาให้มากมาย ทุกครั้งที่เข้ามาในเขตแดนลี้ลับทุกคนจะพบเจอสมบัติอย่างทักษะบ่มเพาะ เม็ดยาและอื่นสมบัติล้ำค่าอื่นๆอยู่ตลอด


เพียงแต่ว่าถึงแม้จอมยุทธที่ข้ามผ่านมหาสมุทรมาได้จะมีน้อยนิดแต่หากนับรวมจำนวนตั้งแต่อดีตแล้วก็มีมากพอสมควร ดังนั้นสมบัติในระดับล่างๆของทางเดินจึงถูกเก็บไปหมดแล้ว


หากต้องการเก็บเกี่ยวสมบัติก็ต้องขึ้นไปให้สูงยิ่งขึ้น


ทั้งสี่คนแยกย้ายกันเลือกเส้นทางของตัวเอง


หลิงฮันเลือกเส้นทางหนึ่ง หลังจากที่เดินไปได้ไม่นานเขาก็พบเจอโขดหินหลายก้อนตั้งอยู่ราวกับมีคนจงใจวางเอาไว้เพื่อขวางทางเขา


เขาหยุดเดินและจ้องมอง โขดหินเหล่านี้ไม่ธรรมดา พวกมันแต่ละก้อนถูกสลักรูปแบบอาคมเอาไว้เล็กๆ


น่าสนใจ


รูปแบบแบบอาคมตรงหน้าเป็นรูปแบบอาคมที่หลิงฮันไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเลือกที่จะไม่ทำลายและค่อยๆถอดรูปแบบอาคม


“รูปแบบอาคมนี่ถึงแม้จะเป็นรูปแบบอาคมง่ายๆแต่ก็ช่วยให้ข้าเรียนรู้พื้นฐานบางอย่างที่ข้าเมินเฉยในสำนักย่อยที่แปด”


“ก่อนหน้านี้มีเพียงรูปแบบอาคมระดับสูงที่อยู่ในสายตาของข้าทำให้ข้าละเลยที่จะศึกษาพื้นฐานของรูปแบบอาคม”


“หนทางสู้วิถีเซียนนั้นยากลำบาก หากข้าต้องการเชี่ยวชาญรูปแบบอาคมเซียนข้าก็ต้องขัดเกลาทุกอย่างจากพื้นขึ้นไป”


หลิงฮันพยักหน้าในใจก่อนจะเดินหน้าต่อ หลังจากเดินไปได้อีกราวๆห้าร้อยฟุตเขาก็พบรูปแบบอามอีกครั้ง มันยังคงเป็นรูปแบบอาคมพื้นฐานเช่นเดิมซึ่งหลิงฮันก็ไม่ได้ผ่านไปโดยใช้กำลัง เขาศึกษารูปแบบอาคมที่ว่าให้เชี่ยวชาญก่อนที่จะถอดรูปแบบอาคมและเดินหน้าต่อ


เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ


เนื่องจากว่ารูปแบบอาคมเหล่านี้สามารถใช้กำลังทำลายทิ้งได้พวกมันจึงไม่สามารถขวางทางเหล่าจอมยุทธตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระหว่างทางหลิงฮันไม่พบเจอสมบัติใดๆซึ่งคงเป็นเพราะถูกจอมยุทธที่เคยมาก่อนหน้าเก็บไปแล้ว


หลิงฮันไม่คิดมาก เพราะอย่างไรก็ไม่มีใครเคยขึ้นไปถึงด้านบนสุดได้อยู่แล้ว ตราบใดที่เขาเดินหน้าได้รวดเร็วพอสุดท้ายเขาก็จะสามารถไปถึงยอดเขาที่ไม่มีใครเคยไปถึงได้ และไม่ว่าสมบัติที่อยู่ที่นั่นจะเป็นอะไรก็จะตกเป็นของเขา


หนึ่งวัน สองวัน สามวัน… เวลาผ่านค่อยๆผ่านพ้นไป ในระยะเวลาเพียงสิบวันหลิงฮันถอดรูปแบบอาคมไปมากกว่าสามพันรูปแบบ ซึ่งพวกมันล้วนแต่เป็นรูปแบบอาคมง่ายๆไม่ซับซ้อน สถานการณ์ดำเนินไปเช่นนี้จนถึงสามร้อยวัน รูปแบบอาคมที่หลิงฮันถอดไปแล้วนั้นมีจำนวนเกินกว่าหนึ่งแสนรูปแบบ


เพียงแต่ว่าจู่ๆรูปแบบอาคมที่เขาพบเจอหลังจากนั้นยากขึ้นจนเขาต้องใช้เวลาพอสมควรในการถอด


รูปแบบอาคมระดับนี้ไม่สามารถหยุดเขาได้ เกรงว่าจอมยุทธส่วนใหญ่ที่มาที่นี่ก็คงเหมือนกันเนื่องจากตั้งแต่เดินผ่านมาหลิงฮันไม่พบเจอสมบัติใดๆเลย


เวลาผ่านไปอีกสองร้อยวัน ระดับความยากของรูปแบบอาคมได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง


รูปแบบอาคมตอนนี้ค่อนข้างยากลำบากหากต้องทำลายด้วยกำลัง คงมีเพียงจอมยุทธที่มีกายหยาบไร้เทียมทานเช่นหลิงฮันหรือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่แข็งแกร่งอย่างม่อหลีเท่านั้นถึงจะสามารถทำลายได้


หลิงฮันเข้าไปในหอคอยทมิฬและทำความเข้าใจรูปแบบอาคมใต้ต้นสังสารวัฏเพื่อลดระยะเวลา


ความเร็วในการเดินขึ้นเขาของเขารวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ แต่ความยากของรูปแบบอาคมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆทำให้เขาต้องใช้เวลาอยู่ในหอคอยทมิฬนานขึ้น


เมื่อเหลือเวลาหนึ่งปีจากสามปี หลิงฮันก็พบแผ่นหยกบางอย่างหลังจากที่ถอดรูปแบบอาคมได้สำเร็จ


หืม?


เขาเก็บมันขึ้นมาและใส่เข้าในหอคอยทมิฬเพื่อตรวจสอบภายหลัง


แผ่นหยกนั่นไม่ใช่กับดักแต่เป็นบันทึกทักษะอะไรบางอย่างที่เรียกว่า ‘ร่างเงามังกรทะยาน’ มันคือทักษะระดับใดนั้นเขายังไม่รู้ แต่เท่าที่ชำเลืองมองดูหลิงฮันมั่นใจว่ามันต้องเป็นทักษะที่ทรงพลังไม่ผิดแน่


เขาพยักหน้าใจใจ ถึงแม้สมบัติสำหรับคนมาทีหลังจะน้อยแต่ยิ่งขึ้นมาสูงความล้ำค่าก็ยิ่งมากขึ้น


เปรียบแล้วก็เหมือนกับต่อให้เก็บเกี่ยวสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์นับพันได้ก็ไม่อาจเทียบกับสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำต้นเดียว


หลิงฮันยิ้มและเดินหน้าต่อ


ความยากของรูปแบบอาคมเพิ่มขึ้นเรื่อนๆ หากให้หลิงฮันถอดรูปแบบอาคมตามเวลาปกติคงใช้เวลาหลายเดือนต่อหนึ่งรูปแบบ แต่ด้วยต้นสังสารวัฏเวลาจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป


เขาเดินหน้าต่ออย่างรวดเร็วและเก็บเกี่ยวสมบัติมากมาย


ทุกครั้งที่เขาถอดรูปแบบอาคมสำเร็จจะพบบางสิ่งวางอยู่ใต้พื้น ส่วนใหญ่จะเป็นกล่องหยกที่มีเม็ดยาหรือไม่ก็สมุนไพรใส่อยู่ด้านใน แต่ที่ทำให้หลิงฮันรู้สึกหดหู่คือไม่มีสมบัติชิ้นใดเลยทีมีระดับเซียน


เขาคำนวณในใจ ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงเจ็ดเดือนก็จะครบเวลาสามปี


เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะสามารถไปถึงยอดเขาบนสุดได้หรือไม่ หากเขาขึ้นไปไม่ถึงยอดบนสุดก็จะไม่ได้ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายมาครอบครองและไม่ได้รับวาสนาศักดิ์สิทธิ์จากหอคอยทมิฬ


ต้องพยายามให้ถึงสุด


เมื่อเวลาผ่านไปและเหลืออีกสามเดือนในที่สุดหลิงฮันก็สามารถมองเห็นยอดเขา


ที่ยอดบนสุดมีรูปปั้นของมังกรแท้จริงนอนอยู่ แม้มันจะเป็นเพียงรูปปั้นที่สลักจากก้อนหินแต่หลิงฮันก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันรุนแรง รูปปั้นมังกรตนนั้นราวกับว่ามันจะสามารถมีชีวิตขึ้นมาได้ตลอดเวลา อำนาจของมันทรงพลังเหนือเก้าชั้นฟ้าจนทุกสรรพสิ่งต้องยอมศิโรราบ


อีกแค่สามเดือน จะชักช้าไม่ได้…


เขาลงมือถอดรูปแบบอาคมต่อโดยไม่หยุดพัก


ตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงประโยชน์ของการถอดรูปแบบอาคมพื้นฐานตอนแรกๆแล้วเนื่องจากรูปแบบอาคมระดับสูงที่เขาพบเจอตอนนี้จำเป็นต้องใช้หลักการจากรูปแบบอาคมพื้นฐานในการการถอด


หากก่อนหน้านี้เขาใช้กำลังผ่านรูปแบบแบบอาคมมาเขาคงร้องไห้ให้กับโชคชะตาอันบัดซบแน่


“อืม!” “โอ้!” “หืม!”


หลิงฮันอุทานตลอดเวลา รูปแบบอาคมระดับสูงทำให้เขาเริ่มเข้าใจว่าการสร้างรูปแบบอาคมระดับสูงนั้นเกิดขึ้นจากการดัดแปลงรูปแบบอาคมพื้นฐานให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น


ทุกสิ่งบนโลกที่ซับซ้อนล้วนแต่สามารถแตกแยกออกมาเป็นหลักการพื้นฐานนับไม่ถ้วน ในทางกลับกัน ตราบใดที่สามารถผสานหลักการพื้นฐานให้รวมกันได้ก็จะเกิดเป็นหลักการที่สูงและซับยิ่งขึ้น


อย่างเช่น… รูปแบบอาคมเซียน!

 

 

 


ตอนที่ 1567

 

หลิงฮันเริ่มเข้าใจอะไรบ้างอย่างขึ้นมาทันที


ภูเขาลูกนี้ไม่ได้มีขึ้นเพื่อทดสอบจอมยุทธที่เข้ามาในที่นี้แต่มีเพื่อให้คนที่เข้ามาที่นี่เรียนรู้รูปแบบอาคมตั้งแต่ความซับซ้อนพื้นฐานไปจนถึงระดับสูง


หลิงฮันยิ้ม ต่อให้เขาไม่พบศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายการเดินทางครั้งนี้ก็คุ้มค่าแล้ว


เขาเริ่มเข้าใจถึงหลักการบางอย่างของรูปแบบอาคมเซียน


“คุ้มค่าบิดาเจ้าสิ เจ้าต้องเอาศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายมาให้ข้าให้ได้!” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่พอใจ


“รู้แล้วๆ ข้าจะพยายาม” หลิงฮันถอนหายใจ


ต่อให้จะมีความหวังเพียงริบหรี่เขาก็จะพยายามสุดความสามารถ เพราะอย่างไรหากหอคอยทมิฬซ่อมแซมตัวเองได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเองด้วย


ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากยอดเขาราวๆพันฟุต จากประสบการณ์ที่ผ่านๆมาของหลิงฮันเขาน่าจะเหลือรูปแบบอาคมที่ต้องถอดอีกมากกว่าสิบรูปแบบ ยิ่งระดับของรูปแบบอาคมสูงขึ้นเวลาที่เขาต้องใช้ก็ย่อมมากขึ้นตามไปด้วย


เมื่อเหลือรูปแบบอาคมที่ต้องถอดเพียงสามรูปแบบ ระยะเวลาสามปีก็เหลืออยู่เพียงสิบวันแล้ว


เวลาเท่านี่เห็นได้ชัดว่าไม่พอแน่ๆ ระยะเวลาที่เขาต้องใช้สำหรับถอดรูปแบบอาคมแต่ละรูปแบบนั้นมากกว่าเกินกว่าสิบวัน สิบวันที่เหลือนี้เพียงพอแค่ให้เขาถอดรูปแบบอาคมได้เพียงรูปแบบเดียว


หลิงฮันส่ายหัวอย่างไม่มีทางเลือก


“อย่ายอมแพ้!” หอคอยน้อยกล่าวราวกับว่าตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ “ข้าจะยอมเสียพลังเล็กน้อยเพื่อช่วยเหลือเจ้า!”


หลิงฮันถลึงตาทันที เจ้าหอคอยขี้เหนียวตนนี้เก็บซ่อนความลับเอาไว้ตลอด หากไม่ใช่เพราะเหตุการในครั้งนี้เกรงว่ามันคงไม่มีทางบอกให้เขารู้แน่


“ข้าจะเร่งการไหลของเวลาสำหรับต้นสังสารวัฏให้เร็วขึ้นสิบเท่า แต่นั่นจะทำให้ข้าหลับใหลไปสักพักและเจ้าจะไม่สามารถเข้าหอคอยทมิฬได้” หอคอยน้อยกล่าว


หลิงฮันตกตะลึง ดูเหมือนหอคอยน้อยจะไม่ได้อยากเก็บความลับเรื่องนี้ไว้แต่เพราะมูลค่าความเสียหายที่ต้องจ่ายมันสูงเกินไป


ที่พึ่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับเขาคือหอคอยทมิฬ เมื่อหอคอยทมิฬไม่สามารถใช้งานได้เขาจะทำอย่างไรหากบังเอิญเผชิญหน้ากับเซียนหรือจ้าวอสูร? อย่างมากเขาก็สามารถต้านทานการโจมตีของคนเหล่านั้นได้ไม่กี่กระบวนท่า


“อืม!” หลิงฮันพยักหน้า เขาสงสัยเป็นอย่างมากกว่าAnchorหุบเขามหาสมุทรมังกรแห่งนี้มีสิ่งใดซ่อนอยู่


หลังจากจดจำรูปแบบอาคมแล้วเขาก็เข้าสู่หอคอยทมิฬเพื่อทำความเข้าใจใต้ต้นสังสารวัฏ


ตอนนี้จักรพรรดินีกับสตรีนกอมตะได้สละตำแหน่งของต้นสังสารวัฏให้เขาเพื่อที่พลังทั้งหมดของต้นสังสารวัฏจะได้เข้าหาเขาคนเดียว


สองวันต่อมาหลิงฮันสามารถถอดรูปแบบอาคมได้หนึ่งอัน ผ่านไปอีกสองวันถอดได้สองอัน และผ่านไปอีกสามวัน รูปแบบอาคมอันที่สามหรือก็คือรูปแบบอาคมสุดท้ายถูกเขาถอดได้สำเร็จ


รวมแล้วเขาใช้เวลาไปเพียงเจ็ดวัน


‘ครืน!’


หลิงฮันผ่อนคลายลงมาบ้าง ตอนนี้เบื้องหน้าของเขาได้ปรากฏตำหนักที่ยิ่งใหญ่และมีความสูงถึงพันฟุต หลิงฮันดูตัวเล็กเป็นอย่างมากเมื่อมาอยู่ต่อหน้าตำหนักนี้


“เจ้าหนู อย่าลืม…ศิลากำเนิด…ความ…” หอคอยน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงติดขัด แต่ยังไม่ทันทีเขาจะพูดจบเสียงหอคอยน้อยก็นิ่งเงียบไป


“หอคอยน้อย! หอคอยน้อย!” หลิงฮันตะโกนเรียกหลายครั้งแต่ก็ไม่มีการตอบกลับ


เขาแม้กระทั่งสัมผัสไม่ได้ถึงการมีอยู่ของหอคอยทมิฬในร่างกาย


หลิงฮันสูดหายใจลึก ตั้งแต่มีชีวิตที่สองด้วยการมีอยู่ของหอคอยทมิฬทำให้เขาไม่หวั่นเกรงต่อภัยอันตรายใดๆ แต่ตอนนี้ไพ่ลับสำหรับช่วยชีวิตใบสำคัญของเขาไม่สามารถใช้ได้ชั่วคราวทำให้เขาต้องพึ่งพาเพียงแค่พลังของตัวเอง


โชคดีที่ภูเขามหาสมุทรมังกรแห่งนี้ดูไม่มีเหมือนสถานที่อันตรายเท่าไหร่ ในทางกลับกัน สถานที่แห่งนี้ช่วยให้เขาเข้าใจถึงหลักการพื้นฐานและความซับซ้อนของรูปแบบอาคม ซึ่งในอนาคตข้างหน้านี้ความเข้าใจของเขาจะบรรลุถึงรูปแบบอาคมเซียนได้อย่างแน่นอน


ตำหนักที่อยู่ตรงหน้าไม่มีประตูทางเข้า หลิงฮันสามารถเดินเข้าไปได้อย่างง่ายดาย สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือค้นหาศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายตามที่สัญญาไว้กับหอคอยน้อย


เขาเดินมองสำรวจรอบด้าน ตำหนักแห่งนี้กว้างใหญ่แค่กลับว่างเปล่า หลังจากเดินตามทางไปได้สักพักร่างของเขาก็ต้องหยุดชะงัก


ด้านหน้าปรากฏร่างของคนสิบคน


ร่างทั้งสิบมีแปดคนเป็นบุรุษสองเป็นสตรี พวกเขาทุกคนดูแก่ชราเป็นอย่างมาก ทั้งสิบคนตกตายไปแล้วเนื่องจากสามารถมองเห็นรอยฟันของดาบตามร่างกายได้อย่างชัดเจน


ดวงตาของหลิงฮันหรี่เล็กลงเล็กน้อย พลังที่สัมผัสได้จากทั้งสิบคนนี้แข็งแกร่งเกินกว่าทุกคนที่เขาเคยพบเจอมา บางทีอาจจะมีเพียงคนเดียวที่สามารถทัดเทียมกับทั้งสิบคนนี้ได้


จักรพรรดิเพลิงอัสนี!


นกอมตะสวรรค์ทั้งสามเมื่อเทียบกับศพทั้งสิบนี้ไม่อาจนับเป็นอันใดได้เลย


พวกเขาเหล่านี้คือปรมาจารย์ของดินแดนแห่งเซียน!


ก่อนที่จะตายคนเหล่านี้ต้องเป็นตัวคนที่ทรงพลังมาก ทรงพลังจนถึงขนาดที่หลิงฮันไม่อาจจิตนาการได้ว่าอยู่ในระดับใด ไม่รู้ว่าระหว่างทั้งสิบคนหรือจักรพรรดิเพลิงอัสนีนั้นใครแข็งแกร่งกว่ากัน


ทั้งสิบคนนี้คือจอมยุทธที่ได้รับผลกระทบจากมหาโศกนาฏกรรม?


เกิดอะไรขึ้นกับดินแดนแห่งเซียนในอดีตกันแน่ถึงได้มีปรมาจารย์มากมายตกตายเช่นนี้?


การจะพบเห็นศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายอยู่ที่นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เนื่องจากเขตแดนลี้ลับแห่งนี้อาจจะบังเอิญหลุดลอยมาจากดินแดนแห่งเซียน


“ศพของนิรันดร์สมควรมีหยดโลหิตและแก่นพลังนิรันดร์จากไขกระดูกอยู่ภายในร่าง… แต่น่าเสียดายที่พวกเขาเหล่านี้เป็นมนุษย์และแข็งแกร่งเกินไป อย่าว่าแต่หอคอยทมิฬในตอนนี้ใช้งานไม่ได้เลย หากข้าใช้สัมผัสสวรรค์กับศพเหล่านี้คงไม่ต่างจากการรนหาความตาย”


“ช่างมันเถอะ ต้องตามหาศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายเป็นอย่างแรก”


หลิงฮันครุ่นคิดและตัดสินใจทำสัญญาที่ให้ไว้กับหอคอยน้อยให้เสร็จสิ้นเสียก่อน


“หนุ่มน้อย!” เสียงอันชราดังก้องจากในตำหนัก


ขนทั่วร่างของหลิงฮันตั้งชูด้วยความหวาดกลัวตกใจ


“ท่านตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่?” หลิงฮันเอ่ยถาม


เสียงชราดังขึ้นอีกครั้ง “ไม่ต้องกลัว ตัวข้าได้เสียชีวิตมานานมากแล้ว แต่ก่อนตายข้าได้ประทับดวงวิญญาณของข้าเอาไว้ในศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายเพื่อให้คงอยู่ตลอดกาล”


ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวาย!

 

 

 


ตอนที่ 1568

 

“ผู้อาวุโสมีความปรารถนาที่ยังทำไม่สำเร็จ?” หลิงฮันถาม


อีกฝ่ายคงตายไปแล้วไม่ผิดแน่ หากไม่ใช่เพราะประทับดวงวิญญาณเอาไว้ที่ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายอีกฝ่ายคงไม่สามารถอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้


“ความปรารถนาที่ยังทำไม่สำเร็จ… ข้ามีมากมาย!” เสียงชราเอ่ยกล่าว


ถ้ามีก็รีบพูดมา ข้ามีเวลาอยู่ที่นี่ได้อีกสามวันเท่านั้นและต้องตามหาศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายด้วย!


หลิงฮันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ในใจแต่ก็ไม่คิดจะเร่งรีบ ห้ามทำให้อีกฝ่ายโกรธในขณะที่เขายังใช้หอคอยทมิฬไม่ได้


“ผู้อาวุโสโปรดกล่าวมา หากไม่เหนือบ่ากว่าแรงของรุ่นเยาว์ ข้าจะทำความปรารถนาของผู้อาวุโสให้บรรลุให้ได้” หลิงฮันกล่าว


“ฮ่าๆ!” เสียงชราหัวเราะ “หนุ่มน้อย เจ้ามั่นใจแล้วรึ?”


หลิงฮันพยักหน้า “ตัวข้าพูดแล้วไม่คืนคำ”


เสียงชราแน่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “ชายชราผู้นี้มีชื่อว่าเฉิงหู่ ตระกูลเฉิงของข้าคือขุมอำนาจหนึ่งในดินแดนแห่งเซียน จริงสิ… บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนแห่งเซียน”


“ข้ารู้” หลิงฮันรีบกล่าวเพื่อไม่ให้เสียเวลา


“หือ?” เฉิงหู่ประหลาดใจเล็กน้อย เด็กน้อยของดินแดนใต้พิภพน่ะรึรู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนแห่งเซียน? เขารีบกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้ารู้แล้วเรื่องก็ง่ายขึ้น”


“ตระกูลเฉิงของข้าเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังของดินแดนแห่งเซียน แต่เมื่อมีมหาโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นตระกูลของข้าได้ถูกลบล้างโดยตัวตนที่ทรงอำนาจ หากไม่ใช่เพราะการช่วยเหลือของผู้นำตระกูลข้าคงไม่ได้มาคุยกับเจ้าที่นี่”


เฉิงหู่ถอนหายใจ “ความปรารถนาของชายชราผู้นี้คืออยากให้เจ้าช่วยสังหารตัวตนทรงอำนาจผู้นั้น!”


สีหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นมืดมน ขนาดชายชราที่แข็งแกร่งขนาดนี้ยังเรียกอีกฝ่ายว่าตัวตนทรงอำนาจ เกรงว่าศัตรูที่ว่าคงเป็นปรมาจารย์ระดับสูงของดินแดนแห่งเซียนไม่ผิดแน่ เขาชะงักแน่นิ่งก่อนจะกล่าว “ขอกล่าวถามผู้อาวุโส… ตัวตนทรงอำนาจที่ว่ามีพลังบ่มเพาะอยู่ระดับใด?”


“ราชานิรันดร์อวี้ซวี ” เฉิงหู่กล่าว


พรวด!


หลิงฮันสำลักทันที ราชานิรันดร์!


หอคอยน้อยที่ไม่หวั่นเกรงใครยังไม่กล้ากล่าวเต็มปากว่าจะสามารถเอาชนะราชานิรันดร์ได้ จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าราชานิรันดร์เป็นตัวตนที่ทรงพลังขนาดไหน


หลิงฮันสงสัยว่าหอคอยทมิฬน่าจะเป็นอุปกรณ์นิรันดร์ของราชานิรันดร์ซึ่งราชานิรันดร์ผู้นั้นได้ตกตายในมหาโศกนาฏกรรม ซึ่งไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่หอคอยทมิฬที่ได้รับความเสียหายหนักได้ปรากฏขึ้นที่ทวีปฮงเทียนจนสุดท้ายก็มาอยู่ในมือของเขา


แต่เจ้าของหอคอยทมิฬนั้นสมควรเป็นราชานิรันดร์ที่แข็งแกร่งกว่าราชานิรันดร์ทั่วไปเนื่องจากคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์นั้นเกิดจากการผสมผสานทักษะระดับราชานิรันดร์มากมายให้เป็นหนึ่งเดียว


แต่ไม่ว่าอย่างไรขึ้นชื่อว่าราชานิรันดร์ก็สมควรเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในดินแดนแห่งเซียน!


จะให้เขาสังหารราชานิรันดร์? ฮะๆ…


หลิงฮันยิ้มเจื่อนและกล่าว “ผู้อาวุโสคิดว่าข้าจะทำได้?”


“ไม่!” เสียงชรากล่าวอย่างหนักแน่นมั่นใจ “เพียงแต่ว่าหากเจ้าหาตำแหน่งผู้นำตระกูลหลบหนีไปฟื้นฟูบาดแผลพบก็อาจจะพอมีหวัง”


หลิงฮันตกตะลึง “ผู้นำตระกูลของผู้อาวุโสเองก็เป็นราชานิรันดร์?”


“ไม่ผิด!” น้ำเสียงของเฉิงหู่เปลี่ยนเป็นภาคภูมิใจ “ท่านผู้นำไม่ได้เป็นเพียงราชานิรันดร์ทั่วไปแต่ยังเป็นหนึ่งในราชานิรันดร์ที่แข็งแกร่งที่สุด เพียงแต่ว่าท่านผู้นำไม่ได้มีเข้าร่วมมหาโศกนาฏกรรมเขาถึงได้ถูกราชานิรันดร์จำนวนมากลอบโจมตี แต่สุดท้ายแม้จะบาดเจ็บสาหัสแต่เขาก็สามารถหลบหนีได้สำเร็จ”


หากต้องรับบาปเคราะห์แห่งสวรรค์ทุกๆหนึ่งร้อยล้านปี หากไม่รักษาอาการบาดเจ็บให้กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ต่อให้เป็นราชานิรันดร์ก็ยากที่จะรอดชีวิต


เพราะงั้นหากจะให้ตามผู้นำตระกูลเฉงเพื่อให้เขากลับมาแก้แค้นล่ะก็… ความหวังคงมีเพียงริบหรี่


“ท่านผู้นำไม่มีทางตาย!” เฉิงหู่กล่าวอย่างมั่นใจ “รุ่นเยาว์ ในอนาคตเมื่อเจ้าเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนจงใช้วิธีการที่ข้าบอกตามหาท่านผู้นำให้เจอและความแค้นของตระกูลเฉิงจะได้ถูกสะสาง ยิ่งกว่านั้นหากเจ้าได้รับคำชี้แนะจากท่านผู้นำ ต่อให้จะบรรลุเป็นราชานิรันดร์ไม่ได้แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้เจ้าบรรลุระดับระดับขอบเขตตำหนักอมตะหรือระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้”


หลิงฮันเมินเฉยต่อผลประโยชน์ที่เฉิงหู่และกล่าวถาม “ผู้อาวุโส ถัดจากระดับโลกียนิพพานคือระดับขอบเขตตำหนักอมตะและระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้?”


“หืม ทั้งๆที่เจ้ารู้จักดินแดนแห่งเซียนแต่เหตุใดถึงไม่รู้ระดับพลังของที่นั่น?” เฉิงหู่ประหลาดใจ “ถัดจากระดับโลกียนิพพานตามลำดับคือระดับแบ่งแยกวิญญาณ ระดับขอบเขตตำหนักอมตะ ระดับข้ามผ่านต้นกำเนิดแท้และระดับที่ไม่ว่าใครจากก็ใฝ่ฝัน ระดับราชานิรันดร์!”


“ระดับราชานิรันดร์แบ่งออกไปได้อีกเก้าระดับย่อย ความแตกต่างเพียงหนึ่งระดับย่อยนั้นกว้างใหญ่ราวกับไต่เต้าขึ้นสวรรค์ ท่านผู้นำนั้นเป็นถึงราชานิรันดร์ระดับแปดที่ห่างจากราชานิรันดร์สูงสุดเพียงก้าวเดียว”


ในที่สุดหลิงฮันก็รับรู้ถึงลำดับพลังบ่มเพาะของดินแดนแห่งเซียน เป็นอย่างที่คิดว่าราชานิรันดร์นั้นเป็นตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนแห่งเซียน เพียงแต่ระดับของราชานิรันดร์ไม่ได้แบ่งออกดเป็นขั้นต้น กลาง สูง สูงสุดแต่แบ่งออกเป็นเก้าระดับย่อยแทน


เขาครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “หากมีโอกาส รุ่นเยาว์ผู้นี้จะออกหาตามผู้นำของท่านให้พบ”


“ผู้อาวุโส ในอดีตเกิดอะไรขึ้นกับเหตุการณ์มหาโศกนาฏกรรมกันแน่?” หลิงฮันเอ่ยถาม เขาสงสัยเป็นอย่างมากว่าเหตุการณ์เช่นใดกันที่ทำให้ตัวตนระดับนิรันดร์ตกตายได้


“…เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้” เฉิงหู่ถอนหายใจ “ตัวข้าเป็นเพียงจอมยุทธระดับโลกียนิพพาน ในตอนที่เกิดมหาโศกนาฏกรรมข้าบังเอิญอยู่ใกล้กับศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายถึงได้ทิ้งดวงวิญญาณเอาตัวรอดมาได้”


ในดินแดนแห่งเซียน ระดับโลกียนิพพานคือระดับพลังที่ต่ำที่สุด เป็นธรรมดาที่เฉิงหู่จะไม่รู้ถึงต้นตอของมหาโศกนาฏกรรม


แต่ที่ทำให้หลิงฮันประหลาดใจคือเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่มหาโศกนาฏกรรมจะต้องเกิดขึ้นทั่วทั้งดินแดนแห่งเซียนเป็นแน่ แต่เหตุใดคนที่รับรู้ต้นเหตุของเหตุการณ์นั้นถึงได้มีเพียบน้อยนิดเท่านั้น?


ตำหนักมัจฉาวายุภักษ์คือขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่หญิงชราผู้นั้นจะเป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ นางต้องรู้สาเหตุอย่างแน่นอน


เอาไว้เมื่อพบเจอฮูหนิวในอนาคต เขาค่อยให้นางไปถามให้แล้วกัน


“หนุ่มน้อย ข้าไม่ได้ไหว้วานเจ้าเปล่าๆ ข้าจะมอบศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายให้เจ้าพร้อมกับรูปแบบอาคมจำนวนหนึ่ง หากเจ้าฝึกฝนได้อย่างเชี่ยวชาญพลังของเจ้าจะสามารถเหยียบย่ำจอมยุทธระดับโลกียนิพพานได้ทุกคน” เฉิงหู่กล่าว “เอาล่ะ เจ้าเดินตามเส้นทางที่ข้าบอกให้ดีอย่าให้ก้าวพลาด ตำหนักแห่งนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่พำนักของตระกูลเฉิง เขตแดนป้องกันของที่นี่ทรงพลังมาก ต่อให้เป็นราชานิรันดร์ก็ไม่สามารถกลับออกมาได้”


หลิงฮันพยักหน้า ที่นี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่พำนักของราชานิรันดร์ ไม่รู้ว่าจะมีสมบัติเหลืออยู่บ้างรึเปล่า


ที่น่าเสียดายคือเฉิงหู่ยังคงวาดฝันว่าผู้นำที่เป็นตัวตนระดับราชานิรันดร์ของเขาจะยังไม่ตายและตระกูลเฉิงจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่อย่างรุ่งโรจน์อีกครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่เฉิงหู่จะมอบสมบัติที่หลงเหลืออยู่ที่นี่ให้แก่เขา

 

 

 


ตอนที่ 1569

 

ผลประโยชน์ที่หลิงฮันได้รับจากการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่น้อยๆ ในตอนที่ข้ามผ่านมหาสมุทรเขาเก็บสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ได้มากมาย แถมยังมีผลของสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำอีกด้วย นอกจากนั้นในตอนที่เดินขึ้นเขาก็ได้รับเม็ดยาและทักษะต่างๆจากการถอดรูปแบบอาคม หากได้รับศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายด้วยจะถือว่าสมบูรณ์แบบ


ตอนนี้เขากำลังเดินอยู่ในตำหนักขนาดมหึมาตามเส้นทางที่เฉิงหู่บอก


ระหว่างทางเขาพบกับห้องจำนวนนับไม่ถ้วนที่หากก้าวผิดจะต้องหลงอยู่ภายในนี้จนหาทางออกไม่ได้แน่นอน


ไม่น่าแปลกใจที่เฉิงหู่กล้ากล่าวว่าแม้แต่ราชานิรันดร์ก็ไม่อาจออกไปจากที่นี่ได้


หลังจากเดินมาได้หลายชั่วโมงหลิงฮันก็มาถึงห้องหินแห่งหนึ่ง เขาเปิดประตูตามวิธีการที่เฉิงหู่บอก ทันทีที่ก้าวเดินเข้าไปเขาก็พบว่าตนเองมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รอบด้านคือห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่และตรงกลางห้วงอวกาศนี้ได้มีหินขนาดมหึมาปลดปล่อยแสงสลัวอยู่เป็นระยะ


ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวาย


หลิงฮันจำได้ไม่ลืม ตอนที่อยู่ทวีปฮงเทียนเขาเคยได้รับศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายมาครั้งหนึ่ง แต่ในตอนนั้นเป็นเพราะความช่วยเหลือของฮูหนิวเขาถึงนำมันเข้าสู่หอคอยทมิฬได้


“ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายเป็นสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งของดินแดนแห่งเซียน มันสามารถช่วยขัดเกลากายหยาบของจอมยุทธได้” เฉิงหู่กล่าว


“หนุ่มน้อย ชายชราผู้นี้หมดหน้าที่แล้ว จงรับศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายไปแล้วข้าจะปิดผนึกตำหนักตระกูลเฉิงแห่งนี้เพื่อให้มีเพียงท่านผู้นำที่สามารถค้นหาเจอ”


‘พรึบ’ ศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวายลอยเข้าหาหลิงฮัน


หลิงฮันรีบเก็บมันเข้าไปในแหวนมิติ ดูเหมือนว่าหลังจากที่บรรลุระดับพระเจ้าจะทำให้เขามีความสามารถในการต่อต้านอำนาจของศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวาย ก่อนหน้านี้ที่ต้องพึ่งพาฮูหนิวเป็นเพราะเขายังอ่อนแอเกินไป


‘ครืนน’ เขตแดนลี้ลับเริ่มพังทลายทันที ยังไม่ทันที่หลิงฮันจะรู้สึกตัวก็พบว่าตนเองได้ยืนอยู่กลางห้วงอวกาศรกร้าง ไม่ไกลออกไปจากเขามีจ้าวอสูรหลายสิบคนยืนอยู่โดยนำพาดมือไว้ที่ด้านหลัง


ระยะเวลาแค่สามปีสำหรับจ้าวอสูรแล้วไม่ต่างอะไรกับการกระพริบตา


ไม่เพียงแค่หลิงฮันแต่จอมยุทธคนอื่นๆก็ถูกส่งตัวออกมาเช่นกันพร้อมกับหุบเขามหาสมุทรมังกรได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับจะไม่มีวันปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีก


หลิงฮันถอนหายใจ เขารู้สึกราวกับตนเองเป็นดวงดาวแห่งความโชคร้ายที่ไม่ว่าไปเขตแดนลี้ลับแห่งไหนเขตแดนลี้ลับแห่งนั้นก็ต้องมาถึงจุดจบตลอด


“หืม?” ถังเฟิงกวาดสายตามองก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นมืดมน “แล้วถังโม่ล่ะ?”


“ขอตอบผู้อาวุโสหก พี่ถังโม่ถูกสังหาร!” รุ่นเยาว์ทั้งสี่ของตระกูงถังรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงโอดครวญ


“ว่าไงนะ!” ถังเฟิงตกตะลึง เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร! เขารีบกล่าว “ใครเป็นคนสังหาร?” หรือคนสังหารจะเป็นจ้าวอสูรระดับดำภายในเขตแดนลี้ลับ?


“เป็นเขา!” รุ่นเยาว์ตระกูลถังทั้งสี่คนชี้ไปยังหลิงฮัน


‘พรึบ’ สายตาทุกคู่จดจ้องไปที่หลิงฮันไม่เว้นแม้แต่ข้าวอสูรทั้งสิบแปด


เพียงแต่ว่าต่อมาจ้าวอสูรทุกคนก็ส่ายหัวและแสดงท่าท่างไม่เชื่อ


จะเป็นไปได้อย่างไร!


ถังโม่คือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ พลังของเขาเรียกได้ว่าสามารถบดขยีพวกม่อหลี จูป้าและหยุนเหอได้อย่างราบคาบ ภายใต้ระดับสร้างสรรค์พสิ่งใครจะสามารถสังหารเขาได้?


หลิงฮัน?


 


จ้าวอสูรขวงล่วนรู้ว่าหลิงฮันนั้นไม่ธรรมดา แต่เขาก็ไม่คิดว่าหลิงฮันจะสามารถสังหารถังโม่ได้


“เป็นเขาจริงๆ!” รุ่นเยาว์ตระกูลถังทั้งสี่รีบอธิบายถึงเรื่องที่หลิงฮันครอบครองอุปกรณ์อสูรและสามารถกระตุ้นใช้พลังของมันได้เต็มที่


คราวนี้จ้าวอสูรทุกคนได้เผยสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด


จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สามารถใช้พลังของอุปกรณ์อสูรได้เต็มที่?


เรื่องเพ้อฝันแบบนั้น!


เหล่าจ้าวอสูรถามศิษย์และคนของตัวเองเพื่อยืนยัน หลังจากรู้ว่าเป็นเรื่องจริงพวกเขาต่างรู้สึกตกตะลึงจนไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา


รุ่นเยาว์ผู้นี้ไม่ปกติ!


ถังเฟิงปลดปล่อยจิตสังหารมุ่งเป้ามาที่หลิงฮัน


บังอาจนักที่สังหารคนของตระกูลถัง แถมคนที่ถูกสังหารยังเป็นรุ่นเยาว์ที่สำคัญที่สุดของตระกูลอีกด้วย! ถังโม่คือความหวังของตระกูล ต่อให้เข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนแล้วเขาก็ยังคงเป็นอัจฉริยะที่เปล่งประกาย


“ตาย!” ถังเฟิงไม่พูดพล่ามและลงมือทันที


“ฮึ่ม!” จ้าวอสูรขวงล่วนเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว เขาตอบโต้ปลดปล่อยคลื่นแสงสีดำเข้าใส่ถังเฟิง


ถังเฟิงหันกลับไปป้องกัน แม้เขาจะมั่นใจว่าตนเองแข็งแกร่งกว่าจ้าวอสูรขวงล่วนแต่ก็ไม่การรับการจู่โจมของอีกฝ่ายตรงๆ และพอเขาหันกลับมาอีกครั้งหลิงฮันก็ฉวยโอกาสหลบไปอยู่ด้านหลังจ้าวอสูรขวงล่วนแล้ว


“เจ้ารนหาที่ตายให้ตัวเอง?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยม ต่อหน้าตระกูลถังของเขาจ้าวอสูรระดับเหลืองสามารถนับเป็นอันใดได้ ผู้อาวุโสที่ห้าของพวกเขาสามารถบดขยี้ได้อย่างง่ายดาย


จ้าวอสูรขวงล่วนสะบัดแขนเสื้อ “การแย่งชิงสมบัติในเขตแดนลี้ลับย่อมมีความเสี่ยง! ยิ่งกว่านั้นหากถังโม่จะตายก็ต้องโทษที่เขาไร้ความสามารถเอง!”


หากไม่จำเป็นเขาไม่อยากบาดหมางกับถังเฟิง ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ยอมให้พวกตระกูลถังเข้าไปในเขตแดนลี้ลับตั้งแต่แรก เพียงแต่เขาไม่อาจยอมปล่อยให้หลิงฮันถูกสังหารต่อหน้าเขาได้


ถังเฟิงยิ้มเย็นชา “ไม่มีใครเคยกล้าสังหารรุ่นเยาว์ของตระกูลข้ามาก่อน ความแค้นนี้ไม่อาจปล่อยผ่านไปได้! เจ้าหนูนั่นต้องตาย หากเจ้าปกป้องเขาเจ้าก็ต้องตายไปด้วย รวมถึงทุกคนรอบข้างที่เกี่ยวข้องกับเจ้า!”


ช่างอวดดีนัก!


จ้าวอสูรที่สิบหกคนเกรี้ยวกราด เจ้าเป็นฝ่ายรุกล้ำอาณาของพวกเจ้าแท้ๆแต่กลับกล้าแสดงท่าทางหยิ่งยโสเช่นนั้นออกมา นี่เจ้าคิดว่าระดับพลังจ้าวอสูรของพวกข้ามีไว้ประดับเฉยๆ?


“เหอๆ ถ้าเช่นนี้ข้าคงต้องขอคำชี้แนะจากเจ้าเสียหน่อย!” จ้าวอสูรป้าเจี้ยนก้าวออกมาด้วยแววตาสู้รบ แม้เขากับจ้าวอสูรขวงล่วนจะต่อสู้กันมาเป็นเวลานานหลายล้านปีแต่พวกเขาก็เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน


อันที่จริงเขาจงใจเดินพันกับจ้าวอสูรขวงล่วนเพราะต้องการให้ทายาทของพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน


“มีใครอีกไหม?” ถังเฟิงแสยะยิ้ม “ใครที่อยากตายขอให้ก้าวเดินออกมาข้าจะได้จำให้แม่นและสังหารไม่ผิดคน!”


เจ้าอสูรที่เหลือเกรี้ยวกราดและมีสีหน้ามืดมน พวกเขาทุกคนใครบ้างไม่ใช่ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขตดวงดาวที่พวกเขาอยู่? พวกเขาทุกคนก้าวเดินออกมาโดยไม่กล่าวอะไร แม้จะไม่พูดแต่การกระทำของพวกเขาก็สื่อออกมาอย่างชัดเจนแล้ว


“เหอๆ ดี! ดีมาก!” ถังเฟิงแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะแหงนมองไปยังมุมหนึ่งของห้วงอวกาศ


‘พรึบ’ คลื่นแสงแห่งเต๋าพุ่งทะยานเข้ามาใกล้ พริบตานั้นแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวก็แพร่กระจายไปทั่วบริเวณ

 

 

 


ตอนที่ 1570

 

ร่างหนึ่งปรากฏออกมาพร้อมกับคลื่นแสงแห่งเต๋า เขาคือชายที่มีรูปลักษณ์อยู่ในช่วงอายุห้าสิบปี เขาคือชายร่างสูงผมม่วงที่แม้รอบกายจะไม่มีสายลมพัดผ่านแต่ผมก็สยายราวกับคลื่น


ชายคนนี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก  แรงกดดันของเขาปกคลุมไปทั่วพื้นที่จนจ้าวอสูรทุกคนต้องหยุดชะงักตัวสั่น


“จ้าวอสูรปฐพี!” จ้าวอสูรป้าเจี้ยนและจ้าวอสูรคนอื่นๆอุทาน


จ้าวอสูรปฐพีนั้นหากเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คือเซียนระดับสูง ตัวตนเช่นนี้สามารถกำราบเซียนระดับต้นหรือจ้าวอสูรระดับเหลืองได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว


“คารวะผู้อาวุโส!” เหล่าจ้าวอสูรผสานมือคารวะ บุคคลตรงหน้าเป็นปรมาจารย์ระดับแนวหน้า อย่างน้อยในเขตดวงดาวหลายร้อยเขตใกล้เคียงนี้ก็ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้


“คารวะผู้อาวุโสสาม!” รุ่นเยาว์ตระกูลถังทั้งสี่คนโค้งตัวคารวะด้วยความเคารพ ถังเฟิงเองก็ก้มหัวเล็กน้อย ถึงแม้เขาจะดูแก่ชรากว่าแต่อีกฝ่ายนั้นมีสถานะสูงกว่าเขา


ชายที่เพิ่งปรากฏตัวมีชื่อว่าถังหยุน เขาเป็นคนของตระกูลถังที่มีสถานะเป็นถึงผู้อาวุโสสาม


Anchor


จ้าวอสูรขวงล่วนและจ้าวอสูรคนอื่นๆตกตะลึง ขนาดแค่ผู้อาวุโสสามยังเป็นถึงจ้าวอสูรระดับสูง หากเป็นผู้อาวุโสหนึ่งกับผู้อาวุโสสองล่ะจะแข็งแกร่งขนาดไหน?


ตระกูลถังเป็นขุมอำนาจแบบใดกันแน่ ช่างน่าสะพรึงกลัวนัก!


หลังจากถังเฟิงก้มหัวคารวะเสร็จ เขาก็หันไปแสยะยิ้มใส่จ้าวอสูรขวงล่วนพร้อมกับกล่าว “เจ้าจะช่วยเหลือเจ้าหนูนั่นไม่ใช่รึ? ฮ่าๆ เอาสิลงมือเลย!”


ใบหน้าของจ้าวอสูรขวงล่วนเปลี่ยนเป็นมืดมนและกำหมัดแน่น


ด้วยการที่บรรลุระดับพลังที่สูงเช่นนี้ทำให้หาได้ยากนักที่เขาจะรู้สึกโกรธ ตัวเขานั้นอยู่บนจุดสูงสุดมาตลอดใครจะกล้าขัดคำสั่งเขา? แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีตัวตนระดับจ้าวอสูรปฐพีปรากฏตัวเช่นนี้


“ฮ่าๆๆ!” ถังเฟิงหัวเราะ ถึงแม้ปกติเขาจะไม่อยากทำตัวโอหังต่อหน้ารุ่นเยาว์แต่ครั้งนี้นั้นต่างออกไป จ้าวอสูรสิบกว่าคนตรงหน้าบังอาจขัดขืนเขาทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก


ตระกูลถังของพวกเขามาจากไหน? ผู้นำของพวกเขาเป็นตัวตนที่มาจากดินแดนแห่งเซียน แค่หนึ่งนิ้วของเขาก็มีค่ามากกว่าชีวิตของคนเหล่านี้หลายร้อยเท่า!


“ไม่ใช่ก่อนหน้านี้พวกเจ้ายังปากดีอยู่เลยรึไง? ทำไมตอนนี้ถึงกลัวหัวหดไปแล้วล่ะ?” ถังเฟิงชี้นิ้วไปยังจ้าวอสูรทั้งสิบเจ็บด้วยท่าทางเหยียดหยาม


“เฒ่าหก!” ถังหยุนเอ่ยกล่าวด้วยเสียงเบาแต่ก็ทำให้ถังเฟิงต้องหยุดพล่ามทันที “เขตแดนลี้ลับอยู่ที่ไหน?”


“เรื่องนั้น…” ถังเฟิงเกาหัว เขามัวสนใจแต่จะสังหารหลิงฮันจนลืมเรื่องเขตเดนลี้ลับไปเสียสนิท “ผู้อาวุโสสาม เจ้าหนูนั่นสังหารถังโม่และได้รับสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำกับอุปกรณ์อสูรมาจากในแขตแดนลี้ลับ!”


“โฮ่?” ถังหยุนมองไปยังหลิงฮัน สายตาของเขากวาดมองร่างของหลิงฮันอย่างทะลุปรุโปร่ง “เพียงแค่ระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางจะสังหารถังโม่ได้อย่างไร?”


“เขาสามารถกระตุ้นพลังใช้งานพลังของอุปกรณ์อสูรได้!” ถังเฟิงกล่าว


ถังหยุนเผยสีหน้าตกตะลึง จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สามารถกระตุ้นพลังของอุปกรณ์อสูรได้? ไม่มีทาง! ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้! หากไม่ทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่งก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของระพลังนั้น


“จัดการเขาซะ!” ถังหยุนกล่าว กับแค่รุ่นเยาว์ระดับวารีนิรันดร์เขาไม่อยากลงมือด้วยตัวเอง


ถังเฟิงจ้องมองหลิงฮันและกล่าว “ทีนี้ใครจะกล้าหยุดข้า?”


“ท่านพ่อ!” จูเซวียนดึงแขนจ้าวอสูรป้าเจี้ยน หากหลิงฮันตกอยู่ในมือของถังเฟิงเขาจะต้องตายแต่นอน


จ้าวอสูรป้าเจี้ยนขมวดคิ้วและไม่กล่าวอะไรออกมา


คราวนี้คนที่ออกคำสั่งให้ลงมือคือจ้าวอสูรปฐพี มีรึที่เขาจะทำอะไรได้? หากในที่นี้มีเขาเพียงแค่คนเดียวก็ยังพอฉวยโอกาสพาหลิงฮันหนีได้อยู่ เพราะอย่างไรความเร็วของจอมยุทธระดับสร้างสรรพสิ่งนั้นก็แทบจะไม่ต่างกัน


ในขณะเดียวกัน จ้าวอสูรขวงล่วนเองก็ขมวดคิ้วเคร่งเครียด  เขาติดหนี้บุญคุณหลิงฮันอยู่ หากต้องมองดูหลิงฮันประสบปัญหาโดยตัวเขาไม่ทำอะไรเลยจะกลายเป็นหนามที่รัดเหนี่ยวจิตใจของเขาไปตลอดกาล


“ท่านพ่อ ช่วยหมอนั่นเร็ว!” อูเจวี๋ยกล่าวเสียงเบา แม้เขาจะไม่ชอบหลิงฮันที่กลั่นแกล้งเขาตอนเป็นเด็ก แต่เขาก็ยังคงจำได้ไม่ลืมว่าเป็นเพราะหลิงฮันเขาถึงได้กลับมายังดินแดนใต้พิภพ


“ฮ่าๆๆ ก็แค่ฝูงมดปลวกที่คิดจะต่อต้านมังกร!” ถังเฟิงยิ้มเย็นชาและเอื้อมฝ่ามือเข้าใส่หลิงฮัน


‘พรึบ!’


คลื่นแสงแห่งดาบและกรงเล็บที่ทรงพลังถูกปลดปล่อยออกไป จ้าวอสูรป้าเจี้ยนกับจ้าวอสูรขวงล่วนลงมือต่อต้านฝ่ามือของถังเฟิงพร้อมกัน


“พวกเจ้าคิดต่อต้าน!” ถังเฟิงเกรี้ยวกราด ขนาดผู้อาวุโสสามมาอยู่ตรงนี้แล้วพวกเจ้ายังกล้า?


“ผู้อาวุโส!” จ้าวอสูรขวงล่วนและจ้าวอสูรป้าเจี้ยนผสานมือไปยังถังหยุน “หลิงฮันสังหารถังโมด้วยการต่อสู้ที่เท่าเทียม ท่านไม่คิดว่าการที่จ้าวอสูรลงมือกับเขาจะเป็นการกระทำที่ไร้ความยุติธรรมเกินหน่อยหรอกรึ?”


“ไร้ความยุติธรรม?” ถังเฟิงหัวเราะ “ตระกูลถังของข้าต่างหากที่คือความยุติธรรม! ผู้อาวุโสสาม โปรดลงมือสังหารสองคนนั้นด้วยเพื่อไม่ให้เกียรติของตระกูลเราถูกเหยียดหยาม!”


ยิ่งยโสอะไรอย่างนี้ คิดว่าตระกูลถังเป็นเจ้าของดินแดนใต้พิภพหรืออย่างไร?


“ผู้อาวุโส!” หลิงฮันเอ่ยเสียงดัง “รุ่นเยาว์มาจากดินแดนต้องห้ามแปดศิลาเพื่อสั่งสมประสบการณ์ในดินแดนใต้พิภพ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับข้าผู้นำตระกูลข้าจะต้องไม่มีวันนิ่งเฉยแน่”


เขาพูดพล่ามไร้สาระออกไปเรื่อยเปื่อยโดยยกดินแดนต้องห้ามแปดศิลาออกมาถ่วงเวลา ตราบใดที่หอคอยน้อยตื่นขึ้นมาและหอคอยทมิฬสามารถใช้การได้อีกครั้ง ต่อให้เป็นจ้าวอสูรปฐพีหรือสวรรค์เขาก็ไม่กลัว!


ถังเฟิงชะงักก่อนจะหันไปมองถังหยุนด้วยสีหน้าลังเล


ดินแดนต้องห้ามคือขุมอำนาจเช่นเดียวกันตระกูลถัง คนที่เขาหวาดกลัวไม่ใช่หลิงฮันแต่เป็นขุมอำนาจเบื้องหลัง หากดินแดนต้องห้ามที่ว่าแข็งแกร่งกว่าตระกูลถังพวกเขาคงพบเจอปัญหาใหญ่แน่


“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน” ถังหยุนเอ่ยกล่าว ภายในดวงตาของเขาปรากฏดวงดารานับร้อยล้านและสัมผัสได้ถึงออร่าอันน่าสะพรึงด้วย


หลิงฮันยิ้ม “รุ่นเยาว์ไม่ใช่คนของดินแดนใต้พิภพแต่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์!”


“เป็นไปไม่ได้!” ถังเฟิงส่ายหัวทันที จอมยุทธที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับดินแดนใต้พิภพได้อย่างสมบูรณ์เช่นนี้จะเป็นคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร? อย่างที่รู้ว่าหากเข้าสู่ต่างดินแดน อำนาจแห่งอำนาจเกณฑ์ที่ฝึกฝนมาทั้งชีวิตจะถูกลบล้างหายไปรวมถึงพลังบ่มเพาะก็จะค่อยๆถดถอยตามกาลเวลา


เพราะงั้น ถึงแม้จะมีคำกล่าวว่าหากบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงและผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวจะสามารถเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนก็ตาม แต่ความจริงแล้วมันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)