Alchemy Emperor of the Divine Dao 1529-1556

ตอนที่ 1529

 

ในสำนักละอองดารา ที่พักของศิษย์นั้นถือว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจลุกล้ำ ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎจะต้องรับโทษรุนแรง บางทีอาจจะถึงขั้นถูกทำลายพลังบ่มเพาะหรืออาจะถูกสังหารก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้


เพราะงั้นแล้วศิษย์ทุกคนจึงอุ่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าสามารถบ่มเพาะพลังในที่พักของตนเองได้อย่างไม่ต้องเป็นกังวล


ทว่าครั้งนี้กฎเหล็กที่ว่ากลับถูกทำลายเสียแล้ว


คนสามคนทำลายประตูลานที่พักของหลิงฮันอย่างองอาจ


หลิงฮันออกจากที่พักและพบกับสองบุรุษหนึ่งสตรี เขาจดจำสองจากในสามคนได้ บุรุษคนหนึ่งคือไช่เหมี่ยว ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักย่อยที่แปด สตรีอีกคนคือภรรยาเซียน จูซิ่วเอ๋อ!


บุรุษคนสุดท้ายในกลุ่มนั้นเยาว์วัยเป็นอย่างมาก อายุแท้จริงของเขาดูแล้วอาจจะเพียงราวๆยี่สิบปีเท่านั้น แต่พลังบ่มเพาะกลับบรรลุระดับภูผาวารีแล้ว


“หลิงฮัน!” จูซิ่วเอ๋อคำรามและชี้นิ้ว ใบหน้าของเขาประดับไว้ด้วยความเกลียดชัง


หลิงฮันยิ้มและกล่าวทักทาย “พบภรรยาเซียน”


ด้วยสถานะของอีกฝ่าย ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถเมินเฉยไม่กล่าวทักทาย


“อยู่ต่อหน้าภรรยาเซียนแล้ว เจ้ายังไม่คุกเข่าอีก?” ไช่เหมี่ยวกล่าว เขาไม่พอใจกับการปฏิวัติของหลิงฮันมาโดยตลอด


หลิงฮันส่ายหัว “มีกฎระเบียบของสำนักว่าเมื่อพบเจอภรรยาเซียนแล้วต้องคุกเข่า?”


“ไม่ใช่กฎระเบียบแต่เป็นการแสดงความเคารพขั้นพื้นฐาน หรือเจ้ากล้าไม่ไว้หน้าเซียน?” ไช่เหมี่ยวคำราม ในหมู่ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสี่ของสำนักย่อยที่แปด เขาคือคนที่ยืนกรานต้องการให้หลิงฮันทำตามวัฒนธรรมคลานผ่านช่องลอดสุนัขมากที่สุด


เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว อวี๋ซู่ซู่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการศึกษารูปแบบอาคม จนแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่โผล่หน้ามาให้ใครเห็น


เริ่นเฟยอวิ๋นเองก็อยู่ฝ่ายเดียวกับหลิงฮัน ส่วนฉีเทียนนั้นแม้จะต้องการให้หลิงฮันทำตามวัฒนธรรมเช่นกันแต่ก็เป็นพวกหัวรุนแรงน้อยกว่าไช่เหมี่ยว


จนถึงตอนนี้มีเพียงไช่เหมี่ยวเท่านั้นที่ไม่คิดจะรามือจากหลิงฮัน แต่ว่าในก่อนหน้านี้หลิงฮันเอาแต่เก็บตัวอยู่ในหอคอยทมิฬหรือไม่ก็อยู่ในลานที่พักทำให้เขาไม่มีโอกาสลงมือ


แต่ว่าตอนนี้ไม่เหมือนกัน เขามีภรรยาและบุตรของเซียนมาด้วยกัน ต่อให้ท้องฟ้าจะร่วงหล่นมีรึที่ภรรยาเซียนจะรับมือไม่ได้?


หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ความเคารพที่มีต่อเซียนนั้นอยู่ภายในใจ ข้าไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา”


“อย่าให้เบี่ยงประเด็น!” ไช่เหมี่ยวกล่าว “เจ้าจะคุกเข่าหรือไม่?”


หลิงฮันจ้องมองไปยังรุ่นเยาว์ซึ่งแน่นอนว่าคงเป็นบุตรเพียงคนเดียวของเซียนซิงฉา ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายยังเป็นเพียงเด็กน้อยที่อยากเล่นขี่ม้าอยู่เลย ผ่านไปเพียงสิบกว่าปีเด็กน้อยคนนั้นได้กลายเป็นรุ่นเยาว์ที่หล่อเหลาเสียแล้ว


เขายิ้มและกล่าว “หนุ่มน้อย เจ้าแซ่อะไร?”


รุ่นเยาว์ผู้นั้นยิ้มเล็กน้อยและกล่าว “แซ่ของข้าคือมี่”


ที่แท้เซียนซิงชาก็แซ่มี่นี่เอง


หลิงฮันอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มตรงหน้ายังดื้อรั้นใช้งานจอมยุทธระดับดาราเป็นม้าขี่อยู่เลย แต่เมื่อพบเห็นภรรยาสาวงามของเขาก็ยังคิดจะนำนางไปเป็นภรรยาอีกด้วย ไม่น่าเชื่อว่าพอโตแล้วอีกฝ่ายจะมีท่าทีสุขุมเช่นนี้


“หลิงฮัน!” จูซิ่วเอ๋อและไช่เหมี่ยวตะโกนพร้อมกัน ช่างยิ่งยโสยิ่งนัก บังอาจเมินเฉยพวกเขาทั้งสอง?


“จัดการเขาซะ!” จูซิ่วเอ๋อทนไมไหวอีกต่อไป จนถึงตอนนี้หลิงฮันก็ยังไม่เห็นนางอยู่ในสายตา สำหรับนางแล้วสิ่งที่ต้องการก็แค่ภาพลักษณ์เท่านั้น แค่ก้มหัวให้นางมันยากเย็นขนาดนั้นเลยรึไง?


ไช่เหมี่ยวแสยะยิ้ม เขามีภรรยาเซียนคอยช่วยเหลืออยู่ คราวนี้ใครจะกล้าหยุดยั้งเขา?


เริ่นเฟยอวิ๋นย่อมไม่กล้าแน่นอน แม้แต่เซียนหมิงซินก็ต้องยอมหลับตาทำเป็นไม่เห็นเพราะต้องไว้หน้าภรรยาของอาจารย์


‘ตุบ’ จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะปรากฏตัวออกมาพร้อมกันและยืนอยู่เคียงข้างหลิงฮัน


จักรพรรดินีจ้องมองจูซิ่วเอ๋ออย่างเหยียดหยาม จะเป็นภรรยาของเซียนหรืออะไรก็ช่าง หากกล้าหยาบคายกับสามีของนางก็เปรียบเสมือนกับดูถูกนาง จักรพรรดิในตอนนี้เกรี้ยวกราดจนสายลมกรรโชกและหมู่เมฆเปลี่ยนสี


ฮึ่ม!


จูซิ่วเอ๋อดวงตาเปิดกว้างและหายใจติดขัด ในโลกนี้มีสตรีที่งดงามขนาดนี้อยู่ได้อย่างไร?


ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ รูปร่างของเสน่ห์ อีกฝ่ายงดงามจนหาที่ติไม่ได้


“ช่างกล้านัก!” จักรพรรดินีเหินร่างขึ้นสูงและชี้นิ้วไปยังพวกจูซิ่วเอ๋อทั้งสามคน “บังอาญล่วงเกินสามีของข้า พวกเจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตแล้ว?”


เมื่อถูกต่อว่าด้วยคำพูดหยาบคาย จูซิ่วเอ๋อก็ดึงสติกลับมาได้และเกรี้ยวกราดทันที สตรีน่ารังเกียจผู้นี้กล้าตำหนินางงั้นรึ?


นางเหินร่างขึ้นสูงเช่นกันและก้มมองจักพรรดินี “พบเจอภรรยาเซียนอย่างข้าแล้วเจ้ายังไม่คุกเข่าอีก!”


หลิงฮันยิ้ม เขาขยับไปโอบกอดจักรพรรดินีและกล่าว “ไม่ต้องไปใช้อารมณ์กับคนแบบนั้น นางไม่คู่ควรแม้ให้เจ้าแยแส”


“อืม!” จักรพรรดินียิ้มอย่างอ่อนโยน


ฮึ่ม!


ดวงตาของไช่เหมี่ยวเปลี่ยนเป็นแดงฉาน ต่อให้เขาที่เป็นอัจฉริยะและฝักไฝ่เพียงแต่ศาสตร์วรยุทธเมื่อเห็นจักพรรดินีก็ยังต้องจิตใจสั่นสะท้านจนห้ามตัวเองไม่ไหว ทว่าสตรีที่งดงามราวกับเทพธิดาเช่นนั้นกลับซบโอบอยู่ภายใต้อ้อมแขนของหลิงฮัน เขาที่เห็นแบบนั้นจึงรู้สึกราวกับมีกระบี่เสียบแทงเข้ามากลางหัวใจ!


“ฮึ่ม นอกจากจะไม่ทำตามวัฒนธรรมของสำนักแล้วยังโต้เถียงกับภรรยาเซียนอีก จงก้มหัวคุกเข่ายอมรับความผิดซะ!” ในที่สุดเขาก็ลงมือจู่โจมเข้าใส่หลิงฮัน


“ช่างกล้า!” จักรพรรดินีถลึงตา ร่างของนางกระโดดพุ่งเข้าปะทะกับไช่เหมี่ยว


‘ครืนน’ ออร่าอันน่าสะพรึงกลัวถูกปลดปล่อยออกมา มันคือแรงกดดันอันเป็นเอกลักษณ์ของแก่นกำเนิดนิรันดร์ ผลกระทบของมันคล้ายคลึงกับอำนาจสวรรค์ของหลิงฮันที่ทำให้ศัตรูใช้พลังต่อสู้ได้ไม่เต็มที่


ต่อให้เป็นจักรพรรดินีก็ไม่กล้าประมาทศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด


ไช่เหมี่ยวไม่ต้องการเป็นศัตรูกับจักรพรรดินีแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเปลี่ยนทิศการโจมตีไปยังจักรพรรดินี หากต้องการครอบครองสตรีที่ยิ่งทะนงเช่นนางล่ะก็ อันดับแรกคือต้องทำลายความมั่นใจของนางทิ้งเสียก่อน


จะทำลายอย่างไรงั้นรึ? แน่นอนว่าต้องใช้กำลังเพียงอย่างเดียว


จักรพรรดินียิ้มอย่างเย็นชาพร้อมกับนำหินต้นกำเนิดสวรรค์ออกมา

 

 

 


ตอนที่ 1530

 

จักรพรรดินีและไช่เหมี่ยวปะทะกันอย่างดุเดือดบนท้องฟ้า


ต่อให้ภายในสำนักจะมีรูปแบบอาคมคุ้มกันเซียน แต่ทั้งสองก็เป็นถึงปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ที่มีพลังต่อสู้ของระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านล้วนถูกบดขยี้ไม่มีเหลือ


การต่อสู้ที่รุนแรงเช่นนี้ย่อมดึงดูดสายตาคนนับไม่ถ้วน ศิษย์จำนวนมากออกมาจากลานที่พักและแหงนมองดูท้องฟ้า


เพียงแค่จ้องมองไม่ว่าศิษย์คนใดก็ต้องเหงื่อตก


ทรงพลังยิ่งนัก! นางเป็นใครกันถึงได้แข็งแกร่งขนาดต่อสู้ทัดเทียมกับศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดได้?


อวี๋ซู่ซู่?


ไม่ใช่!


ใครบางคนจดจำจักรพรรดินีได้และพึมพำออกมาจนแพร่งพรายไปสู่หูทุกคน


นางเป็นศิษย์ใหม่!


เมื่อเหล่าศิษย์เก่ารับรู้เรื่องนี้พวกเขาทุกคนต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก


ศิษย์ใหม่ปีนี่ทำไมถึงได้มีแต่พวกอัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาดกัน? ก่อนหน้านี้ก็มีกู่ต้าวอี้ที่ถูกขนานนามว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะที่สุดแห่งทุกยุคสมัยและถูกเซียนซิงฉารับให้เป็นศิษย์ผู้สืบทอด หลังจากนั้นก็มีหลิงฮันที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการเป็นแกนนำกบฏต่อวัฒนธรรมของสำนักและกล้าต่อล้อต่อเถียงแม้กระทั่งกับภรรยาของเซียน


พลังต่อสู้ของหลิงฮันเองก็น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่ากู่ต้าวอี้ มีคำกล่าวว่าแม้แต่ระวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดก็อาจจะไม่สามารถกำราบเขาได้


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เหล่าศิษย์เก่าก็ล้วนแต่มีความเชื่อมั่นว่า ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นไร้เทียมทาน


ไม่ว่าศิษย์ใหม่จะมีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดเช่นใด ต่อหน้าศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสี่พวกเขาก็ทำได้เพียงยอมก้มหัว


แต่ว่าตอนนี้ความเชื่อมั่นของพวกเขาได้พังทลายเป็นที่เรียบร้อย


จักรพรรดินีกำลังปะทะกับศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดโดยที่นางเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


เป็นไปได้อย่างไร!


“หินแผ่นนั่น!”


“ใช่แล้ว จากที่เห็นหินแผ่นนั้นมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งราวกับมันสามารถดูดซับการโจมตีเข้าไปได้ ไม่เช่นนั้นแล้วนางคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด”


“ถึงอย่างนั้นพลังต่อสู้ของนางก็ยังน่าทึ่งอยู่ดี นางด้อยกว่าเพียงแค่เล็กน้อย”


“แถมนางยังงดงามมากอีกด้วย”


“พระเจ้า ในโลกนี้มีสตรีที่งดงามขนาดนั้นอยู่ได้อย่างไร?”


ใบหน้าของจักรพรรดินีมีเพียงศิษย์ใหม่ที่เข้าร่วมการประลองศิษย์ใหม่เท่านั้นที่เคยเห็น เหล่าศิษย์เก่าไม่มีใครเคยเห็นหน้าของนางมากก่อน ตอนนี้ไม่ว่าจะศิษย์เก่าหรือศิษย์ใหม่ต่างก็หลงไหลในความงามของนาง ทุกคนส่งเสียงให้กำลังใจจักรพรรดินี


“ฮึ่ม!” จูซิ่วเอ๋อเกรี้ยวกราด นางเค้นเสียงพร้อมกับวางท่าอย่างองอาจ “เงียบซะ ใครกล้าส่งเสียงข้าจะถือว่าเป็นกบฏ!”


สถานะภรรยาของเซียนนั้นสูงส่ง พริบตาเดียวทุกคนก็ปิดปากเงียบและให้กำลังใจจักรพรรดินีในใจ


หลิงฮันกวักมือไปยังรุ่นเยาว์แซ่มี่ “น้องชายมี่ พวกเรามาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันหน่อยเป็นอย่างไร”


นี่มันดูถูกกันซึ่งๆหน้า!


จูซิ่วเอ๋อโมโหหงุดหงิด นี่เจ้าไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาเลย! แต่การจะกำราบหลิงฮันนั้นนางมีทางเลือกไม่มากเพราะมีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สามารถเอาชนะหลิงฮันได้


นี่นางจำเป็นต้องไปบอกให้เซียนหมิงซินลงมือจริงๆรึ?


แต่ถ้าอีกฝ่ายคิดจะช่วยเหลือนางจริงๆ มีรึมีเซียนอย่างเขาจะไม่รับรู้ว่านางอยู่ที่นี่แล้ว?


จูซิ่วเอ๋อรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ด้วยสถานะของนางเหตุใดแค่ศิษย์ใหม่แค่คนเดียวก็ยังจัดการไม่ได้?


‘ครืนน’ ออร่าของเซียนพัดผ่าน เซียนหมิงซินปรากฎตัวอย่างไม่คาดฝัน


จูซิ่วเอ๋อแสยะยิ้มทันที “หมิงซิน รู้ไหมว่าเจ้าให้ข้ารอนานแค่ไหน!”


เซียนหมิงซินไม่สนใจ เขาแหงนมองท้องฟ้าและขมวดคิ้วเล็กน้อย


หลิงฮันประหลาดใจ เซียนหมิงซินกำลังมองอะไรอยู่? สิ่งใดกันที่ทำให้แม้แต่เซียนเช่นเขาก็ยังต้องขมวดคิ้ว?


‘ครืนน’ คลื่นแสงแห่งเต๋าลอยลงมาจากท้องฟ้า ออร่าของเซียนพัดผ่านไปทั่วอากาศ


มีเซียนอีกคนมาที่นี่!


พริบตาต่อมาทุกคนก็ได้เห็นร่างหนึ่งเดินอยู่ท่ามกลางคลื่นแสงแห่งเต๋า อีกฝ่ายเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า แต่เพียงการก้าวเท้าก้าวเดียวก็สามารถเคลื่อนที่ได้ไหลถึงพันล้านไมล์และมาปรากฏตัวที่สำนัก


ร่างที่ปรากฏตัวคือชายวัยกลางคนผิวขาวที่มีสัญลักษณ์ ‘ศิลา’ สลักไว้ระหว่างคิ้ว


“สหายมีชื่อว่าอะไร?” เซียนหมิงซินกล่าวด้วยน้ำเสียงระมัดระวังเป็นอย่างมาก ภายในดวงตะวันเซียนคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุด ต่อให้อีกฝ่ายเป็นเพียงเซียนระดับต้นก็สามารถสังหารทุกคนนอกจากเซียนทั้งสิบในสำนักได้ในพริบตา


ชายวันกลางคนจ้องมองเซียนหมิงซินและกล่าว “ข้าคือฮูอิงมู่”


“ที่แท้ก็สหายฮู!” เซียนหมิงซินกล่าว “ข้าขอล่วงเกินถามว่าสหายมาที่นี่มีเหตุผลอันใด?”


ฮูอิงมู่หรี่ตามองและกล่าว “รุ่นเยาว์ตระกูลฮูของข้าถูกสังหาร จากการตรวจสอบของข้า คนร้ายที่สังหารมีความเกี่ยวข้องกับที่นี่”


ฮูอิงมู่กวาดสายตามองศิษย์ทุกคน ภายใต้การตจ้องมองของเขาทุกคนรู้สึกราวกับร่างของตนเองเปลือยเปล่าและไม่อาจปกปิดความลับใดๆได้


“ข้าพบรถเกวียนโบราณอยู่บนดวงดาวที่ห่างออกไปไม่ไกล คาดว่าใครบางคนในหมู่พวกเจ้าคงบังเอิญไปพบเจอกับรุ่นเยาว์ของตระกูลข้าและสังหารพวกเขาเพื่อแย่งชิงสมบัติ”


เขาแน่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “คำขอของข้านั้นง่ายดายมาก มอบสมบัติคืนมาพร้อมกับส่งตัวคนร้ายให้ให้ข้า!”


เซียนหมิงซินยิ้มเหยียดหยาม เจ้ามาทำตัวยิ่งยโสที่นี่ราวกับเป็นถิ่นของตนเองทั้งๆที่เจ้าเป็นเพียงเซียนระดับต้น? หารู้ไม่ว่าที่นี่มีเซียนอยู่ถึงสิบคนแถมยังมีเซียนระดับสูงด้วย


“คงตอบรับคำขอของเจ้าไม่ได้!” เซียนหมิงซินกล่าวปฏิเสธ


ฮูอิงมู่กำลังจะระเบิดความโกรธ แต่ทันใดนั้นเขาก็ชำเลืองมองไปยังจักรพรรดินีกับไช่เหมี่ยวที่กำลังลอยลงมาจากท้องฟ้า ที่จริงเหตุผลที่เขาเคลื่อนที่มายังบริเวณนี้ก็เป็นเพราะเขาเห็นการปะทะกันของจักรพรรดินีและไช่เหมี่ยว


ก่อนหน้านี้เขาไม่แยแสเท่าไหร่ แต่พอได้เห็นใบหน้าของจักรพรรดินีดวงตาของเขาก็แข็งค้างทันที


ความงามของจักรพรรดินีนั้นส่งผลกระทบแม้กระทั่งเซียน


ฮูอิงมู่ไม่ใช่ชายที่ลุ่มหลงในสตรีเท่าไหร่ แต่ความงามของจักรพรรดินีนั้นมากล้นเกินไปจนเขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้


เซียนนั้นหากต้องการอะไรก็ต้องได้สมใจโดยที่ไม่จำเป็นที่ต้องใสใจศีลธรรมใดๆ


เขาคว้ามือไปยังจักรพรรดินีอย่างอุกอาจ

 

 

 


ตอนที่ 1531

 

“ช่างกล้า!” เซียนหมิงซินเกรี้ยวกราด ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือแย่งชิงศิษย์ต่อหน้าเขาเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเซียนเพียงคนเดียว?


เซียนหมิงซินปล่อยฝ่ามือที่เต็มไปด้วยอำนาจแห่งเซียน ความโกรธของเขาราวกับจะทำให้สวรรค์และปฐพีพังทลาย


ฮูอิงมู่เค้นเสียงดูถูก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องดึงมือกับเพื่อต่อต้านการโจมตีของเซียนหมิงซิน


ต่อให้เขาจะคิดว่าพลังของตนเองนั้นเหนือกว่าเซียนหมิงซิน แต่พวกเขาก็เป็นเซียนระดับเดียวกัน เขาจะประมาทยอมให้การโจมตีของอีกฝ่ายเข้าปะทะร่างตนเองโดยตรงได้อย่างไร?


ตูม!


การโจมตีของเซียนทั้งสองเข้าปะทะกันก่อให้เกิดเป็นคลื่นกระแทกที่พัดกระจายไปทั่วทิศทาง


‘ครืน ครืน ครืน’ ทั่วทั้งสำนักละอองดาราพังทลายด้วยคลื่นกระแทก ศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนถูกส่งลอยกระเด็นราวกับว่าวเชือกขาดและกระอักโลหิตออกมา บางคนบาดเจ็บยิ่งกว่านั้น แขนหรือขาของพวกเขาขาดหลุดกระเด็นออกจากร่าง


โชคดีที่ที่นี่ยังมีรูปแบบอาคมป้องกันเซียนอยู่ ทำให้ไม่มีเสียชีวิต


นี่คือการต่อสู้ของเซียน ต่อให้เป็นเพียงระลอกคลื่นกระแทกก็สามารถสังหารคนได้นับไม่ถ้วน การปะทะเมื่อครู่รูปแบบอาคมเซียนยังช่วยต้านทานความเสียหายไว้ได้บ้าง หากเป็นการปะทะครั้งต่อไปอาจจะมีการตกตายและบาดเกิดขึ้นจำนวนมาก


“ฮึ่ม!” เซียนหมิงซินเกรี้ยวกราดจนผมสยายชี้ขึ้นฟ้า


เซียนระดับต้นเช่นพวกเขานั้นมีหน้าที่ฝึกฝนบ่มเพาะเหล่าศิษย์ที่มีพรสวรรค์ ศิษย์ทุกคนเป็นเหมือนดั่งลูกหลานที่พวกเขาฝากความหวังเอาไว้


“เจ้ากล้าต่อต้านข้า?” ฮูอิงมู่แสยะยิ้ม เขานั้นมาจากดินแดนต้องห้าม คิดว่าพลังต่อสู้จะเท่ากับเซียนระดับต้นทั่วไป? เขาไม่สนใจว่าใครจะโดนลูกหลงและโจมตีออกไปเพื่อกำราบเซียนหมิงซิน


“เจ้ามันโอหังเกินไป!” เซียนหมิงซินคำราม ‘พรึบ’ กระดูกในร่างของเขาส่องประกายเนื่องจากรูปแบบอาคมถูกโคจรใช้งาน ทันทีที่เขายกมือขึ้นคลื่นดาบก็ปรากฏออกมานับไม่ถ้วนไปทั่วทั้งอากาศ


“หืม?” ฮูอิงมู่ชะงักเล็กน้อยและล่าถอยสองสามก้าว “ข้าประมาทเจ้าไปหน่อย ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะสลักรูปแบบอาคมไว้บนร่างกาย”


เซียนหมิงซินไม่ตอบและลงมือโจมตีฮูอิงมู่ คลื่นดาบทั้งหมดพุ่งทะยานอย่างเกรี้ยวกราด


“ต่อหน้าข้า พลังเท่านั้นยังไม่พอ!” ฮูอิงมู่กล่าวอย่างมั่นใจ “กายหยาบแปดศิลา!” ร่างของเขากลายเป็นมนุษย์หินขนาดใหญ่ กล้ามเนื้อแต่ละส่วนของเขาเป็นดั่งวัสดุเซียนอันไร้เทียมทาน


“พวกปลาซิวปลาสร้อย!” เขาตอบโต้เซียนหมิงซินด้วยท่าทางเหยียดหยาม


ในสายตาของดินแดนต้องห้าม จอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นเปรียบเสมือนมดปลวก ต่อให้เป็นตัวตนระดับเซียนก็ไม่มีข้อยกเว้น อย่างมากก็เป็นได้แค่มดปลวกที่ทรงพลังเท่านั้น


เมื่อเซียนสองคนเข้าปะทะกัน คนอื่นๆรอบข้างก็รีบหลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตายเพราะหวาดกลัวว่าจะโดนลูกหลง


‘พรึบ พรึบ พรึบ พรึบ’ คลื่นแสงแห่งเต๋าปรากฏขึ้นหลายคลื่น เซียนเฮยเหอ เซียนอวิ๋นเซี่ยและเซียนคนอื่นๆรวมทั้งหมดแปดคนปรากฏตัวออกมาและช่วยกันสลายคลื่นพลังที่เกิดจากการต่อสู้อันรุนแรง ไม่เช่นนั้นหากปล่อยไว้เหล่าศิษย์คงตกตายกันอย่างหกถึงเจ็ดส่วน


พวกเขาไม่ได้มาเพียงคนเดียวแต่ยังพาศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของแต่ละสำนักย่อยมาด้วย


เมื่อคลื่นปะทะสลายหายไป พวกเขาก็พบเห็นเซียนหมิงซินกำลังกระหน่ำจู่โจมด้วยพลังทั้งหมด


ทว่าฮูอิงมู่ยังคงยืนต้านทานโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ในด้านของพลังต่อสู้แล้วเขาเป็นฝ่ายเหนือกว่ามาก!


หากจะพูดให้ถูกเป็นกายหยาบแปดศิลาต่างหากที่แข็งแกร่ง ในระดับเดียวกันคงมีคนไม่กี่หยิบมือที่สามารถสร้างบาดแผลให้เขาได้ เพราะเหตุนี้เขาจึงไม่เห็นเซียนในระเดียวกันอยู่ในสายตา


“อะไรกัน เซียนหมิงซินเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!”


“ถึงแม้เซียนหมิงซินจะแข็งแกร่งเป็นอันดับแปดในเก้าเซียน แต่หากใช้อำนาจของรูปแบบอาคมแล้วความแข็งแกร่งของเขาย่อมอยู่ในสามอันดับแรกแน่นอน”


“ไม่ต้องไปกลัว! พวกเรามีเซียนอยู่ถึงเก้าคน!”


ทุกคนตกตะตึง ในความคิดของพวกเขาเซียนคือตัวตนที่ไร้เทียมทานที่สุด เซียนนั้นมีทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่งก็จริง แต่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นฮูอิงมู่ที่แข็งแกร่งกว่า


“ฮึ่ม!” เซียนเหรินเติงและเซียนขู่ฉาเข้าร่วมการต่อสู้ หากปล่อยไว้เซียนหมิงซินคงพ่ายแพ้แน่


“แค่พวกเจ้าสามคนงั้นรึ ต่อให้พวกเจ้าบุกเข้ามาพร้อมกันเก้าคนข้าก็ยังกำราบพวกเจ้าได้!” ฮูอิงมู่แสยะยิ้ม คนเหล่านี้จะเข้าใจหลักวิถีของเซียนเทียบกับดินแดนต้องห้ามได้?


เขาคำรามและปล่อยหมัดอย่างโหดเหี้ยมด้วยพลังต่อสู้มหาศาล


เซียนทั้งสามที่ร่วมมือกันไม่กล้าผลีผลามและทำได้เพียงล่าถอยขยับออกมา


เซียนเซียนขวงยวี่และเซียนเถียเตาเมื่อเห็นเช่นนั้นก็มองหน้ากันและเข้าร่วมการต่อสู้ทันที


แต่ถึงอย่างนั้น… ก็ยังเอาชนะไม่ได้!


ทุกคนตกตะลง เป็นเซียนระดับเดียวกันแท้ๆเหตุใดพลังถึงได้ต่างกันขนาดนั้น? เซียนห้าคนร่วมมือกันยังไม่อาจเอาชนะฮูอิงมู่ได้แถมยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกด้วย


สุดท้ายเซียนทั้งเก้าก็ต้องร่วมมือกัน ถ้าขนาดนี้แล้วยังพ่ายแพ้ให้กับฮูอิงมู่อีก็คงจะดูย่ำแย่เกินไป


“พอแค่นั้น!” เสียงคำรามดังก้องราวกับคำสั่งจากสวรรค์ที่ทุกคนไม่อาจต้านทาน


“อาจารย์!” เซียนทั้งเก้าหยุดมือทันที


ใบหน้าของฮูอิงมู่เผยหนึ่งความรู้สึกไม่ยินยอมแต่สุดท้ายก็หยุดมือและกล่าว “ยังมีเซียนอยู่อีกคน! ใช่แล้ว เพราะพลังบ่มเพาะของเจ้าสูงกว่าข้า ข้าจึงตรวจไม่พบตัวตนของเจ้า”


เขากล่าวโดยที่ความหยิ่งยโสไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ตัวเขามาจากดินแดนต้องห้ามแปดศิลา ขอแค่หนึ่งในผู้นำของพวกเขาลงมือย่อมสามารถกวาดล้างได้ทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์


“ข้าขอให้เจ้ากลับไป” เซียนซิงฉากล่าวด้วยน้ำเสียงปกติ


“เฮอะ ส่งมอบตัวคนร้ายและสมบัติมาก่อน… แล้วก็สตรีผู้นั้นด้วย” ฮูอิงมู่ชี้นิ้วไปยังจักรพรรดินี ก่อนหน้านี้เขาสนใจจักรพรรดินีเพียงเพราะความงดงาม แต่ตอนนี้เขาได้สัมผัสเห็นถึงศักยะภาพไร้เทียนทานของแก่นกำเนิดนิรันดร์จากนาง!


หากเขามีครองคู่กับสตรีผู้นี้ พรสวรรค์ของบุตรที่เกิดมาจะต้องไร้เทียมทานที่สุดในทุกยุคสมัย


“อย่าได้ล้ำเส้น!” เซียนซิงฉากล่าวอย่างเย็นชา สำหรับเขาลูกศิษย์ทุกคนไม่ได้เป็นแค่ศิษย์ธรรมดา ทุกคนเปรียบเสมือนเกียรติยศของเขา หากแม้แต่ศิษย์ยังปกป้องไม่ได้เขายังเหลือศักดิ์ศรีของเซียนระดับสูงอยู่อีกงั้นรึ?


ฮูอิงมู่ไม่แยแส “ตระกูลของข้านั้นเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งเกินกว่าเจ้าจะจินตนาการ หากเจ้าต่อต้านข้า… พวกเจ้าทุกคนก็มีโชคชะตาเดียวคือความตาย!”


“ฮึ่ม!” เซียนซิงฉาไม่ทนอีกต่อไป มือขนาดมหึมาร่วงหล่นจากท้องฟ้าเข้าใส่ฮูอิงมู่ ความต่างระหว่างเซียนระดับสูงกับเซียนระดับต้นนั้นเปรียบได้กับมนุษย์ทั่วไปกับจอมยุทธระดับภูผาวารี


‘ครืนนน’ ฝ่ามือตกกระทบอย่ารุนแรง อย่าว่าแต่ฮูอิงมู่จะต้านทานเลย แม้แต่ที่จะให้หลบหนีก็ยังไม่มี ร่างของเขาถูกฝ่ามือกระแทกเข้าใส่อย่างจัง


แต่ทันใดนั้นแสงสลัวที่เทาก็ส่องประกายออกมาจากร่างของเขา ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ตกกระทบพังทลายสลายไปในพริบตาโดยที่ร่างของฮูอิงมู่ไม่บาดเจ็บใดๆ


อะไรกัน แม้แต่เซียนระดับสูงก็ยังจัดการเขาไม่ได้?

 

 

 


ตอนที่ 1532

 

แสงที่ส่องสว่างจากร่างของฮูอิงมู่นั้นหากมองให้ดีจะพบว่ามันคือแสงของสมบัติ รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นมาจากเสื้อคลุมของเขา


ที่เขาสามารถต้านทานพลังของเซียนระดับสูงได้นั้นไม่ใช่ด้วยพลังของตนเองแต่เป็นพลังของสมบัติ!


ที่จริงแล้วหากเขาแข็งแกร่งขนาดนั้นจริง เหตุใดเขาถึงไม่สามารถกำราบเซียนระดับต้นทั้งเก้าได้ในพริบตา?


“ฮ่าๆๆ!” ฮูอิงมู่หัวเราะ “พวกฝูงมดปลวกไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะทำให้ข้าบาดเจ็บได้?”


เขาจ้องมองไปที่ทุกคนด้วยสายตาเหยียดหยาม “ฝูงขยะต่อให้บรรลุระดับเซียนก็ยังคงเป็นขยะ!” นี่คือความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าของคนที่มาจากดินแดนต้องห้าม ความเหยียดหยามที่พวกเขามีต่อจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นฝังลึกไปจนถึงกระดูกเนื่องจากพวกเขามั่นใจว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะมีโอกาสได้กลับไปยังดินแดนแห่งเซียนที่เหนือกว่า


เซียนซิงฉากล่าวเสียงดังกึกก้อง “เสื้อสมบัติของเจ้าไม่ได้ถูกทอขึ้นด้วยวัสดุเซียนทุกส่วน อำนาจของมันก็เหมือนม้วนคำสั่งที่มีจำนวนการใช้งานที่จำกัด เจ้าคิดว่าจะต้านทานพลังของข้าไปได้อีกนานแค่ไหน?”


“อย่างน้อยหนึ่งร้อยกระบวนท่าก็ไม่ใช่ปัญหา” ฮูอิงมู่กล่าวอย่างมั่นใจพร้อมกับนำกลองออกมา “นี่คือกลองสื่อสาร แค่ข้าตีมันและควบแน่นสัมผัสสวรรค์ใส่เข้าไปข้าจะสามารถติดต่อกับกลองสื่อสารอีกตัวได้ทันที”


“เจ้าเป็นเซียนระดับสูงที่ข้าไม่อาจต่อกรได้ก็จริง แต่ดินแดนต้องห้ามแปดศิลาของข้ามีตัวตนระดับราชาเซียนอยู่ถึงสามคน ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็สามารถเหยียบย่ำทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ เจ้าแน่ใจว่าต้องการล่วงเกินดินแดนต้องห้ามของข้า?”


นี่เห็นได้ชัดว่านี่คือคำข่มขู่


แต่คำขู่ของเขาก็ได้ผลเป็นอย่างมาก


ราชาเซียน!


ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์พวกเขาคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุด!


อีกฝ่ายหลอกลวงพวกเขารึเปล่า?


เซียนทั้งสิบส่ายหัวในใจ ด้วยสายตาของพวกเขาย่อมสามารถแยกแยะรูปแบบอาคมบนเสื่อคลุมสมบัตินั่นออก มันเป็นรูปแบบอาคมที่มีพลังอำนาจเกินกว่าเซียนระดับสูง เพราะงั้นในดินแดนต้องห้ามแปดศิลาที่ว่าจะต้องมีตัวตนระดับราชาเซียนอยู่แน่นอน


แต่จะมีสามคนหรือคนเดียวนั้นพวกเขาไม่รู้


ทั้งเซียนซิงฉาและเซียนทั้งเก้าแน่นิ่งไร้คำพูด


“ฮ่าๆๆๆ!” ฮูอิงมู่หัวเราะลั่นก่อนจะแสยะยิ้มไปยังฝูงชน “ข้ายังคงจะกล่าวคำเดิม ส่งมอบตัวคนร้ายและสมบัติรวมถึงสตรีผู้นั้นมาให้ข้า! หรือถ้าไม่งั้นพวกเจ้าก็เสนอตัวออกมา ตราบใดที่มีคนรับหนึ่งกระบวนท่าของข้าได้ ข้าจะยอมถอนคำพูดเมื่อครู่และกล่าวขอโทษพร้อมกับจากไปจากที่นี่ทันที”


เซียนทั้งเก้าเกรี้ยวกราด ขนาดเซียนซิงฉาอยู่ที่นี่อีกฝ่ายก็ยังกล้าเอ่ยคำขอที่อุกอาจเช่นนั้น!


“หากไม่ทำตามแต่โดยดีหรือไม่มีใครเสนอตัวข้าจะเรียกผู้นำของข้ามาที่นี่!” ฮูอิงมู่กล่าว “เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าทุกคนจะเหลือโชคตาเดียวคือความตาย!”


อวดดี! ช่างอวดดีอะไรอย่างนี้!


ทุกคนเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนเจ้าก็เห็นแก่ตัวเกินไป


“ข้าลุยเอง!”


“ให้ข้าดีกว่า!”


“ข้าจะรับหนึ่งกระบวนท่าของเขาเอง!”


เหล่ารุ่นเยาว์เลือดร้อนเสนอตัว พวกเขาเป็นจอมยุทธที่มีความโดดเด่นในด้านพลังป้องกันหรือไม่ก็เป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด อย่างเช่นฉีเทียน เขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากสวรรค์และปฐพี พลังของเขาย่อมเหนือกว่าจอมยุทธทั่วๆไป ยิ่งกว่านั้นพลังบ่มเพาะของเขาก็ห่างจากระดับเซียนอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ทว่าก้าวเดียวที่ว่ากลับห่างไกลราวกับสวรรค์และปฐพี


ทุกคนไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก สำนักละอองดารานั้นงถูกห้อมล้อมด้วยเขตดวงดาวนับร้อย ไม่ว่าใครต่างก็กล่าวว่าสำนักละอองดารานั้นเป็นดั่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับบ่มเพาะพลัง ไม่รู้ว่ามีจอมยุทธทรงพลังมากมายขนาดไหนเดินทางมาที่นี่


แต่วันนี้เพียงแค่ผู้บุกรุกคนเดียวกลับสามารถเหยียบย่ำพวกเขาอยู่ใต้เท้าอย่างไม่อาจขัดขืน


ทุกคนทั้งเจ็บปวดและโมโห!


“หรือจะเป็นหนึ่งในพวกเจ้าเก้าคนก็ไม่มีปัญหา!” ฮูอิงมู่มองไปยังเซียนทั้งเก้า


จะบอกว่าต่อให้เป็นเซียนระดับต้นเหมือนกันก็ไม่สามารถรับกระบวนท่าของเจ้าได้?


เซียนหมิงซินก้าวเดินออกมา “ข้าจะสู้กับเจ้าเอง!”


“เจ้าไม่คู่ควร!” ฮูอิงมู่ส่ายหัวอย่างเหยียดหยาม “เจ้าไม่สามารถรับกระบวนท่าของข้าได้!”


เขาเห็นเซียนหมิงซินมีท่าทีเกรี้ยวกราดจึงได้กล่าวต่อ “เจ้าคิดว่าเมื่อครู่ข้าใช้พลังทั้งหมดแล้ว?”


ว่าไงนะ?


เซียนหมิงซินชะงักครุ่นคิดก่อนจะส่ายหัว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งถึงขนาดเอาชนะเขาได้ด้วยกระบวนท่าเดียว


“เอาเป็นว่าถ้าเจ้ารับหนึ่งกระบวนท่าของข้าได้ข้าจะจากไปทันที” ฮูอิงมู่จู่โจมชี้นิ้วเข้าหาเซียนหมิงซิน ‘ครืนน’ เสื้อคลุมสมบัติบนตัวเขาส่องประกายและปรากฏรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ ที่ปลายนิ้วของเขาควบแน่นพลังเป็นจุดเล็กๆสีดำที่มืดมิด


ตูม!


เมื่อพลังโจมตีถูกปลดปล่อยจากนิ้ว ร่างของเซียนหมิงซินก็ถูกส่งลอยจนเด็นพร้อมกับกระอักโลหิตออกมา ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเผือดและหวาดกลัว


แม้แต่เซียนหมิงซินก็ไม่สามารถรับการโจมตีของอีกฝ่ายได้?


ทุกคนมองเห็นชัดเจนว่าพลังเมื่อครู่เป็นอำนาจจากเสื้อคลุม แต่ในเมื่อมันเป็นเสื้อคลุมที่ฮูอิงมู่ใส่อยู่ก็ถือว่าเป็นพลังที่เขาสามารถหยิบนำมาใช้ได้


“มีใครอีกรึไม่?” ฮูอิงมู่เผยสีหน้าหยิ่งยโส เขากวาดสายตาผ่านเซียนทั้งเก้าด้วยรอยยิ้มดูถูก


แม้เซียนทุกคนจะเกรี้ยวกราดแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยอะไร


เซียนหมิงซิงถึงแม้จะแข็งแกร่งเป็นอันดับแปด แต่พลังต่อสู้แท้จริงของเขาสามารถติดอยู่ในสามอันแรกจากเก้า หากเขาไม่สามารถรับการโจมตีได้ต่อให้เปลี่ยนเป็นเซียนคนอื่นผลลัพธ์ก็คงไม่เปลี่ยนแปลง


แต่พอมองไปยังท่าทีหยิ่งโยของฮูอิงมู่แล้ว ใครจะไม่รู้สึกโมโหจนตัวสั่นบ้าง?


“ไม่มีใครแล้ว? เหอะ พวกขยะไร้ค่า!” ฮูอิงมู่ส่ายหัว “เอาล่ะ ส่งมอบตัวคนร้ายและสมบัติมาเสียที!”


เขาหยิ่งทะนงตนเป็นอย่างมาก การที่เป็นคนของดินแดนต้องห้าม เมื่อไปที่แห่งใดก็เปรียบเสมือนจักรพรรดิที่ใครเห็นต้องก้มหัวคารวะ


“ข้าจะรับหนึ่งกระบวนท่าของเจ้าเอง!” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นทำลายบรรยากาศเงียบสงบ ร่างของรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งค่อยๆก้าวเดินออกมาจากฝูงชน


‘พรึบ’ สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังทิศทางนั้นทันที


หลิงฮัน!


ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน แม้แต่เซียนทั้งเก้าก็ยังไม่สามารถรับการโจมตีได้ แต่หลิงฮันก็ยังเป็นฝ่ายเสนอตัว


“ศิษย์พี่หลิง!” เหล่าศิษย์ใหม่ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น


แน่นอนว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าหลิงฮันจะแข็งแกร่งไปกว่าเซียนทั้งเก้า แต่การที่กล้ายืนหยัดแม้กระทั่งเมื่อเห็นเซียนหมิงซินพ่ายแพ้ไปแล้วนั้น ต้องมีความกล้าหาญขนาดไหนกัน?


เหล่าศิษย์เก่าเองก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก พวกเขาเคยได้ยินมาว่าหลิงฮันกล้าหาญถึงขนาดมีความบาดหมางกับภรรยาเซียน แต่ครั้งนี้ยิ่งกว่า เขากล้าเสี่ยงชีวิตแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นถึงเซียนที่แข็งแกร่งตัวเป็นๆ


บางคนคิดว่าหลิงฮันนั้นโง่เง่า คนเราไม่สมควรนำตัวเองไปเสี่ยงตายเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรความกล้าหาญของหลิงฮันก็นับว่าน่ายกย่องอย่างแท้จริง

 

 

 


ตอนที่ 1533

 

“เจ้าถอยกลับไป!” เซียนหมิงซินยืนตระหง่านจ้องมองไปยังหลิงฮัน


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ผู้อาวุโสโปรดวางใจ อีกฝ่ายเป็นเพียงจอมยุทธหางแถวที่ไม่นับเป็นอันใดได้ ให้ข้าได้รองรับหนึ่งโจมตีของเขาดู”


จอมยุทธหางแถว?


“ศิษย์พี่หลิง ยอดไปเลย!”


“ศิษย์พี่หลิง ข้ารักท่าน!”


เหล่าศิษย์ใหม่โห่ร้อง พวกเขาเป็นจอมยุทธรุ่นเยาว์ที่โลหิตในร่างเดือดพล่าน แต่ถึงแม้จะเป็นศิษย์เก่า พวกเขาหลายคนก็โห่ร้องออกมาเช่นกัน ต่อให้พวกเขาจะถูกฮูอิงมู่สังหาร พวกเขาก็จะไม่ยอมเสียเกียรติ


แววตาของฮูอิงมู่เปลี่ยนเป็นเย็นชา มดปลวกตัวจ้อยบังอาจพูดจาดูถูกเขา? เขาสะบัดมือและกล่าว “เข้ามา ข้ารับประกันให้เลยว่าศพของเจ้าจะถูกบดขยี้เป็นชิ้นเท่าๆกันทุกชิ้น”


หลิงฮะสะบัดมือ “อย่าโอ้อวดไป เดี๋ยวเจ้าจะเสียหน้าทีหลัง”


“ฮ่าๆๆ!” ฮูอิงมู่หัวเราะลั่น รุ่นเยาว์ผู้นี้ช่างบ้าบิ่นนัก อีกฝ่ายเพิ่งจะอายุเพียงราวๆหนึ่งร้อยปีแต่กลับสามารถบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นได้แล้ว พรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้แม้แต่ส่วนมากของดินแดนต้องห้ามก็ยังเทียบไม่ได้


การจะได้สังหารอัจฉริยะเช่นนี้ด้วยมือตัวเองทำให้เขารู้สึกดีเป็นอย่างมาก


“จอมยุทธบัดซบนกเขาไม่ขัน เรื่องรับหนึ่งกระบวนท่านายท่านหมาจะเป็นคนจัดการเอง!” เสียงหนึ่งดังออกมาจากฝูงชน


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจ้าของเสียงต้องเป็นสุนัขตัวดำ


ใบหน้าของฮูอิงมู่เปลี่ยนสี ตั้งแต่มีชีวิตมาและบ่มเพาะพลังจนกลายเป็นเซียน แม้เขาจะหลับนอนกลับสตรีมานับร้อยเขาก็ยังไม่อาจมีทายาทได้เลย!


คำพูดที่เอ่ยขึ้นมาเมื่อครู่ได้ทิ่มแทงหัวใจเขาอย่างจัง


“ใครบังอาจ!” เขาหวาดสายตามองด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดอย่างมาก


“นายท่านหมาของเจ้าไงล่ะ!” เสียงของสุนัขตัวดำยังคงดังลอยออกมาโดยแม้แต่ตัวตนระดับเซียนก็ยังหาตัวมันไม่พบ ทักษะของมันถือว่าอัศจรรย์ยิ่ง


ฮูอิงมู่ปลดปล่อยสัมผัสสวรรค์แพร่จะจายออกไปราวกับคลื่นน้ำเพื่อหาตัวสุนัขตัวดำ


“ฮึ่ม นี่เจ้ายังจะสู้อยู่รึไม่? เป็นถึงเซียนแท้ๆ แต่กลับหาเรื่องถ่วงเวลาไม่กล้าสู้?” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์


เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะลั่น


ฮูอิงมู่จ้องมองไปยังหลิงฮัน ถึงแม้เขาอยากจะสังหารสุนัขตัวดำแต่เขาก็หาตัวมันไม่พบ ถ้างั้นแล้วเขาก็จะสังหารหลิงฮันก่อนเป็นอันดับแรก อัจฉริยะหาไร้ที่เปรียบเช่นนี้หากได้ข้าจะทำให้เขารู้สึกดีมาก


“ช้าก่อน!” เซียนหมิงซินแทรก เขาไม่อาจยอมให้ศิษย์ของตนเองออกหน้าแทน


‘พรึบ’ คลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองปรากฏออกมาอีกคลื่น เซียนซิงฉาปรากฎตัว เขาไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาสะบัดมือไปยังหลิงฮันพร้อมกับกล่าว “ถอยกลับไป!” ถึงแม้เขาจะคิดว่าหลิงฮันนั้นไม่มีพรสวรรค์สูงเท่ากับกู่ต้าวอี้ แต่ในระดับเดียวกันแล้วพลังของหลิงฮันก็ถือว่าไร้เทียมทานอยู่ดี เพราะงั้นเขาจึงยอมปล่อยให้ศิษย์ผู้นี้ตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้


“ส่วนเจ้าก็ไปจากที่นี่ซะ!” เซียนซิงฉาหันไปเค้นเสียงกล่าวกับฮูอิงมู่


ฮูอิงมู่ไม่แยแส “ข้าจะจากไปก็ต่อเมื่อพวกเจ้ามอบสมบัติและคนร้ายมา! หรือไม่เช่นนั้น หากมีใครรับหนึ่งการโจมตีของข้าได้ ไม่เพียงแค่ข้าจะยอมจากไปแต่ข้าจะกล่าวขอโทษมดปลวกอย่างพวกเจ้าด้วย!”


ต่อหน้าเซียนระดับสูงเขายังกล้าทำตัวหยิ่งยโสเพียงนี้?


ใบหน้าของเซียนซิงฉามืดมนและปลดปล่อยจิตสังหาร เขาเริ่มเกิดความคิดว่าต่อให้ต้องล่วงเกินราชาเซียนก็ต้องการสังหารชายตรงหน้าให้ได้


“ผู้อาวุโส ให้ข้าจัดการเอง แค่รับมือกับจอมยุทธหางแถวจำเป็นต้องให้ท่านเกรี้ยวกราดด้วย?” หลิงฮันเสนอตัวอีกครั้งด้วยความมั่นใจ “เชื่อในตัวข้า!”


เซียนซิงฉาถูกความมั่นใจของหลิงฮันทำให้หลงเชื่อในตัวหลิงฮันโดยไม่รู้ตัว เป็นครั้งแรกที่เขาฉุกคิดในใจว่าหรือว่าที่จริงแล้วเขาจะตัดสินใจผิด?


พรสวรรค์เป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่าหลิงฮันนั้นมีกลิ่นอายบางอย่างที่เหนือยิ่งกว่ากู่ต้าวอี้


ความมั่นใจและท่าทีของหลิงฮันสามารถทำให้แม้แต่เขาก็ยังเริ่มจิตใจหวั่นไหว


ในอนาคต รุ่นเยาว์ผู้นี้จะกลายเป็นใหญ่!


เซียนซิงฉาตัดสินใจแล้วว่า ต่อให้ต้องสังหารฮูอิงมู่ก็จะปกป้องหลิงฮันให้ได้ แม้นั่นจะเป็นการล่วงเกินราชาเซียน แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่กว้างใหญ่นี้เขาจะหลบไปซ่อนตัวที่ไหนไม่ได้เลย?


หลิงฮันก้าวเดินต่อไปและหยุดยืนอยู่ด้านหน้าฮูอิงมู่ “แค่กระบวนท่าเดียวงั้นรึ?”


ฮูอิงมู่กล่าวอย่างไม่รีบร้อน “หนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น”


หลิงฮันยิ้ม “สักสามกระบวนท่าเป็นอย่างไร ข้ากลัวว่าแค่กระบวนท่าเดียวเจ้าจะทำอะไรข้าไม่ได้และหาข้อแก้ตัวต่างๆนาๆมาอ้าง”


พรวด!


ใครหลายคนสำลักออกมา เจ้าไม่รู้รึว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเซียน! เซียนกับระดับวารีนิรันดร์นั้น จะหนึ่งกระบวนท่าหรือหมื่นกระบวนท่าก็ไม่ต่างกัน เนื่องจากเพียงแค่หนึ่งกระบวนท่าก็สามารถทำให้ระดับวารีนิรันดร์ตกตายแล้ว


ฮูอิงมู่จ้องมองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยวจนราวกับจะปล่อยเพลิงออกมา


รุ่นเยาว์ผู้นี้ปากดียิ่งนัก… ข้าจะทำให้เจ้าพูดไม่ได้อีกต่อไป!


ตายไปซะ พวกมดปลวก!


ฮูอิงมู่ลงมือจู่โจมใส่หลิงฮันทันที เขาไม่แม้แต่ใช้ทักษะใดๆหรือพลังอำนาจจากเสื้อคลุมสมบัติ การโจมตีของเซียนนั้นแม้จะเป็นเพียงการโจมตีลวกๆก็มีพลังทำลายราวกับท้องฟ้าจะถล่ม จอมยุทธที่มีระดับพลังต่ำกว่าเซียนจะต้านทานได้อย่างไร?


‘ตูม’ ฝ่ามือกระแทกใส่อย่างรุนแรง


เซียนซิงฉา เซียนหมิงซินและเซียนคนอื่นๆเตรียมพร้อมตอบโต้เอาไว้แล้ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางยอมให้ศิษย์ของพวกตนตกตายเด็ดขาด แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะลงมือช่วยหลิงฮัน… จู่ๆพวกเขาก็แน่นิ่งไปโดยไม่แม้แต่กล่าวอะไรออกมาสักคำ


ศิษย์ทุกคนเองก็คิดว่าเซียนทั้งสิบจะลงมือช่วย แต่พอฮูอิงมู่ปล่อยฝ่ามือออกมาเซียนทั้งสิบกลับแน่นิ่งไปราวกับกลายเป็นรูปปั้นหิน


ทำไมพวกท่านถึงไม่ลงมือล่ะ?


หรือจะมองดูรอให้หลิงฮันตาย?


การโจมตีของเซียนน่าสะพรึงกลัวเกินจะบรรยาย ฝุ่นควันฟุ้งกระจายไปทั่วท้องฟ้าก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็ว


พรวด!


เมื่อทุกคนเห็นร่างที่อยู่ท่ามกลางฝุ่นควัน พวกเขาทุกคนเผลอสำลักออกมาด้วยความตะลึงและอ้าปากลิ้นห้อย บางคนถึงขนาดดวงตาแข็งค้างราวกับถูกทำให้กลายเป็นหิน


ร่างของหลิงฮันยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่บาดเจ็บเลยแม้เล็กน้อย


ระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นที่สามารถรับการโจมตีของเซียนได้… ต่อให้จะเป็นเพียงหนึ่งกระบวนท่าก็ตาม ย่อมเป็นเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ที่สุดที่จะเกิดขึ้นบนโลก


เหลือเชื่อ!

 

 

 


ตอนที่ 1534

 

ใครจะไปคาดคิดว่าหลิงฮันสามารถรับการโจมตีของเซียนได้จริงๆ!


ต่อให้พวกเขาจะเห็นด้วยตาตัวเองพวกเขาก็ไม่เชื่อ


ฮูอิงมู่ดวงตาเปิดกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อในสายตาของตัวเอง


นี่มันบ้าอะไรกัน!


ข้าประมาทเกินไปเลยเผลอลดพลังตัวเองมากเกินไปงั้นรึ? ไม่เช่นนั้นแล้วมดปลวกระดับวารีนิรันดร์จะต้านทานการโจมตีของเขาได้อย่างไร? นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี!


หลังจากนั้นบรรยายนิ่งเงียบชั่วครู่ก็กลายเป็นเสียงโห่ร้องดังลั่น


“ศิษย์พี่หลิง!”


“ศิษย์พี่หลิง!”


“ศิษย์พี่หลิง!”


เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังกึกก้อง แม้กระทั่งเหล่าศิษย์เก่าก็ยังเรียกหลิงฮันว่าศิษย์พี่ ล้อเล่นรึเปล่า? หลิงฮันสามารถต้านทานได้แม้กระทั่งการโจมตีของเซียน จะเรียกเขาว่าศิษย์พี่ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอัปยศแม้แต่น้อย หากไม่เรียกตอนนี้ในอนาคตพวกเขาคงไม่มีโอกาสเรียกอีกแล้ว!


ไม่มีใครเชื่อว่าอัจฉริยะราวกับสัตว์ประหลาดเช่นนี้จะไม่สามารถเป็นเซียนได้


หลงเซียงเยว่ดวงตาส่องประกายเบิกบานราวกับบุปผา หากบุรุษผู้นี้เอ่ยขอเขามังกรจากนางอีกครั้งนางจะตอบรับในทันที!


เทียนเซี่ยตี้เอ้อยิ้มเจื่อน กายหยาบของเขาทรงพลังมากก็จริง แต่เมื่อเทียบกับหลิงฮันแล้วกายหยาบของเขาไม่นับว่าพิเศษเลยแม้แต่น้อย


ซื่อเฉินเฟิง หงหม่าและสุดยอดอัจฉริยะคนอื่นส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ ความต่างของพวกเขากับหลิงฮันดูเหมือนว่าจะค่อยๆห่างออกไปเกินกว่าที่จะยอมรับได้เสียแล้ว


มีเพียงตัวของหลิงฮัน จักรพรรดินีและสหายสนิทไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าหลิงฮันไม่ได้มีพลังป้องกันแข็งแกร่งขนาดต้านทานการโจมตีของเซียนได้ แต่เป็นอำนาจของคัมภีร์สวรรค์นนิรันดร์ที่สามารถทำให้เขาป้องกันการโจมตีของเซียนได้ในจำนวนครั้งที่จำกัด


ในระดับดาราเขาสามารถต้านทานการโจมตีเต็มกำลังของเซียนได้หนึ่งครั้ง ตอนนี้เมื่อระดับพลังบ่มเพาะสูงขึ้นแล้ว แน่นอนว่าจำนวนครั้งที่ต้านทานได้ย่อมเพิ่มขึ้น เพราะงั้นก่อนหน้านี้เขาจึงเสนอว่าจะรับการโจมตีของฮูอิงมู่สามกระบวนท่า


สามกระบวนท่าเป็นจำนวนที่หลิงฮันมั่นใจว่าไม่เกินขีดจำกัดในตอนนี้แน่นอน


“กล่าวขอโทษซะ!”


“ไสหัวกลับไป!”


ทันใดนั้นเหล่าศิษย์กล่าวตะโกนดังลั่นด้วยความตื่นเต้นจนแทบจะเป็นบ้า


จะเซียนหรืออะไรก็ช่าง!


ไสหัวไป!


ใบหน้าของฮูอิงมู่เปลี่ยนเป็นมืดมน ผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าดังเพี๊ยะ


ต้องการให้เขากล่าวขอโทษต่อหน้าสาธารณะชน?


คิดว่าเรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้รึ?


เขาเป็นจอมยุทธจากดินแดนต้องห้าม หากผู้คนของดินแดนต้องห้ามอื่นเกิดรู้ว่าเขากล่าวขอโทษต่อพวกมดปลวกล่ะก็ เขาจะมีหน้าไปพบใครได้อีก?


“ยังเหลืออีกสองกระบวนท่า” เขากล่าว


เมื่อคำพูดนั้นถูกกล่าวออกมา ทุกคนรอบด้านก็อ้าปากค้างด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ


นี่เจ้าเป็นเซียนจริงรึเปล่า? จะยังมีใครหน้าด้านได้เหนือเกินกว่าเจ้าอีกไหม?


“เซียนบ้าบออะไรกัน!”


“ขยะ!”


ทุกคนโห่ร้องและอยากจะเอานิ้วกลางไปทาบหน้าฮูอิงมู่


ฮูอิงมู่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเนื่องจากเขาไม่ต้องการกล่าวขอโทษกับเหล่ามดปลวกที่ตนเองดูหมิ่น เพราะอย่างไรหลิงฮันก็เป็นคนพูดเองอยู่แล้วว่าให้โจมตีได้สามกระบวนท่า


เขาไม่รีรอถามความเห็นของหลิงฮันและจู่โจมทันที ครั้งนี้เอาจริง แววตาของเขาส่องประกายพร้อมกับปลดปล่อยวิถีดาราจักรที่อัดแน่นไปด้วยดวงดาวจำนวนมหาศาลนับไม่ถ้วน


หลิงฮันเองก็ปลดปล่อยวิถีดาราจักรของตนเองออกมาเพื่อจงใจเปรียบเทียบ


แต่ของเขามีดวงดาวเพียงเก้าสิบเก้าดวงเท่านั้น!


ตูม!


ฮูอิงมู่จู่โจม ฝ่ามือขนาดใหญ่ตกกระทบลงมา ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องสว่างพร้อมกับปลดปล่อยแรงกดดันอันไร้ขีดจำกัด


หลิงฮันไม่มีทางหลบได้แน่นอน การโจมตีของเซียนนั้นรวดเร็วเกินไป ‘ครืนน’ อำนาจอันน่าสะพรึงร่วงหล่นลงใส่ร่างของหลิงฮัน ทั่วบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นควันอีกครั้ง


ทุกคนกังวลเป็นอย่างมาก จากการที่หลิงฮันป้องกันการโจมตีครั้งก่อนได้ คราวนี้ฮูอิงมู่จะต้องเอาจริงแน่นอน


ฝุ่นควันค่อยๆสลายไปโดยยังมีร่างหนึ่งยืนอยู่อย่างองอาจ


หลิงฮัน!


“ศิษย์พี่หลิง!”


หลิงฮัน!


หลังจากชะงักแน่นิ่งชั่วครู่เสียงโห่ร้องก็ดังลั่นอีกครั้ง คราวนี้เสียงโห้ร้องได้ดังขึ้นกว่าเดิมหลายร้อยเท่า


น่าทึ่งยิ่งนัก!


หากก่อนหน้านี้ฮูอิงมู่จะแก้ตัวว่าเขาไม่ได้เอาจริง ครั้งนี้เขาก็ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆอีกต่อไป


เซียนซิงฉาและเซียนคนอื่นเองก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาดูอ่อนอย่างชัดเจนว่าการป้องกันสองการโจมตีที่ผ่านมานี้หลิงฮันใช้เพียงพลังอำนาจของตนเองไม่ได้พึ่งพาสมบัติหรืออำนาจนอกกายแต่อย่างใด


รุ่นเยาว์ผู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์!


ใบหน้าของฮูอิงมู่แสดงออกถึงความมึนงง


ทำไมกัน ทำไมเขาจึงยังสังหารหลิงฮันไม่ได้อีก?


แค่มดปลวกระดับวารีนิรันดร์ เหตุใดถึงได้ฆ่ายากฆ่าเย็นเพียงนี้?


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ยังเหลืออีกหนึ่งกระบวนท่า เจ้าจะต่อรึไม่? หากเขาไม่สู้แล้วก็ถอนคำพูดพร้อมกับกล่าวขอโทษและไสหัวไป!”


ฮูอิงมู่เกรี้ยวกราด เขาไม่เชื่อเป็นอันขาดว่าจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์จะมีความสามารถมากพอที่จะต่อต้านเขาได้ ต้องเป็นเพราะทักษะบ่มเพาะของอีกฝ่ายแน่นอนที่ทำให้มีความสามารถสำหรับต้านทานเขาในช่วงสั้นๆ


เป็นทักษะบ่มเพาะอะไรกันแน่… เหตุใดถึงได้ฝืนสวรรค์ขนาดนี้!


เขาแอบพยักหน้าในใจ ทักษะบ่มเพาะเช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแย่งชิงมาให้ได้ ต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียนทักษะที่ว่าก็สมควรถูกจัดอยู่ในทักษะระดับสูง บางทีอาจจะเป็นทักษะระดับราชานิรันดร์ก็เป็นได้!


เขาต้องกลับไปบอกให้ผู้นำของเขามากำราบเซียนระดับสูงคนนี้และบังคับแย่งชิงทักษะบ่มเพาะของหลิงฮันมา!


“ข้ายอมแล้ว!” เขากล่าวพร้อมกับหันหลัง


“กล่าวขอโทษก่อน!” เหล่าศิษย์ตะโกนอย่างไม่ยินยอม ก่อนหน้านี้เจ้าทำตัวหยิ่งยโสดีนัก ตอนนี้ล่ะรู้สึกอย่างไรบ้าง?


ฮูอิงมู่สะบัดมือ มดปลวกเหล่านี้กล้าออกคำสั่งเขารึ?


“ฮึ่ม!” เซียนซิงฉาเค้นเสียง “สำหรับบุรุษ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องทำตามที่ตนเองให้สัตย์ไว้! หากเจ้าไม่รักษาคำพูดข้าจะเป็นคนทำให้เจ้าเป็นศพอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล!”


สีหน้าของฮูอิงมู่เปลี่ยนไป เขาสามารถรับมือกับการโจมตีของเซียนระดับสูงได้ในระยะหนึ่งก็จริง แต่อย่างมากแค่ราวๆหนึ่งร้อยกระบวนท่าของรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์บนเสื้อคลุมก็คงหมดอำนาจ พลังต่อสู้ของเขาเองก็แข็งแกร่งกว่าเซียนระดับต้นทั่วไปเพียบเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีทางเลยที่จะเอาชนะเซียนระดับสูงได้


จากท่าทางของเซียนซิงฉา อีกฝ่ายคงไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน


ฮูอิงมู่ลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ข้าขอถอนคำพูดที่เหยียดหยามพวกเจ้าและข้าขอโทษ!”


ศิษย์ทุกคนโห่ร้องดีใจ ฮูอิงมู่ที่หยิ่งยโสโอหังก่อนหน้านี้ ตอนนี้ทำได้เพียงยอมกัดฟันกล่าวขอโทษพวกเขา!


ฮูอิงมู่หันหลังอีกครั้งและกำลังจะจากไปด้วยความแค้น


“ช้าก่อน!” หลิงฮันเอ่ยห้าม แววตาของเขาส่องประกายอย่างโหดเหี้ยม “คำขอโทษเมื่อครู่ของเจ้าเป็นเพราะบทลงโทษที่เจ้าทำตัวหยิ่งยโส ตอนนี้ข้าจะขอคิดบัญชีอีกเรื่องกับเจ้า… บังอาจมีความคิดชั่วร้ายกับภรรยาของข้า คนที่เช่นนั้นข้าต้องสังหารทิ้งอย่างไม่มีวันอภัยโทษ!”


พรวด!


พริบตาเดียวนั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นคนในที่นี้ล้วนแต่ตกตะลึงนิ่งอึ้ง บางคนถึงขนาดสำลักออกมา


หะ หะ หูข้าเพี้ยนฟังผิดไปรึเปล่า?

 

 

 


ตอนที่ 1535

 

หลิงฮันกล่าวว่าจะไม่อภัยฮูอิงมู่!


ละ… ล้อเล่นรึเปล่า


จริงอยู่ที่หลิงฮันแข็งแกร่งมากจนถึงระดับที่ว่าฝืนสวรรค์ เขาสามารถรับการโจมตีของเซียนได้ถึงสองครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าหลิงฮันจะทรงพลังถึงกับต่อกรกับเซียนได้จริงๆ


มันเหนือความเป็นจริงเกินไป


ไม่เช่นนั้นหากหลิงฮันมีพลังขนาดนั้นเขาจะเข้าร่วมสำนักละอองดาราทำไม?


ในตอนที่หลิงฮันมายังสำนักย่อยที่ปาก หากเริ่นเฟยอวิ๋นไม่เข้ามาช่วยเหลือเกรงว่าเขาคงจะถูกบังคับให้คลานผ่านช่องลอดสุนัขไปแล้ว


ทุกคนส่ายหัวและคิดว่าหลิงฮันได้ใจเกินไปหน่อย


“ศิษย์พี่หลิง ลืมเรื่องนั้นไปเถอะ ในเมื่อเจ้าบัดซบนั่นยอมจากไปแล้วก็ยอมๆให้เขามีชีวิตต่อไปเถอะ”


“ใช่แล้วศิษย์พี่หลิง ไม่เห็นจำเป็นต้องไปสนใจคนอย่างนั้นเลย”


“คำพูดของเขาไม่ต่างอะไรจากการผายลมหรอก”


เหล่าศิษย์พยายามลดค่าฮูอิงมู่เพื่อทำให้หลิงฮันใจเย็น


ฮูอิงมู่เกรี้ยวกราด พวกมดปลวกไร้ค่ากล้าล้อเล่นกับเขา? คนเหล่านี้คงไม่รู้สินะว่าเขาได้ส่งข่าวกลับไปแล้วและปรมาจารย์จากตระกูลเขาจะที่นี่ในอีกไม่กี่วัน เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้เป็นเซียนระดับสูงก็ต้องถูกกำราบด้วยมือเดียว


เขาหันหลังกลับ “เจ้าหนู เจ้าต้องการสู้กับข้าคนนี้จริงๆ?”


เขาไม่รังเกียจอยู่แล้วที่จะจัดการหลิงฮันเสียแต่ตอนนี้ หากทำอย่างนั้นทักษะบ่มเพาะของหลิงฮันก็จะตกเป็นของเขา ซึ่งเขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าทักษะบ่มเพาะของหลิงฮันจะต้องเป็นทักษะระดับราชานิรันดร์แน่นอน ไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้มีพลังป้องกันที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น


“เซียนเฒ่า เจ้าจะไร้ยางอายเกินไปแล้ว!”


“ใช่แล้ว เป็นถึงเซียนแต่กลับลดตัวลงมาสู้กับระดับวารีนิรันดร์ ทำไมเจ้าไม่อมขี้เถ้าตายไปเลยล่ะ?”


ทุกคนกล่าวเยาะเย้ยเนื่องจากไม่ต้องการให้หลิงฮันสู้


“หลิงฮัน พอได้แล้ว” เซียนซิงฉาเองก็กล่าวห้าม ตอนนี้เขาตระหนักได้ถึงพรสวรรค์ของหลิงฮันแล้ว ไม่ว่าจะต้องทำวิธีใดเขาก็ต้องทำให้หลิงฮันมีชีวิตรอดให้ได้ ตราบใดที่รุ่นเยาว์ผู้นี้บรรลุเป็นเซียน ความแข็งแกร่งของเขาจะสามารถเหยียบย่ำทุกสรรพสิ่งบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้


หลิงฮันไม่กล่าวอะไรแต่เลือกที่จะโคจรหยดโลหิตราชาเซียน


ฮูอิงมู่กล้าคิดที่จะครอบครองรจักพรรรดินี เขาไม่อาจปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆได้!


‘ครืนน’ ร่างของหลิงฮันเอ่อล้นไปด้วยอำนาจแห่งเซียน หยดโลหิตราชาเซียนนี้เป็นสิ่งที่ราชันวารีสวรรค์จงใจเหลือทิ้งเอาไว้ทำให้อำนาจของมันไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เมื่อหลิงฮันโคจรใช้งานมัน พลังของเขาจะทัดเทียมได้แม้กระทั่งเซียนระดับสูง


เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะสังหารเซียนระดับต้น


“อะไรกัน!” ทุกคนตกตะลึง ออร่าที่สัมผัสได้จากหลิงฮันเป็นอำนาจของเซียนไม่ผิดแน่


ร่างของหลิงฮันโอบล้อมไปด้วยแสงสว่างสีทองแห่งเต๋า ออร่าของเขาในตอนนี้ยิ่งใหญ่ราวกับเป็นตัวตนที่ทัดเทียมสวรรค์


‘ตุบ ตุบ ตุบ’ จอมยุทธแทบทุกคนล้มคุกเข่าลงกับพื้นทันที ไม่ว่าจะเป็นเทียนเซี่ยตี้เอ้อ ซื่อเฉินเฟิงหรือราชาระดับสามคนอื่นๆก็ไม่มีข้อยกเว้น ออร่าของราชาเซียนคืออำนาจที่อยู่เหนือสรรพสิ่ง


คนที่ยังยืนอยู่ได้มีเพียงเหล่าเซียน จักรพรรดินี สตรีนกอมตะสวรรค์… และสุนัขตัวดำ!


“เจ้าครอบครองหยดโลหิตราชาเซียน แถมยังเป็นหยดโลหิตที่สมบูรณ์อีกด้วย!” ฮูอิงมู่ตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหวั่นไหวและรู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม


แววตาของหลิงฮันมืดมนและไม่กล่าวคำพูดใดๆออกราวกับเป็นคนตาย


“คิดจะสังหารข้ารึ? ฝันไปเถอะ!” ฮูอิงมู่กล่าว “ดินแดนต้องห้ามแปดศิลาเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังที่สุด ต่อให้เจ้าหลบหนีไปสุดของจักรวาล โชคชะตาของเจ้าก็มีเพียงความตาย”


“หลิงฮัน คิดให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจลงมือ” เซียนซิงฉาไม่ได้ห้ามแต่กล่าวเตือน ตอนนี้หลิงฮันมีพลังที่แข็งแกร่งทัดเทียมกับตัวเขา


หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “ที่ข้าจะทำคือให้ทุกคนได้รับรู้คือมดปลวกตรงหน้าต้องถูกเหยียบย่ำจนตาย!”


ฮึ่ม!


ฮูอิงมู่เค้นเสียงในใจก่อนจะหันหลังและเผ่นหนี


อีกฝ่ายใช้หยดโลหิตราชาเซียนทำให้พลังในตอนนี้เพียงพอที่จะเอาชนะเซียนระดับสูงได้! เสื้อคลุมของเขาสามารถรับการโจมตีได้ร้อยกระบวนท่าก็จริง แต่หากถึงขีดจำกัดแล้วอำนาจของมันย่อมสลายไป


“คิดหนี?” หลิงฮันแสยะยิ้ม ในเมื่อเขายอมสิ้นเปลืองใช้หยดโลหิตเซียนแล้ว คิดว่าเขาจะยอมปล่อยไปง่ายๆ?


เขาลงมือจู่โจมไปยังฮูอิงมู่


ณ เวลานี้หลิงฮันคือเซียนระดับสูง!


การโจมตีของเซียนระดับสูงนั้น เซียนระดับต้นไม่มีทางหลบหลีกพ้น


‘ตูม’ รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ของเสื้อคลุมส่องประกายและป้องกันการโจมตีของหลิงฮันเอาไว้


หลิงฮันไม่สนใจ ถึงแม้โลหิตราชาเซียนจะมีระยะเวลาใช้งานที่จำกัด แต่นั่นก็เพียงพอให้เขาโจมตีได้เกินร้อยกระบวนท่าแน่นอน


หรือก็คือ ไม่ว่าอย่างไรฮูอิงมู่ก็ต้องตาย


‘ตูม! ตูม! ตูม!’


หลิงฮันกระหน่ำโจมตีใส่ฮูอิงมู่อย่างบ้าคลั่งจนอีกฝ่ายไม่อาจทำอะไรได้เลย


ที่จริงหลิงฮันไม่จำเป็นต้องรับหนึ่งกระบวนท่าของฮูอิงมู่และสังหารอีกฝ่ายทิ้งเลยก็ได้ แต่ทำไมเขาถึงต้องทำอะไรให้ซับซ้อนแบบนั้นน่ะรึ?


นั่นเพราะหลิงฮันต้องหากให้ฮูอิงมู่กล่าวขอโทษ!


ไม่เช่นนั้นแล้วคนหยิ่งทะนงอย่างฮูอิงมู่ ต่อให้ถูกหลิงฮันสังหารเขาก็ไม่มีวันยอมรับผิดและกล่าวขอโทษ


“ศิษย์พี่หลิงแข็งแกร่งที่สุด!”


“ศิษย์พี่หลิงไร้เทียมทาน!”


“ศิษย์พี่หลิง ข้าอยากมีบุตรกับท่าน!”


ศิษย์ทุกคนโห่ร้อง ยิ่งศิษย์สตรียิ่งแล้วใหญ่ แม้แต่หลงเซียงเยว่ก็เกือบจะโห่ตะโกนออกมาแล้ว


หลิงฮันปล่อยหมัดอย่างต่อเนื่อง ด้วยอำนาจจากโลหิตราชาเซียน พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้บรรลุระดับที่เรียกว่าไร้เทียมทาน


ทางด้านของฮูอิงมู่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เสื้อคลุมสมบัติของเขาถูกเผาผลาญพลังอย่างต่อเนื่องไม่หยุด รูปแบบอาศักดิ์สิทธิ์อักขระหนึ่งพังทลาย ทันใดนั้นบนเสื้อคลุมมีรอยขาดปรากฏให้เห็น


ฮูอิงมู่กัดฟัน ที่อีกฝ่ายถึงกับยอมใช้หยดโลหิตราชาเซียนนั้นย่อมหมายความว่าไม่ต้องการไว้ชีวิตเขา ต่อให้ร้องขอความเมตตาไปก็เปล่าประโยชน์ ยิ่งกว่าเขาด้วยนิสัยยิ่งทะนงจนเข้ากระดูกของเขา ไม่มีเด็ดขาดที่จะยอมร้องขอชีวิตจากมดปลวก


ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม เขาเป็นถึงเซียนที่มาจากดินแดนต้องห้ามแต่ตอนนี้กลับกำลังถูกรุ่นเยาว์ระดับวารีนิรันดร์ทุบตีอย่างไม่มีทางตอบโต้ ความตายครั้งนี้จะก่อเกิดเป็นความอัปยศที่หมื่นแสนปีก็ไม่มีวันเลือนหาย


เขาดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ตนเองหนีรอด

 

 

 


ตอนที่ 1536

 

น่าเสียดายที่ต่อหน้าเซียนระดับสูง แม้จะเป็นเซียนระดับต้นที่แข็งแกร่งกว่าเซียนระดับต้นทั่วไปก็ยังเป็นเพียงเซียนระดับต้นอยู่ดี


Anchor


ฮูอิงมู่ไม่มีหยดโลหิตราชาเซียนติดตัวเนื่องจากการจะควบแน่นหยดโลหิตออกมาจะทำให้ราชาเซียนเจ้าของโลหิตเผลาผลาญพลังชีวิตอย่างมหาศาล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีเสื้อคลุมสมบัติที่สามารถต้านทานการโจมตีของเซียนระดับสูงได้ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาไปทุกที่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างปลอดภัย


แต่ว่าเขาดันต้องมาพบเจอกับสองจอมยุทธที่มีพลังระดับเซียนขั้นสูงที่แม้จะรับรู้ถึงขุมอำนาจเบื้องหลังเขาแล้วก็ยังไม่หวาดหวั่นที่จะสังหารเขา


ฮูอิงมู่ดิ้นรนหลบหนีด้วยพลังทั้งหมดที่มี แต่ต่อหน้าหลิงฮันในตอนนี้เรื่องที่จะหลบหนีพ้นนั้นไม่มีทางเป็นไปได้


เหล่าศิษย์ที่มองดูอยู่ตกตะลึงจนตัวแข็งค้าง เซียนจะกำลังจะถูกสังหาร!


เซียนเป็นตัวตนที่สูงส่ง ต่อให้เป็นปรมาจารย์อย่างเซียนซิงฉาก็ไม่สามารถกำราบเซียนระดับต้นได้อย่างง่ายดายเนื่องจากเซียนนั้นมีความเร็วแทบจะเท่าเทียมกัน หากฝ่ายหนึ่งเลือกหลบหนีไปก่อนอีกฝ่ายที่ไล่ตามก็แทบจะไม่มีหวังตามทัน


เพราะงั้นแล้วในระยะเวลาอย่างน้อยหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้จึงไม่มีใครเคยพบเห็นเซียนถูกสังหารมาก่อน เซียนที่ตายไปตามอายุขัยนั้นมีอยู่บ้าง แต่เซียนถูกตายเพราะถูกสังหารในการต่อสู้นั้นแทบจะไม่มี


แต่สถานการณ์ตอนนี้ต่างออกไป ฮูอิงมู่เป็นคนเดินเข้ามาติดกับดักด้วยตัวเอง ต่อให้จะหลบหนีก็ช้าเกินไปแล้ว


ฮูอิงมู่แทบจะบ้าคลั่ง เขาไม่มีลังเลที่จะเผาผลาญแก่นพลังชีวิตของตัวเองเพื่อหลบหนี หากไม่ทำเช่นนั้นเขาคงต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ แต่ไม่ว่าอย่างไรต่อให้เซียนระดับต้นเผาผลาญพลังชีวิตของตนเองก็ไม่สามารถทำให้มีพลังทัดเทียมกับเซียนระดับสูงได้อยู่ดี


“อ้ากก!” เขากรีดร้องพร้อมกับแขนข้างหนึ่งที่ถูกฉีกขาด


“อึก!” ฮูอิงมู่หายใจติดขัด ที่บริเวณหน้าของเขาปรากฏรูขนาดใหญ่


“อั่ก!” เขาขมวดคิ้ว แผ่นหลังของเขาถูกฝ่ามือกระแทกใส่จนหัวใจบดขยี้


พลังชีวิตของเซียนมหาศาลอย่างมาก ต่อให้ไร้หัวใจเขายังคงดิ้นรนต่อไปได้ แถมพลังต่อสู้ก็ไม่ได้รับผลกระทบเท่าไหร่


เพียงแต่ว่าดวงวิญญาณนั้นถูกผนึกติดอยู่กับร่างกาย หากไร้กายหยาบดวงวิญญาณก็ไม่อาจมีที่สิงสถิต หรือก็คือตราบใดที่กายหยาบของฮูอิงมู่ถูกบดขยี้ไม่เหลือซาก ดวงวิญญาณของเขาก็จะแหลกสลายและตกตาย


แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆออร่าของหลิงฮันก็เริ่มอ่อนแอลง


ฮูอิงมู่ชะงักก่อนจะเผยท่าทางดีใจ หยดโลหิตราชาเซียนของหลิงฮันกำลังจะหมดอำนาจ


หากเขาต่อต้านไปได้อีกพักหนึ่ง เขาจะมีชีวิตรอดกลับไปได้


“ฮ่าๆๆๆ!” ฮูอิงมู่หัวเราะลั่น “เป็นแค่ระดับวารีนิรันดร์แต่คิดจะสังหารข้า ความคิดเจ้ามันอ่อนหัดเกินไป!”


เซียนก็ยังเป็นเซียน ต่อให้หลิงฮันจะใช้หยดโลหิตของราชาเซียนการจะสังหารเซียนสักคนก็ยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก


“งั้นรึ?” หลิงฮันแสยะยิ้มและนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมา ‘ฉัวะ’ ดาบถูกแทงทะลวงไปยังร่างของฮูอิงมู่


“เจ้าเพียงแค่หยิบยืมพลังจากหยดโลหิตราชาเซียน ตราบใดที่พลังของมันแห้งเหือด ต่อหน้าข้าคนนี้เจ้าก็ไม่นับเป็นอันใด!” ฮูอิงมู่ยิ้มและกล่าว “มดปลวกก็ยังคงเป็นมดปลวกอยู่วันยังค่ำ! อะ… อ้ากก!”


เขาตกตะลึงและกรีดร้อง จู่ๆพลังอันน่าสะพรึงก็แทรกผ่านเข้ามาในร่างของเขาและบดขยี้พลังชีวิตของเขาจนแหลกสลาย


เป็นไปได้อย่างไร?


เขารีบถอดวิญญาณของจากร่างทันที ต่อให้ต้องทิ้งกายหยาบเขาก็ไม่มีลังเลทีจะรักษาชีวิตเอาไว้ ตราบใดที่วิญญาณยังอยู่ เขาย่อมมีโอกาสกลับมาล้างแค้น


ทว่าทุกอย่างนั้นสายไปแล้ว!


ดาบอสูรนิรันดร์ถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะนิรันดร์ หากถูกพลังทำลายล้างของดาบทะลวงเข้าใส่ร่างกายตรงๆแบบนี้แล้ว ไม่มีทางเลยที่จะรอดชีวิตไปได้


วิญญาณของฮูอิงมู่สามารถออกมาจากร่างได้ก็จริง แต่พลังทำลายอันน่าสะพรึงกลัวก็ค่อยๆกัดกร่อนวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่อง


“ไม่!” เสียงกรีดร้องของเขาดังก้องไปถึงห้วงจิตวิญญาณของทุกคน


พริบต่อมาดวงวิญญาณของฮูอิงมู่ก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์


ตัวตนระดับเซียนได้หายไปจากโลกนี้ตลอดกาล


‘ครืนน’ เสียงสั่นสะเทือนดังก้องจากท้องฟ้าราวกับฟ้าผ่าเนื่องจากโลหิตที่ร่วงหล่นลงสู้เบื้องล่างราวกับห่าฝนของฮูอิงมู่


ทุกคนชะงักแน่นิ่งไร้คำพูด พวกเขาไม่เคยเห็นเหตุการณ์ที่เซียนถูกสังหารมาก่อน


‘สวรรค์!’


นี่ต้องเป็นเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แน่นอน จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่ไม่ใช่แม้แต่ขั้นสมบูรณ์สามารถสังหารตัวตนระดับเซียนได้


หลังจากผ่านชั่วครู่ฝนโลหิตก็หยุด หมู่เมฆสีดำค่อยๆสลายแยกตัว ทุกๆอย่างหวนคืนสู่สภาพปกติ


หลิงฮันเหาะเหินกลับมาที่เดิมโดยแสงแห่งเซียนบนร่างๆของเขาค่อยๆอ่อนแอลง ทุกมองจ้องมองไปยังเขาด้วยสีหน้าหวั่นเกรง


“มากับข้า” เซียนซิงฉาคว้าร่างของหลิงฮันและพาไปยังลานที่พักของตนซึ่งแม้แต่เซียนระดับต้นทั้งเก้าก็ไม่มีคุณสมบัติได้เข้าไป


Anchor


จูซิ่วเอ๋อทั้งตกตะลึงและไม่สบอารมณ์ การที่หลิงฮันสามารถสังหารเซียนได้ทำให้นางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก และการที่เซียนซิงฉาเมินเฉยไม่กล่าวอะไรต่อนางทั้งๆที่พบกันนั้นก็ทำให้นางโกรธมากเช่นกัน ข้าเป็นภรรยาของท่าน… เป็นมารดาของบุตรท่านนะ!


หลิงฮันพูดคุยกับเซียนซิงฉานานเกือบวันก่อนจะกลับออกมา เขาเรียกภรรยาทั้งสองของเขามารวมตัวและเตรียมพร้อมออกไปจากดาวมู่ถูแห่งนี้


เขาได้ปรึกษากับเซียนซิงฉาอย่างดีแล้ว หลิงฮันสามารถยกระดับพลังตนเองให้กลายเป็นราชาเซียนได้ก็จริง แต่นั้นก็แค่ระยะเวลาชั่วครู่ ยิ่งกว่านั้นผู้นำของดินแดนต้องห้ามแปดศิลาก็น่าจะเป็นตัวตนระดับราชาเซียนเหมือนกันด้วย


การตายของฮูอิงมู่จะทำให้ผู้นำที่ว่ามาที่นี่ในเร็วๆนี้แน่นอน เพราะงั้นหลิงฮันจึงจำเป็นต้องออกไปจากที่นี่ ไม่ใช่เฉพาะสำนักละอองดาราเท่านั้น แม้แต่เขตดวงดาวสี่ทิศแห่งนี้ก็หรือเขตดวงดาวใกล้เคียงเขาไม่สามารถอาศัยอยู่ได้เนื่องจากยิ่งอยู่ใกล้เท่าไหร่ราชาเซียนก็ยิ่งตามตัวได้ง่าย


นอกจากนั้นเขาก็ต้องรีบหลบหนีโดยทันทีด้วย เซียนสามารถเปิดช่องว่างมิติเพื่อเคลื่อนที่ได้ซึ่งไวกว่าอุปกรณ์บินแหวกเมฆาหลายเท่าตัว


หลิงฮันปรึกษากับจักรพรรดิพิรุณและสหายคนอื่นๆแล้ว คนอื่นๆจะยังอยู่ที่นี่ต่อไป สำนักละอองดารามีราชาอยู่เต็มไปหมดราวกับหมู่เมฆ หากได้ประมือกับราชาจะทำให้พลังบ่มเพาะของพวกเขายกระดับได้รวดเร็วกว่าปกติ


หลิงฮันทิ้งใบของต้นสังสารวัฏ อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์และวัสดุเซียนจำนวนมากเอาไว้ให้กับพวกจักรพรรดิพิรุณ ด้วยทักษะบ่มเพาะระดับสูง อุปกรณ์ทรงพลังและทรัพยากรจากสำนัก หากพวกเขาเหล่านี้ไม่สามารถบรรลุระดับพลังที่สูงขึ้นได้หลิงฮันก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรแล้ว


หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลิงฮันก็พาจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะหลบหนี ณ เวลานี้ทุกวินาทีล้วนมีค่า


หลังจากหลิงฮันออกเดินทางไปได้สี่วัน แสงสว่างแห่งเต๋าสีทองก็ลอยลงสู่ดาวมู่ถู การเคลื่อนที่อันอุกอาจของเซียนทำให้ศิษย์ทุกคนจิตใจสั่นสะท้าน


“ยังไม่ออกมาต้อนรับข้าอีกงั้นรึ?” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับร่างของชายชราได้ปรากฏตัว ออร่าแห่งเซียนของเขาทรงพลังราวกับเป็นจักรพรรดิแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้า 未完待续

 

 

 


ตอนที่ 1537

 

เซียนซิงฉาปรากฎตัวเป็นคนแรก เมื่อได้ผู้บุกรุกเขาก็แสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด


อีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์ที่ทรงพลัง รอบกายปกคลุมไปด้วยออร่าลึกลับจนแม้แต่เขาก็ไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ได้ แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้ว คนคนนี้สมควรมีอายุเยอะและแก่ชรามากแล้ว ด้านข้างชายชรามีรุ่นเยาว์ยืนอยู่อีกคนหนึ่ง ซึงรุ่นเยาว์ผู้นี้เป็นตัวตนระดับเซียนเช่นกัน!


รุ่นเยาว์ผู้นี้อายุสมควรยังไม่เกินหนึ่งแสนปี หรืออาจจะเพียงหมื่นถึงสองหมื่นปีเท่านั้น…


 


เซียนซิงฉาตกตะลึง เซียนที่อายุเพียงสองหมื่นปี?


ต่อให้เป็นอัจฉริยะแค่ไหน อายุสองหมื่นปีก็สมควรมีพลังบ่มเพาะที่ระดับสุริยันจันทราเท่านั้น แต่รุ่นเยาว์ผู้นี่กลับบรรลุเป็นเซียนระดับต้นแล้ว


“คารวะผู้อาวุโส!” เซียนซิงฉาแสดงความเคารพต่อสุดยอดปรมาจารย์ชรา พลังบ่มเพาะของอีกฝ่ายไม่มีทางเป็นอื่นใดนอกจากระดับราชาเซียนที่เขาทำได้แค่เพียงแหงนมอง


ปรมาจารย์ผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้นำของตระกูลฮู เขาคือตัวตนที่สามารถเหยียบทุกสรรพสิ่งบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ชื่อของเขาคือฮูลั่ว เขามีอายุมานานเกินกว่าสามพันล้านปีแล้ว แต่ต่อให้เขามีชีวิตมานานมากขนาดนั้นแล้วก็ตาม ด้วยพลังบ่มเพาะของเขา เขาก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกถึงหนึ่งพันล้านปี


ฮูลั่วชำเลืองมองไปยังเซียนซิงฉาโดยไม่เปิดปากพูดก่อนจะหันไปมองเซียนรุ่นเยาว์ที่ยืนอยู่ข้างเขา


เซียนรุ่นเยาว์เผยรอยยิ้มเยือกเย็นที่ยิ่งยโสราวกับจะก้มมองดูถูกทุกสรรพสิ่ง


“ข้ามีชื่อว่าฮูเฟิง” เซียนรุ่นเยาว์กล่าวแนะนำตัวเอง “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีชื่อว่าอะไร?”


“ชื่อแท้จริงของข้าคือมี่เหวียน” เซียนซิงฉากล่าว หากเป็นสถานการณ์อื่นเขาไม่มีทางแยแสเซียนระดับต้นแน่นอน แต่ตอนนี้เซียนระดับต้นผู้นี้เป็นเหมือนตัวแทนของราชาเซียนเขาจึงต้องไว้หน้าอีกฝ่าย


“อาวุโสมี่” ฮูเฟิวกล่าวอย่างสุภาพพอเป็นพิธีก่อนจะกล่าว “มีผู้อาวุโสจากตระกูลของข้าหายสาปสูญไปไม่นานนี้ จากการคาดการณ์ของผู้นำตระกูลข้าตำแหน่งที่เขาหายไปสมควรเป็นดาวดวงนี้ ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสรู้รึไม่ว่าคนร้ายเป็นใคร?”


เซียนซิงฉาเหงื่อไหลท่วม ฮูเฟิงนั้นถึงแม้จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่คำพูดของอีกฝ่ายนั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากถามว่าคนร้ายที่ว่าคือเขาใช่รึไม่


ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะถามเช่นนั้น นอกจากตัวเขาที่เป็นเซียนระดับสูงแล้วใครจะสังหารเซียนระดับต้นได้?


โชคดีที่เซียนซิงฉาเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว “ชายชรารู้ว่าใครคือคนร้าย ชื่อของคนคนนั้นคือหลิงฮัน”


“โอ้ เช่นนั้นท่านช่วยเล่าเรื่องของคนคนนั้นมาให้ละเอียดหน่อย” ฮูเฟิงกล่าว ภายในแววตาของเขาปรากฏจิตสังหารอันรุนแรง


“คนคนนั้นแต่เดิมเป็นศิษย์ของสำนักละอองดารา ไม่นานมานี้เขาเพิ่งทะลวงผ่านบรรลุระดับวารีนิรันดร์…”


“เดี๋ยวก่อนผู้อาวุโสมี่ ท่านจะบอกว่าผู้อาวุโสของข้าถูกจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สังหาร?” ฮูเฟิงเอ่ยแทรกด้วยสีหน้าเยาะเย้ย ต่อให้เจ้าต้องการโกหกขนาดไหนก็ควรจะหาคำโกหกที่น่าเชื่อถือหน่อยไม่ใช่รึไง?


จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สามารถสังหารเซียนได้? ทำไมเจ้าไม่โกหกว่าหมูสามารถบินขึ้นสวรรค์ได้เสียเลยล่ะ?


เซียนซิงฉากล่าวต่อ “นั่นเป็นเรื่องจริง นั่นเพราะหลิงฮันครอบครองหยดโลหิตราชาเซียน!” เขาเล่าเรื่องราวของนกอมตะสาวตัวลากเกวียนออกไปด้วยเช่นกัน


ฮูเฟิงอยากจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่ทันใดนั้นฮูลั่วตัวตนระดับราชาเซียนก็สะบัดมือห้ามเขาเอาไว้ ใบหน้าที่ถูกทำคลุมไว้ด้วยออร่าลึกลับของเขาดูเหมือนจะสั่นไหวเล็กน้อยและกล่าวคำพูด “เรื่องของรถเกวียนและนกอมตะสามตัวนั่น เจ้าจงอธิบายอย่างละเอียด!”


แม้เขาจะพยายามขนาดไหนก็ไม่สามารถปกปิดน้ำเสียงที่สั่นสะท้านของตนเองได้


ฮูเฟิงตกตะลึง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ตัวเขาเองก็เผยท่าทีตื่นเต้นออกมาเช่นกัน


เซียนซิงฉาเล่าทุกอย่างออกมาอย่างไม่ปิดยัง


ผ่านไปครู่หนึ่งฮูลั่วราชาเซียนก็พยักหน้าให้กับฮูเฟิง “หากเป็นเช่นนี้ ข้าขอมอบหน้าที่ไล่ตามคนร้ายให้เจ้า!”


จากนั้นเขาก็ใช้สัมผัสสวรรค์ที่มีเพียงฮูเฟิงได้ยิน “สมบัติของราชันวารีสวรรค์สำคัญเป็นอย่างมาก แต่ตัวข้าหากออกมาจากดินแดนต้องห้ามนานเกินไปจะทำให้ดินแดนต้องห้ามอื่นๆเกิดความสงสัยได้ เพราะงั้นเรื่องไล่ตามคนร้ายข้าจึงต้องมองให้เจ้าเป็นคนจัดการ!”


“ข้าเข้าใจแล้วท่านผู้นำ” ฮูเฟิงกล่าวอย่างเคารพ


 


ฮูลั่วเป็นห่วงรุ่นเยาว์ผู้นี้เป็นอย่างมาก ฮูเฟิงเป็นความหวังในอนาคตของตระกูลฮู อีกเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของตระกูลฮูที่สามารถบรรลุเป็นเซียนได้ด้วยอายุเพียงหนึ่งหมื่นสามพันปีเท่านั้น “เจ้าหนูนั่นสังหารอิงมู่จึงกลายเป็นศัตรูของตระกูลฮูของเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ การจะหาตำแหน่งของเจ้าหนูนั่นด้วยพลังของเจ้าแล้วไม่น่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากอะไร”


“แต่เพื่อป้องการเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ข้าจะมอบหยดโลหิตให้แก่เจ้า”


ฮูลั่วควบแน่นหยดโลหิตราชาเซียนให้กับฮูเฟิง การกระทำเช่นนี้เผาผลาญพลังของเขาเป็นอย่างมากและต้องรีบกลับไปฟื้นฟูพลังที่ดินแดนต้องห้ามโดยด่วนไม่เช่นนั้นแล้วมันจะส่งผลไปถึงพลังชีวิตของเขา


หากไม่ใช่เพราะสมบัติอันล้ำค่าของราชันวารีสวรรค์เขาไม่มีทางยอมเผาผลาญพลังชีวิตของตนเองแน่นอน และเขาเองก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวไล่ตามคนร้ายได้ตามใจชอบด้วยเช่นกันเพราะจะเป็นการสร้างความสงสัยต่อดินแดนต้องห้ามอื่นๆ หากข่าวถูกแพร่งพรายออกไปว่าดินแดนต้องห้ามแปดศิลามีความเกี่ยวข้องกับสมบัติของราชันวารีสวรรค์พวกเขาคงหนีไม่พ้นถูกดินแดนต้องห้ามอื่นๆไล่ล่า


“ข้าเข้าใจแล้ว” ฮูเฟิงพยักหน้าและรีบแหงนหน้ามองท้องฟ้า พริบตานั้นเท้าของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงแห่งเต๋าสีทองและเคลื่อนที่จากไป


ฮูลั่วราชาเซียนหันไปมองเซียนซิงฉาและกล่าว “ศิษย์ของเจ้าสังหารคนของข้า เรื่องนี้เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร?”


คำพูดของเขาหมายถึงค่าชดใช้


เซียนซิงฉารีบกล่าว “ข้าน้อยยินดีจะชดใช้ให้”


ฮูลั่วราชาเซียนพยักหน้า เขาคงอยู่ที่นี่ได้เพียงวันถึงสองวันและต้องกลับดินแดนต้องห้าม


เขาจ้องมองไปยังต้องฟ้าด้วยสีหน้าจริงจัง สำหรับฮูเฟิงแล้วเขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าจะทำภารกิจไล่ตามสำเร็จ ความหวังของตระกูลผู้นี้ไม่มีทางทำให้เขาผิดหวัง


……


หลิงฮันกำลังขับเคลื่อนอุปกรณ์บินแหวกเมฆาเคลื่อนที่ผ่านดวงดาวนับไม่ถ้วน


แต่เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงสองวันเขาก็พบกับแสงแห่งเต๋าสีทองที่เคลื่อนที่ผ่านอวกาศอันมืดมิด ความเร็วของแสงแห่งเต๋านั้นรวดเร็วกว่าอุปกรณ์บินแหวกเมฆา พริบตาเดียวรุ่นเยาว์ที่ขึ้นขี่แสงแห่งเต๋าก็ได้ปรากฏตัวขวางทางอุปกรณ์บินแหวกเมฆาเอาไว้


“รบกวนช่วยหยุดก่อน ข้ามีเรื่องอยากจะถาม” รุ่นเยาว์ที่ปรากฏตัวเผยรอยยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรราวกับเป็นสหายเก่า

 

 

 


ตอนที่ 1538

 

น่าแปลกประหลาดมาก ในอวกาศอันอ้างว้างนี้มีใครก็ไม่รู้ปรากฏตัวหยุดทางและกล่าวทักทายราวกับเป็นสหายสนิท


เซียนของตระกูลฮู


หลิงฮันคาดเดาได้ทันที นอกจากดินแดนต้องห้ามแปดศิลาแล้วเขาก็ไม่เคยล่วงเกินเซียนจากขุมอำนาจใดมาก่อน หากจะบอกว่าเขาถูกเซียนหยุดทางด้วยความบังเอิญนั้น เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด


เขาก้าวออกมาจากอุปกรณ์บินแหวกเมฆาและสะบัดขวาเก็บอุปกรณ์บินแหวกเมฆากลับเข้าไปยังหอคอยทมิฬพร้อมกับมองไปยังรุ่นเยาว์ตรงหน้า


“คนของดินแดนต้องห้ามแปดศิลา?” หลิงฮันเอ่ยถาม ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ไล่ล่า เขาก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพด้วย


รุ่นเยาว์ผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากฮูเฟิง ใบหน้าของเขายังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มของเซียนผู้สูงส่ง โดยเฉพาะตัวเขาที่มาจากดินแดนต้องห้ามไม่มีทางเลยที่จะเก็บคำพูดไร้มารยาทของมดปลวกมาใส่ใจ


เขายิ้มและกล่าว “ในเมื่อรู้ว่าข้ามาจากดินแดนต้องห้ามแปดศิลา งั้นก็คงเป็นเจ้าสินะ” เขาแน่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “ชื่อของข้าคือฮูเฟิง เจ้าจะเรียกข้าด้วยชื่อนี้ก็ตามสะดวก”


หลิงฮันหัวเราะและกล่าวตอบ “ข้าคือหลิงฮัน เจ้าเองก็เรียกชื่อข้าได้ตามสะดวก”


ฮูเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ใบหน้ากระตุกเล็กน้อย เขาเป็นถึงตัวตนระดับเซียน การที่ตัวเขาจะแสดงท่าทีถ่อมตัวและไม่แยแสย่อมเป็นเรื่องปกติ แต่หลิงฮันเป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์เท่านั้นกลับกล้าทำตัวตีเสมอเขา!


น้ำเสียงของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นขึงขัง “เจ้าสังหารคนของตระกูลฮูของข้า คิดว่าจะหลบหนีพ้น?”


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “งั้นก็พยายามหน่อยแล้วกัน บางอย่างอาจไม่เป็นอย่างที่เจ้าคิด!”


ริมฝีปากของฮูเฟิงกระตุก หลิงฮันกล้าย้อนคำพูดของเขาแถมยังคิดว่าตนเองจะหนีรอดไปได้? หากเป็นเช่นนั้นจริงเขาจะเป็นเซียนที่ไร้ค่าขนาดไหนกัน ขนาดมดปลวกระดับวารีนิรันดร์ก็ไม่สามารถจับตัวเอาไว้ได้?


เขามั่นใจว่าหลิงฮันมีหยดโลหิตของราชาเซียนเพียงหยดเดียวแน่นอน และหนึ่งหยดที่ว่าก็ถูกใช้ไปแล้ว แต่การที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีหวาดหวั่นใดๆเลยนั้นเริ่มทำให้เขาเป็นกังวลขึ้นมา


เขาเป็นคนที่มีนิสัยขี้ระแวงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว


ฮูเฟิงไม่รีบที่จะลงมือ หากไม่มีหยดโลหิตราชาเซียนหลิงฮันจะหนีไปไหนได้?


“วิธีการอันใดที่เจ้าคิดว่าจะหนีพ้นจากเงื้อมมือของข้าได้?” ฮูเฟิงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


หลิงฮันมองความคิดของอีกฝ่ายออกได้อย่างง่ายดาย การที่เขาได้พบเจอสุนัขตัวดำ โสมเฒ่าและเจ้ากระต่ายเป็นเวลานานทำให้เขาอ่านความคิดอันซับซ้อนของคนอื่นได้อย่างเฉียบขาด “แม้ท่าทีของเจ้าจะดูเฉยเมย แต่แท้จริงแล้วกำลังตรวจสอบอยู่ว่าข้ายังเหลือหยดโลหิตเซียนอยู่อีกรึไม่และกลัวว่าข้าจะฉวยโอกาสหลบหนีไป?”


เป็นอย่างที่ว่า!


เขายังคงยิ้มและกล่าว “ระดับวารีนิรันดร์ตัวจ้อยเช่นเจ้า ต่อหน้าข้าคนนี้จะทำอะไรได้?”


หลิงฮันส่ายหัว “เจ้านี่ช่างเป็นตัวบัดซบจริงๆ ผู้อาวุโสของเจ้าถูกข้าสังหารไปแท้ๆ เจ้ากลับยังทำตัวนิ่งเฉยแบบนี้ ข้าไม่เคยเห็นขยะเนรคุณเช่นเจ้ามาก่อน หากเจ้าเป็นบุตรหลานของข้าข้าคงเอาขี้แถ้ายัดปากเจ้าตายไปนานแล้ว!”


ดวงตาของฮูเฟิงชะงักและเปิดกว้าง มดปลวกตรงหน้ากล้าเหยียดหยามเขา! ตัวบัดซบ? เนรคุณ? เอาขี้เถ้ายัดปาก? เขาทนนิ่งเฉยไม่ไหวอีกต่อไป


“บังอาจ!” ฮูเฟิงลงมือด้วยใบหน้าบูดบึ้งเกรี้ยวกราด


หากคนจากดินแดนต้องห้ามแปดศิลาอยู่ที่นี่ พวกเขาต้องตกตะลึงมากเป็นแน่ ฮูเฟิงนั้นตั้งแต่ตั้งยังเด็กเขาถูกรู้จักในนามของ ‘หินที่ไม่หวั่นไหว’ ต่อให้สวรรค์ร่วงหล่นใบหน้าของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนสี ตั้งแต่เป็นเด็กต่อให้ถูกรังแกแบบใดเขาก็ไม่ร้องไห้หรือไม่เปลี่ยนสีหน้า


แต่ตอนนี้หินที่ไม่หวั่นไหวคนนั้นกลับลงมือด้วยความโกรธจนไม่เหลือความสุขุมอีกต่อไป!


หลิงฮันมีสหายเป็นใคร? ทั้งสุนัขตัวดำ โสมเฒ่าและเจ้ากระต่าย หากเป็นเรื่องคำพูดคำจาเขาย่อมสามารถทำให้ผู้อื่นเกี้ยวกราดได้แน่นอน


หลิงฮันโคจรทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เตรียมรอไว้แล้ว ‘ตูม’ ร่างของเขาถูกกระแทกลอยกระเด็นไปหลายหมื่นไมล์ บนอวกาศแห่งนี้ไม่มีวัตดุให้ร่างของเขาตกกระทบ ร่างของเขาจึงลอยดิ่งไปแบบไม่หยุดจนกระทั่งไปกระแทกเข้ากับอุกกาบาตลูกหนึ่ง


“หืม?” ฮูเฟิงอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีตกตะลึง รุ่นเยาว์ตรงหน้าต้านทานการโจมตีของเขาได้?


ฝืนสวรรค์! ไร้เหตุผลจนฝืนสวรรค์ยิ่ง!


 


เซียนซิงฉาเล่าเพียงว่าหลิงฮันใช้อำนาจของหยดโลหิตราชาเซียน แต่เขาปกปิดเรื่องการเดิมพันเอาไว้ เพราะงั้นฮูเฟิงและฮูลั่วจึงไม่รู้ว่าหลิงฮันมีพลังป้องกันที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใด


อำนาจป้องกันนี้ไม่ได้เกิดจากสมบัติแต่เป็นอำนาจของหลิงฮันโดยแท้


ทักษะบ่มเพาะที่ทรงพลังขนาดนี้คือทักษะแบบใดกัน?


แววตาของฮูเฟิงส่องประกาย ในฐานะอัจฉริยะของดินแดนต้องห้ามเขาย่อมรู้ถึงเหตุการณ์มหาโศกนาฏกรรมในดินแดนแห่งเซียนซึ่งเป็นต้นเหตุให้ตระกูลฮูต้องถูกขับไล่ออกมา


อันที่จริงดินแดนต้องห้ามแปดศิลาไม่ได้ถือว่าเป็นขุมอำนาจที่ทรงพลังอะไรเลยในหมู่ขุมอำนาจที่ล่มสลายจากมหาโศกนาฏกรรมใน ในเหตุการณ์นั้นมีตัวตนระดับราชานิรันดร์จำนวนไม่น้อยที่ตกตาย ซึ่งราชันวารีสวรรค์ก็คงได้รับมรดกสืบทอดจากราชานิรันดร์ที่ตกตายที่ว่านั่นเขาถึงได้สามารถแข็งแกร่งขึ้นในระยะเวลาอันสั้นและถูกเหล่าดินแดนต้องห้ามไล่ล่า


เจ้าหนูผู้นี้ต้องได้รับมรดกสืบทอดต่อมาจากราชันวารีสวรรค์เป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเขาจะมีทักษะบ่มเพาะที่สามารถต้านทานได้แม้กระทั่งการโจมตีของเซียนได้อย่างไร?


ทันใดนั้นเองความโลภก็เข้าครอบงำฮูเฟิง เขายกมือขึ้นและโจมตีไปยังหลิงฮันอีกครั้ง


หลิงฮันไม่อาจหลบได้พ้นและทำได้เพียงโคจรทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เพื่อต้านทาน ‘ตูม’ ร่างของเขาปกคลุมไปด้วยแสงสลัวสีทองราวกับเทพสงครามไร้พ่ายและป้องกันการจู่โจมตีไว้ได้อีกครั้ง หลิงฮันกัดฟันในใจ ฮูเฟิงผู้นี้ทรงพลังกว่าฮูอิงมู่มาก เพียงแค่รับการโจมตีสองครั้งปราณก่อเกิดในร่างของเขาก็แห้งเหือด


เขาหัวเราะและกล่าว “ดินแดนต้องห้ามแปดศิลาอะไรกัน ตัวตนระดับเซียนก็แค่งั้นๆ! เฟิงน้อยเอ๋ย พี่ชายหลิงไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า ไว้พบกันใหม่!”


กล่าวเขาหลิงฮันก็เข้าไปในหอคอยทมิฬทันที


เมื่อเข้าไปยังหอคอยทมิฬเขาก็ทิ้งร่างแผ่นอนลงที่พื้น


การ์โจมตีครั้งที่สองของฮูเฟิงทำให้เขาได้รับบากเจ็บบางส่วน กระดูกในร่างของเขาส่งเสียงราวกับจะแตกหัก


“หากศัตรูเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งกว่านี้อย่างเซียนระดับสูงข้าคงไม่สามารถต้านทานการโจมตีได้” หลิงฮันถอนหายใจ ดูเหมือนว่าความสามารถที่ใช้รับการโจมตีของเซียนจะถูกกำจัดเอาไว้แค่เซียนระดับกลาง


เมื่อตอนพลังบ่มเพาะระดับดาราเขาสามารถต้านทานการโจมตีของเซียนระดับต้นได้ และเมื่อบรรลุระดับวารีนิรันดร์ความสามารถของเขาถึงพัฒนาขึ้นมาให้ต้านทานการโจมตีของเซียนระดับกลาง


หากสิ่งที่เขาบ่นออกมานี้ถูกคนอื่นได้ยิน ผู้คนจะต้องโมโหจนแทบจะบ้าคลั่งแน่นอน นอกจากสัตว์ประหลาดเช่นเจ้าแล้วจะมีจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์คนใดสามารถรับการโจมตีของเซียนได้?

 

 

 


ตอนที่ 1539

 

ฮูเฟิงชะงักแข็งค้าง


แม้เขาจะเป็นเซียนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของดินแดนแห่งนี้เขาก็ยังแสดงสีหน้าโง่งมออกมาโดยไม่รู้ตัว


หมอนั่นหายไปไหนแล้ว?


เขารู้ว่าในโลกนี้มีสมบัติอย่างอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์อยู่ซึ่งเขาเองก็สามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง แต่การจะสร้างอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์สักชิ้นหนึ่งจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลและตัวเขาที่ยังเป็นเพียงเซียนระยะดับก็สามารถสร้างได้เพียงช่องมิติขนาดเล็ก


แน่นอนเขาย่อมรู้ดีว่าต่อให้เป็นอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม หากมองจากภายนอกแล้วมันไม่ต่างจากอุปกรณ์มิติทั่วไปที่เป็นวัตถุที่มองเห็นและจับต้องได้


เพียงแต่ว่าหลิงฮันนั้นหายตัวไปโดยที่ไม่มีสิ่งของใดๆหลงเหลือเอาไว้เลย


เคลื่อนย้ายในพริบตา?


เป็นไปไม่ได้!


ฮูเฟิงส่ายหัว ต่อให้หลิงฮันจะใช้ยันต์อาคมเคลื่อนย้ายมิติ เขาก็มั่นใจว่าหลิงฮันไม่มีทางที่หลบหนีออกไปจากขอบเขตการรับรู้ของเขาได้เด็ดขาด


ความเป็นไปได้อย่างเดียวคืออีกฝ่ายต้องเข้าไปหลบซ่อนตัวในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์ แต่แล้วไหนล่ะอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์?


ฮูเฟิงโคจรสัมผัสสวรรค์กวาดผ่านสำรวจอวกาศ


โชคดีที่อวกาศในขอบเขตนี้ว่างเปล่าไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆทำให้เข้าตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว


ไม่พบเจออะไรเลย…


เป็นไปได้อย่างไร?


ในขณะเดียวกัน แม้จะตกตะลึงแต่ฮูเฟิงก็ยังตื่นเต้นไปพร้อมๆกัน แม้แต่เซียนเช่นเขาก็ยังหาไม่พบนั้นหมายว่าอะไร? เจ้าหนูนั่นจะต้องครอบครองสมบัติของนิรันดร์อยู่เป็นแน่!


สมบัตินี้ไม่ควรเป็นของราชันวารีสวรรค์ ไม่เช่นนั้นแล้วในอดีตเขาจะหลบหนีการไล่ล่าไม่พ้นได้อย่างไร?


“หมอนั่นต้องพบเจอกับวาสนาอีกอย่าง บางทีเขาอาจจะได้รับสมบัติอันล้ำค่าอย่างแท้จริง… อุปกรณ์นิรันดร์!” ดวงตาของเขาส่องประกายพร้อมกับเสียงพูดที่สั่นเครือ


อุปกรณ์นิรันดร์!


มันคือสมบัติที่อยู่เหนือสมบัติทั้งปวง ต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียนสมบัติประเภทนี้ก็ล้ำค่าหาอะไรเปรียบ มีเพียงราชานิรันดร์เท่านั้นที่จะมีอุปกรณ์นิรันดร์ โดยที่บางทีราชานิรันดร์ส่วนใหญ่อาจจะไม่มีครอบครองเลยด้วยซ้ำ


ไม่ใช่ว่าราชานิรันดร์ทั่วไปจะได้ครอบครองอุปกรณ์นิรันดร์ สมบัติล้ำค่าเช่นนั้นอยู่ในมือของตัวตนระดับราชานิรันดร์เพียงหยิบมือ


“ฮ่าๆ นี่ต้องเป็นวาสนาที่พระเจ้าส่งมาให้ข้าไม่ผิดแน่!” ฮูเฟิงหัวเราะลั่น


หากเขาได้ทักษะระดับราชานิรันดร์และอุปกรณ์นิรันดร์มา เมื่อได้กลับไปยังดินแดนแห่งเซียนเมื่อไหร่ไม่เพียงแค่เขาจะได้กลายเป็นราชานิรันดร์ แต่ยังเป็นราชานิรันดร์ที่ทรงพลังอีกด้วย ทั่วทั้งดินแดนแห่งเซียนจะต้องสั่นสะเทือนเพราะเขา


ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งตื่นเต้น ใบหน้าของเขาค่อยๆเบ่งบานราวกับบุปผาก่อนกลับมาขึงขัง สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือต้องตามหาหลิงฮันได้ ไม่เช่นนั้นทุกอย่างที่เขาวาดฝันไว้ก็จะไม่เกิดขึ้น


เขาเริ่มตรวจสอบตามหาอีกครั้ง หากไม่พบหลิงฮันและไม่ได้ทักษะระดับราชานิรันดร์กับอุปกรณ์นิรันดร์มาครอบครองเขาจะไม่กลับดินแดนต้องห้ามแปดศิลาเด็ดขาด


และทันใดนั้นเองเขาก็ต้องตกตะลึง ในระยะทางที่ห่างไกลออกไปอย่างมากเขาพบเห็นประกายแสงบางอย่างกำลังลอยอยู่


เป็นอุปกรณ์บินแหวกเมฆา!


แววตาของฮูเฟิงส่องประกายและรีบไล่ตามไป


คลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองปรากฏออกมาและพุ่งทะยานไล่ตามอุปกรณ์บินแหวกเมฆาด้วยความเร็วที่สูงกว่า


‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ฮูเฟิงก้าวเท้าเพียงสามเก้าก็ไล่ตามทัน แต่ในขณะที่เขากำลังจะลงมือโจมตี จู่ๆอุปกรณ์บินแหวกเมฆาก็หายไปต่อหน้าต่อตาเขา


ฮูเฟิงหงุดหงิดเล็กน้อย อีกฝ่ายเป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่เขาสามารถบดขยี้ได้ด้วยมือข้างเดียวแท้ๆ เหตุใดการจับตัวอีกฝ่ายถึงได้ลำบากนัก?


แต่ตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงนั่งรออยู่เฉยๆ


ผ่านไปไม่นานอุปกรณ์บินแหวกเมฆาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งในระยะที่ห่างออกไปหลายรอยไมล์ ฮูเฟิงไล่ตามไป แต่แน่นอนว่าอุปกรณ์บินแหวกเมฆาได้หายไปอีกครั้ง


“ฮึ่ม!” ฮูเฟิงคำรามท่ามกลางอวกาศ เขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เซียนที่สามารถบดขยี้ได้แม้แต่ดวงดาวนับร้อยกับไม่สามารถจับกุมตัวจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นเอาไว้ได้


……


ภายในหอคอยทมิฬ


“จะคำรามเพื่ออะไร ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายหงุดหงิด” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ เนื่องจากถูกเซียนไล่ล่าเขาจึงทำได้เพียงเคลื่อนที่เชื่องช้าราวกับหอยทาก ไม่รู้ว่าต้องใครเวลาอีกกี่เดือนถึงจะไปดาวหยุนติ่งได้


“เอาเถอะ การถูกเซียนไล่ล่าก็ถือเป็นแรงพลักดันอย่างหนึ่งเช่นกัน” หลิงฮันคิดในแง่ดี


หลังจากพักผ่อนได้หนึ่งวัน หลิงฮันก็ฟื้นฟูปราณก่อเกิดเสร็จสิ้นและออกมาจากหอคอยทมิฬ เมื่อฮูเฟิงไล่ตามมาทัน เขาเลือกที่จะปะทะกับอีกฝ่ายสองกระบวนท่าและหลบเข้าไปในหอคอยทมิฬอีกครั้ง


“แฮ่ก! แฮ่ก!” หลิงฮันหายใจติดขัด “เซียนระดับต้นก็ยังเป็นเซียนอยู่ดี ความแตกต่างของพลังมีมากเกินไป ข้ามั่นใจว่าฮูเฟิงผู้นี้สามารถโค่นล้มเซียนหมิงซินได้ในร้อยกระบวนท่า”


“แต่ว่าการถูกเซียนทุบตีได้ทำให้พลังปราณของข้าหนาแน่นขึ้นและช่วยขัดเกลาพลังต่อสู้ของข้า”


หากเป็นคนอื่นอาจจะไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่หลิงฮันนั้นบ่มเพาะทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ ตัวเขาเป็นดั่งแร่โลหะนิรันดร์ที่ยิ่งถูกตีก็ยิ่งแข็งแกร่ง


เหตุการณ์เช่นนี้วนซ้ำไปมา หลิงฮันออกไปปะทะกับฮูเฟิงทุกวันเพื่อสั่งสมประสบการณ์


หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน หลิงฮันก็พัฒนาจนสามารถรับกระบวนท่าของฮูเฟิงได้สามกระบวนท่า!


ถึงแม้หลังจากรับสามกระบวนท่าเขาจะต้องรีบใช้หยดวารีอมตะก็ตามที แต่พลังต่อสู้ของหลิงฮันก็พัฒนาขึ้นจากเดือนก่อนมาก


สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ฮูเฟิงตกตะลึงเป็นอย่างมาก การพัฒนาที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนี้คืออะไร? หรือนี่เขากำลังสร้างสัตว์ประหลาดขึ้นมาด้วยตัวเขาเอง?


แต่จะให้เขาลามือก็ไม่ได้!


จะทักษะระดับราชานิรันดร์หรืออุปกรณ์นิรันดร์ ไม่ว่าอันไหนเขาก็ไม่สามารถยอมปล่อยให้หลุดมือ ต่อให้ต้องไล่ตามไปสุดขอบจักรวาลเขาก็ต้องจับหลิงฮันให้ได้


อีกสามเดือนต่อมา หลิงฮันสามารถรับสามกระบวนท่าของฮูเฟิงได้อย่างง่ายดายและสามารถควบแน่นดวงดาราดวงสุดท้ายสำหรับการบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นชั้นสูงสุดได้สำเร็จ


วันนี้เขาไม่ออกไปสู้กับฮูเฟิงแต่เก็บตัวบ่มเพาะพลังใต้ต้นสังสารวัฏเพื่อทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ขี้นกลาง


หลิงฮันตัดขาดความสนใจจากโลกภายนอก แต่ทางด้านฮูเฟิงนั้นเขายังคงตั้งสมาธิจดจ่ออยู่ทั้งวันทั้งคืน


แต่ปัญหาที่ทำให้เขาเริ่มวิตกกังวลคือหลิงฮันไม่ได้ปรากฏตัวมาเป็นเวลาเดือนหนึ่งแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 1540

 

ฮูเฟิงไม่กล้าประมาทเนื่องจากหลิงฮันอาจจะปรากฏตัวได้ทุกเวลา แต่ในขณะเดียวกันการที่หลิงฮันไม่ปรากฏตัวก็ทำให้เขาเป็นกังวลมากเช่นกัน


หรือว่า… อีกฝ่ายจะใช้วิธีอะไรสักอย่างหลบหนีไปแล้ว?


แต่ถือว่าโชคยังเข้าข้างเขาอยู่ หลิงฮันเป็นผู้ที่ลงมือสังหารฮูอิงมู่ เมื่อคนของตระกูลฮูตกตายจะทิ้งบ่วงอาฆาตเอาไว้กับผู้ที่สังหาร ต่อให้ผู้สังหารหลบหนีไปยังเขตดวงดาวที่ห่างไกลนับร้อยเขาก็ยังสามารถมองเห็นบ่วงอาฆาตที่ว่าได้อย่างชัดเจน แต่ในกรณีของหลิงฮัน เมื่อใดที่เขาหายตัวไปบ่วงอาฆาตที่ตัวตัวอีกฝ่ายอยู่ก็จะหายไปด้วย


“การที่บ่วงอาฆาตหายไปย่อมหมายถึงเจ้าหนูนั่นยังอยู่ในอุปกรณ์นิรันดร์” เขากล่าวกลับตัวเองและพยายามไม่วิตกกังวล


ถึงแม้เขาจะเป็นเซียน แต่ระยะเวลาที่เขาบรรลุระดับพลังนี้ก็ยังสั้นนัก ความสงบนิ่งของเขาไม่อาจเทียบกับเหล่าเซียนเฒ่าได้ หากเปลี่ยนฮูเฟิงเป็นฮูลั่วล่ะก็ ฮูลั่วย่อมไม่มีความกังวลใดๆแน่นอนเนื่องจากอีกฝ่ายเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในดินแดนแห่งนี้ ซึ่งหลิงฮันไม่มีทางหลบหนีไปไหนพ้นแน่นอน


แต่ในขณะที่เขากำลังเคร่งเครียดอยู่นั่นเอง ‘พรึบ’ ในที่สุดหลิงฮันก็ปรากฏตัว


“ฮ่าๆๆ!” ฮูเฟิงหัวเราะลั่น อารมณ์ตึงเครียดของเขาหายไปในพริบตาและพุ่งทะยานเข้าใส่หลิงฮัน


“เจ้าแน่ใจว่าจะโจมตีข้า?” หลิงฮันยิ้มเจ้าเล่ห์


ตูม!


เขาถูกฮูเฟิงโจมตีใส่จนร่างลอยกระเด็นไปหลายร้อยไมล์ ทันใดนั้นบริเวณด้านบนเหนือหัวพวกเขาก็มีเมฆสีดำค่อยลอยมารวมตัวกัน


ฮูเฟิงหยุดชะงักแน่นิ่ง


 


ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์!


ที่แท้ที่เจ้าหนูนี่หายตัวไปเป็นเดือนก็เพราะเก็บตัวทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลาง!


ฮูเฟิงตกตะลึง เพียงแค่เดือนเดียวก็สามารถทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางได้สำเร็จ? นี่เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่า


ไม่… จะปล่อยให้หมอนี่เติบโตต่อไปอีกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นยิ่งพลังบ่มเพาะของหมอนี่สูงขึ้นพลังต่อสู้ก็จะยิ่งน่าสะพรึงกลัวขึ้นด้วย บางทีสักวันหนึ่งหลิงฮันอาจจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อเขาก็เป็นได้


ใช้ทุกอย่างจัดการให้สิ้น!


ดวงตาของฮูเฟิงส่องประกายเย็นชาและตัดสินใจสังหารหลิงฮันในขณะที่กำลังรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์


ถึงแม้การทำเช่นนี้จะทำให้เขาโดนลูกหลงจากทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ไปด้วย แต่เขามีหยดโลหิตราชาเซียนอยู่กับตัว เขาสามารถยกระดับพลังต่อสู้ของตนเองเป็นเซียนระดับสูงได้ในระยะเวลาหนึ่งซึ่งเพียงพอให้เอาตัวรอดจากทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์


ลงมือ!


หากพลาดโอกาสนี้ไป การสังหารหลิงฮันก็จะทำได้ยากลำบากยิ่งขึ้น


“ตาย!” เขาดันทุรังบุกผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เข้าไปจู่โจมหลิงฮัน


เขาตั้งใจสังหารหลิงฮันให้สิ้นซาก สำหรับทักษะและสมบัติเขาค่อยดูจากความทรงจำโดยไม่จำเป็นต้องให้หลิงฮันมีชีวิตอยู่ก็ได้


หลิงฮันยิ้มและพึมพำ “เจ้ารนหาที่เอง!” เขาโคจรทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เพื่อต้านทานการโจมตีของฮูเฟิง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือเหนือหัวของฮูเฟิงมีเมฆทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ปรากฏขึ้นตามมาเช่นกัน


ครืน!


สายฟ้าสวรรค์ผ่าลงมาอย่างเหี้ยมโหด


หลิงฮันไม่หวั่นเกรง กายหยาบของเขาใกล้จะแข็งแกร่งเทียบเท่าแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบห้าแล้วแถมยังสลักรูปแบบอาคมระดับสิบห้าเอาไว้อีก มีความจำเป็นอันใดที่เขาต้องหวาดกลัวทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์? เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะสลายพลังป้องกันของกายหยาบเพื่อใช้ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ขัดเกลาเนื่องจากกำลังถูกเซียนเพ่งเล็ง


ฮูเฟิงติดร่างแหรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ไปด้วย ‘ครืนน’ สายฟ้าสวรรค์ผ่าลงมา ขนาดของสายฟ้าสวรรค์นี้หนาแน่นและรุนแรงกว่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่เขาเคยพบเจอหลายเท่า


แน่นอนว่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่ฮูเฟิงต้องรับเป็นทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ระดับเซียน แต่เพราะทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่หลิงฮันได้รับนั้นรุนแรงกว่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ทั่วไปทำให้ฮูเฟิงเองก็ต้องรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ที่รุนแรงกว่าปกติไปด้วยเช่นกัน


ใบหน้าของฮูเฟิงเปลี่ยนสีทันที เขาเคยผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เซียนมาก่อนก็จริงแต่ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เซียนตรงหน้านี้รุนแรงกว่าที่เขาเคยพบเจอหลายเท่านัก!


เป็นเพราะเจ้าหนูนั่น!


ฮูเฟิงตกตะลึง ตามหลักแล้วทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์จะมีพลังอำนาจอ้างอิงตามศักยะภาพของจอมยุทธที่ต้องรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ ยิ่งสวรรค์และปฐพีคิดว่าจอมยุทธผู้นั้นเป็นภัยคุกคามมากเพียงใดย่อมถือเป็นข้อพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของจอมยุทธผู้นั้น


เขาอยากจะลงมือสังหารหลิงฮันจนอดใจไม่อยู่ แต่สายฟ้าที่น่าสะพรึงกลัวก็กระหน่ำผ่าลงมาราวกับพายุ หากใช้กำลังทั้งหมดที่มีเขายังมีความมั่นใจอยู่บ้างว่าจะสามารถผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์นี้ไปได้โดยไม่ต้องใช้หยดโลหิตราชาเซียน


เพราะงั้นแล้วสุดท้ายฮูเฟิงจึงล้มเลิกความคิดที่จะสังหารหลิงฮันและตั้งสมาธิทั้งหมดไปกับการรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์


หลิงฮันที่เห็นเช่นนั้นก็สลายพลังป้องกันอย่างรวดเร็ว


อะไรกัน!


ฮูเฟิงมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้ถูกทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์บดขยี้จนไม่สามารถป้องกันได้แต่เป็นฝ่ายสลายการป้องกันเอง


หลิงฮันกำลังจะใช้ประโยชน์จากสายฟ้าสวรรค์มาขัดเกลากายหยาบของตนเอง!


สัตว์ประหลาด!


ฮูเฟิงไม่อาจสงบนิ่งได้อีกต่อไป เขาไม่เคยเห็นใครที่รับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์อย่างสบายใจขนาดนี้มาก่อน จอมยุทธทุกคนไม่ว่าหากจะรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ก็ต้องเตรียมตัวนานเป็นปีและใช้พลังทั้งหมดเพื่อรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ แต่ถึงจะเตรียมตัวเป็นอย่างดีแล้วจอมยุทธส่วนมากก็ยังตกตายและไม่อาจผ่านทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ไปได้


จิตใจของฮูเฟิงสั่นสะท้าน หากเขาปล่อยให้หลิงฮันหนีไปได้ในคราวนี้ ดินแดนต้องห้ามแปดศิลาจะต้องพบเจอกับภัยพิบัติครั้งใหญ่แน่ วันใดที่หลิงฮันกลายเป็นเซียนได้สำเร็จ เซียนทุกคนใต้ท้องฟ้าจะต้องพบเจอกับฝันร้าย


พวกเขาจะสังหารหลิงฮันได้อย่างไร?


ฮูเฟิงกัดฟันยอมใช้หยดโลหิตราชาเซียนเพื่อสังหารหลิงฮันอย่างเด็ดขาด


“อย่ามาขัดขวางข้า!” ฮูเฟิงปล่อยหมัดขึ้นท้องฟ้า อำนาจของราชาเซียนโอบล้อมไปทั่ว พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ทะยานสูงขึ้นเป็นเซียนระดับสูง ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ในตอนนี้ไม่ใช่ภัยคุกคามใดๆต่อเขาอีกต่อไป


ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ราวกับถูกกระตุ้น คลื่นสายฟ้าที่ถูกผ่าลงมาครั้งต่อไปรูปร่างของสายฟ้าได้เปลี่ยนเป็นรูปร่างของมนุษย์พุ่งเข้าใส่เขา


ฮูเฟิงคำรามและโจมตี สายฟ้าสวรรค์รูปร่างมนุษย์ถูกทำลายจนสลายหายไป แต่ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต พริบต่อมามันได้ก่อตัวรวมกันใหม่และเปลี่ยนรูปร่างเป็นมนุษย์พุ่งจู่โจมฮูเฟิงอีกครั้ง


ไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์นั้นไม่สามารถถูกทำลายได้ หากต้องการให้ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์หายไปมีเพียงต้องรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ให้ได้ถึงเวลาที่กำหนดเท่านั้น


ฮูเฟิงพัวพันอยู่กับสายฟ้าสวรรค์รูปร่างมนุษย์ ถึงแม้พลังของเขาในตอนนี้จะแข็งแกร่งกว่า แต่ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์รูปร่างมนุษย์นั้นไม่มีวันตายเขาจึงไม่อาจสลัดพ้น


หลิงฮันไม่จำเป็นต้องใช้เวลาถึงครึ่งวันเพื่อขัดเกลากายหยาบ เวลาผ่านไปเพียงเกือบสองชั่วโมงเขาก็ขัดเกลากายหยาบเสร็จสิ้นและโคจรหยดวารีนิรันดร์ฟื้นฟูกระดูกที่แตกหักในพริบตา


เขายืนอย่างองอาจท่ามกลางอวกาศและแหงนมองตรวจสอบทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เพื่อยกระดับความเข้าใจในอำนาจสวรรค์


ความสงบนิ่งของหลิงฮันเมื่อนำไปเทียบกับฮูเฟิงที่ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่ลำบากแล้ว ทำให้ฮูเฟิงโมโหจนแทบจะบ้าคลั่ง

 

 

 


ตอนที่ 1541

 

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฮูเฟิงจะบ้าคลั่ง


เขายอมสูญเสียแม้กระหยดโลหิตราชาเซียน แต่กระนั้นไม่เพียงแค่เขาจะยังหาโอกาสสังหารหลิงฮันไม่ได้ แต่อีกฝ่ายยังมีท่าทีสงบนิ่งอีกด้วย!


เขาในตอนนี้มีพลังโจมตีที่ทรงพลังก็จริง แต่พลังป้องกันนั้นไม่ได้แข็งแกร่งตามไปด้วย


ความรวดเร็วและพลังทำลายของทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ทำให้เขาไม่สามารถหลบหลีกหรือรับซึ่งๆหน้าได้ แต่ต้องโจมตีตอบโต้


ครึ่งวันต่อมา เมื่อรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เสร็จสิ้นหลิงฮันก็นำอุปกรณ์บินแหวกเมฆาออกมาและเผ่นหนีจากไปโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ


ทางด้านของฮูเฟิงนั้นเขายังรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ไม่เสร็จแถมอำนาจของหยดโลหิตราชาเซียนก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว ตอนนี้เขาทำได้เพียงพึ่งพาพลังของตนเอง


และเมื่อทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์สลายไป ฮูเฟิงรีบนั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นฟูบาดแผลทันที หากปล่อยไม่นาน แม้บาดแผลเพียงเล็กน้อยก็อาจจะก่อให้เกิดเป็นบาดแผลที่สาหัสได้ในภายหลัง


ต้องสังหารหลิงฮันให้ได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตนี้เขาก็ไม่มีวันใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุข


……


หลิงฮันชำเลืองมองด้านหลังก่อนจะหันหน้ากลับมาอย่างไม่แยแส


Anchor


ราชันวารีสวรรค์กับดินแดนต้องห้ามแปดศิลามีความบาดหมางต่อกัน ต่อให้ราชันวารีสวรรค์ไม่ได้ขอให้เขาบดขยี้ดินแดนต้องห้ามแปดศิลาก็ตาม แต่การที่ถูกฮูเฟิงไล่ล่าไม่หยุดทำให้หลิงฮันไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก


ดินแดนต้องห้ามอื่นๆเอาไว้ว่ากันทีหลัง แต่ดินแดนต้องห้ามแปดศิลาจะต้องถูกลบล้างให้หายไป


เขาขับเคลื่อนอุปกรณ์บินแหวกเมฆามุ่งหน้าไปยังดาวหยุนติ่ง


ทำไมต้องเป็นดาวหยุนติ่ง? ที่นั่นมีคนที่สามารถต่อกรกับเซียนได้?


แน่นอนว่าไม่


หลิงฮันตั้งใจจะไปสนามรบสองดินแดน


ใช่แล้ว เขาจำข้ามผ่านสนามรบสองดินแดนไปยังดินแดนใต้พิภพ


นี่คือข้อสรุปที่เขาได้พูดคุยกับเซียนซิงฉา หากเขายังอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลิงฮันก็ไม่มีทางหลบหนีการไล่ล่าของดินแดนต้องห้ามแปดศิลาพ้น


เพราะงั้นแล้วหลิงฮันจึงจำเป็นต้องไปดินแดนใต้พิภพ ในดินแดนใต้พิภพนั้นมีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่แตกต่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เซียนไปที่นั่น พลังต่อสู้ที่ใช้ได้ก็จะเหลือเพียงอำนาจของพลังบ่มเพาะระดับเซียน ไม่สามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ใดๆได้


หรือก็คือตราบใดที่ไปอยู่ในดินแดนใต้พิภพ ดินแดนต้องห้ามแปดศิลาจะไม่สามารถรับรู้ตำแหน่งของเขา


นอกจากนั้นหลิงฮันก็มีแก่นพลังของจ้าวอสูรที่ทำให้เขาสามารถปรับตัวเข้ากับดินแดนใต้พิภพได้อย่างกลมกลืน เขาไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจอมยุทธของดินแดนใต้พิภพไล่ล่ามองเป็นศัตรู แถมหากต้องการเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนหลิงฮันก็จำเป็นต้องผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ด้วย


เขาจึงตัดสินใจใช้โอกาสนี้เดินทางหาประสบการณ์ในดินแดนใต้พิภพเสียเลย


“เมื่อข้ากลับมา ข้าจะกวาดล้างพวกเจ้าให้สิ้นซาก!” หลิงฮันเค้นเสียง เมื่อกำหนดเส้นทางอุปกรณ์บินแหวกเมฆาเรียบร้อยแล้วเขาก็เข้าไปยังหอคอยทมิฬเพื่อไม่ให้ฮูเฟิงตรวจสอบตำแหน่งในปัจจุบันของเขาได้


เขาลงมือสลักรูปแบบอาคมใหม่ลงบนกระดูก


ก่อนที่เขาจะออกจากดาวมู่ถูเขาเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว แน่นอนว่าเขาได้เลือกรูปแบบอาคมระดับสิบหกติดตัวมาด้วย


รูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศ


รูปแบบอาคมระดับสิบหกอันดับหนึ่ง!


น่าเสียดายที่เขาไม่มีรูปแบบอาคมระดับเซียนอยู่ในมือ แต่ต่อให้มีเขาก็ยังไม่สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ แม้สลักรูปแบบอาคมสำเร็จก็ไม่มีทางกระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมได้เนื่องจากไม่มีความเข้าในใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเซียน


เพราะงั้นเรื่องนี้เอาไว้ทีหลัง


หลิงฮันใช้เวลาเกือบทีศึกษารูปแบบอาคมใต้ต้นสังสารวัฏและลงมือสลักรูปแบบอาคม


ผ่านไปอีกเพียงยี่สิบวันหลิงฮันก็สามารถสลักรูปแบบอาคมสิบเอ็ดรูปแบบเอาไว้ในร่างกายได้สำเร็จ


ไม่ใช่สิบ แต่เป็นสิบเอ็ด!


Anchor


เพลิงเก้าสวรรค์ที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆทำให้เขาสามารถสลักเส้นอักขระของรูปแบบอาคมได้ประณีตยิ่งขึ้น พื้นที่บนกระดูกของหลิงฮันจึงเหลือเพียงที่ให้สลักรูปแบบอาคมได้มากกว่าเดิม


หากตอนนี้เปลี่ยนเป็นสลักรูปแบบอาคมอีกาโลหิต เขาคงสามารถสลักได้เกินกว่ายี่สิบรูปแบบ


ด้วยเวลาที่ผ่านไปนานพอสมควร อุปกรณ์บินแหวกเมฆาจึงมาถึงดาวหยุนติ่งในที่สุด หลิงฮัน จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะออกมาจากหอคอยทมิฬ ทั้งสามมุ่งหน้าไปยังสนามรบสองดินแดน


สองปีที่ผ่านมานี้ภรรยาของเขาทั้งสองพัฒนาขึ้นมากนัก


ยิ่งจักรพรรดินีนั้นไม่ต้องกล่าวอะไรมาก แก่นกำเนิดนิรันดร์ของนางในตอนนี้ทรงพลังยิ่งกว่ากู่ต้าวอี้เสียอีก ในระยะเวลาสองปีมันช่วยให้พลังบ่มเพาะของนางบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางชั้นปลาย ซึ่งนำหน้าหลิงฮันไปมากแล้ว


สตรีนกอมตะก็ไม่น้อยหน้า แม้ความสำเร็จของนางจะไม่เทียบเท่าจักรพรรดินีที่มีแก่นกำเนิดนิรันดร์ แต่วาสนาที่ได้รับจากนกอมตะราชาเซียนทั้งสามได้ทำให้สายเลือดของนางยกระดับขึ้นหลายเท่าตัว ตอนนี้นางบรรลุระดับดาราขั้นกลางชั้นสูงสุดเป็นที่เรียบร้อย


“พวกเราต้องรีบกันหน่อย อีกไม่กี่วันเซียนบัดซบนั่นอาจจะตามตัวพวกเราพบ” หลิงฮันกล่าว


สตรีทั้งสองพยักหน้า


ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางอวกาศที่ห่างออกไป ฮูเฟิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ได้ลืมตาขึ้นและจ้องมองตามหาบ่วงอาฆาต หลังจากชำระล้างกายหยาบด้วยทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์แล้ว บ่วงอาฆาตที่ติดอยู่บนตัวหลิงฮันเบาบางลง เกรงกว่าหากหลิงฮันรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์อีกครั้ง บ่วงอาฆาตคงจะหายไปอย่างสมบูรณ์


คิดว่าจะหนีพ้นงั้นรึ!


ฮูเฟิงก้าวเท้า แสงแห่งเต๋าสีทองเคลื่อนที่พุ่งผ่านชั้นอวกาศอย่างรวดเร็ว


ราวสี่วันน่าจะไล่ตามทัน… ฮูเฟิงคาดการณ์


พวกหลิงฮันทั้งสามคนกำลังมุ่งหน้าไปสนามรบสองดินแดนอย่างไม่รีรอ หลังจากบรรลถระดับวารีนิรันดร์ความเร็วของพวกเขาย่อมว่องไวกว่าเดิม เพียงแค่หนึ่งวันพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย


“เจ้าไปทักทายธิดาซื่อเยว่” หลิงฮันกล่าว อีกฝ่ายเป็นคนที่เคยดูแลสตรีนกอมตะสวรรค์


เพียงแต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ธิดาซื่อเยว่เข้ามาพัวพันด้วยหลิงฮันจึงไม่ได้ติดตามไปด้วยแต่ให้สตรีนกอมตะและจักรพรรดินีไปกันสองคน แน่นอนว่าเขาได้มอบเม็ดยาศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบห้าที่อีกฝ่ายขอให้เขาหลอมให้ไปด้วยเช่นกัน


สตรีทั้งสองไม่กล้าชักช้าเสียเวลา พวกนางกลับมาโดยใช้เวลาสองชั่วโมงเท่านั้น


“ธิดาซื่อเยว่ฝากกล่าวขอบคุณเจ้า” สตรีนกอมตะกล่าวกับหลิงฮัน นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นอย่างมากที่หลิงฮันเอาใจใส่ไม่หลงลืมบุญคุณกับบุคคุลที่เกี่ยวข้องกับนาง

 

 

 


ตอนที่ 1542

 

หลิงฮันไม่ชักช้า พวกเขาทั้งสามเข้าสู่สนามรบสองดินแดนและมุ่งหน้าไปยังทางเข้าดินแดนใต้พิภพ


ไม่ใช่แค่หลิงฮันคนเดียว แต่จักรพรรดินีกับสตรีนกอมตะเองก็มีเป้าหมายคือเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียน สายตาของพวกเขาย่อมมองไปสูงกว่าที่จะหยุดอยู่ที่เซียน เพราะงั้นสตรีทั้งสองเองก็ต้องการเข้าสู่ดินแดนใต้พิภพเพื่อทำความเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพีแตกต่างเช่นกัน


พวกเขาจะเป็นกลุ่มแรกในขณะที่พวกจักรพรรดิพิรุณ ติงผิงและคนอื่นๆจะตามเข้ามาดินแดนใต้พิภพในภายหลัง แต่แน่นอนว่าหากหลิงฮันบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วพอ เขาจะนำทุกคนเข้าหอคอยทมิฬและพาทุกคนเข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนโดยตรง


ทั้งสามคนค่อยๆเดินเข้าสู่ส่วนลึกของสนามรบสองดินแดน หลังจากมาถึงบริเวณหนึ่งแล้วจำนวนจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ลดน้อยลง ในทางกลับกัน จำนวนของจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพกลับมีมากขึ้น นี่หมายถึงเข้าได้เข้าสู่อาณาเขตของดินแดนใต้พิภพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


“หืม คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์!” จอมยุทธของดินแดนใต้พิภพปรากฏตัวและรีบก้าวเดินเข้ามาใกล้


เขาคือปรมาจารย์ระดับดาราที่เพิ่งจะทะลวงผ่านระดับมาได้ไม่นานเนื่องจากออร่ายังไม่มั่นคง เขาเป็นคนที่ค่อนข้างเยาว์วัยและมีใบหน้าหยิ่งยโสอวดดีเนื่องจากสามารถบรรลุระดับดาราได้ตั้งแต่อายุยังน้อย


สายตาของเขามองมายังจักรพรรดินีก่อนจะแสดงสีหน้าชะงัก


สตรีงดงาม!


เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เขาจึงลงมืออย่างไม่ลังเล รุ่นเยาว์ผู้นั้นคว้ามือมายังจักรพรรดิทันที พวกหลิงฮันทั้งสามคนปกปิดพลังบ่มเพาะเอาไว้ทำให้ไม่สามารถคาดเดาพลังบ่มเพาะได้ แต่การที่มายังสนามรบสองดินแดนแห่งนี้ใครบ้างจะไม่ใช่ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่ง?


ที่รุ่นเยาว์ของดินแดนใต้พิภพผู้นี้มาที่นี่ก็เพราะเขาเพิ่งทะลวงผ่านระดับดาราสำเร็จและอยากจะโอ้อวด


จักรพรรดิเผยจิตสังหาร ในโลกนี้มีบุรุษเพียงผู้เดียวที่สามารถแตะต้องนางได้ซึ่งไม่ใช่ชายตรงหน้าอย่างแน่นอน!


หลิงฮันเป็นคนลงมือตัดหน้านาง เขาปล่อยหมัดทั้งสองออกไปอย่างไม่แยแส


‘ตุบ ตุบ ตุบ’ เพียงทุบตีไม่กี่หมัดอีกฝ่ายก็สลบเหมือดนอนแน่นิ่ง


“ไปกันต่อ ไม่ต้องไปใส่ใจคนแบบนี้” หลิงฮันยิ้ม


“อืม!” จักรพรรดิเชื่อฟังหลิงฮัน


หลิงฮันโคจรแก่นพลังจ้าวอสูร ออร่ารอบตัวของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเหมือนกับของจอมยุทธจากดินแดนใต้พิภพทันที


จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะไม่มีความสามารถเช่นนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาไม่จำเป็นทั้งสองจึงเข้าไปอยู่ในหอคอยทมิฬและเปลี่ยนตัวกับจักรพรรดิจอมอสูร


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ของข้า เพื่อท่านแล้วจักรพรรดิน้อยผู้นี้ยอมตายแทนได้!” จักรพรรดิจอมอสูรตะโกนลั่นทันทีที่ได้ออกมาก่อนจะชะงัก “นะ นี่มันดินแดนใต้พิภพ!”


เขากลับมาสู่บ้านเก่าแล้ว?


“นายท่านผู้ยิ่งใหญ่ ท่านกำลังจะไปยึดครองดินแดนใต้พิภพ?” จักรพรรดิจอมอสูรตื่นเต้น เขาอดใจรอที่จะข่มขู่รังแกผู้อื่นโดยพึ่งพาบารมีของนายท่านที่แข็งแกร่งของเขาไม่ไหวแล้ว


“ผิดแล้ว พวกเรากำลังหลบหนีเพราะถูกตามล่า” หลิงฮันตัดฝันของจักรพรรดิจอมอสูร


“ใครกำลังไล่ล่าพวกเราอยู่ขอรับ?” จักรพรรดิจอมอสูรรีบเอ่ยถามด้วยความสงสัย


“เซียน” หลิงฮันจงใจกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


พรวด!


จักรพรรดิจอมอสูรสำลักออกมา ซะ เซียนงั้นรึ?


“ไปกันได้แล้ว!” หลิงฮันนำอุปกรณ์บินแหวกเมฆาออกมาและออกเดินทางอย่างไร้จุดหมาย ถึงแม้ในดินแดนแห่งนี้เซียนจะไม่ทรงพลังเท่าเดิม แต่สัมผัสสวรรค์ของเซียนก็ยังสามารถปกคลุมได้ทั้งดวงดาวทั้งดวง หากยังอยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะถูกฮูเฟิงพบ


นอกจากนั้นเขาก็ไม่ได้มาดินแดนใต้พิภพเพื่อซ่อนตัวอย่างเดียวแต่ต้องการฝึกฝนด้วย ระดับวรยุทธของดาวดวงนี้ต่ำเกินไป แม้แต่จ้าวอสูรก็ยังไม่มี เพราะงั้นเขาจึงต้องมุ่งหน้าไปยังสถานที่หลากหลาย


เขาขับเคลื่อนอุปกรณ์บินแหวกเมฆาโดยไม่มีจุดหมายที่แน่นอน อันที่จริงดินแดนใต้พิภพกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้แตกต่างกันเลย สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันมีเพียงอำนาจกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพีที่ส่งผลให้วิถีวรยุทธของทั้งสองดินแดนเปรียบเสมือนคู่ขนาน


หลังจากมาถึงที่นี่พวกหลิงฮันทั้งสามคนไม่สามารถเรียกใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่พวกเขาเคยฝึกฝนมาก่อนได้เลย พลังต่อสู้ของพวกเขาหลงเหลือเพียงอำนาจจากพลังบ่มเพาะ


โชคดีที่หอคอยทมิฬเป็นสมบัติที่ล้ำค่า ขอแค่หลิงฮันต้องการเขาก็สามารถนำอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพเข้าไปยังหอคอยทมิฬได้ ซึ่งทำให้โลกภายในหอคอยทมิฬมีอำนาจกฎเกณฑ์เหมือนดินแดนใต้พิภพ


พวกหลิงฮันนั่งลงใต้ต้นสังสารวัฏและพยายามปรับตัวให้เข้ากับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพให้เร็วที่สุด หากไร้ซึ่งอำนาจแห่งกฎเกณฑ์พวกเขาย่อมไม่สามารถแสดงพลังต่อสู้ที่แท้จริงออกไปได้


ภายใต้ต้นสังสารวัฏ การปรับตัวของพวกเขาเป็นไปอย่างรวดเร็วโดยที่พลังบ่มเพาะยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง


……


ฮูเฟิงมาถึงสนามรบสองดินแดนช้าไปเพียงเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วและเข้าใจความคิดของหลิงฮันในทันที


อีกฝ่ายคิดจะหลบหนีไปยังดินแดนใต้พิภพเพื่อที่จะไม่ให้เขาตามตัวพบได้เนื่องจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน


ฮูเฟิงแสยะยิ้ม นับว่าเป็นแผนการที่ไม่เลว แต่ถึงอย่างนั้นที่ตัวหลิงฮันก็ยังมีบ่วงอาฆาตของตระกูลฮูติดตามอยู่และมันจะไม่สลายไปเพียงเพราะเข้าไปยังดินแดนใต้พิภพ! หากหลิงฮันเป็นเซียนย่อมสามารถมองเห็นและลบล้างบ่วงอาฆาตทิ้งได้อย่างง่ายดาย แต่น่าเสียดายที่หลิงฮันยังห่างจากระดับนั้นอีกไกล


เขาครุ่นคิดในขณะที่เข้าสู่สนามรบสองดินแดนและเดินตามบ่วงอาฆาตที่ติดตัวหลิงฮันอยู่


ผ่านไปไม่นานฮูเฟิงก็พบเห็นจอมยุทธผู้หนึ่งนอนหมดสติอยู่จึงยื่นมือออกไปปลุกอีกฝ่ายให้ฟื้น


แน่นอนว่าคนที่หมดสติไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นชายผู้โชคร้านที่ถูกหลิงฮันซัดจนสลบ เขายังคงคิดว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ก่อนจะหมดสติ เมื่อถูกปลุกให้ตื่นเขาจึงคำรามออกมา “บังอาจลอบโจมตีนายท่านเจี่ยผู้นี้  จงรับการบวนท่าของข้า!”


เขารู้ว่าหลิงฮันแข็งแกร่งกว่าตนเองแต่ก็ไร้ความหวาดกลัว ที่นี่คืออาณาเขตของดินแดนใต้พิภพ มีรึที่เขาจะเสียเปรียบ?


เป็นจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่กลับกล้ามาอวดเบ่งที่นี่?


เขาพุ่งทะยานจู่โจมเข้าใส่ฮูเฟิง


หืม? ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายมีกันอยู่สามคนหรอกรึ? ช่างมัน ไม่ว่าอย่างไรจอมยุทธตรงหน้าก็เป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องกำจัดอยู่ดี!


ฮูเฟิงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงชะงักแน่นิ่ง ไม่ใช่หลิงฮันที่เป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์แค่คนเดียวที่กล้าต่อต้านเขา แต่ตอนนี้แม้แต่จอมยุทธระดับดาราตั้วจ้อยก็ยังกล้าเป็นฝ่ายโจมตีเขาก่อน? นี่เขาดูไม่เหมือนกับเซียนขนาดนั้นเลยรึไง? ต่อให้เขาจะแสดงใบหน้าเป็นมิตรอยู่ตลอดเวลาและเป็นคนง่ายๆก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีศักดิ์ศรีของเซียน


หรือเขาจะเก็บตัวอยู่ในดินแดนต้องห้ามนานเกินไปจนโลกนี้เปลี่ยนไปแล้ว?

 

 

 


ตอนที่ 1543

 

เพี๊ยะ!


ฮูเฟิงสะบัดฝ่ามือใส่ใบหน้าของรุ่นเยาว์ผู้โชคร้ายจนอีกฝ่ายลอยกระเด็นหลายตลบและกระแทกใส่พื้น


“เจ้าน่าจะเคยเห็นคนผู้นี้” ฮูเฟิงยกมือขึ้นและใช้ปราณก่อเกิดวาดเป็นรูปลักษณ์ของหลิงฮัน


แม้เขาจะคิดว่าหลิงฮันสมควรตั้งใจหลบหนีไปไปยังดินแดนใต้พิภพ แต่ก็มีโอกาสที่อีกฝ่ายจะจงใจหลอกล่อเขาให้ไขว้เขว เขาจึงต้องยืนยันให้ได้เสียก่อนที่จะเข้าไปยังดินแดนใต้พิภพเนื่องจากหากเข้าไปยังดินแดนใต้พิภพแล้วอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป


หากไร้ซึ่งอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เซียนก็ไม่ต่างกันระดับวารีนิรันดร์ พลังต่อสู้จะมาจากพลังบ่มเพาะและจำนวนของดวงดารา ซึ่งตามหลักแล้วไม่จำเป็นว่าเซียนต้องมีจำนวนของดวงดาราในวิถีดาราจักรมากกว่าระดับวารีนิรันดร์เสมอไป


ฮูเฟิงจำเป็นต้องระวังตัวให้ดี เมื่อเข้าสู่ดินแดนใต้พิภพแล้วเขาจะไม่ใช่เซียนอีกต่อไปแต่เป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ระดับสูงสุด


รุ่นเยาว์ผู้โชคร้ายโอดครวญกับความโชคร้ายของตัวเอง เกิดอะไรขึ้นกันเขากัน? เขาเป็นถึงปรมาจารย์ระดับดาราแท้ๆเหตุใดถึงถูกทุบตีอย่างง่ายดายมาสองครั้งแล้ว? แต่เมื่อเห็นแววตาอันเย็นชาของฮูเฟิงเขาก็รีบกล่าวออกไปทันทีว่าพบเห็นพวกหลิงฮัน


ฮูเฟิงหันหลังและเดินหน้าต่อ ส่วนรุ่นเยาว์ผู้โชคร้ายนั้นยังไม่ทันแม้แต่จะได้สูดหายใจโล่งอกจู่ๆร่างของเขาก็ระเบิดออกกลายเป็นเศษเนื้อนับไม่ถ้วน


“จากบ่วงอาฆาตที่เห็น คงไปดินแดนใต้พิภพไม่ผิดแน่”


เขาเข้าสู่อาณาเขตของดินแดนใต้พิภพ และไม่นานหลังจากนั้นเองเขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของจอมยุทธของดินแดนพิภพ


คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์กล้าเหยียบย่ำเข้ามาที่นี่โดยไม่หวั่นเกรง?


ฮูเฟิงยิ้มอย่างเป็นมิตร “ข้าแค่ต้องการตามหาคนผู้หนึ่ง อย่าได้ขวางทางข้าไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รังเกียจที่จะสังหารพวกเจ้า” ในสายตาของเขาไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือดินแดนใต้พิภพก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ เขาสามารถลงมือสังหารได้อย่างไม่แยแส


“จอมยุทธดินแดนศักดิ์สิทธิ์จอมอวดดี มาอยู่ในอาณาเขตของพวกข้าแล้วยังกล้าปากดี!” จอมยุทธของดินแดนใต้พิภพเหล่านั้นลงมือจู่โจมฮูเฟิง


สีหน้าของฮูเฟิงเปลี่ยนเป็นเย็นชาและสะบัดมือ ‘โผล๊ะ โผล๊ะ โผล๊ะ’ พริบตาเดียวร่างของคนเหล่านั้นก็กลายเป็นกองโลหิต


เขาไม่สามารถระบุตำแหน่งของหลิงฮันได้อีกต่อไป บ่วงอาฆาตที่ติดตัวหลิงฮันอยู่ผ่านไปสักพักก็ค่อยๆเลือนลางและเริ่มสลายหายไป


“ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใดข้าก็ต้องหาเจ้าให้พบ!” ฮูเฟิงก็ไม่กล้าผลีผลามไล่ตาม เมื่อไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดหากไล่ตามไปมั่วซั่วก็มีแต่จะทำให้ระยะของพวกเขาออกห่างกัน แถมคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เมื่อเข้าไปยังดินแดนใต้พิภพก็ไม่ต่างอะไรจากเป้าโจมตีเดินได้ เขาได้แต่หวังว่าหลิงฮันจะไม่ถูกจอมยุทธของดินแดนใต้พิภพสังหารเสียก่อนที่เขาจะหาตัวพบ ไม่เช่นนั้นเขาก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าทักษะบ่มเพาะระดับราชานิรันดร์และอุปกรณ์นิรันดร์ไปอยู่ที่ไหน


……


ภายใต้ต้นสังสารวัฏ หลิงฮันที่ฝึกฝนอยู่เป็นเวลานานก็เริ่มปรับตัวเข้ากับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพ


สามปีต่อมาความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของหลิงฮันยกระดับมาถึงระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นชั้นกลางเป็นที่เรียบร้อย ส่วนรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดน หากรูปแบบอาคมถูกกระตุ้นใช้งานเขาสามารถสังหารได้แม้กระทั่งจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด มีเพียงระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์เท่านั้นที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ในตอนนี้


ในด้านของจักรพรรดินีนางด้อยกว่าเพียงเล็กน้อย นางทำความเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพได้ถึงระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้น ส่วนสตรีนกอมตะนั้นนางพัฒนาเชื่องช้ายิ่งกว่า อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของนางอยู่ในระดับของสุริยันจันทราขั้นปลายเท่านั้น แม้นางจะได้รับวาสนาจากนอมตะราชาเซียนทั้งสาม แค่นกอมตะราชาเซียนก็เป็นตัวตนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นางจึงไม่ได้รับสืบทอดความเข้าใจใดๆของดินแดนใต้พิภพติดตัวมา


หลิงฮันสิ้นสุดการฝึกฝนและออกมาจากหอคอยทมิฬ เขาพบว่าอุปกรณ์บินแหวกเมฆาได้นำพาพวกเขามายังห้วงอวกาศที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ในระยะที่ห่างออกไปไม่มากมีดวงตะวันกำลังส่องสว่างร้อนระอุ


อุปกรณ์บินแหวกเมฆาเคลื่อนที่ลงจอดที่ดาวดวงแห่งหนึ่ง ที่ดาวดวงนี้มีพลังวิญญาณหนาแน่นเพียงพอที่จะให้กำเนิดตัวตนระดับเซียน


ถึงแม้จักรพรรดินีและสตรีนกอมตะจะใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพได้อย่างเชี่ยวชาญบางส่วนแล้ว แต่พวกนางก็ตัดสินใจอยู่ในหอคอยทมิฬต่อเพื่อฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ให้เทียบเท่าระดับพลังของตนเอง


เพราะงั้นแล้วหลิงฮันจึงเดินอยู่เพียงลำพังในดวงดาวที่ไม่คุ้นเคยโดยปกปิดออร่าเอาไว้


หลังจากเดินไปครู่หนึ่งเขาก็ได้กลิ่นหอมของอาหาร เขามั่นใจว่าต้องมีใครกำลังย่างอะไรสักอย่างอยู่แน่ แถมวัถุดิบยังต้องยอดเยี่ยมมากอีกด้วย เขาอดใจไม่ไหวและถูกกลิ่นอันหอมหวนดึงดูดให้เดินตาม


เดินได้ไม่ไกลหลิงฮันก็พบเจอกับชายร่างใหญ่กำลังย่างอาหารอยู่ใต้ต้นไม่ยักษ์


อีกฝ่ายเป็นเหมือนคนป่า ร่างท่อนบนของเขาเปลือยเปล่าในขณะที่ท่อนล่างถูกคลุมเอาไว้เพียงผ้าคลุมสั้น แขนและขาของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามที่ใหญ่ราวกับศีรษะ บนที่ย่างมีสัตว์ปีกสามตัวที่รูปร่างเหมือนไก่ห้อยและมีน้ำมันไหลย้อยลงมาอยู่ เพียงแค่มองก็ทำให้ผู้คนน้ำลายสอ


หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย ชายร่างใหญ่ผู้นี้ทรงพลังมากและเป็นถึงตัวตนระดับวารีนิรันดร์!


“พี่ชาย ท่านจะแบ่งให้ช้าสักชิ้นได้รึไม่?” ต่อมความอยากอาหารของหลิงฮันถูกกระตุ้นจนกล่าวออกไปอย่างไม่เกรงใจ


ชายร่างใหญ่หันมองหลิงฮันเช่นกัน เขายิ้มมุมปากพร้อมกับกล่าว “แน่นอน!”


หลิงฮันถูมือและนั่งลงข้างกองไฟ


เมื่อมองให้ดีๆก็ยิ่งทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมเนื่องจากไม้ฟืนที่ใช้ก่อไฟนั้นไม่ใช่ไม้ฟืนแต่เป็นวัสดุล้ำค่าที่มีระดับสูงกว่าระดับสิบซึ่งมักจะนำไปใช้กับการหลอมเม็ดยา การที่นำมาใช้ย่างอาหารเช่นนี้หากถูกนักปรุงยาพบเห็นเข้าล่ะก็คงหนีไม่พ้นถูกทุบตีเป็นแน่


แม้หลิงฮันจะเป็นนักปรุงยาแต่เขาก็เป็นพวกรักในการกินเพราะงั้นเขาจึงไม่ได้คิดอะไรมาก ในทางกลับกันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เนื้อย่างที่ถึงขนาดใช้ไม้ฟื้นล้ำค่าเช่นนี้จะเป็นเนื้อธรรมดาได้ย่างไร?


“ข้าชื่อหลิงฮัน” เขากล่าว


“ข้าโก้วลี่” ชายร่างใหญ่พลิกไม้ย่างด้วยท่าทีใจจดใจจ่อ


ผ่านไปครู่หนึ่งเนื้อก็ถูกย่างจนสุก โก้วลี่รีบแบ่งเนื้อที่ดูเหมือนนกหรือก็ไม่ไก่ให้กับหลิงฮัน ขณะเดียวกันหลิงฮันได้นำเหยือกสุราที่ทำจากผลสมุนไพรที่ปลูกในหอคอยทมิฬออกมาพร้อมกับเพิ่มใบของต้นสังสารวัฏลงไป สุราเหยือกนี้เรียกได้ว่าเป็นสมบัติชั้นเลิศ


โก้วลี่รับสุรามาดื่มโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยว่าหลิงฮันจะแอบใส่ยาพิษลงไปหรือไม่


หลิงฮันเองก็กัดเนื้อคำโตพร้อมกับซดสุราอย่างเต็มปากเต็มคำ


เหลือเชื่อ! เป็นเนื้อย่างที่อร่อยอะไรเช่นนี้ เนื้อนี่ต้องเป็นเนื้อคุณภาพเยี่ยมที่มาจากสัตว์ปีกที่อุดมสมบูรณ์มากเป็นแน่


โก้วลี่เป็นคนใจกว้างยิ่งนัก แม้แต่เนื้อที่ล้ำค่าก็ยังไม่ลังเลที่จะแบ่งให้กับคนแปลกหน้าเช่นเขา


“เจ้าโจรใจกล้า บังอาจขโมยไก่หยกของข้าไปย่างกิน!” ทันใดนั้นเอง จู่ๆสตรีผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวด้วยท่าทีโหดเหี้ยม นางถือดาบไว้ในมือ ใบหน้าอันงดงามของนางประดับไว้ด้วยจิตสังหารอันเย็นยะเยือก


หลิงฮันหยุดมือทันที


บัดซบ! โก้วลี่ผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นหัวขโมยไก่!

 

 

 


ตอนที่ 1544

 

“ว่าไงนะ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะทำเรื่องสกปรกเช่นนั้น!” หลิงฮันรีบทำท่าทางเกรี้ยวกราดใส่โก้วลี่และตะโกนเสียงดัง “ข้ามอบสุราให้เจ้าด้วยความสัตย์จริงแต่เจ้ากลับชวนข้ามากินของที่ขโมยมา!”


เขายกเนื้อย่างในมือขึ้นและกำลังจะขว้างลงพื้น แต่เมื่อคิดดูดีๆแล้ว… ‘งับ’ หลิงฮันกัดเนื้อในมือเต็มคำจนริมฝีปากเต็มไปด้วยน้ำมันจากเนื้อและกล่าว “ข้าดูแคลนคนเช่นเจ้าที่สุด!”


เขามองไปยังสตรีผู้นั้นอีกครั้ง “แม่นาง ข้าจะช่วยเจ้าจัดการหมอนี่เอง!”


สตรีผู้นั้นชะงักแน่นิ่งตามสถานการณ์ไม่ทันก่อนจะมองไปยังโก้วลี่ที่ยังกินเนื้อย่างไม่หยุด ความเกรี้ยวกราดผุดขึ้นในใจของนาง นางสะบัดดาบพร้อมกับกล่าว “เจ้ายังกล้ากินไก่หยดของข้าอยู่อีก!”


สตรีผู้นั้นสะบัดดาบออกไป เบื้องหลังของนางปรากฏวิถีดาราจักรที่มีดวงดาวอยู่อย่างน้อยหลักร้อยเดียว


ระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลาง!


หลิงฮันตกตะลึง ดูเหมือนระดับวรยุทธของดาวดวงนี้จะสูงพอสมควร จอมยุทธสองคนแรกที่เขาพบเจอก็เป็นตัวตนระดับวารีนิรันดร์เสียแล้ว


“แม่นาง ท่านโกรธแค้นผิดคนแล้ว ข้าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเรื่องนี้! ข้าแค่ปรากฏตัวผิดที่ผิดเวลาเท่านั้น” โก้วลี่หลบการโจมตีไปมาโดยไม่ตอบโต้


หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูด เทียบกับระดับพลังบ่มเพาะแล้วโก้วลี่ผู้นี้ช่างไร้ยางอายนัก เขากล้าโกหกออกมาหน้าด้านๆอย่างไม่อับอาย


“พวกเจ้าจงยอมรับสารภาพแต่โดยดี!” สตรีผู้นั้นสูดหายใจลึกและกระหน่ำสะบั้นดาบไม่ยั้งมาทางเขากับโก้วลี่ “ไม่เช่นนั้นข้าจะสังหารพวกเจ้าทั้งคู่!”


นางไม่ได้พูดขู่ รูปแบบอาคมอสูรบนตัวดาบของนางปลดปล่อยอำนาจออกมาอย่างไม่หยุดยั้งส่งผลให้พลังต่อสู้ของนางเพิ่มขึ้นอีกระดับ


หลิงฮันหลบหลีกอย่างลำบากเล็กน้อย


พลังของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าอีกฝ่าย เพียงแต่ในด้านของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์นั้นเขาเสียเปรียบอยู่พอสมควร ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาคือระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นชั้นกลางเท่านั้น เพราะงั้นพลังของเขาในตอนนี้จึงอยู่เพียงระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางทั่วไปที่มีพลังต่อสู้ไม่เกินหนึ่งดาว


แน่นอนว่านี่ยังไม่นับรวมเพลิงเก้าสวรรค์ รูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศและกายหยาบของเขาที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอำนาจแห่งกฎเกณฑ์


โก้วลี่มองมาหาเขาที่กำลังหลบการโจมตีอย่างลำบากและกล่าวคำพูดด้วยสีหน้าเป็นห่วง “น้องชาย หากเจ้ายังไม่อยากถูกแม่นางสังหารทำไมไม่ยอมรับไปเสียล่ะว่าเจ้าเป็นคนขโมยไก่ หากเจ้ายอมรับแต่โดยดีแม่นางจะต้องยกโทษให้เจ้าแน่”


สตรีผู้นั้นเดือดดาลเป็นอย่างมาก ตระกูลของนางมีไก่หยกเพียงแค่ห้าตัวเท่านั้นซึ่งทุกๆตัวล้วนแต่ได้รับความดูแลจากนางเป็นอย่างดี แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่กล้ากินพวกมา ดังนั้นเมื่อไก่ถูกหัวขโมยสองคนนี้แย่งชิงไปกินมีรึที่นางจะไม่โกรธและอยากสังหารทั้งสอง


“หัวขโมยคือเจ้าต่างหาก ข้าเพียงแค่ผ่านมาติดร่างแห” หลิงฮันถอนหายใจ


โก้วลี่ทำสีน่าตกตะลึง “น้องชาย เจ้าจะพูดไร้สาระแบบนี้ไม่ได้ เจ้าเป็นคนขโมยไก่เองแท้ๆทำไมถึงกล่าวโทษข้า? ข้าไปมีความบาดหมางอะไรกับเจ้าถึงได้ทำกับข้าเช่นนี้?”


“ข้ามีความบาดหมางอะไรกันเจ้าน่ะรึ?” หลิงฮันส่ายหัวและยิ้ม ตัวเขาในตอนนี้กำลังถูกเซียนไล่ล่า กับแค่บาดหมางกับจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์เขาย่อมไม่แยแส


“มอบชีวิตพวกเจ้ามา!” สตรีผู้นั้นที่เห็นทั้งสองกำลังทะเลาะได้คำรามอย่างเกรี้ยวกราด ร่างของนางปลดปล่อยคลื่นพลังที่หนาวเย็นสุดขั้วออกมาราวกับจะทำให้ทั้งสวรรค์และปฐพีกลายเป็นน้ำแข็ง


“สุภาพบุรุษไม่ตอบโต้สตรี น้องชาย เจ้าสู้กับนางไปแล้วกัน พี่ชายคนนี้ขอตัวก่อน!” กล่าวจบโก้วลี่ก็หันหลังเผ่นหนีทันที


แต่เขาวิ่งไปได้ไม่กี่เขาก็ต้องหันกลับมามอง “น้องชาย เจ้าจะวิ่งตามข้ามาทำไม?”


“ไม่ได้มีเหตุผลอะไร ข้าแค่อยากวิ่งเป็นเพื่อนเจ้าเฉยๆ” หลิงฮันวิ่งตามหลังโก้วลี่ติดๆ


“แต่พี่ชายไม่อยากวิ่งกับเจ้า!” โก้วลี่กระทืบเท้า


“จะอย่างไรก็ช่าง ถ้าหากไม่อยากถูกจับได้ก็รีบวิ่งซะ!” หลิงฮันยิ้มและเร่งความเร็วจนวิ่งนำอีกฝ่าย ด้านหลังพวกเขามีสตรีกำลังไล่ฟันดาบอันเย็นยะเยือกตามมาติดๆ


“น้องชายรอข้าก่อน พวกเราเป็นคู่หูกันเหตุใดถึงได้ทิ้งข้าไว้ข้างหลังคนเดียว!” โก้วลี่โอดครวญ


“ไสหัวไป ข้าไม่รู้จักเจ้า!” หลิงฮันสะบัดมือ


“แต่ข้ารู้จักเจ้า เจ้าคือหลิงฮัน น้องหลิงของข้า” โก้วลี่ตะโกนจากด้านหลัง เสียงของเขาดังก้องราวกับกลัวว่าสตรีผู้นั้นจะไม่ได้ยิน


เห็นได้ชัดว่าหมอนี่จงใจ


“หัวขโมยไก่มันเจ้าต่างหาก!” หลิงฮันคำรามตอบ


“คนรักคุณธรรมเช่นข้าจะทำเรื่องต่ำทรามอย่างขโมยไก่ได้อย่างไร?” โก้วลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงสัจย์จริงและทำใบหน้าราวกับเป็นฝักใฝ่คุณธรรมทั้งๆปากยังกัดเนื้อย่างไม่หยุด


“บัดซบ! บัดซบ!” สตรีที่ตามหลังมาเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก นางกวัดแกว่งดาบต่อเนื่องไม่หยุด ไม่ว่าจะหลิงฮันหรือโก้วลี่นางก็จะสังหารให้หมดเพื่อแก้แค้นให้กับไก่หยกสุดที่รักของนาง


โก้วลี่ไม่เพียงกินไก่ต่อหน้านางอย่างเดียว แต่แม้กระทั่งกระดูกไก่เขายังบ้วนทิ้งไปด้านหลังอีกด้วย เพราะงั้นสตรีที่พวกเขามาจึงอารมณ์เดือดยิ่งขึ้น ผมสีดำของนางสยายชี้ขึ้นฟ้าพร้อมกับแข็งตัวเป็นแท่งน้ำแข็งสีขาว


“ทักษะวารีสวรรค์!” สตรีด้านหลังหยุดไล่ตามและสะบัดฝ่ามือซ้ายปลดปล่อยทักษะ ‘ครืนน’ ไอน้ำจากอากาศถูกควบแน่นกลายเป็นเสาผลึกน้ำแข็งทีละเสาขึ้นที่บริเวณด้านหน้า


ด้วยผลึกน้ำแข็งจำนวนมาก หลิงฮันกับโก้วลี่ที่กำลังพุ่งทะยานอย่างเต็มแรงจึงชนกระแทกเข้ากับผลึกน้ำแข็งเหล่านั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ร่างของพวกเขากระแทกเข้าอย่างจัง


เพียงแต่ว่ากายหยาบของหลิงฮันก็แผลงฤทธิ์ แรงกระแทกเพียงแค่นี้ไม่ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ความเร็วในการวิ่งเองก็ไม่ลดลง ผิดกับโก้วลี่ที่ร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดเสียงดังลั่นและรีบวิ่งไล่ตามหลังหลิงฮันไปอย่างเอาเป็นเอาตาย


ทั้งสองวิ่งทะลุผ่านกรงผลึกน้ำแข็งออกมาได้อย่างรวดเร็ว และเพื่อที่จะโคจรทักษะสร้างผลึกน้ำแข็งเหล่านี้สตรีผู้นั้นจำเป็นต้องยืนอยู่กับที่ พอนางหยุดโคจรทักษะพวกหลิงฮันกับโก้วลี่ก็วิ่งเผ่นหนีไปไกลแล้ว


“เจ้าพวกหัวขโมยบัดซบ ข้าจะหาพวกเจ้าให้เจอและให้พวกเจ้าชดใช้!” สตรีผู้นั้นตะโกนเสียงดังจากด้านหลัง


หลิงฮันวิ่งมาได้ครู่หนึ่งก็หยุดเท้า โก้วลี่เองก็หยุดตามเช่นกัน พวกเขาสูดหายใจลึกพร้อมกับโก้วลี่ได้กล่าว “น้องชาย เจ้าวิ่งเร็วใช้ได้เลย!”


“น้องชายงั้นรึ?” หลิงฮันหัวเราะ


โก้วลี่รีบโบกมือ “พวกเราเป็นหัวขโมยเหมือนกัน ทำไมจะไม่ใช่พี่น้องกันล่ะ? เห็นแบบนี้ข้าไม่ได้ยอมรับใครง่ายๆหรอกนะ แต่สำหรับเจ้าข้าว่าพวกเราเข้ากันได้!”


หลิงฮันยิ้มและไม่โต้เถียง


ถึงแม้โก้วลี่จะโยนปัญหามาให้เขา แต่นิสัยของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่คนเลวร้าย อีกฝ่ายเหมือนกับเขาที่ไม่ได้ทำเพียงป้องกันและหลบหลีกการโจมตีของสตรีก่อนหน้านี้ หากเป็นอีกฝ่ายมีนิสัยโหดเหี้ยมล่ะก็คงลงมือตอบโต้ไปแล้ว


เมื่อมองจากจุดนี้ หลิงฮันเชื่อว่าแม้โก้วลี่จะเป็นตัวปัญหาแต่ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย

 

 

 


ตอนที่ 1545

 

ท่าทีของโก้วลี่ในตอนนี้ราวกับว่าลืมเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไปแล้วโดยที่ไม่เก็บมาใส่ใจแม้แต่น้อย


หลิงฮันนำไก่ย่างที่ยังกินไม่หมดออกมาและกินต่อ เมื่อเห็นเช่นนั้นโก้วลี่ก็น้ำลายสอทันที


ไก่ย่างสองตัวที่เขามีได้กินหมดไปแล้ว ตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงมองดูหลิงฮันกินอย่างเอร็ดอร่อย กลิ่นอันหอมหวนที่ลอยเตะจมูกทำให้เขาระงับตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ “น้องชาย แย่งขาไก่ให้ขาบ้าง”


หลิงฮันหัวเราะและส่ายหัว “ถ้าอยากกินทำไมเจ้าไม่ขโมยเอาล่ะ”


“ล้อเล่นรึเปล่า พี่ชายเป็นคนแบบนั้นที่ไหนกัน?” โก้วลี่แสดงสีหน้ามีคุณธรรม ทั้งสองหยอกล้อกันพร้อมกับหัวเราะลั่น


“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ไปกันเถอะ” จู่ๆโก้วลี่ก็เอ่ยขึ้นมา


“ไปที่ไหน?” หลิงฮันถาม


“อะไรกัน เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมแลกเปลี่ยนสมบัติหรอกรึ?” โก้วลี่ประหลาดใจ


“โอ้ แลกเปลี่ยนสมบัติ?” หลิงฮันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เพื่อที่จะยกระดับดาบอสูรนิรันดร็เป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสี่ เขายังขาดแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามอยู่พอสมควร


“ไปสิ แต่ว่าต้องไปที่ไหน?”


โก้วลี่เกาหัว “ข้านึกว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งนี้เสียอีก แต่เจ้ากลับไม่รู้แม้แต่สถานการณ์แลกเปลี่ยนสมบัติ? บางทีเจ้าอาจไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีสองตัวตนที่ทรงพลังมาปะทะกัน?”


“ข้าไม่รู้ สองตัวตนที่ทรงพลังที่ว่าคือใคร?” หลิงฮันถามกลับ


“ข้าหมดคำพูดกับเจ้าแล้วจริงๆ” โก้วลี่ส่ายหัวไปมา “เอาไว้พูดคุยกันระหว่างทางแล้วกัน”


ทั้งสองคนออกเดินทางโดยมีโก้วลี่เป็นคนนำ ทั้งสองเป็นตัวตนระดับวารีนิรันดร์ ความเร็วในการการเดินทางถึงว่องไวอย่างน่าตกตะลึง


ดาวดวงนี้มีชื่อเรียกว่าดาวหานอวิ๋น ซึ่งเป็นดวงดาวในเขตดวงอรุณสาดส่อง เขตดวงอรุณสาดส่องเป็นเขตดวงดาวขนาดมหึมาที่มีจ้าวอสูรอยู่ถึงสองคน เปรียบแล้วจ้าวอสูรก็คือเซียนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์


อย่างคำกล่าวว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ําเดียวกันไม่ได้ จ้าวอสูรทั้งสองนั้นแม้จะไม่ได้สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายแต่พวกเขาก็ต้องการอยู่เหนือซึ่งกันและกัน เพราะงั้นพวกเขาจึงทำการปะทะกันทุกๆแสนปี


การปะทะระดับจ้าวอสูรเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป?


ด้วยเหตุนั้นแล้วการปะทะกันของสองจ้าวอสูรจึงกลายเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของเขตดวงอรุณสาดส่อง ทุกๆครั้งที่พวกเขาปะทะกันจะดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาดู


และเพราะมีคนจำนวนมากมารวมตัวกันจึงมีการแลกเปลี่ยนสมบัติที่ตนเองไม่ต้องการเกิดขึ้น


กลุ่มของราชารุ่นเยาว์ได้จัดงานแลกเปลี่ยนสมบัติกันที่ภูเขาหยกทมิฬ


หลิงฮันพยักหน้าในใจ ในเมื่อเป็นจอมยุทธระดับราชาหากเขานำแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามออกมาแลกเปลี่ยนก็คงไม่มีปัญหาอะไร


หลังจากเดินทางไปได้สักครู่พวกเขาก็มาถึงตีนเขาแห่งหนึ่ง หุบเขาแห่งนี้มีถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์และต้นไม้ที่มีใบสีดำสนิท และด้วยเถาวัลย์กับต้นไม้จำนวนมากทำให้ภูเขาแห่งนี้ดูเหมือนหยกสีดำ


“เจ้าเดินตามพี่ชายผู้นี้เอาไว้ ภูเขาแห่งนี้หากพลังไม่แข็งแกร่งพอก็ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้” โก้วลี่กล่าว


หลิงฮันยิ้มและไม่คัดค้าน


เนื่องจากความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาในตอนนี้ยังอยู่เพียงระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้น แม้พลังบ่มเพาะของเขาจะเป็นระดับวารีนิรันดร์ชั้นกลางก็ยังไม่มีเพียงที่จะเผชิญหน้ากับราชา


ที่ใต้ตีนเขามีผู้ติดตามของเราชารวมตัวกันอยู่มากมา พวกเขาส่วนใหญ่กำลังนั่งอยู่บนแผ่นหินในขณะที่มีบางส่วนกำลังปะทะแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันอย่างดุเดือด


เมื่อเห็นพวกหลิงฮันสองคนกำลังจะขึ้นไปบนเขา หนึ่งในเหล่าผู้ติดตามก็รีบหยุดพวกเขาทันที “คิดจะผ่านไปจากตรงนี้ เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอรึเปล่า?”


Anchor


โก้วลี่ยกหมัดขึ้น “จะทดสอบดูก็ได้”


“ไม่ขัดข้อง!” ผู้ติดตามคนนั้นพุ่งเข้ามาพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่


ปัง!


โก้วลี่ปล่อยหมัดส่งร่างของผู้ติดตามลอยกระเด็นไปพร้อมกับกระบี่ในมือ


หลังจากหมัดนี้ผู้คนรอบข้างก็กลายเป็นสงบเสงี่ยมทันที


“ไปกันเถอะ” โก้วลี่ไม่สนใจผู้ติดตามเหล่านี้


หลิงฮันเองก็เช่นกัน หากเขาไม่ถูกจำกัดพลังต่อสู้เอาไว้ล่ะก็ จอมยุทธที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ก็มีเพียงระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์เท่านั้น


ทั้งสองเดินเคียงคู่กันขึ้นไปตามเส้นทาง หลังจากเดินไปได้ไม่นานพวกเขาก็พบใครบางคนนั่งอยู่บนโขดหินขนาดใหญ่ มือขวาของเขาถือดาบที่ยังอยู่ในฝักเอาไว้ด้วยสีหน้าเย็นชา


หลิงฮันสัมผัสได้ชัดเขนว่าพลังของจอมยุทธผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเหล่าคนที่อยู่บริเวณตีนเขา


น่าสนใจ คนเหล่านี้แบ่งแยกตำแหน่งด้วยพลังตามระยะทางของภูเขา?


จอมยุทธผู้นั้นไม่พูดพล่ามและลงมือโจมตีทันที


ต้องยอมรับว่าจอมยุทธคนนี้แข็งแกร่งอย่างมาก คมดาบของเขาทรงพลังจนฟาดฟันท้องฟ้าให้แยกออกจากกัน เพียงแต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ฝ่ายแพ้ให้กับโก้วลี่อย่างรวดเร็ว


รู้พอเข้าใจขึ้นมาบ้างว่านี้คงเป็นเรื่องปกติของดินแดนใต้พิภพ มีเพียงจอมยุทธที่ทรงพลังในระดับแนวหน้าเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนสมบัติได้ ส่วนผู้ที่ไร้คุณสมบัติก็จะต้องรอคอยท้าประลองกับผู้ที่มาใหม่


เพราะงั้นถึงไม่มีใครเหาะเหินขึ้นไปยังยอดเขาโดยตรง


ในดินแดนใต้พิภพก็มีกฎที่ทุกคนรู้กันเป็นอย่างดี


ทุกๆสิบก้าวหรือราวๆนั้นจะมีจอมยุทธหนึ่งคนรอคอยอยู่ พลังของพวกเขาแต่ละคนค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นโก้วลี่ก็จัดการพวกเขาได้ภายในสิบกระบวนท่าทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าโก้วลี่แข็งแกร่งขนาดไหน


หลิงฮันหัวเราะ “ทำไม เจ้ากลัวว่าข้ารู้ความแข็งแกร่งของเจ้า?”


โก้วลี่จ้องมองมาที่หลิงฮันครู่หนึ่งและกล่าว “ข้าไม่รู้เหตุผลหรอกนะ แต่สัญชาตญาณของข้าบอกว่าเจ้าไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่เห็น”


หลิงฮันกล่าว “อันที่จริง ข้าเคยสังหารเซียนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์มาก่อน”


พรวด!


โก้วลี่ระเบิดเสียงหัวเราะ เขาตบไหล่หลิงฮันพร้อมกับเอามือกุมท้องพยายามกลั้นขำ “เจ้าช่างเป็นคนตลกจริงๆ!”


“ข้าสังหารไปแล้วจริงๆ” น้ำเสียงของหลิงฮันหนักแน่น


“อืม!” โก้วลี่พยักหน้าด้วยใบหน้าที่ยังหัวเราะอยู่ ดูเหมือนเขาจะคิดว่าหลิงฮันกำลังพูดล้อเล่น


หลิงฮันถอนหายใจ เขาพูดความจริงแท้ๆแต่กลับไม่เชื่อกันเลย


ทั้งสองก้าวเดินอย่างไม่หยุดพัก โก้วลี่นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขาโค่นล้มจอมยุทธทุกคนระหว่างทางได้อย่างไม่ยากเย็นจนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงยอดเขา บนยอดเขามีลานขนาดใหญ่ตั้งอยู่โดยมีเก้าอี้หินสิบตัวตั้งอยู่กลางลาน แต่คนที่กำลังนั่งอยู่กลับมีเพียงเก้าคนโดยมีผู้คนอีกมากมายยืนอยู่รอบข้าง


ดูเหมือนว่าเหล่าจอมยุทธที่อยู่ที่นี่จะเป็นผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนสมบัติ แต่สุดยอดราชานั้นมีเพียงแค่เก้าคนเท่านั้น


“ลุยเลยพี่ชายลี่!” จู่ๆหลิงฮันก็ตะโกนขึ้นเสียง “จัดการคนเหล่านั้นให้หมด ถึงเวลาแสดงความแข็งแกร่งให้พวกเขาตกตะลึงแล้ว!”


ใบหน้าของโก้วลี่เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที


เจ้าจะทำแบบนี้กับข้าไม่ได้!

 

 

 


ตอนที่ 1546

 

โก้วลี่มั่นใจว่าในอนาคตัวเขาจะกลายเป็นจ้าวอสูรที่ทุกคนต่างใฝ่ฝันได้แน่นอน


แต่ว่าตอนนี้เขายังเป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลาง ส่วนเหล่าราชาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินนั้นเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงหรือขั้นสูงสุด


เขายังไม่มีความสามารถพอที่ให้ปะทะกับราชาเหล่านั้น


ในอนาคตเขาสามารถเหยียบย่ำทุกคนในที่นี้ได้แน่นอนแต่ตอนนี้เขาต้องอดกลั้นเอาไว้ก่อน ที่ไม่คาดคิดคือจู่ๆหลิงฮันจะตะโกนเสียงดังลั่นหาเรื่องมาให้เขาแบบนี้


‘พรึบ’ สายตาทุกคู่จ้องมายังพวกเขาทันที แน่นอนว่ามีสายตาบางคนที่มองมาที่หลิงฮันแต่ส่วนใหญ่นั้นจดจ้องไปยังโก้วลี่


โก้วลี่ยิ้มอย่างขมขื่นในใจ เขากับหลิงฮันผูกมิตรกันด้วยสายสัมพันธ์ตอนหลบหนี แต่ไม่นึกว่าหลิงฮันจะยังไม่ลืมเรื่องที่เขาที่เขาลากมาติดร่างแหไปด้วยจึงได้เอาคืนเขาด้วยวิธีนี้


“มองหาอะไร? ไม่รู้รึไงว่าพี่ลี่ของข้ามีฉายาว่าพิฆาตราชา หากยังมองอยู่พวกเจ้าได้ลงไปนอนนิ่งใต้เท้าพี่ชายข้าแน่!” หลิงฮันกล่าวข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมโหด


“งั้นรึ?” ชายหนุ่มชุดฟ้าผมแดงเดินออกมาจากฝูงคน เขามองมายังโก้วลี่ด้วยสีหน้ามืดมน


โก้วลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าว “น้องชายของข้ามีนิสัยชอบกร่างไปทั่ว อย่าไปสนใจเขาเลย”


“เหอะ ปากดีขนาดนั้นแต่ที่จริงกลับเป็นเพียงพวกขี้แพ้?” รุ่นเยาว์อีกคนเดินออกมา มือของเขาไม่ใช่มือของมนุษย์แต่เป็นอุ้งมือของเสือดาว ร่างของเขาสูงกว่าคนทั่วๆ


“มาสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าพี่ลี่ที่ว่าจะทำให้พวกเราลงไปนอนอยู่ใต้เท้าได้อย่างไร?” รุ่นเยาว์คนที่สามเดินออกมา ผิวของเขาซีดขาวกว่าคนปกติเล็กน้อยและมีดวงตาสีมรกตราวกับอสรพิษ


โก้วลี่สะบัดมือไปมาพร้อมกับหัวเราะ “น้องชายข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น!”


“พี่ลี่ ท่านก็เป็นบุรุษเหมือนกัน จะไปยอมคนเหล่านั้นได้อย่างไร?” หลิงฮันเติมลงกองไฟ “เชื่อหรือไม่แค่ลิ่วล้ออย่างพวกเจ้าสามคน พี่ลี่ของข้าสามารถจัดการได้ด้วยมือข้างเดียว!”


“โห่?” ทั้งสามคนแสยะยิ้ม พวกเขาไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้ว่าหลิงฮันจงใจพูดยั่วยุพวกเขา แต่เมื่อมีคนปรากฏตัวใหม่พวกเขาก็ต้องอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเพียงใด


“เข้ามา!” ชายหนุ่มดวงตาอสรพิษเป็นคนลงมือคนแรก แขนทั้งสองข้างของเขากวัดแกว่งพริ้วไหวราวกับไม่มีกระดูก หมัดได้เปลี่ยนทิศทางไปมาอย่างต่อเนื่องทำให้ไม่สามารถหลบหลีกได้


โก้วลี่ขมวดคิ้วพร้อมกับตอบโต้ ในเมื่ออีกฝ่ายจู่โจมแล้วมีเขาจะอยู่เฉยยอมถูกทุบตี?


หลิงฮันกระโดดหลบไปด้านข้าง แผนการยั่วยุของเขาสำเร็จแล้วตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือดูการแสดงสนุกๆ


แต่ทันใดนั้นเองๆจู่ๆชายหนุ่มอุ้งมือเสือดาวก็ชี้นิ้วมาที่เขา “เจ้าหนู เข้ามา!”


“ข้าไม่บังอาจขนาดนั้น” หลิงฮันกล่าวอย่างถ่อมตัว


“ผู้อ่อนแอไม่มีคุณสมบัติยืนอยู่ในลานแห่งนี้!” ชายหนุ่มอุ้งมือเสือดาวลงมือโจมตี


หลิงฮันถอนหายใจ เขายกมือขวาขึ้นและตอบโต้อีกฝ่าย


เขาปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำรามออกไป แต่ทักษะดาบฟ้าคำรามนั้นมีรากฐานมาจากทักษะบัญญัติดาบไวมาผสานรวมเข้ากับอำนาจของสายฟ้าสวรรค์ซึ่งเป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์


เพราะงั้นพลังทำลายของมันจึงถูกลดลงมาเป็นอย่างมาก


แต่หลิงฮันก็ไม่ใส่ใจ คู่ต่อสู้เป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลาง หากได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับอีกฝ่ายจะช่วยให้ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพของเขาเพิ่มขึ้น


เก้าสุดยอดราชานั่งชำเลืองมองจากที่นั่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะละสายตากลับไป การต่อสู้ระดับนี้ไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา แต่เพราะยังไม่ถึงเวลาเริ่มงานแลกเปลี่ยนสมบัติเขาจึงไม่คิดจะห้ามปราบใดๆ


โก้วลี่นั้นแข็งแกร่งอย่างแท้จริง เขากำราบชายหนุ่มดวงตาอสรพิษได้ด้วยหนึ่งร้อยกระบวนท่า แต่การปะกันระหว่างหลิงฮันกับชายหนุ่มอุ้งมือเสือดาวนั้นยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้


“เจ้าเห็นเหมือนข้าไหมว่าพลังของเจ้าหนูนั่นดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนแรกที่เริ่มสู้”


“อืม พอเจ้าพูดแบบนั้นก็เหมือนจะใช่จริงๆ!”


ทุกคนหันมองหน้ากันและเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด


น่าประหลาดมาก ถึงแม้สัหรับราชาส่วนใหญ่การต่อสู้จะช่วยให้พวกเขาพัฒนาตนเองได้รวดเร็วขึ้นแต่ก็ไม่ได้รวดเร็วพรวดพราดเช่นหลิงฮัน


…เมื่อต่อสู้จบ พวกเขาต้องเก็บตัวเป็นเดือนหรือเป็นปีเพื่อซึมซับประสบการณ์และยกระดับพลังต่อสู้ของตนเอง


แต่ในกรณีของหลิงฮันล่ะ?


ต้องเป็นสัตว์ประหลาดแบบใดกันถึงจะสามารถพัฒนาพลังต่อสู้ในขณะที่สู้อยู่ได้?


พรสวรรค์เช่นนี้เรียกได้ว่าท้าทายสวรรค์อย่างสิ้นเชิง!


อันที่จริงพวกเขาคิดมากเกินไป ระดับพลังของหลิงฮันคือระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางก็จริง แต่ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขายังไม่ถึงระดับเดียวกับกับระดับพลังบ่มเพาะ ดังนั้นเมื่อความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพของเขาเพิ่มขึ้น พลังต่อสู้จึงค่อยๆเพิ่มขึ้นตามไปด้วย


แต่คนอื่นไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งวัน จากตอนแรกที่หลิงฮันต้องป้องกันทุกๆสิบกระบวนท่าก็ลดมาลงเหลือเก้าและค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆจนเหลือหนึ่ง


สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าสุดยอดราชาที่นั่งอยู่มองหน้ากัน หากเจ้าหนูนี่ยังคงสู้ต่อไป เป็นไปได้รึไม่ว่าพลังของเขาจะตอบโต้ได้แม้กระทั่งจ้าวอสูร?


หนึ่งวันต่อมา หลิงฮันสามารถตอบโต้คู่ต่อสู้ได้โดยไม่เสียเปรียบอีกต่อไป


ชายหนุ่มอุ้งมือเสือดาวชะงักหยุดมือ เขากลัวว่าหากยังสู้ต่อพลังของหลิงฮันอาจจะก้าวข้ามเขาก็เป็นได้


หลิงฮันแสดงสีหน้าไม่พอใจ “ทำไมไม่สู้ต่อ?”


ชายหนุ่มอุ้งมือเสือดาวไม่กล่าวตอบและถอยกลับไปหลบกลางฝูงชน


โก้วลี่เดินกลับมาและมองไปยังหลิงฮัน “เจ้าเป็นคนที่แปลกจริงๆด้วย”


“เจ้าเองก็ไม่ธรรมดา ข้ายังมองไม่ออกเลยว่าความแข็งแกร่งของเจ้าอยู่ในระดับไหนกันแน่” หลิงฮันกล่าวออกไปตรงๆ


“อะแฮ่ม ใกล้จะถึงเวลาแล้ว มาเริ่มการแลกเปลี่ยนสมบัติกันดีกว่า” สุดยอดราชาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินคนหนึ่งกล่าว เขาเป็นบุรุษที่มีรูปลักษณ์อยู่ช่วงอายุสามสิบปี หากมองจากภายนอกเขาคือคนที่แก่ที่สุดในลานแห่งนี้ เพราะเหตุนั้นเขาจึงเป็นที่เคารพและถูกเลือกให้เป็นผู้ดำเนินงานแลกเปลี่ยนสมบัติในครั้งนี้


“ทุกคนนำสมบัติออกมา ใครที่สามารถก็ให้แย่งชิงเสนอสมบัติของตนเองเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าของสมบัติจะเป็นคนตัดสินว่าจะยอมแลกเปลี่ยนกับผู้ใด” สุดยอดราชาผู้นี้มีชื่อว่าก่วงเฟยเฉิน เขามีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดโดยที่เขาบรรลุขั้นสูงสุดเมื่อหนึ่งร้อยล้านปีก่อน แม้รูปลักษณ์จะดูเหมือนชายวัยกลางคนอายุสามสิบปีแต่แท้จริงแล้วโลหิตในร่างของเขายังคงเดือดพล่าน


“ข้าได้รับการแต่งตั้งจากถูกคนให้เป็นผู้ดำเนินงาน เพราะงั้นแล้วข้าขอเป็นคนแรก” เขายิ้มและสะบัดมือ ทันใดนั้นเหนือฝ่ามือของเขาก็มีผลสีแดงปรากฏออกมา “นี่คือผลมัจฉาสีชาด มันสามารถช่วยให้พลังบ่มเพาะของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วราวกับก้าวกระโดด แต่ด้วยประสิทธิภาพอันรุนแรงของมัน ข้าคิดว่าหากไม่มีจ้าวอสูรคอยช่วยกำราบอำนาจของมันเอาไว้คงมีเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดเท่านั้นที่สามารถดูดซับพลังของมันได้โดยตรง”


ทุกคนส่ายหัวเมื่อได้ยิน เงื่อนไขเช่นนั้นมันสูงเกินไป จะให้ไปขอให้จ้าวอสูรยื่นมือช่วยเหลืองงั้นรึ? เกรงว่าคงมีเพียงไม่กี่คนที่ทำได้!

 

 

 


ตอนที่ 1547

 

ผลมัจฉาสีชาดถูกมองว่าไม่ค่อยมีค่าเท่าไหร่


คนที่จะกินผลนั่นได้จำเป็นต้องรอให้พลังบ่มเพาะของตนเองบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดเสียก่อน อันที่จริงสำหรับเหล่าราชาการบรรลุระดับพลังนั้นไม่ใช่เรื่องยาก หากให้เวลาพวกเขาสักสิบล้านปีพวกเขาสามารถบรรลุขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดได้เลยด้วยซ้ำ


แต่หากรีบบ่มเพาะพลังไปถึงจุดนั้นอย่างเร่งรีบ จำนวนของดวงดาราที่ควบแน่นได้ก็จะน้อยเกินไปจนไม่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับสร้างสรรพสิ่งได้


แต่แน่นอนว่าหากจอมยุทธคนใดที่จ้าวอสูรคอยหนุนหลัง ผลมัจฉาสีชาดก็จะเป็นสมบัติที่แท้จริง


“ใครที่ต้องการให้เสนอนำสมบัติออกมาเพื่อแลกเปลี่ยน” เมื่อกล่าวจบก่วงเฟยเฉินก็กวาดสายตามองผ่านฝูงชน


“ข้ามีเม็ดยาเหมันต์ม่วง มันสามารถช่วยเพิ่มพลังต่อสู้หนึ่งดาวให้กับคนที่บ่มเพาะทักษะธาตุน้ำแข็งได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง” ใครบางคนเสนอ


ก่วงเฟยเฉินส่ายหัว อย่างแรกเลยคือทักษะบ่มเพาะของเขาไม่ใช่ธาตุน้ำแข็ง และอย่างที่สองคือผลมัจฉาสีชาดที่สามารถเพิ่มพลังบ่มเพาะได้อย่างถาวรนั้นล้ำค่ายิ่งกว่าเม็ดยาที่ช่วยเพิ่มพลังต่อสู้ได้เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆมากนัก อย่างน้อยเม็ดยาเช่นนั้นเพียงเม็ดเดียวก็ไม่มีค่าพอจะเทียบได้


“ข้ามีส่วนหนึ่งของบทคัมภีร์ข้ามผ่านนิพพาน ไม่ทราบว่าพี่ชายก่วงสนใจรึไม่?” ใครบางคนกล่าว


ก่วงเฟยเฉินเผยสีหน้าสนใจ “บทคัมภีร์ส่วนไหน?”


“ส่วนกลาง” ใครคนนั้นกล่าวต่อ


ก่วงเฟยเฉินส่ายหัวอีกครั้ง “น่าเสียดาย ข้าไม่ต้องการบทคัมภีร์ส่วนกลาง”


ผู้คนส่งเสียงกระซิบกระซาบ บทคัมภีร์ข้ามผ่านนิพพานนั้นเป็นที่รู้จักมากในดินแดนใต้พิภพ มีคำกล่าวว่ามันคือบทคัมภีร์ที่ถูกทิ้งไว้โดยจ้าวอสูร แต่เนื่องกาลเวลาที่ผ่านพ้นมาอย่างยาวนานทำให้เป็นเรื่องยากมากหากต้องการรวบรวมบทคัมภีร์ให้ครบสามส่วน


“พี่ชายก่วง ข้ามีแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสาม ท่านสนใจแลกเปลี่ยนรึไม่?” ใครบางคนกล่าว


ก่วงเฟยเฉินยังคงส่ายหัว เขาในตอนนี้บรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดแล้ว แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามจะมีประโยชน์อันใด?


หลิงฮันจดจำคนผู้นี้ไว้ หากถึงคราวที่อีกฝ่ายเป็นคนนำสมบัติออกมาแลกเปลี่ยนเมื่อไหร่และยังคงเป็นแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามเช่นเดิมเขาจะต้องแลกเปลี่ยนมาให้ได้ เขากระแอมก่อนจะกล่าว “พี่ชายก่วง ข้ามีชาถ้วยหนึ่งอยากให้ท่านลองชิมก่อน”


หลิงฮันนำกาน้ำชาที่มีเพียงน้ำเปล่าอยู่ด้านในออกมา หลังจากนั้นเขาได้นำใบของต้นสังสารวัฏใส่เข้าไปหนึ่งใบและต้มให้เดือดด้วยเพลิงเก้าสวรรค์


ไอน้ำและกลิ่นของน้ำชาลอยไปทั่วอากาศส่งผลให้ผู้คนโดยรอบรู้สึกราวกับกลายเป็นหนึ่งเดียวกับวิถีแห่งเต๋า


นั่นคือผลลัพธ์จากต้นสังสารวัฏที่แม้จะเป็นในดินแดนแห่งเซียนก็ยังถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าหาสิ่งใดเปรียบ แต่เนื่องจากมันถูกเร่งให้เติบโตด้วยหอคอยทมิฬ ประสิทธิภาพของมันจึงไม่อาจเทียบกับต้นสังสารวัฏของจริงที่เติบโตด้วยกาลเวลาสิบสองล้านล้านปี


หลิงฮันรินน้ำชาใส่แก้วและยื่นให้ก่วงเฟยเฉินลองชิม


ก่วงเฟยเฉินรับถ้วยชาและทดสอบดมกลิ่นเป็นอย่างแรกก่อนจะใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบ เมื่อมั่นใจแล้วว่าหลิงฮันไม่ได้ใส่อะไรแปลกปลอมลงไปเขาก็ยกถ้วยชาดื่ม ทันใดนั้นเองร่างกายของเขาก็โอบล้อมไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์


“นะ นี่มันการผสานเป็นหนึ่งเดียวกับวิถีแห่งเต๋า!” สุดยอดราชาอีกแปดคนตกตะลึงและจ้องมองด้วยแววตาอิจฉา


การผสานเป็นหนึ่งเดี๋ยวกับวิถีแห่งเต๋านั้นมีเพียงเซียนหรือจ้าวอสูรเท่านั้นที่ทำได้ หากพวกเขาสามารถรู้แจ้งเข้าถึงวิถีแห่งเต๋าย่อมหมายถึงเท้าข้างหนึ่งของพวกเขาได้กำลังจะก้าวเข้าสู่ประตูของระดับจ้าวอสูรเป็นที่เรียบร้อย แม้การจะบรรลุเป็นจ้าวอสูรจะยังอีกห่างไกลแต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีความหวังอันริบหรี่และไม่ต้องคลำหาเส้นทางมั่วซั่วอีกต่อไป


น้ำชานี้ช่างน่าอัศจรรย์ นี่ขนาดเป็นเพียงการต้มด้วยใบชาใบเดียวและถูกเจือจางยังมีผลลัพธ์ขนาดนี้


แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้คือชาจากใบของต้นสังสารวัฏนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเพียงการดื่มครั้งแรกเท่านั้น แม้หากดื่มครั้งต่อไปจะยังได้ผลลัพธ์ที่ดีอยู่แต่ประสิทธิภาพก็จะลดหย่นลงไปเทียบไม่ได้กับครั้งแรก


หลังจากซึมซับไปได้สักพักก่วงเฟยเฉินก็ลืมตาขึ้นและกล่าว “เจ้าจะแลกเปลี่ยนด้วยใบชาจำนวนเท่าใด?”


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “แค่ในกาน้ำชานี้”


หรือก็คือเขาต้องการแลกเปลี่ยนผลมัจฉาสีชาดด้วยใบชาหนึ่งใบ


หากจอมยุทธของดินแดนแห่งเซียนอยู่ที่นี่ หลิงฮันจะต้องโดนดีเป็นแน่ที่นำสมุนไพรล้ำค่าจากดินแดนแห่งเซียนมาแลกเปลี่ยนกับสมุนไพรระดับต่ำเช่นนี้


หลิงฮันไม่สนใจ เขามีใบของต้นสังสารวัฏอยู่จำนวนมาก แถมเก็บไว้ก็ไม่รู้จะใช้ประโยชน์อะไรได้สู้นำมาแลกเปลี่ยนทรัพยากรเพิ่มพลังให้ตนเองดีกว่า


ก่วงเฟยเฉินไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือใบของต้นสังสารวัฏ เขาทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “ตกลง แลกเปลี่ยน”


ทั้งสองฝ่ายสะบัดมือ หนึ่งคนส่งมอบกาน้ำชาในขณะที่อีกคนส่งมอบผลมัจฉาสีชาด การแลกเปลี่ยนรอบแรกจบลงโดยไม่มีปัญหาอะไร


“คนต่อไป” ก่วงเฟยเฉินชี้นิ้วสุ่มไปยังคนคนหนึ่ง “เริ่มจากเจ้า”


สมบัติมากมายถูกนำออกมา แต่หลิงฮันสนใจเพียงแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามหรือไม่ก็ระดับสิบเจ็ดขึ้นไปเท่านั้น


แต่แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเจ็ดนั้นเป็นวัสดุเซียนที่เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครนำออกมาหรือมีครอบครอง


จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่ครอบครองวัสดุเซียนนั้นมีแต่จะนำพาพิบัติมาสู่ตนเอง


หลิงฮันนั้นไม่หวาดหวั่นต่อสายตาที่จ้องมองมาแม้แต่น้อย ตราบใดที่เป็นสมบัติที่เขารู้สึกว่ามีประโยชน์เขาจะแลกเปลี่ยนมาอย่างไม่ลังเล


ด้วยเหตุนั้นแล้วหลิงฮันจึงกลายเป็นคนที่แลกเปลี่ยนสมบัติไปมากที่สุดในงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้ มีจอมยุทธจำนวนไม่น้อยเลยที่จดจ้องเขม็งไปที่เขา


เจ้าไม่ใช่สุดยอดราชาแท้ๆแต่กลับเปิดเผยความมั่งคั่งขนาดนั้นออกมา นั่นไม่ได้เท่ากับกำลังบอกทุกคนว่าให้เข้ามาปล้นข้าได้เลยหรอกรึ?


“ฮ่าๆ เห็นแบบนี้แม้แต่พี่ชายก็อยากจะปล้นเจ้าเสียแล้ว” โก้วลี่กลืนน้ำลายและมองมายังหลิงฮันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ


หลิงฮันยิ้ม “เจ้าจะลองดูก็ได้ แล้วคอยดูว่าสุดท้ายใครกันแน่จะเป็นฝ่ายถูกปล้น”


อย่างที่รู้ว่าเขานั้นเป็นคนยึดถือหลักการที่จะไม่ล่วงเกินใครก่อน ใครหากใครล่วงเกินเขาก่อนล่ะก็เตรียมตัวเอาไว้ได้เลย


งานแลกเปลี่ยนยังไม่ถึงเวลาสิ้นสุด ตอนนี้เขาขาดแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามเพียงสามชิ้นก็จะยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ได้


แต่น่าเสียดายที่แร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามไม่ได้เป็นที่ต้องการนักจึงไม่มีใครนำออกมาแลกเปลี่ยน หลิงฮันแก้ปัญหาโดยการนำใบของต้นสังสารวัฏออกมาสามใบและกล่าวออกไปตรงๆว่าเขาต้องการแลกเปลี่ยนกับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสาม เมื่อได้ยินคำพูดของเขาจอมยุทธคนอื่นๆก็รีบนำแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ออกมาทันที


แต่เขาต้องการเพียงแค่สามชิ้นเท่านั้น จำนวนของคนที่เสนอแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์นั้นมีมากกว่าสามคนหลิงฮันจึงเลือกแลกเปลี่ยนกับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามทั้งสามชิ้นที่มีขนาดใหญ่สุด


“เจ้าหัวขโมย ที่แท้พวกเจ้าทั้งสองก็อยู่ที่นี่เอง!” พริบตานั้นเองสตรีผู้หนึ่งก็เหาะเหินลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับถือดาบเอาไว้ในมือ ใบหน้าอันงดงามของนางประดับไว้ด้วยจิตสังหารพร้อมกับจดจ้องมายังหลิงฮันกับโก้วลี่

 

 

 


ตอนที่ 1548

 

เจ้ากรรมนายเวรไล่ตามมาแล้ว!


หลิงฮันกับโก้วลี่หันมองหน้ากันโดยไม่รู้ตัว พวกเขาต้องรีบเผ่นหนีให้เร็ว


“แม่นางจู ทั้งสองคนนี้ล่วงเกินท่านงั้นรึ?” สุดยอดราชาคนหนึ่งเอ่ยถาม แม้เขาจะมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นสูงสุดแต่ด้วยพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งทำให้เขาถูกจัดให้เป็นสุดยอดราชา


ชื่อของเขาคือเป่ยไค เขาไม่ใช่จอมยุทธของเขตดวงดาวแห่งนี้


“แม่นางจู ข้าจะแก้แค้นให้ท่านเอง!”


“ให้ข้าเอง”


จอมยุทธจากทั่วทิศทางเอ่ยกล่าวเสนอตัวราวกับอยากจะตีสนิทเป็นสหายกับสตรีผู้นี้


ปากของหลิงฮันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะกล่าว “พี่ชาย ที่เจ้าไปขโมยไก่ของใครมากันแน่ จากที่ดูแม่นางคนนั้นไม่น่าใช่ธรรมดาเลย!”


“ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าแค่เห็นไก่หยกเดินเผ่นผ่านอยู่ก็เลยจับมาย่างกินเท่านั้นเอง” โก้วลี่ทำสีหน้าว่าตัวเขานั้นไม่รู้จริงๆ


“พะ พวกเจ้าสองคนขโมยไก่หยกของแม่นางจู?” ใครบางคนได้ยินคำพูดของทั้งสองคนและรีบถอยหลังเว้นระยะห่างอย่างรวดเร็วราวกับไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับพวกหลิงฮัน


หลิงฮันมึนงงและเอ่ยถาม “เรื่องขโมยไหมค่อยว่ากัน ว่าแต่สตรีผู้นั้นเป็นใคร?”


“นั่นสิ นางคือใครกัน?” โก้วลี่เองก็เอ่ยถาม


ใครคนหนึ่งส่ายหัวและกล่าว “พวกเจ้าไม่รู้จักแม่นางจูเซวียน?“


“นางมีชื่อเสียงงั้นรึ?” โก้วลี่พึมพำก่อนจะดวงตาเบิกกว้าง “เดี๋ยวก่อน ข้าจำได้ว่าจ้าวอสูรมีแซ่ว่าจู อย่าบอกนะว่า…”


“ถูกต้อง แม่นางจูคือธิดาคนเดียวของจ้าวอสูร” ใครคนนั้นพยักหน้า


โก้วลี่ดวงตาเปิดกว้าง นี่เขาขโมยไก่ของลูกสาวจ้าวอสูรจริงๆ? นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาล่วงเกินจ้าวอสูรไปแล้วหรอกรึ?


หลิงฮันยิ้มและตบบ่าโก้วลี่ “ยินดีด้วย ทีนี้เจ้าได้ถูกจ้าวอสูรตามล่าแน่”


“ฮึ่ม เจ้าก็ด้วยเหมือนกัน อย่าลืมว่าเจ้าก็ขอแบ่งไก่ไปกินด้วย!”


เมื่อได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ทุกคนที่อยู่โดยรอบก็เข้าใจเรื่องราวกับทันที ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมแม่นางจูเซวียนถึงเกรี้ยวกราดขนานั้น ที่แท้ทั้งสองคนก็กล้าถึงขนาดไปขโมยไก่ที่นางเลี้ยงไว้นั่นเอง


ทุกคนส่ายหัว แต่ไม่ว่าอย่างไรกับแค่เรื่องขโมยไก่ไม่กี่ตัวก็ไม่น่าเป็นเรื่องใหญ่นัก แม่นางจูเองก็ไม่ได้เป็นคนใจแคบอะไรอยู่แล้ว


“ฮึ่ม พวกเจ้ายังไม่ก้มหัวขอโทษแม่นางจูอีกรึ!” รุ่นเยาว์คนหนึ่งก้าวออกมา


ตามปกติแล้ว จูเซวียนนั้นเป็นตัวตนสูงส่งที่พวกเขาไม่อาจเอื้อมถึง แต่ครั้งนี้เรียกได้ว่าพระเจ้าได้ประทานมอบโอกาสทองมาให้ หากพวกเขาแสดงความโดดเด่นออกมา บางทีนางอาจจะถูกชะตากับพวกเขาบ้างก็เป็นไป


ไม่แน่บางทีพวกเขาอาจจะได้กลายเป็นถึงลูกเขยของจ้าวอสูร?


โอกาสดีมาถึงแล้ว!


“ใครไม่เกี่ยวก็ไสหัวไป!” โก้วลี่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์


“โอ้ ที่แท้ก็อวดดีเช่นนี้เองถึงได้กล้าขนาดไปขโมยไก่ของแม่นางจู!” ชายคนนั้นเป็นฝ่ายลงมือโจมตีอย่างไม่รีรอ


เขากล้าเริ่มเป็นฝ่ายโจมตีแน่นอนย่อมต้องมั่นใจว่าพลังของตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าโก้วลี่


ทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างสูสีจนไม่อาจตัดสินกันได้ว่าใครเป็นฝ่ายเหนือกว่าและเลือกที่จะล่าถอยกันทั้งสองฝ่าย


เป่ยไคที่เห็นสีหน้าไม่อบอารมณ์ของจูเซวียนก็รีบเอ่ยกล่าว “แม่นางจู ให้ข้าลงมือมอบบทเรียนแก่ทั้งสองคนนั้นเอง”


จูเซวียนพยักหน้าอย่างไม่แยแสต่อท่าทีประจบประแจงของเป่ยไค ตัวนางที่เป็นลูกสาวของจ้าวอสูรนั้นย่อมคุ้นชินและเติบโตมากับคำพูดประจบสอพลอนับไม่ถ้วน


เป่ยไคลงมือ ฝ่ามือขนาดใหญ่ประทับลงมาจากท้องฟ้า เขาเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นสูงสุดที่ถูกยกให้เป็นสุดยอดราชา พลังต่อสู้ของเขาย่อมทรงพลังไร้เทียมทาน


ที่เขาเลือกลงมือกับโก้วลี่ก่อนเป็นเพราะพลังของโก้วลี่นั้นเหนือกว่าหลิงฮัน ตราบใดที่โก้วลี่ถูกกำราบหลิงฮันก็เปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือ


โก้วลี่คำรามอย่างเกรี้ยวกราด เขาที่เป็นราชาไม่มีทางยอมนิ่งเฉยยอมรับความอัปยศโดยไม่ตอบโต้แน่นอน โก้วลี่ปลดปล่อยพลังต่อสู้ทั้งหมดออกมาและทะยานขึ้นไปปะทะกับเป่ยไคบนท้องฟ้า เพียงแต่ด้วยระดับพลังที่ต่ำกว่าถึงหนึ่งขั้นย่อยเต็มเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเป่ยไค


ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่าร่างของโก้วลี่ก็ถูกฝ่ามือกระแทกใส่จนร่วงลงมาสู่ลานบนยอดเขา


หลิงฮันก้าวเดินเข้าไปหาและยิ้ม “สภาพของเจ้าตอนนี้ดูไม่ได้เลยนะ”


“เจ้าไม่ต้องหัวเราะข้าหรอก เดี๋ยวเจ้าก็มีสภาพเป็นเหมือนกับพี่ชายคนนี้เช่นกัน” โก้วลี่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะยังเหลือแรงมาพูดต่อล้อต่อเถียงทั้งๆที่พลังปราณแห้งเหือดไปแล้ว


“ถึงคราวของเจ้าแล้ว!” เป่ยไคยืนอยู่กลางอากาศอย่างองอาจและประทับฝ่ามือเข้าใส่หลิงฮัน


‘ตูม’ หลังจากคลื่นปะทะที่รุนแรง ร่างของหลิงฮันยังคงยืนแน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นสุดยอดราชาระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นสูงสุดก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างบาดเสียหายให้กับกายหยาบของเขา


เป่ยไคชะงักตกตะลึง แม้เขาจะไม่ได้โจมตีด้วยพลังทั้งหมดแต่เป็นไปได้อย่างไรที่หลิงฮันจะรับการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาบขนาดนั้น


คนอื่นๆเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กันที่เป่ยไคไม่สามารถกำราบหลิงฮันได้ในหนึ่งกระบวนท่า อย่างที่รู้กันว่าเป่ยไคนั้นเป็นถึงสุดยอดราชา


หลิงฮันส่ายหัวในใจ พลังของเป่ยไคนั้นไม่ได้อ่อนแอ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเทียบไม่ได้กับสุดยอดราชาของสำนักละอองดารา อย่างมากเป่ยไคก็เป็นเพียงราชาระดับหนึ่งเท่านั้น ดูเหมือนว่าในต่างสถานที่ คำเรียกว่า‘สุดยอดราชา’จะแตกต่างกันออกไป


หลิงฮันคำรามและเป็นฝ่ายโจมตีเป่ยไคก่อน ทั้งสองเข้าปะทะพัวพันกันอย่างดุเดือด


อีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีและแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ หากสู้ด้วยจะทำให้เขาเชี่ยวชาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพยิ่งขึ้น


ในการปะทะช่วงแรกหลิงฮันทำได้เพียงป้องกันอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น มีบ้างบางครั้งที่ไม่อาจป้องกันได้ทันและรับการโจมตีเข้าไปตรงๆ เพียงแต่ด้วยกายหยาบที่ไร้ทานทานของเขาการโจมตีของอีกฝ่ายย่อมไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดใดๆ


เมื่อเวลาค่อยๆป่านไปหลิงฮันก็กลับมาเป็นฝ่ายตอบโต้ได้ในที่สุด


เริ่มจากที่เขาสามารถตอบโต้ได้หนึ่งครั้งจากทุกๆหนึ่งร้อยกระบวนท่าก็ลดลงมาเป็นเก้าสิบ แปดสิบ… การพัฒนาของเขาเป็นไปอย่างรวดเร็วจนน่าอัศจรรย์


สัตว์ประหลาด!


เหล่าสุดยอดราชาทุกต่างหวั่นไหว พรสวรรค์เช่นนี้ถือว่าท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง


เป่ยไคตกตะลึงและอับอาย เขาไม่คิดมาก่อนว่าหลิงฮันจะมีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แต่สุดท้ายราชาเช่นเขาหากไม่สามารถเอาชนะจอมยุทธที่มีระดับพลังบ่มเพาะต่ำกว่าได้ ในอนาคตเขาจะมองหน้าใครติด?


เขาเค้นเสียงเย็นชาและเตรียมปลดปล่อยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด มือทั้งสองของเขาประกบเข้าหากันและขยับเป็น*ท่าทางเป่าผิง* เข้าใส่หลิงฮัน


“พิพากษาความเป็นและความตาย ตราประทับเป่าผิง!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ร่างของเขาโอบล้อมไปด้วยแสงเจิดจรัส


*ท่าทางเป่าผิงคือการเคลื่อนไหวของมือในรูปแบบหนึ่งซึ่งผมไม่รู้จะแปลเป็นไทยยังไงดี*

 

 

 


ตอนที่ 1549

 

ตราประทับเป่าผิงส่องประกายแสงพุ่งเข้าใส่หลิงฮันด้วยพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว


อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพมุ่งเน้นไปที่การบดขยี้และทำลาย


หลิงฮันยกมือขึ้นรับการโจมตีของอีกฝ่ายพร้อมกับซึมซับทำความเข้าใจอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพไปพร้อมๆกัน


หากเขาสามารถใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนพร้อมกันได้อย่างเชี่ยวชาญ พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล


เพียงแต่ว่าการบรรลุให้ถึงขั้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างดีคิด


หลิงฮันพบว่าตนเองกำลังค่อยๆลืมเลือนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปทีละน้อย!


เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะหลงลืมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่เคยฝึกฝนมาแล้ว?


ไม่ใช่ว่าหลิงฮันหลงลืม แต่เป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพที่กำลังกลืนกินอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อำนาจทั้งสองนี้ตรงกันข้างกันอย่างสิ้นเชิงราวกับน้ำและไฟ พวกมันไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ กล่าวคือหากใครอยากจะอยู่ในดินแดนใต้พิภพแห่งนี้ก็จำเป็นต้องลืมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปให้หมด


เพียงแต่ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ไม่เกิดขึ้นตอนอยู่ในหอคอยทมิฬ หลิงฮันเพิ่งสังเกตว่ากฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขาเริ่มหายไปในไม่กี่วันที่ออกมาจากหอคอยทมิฬ


ไม่ว่าแปลกใจที่ทำไมในระยะเวลาที่ผ่านมาอย่างยาวนานนี้ถึงไม่มีเซียนคนใดเปิดเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ นั่นเพราะสวรรค์และปฐพีไม่ยินยอม!


แต่สำหรับหลิงฮันเขายังมีความหวัง


นั่นเพราะเขามีหอคอยทมิฬ!


หอคอยทมิฬสามารถคัดแยกอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนมาเป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของหอคอยทมิฬเองเพื่อให้หลิงฮันฝึกฝนได้


ในขณะที่หลิงฮันกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง ‘ตูม’ ตราประทับเป่าผิงกระแทกเข้าใส่ร่างของเขาอย่างรุนแรง และเป็นในตอนนี้เองที่กายหยาบของเขาสำแดงอำนาจออกมา การโจมตีของโก้วลี่ทำได้เพียงแค่ส่งร่างของเขาให้ลอยกระเด็น แต่จะให้เขาบาดเจ็บน่ะรึ? บอกเลยว่ายาก


ณ เวลานี้ต่อให้เป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดก็แทบจะไม่สามารถทำให้เขาเจ็บปวดได้ เรื่องจะทำลายพลังป้องกันของเขานั้นยิ่งไม่ต้องฝันถึง


หลิงฮันในตอนนี้หวาดกลัวเพียงตัวตนระดับเซียนเท่านั้น


“เจ้า…” เป่ยไคแทบจะบ้าคลั่ง เขาเห็นอย่างชัดเจนเมื่อกี้ว่าหลิงฮันเหม่อลอยไปชั่วครู่ นี่เจ้าดูถูกข้าขนาดไหนกันแน่ถึงได้มีอารมณ์คิดเรื่องอื่นในขณะที่ยังสู้อยู่?


เป่ยไคคำราม ตอนนี้เขาเกรี้ยวกราดอย่างแท้จริง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องสอนบทเรียนให้กับหลิงฮันให้ได้ พลังต่อสู้ของเขาถูกระเบิดออกมาอย่างเต็มที่และกระหน่ำทุบตีหลิงฮันอย่างบ้าคลั่ง


เมื่อราชาปลดปล่อยพลังทั้งหมด พลังต่อสู้ย่อมน่าสะพรึงกลัวเกินต้าน จอมยุทธที่อยู่บนพื้นดินถึงกับตกตะลึง พลังของเป่ยไคในตอนนี้ช่างน่ากลัวนัก แต่ที่พวกเขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือหลิงฮัน แม้จะถูกทุบตีจนร่างลอยกระเด็นไปหลายทิศ เขากลับไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!


“โชคดีที่ข้าไม่ได้ไปมีเรื่องกับหมอนั่น” โก้วลี่พึมพำในขณะที่กำลังลุกคลานขึ้นมา “ตัวข้าที่มีสายเลือดของสัตว์อสูรต้นกำเนิดถึงสามประเภทและอาบโลหิตของสัตว์อสูรนับร้อยมาตั้งแต่เกิดทำให้มีกายหยาบที่ทรงพลัง แต่เมื่อเทียบกับหมอนั่นแล้วกายหยาบของข้าเปรียบเหมือนเต้าหู้ไปเลย!”


“บ้าไปแล้ว พลังป้องกันของหมอนั่นอยู่ในระดับไหนกันแน่?” ใครบางคนอุทาน


“สัตว์ประหลาด!” จอมยุทธคนอื่นๆส่ายหัว ใครที่คิดจะลอบปล้นชิงสมบัติจากหลิงฮันได้ละทิ้งความคิดนั้นไปทันที


หลิงฮันครุ่นคิดเรื่อยเปื่อย


ในเมื่อเขาสามารถฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองไปพร้อมกันได้ แล้วทำไมจะผสานพวกมันให้เป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้ล่ะ?


มีคำกล่าวว่าต้องเชี่ยวชาญอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนถึงจะเปิดเส้นทางเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนได้ แต่จะไม่ดีกว่ารึหากผสานพวกมันทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวกันไปเลย?


เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็ไม่รีรอชักช้า


เขาลองผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองเข้าด้วยกันทันที เริ่มจากอำนาแห่งกฎเกณฑ์ของระดับภูผาวารีที่สามารถฝึกฝนได้ง่ายดายที่สุด


แต่ถึงแม้จะฝึกฝนได้ง่ายที่สุดก็ใช่ว่าจะผสานเข้าด้วยได้ง่ายอย่างที่คิด


เปรียบแล้วก็เหมือนการผสมสีดำกับสีขาวหรือผสมไฟเข้ากับน้ำ ตามหลักแล้วมีรึที่ทั้งสองอย่างนี้จะผสมเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว?


เพียงตาด้วยความดื้นรั้นของหลิงฮัน เขาจึงไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ เขาพยายามทดลองด้วยวิธีการต่างๆมากมายเท่าที่จะคิดได้ บางทีการผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองนี้อาจจะไม่เคยมีใครนึกจะทำมาก่อน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะทำสำเร็จได้ในระยะเวลาสั้น


หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเป่ยไคก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัว


เขาใช้ทักษะทั้งหมดที่มีออกไปแล้ว แม้กระทั่งกระบวนที่ทรงพลังที่สุดก็ไม่ปกปิดเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถทำอะไรหลิงฮันได้เลย ยิ่งกว่าหลิงฮันยังทำท่าเหมือนกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างโดยไม่สนใจการทุบตีของเขาเลยแม้แต่น้อย


ในที่สุดเขาก็หยุดมือและชำเลืองมองไปยังจูเซวียนด้วยสีหน้าอับอาย “แม่นางจู ขออภัยที่ความไร้ความสามารถของข้าทำให้ท่านผิดหวัง!”


ไม่มีใครหัวเราะเยาะเขาแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่ว่าเป่ยไคไม่แข็งแกร่งแต่เป็นหลิงฮันที่ผิดมนุษย์เกินไป พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่บ่มเพาะกายหยาบได้แข็งแกร่งระดับนี้มาก่อน


จูเซวียนพยักหน้าและจ้องมองหลิงฮัน ถึงแม้นางจะยังโมโหอีกฝ่ายแต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสนใจ กายหยาบที่แข็งแกร่งขนาดนั้นทำให้แม้แต่นางที่เป็นลูกสาวของจ้าวอสูรรู้สึกสนใจ


ภายในหอคอยทมิฬ หอคอยน้อยปรากฏตัวและสั่นไหวเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าเจ้าหนูนั่นจะตระหนักได้แล้วว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนสามารถผสานรวมเข้าด้วยกันได้ ไม่เลวจริงๆ คิดว่าข้าต้องเป็นคนเตือนเขาเองเมื่อตอนที่บรรลุเป็นเซียนเสียอีก”


“ข้าจะช่วยหน่อยแล้วกัน จะอย่างไรเขาก็เป็นเจ้านายของข้า”


หอคอยปากไม่กับตรงใจกล่าวพร้อมกับกระตุ้นอำนาจของต้นสังสารวัฏและส่งผ่านไปให้กับหลิงฮัน


ที่โลกภายนอก แม้เวลาจะเดินไปด้วยความเร็วปกติ แต่สติของหลิงฮันนั้นราวกับว่าหลุดออกจากกายหยาบไปยังโลกอื่น เวลาในห้วงความคิดของเขาเดินช้าลงกว่าปกติหลายแสนหลายล้านเท่า


หลิงฮันเริ่มฉุกคิดเข้าใจหลักการอะไรบางอย่างก่อนจะเข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง ไม่รู้ว่าเวลาในห้วงความคิดของเขาผ่านไปนานเพียงใดแต่จู่ๆร่างของหลิงฮันก็สั่นสะท้าน


ใครบอกกันว่าอำนาจแห่งการสรรสร้างและการทำลายล้างไม่อาจอยู่ร่วมกันได้?


ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งบนโลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นมาหรืออย่างไร? และสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเหล่านั้นก็จะเสื่อมสลายถูกทำลายไปในที่สุด แต่ก็ใช้ว่าพอถูกทำลายไปแล้วก็จะเป็นแบบนั้นตลอดไป ผ่านไปไม่นานเดี๋ยวสิ่งใหม่ก็จะถูกสรรสร้างขึ้นมาอยู่ดี

 

 

 


ตอนที่ 1550

 

หลิงฮันใคร่ครวญถึงหลักการของสวรรค์และปฐพี


พืชที่เติบโตย่อมถูกวัวหรือแกะกัดกิน ในกรณีนี้สิ่งที่ถูกทำลายคือพืช แต่พื้นก็ได้สร้างพลังงานหล่อเลี้ยงให้วัวหรือแกะก็มีชีวิตได้ต่อไป วัวหรือแกะที่มีชีวิตอยู่ถูกสัตว์ร้ายอย่างหมาป่าหรือพยัคฆ์จู่โจม ความตายของพวกมันกลายเป็นพลังงานชีวิตให้กับหมาป่าและพยัคฆ์


ความเป็นกับความตาย อำนาจทำลายล้างและอำนาจสรรสร้าง ห้วงจิตใจของหลิงฮันค่อยๆเกิดการเปลี่ยนแปลง


‘ครืนน’ จู่ๆร่างของเขาก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้า


พรวด!


เหล่าจอมยุทธที่อยู่รอบข้างสำลักและชะงักแน่นิ่งทันทีที่เห็น


“แสงแห่งเต๋า!”


“เป็นไปไม่ได้!”


ทุกคนแทบจะบ้าคลั่ง… นี่มันการยอมจากสวรรค์และปฐพี!


หากจะให้พูดคือ มีเพียงการสร้างทักษะหรือหลักการใหม่ขึ้นด้วยตนเองเท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับจากสวรรค์ ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากสวรรค์จะได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาล


น่าอิจฉา! ช่างน่าอิจฉายิ่งนัก!


แววตาของจูเซวียนส่องประกาย ตอนนี้นางไม่คิดว่าหลิงฮันเป็นหัวขโมยไก่อีกต่อไป! อัจฉริยะที่ถึงขนาดสวรรค์และปฐพียังยอมรับจะเป็นหัวขโมยไก่ได้อย่างไร?


ช่างน่าขัน ทุกอย่างมีต้นเหตุมาจากโก้วลี่คนเดียว หลิงฮันเพียงแค่อยู่ผิดที่ผิดเวลาเท่านั้น


ผู้คนรอบข้างที่เห็นท่าทีของนางต่างรู้สึกเศร้าโศกในใจ เห็นได้ขัดว่าตอนนี้จิตใจของแม่นางจูกำลังสั่นไหว


หลิงฮันเผลอนั่งขัดสมาดลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว เข้าใจหลักการที่ว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองสามารถผสานรวมกันได้นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การจะนำไปฝึกฝนประยุกต์ใช้ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี


สิ่งสำคัญที่สุดเลยคือเวลาที่ต้องใช้ฝึกฝน แต่ขั้นตอนนี้ด้วยต้นสังสารวัฏหลิงฮันจึงไม่มีปัญหาใดๆ


เขาลืมตาขึ้น แสงสว่างแห่งเต๋าภายในดวงตาของเขาดูลึกลับราวกับก้นบึ้งอันไร้ที่สิ้นสุด


หลิงฮันกวาดสายตามองรอบด้านและรู้สึกประหลาดใจ เขาจำได้ว่าตนเองใช้เวลาทำความเข้าใจไปอย่างร้อยหนึ่งร้อยปีแน่นอน แต่เหตุใดพอลืมตาขึ้นมาแล้วกลับดูเหมือนว่าเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวัน? เขาไม่ได้เข้าไปในหอคอยทมิฬเสียด้วยซ้ำ หรือว่า…!


เขากล่าวในใจ “หอคอน้อย นี่เป็นฝีมือของเจ้า?”


“ข้าแค่อารมณ์ดีเลยช่วยเจ้า ไม่ต้องขอบคุณข้าเพราะตอนนี้ข้ายังรู้สึกอยู่เลยว่าตัวเองคิดผิดรึเปล่าที่ช่วยเจ้า!” หอคอยน้อยกล่าวอย่างไม่แยแส


หลิงฮันเลิกสนใจหอคอยปากไม่ตรงกับใจและหันไปมองเป่ยไคด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษที่ข้าเหม่อลอยไปเมื่อครู่นี้ มาสู้กันต่อดีกว่า”


สู้ต่อน้องสาวเจ้าสิ!


 


เป่ยไคส่ายหัว แม้พลังต่อสู้ของหลิงฮันจะไม่แข็งแกร่งแต่กายหยาบของอีกฝ่ายนั้นไร้เทียมทานจนโจมตีอย่างไรก็ไม่ได้ผล หากสู้ต่อก็มีแต่จะเป็นการบั่นทอนจิตใจของตัวเขาเอง


หลิงฮันไม่สนใจว่าเป่ยไคจะว่าอย่างไรและพุ่งทะยานปล่อยหมัดทันที


เป่ยไคไม่มีทางเลือกอื่นและต้องลงมือตอบโต้


แต่ที่เขาไม่คาดคิดคือพลังต่อสู้ของหลิงฮันลดลงไปจากเดิมมาก ก่อนหน้านี้ในสิบกระบวนท่าหลิงฮันจะสามารถตอบโต้ได้หนึ่งครั้ง แต่แล้วตอนนี้ล่ะ? พลังต่อสู้ของเขาด้อยเสียกว่าระดับสุริยันจันทราเสียอีก


ไม่สิ อย่าว่าแต่ระดับสุริยันจันทราเลย ในมุมมองของเขาอาจจะเป็นเพียงระดับภูผาวารีที่ค่อนข้างแข็งแกร่งด้วยซ้ำ


“เจ้ากล้าดูหมิ่นข้าโดยการลดพลังของตัวเองลงไปขนาดนั้น?” เป่ยไคเกรี้ยวกราด นี่หลิงฮันดูถูกเขาถึงขนาดไหนกัน? “อย่าได้ล้ำเส้นเกินไป!” เขาลงมือกระหน่ำโจมตีอย่างบ้าคลั่ง


อันที่จริงหลิงฮันไม่ได้ดูถูกอะไรเลย แต่เป็นเพราะอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งดินแดนที่เขาผสานได้สำเร็จคืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของระดับภูผาวารีเท่านั้น พลังต่อสู้ของเขาจึงไม่แข็งแกร่งอย่างที่ควรเป็น แต่ที่ทำให้หลิงฮันตกตะลึงก็คือหลังจากผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว พลังต่อสู้ของเขาถูกยกระดับจนแข็งแกร่งกว่าเดิมถึงสิบเท่า!


กล่าวก็คือหากเขาผสานอำนาจแห่งกฎเกณณ์ของทั้งสองดินแดนครบสมบูรณ์เท่าระดับพลังบ่มเพาะ พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดาวเมื่อเทียบกับราชา


ยิ่งกว่านั้นคือหลังจากผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์แล้ว อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ใหม่ของเขาจะไม่ถูกสวรรค์และปฐพีของดินแดนใต้พิภพกีดกันอีกต่อไปเนื่องจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ใหม่นี้มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพผสานอยู่ด้วย และแน่นอนว่าต่อให้เขากลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สวรรค์และปฐพีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่กีดกันลบล้างอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ใหม่นี้เช่นกัน


หลิงฮันหัวเราะดีใจ เขาระเบิดพลังต่อสู้ทั้งหมดออกมาและพุ่งเข้าปะทะกับเป่ยไค


ทุกคนกลายเป็นไร้คำพูด หากจะบอกว่าหลิงฮันจงใจแสร้งทำเป็นอ่อนแอก็ดูจะสมจริงเกินไป ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนว่าแกล้งลดพลังลงเลยแม้แต่น้อย แต่จะบอกว่าพลังต่อสู้อันน้อยนิดนี้เป็นของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ก็กระไรอยู่…


เพียงแต่ว่ายิ่งหลิงฮันต่อสู้พลังของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะอย่างไรอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในตอนนี้ก็เป็นเพียงของระดับวารีนิรันดร์ ด้วยพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ย่อมใช้เวลาไม่มากในการผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ระดับภูผาวารีทั้งสองเข้าด้วยกัน


ที่สำคัญคือเขามีอำนาจของต้นสังสารวัฏคอยเกื้อหนุนอยู่ อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของเขาจึงถูกผสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว


ระดับภูผาวารี… ระดับสุริยันจันทรา… ระดับดารา!


ทุกคนแน่นิ่งไร้คำพูดในขณะที่กำลังมองเห็นว่าพลังต่อสู้ของหลิงฮันค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนเริ่มคิดแล้วว่าหลิงฮันจะต้องกำลังหยอกล้อเป่ยไคอยู่แน่นอน ไม่เช่นนั้นตัวของหลิงฮันที่ทำให้สวรรค์ยอมรับได้จะมีพลังต่อสู้ที่อ่อนแอได้อย่างไร?


มีเพียงหลิงฮันคนเดียวที่รู้ว่าเขาไม่ได้หยอกล้อเป่ยไค แต่ในทางกลับกัน เขากำลังยืมมือของเป่ยไคขัดเกลาพลังของตนเองอยู่ต่างหาก ไม่เช่นนั้นหากไม่ใช่ประสบการณ์จากการต่อสู้จริง พลังของเขาย่อมไม่มีทางพัฒนาได้รวดเร็วเช่นนี้


และแล้วในที่สุดพลังต่อสู้ของเขาก็กลับมาเป็นระดับวารีนิรันดร์อีกครั้ง ทว่าเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วพลังต่อสู้ของหลิงฮันก็ไม่เพิ่มขึ้นอีกต่อไป


นั่นเป็นเพราะตอนนี้ความเข้าใจในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพของเขานั้นเหนือไปกว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่มีทางผสานอำนาจแห่งเกณฑ์ทั้งสองให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้


ช่างเสียดาย…


หลิงฮันถอนหายใจก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาชี้นิ้วโจมตีและกระตุ้นพลังของรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศทั้งสิบเอ็ดเล็กน้อย ‘ตูม’ เป่ยไคร้องโอดครวญ ร่างของเขาถูกส่งลอยกระเด็นพร้อมมีบาดแผลถูกทิ้งไว้บริเวณหน้าอก


ต่อให้เขาเป็นราชาก็ไม่สามารถต้านทานอำนาจของรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศทั้งสิบเอ็ดได้ ที่เขาบาดเจ็บไม่มากเป็นเพราะหลิงฮันใช้พลังเพียงเศษเสี้ยว หากถูกโจมตีด้วยพลังเต็มที่เขาคงถูกสังหารไปแล้ว


แข็งแกร่ง!


หากเป็นก่อนหน้านี้ทุกคนอาจจะทำใจเชื่อไม่ลง แต่หลังจากเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างๆนาๆก็ไม่มีสักคนเดียวที่เอ่ยกล่าวอะไรออกมา


แม้แต่เป่ยไคก็ยังพ่ายแพ้ ในที่นี่จะมีใครสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของหลิงฮันได้?


ทุกคนจ้องมองไปยังก่วงเฟยเฉิน ถึงแม้เขาจะไม่ใช่สุดยอดราชาที่อัจฉริยะที่สุด แต่ในด้านของพลังบ่มเพาะแล้วเขาคือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด กล่าวได้ว่าในระดับพลังที่ต่ำกว่าเซียนเขาคือตัวตนที่ทรงพลังที่สุด อีกอย่างก่วงเฟยเฉินก็อยู่ในระดับพลังนี้มานานแล้ว พลังต่อสู้ของเขาย่อมถูกขัดเกลาจนไร้เทียมทาน


ก่วงเฟยเฉินแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่รู้ไม่เห็น เขาไม่มีความมันใจว่าจะเอาชนะหลิงฮันจึงไม่คิดจะเอาชื่อเสียงของตัวเองไปเสี่ยง

 

 

 


ตอนที่ 1551

 

ครืน!


ทันใดนั้นเอง จู่ก็มีคลื่นแสงลอยผ่านเข้ามาจากระยะทางที่ห่างไกล ‘ตูม’ คลื่นแสงนั้นตกกระทบที่ปลายยอดเขาส่งผลให้เกิดเสียงดังสนั่น


เมื่อคลื่นแสงสลายไปก็พบกับร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างองอาจ เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาแต่กลับมีหูแมวสีเงินงอกออกมาสองข้าง ความน่ารักของหูแมวนั่นเกรงว่าอาจจะทำให้บุรุษบางคนที่ใจแข็งพอรู้สึกหวั่นไหวได้


“บังอาจ!” พริบตานั้นเหล่าจอมยุทธจำนวนหนึ่งคำรามเสียงดัง อีกฝ่ายบังอาจนักที่ไม่ทำตามกฎ ใครก็ตามที่จะมายังยอดเขาแห่งนี้ได้ต้องทดสอบพลังเสียก่อนว่ามีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่


ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวนี้ไม่มีคุณสมบัติแน่เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงจอมยุทธระดับดาราเท่านั้น


“ลงไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” จอมยุทธหลายคนลงมือ


“ฮึ่ม!” เสียงคำรามของใครบางคนดังขึ้น ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ร่างของเหล่าจอมยุทธที่ลงมือโจมตีถูกซัดลอยกระเด็นกลับไป หลังจากนั้นร่างของใครอีกคนหนึ่งก็ปรากฏตัว ร่างนั้นมีเรือนร่างที่ผอมบาง ทั้งเส้นผมและดวงตาของร่างนั้นเป็นสีเงินอันงดงามน่าดึงดูด


ร่างนี้เป็นบุรุษหรือสตรีนั้นไม่มีใครสามารถบอกได้เนื่องจากสวมชุดคลุมหลวมโคร่งที่ทำให้มองไม่เห็นความโค้งเว้าของเรือนร่าง


“ม่อหลี!” เมื่อเห็นร่างที่ปรากฏตัว ใครหลายคนก็อุทานด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน


ที่เขตดวงอรุณสาดส่องแห่งนี้นั้นยังไม่มีข้อสรุปว่าระหว่างจ้าวอสูรป้าเจี้ยนกับจ้าวอสูรขวงล่วนใครแข็งแกร่งกว่ากัน จ้าวอสูรทั้งสองปะทะกันเป็นเวลานานมากแต่ผลลัพธ์ก็ลงเอยที่เสมอกันตลอด


แต่ในระดับวารีนิรันดร์นั้น หากม่อหลีกล่าวว่าตนเองแข็งแกร่งเป็นอันดับสองย่อมไม่มีใครกล้าเอ่ยว่าตนเองเป็นอันดับหนึ่ง


ม่อหลีผู้นี้คือจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่ไร้เทียมทานที่สุด อีกฝ่ายมีศักยภาพที่จะกลายเป็นเจ้าอสูรได้สำเร็จเกินกว่าสามในสิบส่วน อย่ามองว่าสามส่วนนั้นเล็กน้อย ตามความเป็นจริง ในหมู่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์หนึ่งหมื่นคน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่กล้ากล่าวอย่างมั่นใจว่าตนเองจะมีโอกาสกลายเป็นจ้าวอสูรได้แม้แต่หนึ่งส่วน


พรสวรรค์และความแข็งแกร่งของม่อหลีเป็นที่ประจักษ์กันดี


ยิ่งกว่านั้นอีกฝ่ายก็ยังมีสถานะเป็นถึงศิษย์สืบทอดของจ้าวอสูรขวงล่วน


ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ม่อหลีจะปรากฏตัวที่นี่ อีกไม่กี่วันจ้าวอสูรป้าเจี้ยนกับจ้าวอสูรขวงล่วนจะทำการปะทะกัน การที่ศิษย์ของเขามาอยู่ที่นี่ด้วยก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไง?


แววตาของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นขึงขังเล็กน้อย ม่อหลีผู้นี้ทำให้เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ายำเกรง อีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเริ่นเฟยอวิ๋นหรือไช่เหมี่ยว บางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าส่วนหนึ่งด้วยซ้ำ


แต่ที่เขารู้สึกสนใจก็คืออีกฝ่ายเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่


ชายหนุ่มหูแมวก้าวเดินเข้ามาใกล้และเผยรอยยิ้มให้กับจูเซวียน “เจ้าคือจูเซวียน ธิดาของจ้าวอสูรป้าเจี้ยน?”


จูเซวียนมองไปยังอีกฝ่ายก่อนจะพยักหน้า “ไม่ผิด แล้วเจ้าเป็นใคร?”


“ชื่อของข้าคืออูเจวี๋ย บุตรของจ้าวอสูรขวงล่วน” ชายหนุ่มหูแมวกล่าว


ทุกคนเข้าใจทันที ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมม่อหลีถึงลงมือ ที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็นบุตรของอาจารย์ของนางนี่เอง


“ข้ามาที่นี่เพื่อดูว่าคู่หมั้นของข้ามีหน้าตาอย่างไร หากคู่หมั้นของข้าอัปลักษณ์ข้าย่อมไม่มีวันยอมแต่งงานด้วยแน่นอน” อูเจวี๋ยจ้องมองจูเซวียนตั้งแต่หัวจรดเท้า “ก็ไม่แย่ แต่ดูเหมือนเอวจะหนาไปหน่อยรึเปล่า?”


ประโยคสุดท้ายเขากล่าวถามกับม่อหลี


ม่อหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงหน้าตายไร้อารมณ์ “ไม่ใช่ว่าเอวของนางหนา แต่เป็นสะโพกของนางที่เล็กเกินไปทำให้ความโค้งเว้าของเอวไม่ค่อยเด่นชัด”


เขาเสียงของม่อหลีเฉื่อยชาไร้อารมณ์ทำให้ดูไม่ออกว่าเป็นเสียงของบุรุษหรือสตรี


พรวด!


ใครหลายคนกลั้นหัวเราะไม่ไหว คำพูดที่กล่าวออกมาจากใบหน้าที่ไร้อารมณ์นั่นทำให้พวกเขารู้สึกขบขันเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน ใบหน้าอันงดงามของจูเซวียนได้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำ มือขวาของเขากำดาบเอาไว้แน่นราวกับต้องการจะสังหารใครบางคน


อูเจวี๋ยพยักหน้าและกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น!”


“อืม!” ม่อหลีพยักหน้าหนักแน่น


“พวกเจ้าพูดคุยกันพอแล้วรึยัง!” จูเซวียนกัดฟันแค้น


“อย่าโมโหไปเลยน่า” อูเจวี๋ยยิ้มและกล่าว “ข้าผิดเองที่ปากไม่ดี อย่างไรพวกเราก็เป็นคู่หมั้นกันนะ!”


“พูดพล่อยๆ!” จูเซวียนชำเลืองมองไปยังหลิงฮันราวกับกลัวว่าหลิงฮันจะเข้าใจผิดและรีบกล่าวแย้ง “ใครเป็นคู่หมั้นของเจ้ากัน!”


“บิดาของเจ้าแพ้เดิมพันกับบิดาของข้า ซึ่งสิ่งที่บิดาของเจ้าใช้เดินพันก็คือตัวเจ้า” อูเจวี๋ยกล่าวพร้อมกับยักไหล่


แพ้เดิมพัน?


จูเซวียนจิตใจสั่นสะท้าน “อย่าพูดไร้สาระ บิดาของข้าจะแพ้ให้กับผู้อาวุโสขวงล่วนได้อย่างไร!”


ม่อหลีเอ่ยแทรก “ผลลัพธ์เดิมพันยังไม่ถูกตัดสิน การประลองของทั้งสองจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้”


จูเซวียนถอนหายใจโล่งอก ดูเหมือนการต่อสู้ของจ้าวอสูรทั้งสองจะเป็นตัวสินการแต่งงานของนาง แน่ไม่ว่าอย่างไรนางก็มั่นใจว่าบิดาของนางไม่มีทางพ่ายแพ้ นางเค้นเสียงและกล่าว “อย่าได้เพ้อฝัน!”


ม่อหลีกล่าว “แม่นางจู การเดิมพันนี้ผู้อาวุโสป้าเจี้ยนเป็นคนเสนอเอง”


ใบหน้าของจูเซวียนเปลี่ยนเป็นมืดมน ดูเหมือนบิดาของนางจะมั่นใจมากว่าจะชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ เขามั่นใจถึงขนาดนำนางไปเป็นสิ่งเดิมพัน!


อูเจวี๋ยอ้าปากหาวก่อนจ้องไปยังหลิงฮันเนื่องจากก่อนหน้าจูเซวียนได้แอบชำเลืองมองไปยังหลิงฮัน โดยปกติแล้วเขาจะไม่คิดสนใจ แต่ใครใช้ให้จูเซวียนเป็นคู่หมั้นของเขากันล่ะ?


หืม?


เขาชะงักทันทีเมื่อเห็นหลิงฮัน เขาจดจ้องอยู่สักพักก่อนจะกล่าว “เจ้า… ช้ารู้สึกคุ้นหน้าเจ้ายังไงชอบกล”


หลิงฮันจ้องมองอีกฝ่ายกลับ เขาไม่เคยมาที่ดินแดนใต้พิภพมาก่อน เข้าจะรู้กับกับบุตรของจ้าวอสูรได้อย่างไร? เขายิ้มและกล่าว “พวกเราเคยพบกันเมื่อไหร่รึ?”


“โดยเฉพาะรอยยิ้มนั่นช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก! ข้าต้องเคยพบเจอเจ้ามาก่อนแน่อนอน!” อูเจวี๋ยชี้นิ้วใส่หลิงฮันด้วยท่าทีหงุดหงิด


มุมปากของหลิงฮันกระตุก จากท่าทางคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว ดูเหมือนว่าอูเจวี๋ยผู้นี้จะรู้จักเขาจริงๆ แต่ก็แปลก เขาไม่เคยพบกับรุ่นเยาว์ผู้นี้เลยแท้ๆ


“ใช่แล้ว! เป็นเจ้า!” อูเจวี๋ยกระโดดพุ่งทะยานปล่อยหมัดเข้าใส่หลิงฮันทันใด


อะไรของเจ้า!


หลิงฮันสะบัดมือผลักร่างของอูเจวี๋ยกลับก่อนจะยิ้มและกล่าว “เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ถ้าจะสู้ก็คนของเจ้ามาสู้แทน”


ท่าทางของอูเจวี๋ยดูตื่นเต้นเป็นอย่างมากถึงได้ผลีผลามพุ่งจู่โจมเช่นนั้น แต่ด้วยการที่มีม่อหลีอยู่ด้วยย่อมไม่หวาดกลัวใคร เขารีบหันกลับไปหล่าว “ม่อหลี แก้แค้นให้ข้า!”


“เขาเคยทำอะไรกับเจ้าไว้?” ม่อหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์


อูเจวี๋ยใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความเขินอายและไม่กล้าพูดออกไป


หลิงฮันรีบกล่าว “นี่เจ้ามีเรื่องอะไรก็รีบๆพูดออกมา มัวแต่ลีลาและท่าทีเขินอายเช่นนั้นเดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดว่าข้าไปทำอะไรเจ้าไว้!”

 

 

 


ตอนที่ 1552

 

อูเจวี๋ยไม่สนใจและยังคงกล่าวคำเดิมด้วยท่าทีเอาแต่ใจ “ม่อหลี เจ้าต้องแก้แค้นให้ข้า แก้แค้นให้ข้า!”


ภาพตรงหน้าทำให้จูเซวียนไม่อารมณ์ยิ่งขึ้นไปอีก คนที่มีนิสัยเป็นเด็กเช่นนี้น่ะรึจะมาเป็นสามีของนาง?


ม่อหลีพยักหน้าและกล่าว “อืม!”


นี่เจ้าจะลงมือจริงๆ?


ทุกคนรู้สึกสงสัยและตื่นเต้น ชื่อเสียงของม่อหลีนั้นเป็นที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานและไม่มีใครกล้าท้าประลองด้วย แต่ตอนนี้หลิงฮันที่มีกายหยาบอันไร้เทียมทานได้ปรากฏตัวขึ้นมา ทุกคนต่างสงสัยว่าเขาจะต้านทานการโจมตีของม่อหลีได้หรือไม่?


“ข้าจะลงมือสามกระบวนท่า” ม่อหลีกล่าวกับหลิงฮันด้วยสีหน้าสงบนิ่ง


หลิงฮันยิ้มและกล่าว “พวกเราไม่ได้มีความบาดหมาง เหตุใดต้องสู้กันด้วยกัน?”


ใครหลายคนส่ายหัว หากม่อหลีลงมือใครจะสามารถต้านทานได้? เมื่อไม่กี่ล้านปีก่อนมีข่าวลือว่าตราบใดที่ม่อหลีลงมือ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ระดับใดก็ต้องพินาศ สามหมัดสามารถกำราบจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ได้แทบจะทุกคน และสิบหมัดสามารถกำราบสุดยอดราชาในหมู่ราชาได้อย่างราบคาบ


ไม่แสดงสีหน้าใดๆและกล่าวอีกครั้ง “สามกระบวนท่า”


“ก็ได้ๆ ข้าจะเล่นกับเจ้าก็ได้!” หลิงฮันครุ่นคิดชั่วครู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงได้กล่าวออกไป “มาเดิมพันกัน หากข้ารับสามกระบวนท่าของเจ้าไม่ได้เจ้าจะสังหารหรือทำอะไรกับข้าก็ได้ แต่ว่าหากข้ารับสามกระบวนท่าของเจ้าได้ เจ้าต้องบอกว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นบุรุษหรือสตรี”


ทันทีที่ได้ยินข้อเสนอเดิมพันของหลิงฮัน ทุกคนก็สูดหายใจลึกด้วยความตะลึง


เจ้าไม่รู้รึไงว่านั่นคือม่อหลี จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์อันดับหนึ่ง!


หากอีกฝ่ายต้องการเปิดเผยว่าตนเองเป็นเพศใด เจ้าจะจำเป็นต้องถามเองรึไง? เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการเปิดเผยให้ใครรู้! การที่เจ้าไปจี้จุดตรงเช่นนั้นไม่ใช่ว่าเป็นการรนหาที่ตายหรอกรึ?


ม่อหลียังคงเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และเหินขึ้นฟ้า “มาสู้ได้แล้ว”


“ไม่ต้องกังวลนะน้องชาย ถ้าเจ้าตาย พี่ชายคนนี้จะเก็บศพให้เจ้าเอง” โก้วลี่เดินเข้ามา กายหยาบและความเร็วในการฟื้นฟูบาดแผลของเขาน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก


“ไสหัวไป!” หลิงฮันแทบจะไล่เตะอีกฝ่าย


ร่างของเขาค่อยเหาะเหินขึ้นไปใกล้ม่อหลีบนท้องฟ้า


“กระบวนท่าแรก” ม่อหลีผลักฝ่ามือขวาเข้าใส่หลิงฮัน


แววตาของหลิงฮันส่องกระกายสู้รบ อีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าพวกเริ่นเฟยอวิ๋นและเป็นไปได้สูงมากกว่าอีกฝ่ายจะเป็นราชาระดับสาม! ราชาระดับนั้นหาตัวจับได้ยากมาก


เขากระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศทั้งสิบเอ็ด ‘ครืน’ ทั่วร่างของเขาปลดปล่อยคลื่นพลังรุนแรงอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา


หลิงฮันลงมือตอบโต้ เขายังไม่ใช้พลังทั้งหมดโดยจู่โจมด้วยพลังเพียงสามส่วนเท่านั้น


เพียงแต่ว่าแค่สามส่วนนี้ก็น่าสะพรึงกลัวมากแล้ว


เขาปล่อยหมัดออกไป พลังทำลานอันไร้ก้นบึ้งถูกปลดปล่อยออกมาราวกับจะสามารถบดขยี้ได้ทุกสรรพสิ่ง


ทุกคนที่เห็นเช่นนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็ว!


ก่อนหน้านี้หลิงฮันแสดงให้เห็นเพียงกายหยาบที่ไร้เทียมทาน พลังต่อสู้ของเขาไม่นับว่าแข็งแกร่งอะไร ตอนนี้พลังต่อสู้ของหลิงฮันกลับไปเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน


มีเพียงเป่ยไคคนเดียวที่เหมือนจะรู้อยู่แล้ว ในตอนที่เขาถูกหลิงฮันโจมตีครั้งสุดท้ายเขาสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงที่ทำให้โลหิตในร่างหยุดไหลมาจากการโจมตีของหลิงฮัน แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัว


ใบหน้าของม่อหลียังคงนิ่งเฉยดังเดิม ที่เปลี่ยนไปมีเพียงแค่มุมปากที่กระตุกเล็กน้อย ผมสีเงินของอีกฝ่ายสยายออก วิถีดาราจักรที่อัดแน่นไปด้วยดวงดาวนับไม้ถ้วนปรากฏออกมาที่ด้านหลัง


“เหลือเชื่อ!” ใครบางคนอุทานออกมา เขาตกตะลึงจนแทบเป็นลม “จำนวนของดวงดาวในวิถีดาราจักรมีมากกว่าหนึ่งล้านดวง!”


ว่าไงนะ!


ทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออก


ดวงดาราหนึ่งล้านดวงหมายถึงระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดที่พร้อมจะทะลวงผ่านระดับสร้างสรรพสิ่ง แต่การจะก้าวสู่ระดับสร้างสรรพสิ่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จึงมีจอมยุทธที่มีพรสวรรค์ราวกับสัตว์ประหลาดบางคนสามารถควบแน่นดวงดาราในระดับวารีนิรันดร์ได้เกินกว่าหนึ่งล้านดวง


การทำเช่นนี้จะทำให้พลังต่อสู้ของพวกเขาเพิ่มขึ้น แต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์จะยังคงแข็งแกร่งเท่าเดิมเนื่องจากยังไม่บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่ง


ที่น่าตกตะลึงก็คือม่อหลีถึงขนาดต้องเปิดเผยวิถีดาราจักรออกมาให้เห็น นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากหลิงฮันขนาดไหนจนต้องทำแบบนี้


ตูม!


การโจมตีของทั้งสองเข้าปะทะกัน ร่างของพวกเขาลอยกระเด็นถอยไปด้านหลังพร้อมกัน


ใบหน้าของม่อหลีซีดขาวเล็กน้อยในขณะที่หลิงฮันไม่รู้สึกอะไรเลย แค่กายปะทะในระดับนี้จะทำให้กายหยาบของเขาสั่นไหวได้?


หลิงฮันไม่รีรอและลงมือโจมตีต่อทันที


ครั้งนี้เขาเพิ่มพลังของรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศเป็นเจ็ดส่วน!


ม่อหลีกัดฟันและโจมตีปะทะ


ตูม!


ร่างของทั้งสองลอยกระเด็นอีกครั้ง ม่อหลีทรงพลังเป็นอย่างมาก อีกฝ่ายสามารถโจมตีตอบโต้ได้โดยไม่เสียเปรียบแม้แต่นิดเดียว มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่ซีดขาวกว่าเดิมนิดหน่อย


หลิงฮันลงมืออีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ปกปิดอีกต่อไปและใช้พลังทั้งหมดของสิบเอ็ดรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศ


ตูมมมม!


การโจมตีของทั้งสองรุนแรงจนท้องฟ้าแทบจะพังทลายร่วงลงมา เสียงปะทะกันส่งผลให้เกิดเสียงดังก้องกังวาลไปทั่วบริเวณ


ม่อหลีแข็งแกร่งอย่างแท้จริง อีกฝ่ายสามารถต้านทานการโจมตีเต็มพลังของรูปแบบอาคมเก้าผสานพินาศทั้งสิบเอ็ดได้! แต่เมื่อคิดอีกทีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกฝ่ายควบแน่นดวงดาราได้เกินหนึ่งล้านดวง ตามทฤษฎีพลังบ่มเพาะของอีกฝ่ายก็คือระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์หรือกึ่งจ้าวอสูร!


พลังของม่อหลีเปรียบเสมือนจ้าวอสูรที่ไร้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์


ทุกคนรู้จักม่อหลีในนามของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์อันดับหนึ่ง การที่หลิงฮันต่อสู้ได้ทัดเทียมหรือแม้กระทั่งเป็นฝ่ายบุกจู่โจมม่อหลีของเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่อาจยอมรับได้


ตามจริงแล้วหลิงฮันต้องเป็นฝ่ายรับสามกระบวนท่า แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นหลิงฮันเป็นคนโจมตีสามประบวนก่อนเสียเอง


หลิงฮันลืมไปแล้วว่าจะตัดสินกันด้วยสามกระบวนท่า เขาลงมือโจมตีต่อโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น


ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!


ทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงจนดวงตะวันและจันทราหม่นหมอง ราชาเช่นพวกเขาสองคนไม่มีฝ่ายใดยอมแพ้ให้กัน เพียงแต่ว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นมาถึงอีกวันพวกเขาก็ต้องหยุดมืออย่างเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากที่ห้วงอากาศเหนือท้องฟ้าขึ้นไปได้มีพลังผันผวนอันน่าสะพรึงกลัว การปะทะกันของจ้าวอสูรได้เริ่มขึ้นแล้ว


หลิงฮันจ้องมองไปยังห้วงอวกาศ จ้าวอสูรทรงพลังยิ่งนัก ขนาดพวกเขาปะทะกันที่ดวงดาวที่ห่างไกลออกไปหลายล้านดวงก็ยังสามารถมองเห็นการต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างชัดเจน


“เจ้าชนะเดิมพัน” ม่อหลีกล่าวอย่างไร้อารมณ์ก่อนจะบอกคำพูดบางอย่างกับหลิงฮันผ่านสัมผัสสวรรค์


ใบหน้าของหลิงฮันแสดงออกถึงความรู้สึกประหลาดใจ

 

 

 


ตอนที่ 1553

 

ม่อหลีหน้าตายผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นสตรี!


นางดูไม่มีเสน่ห์ของความเป็นสตรีแม้แต่น้อย!


เพียงแต่ในขณะเดียวกันนางก็ดูไม่มีความเป็นบุรุษด้วยเช่นกัน หากนางกล่าวว่าเป็นบุรุษหลิงฮันก็คงคิดว่าพลังธาตุหยางของนางมีน้อยเกินไปทำให้ดูไม่เป็นบุรุษ


“ไม่จริง!” อูเจวี๋ยกระทืบเท้าชี้นิ้วใส่หลิงฮัน “เจ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้เจ้าเพิ่งบรรลุระดับดาราเองแท้ๆ ผ่านไปแค่ร้อยปีเหตุใดเจ้าถึงแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้!”


หลิงฮันประหลาดใจ “พบเคยพบข้าเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน? ข้าไม่ยักจะจำได้”


อูเจวี๋ยเค้นเสียงปฏิเสธจะเอ่ยถึงสถานการณ์ในตอนนั้น


หลิงฮันครุ่นคิด อูเจวี๋ยคงพบเขาที่ดาวหยุนติ่งเนื่องจากที่ดาวเหอหนิงนั้นไม่มีสนามรบสองดินแดน


เพียงแต่ที่สนามรบสองดินแดนก็มีสิ่งมีชีวิตใต้พิภพจำนวนมาก เขาจดจำคนที่เขาเคยพบเจอได้ไม่ลืมแต่ถึงอย่างนั้นก็นึกไม่ออกว่าพบกับอูเจวี๋ยตอนไหน


ช่างมันแล้วกัน เขาสังหารไปแล้วแม้กระทั่งตัวตนระดับเซียน ทำไมต้องไปใส่ใจเรื่องที่ไปล่วงเกินบุตรของจ้าวอสูรด้วย?


เมื่อคิดได้แบบนี้หลิงฮันก็ปล่อยวางและไม่คิดอีกต่อไปว่าพบเจอกับอูเจวี๋ยตอนไหน


ยิ่งกว่านั้นถึงแม้อูเจวี๋ยจะมีปัญหากับเขา แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้เกลียดเขาถึงขนาดอยากสังหารให้ตาย ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายคงเปิดเผยความจริงที่ว่าเขาเป็นจอมยุทธจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้ว


จ้าวอสูรทั้งสองปะทะกันอย่างดุเดือด นี่คือการปะทะกันของสองตัวตนที่ทรงพลังที่สุด คลื่นพลังทำลายล้างจากทั้งสองส่งผลให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสีหม่นหมอง ถึงแม้ม่อหลีจะมีพลังของระดับสร้างสรรพสิ่ง แต่หากก็เทียบไม่ได้เลยกับพลังของจ้าวอสูรที่แท้จริง


การปะทะไม่ได้กินเวลานานสักเท่าไหร่ ผ่านไปเพียงสิบวันจ้าวอสูรทั้งสองก็ล่าถอย


การปะทะครั้งนี้ทั้งสองเสมอกัน


เพียงแต่ว่าจ้าวอสูรป้าเจี้ยนนั้นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เดิมพันเพราะเขาบอกเอาไว้เองว่าการปะทะครั้งนี้เขาจะเป็นฝ่ายชนะ


Anchor


จูเซวียนรีบกลับไปหาบิดาของนางทันที เหตุใดถึงได้ใช้นางเป็นสิ่งเดิมพันกัน? หากอยากแต่งงานทำไมไม่ท่านไม่แต่งเองเสียล่ะ!


หลิงฮันปัดตูดกำลังจะออกไปจากที่นี่ ครั้งนี้เขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากมายจึงตั้งใจจะเก็บตัวสักระยะ อย่างแรกคือเขาต้องการยกระดับดาบอสูรนิรันดร์ให้กลายเป็นอุปกรณ์เซียน อย่างที่สองคือเขาต้องฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพให้เทียบเท่าระดับพลังบ่มเพาะปัจจุบัน


หากอำนำแห่งกฎเกณฑ์ทั้งสองเท่ากันและผสานเป็นหนึ่งเดียว พลังต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกระดับ


ถึงแม้รูปแบบอาคมจะช่วยให้เขามีพลังต่อสู้เกินกว่าระดับพลังบ่มเพาะไปแล้ว แต่หลิงฮันก็ยังไม่พึงพอใจ เขาต้องการแข็งแกร่งด้วยตัวเองไม่ได้จากรูปแบบอาคม


“ฮึ่ม เจ้าห้ามไปไหน!” อูเจวี๋ยเอ่ยห้าม ทั้งๆที่ตอนคู่หมั้นของตนเองจากไปเขาไม่ได้เอ่ยห้ามเลยแม้แต่คำเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจในตัวหลิงฮันยิ่งกว่า


“มีธุระอันใด?” หลิงฮันถามด้วยรอยยิ้ม


“ข้าจะแก้แค้นเจ้า!” อูเจวี๋ยจ้องมองด้วยแววตาเกรี้ยวกราด


“นี่ข้าไปทำอะไรให้เจ้ากันแน่?” หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูด หรือเขาจะเคยรังแกเด็กหนุ่มคนนี้จริงๆ?


“เจ้าต้องมากับข้า รอให้พลังของข้าไล่ตามเจ้าทันก่อนแล้วข้าจะแก้แค้นเจ้าด้วยตัวเอง!” อูเจวี๋ยกล่าวเอาแต่ใจเป็นอย่างยิ่ง


หลิงฮันหัวเราะและตบหัวอีกฝ่ายเบาๆ “เด็กน้อย อยู่กับความเป็นจริงบ้าง อย่าได้เอาแต่คิดเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้”


อูเจวี๋ยคำรามอย่างเกรี้ยวกราด นี่เจ้าดูถูกข้าขนาดไหนกัน? เขากวัดแกว่งหมัดเข้าหาหลิงฮัน แต่หลิงฮันกดหัวเขาเอาไว้ทำให้แขนเอื้อมไปไม่ถึงตัวหลิงฮัน


“ม่อหลี เจ้าคิดว่าในอนาคตข้าจะทุบตีเขาได้ไหม?” อูเจวี๋ยหันกลับไปถามม่อหลี


ม่อหลีตอบกลับไปโดยไม่ต้องคิด “เป็นไปไม่ได้!”


อูเจวี๋ยชะงักแข็งค้างและอยากจะร้องไห้ นี่เจ้าอยู่ฝ่ายไหนกันแน่?


“ข้าแค่พูดความจริง” ม่อหลีเอ่ยย้ำ


อูเจวี๋ยแน่นิ่งไปสักพักก่อนจะกล่าว “ข้าไม่เชื่อ ข้าจะต้องโค่นหมอนี่ให้ได้! หลิงฮัน เจ้ากล้ามากับข้ารึไม่?” เขากล่าวยั่วยุเพื่อรั้งหลิงฮันไว้


หลิงฮันครุ่นคิดและกล่าว “ไม่มีปัญหา”


อย่างแรกเลยคือเขาไม่มีเป้าหมายว่าจะไปที่ใดในดินแดนใต้พิภพนี้ อย่างที่สองคือม่อหลีเป็นคู่ต่อสู้ที่ดี เขาสามารถใช้นางเป็นหินลับคมให้แก่ตัวเขาเองได้


“งั้นก็ไปกัน!” อูเจวี๋ยเผยสีหน้าคื่นเต้น


“น้องชาย ในอนาคตพวกเราจะได้พบกันอีกแน่!” โก้วลี่กล่าวด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาดก่อนจะโบกมือจากไป


โก้วลี่มาถึงบริเวณหนึ่งที่ไม่มีใครอยู่และนำอะไรบางอย่างที่รูปร่างเหมือนเปลือกหอยที่ทำด้วยหยกออกมา เมื่อเขาปล่อยปราณก่อเกิดเข้าไปในเปลือกหอยรูปแบบอาคมบนเปลือกหอยก็ส่องประกาย


“อืม…” เสียงหนึ่งดังออกมาจากเปลือกหอย


“คารวะผู้อาวุโสเก้า!” โก้วลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ “ศิษย์พบเมล็ดพันธุ์ชั้นยอดคนหนึ่ง”


“ยอดเยี่ยมขนาดไหน?” อีกฝ่ายเอ่ยถาม


“หากศิษย์ดูไม่ผิด คนผู้นั้นสามารถผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้” น้ำเสียงของโก้วลี่กล่าวจริงจังเป็นอย่างมาก


“ว่าไงนะ!” อีกฝ่ายตกตะลึง “เป็นจ้าวอสูรคนใด?”


“ขอตอบผู้อาวุโสเก้า อีกฝ่ายไม่ใช่จ้าวอสูรแต่เป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์” โก้วลี่กล่าว


อีกฝ่ายไร้การตอบสนองไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “เจ้าแน่ใจว่าคนคนนั้นผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์จริงๆ?”


“ข้ามั่นใจมากกว่าเก้าส่วน” โก้วลี่กล่าวรับประกัน


“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเป็นคนไปพบเขาด้วยตนเอง เมล็ดพันธ์ที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้นสามารถกลายเป็นความหวังให้กับกลุ่มพันธมิตรของพวกเราได้” เสียงของอีกฝ่ายเว้นระยะชั่วครู่ “เจ้าติดตามคนผู้นั้นเอาไว้ดีอย่าให้คลาดสายตา”


“ขอรับ”


……


อูเจวี๋ยยังไม่รีบกลับ เขาเพิ่งมาดาวหานอวิ๋นเป็นครั้งนี้จึงขอใช้เวลาเดินเตร็ดเตร่ที่นี่ต่อก่อนซึ่งหลิงฮันก็ไม่ได้คัดค้าน พวกเขานัดพบกันในอีกสิบวันเพื่อจะไปยังดาวไห่คงซึ่งเป็นสถานที่อาศัยของจ้าวอสูรขวงล่วน


ในระหว่างนี้หลิงฮันจึงมีโอกาสเข้าไปในหอคอยทมิฬเพื่อยกระดับดาบอสูรนิรันดร์


หลังจากดูดกลืนแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสามไปจำนวนหนึ่งดาบก็พัฒนาเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสี่ได้สำเร็จ โดยหลิงฮันไม่หยุดเพียงเท่านี้และนำแร่โลหะระดับสูงขึ้นออกมายกระดับดาบอสูรนิรันดร์เป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบห้า สิบหก


หลังจากดูดกลืนแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบหกมากพอ บนดาบอสูรนิรันดร์ก็มีตราประทับศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำปรากฏขึ้นมา ซึ่งหลิงฮันไม่ได้เป็นคนสลักตราประทับนี้นี้ลงไปแน่นอน


มันคือตราประทับเซียน!


หลิงฮันจ้องมองตราประทับบนดาบอสูรนิรันดร์ที่ค่อยปรากฏขึ้นมาเพื่อศึกษาไปในตัว เพียงแต่ไม่ว่าจะมองยังไงเขาก็ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย


ระดับพลังของเขายังไม่เพียงพอที่จะเข้าใจหลักการของเซียน


หลิงฮันเลิกจ้องและหันมาฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพ


เขาไปยังต้นสังสารวัฏ บังเอิญว่าจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะเพิ่งจะฝึกฝนเสร็จพอดีเขาจึงเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เขาพบเจอให้พวกนางฟัง สตรีนกอมตะรู้สึกสนใจม่อหลีเป็นอย่างมาก นางอยากรู้ว่าจะจำแนกอีกฝ่ายว่าเป็นสตรีหรือบุรุษได้ยากเพียงใด


หลิงฮันเล่าให้พวกนางฟังด้วยว่าอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนสามารถผสานรวมกันได้ เกรงว่าหากต้องการเข้าสู่ดินแดนแห่งเซียนขั้นตอนนี้อาจจะเป็นสิ่งจำเป็น

 

 

 


ตอนที่ 1554

 

จักรพรรดิเมื่อรู้ว่าสามารถผสานอำนาแห่งกฎเกณฑ์ได้ก็แยกร่างแยกทั้งเก้าออกมาและนั่งลงใต้ต้นสังสารวัฏ แต่ต้นสังสารวัฏนั้นสามารถใช้งานได้เพียงสิบคนเพราะงั้นสตรีนกอมตะจึงไม่สามารถฝึกฝนได้ นางจึงจะออกจากหอคอยทมิฬไปใช้เวลากับหลิงฮัน


เพราะอย่างไรนางก็ฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพสำเร็จแล้ว แถมรูปลักษณ์ของสิ่งมีชีวิตใต้พิภพทั่วไปก็ไม่ต่างจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์


ในวันที่แปด ภายในหอคอยทมิฬดาบอสูรนิรันดร์ได้ปลดปล่อยคลื่นพลังอันรุงแรงออกมา ในที่สุดมันก็บรรลุเป็นอุปกรณ์เซียน!


หลิงฮันหยิบดาบขึ้นมาดู ตัวดาบที่ประณีตปลดปล่อยแสงสลัวๆออกมาพร้อมกับออร่าอันทรงอำนาจ


เขาลองสะบัดดาบเบาๆ ‘ครืน’ ตราประทับบนตัวดาบระเบิดพลังออกมา ในขณะเดียวกันปราณก่อเกิดในร่างของหลิงฮันก็ถูกดูดเข้าไปในดาบอย่างบ้าคลั่ง


“ด้วยอัตราเผาผลาญพลังเช่นนี้ข้าคงกระตุ้นใช้งานการโจมตีได้เพียงสองหรือสามครั้งเท่านั้น” หลิงฮันคาดเดา


ดาบอสูรนิรันดร์คืออาวุธที่เขาขัดเกลาขึ้นมาด้วยตัวเอง หากเป็นคนอื่นล่ะก็ ต่อให้เผาผลาญปราณก่อเกิดจนหมดตัวก็ไม่มีทางเลยที่จะกระตุ้นใช้งานอุปกรณ์เซียนได้ในขณะที่มีพลังบ่มเพาะเพียงระดับวารีนิรันดร์


“เนื่องจากปราณก่อเกิดมีจำกัด คงต้องคิดให้ดีก่อนใช้” หลิงฮันพึมพำ


“หลังจากโจมตีแล้วก็รีบหลบเข้ามาซ่อนตัวในหอคอยทมิฬหรือไม่ก็โจมตีทันทีหลังจากออกมาจากหอคอยทมิฬ”


เวลาผ่านไปอีกสองวัน ถึงเวลาที่นัดพบกับอูเจวี๋ยเอาไว้แล้ว หลิงฮันมุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบพร้อมกับสตรีนกอมตะ


“เจ้ามาสาย!” เมื่อมาถึงพวกเขาก็ได้ยินเสียงไม่สบอารมณ์ของอูเจวี๋ย เขาก้าวเดินเข้ามาเพื่อจะทับถมหลิงฮัน แต่พอเห็นสตรีนกอมตะเขาก็ลืมตัวพุ่งเข้าหานางในทันที


“อะไร นี่เจ้าเป็นเด็กสามขวบรึไง!” หลิงฮันดึงร่างของอูเจวี๋ยเอาไว้ สีหน้าของเด็กหนุ่มในตอนนี้แสดงออกถึงความลุ่มหลง


สตรีนกอมตะทำหน้าเหยียดหยามไปยังอูเจวี๋ย


“พี่สาว นี่ข้าเอง!” อูเจวี๋ยรีบตะโกนออกมาด้วยใบหน้าโศกเศร้า


เจ้าเป็นใคร?


สตรีนกอมตะมองไปที่หลิงฮัน หลิงฮันยักไหล่ตอบ ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะรู้จักพวกเขามาก่อน อีกฝ่ายเกลียดหลิงฮันแต่กลับชื่นชอบสตรีนกอมตะ


“พวกเราพบกันที่สนามรบสองดินแดน” อูเจวี๋ยกล่าว


ทั้งหลิงฮันและสตรีนกอมตะส่ายหัว พวกเขาจำไม่ได้แม้แต่น้อย


ใบหน้าของอูเจวี๋ยเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนจะกล่าว “ข้าคือสัตว์อสูรน้อยในตอนนั้น!”


ว่าไงนะ!


หลิงฮันนึกออกทันที ในตอนนั้นที่เขาเก็บลูกสัตว์อสูรตนนึงได้จู่ๆก็เกิดการบุกรุกจากดินแดนใต้พิภพ จนกระทั่งเขานำลูกสัตว์อสูรไปคืนกองทัพของดินแดนใต้พิภพถึงจะยอมล่าถอย ในตอนนั้นเขาเดาเอาไว้แล้วว่าสถานะของสัตว์อสูรน้อยคงจะไม่ธรรมดา ที่แท้มันก็เป็นบุตรของจ้าวอสูรนี่เอง


เดี๋ยวก่อน ถ้าเช่นนั้นแล้วไม่จ้าวอสูรขวงล่วนก็ต้องเป็นมารดาของอูเจวี๋ยที่มีสายเลือดของสัตว์อสูร เพราะงั้นเขาถึงได้มีรูปร่างเป็นสัตว์อสูรในตอนเด็กและสามารถแปลงกายได้เมื่อบรรลุระดับพลังของพระเจ้า


หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเจ้า! ว่าไง เจ้าพบคนที่ช่วยเหลือเจ้าเอาไว้แล้วยังไม่กล่าวขอบคุณอีกรึ”


“ข้าไม่ได้ถูกเจ้าช่วยเอาไว้!” อูเจวี๋ยเค้นเสียงก่อนจะเปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนโยน “พี่สาว นี่คือหยดวิญญาณบรรพกาล นี่คือผลราชาเบิกอรุณ นี่คือน้ำนมชำละล้างจิต ข้ามอบให้ท่าน!”


สตรีนกอมตะยิ้มและส่ายหัว ก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเป็นสัตว์อสูรตัวน้อยที่น่ารัก แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นชายหนุ่มไปแล้วนางจึงไม่รู้สึกสนใจอีกต่อไป


“ของดีแท้ๆทำไมไม่รับไม่ล่ะ” หลิงฮันเอื้อมมือออกไปและกล่าว “เอามาให้ข้านี่”


“แบร่!” ท่าทีของอูเจวี๋ยที่มีต่อหลิงฮันแตกต่างกับสตรีนกอมตะอย่างสิ้นเชิง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้ให้เจ้า อย่าได้เข้ามาใกล้!”


“ออกเดินทางได้แล้ว อย่าให้ท่านอาจารย์ต้องรอ!” ม่อหลีเอ่ยแทรก น้ำเสียงของนางยังคงไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยน


อูเจวี๋ยไม่กล้าขัดขืนม่อหลี ท่าทางของเขาสงบเสงี่ยมทันทีที่ถูกนางตำหนิ


พวกเขาออกเดินทางไปยังยอดเขาแห่งหนึ่งที่จ้าวอสูรขวงล่วนยืนรออยู่ เมื่อไปถึงจ้าวอสูรขวงล่วนก็กวาดสายตามองหลิงฮันกับสตรีนกอมตะ เขาจดจ้องไปที่หลิงฮันด้วยแววตาตกตะลึงเล็กน้อย


เขาสมควรมองเห็นรูปแบบอาคมทั้งสิบสามที่หลิงฮันสลักเอาไว้บนร่างกาย แต่จ้าวอสูรขวงล่วนก็ตกตะลึงไม่มากเพราะอย่างไรในฐานะที่เป็นจ้าวอสูร จอมยุทธที่ระดับพลังต่ำกว่าสร้างสรรพสิ่งล้วนแต่อ่อนแอไม่ต่างจากมดปลวก


แน่นอนว่าหากเขาได้พูดคุยกับฮูเฟิงสักครั้ง เขาไม่จะมีวันดูถูกหลิงฮันอีกต่อไป


“รุ่นเยาว์ ความดีความชอบที่เจ้าช่วยบุตรของข้าเอาไว้เมื่อร้อยปีก่อน ข้ายังไม่ได้ตอบแทนให้เลย” จ้าวอสูรขวงล่วนยิ้ม “เจ้าต้องการอะไร? ผลึกก่อเกิด? ผลสมุนไพร? เม็ดยา? วัสดุเซียน? ขอแค่เจ้าเปิดปากบอกมา ข้าก็จะเติบเต็มความปรารถนาของเจ้า”


หลิงฮันยิ้มและกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่หยิ่งยะโสหรือถ่อมหัว “ผู้อาวุโส สิ่งที่รุ่นเยาว์ทำไปตอนนั้นเพียงเพราะไม่ต้องการเห็นการปะทะกันระหว่างจอมยุทธสองดินแดน ข้าไม่ได้หวังผลประโยชน์อันใดโปรดผ้าอาวุโสไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ”


จ้าวอสูรขวงล่วนชะงักก่อนจะหัวเราะ “ไม่เลว ช่างเป็นรุ่นเยาว์ที่หยิ่งทะนงนัก”


อูเจวี๋ยเค้นเสียงฮึดฮัดอย่างเบาๆเพื่อไม่ให้ใครได้ยิน


สิ่งที่หลิงฮันต้องการในตอนนี้คือสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ จำนวนที่เขาต้องการนั้นไม่ใช่ต้นเดียวแต่มหาศาล ตัวตนระดับจ้าวอสูรนั้นแค่มีติดตัวหนึ่งถึงสองต้นก็ยอดเยี่ยมแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่จะหาจำนวนมากมาให้เขา?


เพราะงั้นแทนที่จะขออะไรบางอย่างเขาจึงเลือกสร้างความประทับใจกับจ้าวอสูรขวงล่วนดีกว่า บางทีในอนาคตเขาอาจจะต้องพึ่งพาอีกฝ่าย


จ้าวอสูรขวงล่วนสะบัดมือไปยังร่างของทั้งสี่คน แสงแห่งเต๋าสีทองโอบล้อมบริเวณเท้าของพวกเขาและพาเหาะเหินขึ้นสู่ห้วงอวกาศผ่านดวงดาวนับไม่ถ้วน


แต่ต่อให้เป็นความเร็วของจ้าวอสูรพวกเขาก็ยังใช้เวลามากกว่าหนึ่งวันกว่าจะมาถึงดาวไห่คง ดวงดาวแห่งนี้อยู่ในเขตดวงดาวเมฆาเยือกแข็งที่ห่างจากเขตดวงอรุณสาดส่องสองเขตดวงดาว ไม่เช่นนั้นแล้วระดับจ้าวอสูรคงไม่ต้องใช้เวลาเดินทางที่นานเช่นนี้


“ปราสาทอสูรแห่งความยุ่งเหยิง” หลิงฮันมองไปยังสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เบื้องหน้า มันคือปราสาทที่มีขนาดใหญ่ราวกับเมือง


“อาจารย์!” จอมยุทธหลายคนสังเกตเห็นคลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองจึงได้ออกมารอต้อนรับ


“เป็นเจ้า!” ทันใดนั้นเองจู่ๆก็มีหนึ่งคำรามเข้าใส่หูหลิงฮัน


หลิงฮันหันหน้าไปมองก่อนจะถอนหายใจ โลกช่างแคบอะไรอย่างนี้


ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบฉื้อหวงจี่่!

 

 

 


ตอนที่ 1555

 

ฉื้อหวงจี่่ อัจฉริยะของดินแดนใต้พิภพ เขาเป็นสุดยอดราชาอย่างแท้จริง ในระดับพลังเดียวกันเขาสามารถรับมือกับเป่ยหวงและฉือหวงได้! แต่ในป่าภูผาวารี ท้ายที่สุดฉื้อหวงจี่่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับหลิงฮัน


ฉื้อหวงจี่่ รู้สึกเป็นทุกข์ในใจมาตลอด ดินแดนทั้งสองนั้นแยกกันเป็นเอกเทศจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตามหาหลิงฮันเพื่อลบล้างความอัปยศ


ในตอนที่อูเจวี๋ยหลบหนี เหล่าจอมยุทธจากปราสาทอสูรแห่งความยุ่งเหยิงได้ส่งคนจำนวนมากออกตามหาจนสุดท้ายเมื่อพบอูเจวี๋ยแล้วพวกเขาก็ได้ถือโอดาสนำพาเมล็ดพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมกลับมาด้วย ฉื้อหวงจี่่ก็เป็นหนึ่งในนั้น


เขาเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง ในระยะเวลาเพียงร้อยปีเขาก็สามารถทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ได้แล้วแถมยังบรรลุขั้นกลางอีกด้วย พรสวรรค์เช่นนี้ต่อให้เป็นในสำนักละอองดาราก็เป็นหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย


ฉื้อหวงจี่่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบหลิงฮันที่นี่


“โอ้ ไม่ได้พบกันเสียนาน!” หลิงฮันโบกมือให้ฉื้อหวงจี่่โดยไม่กังวลว่าจะถูกเปิดเผยว่าเป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์


จ้าวอสูรขวงล่วนสมควรรู้ตัวตนแท้จริงของเขาอยู่แล้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะงั้นตราบใดที่จ้าวอสูรไม่ทำอะไรทำไมเขาต้องคิดมาก?


ฉื้อหวงจี่่กัดฟัน เขาไม่คิดว่าหลิงฮันจะกล้าถึงขนาดมาเดินเตร็ดเตร่ในดินแดนใต้พิภพแถมยังปรับตัวได้อย่างแนบเนียนอีกด้วย หากเขาไม่รู้จักหลิงฮันมาก่อนแล้วมีคนมาบอกว่าหลิงฮันเป็นไส้ศึกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เขาก็ไม่มีทางเชื่อ


เขาอยากจะพุ่งเข้าไปปะทะกับหลิงฮันเสียแต่ตอนนี้แต่ที่ด้านข้างนั้นมีจ้าวอสูรขวงล่วนยืนอยู่ เขารีบกล่าว “อาจารย์ คนคนนั้นเป็นจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้วิธีการบางอย่างปลอมตัวได้อย่างแนบเนียน!”


ว่าไงนะ!


เมื่อได้ยินเช่นนี้ คนอื่นๆที่มาด้วยกันต่างตกตะลึง คนคนนี้คือไส้ศึกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์?


หลิงฮันกระแอมก่อนจะกล่าว “ฉื้อหวงจี่่ คำพูดนั้นไม่สมควรเอ่ยกล่าวออกมาโดยไร้เหตุผล! มองดูที่ข้า ตรงไหนกันที่ข้าเหมือนกับคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์?”


“ฮึ่ม เจ้าลืมไปแล้วรึว่าพวกเราเคยพบกันที่สนามรบสองดินแดนเมื่อร้อยปีก่อนและมีการปะทะกัน! เจ้าจะเป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรือดินแดนใต้พิภพมีรึที่ข้าจะแยกไม่ออก?” ฉื้อหวงจี่่แสยะยิ้ม


หลิงฮันอ้าปากอุทาน ‘โอ้’ ออกมาเบาๆ “เจ้าจะบอกว่าเป็นเจ้าที่พ่ายแพ้ข้าตอนนั้น?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็เริ่มกระซิบส่งเสียงเอะอะ


ฉื้อหวงจี่่น่ะรึแพ้? เป็นไปไม่ได้ ศิษย์ของพวกเขาคนนี้เป็นดาวรุ่งที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เขาเป็นที่รู้ว่าว่าหากฉื้อหวงจี่่เป็นสองย่อมไม่มีหนึ่ง ต่อให้ในอนาคตจะไม่สามารถกลายเป็นจ้าวอสูรก็ต้องบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสมบูรณ์


หากฉื้อหวงจี่่พ่ายแพ้ย่อมเป็นเพราะพลังบ่มเพาะของหลิงฮันในตอนนั้นสูงกว่าแน่นอน


ฉื้อหวงจี่เผยสีหน้าโมโห “นั่นเป็นเพราะพลังบ่มเพาะของข้าถูกจำกัดลดไปยังเป็นระดับวารีนิรันดร์ หากเป็นพลังแท้จริง ข้าสามารถกำราบเจ้าได้ด้วยนิ้วมือเดียว”


โอ้!


ทุกคนมีท่าทางประหลาดใจ ฟังจากน้ำเสียงของฉื้อหวงจี่่แล้วเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นฝ่ายที่มีพลังบ่มเพาะสูงกว่า ถ้าเช่นนั้นแล้วรุ่นเยาว์ผู้นี้เป็นใครกัน ช่างน่ายำเกรงนัก


หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ถ้าจะสู้กันอีกครั้งข้าก็ไม่ขัดข้อง”


ฉื้อหวงจี่่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าได้เปลี่ยนเรื่อง! เจ้าที่เป็นคนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีจุดประสงค์ใดถึงได้บุกมายังดินแดนใต้พิภพของข้า?”


จ้าวอสูรขวงล่วนกล่าวแทรก “ในเมื่อเขามาอยู่ที่ดินแดนใต้พิภพและฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของที่นี่ได้แล้ว หลิงฮันก็ถือว่าเป็นคนของดินแดนใต้พิภพเหมือนพวกเรา! หัวข้อนี้ห้ามยกมาเอ่ยถึงอีก”


หากจ้าวอสูรกล้าวเช่นนี้เองก็มีแต่ต้องย่อมเชื่อฟัง!


“ขอรับ อาจารย์”


“ขอรับ ท่านจ้าวอสูร”


ทุกคนกล่าวยอมรับ มีเพียงฉื้อหวงจี่คนเดียวที่ไม่กล่าวอะไรแต่พนักหน้าอย่างเดียว


แต่หากจ้าวอสูรกล่าวแบบนั้นเขาก็คงต้องลืมตัวตนเดิมของหลิงฮัน แต่ว่าจ้าวอสูรไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าห้ามเขาท้าประลอง


“หลิงฮัน มาสู้กันข้าอีกครั้ง!” ฉื้อหวงจี่่ก้าวเดินออกมา เขาเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ได้รับความสำคัญจากจ้าวอสูรขวงล่วน เพราะงั้นเขาจึงสามารถทำอะไรบางอย่างที่ศิษย์คนอื่นไม่สามารถทำได้ อย่างเช่นการไม่ต้องถ่อมตัวต่อหน้าจ้าวอสูร


ครั้งนี้จ้าวอสูรขวงล่วนไม่ห้ามปรามและยิ้มให้กับหลิงฮัน “สู้อย่างยุติธรรม”


หลิงฮันเข้าใจความหมายนี้ หากเขาทุ่มสุดตัวกระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมทั้งสิบเอ็ดฉื้อหวงจี่่จะเป็นอย่างไร? คำที่ว่า ‘ยิตุธรรม’ นั้นหมายถึงห้ามมีการสังหารเกิดขึ้นเด็ดขาด


แต่หลิงฮันก็ไม่คิดมาก ในระดับเดียวกันมีรึที่เขาจะแพ้?


“ตกลง มาดูกันอย่างยุติธรรม” หลิงฮันยิ้ม


“งั้นก็ขึ้นไปด้านบน” ฉื้อหวงจี่่เหาะนำขึ้นไปยังท้องฟ้า


หลิงฮันเหาะตามขึ้นไปอย่างไร้อารมณ์ ในระดับพลังเดียวกันต่อให้เป็นราชาระดับสามก็ไม่อยู่ในสายตาของเขา นอกเสียจากว่าคู่ต่อสู้จะเป็นจอมยุทธจากดินแดนต้องห้ามที่ฝึกฝนทักษะจากดินแดนแห่งเซียนถึงจะมีคุณสมบัติพอจะให้เขาลงมือ


“พี่สาว กินเม็ดแตงโมนี่สิ” เมื่ออูเจวี๋ยเห็นว่าก้างขวางคอไม่อยู่แล้วเขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาสตรีนกอมตะด้วยท่าทางเอาใจใส่ ทุกคนที่เห็นล้วนแต่ตกตะลึง พวกเขาไม่เคยเห็นนายน้อยเอาใจใส่คนอื่นมาก่อน


แม้แต่จ้าวอสูรขวงล่วนก็ยังปากกระตุก แม้แต่กับเขาบุตรของเขาก็ไม่เคยมีท่าทีเอาใจขนาดนั้น!


ทุกคนจับจ้องไปยังสตรีนกอมตะ สตรีผู้นี้งดงามเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ถึงขนาดทำให้ทุกคนลุ่มหลงจนไร้สติ อย่างน้อยในเขตดวงดาวเขตนี้ก็หาสตรีที่งดงามเช่นนางได้หนึ่งหรือสองคน เป็นไปได้อย่างไรที่นายน้อยจะหลงเสน่ห์นางขนาดนั้น?


ที่พวกเขาไม่รู้คือเมื่อตอนที่อูเจวี๋ยยังเด็ก เขาได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยนจากสตรีนกอมตะ ความประทับใจในตอนนั้นได้ฝังลึกลงไปในก้นบึ้งจิตใจ สตรีที่งดงามทั่วไปย่อมไม่สามารถมาแทนที่ได้


ด้านบนท้องฟ้า ฉื้อหวงจี่่จ้องมองไปยังหลิงฮันด้วยสายตาเย็นชาและมืดมน คู่ต่อสู้ที่มในอดีตเขาสามารถกราบได้ด้วยมือข้างเดียวในตอนนี้กลับมีพลังบ่มเพาะไล่ตามเขาทันแล้ว


เขาได้รับการชี้แนะส่วนตัวจากจ้าวอสูร แถมด้วยการที่เป็นลูกรักของสวรรค์ทำให้เขาพบเจอสมบัติล้ำค่าต่างๆมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นหลิงฮันก็ยังไล่ตามเขาได้ทันซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ


มือทั้งสองข้างของฉื้อหวงจี่่ปรากฏรูปแบบอาคมอสูร ท่าทางของเขาดูมั่นใจเป็นอย่างมาก ในระดับพลังเดียวกันเขาไม่หวาดกลัวใครและสามารถบดขยี้ทุกชีวิต


เขาคำรามลั่นพร้อมกับพุ่งจู่โจมหลิงฮัน


หลิงฮันทำตัวสบายๆ ต่อให้เขาไม่โจมตีและป้องกันอย่างเดียว การโจมตีของฉื้อหวงจี่่ก็ไม่สามารถเจาะผ่านพลังป้องกันของเขาได้ หรือหากเขาไม่ป้องกันเลย ฉื้อหวงจี่่ต้องโจมตีด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์อย่างน้อยเจ็ดวันเขาถึงจะได้รับบาดเจ็บ


หลิงฮันยกมือขึ้น ที่บริเวณฝ่ามือของเขามีแสงสลัวๆของรูปแบบอาคมส่องประกายออกมา แต่ที่น่าแปลกคือมันไม่ใช่ทั้งรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์หรือรูปแบบอาคมอสูร ราบกับว่ามันคือการผสานกันของรูปแบบอาคมทั้งสองและเป็นรูปแบบอาคมที่อยู่ในระดับที่สูงกว่า


“หืม!” จ้าวอสูรขวงล่วนแสดงสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย พลังของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์นั่นแม้จะไม่นับเป็นอันใดในสายตาของเขา แต่หากให้เขาลดพลังของตนเองลงไปเป็นระดับวารีนิรันดร์และต่อกรด้วยรูปแบบอาคมอสูรล่ะก็เขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงฮัน


รุ่นเยาว์ผู้นี้… ไม่ใช่ธรรมดา!

 

 

 


ตอนที่ 1556

 

ฉื้อหวงจี่่ที่เห็นเช่นนั้นเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ด้วยความมั่นใจในพลังของคนเองเขาจึงปล่อยการโจมตีไปโดยไม่หวาดกลัว


เขาคิดมาตลอดว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสลบล้างความอัปยศแล้ว คาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งหลิงฮันจะเข้ามายังดินแดนใต้พิภพ!


จะปล่อยโอกาสนี้ไปไม่ได้


‘ปัง’ เขาปล่อยหมัดออกไป รูปแบบอาคมอสูรบนหมัดระเบิดออกราวกับดอกบัวที่กำลังเบาบานตัดผ่านสวรรค์


นี่คือทักษะตราประทับดอกบัวอสูร ทักษะที่ถูกคิดค้นโดยจ้าวอสูรขวงล่วน


หลิงฮันปล่อยหมัดตอบโต้ ในระดับพลังเดียวกันเขาไม่มีวันแพ้ให้ใคร


ตูม!


เสียงปะทะดังสนั่น ร่างของฉื้อหวงจี่่และหลิงฮันสั่นสะท้านและล่าถอยออกจากกันร้อยฟุต


ฉื้อหวงจี่่เผยสีหน้ามั่นใจออกมาทันที ทั้งสองมีพลังต่อสู้ทัดเทียมกันเนื่องจากเป็นราชาระดับสามเหมือนกัน แต่ในด้านอำนาจแห่งกฎเกณฑ์เห็นได้ชัดว่าเขาเหนือกว่า อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่หลิงฮันสามารถใช้ได้ในตอนนี้อย่างมากก็คือระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้น


เพียงแต่ว่าในด้านของกายหยาบนั้นอีกฝ่ายทรงพลังกว่าเขามาก


เจ้าเป็นสัตว์ประหลาดหรืออย่างไร เหตุใดร่างกายของเขาถึงได้ทนทานขนาดนั้น?


หลิงฮันส่ายหัว อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวนั้นทำให้เขามีพลังต่อสู้เหนือกว่าจอมยุทธระดับเดียวกันอย่างน้อยหนึ่งดาว แต่ความเชี่ยวชาญในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพในตอนนี้ของเขายังไม่เทียบเท่าระดับพลังบ่มเพาะปัจจุบัน จึงเป็นธรรมดาที่จะเอาชนะฉื้อหวงจี่่ที่มีพลังระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางไม่ได้


อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ไม่ใช่สิ่งที่จะเรียนรู้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แถมเขาก็ไม่มีอารมณ์มาต่อสู้กับฉื้อหวงจี่่เพื่อยกระดับอำนาจแห่งกฎเกณณ์ด้วย


หลิงฮันคิดจะจบการต่อสู้นี้ให้ไวที่สุด


“พี่ชายฉื้อ ลุยเลย!” อูเจวี๋ยตะโกนให้กำลังใจจากด้านล่าง เขาคาดหวังให้หลิงฮันถูกอัดแพ้หมดสภาพต่อหน้าสตรีนกอมตะ


สตรีนกอมตะจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาไม่พอใจจนทำให้อูเจวี๋ยต้องก้มหน้าลงและแอบให้กำลังใจฉื้อหวงจี่่ในใจ


“ตราประทับดอกบัวอสูรเบ่งบาน เข่นฆ่าชีวิตนับพัน!” ฉื้อหวงจี่่ปล่อยหมัดตราประทับดอกบัวอสูรเต็มกำลังเข้าใส่หลิงฮันเพื่อหวังจะกำราบให้ราบคาบ


หลิงฮันยิ้มมุมปาก เขาสะบัดมืออย่างเรียบง่ายด้วยทักษะกาลเวลาแปรผันพันปี


พรึบ! พรึบ! พรึบ!


เมื่อตราประทัดดอกบังอสูรพุ่งมาถึงด้านหน้าหลิงฮันมันก็ถูกเร่งเวลาจนสลายหายไปไม่เหลือแม้แต่เศษเล็กเศษน้อย


กาลเวลาแปรผันพันปี… คือทักษะระดับนิรันดร์!


ฉื้อหวงจี่่ตกตะลึงอ้าปากค้าง ตราประทับดอกบัวอสูรคือทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาในตอนนี้ แต่ทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิงฮันกลับไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย จะให้เขายอมรับเรื่องแบบนี้งั้นรึ?


ไม่ใช่แค่เขา จ้าวอสูรขวงล่วนเองก็ดวงตาเปิดกว้างด้วยความตกตะลึง


ทักษะนั่นคือทักษะที่เขาสร้างขึ้น เขาย่อมรู้พลังอำนาจของมันเป็นอย่างดี น่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมากที่ในการต่อสู้ระดับเดียวกันมันจะถูกทำลายลงได้ง่ายดายเพียงนั้น


“ยังจะต่อไหม?” หลิงฮันเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม


ไม่ว่าจะเป็นกายหยาบที่ทรงพลังหรือกาลเวลาแปรผันพันปี เขาก็ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไร้พ่าย


“หวงจี่่ ลงมาได้แล้ว” จู่ๆจ้าวอสูรขวงล่วนก็เอ่ยแทรกขึ้นมา


ฉื้อหวงจี่่รีบเหินลงมาและโค้งคำนับ “ขอรับอาจารย์!” เขารู้ว่าที่อาจารย์สั่งให้เขาลงมาเพื่อไม่ให้เขาเสียหน้าต่อหน้าสาธารณะชน


หลิงฮันไม่กล่าวอะไรและเหินลงมาอย่างช้าๆ สตรีนกอมตะรีบวิ่งมาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มทำให้อูเจวี๋ยโอดครวญราวกับถูกแย่งชิงของเล่นสุดรักไป


“ม่อหลี จัดการเรื่องที่พักให้พวกเขาด้วย” จ้าวอสูรขวงล่วนกล่าว


“รับทราบ” ม่อหลี่หยักหน้าเล็กน้อย


จ้าวอสูรขวงล่วนสะบัดแขนเสื้อ คลื่นแสงแห่งเต๋าสีทองปรากฏออกมาก่อนที่เขาจะหายตัวไป เนื่องจัดการที่พักเล็กๆน้อยๆนี้เขาไม่จำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเอง แต่การที่ให้ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาเป็นคนดูแลเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาให้ความสำคัญกับหลิงฮันขนาดไหน


ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงมีท่าทีสุภาพกับหลิงฮัน


ม่อหลีนำทางหลิงฮันเข้าสู่ปราสาทอสูรแห่งความยุ่งเหยิง แค่การจัดหาที่พักให้พวกหลิงฮันนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร หลังจากเสร็จกิจธุระม่อหลีก็ลอยจากไป


หลิงฮันและสตรีนกอมตะเข้าไปในหอคอยทมิฬโดยขอให้จักรพรรดินีแบ่งพื้นที่ให้พวกเขาสองคนเพื่อฝึกฝน


พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสามเดือน


หลิงฮันกับจักรพรรดินีลืมตาขึ้นและเผยรอยยิ้มแทบจะพร้อมกัน


พวกเขายกระดับความเชี่ยวชาญในอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพจนเทียบเท่าระดับพลังของตนเองแล้ว รวมถึงผสานอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสองเป็นหนึ่งเดียวแล้วเช่นกันทำพลังต่อสู้ของทั้งสองก้าวขึ้นไปอีกระดับ มีแต่สตรีนกอมตะที่พัฒนาช้ากว่าใคร วาสนาจากนกอมตะสวรรค์ทั้งสามทำให้พลังบ่มเพาะพลังได้รวดเร็วพรวดพราดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในดินแดนใต้พิภพนี้ไม่ใช่ช่วยอะไรนัก


โชคดีที่ในหอคอยทมิฬมีต้นสังสารวัฏและเม็ดยาจำนวนมาก การพัฒนาของนางจึงไม่เชื่องช้าเกินไป เพียงแต่หากนำไปเทียบกับหลิงฮันกับจักรพรรดินีก็เป็นอีกเรื่อง…


หลิงฮันถอนหายใจ “หลังจากผสานอำนาจแห่งกฎเกณณ์แล้วพลังต่อสู้ของพวกเราแข็งแกร่งขึ้นมากก็จริง แต่ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเองก็ช้าลงเป็นเท่าตัวเช่นกัน”


หากเป็นแบบนี้ เวลาที่เขาจะได้หลับนอนกับจักรพรรดินีก็ต้องเลื่อนให้นานออกไปอีก


เขาออกจากหอคอยทมิฬโดยที่จักรพรรดินียังคงบ่มเพาะพลังต่อไป เพื่อเติมเต็มความต้องการของหลิงฮันนางจึงไม่คิดหยุดบ่มเพาะพลังแม้แต่นิดเดียว


……


“หมอนั่นออกมาแล้ว?” อูเจวี๋ยเอ่ยถาม


“ขอรับนายน้อย” ศิษย์คนหนึ่งกล่าว


“ดีมาก เตรียมคนไว้พร้อมแล้วสินะ? ให้พวกนางดำเนินแผนคืนนี้เลย!” อูเจวี๋ยถูมือด้วยท่าทางตื่นเต้น “ข้าไม่เชื่อว่าเมื่อพี่สาวเห็นหลิงฮันกำลังลุ่มหลงสาวอื่น นางจะยังชื่นชอบเขาอยู่”


ม่อหลีที่ยืนรินน้ำอยู่ด้านข้างเขากล่าว “ถ้าหากคนเรารักคนย่อมมีความเชื่อใจต่อกัน เกรงว่าแผนของท่านคงไม่สำเร็จ”


“ม่อหลี ทำไมเจ้าต้องขัดข้าด้วย?” อูเจวี๋ยกล่าวอย่างไม่พอใจก่อนจะปลุกกำลังให้ตัวเอง “ต้องสำเร็จแน่ ข้าต้องการให้พี่สาวเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของหมอนั่น”


“ฮะฮะ” ม่อหลีแสร้งทำเป็นหัวเราะโดยที่ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง


อูเจวี๋ยเมินเฉยนาง เขาใช้เวลาหลายเดือนในการคิดแผนการนี้ขึ้นมา เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ได้ผล? เขาแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ “พี่สาวที่น่าสงสาร ข้าจะไปปลอบใจนางและให้นางโอบกอดข้าเหมือนสมัยก่อน”


ม่อหลีหลายเป็นไร้คำพูด เจ้าจะไปปลอบคนอื่นแต่กลับอยากให้คนอื่นมาโอบกอดตัวเอง? ช่างเป็นนายน้อยที่ไม่รู้จักโตเสียจริง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)