Alchemy Emperor of the Divine Dao 1480-1500
ตอนที่ 1480
พวกเขาเพิ่งคุยกันว่าเป็นไปไม่ได้ที่หลิงฮันจะเอาชนะเจี่ยเหลียงได้ แต่พริบตาเดียวหลิงฮันกลับโค่นล้มศิษย์เก่าที่แข็งแกร่งทัดเทียมกับเจี่ยเหลียงต่อหน้าทุกคน
ไม่มีลูกเล่นอะไรทั้งนั้นแต่เป็นชัยชนะด้วยการโจมตีโดยตรง
ทุกคนแน่นิ่งเหมือนปลาตาย
‘ครืน’ เสียงกฎแห่งเต๋าดังขึ้นจากอากาศที่ว่างเปล่า มันคือสัญญาณว่าเซียนกำลังจะมา
พริบตาต่อมาร่างของเซียนหมิงซินก็ปรากฏตัวขึ้นบนแท่นดอกบัวโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขามาได้อย่างไรราวกับว่าเขาอยู่ตรงนั้นมาก่อนแล้ว
เซียนหมิงซินกวาดสายตามองเหล่าศิษย์ก่อนที่จะหยุดชะงักเมื่อเห็นหลิงฮัน
เขาไม่ได้ปิดบังใบหน้าด้วยพลังปราณทุกคนจึงสามารถมองเห็นสีหน้าอันตกตะลึงของเขาได้อย่างชัดเจน
ตัวตนระดับเซียนที่แม้ท้องฟ้าจะร่วงหล่นก็ไม่แม้แต่กระพริบตาเป็นไปได้อย่างไรที่ตะแสดงสีหนาเช่นนั้น?
เขามองเห็นอะไรในตัวหลิงฮันกันแน่?
แต่พอคิดแล้วการที่เซียนจะมีท่าทางแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก จะมีจอมยุทธระดับดาราคนไหนบ้างที่สามารถโค่นล้มจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางได้อย่างราบคาบ!
เซียนหมิงซินจ้องมองหลิงฮันอยู่สักพักก่อนจะละสายตากลับและกล่าว “วันนี้ข้าจะพูดถึงหลักการพื้นของของรูปแบบอาคม ข้อหนึ่ง… ข้อสอง… สาม…” เขาเริ่มบรรยายความรู้อันลึกซึ้งของศาสตร์รูปแบบอาคมออกมาได้อย่างเรียบง่าย
การที่จะเข้าใจรูปแบบอาคมเซียนนั้นจะเป็นต้องเข้าใจรูปแบบอาคมพื้นทั้งหมดเสียก่อน เพราะงั้นหลิงฮันจึงรับฟังอย่างตั้งใจ และด้วยต้นสังสารวัฏเขาจะมีเวลาฝึกฝนมากกว่าคนอื่นเกือบๆสี่ร้อยเท่า
ครึ่งเดือนผ่านไปเซียนหมิงซินกล่าวจบการบรรชี้แนะ “หลิงฮัน มาที่ตำหนักของข้า”
ตำหนักที่เซียนหมิงซินอาศัยอยู่ ในสำนักย่อยที่แปดนี้มันคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต้องห้าม มีเพียงศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดสี่คนเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเข้าไปยังที่แห่งนั้นเพื่อขอคำแนะนำจากเซียน
หลิงฮันเข้าร่วมสำนักมาได้นานเท่าไหร่เชียว แต่กลับถูกเซียนเรียกพบแล้ว?
หลิงฮันพยักหน้า หลังจากเซียนหมิงซินจากเดินเขาก็เดินมุ่งหน้าไปยังตำนักเซียน
ครั้งนี้ไม่มีศิษย์คนใดกล้าหยุดยั้งเขา
อย่างแรกเลยคือเพราะแม้แต่ศิษย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางก็ไม่สามารถหยุดเขาได้ อย่างที่สองคือหลิงฮันถูกเซียนเรียกพบ ใครบ้างจะกล้าขัดขวาง?
“นั่นมันสุนัขตัวดำ!”
“บัดซบ เจ้าสุนัขนั่นปรากฏตัวอีกแล้ว!”
“จัดการมันเลย!”
ต่อให้ไม่มีเรื่องของหลิงฮันฝูงชนก็กลายเป็นเอะอะ ทุกคนจ้องมองไปยังสุนัขตัวดำ ก่อนหน้านี้พวกเขาตั้งสมาธิไปกับการบรรยายชี้แนะของเซียนจึงไม่ได้สังเกตเห็นมันจนถึงตอนนี้
ชั่วพริบตาศิษย์จำนวนนับพันก็พุ่งโจมตีพร้อมกับเพื่อสังหารสุนัขตัวดำ
สุนัขไร้ยางอายตัวนี้ไปทำเรื่องเลวทรามอะไรมากันแน่ ผู้คนถึงได้เคียดแค้นมันขนาดนั้น?
หลิงฮันรู้สึกเห็นใจเล็กน้อยแต่ก็ก้าวท้าวเดินจากไป
เขามาถึงตำหนักอย่างรวดเร็วซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นลานที่พักขนาดเล็กที่มีกลิ่นอายแห่งความเก่าแก่ มีศิษย์คนหนึ่งยืนอยู่เฝ้าประตูทางเข้าอยู่ เมื่อเห็นหลิงฮันเขาได้รีบกล่าวออกมา “ศิษย์พี่หลิง เซียนไปบอกเมื่อท่านมาถึงให้เข้าไปได้เลย”
หลิงฮันจ้องมองดูอีกฝ่าย เขาเป็นศิษย์ที่มีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ที่ห่างไกลจากคำว่ารุ่นเยาว์ไปมากแล้ว ที่หน้าผากของเขาปรากฏรอยเหี่ยวย่นและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตาย
ศิษย์คนนี้คงเป็นจอมยุทธเฒ่าที่มีอายุหลายร้อยล้านปีและติดตามเซียนมาเป็นเวลานาน
โลกแห่งวรยุทธนั้นโหดร้าย หากพลังบ่มเพาะไม่มีการพัฒนาใดๆและหยุดอยู่กับที่ก็มีแต่จะถูกกาลเวลากัดกร่อยพลังชีวิตไปทีละน้อย
หลิงฮันรู้สึกหวาดหวั่นในใจและเดินเข้าไปยังลานที่พัก
จากมุมมองด้านนอก ลานที่พักแห่งนี้มีขนาดเล็กมาก แต่หลังจากเข้าไปแล้วจะกลับพบว่าภายในคือโลกอีกโลกหนึ่ง
เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว ภายในคือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ที่มีดอกบัวสีเขียวมากมายลอยอยู่ในมหาสมุทร ดอกบัวแต่ละดอกใหญ่โตจนปกคลุมแทบจะทั่วทั้งมหาสมุทร
ในระยะที่ห่างไกลออกไป เซียนหมิงซิงนั่งอยู่บนดอกบัวและกำลังตกปลาอยู่ หลิงฮันโคจรทักษะย่างก้าวไล่ตามดารามุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้น
การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วมาก แต่ผ่านไปไม่นานก็พบว่าระยะห่างระหว่างเขากับเซียนหมิงซินไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปหาอีกฝ่ายแท้ๆ แถทเซียนหมิงซินก็ไม่ได้เคลื่อนไหวด้วย เหตุใดเขาถึงยังไม่สามารถเข้าใกล้อีกฝ่ายได้?
หลิงฮันหยุดเท้า เขาจ้องมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะแสดงสีหน้าเข้าใจ
รูปแบบอาคม!
ดอกบัวสีเขียวแท้จริงแล้วคือรูปแบบอาคม ไม่ว่าจะเป็นใบของมันหรือลำต้นก็ล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นจากรูปแบบอาคมที่พิเศษ
เขาเริ่มตรวจสอลเพื่อทำลายรูปแบบอาคม
เซียนหมิงซินชำเลืองมองมาที่เขาและเผยรอยยิ้ม การที่หลิงฮันสามารถพบเจอเขาได้ไวเพียงนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ จากที่ดูแล้วหลิงฮันสามารถจัดอยู่ในลูกศิษย์สิบอันดับแรกที่เขาเคยสั่งสอนรูปแบบอาคมมาได้เลย
เพียงแต่ว่าการที่มองทะลุปรุโปร่งกับแก้ได้นั้นเป็นคนล่ะเรื่อง
รูปแบบอาคมนี้ไม่ใช่รูปแบบอาคมที่ยากอะไรมากนัก เขาต้องการทดสอบว่าหลิงฮันจะใช้เวลาแก้รูปแบบอาคมนานเพียงใด
อวี๋ซู่ซู่หกวัน เริ่นเฟยอวิ๋นเก้าวันครึ่ง ฉีเทียนสิบวัน และไช่เหมี่ยวสิบวันครึ่ง
เขารู้ว่าหลิงฮันมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นในศาสตร์วรยุทธ เพราะงั้นจึงไม่ได้คาดหวังว่าหลิงฮันจะแก้ไขรูปแบบอาคมนี้ได้อย่างรวดเร็ว ที่เขาต้องการทดสอบหลิงฮันเป็นเพราะก่อนหน้านี้ที่ลานบรรยายชี้แนะเขาได้พบว่าหลิงฮันสลักรูปแบบอาคมเอาไว้บนร่างกายถึงสิบรูปแบบ
ตราบใดที่หลิงฮันสามารถแก้ไขรูปแบบอาคมสำเร็จภายในยี่สิวัน เขาจะทุ่มเทฝึกฝนหลิงฮันเป็นอย่างดี แม้จะไม่ได้มีพรสวรรค์ในศาสตร์รูปแบบอาคมที่สูงส่งเท่าไหร่ แต่การที่สามารถสลักรูปแบบอาคมถึงสิบรูปแบบไว้บนร่างกายก็พอจะทดแทนกันได้
หลิงฮันครุ่นคริดอยู่สามวันก่อนจะส่ายหัว
ความเข้าใจในรูปแบบอาคมของเขายังตื้นเขินเกินไป หากต้องการแก้ไขรูปแบบอาคมนี้อาจจะต้องใช้เวลาถึงยี่สิบวันหรือมากกว่านั้น เขารู้ว่านี่คือการทดสอบของเซียนหมิงซิน เพียงแต่การที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำหนดเวลาเอาไว้กี่วันนั้นทำให้เขาเคร่งเครียดเล็กน้อย
ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็ต้องใช้วิธีการที่เรียบง่ายที่สุด… ใช้กำลัง!
ตอนที่ 1481
สุดท้ายแล้วศาสตร์วรยุทธก็มาบรรจบกันอยู่จุดเดียวคือผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ชนะ
จะทักษะยุทธหรือรูปแบบอาคมอะไรก็ช่าง ตราบใดที่พลังแข็งแกร่งมากพอก็เพียงพอแล้ว
ในมุมมองของศาสตร์รูปแบบอาคม ปรมาจารย์รูปแบบอาคมย่อมสามารุแก้รูปแบบอาคมได้ แต่หลิงฮันไม่ใช่ปรมาจารย์รูปแบบอาคม ความเข้าใจของเขามีชีวิตจำกัด
เขาปล่อยหมัดจู่โจมเข้าใส่ดอกบัวสีเขียว
‘ตูม’ ดอกบัวขนาดหลายพันฟุตถูกหมัดกระแทกเข้าใส่จนปรากฏคลื่นสั่นสะเทือนนับไม่ถ้วนไป แต่ดูเหมือนการโจมตีของหลิงฮันจะสร้างความเสียหายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
Anchor
เซียนหมิงซินส่ายหัว หากรูปแบบอาคมง่ายๆเช่นนี้ยังไม่สามารถแก้ไขแล้ว เขาสมควรจะนำมาเป็นลูกศิษย์งั้นรึ?
หลิงฮันไม่ท้อถอย เขากระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมทั้งสิบในร่างกายพร้อมกับปลดปล่อบทักษะดาบฟ้าคำรามใส่ดอกบัว
‘ตูม’ การโจมตีนี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก ที่บริเวณดอกบัวมีรอยฟันหนาลึกปรากฏทิ้งเอาไว้
แต่ปัญหาก็คือรูปแบบอาคมดอกบัวที่มีขนาดและความสูงพันฟุตนี้มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูตนเอง ร่องรอยที่มีของเหลวสีฟ้าไหลออกมาค่อยแห้งอย่างรวดเร็ว
เซียนหมิงซินที่มองอยู่จิตใจสั่นสะท้าน
เขาตกตะลึงเป็นอย่างมากเพราะว่าต่อให้เป็นตัวเขาที่เป็นเซียนก็ไม่อาจสลักรูปแบบอาคมถึงสิบรูปแบบเอาไว้บนร่างกาย รูปแบบอาคมที่ถูกกระตุ้นใช้งานพร้อมกันถึงสิบรูปแบบนั้นทรงพลังจนเขายังต้องพยักหน้ายอมรับ
หากเขาสามารถสลักรูปแบบอาคมสิบรูปแบบไว้บนร่างตนเองได้บ้าง เขาจะต้องไร้เทียมทานในหมู่เซียนระดับต้นแน่นอน
รุ่นเยาว์ผู้นี้คืออัจฉริยะ!
แต่ว่าเจ้าคิดจะทำลายรูปแบบอาคมดอกบัวบรรพกาลสีครามด้วยวิธีเช่นนั้นงั้นรึ? เจ้าหวังสูงเกินไปแล้ว วิธีเช่นนั้นไม่มีทางทำสำเร็จได้เด็ดขาด!
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะนำดาบอสูรนิรันดร์ออกมาและสะบั้นฟาดฟันใส่ดอกบัว
ดาบเล่มนี้คืออาวุธระดับนิรันดร์ แม้พลังของมันจะยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่หากเป็นความสามารถในการทะลวงและบดขยี้ เป้าหมายย่อมมีเพียงชะตากรรมเดียวคือตกตาย
‘ปัง’ ดาบปะทะเข้ากับดอกบัวสีเขียวโดยที่รูปแบบอาคมได้พังทลายในพริบตา ลำต้นของดอกบัวค่อยๆเหี่ยวเฉาด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า
พลังทำลายของอุปกรณ์ระดับนิรันดร์น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง แม้ดาบอสูรนิรันดร์จะยังไม่ใช่อุปกรณ์นิรันดร์ที่แท้จริง แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้พลังของมันย่อมสามารถทะลวงได้ทุกสรรพสิ่ง
เพียงไม่กี่ลมหายได้ ดอกบัวก็เหี่ยวเขาทั้งหมดและรูปแบบอาคมก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์
เซียนหมิงซิน “…”
ภายในใจของเซียนหมิงซินเต็มไปด้วยความสงสัยนับหมื่น หลิงฮันใช้หนึ่งในวิธีที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุดในการทำลายรูปแบบอาคมนี้ทำลายรูปแบบอาคมได้สำเร็จ เพราะงั้นต่อให้เขาเป็นถึงเซียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
โชคดีที่ตอนนี้มีใครอื่นอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นเขาจะรีบไปแลกเปลี่ยนความคิดกับอีกฝ่ายเรื่องที่ว่ารูปแบบอาคมดอกบัวบรรพกาลสีครามนั้นไม่สามารถถูกทำลายด้วยความรุนแรง แต่ตอนนี้ความจริงที่ว่านั้นกลับถุกรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งทำลายทิ้งไปแล้ว
เจ้าหนูนี่… เป็นสัตว์ประหลาดตัวน้อย!
เมื่อเห็นหลิงฮันกำลังจะสะบั้นดาบใส่ดอกบัวดอกที่สอง เซียนหมิงซินก็รับห้ามปรามอย่างรวดเร็ว “หยุด! พอแล้ว! ดอกบวกเหล่านี้ข้าไม่ได้ปลูกพวกมันขึ้นมาง่ายๆ!” เขาปล่อยมือปราณก่อเกิดขนาดใหญ่คว้าไปนำร่างของหลิงฮันมายังดอกบัวที่เขาอยู่
เซียนหมิงซินถอนหายใจ
ดอกบัวนี้นอกจากจะสลักรูปแบบอาคมระดับสิบหกที่ใกล้เคียงกับรูปแบบอาคมเซียนลงไปแล้ว มันยังเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบหกที่เกือบจะกลายเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำแล้วในอีกก้าวเดียวซึ่งไม่รู้ว่าเขาทุ่มเทเลี้ยงดูมันมานานเท่าไหร่
ถูกแล้ว รูปแบบอาคมนี้ไม่เพียงใช้ทดสอบศิษย์ แต่เขายังมีจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นคือการนำดอกบัวจำนวนมากผสานรวมเป็นดอกบัวต้นกำเนิดเพื่อให้มันทำลายกำแพงของสมุนไพรระดับสิบหกและกลายเป็นสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ลึกล้ำ
แต่ตอนนี้มันกลับถูกหลิงฮันทำลายไปแล้วส่วนหนึ่ง จะบอกว่าเขาไม่เป็นทุกข์เลยงั้นรึ?
แต่จะร้องทุกข์ก็ไม่ได้เนื่องจากเขาเป็นคนให้หลิงฮันแก้ไขรูปแบบอาคมด้วยตัวเองซึ่งก็ไม่ได้ตั้งกฎว่าห้ามใช้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ช่วย
สามารถทำให้เซียนเป็นทุกข์ได้ด้วยพลังบ่มเพาะระดับดารา เกรงว่าคงมีหลิงฮันเป็นคนแรก
“คารวะเซียน!” หลิงฮันผสานมือ
เซียนหมิงซินสะบัดแขนเสื้อและพยายามระงับความเจ็บปวดเอาไว้ในใจ “เจ้าสลักรูปแบบอาคมหยินหยางห้าธาตุเอาไว้บนร่างกาย?”
“ขอรับ” หลิงฮันพยักหน้า เขารู้ว่าไม่อาจปิดบังเรื่องนี้ต้อหน้าเซียนได้ หากไม่ใช่เพราะรู้อยู่เขาอีกฝ่ายคงไม่เรียกเขามาพบ
“กระดูกของเจ้า… ช่างยอดเยี่ยมนัก” เซียนหมิงซินเอ่ยชมจากใจ แต่เขาไม่รู้ว่ายิ่งหลิงฮันแข็งแกร่งขึ้นกระดูกในร่างก็จะทรงพลังขึ้นตามไปด้วย ไม่เช่นนั้นเขาคงจะรู้สึกอิจฉาจนตรอมใจตายเป็นแน่
เขาคิดเพียงว่าหลิงฮันคงจะกินสมบัติบางอย่างเข้าไปทำให้กระดูกมีความทนทานและแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธทั่วไป
แน่นอนว่าหลิงฮันย่อมไม่อธิบายและพยักหน้าตอบรับ
“พรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของเจ้าน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก แถมกายหยาบก็ยังพิเศษ แม้ศักยะภาพในศาสตร์รูปแบบอาคมจะไม่สูงนักแต่ด้วยกายหยาบของเจ้าทำให้สามารถรีดเค้นประสิทธิภาพของรูปแบบอาคมได้ถึงจุดสูงสุด” เซียนหมิงซินอธิบายด้วยใบหน้าซับซ้อน
“ข้าคาดหวังกับเจ้าเอาไว้มาก” เขากล่าวต่อ “ในหกเดือนต่อมาจะมีการประลองระหว่างศิษย์ใหม่ หากเจ้าคว้าชัยชนะมาได้ เจ้าจะได้รับแก่นก่อเกิดพลังเซียนเป็นรางวัล”
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้านทันใด แก่นก่อเกิดพลังเซียนเกิดจากการที่ตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่งควบแน่นพลังจากสวรรค์และปฐพีมาอัดแน่นเป็นสมบัติ มันสามารถเสริมทั้งรากฐานพลังบ่มเพาะและเสริมความเข้าใจมในศาสตร์วรยุทธให้แก่จอมยุทธ ความล้ำค่าของมันนั้นสูงเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
ต่อให้เป็นเซียน การจะสร้างแก่นก่อเกิดพลังเซียนขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะใช้เวลาหลายล้านปีบางทีก็อาจจะทำไม่สำเร็จ
จะต้องนำมันมาให้ได้!
“ข้าคิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องยาก” หลิงฮันกล่าวอย่างมั่นใจ
เซียนหมิงซินหัวเราะก่อนจะส่ายหัวและกล่าว “เจ้ามั่นใจเกินไปหน่อย คาดว่าเค้าคงยังไม่รู้ว่ากู่ต้าวอี้นั้นทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว แถมพลังต่อสู้ของเขาก็ยังสามารถทัดเทียมได้แม้กระทั่งจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง”
รวดเร็วเช่นนั้นเชียว?
หลิงฮันตกตะลึง แต่เมื่อคิดอีกครั้ง กู่ต้าวอี้เคยเป็นถึงตัวตนระดับโลกียนิพพาน อย่างน้อยในระดับพลังที่ต่ำกว่าระดับโลกียนิพพานความรวดเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาสมควรจะรวดเร็วดุจแสงโดยไม่มีคอขวด
ยิ่งเขามีแก่นกำเนิดนิรันดร์ด้วยแล้ว ตราบใดที่สะสมปราณก่อเกิดได้เพียงพอ การทะลวงผ่านระดับย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็น
แม้หลิงฮันจะสลักรูปแบบอาคมทั้งสิบเอาไว้บนร่างกายทำให้มีพลังต่อสู้เทียบเคียงได้กับจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงขั้นต้น แต่เขาก็ไม่สามารถกล่าวอย่างมั่นใจว่าจะเอาชนะกู่ต้าวอี้ได้
ภายในครึ่งปีนี้… เขาจำเป็นต้องทะลวงผ่านระดับวารีนิรันด์
ตอนที่ 1482
ตราบใดที่ทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ได้ หลิงฮันมั่นใจว่าเขาไม่มีทางด้อยกว่าใครในระดับเดียวกัน
ยิ่งกว่านั้นกระดูกของเขาก็ยังสามารถยกระดับได้ตามระดับพลังบ่มเพาะ หากสลักรูปแบบระดับสิบห้าลงบนร่างกายและกระตุ้นใช้งานพร้อมกันพลังต่อสู้ของเขาจะสามารถทัดเทียมได้ระดับจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดชั้นต้นแน่นอน
แต่ในระยะเวลาเพียงครึ่งปีเขาคงมีเวลาไม่เพียงพอที่จะทำได้นั้น
ทะลวงผ่านก่อนเป็นอย่างแรกแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากัน
ต่อให้เขาจะตามหลังกู่ต้าวอี้แต่ก็ต้องไม่ตามหลังมากเกินไป
หลิงฮันขอตัวกับเซียนหมิงซิน อีกฝ่ายคาดหวังในตัวเขาเป็นอย่างมาก หากเขาไม่เข้าใจในส่วนใดของรูปแบบอาคมเขาสามารถมาหาอีกฝ่ายได้ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ตลอดเวลา อีกฝ่ายจะยอมพบเขาหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์
หลังจากกลับมายังที่พักของตนเอง หลิงฮันเข้าไปในหอคอยทมิฬทันทีและเริ่มทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์
ที่จริงพลังปราณที่สะสมเอาไว้ของเขานั้นมีเพียงพอแล้ว เหลือก็คือความเข้าใจในระดับพลัง
ภายใต้ต้นสังสารวัฏ เขาพยายามอย่างเอาเป็นเอาตาย
จากระดับดาราสู่วารีนิรันดร์นั้นคือการก้าวเดินอย่างก้าวกระโดด
ระดับดาราสามารถมีดวงดาวเป็นแหล่งพลังได้ห้าดวงซึ่งก็คือขั้นสมบูรณ์ แต่ระดับวารีนิรันดร์นั้นมีความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด
ในวงโคจรดาราจักรสามารถบรรจุดวงดาวได้กี่ดวง?
มากมายนับไม่ถ้วน!
เพราะงั้นแล้วจอมยุทระดับดาราหน้าใหม่ทั่วไปจึงมีจุดเริ่มต้นจากดวงดาราสี่ดวงหรือเรียกว่าระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นชั้นต้น สิบดวงคือชั้นกลาง ยี่สิบดวงคือชั้นปลายและสี่สิบดวงคือชั้นสูงสุด หากมีดวงดาวถึงร้อยดวงเมื่อไหร่ถึงจะบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลาง หนึ่งพันดวงสำรับขั้นสูงและหมื่นดวงสำหรับขั้นสูงสุด
ตามหลักแล้วจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์สามารถสร้างดวงดาวได้ไร้ขีดจำกัดก็จริงแต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีพลังแข็งแกร่งกว่าเซียน
เนื่องจากตราบใดที่จำนวนดวงดารามีมากถึงแสนดวง ระดับพลังก็จะถูกยกระดับเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดและมีคุณสมบัติที่จะทะลวงผ่านเป็นเซียน แต่ทว่า การทะลวงผ่านเป็นเซียนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนของดวงดาวแต่เป็นความเข้าใจในหลักการของระดับสร้างสรรพสิ่ง
หากทำความเข้าใจไม่ได้ต่อให้มีดวงดาวเป็นล้าดวงก็ไม่มีความหมาย
แต่ถึงอย่างไรจำนวนของดวงดาวก็เป็นรากฐานของพลังในระดับเซียนเช่นกันเนื่องจากพลังของเซียนจะอ้างอิงมาจากจำนวนของดวงดาวในระดับวารีนิรันดร์
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ภายใตตันเถียนของหลิงฮันมีสายธารสายเล็กปรากฏขึ้นมา นั่นไม่ใช่สายธารที่มีน้ำไหลอยู่ สิ่งที่ไหลอยู่คือแสงดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วน
วารีนิรันดร์!
ดวงดาวห้าดวงถูกดูดเข้าไปในสายวารีนิรันดร์ เมื่อได้รับผลกระทบจากสายวารีนิรันดร์อำนาจของดวงดาวทั้งห้าก็ทรงพลังขึ้นนับร้อยเท่า
นี่หมายถึงพลังปราณที่เขาสะสมเอาไว้ได้ขยายเพิ่มขึ้นร้อยเท่า!
ความรู้สึกหิวโหยถาโถมเข้ามา ไม่ใช่ร่างกายของเขาที่รู้สึกหิวแต่เป็นดวงดาราในตันเถียน ซึ่งอาหารของมันก็คือปราณก่อเกิด
หลิงฮันรีบหยิบเม็ดยาแผ่ไพศาลออกมา หลังจากกินเข้าไปกว่าสิบเม็ดความรู้สึกหิวโหยก็ค่อยๆลดลงจนรู้สึกอิ่ม
ขั้นตอนที่เหลือคือรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
หลิงฮันออกมาจากหอคอยทมิฬ เขาไม่รู้ว่าตนเองเก็บตัวนานเท่าไหร่ ถ้าหากเวลาล่วงเกินครึ่งปีไปแล้วเขาคงถือว่าโชคร้ายมาก
เขาออกจากสำนักละอองดาราไปยังสถานที่ห่างไกลและรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์
‘ครืนนน’ เมฆสีดำก่อตัวโดยมีสายฟ้าพัวพันอยู่รอบด้าน
“เข้ามา!” ครั้งนี้หลิงฮันไม่หวั่นเกรง ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ทั่วไปเปรียบได้กับเรื่องสนุกเล็กๆน้อยสำหรับเขา
หลิงฮันสลายการป้องกันของกายหยาบด้วยตนเองเพื่อนำทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์มาขัดเกลากายหยาบและยกระดับอำนาจสวรรค์
ทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ในครั้งนี้… ไม่รุนแรงเท่าครั้งก่อน!
หลิงฮันอดคิดไม่ได้ว่าทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์คู่นั้นผิดปกติอย่างแท้จริงและไม่มีทางที่เขาจะอยากรับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์เช่นนั้นอีกครั้ง
ครึ่งวันต่อมาหลิงฮันโคจรหยดวารีนิรันดร์และฟื้นคืนพลังป้องกันของกายหยาบให้กลับมาดังเดิม รูปแบบอาคมบนกระดูกเองก็ยังอยู่เนื่องจากมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาไปแล้ว นอกจากเขาจะลบมันออกเองก็ไม่มีทางที่มันจะหายไปไหน
“ในที่สุด… ก็บรรลุระดับวารีนิรันดร์เสียที!” เขาเผยรอยยิ้ม ฮูหนิวกล่าวเอาไว้ว่าจะรอคอยเขาหนึ่งร้อยปี ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้กล่าวเกินไป ด้วยศักยภาพของเขา เขามีคุณสมบัติพอจะเปิดประตูสู่ดินแดนแห่งเซียนในระยะเวลาร้อยปีจริงๆ
เขากลับมาที่พักและพบว่าจักรพรรดินีกับจิ่วเยารอเขาอยู่หน้าประตู เขามองไปยังจักรพรรดิและเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกัน
พวกเขาทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ด้วยกันแล้ว
“ยินด้วยด้วยท่านอาจารย์! ยินดีด้วยอาจารย์หญิง!” จิ่วเยากล่าว
หลิงฮันพยักหน้า “พลังบ่มเพาะของเขาก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ไม่เลว”
สำนักละอองดาราเข้าได้ยากก็จริง แต่เมื่อเข้ามาแล้วทรัพยากรที่ได้รับย่อมมากมายจนน่าอัศจรรย์การที่มีถึงเซียนระดับสูงเป็นผู้นำ จะมีทรัพยากรแบบใดบ้างที่ไม่สามารถหามาได้?
จิ่วเยาบรรลุระดับดาราขั้นต้นชั้นปลาย ความเร็วเช่นนี้นับว่าอัศจรรย์มาก แต่นั่นก็เป็นเพราะพรสวรรค์ของเขายอดเยี่ยมด้วย ไม่เช่นนั้นด้วยทรัพยากรที่ได้รับเพียงอย่างเดียวคงไม่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนี้
“การประลองศิษย์ใหม่จะเริ่มตอนไหน?” หลิงฮันถาม
“อาจารย์ ท่านมาได้จังหวะพอดี การประลองจะเริ่มต้นในอีกสิบห้าวันซึ่งพวกเราจะออกเดินทางในวันมะรืนนี้” จิ่วเยากล่าว
หลิงฮันพยักหน้า ช่างบังเอิญเสียเหลือเกิน
ปรมาจารย์เช่นพวกเขานั้นบางทีอาจจะใช้เวลารู้แจ้งนานหลายปี การทะลวงผ่านระดับของหลิงฮันในครั้งนี้ถือว่าราบลื่นอย่างน่าประหลาดใจ เขาใช้เวลาไปเพียงเกือบๆหกเดือนเท่านั้น หากเขาติดขัดแม้แต่เล็กน้อยการทะลวงผ่านระดับก็จะกินเวลาไปนานกว่านี้อีกนับปี
“มีศิษย์ใหม่หลายคนไม่พอใจในการจัดอันดับขานชื่อก่อนหน้านี้ พวกเขามุ่งมั่นอย่างมากที่จะสร้างชื่อเสียงในการประลองศิษย์ใหม่นี้” จักรพรรดินีกล่าว
หลิงฮันพยักหน้าด้วยแววตาที่แฝงไว้ด้วยเพลิงสู้รบ “ครั้งนี้ข้าจะโค่นกู่ต้าวอี้ด้วยการประลองที่ตรงไปตรงมา!”
ตอนที่ 1483
สองวันต่อมา ศิษย์เก่าร้อยคนของสำนักย่อยที่แปดซึ่งหลิงฮันก็รวมอยู่ในนั้นได้ถูกปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์พาออกเดินทางไปยังสำนักหลักโบราณ
เพียงแค่การประลองของเหล่าศิษย์ใหม่ไม่มีความจำเป็นให้เซียนเป็นคนนำทางด้วยตัวเอง
สำนักหลักโบราณคือสำนักละอองดาราหลักที่ถูกสร้างขึ้นโดยเซียนซิงฉา ต่อมาเมื่อศิษย์ทั้งเก้าของเขาประสบความสำเร็จถึงได้แยกย่อยออกเป็นอีกเก้าสำนักย่อย สำนักหลักโบราณนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต้องห้ามที่จะเปิดให้เข้าได้เฉพาะตอนที่จัดงานที่ยิ่งใหญ่
ศิษย์ส่วนใหญ่จ้องมองมายังหลิงฮันกับจักรพรรดินี ในสำนักย่อยที่แปดนี้มีเพียงทั้งสองคนเท่านั้นที่ทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์แล้ว
แต่ก็ใช้ว่าศิษย์ทั้งหลายจะตัดใจยอมแพ้ พวกเขามีอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับวารีนิรันดร์ หรือแม้กระทั่งอุปกรณ์เซียนอยู่ในมือซึ่งทำให้พวกเขายังพอเห็นแสงแห่งความหวังอยู่บ้าง
การประลองไม่ได้กำหนดว่าห้ามใช้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์หรืออาวุธใดๆที่มีพลังเหนือกว่าระดับพลังของตนเอง เพราะอย่างไรหากเป็นการต่อสู้จริงในโลกภายนอกย่อมไม่สามารถบังคับให้ศัตรูห้ามใช้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ได้
เนื่องจากพวกเขาออกเดินทางไว ศิษย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงในสำนักย่อยที่แปดจึงไม่มีโอกาสขัดขวางหลิงฮันและทำได้เพียงรอคอยให้หลิงฮันกลับมา
สำนักย่อยทั้งเก้าใช้เวลาเดินทางไปยังสำนักหลักโบราณราวๆสิบวัน
อาจารย์ที่รับหน้าที่นำทางสำนักย่อยที่แปดคือปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดที่มีชื่อว่าเหวยเชิน ตราบใดที่เซียนไม่ปรากฏตัวเขาคือตัวตนที่ไร้เทียมทานที่สุดและไม่หวาดกลัวต่อสัตว์อสูรใดๆที่จะโจมตีตามเส้นทาง
สิบวันผ่านไปกลุ่มศิษย์ใหม่ทั้งร้อยคนก็มาถึงสำนักหลักโบราณ
มองจากภายนอกสำนักหลักโบราณมีขนาดพื้นที่เล็กกว่าสำนักย่อยที่แปดด้วยซ้ำ แต่นั่นก็เป็นเพราะในตอนแรกเซียนซิงฉาไม่ได้รับศิษย์มากมายเท่าไหร่ แต่ละครั้งที่เปิดรับศิษย์เข้าสำนักเขารับเพียงแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น สำนักหลักโบราณจึงไม่ได้มีขนาดกว้างขวางเท่าใดนัก
แต่ถึงแม้จะบอกว่ามีขนาดเล็กแต่แท้จริงแล้วสำนักหลักโบราณนั้นเปรียบเสมือนเมืองหนึ่งเมืองเลยทีเดียว ประตูทางเข้าถูกเปิดเอาไว้โดยไม่มีใครยืนคุ้มกันแม้แต่คนเดียว
สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต้องห้ามของสำนักละอองดารา ใครจะกล้าลอบเข้าไปสร้างความวุ่นวาย?
เมื่อพวกหลินเข้าไปยังสำนักหลักโบราณก็มีใครบางคนต้อนรับพวกเขาและจัดหาที่พักให้
หลังจากสะสางเรื่องต่างๆเสร็จแล้วทุกคนก็ออกไปเดินเตร็ดเตร่รอบสักนัก หากโชคดีพวกเขาอาจจะพบเจอเซียนซิงฉาและได้รับชี้แนะก็เป็นได้
หลิงฮันออกตามหาจักรพรรดิพิรุณและคนอื่นๆ เพียงแต่ว่าสำนักย่อยที่มาถึงแล้วมีไม่มากเขาจึงพบเจอเพียงแค่สตรีนกอมตะกับติงผิง ทั้งสองคนระบายความไม่พอใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมของสำนักออกมา
“ข้าจะทวงคืนความแค้นนี้ให้ในภายหลัง!” หลิงฮันปลอบสตรีนกอมตะ ส่วนติงผิงนั้นเขาปล่อยไป หากเรื่องแค่นี้ยังต้องให้เขาสะสางให้อีกฝ่ายจะยังเหมาะสมเป็นศิษย์ของเขาอยู่อีก?
ติงผิงกลายเป็นไร้คำพูด…
ทั้งสองคนตอนนี้บ่มเพาะพลังด้วยทักษะระดับสูงที่หลิงฮันมอบให้ แต่หลังจากที่บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งแล้วทักษะนี้จะทำหน้าที่ชี้แนะแนวทางให้เท่านั้นและต้องพึ่งพาความเข้าใจในศาสตร์วรยุทธของตนเองเป็นหลัก
เพียงแต่ว่าในระดับพลังที่ต่ำกว่าระดับสร้างสรรพสิ่ง ทักษะบ่มเพาะระดับสูงนั้นได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด เพราะงั้นแล้วแม้เวลาจะผ่านไปเพียงปีเดียวแต่สตรีนกอมตะกับติงผิงก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก แต่นั่นก็เพราะทรัพยากรที่สำนักมอบให้ก็มีจำนวนมหาศาลด้วยเช่นกัน
หลิงฮันกับสตรีนกอมตะกระหนุงกระหนิงกันราวกับเป็นคู่แต่งงานใหม่ ติงผิงกับจิ่วเยาถูกทิ้งเอาไว้โดยที่ทั้งลองคนจับมือกันเดินเล่นไปรอบๆสำนักหลักโบราณ
“ไปเลย! ไปเลย! ไปเลย!” เสียงของเด็กน้อยดังขึ้น ด้านหน้าพวกเขามีคนสองคนปรากฏตัวใกล้เข้ามา หนึ่งเป็นนชายหนุ่มที่คลานอยู่บนพื้นในขณะที่อีกคนเป็นเด็กน้อยอายุราวๆสี่ถึงห้าปีซึ่งกำลังขี่อยู่บนหลังของชายหนุ่มและตะโกนออกมาอย่างสนุกสนาน
หลิงฮันตกตะลึง ชายหนุ่มที่กำลังคลานสี่ขาคือจอมยุทธระดับดารา ส่วนเด็กน้อยมีพลังระดับทลายมิติ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนักที่จอมยุทธระดับดารายอมมาเป็นม้าขี่ให้กับเด็กน้อยโดยไม่มีท่าทีเสียใจแม้แต่น้อย
นั่นคงเป็นการละเล่นระหว่างบิดากับบุตรซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับเขา หลิงฮันจับมือสตรีนกอมตะและเดินจากไป แต่ทันใดนั้นเด็กน้อยก็ชี้มาที่เขาและกล่าว “ข้าอยากขี่พี่สาวคนนั้น!”
หากคำพูดนี้ไม่ได้ออกมาจากปากเด็กน้อย หลิงฮันคงจะตบหน้าคนพูดไปแล้ว แต่ในเมื่อคนพูดเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสีประสาเขาจึงไม่สนใจและทำเป็นไม่ได้ยิน
“ห้ามไป!” เด็กน้อยกล่าวพร้อมกับกระทืบเท้าใส่ ‘ม้า’ เพื่อออกคำสั่งให้อีกฝ่ายหยุดพวกหลิงฮัน
หลิงฮันขมวดคิ้วเล็กน้อย พ่อแม่ของเด็กน้อยคนนี้ไม่เคยสั่งสอนการประพฤติให้ให้เลยรึอย่างไร?
รุ่นเยาว์ที่ทำหน้าที่เป็นหม้ารีบลุกขึ้นยืนและอุ้มเด็กน้อยไว้พร้อมกับพุ่งไปขวางหน้าพวกหลิงฮัน “พวกเจ้าก็ได้ยินคำพูดของนายน้อยหยุนแล้ว เหตุใดยังไม่รีบทำตามอีก?”
หืม? ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่บิดาของเด็กน้อย?
นายน้อยหยุน?
สามารถทำให้จอมยุทธระดับดาราเรียกว่านายน้อยหยุนได้เช่นนี้ เด็กน้อยต้องมีพื้นเพที่ทรงพลังขนาดไหน?
ใบหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นมืดมนและกล่าว “เจ้าจะคลานเป็นวัวเป็นม้าอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้า แต่หากสร้างปัญหาให้พวกข้าอย่าคิดว่าข้าจะสุภาพด้วย”
“ข้าอยากขี่ม้า! ข้าอยากขี่ม้า!” เด็กน้อยตะโกนเสียงดังด้วยความเอาแต่ใจ
“ขอรับนายน้อย ข้าจะจัดการให้เดี๋ยวนี้” ชายหนุ่ยปลอบโยนเด็กน้อยก่อนและมองไปกลับไปยังหลิงฮัน ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความยิ่งยโสราวกับตนเองสูงส่งเป็นอย่างมาก
“เจ้ารู้รึไม่ว่านายน้อยหยุนเป็นใคร?”
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ไม่” แต่ที่เขารู้คือเด็กน้อยคนนี้ต้องมีผู้หนุนหลังที่ไม่ธรรมดาแต่น้อย ไม่เช่นนั้นปรมาจารย์ระดับดาราจะยอมลดตัวลงมาเป็นม้าขี่ได้ให้ได้อย่างไร?
“นายน้อยหยุน…” ชายหนุ่มจงใจหยุดชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อ “คือบุตรชายเพียงคนเดียวของเซียนซิงฉา!”
พรวด!
หลิงฮันสำลักออกมาและส่งเสียงไอหลายครั้ง เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่ใช่ในสถานะของเด็กน้อยคนนี้แต่เป็นเรื่องที่ว่าเซียนซิงฉาที่อายุเยอะขนาดนั้นแล้วเป็นไปได้ด้วยรึที่จะมีบุตรอายุน้อยขนาดนี้
ไม่น่าเชื่อว่าเซียนซิงฉาที่แก่เฒ่าขนาดนั้นแล้วจะยังแข็งแรงอยู่
ตอนที่ 1484
เซียนซิงฉาอายุเท่าไหร่?
ตามหลักแล้วเซียนระดับสูงจะมีอายุขัยสามพันล้านปี แต่ปรมาจารย์ระดับนั้นจำเป็นต้องรับทัณฑ์สวรรค์ทุกร้อยล้านปี ซึ่งบางคนก็ตกตายเพราะสิ่งนี้ก่อนที่จะอยู่ครบอายุขัย
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นว่าเซียนซิงฉาจะมีอายุครบสามพันล้านปี แต่อีกฝ่ายก็สมควรมีอายุราวๆนั้นแล้ว
กล่าวได้ว่าเซียนซิงฉาอยู่ในช่วงชีวิตที่ต้องการผู้สืบทอด ทว่าในหมู่ศิษย์ทั้งเก้ากลับไม่มีใครที่เขาสามารถสืบสานวิถีวรยุทธต่อให้ได้เลย
เหตุผลนั้นง่ายมาก ศิษย์ทั้งเก้าของเขาไม่มีใครเลยที่ทะลวงผ่านกลายเป็นเซียนระดับกลางหรือระดับสูง
แต่ถึงอย่างนั้นการที่ชายชราใกล้ลงโลงเช่นเขา คิดจะสืบทอดมรดกโดยการเพิ่งให้กำเนิดบุตรอายุสี่ปีนั้นค่อนข้างจะแปลกประหลาดเกินไป!
เห็นหลิงฮันแน่นิ่งไปชายหนุ่มคนนั้นจึงคิดว่าหลิงฮันหวาดกลัว เขาแสยะยิ้มและกล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้สถานะของนายน้อยหยุนแล้วก็รีบคุกเข่าแสดงความเคารพซะ!”
ชื่อของเขาคือโม่หลี่เป็นศิษย์ของสำนักย่อยที่เจ็ด เขาโชคดีที่เมื่อมาที่นี่ได้พบกับเซียนน้อยโดยบังเอิญ หลังจากรับรู้สถานะของอีกฝ่ายเขาก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับนายน้อย
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ข้ามาที่นี่เพื่อฝึกฝนไม่ได้มาเพื่อเป็นม้าขี่ให้ใคร! เด็กน้อยนั้นไร้เดียงสายังพอให้อภัย แต่หากเจ้ายังพล่ามไร้สาระอยู่อีกข้าก็ไม่รังเกียจที่จะมอบกำปั้นให้เจ้า”
“เจ้ากล้า!” โม่หลี่คำราม เจ้าบ้าไปแล้วรึไง เมื่อมีนายน้อยหยุนอยู่ที่นี่เจ้าที่เป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไปจะทำอะไรได้?
“ข้าอยากขี่ม้า! ข้าอยากขี่ม้า!” เด็กน้อยรู้เพียงแต่การสร้างปัญหา เท้าของเขาเตะไปมาเข้าใส่ร่างของโม่หลี่ แต่แน่ว่าด้วยกำลังของเด็กน้อยเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ปรมาจารย์ระดับดาราบาดเจ็บ
หลิงฮันมองไปยังโม่หลี่พร้อมกับส่ายหัว จอมยุทธที่มีจิตใจอ่อนแอเช่นนี้มีคุณสมบัติจะกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลัง?
การที่โม่หลี่เข้าร่วมสำนักละอองดาราได้นั้นเขาต้องเป็นราชาไม่ผิดแน่ แต่น่าเสียดายที่ราชาไม่ใช่ว่าจะเป็นราชาได้ตลอดไป เขาลดศักดิ์ศรีของตนเองลงมาเพื่อไขว่คว้าทางลัดจนลืมไปแล้วว่าสิ่งสำคัญที่สุดของศาสตร์วรยุทธคืออะไร
ความมั่นใจและศักดิ์ศรีของตัวเอง!
“ไปกันเถอะ” หลิงฮันจับข้อมือของสตรีนกอมตะอละคร้านที่จะใส่ใจทั้งสองคน
“คิดหนีรึ!” โม่หลี่ที่ไม่รู้เอาความกล้ามาจากไหนปล่อยหมัดเข้าใส่แผ่นหลังหลิงฮัน
หลิงฮันเค้นเสียงและสะบัดหลังมือสลายพลังโจมตีของหมัดที่พุ่งเข้ามาและเอื้อมมือไปคว้าคอของโม่หลี่
ระดับดาราจะนับเป็นอันใดได้เมื่ออยู่ต่อหน้าระดับวารีนิรันดร์ นอกเสียจากว่าจะเป็นราชาระดับสามที่มีพลังต่อสู้ทัดเทียมกับระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้น
“เจ้าแส่หาเรื่องเอง!” หลิงฮันยกมือขวาขึ้นลง ด้วยอำนาจของปราณก่อเกิดจากฝ่ามือ ร่างของโม่หลี่มีเสียงแตกหักของกระดูกดังออกมาอย่างต่อเนื่อง
โม่หลี่ไม่ได้มีกายหยาบที่ทรงพลัง เพียงแค่ถูกเขย่าร่างไปมาเช่นนี้กระดูกทั่วทั้งร่างของเขาก็แตกหักไปกว่าครึ่งร่าง ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความทรมานและกรีดร้องออกมา
เขาไม่ร้องขอความเมตตาแต่กลับกล่าวข่มขู่ “เจ้ากล้าทำร้ายข้า! เจ้าบังอาจทำให้ข้าบาดเจ็บ! ตอนนี้ต่อให้พระเจ้ามาที่นี่ก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ข้าจะไปรายงานว่าเจ้าคิดทำร้ายนายน้อยหยุน เจ้าตายแน่!”
เขามองไปยังหลิงฮันด้วยสีหน้ามืดมน ในสำนักละอองดาราไม่มีใครกล้าลงมือสังหาร ดังนั้นเขาตั้งใจจะใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์
เขาถูกได้รับบาดเจ็บจากการช่วยเหลือนายน้อยหยุน และหลิงฮันเป็นคนร้ายที่คิดทำลายนายน้อยหยุน
หลิงฮันยิ้มและตบไปหน้าของอีกฝ่าย “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะใช้สมองไปในทางที่ผิดเช่นนี้ หากลองใช้สมองของเจ้าไปกับการบ่มเพาะพลังเจ้าคงทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ได้ไปแล้ว!”
โม่หลี่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดหลิงฮันถึงไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย? นี่มันไม่ถูกต้อง!
เมื่อเขากล่าวข่มขู่ออกมา ไม่ใช่ว่าหลิงฮันสมควรต้องหวาดกลัวความตายจนยอมก้มหัวคุกเข่าร้องขอความเมตตาจากเขาหรอกรึ?
หรือว่าเขาจะมีผู้หนุนหลังที่สามารถต่อกรกับเซียนซิงฉา?
ไม่มีทาง หากมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นอีกฝ่ายจะมาที่นี่ทำไม?
หลิงฮันยิ้มและชี้ไปยังสตรีนกอมตะพร้อมกับกล่าว “ดูนั่น”
โม่หลี่มองตามและชะงักแน่นิ่งไร้คำพูด
นายน้อยหยุนกำลังเล่นกับสตรีผู้นั้นอย่างมีความสุข สตรีผู้นั้นไม่ได้คุกเข่าคลานให้นายน้อยขี่แต่นางจับนายน้อยอุ้มกอด ซึ่งใบหน้าของนายน้อยก็แสดงออกถึงความสุขอย่างเต็มที่
บะ.. แบบนี้ก็ได้ด้วย! โม่หลี่อยากจะกระอักโลหิตออกมา
“จงบ่มเพาะพลังไปในทางที่ถูกต้อง การที่เจ้าสามารถเข้าร่วมสำนักละออกดาราได้นั่นหมายถึงเจ้าเองก็มีพรสวรรค์ในระดับราชา ทำไมต้องจะต้องลดตัวลงไปใช้วิธีลัดที่ต่ำช้าเช่นนั้น?” หลิงฮันกล่าวน้ำเสียงตักเตือน
โม่หลีแสดงสีหน้าครุ่นคิดระลึกความหลัง ในอดีตเขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานอย่างมาก เมื่อตอนที่เข้าร่วมสำนักละอองดาราเขาถูกบังคับให้คลานลอดผ่านช่องสุนัข ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ดิ้นรนฝ่าฟันความลำบากจนพลังบ่มเพาะทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่ว่าราชาในสำนักละอองดารานั้นมีมากมายดั่งหมู่เมฆบนท้องฟ้า เขาสูญเสียความมั่นใจจนหลงเดินไปในทางที่ผิดและไม่มุ่งมั่นกับศาสตร์วรยุทธอีกต่อไป
เขากำลังเดินไปในเส้นทาง? เขากำลังทำอะไรอยู่?
ร่างของโม่หลี่สั่นสะท้าน ความกระจ่างแวบผ่านแววตาของเขาและใบหน้าได้กลับกลายเป็นรู้สึกเศร้าเสียใจ
ในเมื่อเขาเป็นราชา จิตวิใจของเขาย่อมแกร่งกล้า
“ข้าเข้าใจแล้ว” โม่หลี่พยักหน้า “ศิษย์พี่ ข้าจะมุ่งมั่นฝึกฝนวรยุทธให้ดีและวันหนึ่งข้าจะตอบแทนความช่วยเหลือของศิษย์พี่ในวันนี้แน่นอน”
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เจ้าไปได้แล้ว”
“แล้วนายน้อยหยุน…” โม่หลี่มองไปยังเด็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นทายาทของเซียนระดับสูง หากมีอะไรเกิดขึ้นเขาจะรับผิดชอบไหวได้อย่างไร?
“ไม่ต้องกังวล พวกข้าจะพาเขากลับไปส่งให้เอง” หลิงฮันพยักหน้า
โม่หลี่ลังเลแต่ก็กล่าวออกไป “ศิษย์พี่ มารดาของนายน้อยหยุนเป็นคนอารมณ์ร้อนอย่างมาก ท่านห้ามขัดใจนางเด็ดขาด” ในขณะที่กล่าวประโยคนี้ เขาลดเสียงตนเองลงราวกับหวาดกลัวว่าจะมีใครได้ยิน
มารดาของนายน้อยหยุน หรือก็คือภรรยาของเซียนซิงฉา
ตอนที่ 1485
เป็นถึงภรรยาของเซียนระดับสูงที่เพิ่งให้กำเนิดบุตร ความหยิ่งยโสของนางคงจะมากล้นเกินจินตนนาการ
หลิงฮันพยักหน้าและกล่าว “งั้นข้าจะไม่ไปพบนางและปล่อยให้เด็กกลับไปเอง” ถึงแม้เด็กน้อยจะอายุเพียงสี่ถึงห้าปีแต่ก็มีพลังบ่มเพาะถึงระดับทลายมิติ
ยิ่งกว่านั้นที่นี่ก็ยังเป็นสำนักหลักโบราณ ต่อให้เซียนซิงฉาจะเก็บตัวอยู่แต่สำหรับบุตรที่ล้ำค่าของเขา อีกฝ่ายจะต้องทิ้งสัมผัสสวรรค์คุ้มกันเด็กน้อยเอาไว้แน่นอนเนื่องจากอาจจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
โม่หลี่ครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้า เขาลุกขึ้นยืนโดยใช้ปราณก่อเกิดพยุงกระดูกในร่างและกัดฟันอดทนความเจ็บปวด ใรความคิดของเขาความเจ็บปวดนี้ถือเป็นบทเรียนที่ดีที่ทำให้เขากลับมาสู่เส้นทางของวิถีวรยุทธที่ถูกต้อง
เด็กน้อยอายุสี่ถึงห้าปีคนนี้แม้จะถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ แต่เมื่อได้เล่นสนุกกับสตรีนกอมตะเขาก็ลืมเรื่องอยากขี่ม้าไปเสียสนิท
หลิงฮันกล่าว “พาเด็กคนนี้กลับบ้านกันเถอะ”
“อืม” สตรีนกอมตะพยักหน้าและมองไปยังหลิงฮัน “ข้าเองก็อยากได้สักคน!”
จิตใจของหลิงฮันสั่นสะท้านทันใด “งั้นก็โยนเด็กน้อยนี่ทิ้งไปและพวกเราไปทำลูกกัน!”
สตรีนกอมตะถลึงตาใส่เขา เรื่องเช่นนี้พูดออกมาต่อหน้าเด็กได้อย่างไร ถึงแม้เด็กวัยเท่านี้จะไม่เข้าใจก็ตาม
“ข้าอยากขี่ลิง!” เด็กน้อยเข้าใจเพียงความหมายของคำบางคำและกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น
*生猴子 ทำลูกกับลิงใช้คำเดียวกัน
หลิงฮันสะบัดมือนำสัตว์อสูรออกมาจากหอคอยทมิฬ มันเป็นสัตว์อสูรที่มีรูปร่างเหมือนลิงแต่มีปูกคู่หนึ่งอยู่ด้านหลัง
สัตว์อสูรยิ้มอย่างดุร้ายทันทีที่ออกมา เมื่อแยกยะพลังของคนสามตนที่อยู่ตรงหน้าได้แล้ว มันก็จ้องมองไปยังเด็กน้อยด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
ถึงแม้เด็กน้อยจะมีพลังบ่มเพาะที่สูงกว่าสัตว์อสูรลิง แต่เด็กน้อยก็ยังเป็นเด็กน้อย เมื่อเขาเห็นลิงทำหน้าโหดเหี้ยมใส่เด็กน้อยก็ร้องไห้ทันที
“พวกเราต้องพาเด็กกลับ ไม่ใช่ทำให้เด็กหวาดกลัว” สตรีนกอมตะไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เมื่อคิดว่าต้องมีลูกกับหลิงฮันแล้ว นางจะไม่มีทางให้หลิงฮันเป็นคนดูแลลูกเด็ดขาด
แต่ไม่ว่าอย่างไรเด็กน้อยก็เป็นช่วงอายุที่กลัวง่ายลืมง่าย เขาลืมความหวาดกลัวและกลับไปสร้างปัญหาต่อ
“ข้าอยากขี่ม้า! ข้าอยากขี่ม้า!” เด็กน้อยกลับมาตะโกนกล่าวคำพูดเดิมๆก่อนหน้านี้
เด็กน้อยถูกเลี้ยงดูแบบตามใจ เขาอยากได้อะไรก็ต้องได้ไม่เช่นนั้นจะร้องไห้ไม่หยุด
หลิงฮันจับร่างของสัตว์อสูรลิงโยนไปยังเด็กน้อยและกล่าว “เอาล่ะ ขึ้นขี่มันเลย!”
สัตว์อสูรลิงอ้าปากทำหน้าโหดเหี้ยม
ร่างของเด็กน้อยทรุดลงกับพื้น เขาหยุดร้องไห้แต่หวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือดแทน
“เจ้านี่นะ เขายังเป็นเด็กอยู่ จะไปทำให้เขากลัวทำไม?” สตรีนกอมตะรีบอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา
หลิงฮันเกาหัว เขาคุ้นเคยแต่การรับมือกับผู้ใหญ่ แต่สำหรับเด็กน้อยนั้นเขาไม่รู้แม้แต่น้อยว่าต้องทำอย่างไร
“เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว!” สตรีนกอมตะสะบัดมือไล่ หลิงฮันช่างไม่มีความสามารถในการเลี้ยงดูเด็กอย่างแท้จริง
เด็กน้อยสร้างปัญหาไม่หยุด ทั้งสองคนใช้เวลานานกว่าจะพามาถึงที่พักแห่งหนึ่งได้ ซึ่งที่นี่ก็คือบ้านของเด็กน้อย
หลิงฮันยังไม่ทันจะเคาะประตูเรียก แต่จู่ๆประตูก็เปิดออกพร้อมกับมีชายชราอายุราวๆเจ็ดสิบปีปรากฏถึงออกมา แม้คิ้วและเส้นผมของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วแต่ร่างกายไปได้อ่อนแอตามวัยเลยแม้แต่น้อย จากที่ดูแล้วเขาคงเป็นหัวหน้าผู้ดูแลที่พักแห่งนี้
การจะมีคนรับใช้ระดับชายชราคนนี้ เกรงว่าได้ท้องฟ้าคงมีจำนวนเพียงหยิบมือ
ชายชราคือปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ ซึ่งพลังบ่มเพาะของเขาย่อมสูงกว่าแน่นอน แต่จะเป็นขั้นกลาง ขั้นสูงหรือชั้นสูงสุดนั้นหลิงฮันไม่สามารถรู้ได้
“นายน้อยหยุน!” ชายชรายิ้มและเอื้อมมือไปรับเด็กน้อย
แต่เด็กน้อยไม่สนใจชายชราแม้แต่นิดเดียว เขาหันหน้าหนีและกอดคอสตรีนกอมตะเอาไว้ราวกับว่าไม่อยากแยกจากกัน
“มอบเด็กคืนแล้วรีบไปกันดีกว่า” หลิงฮันพยักหน้าให้กับสตรีอกตะเพื่อส่งสัญญาณให้นางวางเด็กลง โม่หลี่กล่าวเตือนเอาไว้ว่าอย่าไปพบเจอกับภรรยาของเซียน
สตรีนกอมตะนั่งลง แต่เด็กน้อยปฏิเวธที่จะแยกห่างจากนาง เขากอดคอนางเอาไว้แน่นและตะโกนไม่หยุด “ห้ามไป! เจ้าห้ามไปไหน! ข้าอยากได้เจ้าเป็นภรรยา!”
มุมปากของหลิงฮันกระตุก เด็กน้อยตัวเท่านี้กล้าคิดจะแย่งภรรยาของเขาไป?
สตรีนกอมตะยิ้มและกล่าว “หยุนน้อย ปล่อยข้าเถอะ”
“ไม่ เจ้าต้องเป็นภรรยาของข้าและหลับนอนด้วยกันกับข้า!” เด็กน้อยกล่าว
ใบหน้าของหลิงฮันแปรเปลี่ยนเป็นมืดมน
สตรีนกอมตะยังคงยิ้ม “แต่พี่สาวเป็นภรรยาของคนอื่นแล้ว”
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องการเจ้าเป็นภรรยา!” เด็กน้อยกอดคอสตรีนกอมตะและตะโกน
ชายชรายิ้มและกล่าว “ถ้าเช่นนั้นแม่นางก็ต้องอยู่ที่นี่ต่อไปสักพักจนกว่านายน้อยหยุนจะพอใจถึงจะกลับไปได้”
หลิงฮันไม่สบอารมณ์อย่างมาก หากแค่คำพูดของเด็กเขายังคงฟังเป็นเรื่องตลกได้
“พวกข้าไม่มีเวลาว่างขนาดนั้น!” เขากล่าวอย่างไม่แยแส
“หนุ่มน้อย นายน้อยหยุนเป็นบุตรของเซียนซิงฉา!” ชายชราไม่ขึ้นเสียงใดๆแต่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“นางเป็นภรรยาของข้า มีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องยอมพวกเจ้า?” น้ำเสียงของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
ชายชรายิ้ม “นายน้อยหยุน ต่อให้ท่านต้องการดวงตะวันบนท้องฟ้าชายชราก็จะนำมาให้มา เพราะงั้นแค่สตรีคนนี้ย่อมเป็นเรื่องเล็กน้อย!” เขาเอื้อมมือออกไปคว้าร่างของสตรีนกอมตะหวังจะพานางเข้าไปในที่พัก
“ฮึ่ม!” หลิงฮันลงมือปล่อยหมัดที่แฝงไว้ด้วยเจตจำนำดาบเข้าใส่มือของชายชรา
ตูม!
คลื่นพลังสั่นสะเทือนไปทั่วพื้นดิน หากไม่ใช่เพราะมีรูปแบบอาคมป้องกันเซียนติดตั้งเอาไว้ ทั่วทั้งที่พักคงถูกทำลายสิ้นซากไปแล้ว
“อะไรกัน!” ชายชราแสดงสีหน้าตกตะลึง รุ่นเยาว์ผู้นี้สามารถสลายพลังจากฝ่ามือที่เอื้อมออกไปของเขาได้
แม้เขาจะไม่ได้ออกแรงเต็มที่ แต่เขาก็เป็นถึงปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นปลาย เพียงแค่ศิษย์ที่เพิ่งทะลวงระดับวารีนิรันดร์จะสามารถสลายพลังฝ่ามือของเขาได้ง่ายๆ?
ตอนที่ 1486
“ภรรยาข้า ไปกันเถอะ” หลิงฮันกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด
สตรีนกอมตะพยักหน้าและวางเด็กน้อยลง ด้วยกำลังของระดับดารามีรึที่ระดับทลายมิติจะรั้งไหว?
เด็กน้อยทำแก้มป่องและมีสีหน้าขุ่นเคืองใจ เขาหันหลังรีบวิ่งไปทางที่พักอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านแม่!” ใช่แล้ว เขาร้องไห้วิ่งไปหามารดา
สีหน้าของชายชรากลายเป็นมืดมน “เจ้าจะไปไหนไม่ได้หากนายน้อยหยุนยังไม่อนุญาติ” เขากล่าวพร้อมกับปลดปล่อยวิถีดาราจักรที่มีดวงดาวเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดวงล่องลอยอยู่ภายใน
ชายชราเป็นปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นสูงสุดที่อีกแค่ก้าวเดียวก็จะทะลวงผ่านสู่ขั้นสูงสุด แต่ดวงดาวจำนวนเท่านี้ก็คือคอขวดของเขาแล้ว บางทีต่อให้หมดสิ้นอายุขัยเขาก็ไม่อาจบรรลุขั้นพลังต่อไป
ดวงดาวแต่ละดวงในวิถีดาราจักรของชายชราส่องประกายเจิดจ้า
ในทางกลับกัน วิถีดาราจักรของหลิงฮันมีดวงดาวอยู่เพียงห้าดวงซึ่งแต่ละดวงส่องแสงสว่างเพียงสลัวๆเท่านั้น
ระดับพลังของทั้งสองต่างกันเกินไป ต่อให้หลิงฮันในตอนนี้จะมีพลังต่อสู้หกดาวซึ่งเทียบเท่ากับระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางชั้นปลาย และต่อให้ชายชราจะเป็นเพียงอัจฉริยะหนึ่งดาว พลังต่อสู้ของคู่ก็ยังต่างกันถึงห้าดาวอยู่ดี
สตรีนกอมตะก้าวถอยไปอยู่ด้านหลังหลิงฮันอย่างไม่ลังเล
หลิงฮันกล่าว “ไม่นึกว่าการหวังดีพาเด็กมาคืนให้จะได้รับการตอบแทนเช่นนี้ แล้วหลังจากนี้ใครจะกล้าทำความดีกัน?”
ชายชราตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ในโลกนี้พลังอำนาจคือความยุติธรรม!”
“ในเมื่อเจ้ายึดติดกับพลังขนาดนั้น ข้าก็จะกำราบเจ้าด้วยพลัง” หลิงฮันพุ่งทะยานโจมตีเข้าใส่อีกฝ่าย
“ในตอนที่ข้ากำราบศัตรูที่แข็งแกร่งมานับไม่ถ้วน เจ้ายังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ!” ชายชราลงมือเช่นกัน ฝ่ามือของเขาถูกกระแทกออกไปโดยมีดวงดาวนับร้อยโอบล้อมเอาไว้
ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทพลังทั้งหมด แค่ดวงดาวร้อยดวงเพียงพอแล้วที่จะจัดการจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้น
โชคร้ายที่เขาไม่เห็นดวงดาวทั้งห้าดวงของหลิงฮันที่มีขนาดใหญ่กว่าดวงดาวของระดับวารีนิรันดร์ทั่วไปหลายร้อยเท่า ห้าดวงของหลิงฮันเทียบได้กับห้าร้อยดวงของจอมยุทธคนอื่น
หลิงฮันยังไม่ใช้รูปแบบอาคมหยินหยางห้าธาตุและปล่อยหมัดธรรมดาออกไป
ทั้งสองแลกเปลี่ยนการโจมตีกันอีกครั้ง ครั้งนี้คลื่นกระแทกได้แพร่กระจายไปเป็นบริเวณกว้าง หากมีใครเผลอเข้ามาใกล้รอบๆนี้ร่างของคนนั้นจะต้องแหลกเป็นเศษเนื้อแน่นอน
สตรีนกอมตะล่าถอยไปไกลพอสมควรแล้ว แต่คลื่นลมที่เกิดการการปะทะของทั้งสองก็ยังถาโถมใส่นางจนลอยกระเด็นไปสองสามร้อยฟุต
ชายชราตกตะลึง รุ่นเยาว์ผู้นี้ไม่อาจดูถูกได้เลย พลังของหมัดเมื่อเกือบจะทรงพลังเทียบเท่าระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางชั้นสูงสุด! ชายชรากล่าว “ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมเจ้าถึงสามารถเข้าร่วมสำนักละออกดาราได้ ทว่าไม่ว่าอย่างไรข้าก็มีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นสูงสุด!”
เมื่อกล่าวเสร็จเขาก็ลงมือต่อ ครั้งนี้ฝ่ามือของเขาล้อมรอบไปด้วยดวงดาวที่ส่องสว่างเจิดจ้านับไม่ถ้วน ฝ่ามือนี้อัดแน่นไปด้วยพลังอันท่วมท้น
ชยาชราเอาจริงแล้ว
แต่หลิงฮันก็ไม่หวาดหวั่น ต่อให้เขาไม่ได้โคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ กายหยาบของเขาในตอนนี้ก็บรรลุเทียบเท่าแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบสี่เกือบจะสิบห้าซึ่งเพียงพอแล้วสำหรับต้านทานการโจมตีของระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง
เขากระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมทั้งสิบในร่างพร้อมกันและจู่โจมเข้าใส่ชายชราด้วยทักษะดาบดาบฟ้าคำราม
‘ครืน’ ปราณดาบถูกปลดปล่อยออกมาจากนิ้วมือ
ตูม!
หลิงฮันถูกทำให้ล่าถอยไปร้อยฟุตก่อนจะทรงตัวได้ แม้พลังจะยังไม่แข็งแกร่งพอแต่กายหยาบของเขาก็ไร้เทียมทาน ส่วนชายชราไม่ได้ขยับไปจากที่เดิม เขาเค้นเสียงก่อนจะยกฝ่ามือขึ้นมาดูและพบกับโลหิตที่ไหลออกมาจากนิ้วมือ
การปะทะเมื่อครู่ แม้จะดูเหมือนหลิงฮันเป็นฝ่ายเสียเปรียบแต่คนที่ได้รับบาดเจ็บคือชายชรา เหตุผลนั้นง่ายมาก กายหยาบของหลิงฮันทนทานเกินไปจนไม่ได้รับบาดเจ็บนั่นเอง
“เจ้าหนูบัดซบ!” ผมและหนวดเคราของชายชราสยายออกแสดงให้เห็นถึงความโกรธ
นานกี่ปีมาแล้วที่เขาเคยได้รับบาดเจ็บ?
หลิงฮันมั่นใจเป็นอย่างมาก เป็นที่รู้กันดีว่าคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ไร้เทียมทานในด้านการป้องกัน ตอนนี้เมื่อมีรูปแบบอาคมมาช่วย เขาจึงทรงพลังทั้งการป้องกันและโจมตี
แถมนี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของเขา ตัวเขาไม่มีเวลาฝึกฝนรูปแบบอาคมระดับสิบห้า ไม่เช่นนั้นแล้วหากกระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมระดับสิบห้าพร้อมกัน แม้แต่ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นสูงสุดก็ต้องถูกเขาสังหาร!
ร่างของชายชราสั่นสะท้าน ไม่ใช่เพราะเขาหวาดกลัวแต่เพราะเขากำลังกระตุ้นโลหิตในร่างให้ตื่นตัว
อย่างเช่นระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นจะมีอายุขัยหนึ่งร้อยล้านปี ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงจะมีอายุขัยสามร้อยล้านปี โดยที่อายุขัยที่ว่าเป็นเพียงอายุขัยตามหลักการเท่านั้น จอมยุทธส่วนใหญ่ไม่สามารถมีชีวิตได้ยาวนานตามหลักการ
เพราะงั้นยิ่งแก่ชราเท่าใด จอมยุทก็มักจะควบคุมการไหลเวียนของโลหิตในร่างให้เบาบาง เพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่ได้นานที่สุดตามขีดจำกัดที่กำหนดไว้
อายุขัยของชายชราใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เพราะงั้นเขาจึงควบคุมการไหลเวียนของโลหิตในร่างให้แน่นิ่งราวกับธารน้ำแข็งอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะได้ไม่เผาผลาญพลังชีวิตมาก แต่คู่ต่อสู้ของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งเกินไป เขาจำเป็นต้องกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและต่อสู้สุดกำลัง
ไม่เช่นนั้น… มีโอกาสเป็นไปได้สูงมากที่เขาจะแพ้ให้กับรุ่นเยาว์ตรงหน้า
‘ครืน’ ชายชราระเบิดออร่าที่น่าสะพรึงกลัวออกมา ทั่วร่างของเขาส่องประกายแสงราวกับเป็นพระเจ้าที่จุติลงมาบนโลก
นี่คือพลังที่แท้จริงของระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง!
“ไม่ต้องร้อง แม่จะต้องนำสตรีผู้นั้นมาเป็นภรรยาของเจ้าให้ได้!” ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากในที่พัก ร่างของสตรีเดินออกมาจากประตูทางเข้าโดยอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน
ชายชราที่เดือดดาลราวกับราชสีห์ป่ารีบคุกเข่าอย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างสุภาพ “คารวะภรรยาของเซียน!”
หลิงฮันถอนหายใจ แม้เขาจะไม่อยากพบหน้าภรรยาของเซียนซิงฉามากขนาดไหน สุดท้ายก็หนีไม่พ้น
เขาหันไปมอง อีกฝ่ายเป็นสตรีงดงาม แต่เมื่อเทียบกับสตรีนกอมตะแล้วยังห่างไกลกันหลายขุม
“พบเจอข้าแล้วเจ้ายังไม่คุกเข่าคารวะอีก?” ภรรยาเซียนจ้องมองมายังหลิงฮัน นางแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดโดยที่ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าบุตรในอ้อมแขนของนางจะเป็นตัวสร้างปัญหา
ตอนที่ 1487
สตรีผู้นี้มีพลังบ่มเพาะเพียงระดับดาราขั้นกลาง แถมดูจากออร่าที่ไม่มั่นคง นางคงจะเพิ่งทะลวงผ่านได้ไม่นาน
เป็นอย่างที่โม่หลี่กล่าว สตรีผู้นี้มีนิสัยเอาแต่ใจอย่างแท้จริง
“ว่าไง ยังไม่คุกเข่าอีก?” ท่าทีของสตรีผู้นี้ยิ่งยโสเป็นอย่างมาก นางจ้องมองหลิงฮันด้วยสีหน้าราวกับอยู่เหนือกว่า
แต่นางจะหยิ่งยโสก็ไม่แปลก การได้เป็นภรรยาของเซียนระดับสูงที่กล่าวได้ว่าเป็นตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในเขตดวงดาวนับร้อยในระแวกนี้นั้น มีสิ่งใดที่นางต้องหวั่นเกรง? หรือต่อให้เซียนซิงฉาสิ้นอายุขัย นางก็ยังมีสถานะเป็นนายหญิงของเซียนทั้งเก้าอยู่ดี
หลิงฮันผสานมือคารวะและกล่าว “คารวะภรรยาเซียน”
แน่นอนว่านางย่อมไม่พอใจและกล่าวออกมา “จางเจี้ยน”
“ข้าน้อยอยู่นี่แล้ว” ชายชรารีบลุกขึ้นยืนและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคารพ
“จัดการคนอวดดีผู้นั้นให้ข้า!” นางกล่าว
“ท่านแม่ ข้าอยากได้นางเป็นภรรยา!” เด็กน้อยในอ้อมกอดของนางชี้ไปยังสตรีนกอมตะที่อยู่ห่างไกล
“เจ้าได้ยินที่บุตรของข้ากล่าวแล้วสินะ?” นางกล่าวเสริม
ชายชราปาดเหงื่อและกล่าว “ข้าน้อยรับทราบแล้ว!” เขากระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตอีกครั้งจนพลังต่อสู้ฟื้นฟูกลับมาเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดที่แท้จริง
ชายชราลงมือ รอบกายของโอบล้อมไปด้วยดวงดาวขนาดใหญ่จำนวนมาก เบื้องหลังของเขาปรากฏเงาของพระพุทธรูปขนาดใหญ่มหึมาหมื่นฟุต ชายชรายกฝ่ามือขึ้นและจู่โจมเข้าใส่ด้วยมือปราณก่อเกิดขนาดใหญ่หลิงฮัน
หลิงฮันเคลื่อนไหวร่างเล็กน้อยก่อนที่จะคำรามเสียงยาว เขานำดาบอสูรนิรันดรฺออกมาพร้อมกับกระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมทั้งสิบปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำรามที่รุนแรงที่สุดออกไป
ทักษะดาบฟ้าคำรามที่ถูกปลดปล่อยออกไปนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆเนื่องจากมันผสานรวมเข้ากับกาลเวลาแปรผันพันปีและอำนาจสวรรค์ จะกล่าวว่ามันคือทักษะดาบที่ทรงอำนาจที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ถือว่าโอ้อวดเกินไป แต่ด้วยพลังบ่มเพาะของหลิงฮันทำให้ไม่สามารถดึงพลังของทักษะดาบนี้ออกมาใช้ได้เต็มที่
ครืน!
หนึ่งดาบถูกสะบัดออกไป คลื่นพลังอันปั่นป่วนราวกับจะผ่าท้องฟ้าออกเป็นสองซีก
‘ตูม’ คลื่นดาบปะทะเข้ากับฝ่ามือปราณก่อเกิดขนาดใหญ่ของชายชราจนแหลกสลาย
ชายชราเค้นเสียงเจ็บปวด บนมือขวาของเขาปรากฏบาดแผลแห่งเต๋าที่เกิดจากการที่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์บนฝ่ามือพลังปราณก่อเกิดถูกทำลาย โชคยังดีที่ร่างกายจริงๆของเขาไม่ได้รับการโจมตีของดาบอสูรนิรันดร์โดยตรง ไม่เช่นนั้นชายชราคงบาดเจ็บจนหมดสภาพถึงขั้นตายได้
ภรรยาเซียนตกตะลึง จางเจี้ยนไม่สามารถกำราบหลิงฮัน!
นางไม่รู้ว่าหลิงฮันมีพลังบ่มเพาะสูงเพียงใด แต่นางรู้ว่าจางเจี้ยนเป็นถึงตัวตนระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นสูงสุด ปรมาจารย์เช่นนี้ยังไม่สามารถเอาชนะหลิงฮีนได้อีก?
ฮึ่ม!
แน่นอนว่านางย่อมรู้ว่าจอมยุทธที่จะมาที่นี่ได้นั้นสมควรเป็นศิษย์ใหม่ที่จะเข้าร่วมการประลองระหว่างศิษย์ใหม่
แต่ว่าศิษย์ใหม่… เป็นไปได้ด้วยรึที่จะทรงพลังขนาดนี้?
“ไร้ประโยชน์จริงๆ!” ภรรยาเซียนตะโกนไปยังชายชราด้วยใบหน้าเหยียดหยาม “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”
ชายชราไม่กล้าโต้เถียง เขาควบคุมการไหลเวียนของโลหิตให้กลับเป็นดังเดิมและขยับถอยห่าง
ที่จริงเขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งยังหากไกลจากคำว่าพ่ายแพ้ แม้การโจมตีเมื่อครู่ของหลิงฮันจะยังไม่ใช่ผสานอำนาจของเพลิงเก้าสวรรค์เข้าไปด้วย แต่นั่นก็เป็นการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเขา ทว่าชายชรากลับได้รับบาดเจ็บเพียงแค่มีรูโลหิตปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ นี่แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วชายชราแข็งแกร่งมาก
ภรรยาเซียนอุ้มเด็กน้อยเอาไว้ในอ้อมแขน นางก้าวเดินไปด้านหน้าและจ้องมองหลิงฮันด้วยท่าทีของผู้อยู่เหนือกว่า “เจ้าพอมีศักยภาพอยู่บ้าง ข้าเองก็เป็นคนมีเมตตาเพราะงั้นจะยอมรับเจ้าเป็นคนรับใช้แล้วกัน เจ้าจงรู้สึกเป็นเกียรติเอาไว้!”
หลิงฮันตกตะลึง หัวของสตรีคนนี้ได้รับความเสียหายรึเปล่า? นี่นางยังมีหน้ามาบอกให้เขาไปเป็นคนรับใช้?
เสียสติไปแล้ว!
เขาส่ายหัวและกล่าว “ภายใต้สวรรค์ ไม่มีใครทำให้ข้ายอมเป็นคนรับใช้ได้!”
“ข้าไม่เชื่อ!” ภรรยาเซียนใช้นิ้วม้วนผมตัวเอง “ตอนนี้เจ้าดื้อรั้นไปเถอะ คอยดูว่าข้าจะทำให้เจ้าก้มหัวต่อหน้าข้าให้จงได้!”
ล้อเล่นรึเปล่า นางเป็นถึงภรรยาของเซียนระดับสูงแถมยังเป็นนายหญิงของเซียนทั้งเก้า แค่ทำให้จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นก้มหัวนางจะทำไม่ได้เชียวรึ?
หลิงฮันยิ้มและเดินจากไป
ช่างโชคร้ายยิ่งนัก ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาต้องพบเจอสตรีเช่นนี้ จะปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆไม่ได้… ต้องไปเรียกสุนัขตัวดำมาสร้างปัญหาให้กับสตรีที่น่ารังเกียจผู้นี้!
“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าอยากได้ภรรยา! ข้าอยากได้นางเป็นภรรยา!” เด็กน้อยยังคงร้องไห้ไม่หยุด แต่สตรีผู้นั้นไม่ได้สนใจ สิ่งที่นางคิดอยู่ในตอนนี้คือต้องทำให้หลิงฮันก้มหัวให้ได้ ขอตั้งสัตย์สาบานด้วยสถานะภรรยาเซียนของนาง
หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หลิงฮันกับสตรีนกอมตะก็ไม่มีอารมณ์เดินเล่นอีกต่อไปและกลับที่พักทันที
สามวันต่อมา ถึงเวลาเปิดม่านของการประลองระหว่างศิษย์จากสำนักย่อยทั้งเก้า
ทุกคนหยิบฉลากจับคู่ คนที่แพ้จะเป็นฝ่ายที่ตกรอบ
แต่ว่าศิษย์เมล็ดพันธุ์ชั้นดีอย่างหลิงฮันกับกู่ต้าวอี้และคนอื่นๆนั้นถูกแยกออกจากกันไม่ได้พบเจอกันในการประลองรอบแรกๆ พวกเขาจะได้ปะทะกันก็คือในการประลองสิบหกรอบสุดท้ายเป็นอย่างน้อย
ในการประลองรอบแรก ทุกคนต่างเอาจริงแสดงพลังออกมา ทั้งทักษะยุทธและอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงมากมายต่างถูกนำออกมาใช้
ศิษย์ระดับดาราบางคนมีอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับวารีนิรันดร์หรืออุปกรณ์เซียนที่สามารถยกระดับพลังต่อสู้ขึ้นเป็นระดับวารีนิรันดร์ ดังนั้นหากคู่ต่อสู้ไม่มีอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเท่ากันหรือมีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ก็คงทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้
หลิงฮันยังไม่พบเจอคู่ต่อสู้เช่นนั้น เขาผ่านการประลองรอบแรกไปได้อย่างดาย รอบที่สองก็เช่นกัน
จนถึงตอนนี้จำนวนผู้ประลองลดลงเหลือเพียงสองร้อยยี่สิบห้าคน
หลังจากจับฉลากและเริ่มประลองอีกครั้ง จำนวนของผู้ประลองก็ลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือหนึ่งร้อนยี่สิบแปดคน มาถึงตอนนี้ก็ไม่เหลือศิษย์ที่อ่อนแออีกต่อไป ผู้ประลองที่เหลืออยู่ทุกคนเป็นราชาระดับสองและสามโดยที่ราชาระดับสองต่างมีอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังอยู่ในมือทำให้พลังต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่าราชาระดับสาม
คู่ต่อสู้คนต่อไปของหลิงฮันก็เป็นผู้ประลองประเภทนั้น อีกฝ่ายเป็นศิษย์ระดับดาราขั้นสูงสุดที่ครอบครองอุปกรณ์กึ่งเซียน
ผู้ประลองที่ว่าคือเนี่ยเทียนเฉิง
ตอนที่ 1488
“หลิงฮัน!” ใบหน้าของเนี่ยเทียนเฉิงมืดมน ในตอนที่ถูกหลิงฮันโจมตีตอบโต้แบบไม่ทันตั้งตัวจนล่วงหล่นสู่หุบเขาเฉินเอี๋ยนทำให้เขารู้สึกอัปยศเป็นอย่างมาก!
เขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าหลิงฮัน แต่เป็นเพราะพลังบ่มเพาะของเขาในตอนนั้นถูกผนึกเอาไว้ หากเป็นพลังที่แท้จริงแล้วเขาสามารถกำราบหลิงฮันได้เพียงด้วยมือข้างเดียว
ตอนนี้เมื่อไม่มีถูกจำกัดพลังบ่มเพาะอีกต่อไปและด้วยอุปกรณ์กึ่งเซียนในมือ เป็นไปได้รึไงที่เขาจะเอาชนะหลิงฮันไม่ได้?
“วันนี้ข้าจะคืนความอัปยศที่เจ้าทำไว้กับข้าคืนให้หมด” เนี่ยเทียนเฉิงกล่าว
หลิงฮันส่ายหัว ชายผู้นี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
ในตอนแรกพวกเขาเป็นสหายร่วมกลุ่มที่ดีต่อกัน แต่เมื่อมีเรื่องของจักรพรรดินีเข้ามาเกี่ยวข้องอีกฝ่ายก็เป็นคนลอบโจมตีเขาก่อน เขาแต่ตอบโต้ไปความที่ควรเท่านั้นเอง
แบบนี้ยังจะมากล่าวโทษเขาอีก?
“รับมือ!” หลิงฮันไม่สบอารมณ์ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาและปล่อยหมัดใส่เนี่ยเทียนเฉิง
อีกฝ่ายยังคิดว่าเขามีพลังบ่มเพาะระดับดาราขั้นกลาง แต่ที่จริงแล้วหลังจากจบการแย่งชิงวาสนาที่หุบเขาเฉินเอี๋ยน พลังบ่มเพาะของหลิงฮันก็ยกระดับเป็นระดับดาราขั้นสมบูรณ์ และทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ในเวลาต่อมา
สามารถกล่าวได้ว่าในตอนนี้ต่อให้ไม่มีรูปแบบอาคมสลักเอาไว้บนร่างกายหลิงฮันก็สามารถรับมือกับจอมยุทธระดับดาราที่มีอุปกรณ์เซียนได้อย่างง่ายดาย
เนี่ยเทียนเฉิงแสยะยิ้ม กล้าเป็นฝ่ายโจมตีเขาก่อนเลยรึ? ช่างกล้านัก!
เป็นจอมยุทธระดับดาราขั้นกลางที่บ้าอะไรเช่นนี้!
เขารีบนำอุปกรณ์กึ่งเซียนออกมา กิ่งลูกท้อเซียนส่องประกายสลัวพร้อมปลดปล่อยกลิ่นหอมลอยกว้างไกลสิบไมล์
‘ตูม’ ร่างของเนี่ยเทียนเฉิงสั่นสะท้าน อุปกรณ์กึ่งเซียนสามารถสลายพลังทำลายของหลิงได้ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้เอาจริงเพราะกลัวว่าจะเผลอสังหารหมดปลวกในการประลอง
“อั่ก!” เนี่ยเทียนเฉิงกระอักโลหิต เขาได้รับบาดเจ็บเพียงเพราะรับแรงกระแทกจากหมัดของหลิงฮัน
“เป็นไปได้อย่างไร!” เนี่ยเทียนเฉิงตะโกนลั่น ใบหน้าของเขายังคงประดับเอาไว้ด้วยท่าทียิ่งยโส
เมื่อราวๆหนึ่งถึงสองปีก่อน หลิ.ฮันยังมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับดาราขั้นกลางแท้ๆ แต่เหตุใดตอนนี้ถึงบรรลุระดับวารีนิรันดร์แล้ว…
นั่นต้องเป็นเพราะวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับจากแผ่นหินสีทองไม่ผิดแน่!
เนี่ยเทียนเฉิงกัดฟันแค้น ก่อนหน้านี้เขาล่วงลงไปยังด้านล่างสุดของหุบเขาทำให้ไม่ได้รับวาสนาใดๆ เขาจึงจากไปโดยไม่เห็นการปะทะกันระหว่างหลิงฮันกับกู่ต้าวอี้
และในตอนรับศิษย์ ที่หลิงฮันถูกขานชื่อเป็นอันดับสองเขาคิดไปเองว่าเป็นเพราะหลิงฮันเป็นผู้ชนะแย่งชิงวาสนา เขาจึงไม่ได้สืบค้นถึงพลังของหลิงฮัน
แต่ตอนนี้เนี่ยเทียนเฉิงรู้แล้วว่าพลังบ่มเพาะของหลิงฮันได้เหนือกว่าเขาไปแล้ว!
“บัดซบ!” เขาสยบด่า หากไม่ใช่ใช่เพราะหลิงฮันล่ะก็เขาอาจจะได้รับวาสนาอันยิ่งใหญ่และทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ไปแล้ว
ไม่คิดจะกล่าวโทษตนเองและนำความแค้นเคืองทั้งหมดไปลงที่หลิงฮัน มือขวาของเขายกขึ้นพร้อมกับกระตุ้นใช้งานพลังของอุปกรณ์กึ่งเซียนเต็มที่
หากปลดปล่อยพลังทั้งหมดของอุปกรณ์กึ่งเซียนออกมา มันจะมีพลังอำนาจที่สามารถทัดเทียมกับระดับวารีนิรันดร์ น่าเสียดายที่พลังบ่มเพาะของเขานั้นอ่อนแอเกินไปทำให้พลังของอุปกรณ์กึ่งเซียนสามารถสังหารได้เพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นและทัดเทียมกับระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลาง
“ตาย!” เนี่ยเทียนเฉิงกวัดแกว่งกิ่งลูกท้อเซียนเข้าใส่หลิงฮัน ประกายแสงสีชมพูของกิ่งไม้ส่องสว่างปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัว
ปัง!
หลิงฮันปล่อยฝ่ามือออกไป อำนาจของอุปกรณ์กึ่งเซียนถูกสลายพร้อมกับคลื่นพลังจากฝ่ามือได้กระแทกเข้าใส่ใบหน้าของเนี่ยเทียนเฉิง
ร่างของเนี่ยเทียนเฉิงถูกซัดกระเด็น ปากของเขากระตุกก่อนจะสำลักฟันที่แตกหักออกมาสองสามซี่และสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสิ้นหวัง
ขนาดกระตุ้นพลังของอุปกรณ์กึ่งเซียนเต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถโค่นหลิงฮันได้?
แม้จะไม่สบอารมณ์แต่บุรุษนั้น สิบปีค่อยแก้แค้นก็ยังไม่สาย!
สำนักละอองดาราเป็นสถานที่ที่ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ตอนนี้เขาพ่ายแพ้หลิงฮันแต่ใช้ว่าจะต้องพ่ายแพ้ตลอดไป ตัวเขาเป็นถึงราชาระดับสองที่มีโอกาสกลายเป็นราชาระดับสาม ตราบใดที่เขาทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์สำเร็จเขามั่นใจว่าตนเองไม่มีทางด้อยกว่าหลิงฮัน
ทำไมต้องฝืนดันทุรังแก้แค้นตอนนี้ทั้งๆที่ยังมีโอกาสอีกในวันหลัง?
“ข้าขอ…”
เพี๊ยะ!
เขากำลังจะกล่าวยอมแพ้ แต่ทันใดนั้นฝ่ามือปราณก่อเกิดขนาดใหญ่ก็พุ่งกระแทกเข้ามาใส่หน้าจนเขาต้องกลืนคำที่กำลังจะพูดลงท้องไป
เนี่ยเทียนเฉิงเกรี้ยวกราด ‘เพี๊ยะ’ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตั้งตัวใบหน้าก็ถูกฝ่ามือกระแทกเข้าใส่อีกครั้งจนพูดอะไรไม่ออก
ตามกฎของการประลองแล้วจะตัดสินผู้ชนะก็ต่อเมื่อมีฝ่ายหนึ่งร่วงจากลานประลอง หมดสภาพต่อสู้หรือกล่าวยอมแพ้ด้วยตัวเอง เพราะงั้นการที่หลิงฮันขัดขวางไม่ให้เขากล่าวยอมแพ้หรือไม่ได้โจมตีให้เขาร่วงจากลานประลองนั้นการประลองก็ไม่มีทางสิ้นสุด
“อืม ข้านับถือเจ้าจริงๆ ยอมสู้จนตัวตายที่กว่ายอมรับความพ่ายแพ้!” หลิงฮันกล่าวในขณะที่ยังตบตีใบหน้าของเนี่ยเทียนเฉิงอย่างต่อเนื่อง
นับถือน้องสาวเจ้าสิ!
เนี่ยเทียนเฉิงอยากจะร้องไห้ เจ้าจะชนะก็ชนะไปสิ ทำไมถึงต้องปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ด้วย?
เพี๊ยะ เพี๊ยะ เพี๊ยะ ใบหน้าของเขาถูกกระแทกใส่ไม่หยุด
“ข้า… ข้า… ข้า…” ทุกครั้งที่เนี่ยเทียนเฉิงอ้าปากพูด หลิงฮันก็จะตบตีใบหน้าเพื่อบังคับให้เขาหุบปาก
แค่จะพูดคำสามคำออกมาทำไมถึงลำบากขนาดนี้
เนี่ยเทียนเฉิงยังคงกล่าว “ยอม…”
หลิงฮันยิ้ม มีรึที่เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายกล่าวจบ?
เนี่ยเทียนเฉิงอ้าปาก ‘เพี๊ยะ!’ อ้าปากอีกครั้ง ‘เพี๊ยะ!’
ทุกคนที่เห็นภาพนี้ล้วนแต่กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว แม้เนี่ยเทียนเฉิงจะยังไม่กล่าวคำว่า ‘ข้ายอมแพ้’ ออกมาแต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขาต้องการจะกล่าวอะไร
น่าสงสารยิ่งนัก
“พอได้แล้ว!” ปรมาจารย์ของสำนักคนหนึ่งทนดูไม่ไหวและหยุดการต่อสู้
หลิงฮันยอมทำตามแต่โดยดีเนื่องจากไม่อยากก่อปัญหา ไม่เช่นนั้นปรมาจารย์คนนั้นก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้
เนี่ยเทียนเฉิงจ้องมองหลิงฮัน แววตาของเขาไม่เพียงแสดงออกถึงความโกรธแต่ยังแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวเนื่องจากเมื่อครู่เขาคิดว่าหลิงฮันอาจจะลงมือสังหารเขาจริงๆ เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้ทิ้งเงามืดแห่งความกลัวเอาไว้ในก้นบึงจิตใจของเขาซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสำเร็จในอนาคต
การประลองของลานประลองอื่นมีทั้งยังคงดำเนินอยู่และจบลงแล้ว
การประลองดำเนินไปเป็นเวลาแปดวันจนในที่สุดก็ได้ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดสิบหกคนสุดท้าย
ตอนที่ 1489
ในสิบหกผู้แข็งแกร่ง มีราชาระดับสามทั้งเจ็ดคนอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากทั้งเจ็ดที่เป็นราชาระดับสามอยู่ก่อนแล้วก็มีราชาที่เพิ่งกลายเป็นราชาระดับสามอย่างจักรพรรดิพิรุณและเซียนหวู่เซียงอยู่ด้วย พวกเขาบรรลุระดับดาราขั้นสมบูรณ์แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้มีถือครองอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงได้
ผู้แข็งแกร่งที่สุดสิบหกคนมีถึงสี่คนที่มาจากดาวเหอหนิง
น่าเสียดายที่ติงผิงกับจิ่วเยานั้นยังมีพลังบ่มเพาะที่ต่ำเกินไป ส่วนAnchorสวีเหลินนั้นเขาทะลวงผ่านระดับนวารีนิรันดร์ล้มเหลว ต่อให้จะมีพรสวรรค์สูงส่ง แต่ในสำนักละอองดาราแห่งนี้เขาก็ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าใคร
ผู้ประลองจับฉลากอีกครั้ง ซึ่งการประลองในรอบรี้จะถูกแบ่งออกเป็นลานประลองส่วนบนและส่วนล่าง
หลิงฮันมองฉลากที่จับได้และพบว่าเขากับจักรพรรดินั้นถูกแบ่งแย่งออกกัน เขาได้ประลองในลานประลองส่วนบน ในขณะที่จักรพรรดินีได้ประลองในลานประลองส่วนล่างซึ่งเป็นลานประลองเดียวกับกู่ต้าวอี้ มีโอกาสสูงมากที่นางกับกู่ต้าวอี้จะได้ปะทะกันตั้งแต่แรก
จักรพรรดิพิรุณเองก็อยู่ในลานประลองส่วนล่าง โอกาสที่เขาจะเป็นอันดับหนึ่งในลานประลองนี้แทบจะไม่มีเลยเนื่องจากเขายังไม่ทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์
ในกรณีของหลิงฮัน ถึงแม่กู่ต้าวอี้จะไม่ได้อยู่ในลานประลองส่วนบนแต่ก็ยังมีศิษย์ที่แข็งแกร่งคนอื่นอยู่อีก ไม่ว่าจะเป็นหลงเซียงเยว่ เทียนเซี่ยตี้เอ้อและหงหม่า คู่ต่อสู้คนแรกของหลิงฮันคือเทียนเซี่ยตี้เอ้อ
“ข้าต้องการเอาชนะเจ้าด้วยตัวข้าเอง!” หลงเซียงเยว่เอ่ยพร้อมกับชี้นิ้วมาทางหลิงฮัน “เพราะงั้น ก่อนการประลองรอบรองสุดท้ายเจ้าห้ามแพ้เด็ดขาด!”
เทียนเซี่ยตี้เอ้อที่อยู่ข้างๆมุมปากกระตุกไปมา นี่เจ้ามองไม่เห็นหัวข้าเลย?
หลิงฮันยิ้ม ทั้งหลงเซียงเยว่และเทียนเซี่ยตี้เอ้อต่างก็บรรลุระดับวารีนิรันดร์แล้ว ทั้งคู่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ที่ดีให้แก่เขาได้ หลิงฮันกล่าว “เผ่าของเจ้าสามารถพัฒนากลายเป็นมังกรแท้จริงได้? ข้าอยากขอซื้อเขามังกรจากเผ่าของเจ้า เงื่อนไขต่างๆสามารถพูดคุยกันก่อนได้”
หมอนี่ยังกล้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก?
ใบหน้าของหลงเซียงเยว่กลายเป็นบูดบึ้ง ในตระกูลของนางมีอยู่คนหนึ่งที่สามารถพัฒนาเป็นมังกรแท้จริงได้ซึ่งนั่นก็คืออาสาวของนาง อีกฝ่ายคืออัจฉริยะแห่งเผ่ามังกรแถมยังเป็นสตรีงามล่มเมืองที่งดงามยิ่งกว่านางเสียอีก
“คิดจะครอบครองอาสาวของข้า? ฝันหวานเกินไปแล้ว!” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลิงฮันไม่รู้ว่าเผ่ามังกรมีกฎเช่นนั้นเขาจึงรู้สึกสับสนเป็นอย่างมากว่าทำไมนางต้องโกรธเขาด้วย?
เขาไม่ได้บอกว่าจะขโมยเขามังกรมาเสียหน่อย เขาเสนอการแลกเปลี่ยนให้แล้วแท้ๆ
สตรีช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจอยากยิ่งนัก
“หลิงฮัน ข้ารอคอยที่จะได้สู้กับเจ้ามานานแล้ว!” เทียนเซี่ยตี้เอ้อกล่าวด้วยน้ำเสียงดังกึกก้อง
ร่างกายของเขาบึกบึนใหญ่โตราวกับหมี หลิงฮันที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขาราวกับเป็นเด็กเล็กไปเลย
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เช่นนั้นก็มาสู้กันให้สุดความสามารถ!”
“เหอๆ ตามที่เจ้าต้องการ!”
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง การประของแปดคู่ของราชาสิบหกก็เริ่มขึ้นพร้อมกัน
เทียนเซี่ยตี้เอ้อคำราม ทันใดนั้นเองร่างกายของเขาก็มีขนสีดำงอกออกมาทั่วร่าง
ก่อนหน้านี้เขาเพียงเหมือนหมี แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนเป็นไม่ใช่คนแล้ว ปากของเขามีเขี้ยวงอกออกมา เล็บมีขนาดใหญ่หนาและแหลมคมขึ้น รอบกายของเขาปลดปล่อยกลิ่นอายราวกับเป็นสัตว์อสูรคลั่งแห่งยุคบรรพกาล
“สายเลือดAnchorหมีกระดูกเหล็กกล้า!”
หลิงฮันรู้สึกสนใจ หมีกระดูกเหล็กกล้าคือสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ในยุคบรรพกาล แม้มันจะด้อยกว่ามังกรแท้จริง แต่หมีกระดูกเหล็กกล้าก็เป็นสัตว์อสูรระดับสร้างสรรพสิ่ง พลังของมันน่าสะพรึงกลัวมาก
“ฮึ่ม!” เทียนเซี่ยตี้เอ้อคำรามและพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
หมีกระดูกเหล็กกล้ามีกายหยาบที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ด้วยความพิเศษนี้ทำให้มันมีสามารถต่อกรกับมังกรแท้จริงได้
ใบหน้าของหลิงฮันแสดงออกถึงความมึนงง คิดจะต่อสู้ระยะประชิดกันข้า? เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?
บางทีกายหยาบของหมีกระดูกเหล็กกล้าอาจจะแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเทียบชั้นได้กับมังกรแท้จริง แต่มันก็แค่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น คัมภีร์สวรรค์นิรันดร์ที่เขาบ่มเพาะอยู่แม้จะไม่มีความสามารถด้านโจมตี แต่หากเป็นด้านความแข็งแกร่งของกายหยาบล่ะก็…
เข้ามา!
หลิงฮันเองก็พุ่งทะยานเข้าหาเทียนเซี่ยตี้เอ้อ
ปัง!
ทั้งสองไม่หลบหลีก พวกเขาปะทะเข้าใส่กันโดยตรงและกระเด็นล่าถอนพร้อมกัน ทั้งสองเป็นราชาระดับสามและมีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นเหมือนกัน ตามหลักแล้วพลังต่อสู้ของพวกเขาจึงทัดเทียมกัน
เทียนเซี่ยตี้เอ้อส่ายหัว การกระแทกเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกมันงงเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มพร้อมกับกล่าว “ในระดับพลังเดียวกัน ข้าไม่เคยพบเจอคนที่สามารถปะทะกับข้าได้อย่างซึ่ง ๆหน้ามาก่อน มาดูกันว่าเจ้าจะทนได้กี่กระบวนท่า”
“คงตัดสินได้ในไม่กี่กระบวนท่า” หลิงฮันกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ การกระแทกเมื่อครู่ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆๆ!” เทียนเซี่ยตี้เอ้อหัวเราะลั่นและพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน ครั้งนี้เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วและกำลังที่มากขึ้น
หลิงฮันไม่หวั่นเกรงและพุ่งทะยานเข้าใส่อีกฝ่ายเช่นกัน
ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งสองคนพุ่งกระแทกเข้าหากันอย่างต่อเนื่องในขณะที่ศิษย์คนอื่นนอกลานประลองหัวเราะสนุกสนาน
ทั้งสองคือราชาระดับแนวหน้าแท้ๆแต่กลับพุ่งชนกันราวกับวัวกระทิงสองตัวโดยไม่เหลือความเป็นปรมาจารย์แม้แต่น้อย แต่หากคิดกลับกันแล้ว ใครบ้างจะกล้าทำอย่างพวกเขา?
เกรงว่าแต่ถูกกระแทกไม่กี่ครั้งกระดูกในร่างก็คงบิดเบี้ยวผิดรูปร่างแล้ว
แต่ทั้งสองคนกลับกระแทกใส่กันอย่างต่อเนื่องหลายร้อยครั้งโดยที่ดูเหมือนไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
แต่ใครจะไปรู้ว่าแท้จริงแล้วเทียนเซี่ยตี้เอ้อนั้นชอบเอาชนะศัตรูด้วยวิธีแบบนี้ เขามั่นใจในกายหยาบของตัวเองเป็นอย่างมาก ตราบใดที่มีพลังบ่มเพาะเท่ากันไม่มีใครสามารถมีกายหยาบที่แข็งแกร่งเทียบเท่าเขาได้
ทว่าตอนนี้เขาหัวของเขากลับรู้สึกมึนงง ท้องเริ่มปั่นป่วนราบกับจะสำลักอะไรบางอย่างออกมาจากภายใน
เขารู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงคนธรรมดาส่วนหลิงฮันเป็นโขดหิน เขาคือคนธรรมดาที่พยายามกระแทกใส่โขดหินด้วยร่างกายเปล่าๆ
บ้าไปแล้ว สรุปใครกันแน่ที่มีสายเลือดของหมีกระดูกเหล็กกล้า เจ้าช่วยบอกหน่อยได้รึไม่ว่าทำไมร่างกายของเจ้าถึงแข็งทนทานกว่าของข้าอีกท
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “ยังจะต่อรึไม่?”
“แน่นอน เข้ามา!” เทียนเซี่ยตี้เอ้อกัดฟัน นี่คือวิธีการต่อสู้ในแบบที่เขาถนัด หากเขาพ่ายแพ้หลิงฮันตัวเขาคงจะรู้สึกเศร้าโศกมาก
ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งสองเข้าปะทะกันอีกครั้งราวกับเป็นวัวกระทิงคลั่ง
ศิษย์บางคนที่มีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมสามารถมองออกอย่างรวดเร็วว่าการเคลื่อนไหวของเทียนเซี่ยตี้เอ้อนั้นค่อยๆช้าลง
เมื่อการเคลื่อนไหวช้าลงแรงกระแทกย่อมลดลงไปด้วย
ตอนที่ 1490
ปัง! ปัง! ปัง!
หลังจากพุ่งกระแทกหลายร้อยครั้ง เทียนเซี่ยตี้เอ้อที่มีสายเลือดของหมีกระดูกเหล็กกล้าก็เริ่มโซเซ
เขากัดฟันด้วยใบหน้าบูดบึ้งเ ทั่วร่างกายของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
รุ่นเยาว์ตรงหน้าเป็นมนุษย์จริงๆรึ?
ต่อให้เป็นทายาทของมังกรแท้จริงก็ยังไม่แข็งแกร่งเช่นนี้!
เทียนเซี่ยตี้เอ้อรู้ว่าในลำดับของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์นั้น ถึงแม้มังกรแท้จริงจะอยู่เหนือกว่าหมีกระดูกเหล็กกล้า แต่หากเป็นในด้านของกายหยาบที่ทรงพลัง หมีกระดูกเหล็กกล้าเหนือกว่ามังกรแท้จริงแน่นอน
เมื่อมองไปยังหลิงฮันที่ดูราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่น้อยทำให้เขารันทดจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา
“เจ้ายังจะต่อไหม?” หลิงฮันกล่าวอย่างมั่นใจ กายหยายของเขาในตอนนี้ใกล้เคียงกับแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบห้า แม้แต่ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงก็ไม่สามารถสร้างบาดแผลสาหัสให้แก่เขา
เทียนเซี่ยตี้เอ้ออยากจะกล่าวไปว่าไม่เอาแล้ว แต่การที่ชื่อของเขาหมายถึงอันดับสองและมีบรรพบุรุษเป็นอันดับหนึ่ง เขาจะยอมให้ใครอื่นมาอยู่เหนือว่าในด้านของกายหยาบได้อย่างไร?
“มาต่อ!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลิงฮันจ้องมองไปยังอีกฝ่ายก่อนจะยิ้ม “พวกเราประลองกันด้วยวิธีอื่นก็ได้”
“ไม่ พวกเราจะตัดสินกันด้วยวิธีนี้!” เทียนเซี่ยตี้เอ้อมีสีหน้าบูดบึ้งและกล่าวต่อ “หรือว่าเจ้ากลัว!”
หลิงฮันยิ้ม “เช่นนั้นก็มา!”
บัดซบ!
เทียนเซี่ยตี้เอ้ออยากจะตบหน้าตัวเอง เห็นได้ชัดว่าหลิงฮันมอบโอกาสกู้หน้าให้เขาแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับดื้อรั้น
ตูม ตูม ตูม! หลิงฮันเริ่มพุ่งทะยานเข้าหาเขา
เทียนเซี่ยตี้เอ้อสั่นสะท้าน เขาปิดตาและพุ่งตอบโต้หลิงฮัน
ปัง!
เสียงกระแทกดังก้องพร้อมกับร่างของทั้งสองกระเด็นออกจากกัน
หลิงฮันตั้งหลักและพุ่งทะยานอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
เทียนเซี่ยตี้เอ้ออยากจะร้องไห้ โดยปกติแล้วรูปแบบการต่อสู้ของเขาคือการทำให้คู่ต่อสู้พ่ายแพ้อย่างย่อยยับด้วยกายหยาบ แต่คราวนี้เขาพบว่าเป็นตัวเขาเองที่เป็นฝ่ายจะย่อยยับแทน
ปัง! ปัง! ปัง!
หลังจากกระแทกใส่กันหลายสิบครั้ง จู่ๆหลิงฮันก็พบว่าเทียนเซี่ยตี้เอ้อทำการเบี่ยงหลบตัวไปทางซ้ายทำให้ร่างของพวกกระแทกไม่โดนกัน
“พอแล้วรึ?” หลิงฮันยิ้ม
เทียนเซี่ยตี้เอ้อยังคงปากแข็ง “ข้าแค่สะดุดขาตัวเอง”
“งั้นก็ดี!” หลิงฮันพยักหน้า เขาไม่พูดอะไรมากและพุ่งกระแทกต่อ
เทียนเซี่ยตี้เอ้อเองก็พุ่งเข้าใส่หลิงฮัน แต่ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะปะทะกันจู่ๆเขาก็เบี่ยงหลบอีกครั้ง
“สะดุดขาอีกหลิง?” หลิงฮันหยุดร่างและหันมอง
“เมื่อครู่แสงแดดมันแยงตาข้าเลยเผลอหลบ” เทียนเซี่ยตี้เอ้อหาข้อแก้ตัวใหม่
งั้นก็มาอีกครั้ง!
“เชือกรองเท้าข้าหลวม”
“จู่ๆก็คอแห้ง ข้าอยากกินน้ำ”
“แสงจันทร์กำลังส่องลงมาอย่างสวยงาม ข้าอยากหยุดดู”
“……”
เทียนเซี่ยตี้เอ้อหาข้ออ้างต่างๆนาๆ เขาไม่ปะทะกับหลิงฮันแต่ก็ปฏิเสธว่าตนเองด้อยกว่า
ผู้คนที่อยู่ด้านนอกหัวเราะชอบใจ ใครจะไปคาดคิดว่าราชาระดับแนวหน้าจะหน้าด้านเช่นนี้?
หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูด แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่ามองคนเพียงภายนอก ถึงแม้เทียนเซี่ยตี้เอ้อจะมีรูปลักษณ์โหดเหี้ยมแต่วิธีการต่อสู้ของเขาก็ตรงไปตรงมา
การปะทะกันด้วยวิธีนี้ด้วยวิธีที่เทียนเซี่ยตี้เอ้อเลือกเองดังนั้นหลิงฮันจึงมอบโอกาสให้แก่อีกฝ่าย
เขาโคจรย่างก้าวไล่ตามดาราและพุ่งทะยานอีกครั้ง
เทียนเซี่ยตี้เอ้อยังคงเบี่ยงหลบเช่นเดิม แต่ครั้งหลิงฮันร่างของหลิงฮันได้เบี่ยงตามไปหาเขาด้วยจนสุดท้ายร่างของทั้งสองก็ปะทะเข้าใส่กัน
ปัง!
ร่างของพวกเขาถูกส่งลอยกระเด็นหลายสิบฟุตด้วยแรงกระแทก
กล้ามเนื้อทั่วร่างของเทียนเซี่ยตี้เอ้อสั่นสะท้าน เขาสัมผัสได้ว่ากระดูกในร่างเกิดการแตกหักไปหลายส่วน กล้ามเนื้อเองก็บอบช้ำสาหัส
“จะ เจ้ากระแทกให้โดนทำไม?” เขากล่าว
เมื่อได้ยินเทียนเซี่ยตี้เอ้อกล่าวราวกับตนเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ ผู้คนด้านนอกก็ขำไม่หยุด
หลิงฮันยิ้ม “ข้าสะดุดขาตัวเอง” เขาอ้างข้อแก้ตัวแบบเดียวกัน
มาอีกครั้ง!
ปัง!
“เจ้าสะดุดขาตัวเองอีกแล้ว?”
“แสงแดดแยงตา”
ปัง!
“แล้วครั้งนี้ล่ะ?”
“เชือกรองเท้าหลวม”
“……”
พวกเขากระแทกใส่กันหลายสิบครั้งซึ่งหลิงฮันก็กล่าวข้ออ้างเดียวกันกับเทียนเซี่ยตี้เอ้อกลับไปซึ่งทำให้เทียนเซี่ยตี้เอ้อแทบจะกลายเป็นบ้า
“ข้ายอมแพ้!” ในที่สุดเขาก็ล้มเลิกการปะทะ
หลิงฮันยิ้ม คิดจะวัดกับเขาด้วยกายหยาบนั้นช่างมีตาหามีแววไม่
“ไว้มีโอกาสพวกเรามาปะทะกันใหม่!” เทียนเซี่ยตี้เอ้อกล่าวและจากไปอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันส่ายหัวก่อนจะออกจากลานประลองและมองไปยังการต่อสู้ของคู่อื่น
การที่แต่ละคนสามารถเข้ารอบถึงสิบหกคนสุดท้ายได้ย่อมหมายถึงพวกเขาเป็นราชาในหมู่ราชา เทียนเซี่ยตี้เอ้อกับหลิงฮันนั้นเลือกตัดสินกันด้วยวิธีปะทะซึ่งๆหน้า การประลองของพวกเขาจึงจบเร็วเป็นคู่แรกในขณะที่คู่ๆอื่นๆยังคงสู้กันอย่างดุเดือด
หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดินีเป็นคนแรก คู่ต่อสู้ของนางไม่ใช่ราชาระดับสามแต่เป็นราชาระดับสองที่ถือครองอุปกรณ์กึ่งเซียน แม้จักรพรรดินีจะบรรลุระดับวารีนิรันดร์แล้วก็ไม่ได้เป็นฝ่ายได้เปรียบเท่าไหร่นัก
เพราะอย่างไรหลังจากที่เพิ่งทะลวงผ่านระดับพลังใหม่ ความแตกต่างของราชาระดับสามกับสองนั้นแทบจะหายไปจนไม่มี แถมด้วยความช่วยเหลือจากอุปกรณ์กึ่งเซียนจึงเพียงพอที่อีกฝ่ายจะสามารถมีพลังต่อสู้ทัดเทียมกับจักรพรรดินี
แต่จะอย่างไรจักรพรรดินีก็มีหินต้นกำเนิดสวรรค์ แม้มันจะดูไม่น่ายำเกรงแต่ด้วยเสน่ห์ของจักรพรรดินีเพียงแค่กวัดแกว่งก้อนหินก็สามารถทำให้ผู้คนรอบข้างหลงใหล
ผู้ชมทุกคนให้กำลังใจนางอย่างเร่าร้อน บางคนถึงขนาดข่มขู่คู่ต่อสู้ของนางว่าหากไม่รีบยอมแพ้จะได้เห็นดีกัน
หลิงฮันยิ้ม จักรพรรดินีสามารถควบคุมสถานการณ์การต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์ แถมหินต้นกำเนิดสวรรค์ก็ไร้เทียมทาน การประลองครั้งนี้นางต้องเป็นผู้ชนะได้แน่นอน
เขามองต่อไปยังจักรพรรดิพิรุณ ช่างโชคร้ายที่คู่ต่อสู้ของพี่สองคือซื่อเฉินเฟิงราชาระดับแนวหน้า จักรพรรดิพิรุณคงไม่อาจหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้แต่ก็สามารถยื้อเอาไว้ได้ช่วงเวลาหนึ่ง
เซียนหวู่เซียงยิ่งโชคร้ายกว่าที่ต้องพบเจอกับกู่ต้าวอี้
แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกอับดายที่พ่ายแพ้ ถึงเซียนหวู่เซียงจะเคยเป็นเซียนมาก่อนแต่ก็เป็นเพียงเซียนระดับต้นเท่านั้น ในขณะเดียวกัน กู่ต้าวอี้นั้นเคยเป็นถึงนิรันดร์ระดับโลกียนิพพาน ยิ่งมีแก่นกำเนิดนิรันดร์ด้วยแล้วการที่จะกำราบเซียนหวู่เซียงได้อย่างราบคาบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ตอนที่ 1491
หลังจากผ่านไปเกือบจะหนึ่งวัน การประลองก็สิ้นสุดและพร้อมจะเริ่มรอบต่อไป
หลิงฮันปะทะหงหม่า การประลองทั้งสี่คู่เริ่มขึ้นพร้อมกัน
“น้องหลิงโปรดชี้แนะ!” หงหม่าพยักหน้าให้กับหลิงฮันโดยที่ถือไม้กวาดอยู่ในมือ ท่าทีของเขาไม่มีความหยิ่งยโสใดๆ
หลิงฮันเองก็พยักหน้า “พี่ชายหงโปรดชี้แนะ”
“ข้าจะโจมตีเพียงแค่สามกระบวนท่า หากน้องหลิงรับมือสามกระบวนท่าของข้าได้ข้าจะเป็นฝ่ายยอมแพ้เดินจากไป” หงหม่ากล่าว “แต่ถ้าน้องหลิงรับสามกระบวนท่าของข้าไม่ได้ล่ะก็…”
“ข้าจะเป็นฝ่ายยอมแพ้และจากไปเอง” หลิงฮันยิ้ม
“งั้นก็ตกลงนี้” หงหม่าพยักหน้า
สุดยอดราชาเช่นพวกเขานั้นอาจจะใช้เวลาประลองตัดสินกันเป็นเวลาสิบวัน ครึ่งเดือนหรือมากกว่าสิบยี่สิบปีในการตัดสินผู้ชนะ
สามกระบวนท่าแม้จะไม่สามารถตัดสินว่าใครเป็นผู้ชนะที่แท้จริงได้แต่มันก็สามารถวัดได้ว่าฝ่ายใดที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่า
หงหม่าอ้าปากกล่าวพึมพำ ทันใดนั้นเบื้องหลังของเขาก็มีรูปปั้นหินสีขาวปรากฏออกมา รูปปั้นหินมีความสูงเพียงสามฟุต รูปทรงของมันสมจริงราวกับมีชีวิต
ในเมื่อกาประลองจะตัดสินใจสามกระบวนท่า เช่นนั้นสามกระบวนท่าที่เขาจะโจมตีออกไปย่อมต้องเป็นทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาทั้งหมดซึ่งจำเป็นต้องมีการเตรียมพร้อมให้ดี
ท่าทางของหลิงฮันยังคงไม่เร่งรีบ กายหยาบของเขาไร้เทียมทานแถมยังมีรูปแบบอาคมทั้งสิบที่สามารถกระตุ้นใช้งานได้ตลอดเวลาสลักเอาไว้บนร่างกาย เพราะงั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมพร้อมใดๆ
‘ครืนนน’ กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวถูกปลดปล่อยออกมา จู่ๆรูปปั้นหินสีขาวด้านหลังหงหม่าก็ส่องประกายแสงสว่างเจิดจ้า ออร่าของมันทะยานสูงเสีดฟ้าและทรงพลังยิ่งกว่าเดิมหลายร้อยเท่าราวกับมีเซียนมายืนอยู่ตรงนั้น ‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ พื้นใต้เท้าของรูปปั้นหินทนต่อพลังอำนาจที่รุนแรงไม่ไหวและเริ่มแตกร้าว
ต่อให้รอบลานประลองจะมีรูปแบบอาคมป้องกันติดตั้งเอาไว้แต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่แพร่กระจายออกมา
“พลังแห่งเซียน!”
“ไม่ผิดแน่ นั่นคือแรงกดดันของเซียน!”
“เป็นไปได้อย่างไรที่อำนาจแห่งเซียนถึงถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของจอมยุทธระดับวารีนิรันดร? นอกเสียจากว่าเขาจะใช้ม้วนคำสั่งของเซียน แต่การประลองนี้ก็มีกฏอยู่ข้อหนึ่งคือห้ามใช้ม้วนคำสั่งของเซียน”
ทุกคนมึนงง สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้ามันเกินกว่าความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว
หลิงฮันขมวดคิ้ว หากหงหม่าสามารถอัญเชิญเซียนมาได้จริงๆเขาคงไม่มีโอกาสชนะแน่นอน แต่ถ้าหากอีกฝ่ายมีไพ่ลับที่แข็งแกร่งขนาดนั้นเป็นไปได้รึที่จะยอมคลานลอดผ่านช่องสุนัข?
ศิษย์ใหม่ที่ไม่ได้รับความอัปยศเช่นนั้นมีเพียงเขา จักรพรรดินีและจิ่วเยาสามคน
พลังของอีกฝ่ายสมควรเป็นแค่พลังเปลือกนอกเหมือนกับเซียนหวู่เซียง
เมื่อคิดเช่นนี้หลิงฮันก็ก้าวท้าวเดินหน้าเป็นฝ่ายลงมือโจมตีก่อน
การกระทำของเขาทำให้ทุกคนรอบข้างอดคิดไม่ได้ว่า ‘หมอนี่มันสมองรึเปล่าถึงได้กล้าเผชิญหน้ากับเซียนตรงๆแบบนั้น’ ท่าทีของหลิงฮันราวกับว่าไม่เห็นเซียนอยู่ในสายตา
เมื่อหลิงฮันลงมือ หงหม่าก็เค้นเสียงและยกมือขวาขึ้น รูปปั้นหินด้านหลังเขาเองก็เคลื่อนไหวตาม ‘ตูม’ คลื่นแสงถูกปล่อยออกมาจากนิ้วของรูปปั้นหินและพุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
หลิงฮันหัวเราะ หากคู่ต่อสู้มีพลังของเซียนจริงเพียงแค่นึกคิดก็สามารถกำราบเขาได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะเสียเวลาโจมตีเองเช่นนี้
เขาปลดปล่อยอำนาจสวรรค์ต่อต้านอำนาจแห่งเซียน
เซียนคือตัวตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด?
แน่นอนว่าไม่ใช่
อำนาจสวรรค์แพร่กระจายไปรอบตัวหลิงฮันในรัศมีครึ่งเมตร เนื่องจากพลังบ่มเพาะของหลิงฮันยังต่ำเกินไปทำให้อำนาจสวรรค์ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อหงหม่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็สามารถต้านทานไม่ให้เขาได้รับผลกระทบใดๆจากพลังแห่งเซียนเช่นกัน
จะอย่างไรก็ช่าง พลังที่แข็งแกร่งนั้นมาจากตัวเขาไม่ใช่อำนาจสวรรค์!
war!
หลิงฮันพุ่งทะยานพร้อมกับปล่อยหมัดที่อัดแน่นไว้ด้วยปราณดาบออกไป
ใบหน้าของหงหม่าเปลี่ยนสี การอัญเชิญร่างจําแลงของเซียนออกมานั้นเป็นไพ่ลับที่แข็งแกร่งของเขา ภายใต้ออร่าของเซียนที่ถูกปลดปล่อยออกไป คนที่มีพลังบ่มเพาะต่ำกว่าเซียนใครบ้างจะไม่ถูกลดพลังต่อสู้ลง?
อำนาจสวรรค์ของหลิงฮันนั้นแข็งแกร่งจนสามารถต้านทานได้แม้กระทั่งอำนาจแห่งเซียน
สมกับเป็นสุดยอดราชา ดูเหมือนการที่เขาเป็นผู้ชนะการแย่งชิงวาสนาหุบเขาเฉินเอี๋ยนจะไม่ใช่เพราะโชคช่วย
เขายกหมัดตอบโต้ ‘ตูม’ หมัดของพวกเขาเข้าปะทะกัน
ทั้งสองคนล่าถอยพร้อมกันและหยุดแน่นิ่ง
“ใครเป็นฝ่ายได้เหนือกว่า?”
“มองไม่ออก!”
“ดูนั่น ที่มือของหงหม่า!”
ทุกคนมองตามและพบว่าบริเวณมือของหงหม่านั้นมีรอยโลหิตปรากฏอยู่
ในการแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเมื่อครู่ หงหม่าเป็นฝ่ายได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่ได้สาหัสนัก
ใบหน้าของหงหม่าเปลี่ยนเป็นจริงจังและกล่าว “กระบวนท่าที่สอง!” เขายื่นมือขวาออกไป มือของเขาค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเนียนดังหยกจนถึงขั้นโปร่งใส สามารถมองเห็นอย่างชัดเจนว่าด้านในมือของเขามีดวงดาวจำนวนมากกำลังส่องประกายระยิบระยับและปลดปล่อยอำนาจที่ทรงพลังออกมา
รูปปั้นร่างจำแลงของเซียนก็ยังคงอยู่ด้านหลังเขา
หลิงฮันยืนแน่นิ่งรอคอยให้อีกฝ่ายเตรียมพร้อมเสร็จ
“ลงมือ!” ครั้งนี้หงหม่าเป็นฝ่ายจู่โจมก่อน ฝ่ามือของเขาถูกกระแทกออกไป ฝ่ามือหยกโปร่งใส่ปลดปล่อยดวงดาวลงมาจากท้องฟ้าเข้าใส่หลิงฮัน
หลิงฮันดีดนิ้วปลดปล่อยปราณดาบออกไป
Anchor
ทักษะดาบฟ้าคำรามทรงพลังเป็นอย่างมาก ดวงดาวขนาดมหึมาที่ล่วงลงมาถูกฟันออกเป็นเศษซากในพริบตา
หงหม่าแสยะยิ้ม คิดว่าไพ่ลับที่ทรงพลังของเขาจะถูกทำลายง่ายๆ?
‘ครืนน’ เศษซากดวงดาวแปรเปลี่ยนเป็นอุกกาบาตนับไม่ถ้วน เป้าหมายที่พวกมันพุ่งเข้าใส่ยังคงเป็นหลิงฮัน พลังอำนาจของพวกมันไม่ได้ลดลงจากเดิมแม้แต่น้อย
หงหม่ามั่นใจเป็นอย่างมา เขากดมือขวาลงพื้นเพื่อเร่งให้ซากอุกกาบาตพุ่งใส่หลิงฮันเร็วขึ้น แต่ทันใดนั้นเองหงหม่าก็ต้องแสดงสีหน้าตกตะลึงเนื่องจากซากอุกกาบาตกำลังค่อยๆสลายหายไป!
ไม่ใช่ว่าซากอุกกาบาตแหลกเป็นเศษหิน แต่เป็นพลังทำลายของซากอุกกาบาตที่ค่อยๆจางหายจนไม่เหลือพลังอยู่เลย
ตูม!
เมื่อซากอุกกาบาตตกลงมา สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงเศษฝุ่นเศษดินที่ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณในขณะที่ผมของหลิงฮันไม่ร่วงแม้แต่เส้นเดียว
กระบวนท่าก่อนหน้านี้หงหม่าได้รับบาดเจ็บที่มือ ส่วนการบวนท่านี้หงหม่าก็ไม่สามารถทำให้หลิงฮันบาดเจ็บ
หากกระบวนท่าต่อไปยังเป็นเช่นนี้อยู่ หงหม่าคงมีทางเลือกเพียงยอมรับความพ่ายแพ้
สีหน้าของหงหม่าเปลี่ยนเป็นจริงจังอย่างถึงที่สุด เขาไม่ได้คิดว่ากระบวนท่าที่สองจะกำราบหลิงฮันได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรหลิงฮันก็น่าจะเอาจริงพอสมควรถึงจะป้องกันกระบวนท่านี้สำเร็จ แต่ไม่นึกว่าหลิงฮันจะไม่เป็นอะไรเลย
คงต้องใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของจริง ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถเอาชนะหลิงฮันได้
เขาสะบัดไม้กวาดในมือ ‘พรึบ’ รูปแบบอาคมบนไม้กวาดส่องกระกาย แท้จริงแล้วมันถือสมบัติ!
อุปกรณ์กึ่งเซียน!
หงหม่ามีพลังระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นย่อมไม่สามารถใช้งานอำนาจของอุปกรณ์กึ่งเซียนได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็สามารถโจมตีด้วยพลังทำลายที่เทียบเท่าระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง เขาไม่เชื่อว่าด้วยพลังทำลายขนาดนี้จะไม่สามารถกราบราบหลิงฮันที่พลังระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นได้
ตอนที่ 1492
หลิงฮันไม่กล้าประมาทอีกฝ่ายที่กำลังจะใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุด
เพราะอย่างไรหงหม่าก็เป็นราชาระดับแนวหน้า!
หลิงฮันนำดาบออกมา ไม่ใช่ดาบอสูรนิรันดร์แต่เป็นดาบไม้ผุพัง
ดาบอสูรนิรันดร์มีอำนาจในการทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัวก็จริง แต่ตอนนี้มันเป็นเพียงอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเอ็ด จะให้นำไปปะทะกับอุปกรณ์กึ่งเซียนก็ดูจะเป็นเรื่องยากเกินไป
เพราะงั้นเขาจึงเลือกใช้ดำไม้พุพัง ดาบเล่มนี้คือสมบัติจากดินแดนใต้พิภพ แม้สภาพของมันจะไม่สมบูรณ์ แต่รากฐานของมันก็ยังทรงพลังเพียงพอจะทัดเทียนกับอุปกรณ์กึ่งเซียนได้แน่นอน
หงหม่าที่เห็นหลิงฮันนำดาบไม้พุพังออกมาตอบโต้อุปกรณ์กึ่งเซียนของตนเองมีท่าทีโมโหทันที
นี่เจ้าดูถูกข้า?
เขาสะบัดไม้กวาดอย่างเกรี้ยวกราด คลื่นแสงสีขาวนับไม้ถ้วนถูกปลดปล่อยออกมากระหน่ำเข้าใส่หลิงฮัน
หลิงฮันตั้งท่ารับด้วยดาบไม้ ภายใต้การกระตุ้นของเขารูปแบบอาคมบนตัวดาบค่อยๆส่องประกายขึ้นทีละอันพร้อมกับปลดปล่อยแสงสลัวสีแดงเข้มราวกับโลหิตออกมา ดาบไม้พุพังนี้อบอวลไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรงเกินจะพรรณนา
ผู้คนรอบข้างร่างกายแข็งค้างราวกับถูกจิตสังหารของดาบครอบงำ
จิตสังหารของดาบทำให้จิตใจของพวกเขาโหยหาฆ่าฟันโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร อย่าว่าแต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักเลย ต่อให้เป็นญาติพี่น้องหรือบุตร พวกเขาก็พร้อมที่จะกวัดแกว่งกระบี่ใส่
เป็นดาบที่ชั่วร้ายอะไรเช่นนี้!
มือขนาดใหญ่ลอยลงมาจากท้องฟ้าละอ้านิ้วทั้งห้าออกเป็นกรงปิดกั้นลานประลองของหลิงฮันกับหงหม่า ที่ทำเป็นนี้ก็เพราะป้องกันไม่ให้จิตสังหารอันรุนแรงจากดาบไม้แพร่กระจายออกจากลานประลอง
ร่างของหลิงฮันโอบล้อมไปด้วยปราณสีดำ ดาบไม้พุพังได้กระตุ้นออร่าของจ้าวอสูรในร่างเขาให้ปะทุออกมาส่งผลให้ที่บริเวณหน้าผากกับแก้มของเขาปรากฏรูปแบบอาคมอสูร
“เซียนซิงฉาลงมือ!”
ทุกคนอุทานออกมา พลังน่าเกรงขามที่สัมผัสได้จากมือขนาดใหญ่นั่นคือพลังของเซียนซิงฉา เขาลงมือเพื่อช่วยให้ทุกคนหลุดจากการครอบงำของจิตสังหารอันชั่วร้าย
การประลองนี้เป็นเพียงการปะทะกันของศิษย์ใหม่ระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นสองคนเท่านั้น การที่ต้องถึงขนาดให้เซียนซิงฉาลงมือเป็นหลักว่าดาบไม้นั่นน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน
หงหม่าตกตะลึงอ้าปากค้าง เมื่อครู่เขาไม่สบอารมณ์ที่หลิงฮันนำดาบไม่สมประกอบออกมาดูถูกเขา แต่ตอนนี้เขาได้แต่แอบหวังว่าหลิงฮันจะนำดาบเล่มนั้นเก็บไปไม่เอามาสู้กับเขา
ดาบที่ชั่วร้ายขนาดนั้น เพียงแค่มองก็ทำให้เขาขนลุกแล้ว
สภาพของหลิงฮันในตอนนี้ราวกับตกไปอยู่ในวิถีแห่งมารร้าย แต่ถึงอย่างนั้นจิตวิญญาณของเขาก็ยังบริสุทธิ์ไม่มีความชั่วร้ายใดๆเจือปน
ดินแดนใต้พิภพกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แตกต่างกันเพียงแต่อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพี ส่วนในด้านอื่นๆนั้นทั้งสิงดินแดนล้วนแต่ไม่มีความแตกต่างกัน
จะดีหรือชั่วอยู่ที่จิตใจของคนไม่ใช่สภาพภายนอก
“เข้ามา!” หลิงฮันคำรามและปลดปล่อยการโจมตี ด้วยการสนับสนุนจากสมบัติระดับสูง ทักษะดาบฟ้าคำรามในตอนนี้จึงทรงพลังเกินกว่าจะบรรยาย
‘พรึบ’ คลื่นดาบถูกสะบั้นออกไป ภายในคลื่นดาบมีทั้งประกายสายฟ้าAnchorกาลเวลาแปรผันพันปีและมหาสมุทรโลหิตที่เป็นอำนาจเฉพาะของดาบไม่พุพัง
ตูม!
ตามไม้ปะทะเข้ากับไม้กวาด คลื่นแสงระเบิดปะทุไปทั่วพื้นที่จนทุกคนต้องเผลอหลับตา โชคดีที่ตอนนี้เซียนซิงฉารับหน้าที่คุ้มกันลานประลองชั่วคราว ไม่เช่นนั้นป่านนี้ลานประลองคงถูกทำลายไปแล้ว แถมผู้คนด้านนอกก็จะได้รับลูกหลงจนบาดเจ็บด้วย
เมื่อคลื่นปะทะสลายไป ร่างของหลิงฮัยกับหงหม่าก็ยังคงยืนอยู่อย่างองอาจ
ออร่าของหลิงฮันกลับเป็นปกติ ดาบไม่พุพังในมือของเขายังคงปลดปล่อยออร่าทรงพลังออกมา ร่องรอยพุพังของมันยังคงมีอยู่เหมือนเดิมแต่ไม่มีร่องรอยเสียหายใหม่ใดๆเกิดขึ้น
ส่วนทางด้านหงหม่า?
ตามร่างกายของเขาไม่มีบาดแผลใดๆ แต่ไม้กวาดในมือของเขาแตกหักออกเป็นหลายส่วน!
แม้กระทั่งอุปกรณ์กึ่งเซียนก็ยังถูกทำลาย?
กระบวนท่าที่สาม หงหม่าก็ยังเป็นฝ่ายด้อยกว่า
“อึก!” หงหม่ากัดฟันก่อนจะส่ายหัวและกล่าว “ข้าแพ้แล้ว”
หลิงฮันพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจเนื่องจากเขายังไม่ได้เอาจริง รูปแบบอาคมทั้งสิบนั้นถูกเก็บเอาไว้เพื่อจัดการกับกู่ต้าวอี้
หงหม่ารู้สึกไม่สบอารมณ์ ข้าด้อยกว่าเพียงแค่เล็กน้อยเจ้าจำเป็นต้องทำท่าทีอวดดีขนาดนั้น?
แต่แพ้ก็คือแพ้ พวกเขาตกลงกันไว้ก่อนแล้วว่าจะตัดสินแพ้ชนะในสามกระบวนท่า
หงหม่าเค้นเสียงและเดินจากไป
‘คราวหน้าเขาจะต้องเอาชนะให้ได้’
หลิงฮันยิ้มและเดินลงจากลานประลอง เขาตั้งมั่นว่าจะเป็นอันดับหนึ่งของการประลองศิษย์ใหม่เพื่อรางวัลแก่นก่อเกิดพลังเซียน
หนึ่งวันต่อมา ผู้เข้ารอบรองสุดท้ายก็ถูกตัดสิน
หลิงฮันปะทะหลงเซียงเยว่ กู่ต้าวี้ปะทะจักรพรรดินีหล่วนซิง
การประลองเริ่มได้ไม่นานก็กลายเป็นการต่อสู้อันดุเดือด
หลงเซียงเยว่มีสายเลือดของมังกรแท้จริงที่สามารถปลดปล่อยอำนาจมังกรได้ แต่น่าเสียดายที่หากคู่ต่อสู้ของนางคือกู่ต้าวอี้หรือจักรพรรดินี อำนาจมังกรก็อาจจะใช้ได้ผล แต่สำหรับหลิงฮันแล้วอำนาจมังกรของนางสามารถใช้เป็นเกราะป้องกันอำนาจสวรรค์ได้เท่านั้น หากไร้อำนาจมังกรแล้วพลังต่อสู้ของนางตะถูกลดลงสองดาวและคงพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
แต่ไพ่ลับของนางไม่ได้มีเท่านั้น นางทักษะลมหายใจมังกรอันทรงพลัง ลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นเพลิงทมิฬที่สามารถเผาผลาญได้แม้กระทั่งแร่โลหิตศักดิ์สิทธิ์ระดับเดียวกัน!
น่าเสียดายอีกครั้งที่คู่ต่อสู้ของนางคือหลิงฮัน
ตัวเขาทั้งฝึกฝนกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านด้วยเพลิงนิรันดร์และมีเพลิงบรรพบุรุษผสานอยู่ในร่างกาย คิดจะสร้างบาดแผลให้เขาด้วยเพลิงงั้นรึ? ช่างน่าขัน!
หลงเซียงเยว่รู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นอำนาจมังกรหรือลมหายใจมังกรก็ล้วนแต่เป็นทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเผ่ามังกร อีกอย่างเผ่ามังกรแท้จริงเองก็มีกายหยาบอันแข็งแกร่งที่สามารถใช้ร่างกายเปล่าๆบดขยี้สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ตนอื่นได้ทั้งหมดทั้งมวล
แต่หลงเซียงเยว่ก็ได้เห็นผลลัพธ์จากกระประลองกายหยาบระหว่างเทียนเซี่ยตี้เอ้อกับหลิงฮันมาแล้ว
หากคิดจะเทียบกายหยาบกับหลิงฮันก็ไม่ต่างจากแส่หาความพินาศให้ตนเอง!
มาถึงจุดนี้นางยอมรับในตัวหลิงฮันอย่างแท้จริง หากเป็นตอนนี้ต่อให้หลิงฮันจะกล่าวขอยืมเขามังกรจากนาง นางก็คงไม่เสนอข้อต่อรองใดๆ
ในโลกนี้มีบุรุษจำนวนไม่มากที่สามารถอยู่เหนือนางได้ ในที่นี้อาจจะมีเพียงหลิงฮันกับกู่อ้าวอี้เพียงแค่สองคนเท่านั้น
การประลองกินเวลาไปหนึ่งวันและหลิงฮันก็สามารถเอาชนะหลงเซียงเยว่ไปอย่างอยากลำบากโดยไม่ใช้รูปแบบอาคมทั้งสิบ
“คืนนี้มาหาข้า!” หลังจากกล่าวประโยคนี้กับหลิงฮัน หลงเซียงเยว่ก็รีบจากไปด้วยท่าทีเขินอาย
นี่หรือว่านางคิดจะแอบลอบสังหารเขาในยามค่ำคืน? ข้าไม่ไปเด็ดขาด!
หลิงฮันครุ่นคิด ในเมื่อหลงเซียงเยว่มีอาสาวที่บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งแล้วเขาคงเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นอาสาวของนางดีกว่า ไม่เช่นนั้นหากต้องรอให้หลงเซียงเยว่บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งได้ ไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานเท่าไหร่
เขาเดินลงจากลานประลอง ในด้านกู่ต้าวอี้กับจักรพรรดินีนั้นทั้งสองยังคงต่อสู้กันอย่างดุเดือด
หากพูดตามหลักแล้ว กู่ต้าวอี้เป็นผ่ายที่แข็งแกร่งกว่า
ทั้งสองฝึกฝนทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญเหมือนกัน แต่กู่ต้าวอี้นั้นเป็นร่างกำเนิดใหม่ของนิรันดร์ระดับโลกียนิพพานแถมยังมีแก่นกำเนิดนิรันดร์ที่สร้างขึ้นจากการเกิดใหม่เก้าชาติภพ นอกจากนั้นเขาก็ยังถือครองอุปกรณ์เซียนอีก ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนเขาก็เหนือกว่าจักรพรรดินี
ทว่าจักรพรรดินีนั้นมีหินต้นกำเนิดสวรรค์ ตราบใดที่การโจมตีของคู่ต่อสู้มีพลังต่ำกว่าระดับสร้างสรรพสิ่ง หินก้อนนี้ย่อมสามารถดูดซับการโจมตีได้ทั้งหมด
เพราะงั้นนางในตอนนี้จึงไม่มีทางพ่ายแพ้
ตอนที่ 1493
การต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปถึงอีกวัน หลังจากที่ผู้อาวุโสของสำนักหลายคนปรึกษาหารือกันพวกเขาก็ตัดสินใจหยุดการประลอง
หากเป็นเช่นนี้ต่อให้เป็นในอีกพันปีก็คงตัดสินผู้แพ้ชนะไม่ได้
พวกเขาให้กู่ต้าวอี้เป็นผู้ชนะ!
พวกเขาตัดสินใจเช่นนี้เนื่องจากว่ากู่ต้าวอี้มีพลังที่เหนือกว่าและเป็นฝ่ายได้เปรียบ
จักรพรรดินีไม่พอใจเป็นอย่างมาก พวกจอมยุทธต่ำต้อยมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินให้นางเป็นฝ่ายแพ้?
“ยอมรับไม่ได้!”
“พวกเราไม่ยอม!”
“เปลี่ยนให้จักรพรรดินีเป็นฝ่ายชนะซะ!”
ผู้คนนอกลานประลองส่งเสียงโห่ร้องและเรียกร้องความเป็นธรรมให้จักพรรดินี
เสน่ห์ของนางเกินกว่าต้านทานจริงๆ กู่ต้าวอี้กลายเป็นศัตรูของฝูงคนในพริบตา
“การประลองรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นวันพรุ่งนี้”
ผู้อาวุโสของสำนักย่อยทั้งเก้าเห็นพ้องกันประกาศ “หลิงฮันปะทะกู่ต้าวอี้!”
เมื่อคำประกาศนี้ดังขึ้น ทุกคนก็กลายเป็นนิ่งเงียบ
ในตอนแรกที่เพิ่งเข้าร่วมสำนัก เซียนทั้งเก้าตกลงกันให้ขานชื่อกู่ต้าวอี้เป็นคนแรกในขณะที่หลิงฮันเป็นคนที่สอง แม้จะห่างกันเพียงหนึ่งกับสองแต่สำหรับจอมยุทธแล้วนี่สิ่งที่แสดงว่าคนไหนคือผู้ที่แข็งแกร่งกว่าและอ่อนแอกว่า
ครั้งนี้ในที่สุดทั้งสองก็จะได้สู้กันอย่างตรงไปตรงมา
หากกู่ต้าวอี้เป็นฝ่ายชนะนั่นแสดงว่าเขาเหมาะสมกับอันกับหนึ่งจริงๆ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าสายตาของเซียนทั้งเก้านั้นแหลมคมมองคนไม่ผิด แต่หากหลิงฮันเป็นฝ่ายชนะ ความอัปยศในตอนแรกก็จะถูกชำระล้างและจะมีชื่อเสียงที่เหนือไปกว่ากู่ต้าวอี้
การประลองที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้นพวกเขาต้องอดใจรอคอยจนถึงพรุ่งนี้… ทำไมถึงไม่สู้กันในวันนี้ไปเลย!
หลิงฮันพาจักรพรรดินีกลับที่พัก
“ไม่ต้องไปใส่ใจ ข้าจะจัดการกู่ต้าวอี้ในวันนี้พรุ่งนี้เพื่อแก้แค้นให้เจ้า!” หลิงฮันปลอบ
จักรพรรดินียังมีท่าทีไม่ยินยอมและกล่าว “ตามแผนแล้วข้าต้องเป็นฝ่ายชนะเขาในวันนี้ และในการประลองพรุ่งนี้ข้าจะเป็นฝ่ายยอมแพ้อยู่ในอ้อมกอดของเจ้า!”
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ภรรยาข้า แบบนั้นเดี๋ยวข้าก็ถูกเจ้าเอาใจมากจนเกินไป”
จักรพรรดินียิ้มและเอนพิงไหล่ของหลิงฮันด้วยท่าทีอ่อนโยน
หลิงฮันโอบเอวของจักรพรรดินีและกล่าว “พวกเราต้องรีบกำจัดกู่ต้าวอี้ให้เร็วที่สุดเพื่อนำแก่นกำเนิดนิรันดร์มาให้เจ้าดูดซับ หากทำได้พลังบ่มเพาะของเจ้าจะยกระดับอย่างก้าวกระโดดและบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งได้อย่างรวดเร็ว”
เขาต้องการให้จักรพรรดินีบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งให้เร็วที่สุดเพื่อที่ร่างกายของนางจะได้พร้อมหลับนอนกับเขา
‘ปัง ปัง ปัง’ แต่ทันใดนั้นจู่ๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
เมื่อเขาเปิดประตูก็พบว่าคนที่มาหาเขาคือเหวยเชิน ผู้อาวุโสคนที่รับผิดชอบดูแลกลุ่มศิษย์ใหม่ของสำนักย่อยที่แปด
“หลิงฮัน ตามข้ามา” เหวยเชินกล่าวโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ
หลิงฮันคิดว่าอีกฝ่ายคงมาจากอธิบายข้อมูลการประลองในวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อเขาเดินตามไปจนถึงภายในลานที่พักของเหวยเชิน เขาก็พบว่ามีคนสองคนรอคอยพวกเขาอยู่ หนึ่งคือสตรีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนอีกคนที่เด็กน้อยที่นั่งเล่นดินอยู่บนพื้น
ทั้งสองคนคือภรรยาและบุตรของเซียนซิงฉา
ใบหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นมืดมน ดูเหมือนว่าเหวยเชินไม่ได้เรียกเขามาเพราะเรื่องเกี่ยวกับการประลองพรุ่งนี้แต่พาเขามาเพราะเป็นคำสั่งจากภรรยาเซียน
สตรีผู้นี้ต้องการจะทำอะไรกันแน่?
“เจ้ายังจะกล้าปากเก่งอีกรึไม่?” ภรรยาเซียนกล่าวอย่างหยิ่งยโส ชื่อของนางคือจูซิ่วเอ๋อ
เขายักไหล่และกล่าว “ทำไมข้าจะพูดไม่ได้ในเมื่อข้าไม่ได้ทำอะไรผิด?”
“บังอาจ!” เหวยเชินกล่าวด้วยท่าทีขึงขัง “เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงได้กล้าตั้งคำถามกับภรรยาเซียน?”
อย่าว่าแต่หลิงฮันเลย ต่อให้เป็นเซียนทั้งเก้าเมื่อพบเจอจูซิ่วเอ๋อ พวกเขาก็ต้องเปลี่ยนท่าทีเป็นสุภาพนอบน้อม
ในเขตดวงดาบนับร้อยบริเวณใกล้เคียงนี้กล่าวได้ว่านางมีอำนาจใหญ่สุดเป็นอันดับสอง!
หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าไม่เคยทำอะไรผิดทำไมข้าจะตั้งคำถามไม่ได้? ว่าแต่เจ้าเรียกข้ามาในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ทำไม? หากไม่มีอะไรสำคัญข้าคงต้องขอตัวก่อน วันพรุ่งนี้ข้ามีการประลองนัดสำคัญ”
“ฮ่าๆ!” จูซิ่วเอ๋อแสยะยิ้ม “ขอตัวกลับ? ช่างเพ้อฝัน! จะวันนี้หรือพรุ่งนี้เจ้าก็ต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเจ้าจะตระหนักได้ว่าสมควรประพฤติตัวเช่นใดเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า”
ความหมายของคำพูดนางก็คือยอมคุกเข่าก้มหัวต่อหน้าข้าและทิ้งศักดิ์ศรีไปซะ
หลิงฮันกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าจะไปไหนเจ้ามีสิทธิ์อะไรมารั้งข้า?”
“เจ้าคิดว่าจะไปไหนได้?” จูซิ่วเอ๋อแสยะยิ้ม เหวยเชินคือตัวตนระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุด หากแม้แต่หลิงฮันที่เป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นกลางยังไม่สามารถจัดการได้ เขาก็สมควรฆ่าตัวตายไปซะ
เหวยเชินไม่แสดงสีหน้าใดๆ
ในความคิดของเขา เขาเองก็อยากจะเห็นหลิงฮันกับกู่ต้าวอี้ปะทะกันและให้หลิงฮันนำชัยชนะมาให้กับสำนักย่อยที่แปด แต่ใครใช้ให้จูซิ่วเอ๋อทำแบบนี้กัน? หากนางยืนกรานว่าจะไม่ปล่อยหลิงฮันไป อย่าว่าแต่เขาเลยต่อให้เป็นเซียนหมิงซินก็คงทำอะไรไม่ได้และหาวิธีอื่นชดใช้อื่นให้หลิงฮันแทน
สตรีผู้นี้คือภรรยาของอาจารย์ เซียนหมิงซินจะไม่ไว้หน้านางได้อย่างไร?
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เอาเถอะ ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองต้องการให้ข้าอยู่ที่นี่เพื่อดื่มชา ข้าก็จะยอมทำตามแล้วกัน”
ฮึ่ม ใครชวนเจ้าดื่มชากัน!
จูซิ่วเอ๋อแสยะยิ้ม เจ้าจะทำเป็นไม่ตื่นตระหนกก็ได้แค่ตอนนี้เท่านั้น เอาไว้รอให้ถึงพรุ่งนี้และการประลองใกล้จะเริ่มก่อน มาดูกันว่าเจ้าจะยังทำท่าทีสงบนิ่งแบบนี้ได้อยู่รึไม่ ข้าอยากจะเห็นท่าทางของเจ้าในตอนนั้นจริงๆ
หลิงฮันนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าทีไม่แยแส
จูซิ่วเอ๋อจ้องมองแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร บางครั้งนางก็มีความอดทนอยู่บ้าง
เวลาค่อยๆผ่านไปอย่างช้าๆจนในที่สุดดวงตะวันก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในช่วงเช้า อีกครึ่งชั่วโมงการประลองจะเริ่มขึ้นซึ่งจะยอมให้มาสายเพียงแค่ครึ่งชั่วโทงเท่านั้น หากเกินเวลาแล้วผู้ประลองยังมาไม่ถึงผลแพ้ชนะก็จะถูกตัดสินโดยปริยาย
จูซิ่วเอ๋อตื่นเต้นเล็กน้อย สำหรับอัจฉริยะแล้วความพ่ายแพ้ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย แต่การที่แม้แต่จะสู้ก็ยังทำไม่ได้ต่างหากที่เป็นความอัปยศอย่างไม่อาจลบล้าง
ชื่อเสียงของหลิงฮันจะถูกกล่าวขานว่าเป็นพวกขี้คลาดที่ไม่กล้าแม้กระทั่งจะเข้าร่วมการประลอง
ความเคียดแค้นของสตรีช่างน่ากลัวนัก!
ตอนที่ 1494
ท่าทีของหลิงฮันยังคงสงบนิ่ง
แม้เวลาการประลองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วแล้วแต่สีหน้าของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
จูซิ่วเอ๋อแสยะยิ้ม ไม่ว่าหลิงฮันจะมีท่าทีอย่างไร สุดท้ายผลลัพธ์ก็เหมือนกันอยู่ดี
หากไม่ยอมก้มหัวเป็นคนรับใช้ให้นาง อีกฝ่ายก็จะไม่มีทางได้เข้าประลองรอบสุดท้ายและถูกสาธารณะชนเยาะเย้ย
ณ บริเวณลานประลองผู้คนได้มาถึงอย่างคับคั่ง การประลองรอบสุดท้ายนี้เป็นการตัดสินว่าใครคืออัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ว่าใครก็อยากเป็นสักขีพยานว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่จะกลายเป็นราชาที่แท้จริง
แต่ทั้งๆที่ถึงเวลาแล้ว หลิงฮันล่ะไปไหน?
กู่ต้าวอี้ยืนอิยู่บนลานประลองด้วยสีหน้ามืดมน ในหุบเขาเฉินเอี๋ยนเขาถูกจักรพรรดินีรั้งเอาไว้ทำให้พลาดที่จะชิงแผ่นหินทองคำ เหตุการณ์ในตอนนั้นกลายเป็นความอัปยศในใจของเขามาโดยตลอด วันนี้เขาตั้งมั่นเป็นอย่างมากว่าจะกำราบหลิงฮันให้ราบคาบเพื่อชื่อเสียงอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งยุคสมัย
แต่ถึงอย่างนั้นหลิงฮันกลับมาสาย!
ฮึ่ม หมอนั่นคงไม่ได้หนีการประลองหรอกนะ?
“รอครึ่งชั่วโมง หากหลิงฮันยังไม่ปรากฏตัวผลแพ้ชนะจะถูกตัดสินโดยปริยาย” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าว
ทุกคนตกตะลึง หลิงฮันคิดจะหลบหนีการประลอง? สำหรับราชานั้นพวกเขายอมที่จะพ่ายแพ้ดีกว่า ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? ความอัปยศจะติดตรึงพวกเขาไปตลอดโดยที่ไม่อาจลบล้างได้
“เกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์กันแน่?” จิ่วเยาและติงผิงไม่เชื่อว่าหลิงฮันจะหลบหนีการประลอง
“เหวยเชิน!” จักรพรรดินีกล่าว แววตาของนางส่องประกายเย็นชา
เมื่อคืนนี้มีใครบางคนที่เหวยเชินมาหาหลิงฮัน การที่ตอนนี้หลิงฮันยังไม่ปรากฏตัวจะต้องเกี่ยวข้องกับคนคนนั้นแน่
“ออกตามหากันเถอะ!” จักรพรรดิพิรุณและเซียนหวู่เซียงกล่าว
“ไม่จำเป็น!” จักรพรรดินีส่ายหัว “เชื่อมั่นในตัวเขา!”
หลิงฮันมีหอคอยทมิฬ อย่างน้อยตัวเขาก็ไม่มีทางเป็นอันตราบถึงชีวิต แถมทั้งนางและคนอื่นๆก็ไม่สามารถโค่นล้มเหวยเชินได้ด้วย หากเหวยเชินใช้กำลังกักตัวหลิงฮันอยู่จริงๆต่อให้ออกตามหาไปก็เปล่าประโยชน์แถมจะยิ่งกลายเป็นภาระของหลิงฮันด้วยซ้ำ
จากที่นางรู้จักหลิงฮัน นางเชื่อว่าหลิงฮันจะต้องมีแผนการอะไรบางอย่างอยู่ไม่ผิดแน่
หลงเซียงเยว่ เทียนเซี่ยตี้เอ้อและสุดยอดราชาคนอื่นเองก็ตั้งมั่นรอคอย ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้จักหลิงฮันมากนัก แต่พวกเขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าหลิงฮันจะขี้ขลาดจนหลบหนีการประลอง
……
ในอีกด้านหนึ่ง จู่ๆหลิงฮันก็ลืมตาขึ้น ‘ตูม’ เขาพุ่งทะยานด้วยความเร็วเต็มแรง ย่างก้าวไล่ตามดาราถูกใช้ออกทำให้การเคลื่อนไหวของเขาพริ้นไหวราวกับสายน้ำ
“ฮึ่ม ข้ารออยู่แล้ว!” เหวยเชินเค้นเสียงพร้อมกับจู่โจมด้วยฝ่ามือขนาดใหญ่
เขาไม่ใช่ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดทั่วไป แค่ชั้นพลังย่อยของเขายังเป็นชั้นสูงสุดอีกด้วย ต่อให้เขาจะไม่ใช้อัจฉริยะขนาดเริ่นเฟยอวิ๋นและศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดคนอื่นๆแต่พลังของเขาก็สมควรสามารถกำราบหลิงฮันให้อย่างราบคาบ
‘ตูม’ คลื่นพลังการฝ่ามือระเบิดออก แต่เนื่องจากอำนาจของฝ่ามือถูกบีบแน่นให้เหลือเพียงรัศมีเล็กๆ จูซิ่วเอ๋อจึงไม่ได้รับลูกหลงไปด้วย
“อะไรกัน!” เหวยเชินตกตะลึงเนื่องจากสัมผัสได้ว่าฝ่ามือของเขานั้นไม่สัมผัสโดนหลิงฮันเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อสลายฝ่ามือก็พบว่าที่พื้นนั้นเหลืออยู่เพียงความว่างเปล่า
เห็นได้ชัดว่าหลิงฮันไม่ได้ถูกเขาบดขยี้เป็นเศษซากแต่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“อุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์!” เขาอุทานออกมาพร้อมกันกับจูซิ่วเอ๋อ
“ไม่สิ!” เหวยเชินส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “อุปกรณ์มิติสมควรลงเหลือวัตถุที้จั่บต้องได้หรือร่องรอยอะไรเอาไว้บ้าง” เขาใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบแม้กระทั่งเศษฝุ่นแล้วแต่ก็ไม่เจออะไรเลย
นั่นก็ไม่แปลก หอคอยทมิฬนั้นมีขนาดเล็กกว่าเศษฝุ่นถึงหลายร้อยล้านเท่า อย่างน้อยในระดับพลังของเหวยเชินก็ไม่มีทางพบเจอหอคอยทมิฬ
หลิงฮันหายไปอย่างสมบูรณ์!
แต่หลังจากนั้นเอง จู่หลิงฮันก็ปรากฏตัวและพุ่งทะยานต่ออย่างรวดเร็ว
เหวยเชินรีบตามไปและลงมืออีกครั้ง
‘ตูม’ เมื่อฝ่ามือใกล้จะปะทะเป้าหมายหลิงฮันก็หายไปและกลับมาปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมกับเผ่นหนีอย่างรวดเร็วราวกับกระต่าย
“บัดซบ! เป็นไปได้อย่างไรกัน!” เหวยเชินไล่ตามไปด้วยความตกตะลึง
เขาค่อนข้างคิดว่าหลิงฮันน่าจะเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์มากกว่าที่จะใช้ทักษะลับบางอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นอุปกรณ์มิติศักดิ์สิทธิ์แม้จะสามารถบรรจุสิ่งมีชีวิตได้ก็ไม่มีทางที่จะมองไม่เห็น
ตูม! ตูม! ตูม!
เขาปล่อยฝ่ามือเข้าใส่หลิงฮันอีกหลายต่อหลายครั้งแต่หลิงฮันก็ยังใช้วิธีเดิมหลบได้อย่างง่ายดายดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนการ เขาระเบิดพลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วนำหน้าหลิงฮัน เขารู้ว่าหลิงฮันต้องมุ่งหน้าไปยังลานประลองแน่นอน เพราะงั้นแผนการของเขาคือขัดขวางหลิงฮันจากด้านหน้า
เขาพุ่งผ่านหลิงฮันและหันหลัง ‘พรึบ’ จู่ๆด็มีคลื่นแสงดาบพุ่งทะยานเข้าใส่เขา
หลิงฮันนำดาบไม้พุพังออกมาโดยที่บนตัวดาบมีรูปแบบอาคมอสูรส่องประกายอยู่
เหวยเชินตกตะลึงก่อนเป็นอย่างแรกก่อนจะแสยะยิ้ม
ช่างน่าขัน เจ้าเป็นเพียงแค่จอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้น ต่อให้เป็นอัจฉริยะขนาดไหนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเมินเฉยความแตกต่างของระดับพลังที่ห่างกันถึงสามขั้นย่อย เหวยเชินลงมือปล่อยฝ่ามือตอบโต้อย่างไม่ลังเล
ตูม!
ฝ่ามือของเหวยเชินปรากฏบาดแผล แต่คลื่นกระแทกที่รุนแรงก็ได้ส่งร่างของหลิงฮันลอยกระเด็นออกไป
“อัก!” หลิงฮันกระอักโลหิต ร่างกายของเขาเองก็มีโลหิตไหลซึมออกมา
ในขณะที่รับพลังจากฝ่ามือของเหวยเชิน เขาได้กระตุ้นใช้งานรูปแบบอาคมทั้งสิบเตรียมไว้แล้ว แถมกายหยาบของเขาก็ยังห่างจากแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบห้าเพียงเล็กน้อย แถมยังสามารถสร้างบาดแผลให้กับอีกฝ่ายได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี
“เจ้าเด็กบัดซบ!” เหวยเชินเกรี้ยวกราด เป็นเวลานานมากแค่ไหนแล้วที่เขาได้รับบาดเจ็บ?
เจ้าหนูนี่ไม่เพียงมีพรสวรรค์ที่สูงส่งแต่ยังมีนิสัยที่ห้าวหาญอีกด้วย ไม่ว่าเชื่อว่าจะกล้าปะทะกับเขาตรงๆแบบนี้ เพียงแต่ว่าด้วยพลังบ่มเพาะที่แตกต่างกันเกินไป แม้จะสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้แต่ก็เป็นตัวหลิงฮันเองที่เป็นฝ่ายบาดเจ็บสาหัสยิ่งกว่า
หืม?
สีหน้าของเหวยเชินเปลี่ยนไป เขาพบว่าที่บาดแผลบนฝื่อนั้นไม่ได้มีแค่โลหิตที่ไหลออกมาแต่ปราณก่อเกิดยังออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แม้กระทั่งแก่นกำเนิดพลังในร่างของเขาก็เริ่มสั่นไหวราวกับใกล้จะรั่วไหลออกมา
เกิดอะไรขึ้น!
เขายกฝ่ามือขึ้นมาดูและพบว่าบาดแผลของเขานั้นมีสีดำสนิทราวกับขุมนรกที่ลึกจนมองไม่เห็นก้น
ท่าไม่ดีแล้ว!
เหวยเชินเลิกคิดถึงเรื่องหลิงฮันและรีบนั่งลงเพื่อยับยั้งบาดแผล ไม่เช่นนั้นหากปล่อยไว้ทั้งโลหิต พลังปราณและพลังชีวิตของเขาคงแห้งเหือดไม่เหลือ
หลิงฮันเก็บดาบไม้ เขาเลือกที่จะไม่ใช้หยดวารีอมตะและรุดหน้าไปยังลานประลอง
ณ เวลานี้ผู้อาวุโสบนลานประลองกำลังจะเอ่ยกล่าว “ในเมื่อหลิงฮันละทิ้งการประลอง ข้าขอประกาศให้ผู้ชนะในการประลองศิษย์ใหม่ในครั้งนี้คือ…”
“ใครบอกว่าข้าละทิ้งการประลอง?” ตุบ ร่างของหลิงฮันพุ่งทะยานขึ้นมาบนลานประลอง จิตวิญญาณสู้รบของเขาลุกโชนราวกับเปลวเพลิง
ตอนที่ 1495
หลิงฮันปรากฏตัวแล้ว!
ทุกคนตกตะลึง ภาพที่พวกเขาเห็นคือหลิงฮันมีโลหิตไหลออกมาตามร่างกาย เสื้อผ้าถูกย้อมไปด้วยโลหิต เห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่รุนแรงมา
หรือเมื่อคืนนี้หมอนี่จะออกไปเตร็ดเตร่นอกสำนักและไปล่วงเกินขุมอำนาจใดเข้าจึงได้ถูกขับไล่จนต้องหลบหนีมา? หากจะบอกว่าเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นในสำนักละอองดารานั้น พวกเขาไม่มีทางเชื่อแน่นอน
ใครจะลงมือทำร้ายกันภายในสำนักหลักอันเป็นที่พักของเซียนซิงฉา?
ผู้อาวุโสเค้นเสียง “เหตุใดเจ้าถึงมาสาย?”
หลิงฮันชี้ไปยังนาฬิกาทรายบนลานประลอง “ข้าหลับเพลินไปหน่อย แต่จะอย่างไรข้าก็ไม่ได้มาสายเกินเวลาที่กำหนดใช่ไหมล่ะ?” ในขณะที่เขากล่าว ทรายในนาฬิกาทรายก็ไหลลงจนหมดอย่างช้าๆ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหมดเวลาครึ่งชั่วโมงพอดี
ผุ้อาวุโสนั้นแม้จะเกรี้ยวกราดแต่ก็คร้านจะบ่น เขาหันหลังเดินลงจากลานประลอง
“หลิงฮัน ข้าคิดว่าเจ้าหวาดกลัวที่จะมาประลองกับข้าเสียอีก!” กู่ต้าวอี้กล่าวอย่างเย็นชา
หลิงฮันยิ้ม “ทำไมข้าจะต้องหวาดกลัวที่จะประลองกับคนเช่นเจ้าด้วย?”
“ตอนนี้เจ้าบาดเจ็บ ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งชั่วโมงในการฟื้นฟูตัวเอง” กู่ต้าวอี้กล่าวอย่างองอาจ เขาต้องการโค่นล้มหลิงฮันในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเพื่อไม่ให้หลิงฮันมีข้ออ้างใดๆเมื่อพ่ายแพ้
เมื่อกู่ต้าวอี้กล่าวเช่นนั้น ทุกคนรอบข้างต่างพยักหน้าชื่นชม สมแล้วที่กู่ต้าวอี้เป็นอัจฉริยะที่สุดแห่งทุกยุคสมัย จิตใจของเขาช่างตรงไปตรงมา
หลิงฮันสะบัดมือและกล่าว “ไม่จำเป็น รีบๆจบการประลองข้าจะได้ไปรับรางวัลของข้า”
นะ…นี่เจ้าบ้ารึเปล่า เจ้าตัดสินไปเองว่าตัวเองชนะแล้วทั้งๆที่ยังไม่ได้ประลอง?
กู่ต้าวอี้กลายเป็นเกรี้ยวกราดทันที เขาจ้องเขม็งไปยังหลิงฮันและยกนิ้วขึ้นพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหาร “ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายเองข้าก็ไม่…”
‘ฉัวะ’ ปราณดาบพุ่งทะยานเข้ามาทำให้เขาต้องหยุดพูดกลางคัน
“จะสู้ก็สู้ไม่ต้องพล่ามให้มากความ” หลิงฮันดีดนิ้วปลดปล่อยปราณดาบ
เอาอีกแล้ว!
กู่ต้าวอี้แทบจะระเบิดความโกรธอกมา ตั้งแต่ในหุบเขาเฉินเอี๋ยนแล้ว ในตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างหลิงฮันชอบลงมือขัดตลอด
“ข้าจะบดขยี้เจ้าให้สิ้นซาก!” เขาคำรามและพุ่งทะยานเข้าหาหลิงฮัน
ตูม!
ทั้งสองปะทะกันทันที เนื่องจากทั้งสองเคยปะทะกันมาก่อนแล้วจึงไม่จำเป็นต้องลองเชิงใดๆ ต่างฝ่ายต่างปลดปล่อยทักษะที่ทรงพลังออกมาและแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันอย่างดุเดือด
กู่ต้าวอี้นั้นหลังจากที่บรรลุระดับวารีนิรันดร์แล้ว แก่นกำเนิดนิรันดร์ของเขาก็น่าพรึงกลัวยิ่งกว่าเดิม นิ้วมือของเขาปลกคลุมไปด้วยแสงสลัวของแก่นกำเนิดนิรันดร์ทำให้มีพลังทำลายอันน่าทึ่ง หากถูกจู่โจมเข้าตรงๆแม้แต่เซียนก็คงต้องขมวดคิ้ว
แก่นกำเนิดนิรันดร์นั้นเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ในดินแดนแห่งเซียน เหมือนกับดาบอสูรนิรันดร์ที่ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบเอ็ด แต่หากใช้จู่โจมเข้าใส่เซียนที่ไม่ได้ระวังตัวก็สามารถบดขยี้ดวงวิญญาณของเซียนที่ว่าให้สลายไปได้
ทั้งแก่นกำเนิดนิรันดร์และดาบอสูรนิรันดร์ล้วนแต่มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่อยู่เหนือกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์!
เมื่อใช้ทักษะทุกชาติภพเสร็จสิ้น ร่างแยกเก้าร่างของกู่ต้าวอี้ก็ปรากฏตัวซึ่งร่วมแล้วมีกู่ต้าวอี้ทั้งหมดสิบคน!
ครั้งนี้กู่ต้าวอี้บรรลุระดับวารีนิรันดร์แล้ว แน่นอนว่าร่างแยกทั้งเก้าย่อมต้องมีพลังระดับวารีนิรันดร์เช่นกัน
จากที่เห็นนี้สามารถบอกได้ว่าทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญนั้นย่อมต้องเป็นทักษะที่ทรงพลังมากในดินแดนแห่งเซียนแน่นอน
ต้องแย่งชิงมาให้ภรรยาของเขาให้ได้!
หลิงฮันคิดในใจพร้อมกับปลดปล่อยอำนาจสวรรค์เพื่อลดพลังต่อสู้ของร่างแยกทั้งเก้าลงสองดาว
“ฮ่าๆๆ!” กู่ต้าวอี้หัวเราะ ก่อนหน้านี้เขามีพลังบ่มเพาะเพียงระดับดาราทำให้ความสามารถของร่างแยกทั้งเก้าถูกจำกัดเอาไว้ แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ขีดจำกัดของร่างแยกทั้งเก้าได้ถูกเปิดผนึกจนมีพลังต่อสู้เหนือกว่าตัวเขาที่เป็นร่างหลักไปแล้ว
“มดปลวกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์คิดจะต่อต้านข้า?” กู่ต้าวอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เชื่อมั่นว่าหลิงฮันต้องเป็นเผ่าสวรรค์บรรพกาลไม่ผิดแน่ และความลับของดินแดนแห่งเซียนก็เป็นความลับระหว่างพวกเขาสองคนที่จะไม่มีทางแพร่งพรายให้ใครรู้
ร่างทั้งเก้าปลดปล่อยทักษะทั้งสิบออกมาพร้อมกันจนเกิดเป็นอำนาจทำลายล้างที่ฝืนสวรรค์
ตูม! ตูม! ตูม!
หลิงฮันรับการกระหน่ะโจมตีจากทั้งสิบทักษะโดยที่ร่างแยกทั้งหลายทรงพลังยิ่งกว่ากู่ต้าวอี้ร่างหลักเสียอีก
กู่ต้าวอี้บ่มเพาะทักษะจากดินแดนแห่งเซียนก็จริง แต่หลิงฮันก็ด้วยไม่ใช่รึไง?
ทักษะที่เขาบ่มเพาะไม่ด้อยไปกว่าทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญแน่นอน แต่อำนาจของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์นั้นโดดเด่นไปทางการป้องกัน
หลิงฮันถูกกระหน่ำโจมตีจนต้องล่าถอย แต่ถึงอย่างนั้นบาดแผลที่เขาได้รับก็แค่รอยแผลเล็กๆน้อยตามผิวหนัง เพียงแค่โคจรคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์รอยแผลทั้งหมดก็ถูกรักษาอย่างสมบูรณ์
“เจ้าทำได้เพียงแค่นี้?” หลิงฮันยิ้ม
ใบหน้าของกู่ต้าวอี้กลายเป็นมืดมน ปากของชายผู้นี้ยังคงหยาบคายไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่เขาก็ยอมรับว่ากายหยาของหลิงฮันนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก ไม่จำเป็นต้องใช้ปราณก่อเกิดช่วยเหลือใดๆ แค่กายหยาบเพียงอย่างเดียวก็ทนทานราวกับกระทิงเหล็ก
หลิงฮันต้องเป็นทายาทของสัตว์อสูรที่ทรงพลังจากดินแดนแห่งเซียนไม่ผิดแน่ ไม่เช่นนั้นเขาจะมีกายหยาบที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร?
“เหอะ แค่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างเดียวคิดว่าจะโค่นล้มข้าได้?” กู่ต้าวอี้กล่าวอย่างมั่นใจ
หลิงฮันยิ้มเจ้าเล่ห์ “ใครบอกว่าข้ามีพลังป้องกันแข็งแกร่งอย่างเดียว?”
กระดูกในร่างของเขาส่องแสง รูปแบบอาคมแรกถูกกระตุ้นใช้งาน
ค่อยๆไปทีละอันไม่ต้องรีบ
หลิงฮันโจมตี ทักษะดาบฟ้าคำรามถูกสะบั้นออกไป อำนาจของมันผสานรวมเข้ากับรูปแบบอาคมและกาลเวลาแปรผันพันปี
“รูปแบบอาคมในร่างกาย?” แววตาอันแหลมคมของกู่ต้าวอี้มองการโจมตีของหลิงฮันออกอย่างรวดเร็ว “กายหยาบของเจ้าแข็งแกร่งพอที่จะสลักรูปแบบอาคมระดับสิบสี่เอาไว้บนร่างกาย! น่าเสียดาย ต่อหน้าข้าแล้วรูปแบบอาคมระดับสิบสี่จะนับเป็นอันใดได้?”
กู่ต้าวอี้ทั้งสิบลงมือพร้อมกันและสลายการโจมตีของหลิงฮันได้อย่างง่ายดาย
“หลิงฮัน เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!” กู่ต้าวอี้กล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ยอมศิโรราบต่อข้า เจ้าควรตระหนักเอาไว้ว่าข้าคือผู้ที่สามารถนำพาเจ้าไปสู่ความรุ่งโรจน์”
หลิงฮันหัวเราะและกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อน การโจมตีของข้ายังไม่หมดเท่านี้!” เขากระตุ้นรูปแบบอาคมที่สองและจู่โจมอีกครั้ง
กู่ต้าวอี้ยังคงสลายการโจมตีได้อย่างง่ายดาย
รูปแบบอาคมที่สาม!
รอยยิ้มบนใบหน้าของกู่ต้าวอี้ค่อยๆหายไป สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง
เหตุใดพลังของรูปแบบอาคมถึงได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ?
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นรูปแบบอาคมระดับสิบสี่เท่าเดิม แต่พลังทำลายกลับเหนือชั้นไปกว่าระดับของมันมากนัก นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี!
“นะ ในร่างกายเจ้ามีรูปแบบอาคมมากกว่าหนึ่ง!” กู่ต้าวอี้ดวงตาเปิดกว้างด้วยความหวาดกลัว
ครั้งนี้เขาตกตะลึงอย่างแท้จริง
ตอนที่ 1496
กู่ต้าวอี้มีความรู้ที่กว้างขวาง ในดินแดนแห่งเซียนนั้นการสลักรูปแบบอาคมเอาไว้บนร่างกายนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่คนสลักรูปแบบอาคมเอาไว้ในร่างกายได้เกินหนึ่งรูปแบบนั้นเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ในโลกนี้มีสัตว์ประหลาดเช่นนั้นอยู่ด้วย?
หรือเรื่องนี้จะอยู่เหนือกว่าขอบเขตการรับรู้ของตัวตนระดับโลกียนิพพานเช่นเขา?
เขาเป็นคนของดินแดนแห่งเซียนก็จริงแต่ก็ไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุด บางทีอาจจะมีจอมยุทธที่สามารถสลักรูปแบบอาคมเอาไว้บนร่ายกายได้เกินหนึ่งรูปแบบอยู่จริงๆ?
กู่ต้าวอี้อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าตื่นเต้น หากเขาทำเช่นนั้นได้บ้างพลังต่อสู้ก็จะยกระดับขึ้นไปอีกขั้น เมื่อผสานรวมกับทักษะบ่มเพาะในตอนนี้ตัวเขาก็จะสามารถกลายเป็นราชานิรันดร์ในดินแดนแห่งเซียน
“เจ้านี่ทำให้ข้าประหลาดใจได้ทุกครั้งเลยจริงๆ!” เขาคำรามและควบคุมร่างทั้งสิบให้เข้าจู่โจมหลิงฮันพร้อมกัน
ครั้งนี้ล่ะเขาจะโค่นล้มหลิงฮันและช่วงชิงทุกอย่างที่หลิงฮันมีรวมถึงสตรีที่บ่มเพาะทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญด้วย เขาจะกลืนกินนางเพื่อยกระดับแก่นกำเนิดนิรันดร์ให้ทรงพลังยิ่งขึ้น
เขาเชื่อว่าหลิงฮันคือวาสนาที่พระเจ้าส่งมาให้แก่เขา
หลิงฮันหัวเราะและกระตุ้นรูปแบบอาคมหยินหยางห้าธาตุขึ้นอีก พลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ทัดเทียมกับระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูง
ตูม!
ทั้งสองคือราชาที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งยุคสมัยไม่ผิดแน่ พวกเขาเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด หลิงฮันกระตุ้นรูปแบบอาคมเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ พลังต่อสู้ของเขาค่อยๆน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้นและในด้านพลังป้องกันตัวเขานั้นไร้เทียมทานอยู่แล้ว
กู่ต้าวอี้เริ่มตอบโต้ด้วยความยากลำบาก
อย่ามองว่าหลิงฮันเพียงแค่ปล่อยหมัดและปราณดาบอย่าลวกๆ ทุกการโจมตีของเขาล้วนแต่ผสานกาลเวลาแปรผันพันปีเอาไว้
กู่ต้าวอี้เองก็ไม่ได้อ่อนแอ ทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญเป็นทักษะที่ทรงพลังอย่างมากในดินแดนแห่งเซียน แถมแก่นกำเนิดนิรันดร์ที่เกิดจากการชีวิตทั้งเก้าชาติภาพของเขาก็ช่วยทำให้การโจมตีของเขามีพลังทำลายที่น่าสะพรึงกลัว
การโจมตีของทั้งสองคนนั้นเกินกว่าระดับของวารีนิรันดร์ขั้นกลางจนเป็นขั้นสูงไปแล้ว เกรงกว่าแค่พลังทำลายเพียงอย่างเดียวแม้แต่ปรมาจารย์ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดก็ต้องหวาดหวั่น
หลิงฮันคำรามและกระตุ้นรูปแบบอาคมทั้งสิบพร้อมกัน ทันใดนั้นเองร่างของเขาได้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงห้าสีของรูปแบบอาคมหยินหยางห้าธาตุและปล่อยหมัดเข้าใส่กู่ต้าวอี้
อะไรกัน!
กู่ต้าวอี้ดวงตาเปิดกว้างด้วยความตะลึง
พลังต่อสู้ของหลิงฮันทะยานสูงขึ้นอย่างคาดไม่ถึง!
กู่ต้าวอี้คำรามเสียงดัง แสงของแก่นกำเนิดนิรันดร์ถูกคายออกมาจากปากและโอบล้อมมือของเขาที่กำลังจะปะทะกับหลิงฮัน
ตูม!
ทั่วทั้งลานประลองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รอยร้าวปรากฏไปทั่วจนแทนจะพังทลาย
ใบหน้าของกู่ต้าวอี้บูดบึ้ง แม้การปะทะเมื่อครู่เขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ถูกต้อนจนต้องใช้พลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์
มันคือลับที่ทรงพลังที่สุดของเขาที่ใช้ได้เพียงสามครั้ง เมื่อใดที่ใช้มันพลังต่อสู้ของเขาจะยกระดับขึ้นร้อยเท่า
ในสายตาของเขา ไม่มีใครในระดับพลังเดียวกันที่มีคุณสมบัติพอให้เขาใช้พลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์ แต่เมื่อครู่เขากลับต้องใช้มันเพื่อป้องกันตนเอง การที่ถูกฝืนใช้ไพ่ลับนี้ออกไปทำให้ความมั่นใจของเขาพลังทลาย
ไม่น่าเชื่อว่าพลังของหลิงฮันจะแข็งแกร่งขนาดนี้…
อีกฝ่ายเป็นเพียงจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้นแต่สามารถสลักรูปแบบอาคมระดับสิบสี่ไว้ในร่างกายได้เกินกว่าหนึ่งรูปแบบ! อีกฝ่ายต้องมีสายเลือดของตระกูลระดับสูงในดินแห่งเซียนไม่ผิดแน่ ไม่งั้นก็เป็นไปได้ที่จะมีความสามารถอันฝืนสวรรค์เช่นนี้
ตระกูลระดับสูงนั้น ในประวัติศาสตร์อันยาวนานและอาณาเขตที่กว้างขวางของดินแดนแห่งเซียนนั้นจะมีซักกี่ตระกูลเชียว?
เขาต้องช่วงชิงความลับของสายเลือดนั้นมาให้ได้!
หลิงฮันไม่รีรอและลงมือต่อ ร่างของเขาถูกโอบล้อมไปด้วยแสงห้าธาตุจากรูปแบบอาคมหยินหยางห้าธาตุทั้งสิบ
กู่ต้าวอี้ตอบโต้ อำนาจของพลังจากแก่นกำเนิดนิรันดร์ยังไม่สลายไป พลังของเขาในตอนนี้เหนือกว่าตัวเขาในสภาพสมบูรณ์ตามปกติเสียอีกจึงไม่ต้องหวาดกลัวการโจมตีใดๆ
ที่ด้านนอกลานประลอง ทุกคนที่มองดูอยู่ต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็กลายเป็นไร้คำพูด
ศิษย์ใหม่ในครั้งนี้ช่างน่าอัศจรรย์นัก ต่อให้เป็นผู้อาวุโสเช่นพวกเขาก็อาจจะต้องทุ่มเทสุดกำลังถึงจะกำราบทั้งสองได้อย่างราบคาบ ในหมู่ศิษย์ด้วยกันแล้วเกรงว่าคงมีเพียงศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละสาขาย่อยเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะทั้งสองคนได้
แต่เมื่อใดที่พลังบ่มเพาะของทั้งสองเพิ่มขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย ต่อให้ยังไม่ใช่ระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดเกรงกว่าทั้งสองบรรลุระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงก็คงมีพลังเพียงพอที่จะโค่นล้มศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดได้แล้ว
ทั้งสองคน… ใครจะเป็นฝ่ายชนะกันแน่?
หลิงฮันกระหน่ำปล่อยหมัดอย่างบ้าคลั่ง เขารู้สึกดีเป็นอย่างมากที่ได้ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาในการต่อสู้ ในระดับเดียวกันนี้คงมีเพียงกู่ต้าวอี้ที่ใช้พลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์เท่านั้นที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขา
ใบหน้าของกู่ต้าวอี้เปลี่ยนเป็นหน้าเกลียด เขาใช้พลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์ไปแล้วแท้ๆแต่กลับทำได้เพียงสูสีกับหลิงฮัน?
ปัญหาก็คือเขาสามารถใช้พลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์ได้เพียงสามครั้ง ซึ่งการใช้ในแต่ละครั้งก็มีระยะเวลาจำกัด หากเขาไม่เหลือพลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์แล้วเขาคงไม่อาจเอาชนะหลิงฮัน… กู่ต้าวอี้รีบส่ายหัวสลัดความคิดนี้ทิ้ง ไม่! จะอย่างไรเขาก็ต้องเอาชนะศัตรูคู่อาฆาตตรงหน้านี้ให้ได้
ในที่สุดเขาก็นำอุปกรณ์เซียนออกมา ‘ครืนน’ แรงกดดันอันไร้ที่สิ้นสุดส่งผลให้รูปแบบอาคมป้องกันของลานประลองสั่นสะเทือนราวกับไม่อาจต้านทานไหว
หลิงฮันขมวดคิ้ว อุปกรณ์เซียนมีอำนาจเพียงพอที่จะทำให้กายหยาบของเขาได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจประมาทได้! เขานำดาบไม้พุพังออกมาและปลดปล่อยอำนาจของกายหยาบทองคำที่เป็นวาสนาจากแผ่นหินสีทอง ร่างของเขาไม่เพียงส่องประกายด้วยแสงอันเจิดจรัสแค่ยังปกคลุมไปด้วยจิตสังหารและคลื่นพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว
การประลองได้มาถึงจุดสุดยอดที่ดุเดือดร้อนระอุแล้ว
ตอนที่ 1497
ด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของกู่ต้าวอี้ เขาจึงไม่ต้องการใช้อุปกรณ์เซียนในการเอาชนะใครอื่น
ตัวเขาที่เคยเป็นถึงปรมาจารย์ของดินแดนแห่งเซียน ใช้ชีวิตทั้งเก้าชาติภพสร้างแก่นกำเนิดนิรันดร์ขึ้นในชีวิตที่สิบ ไม่ใช่ว่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้เขาสมควรบดขยี้ทุกคนได้อย่างง่ายดายหรอกรึ?
แต่ในกรณีของตอนนี้เขาคิดว่ามันแตกต่างออกไป
หลิงฮันจะต้องเป็นทายาทของตระกูลระดับสูงในดินแดนแห่งเซียนเป็นแน่ เบื้องหลังของอีกฝ่ายทรงพลังกว่าเขาหลายเท่า ดังนั้นหากเขาใช้อุปกรณ์เซียนก็ไม่ถือว่าผิดไม่ใช่รึไง?
เขาสะบั้นดาบเข้าใส่หลิงฮัน อำนาจของอุปกรณ์เซียนถูกปลดปล่อยออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ร่างของหลิงฮันส่องแสงสว่างเจิดจรัสสีทอง แต่ดาบไม่พุพังในมือกลับตรงกันข้ามพลังงานชั่วร้ายได้เปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นสีโลหิต รูปแบบอาคมอสูรส่องประกายพร้อมจิตสังหารอันน่าสะพรึง
ปัง!
ดาบของทั้งสองเข้าปะทะกัน ผู้คนรอบข้างรู้สึกได้ว่าภายในห้วงจิตวิญญาณของตนเองเกิดเสียงสั่นสะท้านราวกับแผ่นดินไหวจนจิตวิญญารแทบจะแหลกออกเป็นเศษซาก รูทวารทั้งเจ็ดบนร่างกายมีโลหิตหลั่งไหลออกมา
มีเพียงจักรพรรดินีคนเดียวที่ยังคงยืนแน่นิ่งไม่หวั่นไหว นางถือหินต้นกำเนิดสวรรค์เอาไว้ในมือซึ่งช่วยดูดรับคลื่นปะทะทั้งหมดที่พุ่งเข้ามา
“ฮึ่ม!” กู่ต้าวอี้กำดาบไว้มือขวาฝในขณะที่มือซ้ายกางออกเป็นกรงเล็บฟันเข้าใส่หลิงฮัน ร่างแยกทั้งเก้าเองก็ลงมือจู่โจมหลิงฮันพร้อมกัน
หลิงฮันไม่หวั่นเกรง กายหยาบทองคำปลดปล่อยออร่าศักดิ์สิทธิ์อันไร้ก้นบึ้งออกมา
กายหยาบทองคำของหลิงฮันคือกายหยาบทองคำที่สมบูรณ์ที่สุดแตกต่างจากคนอื่น ต่อให้มันจะเทียบกับแก่นกำเนิดนิรันดร์ไม่ได้แต่ไม่ใช่กับร่างแยกทั้งเก้า เพราะอย่างไรร่างแยกทั้งเก้าก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริงๆแต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากทักษะยุทธ
‘ครืนนน’ แก่นกำเนิดนิรันดร์ส่องแสงสว่างเจิดจ้าราวกับดวงตะวัน ร่างแยกทั้งเก้าของกู่ต้าวอี้หยุดชะงักทันทีพร้อมกับดวงตากำลังถูกเผาไหม้
กู่ต้าวอี้เค้นเสียงด้วยความโกรธ ร่างแยกทั้งเก้าไม่ใช้สิ่งมีชีวิตดังนั้นพวกมันจึงรู้สึกเจ็บปวด แต่การที่ดวงตาของพวกมันถูกแผดเผาเช่นนี้ย่อมทำให้พลังต่อสู้ลดลงและเป็นไปไม่ได้ที่จะฟื้นฟูกลับมาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
บัดซบ กายหยาบนั้นเป็นวาสนาที่ได้รับจากแผ่นหินทองคำ หากเขาได้มันมาล่ะก็แก่นกำเนิดนิรันดร์ที่ผสานรวมกายหยาบทองคำจะแข็งแกร่งขนาดไหน!
กู่ต้าวอี้กำหมัดซ้ายชกออกไปด้วยความอิจฉา
หลิงฮันไม่น้อยหน้า เขากำหมัดซ้ายและตอบโต้หมัดของอีกฝ่าย
ปัง! ปัง! ปัง!
ทั้งดาบทั้งหมัดของทั้งสองคนปะทะกันอย่างดุเดือด คลื่นแสงจากรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์และรูปแบบอาคมอสูรส่องประกายอย่างต่อเนื่อง
แก่นกำเนิดนิรันดร์นั้นน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง หากเป็นคนอื่นที่แลกหมัดกับหลิงฮันล่ะก็ เพียงไม่กี่ลมหายใจร่างของคนคนนั้นก็คงแหลกเป็นเศษเนื้อไปแล้ว แต่กู่ต้าวอี้กลับสามารถต้านทานเอาไว้ได้
ไม่ใช่ว่าเขามีกายหยาบที่ไร้เทียมทานแต่เป็นแก่นกำเนิดนิรันดร์ที่น่าอัศจรรย์ มันสามารถดูดซับพลังทำลายที่สัมผัสโดนได้
“ฮ่าๆๆ หลิงฮัน กายหยาบของเจ้าน่าทึ่งก็จริง แต่แก่นกำเนิดนิรันดร์ของข้าไม่มีทางพ่ายแพ้เจ้า!” กู่ต้าวอี้แสยะยิ้ม
“งั้นรึ?” หลิงฮันกระตุ้นเพลิงเก้าสวรรค์
ในเมื่อรูปแบบอาคมทั้งสิบทำได้เพียงแค่เสมอกับกู่ต้าวอี้ เขาก็จำเป็นต้องใช้ไพ่ลับที่ทรงพลังที่สุด
เพลิงเก้าสวรรค์ หนึ่งในเพลิงบรรพบุรุษของดินแดนแห่งเซียน มาดูว่าแก่นกำเนิดนิรันดร์ของเจ้าจะถูกแผดเผารึไม่!
‘ครืน’ ชั้นเปลวเพลิงที่เบาบางและไร้สีใดๆปรากฏขึ้นบนหมัดของหลิงฮัน
ขนทั่วร่างของกู่ต้าวอี้ลุกชูทันใด หัวใจของเขาบีบรัดและรีบชักดาบกลับพร้อมกับล่าถอยอย่างรวดเร็ว ตอนนี้แม้แต่ปล่อยหมัดใส่หลิงฮันเขาก็ไม่กล้าอีกต่อไป
“อะ อะไรกัน…” เขาจ้องมองไปยังเพลิงบนหมดของหลิงฮัน แม้เขาจะเคยมีชีวิตเป็นถึงปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพาน แต่เขาก็ไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของเพลเพลิงบรรพบุรุษ เขาเพียงแค่รู้สึกได้ว่าเปลวเพลิงตรงหน้านี้ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามสัมผัสมันเด็ดขาด
เขาอาจจะเคยได้ยินเพลิงบรรพบุรุษมาบ้าง แต่เรื่องที่ว่าเคยเห็นของจริงหรือเคยสัมผัสหรือไม่นั้นแน่นอนว่าตัวเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เจ้าจะอายอะไรหนักนา มาสิ ลองมาลิ้มรสกับเพลิงนี้ดูเสียหน่อย”
ลองน้องสาวเจ้าน่ะสิ!
กู่ต้าวอี้สบถด่าในใจ สัญชาตญาณของเขาไม่เคยผิดพลาด เปลวเพลิงบนหมัดหลิงฮันนั้นสามารถเผาผลาญได้ทุกอย่างแม้จะเป็นแก่นกำเนิดนิรันดร์ของเขาก็ตาม
เขาเค้นเสียงและสะบั้นดาบโจมตี เขาไม่กล้าใช้ร่างกายสัมผัสกับเปลวเพลิงนั่นก็จริง แต่เจ้าล่ะกล้าใช้ร่างกายสัมผัสกับอุปกรณ์เซียนของข้ารึเปล่า?
หลิงฮันกวัดแกว่งดาบไม่พุพังตอบโต้ กู่ต้าวอี้ในตอนนี้ใช้เพียงหมัดเข้าปะทะกับเขาโดยที่ไม่กล้ายื่นหมัดออกมาแม้แต่นิดเดียว
เขาจ้องมองหาโอกาส เพราะอย่างไรหากพวกเขายังคงปะทะการโจมตีกันก็ต้องเกิดช่องว่างเล็กน้อยให้เขาปล่อยหมัดจู่โจม
ร่างแยกทั้งเก้ายังคงปลดปล่อยทักษะออกมา แต่ดวงตาทั้งสองข้างของพวกมันใช้งานไม่ได้ชั่วคราว ทั้งการเล็งเป้าหมายและลงมือจึงได้เชื่องช้าเป็นอย่างมาก
หลิงฮันเมินเฉยร่างแรกทั้งเก้า เขาใช้ดาบไม้พุพังรับการโจมตีจากอุปกรเซียนและปล่อยหมัดที่ผสานเพลิงเก้าสวรรค์ออกไป แม้กู่ต้าวอี้จะหลบพ้น แต่คลื่นความร้อนก็ส่งผลกระทบจนทำให้คิ้วทั้งสองข้างและเส้นผมของเขาถูกแผดเผาไม่เหลือ
กู่ต้าวอี้ที่เคยเป็นบุรุษหล่อเหลา ตอนนี้ได้กลายเป็นบุรุษหัวล้านที่ไร้คิ้วไปแล้ว ภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้แปลกประหลาดเกินจะพรรณนา
“บัดซบ! บัดซบ!” กู่ต้าวอี้คำรามอย่างเคียดแค้น ถึงแม้เขาจะไม่สนใจภาพลักษณ์ภายนอกเท่าใด แต่ใครบ้างจะอยากเผยสภาพอันดูไม่ได้ให้กับคนอื่นเห็น?
และสิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดก็คือพลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์ใกล้จะแห้งเหือดแล้ว
ต้องรีบจบการประลองให้เร็วที่สุด
แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว ปัญหาคือไม่ว่าจะเป็นไพ่ลับอันไหนก็ไม่ได้ผลทั้งนั้น
ทั้งร่างแยกเก้าร่าง อุปกรณ์เซียนหรือพลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์ที่เป็นไพ่ลับที่แข็งแกร่งที่สุดล้วนแต่ถูกใช้ออกไปหมดแล้วก็ยังไม่สามารถเอาชนะหลิงฮันได้
“ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีกรึ?” หลิงฮันหัวเราะ เขาอยากจะกำราบกู่ต้าวอี้ให้ราบคาบ แต่ว่าตัวเขานั้นเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับจึงไม่มีเวลาสลักรูปแบบอาคมระดับสิบห้า ไม่เช่นนั้นการประลองในวันนี้เขาคงคว้าชัยชนะได้อย่างง่ายดาย
แต่ไม่ว่าอย่างไรในการประลองนี้ก็มีกฎห้ามสังหารกันอยู่แล้ว เมื่อเขาสลักรูปแบบอาคมระดับสิบห้าทั้งสิบสำเร็จเมื่อไหร่เขาค่อยหาโอกาสสังหารกู่ต้าวอี้และนำแก่นกำเนิดนิรันดร์ไปให้ภรรยาสุดที่รักของเขาดูดซับ
กู่ต้าวอี้ไม่กล่าวตอบโต้ สถานการณ์ในตอนนี้เขาเป็นฝ่ายด้อยกว่าอย่างแท้จริง แต่ตราบใดที่ผลแพ้ชนะยังไม่ถูกตัดสิน ราชาเช่นพวกเขาก็จะไม่มีวันยอมแพ้และยืนหยัดจนถึงวินาทีสุดท้าย
“ข้าไม่คาดคิดเลยว่ากู่ต้าวอี้จะแพ้!”
“เขาเป็นถึงอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์โดดเด่นที่สุดของทุกยุคสมัย เขาควรจะไร้เทียมทานที่สุดในระดับพลังเดียวกันแท้ๆ!”
“นั่นหมายความว่าพรสวรรค์ไม่ใช่ทุกอย่าง”
“พะ… พวกเราเองก็มีโอกาสที่จะกลายเป็นจอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุด!”
การโต้กลับมาเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างองอาจของหลิงฮันทำให้จิตวิญญาณของทุกคนลุกโชน
ตอนที่ 1498
เมื่อพลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์แห้งเหือด เขาก็ต้องเรียกใช้ครั้งต่อไปและต่อไป
ราวกับว่านี่เป็นการนับถอยหลัง เมื่อใดที่ใช้พลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์ครบสามครั้ง เขาก็จะพบเจอกับความพ่ายแพ้
แก่นกำเนิดนิรันดร์นั้นในดินแดนแห่งเซียนมันคือหนึ่งในความสามารถที่ยอดเยี่ยมที่สุด หากเป็นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้มันควรจะเหนือชั้นกว่าทุกสรรพสิ่ง! ยิ่งกว่านั้นแม้เขาจะนำอุปกรณ์เซียนออกมาใช้แล้วก็ยังตกเป็นฝ่ายด้อยกว่าหลิงฮัน
ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่ทำไมเขาถึงพ่ายแพ้
Anchor
กู่ต้าวอี้คำราม แสงของแก่นกำเนิดนิรันดร์ถูกคายออกมาพร้อมกับระเบิดแสงสว่างเจิดจ้าที่ยิ่งกว่ากายหยาบทองคำ
เขาจะสู้จนถึงที่สุด!
พลังของแก่นแท้นิรันดร์ครั้งสุดท้ายถูกกระตุ้นใช้งาน แทนที่จะรอคอยความพ่ายแพ้เขาเลือกที่จะสู้ให้ถึงที่สุด แม้จะน้อยนิดแต่บางทีอาจจะมีโอกาสที่เขาจะพลิกกลับกลายมาเป็นผู้ชนะ
ร่างของกู่ต้าวอี้ระเบิดพลังแห่งเจตจำนงอันแรงกล้าออกมา อำนาจของดาบเซียนในมือถูกรีดเค้นจนถึงขีดจำกัดออร่าของมันพุ่งทะยานสูงเสียดฟ้าและพลังต่อสู้ของเขาได้ถูกยกขึ้นเป็นระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุด
พลังต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นกระทันหันนี้ทำให้เขากลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบและเริ่มกระหน่ำจู่โจมใส่หลิงฮัน
ใบหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นเย็นชา นี่คงเป็นการระเบิดพลังเหือกสุดท้ายของกู่ต้าวอี้ซึ่งหลิงฮันไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะคงสภาพพลังนี้เอาไว้ได้นาน
เพียงแต่ว่ากู่ต้าวอี้ในตอนนี้ทรงพลังอย่างแท้จริง พลังต่อสู้ที่ระเบิดออกมาของเขาสามารถกำราบแม้กระทั่งคู่ต่อสู้ที่มีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดชั้นต้นได้อย่างราบคาบ
ทุกคนที่เห็นต่างอ้าปากค้างและนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงใดๆ
ณ เวลานี้กู่ต้าวอี้มีพลังที่ทัดเทียมได้กับศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งๆที่เพิ่งจะบรรลุระดับวารีนิรันดร์
แต่หลิงฮันทางด้านหลิงฮันเองก็ทำให้พวกเขาพูดไม่ออกเช่นกัน
แม้การโจมตีของกู่ต้าวอี้จะรุนแรงแค่ไหน หลิงฮันก็สามารถป้องกันได้อย่างง่ายดาย
นั่นเป็นเพราะหลิงฮันได้โคจรอำนาจของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เอาไว้ เขาสามารถป้องกันการโจมตีของเซียนได้หนึ่งครั้ง และเมื่อไม่ใช้การโจมตีที่ทรงพลังของเซียนอำนาจของคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์จึงคงสภาพเอาไว้ได้ยาวนาน
กู่ต้าวอี้จ้องมองและรับรู้ได้ว่าทุกครั้งที่หลิงฮันรับการโจมตีของเขา ร่างกายของอีกฝ่ายจะส่องแสงสว่างสีทองออกมาพร้อมกับถูกเผาผลาญพลังปราณไปอย่างรวดเร็ว เพราะงั้นแล้วตราบใดที่เขายื้อเวลาเอาไว้ได้จนกระทั่งพลังปราณของหลิงฮันไม่เหลือเขาก็จะเป็นฝ่ายชนะ
แต่กว่าจะถึงตอนนั้นพลังแก่นกำเนิดนิรันดร์ของเขาคงแห้งเหือดหมดก่อนและจะเป็นเขาที่พ่ายแพ้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเลือกอื่น สู้ให้ถึงที่สุดอย่างเดียว!
เขาโจมตีอย่างบ้าครั้งเข้าใส่หลิงฮัน… ไม่อยากแพ้! ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อยากแพ้!
หลิงฮันแน่นิ่งราวกับภูเขา นี่เป็นเพียงการประลองเท่านั้น หากเป็นการต่อสู้เป็นตาย ต่อให้เขาตกตายก็ยังสามารถคืนชีพได้และกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
อันที่จริงเขายังไม่ได้ใช้หยดวารีอมตะเลยด้วยซ้ำ แต่หยดวารีอมตะสามารถช่วยแค่ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเท่านั้นไม่สามารถฟื้นฟูพลังปราณได้
เขายังมีไพ่ลับเหลืออยู่ในขณะที่กู่ต้าวอี้ไม่เหลืออะไรแล้ว
การประลองนี้ท้ายที่สุดผู้ชนะก็คือเขา!
กู่ต้าวอี้แทบจะบ้าคลั่ง เขารับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์กำลังถูกเผาผลาญอย่างรวดเร็ว อย่างมากก็คงสภาพอยู่ได้อีกสิบลมหายใจเท่านั้น
ต้องเอาชนะให้ได้ภายในสิบลมหายใจ
ตูม! ตูม! ตูม!
กู่ต้าวอี้กระหน่ำโจมตีไม่ยั้ง อุปกรณ์เซียนถูกสะบั้นออกไปโดยที่เขาไม่สนใจแล้วว่าการโจมตีของเขาจะเผลอสังหารหลิงฮันรึไม่ ณ เวลานี้เขามีเพียงความคิดเดียวก็ต้องชนะ
แต่พลังป้องกันของหลิงฮันก็ได้ทำให้เขาสิ้นหวังอย่างแท้จริง
หนึ่งลมหายใจ… สองลมหายใจ… เก้าลมหายใจ… สิบลมหายใจ!
พลังต่อสู้ของกู่ต้าวอี้ลดลงอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำที่ย้อนกลับ
“หยุดการประลอง!” แต่ทันใดนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ
“ภรรยาเซียน!” เหล่าศิษย์คงไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร แต่เหล่าผู้อาวุโสทุกคนรู้ดี พวกเขารีบลอยไปบนลานประลองเพื่อหยุดการต่อสู้
คำพูดของภรรยาเซียนซิงฉาเปรียบเสมือนคำพูดของเซียนซิงฉา ใครจะกล้าไม่ทำตาม?
ภรรยาเซียน? เหล่าศิษย์สับสน
หลิงฮันขมวดคิ้ว คราวนี้จูซิ่วเอ๋อจะสร้างปัญหาอะไรอีก?
ท่ามกลางสายตาของทุกคน จูซิ่วเอ๋อก้าวเดินไปบนลานประลองอย่างช้าๆและกล่าว “ผลการประลองเป็นที่ประจักษ์แล้ว เหตุใดยังไม่ประกาศอีก?”
เหล่าผู้อาวุโสยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ภรรยาเซียนอยู่ฝ่ายไหนกันแน่?
เพียงแต่ว่าพวกเขาก็ใช่คนหัวทึ่มและตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่านางต้องไม่ได้มาเพื่อช่วยเหลือหลิงฮันแน่นอน เพราะว่าหากปล่อยไว้อีกไม่กี่กระบวนท่าหลิงฮันก็ต้องเป็นฝ่ายชนะอยู่แล้ว มีเหตุผลอันใดที่ภรรยาเซียนจะต้องปรากฏตัว?
“อะแฮ่ม!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกระแอม “ข้าขอประกาศ ผู้ชนะการประลองศิษย์ใหม่ในครั้งนี้คือกู่ต้าวอี้!”
เหล่าผู้ชมตกตะลึง กู่ต้าวอี้เองก็เช่นกัน เขาไม่รู้จักจูซิ่วเอ๋อเสียหน่อย ทำไมนางต้องยื่นมือมาช่วยเขาด้วย?
แต่เพราะไม่อยากพ่ายแพ้ เขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกไป
แน่นอนว่าหลิงฮันย่อมไม่อาจยอมรับผลตัดสินเช่นนี้และกล่าว “ข้าขอถามว่าทำไมข้าถึงแพ้?”
ทำไมถึงแพ้? เรื่องนั้น… ผู้อาวุโสหลายคนมองหน้ากัน
“เวลาการประลองคือหนึ่งวันหนึ่งคืน ในเมื่อการประลองไม่อาจตัดสินในระยะเวลาที่กำหนด ผู้ชนะย่อมเป็นคนที่โดยรวมแล้วแข็งแกร่งกว่า” จูซิ่วเอ๋อเอ่ยตอบ “ก็อย่างที่ทุกคนเห็น กู่ต้าวอี้นั้นเป็นฝ่ายได้เปรียบจึงเป็นผู้ชนะ”
ก็จริงที่ว่าในตอนแรกกู่ต้าวอี้ดูเหมือนจะได้เปรียบ แต่คำถามคือการประลองดำเนินไปหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว? ดวงจันทร์ยังไม่ทันลอยขึ้นฟ้าเลยด้วยซ้ำ จะบอกว่าคบหนึ่งวันแล้วก็ดูจะเร็วไปหน่อยรึเปล่า?
แต่ภรรยาเซียนเป็นคนกล่าวเช่นนั้นใครจะกล้าโต้แย้งโดยไม่ไว้กล้านาง?
“หรือว่านางจะเป็นภรรยาของเซียนซิงฉา?”
“นางให้กำเนิดบุตรของเซียนซิงฉา?”
“แบบนี้เอง ถึงว่าทำไมผู้อาวุโสมากมายถึงได้มีท่าทีสุภาพกับนางขนาดๆนั้นทั้งๆที่นางเพิ่งจะเป็นจอมยุทธที่ทะลวงผ่านระดับดาราสำเร็จ”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ย “ภรรยาเซียนเอ่ยปากตัดสินใจแล้ว ใครจะกล้าไม่ยอมรับ? พวกเจ้าเหล่าศิษย์แยกย้ายได้ ไม่ต้องกล่าวอะไรให้มากความ ผู้ชนะในครั้งนี้คือกู่ต้าวอี้!”
“ข้าคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับ!” หลิงฮันตะโกน เขาไม่มีทางยอมอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่ขัดแย้งกับจูซิ่วเอ๋อตั้งแต่แรก
เสียงของเขาดังก้องกังวาล!
ตอนที่ 1499
ข้าขอคัดค้าน! ข้าไม่ยอมรับ!
หลิงฮันฮันกล่าวอย่างหนักแน่นราวกับขุนเขา
ทุกคนจ้องมอง แม้หลิงฮันจะยืนโดดเดี่ยว แต่อำนาจของเขาก็ทรงพลังราวว่าต่อให้มีศัตรูอยู่ตรงหน้านับพันเขาก็ไม่หวาดหวั่น!
เหล่าศิษย์ได้รับผลกระทบจากอำนาจของเขาจนแน่นิ่งไม่เอ่ยกล่าวอะไร
“เจ้าไม่ยอมรับ? แล้วมันจะทำไม!” จูซิ่วเอ๋อกล่าวอย่างเหยียดหยาม อย่าว่าแต่เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ที่นี่เลย ต่อให้เซียนทั้งเก้ามาที่นี่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะหักหน้านาง
“งั้นข้าขอถาม ใครคิดว่าข้าสมควรพ่ายแพ้บ้าง?” หลิงฮันกวาดสายตามอง ศิษย์คนอื่นๆในตอนนี้ล้วนแต่ก้มหัวไม่กล้าสบตากับเขา
“ข้าไม่ยอมรับ!” จักรพรรดินีเป็นคนแรกที่ก้าวเดินขึ้นมายังลานประลอง กล้าดีอย่างไรมาสบประมาทสามีของข้า?
“ข้าไม่ยอมรับ!”
“ข้าไม่ยอมรับ!”
“ข้าไม่ยอมรับ!”
สตรีนกอมตะ จักรพรรดิพิรุณ จิ่วเยาว์ ติงผิงและคนอื่นๆก้าวเดินขึ้นมาบนลานประลอง ไม่ใช่แค่สหายของหลิงฮันแต่ราชาระดับสามอย่างซื่อเฉินเฟิง เทียนเซี่ยตี้เอ้อและหลงเซียงเยว่ก็ก้าวขึ้นมาด้วย
สำหรับสุดยอดราชาเช่นพวกเขา หากเป็นการชัยชนะที่ตัดสินด้วยพลังพวกเขาคงไม่คัดค้านอะไร แต่ผลการตัดสินด้วยอำนาจเช่นนี้พวกเขาไม่อาจยอมรับได้!
การประลองจำเป็นต้องยุติธรรม ใครแข็งแกร่งกว่าคนนั้นก็คือผู้ชนะ!
“ข้าไม่ยอมรับ!” ศิษย์อีกคนหนึ่งก้าวขึ้นมาบนลานประลอง เขาไม่ใช่สหายของหลิงฮันหรือราชาระดับสาม หลิงฮันไม่รู้จักศิษย์คนนี้ด้วยซ้ำ
“หลิงฮันคือผู้ชนะ!”
“ขอให้มีการตัดสินใหม่!”
ศิษย์คนอื่นๆเริ่มก้าวโห่ร้อง จำนวนศิษย์ใหม่ในครั้งนี้คือเก้าร้อยคน บนลานประลองได้มีศิษย์ก้าวขึ้นมาเกินกว่าร้อยคนแล้ว แต่ก็ยังมีศิษย์ส่วนหนึ่งที่โห่ส่งเสียงจากด้านข้าง
“เหอะ พวกเจ้าทุกคนคิดจะต่อต้านข้า?” จูซิ่วเอ๋อกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าจะนับถึงสาม หากใครยังไม่ลงไปจากลานประลองข้าจะขับไล่คนผู้นั้นออกจากสำนัก!”
นางมีอำนาจที่จะทำอย่างที่พูดจริงๆ แม้แต่เซียนทั้งเก้าก็ไม่กล้าขัดขืน
แต่ที่นางไม่คาดคิดคือเมื่อกล่าวประโยคนั้นออกไป ศิษย์ที่ก้าวขึ้นมาบนลานประลองกลับมีมากขึ้น
“ขอให้ทำการตัดสินใหม่!”
“หากเรื่องแค่นี้ยังไม่มีความยุติธรรม พวกเราจะอยู่ที่สำนักแห่งนี้ต่อไปเพื่ออะไร?”
“ใช่แล้ว หากข้าอยู่เฉยทำเป็นไม่เห็น เหตุการณ์ในวันนี้จะต้องกลายเป็นมารกัดกินจิตใจของข้าและไม่หลงเหลือความหวังในการเป็นเซียนในอนาคต”
ทุกคนเอ่ยกล่าว
พวกเขาเข้าร่วมสำนักละอองดาราเพื่ออะไร?
ไม่ใช่ว่าเพื่อเป็นเซียนหรอกรึ?
ไม่งั้นแล้วเหล่าศิษย์มากมายที่มีเซียนเป็นผู้หนุนหลังอยู่แล้วจะเสียเวลามาที่นี่ทำไม?
หากมีมารอยู่ในจิตใจความหวังที่จะได้เป็นเซียนก็คงไม่หลงเหลือ เมื่อหนึ่งปีก่อนพวกเขาก็ถูกบังคับให้คลานลอดผ่านช่องวสุนัขครั้งหนึ่งแล้ว ใครบ้างที่ภายในจิตใจจะไม่คับแค้นไปด้วยความขมขื่น พอมาเจอเหตุการณ์ในวันนี้ความรู้สึกที่ว่าก็ได้ปะทุออกมา
ราชาเช่นพวกเขา… ไม่อาจยออมรับความอัปยศได้!
สองร้อยคน สามร้อยคน สี่ร้อยคน ห้าร้อยคน… ศิษย์แทบจะทุกคนก้าวขึ้นมาบนลานประลอง
ใบหน้าของจูซิ่วเอ๋อเปลี่ยนเป็นเย็นชา ในเมื่อคนเหล่านี้ไม่คิดจะเชื่อฟังแต่โดยดีนางก็ไม่คิดจะปล่อยเอาไว้ พวกเจ้าคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่มาจากไหน? นางแสยะยิ้มและกำลังจะเอ่ยกล่าว แต่ทันใดนั้นเองแรงกดดันก็ได้ถาโถมเข้ามาจนนางอ้าปากไม่ได้
“ผู้ชนะการประลองครั้งนี้คือหลิงฮัน!” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างทรงพลังราวกับเป็นเจตจำนงแห่งสวรรค์และปฐพี
เซียนซิงฉา!
จูซิ่วเอ๋อมีสีหน้ามืดมน นางไม่คาดคิดว่าสามีของนางจะหักหน้านางเช่นนี้ แต่ถึงนางจะไม่พอใจแค่ไหนนางก็ไม่กล้าคัดค้าน
ทั้งสถานะและอำนาจของนางมาจากเซียนซิงฉา เพียงแค่คำพูดของเซียนซิงฉาประโยคเดียวย่อมสามารถทำให้สถานะของนางสลายหายไปได้
ในเมื่อเซียนซิงฉาเป็นคนกล่าวเองย่อมไม่มีใครมีข้อกังขา หลิงฮันคือผู้ชนะ
ศิษย์ทุกคนโห่ร้องด้วยความยินดี การที่เซียนซิงฉาออกหน้าสนับสนุนพวกเขาเช่นนี้ทำให้พวกเขาปราบปลื้มเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของกู่ต้าวอี้และเหล่าผู้อาวุโสกลายเป็นบูดบึ้ง
“หลิงฮัน! หลิงฮัน! หลิงฮัน!” ทุกคนจตะโกนชื่อของหลิงฮันออกมาพร้อมกัน
หลิงฮันยิ้มและรู้สึกขอบคุณทุกคน
เขาไม่รู้ว่าหากไม่มีการสนับสนุนจากศิษย์คนอื่นๆเซียนซิงฉาจะยอมยืนมือเข้ามาแทรกแซงรึไม่ แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ก็ทำให้เขาโหยหาพลังมากยิ่งขึ้น
หลิงฮันมองไปยังจูซิ่วเอ๋อด้วยความเกรี้ยวกราดก่อนจะกวาดสายตามองกู่ต้าวอี้และผู้อาวุโสคนอื่น ถึงแม้ชัยชนะจะกลับคืนมาเป็นของเขาแต่ปัญหาที่จูซิ่วเอ๋อก่อขึ้นก็ทำให้เขาต้องล่วงเกินผู้อาวุโสทุกคน
แต่ต่อให้ล่วงเกินไปแล้วก็ช่าง จะอย่างไรเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับผู้อาวุโสเหล่านี้อยู่แล้ว
หลิงฮันไม่รีรอและกลับสำนักย่อยที่แปดกับจักรพรรดินี เหล่าผู้อาวุโสไม่ได้ยินดีกับชัยชนะของเขาอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมัวรอเสียเวลากลับพร้อมกับพวกเขา?
พวกเขากลับมาสำนักย่อยที่แปดอย่างเงียบๆ หลิงฮันมุ่งหน้าไปยังห้องตำราเพื่อเลือกรูปแบบอาคมใหม่ หากเขาพบเจอกู่ต้าวอี้อีกครั้ง เขาจะไม่เปิดๆโอกาสให้อีกฝ่ายตอบโต้และลงมือสังหารทันที
สตรีนกอมตะก็ตามเขามาที่สำนักย่อยที่แปดด้วย เพราะอย่างไรจอมยุทธก็ต้องปลีกตัวพบเพาะพลังอยู่แล้ว การจะไม่อยู่สำนักย่อยของตนเองเป็นเวลาร้อยกว่าปีย่อมไม่มีปัญหาอะไร
หลิงฮันครุ่นคิดอยู่นานจนในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกรูปแบบอาคมอีกาโลหิต
ในหมู่รูปแบบอาคมระดับสิบห้ามันคือรูปแบบอาคมชั้นที่ทรงพลังอันดับต้นๆ พลังทำลายของมันสามารถเทียบได้กับระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงชั้นสูงสุด หากกระตุ้นใช้งานพร้อมกันสิบอันแม้จะไม่ทรงพลังถึงระดับวารีนิรันดร์ขั้นสูงสุดชั้นสูงสุด แต่ก็คงมีพลังทำลายขั้นสูงสุดชั้นกลางหรือชั้นสูงเป็นอย่างน้อย
เขากลับมายังที่พักแล้วเข้าไปในหอคอยทมิฬพร้อมกับศึกษารูบแบบอาคมใต้ต้นสังสารวัฏ
เจ็ดวันต่อมา เหวยเชินได้นำกลุ่มศิษย์ใหม่กลับมายังสำนักย่อยที่แปด
เหล่าศิษย์เก่ารอคอยมาเป็นเวลานานแล้ว แต่พอพวกเขามุ่งหน้าไปยังกลุ่มศิษย์ใหม่กลับไม่พบร่างของหลิงฮัน
ที่แท้หลิงฮันก็แอบกลับมาก่อน
เมื่อผลการต่อสู้รอบสุดท้ายของหลิงฮันกับกู่ต้าวอี้และเรื่องที่จูซิ่วเอ๋อเข้ามาแทรกแทรกผลการประลองถูกแพร่กระจายออกไป เหล่าศิษย์เก่าต่างรู้สึกจิตวิญญาณเดือดพล่าน
ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถล้มเลิกวัฒนธรรมของสำนักให้กับหลิงฮันได้แต่พวกเขาก็ต้องยกนิ้วโป้งชมเชย
หากหลิงฮันเป็นคนยอมใครง่ายๆ ในวันแรกที่เข้าร่วมสำนักเขาจะคัดขืนไม่ยอมคลานลอดผ่านช่องสุนัขรึไง?
ตอนที่ 1500
หลิงฮันไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ด้านนอก เขาใช้สมาธิทั้งหมดไปกับการศึกษารูปแบบอาคมโดยที่ไม่ตระหนักถึงเวลาที่ค่อยๆผ่านพ้นไป
สองปีหลังจากนั้น
หลิงฮันลืมตาขึ้นใต้ต้นสังสารวัฏ ตอนนี้เขาศึกษารูปแบบอาคมอีกาโลหิตจนเชี่ยวชาญแล้ว
เขาควบแน่นเพลิงเก้าสวรรค์เป็นใบมีดและสลักรูปแบบอาคมลงบนกระดูกในร่าง
ส่วนรูปแบบอาคมก่อนหน้านี้น่ะรึ? เพียงแค่นึกคิดคัมภีร์สวรรค์ก็สามารถฟื้นสภาพการดูกของเขาให้กลับสู่สภาพดั้งเดิมได้ในพริบตา
เมื่อเทียบกับรูปแบบอาคมระดับสิบสี่แล้ว รูปแบบอาคมอีกาโลหิตมีความซับซ้อนยิ่งกว่าหลายหมื่นเท่า
แต่ตัวของหลิงฮันก็ไม่ใช่ระดับดาราอีกต่อไป สัมผัสสวรรค์ของระดับวารีนิรันดร์ย่อมแข็งแกร่งกว่าเดิม เพราะงั้นการสลักรูปแบบอาคมจึงรวดเร็วกว่าครั้งก่อนมากนัก
สิบวันต่อมา หลิงฮันสลักรูปแบบอาคมลงบนกระดูกสำเร็จเสร็จสิ้นทั้งหมดสิบรูปแบบ อันที่จริงกระดูกของเขายังมีพื้นที่เหลือให้สลักรูปแบบอาคมอีกาโลหิตได้อีกครึ่งรูปแบบ แต่พลังของครึ่งรูปแบบนั้นเล็กน้อยกินไปเขาจึงไม่สนใจ
หลิงฮันออกจากหอคอยทมิฬ
ในช่วงเวลาสองปี พลังบ่มเพาะของทุกคนไม่มีการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ผิดกับจักรพรรดินีและสตรีนกอมตะ ทั้งสองไม่เพียงได้รับทรัพยากรจากสำนักแต่ยังได้รับเม็ดยาจากหลิงฮันด้วย นอกจากนั้นพวกนางก็ยังสามารถเข้ามาบ่มเพาะพลังใต้ต้นสังสารวัฏได้อีก
ถึงแม้หลิงฮันจะเก็บตัวฝึกฝน แต่เขาก็ทิ้งเศษเสี้ยวสัมผัสสวรรค์เอาไว้ หากพวกนางต้องการเข้าหอคอยทมิฬเพียงแค่เข้ามาในที่พักของเขาเสษเสี้ยวสัมผัสสวรรค์ก็จะมาพวกนางเข้ามาในหอคอยทมิฬ
“เจ้าทำสำเร็จแล้ว?” สตรีนกอมตะกล่าวทัก
หลิงฮันพยักหน้า
“นี่แก่นก่อเกิดพลังเซียนของเจ้า” จักรพรรดินีส่งมอบกล่องหยกให้แก่เขา
แก่นก่อเกิดพลังเซียนเกิดจากการควบแน่นพลังงานจากสวรรค์และปฐพีมาควบแน่นเป็นสมบัติซึ่งสามารถช่วยขัดเกลาพลังบ่มเพาะได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างมากสำหรับจอมยุทธที่มีระดับพลังต่ำกว่าเซียน
หลิงฮันครุ่นคิดก่อนจะกล่าว “เจ้าใช้มันเถอะ”
จักรพรรดินีชะงักก่อนจะเข้าใจความคิดของหลิงฮัน อันธพาลผู้นี้ยังคงคิดจะให้นางบรรลุเป็นเซียนให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ร่วมรักกับนาง
จักรพรรดินียิ้มและเก็บกล่องหยก ในเมื่อหลิงฮันต้องการนางก็จะขัดเกลาพลังให้บรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งให้เร็วที่สุด
“มีใครมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหารึไม่?” หลิงฮันเอ่ยถาม
“จะไม่มีได้อย่างไร? แต่คนเหล่านั้นถูกพี่สาวจัดการไปหมดแล้ว” สตรียกอมตะยิ้ม
หลิงฮันหัวเราะ ถึงแม้จักรพรรดินีจะมีพลังบ่มเพาะเพียงระดับวารีนิรันดร์ขั้นต้น แต่หากมีหินต้นกำเนิดสวรรค์อยู่ในมือใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้?
“ข้าต้องหาทางกำจัดกู่ต้าวอี้” หลิงฮันจับคางครุ่นคิด ในสำนักละอองดาราหรือแม้แต่ในดาวมู่ถูแห่งนี้คงไม่สามารถสังหารอีกฝ่ายได้เนื่องจากมีเซียนคอยดูแลอยู่ สัมผัสสวรรค์ของเซียนนั้นสามารถแพร่กระจายได้ทั่วทุกซอกทุกมุมดวงดาว
“คงต้องรอให้มีเขตแดนลี้ลับปรากฏขึ้นมาเท่านั้นถึงจะมีโอกาสสังหารกู่อ้าวอี้” หลิงฮันกล่าว แต่นั่นก็ยังเป็นเรื่องยากลำบากอยู่ดี กู่ต้าวอี้เป็นปรมาจารย์ระดับโลกียนิพพานของดินแดนแห่งเซียน เขตแดนลี้ลับในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะสามารถทำให้เขารู้สึกสนใจได้?
หืม?
จู่ๆหลิงฮันก็นึกบางอย่างออก
เมื่อตอนที่เขายังอยู่ในทวีปฮงเทียน เขาได้รับทักษะที่เหลือทิ้งไว้จากผู้ติดตามทั้งสิบสองของราชันวารีสวรรค์ ซึ่งก็คือศรฆ่ามังกรทะลวงดาราและทักษะกายาเก้ามังกรทรราช
เขตแดนลี้ลับแห่งนั้นแต่เดิมแล้วเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่ด้วยวิธีการที่น่าอัศจรรย์บางอย่างมันจึงถูกส่งผ่านห้วงมิติลงไปยังทวีปฮงเซียน
ก่อนหน้านี้พลังบ่มเพาะของหลิงฮันยังค่ำเกินไปทำให้ไม่สามารถคาดเดาพลังบ่มเพาะของผู้ติดตามทั้งสิบได้ แต่ตอนนี้เขาสามารถยืนยันได้แล้วว่าทั้งสิบสองคนนั้นต้องเป็นตัวตนระดับเซียนไม่ผิดแน่
ไม่ต้องกล่าวถึงเหตุผลอื่น แค่ลองดูจากทักษะกายาเก้ามังกรทรราชที่สามารถทำให้ผู้ฝึกฝนมีพละกำลังทัดเทียมกับเก้ามังกรแท้จริงก็พอ เก้ามังกรแท้จริงนั้นเป็นสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังเท่ากันกับเซียน! ส่วนทักษะศรฆ่ามังกรทะลวงดารานั้นก็ได้ถูกกล่าวเอาไว้ว่าสามารถบดขยี้ดวงดาวและสังหารมังกรแท้จริงได้ ความสามารถที่ว่านี้จะเป็นความสามารถของใครได้หากไม่ใช่เซียน?
ลองคิดดูแล้วผู้ติดตามทั้งสิบสองและราชันวารีสวรรค์เป็นตัวตนระดับใดกันแน่?
เซียนระดับสูง? หรืออาจจะ… ราชาเซียน?
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าราชันวารีสวรรค์สิ้นชีพไปนานเพียงใดแล้ว แต่ผู้ติดตามทั้งสิบสองนั้นได้ทำการส่งเขตแดนลี้ลับสิบสองสวรรค์ลงไปยังทวีปฮงเซียนซึ่งหลิงฮัน็ได้รับพิกัดตำแหน่งที่ซ่อนสมบัติสืบของทอดราชันวารีสวรรค์มาจากเขตแดนลี้ลับแห่งนั้นนั่นเอง
สมบัติสืบทอดที่อาจจะเป็นของราชาเซียน… ไม่สิ สมบัติสืบทอดที่อาจจะมาจากดินแดนแห่งเซียน มีรึที่กู่ต้าวอี้จะไม่หวั่นไหว?
ไม่ว่ากู่ต้าวอี้จะมาจากดินแดนแห่งเซียนและเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งขนาดไหนเขาก็คงไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ
เขาแลกเปลี่ยนแผนการกับสตรีนกอมตะและจักรพรรดินี พวกเขาได้ข้อสรุปว่าจะออกเดินทางตามหาตำแหน่งที่ตั้งของที่ซ่อนสมบัติสืบทอดของราชันวารีสวรรค์
แต่การจะเข้าไปยังเขตแดนลี้ลับของราชันวารีสวรรค์ที่อาจจะเป็นตัวตนระดับราชาเซียนนั้น แน่นอนว่าพวกเขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมกันเสียก่อนจึงเผื่อเวลาไว้สิบวันก่อนจะออกเดินทาง
“อาจารย์! อาจารย์!” ติงผิงรีบร้อนเข้ามาหาเขา
“เกิดอะไรขึ้น?” หลิงฮันเอ่ยถาม หาได้ยากนักที่ศิษย์ของเขาจะมาหาเขาด้วยท่าทีเร่งรีบเช่นนี้
ติงผิงสูดลมหายใจและกล่าว “เซียนซิงฉามีคำประกาศออกมาแล้วว่าจะรับกู่ต้าวอี้เป็นศิษย์คนที่สิบ!” ใบหน้าของติงผิงแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราด คนที่สมควรถูกรับเป็นศิษย์สมควรเป็นอาจารย์ของเขาแท้ๆ อีกฝ่ายไม่เห็นรึไงว่าอาจารย์ของเขาเอาชนะกู่ต้าวอี้ได้ในการประลองศิษย์ใหม่และได้รับฉายาศิษย์ใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุด
หลิงฮันยิ้ม “ข้าพอรู้อยู่แล้ว” อันที่จริงเขาไม่ได้ต้องการคารวะเซียนซิงฉาเป็นอาจารย์อยู่แล้ว
“อาจารย์ ทำไมท่านถึงดูไม่เดือดร้อนเลย?” ติงผิงร้อนรน
ในเมื่อเซียนซิงฉารับศิษย์แล้ว ย่อมหมายถึงศิษย์คนอื่นไม่หลงเหลือความหวังที่จะกลายเป็นเซียนอีกต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น