Alchemy Emperor of the Divine Dao 1440-1449
ตอนที่ 1440
สตรีนกอมตะถูกส่งร่างจากใต้ต้นสังสารวัฏมายังตำแหน่งที่หลิงฮันอยู่ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้าเพิ่งให้เม็ดยากับข้าเมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุใดถึงได้กลับมาไวเช่นนี้? ข้ายังกินเม็ดยาชุดก่อนไม่หมดเลย”
“ข้าจะคิดถึงเจ้าบ้างไม่ได้รึ?” หลิงฮันยิ้ม
สตรีนกอมตะจ้องมองมาที่เขาและกล่าว “ในหัวเจ้าคงคิดถึงแต่เรื่องไม่ดีน่ะสิ”
หลิงฮันหัวเราะก่อนจะกล่าว “เหตุใดถึงพูดจาทำร้ายกันเช่นนี้? ระหว่างพวกเราไม่มีความเชื่อใจต่อกันเลยรีไง?”
สตรีนกอมตะหัวเราะแห้ง “ถ้ามือของเจ้าไม่ได้สัมผัสร่างของข้าอยู่ ข้าก็คงเชื่อใจเจ้าอยู่หรอก”
หลิงฮันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ากำลังตรวจสอบว่าเจ้าอ้วนขึ้นหรือผอมลงอยู่ต่างหาก”
“แล้วอ้วนขึ้นหรือผอมลงล่ะ?” สตรีนกอมตะถลึงตา
“กำลังพอดี” หลิงฮันยิ้ม
“เลิกป่วนได้แล้ว ข้าต้องบ่มเพาะพลัง!” สตรีนกอมตะกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า
“ภรรยาข้า เจ้าช่างหน้าไม่อายยิ่งนักที่แสร้งว่าตนเองเป็นสะใภ้ตระกูลหลิงมาเป็นเวลากว่าหมื่นปี เพราะงั้นแล้ววันนี้ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นสะใภ้ตระกูลหลิงอย่างที่เจ้าต้องการ” หลิงฮันเริ่มถอดเสื้อผ้าของตัวเอง
“เจ้าอันธพาล ไปให้พ้น!” สตรีนกอมตะพยายามขัดขืน
หลิงฮันแสยะยิ้ม “ภรรยาข้า ในอดีตเจ้ามาหาข้าและบังคับแย่งชิงเม็ดยาทุกอย่างไปจากข้า เจ้ายังจำได้รึเปล่า? นี่เวลาก็ผ่านมาหมื่นปีแล้ว พวกเราคงต้องคิดบัญชีกันเสียหน่อย!”
“หลิงฮัน! นายน้อยฮัน! พี่ชายฮัน!” สตรีนกอมตะโอดครวญด้วยหน้าแดงก่ำ “โปรดปล่อยข้าไปสักครั้ง!”
“ไหนลองเรียกพี่ชายฮันให้ข้าฟังอีกสิ” หลิงฮันยังไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ
“พี่ชายฮัน! พี่ชายฮันที่แสนดี!” สตรีนกอมตะทำได้เพียงยอมกล่าวออกมาด้วยใบหน้าเขินอาย แต่ถ้านางไม่ทำตามก็ไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้จะทำอะไรกับนางบ้าง
“อืม ถือว่าพอใช้ได้” หลิงฮันยิ้ม
สตรีนกอมตะถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดหลิงฮันก็ยอมปล่อยนางไปแล้ว?
ไม่มีทาง
นางไม่เชื่อว่าจะเป็นแบบนั้น!
“ต่อไปก็ถึงเวลาที่เจ้าต้องเอาใจหลิงฮันน้อยแล้ว”
สตรีนกอมตะชะงักก่อนจะนึกถึงกายหยาบที่แข็งแกร่งของหลิงฮัน ด้วยกำลังอันมหาศาลของบุรุษผู้นี้แล้ว เขาจะทำให้นางเจ็บมากเพียงใด?
หลิงฮันไม่สนใจ เขาจับนางจูบอย่างดูดดื่มทันทีทำให้สตรีนกอมตะต้องนำแขนเอื้อมไปกอดคอหลิงฮัน ร่างกายของทั้งสองพัวพันกันจนสตรีนกอมตะสูญเสียการทรงตัวและถูกหลิงฮันจับกดลงเตียง
เวลาผ่านไปสักพักในที่สุดเสียงดังของเตียงก็กลับมาสงบสุข
……
สิบปีผ่านไปในพริบตา
ด้วยเม็ดยาจำนวนมหาศาล ทั้งหลิงฮันกับสตรีนกอมตะจึงทะลวงผ่านขั้นพลังกันทั้งคู่ คนหนึ่งบรรลุระดับดาราขั้นสูงสในขณะที่อีกคนบรรลุระดับดาราขั้นกลาง
ติงผิงกับจิ่วเยาเองก็พัฒนาอย่างรวดเร็ว พวกเขาทะลวงผ่านระดับดาราได้สำเร็จทำให้ตอนนี้ทั้งสองกล่าวได้ว่าเป็นปรมาจารย์ที่แท้จริงเสียที
ในขณะเดียวกัน ชื่อเสียงของกู่ต้าวอี้ค่อยๆโด่งดังขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุด ตอนนี้เขาคือราชารุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งยุคสมัย แม้จะยังไม่ทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์เขาก็ไร้เทียมทานที่สุดในหมู่จอมยุทธระดับดารา
ผ่านไปอีกไม่กี่เดือน เป่ยหวงกับฉือหวงก็ใสถึงดาวมู่ถูและมาพบหลิงฮัน เพราะอย่างไรหลิงฮันในตอนนี้ก็พอมีชื่อเสียงอยู่แล้ว การจะหาตัวเขาจึงไม่ยากเท่าไหร่
“น้องชายหลิง!” ทั้งสองแม้จะไม่ใช่จอมยุทธจากเขตดวงดาวเดียวกันแต่พวกเขาสนิทสนมกันอย่างมากจนเริ่มรู้สึกสงสัยว่าระหว่างทั้งสองคนนั้นมีความลับอะไรกันอยู่รึเปล่า
“พี่ชายเป่ย พี่ชายฉือ!” หลิงฮันเอ่ยทักทายพวกเขา
“อะไรกัน… น้องชายหลิงฮันช่างน่าทึ่งนัก เวลายังผ่านไปไม่เกินหนึ่งร้อยปีเลยแท้ๆ แต่เจ้ากลับบรรลุระดับดาราขั้นสูงได้แล้ว เหลือเชื่อจริงๆ!” ฉือหวงอุทานออกมา จริงอยู่ที่เขามองหลิงฮันเอาไว้สูงมาก แต่ความเร็วในการบ่มเพาะพลังเช่นนี้เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ดี
หลิงฮันส่ายหัวและกล่าว “ข้ายังอ่อนด้อยกว่าพวกท่านทั้งสองอยู่ดี” เขาไม่สามารถมองเห็นพลังบ่มเพาะของเป่ยหวงและฉือหวง นั่นหมายถึงทั้งสองคงบรรลุระดับดาราขั้นสูงสุดแล้ว บางทีอาจจะเป็นขั้นสูงสุดชั้นสูงสุดด้วยซ้ำ
“นี่เจ้ากำลังถ่อมตัวหรือโอ้อวดกันแน่?” เป่ยหวงส่ายหัวและยิ้ม “เพียงแต่ว่ในยุคสมัยนี้มีราชาที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นมากมาย คนเหล่านั้นไม่สามารถดูถูกได้เลย”
ฉือหวงพยักหน้าและกล่าวต่อ “ศาสตร์วรยุทธกำลังเข้าสู่ยุครุ่งโรจน์ จอมยุทธที่สามารถปีนป่ายขึ้นสู่จุดสูงสุดของเซียนในยุคสมัยนี้ได้จะก่อให้เกิดประวัติศาสตร์ครั้งใหม่และมีโอกาศกลายเป็นราชาเซียน”
ตอนที่ 1441
จำนวนของเซียนที่ว่ามีน้อยแล้ว ราชาเซียนยิ่งมีน้อยยิ่งกว่า
อย่างน้อยในเขตดวงดาวนับร้อยในบริเวณใกล้เคียงก็ไม่มีตัวตนระดับนั้นอยู่ หลานพันล้านปีที่ผ่านมานี้ ราชาเซียนไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
“อายุขัยของเซียนซิงฉาใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ด้วยพลังของเซียนระดับสูงอย่างเซียนซิงฉา การตายของเขาย่อมส่งผลกระทบต่อสวรรค์และปฐพี รุ่นเยาว์ในยุคสมัยนี้จึงมีโอกาสทะลวงผ่านระดับเป็นเซียนระดับสูงเหมือนกับเซียนซิงฉา” เป่ยหวงกล่าว
“ยุคสมัยนี้จะมีราชาเซียนถือกำเนิด!” ฉือหวงตื่นเต้น
ทันใดนั้นจักรพรรดิพิรุณบังเอิญกลับมาพอดี เขาไม่กล่าวอะไรและท้าทั้งสองคนประลองทันที จักรพรรดิพิรุณท้าทายสู้กับเป่ยหวงและฉือหวงพร้อมกันถึงสองคน
เพียงแต่ว่าจักรพรรดิพิรุณนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ต่อให้เป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อสองเขาก็ยังไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแม้แต่น้อย เป่ยหวงกับฉือหวงไม่ต้องการเอาเปรียบด้วยอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ดังนั้นการประลองจึงกินเวลาไปถึงครึ่งวันก่อนจะจบลงด้วยการเสมอ
“เป็นการต่อสู้ที่สนุกจริงๆ!” จักพรรรดิพิรุณหัวเราะลั่น
“น้องชายหลิง คนผู้นี้เป็นใคร พลังของเขาช่างดุร้ายนัก!” ฉือหวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ความมั่นใจของเขาไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย
จักรพรรดิพิรุณเชี่ยวชาญในการใช้หมัดต่อสู้ เพราะงั้นสำหรับเขาแล้วการจะใช้อาวุธหรือไม่นั้นย่อมไม่ต่างกันซึ่งผิดกับฉือหวงและเป่ยหวง ทั้งสองจำเป็นต้องใช้อาวุธดึงพลังต่อสู้ออกมาให้ถึงขีดสุด
“เขาคือพี่สองของข้า” หลิงฮันมองไปยังจักรพรรดิรุณ คำพูดของเขาทำให้ทั้งเป่ยหวงและฉือหวงตกตะลึง
“พวกเจ้าช่างเป็นกลุ่มที่น่าสะพรึงกลัวนัก ทั้งๆที่มาจากโลกใบเล็กแท้ๆแต่ยังสามารถกลายเป็นราชาระดับสองได้!”
เขตดวงดาวใหญ่เขตหนึ่งสามารถให้กำเนิดราชาระดับสองได้เพียงหนึ่งหรือสองคนในยุคสมัยเดียวกัน แต่พี่น้องสองคนนี้สามารถเป็นราชาระดับสองได้ทั้งๆที่มาจากโลกใบเล็กใบเดียวกัน
หลิงฮันยิ้ม ติงผิงที่มาจากทวีปฮงเทียนเหมือนกับพวกเขาเองก็เป็นราชาระดับสอง!
“ข้าขอยืนยันได้เลยว่ายุคสมัยของพวกเรานี่ล่ะที่จะนำพาวรยุทธไปสู่ยุคที่รุ่งโรจน์!” เป่ยหวงปรบมือ
“แต่การที่มาเกิดในยุคสมัยนี้ ข้าไม่รู้วันมันคือโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่” ฉือหวงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เท่านี่ข้ารู้ในตอนนี้ ราชาระดับสามที่ปรากฏตัวแล้วมีอย่างน้อยห้าคน!”
“ห้าคน!” ใบหน้าของหลิงฮันเปลี่ยนเป็นจริงจังเช่นกัน
ราชาระดับสามหมายถึงอะไร? พลังบ่มเพาะของคนเหล่านั้นจะต้องบรรลุระดับดาราขั้นสมบูรณ์!
“ห้าคนที่ว่าคือกู่ต้าวอี้ จักรพรรดินีหล่วนซิง” เป่ยหวงนับนิ้วในขณะที่กล่าว “ซื่อเฉินเฟิง หลงเซียงเยว่และเทียนเซี่ยตี้เอ้อ”
“เทียนเซี่ยตี้เอ้อ? (อันดับสองใต้สวรรค์)” หลิงฮันชะงึก เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีใครซักคนตั้งชื่อแบบนี้
“มีตระกูลที่ชื่อเทียนเซี่ย(ใต้สวรรค์)อยู่จจริงๆ มีคำกล่าวว่าผู้ก่อตั้งตระกูลนั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดใต้สวรรค์ จึงได้เปลี่ยนแซ่ของตัวเองมาเป็นเทียนเซี่ย ส่วนเทียนเซี่ยตี้เอ้อผู้นี้แต่เดิมไม่ใช่ชื่อว่าตี้เอ้อ(อันดับสอง) แต่ด้วยพรสวรรค์ในศาสตร์วรยุทธของเขาที่มีศักยะภาพใกล้เคียงกับผู้ก่อตั้งทำให้เขาถูกตั้งชื่อใหม่ว่าตี้เอ้อ หรือก็คือจอมยุทธที่แข็งแกร่งรองลงมาจากผู้ก่อตั้งก็คือตัวเขา” ฉือหวงอธิบาย
หลิงฮันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขาไม่ต้องกังวลแล้วว่าจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ให้เขาได้
“น้องชายหลิง ถ้าพวกเราไม่สามารถบรรลุระดับดาราขั้นสมบูรณ์ได้ พวกเราไม่ก็มีคุณสมบัติพอที่จะต่อกรกับคนเหล่านั้น พวกเราสามารถรอให้ถึงตอนที่ทุกคนทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นพลังต่อสู้ของทุกคนจะกลับมาทัดเทียมกัน”
“เพียงแต่ว่าแม้จะขัดเกลาขั้นสมบูรณ์เยอะกว่าเพียงระดับพลังเดียว ต่อให้เป็นเริ่มต้นระดับพลังใหม่เหมือนกันแล้วพวกเขาก็ยังได้เปรียบอยู่ดี!”
ทั้งฉือหวงและเป่ยหวงส่ายหัว พวกเขาขัดเกลาขั้นสมบูรณ์สำเร็จถึงสองระดับพลังซึ่งเพียงพอแล้วที่จะมีคุณสมบัติกลายเป็นเซียน
แต่ใครใช้ให้พวกเขาอยู่ในยุคสมัยอันรุ่งโรจน์กันล่ะ ในยุคสมัยนี้มีราชาระดับสองปรากฏตัวจำนวนมากแถมราชาระดับสามก็ยังมีถึงห้าคน โดยที่จำนวนห้าคนนี้ก็เป็นเพียงจำนวนที่พวกเขารู้เท่านั้น
“จริงสิ น้องชายหลิง เจ้ารู้รึไม่ว่าทำไมพวกเราถึงตัดสินใจมายังดาวดวงนี้ก่อนกำหนด?” เป่ยหวงเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไม่ใช่ว่าเพื่อเตรียมตัวหรอกรึ?” หลิงฮันถาม
“ไม่ใช่!” ฉือหวงส่ายหัวก่อนจะหยุดแน่นิ่งไปชั่วครู่ “วาสนาครั้งใหญ่จะปรากฏให้ช่วงชิงก่อนที่สำนักละอองดาราจะเปิดรับศิษย์”
“หรือก็คือสำนักละอองดาราจะเปิดรับศิษย์ก็ต่อเมื่อวาสนาที่ว่าสิ้นสุดแล้ว” เป่ยหวงกล่าวเสริม
หลิงฮันรู้สึกสนใจจึงกล่าว “วาสนาที่ว่าคืออะไร?”
ฉือหวงตอบ “ที่ดาวมู่ถูที่สถานที่ที่เรียกว่าหุบเขาเฉินเอี๋ยน ตามปกติแล้วที่นั่นก็เป็นเพียงหุบเขาทั่วไปไม่ได้มีแม้แต่สมุนไพรศักดิ์สิทธิ์หรือแร่โลหะศักดิ์สิทธิ์ แต่ในช่วงเวลาหนึ่ง หุบเขานั่นจะเปิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์”
เป่ยหวงกล่าวต่อ “ตราบใดที่เป็นสิ่งมีชีวิต ขอแค่ไปยืนบนแผ่นหินที่อยู่ในหุบเขานั่นและต่อสู้กัน แผ่นหินก็จะค่อยๆลอยขึ้นท้องฟ้า แผ่นหินของใครที่ลอยขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุดการแย่งชิงก็จะสิ้นสุด”
“เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว สวรรค์และปฐพีจะปลดปล่อยอำนาจบางอย่างออกมา ยิ่งใครได้อยู่บนแผ่นหินที่สูงก็จะได้อาบแสงวาสนาที่เข้มข้นยิ่งกว่า พลังบ่มเพาะของเหล่าคนที่ได้รับวาสนาจะทะยานสูงขึ้นราวกับก้าวกระโดด” ฉือหวงกล่าว
หลิงฮันมีสีหน้าสงสัย “นั่นไม่ยุติธรรมเกินไปหน่อยงั้นรึ หากเป็นแบบนั้นยิ่งจอมยุทธที่มีระดับพลังสูงกว่าก็ยิ่งได้เปรียบในการแย่งชิงแผ่นหินไม่ใช่รึไง”
เป่ยหวงยิ้มและกล่าว “อย่างแรกเลย จอมยุทธที่มีพลังบ่มเพาะระดับวารีนิรันดร์ขึ้นไปไม่สามารถเข้าร่วมรับวาสนาได้ เพราะงั้นเหล่าจอมยุทธที่ตั้งใจมาเข้าร่วมสำนักละอองดาราจึงมีพลังบ่มเพาะอยู่เพียงระดับดารา ต่อให้มีคนที่ใกล้จะทะลวงผ่านระดับวารีนิรันดร์ก็ตาม พวกเขาก็จะสะกดพลังของตนเองเอาไว้เพื่อรับวาสนานี้”
“อย่างที่สาม ตราบใดที่ไปยืนอยู่บนแผ่นหินแล้ว พลังบ่มเพาะก็จะถูกลดไปยังระดับดาราขั้นต้น กล่าวได้ว่านี่คือการต่อสู้ในระดับเดียวกันอย่างแท้จริง” ฉือหวงกล่าว
“อย่างที่สาม ต่อให้น้องชายหลิงมีกายหยาบที่ไร้เทียมทานแค่ไหน ศัตรูก็สามารถโจมตีทำลายแผ่นหินใต้เท้าของเจ้าได้ เมื่อใดที่แผ่นหินถูกทำหลาย คนคนนั้นก็ต้องเริ่มไต่เต้าขึ้นมาจากด้านล่างสุดใหม่”
จักรพรรดิพิรุณหัวเราะและกล่าว “นี่ล่ะ ต้องแบบนี้ล่ะถึงจะน่าสนุก วาสนาที่ว่าจะเริ่มเมื่อใด?”
“อีกไม่นาน น่าจะราวอีกไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้” เป่ยหวงกล่าว
“เพียงแต่ว่า ถึงแม้พลังบ่มเพาะของทุกคนจะถูกลดลงมาเหลือระดับดาราขั้นต้น แต่พลังต่อสู้ที่ขัดเกลาจนบรรลุขั้นสมบูรณ์นั้นไม่ได้หายไป” ฉือหวงกล่าว “ราชาระดับสามยังคงได้เปรียบอยู่เหมือนเดิม อย่างน้อยพวกเขาก็มีพลังต่อสู้มากกว่าคนอื่นหนึ่งดาว”
“กู่ต้าวอี้ จักรพรรดินีหล่วนซิง ซื่อเฉินเฟิง หลงเซียงเยว่และเทียนเซี่ยตี้เอ้อ ทั้งห้าคนนี้คือคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุด” เป่ยหวงกล่าว “ดังนั้นพวกข้าถึงตั้งใจว่าจะตั้งกลุ่มเพื่อร่วมมือกันสู้ไปด้วยกัน”
“ทำแบบนั้นก็ได้รึ?” หลิงฮันประหลาดใจ
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” ฉือหวงถามกลับ
นี่มัน… เมื่อกี้เพิ่งบอกว่าเป็นการแข่งขันที่ยุติธรรมอยู่เลยแท้ๆ ตอนนี้กลับมาบอกว่าสามารถร่วมมือกันได้ แล้วยังจะเรียกว่ายุติธรรมได้อย่างไร?
“คนราวๆห้าถึงหกคนสามารถขึ้นไปยังจุดสูงสุดพร้อมกันได้รึไม่?” หลิงฮันถาม
“ไม่สามารถทำได้” เป่ยหวงส่ายหัว “การแข่งขันในหุบเขาเฉินเอี๋ยนจะถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ในส่วนแรกทุกคนจะสามารถร่วมมือกันได้ แต่หลังจากที่แผ่นหินลอยขึ้นสูงไปถึงจุดนึง การร่วมมือกันจะไม่สามารถทำได้อีกต่อไป ยิ่งกว่านั้นมีเพียงหลังจากขึ้นมาสูงถึงส่วนหนึ่งแล้วเท่านั้นถึงจะได้รับวาสนาจากสวรรค์และปฐพี”
“ตอนนี้มีน้องชายหลิงกับน้องชายจักรพรรดิพิรุณแล้ว พวกเราจะหาคนอีกสักหน่อยเพิ่มให้กลุ่มเรามีจำนวนสิบสองคน” ฉือหวงกล่าว
ตอนที่ 1442
หลิงฮันสะบัดมือและกล่าว “ข้ามีพรรคพวกอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว ข้าต้องการตำแหน่งในกลุ่มแปดตำแหน่ง”
“แปดคน!” ฉือหวงประหลาดใจเล็กน้อย กลุ่มที่พวกเขาต้องการรวบรวมนั้นไม่ใช่ว่าต้องมีจำนวนคนเยอะเพียงอย่างเดียว แต่ทุกคนยังต้องเป็นราชาระดับสองด้วย
หลิงฮันพยักหน้า “ใช่แล้ว แปดคน”
“น้องชายหลิง ข้าอาจจะพูดฟังไม่เข้าหูนะ แต่เจ้าแน่ใจรึว่าคนอื่นๆนอกจากเจ้ากับจักรพรรดิพิรุณจะไม่เป็นตัวถ่วง?” เป่ยหวงกล่าว
“ไม่ต้องกังวล!” หลิงฮันพยักหน้า ทั้งลูกศิษย์ทั้งสองของเขาหรือสวีเหลิน ใครบ้างที่ไม่ใช่ราชาระดับสอง? จักรพรรดินีเองก็เป็นถึงราชาระดับสาม ส่วนเซียนหวู่เซียง… พลังของคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพียงยังไม่แข็งแกร่งพออีกรึ?
หากพูดถึงออร่าแห่งเซียนแล้วล่ะก็ มันย่อมเพียงพอที่จะใช้ข่มขู่คู่ต่อสู้เพื่อหาจังหวะโจมตีได้แน่นอน
มีเพียงสตรีนกอมตะเท่านั้นมีอ่อนแอกว่าคนอื่น แต่ศักยภาพราชาระดับหนึ่งของนางก็ไม่ได้ทิ้งห่างจากคนอื่นๆเท่าไหร่
“งั้นก็ดี!” ฉือหวงพยักหน้า “งั้นพวกเขาจะไปหาสหายมาเข้าร่วมอีกสองคน”
“อืม!” หลิงฮันพยักหน้า
ที่จริงเขาสามารถหาสองคนมาเข้ากลุ่มได้อีกเช่นกัน เนื่องจากเขามีความสัมพันธ์ฉันสหายกับเย่วหยิงและหยางหลินที่มาจากเขตดวงดาวแสงคงกระพัน แต่เนื่องจากฉือหวงกับเป่ยหวงเป็นคนเสนอให้เขาเข้าร่วมกลุ่มดังนั้นเขาจึงมอบอิสระในการหาคนเข้ากลุ่มอีกสองกลุ่มให้กับพวกเขา
หลังจากทั้งสองคนจากไป หลิงฮันก็ลองไปสำรวจหุบเขาเฉินเอี๋ยน เป็นอย่างที่ฉือหวงบอก หุบเขาแห่งนี้ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากหุบเขาทั่วไป หุบเขาแห่งนี้มีหินระเกะระกะไปทั่วพื้นที่ และไม่มีทั้งป่าไม้ สัตว์อสูรหรือแมลงใดๆ
แต่ตอนนี้หุบเขาที่แสนธรรมดากลับกำลังส่องแสงเบาบางสลัว ในช่วงการวันอาจจะไม่สามารถสังเกตเห็นต้องเป็นช่วงเวลากลางคืนถึงจะเห็นได้ชัด
แต่การเปลี่ยนแปลงของหุบเขาก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเวลาผ่านไปเจ็ดวันแสงก็เข้มข้นขึ้นจนสามารถมองเห็นชัดได้แม้กระทั่งในเวลากลางวัน
หลิงฮันกลับไปยังที่พัก ผ่านไปอีกไม่กี่วันเขาก็เห็นจักรพรรดิพิรุณและเป่ยหวงเดินมาด้วยกัน นอกจากนั้นก็ยังมีชายหนุ่มท่าทีหยิ่งยโสอีกสองคนเดินอยู่กับพวกเขาด้วย ชายหนุ่มอีกสองคนนั้นมีทางทางองอาจราวกับตนเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล
“ข้าจะแนะนำให้รู้จัก” เป่ยหวงหัวเราะ “คนผู้นี้คือพี่ชายเนี่ยเทียนเฉิง พี่ชายเนี่ยคือศิษย์เล็กคนที่สิบแปดของเซียนเฟ่ยยู่และเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์มากที่สุด”
เนี่ยเทียนเฉิงเผยรอยยิ้มเรียบง่ายแต่กับแฝงไปด้วยความหยิ่งยโสที่ฝังลึกถึงกระดูก
“คนผู้นี้คือพี่ชายตันจิงอี่” เป่ยหวงชี้ไปยังชายหนุ่มอีกคน “พี่ชายตันเป็นศิษย์คนที่หกของเซียนหลิ่วชาน”
ตันจิงอี่พยักหน้าให้กับหลิงฮันแต่ก็ยังไม่ละทิ้งท่าทีหยิ่งทะนง
“ไม่ใช่ว่ากลุ่มของพวกเราครบสิบสองคนแล้วหรอกรึ?” ตันจิงอี่กล่าวและขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
แน่นอนว่าเขาไม่สบอารมณ์ คนเหล่านี้สมควรเตรียมตัวกันเอาไว้พร้อมแล้วไม่ใช่รึไง เมื่อพวกเขามาถึงกลุ่มก็ต้องรีบออกเดินทางทันที แต่เหตุใดคนที่อยู่ที่นี่ถึงได้มีเพียงหลิงฮันคนเดียว แล้วคนอื่นล่ะ? จะให้เขาคนนี้ต้องรองั้นรึ?
“น้องชายหลิง ตอนนี้พวกเราก็มีกันครบสิบสองคนแล้ว ออกเดินทางกันเถอะ” ฉื่อหวงหัวเราะ
“อืม!” หลิงฮันพยักหน้าและมองไปยังเนี่ยเทียนเฉิงกับตันจิงอี่ เขารู้สึกว่าสองคนนี้มีนิสัยอวดดีเกินไป ไม่ช้าก็เร็วทั้งสองคนต้องกลายเป็นตัวถ่วงของกลุ่มแน่นอน
ที่จริงหลังจากที่รู้เรื่องของหุบเขาเฉินเอี๋ยน จักรพรรดิพิรุณและคนอื่นก็ไม่ได้ออกไปไหนอีก พวกเขาทั้งเจ็ดคนมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
“อะไรกัน!”
เมื่อเนี่ยเทียนเฉิงกับตันจิงอี่เห็นจักรพรรดินี พวกเขาก็แสดงสีหน้าตกตะตึงออกมาอย่างปิดไม่มิด
ถึงแม้จะไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของสตรีผู้นี้ แต่แค่กลิ่นอายที่สัมผัสได้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จิตใจของพวกเขาสั่นไหวไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ทั้งสองไม่มีท่าทีหยิ่งยโสอีกต่อไปและเป็นฝ่ายแนะนำตัวเอง “ข้าชื่อเนี่ยเทียนเฉิง!” “ข้าชื่อตันจิงอี่!”
ไม่เพียงแค่พวกเขาสองคน ฉือหวงกับเป่ยหวงเองก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่พวกเขาเป็นสหายของหลิงฮันแน่นอนว่าไม่มีทางคิดอะไรชั่วร้าย
จักรพรรดินีคือใคร? ในสายตาของนางมีเพียงหลิงฮันเท่านั้น
เรื่องนี้ทำให้เนี่ยเทียนเฉิงกับตันจิงอี่ไม่พอใจในตัวหลิงฮันทันที แววตาของทั้งสองคนส่องประกายชั่วร้ายโดยที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังหุบเขาเฉินเอี๋ยน
หุบเขาเฉินเอี๋ยนไม่ได้อยู่ใกล้เท่าไหร่ ต่อให้ราชาระดับดาราเดินทางด้วยความเร็วก็ต้องใช้เวลาสองวัน แต่พวกเขาไม่ต้องกังวลอะไรเพราะกว่ายังมีเวลาอีกเหลือเฟือและผ่านไปสองวันพวกเขาก็มาถึงจุดหมาย
ณ เวลานี้ หุบเขาเฉินเอี๋ยนได้คับคั่งไปด้วยผู้คน
โอกาสเช่นนี้ยากจะพบเจอสักครั้งในล้านปี หากได้รับวาสนาที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้บางทีโชคชะตาอาจจะถูกเปลี่ยนไปเลยก็ได้ จากอัจฉริยะอาจจะกลายเป็นราชา จากราชาอาจจะกลายเป็นราชาในหมู่ราชา!
ตอนนี้ทั่วทั้งหุบเขาเต็มไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้าไม่ใช่แสงสลัวอีกต่อไป
ทุกคนที่อยู่ที่นี่อย่างน้อยเก้าในสิบส่วนล้วนแต่เป็นราชา
หลิงฮันจ้องมองไปรอบๆอยู่สักพักและพบว่าเหล่าราชาของเขตดวงดาวแสงคงกระพันนั้นจับกลุ่มและยืนอยู่ด้วยกัน
อย่างที่เคยกล่าวไปว่า เหล่าจอมยุทธที่มาจากเขตดวงดาวเดียวกันนั้นจะมีความสนิทชิดเชื้อกันมากกว่า โดยเฉพาะเขตดวงดาวแสงคงกระพันที่ไม่ใช่เขตดวงดาวที่แข็งแกร่งมากนัก ราชาที่มาจากเขตดวงนี้แห่งนี้มีเพียงสามคนเท่านั้น
หลิงฮันมองเห็นอู่เมี่ยน แต่เนื่องจากอีกฝ่ายอยู่ไกลเกินไปเขาจึงไม่ได้กล่าวทักทาย
นอกจากนั้นก็… กู่ต้าวอี้!
หลิงฮันสมควรเป็นคนเดียวในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ที่รู้จักตัวตนของกู่ต้าวอี้ แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินแต่เสียงของอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ตอนนี้ในที่สุดเขาก็พบเจอกับอีกฝายตัวเป็นๆเสียที เขาไม่จำเป็นต้องตามหาอีกฝ่ายให้อยาก กู่ต้าวอี้นั้นยืนอย่างโดดเด่นโดยที่มีผู้คนล้อมรอบและจ้องมองไปที่เขาด้วยสายตาตื่นเต้น
ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีใบหน้าที่หล่อเหลา แต่ผิวของเขานั้นเรียบเนียนดั่งหยกผมสีดำเข้มราวกับหมึก รอบกายปลดปล่อยกลิ่นอายลึกลับบางอย่างที่เกินกว่าจะพรรณนา
กลิ่นอายลึกลับนั่นคือแก่นกำเนิดนิรันดร์!
ตอนที่ 1443
“เป็นแก่นกำเนิดนิรันดร์ของทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญ!” จักรพรรดินีกระซิบข้างหูหลิงฮัน
นางคว้าข้อมือหลิงฮันเอาไว้แน่น แม้จะเป็นกายหยาบของหลิงฮันก็ยังรู้สึกเจ็บปวด เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีกำลังตื่นเต้นขนาดไหน
สายตาของกู่ต้าวอี้จ้องมาที่พวกเขา แน่นอนว่าเป้าหมายไม่ใช่หลิงฮัน
ในความคิดของเขาหลิงฮันไม่ใช่ตัวตนที่สมควรเหลียวมองแม้แต่น้อย
เขาจ้องมองไปยังจักรพรรดินีหล่วนซิง เขาเองก็มองเห็นเคล็ดลับของทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญที่จักรพรรดินีกำลังบ่มเพาะอยู่เช่นกัน
สำหรับเขาจักรพรรดิเปรียบเสมือนอาหารจานยักษ์ที่จะทำให้แก่นกำเนิดนิรันดร์ของเขายกระดับขึ้น
“เร็วเข้า รีบหยุดสุนัขตัวนั้น!”
“สุนัขตัวนั้นไร้เหตุผลยิ่งนัก มันไล่กัดผู้คนไปทั่ว!”
ฝูงชนเกิดความเอะอะในขณะที่สุนัขตัวดำขนาดใหญ่กำลังวิ่งมาจากระยะไกลโดยมีผู้คนนับไม่ถ้วนไล่ตามมันมา ท่าทางของแต่ละคนดูเกรี้ยวกราดเป็นอย่างมาก
ปากของหลิงฮันกระตุก สุนัขตัวดำขนากใหญ่นั่นคือสุนัขที่เขาพบในถ้ำจ้าวสมุนไพร แม้ขนาดของมันในตอนนี้จะไม่ได้มหึมาดั่งขุนเขาเหมือนตอนนั้นแต่ก็ยังใหญ่กว่าสุนัขตัวไป ขนสีดำของมันเรียบเนียนและส่องประกายวิบวับ
มันเป็นตัวสร้างปัญหาอย่างแท้จริง เพียงแค่เพิ่งมาถึงที่นี่ก็ยั่วยุจอมยุทธนับพันแล้ว
สุนัขตัวดำหันไปมองด้านหลังในขณะกำลังวิ่งและกล่าวยั่วยุ “พวกหลานเต่าทั้งหลาย ทำไมพวกเจ้าถึงได้เชื่องช้าขนานั้น นายท่านหมาจะต่อให้โดยการเดินสองขาแล้วกัน!” เมื่อกล่าวจบมันก็ลุกขึ้นวิ่งด้วยขาหลังสองข้างและนำสองขาหน้าพาดไว้ที่หลัง
‘พรวดด’ คนมากมายที่มองดูอยู่หัวเราะลั่นทันที แต่หลายคนที่กำลังไล่ตามสุนัขตัวดำนั้นเดือดดาลไปด้วยความโกรธ
“หลานเต่าทั้งหลายยังตามข้าไม่ทันอีก? เอาเถอะ นายท่านหมาจะกลับหัววิ่งให้ก็ได้” สุนัขตัวดำเปลี่ยนมาใช้สองอุ้งเท้าหน้าในการวิ่งและยกสองเท้าหลังชูขึ้นฟ้า แต่ถึงอย่างนั้นการเคลื่อนไหวของมันก็ยังรวดเร็วมากอยู่ดี
“เจ้าหมาบัดซบ!”
“หากข้าจับเจ้าได้ ข้าจะบดขยี้ร่างของเจ้าไม่ให้เหลือ!”
“ข้าไม่เคยเห็นสัตว์อสูรสุนัขที่ไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน”
“ฆ่ามัน!”
ผู้คนที่ไล่ตามสุนัขตัวดำยิ่งโมโหมากกว่าเดิม ดวงตาของพวกเขาแต่ละคนแทบจะมีเปลวเพลิงปะทุออกมา
สุนัขตัวดำเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ร่างของมันพลิ้วไหวเป็นอย่างมาก ระยะห่างของมันกับผู้ใครที่ไล่ตามเริ่มห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ
“โอ้ นั่นฮันน้อยไม่ใช่รึ มาทักทายท่านลุงผู้นี้หน่อยสิ!” ทันทีที่สุนัขตัวดำเห็นหลิงฮันมันก็กล่าวทักทายและโบกอุ้งมือมาหาเขา
หลิงฮันหลายเป็นไร้คำพูด
“หืม พี่สาวคนนั้นงดงามไม่เลว นายท่านหมาจะยอมให้นางมาเป็นสาวใช้!” สุนัขตัวดำจ้องมองไปยังจักรพรรดินี ต่อให้มันเป็นสุนัขก็ยังได้รับผลกระทบจากเสน่ห์อันไร้ที่เปรียบของจักรพรรดินี
“บังอาจ!” เนี่ยเทียนเฉิงคำราม เขาตั้งใจจะสร้างความพึงพอให้กับจักพรรดินีจึงปล่อยฝ่ามือออกไปอย่างทันใด
“ช่างเป็นเสียงตำโกนที่อัปลักษณ์อะไรเช่นนี้ มาดูว่านายท่านหมาจะจัดการเจ้าอย่างไร!” ร่างของสุนัขตัวดำพริ้วไหวหลบเลี่ยงฝ่ามือของเนี่ยเทียนเฉิงอย่างง่ายดายและอ้าปากกัดไปยังข้อมือของอีกฝ่าย
“อ้ากก!” เนี่ยเทียนเฉิงกรีดร้อง
ฟันอันแหลมคมของสุนัขตัวดำนั้น แม้จะเป็นกายหยาบของหลิงฮันก็ยังรู้สึกเจ็บ เช่นนั้นเนี่ยเทียนเฉิงที่ไม่ได้มีกายหยาบเหมือนหลิงฮันจะไม่เจ็บปวดทรมานได้อย่างไร? โลหิตของเขาทะลักออกมาทันทีหลังจากถูกกัด และแม้จะพยายามสลัดอย่างไรปากของสุนัขตัวดำก็ไม่ยอมหลุด
“ปล่อยข้า! ปล่อยปากของเจ้าออกจากข้า!” เนี่ยเทียนเฉิงโอดครวญ สุนัขตัวดำไร้ยางอายเกินไป ในฐานะตัวตนที่มีพลังบ่มเพาะที่สูงส่ง ใครบ้างจะจู่โจมด้วยวิธีนี้?
‘ฉัวะ’ แขนของเนี่ยเทียนเฉิงถูกกระชากจนขาด
สุนัขตัวดำกัดแขนที่ขาดเอาไว้ในปากและวิ่งต่อ เนื่องจากผู้คนที่ไล่ตามมันอยู่ก่อนหน้านี้ใกล้จะมาถึงแล้ว
“สุนัขบัดซบ คืนแขนของข้ามา!” เนี่ยเทียนเฉิงไล่ตามสุนัขตัวดำ ถึงแม้เขาจะสามารถฟื้นฟูแขนที่ขาดไปให้งอกขึ้นมาใหม่ได้ แต่วิธีนั้นจำเป็นต้องเผาผลาญพลังชีวิตพอสมควร ดังนั้นเขาจึงต้องการนำแขนที่ขาดกลับมาต่อใหม่
“ลองไล่ข้าให้ทันสิ!” สุนัขตัวดำลุกขึ้นวิ่งด้วยขาสองขาอีกครั้ง
“สุนัขบัดซบ!”
“เจ้าสุนัขชั้นต่ำ!”
ทุกคนคำรามอย่างเกรี้ยวกราดและไล่ตามอย่างไม่ลดละ
ตันจิงอี่แอบขอบคุณเนี่ยเทียนเฉิงในใจ หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายลงมือก่อนคงเป็นเขาที่เสียแขนข้างหนึ่งไปแทน แม้เขาจะมั่นใจในพลังของตัวเองแต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะแข็งแกร่งกว่าเนี่ยเทียนเฉิงมากนัก
ยิ่งกว่านั้นสุนัขตัวตำก็เคลื่อนไหวได้รวดเร็วเป็นอย่างมาก หลังจากจู่โจมแล้วมันก็ไม่ปล่อยโอกาสให้ตอบโต้เลยแม้แต่น้อย
ครั้งนี้เนี่ยเทียนเฉิงถือว่าโชคร้ายอย่างแท้จริง
ความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นโดยสุนัขตัวดำกลายเป็นเรื่องตลกขบขัน ผู้คนจ้องมองอย่างสนุกสนานไปยังสุนัขตัวดำที่กำลังวิ่งไปมาและยั่วยุทุกคนที่มันวิ่งผ่าน
“นายท่านหมานั้นถูกลิขิตให้กลายเป็นปรมาจารย์ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก ตอนนี้ข้ากำลังรับสมัครผู้ติดตามอยู่ โอกาสนี้คือวาสนาที่พวกเจ้าไม่ควรพลาด” สุนัขตัวดำกล่าวในขณะที่กำลังวิ่งหนี ส่วนแขนที่มันกัดขาดนั้นไม่รู้ว่าโยนทิ้งไปไหนแล้ว
“เจ้า เจ้า เจ้าแล้วก็เจ้า นายท่านหมาขอยกโอกาสนี้ให้กับพวกเจ้า” มันชี้สุ่มๆไปยังผู้คนรอบข้างจำนวนมาก
เหล่าคนที่ถูกชี้ไม่สบอารมณ์ จอมยุทธที่อยู่ที่นี่ใครบ้างไม่ใช่ราชา? แต่ตอนนี้ราชาเช่นพวกเขากลับกำลังถูกสุนัขชี้นิ้วใส่ จะให้พวกเขารู้สึกดีได้อย่างไร? ศักดิ์ศรีของราชาไม่อาจถูกดูแคลน ราชาที่ถูกชี้บางคนมีท่าทีนิ่งเฉยไม่ใส่ใจ แต่ก็มีราชาจำนวนมากที่เกรี้ยวกราดและร่วมมือกันไล่ล่าสุนัขตัวดำทันใด
หากจะกล่าวว่าในตอนนี้ชื่อเสียงของใครโด่งดังที่สุดก็คงเป็นสุนัขตัวดำตนนี้ ชื่อเสียงของมันเหนือกว่ากู่ต้าวอี้และจักรพรรดินีหล่วนซิงในพริบตา
“เหอๆ นายท่านหมายอดเยี่ยมจนมีแต่คนอิจฉา!” สุนัขตัวดำกล่าวยกย่องตัวเอง
“สุนัขบัดซบ หากมีความสามารถก็มาประลองตัดสินกัน!” ทุกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงบ้าคลั่ง
สุนัขตัวเขาพาดอุ้งเท้าหน้าไว้ที่แผ่นหลังและกล่าว “นายท่านหมาไม่ต้องการรังแกพวกเจ้า” เมื่อกล่าวเสร็จมันก็วิ่งต่อโดยไม่มีทีท่าจะหยุด
หลังจากไล่ตามอยู่เป็นเวลานานก็ไม่มีใครจับสุนัขตัวดำได้ทันเนื่องจากมันรวดเร็วเกินไปแถมยังเคลื่อนที่พลิ้วไหวซับซ้อนจนจับทางไม่ถูก ด้วยความสามารถเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไมมันถึงกล้ายั่วยุผู้คนจำนวนมาก
หากจะเป็นศัตรูกับศัตรูนับหมื่นก็ต้องมีฝีเท้าที่ว่องไวมากพอ
สามวันต่อมา สุนัขตัวดำก็ยังคงวิ่งหนีอยู่บนท้องฟ้า จำนวนคนที่มันยั่วยุไปแล้วนั้นมีมากถึงหนึ่งในสิบของหุบเขา ผู้คนเหล่านั้นก่อตั้งกลุ่มกันโดยมีเป้าหมายคือต้องสังหารสุนัขตนนี้ให้ได้
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆคลื่นแสงก็สาดส่องลงมายังหุบเขาและแผ่นหินสีทองขนาดใหญ่ก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าสูงกว่าร้อยฟุตเหนือหุบเขาพร้อมกับปลดปล่อยประกายแสงอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา
“หุบเขาเฉินเอี๋ยนเปิดแล้ว!”
ตอนที่ 1444
เมื่อที่หุบเขาเฉินเอี๋ยนเปิดออก ทุกคนก็เลิกไล่ตามทันที
สุนัขบัดซบนั่นเอาไว้ฆ่าทีหลังได้ แต่วาสนาของหุบเขาเฉินเอี๋ยนนั้นหากพลาดไปแล้วอาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วในอนาคต
ทุกคนมุ่งหน้าสู่หุบเขา เมื่อจอมยุทธคนแรกเหยียบไปบนแผ่นหิน แผ่นหินก็ลอยขึ้นจากพื้นราวๆสองฟุต เมื่อจอมยุทธคนอื่นๆเดินเข้ามาเหยียบแผ่นหินแผ่นอื่น แผ่นหินเหล่านั้นก็ลอยขึ้นในระดับความสูงเท่ากัน
การต่อสู้ปะทุขึ้นในพริบตา แผ่นหินที่ถูกทำลายจะถูกแผ่นหินของคนที่เป็นฝ่ายทำลายดูดซับและมีขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมกับลอยขึ้นสูงกว่าเดิม
“เอาล่ะ พวกเราก็ลุยกันบ้าง” ตันจิงอี่กล่าว
เนี่ยเทียนเฉิงกลับมาด้วยใบหน้ามืดมน เขาหาแขนที่ขาดไปไม่พบทำให้ต้องใช้พลังชีวิตในการฟื้นฟูงอกขึ้นใหม่
เนี่ยเทียนเฉิงมองไปยังหลิงฮันด้วยแววตาแค้นเคือง เขาเห็นว่าสุนัยตัวดำนั่นกล่าวทักทายหลิงฮันราวกับว่ารู้จักกัน ดังนั้นเมื่อเขาไล่ตามสุนัขตัวดำไม่ได้เขาจึงนำความแค้นมาลงที่หลิงฮันแทน
หลิงฮันชำเลืองมองอีกฝ่ายโดยไม่กล่าวอะไร หากเนี่ยเทียนเฉิงทำไรอะไร้สาระเขาลงจัดการอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล
พวกเขาเป็นเพียงพันธมิตรชั่วคราวที่จะแยกกันเมื่อขึ้นไปถึงความสูงระดับหนึ่ง ซึ่งหลิงฮันเองก็ไม่มีความคิดจะช่วยให้เนี่ยเทียนเฉิงกับตันจิงอี่ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี
ที่เขายังไม่ลงมือกับสองคนเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของฉื่อหวงและเป่ยหวง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำนักละอองดาราหรือหุบเขาเฉินเอี๋ยนเขาก็ได้ยินมาจากพวกเขาทั้งนั้น
กลุ่มของพวกเขาเดินเข้าไปยังหุบเขา ภายในหุบเขามีแผ่นหินมากมายเรียงรายอยู่ พวกเขาทั้งสิบสองคนก้าวขึ้นไปยังแผ่นหินแผ่นหนึ่ง เมื่อแผ่นหินลอยขึ้นจากพื้นดินพวกเขาก็ทำการหาคู่ต่อสู้
“เทพธิดา ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!” ตันจิงอี่กล่าวกับจักรพรรดินี
“ข้าก็เช่นกัน!” เนี่ยเทียนเฉิงรีบกล่าวตาม
ฉื่อหวงกับเป่ยหวงเผยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แม้จักรพรรดินีจะไม่ได้กล่าวแนะนำตัว แต่ตราบใดที่มีตาย่อมสามารถมองออกว่าจักรพรรดินีเป็นสตรีของหลิงฮัน
ตันจิงอี่และเนี่ยเทียนเฉิงไม่สนใจ พวกเขายังคงเกี้ยวพาราสีจักรพรรดินีต่อไปโดยไม่เห็นหลิงฮันอยูในสายตา การกระทำของทั้งสองเป็นการแสดงออกว่ากำลังจงใจทำเป็นมองไม่ออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดินีกับหลิงฮัน
ในสายตาของพวกเขา หลิงฮันไม่เหมาะสมกับจักรพรรดินีแม้แต่นิดเดียว
แต่ถ้าหากพวกเขายอมเสียเวลาตรวจสอบสักเล็กน้อยคงจะพวกเขากำลังมั่นใจในตัวเองแบบผิดๆ เพราะว่าหลิงฮันนั้นเป็นราชาระดับสองที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าพวกเขา แถมจักรพรรดินีก็ยังน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า นางถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในราชาที่แข็งแกร่งที่สุด
เป็นเพราะความมั่นใจที่มากมายเกินไปทำให้พวกเขาดูถูกจอมยุทธคนอื่นๆไม่ว่าจะหน้าไหน และอีกอย่างคือพวกเขากำลังลุ่มหลงในเสน่ห์ของจักรพรรดินี มีรึที่พวกเขาจะคิดว่าแท้จริงแล้วหลิงฮันไม่ได้อ่อนแอและจักรพรรดินีแข็งแกร่งกว่าพวกเขา?
หลิงฮันทำเพียงยิ้มเย็นชาและกระซิบกับจักรพรรดินีด้วยสัมผัสสวรรค์ “ในตอนที่ขึ้นไปแผ่นหินที่สูงกว่านี้ เจ้าต้องเหยียบย่ำทั้งสองให้ล่วงลงมา”
“อืม!” จักรพรรดินีเผยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์ที่ไม่มีใครมองเห็น
ด้วยนิสัยของนาง ตามปกติแล้วคงไม่รอช้าที่จะลงมือกับทั้งสอง แต่ในเมื่อหลิงฮันบอกให้นางรอนางก็จะรอ
แม้ภายในกลุ่มพวกเขาทั้งสิบสองคนจะมีความบาดหมาง แต่ก็ยังไม่มีใครลงมือทำอะไรผลีผลาม พวกเขาในตอนนี้จดจ่ออยู่กับการโค่นศัตรู
จอมยุทธส่วนใหญ่เลือกที่จะรวมกลุ่มตั้งพันธมิตร ในเมื่อมีกฎให้พวกเขารวมกลุ่มกันได้ หากไม่ทำตามก็จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบฝั่งศัตรู บางคนก็ตั้งกลุ่มสามคน บ้างก็เจ็ดถึงแปดคน ที่พวกเขามีจำนวนพันธมิตรไม่ครบสิบสองคนก็เพราะหาสหายที่เหมาะสมไม่ได้
เขตดวงดาวมหึมาจะมีราชาอยู่ราวๆสิบคน เขตดวงดาวใหญ่และเขตดวงดาวเล็กจะมีราชาอยู่ที่เจ็ดถึงแปดคนและสามถึงสี่คน ถ้าหากไม่คุ้นเคยกับราชาจากเขตดวงดาวอื่น ใครบ้างจะไม่กลัวถูกทรยศ?
อย่างพันธมิตรของกลุ่มหลิงฮันที่มีครบสิบสองคนนั้นค่อนข้างหาได้ยากที่จะมีใครทำ เหตุผลหลักๆก็เป็นเพราะทุกคนไม่เชื่อใจราชาที่ไม่ได้มาจากเขตดวงดาวเดียวกัน
ศัตรูแรกที่พวกเขาพบคือกลุ่มจอมยุทธสามคน ถึงแม้จำนวนจะน้อยแต่พลังของพวกเขาก็ไม่ใช่อ่อนแอ เพราะอย่างไรพลังบ่มเพาะของทุกคนก็ถูกลดลงมายังระดับดาราขั้นต้น ต่อให้เป็นราชาระดับสามก็ไม่ได้ไม่ได้เปรียบกว่าราชาระดับหนึ่งมากนัก
เนี่ยเทียนเฉิงก่อนหน้านี้เสียหน้าต่อหน้าจักรพรรดิ ดังนั้นตอนนี้เขาจึงต้องการกูเหน้ากลับมาโดยการจัดการกับศัตรูกลุ่มแรก
เขานำกิ่งไม้ที่มีดอกไม้เจ็ดดอกประดับเอาไว้ออกมา ‘ครืนน’ ทันทีที่กลิ่นหอมของมันลอยออกมาก็เกิดคลื่นสั่นสะเทือนราบกับมีต้นไม้มหึมากำลังสั่นสะเทือนสวรรค์และปฐพี
หลิงฮันตกตะลึง สมบัติชิ้นนี้คืออะไรกันเหตุใดถึงได้ดูทรงพลังถึงเพียงนี้
“นั่นคือกิ่งของต้นลูกท้อเซียนในตำนาน!” เป่ยหวงกล่าวอธิบาย “ตามตำนานที่เล่าขาน ครั้งหนึ่งที่ท้องฟ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงได้มีต้นไม้แห่งเซียนต้นหนึ่งปรากฏออกมาจากช่องว่างมิติที่แตกหัก ต้นไม้แห่งเซียนได้ล่องลอยผ่านอวกาศอย่างอิสระ ด้วยพลังอันน่าเกรงขามทำให้ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้มันได้”
“แต่ต้นไม่แห่งเซียนนี้ดูเหมือนว่าจะได้รับความเสียหายในขณะที่ออกมาจากช่องว่างมิติ ภายในเวลาไม่นานต้นไม้ทีว่าก็ตกตายและเหลือผลทิ้งเอาไว้ ผู้ที่ได้รับครอบครองผลของต้นแห่งเซียนก็คือเซียนเฟ่ยยู่ เขาปลูกผลที่ได้รับมานานกว่าเก้าร้อยล้านปีจนในที่สุดก็งอกเงย”
“ต้นไม้ที่เติบโตจากผลนั่นก็คือต้นลูกท้อเซียน มันจะให้ผลเก็บเกี่ยวทุกๆหนึ่งร้อยล้านปี แม้ผลของต้นลูกท้อเซียนจะนับว่าเป็นสมุนไพรชั้นเลิศ แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นต้นไม้ที่ถูกแยกย่ายออกมาจากต้นไม้แห่งเซียนต้นหลัก”
“อาจารย์ของข้ากับเซียนเฟ่ยยู่เคยร่วมมือกันตามหาว่าต้นไม้แห่งเซียนต้นหลักนั้นมาจากที่ไหน แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเซียนทั้งสองจะพยายามขนาดไหนก็ไม่พบเจอร่องรอยอะไรเลย”
“กิ่งลูกท้อเซียนของพี่ชายเนี่ยนั้นมาจากต้นลูกท้อเซียนที่แยกย่อยมาจากต้นไม้แห่งเซียนที่คาดว่าจะเป็นวัตถุดิบระดับเซียน ดังนั้นระดับของกิ่งไม้นั่นจึงนับว่าเป็นอุปกรณ์กึ่งเซียน!”
อุปกรณ์กึ่งเซียน!
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมพลังของมันถึงน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น เพียงแค่กิ่งไม้นั่นถูกนำออกมาออร่าของมันก็ทรงพลังแทบจะบดบังสวรรค์
หลิงฮันและจักรพรรดินีมองหน้ากัน พวกเขาคาดเดาถึงความเป็นจริงว่า ต้นไม้แห่งเซียนต้นหลักนั้นอาจจะมาจากดินแดนแห่งเซียน! การคาดเดาของพวกเขามีโอกาสเป็นไปได้สูงเนื่องจากมีเพียงดินแดนแห่งเซียนเท่านั้นที่จะสามารถให้กำเนิดสมุนไพรที่เหนือกว่าสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากได้
เนี่ยเทียนเฉิงหัวเราะ ที่จริงแล้วสิ่งนี้สมควรเป็นไพ่ลับของเขา แต่เขาตั้งใจนำมันออกมาโอ้อวดเพื่อดึงดูดความสนใจของจักรพรรดินี
เขาคำรามและสะบัดกิ่งลูกท้อเซียนไปยังศัตรูทั้งสาม ทันใดนั้นดอกทั้งเจ็ดของต้นลูกท้อเซียนก็เบ่งบานขึ้นบนท้องฟ้า
“บดขยี้!” เนี่ยเทียนเฉิงเค้นเสียง ‘ตูม ตูม ตูม ตูม’ ดอกของต้นลูกท้อเซียนทั้งหมดระเบิดออก ศัตรูทั้งสามร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดและร่วงกระเด็นลงมาจากแผ่นหินซึ่งแผ่นหินของทั้งสามก็ถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน เศษของแผ่นหินที่แตกถูกแผ่นหินของกลุ่มหลิงฮันดูดเข้ามารวมเข้าด้วยกันและมีขนาดใหญ่ขึ้น
ตอนที่ 1445
ที่จริง ภายในหุบเขาเฉินเอี๋ยนแห่งนี้ต่อให้เป็นอุปกรณ์เซียนก็ถูกลดพลังลงเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถปลดปล่อยอำนาจที่แท้จริงออกมาได้
แต่ไม่ว่าอย่างวัตถุดิบแห่งเซียนก็ยังคงเป็นวัตถุดิบแห่งเซียน ไม่ว่าอย่างไรอำนาจของมันก็ยังทรงพลัง หากเทียบแล้วก็เหมือนกับราชาระดับสามที่ถูกลดระดับพลังลงมาแต่ก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าราชาระดับสอง ศัตรูทั้งสามเป็นเพียงราชาระดับหนึ่งจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต่อต้านเนี่ยเทียนเฉิงที่ถือครองอุปกรณ์กึ่งเซียนได้
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทั้งสามจะแพ้ แต่การที่ทั้งสามพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วเช่นนั้นทำให้หลิงฮันตกตะลึงและจ้องมองไปยังกิ่งลูกท้อเซียน
หากเขาได้ครอบครองต้นท้อเซียนไปปลูกในหอคอยทมิฬล่ะ?
หลังจากดูดซับเศษแผ่นหินของศัตรู กลุ่มของหลิงฮันก็ลอยขึ้นสูงไปอีกสามฟุต
แต่คนที่พ่ายแพ้ก็ใช่ว่าจะหมดสิทธิไปทั้งหมดเสียทีเดียว พวกเขาสามารถเริ่มต้นใหม่จากหนึ่งได้ตลอดเวลา ดังนั้นทันทีที่ทั้งสามคนร่วงหล่นจากแผ่นหิน พวกเขาก็แค่หาแผ่นหินแผ่นใหม่เพื่อลอยขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่เสียอะไร
หลิงฮันพบกับศัตรูที่เป็นกลุ่มเจ็ดคน อีกฝ่ายปรากฏตัวด้วยท่าทีคุกคาม แต่ทันทีที่เห็นจักรพรรดินีท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนไปและรีบเผ่นหนีโดยไม่กล้าสู้
เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเนี่ยเทียนเฉิงและพวกเป่ยหวงรูปสึกประหลาดใจ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? นี่พวกเขาแข็งแกร่งจนศัตรูต้องเผ่นหนีเลยรึ?
หลิงฮันและคนอื่นๆยิ้ม จักรพรรดินีเป็นที่รู้จักกันในฉายาเพชฌฆาตราชา มีหลายคนที่รู้จักฉายาของนางแต่ยังไม่เคยเห็นตัว เพียงแต่ว่าดูเหมือนทั้งเจ็ดคนนั้นจะจำจักรพรรดินีได้ เพราะงั้นพอเห็นจักรพรรดิพวกเขาถึงได้เผ่นหนีอย่างไม่ลังเล
ราชาระดับสามนั้นต่อให้พลังบ่มเพาะจะถูกลดลงมาเท่ากันก็ยังได้เปรียบอยู่ดี
กลุ่มของพวกเขาเอาชนะศัตรูได้ตลอดทาง อันที่จริงคนที่ลงมือมีเพียงแค่เนี่ยเทียนเฉิงกับตันจิงอี่สองคนเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาอยากแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์
ตันจิงอี่ไม่ธรรมดาเลย เขาใช้อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์รูปของผลึกหินที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ แม่ขนาดของมันจะเล็กกระทัดรัดแต่น้ำหนักของมันกลับมหาศาล หากถูกผลึกหินนี้กระแทกโจมตีเข้าใส่ไม่มีประโยชน์เลยที่จะทำการป้องกัน กระดูกและกล้ามเนื้อของคนที่ถูกโจมตีจะแหลกเละโดยไม่อาจต่อต้าน
นี่ไม่ใช่อุปกรณ์เซียนแต่เป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสิบหก เพียงแต่ว่าหลังจากถูกขัดเกลาด้วยฝีมือของเซียน พลังอำนาจของมันจึงกล่าวได้ว่าเป็นอุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์อันดับต้นๆในระดับวารีนิรันดร์
อุปกรณ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้มีชื่อว่า ‘หกแก่นแท้ภูผา’ ไม่เพียงแค่มันสามารถใช้กระแทกใส่ศัตรูได้เท่านั้นแต่มันยังสามารถขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าภูเขาและทับบดขยี้ทุกสรรพสิ่งอีกด้วย
ตันจิงอี่กับเนี่ยเทียนเฉิงร่วมมือกันใช้สมบัติทั้งสองชิ้นเข้าปะทะศัตรูอย่างไร้เทียมทาน
หลังจากผ่านไปครึ่งวันกลุ่มของพวกเขาก็ขึ้นมาสูงราวๆพันฟุต แต่ความสูงเท่านี้เป็นความสูงเพียงหนึ่งในสิบของหุบเขาเฉินเอี๋ยนเท่านั้น พวกเขายังหากไกลจากแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดสูงสุดของหุบเขา
ถึงแม้ทุกครั้งที่หุบเขาเฉินเอี๋ยนเปิดออกจะมีผู้ชนะที่สามารถขึ้นไปสูงเป็นอันดับหนึ่ง แต่กลับไม่มีใครเลยที่สามารถขึ้นไปยืนบนแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดสูงสุดได้
เหตุผลก็เพราะจำนวนและความแข็งแกร่งของผู้เข้าร่วม ต่อให้มีผู้เข้าร่วมคนหนึ่งที่แข็งแกร่งหาผู้ใดเปรียบ แต่เขาย่อมไม่สามารถขึ้นไปบนแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดสูงสุดได้หากไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ให้เขาเพื่อเพิ่มระดับความสูงของแผ่นหินที่ยืนอยู่
Anchor
กู่ต้าวอี้มองไปยังแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดสูงสุด ในแววตาของเขาปรากฏภาพการระเบิดของดวงดารามากมายราวกับจักรวาลกำลังถูกทำลายและก่อกำเนิดขึ้นใหม่ หากหลิงฮันเห็นสิ่งนี้เขาต้องสามารถคาดเดาได้ว่านี่คืออำนาจแห่งการทำลายและการก่อเกิด
หากเข้าใจหลักการของสองสิ่งนี้จะทำให้สามารถทะลวงผ่านช่องว่างมิติสำหรับสร้างเส้นทางสู่ดินแดนแห่งเซียน
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร กู่ต้าวอี้คืออัจฉริยะจากดินแดนแห่งเซียน ความเข้าใจในวิถีวรยุทธของเขานั้นสูงล้ำยิ่งกว่าในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ยิ่งในฐานะที่เป็นตัวตนระดับนิรันดร์ที่กลับมาเกิดใหม่ทำให้เขาไม่มีคอขวดใดๆในการบ่มเพาะพลังระดับพระเจ้า
รอบกายเขามีราชายี่สิบสามคนยืนอยู่บนแผ่นหินสองแผ่น ถึงแม้หนึ่งกลุ่มจะสามารถตั้งพันธมิตรได้เพียงสิบสองคนแต่พวกเขาก็ยังสามารถแบ่งพันธมิตรออกเป็นสองกลุ่มได้ พวกเขาทั้งยี่สิบสามยืนคุ้มกันกู่ต้าวอี้ราวกับกำลังปกป้องเทพเจ้า
กู่ต้าวอี้ไม่จำเป็นต้องลงมือแม้แต่น้อย แต่ราชาทั้งสองกลุ่มนี้ก็สามารถจัดการศัตรูได้ทุกคน เหล่าผู้ติดตามของเขานั้นเต็มไปด้วยราชาระดับสอง!
กู่ต้าวอี้ไปยังกลุ่มของหลิงฮัน สายตาของเขาจดจ้องไปที่ร่างกายของจักรพรรดินีแต่ก็ไม่ใส่สั่งให้เหล่าผู้ติดตามไปสังหารนาง
ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน อีกอย่างอาหารชามโตเช่นนี้คนที่ลงมือจัดการต้องเป็นตัวเขาเองสิ
กลุ่มของหลิงฮันเพิ่มระดับความสูงได้อย่างราบลื่น เพราะอย่างไนนี่ก็ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยิ่งพวกเขาขึ้นไปในระดับความสูงที่มากขึ้น ศัตรูก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ตอนนี้กลุ่มพันธมิตรที่ขึ้นมาได้สูงที่สุดมีอยู่ราวๆหนึ่งพันกลุ่ม ในขณะเดียวกันผู้คนที่อยู่ด้านล่างเองก็กำลังค่อยทยอยกันขึ้นมา ต่อให้เคยแพ้ไปแล้วแต่หากเวลายังไม่สิ้นสุดก็ยังมีโอกาสกลับขึ้นมาได้ตลอด
“หลังจากขึ้นสูงไปถึงความสูงระดับนึง พวกเราก็จะไม่สามารถรวมกลุ่มกันได้อีกต่อไป”
“ในระยะความสูงร้อยฟุตสุดท้าย มีคำกล่าวว่าไม่เคยมีใครขึ้นไปถึงมากก่อน”
“จากกฎของหุบเขาที่มีมาตั้งแต่อดีต เมื่อพันธมิตรกลุ่มแรกหรือคนแรกขึ้นไปถึงความสูงระดับนึง ที่ว่า การแข่งขันแย่งชิงวาสนาของหุบเขาเฉินเอี๋ยนก็จะเริ่มนับถอยหลังสามวัน”
“หลังจากผ่านไปสามวัน แผ่นหินของใครอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด คนนั้นก็จะเป็นอันดับหนึ่ง”
“เป็นเวลานานมาแล้วที่ทุกคนต่างสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนสามารถขึ้นไปยังแผ่นหินขนาดใหญ่ที่อยู่บนสุดและจะได้รับรางวัลเป็นอะไรกันแน่”
“น่าเสียดายที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีเคยทำได้สำเร็จ”
เป่ยหวงและฉือหวงกล่าว ตอนนี้กลุ่มของพวกเขาขึ้นมาถึงความสูงแปดร้อยฟุตแล้ว พวกเขาห่างจากจากจุดสูงสุดของส่วนแรกอีกไม่ไกล
นี่หมายถึงพันธมิตรของพวกเขากำลังจะจบลง
“ใครบางคนมาทางนี้!” เนี่ยเทียนเฉิงกล่าว เขามองไปด้านหน้าพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหาร
หลิงฮันชำเลืองมองไปด้านหน้าก่อนจะเอื้อมมือออกไปหยุดเนี่ยเทียนเฉิง “พวกเขาคือสหายข้า!”
ทั้งห้าคนที่ปรากฏตัวมีอยู่สี่คนที่เขารู้จัก อู่เมี่ยน หยางหลิน เย่วหยิงและแม่นางหยุน
“น้องชายหลิง!” ทั้งสี่คนกล่าวทักทาย
หลิงฮันพยักหน้าและทักทายพวกเขาทีละคน พลังของทั้งห้าคนแม้ไม่จะแข็งแกร่งมาก แต่ในกลุ่มพวกเขามีหยางหลินที่เรียกได้ว่าเป็นบุตรรักแห่งสวรรค์ อีกฝ่ายสามารถนำอุปกรณ์เซียนออกมาใช้ได้เมื่อเข้าตาจน
จากที่หลิงฮันเห็น ดูเหมือนทั้งห้าคนตั้งใจจะขึ้นไปสูงสุดเพียงแค่พันฟุตและไม่ขึ้นไปสูงกว่านั้น เหตุผลข้อแรกที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพราะหากยังขึ้นไปยังไม่สูงเกินกว่าพันฟุตพวกเขาจะสามารถคงสภาพพันธมิตรเอาไว้ได้เพื่อช่วยเหลือปกป้องกันและกัน และข้อสองคือพวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะกับราชาที่แข็งแกร่ง
เมื่อการนับถอยหลังสามวันใกล้จะหมด พวกเขาถึงจะค่อยขึ้นไปสูงเกินพันฟุตเพื่อรับวาสนาจากสวรรค์และปฐพี เพราะอย่างไรแผ่นหินก็มีระยะการลอยที่แน่นอน พวกเขาจึงสามารถคำนวณระยะได้
ตอนที่ 1446
เนี่ยเทียนเฉิงไม่สบอารมณ์อย่างมาก
หลิงฮันกล้าหยุดเขางั้นรึ? พวกเขาต้องต่อสู้แย่งชิงเพื่อวาสนา ไม่ใช่เพื่อให้เจ้ามาพบเจอกับสหายเก่า
“น้องชายหลิง เอาไว้หลังจากนี้พวกเขาค่อยคุยกัน” อู่เมี่ยนหัวเราะ
“อืม” หลิงฮันพยักหน้า
แผ่นหินของกลุ่มหยางหลินลอยแยกห่างออกไป ในเมื่อพวกเขาพยายามมาถึงความสูงขนาดนี้ได้แล้ว พวกเขาย่อมไม่ต้องการพบเจอกับกลุ่มศัตรูที่แข็งแกร่ง
ต่อให้เป็นกู่ต้าวอี้ก็ไม่สามารถกล่าวอย่างมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะราชาทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ได้เนื่องจากพลังบ่มเพาะถูกลดลงมาอยู่ระดับเดียวกัน
แต่ก็มีคน(?)หนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น
คน(?)ที่ว่าก็คือสุนัขสีดำตัวใหญ่
สุนัขตัวดำก็ขึ้นแผ่นหินมาด้านบนด้วยเช่นกัน แต่แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่มันจะตั้งพันธมิตรร่วมกับใคร
รูปแบบการต่อสู้ของมันนั้นเรียบง่ายมาก มันจู่โจมเข้าปะทะกับจอมยุทธโดยตรงจนทำให้ศัตรูร่วงหล่นจากแผ่นหิน
กายหยาบของสุนัขตัวดำไร้เทียมทานเป็นอย่างยิ่ง มันสามารถเมินเคยต่อการโจมตีด้วยปราณก่อเกิดได้อย่างสมบูรณ์ แถมการเคลื่อนไหวของมันก็ยังลื่นไหลราวกับปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ
“นายท่านหมาช่างโดดเดี่ยวยิ่งนัก ข้าไม่น่าทรงพลังเช่นนี้เลยจริงๆ” สุนัขตัวดำยืนหยอกล้ออยู่บนแผ่นหิน “พวกมนุษย์ที่อยู่ด้านบน นายท่านหมากำลังจะไปหาแล้ว บางทีข้าอาจจะใจดียอมให้พวกเจ้ามาเป็นคนรับใช้ของข้า!”
มันจงใจพูดล่วงเกินราชาทุกคน
กู่ต้าวอี้ชะงักก่อนจะละสายตาออกจากจักรพรรดินีและจ้องมองไปยังสุนัขตัวดำ เขามีชีวิตอยู่มาแล้วถึงสิบชาติภพ ถึงแม้ชาติภพทั้งเก้าก่อนหน้านี้เขาจะไม่ได้มีชีวิตที่ยืนยาวนัก แต่อย่างน้อยในแต่ละชาติภพอายุขัยของเขาก็เกินกว่าหนึ่งล้านปีทั้งนั้น
ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานขนาดนั้นเขากลับไม่พบความพิเศษใดๆในสุนัขตัวดำตนนี้เลย
ยิ่งกว่านั้นกู่ต้าวอี้ก็ไม่มีทางยอมให้สุนัขตนนี้เป็นผู้ติดตามเขาเด็ดขาด หากเขากลับไปยังดินแดนแห่งเซียนได้แล้วมีสุนัขตนนี้ตามไปด้วย มันจะต้องไปยั่วยุผู้คนจำนวนมากและนำพาหายนะมาสู่เขาแน่นอน
เพราะอย่างไรในดินแดนแห่งเซียนนั้นตัวเขาก็ไม่ได้ถือว่าเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด แม้แก่นกำเนิดนิรันดร์ของทักษะเก้าสวรรค์ดับสูญจะทำให้เขามีร่างกายที่ทรงพลัง แต่ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยอมมีทักษะที่สามารถทำให้มีร่างกายที่ทัดเทียมกับเขาได้อยู่เป็นแน่
แม้เขาร่างกายของเขาจะทรงพลังที่สุด แต่คนที่ทรงพลังที่สุดย่อมไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว
“ไม่ต้องไปใส่ใจสุนัขตัวนั้นและรีบขึ้นไปให้สูงที่สุด” กู่ต้าวอี้กล่าว สายตาของเขาจดจ้องไปที่แผ่นหินสีทองขนาดใหญ่บนท้องฟ้า เขามีความรู้สึกจากก้นบึ้งของจิตใจว่าหากเขาสามารถขึ้นไปถึงแผ่นหินบนสุดได้ เขาจะได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่
สามารถทำให้แม้แต่ตัวเขาที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นนิรันดร์หวั่นไหวได้ แน่นอนว่าเขาย่อมต้องการมัน
หลังจากสงบสุขอยู่ชั่วครู่ การปะทะก็เริ่มต้นอีกครั้ง
เนี่ยเทียนเฉิงและตันจิงอี่ลงมือด้วยกัน แต่ถึงแม้พวกเขาจะนำสมบัติออกมาด้วยก็ไม่ได้เปรียบแม้แต่น้อย ในทางกลับกลับพวกเขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบด้วยซ้ำเนื่องจากกลุ่มศัตรูนั้นแข็งแกร่งมาก และด้วยศัตรูที่โจมตีกันทั้งกลุ่มทำให้ทั้งสองคนไม่อาจรับมือไหว
ฉื่อหวงและเป่ยหวงเข้าไปช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังเสียเปรียบอยู่ดี
จักรพรรดิพิรุณคันไม้คันมือ เขาคำรามลากเสียงยาวและเข้าร่วมการต่อสู้
เมื่อเห็นท่าทางกระหายการต่อสู้ของศิษย์ทั้งสองหลิงฮันก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ติงผิงกับจิ่วเยาเข้าร่วมการต่อสู้ทันที
ติงผิงมีความสามารถติดตัวคือพลังกายที่ทรงพลัง ในระดับพลังเดียวกันนั้นไม่มีใครมีกำลังทัดเทียมเขาได้ หมัดที่ปล่อยออกไปอัดแน่นไปด้วยพลังอันหนักหน่วงที่ทรงอำนาจกว่าราชาระดับสามอย่างน้อยหนึ่งดาว
ทางด้านจิ่วเยานั้น รูปแบบอาคมศักดิ์สิทธิ์ทั้งบนแขนของเขาส่องประกายพร้อมกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังทั้งเก้าได้ปรากฏตัวออกมา ด้วยพลังต่อสู้ของเขาแล้วหากโจมตีร่วมกันกับสัตว์อสูรทั้งเก้าจะทำได้เปรียบเสมือนมีพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นหนึ่งดาว
แม้หากมองดูแวบแรก จิ่วเยาจะไม่แข็งแกร่งเหมือนกันติงผิง แต่สัตว์อสูรทั้งเก้านั้นไม่มีวันตายแถมร่างของจิ่วเยาเองก็สามารถแปรเปลี่ยนเป็นหมอกได้อีก เพราะงั้นใครกันแน่ที่แข็งแกร่งกว่ากันนั้นไม่สามารถตัดสินง่ายๆเพียงเพราะกำลังและพลังบ่มเพาะ
แต่การต่อสู้ในหุบเขาเฉินเอี๋ยนแห่งนี้นั้น เห็นได้ชัดว่ายิ่งมีพลังโจมตีที่รุนแรงก็ยิ่งได้เปรียบเนื่องจากศัตรูจะไม่สามารถปกป้องแผ่นหินของตนเองจากการโจมตีที่รุนแรงได้
อย่างหลิงฮันนั้นเขายืนนิ่งราวกับไม่ทำอะไรเลยก็จริง แต่ที่จริงแล้วเขากำลังคุ้มกันการโจมตีทั้งหมดที่คาดว่าอาจจะทำลายแผ่นหินที่พวกเขายืนอยู่
จักรพรรดิพิรุณชื่นชอบการต่อสู้ที่ดุเดือด เขาไม่ได้มุ่งเป้าโจมตีไปยังแผ่นหินของศัตรูแต่เลือกที่จะเข้าปะทะกับศัตรูโดยตรง หากเอาชนะศัตรูทั้งหมดได้การทำลายแผ่นหินก็ย่อมไม่ใช่ปัญหา เพียงแค่ว่าการจัดการศัตรูให้ราบคาบกับทำลายแผ่นหินนั้น การทำลายแผ่นหินทำได้ง่ายกว่ามาก แต่จักรพรรดิพิรุณไม่สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว
ซึ่งการกระทำของจักรพรรดิพิรุณทำให้เนี่ยเทียนเฉิงและตันจิงอี่ไม่พอใจมาก
สวีเหลินกับสตรีนกอมตะเองก็เข้าร่วมต่อสู้ ส่วนเซียนหวู่เซียงนั้นด้วยความภูมิใจแห่งเซียนเขาจึงคร้านที่จะต่อสู้กับรุ่นเยาว์เหล่านี้
แต่ทำนี้ก็เพียงพอแล้ว
ถึงแม้จำนวนของคนที่เข้าร่วมต่อสู้ในกลุ่มพวกเขาจะมีน้อยแต่พลังของเขาทรงพลังกว่า จักรพรรดิพิรุณเป็นแนวหน้าในการบุกโจมตี เขากำราบศัตรูจนไร้ทางตอบโต้ เมื่อศัตรูเปิดช่องว่างคนที่เหลือก็ทำลายแผ่นหินจนแหลกเป็นเศษซาก โดยที่เศษหินทั้งหมดก็ได้ถูกดูดเข้ามารวมเข้ากับแผ่นหินของกลุ่มหลิงฮัน
หลังจากเอาชนะศัตรูได้อย่างบากลำบากแผ่นหินของพวกเขาก็ลอยสูงขึ้นเพียงสามฟุตเท่านั้น นี่แสดงให้เห็นว่าการจะขึ้นไปถึงยอดบนสุดนั้นยากลำบากขนาดไหน
ในตลอดหลายล้านปีที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเลยที่ขึ้นไปยังแผ่นหินสีทองบนยอดสูงสดได้
“ฮึ่ม พวกเจ้าทั้งสองช่างโอหังนัก ทุกคนต่างลงมือกันหมด เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ทำอะไรเลย?” หลังจากต่อสู้เสร็จสิ้น เนี่ยเทียนเฉิงก็เริ่มระบายความไม่พอใจกับหลิงฮันและเซียนหวู่เซียง
ติงผิงกับจิ่วเยาก้าวขึ้นไปที่ด้านหน้าหลิงฮันและจ้องมองเนี่ยเทียนเฉิง
“อย่างแรก การต่อสู้จบลงไปแล้วทำไมต้องมาทำให้เรื่องวุ่นวาย! อย่างที่สอง มีเหตุผลอันใดที่จำเป็นต้องให้อาจารย์ของพวกข้าลงมือด้วยตัวเอง?” พวกเขากล่าวอย่างภาคภูมิ
เนี่ยเทียนเฉิงขมวดคิ้วทันที หลิงฮันช่างโอหังนักที่ส่งเพียงลูกศิษย์ทั้งสองมาเผชิญหน้ากับเขา! เขามองออกว่าทั้งสองคนเพิ่งจะทะลวงผ่านระดับดาราสำเร็จเท่านั้น เหอๆ… ทั้งสองคนนี้หากเป็นด้านนอกหุบเขาเฉินเอี๋ยนเขาสามารถกำราบได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
แต่หากเป็น ณ เวลานี้ต่อให้เขาจะมีอุปกรณ์เซียนอยู่ในมือเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะทั้งคู่ได้ จากที่เห็นพลังต่อสู้ของทั้งสองผ่านการต่อสู้เมื่อครู่ เขาคงไม่มีโอกาสชนะได้เลย
ตอนที่ 1447
ตันจิงอี่เขยิบมายืนข้างเนี่ยเทียนเฉิงและกล่าว “ทุกคนลงมือพร้อมกันจะไม่ทำให้การต่อสู้จบเร็วขึ้นหรอกรึ? อย่าลืมว่าพวกเราเป็นกลุ่มเดียวกัน พวกเราต้องมุ่งเน้นไปยังสถานการณ์โดยรวม!”
ติงผิงและจิ่วเยาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หลิงฮันแตะไหล่ของพวกเขาและเอ่ยแทรก “ตกลง พวกเราต้องมองภาพรวมเป็นสิ่งสำคัญ ครั้งหน้าข้าจะลงมือด้วย”
ตันจิงอี่กับเนี่ยเทียนเฉิงมองหน้ากัน หากพวกเขาต้องการกำจัดหลิงฮัน อย่างแรกพวกเขาต้องรู้ถึงพลังของหลิงฮันเสียก่อน การที่มีลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งถึงสองคนได้เช่นนี้ คนเป็นอาจารย์ย่อมไม่อ่อนแอแน่นอน
ทั้งสองคนไม่อยากสร้างความอัปยศให้แก่ตนเอง ถ้าหลิงฮันแข็งแกร่งเกินไปพวกเขาก็คงต้องยอม
หลิงฮันยิ้มเล็กน้อยราวกับอ่านความคิดของทั้งสองคนออกทะลุปรุโปร่ง
เมื่อพบเจอศัตรูอีกครั้ง หลิงฮันก็ลงมือ เขาสะบัดนิ้วปลดปล่อยปราณดาบออกไปลวกๆ การโจมตีของเขาไม่ได้มีอำนาจทำลายล้างสูงส่งจนน่าประหลาดใจอะไรนัก
เซียนหวู่เซียนเองก็ต้องยอมจำใจเข้าร่วมต่อสู้ด้วย เพียงแต่เขายังไม่ได้ใช้ออร่าของเซียนออกมาเนื่องจากมันคือไพ่ลับที่จะใช้ในยามคับขัน
มีเพียงจักพรรดินีเท่านั้นที่ยังไม่ลงมือ แต่ด้วยเสน่ห์ที่งดงามของนางใครจะกล้าต่อว่า?
แปดร้อยฟุต… เก้าร้อยฟุต… เก้าร้อยเก้าสิบฟุต…
เมื่อมาถึงความสูงระดับนี้ยิ่งหาศัตรูได้ยากกว่าเดิม จำนวนของกลุ่มศัตรูในตอนนี้มีเพียงราวๆหนึ่งร้อยกลุ่มเท่านั้น
ทุกคนระมัดระวังยิ่งเป็นอย่างมาก ร้อยกลุ่มที่เหลืออยู่นี้โค่นศัตรูกลุ่มอื่นๆมาแล้วนับพันกลุ่ม เพราะงั้นแล้วในร้อยกลุ่มนี้ใครบ้างจะไม่แข็งแกร่ง?
หากพบเจอศัตรูสุดแกร่งและพ่ายแพ้ทุกคนก็ต้องลงไปเริ่มต้มใหม่จากระดับล่างสุด
“ลุย!”
หลังจากสถานการณ์สงบนิ่งอยู่ชั่วครู่ การต่อสู้อันยุ่งเหยิงก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดกลุ่มของหลิงฮันก็พบเจอศัตรูที่แข็งแกร่ง ในตอนนี้ที่จักรพรรดินียังไม่ลงมือและหลิงฮันยังไม่เอาจริง กลุ่มของพวกเขากับศัตรูจึงปะทะกันอย่างตึงมือ หลังจากปะทะกันเป็นเวลาครึ่งวัน ในที่สุดกลุ่มของพวกเขาก็เป็นฝ่ายชนะ
ณ ตอนนี้ในที่สุดก็เหลือเพียงกลุ่มของราชาระดับแนวหน้า
“ซื่อเฉินเฟิง!” เป่ยหวงมองไปยังระยะที่ห่างไกลและพบเห็นกลุ่มพันธมิตรที่มีกันอยู่เจ็ดคน โดยตรงกลางได้มีรุ่นเยาว์ผมสีม่วงยืนอยู่ ที่บริเวณหัวของเขามีเขาคู่หนึ่งงอกออกมา เขาคู่นั้นไม่ได้ส่งผลให้ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“เมื่อไม่กี่พันปีก่อน ข้าปะทะกับเขาและพ่ายแพ้”
หลิงฮันพยักหน้า “เขาขัดเกลาพลังบ่มเพาะระดับดาราจนบรรลุขั้นสมบูรณ์!” หากมีพลังบ่มเพาะเท่ากันเป็นไปไม่ได้เลยที่เป่ยหวงจะเอาชนะอีกฝ่ายได้
“หลงเซียงเยว่!” เนี่ยเทียนเฉิงมองไปยังอีกทิศทางหนึ่ง แววตาของเขาหรี่ลงและมีเหงื่อไหลออกมาจากหน้าผาก
หลงเซียงเยว่คือสตรีที่งดงามคนหนึ่ง นางสวมชุดเกราะเกล็ดทองคำและสวมหมวกศีรษะมังกร ผมของนางถูกเก็บเอาไว้ในหมวกซึ่งสามารถมองเห็นได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ท่าทางของนางดูองอาจราวกับเป็นมังกรแท้จริงที่อยู่ในรูปร่างมนุษย์
นางถือดาบหนึ่งเล่มและไม่มีพันธมิตรหรือผู้ติดตามแม้แต่คนเดียว
“เทียนเซี่ยตี้เอ้อ!” ตันจิงอี่อุทาน อีกฝ่ายเป็นราชาระดับสามอีกคนที่ยืนบนจุดสูงสุดของอัจฉริยะแห่งยุค
หลิงฮันมองไปยังอีกฝ่าย เทียนเซี่ยตี้เอ้อไม่ใช่บุรุษที่หล่อเหลา เขามีร่างกายที่สูงล่ำกว่าคนทั่วไปและมีผิวดำคล้ำ ที่บริเวณแขนของเขามีขนหนางอกขึ้นมาทำให้ในแวบแรกเขาดูราวกับเป็นหมีดำ
ดูจากรูปลักษณ์ที่ไม่มีความสง่างามของเขาแล้ว หากพบเจอตามถนนคงไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นปรมาจารย์แต่อันธพาลทั่วไป
“เหตุใดจักรพรรดินีจักรพรรดินีหล่วนซิงถึงยังไม่ปรากฏตัว?” ฉื่อหวงพึมพำ เขาไม่เคยเห็นใบหน้าของจักรพรรดินีมาก่อนแถมหลิงฮันก็ไม่ได้แนะนำชื่อของจักรพรรดินีด้วย
เป่ยหวงและพวกเนี่ยเทียนเฉิงเองก็มองหาจักรพรรดินีเช่นกันโดยที่ไม่เอะใจเลยว่าคนที่พวกเขามองหานั้นอยู่ใกล้ๆนี้เอง
‘ปัง ปัง ปัง’ หลงเซียงเยว่ลงมือ นางมุ่งเป้าไปยังพันธมิตรที่มีสิบสองคน ตราบใดที่นางจัดการทั้งสิบสองคนได้นางก็จะได้เศษแผ่นหินสิบสองชิ้นและขึ้นไปอยู่เป็นอันดับหนึ่งทันที
“ฮึ่ม ต่อให้เจ้าเป็นราชาระดับสาม แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เทียมทานไร้คู่ต่อสู้!” กลุ่มทั้งสิบสองคนตอบโต้ พวกเขาทั้งหมดเป็นราชาระดับสองและมีการสนับสนุนจากสมบัติในมือซึ่งบางชิ้นไม่ได้ด้อยไปกว่ากิ่งลูกท้อเซียนของเนี่ยเทียนเฉิงหรือหกแก่นแท้ภูผาของตันจิงอี่
หลงเซียงเยว่สะบั้นดาบในมือ นางราวกับเป็นเทพธิดาสงครามที่ปลดปล่อยกลิ่นอายทรงพลังอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา
นางเป็นสตรีที่แข็งแกร่งมาก ทันทีที่นางลงมือเกล็ดบนเกราะทองคำของนางก็ส่องสว่าง หมวกเกราะมังกรขยับราวกับมีชีวิต รอบกายของนางปลดปล่อยอำนาจแห่งมังกรออกมาจนแม้กระทั่งจอมยุทธระดับราชาก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักหน่วง
มังกรที่แท้จริงนั้นเป็นตัวตนระดับสร้างสรรพสิ่ง มันคือสัตวเทพที่มีพลังสายเลือดแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
หนึ่งคนหนึ่งดาบแสดงอำนาจอันทรงพลังออกมาและกำราบพันธมิตรทั้งสิบสิงคนลงได้อย่างราบคาบ
เศษแผ่นหินสิบสองชิ้นถูกดูดมาที่นาง แผ่นหินที่นางยืนอยู่ก็ลอยสูงขึ้นและกลายเป็นคนแรกที่ผ่านยอดเขาส่วนแรกของหุบเขาเฉินเอี๋ยน
ทันใดนั้นเอง นาฬิกาทรายก็ได้ปรากฏขึ้นด้านบนของแผ่นหินสีทองและมีทรายทองคำไหลอยู่ด้านในนาฬิกาทราย
เมื่อมีคนผ่านพ้นจุดแรกไปได้แล้วจากนี้จะเป็นการแย่งชิงตำแหน่งในจุดที่สอง!
ตอนนี้หลงเซียงเยว่ไม่สามารถขึ้นไปสูงกว่านี้ได้เนื่องจากรอบข้างนางไม่มีคู่ต่อสู้
นางทำได้เพียงรอคอย
กลุ่มอื่นเริ่มทำการเข้าปะทะกัน ตอนนี้เวลาได้เริ่มนับถอยหลังแล้วพวกเขาไม่สามารถใจเย็นได้อีกต่อไป
ราชาทุกคนที่มาที่นี่ใครบ้างจะไม่มีความทะเยอทะยานขึ้นไปให้ถึงแผ่นหินสีทองด้านบนสุด?
หลังจากการต่อสู้อันดุเดือด แผ่นหินของพันธมิตรราชาที่แข็งแกร่งก็ลอยขึ้นสูงเกินยอดเขาช่วงแรก
เมื่อมาถึงจุดนี้ พันธมิตรของแต่ละกลุ่มก็ถูกแยกไปโดยปริยาย
แผ่นหินใต้เท้าของแต่ละคนเริ่มแตกร้าวและแยกออกจากกันทำให้การรวมกลุ่มไม่สามารถทำได้อีกต่อไป
หลังจากหันมองหน้ากัน เนี่ยเทียนเฉิงกับตันจิงอี่ก็ลงมือจู่โจมไปยังแผ่นหินใต้เท้าของหลิงฮันอย่างรวดเร็ว
หลังจากรอมานานในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง!
พวกเขาทนไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นสีหน้าตกตะลึงของหลิงฮัน ใบหน้านั้นเมื่อเห็นแล้วจะต้องน่าพึงพอใจมากแน่นอน
หลิงฮันหันไปยังทิศทางของทั้งสองและเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ตอนที่ 1448
ทั้งเนี่ยเทียนเฉิงและตันจิงอี่ชะงักทันที
การลอบโจมตีของพวกเขานั้นกะทันหันมาก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่หลิงฮันจะเตรียมตัวตอบโต้ได้ทัน แต่ถึงอย่างหลิงท่าทีของหลิงฮันกลับไม่วิตกแม้แต่น้อยแถมยังยิ้มมายังพวกเขาอีก นั่นหมายความว่า… อีกฝ่ายระมัดระวังพวกเขามาโดยตลอด!
หลิงฮันยิ้มและปล่อยหมัดตอบโต้กลับไปสองหมัด ‘ตูมม’ แรงกดดันอันหนักอึ้งถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับพลังต่อสู้ของทั้งสองคนถูกลดลงไปสองดาว
สองดาว!
ตอนนี้ราชาทุกคนถูกลดระดับพลังบ่มเพาะมาเป็นดาราขั้นต้น ต่อให้เป็นราชาคนละระดับพลังก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไหร่ แต่หากถูกลดพลังต่อสู้ลงถึงสองดาวล่ะก็ มันเปรียบเสมือนความแข็งแกร่งของพวกเขาถูกลดลงร้อยเท่า
‘ตูม ตูม’ ร่างของทั้งสองถูกซัดลอยกระเด็นล่วงจากแผ่นหินในพริบตา
แต่ยังไม่พบเพียงเท่านั้น จักรพรรดินีลงมือต่อ นางปล่อยฝ่ามือออกไป ‘ปัง ปัง’ ปราณก่อเกิดถูกควบแน่นเป็นภูเขาสองลูกเข้าปะทะกับร่างของทั้งสอง เนี่ยเทียนเฉิงกับตันจิงอี่กระอักโลหิตออกมา ‘แกร่ก แกร่ก แกร่ก’ เสียงกระดูกนับไม่ถ้วนแตกหักดังออกมาจากร่างกายของทั้งสองคน
หากพวกเขาไม่ได้ถูกหลิงฮันตอบโต้กะทันหันหรือไม่ได้ถูกลดพลังลงสองดาว ต่อให้พวกเขาจะไม่ใช้คู่ต่อสู้ของราชาระดับสาวแต่พวกเขาก็คงไม่บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้
การโจมตีร่วมกันของหลิงฮันกับจักรพรรดินีนั้น ในระดับเดียวกันแล้วจะมีกี่คนเชียวที่สามารถต้านทานได้?
แน่นอนว่าพวกเนี่ยเทียนเฉิงไม่ใช่คนเหล่านั้น
ทั้งสองคนกรีดร้องและร่วงลงสู่เบื้องล่าง สองหมัดของหลิงฮันยังไม่เท่าไหร่ ที่พวกเขาล่วงหล่นจากแผ่นหินก็คงบาดเจ็บแต่เล็กน้อย แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้พวกเขาบาดเจ็บสาหัสนั้นคือการโจมตีอันหนักหน่วงของจักรพรรดินี
แม้พวกเขาจะถึงกับตายแต่ก็คงต่อสู้ด้วยพลังเต็มที่ไม่ได้ไปอีกอย่างน้อยสองสามปี
ในขณะที่ทั้งสองร่วงหล่นสู่พื้นดิน พวกจ้องมองจักรพรรดินีที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก่อนจะนึกอะไรบ้างอย่างออก
ไม่ใช่ว่านั่นคือเพชรฆาตราชาหรอกรึ?
ณ เวลานี้ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรแต่ความอิจฉาที่พวกเขามีต่อหลิงฮันนั้นได้เพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
หลังจากออกไปจากหุบเขาเฉินเอี๋ยน พวกเขาจะต้องออกตามหาหลิงฮันเพื่อแก้แค้นให้จงได้!
ตอนนี้มีราชาเกือบห้าสิบคนที่เข้าสู่ส่วนที่สองของยอดเขา ส่วนที่สองนี้ไม่มีพันธมิตรอะไรทั้งสิ้น ทุกคนสามารถต่อสู้หรือหลีกเลี่ยงคู่ต่อสู้ได้อย่างอิสระ
มาถึงจุดนี้แล้วแต่ละคนต้องพึ่งพาพลังของตนเองอย่างเดียวเท่านั้น
นับว่ายุติธรรมดี
หลิงฮันเคลื่อนไหวเริ่มเข้าปะทะกับคู่ต่อสู้
เขายังไม่ใช่พลังทั้งหมดออกไปและเลือกเอาชนะด้วยศัตรูอำนาจสวรรค์เป็นหลัก ในการต่อสู้รูปแบบนี้อำนาจสวรรค์นับว่าเป็นอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดเลยก็ว่าได้
ทุกคนมีระดับพลังบ่มเพาะเท่ากัน แต่หากใครต้องมาสู้กับเขาความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายจะถูกลดลงไปร้อยเท่า เช่นนี้ศัตรูจะเอาชนะเขาได้อย่างไร?
หลิงฮันไร้เทียมทาน เขาเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างต่อเนื่องและแผ่นหินของเขาค่อยๆลอนสูงขึ้นทีละขั้น จำนวนของราชาที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้ของเขาน้อยลงไปทุกทีจนในที่สุดก็เหลือราชาอยู่เพียงสิบคน
จักรพรรดินีหล่วนซิง จักรพรรดิพิรุณ เซียนหวู่เวียง ซื่อเฉินเฟิง หลงเซียงเยว่ เทียนเซี่ยตี้เอ้อ กู่ต้าวอี้ หลิงฮันและราชาที่ไม่เคยได้ยินชื่ออีกสองคน ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้นั้นราชาคนนี้ไม่ได้แสดงพลังที่โดดเด่นนัก แต่หลังจากการแย่งชิงเข้าสู่ช่วงที่สอง พวกเขากลับแข็งแกร่งไร้เทียมทานอย่างคาดไม่ถึง
เป่ยหวงและฉือหวงยังไม่พ่ายแพ้ล่วงจากแผ่นหิน แต่พวกความสูงของพวกเขายังคงห่างไกลจากราชาอันดับต้นๆ ติงผิง จิ่วเยา สวีเหลินและจักรพรรดินีอมตะเองก็เช่นกัน ยิ่งมีราชาจากด้านล่างขึ้นมาเยอะเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งลำบากมากขึ้น
“ไม่น่าเชื่อ เห็นว่าทั้งสี่คนนั้นมาจากเขตดวงดาวเดียวกัน” ใครบางคนชี้ไปยังราชาทั้งสี่ซึ่งก็คือหลิงฮัน จักรพรรดินี จักรพรรดิพิรุณและเซียนหวู่เวียง ก่อนจะหันไปชี้อีกด้านหนึ่งที่พวกสตรีนกอมตะอยู่ “คนพวกนั้นก็ด้วย!”
“เขตดวงดาวหนึ่งสามารถให้กำเนิดราชาได้ถึงแปดคนเชียว? พระเจ้า!”
เหล่าจอมยุทธที่อยู่เบื้องล่างเอามือกุมหัว เรื่องเช่นนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไป เขตดวงดาวเล็กแบบใดกันถึงได้มีราชาชั้นแนวหน้าอยู่มากมายเพียงนี้?
“เพียงแต่ว่า ใครจะได้เป็นราชาที่หัวเราะคนสุดท้ายก็ต้องดูต่อไปก่อน”
“ข้าเดาว่าเป็นกู่ต้าวอี้ พรสวรรค์และศักยะภาพของเขานั้นกล่าวได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งแม้จะเป็นในยุคบรรพกาล!”
“เข้าเห็นด้วย! เขาเป็นคนเดียวที่ราชาคนอื่นยอมเป็นผู้ติดตาม พลังของเขาสามารถกำราบเหล่าราคาได้อย่างราบคาบ”
“ข้าขอสนับสนุนจักรพรรดินีหล่วนซิง ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้นข้าแค่อยากสนับสนุนนางเฉยๆ”
“ข้าก็ขอเดาว่าเป็นจักรพรรดินีหล่วนซิง!”
“หืม แล้วสองคนนั้นเป็นใครกัน พวกเราไม่เคยพบเห็นทั้งสองนั้นมาก่อนเลยไม่ใช่รึไง”
“ฮ่าๆ เป็นพวกเจ้าเองมากกว่าที่ข้อมูลไม่แน่นพอ ชายหนุ่มในชุดเทามีชื่อว่าหงหม่า เขาเป็นศิษย์ของเซียนและเป็นราชาระดับสาม!”
“อะไรกัน ราชาระดับสามอีกคนแล้ว?”
“เหอๆ ส่วนชายชุดฟ้าผู้นั้นเป็นจอมยุทธพเนจร แต่ดวงของเขานั้นน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เขาพบเจอวาสนามากมายในชีวิต ชื่อของเขาคือเฉิงเสี่ยวฟาน เป็นราชาระดับสามเช่นกัน!”
“เฉิงเสี่ยวฟาน… เขาต้องไม่ธรรมดาแน่!”
“แต่ข้าก็ยังคิดว่ากู่ต้าวอี้ยอดเยี่ยมกว่าอยู่ดี เขาเป็นอัจฉริยะที่เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ฟ้าประทานและมีโชคชะตาขึ้นเป็นดาวจรัสแสงแห่งยุคสมัย”
“อืม!”
ผู้คนส่วนใหญ่เอนเอียงไปทางกู่ต้าวอี้ บุรุษผู้นี้ไม่ธรรมดาเกินไป ด้วยออร่าอันทรงพลังของแก่นกำเนิดนิรันดร์ทำให้เขาโดดเด่นที่สุดในหมู่ราชาระดับแนวหน้าทั้งสิบคน
ท่ามกลางท้องฟ้า กู่ต้าวอี้ยืนพาดมือทั้งสองไว้ด้านหลัง เขามองไปยังหลิงฮันและเผยรอยยิ้ม “ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะพอมีความแข็งแกร่งอยู่บ้าง เจ้าถึงขนาดก้าวมาถึงจุดนี้เพื่อท้าทายข้าได้”
หลิงฮันกล่าวตอบกลับไปอย่างไม่แยแส “มีเหตุผลอันใดที่ข้าต้องหวาดกลัวคนที่เพิ่งออกมาจากที่ซ่อนตัว?”
“ฮ่าๆๆ!” กู่ต้าวอี้หัวเราะ “ต่อหน้าข้า ไม่ว่าอัจฉริยะผู้ใดก็ทำได้เพียงยอมยอมศิโรราบ ไม่ว่าข้าจะไปหนใดทุกสรรพสิ่งย่อมต้องคุกเข่า…”
ครืนน!
ยังไม่ทันทีกู่ต้าวอี้จะพูดจบ คลื่นดาบของหลิงฮันก็พุ่งเข้าใส่กู่ต้าวอี้พร้อมกับกล่าว “เลิกพล่ามแล้วมาสู้กัน ข้าจะสอนบทเรียนให้กับเจ้าเอง!”
มุมปากของกู่ต้าวอี้กระตุก ในตอนแรกที่เขายอมไว้ชีวิตหลิงฮันก็เป็นเพราะอีกฝ่ายเป็นคนแรกที่เขาได้พูดคุยด้วยในรอบพันล้านปี เขาตั้งใจปล่อยให้หลิงฮันมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นสักขีพยานความรุ่งโรจน์ของเขา
แต่เมื่อคลื่นดาบพุ่งเข้ามาใส่ เขาจำเป็นต้องลงมือเพื่อตอบโต้
ตูม!
คลื่นดาบปะทะเข้ากับฝ่ามือ ‘ครืนน’ คลื่นกระแทกที่ปะทุออกมาส่งผลให้แผ่นหินของจอมยุทธรอบข้างสั่นไหวราวกับเป็นเรือที่ถูกคลื่นทะเลซัด
คลื่นกระแทกสลายไป ร่างของหลิงฮันกับกู่ต้าวอี้ยืนหันหน้าเข้ากันด้วยแววตาที่เดือดดาลไปด้วยเพลิงสู้รบ
“ข้าคงดูถูกเจ้าเกินไป!” กู่ต้าวอี้กล่าว “แต่ต่อหน้าข้า ไม่ว่าอัจฉริยะคนไหนก็ต้อ…”
‘ครืนน’ คลื่นดาบถูกฟันออกมาอีกครั้ง
บัดซบ ข้ายังพูดไม่ทันจบเลย ต่อให้เจ้าอยากสู้ขนาดไหนก็รอหน่อยไม่ได้รึไง?
ตอนที่ 1449
กู่ต้าวอี้เกรี้ยวกราด
ตัวเขานั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงอัจฉริยะของดินแดนแห่งเซียน ตอนนี้แม้จะล่วงหล่นลงมายังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แต่วิสัยทัศน์ของเขาก็ยังสูงส่งไม่เปลี่ยนแปลง ในความคิดของเขา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เป็นเพียงดินแดนล้าหลังเท่านั้น
มุมมองที่เขามีต่อจอมยุทธของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนการที่จอมยุทธของดินแดนมองจอมยุทธจากโลกใบเล็ก
แต่ตอนนี้มดปลวกตัวจ้อยกลับกล้ายั่วยุเขา จะไม่ใช่เขาโกรธได้อย่างไร?
ต้องจำกัด!
เขาเค้นเสียงและปลดปล่อยออร่าอันทรงพลัง เงาดวงดาราที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังของเขาทำดูราวกับเป็นเทพเจ้าที่สามารถบดขยี้ดวงดาวด้วยเท้าเพียงข้างเดียว
“มดปลวกโอหัง เจ้ากล้าดูหมิ่นข้า!” กู่ต้าวอี้ผลักฝ่ามือออกไปด้านหน้า ปราณก่อเกิดถูกควบแน่นกลายเป็นนิ้วมือขนาดใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ที่น่าสะพรึงกลัว นิ้วมือปราณก่อเกิดยาวร้อยฟุตและหนาสามสิบฟุตจู่โจมเข้าใส่หลิงฮัน
อำนาจของนิ้วมือนี้ปลดปล่อยออร่านี้เหลือกว่าระดับดาราขั้นต้นออกมาอย่างสิ้นเชิง พลังทำลายของมันคือระดับดาราขั้นกลางหรืออาจจะขั้นสูง
อย่างที่รู้ว่าพลังบ่มเพาะของทุกคนนั้นถูกลดลงมายังระดับดาราขั้นต้น การที่จะการโจมตีจะมีพลังทำลายเทียบเท่าระดับดาราขั้นสูงได้นั้น กู่ต้าวอี้ต้องมีพลังต่อสู้มากเพียงใด?
ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนสีโดยพลัน
เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้?
จากระดับดาราขั้นต้นไปถึงระดับดาราขั้นสูงนั้นคิดเป็นพลังต่อสู้ถึงแปดดาว ซึ่งพลังต่อสู้เช่นนี้ไม่ควรมีอยู่นอกจากจอมยุทธที่มีพลังบ่มเพาะระดับดาราขั้นสมบูรณ์ แต่ตอนนี้กู่ต้าวอี้ถูกลดพลังบ่มเพาะเหลือระดับดาราขั้นต้น เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีพลังต่อสู้เช่นนี้?
กู่ต้าวอี้ผู้นี้คืออัจฉริยะอันดับหนึ่งตลอดกาลแท้จริง!
หลิงฮันจะป้องกันได้อย่างไร?
ต่อให้หลิงฮันป้องกันการโจมตีได้แผ่นใต้เท้าของหลิงฮันก็ต้องถูกทำลายอยู่ดี
“จบสิ้นแล้ว ถ้าเขาไม่อยากตายก็ต้องยอมสละแผ่นหินทิ้งเพื่อหลบการโจมตี”
“ใครใช้ให้เขาไปยั่วยุกู่ต้าวอี้กันล่ะ? หากเขาไม่พยายามทำตัวโดดเด่นและเว้นระยะห่างจากกู่ต้าวอี้ ต่อให้เขาจะไม่สามารถขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งได้แต่อย่างน้อยก็คงขึ้นไปได้สูงกว่านี้”
“…แต่จากที่ดูแล้ว กู่ต้าวอี้เป็นคนยั่วยุก่อนไม่ใช่รึไง?”
“กู่ต้าวอี้คือใคร? เขามีคุณสมจะทะนงตนอยู่แล้ว หากหลิงฮันเข้าใจวิธีการวางตัวเขาก็สมควรยอมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้”
“ถูกแล้ว หลิงฮันเป็นฝ่ายแกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง”
“ไปเริ่มใหม่จากล่างสุดแล้วกัน!”
แต่ทว่าหลิงฮันก็ได้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ เขาไม่ได้กระโดดลงจากแผ่นหินเพื่อหลบหลีกแต่กลับยกฝ่ามือขึ้นและลงมือตอบโต้นิ้วมือยักษ์ก่อเกิด
บ้าไปแล้ว!
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน
นิ้วมือปราณก่อเกิดนั่นไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธระดับดาราขั้นต้นสามารถรับมือได้ การเผชิญหน้ากับมันตรงๆก็เปรียบเสมือนแส่หาที่ตาย
ผู้คนมากมายส่ายหัว หลิงฮันช่างโง่เขลานัก
‘พรึบ’ หลิงฮันตอบโต้นิ้วมือขนาดใหญ่ที่พุ่งเข้ามา พริบตานั้นเองนิ้วมือขนาดใหญ่ก็ค่อยๆถูกกัดกร่อนด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่อนิ้วมาพุ่งเข้ามาถึงหลิงฮันมันก็แหลกสลายออกเป็นเศษซากนับชิ้นไม่ถ้วนอย่างสมบูรณ์
อะไรกัน!
เหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ทุกคนอ้าปากค้างพูดไม่ออก
นี่มัน… พวกเขาเพิ่งพูดไปว่าการโจมตีของกู่ต้าวอี้นั้นไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธระดับดาราขั้นต้นจะรับมือได้ แต่ผ่านไปพริบตาเดียวหลิงฮันก็ตบหน้าพวกเขาดังลั่นเสียแล้ว
หลังจากเวลาผ่านไปหลายปี หลิงฮันหมั่นฝึกฝนทักษะกาลเวลาแปรผันพันปีใต้ต้นสังสารวัฏอยู่ตลอดเวลาทำให้เขาในตอนนี้บรรลุจุดสูงสุดของทักษะแล้ว
ต่อให้ไม่มีสายเลือดของตระกูลติง ความเข้าใจในกาลเวลาแปรผันพันปีของเขาก็เหนือกว่าคนของตระกูลติงส่วนใหญ่ไปแล้วแน่นอน
กู่ต้าวอี้ตกตะลึงเช่นกัน ถึงแม้นิ้วมือปราณก่อเกิดนั่นจะไม่ใช่การโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเขา แต่เขาคือใคร? อัจฉริยะจากดินแดนแห่งเซียน ด้วยแก่นกำเนิดนิรันดร์ที่กำเนิดขึ้นจากชีวิตทั้งสิบชาติภพ พลังต่อสู้ของเขาสมควรไร้เทียมทานที่สุดในระดับพลังเดียวกันบนดินแดนศักดิ์สิทธิ์นี้
“นี่มัน… อำนาจแห่งกาลเวลา!” เขากล่าวออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึงอย่างปิดไม่มิด
ถึงแม้จะกล่าวได้ว่าหลิงฮันเข้าใจหลักการของอำนาจแห่งกาลเวลาเพียงปลายเส้นขน แต่การที่มดปลวกสามารถเข้าถึงหลักการของมันได้นั้นสำหรับเขาแล้วก็ยังเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากอยู่ดี
ต่อให้เป็นในดินแดนแห่งเซียน หากไม่ใช้พลังของสายเลือดแล้วมีเพียงจอมยุทธระดับโลกียนิพพานเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงอำนาจแห่งกาลเวลาได้
หรือหลิงฮันจะเป็นสายเลือดที่มาจากดินแดนแห่งเซียนที่ถูกขับไล่ออกมาเหมือนกับเขา?
ไม่ผิดแน่ ไม่งั้นแล้วอีกฝ่ายจะรู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนแห่งเซียนได้อย่างไร?
ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมอีกฝ่ายถึงกล้ายั่วยุเขา ที่แท้ตนเองก็มาจากดินแดนแห่งเซียนเหมือนกัน!
“ฮึ่ม แค่เข้าใจหลักการของอำนาจกาลเวลาเพียงเส้นขน ยังคิดจะต่อต้านข้ารึ?” กู่ต้าวอี้กล่าวด้วยใบหน้าเหยียดหยามแต่ก็ระมัดระวังตัวมากกว่าเดิม
อำนาจแห่งกาลเวลานั้นคืออำนาจอันแข็งแกร่ง หากต้องสู้กับอีกฝ่ายด้วยระดับพลังเดียวกันเขาจำเป็นต้องใช้พลังที่แท้จริง
หลิงฮันยิ้มและกล่าว “นอนหลับไปตั้งหลายร้อยล้านปี พอตื่นขึ้นมาก็พูดเสียเยอะเลยนะ”
สีหน้าของกู่ต้าวอี้เปลี่ยนเป็นมืดมน ปากของเจ้าหนูนี่ช่างร้ายกาจนัก!
“เจ้ารนหาที่ตายเอง!” กู่ต้าวอี้ควบคุมแผ่นหินให้ลอยไปทางหลิงฮันพร้อมกับชี้นิ้วออกไป ที่ปลายนิ้วของเขาปลดปล่อยคลื่นแสงสีแดงฉานราวกับโลหิต “ดรรชนีโลหิตพระเจ้า!”
หลิงฮันยังคงตอบโต้ด้วยกาลเวลาแปรผันพันปี แต่เขากลับพบว่าการโจมตีของกู่ต้าวอี้นั้นหนักหน่วงราวกับเป็นขุนเขาที่ถูกอัดแน่นย่อขนาดเหลือเท่าไข่ไก่ ผลกระทบที่ได้รับจากกาลเวลาแปรผันพันปีเองก็ค่อยๆลดน้อยลง
ดังนั้นเมื่อคลื่นแสงจากนิ้วมือถูกสลายพลังเปลือกนอกไปจนหมด อำนาจกาลเวลาแปรผันพันปีก็สิ้นสุดไปพร้อมกัน แต่ถึงอย่างนั้นพลังทำลายของคลื่นแสงจากนิ้วมือยังคงอยู่
‘ปัง’ คลื่นแสงจากนิ้วมือปะทะเข้ากับร่างของหลิงฮันจนจนร่างถูกส่งลอยกระเด็นไปร้อยฟุต
กู่ต้าวอี้แสดงสีหน้าภาคภูมิใจ ว่าคิดว่าจะไม่มีวิธีจัดการกับอำนาจกาลเวลา? น่าขัน! เขามีทักษะลับอยู่ไม่รู้มากมายเพียงใด ซึ่งทุกทักษะล้วนแต่เป็นทักษะระดับนิรันดร์ทั้งสิ้น
แต่พริบตาต่อมา สีหน้าภาคภูมิใจของเขาก็ต้องเปลี่ยนเป็นสีหน้าตกตะลึง
นั่นเพราะหลิงฮันยังคงขยับร่างกายได้ปกติราวกับไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย
หากการโจมตีเมื่อครู่เล็งไปยังแผ่นหินใต้เท้า หลิงฮันคงจะร่วงสู่พื้นไปแล้ว แต่หากเล็งการโจมตีมาที่ร่างกายของเขาน่ะรึ? ขอโทษที แต่พลังทำลายจากการโจมตีของระดับดาราขั้นต้นนั้นยังไม่เพียงพอ!
ต่อให้เป็นอำนาจแห่งกฎเกณฑ์จากดินแดนแห่งเซียนก็ไม่มีข้อยกเว้น ทักษะคัมภีร์สวรรค์นิรันดร์เองก็มาจากดินแดนแห่งเซียนเช่นกันแถมยังเป็นทักษะระดับสูงมากอีกด้วย!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น