Alchemy Emperor of the Divine Dao 1450-1459
ตอนที่ 1450
กู่ต้าวอี้ตกตะลึง ดรรชนีโลหิตพระเจ้าเป็นทักษะที่เขาฝึกฝนในชีวิตที่สอง ทักษะนี้เป็นการควบแน่นพลังปราณทั้งหมดมารวมเป็นการโจมตีเดียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่อำนาจกาลเวลาของหลิงฮันจะสลายพลังของทักษะนี้ได้อย่างสมบูรณ์
ซึ่งนั่นก็เป็นไปตามที่เขาคาดคิด แต่กายหยาบของอีกฝ่ายถูกสร้างขึ้นจากแร่โลหะนิรันดร์รึอย่างไร?
ขนาดตัวเขาก็ยังไม่คาดคิดว่าภายใต้สวรรค์จะมีกายหยาบที่ไร้เทียมทานขนาดนี้อยู่
“นี่ข้าตาฝาดรึเปล่า?”
“เจ้าหนูนั่นรับการโจมตีที่รุนแรงของกู่ต้าวอี้เข้าไปแล้ว แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย?”
“ไม่ใช่ เห็นไหวว่าเขาได้รับบาดเจ็บ”
“ไร้สาระ แค่โลหิตไม่กี่หยดไหลออกมาจากมุมปากเจ้าเรียกว่าบาดเจ็บงั้นรึ?”
ผู้คนด้านล่างเอามือกุมหัวด้วยความตะลึง แม้กระทั่งการโจมตีของกู่ต้าวอี้ก็ไม่ได้ผล หลิงฮันต้องมีกายหยาบที่แข็งแกร่งเพียงใดกัน?
หลิงฮันเช็ดเลือดที่มุมปาก สมกับเป็นกู่ต้าวอี้ ขนาดพลังต่อสู้ลดลงมาเป็นระดับดาราขั้นต้นแล้วก็ยังทำให้เขาบาดเจ็บได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะกายหยาบของเขาก็ถูกลดระดับลงมาเช่นกัน
เพียงแต่ว่าบาดแผลแค่นี้ไม่นับเป็นอันใดได้ เขาดีดนิ้วปลดปล่อยปราณดาบนับไม่ถ้วนเข้าใส่กู่ต้าวอี้
Anchor
ทักษะดาบฟ้าคำราม!
‘พรึบ พรึบ พรึบ’ ปราณแค่แต่ละอันรวดเร็วเป็นอย่างมาก กู่ต้าวอี้เผยใบหน้าตื่นตระหนกและรีบลงมือตอบโต้ เมื่อปราณดาบทั้งหมดสลายไปก็พบกับเสื้อผ้าของเขาที่ถูกเฉือนขาดแหว่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง ที่ยิ่งกว่านั้นคือบริเวณแก้มของเขาปรากฏฟันที่มีโลหิตไหลออกมา
กู่ต้าวอี้ได้รับบาดเจ็บ!
เมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าทุกคนก็อุทานออกมา เหล่าผู้ติดตามของกู่ต้าวอี้กลายเป็นเกรี้ยวกราดจนอยากกระทืบหลิงฮันให้เละ ในความคิดพวกเขา กู่ต้าวอี้คือพระเจ้าที่ทำได้เพียงสักการะบูชา
กู่ต้าวอี้ที่ถูกกล่าวว่าเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในทุกยุคสมัยกลับถูกทำให้บาดเจ็บด้วยคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังเท่ากัน
ฮึ่ม! ที่แท้หลิงฮันก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน!
มาถึงตอนนี้ในที่สุดก็มีคนยกย่องหลิงฮัน ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเอาชนะได้แต่อย่างน้อยก็แข็งแกร่งพอที่จะตอบโต้กู่ต้าวอี้ ราชาอันหนึ่งหนึ่งแห่งยุค
กู่ต้าวอี้เช็ดเลือดที่แก้ม ใบหน้าของเขาค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ตั้งแต่ถูกขับไล่ออกมาจากดินแดนแห่งเซียนและมีชีวิตมาตลอดเก้าชาติภพ ในทุกภพเขาล้วนแต่สามารถบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งขั้นสูงสุด ผ่านมานานเพียงใดแล้วที่เขาถูกทำให้ได้รับบาดแผล?
เขาที่มีแก่นกำเนิดนิรันดร์ในชีวิตที่สิบและอำนาจกฎเกณฑ์ของดินแดนแห่งเซียนนั้นสมควรจะมีพลังที่ไร้เทียมทานที่สุดในระดับพลังเดียวกันแท้ๆ ต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียนเขาก็มั่นใจว่าอัจฉริยะที่สามารถทัดเทียมเขาได้คงมีเพียงหยิบมือ
แต่ในสถานที่ล้าหลังจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้กลับมีคนที่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ นอกจากนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่ได้ขัดเกลาพลังบ่มเพาะระดับที่สามให้บรรลุขั้นสมบูรณ์เสียด้วย ตามหลักแล้วทั้งใจแง่ของพลังและอำนาจแห่งกฎเกณฑ์หลิงฮันต้องด้อยกว่าเขา
กู่ต้าวอี้จ้องมองหลิงฮันและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทุกๆชาติภพของข้าล้วนแต่ฝึกฝนทักษะบ่มเพาะที่ไร้เทียมทาน เจ้าคิดว่าจะสามารถป้องกันพวกมันได้ทั้งหมด?”
“งั้นก็ให้ข้าลองหน่อย!” หลิงฮันหัวเราะ เขาสะบัดมือปลดปล่อยปราณดาบโจมตีเข้าใส่กู่ต้าวอี้
เขาหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อกู่ต้าวอี้ไม่ใช่อาวุธเขาก็จะไม่ใช้ดาบอสูรนิรันดร์เช่นกัน
“บัญญัติเทพกระบี่!” กลิ่นอายของกู่ต้าวอี้ราวกับว่าตัวเขาได้กลายเป็นกระบี่ไร้เทียมทานที่สามารถฟาดฟันได้ทุกสรรพสิ่ง
หลิงฮันเผยรอยยิ้มแม้ว่าภายในใจจะตื่นตัวก็ตาม
จักรพรรดินีกับอู่เมียนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งเซียนเช่นกัน ทั้งสองมีสายเลือดของบรรพบุรุษที่ถูกขับไล่ออกมาจากดินแดนแห่งเซียนไหลเวียนอยู่ในร่างกายทำให้สามารถใช้ทักษะของดินแดนแห่งเซียนได้
เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับกู่ต้าวอี้ ทั้งสองคนยังห่างชั้นนัก
อีกฝ่ายเป็นจอมยุทธจากดินแดนแห่งเซียนตัวเป็นๆ ถึงแม้ตอนนี้พลังบ่มเพาะจะถูกลดลงมาแต่รากฐานพลังบ่มเพาะของเขานั้นมั่นคงกว่าใครๆ
ทักษะที่เขาปลดปล่อยออกมาจึงไม่อาจดูถูกได้เลย
ด้านบนศีรษะของกู่ต้าวอี้ มีเงากระบี่ไร้เทียมทานปรากฏออกมา กระบี่นี้มีความยาวถึงหมื่นฟุตและมีสีดำสนิท เพียงแค่จ้องมองก็รู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณจะถูกดูดออกไปจากร่าง
“จงหายไปตราบชั่วนิรันดร์!” กู่ต้าวอี้ชี้นิ้วมายังหลิงฮัน ‘ฉึบ’ กระบี่เหนือศีรษะของเขาสั้นบั้นโจมตี อำนาจของมันราวกับเป็นตัวแทนแห่งสวรรค์และปฐพีที่ไม่มีอะไรหยุดยั้งมันได้
หลิงฮันใช้งานกาลเวลาแปรผันพันปี แต่ในเมื่อทั้งการโจมตีของกับกู่ต้าวอี้เป็นทักษะระดับนิรันดร์ทั้งคู่ กาลเวลาแปรผันพันปีจึงไม่สามารถสลายการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์ พลังทำลายของกระบี่ถูกลดลงไปสามในสิบส่วนเท่านั้น
‘ตูม’ กระบี่ไร้เทียมทานที่ขยายออกจนมีความยาวเจ็ดถึงแปดพันฟุตทะลวงใส่ร่างของหลิงฮันก่อนจะหายไป
“ฮ่าๆ!” กู่ต้าวอี้หัวเราะ หากถูกจู่โจมด้วยบัญญัติเทพกระบี่โจมตีใส่ วิญญาณในร่างก็จะถูกทำลายไม่เหลือแม้แต่เศษซาก จากนี้ไปใต้สวรรค์นี้จะไม่มีคนชื่อหลิงฮันอยู่อีกต่อไป
แต่เขาก็เสียใจอยู่เล็กน้อย ในความคิดของเขานั้น หลิงฮันสมควรเป็นคนของดินแดนแห่งเซียนเหมือนกัน ต่อให้ไม่ใช่จอมยุทธของดินแดนแห่งเซียนโดยตรงอย่างน้อยอีกฝ่ายก็น่าจะเป็นลูกหลานของจอมยุทธจากดินแดนแห่งเซียนที่ถูกขับไล่ออกมา
หากเป็นไปได้เขาก็ต้องโน้มน้าวให้หลิงฮันติดตามเขาเพื่อกลายเป็นสักขีพยานในตอนที่เขาได้กลับไปยังดินแดนแห่งเซียนในอนาคต
“กระบี่เมื่อครู่เป็นการโจมตีทางวิญญาณ แถมยังเป็นทักษะที่ทรงพลังอย่างมาก ซึ่งตามปกติแล้วทักษะโจมตีวิญญาณทั่วไปไม่สมควรมองเห็นเป็นรูปธรรมแบบนั้น” ปรมาจารย์คนหนึ่งกล่าวอธิบาย เขาเป็นตัวแทนของสำนักละอองดาราและเป็นจอมยุทธระดับวารีนิรันดร์ที่แข็งแกร่ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็แสดงสีหน้าตกตะลึง ต้องรู้ก่อนว่าแม้แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จอมยุทธแทบจะทุกคนนั้นจะขัดเกลาพลังป้องกันเพียงแค่ในส่วนกายหยาบ ความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับระดับพลังบ่มเพาะที่สูงขึ้นเท่านั้น ไม่ค่อยมีใครสนใจขัดเกลาวิญญาณโดยตรงเสียเท่าไหร่
กล่าวคือหากต้องปะทะกับกู่ต้าวอี้ บางทีต่อให้พวกเขานับร้อยร่วมมือกันก็อาจจะถูกทักษะกระบี่เมื่อครู่ทำลายดวงวิญญาณจนเหลือทิ้งไว้เพียงกายหยาบที่ว่างเปล่า
“เห้อ หมอนั่นเป็นสุดยอดอัจฉริยะแท้ๆ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะต้องมาตายแบบนี้”
“ราชาอันดับหนึ่งมีเพียงคนเดียวก็พอ!”
“ช่างน่าเสียดาย”
“เดี๋ยวก่อน! ถ้าหลิงฮันตายไปแล้วจริงๆ ไม่ใช่ว่าแผ่นหินของเขาจะถูกถูกดูดไปหาแผ่นหินของกู่ต้าวอี้หรอกรึ?” ใครบางคนอุทาน
ฮึ่ม!
ทุกคนดวงตาเปิดกว้างก่อนจะจ้องมองไปยังแผ่นหินที่หลิงฮันเคยยืนอยู่
อะไรกัน อย่าบอกนะว่าหมอนั่นยังไม่ตาย?
ตอนที่ 1451
ท่ามกลางสายตาที่มองมาของทุกคน หลิงฮันเผยรอยยิ้มและกล่าว “บัญญัติเทพกระบี่? น่าสนใจไม่เลว ทักษะของเจ้าพอจะทำให้ข้ารู้สึกมึนเล็กน้อย”
พรวด!
ทุกคนสำลักออกมาด้วยความตะลึง
ถึงแม้จอมยุทธที่ฝีกฝนทักษะโจมตีทางวิญญาณจะมีอยู่น้อย แต่ก็ใช้ว่าทุกคนจะไม่รับรู้ถึงความน่ากลัวของทักษะประเภทนั้น กระบี่ไร้เทียมทานของกู่ต้าวอี้นั้นเพียงแค่จ้องมองจากระยะที่ห่างไกล จิตวิญญาณของพวกเขาก็ยังสั่นสะท้าน
แต่ทั้งๆที่ถูกกระบี่นั่นจู่โจมเข้าไปตรงๆ หลิงฮันเพียงแค่มึนเล็กน้อยเท่านั้น?
ไม่เพียงกายหยาบอย่างเดียวที่แข็งแกร่งดั่งสัตว์ประหลาด แต่แม้กระทั่งจิตวิญญาณก็เช่นกัน!
แม้กระทั่งสุดยอดราชาอย่างหลงเซียงเยว่กับซื่อเฉินเฟิงก็ยังเปลี่ยนสีหน้า พวกเขาไม่ต้องการปะทะกับคู่ต่อสู้ที่ฆ่าไม่ตายอย่างหลิงฮัน หากต้องสู้กันจริงๆเป้าหมายของพวกเขาคงไม่ใช่ตัวหลิงฮันแต่เป็นแผ่นหินใต้เท้า
กู่ต้าวอี้หัวเราะลั่นก่อนจะมองไปยังหลิงฮันอยู่พักหนึ่งและกล่าว “เช่นนั้นก็ลองรับทักษะจากชาติภพที่สี่ของข้าดู เพลิงผลาญสวรรค์!”
‘ครืนน’ ร่างของเขาปลดปล่อยคลื่นเปลวเพลิงอันไร้ขีดกำจัดออกมาราวกับมหาสมุทร
เมื่อสัมผัสได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของเปลวเพลิงนี้ แม้แต่ซื่อเฉินเฟิง เทียนเซี่ยตี้เอ้อ หงหม่าและราชาคนอื่นๆก็ล้มเลิกความคิดที่จะปะทะกับกู่ต้าวอี้ตรงๆ พวกเขาต้องโจมตีไปยังแผ่นหินของอีกฝ่ายเพื่อเอาชนะ
ท่ามกลางเปลวทะเลเพลิง หัวของสัตว์ตนหนึ่งได้ปรากฏออกมาจากการควบแน่นของรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ มันคือสัตว์อสูรแปลกประหลาดที่หลิงฮันไม่เคยเห็นมาก่อน
ทักษะของกู่ต้าวอี้คือทักษะระดับนิรันดร์ สัตว์อสูรตนนี้ก็อาจจะมีรูปแบบมาจากสัตว์อสูรในดินแดนแห่งเซียน
หลิงฮันเผยรอยยิ้ม ตัวเขานั้นฝึกฝนหลักการกำเนิดใหม่จากเถ้าถ่านด้วยเพลิงนิรันดร์ และเพลิงนิรันดร์นั่นก็ไม่ใช่เพลิงนิรันดร์ทั่วไปแต่เป็นเพลิงของวิหคเพลิงอมตะ
แม้เขาจะไม่สามารถสลายเพลิงของกู่ต้าวอี้ได้ แต่การป้องกันตนเองก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เขาปลดปล่อยปราณก่อเกิดออกมาคุ้มกันแผ่นหินใต้เท้าเอาไว้และพุ่งจู่โจมกู่ต้าวอี้
บ้าไปแล้ว!
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างตกตะลึงอ้าปากค้าง เปลวเพลิงนั่นแค่จ้องมองพวกเขาก็ขนลุกแล้ว หลิงฮันโง่รึเปล่าที่บุกเข้าไปในเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นด้วยตัวเอง?
“ไม่สิ แต่เขาดูเหมือนมีความมั่นใจอย่างมาก!”
“พระเจ้า เปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวนั่นเหตุใดถึงดูเหมือนจะไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย!”
“ไม่เพียงแค่นั้น แต่เปลวเพลิงยังมีท่าทีเป็นมิตรกับเขาอีกด้วย”
“สามารถทำให้เพลิงที่ศัตรูปลดปล่อยออกมาเป็นมิตรได้ หมอนั่นต้องเป็นสัตว์ประหลาดประเภทใดกัน!”
กู่ต้าวอี้เองก็ตกตะลึงจนดวงตาแทบถลนเช่นกัน
หลิงฮันคำรามพร้อมกับปล่อยหมัดออกไป
เขาไม่ได้มีทักษะมากมายเหมือนกับกู่ต้าวอี้ก็จริง แต่หมัดที่เขาชกออกไปก็ไม่ใช่หมัดธรรมดา หมัดของเขาประทับเอาไว้ด้วยเจตจำนงดาบมากมายนับไม่ถ้วน
ตัวข้าคือดาบ!
หลักการนี้คือสิ่งที่หลิงฮันเรียนรู้มาจากบัญญัติเทพกระบี่ วิถีดาบไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่รูปร่างของดาบ พลังของมันสามารถใช้ออกมาได้หลายรูปแบบอย่างเช่นอำนาจแห่งกฏเกณฑ์
ความเข้าใจในวิถีดาบของเขาค่อยๆมั่นคงขึ้นและเกิดการเปลี่ยนแปลง
คราวนี้กู่ต้าวอี้ตกตะลึงอย่างแท้จริง ในระหว่างต่อสู้เจ้ายังสามารถรู้แจ้งได้?
เจ้าหนูนี่ไม่มีพรสวรรค์สูงทัดเทียมเขา ไม่ได้มีศักยภาพโดยกำเนิดทัดเทียมเขา กล่าวได้ว่าทุกๆอย่างแทบจะด้อยกว่าเขาทั้งหมด
แต่วิถีวรยุทธนั้นมีความเป็นไปได้อันไร้ที่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่สิ้นชีพเสียก่อนอัจฉริยะเช่นเขาย่อมสามารถขัดเกลาพลังบ่มเพาะได้จนถึงขีดจำกัด แต่สิ่งเดียวที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงคือความสามารถในการหยั่งรู้
กล่าวคืออัจฉริยะเช่นเขานั้นมีจุดเริ่มต้นที่รวดเร็วทำให้สามารถขึ้นนำทิ้งคนอื่นไว้ด้านหลัง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็ต้องขึ้นไปถึงขีดจำกัดของตัวเอง ซึ่งขีดจำกัดนี้ไม่สามารถทำลายได้ด้วยพรสวรรค์หรือศักยะภาพแต่กำเนิด แต่เป็นการหยั่งรู้
คนที่มีความสามารถในการรับรู้และทำความเข้าใจอันล้ำเลิศต่างหากที่จะสามารถทำลายขีดจำกัดได้!
คนประเภทนี้… ไม่อาจปล่อยให้มีชีวิตอยู่!
กู่ต้าวอี้ปลดปล่อยจิตสังหารออกมารุนแรงยิ่งกว่าเดิม เส้นทางสู่จุดสูงของเขาต้องไม่มีผู้ใดมาเป็นคู่แข่งหรือแย่งยิ่งไปเด็ดขาด
ฆ่า!
“ทักษะพิภพที่ห้า ไม้เท้าพลิกสวรรค์!” กู่ต้าวอี้คำราม เขาควบแน่นปราณก่อเกิดเป็นไม้เท้าสีทองในมือพร้อมกับจู่โจมเข้าใส่หลิงฮัน เปลวเพลิงที่ถูกปลดปล่อยออกมาก่อนหน้านี้สลายไปทันทีเนื่องจากเขาไม่สามารถโคจรทักษะถึงสองทักษะพร้อมกันได้
‘ครืนน’ อำนาจอันทรงพลังของไม้ทำส่งผลให้ท้องฟ้าพังทลาย!
จักรพรรดิพิรุณอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคันไม้คันมือ เขาอยากจะเข้าไปต่อสู้แทนที่หลิงฮันเหลือเกิน
หลิงฮันกล่าวอย่างหยิ่งยโส “ต้องแบบนี้ถึงจะเรียกว่าการต่อสู้!” เขายกมือขึ้นควบแน่นปราณก่อเกิดให้กลายเป็นดาบและตอบโต้ไม้เท้าพลิกสวรรค์
ตูม!
ดาบกับไม้เท้าที่เข้าปะทะกันก่อให้เกิดคลื่นกระแทกที่รุนแรง เส้นผมของหลิงฮันกับกู่ต้าวอี้ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิงแถมเสื้อผ้าก็ขาดแหว่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีฝ่ายไหนที่ยอมล่าถอยแม้แต่ก้าวเดียว
แม้กู่ต้าวอี้จะเป็นราชาระดับสาม แต่ด้วยพลังบ่มเพาะที่ถูกลดลงมาทำให้พลังต่อสู้ของเขาไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าหลิงฮัน การต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด
ตุบ! ตุบ!
ทั้งสองคนกระโดดถอยหลังกลับมายังแผ่นหินพร้อมกัน ตอนนี้แผ่นหินของพวกเขาตาละคนเริ่มปรากฏรอยร้าวขึ้นแล้ว หากทั้งสองยังคงต่อสู้กันต่อไปโดยที่ตัดสินผู้ชนะไม่ได้ในระยะเวลาหนึ่ง พวกเขาก็ต้องตกลงสู้ล่างหุบเขาไปด้วยกัน
แต่ก็อย่างที่เห็น หากทั้งสองยังคงสู้กันแบบนี้ต่อไปคงไม่สามารถตัดสินผู้แพ้ชนะได้ในเวลาสั้นๆแน่นอน
หลิงฮันหัวเราะ เขาสะบัดมือฟาดฟันคลื่นดาบที่รุนแรงราวกับคลื่นมหาสมุทรเข้าใส่กู่ต้าวอี้
แววตาของกู่ต้าวอี้เปิดกว้างพร้อมกับกล่าว “คิดวี่มเพียงเจ้าคนเดียวที่ใช้ดาบเป็น?” ดาบสองเล่มปรากฏขึ้นในมือของเขาและพุ่งเข้าหาหลิงฮัน
ทักษะชาติภพที่หก ‘ดาบบุปผาลอยล่อง!’
ตอนที่ 1452
“พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นทักษะไหนข้าก็ไม่สามารถรับมือได้เลยแม้แต่ทักษะเดียว”
“สมกับเป็นราชาที่แท้จริง ในระดับเดียวกันนั้นเขาคือสามารถบดขยี้ศัตรูได้อย่างราบคาบ”
“แต่ตอนนี้ข้าเริ่มมีความรู้สึกว่าหลิงฮันอาจจะสามารถโค่นล้มกู่ต้าวอี้ลงได้จริงๆ”
“เรื่องเอาชนะได้หรือไม่นั้นยากที่จะพูด แต่เป็นไปได้ว่าทั้งสองอาจจะเสมอกัน”
“ข้ายังเชื่อว่ากู่ต้าวอี้แข็งแกร่งกว่าอยู่ดี จากที่เห็นก็รู้แล้วว่าเขาฝึกฝนทักษะที่ทรงพลังหลายทักษะ ในขณะที่หลิงฮันใช้เพียงวิถีดาบอย่างเดียว”
“เจ้าไม่รู้รึไงว่าบางสิ่งมากไปก็ไม่ดี? หากขัดเกลาวิถีวรยุทธศาสตร์หนึ่งไปจนถึงจุดสูงสุดได้ เหตุใดจะต้องมัวเสียเวลาไปฝึกฝนทักษะอื่น? ในกรณีของหลิงฮันไม่ว่าศัตรูจะเป็นใครเขาก็สามารถต่อกรได้ด้วยวิถีดาบที่ทรงพลัง”
ทุกคนเริ่มถกเถียงกันในขณะที่ด้านบนท้องฟ้าหลิงฮันกำลังใช้ทักษะดาบฟ้าคำรามปะทะกับดาบบุปผาลอยล่องของกู่ต้าวอี้
ดาบบุปผาลอยล่องเป็นทักษะที่สร้างบุปปาอันงดงามจำนวนมากขึ้นมา แต่ในความงดงามที่ว่านั้นได้มีภัยอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวซ่อนอยู่ เมื่อบุปผาเบ่งบานคลื่นดาบก็จะพุ่งออกมาโจมตีศัตรูอย่างรุนแรง
หลิงฮันเค้นเสียงพร้อมกับสะบั้นดาบฟ้าคำรามกวาดไปทั่วท้องฟ้า
‘ตูม ตูม ตูม’ บุปผาที่เบ่งบานแหลกสลายไม่เหลือซาก ในการปะทะของทักษะดาบครั้งนี้ดาบฟ้าคำรามเป็นฝ่ายเหนือชั้นกว่า
ใบหน้าของกู่ต้าวอี้เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
‘ครืนน’ อำนาจสายฟ้านับไม่ถ้วนโหมกระหน่ำราวกับคลื่นมหาสมุทรเข้าใส่ตัวเขา
กู่ต้าวอี้ไม่มีทางเลือกนอกจากป้องกันการโจมตีที่พุ่งเข้ามา
เมื่อคลื่นสายฟ้าปะทะเข้าเป้าหมายจนสลายไป ร่างของกู่ต้าวอี้ก็ยังคงยืนอยู่อย่างองอาจ แต่ถึงอย่างนั้น ผมเผ้าของเขากลับยุ่งเหยิง เสื้อผ้าขาดรุ่ย สภาพของเขาในตอนนี้ดูไม่ได้อย่างมาก
“ฮึ่ม!”
“การปะทะเมื่อครู่ หลิงฮันเป็นฝ่ายได้เปรียบ!”
“ไม่เพียงได้เปรียบอย่างเดียว แต่เขายังเหนือชั้นกว่าจนถึงขั้นทำลายทักษะดาบของกู่ต้าวอี้ได้อย่างสมบูรณ์”
ทุกคนยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนมากขึ้นไปอีก แม้พวกเขาจะมีพลังบ่มเพาะระดับดาราเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกันแล้วพวกเขาด้อยกว่าหลิงฮันกับกู่ต้าวอี้มากขนาดไหนกันแน่?
กู่ต้าวอี้เค้นเสียงไม่สบอารมณ์ เขาคือราชาที่แท้จริงและไม่อาจถูกทำให้ตกอยู่ในสภาพจนตรอก เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ที่จริงการที่วิถีดาบของหลิงฮันทรงพลังกว่าเขานั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังตกตะลึงมากเช่นกัน
ต้องรู้ว่าทักษะดาบบุปผาลอยล่องนั้นเป็นทักษะที่อ้างอิงจากอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนแห่งเซียน แต่การที่ทักษะนี้พ่ายแพ้ให้กับหลิงฮันนั้นแสดงให้เห็นว่าความเชี่ยวชาญในวิถีดาบของหลิงฮันสูงสุดขนาดไหน
ถ้าหากกู่ต้าวอี้รู้ว่าทักษะดาบฟ้าคำรามคือทักษะที่หลิงฮันคิดค้นเองล่ะก็ เขาต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างแน่นอน
การคิดค้นทักษะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่การที่สามารถขัดเกลาทักษะของตนเองจนเหนือชั้นกว่าทักษะดาบบุปผาลอยล่องเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เกินไป! ในดินแดนแห่งเซียนเรื่องเช่นนี้แม้แต่ปรมาจารย์ก็ไม่สามารถทำได้
จิตสังหารของกู่ต้าวอี้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม ในตอนเขาเขามองหลิงฮันเป็นเพียงหมดปลวกที่อ่อนแอ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลายเป็นเสี้ยนหนามที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกำจัดทิ้งให้ได้
สวรรค์และปฐพีช่างเข้มงวดนัก เขามีชีวิตอยู่มาเก้าชาติภพเพื่อหล่อหลอมแก่นกำเนิดนิรันดร์ขึ้นมา แต่เหตุใดเขาถึงต้องมาพบเจอและสู้กันหลิงฮันในชาติภพนี้ด้วย
พวกเขาสองคน… มีเพียงคนเดียวที่จะเป็นผู้ชนะ ผู้แพ้จะถูกสวรรค์และปฐพีทอดทิ้ง วาสนามีเพียงผู้ชนะเท่านั้นก็จะได้รับ
ดังนั้นเขาต้องเป็นผู้ชนะ!
ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองก็ต้องปะทะกันจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร่วงหล่น
“ทักษะชาติภพที่เจ็ด เก้าขาตัดวายุ!”
กู่ต้าวอี้กล่าวและกวัดแกว่งขา ‘พรึบ พรึบ พรึบ’ คมมีดวายุนับไม่ถ้วนถูกควบแน่นด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้าใส่หลิงฮัน
หลิงฮันยังคงตอบโต้ด้วยทักษะดาบฟ้าคำราม เมื่อใช้ควบคู่กัAnchorบกาลเวลาแปรผันพันปี ทักษะนี้จึงกลายเป็นทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ยิ่งเขาเข้าใจในเต๋าแห่งสวรรค์และปฐพีมากขึ้นเท่าไหร่ อำนาจของทักษะดาบนี้ก็จะยิ่งทรงพลังกว่าเดิม
ว่าแต่.. ทำไมไม่ผสานกาลเวลาแปรผันพันปีรวมเข้ากับทักษะดาบฟ้าคำรามไปเลยล่ะ? หลิงฮันเกิดความคิดนี้ขึ้นในหัว ทักษะดาบฟ้าคำรามที่รวมกับกาลเวลาแปรผันพันปี บางทีไม่เพียงทักษะดาบนี้จะมีพลังทำลายที่รุนแรงหรือสามารถสลายการโจมตีของศัตรูได้ แต่ศัตรูที่ถูกจู่โจมอาจจะถูกเร่งอายุให้เดินเร็วขึ้นไปพร้อมๆกัน
ในขณะที่คิด ร่างของเขาก็ส่องประกายแสงสว่างทันที
“สะ แสงแห่งเต๋า!” ปรมาจารย์คนหนึ่งของสำนักละอองดาราอุทานด้วยสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นผีและพึมพำ “มีเพียงการสร้างทักษะด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะได้รับการเหลียวแลจากสวรรค์และปฐพี! เหลือเชื่อ เช่นนั้นทักษะดาบนั่นก็เป็นทักษะดาบที่เขาคิดค้นขึ้นเอง? ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีทางที่จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้”
แสงแห่งเต๋า… สร้างทักษะดาบเอง… ได้รับการเหลียวแลจากสวรรค์และปฐพี?
พระเจ้า!
เหล่าคนที่ได้ยินเสียงพึมพำของปรมาจารย์ผู้นั้นตกตะลึงจนไร้คำพูด พวกเขารู้สึกตะลึงจนเหงื่อไหลท่วมไปทั่วทั้งตัว
ต้องเป็นอัจฉริยะขนาดไหนกันถึงจะทำเช่นนั้นได้?
หลิงฮันเริ่มพยายามผสานกาลเวลาแปรผันพันปีรวมเข้ากับทักษะดาบฟ้าคำราม เมื่อดาบถูกสะบั้นออกไป คลื่นดาบได้ที่อำนาจของกาลเวลาแปรผันพันปีอัดแน่นรวมอยู่ด้วย แม้อำนาจของกาลเวลาแปรผันพันปีในคลื่นดาบจะยังเบาบางอยู่ แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
การโจมตีของกู่ต้าวอี้ไร้ผลอีกครั้ง
อันที่จริงต่อให้กู่ต้าวอี้มีทักษะเป็นร้อย แต่หากใช้ได้ผลแม้แต่ทักษะเดียว เขาจะมีหนึ่งทักษะหรือร้อยทักษะก็ไม่ต่างกัน
พลังของทักษะต่างหากคือปัจจัยที่สำคัญที่สุด
“ทักษะชาติภพที่แปด ร้อยภูติผีปกคลุมนภา!”
‘ครืนนนน’ ร่างกายของกู่ต้าวอี้ปลดปล่อยความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด ท่ามกลางความมืดมิดเหล่าภูติผีจำนวนมากปรากฏตัวออกมา
ภูตผีทั้งหลายมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวและชั่วร้าย เพียงแค่ชำเลืองมองก็สามารถทำผู้คนขนลุกหวาดกลัว
“นะ นี่มันอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพ!”
“ออร่าของภูตผีเหล่านั้นทั้งชั่วร้ายและเต็มไปด้วยอำนาจแห่งการทำลายล้าง!”
“เหตุใดกู่ต้าวอี้ถึงใช้อำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนใต้พิภพได้?”
ตอนที่ 1453
กู่ต้าวอี้นั้นมีพรสวรรค์ล้ำเลิศและเป็นบุตรรักของสวรรค์ คนเช่นนี้จะเป็นสิ่งมีชีวิตใต้พิภพงั้นรึ?
เป็นไปไม่ได้!
หากไม่ใช่สิ่งมีชีวิตใต้พิภพแต่ทำไมถึงสามารถใช้ทักษะของดินแดนใต้พิภพได้? หากฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนไปพร้อมกันย่อมเกิดความขัดแย้งในตัวเอง อำนาจนาจให้กฎเกณฑ์ของฝั่งหนึ่งจะปฏิเสธอีกฝั่งหนึ่ง
ทุกคนตกตะลึง ทักษะที่กู่ต้าวอี้ใช้ออกมาทั้งหลายก่อนหน้านี้นั้นเป็นทักษะที่แฝงไว้ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แน่นอน
หรือก็คือเขาสามารถขัดเกลาอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนได้พร้อมกัน?
ฮึ่ม!
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมชายคนที่คือเป็นราชาที่แท้จริง ในจักรวาลแห่งนี้ยังมีใครอื่นอีกรึเปล่าที่สามารถฝึกฝนอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดนได้พร้อมกัน?
หลิงฮันไม่แปลกใจอะไรนัก เพื่อทำลายช่องว่างมิติเข้าไปยังดินแดนแห่งเซียน ปัจจัยหลักที่จำเป็นคือต้องเชี่ยวชาญเอาอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองดินแดน ในเมื่อกู่ต้าวอี้มาจากดินแดนแห่งเซียนย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะมีทักษะยุทธที่มีอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ความมืดปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ท่ามกลางความมืดมิดนี้มีภูตผีปรากฏอยู่หนึ่งร้อยตัว
หลิงฮันเค้นเสียงและกล่าว “ภูติร้ายสมควรถูกปัดเป่าให้สิ้น!”
เขาปลดปล่อยคลื่นสายฟ้าออกไปบดขยี้เหล่าภูตผีเละเป็นเศษซาก
แม้การโจมตีของจะดูเหมือนทรงพลังจนสามารถทำลายทักษะของกู่ต้าวอี้ได้อย่างง่ายดาย แต่ที่จริงไม่ใช่แบบนั้น
ที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หากนำทักษะของดินแดนใต้พิภพมาใช้ที่นี่ไม่เพียงแค่จะไม่สามารถชี้นำพลังจากสวรรค์และปฐพีได้แต่อำนาจของทักษะยังจะถูกทำให้อ่อนแอลงด้วย ยิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายฟ้าที่มีอำนาจชำระล้างด้วยแล้ว ทักษะนภูตผีนี้จึงกลายเป็นไร้ประโยชน์
อะไรกัน!
ปากของทุกคนกระตุกไปมา แม้กู่ต้าวอี้จะมีทักษะมากมายแต่ก็ไม่มีทักษะใดเลยที่ใช้ได้ผล หลิงฮันเป็นฝ่ายเอาเหนือกว่าครั้งแล้วครั้งเล่า
“ทักษะชาติภพที่เก้า แปดทวารถ่วงสวรรค์!”
กู่ต้าวอี้เปลี่ยนทักษะอีกครั้ง เขาชี้นิ้วมือขวาออกไป ‘ครืนน’ ประตูทั้งแปดปรากฏขึ้นรอบร่างกายหลิงฮัน ประตูแต่ละบานส่องประกายแสงและปลดปล่อยออร่าที่แตกต่างกันออกไป
“บดขยี้!”
กู่ต้าวอี้พลิกฝ่ามือ ประตูทั้งแปดบานเปิดออกพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารไร้ขีดจำกัดเข้าบดร่างของหลิงฮัน
รูปแบบอาคม?
หลิงฮันประหลาดใจ กู่ต้าวอี้ช่างเชี่ยวชาญในศาสตร์มากมายจริงๆ แม้กระทั่งความเข้าใจในรูปแบบอาคมของอีกฝ่ายก็ยังอยู่ในระดับสูง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่หวาดกลัว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ กู่ต้าวอี้คงไม่โง่ใช้ทักษะที่เปล่าประโยชน์ออกมาแน่นอน
ท่าทีของเขาแน่นิ่งราวกับเป็นดาบที่มั่นคง
“ทักษะชาติภพที่หนึ่ง โลกาจรัสแสง!” กู่ต้าวอี้ไม่สนใจท่าทางของหลิงฮัน ทั่วทั้งร่างของเขาส่องประกายแสงอันรุ่งโรจน์ที่สว่างไสวยิ่งกว่าดวงตะวันนับร้อยเท่า ทันทีที่เขาผลักฝ่ามือออกไป แสงจากฝ่ามือก็ราวกับจะสามารถชำระล้างได้ทุกสิ่ง
นี่คือทักษะยุทธในชาติภพแรกที่เขาฝึกฝนมายาวนานที่สุดตั้งแต่ในช่วงที่ยังอยู่ในดินแดนแห่งเซียน เพราะงั้นพลังอำนาจของทักษะนี้จึงทรงพลังยิ่งกว่าทักษะทั้งแปดก่อนหน้านี้ แม้แต่หลิงฮันเมื่อเห็นทักษะนี้ก็ต้องขมวดคิ้ว
หลิงฮันคำรามสะบั้นดาบตอบโต้ฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาAnchorกาลเวลาแปรผันพันปีผสานเข้ากับทักษะดาบฟ้าคำรามแทบจะสมบูรณ์แล้ว
การต่อสู้จริงคือวิธีขัดเกลาทักษะที่ดีที่สุด หากไม่มีแรงกดดันจากกู่ต้าวอี้ แม้จะมีต้นสังสารวัฏหลิงฮันก็อาจจะต้องใช้เวลาเกือบร้อยปีในการขัดเกลาทักษะให้ถึงจุดนี้
ตูม!
หลังจากการปะทะทั้งหลิงฮันกับกู่ต้าวอี้ก็ถูกแรงกระแทกพลักกระเด็นถอยหลังพร้อมกัน
กู่ต้าวอี้ยิ้ม “เจ้าคงสงสัยสินะว่าทั้งๆที่ทักษะเหล่านี้ใช้ไม่ได้ผล เหตุใดข้าถึงยังคงใช้มันออกมา?”
“เจ้าบ้ารึเปล่า สิ่งที่เจ้ากำลังคิดข้าจะไปตรัสรู้ด้วยได้อย่างไร” หลิงฮันยิ้ม
กู่ต้าวอี้เกรี้ยวกราดทันที
ปากของเขากระตุกด้วยความโกรธ “นั่นเพราะว่ามันจำเป็นสำหรับการปลดปล่อยทักษะชาติภพที่สอบของข้า!” เขากล่าวด้วยเสียงจากสัมผัสสวรรค์เนื่องจากไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ถึงไพ่ลับที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
“ทักษะชาติภพที่สิบ เก้าหวนคืนเป็นหนึ่ง!”
ร่างของกู่ต้าวอี้สั่นสะท้านและมีร่างของเขาอีกคนก็แยกออกมาจากร่างต้น ต่อจากนั้นก็ยังมีกู่ต้าวอี้คนที่สอง คนที่สาม คนที่สี่จนถึงคนที่เก้าแยกออกมาติดต่อกัน เมื่อรวมกันร่างต้นแล้วกู่ต้าวอี้มีด้วยกันทั้งหมดสิบคน
โชคดีที่ทั้งสิบคนมีพลังบ่มเพาะอ้างอิงมาจากกู่ต้าวอี้ในปัจจุบัน ไม่เช่นนั้นหากทั้งเก้ามีพลังระดับสร้างสรรพสิ่งเหมือนเก้าชาติภพก่อนใครจะสามารถหยุดยั้งเขาได้?
แต่เท่านี้ก็นับว่าน่าสะพรึงกลัวมากพอแล้ว มีกู่ต้าวอี้เก้าคนย่อมหมายถึงอีกฝ่ายสามารถใช้ทักษะยุทธทั้งเก้าทักษะออกมาได้พร้อมกัน!
ทุกคนที่อยู่เบื้องล่างตกตะลึงจนดวงตาแข็งข้าง กู่ต้าวอี้สามารถแยกร่างออกมาเก้าร่างเพื่อช่วยสู้ได้ด้วย?
แล้วแบบนี้ใครจะเอาชนะเข้าได้!
“ตาย!” กู่ต้าวอี้คำรามและจู่โจมพร้อมกันกับร่างอีกเก้าร่าง ทักษะทั้งหมดที่เขาเคยใช้ก่อนหน้านี้ถูกใช้ออกและจู่โจมใส่หลิงฮันทั้งหมด
หลงเซียงเยว่ ซื่อเฉินเฟิง หงหม่า เฉิงเสี่ยวฟานและเทียนเซี่ยตี้เอ้อต่างขมวดคิ้วด้วยความเคร่งเครียด มีเพียงจักรพรรดิพิรุณคนเดียวเท่านั้นที่เผยสีหน้าตื่นเต้น
ร่างของจักรพรรดินีสั่นสะท้าน สิ่งที่อีกฝ่ายใช้คือหลักการของทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญไม่ผิดแน่ เหมือนกับนางที่สามารถสร้างร่างแยกทั้งเก้าร่างได้ แม้ในกรณีร่างแยกของกู่ต้าวอี้นั้นดูจะแตกต่างกับของนาง แต่หากนำมารวมเข้าด้วยกันพลังต่อสู้ของนางจะทรงพลังยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่
ถูกทักษะมากมายจู่โจมเช่นนี้หลิงฮันจะรับมืออย่างไร?
หากเป็นหนึ่งหรือสองหลิงฮันอาจจะพอต้านทานไหว แต่นี่มีถึงเก้า ไม่ว่าคิดอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้
หลิงฮันเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดาบอสูรนิรันดร์ปรากฏขึ้นมาในมือขวาของเขาและสะบั้นเข้าใส่กู่ต้าวอี้
กู่ต้าวอี้ไม่หวาดตัวแม้แต่น้อย ด้วยตัวเขาที่มีถึงสิบร่าง ในระดับพลังบ่มเพาะเดียวกันนี้ไม่มีใครโค่นล้มเขาได้!
ร่างของเขาตอบโต้โดยการคว้ามือไปยังดาบอสูรนิรันดร์ แต่เขาก็ต้องชะงักทันทีเมื่อพบว่าจู่ๆดาบอสูรนิรันดร์ก็เบี่ยงลง เป้าหมายของมันไม่ใช่เขาแต่เป็นช่วงบริเวณใต้เท้าหรือก็คือแผ่นหินของเขา
ฮึ่ม!
กู่ต้าวอี้คำรามและรีบโคจรปราณก่อเกิดคุ้มกันแผ่นหินเอาไว้
ดาบอสูรนิรันดร์สั่นไหวพร้อมกับปลดปล่อยแสงอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา
ดาบเล่มนี้คือดาบที่จะเป็นอุปกรณ์ระดับนิรันดร์ในอนาคต ไม่มีสิ่งใดที่มันไม่สามารถฟันไม่เข้า ‘เพล๊ง’ โล่พลังปราณของกู่ต้าวอี้แหลกสลายในพริบตา ‘ตูมม’ อำนาจอันท่วมท้นของดาบอสูรนิรันดร์บดขยี้แผ่นหินแหลกออกเป็นชิ้นๆ
“ไอ้…ตัว…บัด…ซบ!” กู่ต้าวอี้คำรามด้วยความโกรธก่อนที่ร่างจะร่วงหล่นไปยังเบื้องล่าง
ปรมาจารย์เช่นเขา อัจฉริยะเช่นเขา ราชาที่ต้องยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกเช่นเขาไม่สมควรกล่าวคำพูดที่ลดเกียรติตัวเองเช่นนี้ แต่การกระทำที่หน้าไม่อายของหลิงฮันทำให้เขาต้องหลุดปากสบถคำนี้ออกมา
ซึ่งนี่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเกรี้ยวกราดขนาดไหน!
ตอนที่ 1454
กู่ต้าวอี้ร่วงลงมาสู่เบื้องล่าง ร่างทั้งก้าวเองก็ร่วงตามมาเช่นกัน การโจมตีของทั้งเก้าเกือบจะถูกตัวหลิงฮันแล้วก็ร่วงลงมาเสียก่อน
ผู้คนที่ดูเหตุการณ์อยู่รู้สึกเห็นใจกู่ต้าวอี้มาก แต่หากเป็นพวกเขาก็คงทำเหมือนกับหลิงฮัน
หากหลิงฮันเลือกทำเช่นนี้ตั้งแต่แรกทุกคนคงเหยียดหยามหลิงฮัน แต่การต่อสู้ก่อนหน้านี้ของหลิงฮันกับกู่ต้าวอี้ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหน ดังนั้นถึงแม้การลอบโจมตีแผ่นหินนี้จะดูลอบกัดไปบ้างแต่ทุกคนก็ยังคงชื่นชมความสามารถในการพลิกสถานการณ์ของหลิงฮัน
ฮ่าๆ ข้าไม่นึกเลยว่าจะลงเอยเช่นนี้“
“แต่ทำไมข้าถึงได้รู้สึกคุ้นๆแปลกๆ?”
“สุนัขตัวดำตนนั้น!”
“ใช้แล้ว หลิงฮันกับเจ้าสุนัขตัวดำค่อนข้างเหมือนกัน ใครก็ตามที่ถูกเขายั่วยุจะต้องลงเอยด้วยความอับอายเช่นนี้”
เสียงหัวเราะลั่นดังขึ้นจากเบื้องล่าง พอคิดดูแล้วช่างตลกยิ่งนัก กู่ต้าวอี้งัดทักษะมากมายมาใช้อย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังใช้ออกมา แต่สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ในดาบเดียว
ตูม!
ร่างของกู่ต้าวอี้หล่นกระแทกพื้นล่างหุบเขาจนฝุ่นฟุ้งกระจาย ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของหุบเขาเฉินเอี๋ยนจอมยุทธระดับดาราจึงไม่สามารถเหาะเหินได้
กู่ต้าวอี้คลานลุกขึ้นยืนจากพื้นและคำรามลั่น เสียงของเขาอัดแน่นไปด้วยจิตสังหารอันโหดเหี้ยม
การร่วงลงมาครั้งนี้คือความอับอายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา ในขณะที่ร่วงหล่นลงมาเขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกคนกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่
เขาใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงฉานจนแทบจะระเบิดออกมา
ความอัปยศครั้งนี้น่าอับอายแทบจะเท่ากับตอนที่ถูกขับไล่ออกมาจากดินแดนแห่งเซียนไม่ผิดเพี้ยน
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” กู่ต้าวอี้คำราม ผมเพ้าของเขายุ่งกระเซอะกระเซิง
เขาขึ้นไปยืนบนแผ่นหินอีกครั้งและทะยานขึ้นท้องฟ้า ความเร็วในการไต่เต้าของกู่ต้าวอี้รวดเร็วจนน่าอัศจรรย์ เหตุการณ์หนึ่งก็เป็นเพราะราชาที่แข็งแกร่งไปอยู่ที่ด้านบนหมดแล้ว เหล่าราชาที่อยู่ด้านล่างจะมีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้? ต่อให้พวกเขาก่อตั้งพันธมิตรกันก็ไร้ความหมาย
ในทางตรงข้าม ความเร็วในการไต่เต้าของหลิงฮันช้าลงมาก จอมยุทธที่อยู่ด้านบนนี้มีแต่ราชาที่แข็งแกร่ง หากต้องการเอาชนะย่อมใช้เวลานานพอสมควร
“หลิง! ฮัน!” ความเร็วของกู่ต้าวอี้น่าสะพรึงอย่างมาก เขากำราบเอาชนะราชาที่อยู่เบื้องล่างมาได้อย่างต่อเนื่อง เพียงแค่เขาลงมือหนึ่งครั้งแผ่นหินก็จะยกตัวสูงขึ้นสองถึงสามฟุต
เขาคำรามด้วยความโกรธพร้อมกับกวัดแกว่งดาบในมือ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่อยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เขานำอาวุธเซียนออกมาใช้ ดาบเล่มนี้คืออุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับยี่สิบ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มันเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุด!
ดาบของกู่ต้าวอี้จู่โจมศัตรูไปทั่ว แต่ทันใดนั้นดาบของเขาก็ถูกหยุดเอาไว้ เมื่อมองไปจะเห็นจักรพรรดินีที่ถือหินต้นกำเนิดสวรรค์เอาไว้ในมือ
ดาบของกู่ต้าวอี้ถูกหยุดเอาไว้ได้
“อะไรกัน!” เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้คนด้านล่างก็อุทานออกมา
การจู่โจมที่เกรี้ยวกราดของกู่ต้าวอี้ถูกหยุดเอาไว้ได้? นั่นแสดงว่าพลังของอีกฝ่ายย่อมไม่ด้อยไปกว่ากู่ต้าวอี้
ราชาที่ทรงพลังผู้นั้นคือใครกัน!
ทุกคนจ้องมองไปยังจักรพรรดินี แม้นางจะมีผ้าคลุมปิดบังใบหน้าเอาไว้หนึ่งชั้นแต่ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงเสน่ห์อันหาใครเปรียบของนาง
“เจ้ากล้าหยุดข้า?” กู่ต้าวอี้คำรามอย่างโหดเหี้ยม ณ เวลานี้ไม่ว่าใครก็หยุดยั้งเขาจะต้องถูกสังหาร
“แล้วข้าหยุดเจ้าไม่ได้?” จักรพรรดินีแสยะยิ้ม
อันที่จริงกู่ต้าวอี้รู้สึกชื่นชอบสตรีผู้นี้เล็กน้อย
เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายบ่มเพาะทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญเหมือนกันนางจึงมีโชคชะตาที่จะถูกเขากลืนกิน เพราะงั้นในสายตาของเขาไม่ว่าอีกฝ่ายจะงดงามแค่ไหนก็เป็นได้แค่เครื่องที่มือช่วยให้พลังของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ตาย!” เขาชี้นิ้วปลดปล่อยทักษะดรรชนีโลหิตพระเจ้า
จักรพรรดินีสะบัดมือรับการโจมตีด้วยก้อนหิน
เป็นอีกครั้งที่การโจมตีถูกหยุดเอาไว้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
พลังทำลายของฝ่ามือถูกดูดซับเข้าไปในก้อนหิน
หินต้นกำเนิดสวรรค์คือหินที่ยกระดับมาจากศิลากำเนิดความสับสนวุ่นวาย หินชนิดนี้เป็นแก่นพลังที่กำเนิดขึ้นพร้อมกับสวรรค์และปฐพี หินต้นกำเนิดสวรรค์สามารถดูดซับพลังทำลายที่ต่ำกว่าระดับสร้างสรรพสิ่งได้ทั้งหมด
อย่างน้อยพลังทำลายของดรรชนีโลหิตพระเจ้าก็ไม่เพียงพอ บางทีกู่ต้าวอี้อาจจะต้องใช้ทักษะชาติภพที่สิบและปลดปล่อยทักษะทั้งหมดออกมาถึงจะสามารถทำลายหินต้นกำเนิดสวรรค์ได้
แต่ปัญหาก็คือกู่ต้าวอี้ไม่สามารถใช้ทักษะที่สิบได้โดยตรง แต่ต้องปลดปล่อยทักษะตั้งแต่หนึ่งถึงเก้าออกมาเสียก่อน
“เจ้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะขวางทางสามีของข้า!” จักรพรรดินีกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งยโสพร้อมกับชี้นิ้วเหยียดหยามกู่ต้าวอี้
เพื่อหลิงฮัน นางจะขัดขวางเสี้ยนหนามทั้งหมดให้เอง
ใบหน้าของกู่ต้าวอี้เปลี่ยนเป็นมืดมน แม้เขาไม่คิดว่าจักรพรรดินีจะสามารถหยุดยั้งเขาได้ แต่อีกฝ่ายก็มีพลังต่อสู้ทีแทบจะทัดเทียมเขา
“ต่อต้านข้าก็เปรียบเสมือนแส่หาที่ตาย!” เขากล่าว
ทั้งสองคนบ่มเพาะทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญกันทั้งคู่ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีโชคชะตายที่จะถูกดูดกลืน เพราะงั้นไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องเอาชนะให้ได้
กู่ต้าวอี้ไม่พล่ามอีกต่อไปและทำได้เพียงสะกดความเกรี้ยวกราดเอาไว้ เขากับจักรพรรดินีมีเพียงคนเดียวที่จะมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่ใช่โอกาสเหมาะสมที่พวกเขาจะสู้เป็นตายกัน ตราบใดที่แผ่นหินของถูกทำลายการต่อสู้ก็จะจบลงอย่างรวดเร็ว
ยิ่งกว่านั้นเป้าหมายของเขาตอนนี้ก็คือแผ่นหินสีทองที่อยู่ด้านบนสุดซึ่งสมควรมีวาสนาที่ยิ่งใหญ่รออยู่!
ฮึ่ม!
เขาตัดสินใจลงมือโค่นจักรพรรดินีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะได้เพื่อที่จะไล่ตามหลิงฮันและเป็นคนแรกที่ขึ้นไปยังแผ่นหินสีทอง
“ทักษะชาติภพที่หนึ่ง!”
“ทักษะชาติภพที่สอง!”
“……”
“ทักษะชาติภพที่สิบ!”
กู่ต้าวอี้ใช้ทักษะทั้งหมดออกมาและแยกร่างออกเป็นสิบร่างอีกครั้ง
ตอนที่ 1455
กู่ต้าวอี้ปะทะห้ำหั่นกับจักรพรรดินี
ทั้งสองคนมีระดับพลังบ่มเพาะที่เท่ากันในตอนนี้และบ่มเพาะทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญกันทั้งคู่ซึ่งถือได้ว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ต่อให้กู่ต้าวอี้จะมีแก่นกำเนิดนิรันดร์และสามารถเรียกร่างแยกทั้งเก้าออกมาช่วย แต่ก้อนหินในมือจักรพรรดินีนั้นสามารถทำให้นางคุมสถานการณ์เอาไว้ได้
หินต้นกำเนิดสวรรค์สามารถดูดซับพลังโจมทั้งหมดที่ต่ำกว่าระดับสร้างสรรค์พสิ่ง ต่อให้เมื่ออยู่ในหุบเขาแห่งนี้ความสามารถของมันจะลดลงแต่ก็ยังเหลือเฟือที่จะใช้เหนี่ยวรั้งกู่ต้าวอี้เอาไว้
จักรพรรดินีที่ไม่อาจถูกการโจมตีใดๆทำร้ายกู่ต้าวอี้ย่อมไม่สามารถทำลายแผ่นหินของนางและขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงกว่านี้ได้ ซึ่งนั่นทำให้กู่ต้าวอี้เกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก
หลิงฮันถอนหายใจก่อนจะแหงนหน้าขึ้นห้ามองไปยังสุดยอดราชาคนอื่นๆและรอคอยจังหวะจู่โจม
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาลงมือ
หลิงฮันส่ายหัว เนื่องจากต่อให้เขาทำลายแผ่นหินของราชาที่เหลือได้มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาขึ้นไปสูงถึงแผ่นหินสีทองอยู่ดี เขาต้องรอให้มีจำนวนคู่ต่อสู้มากกว่านี้และใช้พวกเขาเป็นหินรองเท้า
จำนวนของราชาในยุคสมัยนี้มีเกินกว่ายุคสมัยใดๆ ดังนั้นผู้คนที่ผ่านจุดแรกของหุบเขามายังหุบสองจึงมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลิงฮัน ซื่อเฉินเฟิง หลงเซียงเยว่และสุดยอดราชาคนอื่นๆเริ่มลงมือเพื่อเพิ่มระดับความสูงของแผ่นหิน
ลุย!
หลังจากเพิ่มระดับความสูงได้อีกพอสมควร ท้องฟ้าก็เริ่มมีโลมกรรโชกลอยสะบัดไปมาส่งผลให้หลิงฮันและราชาคนอื่นๆรู้สึกสั้นไหวที่ปลายเท้าราวกับจะถูกลมกรโชกพัดกระเด็น
แต่ถ้าร่วงหล่นจากแผ่นหินตอนนี้ พวกเขาก็ต้องลงไปเริ่มใหม่จากหนึ่งตั้งแต่ที่ใต้หุบเขา
พวกเขารีบโคจรปราณก่อเกิดอย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้านลมกรรโชก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังทรงตัวได้ยากอยู่ดี
บางคนที่เพิ่งจะมาถึงความสูงระดับนี้ พอถูกลมกรรโชกพัดเข้าใส่ร่างของพวกเขาก็ร่วงหล่นจากแผ่นหินทันที
ตอนนี้ราชาที่ยืนอยู่ในความสูงระดับนี้มีจำนวนสิบกว่าคน แต่ก็ยังห่างไกลจากแผ่นหินสีทองเกือบๆสิบกว่าฟุตอยู่ดี
แม้ระยะทางจะดูเหมือนใกล้ถึงแล้ว แต่หากลองคำนวณจากความสูงที่แผ่นหินจะลอยขึ้นในแต่ละครั้งดู จำนวนของราชาที่อยู่ที่นี่ต้องมีสามสิบสองคนเป็นอย่างน้อย
ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก!
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมตั้งแต่อดีตกาลถึงไม่เคยมีใครเลยที่ขึ้นไปถึงแผ่นหินสีทองได้ นั่นเป็นเพราะจำนวนของราชามีน้อยเกินไปที่จะทำให้คนใดคนหนึ่งขึ้นไปถึงแผ่นหินสีทอง
ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถใช้ราชาที่อ่อนแอเป็นหินรองเท้าได้อีกต่อไป แต่ต้องสู้กับสุดยอดราชาด้วยกันเพียงอย่างเดียว หรือก็คือแม้กระทั่งสุดยอดราชาก็ต้องกลายเป็นหินรองเท้าเช่นกัน
แต่ในฐานะที่เป็นสุดยอดราชา ทุกคนย่อมมีความภาคภูมิในเกียรติของตนเอง พวกเขาไม่ต้องการเป็นหินรองเท้าให้แก่ใครทั้งนั้น เพียงไม่กี่ลมหายใจการต่อสู้อันโกลาหลก็เริ่มต้นทันที
หลิงฮันเองก็ไร้ความเมตตา มือทั้งสองของเขากวัดแกว่งปลดปล่อยทักษะดาบฟ้าคำรามไม่ยั้ง
ความเข้าใจในแก่นแท้แห่งดาบของเขาเพิ่มสูงขึ้น แถมทักษะดาบฟ้าคำรามก็ผสานรวมเข้ากับกาลเวลาแปรผันพันปีแล้ว พลังต่อสู้ของเขาจึงแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ก่อนหน้านี้พลังต่อสู้ของเขาคือหกดาวเท่านั้น แต่ตอนนี้ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหนแล้ว?” หลิงฮันเองก็ไม่รู้เช่นกัน
แต่นั่นก็ไม่สำคัญ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ตัวเลขของพลังต่อสู้แต่เป็นความไร้เทียนทานที่สุด!
หลิงฮันคำรามและเข้าปะทะกับกลุ่มราชา ตัวเขาราวกับเป็นราชาอสูรที่ยั่วยุทุกคนไม่ว่าจะหน้าไหน
คนอื่นจะสู้กันตัวต่อตัวหรือไม่นั้นเขาไม่สนใจ หากตรงหน้าของเขามีใครอยู่เขาก็จะลงมืออย่างไม่ลังเลทำให้หลิงฮันตกเป็นศัตรูของทุกคนไปโดยปริยาย
การกระทำของเขาเป็นการดึงดูดศัตรูอย่างแท้จริง ราชาสี่คู่ที่กำลังสู้กันอยู่หยุดมือและหันมาจู่โจมเขาอย่างรวดเร็ว
ทั้งแปดคนคือสุดยอดราชา!
‘พรึบ พรึบ พรึบ’ เหล่าราชานำอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์และสมบัติออกมา บางชิ้นนั้นมีพลังอำนาจถึงระดับวารีนิรันดร์หรือกึ่งเซียน แต่เพราะอยู่ภายในหุบเขาแห่งนี้พลังของอุปกรณ์เหล่านั้นจึงถูกลดลงมาเหลือเพียงระดับดาราขั้นสูงหรือมากกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่พลังที่จอมยุทธระดับดาราขั้นต้นจะรับมือได้อยู่ดี
ยิ่งกว่านั้น ราชาที่โจมตีเขาก็มีถึงแปดคน!
หลิงฮันไม่หวาดกลัว ในเมื่อเขากล้าท้าทายเขาย่อมมีความมั่นใจว่าจะชนะ ดาบอสูรนิรันดร์ถูกนำออกมา ทันที่เขาสะบั้นดาบดาบสวรรค์และปฐพีก็ราวกับจะล่มสลาย
กล่าวตามตรงแล้ว ดาบอสูรนิรันดร์นั้นทรงพลังยิ่งกว่าหลิงฮันด้วยซ้ำ ในระดับเดียวกันพลังทำลายของมันทรราชที่แท้จริง!
ประกายแสงของตัวดาบส่องสว่างเจิดจ้าราวกับเป็นพระเจ้าที่ไม่มีวันตาย
สิ่งที่ทำให้ราชาทั้งแปดน่าสงสารก็คือหลิงฮันมุ่งเน้นการโจมตีไปยังแผ่นหินใต้เท้าของพวกเขา เรื่องความสามารถในการเจาะทะลวงนั้นเรียกได้ว่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ดาบอสูรนิรันดร์คือที่หนึ่ง ปราณก่อเกิดที่ห่อหุ้มเป็นโล่นั้นไร้ผลกับดาบนิรันดร์อย่างสิ้นเชิง
ทั้งแปดคนกรีดร้องและร่วงลงสู่เบื้องล่างไปทีละคน
‘หากปะทะกับหลิงฮันห้ามเข้าสู้ระยะประชิดเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่สามารถหยุดยั้งดาบในมือของเขาได้’
ดาบของหลิงฮันมีพลังทำลายที่น่าอัศจรรย์เกินไป บางทีนั่นอาจจะเป็นอุปกรณ์เซียนระดับสูงสุด? ไม่เช่นนั้นแล้วมันจะมีพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นได้อย่างไร?
แผ่นหินของหลิงฮันลอยขึ้นสูงสองฟุต สี่ฟุต หกฟุตก่อนจะหยุดนิ่งเนื่องจากรอบข้างไม่มีศัตรูให้เขาสู้ด้วยแล้ว
หากไม่มีใครสามารถโค่นล้มเขาได้ เขาก็คงต้องติดอยู่ที่ความสูงระดับนี้ไปตลอด ต่อให้ได้อันดับหนึ่งเขาก็ไม่สามารถขึ้นไปถึงแผ่นหินทองคำได้อยู่ดี
ดังนั้นแต่ให้ราชาในอดีตจะเป็นอัจฉริยะแค่ไหน หากไร้คู่ต่อสู้พวกเขาก็ไม่สามารถทำให้แผ่นหินขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูงได้อยู่ดี
หลิงฮันคาดหวังเอาไว้อย่างมากว่าอัจฉริยะอย่าง เทียนเซี่ยตี้เอ้อ ซื่อเฉินเฟิง หลงเซียงเยว่และราชาระดับสามคนอื่นๆจะมาเป็นตัวช่วยของเขา
“ร่วงลงไปซะ!” หลงเซียงเยว่บุกจู่โจมทันทีที่มาถึง นางถือดาบเอาไว้ในมือ เกราะส่วนอกของนางบิดหมุนแปรเปลี่ยนเป็นเงาของมังกรที่แท้จริงพร้อมกับปลดปล่อยอำนาจมังกรออกมา
เส้นผมของนางสยายชี้ขึ้นฟ้า ผิวอันเรียบเนียนดั่งหยกของนางสะท้อนแดงเจิดจ้าทำให้นางดูราวกับเป็นเทพธิดานักรบ ดาบที่สะบั้นจู่โจมเข้ามาของนางรุนแรงสั่นสะเทือนไปทั่วเก้าชั้นฟ้า
เป้าหมายของนาง.. คือแผ่นหินที่อยู่ใต้เท้าหลิงฮัน
ใครเป็นคนกำหนดว่าราชาจะต้องตัดสินการต่อสู้อย่างตรงไปตรงมา?
ตอนที่ 1456
ที่หุบเขาแห่งนี้แผ่นหินสีทองคือสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด ตั้งแต่ยุคโบราณที่ผ่านๆมา ทุกครั้งที่หุบเขาเฉินเอี๋ยนเปิดออก แม้จะมีราชาที่ได้เป็นอันดับหนึ่งแต่ก็ไม่มีใครเลยที่สามารถขึ้นไปยังแผ่นหินสีทองได้
แต่คราวนี้หากสามารถไปถึงได้ล่ะก็ พวกเขาจะเป็นคนสร้างประวัติศาสตร์และเปิดยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ด้วยตัวของพวกเขาเอง!
ทุกๆยุคสมัยจะมีจะมีจอมยุทธระดับแนวหน้าคอยปกครองยุคสมัยของตนเองเอาไว้ อย่างเช่นในเขตดวงดาวแห่งนี้ ผู้ปกครองที่แท้จริงก็คือเซียนซิงฉา แม้เขาจะไม่ใช่ราชาเซียนแต่ ณ ที่แห่งนี้เขาก็เป็นเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ทุกวันนี้ วิถีวรยุทธที่ก้าวหน้าได้ก่อให้เกิดอัจฉริยะจำนวนมาก ดังนั้นวาสนาจึงเป็นสิ่งสำคัญ
อย่างเช่นสุดยอดราชาเช่นพวกเขาใครบ้างจะไม่ใช่อัจฉริยะ แต่สุดท้ายก็จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ครองบัลลังก์
ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้พวกเขาครองบัลลังก์ก็คือวาสนา!
ดังนั้นต่อให้แผ่นหินสีทองที่อยู่ด้านบนจะไม่ได้มอบวาสนาที่มากมายเท่าไหร่ให้แก่พวกเขา หลิงฮัน หลงเซียงเยว่และคนอื่นๆจึงพยายามอย่างสุดความสามารถ
หากได้รับวาสนา พวกเขาก็จะเป็นราชาที่อยู่เหนือราชาในยุคสมัยเดียวกันทั้งปวง
ด้วยเหตุผลนี้ ต่อให้ต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยวิธีเจ้าเล่ห์ไม่ใช่เรื่องที่น่าอับอาย!
ดาบของหลงเซียงเยว่ส่องประกายเจิดจรัสด้วยรูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ อำนาจมังกรปลดปล่อยพลังออกมาปกคลุมไปทั่วสวรรค์และปฐพี
หลิงฮันปลดปล่อยทักษะAnchorกาลเวลาแปรผันพันปีสลายการโจมตีได้อย่างง่ายดาย นอกจากทักษะของอัจฉริยะจากดินแดนแห่งเซียนอย่างกู่ต้าวอี้ ทักษะของราชาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ไม่มีทักษะใดที่กาลเวลาแปรผันพันปีไม่สามารถสลายได้
นอกเสียจากว่าคู่ต่อสู้จะเป็นทายาทของเผ่าสวรรค์บรรพกาลที่มีสายเลือดของขุมอำนาจในดินแดนแห่งเซียนไหลเวียนอยู่ในร่างกาย จอมยุทธเช่นนั้นสามารถกระตุ้นใช้งานทักษะระดับนิรันดร์ได้
เขามองไปยังหลงเซียงเยว่ด้วยใบหน้าคาดหวัง “หรือเจ้าจะเป็นมังกรแท้จริง?”
หลงเซียงเยว่ชะงัก ระหว่างการต่อสู้เหตุใดจู่ๆเจ้าถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมา? นางเค้นเสียงและกล่าว “แล้วเจ้าจะทำไม?”
“แน่นอนว่าเรื่องนั้นสำคัญกับข้า!” หลิงฮันกล่าว “ถ้าเจ้าเป็นมังกรแท้จริง เมื่อบรรลุระดับสร้างสรรพสิ่งแล้วเจ้าช่วยมือเขามังกรให้ข้าได้รึไม่?” เขายังจำข้อตกลงระหว่างเขากับจักรพรรดิเพลิงอัสนี เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับทักษะเขาจำเป็นต้องตามหาเขามังกรแท้จริง ขนนกอมตะสวรรค์และสมบัติชิ้นอื่นๆให้กับอีกฝ่าย
เมื่อลองคิดดูแล้ว จักรพรรดิเพลิงอัสนีจะต้องเป็นตัวตนจากดินแดนแห่งเซียนไม่ผิดแน่ แต่เช่นนั้นแล้วเหตุใดเขาถึงไปอยู่ที่ทวีปฮงเทียนได้?
ไม่ว่าจะเป็นฮูหนิว จักรพรรดิเพลิงอัสนีหรือหอคอยทมิฬ หลายๆสิ่งที่เกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งเซียนได้มาปรากฏขึ้นดินโลกใบเล็ก
ดังนั้นแล้วหลิงฮันจึงจริงจังอย่างมาก เขาต้องตามหาสมบัติของสัตว์อสูรเทพทั้งสี่เพื่อแลกเปลี่ยนกับทักษะที่ทรงพลังจากดินแดนแห่งเซียนของจักรพรรดิเพลิงอัสนีให้ได้
“เพ้อฝัน!” ใบหน้าของหลงเซียงเยว่เปลี่ยนไปทันที นางมีท่าทีราวกับว่าถูกล่วงเกินอย่างไม่อาจทนไหว ดาบในมือของนางสะบั้นรุนแรงอย่างบ้าคลั่ง ก่อนหน้านี้เป้าหมายของดาบคือแผ่นหินใต้เท้าหลิงฮัน แต่ตอนนี้เป้าหมายของดาบกลับเปลี่ยนเป็นตัวของหลิงฮันแทน
หลงเซียงเยว่กัดฟันด้วยใบหน้าแกงก่ำ ท่าทีของนางทำให้หลิงฮันรู้สึกแปลกประหลาดใจ
ข้าแค่ขอเขามังกรของเจ้าแท้ๆซึ่งเขานั่นก็สามารถงอกขึ้นใหม่ได้ แต่ทำไมเจ้าถึงต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟราวกับข้าไปขอพรหมจรรย์ของเจ้าด้วย?
“ฮันน้อย เขามังกรนั้นเป็นตราความรักของมังกร การที่เจ้าขอเขามังกรของนางก็เปรียบเสมือนเจ้าไปขอหลับนอนกับนาง” สุนัขตัวดำปรากฏตัวในระยะความสูงที่ห่างกับหลิงฮันหกฟุต
อะไรกัน เมื่อเรื่องเช่นนั้นด้วย?
หากเป็นแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลงเซียงเยว่จะโมโห เพียงแต่ว่าเฮ่อเหลียนสวินเสวี่ยนก็ไม่เคยมอบเขามังกรให้เขาเลยไม่ใช่รึไง? หรือว่าธรรมเนียมเช่นนี้จะไม่มีในโลกใบเล็ก?
“สุนัขปากเสีย!” หลงเซียงเยว่กัดฟันและสะบั้นดาบเข้าใส่สุนัขตัวดำ
เพียงแต่ว่าด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของที่นี่ที่มีระยะความสูงถูกกำหนดไว้ คลื่นดาบของนางที่จู่โจมเกินระยะกำหนดได้ถูกพลังงานบางอย่างหยุดเอาไว้ก่อนจะสลายไป
สุนัขตัวตำยืนขึ้นสองขาและกล่าวอย่างองอาจ “คนที่คิดเช่นนั้นไม่ใช่นายท่านหมาแต่เป็นฮันน้อยต่างหาก เหตุใดเจ้าจึงพาลโกรธข้าไปด้วย? แต่ก็เอาเถอะ นายท่านหมาต้องการคนรับใช้พอดี แม้เจ้าจะเป็นมังกรแท้จริงข้าก็ไม่รังเกียจที่จะรับเจ้ามาเป็นสัตว์ขี่”
“ฮึ่ม…” หลงเซียงเยว่เกรี้ยวกราด แต่นางก็รู้ว่าต่อให้โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์
“ตาย!” พริบตาเดียวนางก็เปลี่ยนเป้าหมายกลับมาเป็นหลิงฮัน ใบหน้าอันงดงามของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ดูเหมือนว่าความโกรธที่นางมีต่อสุนัขตัวดำจะมาลงที่หลิงฮันคนเดียวทั้งหมด
รับ
หลิงฮันลงมือปลดปล่อยอำนาจสวรรค์ออกมา ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นมังกรแท้ที่กำลังเกรี้ยวกราด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาพลังต่อสู้ของหลงเซียงเยว่ก็ต้องถูกทำให้ลดลงสองดาว
“อะไรกัน!” หลงเซียงเยว่อุทานออกมาทันทีที่พบว่าพลังของตนเองถูกลดลงไปและเผลอเปิดช่องว่าง
หลิงฮันใช้โอกาสนี้สะบั้นดาบจู่โจม ร่างของหลงเซียงเยว่ถูกกระแทกลอยกระเด็นร่วงจากแผ่นหินทันที
พลังของนางถูกลดลงไปร้อยเท่า แถมนางยังอยู่ในสภาพที่เกรี้ยวกราดและตื่นตระหนก ดังนั้นเพียงหนึ่งการลอบโจมตีของหลิงฮันจึงสามารถเอาชนะนางเอาได้
แผ่นหินของหลิงฮันดูดกลืแผน่หินของหลงเซียงเยว่และลอยสูงขึ้นสองฟุต
ขอแค่ดูดกลืนแผ่นหินได้อีกแค่ครั้งเดียว เขาก็จะขึ้นไปถึงจุดสูงสุด แต่ตอนนี้… เวลาเหลือเพียงแต่สามชั่วโมงเท่านั้น
ณ ตอนนี้คนที่อยู่ในระดับความสูงเดียวกันกับเขาคือซื่อเฉินเฟิง เทียนเซี่ยตี้เอ้อและหงหม่า พวกเขาเอาชนะจักรพรรดิพิรุณกับเฉิงเสี่ยวฟานได้และเป็นกลายเป็นสุดยอดราชาสี่คนสุดท้าย
การเปิดของหุบเขาเฉินเอี๋ยนครั้งนี้จะต้องมีราชาคนหนึ่งขึ้นไปยังจุดสูงสุดได้แน่นอน แต่ว่าหนึ่งคนที่ว่าจะเป็นใคร?
สุดยอดราชาทั้งสี่คนล้วนแต่มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น!
พวกเขาทั้งสี่ยังไม่เปิดศึกโจมตีกันเนื่องจากคนที่ลงมือก่อนจะกลายเป็นเป้าของอีกสามคน
ในขณะเดียวกัน ราชาคนอื่นๆอย่างจักรพรรดิพิรุณ เฉิงเสี่ยวฟานและหลงเซียงเยว่ที่พ่ายแพ้ไปชั่วคราวก็รีบไล่ตามกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันและสุดยอดราชาอีกสามคนมองหน้ากันก่อนจะลงมือจู่โจมอย่างพร้อมเพรียง
พวกเขาไม่ร่วมมือกันใครคนใดคนหนึ่งและต่อสู่แบบตะลุมบอน
ตราบใดที่มีหนึ่งคนร่วงหล่น ก็จะมีหนึ่งคนที่ขึ้นไปยังจุดสูงสุด!
นี่คือการต่อสู้สุดท้าย!
เวลาไม่เคยคอยใคร… ลงมือ!
ทั้งสี่คนปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดออกมาตั้งแต่เนิ่นเข้าใส่ศัตรูสามคนตรงหน้า พวกเขาไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนแรกที่แพ้ ขอแค่มีคนใดคนหนึ่งที่ร่วงลงไปก็พอ
ตอนที่ 1457
หลิงฮันยิ้มและปลดปล่อยอำนาจสวรรค์
‘ครืนน’ สุดยอดราชาทั้งสามเปลี่ยนสีหน้าพร้อมกัน ต่างคนต่างแสดงออกถึงใบหน้าที่ตกตะลึง
จู่ๆพลังของพวกเขาก็ลดไปสองดาว!
ใช่ว่าพวกเขาจะไม่มีไพ่ลับเอาไว้ตอบโต้ แต่สถานการณ์เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเตรียมพร้อมหลิงฮันก็จู่โจมมาเสียแล้ว
‘ตูม ตูม ตูม’ สุดยอดราชาทั้งสามถูกกระแทกลอยกระเด็นร่วงหล่นจากแผ่นหินพร้อมกัน แม้พวกเขาจะไม่ได้บาดเจ็บสาหัสแต่หากถูกพลักออกแผ่นหินแล้ว… พวกเขาก็มีโชคชะตาเดียวคือร่วงสู่เบื้องล่าง
แผ่นหินของหลิงฮันดูดกลืนแผ่นหินทีเดียวถึงสามอัน!
ความสูงของเขากำลังถูกยกขึ้นไปยังจุดสูงสุด!
แผ่นหินใต้เท้าของหลิงฮันดูดกลืนแผ่นหินอีกสามแผ่นและค่อยๆเพิ่มความสูงขึ้นจนถึงแผ่นหินสีทอง
ผู้คนเบื้องล่างที่กำลังจ้องมองอยู่ต่างเผยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ
ใครจะคิดว่าหลิงฮันจะทำได้ขนาดนี้?
เขาไม่ใช่แม้กระทั่งราชาระดับสามด้วยซ้ำ!
“หลิง! ฮัน!” กู่ต้าวอี้คำราม เขากำลังพัวพันอยู่กับจักพรรดินีทำให้ไม่มีโอกาสไต่เต้าขึ้นไปถึงจุดสูงสุด จิตใจของเขาอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกเกรี้ยวกราด “ถ้าเจ้ากล้าขึ้นไปอีกแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะสังหารเจ้า!”
“พูดเหมือนข้าเกรงกลัวเจ้า!” หลิงฮันเค้นเสียงและก้าวขาข้ามไปยังแผ่นหินสีทองอย่างไม่ลังเล
แผ่นหินสีทองปลดปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า ร่างของหลิงฮันถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทองจนดูราวกับเป็นเทพเจ้าสงครามที่พร้อมบดขยี้สิ่งมีชีวิตทั้งปวง
ภาพที่เห็นตรงหน้าส่งผลให้จิตใจของทุกคนสั่นสะท้าน
“วาสนานั่นต้องเป็นของนายท่านหมา!” สุนัขตัวดำไม่รู้ว่ามาจากไหน มันอยู่ในระดับความสูงที่ห่างจากหลิงฮันสองฟุต เนื่องจากไม่มีแผ่นหินของศัตรูที่ช่วยให้ความสูงของมันเพิ่มขึ้นแล้วมันจึงตะเกียกตะกายกระโดดกัดข้อเท้าของหลิงฮัน
ความเร็วของมันน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของหุบเขาแห่งนี้ในขณะที่ปากของมันกำลังจะกัดข้อเท้าของหลิงฮัน พลังที่มองไม่เห็นก็ได้ควบแน่นเป็นตาข่ายขวางกั้นเอาไว้
“แหง่ง! แหง่ง!” สุนัขตัวดำยังคงพยายาม ซึ่งเรื่องน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น ตาข่ายราวกับว่าจะถูกกัดขาดเล็กน้อยทำให้หัวของสุนัขตัวดำรอดเข้าไปได้และปากของมันก็กัดเข้าที่ต้นขาของหลิงฮันพอดี
“อั่ก!” หลิงฮันกัดฟัน
อย่างที่รู้กันว่ากายหยาบของเขาไร้เทียมทานขนาดไหน แต่ฟันของสุนัขตัวดำกับสามารถกัดเขาจนเกิดความรู้สึกเจ็บปวด
“สุนัขบัดซบ ปล่อยปากของเจ้าซะ!” หลิงฮันสะบัดเท้าอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีทาง ถึงตายข้าก็ไม่ปล่อย! วาสนาต้องเป็นของนายท่านหมา!” สุนัขตัวดำกัดฟันแน่นพร้อมกับกล่าวโอดครวญ
ที่ด้านล่างพวกเขา หลงเซียงเยว่ไล่ตามขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
หลิงฮันถอนหายใจและพยายามถึงร่างของสุนัขตัวดำขึ้นมา แต่ตาข่ายที่สุนัขตัวดำกัดขาดนั้นมีรูกว้างเพียงแค่ให้หัวของมันโผล่ขึ้นมาได้ หากจะนำมันขึ้นมาทั่งตัวจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากขนาดไหน?
“ฮันน้อย เจ้ารีบดึงข้าขึ้นไปเร็ว! สตรีโหดเหี้ยมนั่นกำลังจะตามมาถึงแล้ว!” สุนัขตัวดำกล่าวเร่งเร้า
“สุนัขบัดซบ ข้าว่ารีบปล่อยปากของเจ้าจะง่ายกว่า!” หลิงฮันตะโกน
“ไม่!” สุนัขตัวดำส่ายหัวไปมา
พริบตาเดียวหลงเซียงเยว่ก็ตามขึ้นมาทัน ด้วยพลังอันแข็งแกร่งของนางทำให้การไต่เต้าขึ้นมาเป็นงานที่ง่ายดายมาก มีเพียงแค่ในระดับความสิบฟุตสุดท้ายเท่านั้นที่ความเร็วในการไต่เต้าของนางจะลดลงเนื่องจากราชาในระดับความสูงนี้มีน้อยเกินไป
แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังมาถึงได้อยู่ดี เมื่อระยะของนางห่างกับสุนัขตัวดำสองฟุต ดาบในมืของนางก็ถูกกวัดแกว่งโจมตีใส่สุนัขตัวดำ
“อ้ากกก!” สุนัขตัวเขากรีดร้อง แต่ด้วยกายหยาบอันทนทานของมันที่ไม่ด้อยไปกว่าหลิงฮัน ดาบที่ฟันเข้ามาจึงทำให้เกิดเพียงประกายไฟราวกับโลหะปะทะกันโดยที่ผิวหนังของมันไม่ได้รับบาดแผล
“เจ็บจนจะบ้าตายแล้ว!” มันร้องโอดครวญอย่างน่าเวทนา
ผู้คนที่อยู่เบื้องล้างอ้าปากค้าง เจ้าร้องโอดครวญขนาดนั้นทั้งๆที่ขนแม้แต่เส้นเดียวก็ไม่ร่วงเนี่ยนะ!
หลงเซียงเยว่ชะงัก ถึงแม้ดาบเมื่อครู่จะไม่ใช่พลังทั้งหมดของนาง แต่เป็นไปได้อย่างไรที่มันจะตัดแม้แต่ขนเส้นเดียวของสุนัขไม่ขาด เจ้าสุนัขตนี้… ไม่ธรรมดาอย่างมาก
หลิงฮันเองก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่เมื่อคิดว่าสุนัขตัวดำมาจากดินแดนแห่งเซียนและเกิดออกมาจากไข่ที่พบในโบราณสถานโบราณ การที่มีจะมีความสามารถติดตัวพิเศษเหนือใครก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
หลงเซียงเยว่กระหน่ำฟันดาบจู่โจม สุนัขตัวดำเองก็ร้องโอดครวญอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างนั้นดาบของหลงเซียงเยว่ก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่สุนัขตัวดำได้เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าหนู พานายท่านหมาขึ้นไปเร็ว ไม่เช่นนั้นก้นของนายท่านหมาของถูกผ่าออกเป็นสองแฉกแน่!” สุนัขตัวดำโอดครวญ
“เจ้าโง่รึเปล่า ก้นของใครบ้างไม่ใช่สองแฉก?” หลิงฮันยิ้ม
“อ้ากก นายท่านหมาเจ็บปวดเลยพูดไม่คิด ว่าแต่ทำไมยังไม่รีบดึงข้าขึ้นไปอีก! เจ้าหนู นี่เจ้าลืมกินข้าวเลยไม่มีแรงเหลือรึไง” สุนัขตัวดำเร่งเร้าอีกครั้ง
หลิงฮันอยากจะเหยียบหน้าของสุนัขบัดซบตัวนี้เหลือเกิน แต่มันกัดข้อเท้าเขาเอาไว้ไม่ปล่อย เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากพยายามดึงมันขึ้นมา ด้วยความพยายามของเขาร่างของสุนัขตัวดำค่อยๆถูกดึงผ่านตาข่ายขึ้นมาทีละหนึ่งนิ้ว
เมื่อเห็นว่าครึ่งร่างของสุนัขตัวดำลอดตาข่ายไปได้ หลงเซียงเยว่ก็กระโดดคว้าหางของสุนัขตัวดำเอาไว้ การกระทำของนางแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งว่านางต้องการขึ้นไปด้านบนด้วย ‘ครืนน’ แผ่นหินใต้เท้าของนางร่วงลงสู่พื้นดินในขณะที่ตัวนางห้อยอยู่กับสุนัขตัวดำกลางอากาศ
ผู้คนเบื้องล่างมองดูด้วยปากที่กระตุกไปมา พวกเขาต่างคิดในใจว่าการแย่งชิงวาสนาในครั้งนี้ช่างตลกยิ่งนัก
“สตรีตัวเหม็น ปล่อยมือซะ ไม่งั้นหางของนายท่านหมาต้องถูกเจ้าดึงขาดแน่!” สุนัขตัวดำเห่าไล่
หลงเซียงเยว่ไม่แยแส ต่อให้ตายนางก็จะจับหางของมันเอาไว้
“หางอันล้ำค่าของนายท่านหมาไม่ใช่สิ่งที่ใครจะมาจับได้ง่ายๆ!” สุนัขตัวดำสบถต่อ
หลงเซียงเยว่ยังคงนิ่งเงียบ
เมื่อเห็นเช่นนี้ซื่อเฉินเฟิง เทียนเซี่ยตี้เอ้อ หงหม่าและราชาคนอื่นๆก็ไม่ลังเลเช่นกัน พวกเขากระโดดคว้าจับหางของสุนัขตัวดำเอาไว้ บางทีพวกเขาอาจจะได้ขึ้นไปยังแผ่นหินสีทองด้วยจริงๆ?
นะ… นี่มัน!
ผู้คนเบื้องล่างอึ้งจนไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา เหล่าราชาที่แข็งแกร่งกำลังคว้าจับหางของสุนัขเอาไว้ ภาพที่พวกเขาเห็นในตอนนี้ช่างน่าตลกยิ่งนัก
คนเหล่านี้… ใช่สุดยอดราชาจริงๆรึ?
จักรพรรดินียังคงเหนี่ยวรั้งกู่ต้าวอี้เอาไว้ ในขณะที่ราชาจำนวนหนึ่งสามารถผ่านขึ้นมาระยะความสูงสุดท้ายได้และคว้าหางของสุนัขตัวดำได้สำเร็จ
หางของสุนัขตัวดำมีความยาวสองฟุตทำได้มีพื้นที่เพียงพอให้คนจำนวนหนึ่งจับเอาไว้ หากของสุนัขตัวดำกลายเป็นเป้าหมายของเหล่าราชาทันที ส่วนราชาที่มาทีหลังเมื่อไม่มีที่ให้จับหางแล้วพวกเขาก็เกิดความคิดที่จะจับขาหลังทั้งสองของมันแทน
ตอนที่ 1458
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้หลิงฮันกลายเป็นไร้คำพูด
“สุนัขบัดซบ ปล่อยปากของเจ้าได้แล้ว คนที่ได้รับวาสคือข้า เจ้าช่วยอย่ายุ่งได้รึไม่?” หลิงฮันกล่าว
“ห้ามปล่อยเด็ดขาด!” เหล่าราชาที่ห้อยอยู่กล่าวอย่างพร้อมเพรียง พวกเขาไม่รู้ว่าวาสนาบนหินบนสุดคืออะไร แต่พวกเขาทุกคนไม่ต้องการพลาดโอกาสนั้นเด็ดขาด
“ปล่อยปากของเจ้า!”
“อย่าปล่อย!”
ทั้งสองฝ่ายตะโกนลั่น ก่อนหน้านี้สุนัขตัวดำที่ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีแต่คนเกลียด ตอนนี้กลับกลายเป็นว่ามันคือผู้ช่วยชีวิตของทุกคนไปแล้ว
ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างหัวเราะขบขัน แม้ทุกครั้งที่หุบเขาเปิดออกจะมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นตลอด แต่ไม่มีครั้งไหนเทียบกับครั้งนี้ได้เลย
มีใครเคยเห็นกลุ่มราชาจำนวนมากเกาะหางกับเขาของสุนัขอย่างแน่นไม่ปล่อยรึเปล่า?
เหล่าราชารู้ว่าตนเองกำลังกลายเป็นเรื่องตลกของสาธารณะแต่ก็ไม่มีใครยอมปล่อยมือแม้แต่คนเดียว หากยอมปล่อยล่ะก็พวกเขาอาจจะต้องพลาดโอกาสนี้ไปตลอดกาล
พวกเขาเชื่อว่าแผ่นหินทองคำจะต้องไม่ได้มีอยู่โดยไร้เหตุผลแน่นอน
หากขึ้นไปด้านบนได้ พวกเขาจะมีโอกาพบพานกับวาสนาอันคาดไม่ถึง!
“อ้ากก!” สุนัขตัวดำกรีดร้อง จริงอยู่มันมีกายหยาบที่แข็งแกร่งเกินกว่าระดับพลังบ่มเพาะแต่ก็ไม่ได้เหมือนกับหลิงฮันที่กายหยาบจะยกระดับขึ้นไปพร้อมกับระดับพลังบ่มเพาะ ในตอนแรกมันมีระดับพลังที่สูงสุด แต่ด้วยการหลับไหลที่ยาวนานทำให้ทั้งพลังบ่มเพาะและความแข็งแกร่งของกายหยาบของอ่อนแอลง
ดังนั้นหากพลังบ่มเพาะของมันยังไม่ฟื้นฟูกลับไปเป็นดังเดิม กายหยาบก็จะไม่สามารถยกระดับขึ้นได้ แต่ในขณะเดียวกัน กายหยาบของมันในตอนนี้ก็ถือว่าไร้เทียมทานมากพอแล้ว
เพียงแต่ว่าด้วยการราชาจำนวนมากกำลังดึงหางมัน แถมอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของที่นี่ก็ยังพิเศษด้วยทำให้ราชาแต่ละคนมีน้ำหนักราวกับขุนเขา หากหางของมันต้องรับน้ำหนักของขุนเขาหลายลูก คิดว่าจะเจ็บปวดขนาดไหน?
ช่างทรมาน!
ใบหน้าของสุนัขตัวดำกลายเป็นบิดเบี้ยวและมีน้ำตาไหลออกมา
หลิงฮันแนะนำด้วยความหวังดี “เจ้าดำน้อย ปล่อยข้า!” เขากล่าวพร้อมกับพยายามกลั้นขำไปด้วย การที่เจ้าสุนัขตัวดำจะตกอยู่ในสภาพเวทนาเช่นนี้นั้นหาดูได้ยากยิ่ง
“อย่าปล่อย!” เหล่าราชาด้านล่างตะโกนพร้อมกัน
ที่จริงหลิงฮันก็ใช่ว่าจะไม่สามารถดึงร่างของราชาเหล่านี้ขึ้นแม้ แต่ปัญหาก็คืออำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของที่นี่นั้นพิเศษ แม้จะเป็นเขาก็แทบไม่สามารถแบกรับคนจำนวนมากเช่นนี้ได้
ใบหน้าของสุนัขตัวดำแดงก่ำ
มันเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ขนบนหางของมันถูกดึงหลุดไปหลายเส้นจนเกือบโล้น
ผลลัพธ์ของการแย่งชิงระหว่างราชากลายเป็นเรื่องตลกไปเสียแล้ว แม้กระทั่งปรมาจารย์ของสำนักละอองดาราก็ยังเผยรอยยิ้มขมขื่นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ไม่มีใครคาดคิดผลลัพธ์เช่นนี้!
ทันใดนั้นเอง ราชาอีกคนหนึ่งก็ขึ้นมาถึงความสูงระดับสองฟุตสุดท้ายได้ในที่สุด เขากระโดดเต็มแรงหวังไขว่คว้าหางของสุนัขตัวดำ
“ไม่ต้องมาเพิ่มแล้ว!” สุนัขตัวดำร้องโอดครวญ ทั้งหางกับขาของมันไม่มีที่เหลือให้จับแล้ว เจ้ายังจะกระโดดมาเพิ่มอีก?
ราชาที่กระโดดขึ้นมากวาดสายตามองก่อนที่จะเหลือไปเห็นแทงเล็กๆบางอย่าง แม้มันจะเล็กแต่ก็ยังพอให้คว้าจับเอาไว้ได้
เขาไม่ลังเลที่จะคว้าสิ่งนั้นเอาไว้และบีบจับแน่นไม่ปล่อย
“อ้ากกกกกกก!” สุนัขตัวดำเปลี่ยนสีหน้าทันใด อารมณ์บนใบหน้าของมันซับซ้อนจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
ทุกคนชะงักแน่นอน เนื่องจากราชาคนสุดท้ายนั้นเร่งรีบทำให้เขาไปจับแท่งอะไรบางอย่างที่อยู่ระหว่างขาของสุนัขตัวดำ
คิดว่าน้ำหนักราวกับขุนเขาที่ห้อยอยู่บนสิ่งนั้นจะทำให้รู้สึกอย่างไร?
แม้กายหยาบของสุนัขตัวดำจะไร้เทียมทาน แต่ก็ใช่ว่าสิ่งนั้นจะถูกขัดเกลาให้ทนทานไปด้วย
“ข้าขอสาปแช่งตระกูลของเจ้า!” สุนัขตัวดำร้องโอดครวญและอ้าปากปล่อยข้อเท้าหลิงฮันในที่สุด พร้อมกันนั้นเองมันก็บราชาคนอื่นๆก็ร่วงหล่นไปพร้อมกัน
ซื่อเฉินเฟิง “…”
หลงเซียงเยว่ “…”
เทียนเซี่ยตี้เอ้อ “…”
ราชาคนอื่น “…”
พรวดด!
“ฮ่าๆๆๆ!” เหล่าคนที่อยู้เบื้องร่างระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไหว
ในที่สุดเท้าของหลิงฮันก็หลุดพ้นและก้าวไปเหยียบบนแผ่นหินทองคำ
‘ครืนน’ ทันใดนั้นแสงทองคำก็โอบล้อมไปทั่วร่างของเขาก่อนที่ร่างของเขาจะหายไป พร้อมกันนั้นเองแสงแห่งวาสนาก็ส่องลงมายังร่างของจอมยุทธทุกคนที่ผ่านขึ้นมายังจุดที่สองของหุบเขา แต่เหล่าราชาที่ร่วงหล่นไปพร้อมกับสุนัขตัวดำนั้นพวกเขาไม่ได้รับวาสนาใดๆ
การแย่งชิงจบลง แม้กระทั่งจักรพรรดินีกับกู่ต้าวอี้ที่ยังสู้กันอยู่ก็ต้องหยุดมือ ตอนนี้สิ่งสำคัญคือต้องใช้เวลาที่มีไปกับการดูดซับวาสนาจากสวรรค์และปฐพี
เหล่าจอมยุทธที่ขึ้นมาถึงจุดที่สองได้นั่งลงที่แผ่นหินและโคจรทักษะบ่มเพาะเต็มกำลังเพื่อรับวาสนาอย่างเต็มที่ ส่วนผู้คนที่อยู่ด้านล่างนั้นพวกเขาทำได้เพียงจ้องมองอย่างหมดหวัง
สุนัขตัวดำโมโหทุกคนที่มาคว้าจับมันเอาไว้เป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้มันคงได้ขึ้นไปบนแผ่นหินสีทองกับหลิงฮันไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมีคนหนึ่งที่บังอาจจับส่วนสำคัญของมันอีก
“นายท่านหมาจะฆ่าพวกเจ้า!” มันกลายเป็นหมาบ้าไล่กัดคนไปทั่ว
ในตอนแรกทุกคนยังพอปล่อยไป แต่เจ้าสุนัขตัวดำนั้นไล่กัดคนไม่ไว้หน้าทำให้สุดท้ายเหล่าราชาก็กลายเป็นเกรี้ยวกราดและไม่สบอารมณ์
หนึ่งคน สองคน เหล่าราชาเริ่มตอบโต้ เมื่อจำนวนของราชาเกินกว่าที่สุนัขตัวดำจะรับมือไหวมันก็หันหลังและเผ่นหนีเนื่องจากมันกลายเป็นเป้าโจมตีของฝูงชน
“โฮ่ง โฮ่ง โฮ่ง นายท่านหมาจะกลับมาอีกครั้ง!” สุนัขตัวดำทิ้งท้ายคำพูดเอาไว้ก่อนร่างของมันจะกลายเป็นเส้นแสงสีดำเผ่นหายออกไปจากหุบเขาเฉินเอี๋ยน
เหล่าราชาหยุดมือไม่ไล่ตามเนื่องจากฝีเท้าของสุนัขตัวดำนั้นว่องไวเกินคำบรรยาย พวกเขาไม่มีทางไล่ตามจับมันได้แน่นอน
ทุกคนมอแหงนมองไปบนฟ้า แผ่นหินสีทองส่องประกายสว่างไหวเจิดจ้าอย่างไม่มีสิ้นสุด
หลิงฮัน… ได้รับวาสนาอันใดกัน?
ตอนที่ 1459
จะได้วาสนาแบบใดกันแน่?
หลิงฮันเองก็อยากรู้เหมือนกัน
แผ่นหินสีทองส่องประกาย หลิงฮันพบว่าแผ่นหินใต้เท้าของเขาหลอมหลายราวกับกลายเป็นของเหลวที่กังขังเขาเอาไว้ภายใน แต่หลิงฮันก็ไม่ได้คิดหลบเข้าไปในหอคอยทมิฬแต่อย่างใดและเลือกที่จะระมัดระวังตัวจนถึงที่สุด
โชคดีที่เข้าถูกดูดลงไปในก้อนหินโดยที่ไม่พบเจออันตรายใดๆ
เมื่อหัวของเขาจมหายไปอย่างสมบูรณ์ร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในสถานที่ที่แปลกประหลาด
ที่นี่ดวงดาวบนท้องฟ้าส่องประกายเจิดจ้ามาก เพียงแต่พวกมันไม่ใช่ของจริง ตัวเขาในยืนอยู่กลางอากาศแต่กลับรู้สึกเหมือนกับลังเหยียบอยู่บนพื้นดิน
ที่แท้ด้านในแผ่นหินสีทองก็มีช่องว่างมิติอยู่นั่นเอง
หลิงฮันก้าวเดินไปรอบๆ แต่ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนทิวทัศน์ที่มองเห็นก็เหมือนกันทั้งหมดคือมีเพียงดวงดาวบนท้องฟ้า
แล้วไหนล่ะวาสนา?
“เฮ้!” หลิงฮันตะโกน “มีใครอยู่ไหม?”
หลังจากกล่าวประโยคนั้นออกไปเขาก็หัวเราะตลกกับการกระทำของตัวเอง
“มี” แต่ทันใดนั้นจู่ๆก็มีเสียงของใครบางคนตอบกลับมา
หลิงฮันชะงัก “ใครกัน?”
“คนที่ตายไปนานไม่รู้กี่ล้านปีแล้ว” เสียงนั้นกล่าว
หลิงฮันไม่คิดจะไว้ใจอีกฝ่ายง่ายๆ เขากล่าว “ผู้อาวุโสมีชื่อเรียกว่าอะไร?”
“ข้า…” เสียงนั่นชะงักเล็กน้อย “ชื่อของข้าคือหูหยู่ หากนับแล้วข้าคงตายเป็นผีมานานแล้วหลายพันล้านปี”
“ผู้อาวุโสเรียกข้ามาที่นี่มีจุดประสงค์อันใด?” หลิงฮันเอ่ยถาม
“เพื่อมอบวาสนาที่ยิ่งใหญ่ให้เจ้า!” หูหยู่กล่าว
หลิงฮันไม่แสดงท่าทีอะไรและกล่าว “ผู้อาวุโสจะมอบวาสนาเช่นใดให้ผู้เยาว์?”
“เจ้าหนู เจ้ารู้รึไม่ว่าเหนือว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ยังมีดินแดนที่เหนือกว่า?” หูหยู่ถาม
หลิงฮันประหลาดใจเล็กน้อย หรือวิญญาณตนนี้จะมาจากดินแดนแห่งเซียนเช่นกัน? มีความเป็นไปได้สูงมากเนื่องจากแม้กระทั่งเซียนซิงฉาก็ไม่สามารถฝืนอำนาจของหุบเขาแห่งนี้ได้ เป็นข้อพิสูจน์กว่าผู้สร้างที่นี่ต้องมีพลังระดับราชาเซียนเป็นอย่างน้อย
เหนือกว่าราชาเซียนคือระดับโลกียนิพพาน ซึ่งปรมาจารย์เช่นนั้นมีเพียงในดินแดนแห่งเซียน
“ดินแดนแห่งเซียน?” หลิงฮันกล่าวเสียงเบา
“โอ้ เจ้ารู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนแห่งเซียนด้วย? หรือเจ้าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ถูกขับไล่ออกมา?” หูหยู่ตกตะลึง
เผ่าพันธุ์ที่ถูกขับไล่? หรืออีกฝ่ายจะหมายถึงเผ่าสวรรค์บรรพกาล?
ทั้งเผ่าไร้หน้าหรือเผ่าเก้าอสรพิษล้วนแต่มีพลังสายเลือดที่ทรงอำนาจ ติงผิงกับจิ่วเยาเองก็มีโอกาสสูงที่จะเป็นเผ่าสวรรค์บรรพกาลเช่นกัน ส่วนกู่ต้าวอี้นั้นไม่ต้องกล่าวถึง เขาไม่ใช่ทายาทผู้สืบสายเลือดแต่เป็นเผ่าสวรรค์บรรพกาลขนานแท้
เผ่าพันธุ์ที่ทรงพลังขนาดนั้นยังถูกขับไล่ออกมาจากดินแดนแห่งเซียน?
หลิงฮันไม่เอ่ยตอบ ที่จริงเขารู้เกี่ยวกับเผ่าสวรรค์บรรพกาลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขารู้เพียงแค่ว่าเผ่าเหล่านี้มีจำนวนอยู่น้อยมากในดินแดนแห่งเซียน แน่นอนว่าในเมื่อไม่รู้เขาย่อมไม่กล่าวออกไป
หูหยู่ไม่สงสัยอะไรในตัวเขา “ในเมื่อเจ้ารู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนแห่งเซียนก็ช่วยประหยัดเวลาข้าไปเยอะ ข้าสามารถมอบทักษะของดินแดนแห่งเซียนและอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของดินแดนแห่งเซียนให้เจ้าได้ แต่มีข้อแม้คือเจ้าต้องสังหารใครบางคนให้ข้า”
“คนแบบไหนที่ท่านจะให้ข้าสังหาร?” หลิงฮันถาม “ที่ข้าจะบอกท่านคือข้าไม่มีนิสัยชอบสังหารผู้บริสุทธิ์ ถ้าไม่มีเหตุผลให้ฆ่า ข้าคงต้องกล่าวปฏิเสธ”
หอคอยทมิฬคือหนึ่งในสมบัติที่ทรงพลังที่สุดในดินแห่งเซียน ดังนั้นหลิงฮันจึงไม่โลภมากเพียงเพราะอีกฝ่ายเสนอสมบัติจากดินแดนแห่งเซียนให้เขาและทรยศอุดมคติของตัวเอง
“ฮ่าๆๆ!” หูหยู่หัวเราะ “ดีมาก ข้าชอบคนเช่นเจ้า ถ้าเช่นนั้นข้าจะเล่าเรื่องราวให้เจ้าฟัง”
อีกฝ่ายแน่นิ่งชั่วครูก่อนจะเล่า
“ช้าเป็นสมาชิกคนสุดท้ายของตระกูลหู”
“เมื่อหลายพันล้านปีก่อน ได้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นที่ดินแดนแห่งเซียน ขุมอำนาจนับไม่ถ้วนไม่ว่าจะอ่อนแอหรือแข็งแกร่งต่างถูกทำลายและขับไล่ออกมาจากดินแดนแห่งเซียน”
“ตระกูลหูของนางไม่ใช่ขุมอำนาจที่แข็งแกร่งอะไร เป็นเพียงขุมอำนาจระดับระดับโลกียนิพพานเท่านั้น ครั้งหนึ่งตระกูลของข้าได้รับสมบัติลับบางอย่างมา แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดพวกเราก็ยังไม่รู้ว่าสมบัติที่ว่ามีอยู่ด้วยจุดประสงค์อะไร”
“ท่ามกลางความโกลาหล ตระกูลหูของข้าวางตัวเป็นกลางไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใด แต่ก็ได้มีตระกูลหนึ่ง…”
เสียงของหูหยู่เปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับกำลังกัดฟันพูด “พวกมันโหดเหี้ยมอย่างมาก พวกมันสังหารหมู่ตระกูลหู่ของข้าโดยไม่สนว่าพวกเขาจะเป็นกลางหรือไม่ ผลสุดท้ายก็คือสมาชิกตระกูลหูทั้งหมดได้ถูกสังหารไม่เหลือ”
“สิ่งที่ตระกูลนั้นต้องการคือสมบัติที่ตระกูลข้าครอบครองอยู่ ตระกูลที่ว่านั้นเคยเป็นมิตรที่แน่นแฟ้นกับตระกูลหู พวกเราจึงไม่ได้เตรียมการป้องกันใดๆไว้!”
“ตัวข้าโชคดีที่กำลังเดินทางหาประสบการณ์อยู่จึงรอดมาได้”
“เมื่อได้ยินข่าวข้ารีบกลับตระกูลทันทีเพื่อไปนำสมบัติที่เก็บซ่อนไว้หลบหนีออกมา”
“ตระกูลที่ว่าได้ทำการค้นหาอยู่เวลานานแล้วแต่ก็ไม่พบสมบัติที่ซ่อนเอาไว้ ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังเฝ้ามองดูอยู่ตลอดเวลา เมื่อข้าไปนำสมบัติออกมาตระกูลนั้นก็ไล่ล่าข้าอย่างเอาเป็นเอาตาย”
“ข้านำสมบัติหลบหนีออกมาจากดินแดนแห่งเซียนได้ แต่ในขณะที่ถูกไล่ล่าข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสิ้นพลังชีวิตในที่สุด”
“ทว่า เศษเสี้ยววิญญาณของข้ากลับผสานรวมเข้ากับสมบัติลับได้ และเป็นในตอนนั้นเองที่ข้ารู้ว่าสมบัตินั่นคืออะไร แต่น่าเสียตายที่ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว…”
“ด้วยพลังเกื้อหนุนจากสมบัตินั่นทำให้ดวงวิญญาณของข้าไม่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลาและคงอยู่เพื่อตามหาสุดยอดอัจฉริยะที่จะสามารถเข้าไปยังดินแดนแห่งเซียนได้ในอนาคตและทำการชำระล้างความแคว้นให้แก่ตระกูลหู!”
“ข้าสามารถใช้พลังของสมบัติได้อย่างจำกัด ข้าได้เปลี่ยนอำนาจของสวรรค์และปฐพีในพื้นที่แห่งนี้เพื่อดึงดูดเหล่าอัจฉริยะแห่งยุคสมัย หลังจากรอคอยมานานแสนนานในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัว”
“ข้าไม่ได้อย่างให้เจ้าฆ่าล้างตระกูลที่เป็นศัตรูกับตระกูลหู ขอแค่ตัวการได้รับบทลงโทษที่สมควรก็พอ ข้าขอให้เจ้าสัตย์สาบานต่อหน้าสวรรค์ว่าเจ้าจะทำภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วง ตราบใดที่เจ้าสาบานข้าจะมอบทักษะของตระกูลหูและสมบัติลับให้เจ้า”
“ถ้าเรื่องที่ผู้อาวุโสเล่าเป็นความจริง หลังจากที่ข้าไปถึงดินแดนแห่งเซียนและวันหนึ่งมีพลังเพียงพอ ข้าขอรับปากว่าจะทำภารกิจของผู้อาวุโสให้ลุล่วง!” หลิงฮันยกมือขึ้นเพื่อสาบาน
ยิ่งระดับพลังของจอมยุทธสูงขึ้นย่อมไม่สามารถกล่าวสาบานอย่างมั่วซั่วได้เนื่องจากจะเป็นการกระตุ้นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ของสวรรค์และปฐพีราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
“ดีมาก!” หูหยู่หัวเราะสะใจราวกับมองเห็นศัตรูคู่อาฆาตตายต่อหน้าต่อตา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น